Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน - อ.สมชาย

รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน - อ.สมชาย

Published by E-books, 2021-03-02 04:02:32

Description: รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน-สมชาย

Search

Read the Text Version

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 เจ้าหน้าท่ีและต้องเสียคา่ ภาคหลวง (มาตรา 29) การนาไม้หรือของป่ าเคลื่อนที่ต้องมีใบเบิกทาง ของพนกั งานเจ้าหน้าท่ี (มาตรา 39) การควบคมุ การแปรรูปไม้โดยประกาศเขตควบคมุ การแปรรูป โดยรัฐมนตรี (มาตรา 47) ในเขตควบคมุ ดงั กล่าว หากจะแปรรูปไม้ต้องขออนญุ าตจากพนกั งาน เจ้าหน้าที่และต้องปฏิบตั ิตามข้อกาหนด (มาตรา 48) ข้อกาหนดทงั้ หมดท่ีกล่าวมาข้างต้น หากมี การฝ่ าฝื นจะมีโทษทางอาญา เช่น โทษจาคุก โทษปรับ หรือทัง้ จาและปรับ (หมวด 7) โดยมี รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมรักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี ้ 2) พระราชบัญญัตอิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 กฎหมายฉบบั นีบ้ ญั ญัติขึน้ ในปี เดียวกนั กบั การประกาศใช้แผนพฒั นาเศรษฐกิจ ฉบับท่ี 1 ซงึ่ มีการกาหนดให้รักษาพืน้ ที่ป่ าไม้ไว้อยา่ งน้อยร้อยละ 50 รัฐบาลสมยั นนั้ จึงออกกฎหมายวา่ ด้วย อทุ ยานแหง่ ชาตขิ นึ ้ เพ่ือค้มุ ครองรักษาทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่มีอยู่ เชน่ พนั ธ์ุไม้ ของป่ า สตั ว์ป่ า ให้คง สภาพเดิมอยไู่ มใ่ ห้ถูกทาลายหรือแปรเปล่ียนไป เพ่ืออานวยประโยชน์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อมแก่ ชาตแิ ละประชาชนสืบไป สาระสาคญั ของกฎหมายฉบบั นี ้ได้บญั ญตั ไิ ว้ 4 เร่ือง คือ 1. การกาหนดให้ท่ีดินเป็ นอทุ ยานแห่งชาติ ให้เป็ นอานาจของฝ่ ายบริหารหรือรัฐบาลโดย การประกาศพระราชกฤษฎีกากาหนดพืน้ ที่ ที่มีสภาพธรรมชาตอิ ดุ มสมบรู ณ์ให้คงอยใู่ นสภาพเดมิ เพ่ือเป็ นประโยชน์ในการศกึ ษาและพกั ผ่อนหย่อนใจของประชาชน ซงึ่ ต้องแนบแผนที่กาหนดแนว เขตของอทุ ยานแหง่ ชาตนิ นั้ แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย (มาตรา 6) 2. การแตง่ ตงั้ คณะกรรมการอทุ ยานแห่งชาติ (มาตรา 9) เพ่ือให้คาปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเร่ืองการกาหนดให้ที่ดินใดเป็ นอทุ ยานแห่งชาติ ปรึกษาเร่ืองการขยายหรือเพิกถอนอุทยานแห่งชาติ รวมไปถึงเรื่องการคุ้มครองและดูแลรักษา อทุ ยานแหง่ ชาติ (มาตร 15) 3. การค้มุ ครองและดแู ลรักษาอทุ ยานแหง่ ชาติโดยกฎหมายกาหนดห้ามมิให้มีการกระทา ใดๆ ท่ีจะเป็ นผลกระทบให้อทุ ยานแห่งชาติถูกทาลายหรือเปล่ียนแปลงไป เช่น ห้ามแผ่วถางหรือ เผา่ ป่ า ห้ามทาร้ายสตั ว์หรือนาออกไปห้ามยิงปื น ฯ (มาตรา 16) 4. การกาหนดโทษ หากมีการฝ่ าฝื นบทบญั ญัติตา่ งๆ จะมีโทษทางอาญา เช่น โทษจาคกุ โทษปรับ หรือทงั้ จาและปรับ (หมวด 5) คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 32

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 3) พระราชบัญญัตปิ ่ าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 กฎหมายฉบบั นี ้บญั ญตั ขิ นึ ้ ด้วยเจตนารมณ์ 2 ประการท่ีสาคญั คอื 1. พระราชบญั ญัติค้มุ ครองและสงวนป่ า 2481 ที่ใช้บงั คบั อยู่มีปัญหาและข้อบกพร่อง หลายเร่ือง เช่น การประกาศให้พืน้ ท่ีบริเวณใดเป็ นป่ าสงวนหรือป่ าค้มุ ครองนนั้ มีวิธีการท่ีไมร่ ัดกมุ เหมาะสมต้องเสียเวลาดาเนินการเป็ นระยะเวลายาวนาน เป็ นเหตใุ ห้เปิ ดโอกาสเกิดการทาลายป่ า ไม้อยา่ งกว้างขวางขนึ ้ รวมไปถึงกฎหมายฉบบั ดงั กลา่ ว ยงั มีบทกาหนดโทษไมเ่ หมาะสม โทษน้อย เกินไป ผ้กู ระทาความผิดจงึ ไมเ่ ข็ดหลาบ 2. รัฐบาลในสมยั นนั้ มีประกาศแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ซงึ่ กาหนดเป้ าหมายเรื่องป่ า ไม้ว่าจะสงวนป่ าไม้ในประเทศไทยให้มีเนือ้ ที่ประมาณร้ อยละ 50 ของพืน้ ที่โดยรวมของประเทศ หรือประมาณ 250,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 156 ล้านไร่ จากเจตนารมณ์ประการแรก จึงมีการเปลี่ยนแปลงหลักการทางกฎหมายเรื่ อง วธิ ีดาเนนิ การประกาศเขตป่ าสงวน กลา่ วคือจากเดิมก่อนท่ีรัฐบาลจะทาการประกาศเขตสงวนหรือ ค้มุ ครองป่ าจะต้องดาเนินการเดินสารวจพืน้ ที่และสารวจประโยชน์ใดๆ ของราษฎรก่อนและหาก พืน้ ท่ีนนั้ จาเป็ นต้องประกาศ ซึ่งทาให้ราษฎรเสียสิทธิ รัฐจะต้องจ่ายค่าทาขวญั ให้แก่ราษฎรนนั้ ๆ แตใ่ นกฎหมายฉบบั ใหมไ่ ด้ยกเลิกหลกั การเร่ืองนีไ้ ปเพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน จงึ เปล่ียนมา เป็ นวิธีการใช้แผนท่ีและภาพถ่ายทางอากาศเท่านนั้ โดยไม่มีการเดินสารวจและไม่มีการประกาศ ให้ราษฎรในพืน้ ท่ีรับทราบก่อน แตจ่ ะประกาศให้ทราบภายหลงั จากท่ีประกาศเขตป่ าสงวนไปแล้ว โดยให้ราษฎรย่ืนคาร้องได้ภายหลงั การเปลี่ยนแปลงหลกั การดงั กล่าว ทาให้เกิดปัญหาติดตาม มาถึงปัจจุบนั ในเร่ืองการประกาศเขตป่ าสงวนแห่งชาติทบั พืน้ ท่ีที่ราษฎรใช้ทามาหากิน หรืออยู่ อาศยั มากอ่ น ดงั นนั้ ราษฎรที่อยใู่ นพืน้ ที่จงึ กลายเป็นผ้บู กุ รุกป่ าสงวนโดยปริยาย2 การประกาศเขตป่ าสงวนแห่งชาติตามพระราชบญั ญตั ิฉบบั นี ้ ตงั้ แตพ่ .ศ. 2507 นบั จนถึง พ.ศ. 2548 มีการออกกฎกระทรวงประกาศพืน้ ที่ป่ าสงวนไปแล้วประมาณ 1,221 ป่ า คดิ เป็ นพืน้ ท่ี 2 บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ และคณะ. พฒั นำกำรของกฎหมำย ป่ ำไม้ไทย: จำก “บกุ เบิก” ที่ได้รับกำรสง่ เสริมมำเป็ น “บกุ รุก” ท่ีต้องจบั กมุ ใน เสน่ห์ จำมริก และยศ สนั ตสมบตั ิ (บรรณำธิกำร), ป่ าชุมชนในประเทศไทย: แนว ทางการพัฒนา เล่ม 1 (กรุงเทพฯ: สถำบนั ชมุ ชนท้องถ่ินพฒั นำ, 2536) หน้ำ 105-106. คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 33

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 143.98 ล้านไร่ ในจานวนนี ้ในพ.ศ. 2547 คณะกรรมการพฒั นาชนบทแหง่ ชาติ สารวจแล้วพบว่ามี ราษฎรอาศยั อยู่ 9,715 หมบู่ ้าน 893,354 ครัวเรือน มีจานวนประชากรทงั้ สนิ ้ 3,665,347 คน3 สาระสาคญั ของกฎหมายฉบบั นี ้ได้บญั ญตั ไิ ว้ 3 เร่ือง กลา่ วคอื 1. การกาหนดเขตป่ าสงวนแหง่ ชาติให้อานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกกฎกระทรวงประกาศเขตป่ าสงวนแหง่ ชาตโิ ดยมีแผนที่แสดงแนวเขตป่ าแนบท้ายกฎกระทรวง ด้วย (มาตรา 6) หากจะเปล่ียนแปลงแนวเขตหรือเพิกถอนป่ าสงวนแห่งใดทงั้ หมดหรือบางสว่ น ให้ กระทาออกกฎกระทรวงและมีแผนท่ีแนบท้ายเชน่ เดียวกนั (มาตรา 7) เมื่อกาหนดให้ป่ าแห่งใดเป็ น ป่ าสงวนแล้ว กฎหมายกาหนดให้มีคณะกรรมการชดุ หน่ึงจานวน 5 คน ประกอบด้วย ผ้แู ทนกรม ป่ าไม้ ผ้แู ทนกรมการปกครอง ผ้แู ทนกรมท่ีดิน และกรรมการอื่นอีก 2 คน ที่รัฐมนตรีฯ แตง่ ตงั้ เพ่ือ ทาหน้าท่ีควบคุมเจ้าพนักงานในการปักหลักเขต ติดป้ าย หรือเครื่องหมายแสดงแนวเขต ปิ ด ประกาศกฎกระทรวงและแผนท่ีโดยกาหนดให้ติดที่ว่าการอาเภอหรือกิ่งอาเภอท้องที่ ท่ีทาการ กานนั ท้องที่ และที่เปิ ดเผยในหม่บู ้านท้องท่ีนนั้ ๆ นอกจากนีค้ ณะกรรมการชดุ ดงั กล่าวยงั มีหน้าที่ ดาเนินการสอบสวนและวินิจฉยั คาร้องของบคุ คลท่ีอ้างวา่ มีสทิ ธิหรือได้ทาประโยชน์ในเขตป่ าสงวน แห่งชาติก่อนวนั ท่ีประกาศใช้บงั คบั และอาจพิจารณากาหนดคา่ ตอบแทนตามที่สมควร (มาตรา 10) 2. การควบคมุ และการรักษาป่ าสงวนแหง่ ชาติ โดยกฎหมายบญั ญัติห้ามมิให้ราษฎรเข้า ไปยดึ ถือครอบครอง ทาประโยชน์ หรืออยอู่ าศยั ในเขตป่ า รวมทงั้ ห้ามก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่ า ทา ไม้เก็บหาของป่ า หรือกระทาด้วยประการใดๆ อันเส่ือมเสียแก่สภาพป่ า อย่างไรก็ตามกฎหมาย ฉบบั นี ้กาหนดข้อยกเว้นไว้วา่ การทาไม้หรือเก็บหาของป่ า และการทาประโยชน์หรืออย่อู าศยั ต้อง ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตามกฎหมายว่าด้วยป่ าไม้ (มาตรา 14) รวมถึง การศึกษาหรือ วิจยั ทางวิชาการที่เป็ นประโยชน์ อธิบดีกรมป่ าไม้มีอานาจอนญุ าตเป็ นหนงั สือได้ (มาตรา 17) 3. การกาหนดโทษ หากมีการฝ่ าฝื นบทบญั ญตั ิตา่ งๆ จะมีโทษทางอาญา เช่น โทษจาคกุ โทษปรับ หรือทงั้ จาและปรับ (หมวด 3) 3 กอบกลุ รำยะนำคร, กฎหมายส่งิ แวดล้อม (กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พ์วิญญชู น จำกดั , 2550) หน้ำ 71. 34 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 4) พระราชบัญญัตสิ งวนและคุ้มครองสัตว์ป่ า พ.ศ. 2535 กฎหมายฉบับนี ้ เป็ นกฎหมายท่ีออกมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขพระราชบญั ญัติสงวนและ ค้มุ ครองสตั ว์ป่ า พ.ศ. 2503 โดยมีท่ีมาหรือเจตนารมณ์ท่ีสาคญั 3 ประการ กลา่ วคือ 1. กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ าท่ีใช้บังคับอยู่ใช้มาเป็ นระยะเวลา ยาวนาน จึงทาให้มาตรการต่างๆ ท่ีมีอยู่ในกฎหมายไม่สามารถทาให้การดาเนินการสงวนและ ค้มุ ครองสตั ว์ป่ าเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพและได้ผล 2. มีความจาเป็นเร่งรัดการขยายพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าและให้มีการสงวนและค้มุ ครองสตั ว์ป่ าควบคู่ กนั ไป 3. มีความตกลงระหว่างประเทศในการร่วมมือกันเพ่ือสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ าของ ท้องถิ่นอนั เป็นทรัพยากรท่ีสาคญั ของโลก เหตดุ งั กล่าวจึงมีการปรับปรุงแก้ไขโดยบญั ญตั ิกฎหมาย ขึน้ ใหม่ เพื่อให้มาตรการต่างๆ ท่ีใช้สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ าเป็ นไปอย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ รวมไปถึงเพ่ือให้สอดคล้องกบั ความตกลงระหวา่ งประเทศท่ีประเทศไทยได้ไปลงนาม ไว้ สาระสาคญั ของกฎหมายฉบบั นี ้จึงม่งุ ค้มุ ครองสัตว์ป่ าและถิ่นท่ีอย่อู าศยั ของสตั ว์ป่ าซ่ึง การค้มุ ครองสตั ว์ป่ า ใช้วิธีการกาหนดประเภทของสตั ว์ป่ าเป็ น 2 ประเภท คือ 1. สตั ว์ป่ าสงวน เป็ น สตั ว์ป่ าท่ีหายากตามบญั ชีท้ายกฎหมายฉบบั นีจ้ านวน 15 ชนิด (มาตรา 4) 2. สตั ว์ป่ าค้มุ ครอง หากเห็นว่าสตั ว์ป่ าชนิดใดสมควรเป็ นสัตว์ป่ าค้มุ ครอง ให้ดาเนินการออกกฎกระทรวงและได้รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสตั ว์ป่ าแห่งชาติ (มาตรา 6) เม่ือมีชนิดพนั ธ์ุ ของสตั ว์ป่ าทงั้ สองประเภทแล้ว กฎหมายกาหนดมาตรการต่างๆ ดงั นี ้ ห้ามล่าหรือพยายามล่า (มาตรา 16) ห้ามเพาะพนั ธ์ุ (มาตรา 18) ห้ามมีไว้ในครอบครอง (มาตรา 19) ห้ามค้า (มาตรา 20) ห้ามเก็บ ทาอนั ตราย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งรัง (มาตรา 21) ซง่ึ มาตรการตา่ งๆ เหล่านี ้มีข้อยกเว้น และต้องขออนญุ าตแล้วแตก่ รณี ในส่วนของการค้มุ ครองถ่ินที่อย่อู าศยั ของสตั ว์ป่ านนั้ มีการค้มุ ครองอยู่ 2 ประเภท คือ 1. การกาหนดเขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ า โดยคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรกาหนดให้บริเวณท่ีดินใดให้เป็ นท่ี อยอู่ าศยั ของสตั ว์ป่ าโดยปลอดภยั เพ่ือรักษาไว้ซงึ่ พนั ธ์ุสตั ว์ป่ า ให้ตราพระราชกฤษฎีกาและมีแผนท่ี แสดงแนวเขตแนบท้ายด้วย ซึ่งท่ีดินท่ีกาหนดให้เป็ นเขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ านี ้ต้องเป็ นที่ดินท่ีไม่มี กรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายท่ีดิน (มาตรา 33) 2. การกาหนดเขตห้ามล่า คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 35

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 สัตว์ป่ า โดยกาหนดชนิดพันธ์ุได้บนท่ีดินสถานท่ีราชการ ท่ีดินสาธารณประโยชน์ หรือท่ีดินที่ ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกนั โดยรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมมี อานาจออกประกาศในราชกิจจานเุ บกษา โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสงวนและ ค้มุ ครองสตั ว์ป่ า (มาตรา 42) ในการค้มุ ครองถ่ินท่ีอยอู่ าศยั ของสตั ว์ป่ าทงั้ สองประเภท ได้กาหนด มาตรการบงั คบั ต่าง เช่น ห้ามล่าสตั ว์ป่ า ไม่ว่าจะเป็ นสตั ว์ป่ าสงวนหรือสัตว์ป่ าค้มุ ครองหรือไม่ (มาตรา 36) ห้ามยึดถือที่ดินหรือครอบครองท่ีดินหรือปลูกหรือก่อสร้ างสิ่งหน่ึงสิ่งใดหรือตดั โค่น แผ้วถาง เผา หรือทาลายต้นไม้หรือพฤกษชาตอิ ่ืน (มาตรา 38) เป็นต้น กฎหมายฉบบั นีม้ ีบทกาหนดโทษ โดยหากมีการฝ่ าฝื นบทบญั ญัติตา่ งๆ ที่กล่าวมาข้างต้น จะมีโทษทางอาญา เชน่ โทษจาคกุ โทษปรับ หรือทงั้ จาและปรับ (หมวด 8) 5) พระราชบัญญัตสิ วนป่ า พ.ศ. 2535 กฎหมายฉบบั นี ้บญั ญตั ขิ นึ ้ ด้วยเหตผุ ล 5 ประการ คอื 1. รัฐบาลในสมยั นนั้ มีนโยบายในการสง่ เสริมให้มีการปลกู สร้างสวนป่ าเพื่อการค้าในท่ีดนิ ของรัฐและของเอกชนให้กว้างขวางยิ่งขนึ ้ แต่เน่ืองจากพระราชบญั ญัติป่ าไม้ 2484 ซึ่งใช้บงั คบั อยู่ มิได้มีบทบญั ญตั ริ องรับและค้มุ ครองสิทธิการทาไม้หวงห้ามท่ีได้จากการปลกู สร้างสวนป่ า ซงึ่ เป็ น อปุ สรรคในนโยบายดงั กลา่ ว 2. เพื่อเป็นการสนบั สนนุ และสง่ เสริมให้มีการปลกู สร้างสวนป่ าให้มากขนึ ้ 3. เพ่ือเป็นการสง่ เสริมอาชีพให้ประชาชนมีงานทาและผลิตไม้เพ่ือเป็นสินค้า 4. เพ่ือเพมิ่ พืน้ ท่ีทาไม้ให้มีปริมาณมากขนึ ้ 5. เพื่อให้ผ้ทู ี่จะทาการปลกู สร้างสวนป่ ามีความมน่ั ใจในสิทธิและประโยชน์ที่จะได้รับจาก ปลูกสร้ างสวนป่ าเช่นการได้รับยกเว้นค่าภาคหลวงและการไม่อยู่ภายใต้บังคบั กฎเกณฑ์บาง ประการตามที่กาหนดไว้ในพระราชบญั ญตั ปิ ่ าไม้ 2484 สาระสาคญั ของกฎหมายฉบบั นี ้ได้บัญญตั ิหลกั การท่ีสาคญั ดงั นี ้การขนึ ้ ทะเบียนที่ดนิ ให้ เป็ นสวนป่ า ต้องเป็ นท่ีดินประเภทหนึ่งประเภทใดใน 5 ประเภท (มาตรา 4) และต้องยื่นคาขอขึน้ ทะเบียนตอ่ นายทะเบียนตามระเบียบท่ีอธิบดีกาหนด (มาตรา 5) ผ้ทู าสวนป่ าต้องจดั ให้มีตราเพื่อ แสดงการเป็ นเจ้าของไม้ท่ีได้มาจากการทาสวนป่ าและจะนาตราออกใช้ได้เมื่อได้นาขึน้ ทะเบียน แล้ว (มาตรา 9) และสามารถตดั หรือโค่นไม้ท่ีได้จากการทาสวนป่ าได้โดยต้องแจ้งเป็ นหนงั สือ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 36

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 พนกั งานเจ้าหน้าที่ก่อน (มาตรา 11) ไม้ที่ได้มาจากการทาสวนป่ าไม่ต้องเสียคา่ ภาคหลวงและคา่ บารุงตามกฎหมายวา่ ด้วยป่ าไม้ (มาตรา 14) ให้รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดล้อมรักษาการตามพระราชบญั ญัตินีแ้ ละให้มีอานาจแต่งตงั้ พนักงานเจ้าหน้าท่ีกับออก กฎกระทรวงเพ่ือปฏิบตั กิ ารตามพระราชบญั ญตั นิ ี ้(มาตรา 28) หากพิจารณาจากเนือ้ หาของกฎหมายท่ีข้องกับทรัพยากรป่ าไม้ทงั้ 5 ฉบบั ก็จะพบว่า กฎหมายเหลา่ นีเ้ป็ นกฎหมายท่ีรองรับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติในแนวรัฐนิยม โดยรัฐจะเป็ น ผ้มู ีอานาจเหนือในทรัพยากรธรรมชาตแิ ละหน่วยงานรัฐจะมีบทบาทสาคญั ในการทาหน้าที่บริหาร จัดการ อนุมัติอนุญาตในการตดั สินใช้เพ่ือใช้ประโยชน์ รวมถึงการเป็ นผู้มีอานาจหน้าท่ีในทาง กฎหมายในการดแู ลทรัพยากรป่ าไม้อย่างสาคญั ดงั นนั้ แม้รัฐธรรมนญู 2540 จะบญั ญัติรับรอง สิทธิชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตไิ ว้แตก่ ลบั ไมป่ รากฏการแก้ไขบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องบงั เกิดขึน้ และโดยที่กฎหมายเหล่านีเ้ป็ นเครื่องมือของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งใช้ในการปฏิบตั ิหน้าที่เนื่องจากมีรายละเอียดว่าจะสามารถมีอานาจกระทาการในลักษณะ เช่นใด มีขอบเขตของอานาจอยเู่ พียงใด ขณะท่ีรัฐธรรมนญู ไม่ได้มีบทบญั ญตั ทิ ี่ชดั เจนหากเป็ นแต่ เพียงการรับรองสิทธิไว้ในลกั ษณะทว่ั ไป จงึ ทาให้เกิดความขดั แย้งเกิดขนึ ้ ในประเดน็ ดงั กล่าวนีโ้ ดย ท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐก็ยงั คงปฏิบตั หิ น้าที่ด้วยการอ้างองิ ถึงบทบญั ญตั ติ ามพระราชบญั ญตั ิหลายฉบบั ท่ีได้กลา่ วมา 3.1.2 การปรับตัวภายใต้ข้อจากัดทางกฎหมาย 1) กรมป่ าไม้ ถึงแม้ว่าในกฎหมายลาดบั พระราชบญั ญัติที่เก่ียวข้องกับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ตามที่ได้กล่าวมาจะไม่ได้มีการปรับปรุงเนือ้ หาให้สอดคล้องกบั บทบญั ญัติซึ่งรับรองสิทธิชมุ ชนไว้ ในรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างไรก็ตาม กระแสการเคล่ือนไหวเร่ืองสิทธิชุมชนส่งผลให้หน่วยงานท่ี เกี่ยวข้องโดยตรงโดยเฉพาะอย่างย่ิงกรมป่ าไม้เองก็ตระหนกั ถึงการเรียกร้องจากชมุ ชนอนั เป็ นผล มาจากความขดั แย้งท่ีเกิดขนึ ้ อยา่ งกว้างขวางในห้วงเวลาก่อนหน้า พ.ศ. 2540 ดงั ในทรรศนะของผู้ ปฏิบตั หิ น้าท่ีเองก็ได้ตระหนกั ถึงความเปล่ียนแปลงที่เกิดขนึ ้ นี4้ “จดุ กาเนดิ ป่ าชมุ ชนมนั จะมีผลกระทบเกิด 3 ประการ 4 ประลอง ดำรงค์ไทย ผ้อู ำนวยกำรสำนกั จดั กำรป่ ำชมุ ชน กรมป่ ำไม้, สมั ภำษณ์ 26 พฤศจิกำยน 2555. 37 คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 1.ประชาชนได้รับผลกระทบจากโครงการใหญ่ๆ ของรัฐบาลเช่น เขื่อน การขยาย พืน้ ท่ีอนรุ ักษ์ ไมว่ า่ จะเป็นทางอทุ ยานฯ เขตรักษาพนั ธ์สตั ว์ป่ า สร้างหลายสิ่งหลาย อย่างสร้างปัญหาให้ชุมชน ชุมชนก็มีการขบั เคล่ือนงานด้านป่ าชุมชนพฒั นาต่อ ยอด องค์ความรู้ อนั นีช้ มุ ชนได้รับผลกระทบโดยจากโครงการรัฐบาล 2.พวกชมุ ชนนกั สู้ กลมุ่ นีต้ อ่ ส้หู ลายแหง่ ตอ่ ส้จู นตวั เองโดนปองร้ายเสียชีวิต แม้แต่ พระเองตายเพราะปกป้ องพืน้ ท่ีป่ า 3.พวกที่ได้รับผลกระทบจากการทาลายป่ า” ทงั้ นีท้ างกรมป่ าไม้และหน่วยงานอ่ืนที่เก่ียวข้องก็ได้มีการจดั ทาโครงการให้ประชาชนเข้า มาร่วมปลกู ต้นไม้อย่บู ้าง แตท่ ่ามกลางกระแสการเรียกร้องในประเดน็ สิทธิชมุ ชนได้มีผลทาให้ เกิด การปรับตวั ของโครงการโดยมีการดาเนินการป่ าชุมชนเกิดขึน้ นับตงั้ แต่ พ.ศ. 2542 อันเป็ น ระยะเวลาภายหลงั จากที่รัฐธรรมนญู 2540 ได้ประกาศใช้มาชว่ งระยะเวลาสนั้ ๆ “กรมป่ าไม้ กรมพฒั นาที่ดิน ทาโครงการเรียกวา่ ป่ าไม้ใช้สอย สง่ เสริมราษฎรร่วม ปลกู ต้นไม้ในพืน้ ท่ีว่าง นอกเขตป่ าโดยกรมป่ าไม้ขณะนนั้ เราก็สนบั สนุนเฉพาะ กล้าไม้ และร่วมจดั กิจกรรม จริงๆ แล้วจะเห็นว่าเราทาตงั้ แต่ปี 2524-2525 ก็มี สว่ นร่วมกบั ประชาชนมาตงั้ นานแล้ว แตว่ ่ายงั ไม่ได้ทาให้เป็ นกรอบ เป็ นเรื่องเป็ น ราว พอปี 2530 เราก็มาตงั้ เป็ นโครงการพัฒนาป่ าชุมชน ตงั้ ไปตามความเชื่อ วฒั นธรรมสุดท้ายเราก็ต้องคอยเป็ นเจ้าหน้าท่ีที่คอยสนบั สนุนส่งเสริมให้ชมุ ชน ที่นีจ้ าก 2530 – 2542 เรายงั ไมต่ งั้ ป่ าชมุ ชนที่ถกู ต้อง พอปี 2542 เราก็มองว่ามนั น่าจะทาอะไรที่เป็ นเร่ืองเป็ นราว ชุมชนที่เขาอยู่ ประชาชนท่ีอยู่ในป่ ามนั น่าจะ ถกู ต้อง ก็โดยพนกั งานเจ้าหน้าท่ีร่วมกบั ราษฎรเป็ นผ้รู ่วมดาเนินงานเรื่องป่ าชมุ ชน การบริหารในสว่ นของป่ าไม้เจ้าหน้าที่ป่ าไม้ก็เข้าไปทากบั ราษฎร”5 กรมป่ าไม้ได้เร่ิมจดั ทาโครงการป่ าชมุ ชน และปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานให้สานัก จดั การป่ าชมุ ชนมีขนาดใหญ่ขึน้ การดาเนินโครงการป่ าชมุ ชนของกรมป่ าไม้ได้อาศยั อานาจจาก กฎหมาย 2 ฉบบั คือ พ.ร.บ. ป่ าไม้ 24846 และ พ.ร.บ. ป่ าสงวนแห่งชาติ 25077 ซ่ึงทงั้ สองส่วน 5 ประลอง ดำรงค์ไทย ผ้อู ำนวยกำรสำนกั จดั กำรป่ ำชมุ ชน กรมป่ ำไม้, สมั ภำษณ์ 26 พฤศจิกำยน 2555. 38 6 พ.ร.บ. ป่ ำไม้ 2484 มำตรำ 17 บทบญั ญตั ใิ นสว่ นนี ้มใิ ห้ใช้บงั คบั ในกรณีดงั ตอ่ ไปนี ้ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ดงั กลา่ วท่ีให้ยกเว้นการบงั คบั ในกรณีท่ีเป็ นการดาเนินการของพนกั งานเจ้าหน้าท่ี กรมป่ าไม้ได้ใช้ อานาจสว่ นนีใ้ นการดาเนนิ โครงการป่ าชมุ ชนนบั ตงั้ แตเ่ ร่ิมต้นโครงการเมื่อ พ.ศ. 2542 และสืบเนื่อง ตอ่ มาจวบจนกระทง่ั ในปัจจบุ นั โครงการป่ าชุมชนของกรมป่ าไม้นนั้ มีกระบวนการดาเนินงานอยู่ 4 ขนั้ ตอน คือ 1. การ ส่งเสริมการดาเนินการป่ าชมุ ชน โดยการประชาสมั พนั ธ์ ให้ความรู้ สารวจพืน้ ท่ี 2. การจดั ตงั้ ป่ า ชุมชน โดยการจดั ทาเอกสารเพ่ือเสนออธิบดีกรมป่ าไม้อนุมตั ิ 3. การจดั การและการพฒั นา โดย ดาเนินการตามกิจกรรมหลกั คือค้มุ ครองและป้ องกนั เสริมพรรณไม้ และมีการบารุงรักษา 4. การ สนบั สนนุ การจดั การป่ าชมุ ชน โดยให้การอดุ หนนุ งบประมาณตอ่ พืน้ ท่ี ไมใ่ ชต่ อ่ ปี ทกุ ปี 8 การอนมุ ตั โิ ครงการป่ าชมุ ชนครัง้ แรกเกิดขนึ ้ เม่ือวนั ท่ี 21 ธันวาคม พ.ศ. 2542 พร้อมกนั 3 พืน้ ที่9 คอื 1. ป่ าชุมชนบ้านเขาราวเทียนทอง บ้านเขาราวเทียนทอง หมู่ที่ 10 ตาบลเนินขาม กิ่ง อาเภอเนินขาม จงั หวดั ชยั นาท เนือ้ ท่ีจานวน 993 ไร่ 2. ป่ าชมุ ชนบ้านปางขนนุ หม่ทู ี่ 6 ตาบลนาบอ่ คา อาเภอเมือง จงั หวดั กาแพงเพชร เนือ้ ที่ จานวน 500 ไร่ 3. ป่ าชมุ ชนบ้านเขาวงั เย่ียม บ้านเขาวงั เยี่ยม หม่ทู ี่ 9 ตาบลนาบอ่ คา อาเภอเมือง จงั หวดั กาแพงเพชร เนือ้ ท่ีจานวน 165 ไร่ (1) พนกั งำนเจ้ำหน้ำท่ีจดั กระทำไปเพื่อประโยชน์ในกำรบำรุงป่ ำ กำรค้นคว้ำหรือกำรทดลองในทำง วิชำกำร (2) ผ้เู ก็บหำเศษไม้ปลำยไม้ตำยแห้งทลี่ ้มขอนนอนไพร อนั มลี กั ษณะเป็ นไม้ฟืน ซง่ึ มิใช่ไม้สกั หรือไม้หวง ห้ำม ประเภท ข. ไปสำหรับใช้สอยในบ้ำนเรือนแหง่ ตนหรือประกอบกิจของตน 7 พ.ร.บ. ป่ ำสงวนแหง่ ชำติ 2507 มำตรำ 19 เพอื่ ประโยชน์ในกำรควบคมุ ดแู ล รักษำหรือบำรุงป่ ำสงวนแหง่ ชำติ อธิบดีมีอำนำจสงั่ เป็ น หนงั สอื ให้พนกั งำนเจ้ำหน้ำที่หรือเจ้ำหน้ำท่ขี องกรมป่ ำไม้ กระทำกำรอย่ำงหน่งึ อย่ำงใดในเขตป่ ำสงวนแหง่ ชำติ ได้ 8 เลศิ จนั ทนภำพ, “กำรจดั กำรและพฒั นำป่ ำชมุ ชนเพอื่ ควำมยง่ั ยนื ” [ออนไลน์], 7 กรกฎำคม พ.ศ. 2553, แหลง่ ท่มี ำ http://www.forest.go.th/community_forest/semina.asp 9เลศิ จนั ทนภำพ, เพ่งิ อ้ำง. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 39

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 จนในปัจจบุ นั วนั ท่ี 31 สิงหาคม 2556 กรมป่ าไม้มีผลการอนมุ ตั โิ ครงการป่ าชมุ ชน รวมทงั้ ประเทศ 8,782 หมบู่ ้าน 8,209 โครงการ รวมเนือ้ ท่ีทงั ้ หมด 3,524,960 ไร่10 ดงั ตารางข้างลา่ งนี ้ ตารางท่ี 3.1 แสดงผลการอนุมัตโิ ครงการป่ าชุมชน ปี พ.ศ. 2543 – ปัจจุบนั ผลการอนมุ ัติโครงการปา่ ชมุ ชน ปี พ.ศ. 2543 - ปจั จบุ นั ขอ้ มูล ณ วนั ที่31 ส.ค. 56 ภาค จานวน เน้ือที่ (ปา่ สงวน) เน้ือที่ (ปา่ พ.ร.บ.) เนื้อท่ี (อื่น ๆ) รวมเนอื้ ท่ี หมู่บา้ น โครงการ ไร่ งาน ตร.วา ไร่ งาน ตร.วา ไร่ งาน ตร.วา ไร่ งาน ตร.วา ภาคเหนือ 2,723 2,654 1,645,310 2 35 186,374 0 105 95 2 33 1,831,780 1 73 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,276 3,849 673,109 3 8 441,186 2 26 0 0 0 1,114,296 1 34 ภาคกลาง 1,043 962 303,417 3 54 112,574 2 63 1,875 1 20 417,867 3 37 ภาคใต้ 740 744 109,184 3 16 50,991 0 95 839 1 55 161,015 1 66 รวมทั้งประเทศ 8,782 8,209 2,731,023 0 13 791,126 2 89 2,810 1 8 3,524,960 0 10 ในสว่ นของการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานให้สานกั จดั การป่ าชมุ ชนมีขนาดใหญ่ขนึ ้ โดยมีการตัง้ สานักจัดการป่ าชุมชน ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป่ าไม้ กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2551 โดยมีอานาจหน้าท่ี 5 ประการ คือ ประการแรก ศึกษาวิจัยเพ่ือกาหนดแผนงานและมาตรการในการจัดการป่ าชุมชนป่ าในเมืองและระบบวน เกษตร ประการที่สอง ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยป่ าชุมชนและกฎหมายอื่นท่ี เก่ียวข้อง ประการท่ีสาม ดาเนนิ การสง่ เสริมและสนบั สนนุ ให้ชมุ ชนองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินองค์กรเอกชน และสถาบนั ตา่ งๆ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื น้ ฟูและบริหารจดั การป่ าชมุ ชนป่ าในเมืองและระบบ วนเกษตร ประการที่ส่ี ดาเนินการและประสานงานเกี่ยวกบั การพฒั นางานด้านวนศาสตร์ชุมชนกบั หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ประการท่ีห้า ปฏิบตั ิงานร่วมกบั หรือสนบั สนนุ การปฏิบตั ิงานของหน่วยงาน อ่ืนที่เกี่ยวข้องหรือท่ีได้รับมอบหมาย 10 สำนกั จดั กำรป่ ำชุมชน, ผลการอนุมัติโครงการป่ าชุมชน ปี พ.ศ. 2543 – ปัจจุบัน, [ออนไลน์] 2 ตลุ ำคม พ.ศ. 2556 แหลง่ ท่ีมำ http://www.forest.go.th/community_forest/index.php?lang=th คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 40

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 แม้จะมีการดาเนินการโครงการป่ าชมุ ชนโดยกรมป่ าไม้มาอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงในด้านหนึ่ง อาจสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตวั ของหนว่ ยงานราชการภายใต้กระแสการผลกั ดนั เร่ืองสิทธิชุมชนที่ดาเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตงั้ แต่ทศวรรษ 2530 มากระทั่งทศวรรษ 2540 เน่ืองจากการดาเนินโครงการป่ าชุมชนท่ีได้จัดทาอยู่เป็ นโครงการภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับการ จดั การทรัพยากรท่ีอยภู่ ายใต้แนวคดิ แบบเดิม จงึ เป็ นข้อจากดั อย่างมากตอ่ แนวทางในการจดั การ ป่ าชุมชนที่ได้บงั เกิดขึน้ อีกทงั้ มีความแตกต่างไปจากแนวทางท่ีถูกผลกั ดนั จากขบวนการสิทธิ ชมุ ชนซง่ึ อาจสรุปได้ในประเดน็ สาคญั ดงั นี ้ ประการแรก อานาจในการพิจารณาอนญุ าตยงั คงเป็ นของหนว่ ยงานรัฐคือกรมป่ าไม้และ อีกทงั้ เป็ นการดาเนินโครงการท่ีมีระยะเวลาจากดั เน่ืองจากการอนุมตั ิของทางกรมป่ าไม้จะเป็ น การอนมุ ตั ิคราวละ 5 ปี และภายหลงั จากนนั้ ก็จะต้องมีการขยายระยะเวลาการอนญุ าต ซงึ่ ทาให้ การดาเนินโครงการอาจไม่มีความตอ่ เน่ืองได้ แม้ว่าส่วนมากในทางปฏิบตั ิแล้วพืน้ ท่ีใดท่ีได้มีการ ดาเนนิ โครงการไปก็จะได้รับการอนญุ าตตอ่ เนื่องเสมอ11 ประการที่สอง อานาจในการใช้ประโยชน์ในพืน้ ท่ีของป่ าชมุ ชนตามโครงการของกรมป่ าไม้ ยงั มีขอบเขตที่จากดั อยา่ งมากโดยชมุ ชนไม่สามารถตดั สินใจในการใช้ประโยชน์ได้แตอ่ ย่างใด ซึ่ง ข้อจากดั ดงั กลา่ วนีเ้ป็ นไปตามกรอบของกฎหมายท่ีวางไว้และมีผลทาให้การใช้ ประโยชน์ในหลาย ลกั ษณะท่ีแม้จะเป็ นการกระทาที่ไม่ส่งผลกระทบตอ่ พืน้ ที่ป่ าก็ไม่อาจกระทาได้ เช่น การเก็บเห็ด ตามฤดกู าล ประการที่สาม งบประมาณท่ีสนบั สนนุ ตอ่ การดาเนินโครงการป่ าชมุ ชนของกรมป่ าไม้เป็ น การสนบั สนุนระยะสนั้ ๆ และไม่มีหลกั ประกันว่าจะให้การสนบั สนนุ ในระยะยาวแตอ่ ย่างใด เมื่อ ประกอบกบั ข้อจากัดในการตดั สินใจท่ีจะใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชน จึงทาให้การจดั ตงั้ ป่ าชุมชน ภายใต้อานาจของหน่วยงานรัฐอาจไม่มีความยงั่ ยืนเน่ืองจากเป็ นโครงการที่ไม่ได้ตอบสนองต่อ ความต้องการของประชาชนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 2) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่ าและพนั ธ์ุพชื สาหรับกรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่ าและพนั ธ์ุพืช การปรับตวั ภายใต้กฎหมายที่เป็ นอย่จู ะมี ข้อจากัดมากกว่ากรมป่ าไม้ เนื่องจากในพืน้ ที่ท่ีกรมอุทยานฯ เป็ นผ้มู ีอานาจในการดแู ลนนั้ ตาม กรอบของกฎหมาย (พ.ร.บ. อทุ ยานแหง่ ชาตฯิ และ พ.ร.บ. สงวนและค้มุ ครองฯ) จะเน้นอานาจใน 11 ประลอง ดำรงค์ไทย ผ้อู ำนวยกำรสำนกั จดั กำรป่ ำชมุ ชน กรมป่ ำไม้, สมั ภำษณ์ 26 พฤศจิกำยน 2555. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 41

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 การดแู ลจดั การโดยหนว่ ยงานรัฐเป็ นหลกั และการใช้ประโยชน์ในพืน้ ที่อทุ ยานก็จะถกู จากดั ไว้โดย บทบญั ญัติของกฎหมายเป็ นอย่างมาก แม้ในทางปฏิบตั ิเจ้าหน้าที่รัฐอาจอนโุ ลมให้การเข้าไปใช้ ประโยชน์บางอย่างในพืน้ ที่อทุ ยานในบางแห่งสามารถกระทาได้ แตก่ ็ต้องอย่ภู ายใต้ความเห็นว่า การกระทาดงั กลา่ วไมส่ ง่ ผลกระทบอยา่ งสาคญั ตอ่ ความสมบรู ณ์ของพืน้ ท่ีอทุ ยานแหง่ ชาติ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็ นในสว่ นที่กฎหมายยงั คงมีความเข้มงวดอย่อู ยา่ งมากและไมไ่ ด้มี การแก้ไขให้สอดคล้องกบั บทบญั ญัติในเร่ืองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แตจ่ ะพบวา่ เจ้าหน้าท่ีใน ระดบั ปฏิบตั กิ ารที่อย่ใู นท้องถิ่นซ่ึงต้องใกล้ชิดและปฏิบตั ิงานกบั ประชาชนในท้องถิ่นก็ตระหนกั ถึง การเคลื่อนไหวในประเดน็ เรื่องสทิ ธิชมุ ชน รวมทงั้ จานวนไมน่ ้อยก็ได้มีการยอมรับเรื่องสิทธิชมุ ชนว่า เป็ นแนวทางหนึ่งในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติท่ีสามารถเกิดขนึ ้ ได้ เน่ืองมาจากข้อจากดั ของ หนว่ ยงานรัฐและรวมทงั้ ชมุ ชนหลายแหง่ ก็มีศกั ยภาพในการดแู ลรักษาทรัพยากรป่ าไม้ได้เป็ นอย่าง ด1ี 2 แตท่ งั้ นีร้ ะดบั ของการยอมรับสิทธิของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรยงั คงเป็ นประเด็นที่เป็ นข้อ ถกเถียงวา่ ควรจะมีขอบเขตอยมู่ ากน้อยเพียงใด เฉพาะอย่างย่ิงในเขตป่ าอนรุ ักษ์ซ่ึงเป็ นข้อถกเถียง ท่ีสาคญั มาอยา่ งตอ่ เน่ือง 3.2 หน่วยงานรัฐอ่ืนๆ 3.2.1 องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ แม้กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกบั การส่งเสริมบทบาทชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตจิ ะ ยงั ไมป่ รากฏขนึ ้ ในกฎหมายในระดบั พระราชบญั ญตั ดิ งั ท่ีได้กลา่ วมา ซ่ึงมีผลอยา่ งสาคญั ตอ่ การทา ให้สิทธิชุมชนยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จะพบว่ายังมีกฎหมายอีก จานวนหนงึ่ ซง่ึ เก่ียวข้องกบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นท่ีมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมและสนบั สนนุ บทบาทชุมชน อันจะเป็ นอีกช่องทางหน่ึงหรือโอกาสท่ีสามารถนามาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการ จดั การทรัพยากรป่ าไม้โดยชุมชนต่อไปดงั จะปรากฏอยู่ในพระราชบญั ญตั ิที่เกี่ยวกับการปกครอง สว่ นท้องถ่ิน องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้มากขนึ ้ หลงั จาก การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 โดยเป็ นองค์กรประเภทหน่ึงท่ีมีความสาคัญต่อการจัดการ 12 อโนทยั เพยี รคงชล หวั หน้ำอทุ ยำนแหง่ ชำติแมต่ ะไคร้ สมั ภำษณ์ 30 มกรำคม 2556. 42 คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ทรัพยากรธรรมชาต1ิ 3 เพราะเป็นรัฐธรรมนญู ท่ีมีบทบญั ญตั อิ ยา่ งชดั เจนกาหนดให้รัฐส่วนกลางต้อง กระจายอานาจต่างๆ ลงสู่ท้องถ่ิน ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องการบริหารงานบุคคล การเงินการคลัง โครงสร้างองค์กรท่ีมาจากประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงเร่ืองอานาจหน้าท่ีในการจดั การ บารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมอีกด้วย รัฐธรรมนญู 2550 ก็ยงั คงบญั ญตั ิ เร่ื อ งขอ งก ารก ระ จาย อาน าจ หน้ า ท่ี ข องก าร จัดก ารท รั พ ยาก รธ รรม ชาติแล ะส่ิง แว ดล้ อ มไ ว้ เช่นเดียวกัน แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีข้อแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ 2550 เพิ่มเติมหลักการการมีส่วนร่วมของชุมชนท้ องถิ่นไว้ ซึ่งเห็นได้ว่าการตรา กฎหมายกาหนดอานาจหน้ าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้ องถ่ินในเรื่ องการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้ อมชุมชนนัน้ ต้ องให้ ความสาคัญต่อชุมชนท้ องถ่ินด้ วย นอกเหนือจากประชาชนในฐานะส่วนตวั ดงั ปรากฏในรัฐธรรมนญู 2550 หมวดที่ 14 ว่าด้วยการ ปกครองสว่ นท้องถิ่น ดงั นี ้ “มาตรา 290 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมมีอานาจหน้าท่ีส่งเสริมและรักษา คณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ กฎหมายตามวรรคหนง่ึ อยา่ งน้อยต้องมีสาระสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) การจดั การการบารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อมที่อยใู่ นเขตพืน้ ที่ (2) การเข้าไปมีสว่ นร่วมในการบารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ อย่นู อกเขตพืน้ ท่ีเฉพาะในกรณีที่อาจมีผลกระทบตอ่ การดารงชีวิตของประชาชน ในพืน้ ที่ของตน (3) การมีส่วนร่วมในการพิจารณาเพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจกรรมใดนอกเขตพืน้ ที่ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมหรือสุขภาพอนามยั ของประชาชนใน พืน้ ท่ี (4) การมีสว่ นร่วมของชมุ ชนท้องถิ่น” หากพิจารณารัฐธรรมนูญหมวด 14 ว่าด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่น ทงั้ 10 มาตราจะ พบว่ารัฐธรรมนูญกาหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอานาจหน้าที่ 2 เรื่องที่สาคญั คือ การ 13 บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ, อ้ำงแล้ว. 43 คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในท้องถ่ิน และการบารุงรักษาศิลปะ จารีต ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยเห็นว่าเป็ นเรื่องท่ีใกล้ชิดองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นมากกว่ารัฐ สว่ นกลางจงึ สามารถแก้ไขปัญหาหรือสามารถพฒั นาได้ดีกวา่ รัฐธรรมนญู จงึ กาหนดไว้เป็ นมาตรา เฉพาะอยา่ งชดั เจนในแตล่ ะเร่ือง นอกจากนีย้ งั มีความเปล่ียนแปลงเก่ียวกับงบประมาณขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินท่ี ได้รับเพิ่มมากขึน้ เป็ นลาดบั นบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2542 เป็ นต้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขยายตวั ของ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินได้เป็นอยา่ งดี ตารางท่ี 3.2 แสดงสดั ส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ต่อรายได้รัฐบาล14 พ.ศ. สดั ส่วน (ร้อยละ) 2542 13.79 2543 13.13 2544 20.68 2545 21.88 2546 22.19 2547 22.75 2548 23.50 2549 24.05 2550 25.17 2551 25.20 2552 25.28 14 ที่มำ : คณะกรรมกำรกำรกระจำยอำนำจให้แก่องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น [ออนไลน์] 1 ก.ย. 2556 แหลง่ ท่ีมา: http://www.dloc.go.th/web/wp-content/uploads/2013/06/1km_001.pdf คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 44

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 พ.ศ. สดั ส่วน (ร้อยละ) 2553 25.26 2554 26.14 ทงั้ นี ้ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกบั การปกครองส่วนท้องถิ่นและมีความสมั พนั ธ์กับ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมนนั้ มี 2 ฉบบั ที่สาคญั คือ พระราชบญั ญตั ิกาหนด แผนและขัน้ ตอนการกระจายอานาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น พ .ศ. 2542 กับ พระราชบญั ญตั สิ ภาตาบลและองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล พ.ศ. 2537 ซึง่ องค์การบริหารส่วนตาบล เป็ นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีมีบทบาทสาคญั ในด้านการจัดการทรัพยากรป่ าไม้มากที่สุด เน่ืองจากพืน้ ที่ป่ าซ่ึงอยู่ภายใต้การจดั การของชุมชนส่วนใหญ่อย่ใู นเขตการบริหารขององค์การ บริหารสว่ นตาบลมากกวา่ เขตการบริหารขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นประเภทอื่นๆ 1) พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขัน้ ตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์ก ร ปกครองส่วนท้องถ่นิ พ.ศ. 2542 กฎหมายฉบบั นีไ้ ด้กาหนดอานาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมไว้ในหมวด 2 ว่าด้วย การกาหนดอานาจหน้าที่ในการจดั การระบบบริการสาธารณะ และให้อานาจหน้าที่ในเร่ืองการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาล เมือง พทั ยา องค์การบริหารส่วนตาบล ในมาตรา 16 (24) และอานาจหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วน จงั หวดั ในมาตรา 17 (5) “มาตรา16 ให้เทศบาลเมืองพัทยาและองค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจและ หน้าที่ในการจดั ระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ิน ของตนเองดงั นี ้ … (24) การจัดการการบารุงรักษาและการใช้ ประโยชน์จากป่ าไม้ ท่ีดิน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม” คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 45

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 “มาตรา 17 ภายใต้บงั คบั มาตรา 16 ให้องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั มีอานาจและ หน้าท่ีในการจดั ระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ินของ ตนเอง ดงั นี ้ … (5) การคุ้มครองดูแลและบารุงรักษาป่ าไม้ท่ีดินทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม” ภายหลงั กฎหมายบงั คบั ใช้ คณะกรรมการการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินได้ออกประกาศเรื่องแผนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น พ.ศ. 254315 ซ่งึ การบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเป็ น 1 ใน 6 ด้านของการถ่ายโอนภารกิจ ทงั้ หมด และยงั ครอบคลมุ ภารกิจ 3 เรื่อง คือ 1. การค้มุ ครองดแู ลบารุงรักษาใช้ประโยชน์จาก ป่ า ไม้ ท่ีดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. การจดั การส่ิงแวดล้อมและมลพิษ 3. การดแู ล รักษาท่ีสาธารณะ นอกจากนี ้ คณะกรรมการฯ ได้ออกประกาศแผนปฏิบัติการการกาหนดขัน้ ตอนการ กระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซึ่งเป็ นรายละเอียดของการถ่ายโอนในราย ภารกิจ ในสว่ นของการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ มีภารกิจที่ถ่ายโอน 2 งาน คือ งานพฒั นาป่ าชมุ ชน และงานควบคมุ ไฟป่ า16 งานพฒั นาป่ าชมุ ชน มีกรมป่ าไม้เป็ นส่วนราชการที่ดแู ลกากบั อยู่ โดยมี ขนั้ ตอนและวิธีการถ่ายโอน ภารกิจ 8 ขนั้ ตอนดงั นีค้ ือ 1. มอบอานาจการบริหารจดั การ การอนรุ ักษ์ ฟื น้ ฟู บารุงรักษา ดแู ลและการใช้ประโยชน์ ตามระเบียบกฎหมายบญั ญตั ิ 2. ประชาสมั พนั ธ์ 3. สารวจข้อมลู และความพร้อมขององค์การบริหารส่วนตาบลในการดาเนินงานด้านป่ า ชมุ ชน 4. เตรียมความพร้อมให้แกอ่ งค์การบริหารสว่ นตาบล ในด้านการพฒั นาป่ าชมุ ชนและการ กระจายอานาจ 5. สนบั สนนุ ให้มีสว่ นร่วมดาเนินกิจกรรมด้านการพฒั นาป่ าชมุ ชนทกุ กิจกรรม 15 รำชกิจจำนเุ บกษำ เลม่ 118 ตอนพิเศษ 40 วนั ท่ี 18 มกรำคม 2544. 46 16 รำชกิจจำนเุ บกษำ เลม่ 119 ตอนพิเศษ 23 ง หน้ำ 184-185 วนั ที่ 13 มีนำคม 2545. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 6. สนับสนุนให้องค์การบริหารส่วนตาบลจัดทาและบรรจุงานพัฒนาป่ าชุมชนใน แผนพฒั นาตาบล 7. สนบั สนุนด้านวิชาการทางด้านป่ าไม้เฉพาะให้แก่การดาเนินงานขององค์กรปกครอง สว่ นท้องถิ่น 8. ถ่ายโอนภารกิจให้แกอ่ งคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน งานควบคมุ ไฟป่ า มีกรมป่ าไม้เป็ นส่วนราชการท่ีดแู ลกากบั อยู่ โดยมีขนั้ ตอนและวิธีการ ถ่ายโอน ภารกิจ 9 ขนั้ ตอนดงั นีค้ อื 1. มอบอานาจการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ การฟื ้นฟู บารุงดูแลรักษา และการใช้ ประโยชน์ตามระเบยี บกฎหมายบญั ญตั ิ 2. ประชาสมั พนั ธ์ 3. สารวจข้อมลู และความพร้อมของ องค์การบริหารส่วนตาบลในการดาเนินงานด้านการ ควบคมุ ไฟป่ า 4. เตรียมความพร้อมให้แก่ องค์การบริหารสว่ นตาบลในด้านการควบคมุ ไฟป่ า 5. ร่วมกบั องค์การบริหารสว่ นตาบลกาหนดขอบเขตพืน้ ที่รับผิดชอบดแู ลควบคมุ ไฟป่ า 6. สนบั สนนุ ให้องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลดาเนินการป้ องกนั ไฟป่ า และดบั ไฟป่ า ตลอดจน บรรจงุ านควบคมุ ไฟป่ าในแผนพฒั นาตาบล 7. ฝึ กอบรมอาสาสมคั รป้ องกนั ไฟป่ าให้องค์การบริหารส่วนตาบลทงั้ ในระดบั ตาบลและ หมบู่ ้านท่ีมีพืน้ ท่ีตดิ กบั ป่ า 8. ถา่ ยโอนภารกิจให้แกอ่ งคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน 9. สนบั สนนุ ด้านวิชาการไฟป่ าให้แกก่ ารดาเนนิ งานขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน ทงั้ สองภารกิจดงั กลา่ ว มีขอบเขตของการถ่ายโอน ที่กาหนดไว้ในแผนปฏิบตั กิ ารฯ คอื 1. เขตพืน้ ท่ีที่เป็ นป่ าสงวนแห่งชาติยกเว้นพืน้ ที่อนุรักษ์ ได้แก่ เขตอุทยานแห่งชาติเขต รักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ า และพืน้ ที่ต้นนา้ ลาธารท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินดาเนินการอย่แู ล้วให้ถ่าย โอนได้ทนั ที โดยมีเง่ือนไขวา่ พืน้ ที่ป่ าดงั กลา่ วต้องอยตู่ ดิ กบั ชมุ ชนหรือชมุ ชนได้ดแู ลป่ าอยแู่ ล้ว คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 47

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 2. ป่ าชมุ ชน การป้ องกนั ไฟป่ าและควบคมุ ไฟป่ า ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีสว่ นร่วม ในการกาหนดแผนดาเนินการและสนบั สนนุ ด้านงบประมาณ 3. ป่ าชมุ ชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมดแู ลป่ าไม้และวางแผนใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชนใน ท้องถิ่นของตน แม้กระนนั้ ภารกิจที่ถ่ายโอนดงั กล่าวทงั้ 2 กลุ่มงาน มิได้มีการถ่ายโอนทงั้ บุคลากรและ งบประมาณมาด้วย งบประมาณยงั คงอย่ทู ี่หน่วยงานของรัฐเหมือนเดมิ เช่น กรมอทุ ยานฯ17 การ ดาเนินการส่วนใหญ่เป็ นไปในรูปแบบร่วมกับราชการส่วนกลางดาเนินการ โดยมีเจ้าหน้าท่ีช่วย สนับสนุนงานทางวิชาการเท่านัน้ และอาจจะมีการจัดฝึ กอบรมให้ ซึ่งเท่ากับว่าเป็ นการขยาย ภาระหน้าที่ให้องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินเพิ่มมากขนึ ้ นอกจากนีใ้ นแผนปฏิบตั ิการฯ ยงั กาหนดไว้ในหมายเหตวุ ่าให้แก้ไขกฎหมายวา่ ด้วยป่ าไม้ และกฎหมายว่าด้วยป่ าสงวนแห่งชาติ เพ่ือกาหนดให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและ ข้าราชการหรือพนกั งานท้องถ่ินเป็ นพนกั งานเจ้าหน้าที่ตามภารกิจที่ถ่ายโอน ซ่ึงต่อมาใน พ .ศ. 2547 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ได้ออกประกาศ 2 ฉบบั คือ ประกาศกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เรื่อง แต่งตงั้ พนักงานเจ้าหน้าท่ีตามพระราชบญั ญัติป่ าไม้ พ.ศ. 2484 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตงั้ พนักงาน เจ้าหน้าท่ีตามพระราชบญั ญตั ิป่ าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 ซึง่ กาหนดไว้สอดคล้องกนั วา่ ให้นายก องค์การบริหารสว่ นตาบล รองนายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล ปลดั องค์การบริหารสว่ นตาบล เป็ น พนกั งานเจ้าหน้าท่ีตามกฎหมาย มีอานาจหน้าท่ีในการป้ องกนั จบั กมุ ปราบปรามผ้กู ระทาผิดและ ยึดของกลางตามกฎหมายภายในเขตท้องท่ีรับผิดชอบ แม้บคุ ลากรในองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น แม้จะได้รับแต่งตัง้ ให้เป็ นเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่ าไม้และพระราชบัญญัติป่ าสงวน แห่งชาติ แตอ่ านาจหน้าที่ของบคุ ลากรเหลา่ นีก้ ็ยงั ดาเนินไปในลกั ษณะเดียวกนั กบั เจ้าหน้าท่ีของ กรมป่ าไม้ ซึ่งเป็ นการเน้นไปในด้านของการบงั คบั ใช้กฎหมายต่อผ้ทู ่ีฝ่ าฝื นกฎหมายเป็ นหลกั โดย ยังไม่ได้เปิ ดโอกาสให้กับชุมชนหรือท้องถ่ินในการเข้าไปร่วมดูแล จัดการทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้แนวคดิ สทิ ธิชมุ ชนแตอ่ ยา่ งใด 17 ม่ิงสรรพ์ ขำวสอำด ชยั พงษ์ สำเนียง และกุลดำ เพ็ชรวรุณ, กรณีศึกษา การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ (เชียงใหม:่ มลู นิธิสถำบนั ศกึ ษำนโยบำยสำธำรณะ, 2555) หน้ำ 87. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 48

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 2) พระราชบัญญัตสิ ภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 พระราชบญั ญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 นนั้ มีการแก้ไข 6 ครัง้ เพื่อให้เป็ นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และกฎหมายฉบบั นีไ้ ด้กาหนด อานาจหน้าท่ีที่เก่ียวกบั การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขององค์การบริหารส่วน ตาบลไว้ในมาตรา 67 (7) “มาตรา 67 ภายใต้บงั คบั แห่งกฎหมายองค์การบริหารส่วนตาบลมีหน้าท่ีต้องทา ในเขตองค์การบริหารสว่ นตาบลดงั ตอ่ ไปนี ้ ... (7) ค้มุ ครองดแู ลและบารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม” และในกฎหมายก็ได้ให้อานาจกบั องค์การบริหารส่วนตาบลในการออกข้อบญั ญัตเิ พื่อใช้ บงั คบั ในท้องที่ของตวั เองได้ “มาตรา 71 องค์การบริหารส่วนตาบลอาจออกข้อบญั ญัติองค์การบริหารส่วน ตาบลเพื่อใช้บังคบั ในเขตองค์การบริหารส่วนตาบลได้เท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้งต่อ กฎหมายเพ่ือปฏิบตั กิ ารให้เป็นไปตามอานาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตาบล หรือเม่ือมีกฎหมายบญั ญัติให้องค์การบริหารส่วนตาบลออกข้อบญั ญัตหิ รือให้มี อานาจออกข้อบญั ญตั ใิ นการนีจ้ ะกาหนดคา่ ธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บและกาหนด โทษปรับผู้ฝ่ าฝื นด้วยก็ได้ แต่มิให้กาหนดโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท เว้นแตจ่ ะมี กฎหมายบญั ญตั ไิ ว้เป็นอยา่ งอ่ืน” อยา่ งไรก็ตาม ในการปฏิบตั ิหน้าที่ขององค์การบริหารสว่ นตาบลก็มิได้สามารถดาเนินการ ได้ในทกุ ด้าน หากยงั คงต้องอยภู่ ายใต้ข้อจากดั ดงั นี ้ ประการแรก การปฏิบตั กิ าร การดาเนินการตามอานาจหน้าที่ องค์การบริหารส่วนตาบล อาจจะออกข้อบญั ญัตอิ งค์การบริหารส่วนตาบลเพื่อใช้บงั คบั ในเขตองค์การบริหารส่วนตาบลได้ เท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย แต่ในส่วนของการจดั การทรัพยากรป่ าไม้นัน้ มีกฎหมายซึ่งมี เนือ้ หาเกี่ยวข้องอยู่หลายฉบบั เช่น กฎหมายว่าด้วยป่ าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่ าสงวนแห่งชาติ กฎหมายวา่ ด้วยอทุ ยานแหง่ ชาติ เป็นต้น คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 49

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 จากการศกึ ษากฎหมายที่เก่ียวป่ าไม้ท่ีกลา่ วมา จะเหน็ ได้วา่ กฎหมายดงั กล่าวมีบทบญั ญตั ิ ที่ควบคมุ และจดั การทรัพยากรป่ าไม้ท่ีวางเน้นให้หน่วยงานรัฐเป็ นผ้มู ีอานาจหน้าท่ีในการจดั การ ด้วยบทบญั ญัติในลกั ษณะเชน่ นีจ้ งึ ทาให้การออกข้อบญั ญัติองค์การบริหารส่วนตาบลที่ไม่ขดั ตอ่ กฎหมายอาจทาได้ยากและไม่มีอานาจในการจัดการทรัพยากรป่ าไม้ท้องถ่ินได้อย่างแท้จริง เนื่องจากไม่มีกฎหมายใดมอบอานาจให้กบั องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไว้โดยตรง และเป็ นความ ไม่ชดั เจนว่าหากกรณีท่ีต้องการออกข้อบญั ญัติในเรื่องอ่ืนที่กว้างขวางมากไปกว่าภารกิจที่ได้รับ การถ่ายโอนมาแล้ว จะสามารถมีอานาจกระทาได้หรือไม่ ประการที่สอง การออกข้อบญั ญัติขององค์การบริหารส่วนตาบลยงั อยู่ภายใต้การกากับ ของราชการสว่ นภูมิภาค18 โดยทงั้ นีเ้ มื่อสภาตาบลได้ให้ความเห็นชอบตอ่ ข้อบญั ญัติแล้วก็ยงั ต้อง 18 พ.ร.บ. สภำตำบลและองค์กำรบริหำรสว่ นตำบล พ.ศ. 2537 “มำตรำ 71 องค์กำรบริหำรสว่ นตำบลอำจออกข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลเพอื่ ใช้บงั คบั ในเขต องค์กำรบริหำรส่วนตำบลได้เท่ำท่ีไม่ขดั หรือแย้งต่อกฎหมำยเพื่อปฏิบัติกำรให้เป็ นไปตำมอำนำจหน้ำท่ีของ องค์กำรบริหำรส่วนตำบล หรือเม่ือมีกฎหมำยบญั ญัติให้องค์กำรบริหำรส่วนตำบลออกข้อบญั ญัติหรือให้มี อำนำจออกข้อบญั ญตั ิ ในกำรนจี ้ ะกำหนดคำ่ ธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บและกำหนดโทษปรับผ้ฝู ่ ำฝื นด้วยก็ได้ แต่มิ ให้กำหนดโทษปรับเกินหนงึ่ พนั บำท เว้นแตจ่ ะมีกฎหมำยบญั ญตั ไิ ว้เป็ นอยำ่ งอื่น” “ร่ำงข้อบญั ญัติองค์กำรบริหำรส่วนตำบลจะเสนอได้ก็แต่โดยนำยกองค์กำรบริหำรส่วนตำบลหรือ สมำชิกสภำองค์กำรบริหำรส่วนตำบล หรือรำษฎรในเขตองค์กำรบริหำรส่วนตำบลตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำร เข้ำชื่อเสนอข้อบญั ญตั ทิ ้องถิ่น” “เมือ่ สภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลและนำยอำเภอให้ควำมเห็นชอบร่ำงข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ น ตำบลตำมวรรคหนึ่งแล้ว ให้นำยกองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลลงช่ือและประกำศเป็ นข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำร สว่ นตำบลตอ่ ไป” “ในกรณีที่นำยอำเภอไม่เห็นชอบด้วยกบั ร่ำงข้อบญั ญัติองค์กำรบริหำรส่วนตำบลใด ให้ส่งคืนสภำ องค์กำรบริหำรสว่ นตำบลภำยในสิบห้ำวนั นบั แต่วนั ที่นำยอำเภอได้รับร่ำงข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบล ดงั กลำ่ วเพื่อให้สภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลพิจำรณำทบทวนร่ำงข้อบญั ญัติองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลนนั้ ใหม่ หำกนำยอำเภอไมส่ ง่ ร่ำงข้อบญั ญตั อิ งค์กำรบริหำรสว่ นตำบลคืนสภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลภำยในสบิ ห้ำวนั นบั แตว่ นั ที่นำยอำเภอได้รับร่ำงข้อบญั ญตั อิ งค์กำรบริหำรสว่ นตำบลดงั กลำ่ ว ให้ถือวำ่ นำยอำเภอเหน็ ชอบกบั ร่ำง ข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลนนั้ ” “เม่ือสภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลพจิ ำรณำทบทวนร่ำงข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลตำมวรรค สแี่ ล้ว มมี ตยิ ืนยนั ตำมร่ำงข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลเดิมด้วยคะแนนเสยี งไมน่ ้อยกวำ่ สองในสำมของ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 50

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ให้นายอาเภอพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครัง้ จึงจะถือว่ามีผลใช้บังคับได้ แม้ว่าในกรณีที่ นายอาเภอไม่เห็นด้วยกับข้อบญั ญัติดงั กล่าว ทางสภาตาบลก็สามารถยืนยนั มติและประกาศใช้ ข้อบญั ญัติได้ด้วยตนเอง แต่ข้อกาหนดในลกั ษณะเชน่ นีแ้ สดงให้เห็นถึงอานาจในการกากบั ดแู ลที่ เหนือกวา่ ของราชการสว่ นภมู ิภาคเหนือองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน และอาจเป็ นผลตอ่ ความมนั่ ใจ ในการปฏิบตั หิ น้าที่ขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบล แม้ในระยะเริ่มต้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อาจยงั ไม่ได้ให้ความสาคญั กบั ภารกิจ ทางด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติท่ีได้รับการถ่ายโอนมา อีกทัง้ อาจยงั มีข้อกังวลว่าองค์กร ปกครองสว่ นท้องถิ่นจะมีอานาจตามกฎหมายได้มากน้อยเพียงใดในการออกข้อบญั ญตั ิของตนเอง ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติภายในพืน้ ท่ี แต่ในระยะต่อมาโดยเฉพาะอย่างย่ิงภายหลงั เม่ือ ร่างพระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชนไมผ่ า่ นการพจิ ารณาของฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิ รวมถึงเมื่อศาลรัฐธรรมนญู มี คาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบญั ญัติป่ าชมุ ชนขดั กบั รัฐธรรมนญู มีผลให้ร่างกฎหมายดงั กล่าวตกไป เมื่อ พ.ศ. 2552 ความเคล่ือนไหวของกระบวนการเร่ืองสิทธิชมุ ชนโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในส่วนของ ประชาชนในท้องถ่ินก็ได้หนั มาให้ความสาคญั กบั บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเพ่ิมขึน้ (ซงึ่ จะได้ทาการพิจารณาตอ่ ไปในบทท่ี 4 ของรายงานนี)้ 3.2.2 องค์กรนิตบิ ัญญัติ ในสว่ นขององค์กรนิตบิ ญั ญตั ซิ ึ่งมีบทบาทหน้าท่ีในการพิจารณาร่างกฎหมายตา่ งๆ ซง่ึ ถูก เสนอเข้ามา และโดยท่ีสมาชิกขององค์กรนิติบญั ญัติเฉพาะอย่างย่ิงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะมาจากการเลือกตงั้ โดยประชาชน และสมาชิกวฒุ ิสภาซึ่งสมาชิกส่วนหนึ่งก็มาจากการ เลือกตงั้ จึงควรต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั ประเด็นปัญหาในเรื่องสิทธิชมุ ชนเนื่องจากเป็ น ประเดน็ ที่เกี่ยวข้องกบั ปัญหาของประชาชนโดยตรง สาหรับสภาผู้แทนราษฎรได้ มีระบบของคณะกรรมาธิ การที่จะแบ่งออกเป็ น คณะกรรมาธิการในด้านตา่ งๆ ที่เหน็ วา่ มีความสาคญั ซงึ่ ก็ได้มีการจดั ตงั้ คณะกรรมาธิการการท่ีดิน จำนวนสมำชิกสภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลทงั้ หมดเท่ำท่ีมีอยู่ ให้นำยกองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลลงชื่อและ ประกำศเป็ นข้อบญั ญัติองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลได้โดยไม่ต้องขอควำมเห็นชอบจำกนำยอำเภอ แต่ถ้ำสภำ องค์กำรบริหำรสว่ นตำบลไมย่ ืนยนั ภำยในสำมสบิ วนั นบั แตว่ นั ทีไ่ ด้รับร่ำงข้อบญั ญตั อิ งค์กำรบริหำรสว่ นตำบลคนื จำกนำยอำเภอหรือยนื ยนั ด้วยคะแนนเสยี งน้อยกวำ่ สองในสำมของจำนวนสมำชิกสภำองค์กำรบริหำรสว่ นตำบล ทงั้ หมดเทำ่ ทีม่ ีอยู่ ให้ร่ำงข้อบญั ญตั ิองค์กำรบริหำรสว่ นตำบลนนั้ เป็ นอนั ตกไป” คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 51

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยมีภารกิจที่เกี่ยวข้องมีอยู่ใน 3 ส่วนสาคัญ คือ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมโดยมีหน้าท่ีในการกระทากิจการ พิจารณาสอบสวน หรือ ศกึ ษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกบั การใช้ที่ดิน การบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการสง่ เสริม บารุงรักษา และค้มุ ครองคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม19 สา ห รั บ ร ะบ บ ค ณ ะ ก รร ม า ธิ ก า รใ น วุฒิ ส ภ าก็ ไ ด้ มี ก า รตัง้ ค ณ ะ ก รร ม า ธิ ก า ร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีอานาจหน้าท่ีพิจารณาร่างพระราชบญั ญัติ กระทา กิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศกึ ษาเรื่องใดๆ ที่เก่ียวกบั การจดั การท่ีดิน การจดั การทรัพยากรนา้ การบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตอิ ื่นๆ ตลอดจนการสง่ เสริม บารุงรักษา และค้มุ ครองคณุ ภาพ สิ่งแวดล้อม ศึกษาปัญหาการใช้ การป้ องกัน การแก้ไข การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอ่ืนๆ ท่ี เก่ียวข้อง20 อย่างไรก็ตาม บทบาทของทัง้ คณะกรรมาธิการฯ ทัง้ ท่ีเป็ นของสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภาก็ทาหน้าท่ีในเชิงตัง้ รับเป็ นด้านหลัก โดยจะมุ่งให้ความสาคัญกับการร้ องเรียนของ ประชาชนที่สง่ เร่ืองมายงั คณะกรรมาธิการ21 แม้วา่ จากความเห็นของ ส.ส. และวฒุ ิสมาชิก ส่วนหน่งึ จะมีความเห็นด้วยวา่ จาเป็ นต้องมี การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เก่ียวข้องกับการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ให้สอดคล้องกบั บทบญั ญัติ เร่ืองสิทธิชุมชนตามที่บญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ปรากฏความพยายามอย่างชัดเจนใน การศึกษาหรือผลักดนั ร่างกฎหมายป่ าชุมชนหรือกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนเข้าสู่การ พิจารณาของรัฐสภาเกิดขึน้ แต่อย่างใด แม้ประธานรัฐสภาคนปัจจุบนั (สมศกั ด์ิ เกียรติสุรนนท์ พ.ศ. 2554 - 2556) ได้มีการจดั ตงั้ คณะกรรมการพฒั นาปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบนั ซ่งึ คณะกรรมการชดุ ดงั กลา่ วนีจ้ ะมีหน้าท่ีในการพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไข 19 ตำมข้อบงั คบั กำรประชมุ สภำผ้แู ทนรำษฎร พ.ศ. 2551 หมวด 4 ข้อ 82 (17). 20 ตำมข้อบงั คบั กำรประชมุ วฒุ สิ ภำ พ.ศ. 2551 หมวด 4 ข้อ 77 (19). 21 นริศ ขำนุรักษ์ คณะกรรมำธิกำรกำรที่ดินทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม สภำผ้แู ทนฯ, สมั ภำษณ์ 28 ธนั วำคม 2555 และสจุ ิต ชิรเวทย์ คณะกรรมำธิกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิง่ แวดล้อม วฒุ ิสภำ, สมั ภำษณ์ 27 ธนั วำคม 2555. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 52

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 กฎหมายที่มีเนือ้ หาล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็ นจริงในปัจจุบัน22 คณะ กรรมการฯ ได้มีการตงั้ คณะอนกุ รรมการขึน้ มาประมาณ 6 ชดุ ซ่ึงอนกุ รรมการจะทาหน้าที่ศึกษา และเสนอร่างแก้ไขปรับปรุงรวมทงั้ การร่างกฎหมายใหม่เสนอให้คณะกรรมการฯ ทาการพิจารณา ก่อนเสนอให้ประธานรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ซ่ึงหาก ส.ส. คนใดหรือประชาชนมีความเห็นพ้อง กับร่างกฎหมายท่ีได้จัดทาขึน้ ก็สามารถนาเอาร่างดงั กล่าวมาเสนอตอ่ สภาผ้แู ทนฯ เพื่อนาเข้าสู่ วาระการประชมุ ได้ แตก่ ็ยงั ไม่มีการพิจารณาถึงกรณีประเด็นเร่ืองสิทธิชมุ ชนอย่างชดั เจนว่าควร จะต้องมีการปรับปรุงหรือแก้ไขบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายในลกั ษณะเชน่ ใดบ้าง 3.3 สิทธิชุมชนและการปรับตัวของหน่วยงานรัฐ แม้จะมีการสถาปนาสิทธิชุมชนลงในสถาบนั ทางนโยบายและรัฐธรรมนูญอย่างม่นั คง นับตงั้ แต่ภายหลงั รัฐธรรมนูญ 2540 เป็ นต้นมา จนทาให้เกิดความคาดหวงั ว่าจะนาไปสู่การ ปรับตวั ของหนว่ ยงานรัฐให้เกิดขนึ ้ อยา่ งไรก็ตาม กฎหมายท่ีเก่ียวข้องกบั การจดั การทรัพยากร ดนิ - นา้ -ป่ า ก็ยังคงไม่มีการปรับแก้เนือ้ หาให้สอดคล้องกับความเปล่ียนแปลงท่ีได้บังเกิดขึน้ และ หนว่ ยงานรัฐก็ยงั คงอ้างอิงอานาจท่ีมีอยตู่ ามตามกฎหมายหลายฉบบั เป็ นฐานในการใช้อานาจของ ตนอย่ตู ่อไป อนั ทาให้เกิดความขดั แย้งระหว่างหน่วยงานรัฐกับชุมชนซึ่งได้อ้างอิงถึงสิทธิชุมชน ตามที่บญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญจนกลายเป็ นข้อพิพาทขึน้ สู่การพิจารณาคดีในชนั้ ศาลหลายคดี ดงั นนั้ หากพิจารณาในทางนิตินยั แล้วจะพบว่ากฎหมายตา่ งๆ ยงั คงมีเนือ้ หาในลกั ษณะเช่นเดิม โดยไมเ่ ปลี่ยนแปลง แม้ว่าในบางส่วนของหน่วยงานรัฐอาจมีการปรับตวั อย่างไม่เป็ นทางการหรือเป็ นการ ปรับตวั ภายใต้ข้อจากดั ของกฎหมายที่มีอยเู่ พ่ือตอบสนองตอ่ แนวความคิดเร่ืองสิทธิชมุ ชนดงั เชน่ ท่ี ปรากฏขึน้ ในกรมป่ าไม้ อย่างไรก็ตาม ความเปล่ียนแปลงดงั กล่าวมีลกั ษณะท่ีจากัดและมีความ แตกตา่ งไปจากแนวคิดเรื่องสิทธิชมุ ชนท่ีเครือข่ายป่ าชุมชนได้ผลกั ดนั มาอย่างมาก อนั ทาให้การ ปรับตวั ของหน่วยงานรัฐที่ปรากฏขึน้ ไม่สามารถตอบสนองต่อกระแสแนวคิดเรื่องสิทธิชุมชนที่ เกิดขนึ ้ ได้ 22 นำยอิสสริยะ ไชยทพิ ย์ (เลขำนกุ ำรคณะกรรมกำรฯ) คณะกรรมกำรพฒั นำปรับปรุงกฎหมำยเพ่ือให้สอดคล้อง กบั สถำนกำรณ์ปัจจบุ นั , สมั ภำษณ์ 28 ธนั วำคม 2555. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 53

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ภาพท่ี 3.1 แสดงการสถาปนาสทิ ธิชุมชน การดาเนินการในลกั ษณะดงั กล่าวได้นามาซง่ึ ความขดั แย้งและข้อพิพาทในทางกฎหมาย อย่างสาคญั ว่าสิทธิชมุ ชนตามท่ีได้มีการรับรองไว้ในรัฐธรรมนญู นนั้ จะมีสถานะและความหมาย อยา่ งไร อนั จะเป็นข้อถกเถียงและนาไปสกู่ ารเคล่ือนไหวเพ่ือทาให้มีการตรากฎหมายออกมารับรอง สทิ ธิชมุ ชนในรายละเอียดให้มีความชดั เจนเพ่มิ มากขนึ ้ ดงั จะได้อภิปรายในสว่ นตอ่ ไป คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 54

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 บทท่ี 4 จากรัฐสภาสู่องค์กรปกครองท้องถ่นิ สว่ นนีเ้ ป็ นการศกึ ษาถึงการเคลื่อนไหวของชมุ ชนในเรื่องสิทธิชุมชนตงั้ แตใ่ นระยะตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2532 ว่าการเคล่ือนไหวของชมุ ชนมีการเปล่ียนแปลงอย่างไรบ้าง เชน่ บทบาทของชมุ ชนใน การผลกั ดนั พระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชน รวมถึงความร่วมมือกบั นกั วิชาการและองค์กรพฒั นาเอกชน โดยได้แบง่ ระยะเวลาในการศกึ ษาเป็น 3 ชว่ ง คือ 1. ชว่ งก่อนรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 2. ชว่ งรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ถงึ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 3. ชว่ งหลงั รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ดงั มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ้ 4.1 ก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540: ระยะเวลาการก่อตัวของสทิ ธิชุมชน กอ่ น พ.ศ. 2540 บทบญั ญตั ิของกฎหมายท่ีรับรองการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือชมุ ชน ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยยงั ไม่ปรากฏอยา่ งชดั เจน ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็ น ดิน-นา้ -ป่ า จะถูกกาหนดโดยกฎหมายให้เป็ นสาธารณะสมบตั ิของแผ่นดิน ซึ่งรัฐจะเข้ามาเป็ น ผ้ดู แู ลจดั การทรัพยากรทงั้ หมดโดยองค์กรของรัฐ แนวความคิดของภาครัฐในระยะเวลานนั้ คาว่า “สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน” มีนัยยะท่ีหมายถึงการเป็ นกรรมสิทธ์ิของรัฐ รัฐเท่านัน้ เป็ นผู้มี อานาจในการดูแลจัดการทรัพยากร โดยความเข้าใจเช่นนีท้ าให้รัฐกีดกัน หวงกัน ทรัพย ากร เหลา่ นนั้ โดยไมไ่ ด้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการจดั การทรัพยากร การกล่าวอ้ างของภาครัฐนาไปสู่ การจัดการทรัพยากร ธรรมชาติภายใต้ อานาจรัฐ อย่าง เบ็ดเสร็จคือ ด้วยการอ้างถึงอานาจตามกฎหมายและหน้าที่ของภาครัฐในการดูแลประโยชน์ สาธารณะหรือประโยชน์ของคนสว่ นใหญ่ (public interest) แม้วา่ ในกฎหมายมหาชนจะยอมรับใน เร่ืองประโยชน์สาธารณะและประชาชนจะต้องเคารพตอ่ กฎหมายที่บญั ญตั ขิ ึน้ เพ่ือรักษาสาธารณ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 55

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 สมบัติอันเป็ นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม รูปแบบและกระบวนการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติโดยภาครัฐนาไปสู่การใช้ทรัพยากรจานวนมากเพ่ือเร่งพฒั นาเศรษฐกิจของ ประเทศ การบริหารจดั การทรัพยากรเน้นการบริหารจดั การทรัพยากรในฐานะที่เป็ นวตั ถดุ ิบ เช่น การสมั ปทานป่ าไม้ นอกจากการบริหารจดั การโดยภาครัฐแล้วยงั มีการอนญุ าตให้ภาคธุรกิจเอกชน เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทาให้เกิดความไม่เป็ นธรรมขึน้ โดยเฉพาะการกีดกัน ชมุ ชนซ่ึงอย่ใู นที่ตงั้ ของทรัพยากรออกจากการได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยผ่านกระบวนการ กฎหมาย นโยบายของรัฐและการบงั คบั ใช้กฎหมายอยา่ งเคร่งครัด นโยบายของรัฐก่อน พ.ศ. 2540 ท่ีมีความสาคญั เริ่มตงั้ แต่คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเม่ือ วนั ท่ี 3 ธันวาคม พ.ศ. 2528 เห็นชอบนโยบายป่ าไม้แห่งชาติตามที่คณะกรรมการนโยบายป่ าไม้ แห่งชาติเสนอเพ่ือเป็ นแนวทางในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ โดยเนือ้ หาของนโยบายที่สาคญั คือ กาหนดให้มีพืน้ ที่ป่ าอยา่ งน้อยร้อยละ 40 ของพืน้ ท่ีทงั้ หมด หรือเท่ากบั จานวน 128 ล้านไร่ จาแนก เป็ นพืน้ ท่ีป่ าอนรุ ักษ์ร้อยละ 15 หรือเท่ากับ 48 ล้านไร่ และเป็ นพืน้ ที่ป่ าเศรษฐกิจร้อยละ 25 หรือ เทา่ กบั 80 ล้านไร่1 ภายหลงั จากการกาหนดนโยบายป่ าไม้ พ.ศ. 2528 ให้มีพืน้ ที่ป่ าร้อยละ 40 ของพืน้ ท่ีประเทศ เพ่ือให้บรรลตุ ามเป้ าหมายที่ภาครัฐประกาศ ได้มีการขยายเขตพืน้ ที่ป่ าทบั ที่อยู่อาศยั และท่ีดนิ ทากิน ของประชาชน การส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้โตเร็วตามโครงการปลูกป่ าท่ีส่งผลกระทบต่อ สภาพแวดล้อมในพืน้ ที่ การห้ามราษฎรทากินในพืน้ ท่ีลาดชนั เกิน 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลกระทบกับ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุท่ีอาศยั บนพืน้ ท่ีสงู และการดาเนนิ การปราบปรามจบั กมุ ผ้บู กรุกอยา่ งเข้มงวดนาไปสู่ ปัญหาและความขดั แย้งระหว่างรัฐกบั ประชาชน อย่างไรก็ตาม การจดั การป่ าไม้ของกรมป่ าไม้กลบั ไมป่ ระสบความสาเร็จและจานวนของพืน้ ท่ีป่ ายงั คงลดลงอยา่ งตอ่ เนื่อง จากสถิตกิ ารสารวจจานวนพืน้ ที่ป่ าไม้ของประเทศไทยพบวา่ พืน้ ที่ป่ าไม้ลดลงมาโดยตลอด เดิมพืน้ ที่ป่ าไม้ของประเทศไทยใน พ.ศ. 2493 ประเทศไทยมีพืน้ ท่ีป่ าไม้กว่าร้อยละ 60 ของพืน้ ที่ ประเทศ ใน พ.ศ. 2504 มีพืน้ ท่ีป่ าไม้ร้ อยละ 53.33 ของพืน้ ท่ีประเทศ และลดลงอย่างรวดเร็วใน ระยะเวลา 40 ปี ที่ผ่านมา เหลือเพียงร้อยละ 25.6 ใน พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2543 มีการประมาณ การวา่ ประเทศไทยมีพืน้ ที่ป่ าไม้ร้อยละ 33.14 ของพืน้ ท่ีประเทศ2 1 กรมป่ าไม้, “สถติ ปิ ่ าไม้ไทย”, [ระบบออนไลน์], 25 มนี าคม 2551,แหลง่ ที่มา http://www.forest.go.th 2 สมศกั ด์ิ สขุ วงค์, ฐานทรัพยากร...ทุนชีวติ ของสังคมไทย, (กรุงเทพฯ: บริษัทพมิ พ์ดี จากดั , 2546), หน้า 98. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 56

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 กรมป่ าไม้จึงได้ดาเนินการเพ่ือสร้างความเป็ นรูปธรรมการเพ่ิมพืน้ ท่ีป่ าไม้ด้วยการประกาศ จดั ตงั้ เขตป่ าอนุรักษ์ ประกาศขยายพืน้ ที่ป่ าอนุรักษ์เพ่ิมขึน้ และประกาศพืน้ ท่ีป่ าต้นนา้ โดยอาศยั มตคิ ณะรัฐมนตรีท่ีเก่ียวข้องกบั การจดั การพืน้ ท่ีป่ าเพื่ออนรุ ักษ์ ได้แก่ 1. มตคิ ณะรัฐมนตรีเก่ียวกบั การกาหนดชนั้ คณุ ภาพลมุ่ นา้ วนั ท่ี 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 และวนั ที่ 21 ตลุ าคม พ.ศ. 2529 กาหนดชนั้ คณุ ภาพลมุ่ นา้ และมาตรการการใช้ที่ดนิ ในเขตล่มุ นา้ การ ใช้วิธีการแบง่ ชนั้ คณุ ภาพล่มุ นา้ และการใช้ประโยชน์เป็ นแนวทางการจดั การพืน้ ท่ีป่ าไม้ทาให้หลาย หมบู่ ้านที่ตงั้ อยใู่ นเขตพืน้ ที่ท่ีกาหนด เชน่ พืน้ ท่ีชนั้ คณุ ภาพล่มุ นา้ ชนั้ 1A ต้องออกไปจากเขตที่กาหนด ตามการจดั ชนั้ คณุ ภาพล่มุ นา้ ของกรมป่ าไม้ ทาให้เกิดข้อขดั แย้งขนึ ้ ในหลายพืน้ ท่ีโดยเฉพาะชาวบ้าน ท่ีอยอู่ าศยั มาก่อนการประกาศการจดั การลมุ่ นา้ 2. มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกบั โครงการเพิกถอนป่ าท่ีเป็ นที่ตงั้ ชมุ ชน เม่ือวนั ท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2528 รัฐบาลได้ดาเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องการบกุ รุกพืน้ ที่ป่ าและเรื่องท่ีทากินของประชาชนใน พืน้ ที่ป่ าโดยมติคณะรัฐมนตรีและการดาเนินโครงการโดยอนุมตั ิให้ช่วยเหลือราษฎรตามโครงการ เพิกถอนสภาพป่ าที่เป็ นที่ตงั้ ชุมชนเฉพาะในเขตป่ าสงวนแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี วนั ท่ี 12 มิถุนายน พ.ศ. 2520 โดยแบ่งโครงการช่วยเหลือเป็ น 3 กล่มุ ดงั นี ้กล่มุ ที่หนึ่งเป็ นแหล่งชมุ ชนที่เกิด ก่อนปี พ.ศ. 2510 ซ่ึงปรากฏตามภาพถ่ายทางอากาศร่วมกับแผนภูมิประเทศของกรมแผนที่ทหาร เป็ นหลกั ฐานในการเพิกถอนสภาพป่ าสงวนแห่งชาติเพื่อให้ได้รับเอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมาย ท่ีดิน กลมุ่ ที่สองเป็ นแหล่งชมุ ชนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2518 ซง่ึ ปรากฏตามหลกั ฐาน การให้สิทธิอยู่อาศัยในเขตป่ าสงวนแห่งชาติในรูปแบบโครงการสิทธิทากิน กลุ่มที่สามเป็ นแหล่ง ชมุ ชนที่เกิดขนึ ้ ภายหลงั ปี พ.ศ. 2518 จะอนญุ าตให้เข้าอย่อู าศยั หรือทาประโยชน์ชว่ั คราวตามมาตรา 16 พระราชบญั ญตั ปิ ่ าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 3. มติคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับมาตรการชว่ ยเหลือราษฎรท่ีเข้าไปทากินหรืออย่อู าศัยในป่ า สงวนแห่งชาติโดยผิดกฎหมาย เมื่อวนั ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2532 โดยเสนอมาตรการช่วยเหลือ ดงั นี ้ สภาพป่ าท่ีจะอนญุ าตให้ราษฎรเข้าไปทากินหรืออยอู่ าศยั เป็นการชวั่ คราวต้อง ก. มีสภาพเป็ นป่ าเสื่อมโทรมตามหลกั เกณฑ์และเง่ือนไขท่ีคณะรัฐมนตรีในคราว ประชมุ ปรึกษา เมื่อวนั ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 กาหนด ข. ราษฎรได้เข้าไปทากินหรืออยใู่ นป่ านนั้ อยกู่ อ่ นปี พ.ศ. 2524 คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 57

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ค. เป็ นป่ าท่ีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ให้ราษฎรเข้าไปทากินหรืออยอู่ าศยั เป็นการชว่ั คราวได้ ง. เนือ้ ที่ที่จะอนุญาตให้ ราษฎรเข้าไปทากินหรื ออยู่อาศัยเป็ นการชั่วคราว ครอบครัวละไมเ่ กิน 250 ไร่ 4. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันท่ี 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีมีมติในการแก้ไข ปัญหาความม่ันคงของชาติเกี่ยวกับชาวเขาในการปลูกพืชเสพติดในพืน้ ท่ีสูง เนือ้ หามติ คณะรัฐมนตรีฉบบั นีเ้ กี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธ์ุท่ีอาศัยอยู่บนพืน้ ท่ีสูงหรือในเขตพืน้ ท่ีป่ าโดย สะท้อนถึงนโยบายที่จะกนั คนออกจากป่ าชดั เจน คือ สาหรับในพืน้ ท่ีท่ีชาวเขาอาศยั อย่กู ่อนแตไ่ ม่ สามารถให้ชาวเขาอยตู่ อ่ ได้ก็ให้พจิ ารณาอพยพออกจากพืน้ ท่ี โดยกาหนดพืน้ ที่รองรับท่ีเหมาะสม 5. มติคณะรัฐมนตรีเม่ือวนั ท่ี 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 เร่ือง การพิจารณาแก้ไขปัญหา ท่ีดินในเขตป่ าไม้ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วนั ที่ 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2528 และมติคณะรัฐมนตรี อ่ืนที่ขดั หรือแย้งในเร่ืองเดียวกันทงั้ หมด โดยมีหลักการว่าถ้าราษฎรครอบครองทาประโยชน์อยู่ ก่อนท่ีทางราชการประกาศเป็ นเขตป่ าไม้หรือมีการประกาศเขตป่ าไม้ดงั กล่าวทบั ที่ดินที่ราษฎร ครอบครองอยู่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเพิกถอนท่ีดินส่วนนนั้ ออกจากเขตป่ าไม้และกรม ท่ีดินจะดาเนินการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายท่ีดินให้ ถ้าประกาศเขตป่ าไม้ไว้แล้ว ราษฎรบกุ รุกภายหลงั ราษฎรผ้บู กุ รุกจะได้สิทธิโดยผา่ นกระบวนการปฏิรูปท่ีดนิ เทา่ นนั้ 6. มติคณะรัฐมนตรี วนั ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2540 มีผลบงั คบั ใช้กับภาคเหนือ 19 กรณี 107 หมู่บ้านในกรณีปัญหาที่ดินและป่ าไม้ มตินีเ้ กิดจากการเรียกร้ องโดยเครือข่ายเกษตรกร ภาคเหนือชมุ นุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาที่ดินแลป่ าไม้ จนมีมติคณะรัฐมนตรีแก้ไขปัญหา เฉพาะ 19 กรณี 107 หมบู่ ้าน โดยมตคิ ณะรัฐมนตรีระบวุ า่ ก. แตง่ ตงั้ คณะกรรมการพิสจู น์สิทธิว่าอยกู่ ่อนประกาศเขตป่ าอนรุ ักษ์ (เขตอทุ ยานฯ เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ า และเขตล่มุ นา้ ) พิสูจน์ได้ว่าอย่มู าก่อนให้ทาการรับรองสิทธิท่ีมน่ั คงในการอยู่ อาศยั และ/หรือ ทากิน โดยให้สิทธิดงั กลา่ วตกทอดทางมรดกแก่ทายาท และห้ามจาหน่ายจ่ายโอนไป ยงั บคุ คลอื่น ข. ในระหวา่ งดาเนินการตามข้อหนง่ึ ให้ยตุ กิ ารอพยพราษฎรไว้ก่อน ค. ถ้ามีการกระทาใดอนั เป็ นการบกุ รุกพืน้ ที่ใหมห่ รือเป็ นการทาลาย หรือกระทบต่อ การรักษาป่ าและสงิ่ แวดล้อมจะต้องมีการดาเนนิ การตามกฎหมายอยา่ งจริงจงั คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 58

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ง. จะดาเนินกระบวนการประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติป่ าชุมชนตามที่ คณะรัฐมนตรีรับหลักการในข้อตกลงกบั สมัชชาคนจนเพ่ือให้ได้ข้อสรุปและเสนอต่อรัฐสภาในสมยั การประชมุ ตอ่ ไป 7. มตคิ ณะรัฐมนตรี วนั ท่ี 22 เมษายน พ.ศ. 2540 (เรียกวา่ “มตคิ ณะรัฐมนตรีวงั นา้ เขียว”) หลงั จากมติคณะรัฐมนตรี 17 เมษายน พ.ศ. 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติคณะรัฐมนตรีวงั นา้ เขียว เพื่อกาหนดมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาท่ีดินทากินและการบุกรุกพืน้ ท่ีป่ าไม้ ว่าการ กาหนดเขตป่ าและการจาแนกพืน้ ท่ีคลาดเคลื่อนไปจากความเป็ นจริง พืน้ ที่บางแห่งมีชาวบ้านจบั จอง ครอบครองทากินอยู่ คณะรัฐมนตรีจึงมีเจตนาต้องการถอนสภาพป่ าที่ราษฎรอาศยั ทากินใน พืน้ ที่เหล่านนั้ พร้อมทงั้ ออกเอกสารสิทธิให้ โดยอาศยั หลกั เกณฑ์ของกฎหมายการปฏิรูปท่ีดนิ เช่น การออกเอกสาร ส.ป.ก. 4-01 ในเขตป่ าไม้ถาวรและป่ าสงวนแหง่ ชาติ เป็นต้น 8. มตคิ ณะรัฐมนตรี วนั ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2540 ผอ่ นผนั ให้ราษฎรอยอู่ าศยั ในที่ทากินใน พืน้ ท่ีเดิมได้ในระหว่างท่ีมีการแก้ปัญหาเพราะชาวบ้านมกั ถูกจับกุมในข้อหาบกุ รุกป่ าและมีการ ผลกั ดนั ให้ออกจากพืน้ ที่โดยไม่มีการพิสจู น์สิทธิใดๆ นอกจากนนั้ มติคณะรัฐมนตรีฉบบั นีไ้ ด้เปิ ด โอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการชีแ้ นวเขตท่ีดินทากินร่วมกับหลกั ฐานอื่นแสดงว่าได้ อาศยั และทากินมาก่อนโดยดจู ากร่องรอยการทาประโยชน์ตามสภาพความเป็ นจริง สิ่งปลกู สร้าง ไม้ผล ไม้ยืนต้น การให้ปากคาของพยานบคุ คลในชมุ ชน เป็นต้น มตคิ ณะรัฐมนตรีทงั้ สองฉบบั ได้รับการตอ่ ต้านคดั ค้านอยา่ งมากจากกรมป่ าไม้และองค์กร อ่ืนๆ เช่น มูลนิธิธรรมนาถ จนกระทง่ั ต้องยกเลิกแก้ไขโดยคณะกรรมการป่ าไม้แห่งชาติได้เสนอ คณะรัฐมนตรีให้ทบทวนมตคิ ณะรัฐมนตรีเกี่ยวกบั การแก้ไขปัญหาป่ าไม้และที่ดนิ จะเห็นได้ว่าตงั้ แต่ พ.ศ. 2528 ที่ประเทศไทยเริ่มมีนโยบายป่ าไม้ จนกระทงั่ ถึง พ.ศ. 2540 นโยบายป่ าไม้ของประเทศไทยยงั เป็ นไปตามนโยบายป่ าไม้เดิมซึ่งยงั ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือการ ม่งุ เพิ่มพืน้ ที่ป่ าโดยการกนั คนออกจากพืน้ ท่ีป่ า และในขณะเดียวกนั รัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรี กากับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการจัดการป่ าไม้หลายฉบับ โดยถือเป็ น ระเบียบแบบแผนในการปฏิบตั ิราชการให้สว่ นราชการและข้าราชการต้องปฏิบตั ิตามในลกั ษณะที่ เป็ นกฎเกณฑ์กาหนดแนวการบริหารงานเกี่ยวกบั ป่ า ซ่งึ มติคณะรัฐมนตรีท่ีออกมานนั้ ก็ยงั คงเน้น รูปแบบการจดั การป่ าโดยหนว่ ยงานภาครัฐมาโดยตลอด คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 59

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 การดาเนินการตามนโยบายของภาครัฐตามท่ีกลา่ วมาข้างต้นและการเอือ้ ประโยชน์ให้กบั เอกชน ทาให้เกิดการเคลื่อนไหวของชุมชนท่ีพยายามเข้ามามีบทบาทในการต่อต้านการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เป็ นธรรมและพยายามเรียกร้ องสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรที่เคยผูกขาดอย่กู ับภาครัฐอนั ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนท้องถิ่นถูกนามาใช้ ประโยชน์ภายใต้แนวนโยบายของรัฐ และสง่ ผลกระทบตอ่ วิถีชีวิตของชมุ ชนอย่างกว้างขวาง นามา ซ่ึงกระแสเรียกร้องถึงการมีส่วนร่วมในการจดั การทรัพยากรโดยชุมชนและชาวบ้านในพืน้ ที่ได้มี ความชดั เจนและขยายวงกว้างมากขนึ ้ ตงั้ แตใ่ นชว่ ง พ.ศ. 2525 เป็ นต้นมา ทาให้เกิดการเรียกร้อง สิทธิของชุมชนในพืน้ ที่ เช่น การเคล่ือนไหวของชาวบ้าน อาเภอบ้านหลวง อาเภอเถิน จงั หวัด ลาปางท่ีรวมตัวคดั ค้านการสัมปทานป่ าไม้ในพืน้ ที่3 สถานการณ์ท่ีเกิดขึน้ ในพืน้ ท่ีต่างๆ ส่งผล กระทบถึงชาวบ้านในพืน้ ที่ไมว่ ่าจะเป็ นภาวะความยากจน ความเสื่อมโทรมของฐานทรัพยากรที่มี ผลตอ่ วิถีการดารงชีวติ นาไปสกู่ ารปฏิเสธการจดั การทรัพยากรธรรมชาตขิ องชมุ ชนโดยรัฐ ภายใต้สถานการณ์ดงั กลา่ ว ได้ปรากฏรูปแบบการจดั การทรัพยากรโดยชมุ ชนในพืน้ ท่ีที่มี รู ปแบบตามจารี ตปร ะเพณี และวิธี ปฏิ บัติของชาวบ้ าน ซึ่งได้ ดูแลรักษาและใช้ ประโยช น์จาก ทรัพยากรมาอย่างต่อเน่ือง แนวความคิดป่ าชุมชนได้เริ่มก่อรูปและพัฒนาเป็ นรูปธรรมมากขึน้ โดยเฉพาะหลงั จากกรณีป่ าห้วยแก้ว กิ่งอาเภอแมอ่ อน จงั หวดั เชียงใหม่4 ซึง่ เป็ นกรณีท่ีนกั การเมือง ท้องถิ่นได้รับสมั ปทานให้เชา่ พืน้ ที่ป่ าสงวนจานวน 235 ไร่ จากกรมป่ าไม้เพ่ือสร้างสวนป่ าในเขตป่ า เสื่อมโทรมตามนโยบายกรมป่ าไม้ในการเร่งฟื น้ ฟปู ่ าเส่ือมโทรมตามนโยบายกรมป่ าไม้ พ.ศ. 2528 กรมป่ าไม้อนมุ ตั ิสมั ปทานการเข่าพืน้ ที่ป่ าสงวนตามสญั ญาเช่า 15 ปี ผ้รู ับสมั ปทานจงึ เข้าล้อมรัว้ และทาการปรับพืน้ ท่ีป่ าท่ีตดิ กบั บริเวณหม่บู ้านห้วยแก้ว ซงึ่ ชาวบ้านอ้างวา่ เป็ นพืน้ ท่ีป่ าใช้สอยของ ชาวบ้านซึ่งมีต้นไม้ขนึ ้ อย่จู านวนมาก ชาวบ้านได้เรียกร้องให้กรมป่ าไม้เพิกถอนการให้เช่าพืน้ ท่ีป่ า และให้ชาวบ้านดาเนินการจัดการป่ าชุมชนของตนเอง แต่ไม่เป็ นผลจนกระทั่งชาวบ้านและ นักศึกษาจากมหาวิทยาลยั เชียงใหม่ได้บุกยึดพืน้ ท่ีและนาไปสู่การจับกุมดาเนินคดีกับผู้บุกรุก จนกระทงั่ อธิบดกี รมป่ าไม้และผ้วู า่ ราชการจงั หวดั เชียงใหม่(ขณะนนั้ ) ได้ออกตรวจพืน้ ท่ีและพบว่า มีการบกุ รุกเขตป่ าสงวนตามท่ีชาวบ้านร้องเรียนจริงจงึ ยกเลิกสญั ญาเชา่ ปลกู ป่ า ข้อขดั แย้งกรณีป่ า 3 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดบั เหตุการณ์สาคัญร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ทีม่ า http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 4 สถาบนั การแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสขุ , สารัตถะแห่งสิทธิชุมชน ในทรัพยากรชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถ่นิ (กรุงเทพฯ: สถาบนั การแพทย์แผนไทย, 2540) หน้า 95. คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 60

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ห้วยแก้วที่ได้เผยแพร่ออกไปทาให้เกิดความต่ืนตวั ของหลายชมุ ชนในภาคเหนือโดยเฉพาะหลาย พืน้ ท่ีท่ีประสบปัญหาจากการจดั การของภาครัฐ ไม่วา่ จะเกิดจากการประกาศเขตอทุ ยานหรือเขต ป่ าสงวนทบั ท่ีดินทากิน การอพยพชาวบ้านออกจากเขตป่ าอนรุ ักษ์ตามโครงการจดั สรรที่ดนิ ทากิน แก่ผ้ยู ากไร้ (คจก.) เช่น การอพยพชาวบ้านคลองลาน อาเภอคลองลาน จงั หวดั กาแพงเพชร การ อพยพชาวบ้านจากอทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยหลวงไปยงั พืน้ ที่รองรับบ้านผา่ ชอ่ จงั หวดั ลาปาง ภายหลงั จากนนั้ การเคล่ือนไหวเร่ืองสิทธิชุมชนกระจายไปทุกภูมิภาค เช่น บ้านท่งุ ยาว ตาบลศรีบวั บาน จงั หวดั ลาพนู บ้านโสกขมุ ปนู อาเภอกดุ ชุม จงั หวดั ยโสธร บ้านดาโต๊ะ ตาบลแหลมโพธ์ิ อาเภอยะ หร่ิง จงั หวดั ปัตตานี เป็นต้น ความขดั แย้งจากการใช้ทรัพยากรท่ีเกิดขนึ ้ นอกจากนาไปส่กู ารรวมตวั ของชาวบ้านยงั เกิด กระบวนการการศึกษาถึงภูมิปัญญาชาวบ้านในพืน้ ท่ีต่างๆ การศกึ ษาในงานเหล่านีไ้ ด้ทาให้เกิด การยอมรับความรู้ของชาวบ้านอย่ากว้างขวาง และหน่วยงานราชการจนนาไปส่กู ารปรับเปลี่ยน ความรู้ท่ีมีตอ่ ระบบการจดั การทรัพยากรของชมุ ชนขนึ ้ ในสงั คมไทย และการเปล่ียนมมุ มองเพ่ือนา องค์ความรู้ มุมมอง ความคิดของชาวบ้านเสนอต่อสังคมเพ่ิมมากขึน้ งานการศึกษาของ นกั วิชาการเรื่องสิทธิชุมชนท่ีปรากฏขนึ ้ เชน่ งานวิจยั ของเสน่ห์ จามริกและคณะ อานนั ท์ กาญจน พนั ธ์ุ ยศ สนั ต สมบตั ิ สมศกั ดิ์ สขุ วงศ์ เพ่มิ ศกั ดิ์ มกราภิรมย์ ฯลฯ ซง่ึ งานการศกึ ษาเหลา่ นีม้ ีบทบาท อยา่ งสาคญั ตอ่ กระแสการเคลื่อนไหวและการผลกั ดนั แนวคดิ สทิ ธิชมุ ชนในสงั คมไทย จากการปรากฏตวั ของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากร งานการศกึ ษาทางวิชาการเก่ียวกับ การจดั การป่ าชมุ ชน การเคลื่อนไหวขององคก์ รพฒั นาเอกชน มีส่วนสนบั สนนุ ขบวนการสิทธิชมุ ชน ซงึ่ ทาให้เกิดกระแสการเคล่ือนไหวมาอยา่ งตอ่ เนื่องและเดน่ ชดั มากขนึ ้ ในชว่ งระยะเวลาตงั้ แต่ พ.ศ. 2530 จนกระทง่ั พ.ศ. 2534 อนั เป็ นการรวมตวั ของชาวบ้านในระดบั ชมุ ชนและกระจายไปตาม พืน้ ท่ีต่างๆ ซ่ึงได้รับผลกระทบจากการดาเนินการของภาครัฐ เช่น บ้านท่งุ หลวง บ้านหนองเต่า ตาบลแมว่ นิ อาเภอแมว่ าง จงั หวดั เชียงใหม่5 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ด้วยการตระหนกั ถึงพลงั ของชมุ ชนท่ียงั ไม่สามารถจะมีพลงั ในการต่อรอง กับภาครัฐทาให้เกิดการรวมตัวเป็ นเครือข่ายในระดบั พืน้ ที่ โดยเฉพาะชาวบ้านท่ีชุมชนได้รับ ผลกระทบด้านสิง่ แวดล้อม เชน่ เครือขา่ ยลมุ่ นา้ วาง เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนเชียงดาว เครือขา่ ยลมุ่ นา้ ปิ ง 5 อจั ฉรา รักยตุ ธิ รรม และคณะ, 3 ทศวรรษป่ าชุมชน ท่ามกลางความสับสนของสังคมไทย (เชียงใหม่:กรม สง่ เสริมคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม, 2542), หน้า 118-119. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 61

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ฯลฯ และนาไปสกู่ ารรวมตวั กบั ชมุ ชนอื่น โดยเฉพาะชมุ ชนต้นนา้ ท่ีประสบปัญหาการอพยพคนออก จากป่ าเนื่องจากมีการประกาศพืน้ ท่ีเขตอุทยานฯ ทับที่ทากิน กลายเป็ นเครือข่ายที่เรียกว่า “เครือขา่ ยป่ าชมุ ชน” และยงั เกิดเครือข่ายอื่นที่เกิดจากการรวมตวั ของชาวบ้านในการอนรุ ักษ์พืน้ ที่ ป่ าเกิดขึน้ เช่น กล่มุ ฮักเมืองน่าน กล่มุ ฮกั เมืองแจ่ม6 นอกจากนนั้ ยงั เกิดเครือข่ายจากโครงการที่ ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรพฒั นาเอกชนต่างๆที่เข้ามาสนับสนุนเครือข่ายป่ าชุมชนในการ อนรุ ักษ์พืน้ ท่ีป่ า เชน่ โครงการชมุ ชนรักป่ า โครงการนิเวศน์ชมุ ชน ทงั้ นี ้ตงั้ แต่ พ.ศ. 2535 มาจนถึง พ.ศ. 2538 ได้มีการรวมตวั ของชุมชนที่มีการจดั การป่ าชุมชนขึน้ เป็ นเครือข่ายป่ าชมุ ชนในระดบั จงั หวดั และได้ขยายตวั ออกกว้างขวางจนกลายเป็นเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ภาคขนึ ้ 7 เครือข่ายป่ าชุมชนและทรัพยากรท่ีเกิดขึน้ แต่ละพืน้ ท่ีเป็ นผลมาจากการมีส่วนร่วมของ ชมุ ชนและองค์กรพฒั นาเอกชนที่เข้าไปสนบั สนุนการก่อตงั้ เครือข่ายหลายส่วนด้วยกนั เช่น การ จัดตงั้ เครือข่ายป่ าชุมชนจังหวัดน่าน ซ่ึงเกิดจากการรวมตวั ของชุมชนในเบือ้ งต้น ต่อมากลุ่ม พระสงฆ์ซึ่งนาด้วยพระครูพิทกั ษ์ธรรมคณุ ได้พบปะกับแกนนาและได้รวมตวั กนั ขึน้ ขณะเดียวกัน ในขณะนนั้ ได้มีองค์กรพัฒนาเอกชนตงั้ กลุ่ม “ฮกั เมืองน่าน” ทาให้เกิดการรวมตวั กนั ของทงั้ สาม กลมุ่ กลายเป็นเครือขา่ ยโดยมีกลมุ่ “ฮกั เมืองนา่ น” ทาหน้าท่ีประสานงานทาให้เกิดการรวมกล่มุ ป่ า ชมุ ชนในพืน้ ท่ีจงั หวดั นา่ นทงั้ 213 ชมุ ชน ครอบคลมุ พืน้ ที่ 60 ตาบล ใน 14 อาเภอ ไมเ่ พียงในพืน้ ท่ีทางภาคเหนือเทา่ นนั้ ยงั มีในระยะเวลาตอ่ มาได้มีการจดั ตงั้ องค์กรชมุ ชนใน ภมู ิภาคอ่ืนๆ ด้วยเช่นกนั อนั เป็ นการตอกยา้ ให้ เห็นว่าแนวความคิดเร่ืองสิทธิชมุ ชนเป็ นส่ิงท่ีดารง อยจู่ ริงในสงั คมไทย เชน่ การจดั ตงั้ เครือขา่ ยชมุ ชนประมงพืน้ บ้านอา่ วทา่ ศาลา นอกจากการรวมตวั ของชาวบ้านแล้วยงั มีองค์กรอื่นทงั้ สถาบนั วชิ าการ เชน่ มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ มหาวิทยาลยั ราช ภัฎนครศรีธรรมราช เข้ามาเป็ นหน่วยงานในการจดั ทาข้อมลู วิชาการร่วมกับชาวบ้านเพื่อรองรับ การตราข้อบญั ญัติ สมาพนั ธ์ชาวประมงพืน้ บ้านภาคใต้ รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชนท่ีเข้ามามี บทบาทในการประสานงาน8 6 ประภาส ป่ิ นตบแต่ง, “การเมืองของขบวนการชาวบ้านด้านส่ิงแวดล้อมในสังคมไทย” วิทยานิพนธ์ ปริญญารัฐศาสตร์ดษุ ฎีบณั ฑิตสาขาวิชารัฐศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2540, หน้า 68 7 เพ่งิ อ้าง, หน้า 68-69. 8 นฤดม ทิมประเสริฐ, “กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนท่ีตัง้ อย่บู นพืน้ ฐานของสิทธิชุมชนในการ จัดทาข้อบัญญัติท้องถ่ินทางทะเล : ศึกษากรณีองค์การบริหารส่วนตาบลท่าศาลา” วิทยานิพนธ์รัฐ ประศาสนศาสตร์มหาบณั ฑิต สถาบนั พฒั นบริหารศาสตร์ 2554, หน้า 158. คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 62

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 กระแสแนวความคิดในเร่ืองสิทธิชุมชนได้ขยายตวั ออกพร้อมกบั การได้รับการสนบั สนุน อยา่ งกว้างขวางกระทง่ั รัฐธรรมนญู 2540 ได้บญั ญัตริ ับรองสิทธิชมุ ชนเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรไว้ แต่ ก็ยงั มีประสบปัญหาในทางปฏิบตั ิเนื่องจากเจ้าหน้าท่ีรัฐยงั คงยึดกฎหมายระดบั พระราชบญั ญัติ เป็นหลกั ในการบงั คบั ใช้ สง่ ผลให้มีข้อเรียกร้องจากเครือข่ายป่ าชมุ ชนท่ีการผลกั ดนั มากขนึ ้ ในการ เสนอกฎหมายรับรองป่ าชุมชนเพ่ือรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรอย่างชัดเจน ต่อมาเครือข่ายป่ าชุมชน นักวิชาการและองค์กรพฒั นาเอกชน ได้ร่วมกันร่างและวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนอีกหลายครัง้ เช่น เวทีสมัชชาป่ าชุมชนต้นนา้ ภาคเหนือ เวทีลานสิ่งแวดล้อม จนกระทงั่ มีการร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน (ฉบบั ประชาชน) ขนึ ้ โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ในพืน้ ที่และ งานการศึกษาวิจัยท่ีปรากฏขึน้ ในห้วงเวลาดงั กล่าว โดยข้อสรุปหลักในร่างคือ กฎหมายต้อง ยอมรับการจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนในเขตพืน้ ท่ีป่ าอนรุ ักษ์หรือเขตต้นนา้ โดยพิจารณาจากความพร้อมของ ชมุ ชนรวมถงึ ลกั ษณะของการใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชนโดยมีระบบการกากบั อย9ู่ กระบวนการร่างและผลกั ดนั พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน เกิดขนึ ้ ภายใต้การประสานงานระหวา่ งกลมุ่ เครือขา่ ยหลายกลมุ่ ได้แก่ เครือข่ายป่ าชมุ ชนภาคเหนือ สมชั ชาชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน เครือขา่ ย ป่ าชมุ ชนภาคใต้ สมชั ชาคนจน สมชั ชาป่ าชุมชนภาคเหนือ สมาพนั ธ์ประมงพืน้ เมืองภาคใต้ และ สมัชชาชนเผ่าแห่งประเทศไทย จนกระท่ังได้ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน อย่างเป็ นทางการโดยมี คณะกรรมการกระจายความเจริญสภู่ มู ิภาคเป็ นผ้ดู าเนินการ ซึ่งเป็ นร่างกฎหมายท่ีได้ผ่านการรับ ฟังความคดิ เหน็ ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ตวั แทนชมุ ชนและองค์กรพฒั นาเอกชน โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสีเป็ นประธาน เรียกว่า ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนฉบบั คณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญ ไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.)10 ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับหลกั การร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน ฉบบั ประชาชน เมื่อวนั ท่ี 30 เมษายน พ.ศ. 2539 แต่ในภายหลงั คณะรัฐมนตรีได้มีการแก้ไขโดย ห้ามการตัดไม้ในเขตป่ าอนุรักษ์และไม่ยอมรับหลักการคนอยู่ร่วมกันกับป่ า และส่งผ่านร่าง 9 ธีรพรรณ ใจมน่ั , “การผลักดันนโยบายโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน: ศึกษาเฉพาะกรณีการร่าง พระราชบัญญัติป่ าชุมชน” วิทยานิพนธ์หลกั สูตรพัฒนาชุมชนมหาบณั ฑิต คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 2542, หน้า 111-112. 10 บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ, การเมืองเร่ืองป่ าชุมชน [ออนไลน์] 10 ตุลาคม 2556 แหล่งท่ีมา: www.midnightuniv.org/การเมืองเรื่องป่ าชมุ ชน. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 63

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ดงั กล่าวไปสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เป็ นผลให้เครือข่ายชาวบ้านแสดงความเห็น คดั ค้านตอ่ ร่างดงั กลา่ ว11 ประเด็นท่ีทาให้กระบวนการตรา พ.ร.บ. ป่ าชุมชนไม่สามารถดาเนินต่อไปเนื่องจากข้อ ขดั แย้งหลกั คือพืน้ ท่ีจัดตงั้ ป่ าชุมชน โดยฝ่ ายองค์กรภาครัฐและองค์กรอนุรักษ์ อาทิ มูลนิธิธรรม นาถ มลู นิธิสืบนาคะเสถียร มลู นิธิโลกสีเขียว เสนอความเหน็ วา่ ไมค่ วรอนญุ าตให้จดั ทาป่ าชมุ ชนใน เขตพืน้ ท่ีอนรุ ักษ์ตามกฎหมายอนั ได้แก่พืน้ ท่ีในเขตอทุ ยานแห่งชาติ เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าและเขต พืน้ ที่ล่มุ นา้ ชนั้ 1A โดยเห็นวา่ พืน้ ที่ดงั กลา่ วมีความเปราะบาง ควรรักษาไว้ให้เป็ นธรรมชาตแิ ละไม่ ควรให้คนเข้าไปทากิจกรรมหรือใช้ประโยชน์ รวมถึงไมเ่ ชื่อมน่ั ในกระบวนการจดั การป่ าของชมุ ชน12 ขณะท่ีองค์กรชาวบ้าน นักวิชาการท่ีสนบั สนุนสิทธิชุมชนเห็นว่าชุมชนมีศกั ยภาพในการจัดการ เพียงพอในการจัดการและใช้ประโยชน์จากป่ าได้อย่างสมดุล การจัดการป่ าชุมชนของชาวบ้าน ส่วนใหญ่ก็ตงั้ ในเขตพืน้ ท่ีอนรุ ักษ์เป็ นส่วนใหญ่ จากข้อขดั แย้งดงั กลา่ วทาให้ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน ยงั สามารถไม่ผ่านการพิจารณาจากองค์กรนิติบญั ญัติและเป็ นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในเวที สาธารณะหลายแหง่ 4.2 หลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540: มุ่งสู่รัฐสภาเพ่ือตรากฎหมาย จากการยอมรับสิทธิในการจดั การทรัพยากรของชมุ ชนไว้ในรัฐธรรมนญู 2540 อนั ถือเป็ น กฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ เป็ นผลให้กระแสการเคลื่อนไหวของขบวนการสิทธิชมุ ชน ชุมชนเป็ นไปอย่างคึกคัก มีการสร้ างเครือข่ายชุมชนในพืน้ ท่ีต่างๆ อย่างกว้างขวาง คาดว่ามี เครือข่ายชมุ ชนถึงสองพนั ชมุ ชนทว่ั ประเทศ13 แตก่ ารปรับตวั ของภาครัฐไมว่ ่าจะเป็ นฝ่ ายบริหาร หรือฝ่ ายนิติบญั ญัติยงั เป็ นไปอยา่ งล่าช้าและเหมือนจะไมส่ อดคล้องไปกบั หลกั การของสิทธิชมุ ชน ที่รัฐธรรมนญู รับรองทาให้การรับรองสทิ ธิชมุ ชนไมส่ ามารถพฒั นาไปอยา่ งตอ่ เนื่อง 11 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดบั เหตุการณ์สาคญั ร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ท่มี า http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 12 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดบั เหตุการณ์สาคัญร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ที่มา http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 13 สมั ภาษณ์กานนั อนนั ต์ ดวงแก้วเรือน วนั ท่ี 10 กรกฎาคม 2556. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 64

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 การดาเนินการในเชงิ นโยบายของรัฐบาลที่เกิดขนึ ้ ภายหลงั รัฐธรรมนญู 2540 และถกู นาไป บงั คบั ใช้อยา่ งเคร่งครัดคือ มตคิ ณะรัฐมนตรี 30 มิถนุ ายน พ.ศ. 2541 ซ่ึงให้เร่งรัดกนั พืน้ ที่ป่ าสงวน แหง่ ชาติกลบั คืนกรมป่ าไม้ สาหรับในพืน้ ที่ป่ าอนรุ ักษ์หากมีราษฎรอย่อู าศยั ทากินอย่ใู ห้กรมป่ าไม้ พิจารณาดาเนินการตามความเหมาะสม หากสมควรอนุรักษ์ก็ให้กรมป่ าไม้กาหนดเป็ นเขตป่ า อนุรักษ์ตามกฎหมาย ซึ่งพืน้ ที่ป่ าอนุรักษ์ตามกฎหมายจะไม่นาไปดาเนินการปฏิรูปท่ีดินเพื่อ เกษตรกรรม และให้กรมป่ าไม้ประสานกบั หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ตรวจสอบ พิสูจน์การครอบครอง ท่ีดนิ ของราษฎร หากอยอู่ าศยั ทากินมาก่อนให้กรมป่ าไม้จดั ทาขอบเขตบริเวณที่อย่อู าศยั ท่ีทากิน ให้ชดั เจนและห้ามขยายพืน้ ที่เพม่ิ เตมิ โดยเดด็ ขาด ถ้าเป็ นพืน้ ที่ลอ่ แหลมคกุ คามตอ่ ระบบนิเวศน์ให้ พิจารณาดาเนินการตามความเหมาะสมเพื่อหาท่ีอยู่อาศัยท่ีทากินแหล่งใหม่หรือดาเนินการ เคลื่อนย้ายราษฎรออกจากบริเวณนนั้ ไปอย่อู าศยั ทากินในท่ีแห่งใหม่ หากราษฎรอย่อู าศยั ทากิน หลงั วนั ประกาศหวงห้ามเป็ นพืน้ ที่ป่ าไม้ให้เคล่ือนย้ายราษฎรออกจากพืน้ ที่ป่ าอนรุ ักษ์นนั้ หากยงั ไม่สามารถเคล่ือนย้ายราษฎรออกจากพืน้ ท่ีได้ทนั ทีให้ดาเนินการควบคมุ ขอบเขตพืน้ ที่ไม่ให้ขยาย เพ่ิมเติมโดยเด็ดขาด ในด้านของการป้ องกันพืน้ ที่ป่ า ถ้ามีการบุกรุกพืน้ ท่ีป่ าใหม่และ/หรือขยาย พืน้ ท่ีอยอู่ าศยั ทากินเพิม่ เตมิ ให้ดาเนนิ การตามกฎหมายโดยเฉียบขาด การดาเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีฉบบั นีท้ าให้เกิดข้อขัดแย้งเกิดขึน้ ในหลายๆ พืน้ ท่ี เจ้าหน้าที่ของรัฐดาเนินการปราบปรามและจบั กมุ ผ้ทู ่ีอย่อู าศยั ในพืน้ ที่ป่ า เช่น กรณีบ้านปางแดง อาเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม่ ในขณะท่ีในระดบั พืน้ ท่ี กรมป่ าไม้ไม่ยอมให้ชาวบ้านขนึ ้ ทะเบียน และพิสจู น์สิทธิโดยเฉพาะการทาไร่หมนุ เวียนท่ีต้องย้ายพืน้ ที่ และกรมป่ าไม้ไม่ยอมรับการพิสูจน์ สทิ ธินีโ้ ดยอ้างคาสง่ั อธิบดกี รมป่ าไม้14 ซง่ึ ระบวุ า่ การขนึ ้ ทะเบยี นในพืน้ ที่ให้ขนึ ้ ทะเบียนเฉพาะที่ใช้จริง ในปัจจุบนั เพ่ือค้มุ ครองบุคคลในการทากินชว่ั คราว ทงั้ นีก้ ารออกคาสง่ั ของอธิบดีกรมป่ าไม้เป็ นการ ปฏิเสธสทิ ธิของชาวบ้านในพืน้ ท่ีอยา่ งชดั เจนโดยไม่ได้รับฟังถึงการอ้างถึงสิทธิชมุ ชนผา่ นการปฏิบตั ิ ตามจารีตประเพณีรวมถงึ พยานหลกั ฐานของชาวบ้านตา่ งๆ ท่ีปรากฏอยใู่ นความเป็นจริง ไมเ่ พียงหนว่ ยงานภาครัฐซง่ึ ทาหน้าท่ีในการปฏิบตั ติ ามกฎหมายโดยตรง ในการวินิจฉัยถึง ประเด็นสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญจากฝ่ ายตุลาการก็ทาให้สิทธิชุมชนไม่มีผลบงั คับในทาง กฎหมาย ดงั สะท้อนผ่านจากการตดั สินคดีของศาลที่แสดงให้เห็นถึงข้อจากัดในการตดั สินคดี โดยเฉพาะข้อจากดั ในการตคี วามในเร่ืองของสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 เชน่ 14 คาสงั่ กรมป่ าไม้ที่ กษ 0712.2/21320 วนั ท่ี 23 สงิ หาคม พ.ศ. 2543. 65 คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 - คดีแดงท่ี 895/2544 ของศาลจงั หวดั เชียงใหม1่ 5 พนักงานอัยการประจาศาลจังหวดั เชียงใหม่ฟ้ องจาเลยว่าจาเลยได้เข้าบกุ รุกเข้าไปก่น สร้าง แผ้วถาง ตดั ฟันต้นไม้ เผาและยดึ ถือครอบครองที่ดินในเขตป่ าสงวนแห่งชาติ บริเวณพืน้ ที่ป่ า ตาบลแมน่ าจร อาเภอแมแ่ จม่ จาเลยโต้แย้งว่าพืน้ ท่ีที่เกิดเหตเุ ป็ นชมุ ชนชาวเขาเผา่ ม้ง ซ่งึ มีการตงั้ หมบู่ ้านในพืน้ ที่นีม้ าประมาณ 150 ปี มีจารีตประเพณีการทาไร่หมนุ เวียน ปลกู ข้าวและข้าวโพดมา ก่อน การทาไร่หมุนเวียนของจาเลยกระทาเพื่อการยังชีพซ่ึงเป็ นจารีตประเพณีและวิถีชีวิตของ ชมุ ชนท่ีจาเลยอาศยั อยู่ ศาลจงั หวดั เชียงใหม่พิพากษาว่าจาเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป่ าสงวนแห่งชาติ 2507 ตดั สินลงโทษจาคกุ หกเดือน ปรับหน่ึงหมื่นห้าพันบาท จาเลยรับสารภาพเป็ นประโยชน์แก่การ พิจารณา ลดโทษให้ก่ึงหนง่ึ คงจาคกุ สามเดือน ปรับเจ็ดพนั ห้าร้อยบาท โทษจาคกุ ให้รอลงอาญาไว้ สองปี ให้จาเลยและบริวารออกจากพืน้ ท่ี นอกจากนนั้ การกระทาของจาเลยก่อให้เกิดการขาด แคลนไม้และส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษา คณุ ภาพส่ิงแวดล้อม 2535 มาตรา 97 ให้คานวณมูลค่าความเสียหายตามคาฟ้ อง คิดเป็ นเงิน 1,041,758.80 บาท จาเลยไม่ยอมชาระ พนกั งานจึงฟ้ องคดีเป็ นคดีแพ่งรียกคา่ เสียหายตามฟ้ อง รวมดอกเบีย้ ร้อยละ 7.5 ตอ่ ปี คิดเป็ นจานวน 130,219.85 บาท รวมทงั้ สิน้ 1,171,987.65 บาท สว่ นคดีแพง่ จาเลยได้ตอ่ ส้ตู ามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 มาตรา 46 โดยอ้างธรรมเนียมปฏิบตั ิ ศาล วินิจฉัยว่าคดีนีเ้ ป็ นคดีแพ่งเก่ียวเนื่องกบั คดีอาญา ศาลถือตามข้อเท็จจริงในส่วนของคดีอาญาท่ี จาเลยรับสารภาพ ประเด็นจึงมีเพียงว่าจาเลยจะต้องชดใช้ความเสียเท่าไหร่ ไม่มีประเด็นจะ วินิจฉยั ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 46 - คดแี ดงที่ 3860/2544 ของศาลจงั หวดั เชียงใหม1่ 6 พนกั งานอยั การประจาศาลจงั หวดั เชียงใหม่ฟ้ องจาเลยกบั พวกว่า ได้ร่วมกนั มีไม้สน แปร รูปซ่ึงเป็ นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามพระราชกฤษฎีกาไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530ไว้ครอบครอง ภายในเขตควบคมุ ไม้แปรรูป จาเลยโต้แย้งว่า นายปนุ ุ ขจุยแจ่มจิต ซึ่งเป็ นญาติของจาเลยได้ขอ 15 คดีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดงั้ เดิมกบั ข้อกังขาว่าด้วยความชอบธรรมในสงั คมไทย, เอกสารหลักประกอบการ ประชุมเวทีนโยบายสาธารณะเพ่ือเอาชนะความยากจน ครัง้ ท่ี 7, 23 มกราคม 2547 จดั โดยคณะทางาน โครงการก่อตงั้ สถาบนั สง่ เสริมการปฏิรูประบบยตุ ธิ รรมและความเป็ นธรรมในสงั คม, หน้า 13-14. 16 เร่ืองเดยี วกนั , หน้า 18-20. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 66

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 อนุญาตไปยังคณะกรรมการหมู่บ้านและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการหมู่บ้านแล้ว การขอ อนญุ าตใช้ไม้ใน “ป่ าชมุ ชน” ของหมบู่ ้าน ถือเป็นประเพณีปฏิบตั ใิ นชมุ ชนของตน และการตดั ไม้นนั้ จาเลยได้กระทาโดยเปิ ดเผยรู้เห็นกันในชุมชน การตดั ไม้สนของจาเลยเป็ นกระทาโดยชอบตาม รัฐธรรมนญู 2540 มาตรา 46 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ตดั สินว่าจาเลยเป็ นผ้สู นบั สนนุ ในความผิดฐานมีไม้สนแปรรูปไว้ใน ครอบครอง ลงโทษจาเลยจาคกุ แปดเดือน ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจาคกุ หกเดือน โทษจาคกุ ให้ รอ ลงอาญาไว้สองปี ข้อตอ่ ส้ขู องจาเลยตามมาตรา 46 รัฐธรรมนญู ศาลจงั หวดั เชียงใหมไ่ มไ่ ด้วินิจฉัย โดยไมไ่ ด้ให้เหตผุ ล - คดแี ดงท่ี 1035/2546 ของศาลจงั หวดั เชียงใหม1่ 7 พนกั งานอยั การประจาศาลจงั หวดั เชียงใหมไ่ ด้ฟ้ องจาเลยวา่ จาเลยได้เข้าตดั ไม้สกั ซง่ึ เป็ น ไม้หวงห้ามประเภท ก. ตาม พ.ร.บ. ป่ าไม้ 2484 ในเขตป่ าตาบลปิ งโค้ง อาเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม่ ซงึ่ กฎกระทรวงได้กาหนดให้เป็นเขตป่ าสงวนแห่งชาติ และมีพระราชกฤษฎีกากาหนดให้ เป็นเขตอทุ ยานแหง่ ชาติ จาเลยโต้แย้งว่าชุมชนท่ีตนเองอาศยั อยู่มีคณะกรรมการป่ าชุมชน ซึ่งแต่งตงั้ มาจากทุก หม่บู ้านในพืน้ ที่ และมีวฒั นธรรมการรักษาป่ าและการใช้ประโยชน์จากป่ า การใช้ทรัพยากรป่ าไม้ ได้มีการขออนญุ าตจากคณะกรรมการป่ าชมุ ชนตามจารีตประเพณีและได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการหมู่บ้านแล้ ว จาเลยเข้าใจว่าจาเลยมีสิทธิใช้ประโยชน์จากป่ าชุมชนตามจารีต ประเพณีซง่ึ รัฐธรรมนญู 2540 มาตรา 46 ได้รับรอง ศาลพิพากษาวา่ จาเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป่ าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14 มาตรา 31 วรรคสอง พ.ร.บ. ป่ าไม้ 2484 มาตรา 11 มาตรา 48 และมาตรา 73 วรรคสอง พ.ร.บ. อทุ ยาน แหง่ ชาติ 2504 มาตรา 10 (10) และมาตรา 25 แตก่ ารกระทาของจาเลยเป็ นการกระทากรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนกั ตาม พ.ร.บ. ป่ าไม้ รวมจาคุกสองปี ปรับสองหมื่นบาท จาเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึง่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือโทษจาคกุ หนึง่ ปี ปรับหนง่ึ หม่ืนบาท จาเลยไมเ่ คยได้รับโทษจาคกุ มาก่อนจงึ ให้โอกาสจาเลยกลบั ตวั เป็ นพลเมืองดี โทษจาคกุ ให้รอลงอาญาไว้สองปี ข้อตอ่ ส้ขู องจาเลยตามมาตรา 46 เป็ นอนั ตกไปเพราะจาเลยได้ สมคั รใจรับสารภาพ 17 เร่ืองเดียวกนั , หน้า 15-17. 67 คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 รวมถึงตอ่ มาในภายหลงั ศาลรัฐธรรมนญู ได้มีแนวคาวนิ จิ ฉัยในคาวินิจฉยั ศาลรัฐธรรมนญู ที่ 62/2545 คาวินจิ ฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ท่ี 25/2547 คาวินิจฉยั ศาลรัฐธรรมนญู ท่ี 52-53/2547 ได้วินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่ายงั ไม่มีกฎหมายระดบั พระราชบัญญัติมารองรับ เน่ืองจาก รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 46 ท่ีมีข้อความตอนท้ายว่า “ทัง้ นีต้ ามท่ีกฎหมายบัญญัติ” เม่ือไม่มี กฎหมายระดบั พระราชบญั ญัติออกมารองรับจึงไม่อาจจะบงั คบั ได้ ทาให้กระบวนการบงั คบั ใช้สิทธิ ของชมุ ชนตามกฎหมายไมเ่ กิดขนึ ้ คาพิพากษาของศาลแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและการมองสิทธิชุมชนอยา่ งจากดั การ ปฏิเสธแนวคิดเรื่องสิทธิชมุ ชนของตลุ าการโดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการยอมรับจารีตประเพณี ธรรมเนียมปฏิบตั ิต่างๆ ของชุมชนในการจดั การทรัพยากร คาพิพากษาของศาลวางหลกั อยู่บน ฐานท่ีว่าการคุ้มครองสิทธิของชุมชนจะต้องเป็ นไปตามกฎหมายลายลักษณ์อักษร ดงั นนั้ การ ตดั สินคดีโดยศาลยตุ ิธรรม ศาลไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องสิทธิชมุ ชนแม้จะได้ยกขึน้ เป็ นประเด็นข้อต่อสู้ ในคดี และวินจิ ฉยั ข้อพพิ าทตา่ งๆ ไปตามกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรที่มีอยโู่ ดยไมไ่ ด้สนใจบทบญั ญตั ิ ในรัฐธรรมนญู จากคดีท่ีกล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่าทงั้ ศาลยุติธรรมและศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธท่ีจะยอมรับ สิทธิของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรแม้วา่ จะได้มีการบญั ญัตริ ับรองในรัฐธรรมนญู ดงั นนั้ หลงั จาก การตอ่ ส้คู ดีในศาลยตุ ิธรรมและคาตดั สินของศาล ทาให้ในช่วงเวลาทศวรรษ 2540 เกิดกระแสการ เรียกร้ องของชุมชน นกั วิชาการ และองค์กรพฒั นาเอกชน เพ่ือให้เกิดการตรา พ.ร.บ. ป่ าชุมชน ขนึ ้ มารับรองสิทธิตามรัฐธรรมนญู เพื่อให้เกิดรูปธรรมของสิทธิชมุ ชน ซ่ึงจะเป็ นฐานสาคญั สาหรับ สถาบนั ตลุ าการในการรับรองสทิ ธิชมุ ชนในการวนิ ิจฉยั ข้อพพิ าทตา่ งๆ ภายหลังที่ศาลมี คาพิพ ากษาคดีโดยปฏิ เสธถึงสิทธิ ชุมช นท่ีได้ รับรองในรัฐธรรมนูญ เครือข่ายป่ าชุมชนได้พยายามทาให้สิทธิชุมชนมีผลเป็ นรูปธรรมมากขึน้ บนความตระหนกั ถึง “สิทธิ” ที่รัฐธรรมนญู 2540 มาตรา 46 รับรองไว้แตไ่ ม่ได้มีสภาพบงั คบั ทางกฎหมายในความเป็ น จริงแตอ่ ย่างใด การมีกฎหมายรับรองสิทธิของชมุ ชนเป็ นหนทางสาคญั ที่จะทาให้ชมุ ชนมีสถานะ ทางสิทธิในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะในการอ้างเพ่ือใช้โต้แย้งเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบคุ คลภายนอก ชมุ ชน รวมถงึ จะเป็นการรับรองสทิ ธิท่ีทาให้สถาบนั ตลุ าการไมอ่ าจปฏิเสธสทิ ธิชมุ ชนได้ กระบวนการแรกท่ีเกิดขึน้ ก็คือ การเข้าช่ือของประชาชนห้าหมื่นรายช่ืออันเป็ นไปตาม บทบญั ญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 170 เพื่อเสนอกฎหมายป่ าชมุ ชนฉบบั ประชาชน ซ่ึง เครือข่ายป่ าชุมชนภาคเหนือประกาศเจตนารมณ์ ระดมช่ือของประชาชนเพ่ือเสนอกฎหมายป่ า คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 68

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ชมุ ชนรวมถึงเครือขา่ ยอื่นๆ จนกระทงั่ วนั ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2543 ตวั แทนเครือข่ายป่ าชุมชนท่ัว ประเทศได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนฉบบั ประชาชน พร้ อมรายชื่อเกินกว่าห้าหม่ืนรายช่ือต่อ ประธานรัฐสภา ตอ่ มาวนั ท่ี 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 สภาผ้แู ทนราษฎรก็ได้รับหลกั การร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนในวาระท่ีหน่ึง พร้ อมกับการแต่งตงั้ คณะกรรมาธิการวิสามญั พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ า ชุมชน แต่ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ได้มีการประกาศยุบสภาเกิดขึน้ จึงมีผลทาให้ร่าง กฎหมายซง่ึ ยงั ค้างการพจิ ารณาอยใู่ นสภาผ้แู ทนราษฎรมีอนั ตกไป18 วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ได้มีการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวนั ที่ 26 กุมภาพันธ์ รัฐบาลภายใต้ การนาของพรรคไทยรักไทยได้ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และ คณะรัฐมนตรีได้ยืนยันที่จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนที่ค้างอยู่ให้ แล้ วเสร็จ วันท่ี 23 พฤษภาคม รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการพิจารณาดงั กล่าว และมีการแต่งตงั้ กรรมาธิการ วิสามญั พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบบั นี ้ซึ่งในคณะกรรมาธิการฯ ชดุ นีม้ ีตวั แทนจากประชาชน 13 คน จากกรรมาธิการ 35 คน พร้อมทงั้ ดาเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตอ่ ร่าง พ.ร.บ. ป่ า ชุมชน กระบวนการผลกั ดนั ร่างกฎหมายดรู าวจะเข้าใกล้ความจริงมากขึน้ เม่ือสภาผ้แู ทนราษฎร พิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน ด้วยคะแนนเสียง 341 เสียง เมื่อวนั ท่ี 7 พฤษภาคม พ.ศ. 254419 กระบวนการขับเคล่ือนการจัดการป่ าชุมชนยังดาเนินไปอย่างต่อเนื่องผ่านเวทีความ ร่วมมือของชุมชน นกั วิชาการและองค์กรพฒั นาเอกชน เช่น สถาบนั พระปกเกล้าจดั สมั มนาเร่ือง “ป่ าชุมชนกับการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน” ซึ่งมีตัวแทนชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา เข้าร่วมเพ่ือนาเสนอข้อสรุปจากการประชุมเสนอเพื่อ ประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามญั ของวฒุ ิสภา หรือการจดั เวทีมหกรรมฟื น้ ป่ าภาค ประชาชน โดยองค์กรพฒั นาเอกชน ตวั แทนชมุ ชน และนกั วิชาการ มากกว่า 105 แห่ง ที่ป่ าชมุ ชน ดงมะไฟ ตาบลขนั้ บนั ไดใหญ่ จงั หวดั ยโสธร20 18 บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ, การเมืองเร่ืองป่ าชุมชน [ออนไลน์] 10 ตุลาคม 2556 แหล่งที่มา: www.midnightuniv.org/การเมืองเร่ืองป่ าชมุ ชน. 19 เร่ืองเดียวกนั . 20 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดบั เหตุการณ์สาคญั ร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ท่มี า http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 69

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ต่อมาร่าง พ.ร.บ. ฉบบั นีก้ ็ได้เข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งวฒุ ิสภามีมติซ่ึงเป็ นการ เปลี่ยนหลกั การสาคญั ของร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน โดยวฒุ ิสภาได้ปรับแก้เนือ้ หาของร่างกฎหมายใน ประเดน็ สาคญั โดย “ไม่ให้ชมุ ชนท่ีอย่ใู นเขตป่ าอนรุ ักษ์จดั ตงั้ ป่ าชมุ ชน” การแก้ไขหลกั การสาคญั ของร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนของวุฒิสภาทาให้เกิดการเคลื่อนไหวของเครือข่ายป่ าชุมชนต่อมาอีก หลายครัง้ เช่น กล่มุ เครือข่ายป่ าชมุ ชนและองค์กรพฒั นาเอกชน ร่วมกนั จดั งานเสวนา “4 นกั คิด เปิ ดทิศทาง พรบ.ป่ าชมุ ชน” ประกอบด้วย ศ.นพ.ประเวศ วะสี นายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ศ.เสน่ห์ จามริก โดยนกั วิชาการทงั้ 4 ท่าน เห็นตรงกันถึงความไม่เข้าใจปัญหาป่ า ชมุ ชนของวฒุ ิสภา เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนแหง่ ประเทศไทยและองค์กรพนั ธมิตรจดั งาน “รวมพลเพื่อคน รักป่ า มหกรรมเสียงจากป่ าชมุ ชน” ณ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร สถาบนั ประปกเกล้า จดั สมั มนาเร่ือง “ทิศทางป่ าชมุ ชนแหง่ ประเทศไทยหลงั การประชมุ ส่งิ แวดล้อมโลก” เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนภาคเหนือได้ จดั งาน “มหกรรมคนรักดิน นา้ ป่ า” ท่ีอาเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม่ รวมถึงการระดมรายช่ือ นกั วิชาการรวบรวมรายชื่อหน่ึงพนั รายชื่อเพ่ือสนบั สนนุ ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนตามหลักการเดิม21 แม้ว่าตอ่ มาสภาผ้แู ทนราษฎรมีมตไิ ม่เห็นด้วยกบั การแก้ไขร่างกฎหมายฉบบั นีข้ องวฒุ ิสภา ทาให้ ต้องมีการตงั้ คณะกรรมาธิการร่วมระหวา่ งสองสภาจานวน 12 คน เพ่ือพิจารณาประเดน็ การขอตงั้ ป่ าชุมชนในพืน้ ท่ีป่ าอนุรักษ์ แต่การประชุมของกรรมาธิการร่วมทัง้ สองสภายังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากสภาผ้แู ทนราษฎรชุดดงั กล่าวหมดวาระลงทาให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ร่างกฎหมาย ฉบบั นีจ้ งึ เป็นอนั ตกไปอีกครัง้ หนงึ่ 22 ภายหลงั การเลือกตงั้ ใน พ.ศ. 2548 พรรคเพ่ือไทยได้รับการเลือกตงั้ เป็ นรัฐบาลอีกครัง้ มี การเสนอร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนที่ค้างตอ่ คณะรัฐมนตรีโดยคณะรัฐมนตรีรับทราบและได้เสนอเรื่อง ตอ่ สภาผ้แู ทนราษฎรพจิ ารณาตอ่ สภาผ้แู ทนราษฎรรับรองเรื่องและมีการเสนอตงั้ กรรมาธิการร่วม สองสภาเพ่ือพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน โดยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้มีมติแต่งตงั้ คณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน โดยมีการแก้ไขสาระสาคญั ของร่างกฎหมาย ด้วยการเพ่มิ เตมิ พืน้ ที่เขตอนรุ ักษ์พิเศษซง่ึ จะไม่ให้ชมุ ชนท้องถ่ินมีสิทธิเสนอจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชน โดยรัฐ 21 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดบั เหตุการณ์สาคัญร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ทีม่ า http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 22 บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ, การเมืองเร่ืองป่ าชุมชน [ออนไลน์] 10 ตุลาคม 2556 แหล่งท่ีมา: www.midnightuniv.org/การเมอื งเรื่องป่ าชมุ ชน. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 70

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 สามารถกันพืน้ ท่ีเขตอนรุ ักษ์พิเศษออกก่อนภายในระยะเวลาสองปี โดยชุมชนจะไม่สามารถขอ จดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนไว้ในร่างฉบบั ดงั กลา่ ว การกาหนดเขตพืน้ ที่อนุรักษ์พิเศษไว้ในร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน ทาให้เกิดข้อถกเถียงและ ความคิดที่ไม่เห็นด้วยจากหลายภาคส่วน อนันต์ ดวงแก้วเรือน ประธานเครือข่ายป่ าชุมชน ภาคเหนือ กลา่ ววา่ ไมแ่ นใ่ จเร่ืองเขตอนรุ ักษ์พิเศษวา่ จะเป็ นพืน้ ท่ีใดบ้าง แล้วถ้าทบั ซ้อนกบั พืน้ ที่ป่ า ชมุ ชนที่ชมุ ชนได้จดั การป่ าอย่แู ล้วก็จะเกิดปัญหาขดั แย้งระหว่างชาวบ้านกบั เจ้าหน้าท่ีตามมา จึง เรียกร้องให้ตดั เรื่องเขตพืน้ ท่ีอนรุ ักษ์พเิ ศษออก23 การเคล่ือนไหวคดั ค้านร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนที่กรรมาธิการร่วมสองสภาแก้ไขเพ่ิมเติม เกิดขึน้ อย่างกว้างขวาง พฤ โอเดเช่า พร้อมกับพวก 98 คนจากเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนเชียงดาวและ เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนลมุ่ นา้ วางได้ออกเดนิ จากอาเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ถึงหน้ารัฐสภาวนั ท่ี 14 ธันวาคม พ.ศ. 2548 โดยใช้เวลา 49 วัน เพื่อเรียกร้ องให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยืนยนั ตามร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนฉบบั แรกที่ได้พิจารณาแล้วเสร็จ และ ปฏิเสธร่างฉบบั ซึ่งทางคณะกรรมาธิการร่วมทงั้ สองสภาได้พิจารณาแก้ไขเสร็จ โดย พฤ โอเดเช่า อ้างว่ามีการระบุถึง “เขตอนุรักษ์พิเศษ” ซึ่งมีความหมายคลุมเครือและไม่ทราบว่าจะมีการ ประกาศตรงไหนบ้าง24 อยา่ งไรก็ตาม ยงั คงไม่มีการบรรจรุ ่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนเข้าสู่การประชมุ จนหมดวาระการ ประชมุ สมยั นิติบญั ญัติเม่ือ วนั ท่ี 19 ธนั วาคม พ.ศ. 2548 และต้องรอเปิ ดสมยั ประชมุ อีกครัง้ ใน เดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 กระบวนการเคล่ือนไหวเรื่องสิทธิชุมชนในช่วงเวลานี ้ เป็ นความสอดคล้องต้องกันของ เครือข่ายป่ าชุมชน บนความคาดหวังถึงการมีกฎหมายออกมารองรับสิทธิชุมชนและกาหนด รายละเอียด วิธีการ เพิ่มเติมไปจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ความล่าช้ าและความ เปลี่ยนแปลงที่ปรากฏขนึ ้ ในกระบวนการตรากฎหมายทาให้กฎหมายป่ าชมุ ชนไมผ่ า่ นการพิจารณา ของรัฐสภาหลายครัง้ ล้วนแล้วแตบ่ น่ั ทอนพลงั และความเชื่อมนั่ ของชมุ ชนลง 23 www.codi.or.th/nature. ชีช้ ะตา พรบ.ป่ าชุมชน. 24 สานกั ข่าวประชาไท, พฤ โอ่โดเชา : \"ผมต่างหากท่ีต้องถาม พวกคุณรักษากันอย่างไร ป่ ากลายเป็ น เมืองหมด\" [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ทม่ี า http://prachatai.com/journal/2005/12/6831 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 71

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ปัญหาการชะงกั งนั ของร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนที่เกิดขนึ ้ หลายครัง้ ชศู กั ด์ิ วิทยาภคั ได้อธิบาย วา่ 25 “การท่ีพระราชบญั ญัติป่ าชมุ ชนยงั ไปไม่ถึงไหน ไม่ใช่เรื่องของการขาดกระบวน ทศั น์หรือขาดหลกั ฐานประจกั ษ์จริงในเร่ืองสิทธิร่วมกนั ของชมุ ชน แตอ่ ย่ทู ี่การขาด จินตนาการเก่ียวกับสถาบนั ในหมู่ชนชัน้ นาและผู้กาหนดนโยบายท่ีเป็ นตวั จักร สาคญั ในการผลกั ดนั สิทธิชมุ ชนได้รับการนาไปปฏิบตั ิซ่ึงเกี่ยวข้องกบั ระบอบของ อานาจและการจัดระเบียบทางสถาบัน การเปล่ียนแปลงเก่ียวกับระบอบ กรรมสิทธ์ิยอ่ มมีผลสะเทือนตอ่ กลมุ่ สถานภาพเดิมและมกั จะถกู ตอ่ ต้านเพื่อรักษา อานาจนนั้ ไว้” ตอ่ มาได้เกิดความขดั แย้งในทางการเมืองและนาไปส่กู ารยดึ อานาจเมื่อ 19 กนั ยายน 2549 อนั ส่งผลกระทบให้กระบวนการผลกั ดนั ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนซึ่งมีเป้ าหมายอย่ทู ี่รัฐสภาต้องเผชิญกับ สถานการณ์ทางการเมืองท่ีผนั ผวนมากกว่าเดิม แม้ว่าต่อมาสภานิติบญั ญัติแห่งชาติ (สนช.) ซ่ึง ได้รับการแตง่ ตงั้ ขนึ ้ ภายหลงั การรัฐประหารได้มีการเสนอและพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน โดย สมาชิก สนช. อนั ประกอบด้วยพลเอกสรุ ินทร์ พิกุลทอง นางเตือนใจ ดีเทศน์ นายวลั ลภ ตงั คณานุ รักษ์ นายบญั ญัติ ทศั นียะเวช นายวิบูลย์ เข็มเฉลิม นายสรุ ิชัย หวนั แก้ว ได้ เสนอร่าง พ.ร.บ. ป่ า ชมุ ชน เพ่ือรับรองสิทธิประเพณีของชมุ ชนท้องถิ่นในการจดั การป่ าชมุ ชน แต่เครือข่ายป่ าชมุ ชน 4 ภาค ได้คดั ค้านร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนฉบบั นีโ้ ดยให้เหตผุ ลวา่ ร่างกฎหมายฉบบั นีไ้ ม่ได้มีส่วนร่วมของ ชมุ ชน และบิดเบือนเจตนารมณ์เดิมของชุมชนโดยเฉพาะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชนของ คณะกรรมาธิการ ซงึ่ ในร่างดงั กล่าวมีมาตราท่ีเป็ นประเดน็ สาคญั คือ มาตรา 25 กาหนดการจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนในเขตป่ าอนรุ ักษ์ทาได้เฉพาะชมุ ชนท่ีตงั้ ถิ่นฐานมาก่อนการประกาศพืน้ ท่ีป่ าอนรุ ักษ์และ ได้จดั การดแู ลมาไมน่ ้อยกวา่ 10 ปี และมาตรา 34 ห้ามทาไมใ่ ห้มีการทาไม้ในป่ าชมุ ชนที่ตงั้ อย่ใู น เขตป่ าอนรุ ักษ์26 ซ่งึ ร่างกฎหมายดงั กลา่ วได้ผ่านการลงคะแนนของคณะกรรมาธิการวิสามยั และเข้าส่กู าร พิจารณาของ สนช. ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 ข้อถกเถียงตามร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน (ฉบบั 25 สมชาย ปรีชาศลิ ปกลุ , นิติศาสตร์ชายขอบ (กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์วญิ ญชู น จากดั , 2548), หน้า 90. 26 บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ, การเมืองเร่ืองป่ าชุมชน,[ออนไลน์] 10 ตุลาคม 2556 แหล่งที่มา: www.midnightuniv.org/การเมอื งเร่ืองป่ าชมุ ชน. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 72

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 สนช.) กลายเป็ นข้อขัดแย้งระหว่างผู้เสนอกับเครือข่ายป่ าชุมชน นกั วิชาการและองค์กรพัฒนา เอกชนซง่ึ มีความเหน็ ตา่ งและไมย่ อมรับร่างดงั กลา่ ว ทงั้ นีเ้น่ืองจากสมาชิกสภา สนช. เกือบทงั้ หมด มาจากข้าราชการและทหาร ซ่ึงมีแนวคิดตามกรอบราชการเป็ นหลักนาและปฏิเสธไม่ยอมรับ อานาจของชมุ ชน ซงึ่ ก็ได้สะท้อนผา่ นมาตรา 25 และมาตรา 34 นอกจากนนั้ กฎหมายอ่ืนที่อยใู่ น ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบญั ญัติแห่งชาติ เช่น ร่าง พ.ร.บ. นา้ ร่าง พ.ร.บ. ความมน่ั คง ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแตเ่ ป็นการมงุ่ ขยายขอบเขตอานาจของระบบราชการให้เพม่ิ มากขนึ ้ ทงั้ สนิ ้ โดยไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมเพ่ือสิทธิเสรีภาพประชาชนได้ ให้ความเห็นตอ่ ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน (ฉบบั สนช.) วา่ 27 “ประชาชนไม่อาจฝากความหวงั ได้ว่า พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนท่ีจะออกมานนั้ จะเป็ นไป ตามเจตนารมณ์ที่เสนอไป การพิจารณาของสมาชิกสภานิตบิ ญั ญัติแห่งชาติส่วน ใหญ่เป็ นข้าราชการจะคิดจากหลกั การแบบเดิม คือไม่ยอมให้เกิดสิทธิและการ จดั การโดยประชาชน” สว่ นอนนั ต์ ดวงแก้วเรือน ท่ีปรึกษาเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนภาคเหนือ ให้ความเหน็ วา่ 28 “หาก พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนมีผลบงั คบั ทางกฎหมาย จะไม่เป็ นประโยชน์ตอ่ การจดั การ ป่ าชมุ ชนของชาวบ้านอยา่ งแนน่ อน เพราะไมไ่ ด้ตงั้ อยบู่ นพืน้ ฐานข้อเท็จจริงในการ จดั การป่ าชมุ ชนปัจจบุ นั ” อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน สนช. ก็ได้มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ. ป่ าชุมชน ฉบบั สนช. ด้วยคณะเสียง 57 ตอ่ 2 เสียง 4.3 หลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550: เม่ือคาตอบกลับมาสู่องค์กรปกครองท้องถ่นิ กฎหมายป่ าชุมชนที่ สนช. ได้บญั ญัติขึน้ นาไปสู่กระบวนการคดั ค้านของเครือข่ายป่ า ชมุ ชนอีกครัง้ แม้ว่าจะเป็ นกฎหมายที่กาหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้สิทธิชุมชน แตห่ ลกั การ 27ไทยเอ็นจีโอ, จับตามองความจริงใจของรัฐบาล\"ผ่าน พรบ.ป่ าชุมชน( ฉบับประชาชน)\" [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่มี า: http://www.thaingo.org/story/news_20744.htm 28 ไทยเอ็นจีโอ, จับตามองความจริงใจของรัฐบาล\"ผ่าน พรบ.ป่ าชุมชน( ฉบับประชาชน)\" [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ทม่ี า: http://www.thaingo.org/story/news_20744.htm คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 73

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 และเนือ้ หาของ พ.ร.บ. ฉบบั นีไ้ ม่สอดคล้องไปกับเจตนารมณ์เดิมของชุมชน ทงั้ นีท้ งั้ ฝ่ ายชุมชน นกั วิชาการ และองค์กรพฒั นาเอกชน ซึง่ เห็นวา่ มาตรา 25 ของ พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนฉบบั นี2้ 9 จะทาให้ การขออนญุ าตจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนเป็ นไปได้ยากมากขนึ ้ และทาให้ชมุ ชนจานวนมากไม่สามารถจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนขนึ ้ มาได้ และมาตรา 34 เร่ืองการห้ามใช้ประโยชน์จากป่ าไม้ในป่ าชมุ ชนท่ีอย่ใู นเขตป่ า อนรุ ักษ์ ซึง่ ป่ าชมุ ชนสว่ นใหญ่ตงั้ อยใู่ นเขตป่ าอนรุ ักษ์ การห้ามใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชนในเขตป่ า อนรุ ักษ์จงึ ไมส่ อดคล้องกบั ความเป็นจริงและกลบั เป็นการลดิ รอนสทิ ธิชมุ ชนลง พลเอกสรุ ินทร์ พิกลุ ทอง นางเตือนใจ ดีเทศน์ นายแพทย์อาพล จินดาวฒั นะ สมาชิกสภา นติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ ซง่ึ ร่วมเป็ นกรรมาธิการวิสามญั พิจารณาร่างพระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชน ได้ออก แถลงการณ์วา่ 30 “แม้กฎหมายป่ าชุมชนจะยังไม่สมบูรณ์เท่าท่ีประชาชนคาดหวังแต่ก็เป็ นการ เริ่มต้นที่ดี สิ่งท่ีนา่ เสียดายคือ กฎหมายยงั ไม่ให้สิทธิของชมุ ชนที่อยใู่ นเขตอนรุ ักษ์ ซึ่งดูแลป่ าชุมชนในเขตอนุรักษ์มาเป็ นเวลาหลายสิบปี กลับไม่มีสิทธิขอตงั้ ป่ า ชมุ ชนให้ถกู ต้องได้” ไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมเพ่ือสทิ ธิเสรีภาพประชาชน ให้ความเหน็ ไว้วา่ 31 “หวั ใจของการเคลื่อนไหวเร่ือง พ.ร.บ.ป่ าชมุ ชน คอื ชมุ ชนต้องการจดั การป่ าชุมชน ภายใต้หลักการที่สมดุลและย่ังยืน ประชาชนจึงมีสิทธิและสามารถต่อสู้ตาม ขนั้ ตอนที่จะคดั ค้าน” 29 มาตรา 25 การขอจดั ตงั้ ป่ าชมุ ชนในเขตอนรุ ักษ์ในท้องทใี่ ด ให้กระทาได้เฉพาะกรณีท่ีชมุ ชนนนั้ ตงั้ ถิ่นฐานมา ก่อนการประกาศให้พนื ้ ทที่ ี่ชมุ ชนนนั้ ตงั้ อยเู่ ป็ นเขตอนรุ ักษ์ และชมุ ชนนนั้ ได้จดั การดแู ลรักษาพนื ้ ทดี่ งั กลา่ วใน ลกั ษณะเป็ นป่ าชมุ ชนมาแล้วไมน่ ้อยกวา่ ห้าปี ก่อนวนั ทพ่ี ระราบญั ญตั นิ ใี ้ ช้บงั คบั และยงั คงดแู ลรกั ษาพืน้ ทน่ี นั้ เป็ น ป่ าชมุ ชนอยา่ งตอ่ เนือ่ งมาจนถงึ วนั ท่ีขอจดั ตงั้ ตามพระราชบญั ญตั นิ ี ้รวมทงั้ มีพฤตกิ รรมท่แี สดงให้เหน็ ถงึ วฒั นธรรมแหง่ การดารงชีพทเ่ี กือ้ กลู ตอ่ การดแู ลรักษาป่ าและระบบนเิ วศ 30 สถานขี า่ วประชาธรรม, เครือข่ายป่ าชุมชนเหนือแถลงไ” ม่รับ กม.ป่ าชุมชน”ฉบับผ่าน สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่ีมา: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=r1_22112007_01 31 สานกั ข่าวประชาไท, วัดใจ สนช. ผ่าน กม.ป่ าชุมชน เอาใจรัฐ หรือประชาชน [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ทม่ี า: http://prachatai.com/node/23770/talk คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 74

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ชพู ินิจ เกษมณี อาจารย์ประจามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้กล่าวถึงกฎหมายป่ า ชมุ ชนฉบบั นีว้ า่ 32 “แม้ พ.ร.บ.ป่ าชุมชนที่ออกมาจะบอกว่าชาวบ้านมีส่วนร่วมในการจดั การแต่ก็ เป็ นไปแบบไม่เต็มท่ี ยงั มีการตงั้ เงื่อนไขข้อบงั คบั ไว้เยอะมาก เป็ นการใช้อานาจ นิยมแบบสดุ ๆ” สว่ นการเคล่ือนไหวท่ีจะไมร่ ับ พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชน (ฉบบั สนช.) ในส่วนของชมุ ชน นายพฒั น์ ขนั สลี ประธานเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนภาคเหนือ (ประกอบด้วย จงั หวดั แพร่ พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย ลาพนู แมฮ่ อ่ งสอนและนา่ น) กลา่ ววา่ 33 “เมื่อกฎหมายเข้าส่กู ารพิจารณาของ สนช. ความหมายในกฎหมายก็เปลี่ยนไป ทนั ที และไมเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ ประชาชนท่ีจะฟื น้ ฟปู ่ าไม้และดแู ลรักษาป่ า” เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนภาคเหนือได้ออกแถลงการณ์ประกาศไมร่ ับ พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนท่ีผา่ นการ พจิ ารณาของสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ พร้อมทงั้ เสนอจดุ ยืน ดงั นี ้ 1. ไมย่ อมรับวา่ กฎหมายฉบบั นีเ้ป็นกฎหมายป่ าชมุ ชน 2. ในการดาเนินการตามกฎหมายป่ าชุมชนในระยะเร่ิ มต้ น ตัง้ แต่การแต่งตัง้ คณะกรรมการ นโยบายป่ าชมุ ชนแหง่ ชาติ คณะกรรมการป่ าชมุ ชนประจาจงั หวดั หรือการย่ืนคาขอ เพ่ือจดั ตงั้ ป่ าชุมชน จะยงั ไม่เข้าร่วมดาเนินการใดๆ จนกว่าจะมีการปรับปรุงเนือ้ หากฎหมายให้ เหมาะสมอยา่ งกวา่ นี ้ 3. ประชาชนซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการดแู ลรักษาทรัพยากร การป้ องกนั ไฟป่ า การป้ องกนั การบุกรุกทาลายป่ า เมื่อกฎหมายป่ าชุมชนออกมาในลักษณะนี ้ ถือว่าเป็ นการทาลายขวัญ 32 สถานขี า่ วประชาธรรม,ชี้ ”กม.ป่ าชุมชน”ฉบับ สนช.ขัดอนุสัญญาระหว่างประเทศ, [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ทม่ี า: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=n6_10012008_02 33 ASTVผ้จู ดั การออนไลน์, เครือข่ายป่ าชุมชนรุมค้าน พ.ร.บ.ป่ าฯฉบับ สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ทมี่ า: http://www.manager.co.th/local/viewnews.aspx?newsid=9500000138990 คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 75

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 กาลงั ใจ และความตงั้ ใจในการดแู ลจดั การป่ าของชมุ ชนและเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อดาเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี3้ 4 1) ให้ผ้มู ีอานาจหน้าท่ีในการย่ืนเร่ืองให้ตลุ าการรัฐธรรมนูญพิจารณา เช่น สนช.จานวน 25 คน หรือคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาตวิ า่ กฎหมายร่าง พ.ร.บ. ชมุ ชนฉบบั ดงั กลา่ วขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู 2) จะเข้าพบประธาน สนช. เพ่ือยื่นความจานงเข้าช่ือหนงึ่ หม่ืนช่ือเสนอกฎหมายป่ าชมุ ชน (แก้ไข) เพ่ือนากฎหมายเข้าสสู่ ภาอีกครัง้ เม่ือเปิดสภาในสมยั ตอ่ ไป 3) เครือข่ายป่ าชมุ ชนทงั้ 76 จงั หวดั จะจดั เวทีเพื่อย่ืนข้อเสนอตอ่ พรรคการเมืองทกุ พรรค เพื่อทบทวนปรับปรุงเนือ้ หาของกฎหมายป่ าชมุ ชน 4) จะร่วมกบั เครือขา่ ยพนั ธมิตรนารัฐธรรมนญู มาตรา 303 เพ่ือยบั ยงั้ กฎหมายจนกวา่ จะ มีการเลือกตงั้ และได้สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรท่ีเป็ นตวั แทนประชาชน มาพิจารณากฎหมายตาม ระบอบประชาธิปไตยตอ่ ไป คณะกรรมการประสานงานองค์กรพฒั นาเอกชน (กป.อปร.) ได้ออกแถลงการณ์เช่นกัน วา่ 35 “ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน และให้สมาชิก สนช. ท่ีไม่เห็นด้วยกับร่างฯ คดั ค้าน ด้วยวธิ ีการท่ีเหมาะสม” การคดั ค้าน พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนซงึ่ ผา่ นการพิจารณาจาก สนช. เป็นไปอยา่ งกว้างขวาง ตอ่ มา สมาชิกสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ จานวน 29 คน ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนญู ตีความวา่ มาตรา 25 และ มาตรา 34 ของ พ.ร.บ. ป่ าชุมชนฉบบั นีข้ ดั ตอ่ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 66 และมาตรา 67 ภายหลงั ซง่ึ ศาลรัฐธรรมนญู ได้มีคาวินิจฉัยท่ี 15 /2552 วา่ กระบวนการตรากฎหมายของสภานิติ บญั ญตั แิ ห่งชาตไิ ม่ชอบด้วยกฎหมายในเร่ืองขององค์ประชมุ ทาให้ การตราร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนท่ี ตราขนึ ้ ไมถ่ กู ต้องเป็นผลให้กฎหมายดงั กลา่ วไมม่ ีผลบงั คบั ใช้ 34 ASTV ผ้จู ดั การออนไลน์, เครือข่ายป่ าชุมชนรุมค้าน พ.ร.บ.ป่ าฯฉบับ สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ที่มา: http://www.manager.co.th/local/viewnews.aspx?newsid=9500000138990 35 ASTV ผ้จู ดั การออนไลน์, เครือข่ายป่ าชุมชนรุมค้าน พ.ร.บ.ป่ าฯฉบับ สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่มี า: http://www.manager.co.th/local/viewnews.aspx?newsid=9500000138990 คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 76

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 การใช้ระยะเวลาที่ยาวนานในกระบวนการขององค์กรนิติบญั ญัติและต้องเผชิญกับการ ปรับแก้ร่าง พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนทาให้มีเนือ้ หาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชน เกิดผลตอ่ ความเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่พยายามจะผลักดันสิทธิชุมชนภายใต้ การยอมรับผ่านตัวบท กฎหมาย เครือขา่ ยของชมุ ชนตระหนกั ถึงความล้มเหลวของการตอ่ ส้เู รียกร้องและสะท้อนผา่ นการ ปฏิเสธการมี พ.ร.บ. ป่ าชมุ ชนวา่ “พวกเขาไม่ได้ต้องการพระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชน” การปฏิเสธการ มีกฎหมายฉบบั นีแ้ ละการหวนกลบั สพู่ ืน้ ที่ของตวั เอง ชาวบ้านเร่ิมตระหนกั อีกครัง้ วา่ การจดั การป่ า ชมุ ชนของพวกเขายงั คงมีอย่ใู นระดบั พืน้ ท่ีแม้วา่ ไมม่ ีกฎหมายมารองรับก็ตาม ความเปล่ียนแปลงที่ เกิดขนึ ้ ในองคก์ รชมุ ชนก็คอื การหนั มาให้ความสาคญั กบั อานาจภายในท้องถิ่นโดยเฉพาะอยา่ งย่ิง บทบาทขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นท่ีจะมาเกือ้ หนนุ ในการจดั การทรัพยากรของชมุ ชน อนนั ต์ ดวงแก้วเรือน ให้ความเหน็ ถงึ กฎหมายป่ าชมุ ชน (ฉบบั สนช.) วา่ 36 “ผมดีใจที่กฎหมายป่ าชุมชนไม่ได้ออกมา ผมว่าถ้ากฎหมายป่ าชุมชนออกมา ภายใต้เง่ือนไขตวั นนั้ ผมก็ต้องมีปัญหามาก” รวมถึงความเห็นท่ีมีตอ่ การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายป่ าชมุ ชนที่ผา่ น มาวา่ “การเคลื่อนไหวข้างบนมนั เป็ นการลงทนุ สงู หมายความวา่ ชาวบ้านต้องควกั ตงั ค์ ต้องเสียสละ ไม่มีเวลาสาหรับเรื่องพวกนีแ้ ล้วชีวิต ทามาหากินดีกว่า แล้วย่ิงเคย ไปเคลื่อนแล้วไมส่ าเร็จ มนั เจบ็ คือ เคลื่อนพวกนีม้ นั ลงทนุ สงู ในแง่ตวั ชีวิตเขาต้อง เสียสละพอสมควร ผ้นู าต้องมาประชมุ ” ในขณะเดียวกนั ความขดั แย้งในทางการเมืองภายหลงั การรัฐประหารได้เป็ นเง่ือนไขสาคญั ท่ีทาให้กระบวนการเคลื่อนไหวเร่ิมมีระยะห่างจากกันมากขึน้ และมีผลอย่างสาคัญต่อความ เข้มแขง็ ของการเคลื่อนไหวท่ีลดระดบั ลง โดย “หลงั จากปี 2549 หลงั การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มนั ก็เริ่มก็เก่ียวกนั คือคยุ กนั ไมร่ ู้เรื่อง เร่ืองเหลืองแดง พืน้ ท่ีทางสงั คมในเชียงใหม่เราก็ลดน้อยลง”37 เครือขา่ ยที่เคยมีการประสานงานกนั อยา่ งใกล้ชิดก็เปล่ียนแปลง 36 อนนั ต์ ดวงแก้วเรือน ,สมั ภาษณ์ วนั ที่ 10 กรกฎาคม 2556. 77 37 นคิ ม พทุ ธา, สมั ภาษณ์ วนั ท่ี 26 ตลุ าคม 2555. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 “เม่ือก่อนมาตามกฎหมายเร่ืองป่ าชุมชน มีกานัน มีอะไรมาตาม มีเวทีประชุม ตดิ ตาม หลงั จากส้เู ร่ืองนนั้ ไมส่ าเร็จมนั ก็เลยสลายไปโดยปริยาย ไม่มีเครือขา่ ยป่ า ชุมชนมา ในการติดตามของเชียงใหม่ก็เป็ นเครือข่ายการจัดการทรัพยากรก็ รวมทงั้ หมด แตว่ า่ มนั เป็ นการรวมกนั เพ่ือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจดั การ เล็กๆ น้อยๆ ไป ไมไ่ ด้ร่วมเพ่ือท่ีจะไปส้รู บปรบมือ”38 ท่ามกลางความอ่อนแรงภายหลังจากไม่สาเร็จในการผลักดัน พ.ร.บ. ป่ าชุมชน ใน ขณะเดียวกนั ก็มีการปรับตวั เกิดขนึ ้ ด้วยการให้ความสาคญั กับชมุ ชนแตล่ ะแห่งในการดาเนินการ โดยชมุ ชนแตล่ ะแหง่ เพ่ิมมากขนึ ้ “หลงั จากปี 2548 ที่กฎหมายไม่ได้ เครือขา่ ยก็หมดแรงลงไป ก็กลบั ไปดแู ลกนั เอง ตามแต่ละชุมชน โดยหวังว่าถ้ามีป่ าชุมชนเถื่อนเยอะๆ รัฐบาลก็จะต้องออก กฎหมายมารองรับเอง”39 “ชาวบ้านเราแพ้ ทาให้ชาวบ้านต้องหาทางออกท่ีจะปกป้ องรักษาทรัพยากรของ เรา ณ เวลานี ้ป่ าชมุ ชนตาบลแม่ทาไม่ได้ให้ความสาคญั กับพระราชบญั ญัติป่ า ชมุ ชนแล้ว ป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ าไมไ่ ด้ให้ความสาคญั หรือความต้องการกฎหมาย ใด ไม่วา่ จะเป็ นรัฐธรรมนญู หรือพระราชบญั ญัติเข้ามารับรอง แม่ทามีจดุ ยืนแบบ นี ้นอกจากนนั้ กรรมการป่ าชมุ ชนก็ยงั ไมแ่ น่ใจว่ารูปแบบของการจดั การป่ าชมุ ชน ที่นาไปกาหนดในพระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชนจะมีลกั ษณะอยา่ งไร”40 ชมุ ชนแตล่ ะแหง่ กลายเป็นฐานที่มน่ั สาคญั ของการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริม ความเข้มแข็งภายในชมุ ชนจงึ มีความสาคญั เน่ืองจากผลสาเร็จของการจดั การป่ าชมุ ชนนนั้ ในด้าน หน่ึงขึน้ อยู่กบั เง่ือนไขความเข้มแข็งภายในของแต่ละชมุ ชน รวมทงั้ มีการปรับตวั ของการใช้สิทธิ ชมุ ชนกบั อานาจรัฐในระดบั ท้องถ่ินปรากฏขนึ ้ “มนั ก็ขนึ ้ อยกู่ บั แตล่ ะพืน้ ที่ บางพืน้ ที่ก็มีบนั ทึกข้อตกลงร่วมกนั ว่าจดั การแบบนีน้ ะ ขนั้ ท่ีหนงึ่ ให้ใช้ระเบยี บมาตรการชมุ ชน ขนั้ ท่ีสอง ให้เจ้าหน้าที่ป่ ามาร่วมไกลเ่ กลี่ย 38 เดโช ไชยทพั , สมั ภาษณ์ วนั ที่ 23 พฤษภาคม 2556. 78 39 อนนั ต์ ดวงแก้วเรือน, สมั ภาษณ์ วนั ท่ี 10 กรกฎาคม 2556. 40 ณรงค์เดช บญุ มาอปุ รองนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า สมั ภาษณ์ วนั ท่ี 30 มกราคม 2556. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ขัน้ ท่ีสาม ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ส่งฟ้ องศาล มันมีลักษณะการผสมระหว่างสิทธิ ชุมชนกับอานาจรัฐ มันเริ่มผสมกัน ไม่ได้อยู่คนละขวั้ ไม่ได้ก็ส่งฟ้ องศาล มนั มี ลกั ษณะของการผสมระหวา่ งสทิ ธิชมุ ชนกบั อานาจรัฐ”41 ซง่ึ ในมมุ มองของเจ้าหน้าท่ีรัฐก็ได้มีการตระหนกั ถึงศกั ยภาพของชมุ ชนรวมทงั้ ยอมรับว่า ชมุ ชนบางแหง่ ก็มีความสามารถในการดแู ลจดั การพืน้ ที่ป่ าได้ ด้วยการปล่อยให้ชมุ ชนสามารถดแู ล จดั การป่ าโดยที่หน่วยงานรัฐไม่ได้ใช้อานาจของตนเองโดยตน42 ขณะท่ีองค์กรพัฒนาเอกชนก็มี ความเปลี่ยนแปลงอย่างสาคญั ภายในปรากฏขึน้ อนั เนื่องมาจากข้อจากัดทางด้านงบประมาณ ขององคก์ รอนั ทาให้องคก์ รพฒั นาเอกชนก็ต้องมีการปรับตวั ในการดาเนินกิจกรรมของตน “ในเรื่องเอ็นจีโอ มันมีการเปล่ียนแปลงเร่ืองแหล่งทุน เอ็นจีโอประสบปัญหานี ้ แบบหนกั มาก มนั ทาให้ต้องรักษาตวั เองสงู เพราะมนั ถกู วิจารณ์แบบแรงๆ วา่ โปร เจ็ค (project) ทาไมเป็ นเช่นนี ้เพราะมนั ไม่สามารถเลีย้ งตวั เองได้ พอเลีย้ งตวั เอง ไม่ได้ก้ต้องรักษาตวั รอด ก็ต้องเสนอโปรเจ็คไปตามแหล่งทุน ซ่ึงแหล่งทุนจะเป็ น ตวั กาหนดประเดน็ เป็ นหลกั ”43 ทงั้ นี ้ได้ปรับเปล่ียนทิศทางในการเคล่ือนไหวของชมุ ชนโดยเริ่มท่ีจะกลบั มาอาศยั อานาจ ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินเข้ามาเป็ นฐานท่ีมน่ั ของการเคล่ือนไหวจดั เรื่องสิทธิชมุ ชน แม้จะ ไมไ่ ด้เป็นเร่ืองท่ีทาได้สาเร็จในทกุ พืน้ ท่ีเพราะความแตกตา่ งกนั ทงั้ ในแง่ความเข้มแข็งของชมุ ชน จดุ เชื่อมโยงระหวา่ งชมุ ชนและองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน หรือแม้แตค่ วามหวาดระแวงกนั ของชมุ ชน และองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น แตใ่ นหลายพืน้ ท่ีก็มีการผลกั ดนั องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้เข้า มามีสว่ นร่วมในการรับรองสิทธิชมุ ชน ชมุ ชนในตาบลแม่ทาเป็ นตวั อย่างหนึ่งของความพยายามใน การผลกั ดนั ให้องค์การบริหารสว่ นตาบลเข้ามามีบทบาทในการจดั การป่ าชมุ ชนและรวมไปถึงการ จดั การทรัพยากรด้านอ่ืนๆ เช่น ที่ดิน นอกจากนีใ้ นอีกหลายพืน้ ท่ีก็ได้มีการผลกั ดนั ให้เกิดการออก ข้อบญั ญตั ทิ ้องถ่ินเพ่ือรับรองการใช้อานาจของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติทงั้ ป่ าและ ที่ดนิ ดงั ตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปนี ้ 41 เดโช ไชยทพั , สมั ภาษณ์ วนั ท่ี 23 พฤษภาคม 2556. 79 42 อโนทยั เพยี รคงชล หวั หน้าอทุ ยานแหง่ ชาติแมต่ ะไคร้ วนั ท่ี 30 มกราคม 2556. 43 ไพโรจน์ พลเพชร, สมั ภาษณ์ วนั ที่ 29 กนั ยายน 2556. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 1. การตราข้อบญั ญตั อิ งคก์ ารบริหารสว่ นตาบลแมท่ าวา่ ด้วยการจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแม่ ทา พ.ศ. 255044 การจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแมอ่ อน ต้องผา่ นการตอ่ ส้ทู งั้ ในสว่ นกบั หนว่ ยงานรัฐ เอกชนและ ชาวบ้านด้วยกนั เอง พ.ศ. 2548 องค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ าได้มีแนวคดิ ที่จะกาหนดเร่ืองการ จดั การป่ าชมุ ชนไว้ในข้อบญั ญัติองค์การบริหารส่วนตาบล ทงั้ นีเ้ นื่องจากปัญหาที่ผ่านมาในการ จัดการป่ าชุมชนตาบลแม่ทาโดยระเบียบข้อบงั คบั ของชุมชนกันเองนนั้ มีปัญหาหลายประการ เกิดขนึ ้ ทาให้มีความจาเป็นท่ีต้องบญั ญตั เิ ป็นข้อบญั ญตั อิ งคก์ ารบริหารสว่ นตาบล คือ45 ประการแรก คณะกรรมการป่ าชุมชนท่ีจดั ตงั้ ขึน้ โดยชาวบ้านกันเองนัน้ ถูกมองว่าเป็ น คณะกรรมการเถ่ือนทาให้ไม่สามารถบงั คบั ใช้ข้อบังคับของชุมชนได้ ทางองค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินจงึ จาเป็นท่ีจะต้องเข้าไปรับรองในสว่ นนนั้ ประการที่สอง การตราข้อบญั ญัติท้องถิ่นจะทาให้การจดั การป่ าชมุ ชน คณะกรรมการป่ า ชมุ ชนมีฐานรองรับทางกฎหมายท่ีจะตอ่ รองกบั หนว่ ยงานราชการ ประการท่ีสาม ข้อบงั คบั ในการจดั การป่ าชมุ ชนของแตล่ ะหม่บู ้านมีความแตกตา่ งกนั ในแง่ ของการบงั คบั ทาให้เกิดความหละหลวมในการบงั คบั การตราเป็ นข้อบญั ญัติขององค์การบริหาร สว่ นตาบลทาให้มีหลกั การในจดั การป่ าชมุ ชนเป็นหลกั ปฏิบตั เิ ดียวกนั ประการท่ีส่ี ในการจดั สรรงบประมาณ เมื่อกาหนดเป็ นข้อบญั ญตั ิเทา่ กบั เป็ นการบงั คบั ให้ องค์การบริหารสว่ นตาบลต้องปฏิบตั ติ าม และต้องจดั สรรงบประมาณ บคุ ลากร เพ่ือดาเนินการ ซง่ึ ปัจจุบนั นีก้ ารจัดการป่ าชุมชนอยู่ในสาขาของการจดั การทรัพยากร สงั คมและเศรษฐกิจ ซ่ึงทาง องค์การบริหารสว่ นตาบลจะจดั ทาเวทีการทาแผนขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบลและจะบรรจเุ ข้าใน หมวดของการจดั การทรัพยากร สงั คมและเศรษฐกิจ กระทงั่ พ.ศ. 2550 องค์การบริหารส่วนตาบลแม่ทาได้ตราข้อบญั ญัติองค์การบริหารโดย อาศยั อานาจจากกฎหมายการกระจายอานาจท้องถิ่นว่าด้วยการจดั การทรัพยากรท่ียกระดบั การ จดั การป่ าชมุ ชนโดยชาวบ้านเป็นกฎหมายขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน 44 ข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ าวา่ ด้วยการจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ า พ.ศ. 2550 ดใู นภาคผนวก ค. 45 ณรงค์เดช บญุ มาอปุ , รองนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า,สมั ภาษณ์ วนั ที่ 30 มกราคม 2556. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 80

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 2. คาสง่ั องค์การบริหารสว่ นตาบลเปี ยงหลวงท่ี 202/2556 เร่ือง การแตง่ ตงั้ คณะกรรมการ สนบั สนนุ กระบวนการแก้ไขปัญหาการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมและที่ดินโดย ชมุ ชน ตาบลเปี ยงหลวง อาเภอเวียงแหง จงั หวดั เชียงใหม่46 คาสงั่ ดงั กลา่ วขององค์การบริหารสว่ นตาบลเปี ยงหลวงเพ่ือจดั ตงั้ คณะกรรมการเพื่อศกึ ษา กระบวนการออกข้ อบัญญัติท้องถ่ินเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อมและท่ีดนิ ในระดบั หม่บู ้าน/ชมุ ชนและระดบั ตาบล เพื่อกาหนดแนวทางการจดั การ ดแู ล รักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยเฉพาะในพืน้ ท่ีป่ าชมุ ชนในเขตตาบลเปี ยงหลวง 3. การตกลงความร่วมมือกระบวนการจดั ทาข้อเสนอร่างข้อบญั ญัติตาบลว่าด้วยการ จดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม จังหวดั แม่ฮ่องสอนโดยองค์การบริหารส่วนจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน47 องค์การบริหารส่วนจงั หวดั แม่ฮ่องสอนได้ตกลงทาความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วน ตาบลในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดแม่ฮ่องสอน สมาคมฟื น้ ฟูและพฒั นาลุ่มนา้ สาละวิน จัดทาแนวทางการบริหารจดั การทรัพยากรผ่านการใช้ อานาจท้องถิ่นในการออกข้อบญั ญัติท้องถ่ินเพื่อรองรับกติกาการใช้ประโยชน์ ฟื น้ ฟูทรัพยากรใน ท้องถ่ิน โดยทางองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แม่ฮ่องสอนได้ดาเนินการประกาศองค์การบริหารส่วน จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ท่ี 275/2555 แตง่ ตงั้ คณะกรรมการอานวยการระดบั จงั หวดั เพ่ือออกข้อบญั ญตั ิ ตาบลเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองรูปแบบการจัดการ ทรัพยากรโดยชมุ ชน 4. การจดั ทาร่างข้อบญั ญัตติ าบลว่าด้วยการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารส่วนตาบลปางหินฝน อาเภอแม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ ตามคาสง่ั องค์การบริหาร สว่ นตาบลปางหินฝนที่ 015/2553 แตง่ ตงั้ คณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินและการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมโดยชุมชน ตาบลปางหินฝน อาเภอแม่แจ่ม จังหวัด เชียงใหม4่ 8 46 คาสง่ั องค์การบริหารสว่ นตาบลเปี ยงหลวงท่ี 202/2556 ดใู นภาคผนวก ค. 81 47 บนั ทกึ ข้อตกลงความร่วมมือกระบวนการจดั ทาข้อเสนอ ร่างข้อบญั ญตั ติ าบลวา่ ด้วยการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมจงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ดใู นภาคผนวก ค. 48 คาสงั่ องค์การบริหารสว่ นตาบลปางหินฝนที่ 015/2553 ดใู นภาคผนวก ค. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่