Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การฟังและการพูด

การฟังและการพูด

Published by Education, 2022-01-18 15:05:18

Description: การฟังและการพูด

Keywords: การฟังและการพูด

Search

Read the Text Version

7.1 Express an opinion or point of view การแสดงความคดิ เห็นและมุมมอง สมชาย ชยั ธนะตระกลู (2555) กล่าววา่ ปัจจุบนั ภาษาองั กฤษนบั เป็นภาษาที่มีความสาคญั เป็นอยา่ งมาก ประชาชน ในแต่ละสังคมมีความกระตือรือร้นที่จะหมน่ั ฝึ กฝนตนเองให้มีความเขา้ ใจในภาษาองั กฤษเพื่อที่จะใชใ้ นการโตต้ อบ แสดง อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และขอ้ สนั นิษฐานน้นั ออกมาใหผ้ ฟู้ ัง ผอู้ ่านไดร้ ับรู้ เม่ือกล่าวถึงความคิดเห็น จาเป็นตอ้ งกล่าวถึงขอ้ เทจ็ จริงดว้ ย ขอ้ เทจ็ จริงคือ ขอ้ มูล ปรากฏการณ์ และเรื่องราวต่าง ๆ ตามท่ีปรากฏ แก่บุคคลทว่ั ไป ดงั ตวั อยา่ งประโยค 1. I really believe that … ฉนั เช่ือวา่ ... 2. I honestly feel ฉนั รู้สึกวา่ ... / คิดวา่ ... 3. I honestly think … ฉนั คิดวา่ ... 4. Without a doubt … ไม่สงสยั เลยวา่ ... 5. I’m convinced that … ฉนั เห็นวา่ ... 6. I’m quite sure that … ฉนั ค่อนขา้ งมน่ั ใจวา่ .... 7. No doubt ฉนั สงสัยเลย....

7.2 Express uncertainty and seek clarification การแสดงความไม่มน่ั ใจและถามเพอ่ื ความกระจ่าง

7.2 Express uncertainty and seek clarification การแสดงความไม่มน่ั ใจและถามเพอื่ ความกระจา่ ง อรุโณทยั เขตหาญ และ เพญ็ ศิริ รัตนศรี (2559) กล่าวว่า การฝึ กฝนภาษาองั กฤษน้นั ควรอยา่ งยงิ่ ที่จะฝึ กหดั เขา้ ใจ คาศพั ทแ์ ละประโยค โดยการฝึ กจดจาหรือเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทุก ๆ วนั จนทาให้เราสามารถเขา้ ใจภาษาองั กฤษไดช้ ดั เจนทุก ประโยค แต่ถา้ เราไม่เขา้ ใจสามารถถามดว้ ยประโยค ดงั น้ี 1. Are you saying that … ? คุณหมายความวา่ …. หรือ? 2. Can I ask you to explain what you mean by…? ฉนั ขอใหค้ ุณอธิบายหน่อยวา่ คุณหมายความวา่ อยา่ งไร …? 3. I’m afraid I didn’t’t quite get your last point ... ฉนั รู้สึกวา่ ไม่ค่อยเขา้ ใจประเดน็ สุดทา้ ยของคุณ? 4. Could you go over it again, please? ช่วยอธิบายอีกคร้ังหน่อยไดไ้ หม? 5. Would you mind going over your last point again? ช่วยอธิบายประเดน็ สุดทา้ ยของคุณอีกคร้ังหน่อยไดไ้ หม?

7.3 Express disagreement การแสดงความไม่เห็นดว้ ย

7.3 Express disagreement การแสดงความไม่เห็นดว้ ย กองบรรณาธิการสานกั พิมพ์ POP GET BOOK (2557) กล่าววา่ การเรียนภาษาองั กฤษไม่ใช่การสอบ ใหไ้ ดค้ ะแนนท่ีดีที่สุด แต่มนั คือการฝึ กฝนเพ่อื ใหต้ วั เราสามารถนาภาษาองั กฤษไปใชเ้ พ่ือการสื่อสารใหไ้ ดจ้ ริง ๆ เช่นเม่ือคุณไม่ เห็นดว้ ยกบั ใครบางคน การแสดงมุมมองของคุณโดยที่ไม่ทาใหบ้ ุคคลน้นั ขุ่นเคืองนบั ว่าเป็นส่ิงท่ีทา้ ทายไม่นอ้ ย เพราะสิ่งสาคญั ท่ีตอ้ งทาในขณะเดียวกนั คือแสดงความคิดเห็นของคุณอยา่ งตรงไปตรงมา ดงั ตวั อยา่ งประโยค 1. I’m afraid I can’t agree with … ฉนั เกรงวา่ จะไม่เห็นดว้ ยกบั ..... 2. I’m sorry. I can’t accept that point of view … ขอโทษที ฉนั ไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นน้นั 3. I’m not sure I entirely agree with. ฉนั ไม่แน่ใจวา่ ฉนั เห็นดว้ ยท้งั หมด 4. That may be the case but … นน่ั อาจเป็นอีกกรณี แต่.. 5. That’s a good point but … 6. Yes, but don’t you forget … นน่ั เป็นประเดน็ ที่ดี แต่.. ใช่ แต่อยา่ ลืมวา่ ...

7.4 Express counter arguments การโตแ้ ยง้

7.4 Express counter arguments การโตแ้ ยง้ ชิดพงษ์ กววี รวฒุ ิ และคณะ (2550) กล่าววา่ การโตแ้ ยง้ เป็นการแสดงทรรศนะอยา่ งหน่ึง เป็นสิ่งท่ีสามารถเกิดข้ึน ไดต้ ลอดเวลาตราบใดท่ีการสนทนายงั คงดาเนินไป แต่เป็ นทรรศนะที่แตกต่างกนั ผูแ้ สดงทรรศนะตอ้ งพยายามหาเหตุผล อา้ ง ขอ้ มูลและหลกั ฐานต่างๆ เพื่อสนบั สนุนทรรศนะของตนและคดั คา้ นทรรศนะของอีกฝ่ ายหน่ึง ตวั อยา่ งประโยคการโตแ้ ยง้ คือ 1. Even if that is the case … แมว้ า่ นน่ั จะเป็นกรณีของ ... 2. Yes, that may be so but … ใช่ นน่ั อาจจะ .. แต่ … 3. That could be true but … มนั อาจจะถูก แต่ … 4. Possibly that’s right but … เป็นไปได้ มนั อาจจะถูก แต่ …

7.5 Sum up/ conclude the discussion การกล่าวสรุป

7.5 Sum up/ conclude the discussion การกล่าวสรปุ วริ ัช ลภิรัตนกลุ (2543, หนา้ 208) กล่าววา่ การบรรยายสรุปเป็นการอธิบายใหข้ อ้ มูลข่าวสารแก่ผูร้ ับสาร ก่อนท่ีจะ มีบางส่ิงบางอยา่ งเกิดข้ึน ก่อนที่จะมีบางส่ิงบางอยา่ งเกิดข้ึนน้นั หมายความว่า ก่อนที่จะมีกิจกรรมอ่ืน ๆ ต่อไป นนั่ เอง เช่น ใน การเย่ียมชมโรงงานแห่งหน่ึงของคณะสื่อมวลชน ก็จะมีการบรรยายสรุปให้แก่คณะสื่อมวลชนผูเ้ ขา้ เยี่ยมชม ก่อนที่จะนาชม โรงงาน เป็นตน้ 1. Let me sum up the discussion by saying … ขอสรุปการอภิปรายน้ีวา่ … 2. Let me try to pull the main threads of this argument together. ขอสรุปขอ้ โตเ้ ถียงน้ีวา่ วา่ … 3. I think as a group we basically agree that … กลุ่มพวกเรามีความเห็นวา่ … 4. I think that as a group we have decided that … กลุ่มพวกเราตกลงวา่ …

7.6 Asking for opinions การถามความคิดเห็น

7.6 Asking for opinions การถามความคดิ เห็น ชิดพงษ์ กววี รวฒุ ิ และคณะ (2550) กล่าวว่า การถามความคิดเห็น ทศั นคติจากคู่สนทนา เป็นสิ่งที่สามารถเกิดข้ึน ไดต้ ลอดเวลา ในการถามความคิดเห็นเม่ือมีฝ่ ายหน่ึงตอ้ งการที่จะทราบความคิดเห็นของอีกฝ่ ายหน่ึง ผถู้ ามจะข้ึนตน้ ประโยคท่ี เชิญชวนใหผ้ ูต้ อบบอกความคิดเห็นของตนเอง โดยปกติแลว้ ประโยคการถามความคิดเห็นท่ีมกั พบบ่อยๆ ในชีวิตประจาวนั มี ดงั ต่อไปน้ี 1. What do you think of … ? คุณคิดอยา่ งไรเก่ียวกบั … ? 2. What’s your opinion of … ? คุณมีความคิดเห็นอยา่ งไรเก่ียวกบั … ? 3. What are your thoughts on …? คุณมีความคิดอยา่ งไรเก่ียวกบั … ? 4. What do you reckon about … ? คุณคิดอยา่ งไรเกี่ยวกบั … ? 5. What are you feeling about … ? คุณรู้สึกอยา่ งไรเกี่ยวกบั … ?

บทที่ 8 Giving Opinions การแสดงความคดิ เห็น ฟ้ า แคมเบล

8.1 Giving Opinions การแสดงความคดิ เหน็

8.1 Giving Opinions การแสดงความคดิ เหน็ จินตนา ใบกาซูยี และคณะ (2550) กล่าวว่า โลกปัจจุบนั อยู่ในยุคโลกาภิวตั น์ ท่วั โลกจึงจาเป็ นตอ้ งติดต่อส่ือสาร แลกเปล่ียนข้อมูลความรู้และเทคโนโลยีกนั ตลอดเวลา การสร้างความสัมพนั ธ์อนั ดีกับชาวต่างชาติเพื่อเผยแพร่สังคมและ วฒั นธรรมในทุก ๆ ดา้ น การแสดงความคิดเห็น คือ การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และขอ้ สันนิษฐานน้นั ออกมาใหผ้ ฟู้ ัง ผอู้ า่ นไดร้ ับรู้ เม่ือกล่าวถึงความคิดเห็น จาเป็นตอ้ งกล่าวถึงขอ้ เทจ็ จริงดว้ ย ขอ้ เทจ็ จริง คือ ขอ้ มูล ปรากฏการณ์ และเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่ปรากฏแก่บุคคลทวั่ ไป ดงั ตวั อย่างประโยคเป็ นการแสดงความคิดเห็น ให้ผูอ้ ่านลองฝึ กพูดกับเพ่ือนหรือคู่สนทนาของตนโดยใส่ตวั อย่าง ประเดน็ หรือหวั ขอ้ เร่ืองที่กาลงั ปรากฏอยใู่ นขณะน้นั ๆ เช่น การเมือง สภาพอากาศ ข่าวดงั ในโทรทศั น์ เป็ นตน้ 1. As far as I’m concerned … เทา่ ท่ีดิฉนั เก่ียวขอ้ งดว้ ยกค็ ือ … 2. I would say that … ท่ีดิฉนั จะพดู ก็คือ … 3. The way I see it … แนวทางที่ดิฉนั เห็นก็คือ … 4. I’m of the opinion … ดิฉนั มีความคิดเห็นวา่ … 5. As I see it … เท่าที่ดิฉนั เห็นมนั … 6. It’s quite clear that … มนั ค่อนขา้ งชดั เจนวา่ … 7. It seems to me … สาหรับดิฉนั มนั ดูเหมือนวา่ …

8.2 Agreeing การแสดงความเห็นดว้ ย

8.2 Agreeing การแสดงความเห็นดว้ ย ชิดพงษ์ กววี รวุฒิ และคณะ (2550) กล่าววา่ ภาษาองั กฤษเป็ นภาษาสากลที่คนทว่ั โลกใชใ้ นการติดต่อสื่อสาร ในแต่ละ วนั เราตอ้ งแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนทศั นคติกนั การแสดงความคิดว่าเราเห็นดว้ ย หรือเรายอมรับดว้ ยจึงเป็ นเร่ืองท่ีปกติ ธรรมดา คาพดู ภาษาองั กฤษท่ีแสดงใหค้ ู่สนทนาทราบ เรารู้สึกเห็นดว้ ยกบั เขา ผอู้ ่านสามารถฝึกพูดกบั เพ่ือนหรือคู่สนทนาของตน โดยใส่ตวั อย่าง ประเด็น หรือหวั ขอ้ เร่ืองท่ีกาลงั ปรากฏอยู่ในขณะน้นั ๆ เช่น การเมือง กีฬา สภาพอากาศ ข่าวดงั ในโทรทศั น์ หนงั ละคร แลว้ เลือกใชป้ ระโยคแสดงความเห็นดว้ ย ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี 1. I would go along with you on that. ดิฉนั เห็นดว้ ยกบั คุณในเร่ืองนนั่ 2. I take your point. ดิฉนั เห็นดว้ ยกบั คุณ 3. That’s the way I see it. นนั่ คือแนวทางท่ีดิฉนั เห็น 4. I’m inclined to agree with you. ดิฉนั ออกจะเห็นดว้ ยกบั คุณ 5. Yes, you’ve got a point there. ใช่ คุณเขา้ ใจตรงจุดน้นั 6. I couldn’t’t agree more with you. ดิฉนั เห็นดว้ ยกบั คุณอยา่ งยง่ิ 7. That’s exactly the way I feel about the matter. นน่ั คือส่ิงที่ฉนั รู้สึกจริงเกี่ยวกบั เรื่องน้นั 8. I don’t think anyone would disagree with … ดิฉนั ไม่คิดวา่ จะมีคนไมเ่ ห็นดว้ ยกบั … 9. That makes sense. นนั่ เขา้ ใจได้ 10. I’m of the same opinion. ดิฉนั มีความคิดเห็นท่ีเหมือนกนั

8.3 Disagreeing การแสดงความไมเ่ หน็ ดว้ ย

8.3 Disagreeing การแสดงความไม่เหน็ ดว้ ย ชิดพงษ์ กววี รวฒุ ิ และคณะ (2550) กล่าววา่ ภาษาองั กฤษเป็นภาษาสากลที่คนทวั่ โลกใชใ้ น การติดตอ่ ส่ือสาร ทุกคนมีความคิดเห็นท่ีแตกต่างกนั ไดเ้ สมอ ดงั น้นั ในการทางานร่วมกนั กบั ผอู้ ื่นจึงมีท้งั ส่ิงท่ีเราเห็นคลอ้ ยตามหรือขดั แยง้ เมื่อเพ่ือนร่วมงานนาเสนอเรื่องตา่ ง ๆ ใหร้ ับรู้ เราจะพูดเป็นภาษาองั กฤษไดอ้ ยา่ งไร เม่ือเราไม่เห็นดว้ ยกบั ส่ิงท่ีบุคคลอื่นกล่าว ดงั น้นั เราสามารถฝึก พูดกบั เพ่ือนหรือคูส่ นทนาของเราโดยใส่ตวั อยา่ ง ประเดน็ หรือหวั ขอ้ เรื่องที่กาลงั ปรากฏอยใู่ นขณะน้นั ๆ เช่น การเมือง กีฬา สภาพอากาศ ข่าวดงั ในโทรทศั น์ หนงั ละคร แลว้ เลือกใชป้ ระโยคถามความคิดเห็นจากน้นั กแ็ สดงความเห็นดว้ ยหรือไม่เห็นดว้ ย ถา้ เราฝึกฝนบอ่ ย ๆ เราก็จะสามารถ สื่อสารไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่วและถูกตอ้ ง มาเริ่มโดยลองฝึกใชป้ ระโยคตวั อยา่ งต่อไปน้ี 1. That’s not the way I see it at all. นน่ั ไมใ่ ช่ส่ิงที่ดิฉนั เห็นเลยสักนิด 2. I can’t see how … ดิฉนั ไมเ่ ห็นวา่ จะ … ไดอ้ ยา่ งไร? 3. I wouldn’t go with you. ดิฉนั ไมเ่ ห็นดว้ ยกบั คุณ 4. I can’t say that I share your view. ดิฉนั ไมส่ ามารถกล่าวไดว้ า่ ดิฉนั คิดเห็นเช่นเดียวกบั คุณ 5. I don’t think … ดิฉนั ไม่คิดวา่ … 6. I see things rather differently myself. โดยส่วนตวั แลว้ ดิฉนั มีความคิดเห็นท่ีแตกต่าง. 7. But isn’t it more to do with … ? แต่วา่ มนั ไม่มีอะไรท่ีตอ้ งทามากกวา่ น้นั หรอกหรือ… ? 8. I’m not at all convinced by … ดิฉนั ไม่ไดถ้ ูกจูงใจโดย … 9. Well, I’m sure that’s not right. จริง ๆ แลว้ ดิฉนั แน่ใจวา่ มนั ไม่ถูก

8.4 Expressing Doubt การแสดงความสงสยั

8.4 Expressing Doubt การแสดงความสงสยั ชิดพงษ์ กววี รวฒุ ิ และคณะ (2550) กล่าววา่ การจะประสบความสาเร็จในการติดต่อส่ือสาร นอกจากเราจะตอ้ งทาหนา้ ที่ เป็ นผูร้ ับสารที่ดีแลว้ ยงั จาเป็ นตอ้ งทาหนา้ ที่การเป็ นผูส้ ่งสารที่มีประสิทธิภาพดว้ ยเช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในการสนทนาท้งั ท่ี ผรู้ ับและผสู้ ่งสารจะตอ้ งมีการพูดคุยโตต้ อบกนั ไปมาอยา่ งฉบั พลนั ซ่ึงแตกต่างจากการส่ือสารโดยการเขียน การสนทนาอย่างต่อเนื่องไม่มีเวลามากพอที่จะทาให้ผูส้ นทนาคิดส่ิงที่จะพูด ออกมาไดน้ าน หรือเมื่อสนทนาไปแลว้ ไม่เขา้ ใจหรือสงสัยในสิ่งท่ีผพู้ ูดกาลงั สื่อสาร เราสามารถถามดว้ ยประโยคดงั ตอ่ ไปน้ี 1. Well, I’m not sure that … จริง ๆ แลว้ ดิฉนั ไมแ่ น่ใจวา่ … 2. Are you sure that … ? คุณแน่ใจนะวา่ … ? 3. Really? Don’t you think … ? จริงหรือ? คุณไม่คิดเหรอวา่ … ? 4. Is that a fact? นน่ั เป็นขอ้ เทจ็ จริงหรือ? 5. How can we explain about this? เราจะอธิบายเร่ืองนี่ไดอ้ ยา่ งไร ? 6. How do we make it clearer? เราจะทาใหม้ นั ชดั เจนข้ึนกวา่ เดิมไดอ้ ยา่ งไร? 7. Do you really think that …? คุณคิดจริง ๆ หรือวา่ … ?

บทที่ 9 Clarification and Emphasizing การอธบิ ายและลาดบั ความสาคญั

9.1 Persuading การโนม้ นา้ ว

9.1 Asking for help Persuading การโนม้ นา้ ว ศิริพร โตพ่ึงพงศ์ (2552) กล่าวว่า ปัจจุบนั การพูดคุยติดต่อสื่อสารเป็ นการแลกเปลี่ยนความคิดซ่ึงกนั และกนั การพูดโน้ม นา้ วน้นั เป็ นการพยายามเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ ทศั นคติ การกระทาของบุคคลอื่น ดว้ ยกลวธิ ีท่ีเหมาะสม ให้มีผลกระทบใจผนู้ ้นั จนเกิดการ ยอมรับและเปลี่ยนตามผโู้ นม้ นา้ วใจตอ้ งการ การสื่อสารใหป้ ระสบผลสาเร็จคือการทาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจผพู้ ูด เขา้ ใจประเด็นที่ส่ือออกไป และจะดี มากหากผูฟ้ ังเขา้ ใจ และยอมรับ ปฏิบตั ิตาม หรือตกลงใจตามที่ผูพ้ ูดเสนอไป ดงั น้นั เพ่ือให้การส่ือสารคร้ังน้นั ๆ สาเร็จตามวตั ถุประสงค์ ดงั กล่าว ผูพ้ ูดอาจจาเป็ นตอ้ งพูดโนม้ นา้ วให้ผฟู้ ังเห็นดว้ ยเป็ น ดงั น้ีเรามาฝึ กโดยใหผ้ อู้ ่านฝึ กพูดตวั อยา่ งประโยคโนม้ นา้ วกบั คู่สนทนา แลว้ ลองดูวา่ คูส่ นทนาเราเห็นดว้ ยหรือไม่เห็นดว้ ยมากกวา่ กนั 1. Has it occurred to you that … ? มนั เกิดข้ึนกบั คุณไหม ที่วา่ … ? 2. There are other considerations. มีแง่อ่ืน ๆ ท่ีตอ้ งพจิ ารณา 3. Do you realize … คุณตระหนกั ไหมวา่ … ? 4. If you look at it in another light … ถา้ คุณมองในอีกแง่หน่ึง … 5. Wouldn’t you agree that … คุณไม่เห็นดว้ ยหรือที่วา่ … ? 6. I agree with that but … ดิฉนั เห็นดว้ ย แต่วา่ …

9.2 Asking and Clarifying for Clarification การถามเพอื่ ความกระจา่ ง

9.2 Asking and Clarifying for Clarification การถามเพอื่ ความกระจา่ ง อนุสรณ์ สรพรหม (2548) กล่าวว่า การสนทนากนั ไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไรก็ตาม ย่อมมีการสนทนาเรื่องต่าง ๆ คู่สนทนา จะตอ้ งสามารถบรรยายใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจได้ แตถ่ า้ หากผฟู้ ังไม่เขา้ ใจก็สามารถถามและบรรยาย เป็นประโยคภาษาองั กฤษเพือ่ ความกระจ่าง ใหผ้ อู้ ่านฝึ กถามคู่สนทนา โดยยกประเด็นต่าง ๆ ข้ึนมา หรือสมมุติสถานการณ์ เพ่ือใหค้ ู่สนทนา อธิบาย จากน้นั ใหส้ ลบั บทบาทกนั ฝึกถาม-ตอบ จนกวา่ จะคล่อง โดยใชป้ ระโยคดงั น้ี 1. Do you mean that? คุณหมายความวา่ ... หรือ? 2. Are you saying that? คุณหมายความวา่ … หรือ? 3. Can I get one thing clear? ดิฉนั ขอความชดั เจนสักเร่ืองหน่ึงไดไ้ หม ? 4. So what you are saying is …? คุณหมายความวา่ … หรือ ? 5. What exactly do you mean when you say …? จริง ๆ แลว้ คุณหมายความวา่ อยา่ งไร ท่ีคุณพูดวา่ … ? 6. I don’t quite understand what you mean by … ดิฉนั ไมค่ ่อยเขา้ ใจวา่ คุณหมายความวา่ อยา่ งไร ท่ีกล่าววา่ … 7. I don’t really see what you’re getting at … ดิฉนั ไมค่ อ่ ยเขา้ ใจวา่ คุณหมายถึงอะไร … 8. I’m afraid I’m not quite clear about … ดิฉนั เกรงวา่ ดิฉนั จะไมค่ อ่ ยเขา้ ใจเก่ียวกบั …

9.3 Clarifying การอธบิ ายเพอื่ ความกระจา่ ง

9.3 Clarifying การอธบิ ายเพอื่ ความกระจา่ ง 1. I was expressing the view that … ดิฉนั ไดแ้ สดงความคิดเห็นไวว้ า่ … 2. Let me put it another way. ดิฉนั ขอกล่าวในแง่อื่น ๆ 3. The point I’m trying to make is … ประเด็นท่ีดิฉนั กาลงั กล่าวถึงก็คือ … 4. What I mean is … ดิฉนั หมายความวา่ … 5. What I’m saying is … ดิฉนั กาลงั จะบอกวา่ … 6. To put my idea more clearly … เพ่อื ที่จะนาความคิดเห็นของดิฉนั มาแสดงใหช้ ดั เจนข้ึน … 7. No, that’s not quite what I mean. What I’m saying is … ไม่ค่ะ ดิฉนั ไม่ไดห้ มายความวา่ อยา่ งน้นั ... ดิฉนั กาลงั จะบอกวา่ … 8. No, you’ve missed the point of what I’m saying. ไมค่ ่ะ คุณเขา้ ใจผดิ ในสิ่งท่ีดิฉนั บอกไป … 9. Well, what I’m getting at is that … สิ่งที่ดิฉนั เขา้ ใจก็คือวา่ …

9.4 Interrupting การขอรบกวน การขอพูด แทรก

9.4 Interrupting การขอรบกวน การขอพูดแทรก ปี เตอร์ แมทธิว เบอร์เจส และรดาพร หงษท์ อง (2553) กล่าววา่ การเรียนภาษาองั กฤษเป็ นเรื่องของการฝึ กทกั ษะเพื่อให้เกิด ความชานาญท้งั ในดา้ นการพูดและการเขียน การเรียนรู้ดว้ ยการอ่านและพฒั นาความสามารถทางภาษาสู่ระดบั สูงโดยการอ่าน ในทานอง เดียวกนั การอา่ นคือหนทางท่ีมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากท่ีสุดในการเรียนภาษาองั กฤษ การสนทนากบั คู่สนทนาในเรื่องต่าง ๆ ในกรณีท่ีเราจะแสดงความคิดเห็นในขณะที่คู่ สนทนากาลงั พดู อยเู่ ราสามารถพดู โดยใชป้ ระโยค ดงั น้ี 1. May I say something here? ดิฉนั ขออนุญาตพดู อะไรซกั หน่อยตรงจุดน้ีดว้ ยคะ่ ? 2. If I could make a comment. ถา้ ดิฉนั จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ 3. May I point out that … ? ดิฉนั ขออนุญาตช้ีใหเ้ ห็นวา่ … ? 4. May I interrupt you for a moment? ดิฉนั ขออนุญาตแทรกซกั ครู่นะคะ่ ? 5. Sorry to interrupt, but … ขอโทษที่ตอ้ งแทรก แต่ … 6. Sorry to break in here, but don’t you think…ขอโทษที่ตอ้ งแทรกตรงน้ีค่ะแต่คุณไมค่ ิดหรือวา่ 7. Excuse me, but I’d just like to make a point here. ขอโทษค่ะ เพียงแต่ดิฉนั ประสงคท์ ่ีจะแสดงความคิดเห็นตรงส่วนน้ี 8. If I could say a word about … ถา้ ดิฉนั จะสามารถพูดเก่ียวกบั …

9.5 Emphasizing การยา้ ความสาคญั

9.5 Emphasizing การยา้ ความสาคญั I’m convinced that … You can’t deny the fact that … ดิฉนั ขอทาใหม้ น่ั ใจวา่ … คุณไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่วา่ Anybody can see that … It’s very clear … ใคร ๆ กส็ ามารถเห็นไดว้ า่ … มนั ชดั เจนมากท่ีวา่ …

9.6 Giving an Example การใหต้ วั อย่าง

9.6 Giving an Example การใหต้ วั อย่าง Cai Yonglin (2559) กล่าววา่ ปัจจุบนั ภาษาองั กฤษเขา้ มาเป็ นส่วนหน่ึงในชีวิต การฝึ กฝนภาษาองั กฤษเวลาจะเขียน หรือพดู อะไรสักอยา่ งแลว้ เกิดอยากอธิบายเพมิ่ เติมใหผ้ ฟู้ ังไดเ้ ขา้ ใจ ก็มกั จะใชก้ ารยกตวั อยา่ งเพื่อขยายความ ในภาษาองั กฤษมีคาที่ใช้ ในการยกตวั อยา่ งอยหู่ ลายตวั ดว้ ยกนั และแตล่ ะตวั ก็อาจจะมีวธิ ีการใชท้ ่ีแตกตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย ดงั น้ี For example ยกตวั อยา่ ง เช่น … For instance ยกตวั อยา่ ง เช่น … By way of example ยกตวั อยา่ ง เช่น To give you an idea จะยกตวั อยา่ ง เช่น

9.7 Negotiation การเจรจาตอ่ รอง

9.7 Negotiation การเจรจาตอ่ รอง

ประโยคทใี่ ชใ้ นสถานการณท์ ไี่ ดป้ ระโยชนท์ ง้ั สองฝ่ าย Let’s try to work 1. We need to come up with a mutually beneficial something out. solution. เราต้องหาขอ้ ตกลงทีท่ ง้ั สองฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ 2. Let's keep talking until we come up with a win-win situation. เราหารอื กนั ไปเรื่อยๆ จนกวา่ จะหาข้อสรุปท่ไี ดป้ ระโยชน์ท้งั สองฝ่าย 3. We'll agree to one of your demands if you'll agree to one of ours. ถา้ คุณยอมตกลงกบั ขอ้ เสนอของเราหนึง่ ขอ้ เราก็จะยอม ตกลงกบั ข้อเสนอของคุณหน่งึ ขอ้ เช่นกัน 4. If you come down a little bit, I'll go up a little bit ถ้าคณุ ยอมลดลงมาอีกสกั หน่อย เรากจ็ ะเพิ่มให้อกี สักนิด 5. You give up something, and I'll give up something. ถ้าคุณยอมถอยหนง่ึ กา้ ว ผมก็ยอมถอยหนึ่งกา้ ว

ประโยคสาหรบั ฝ่ ายทขี่ อใหป้ ระนีประนอม I can't afford 1. You'll have to do better than that. . that much. คณุ ตอ้ งให้เรามากกวา่ นนั้ 2. I'm sorry, but I can't accept your offer. ตอ้ งขอโทษดว้ ย แตผ่ มไมส่ ามารถรบั ข้อเสนอของคณุ ได้ 3. Please take some time to think about our offer. โปรดสละเวลาทบทวนข้อเสนอของเขาด้วยค่ะ 4. Get back to us when you're serious. ตดิ ต่อกลับมาใหมเ่ ม่อื คุณต้องการเจรจาอย่างจรงิ จงั 5. We need to compromise. เราตอ้ งประนปี ระนอม 6. You'll haye to give in on that point. สาหรบั จุดนนั้ คณุ คงต้องยอม

9.8 Refusals การปฏเิ สธ

9.8 Refusals การปฏเิ สธ

การใชอ้ ยา่ งเป็ นทางการ 1. I will not listen to anything else you have to say. I'm sorry, but ดิฉนั จะไมฟ่ งั คาพดู ใด ๆ ของคณุ อกี I can't accept 2. Sorry, but I'll have to turn down your offer. ขอโทษนะครับ แต่ผมจาเปน็ ตอ้ งปฏเิ สธข้อเสนอของคุณ 3. My decision is final-end of story. ดิฉันตดั สนิ ใจแลว้ ไมต่ อ้ งพดู อะไรอีก (ทา่ ทแี่ ข็งกร้าวมาก) 4. I refuse to accept your offer. ผมขอปฏิเสธทจี่ ะตอบรบั ขอ้ เสนอของคุณ 5. Sorry, I can't accept that. ขอโทษนะคะ ดฉิ นั รบั ไวไ้ มไ่ ด้

การใชอ้ ย่างไม่เป็ นทางการ No way, 1. I can't go for that. buddy ผมไมย่ อม 2. I'm not interested. ฉันไมส่ นใจ 3. Thanks, but no thanks. ขอบคณุ แตไ่ มเ่ ป็นไร 4. Not a chance. ไม่มีทาง 5. Out of the question. เปน็ ไปไมไ่ ด้

บทที่ 10 Idioms to Communication สำนวนเพอื่ กำรสอื่ สำร

10.1 ความสาคญั ของสานวน ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอื่ สาร

10.1 ควำมสำคญั ของสำนวนภำษำองั กฤษเพอื่ กำรสอื่ สำร English Idioms สำนวนภำษำองั กฤษเกิดจำกกำรนำคำเดี่ยว ๆ มำรวมกนั ทำใหเ้ กิดควำมหมำยใหมท่ ่ีแตกต่ำงออกไป เฌอมำณย์ รัตนพงศต์ รพกูล (2557) และ กิตต์ิ จิ รติกลุ (2546) กล่ำววำ่ สำนวนภำษำองั กฤษ หมำยถึง คำหรือวลีท่ีมีควำมหมำยไม่ตรงตำมตวั อกั ษร หรือหำกแปลตำมตวั อกั ษรแลว้ อำจไม่ไดค้ วำมหมำย ดงั ควำมประสงคข์ องผพู้ ดู เม่ือได้ ยนิ คำสนทนำที่มีควำมหมำยเป็นสำนวน ผฟู้ ังจะตอ้ งรู้และแปลควำมหมำยมำเป็นคำพดู ธรรมดำ ระบุควำมรู้สึกหรือทศั นะของผสู้ นทนำได้ สำหรับกำรเรียนภำษำน้นั ในปัจจุบนั ภำษำมีควำมสำคญั เพ่ิมมำกข้ึนเพรำะยคุ ปัจจุบนั เป็ นยคุ โลกำภิวตั น์และกำรคำ้ เสรี ทำให้คนไทยตอ้ งเรียนรู้ภำษำมำกข้ึน กำรใช้ภำษำองั กฤษใน ชีวิตประจำวนั ในกำรสนทนำน้ันเจำ้ ของภำษำมกั จะพว่ งสำนวนและศพั ทแ์ สลงต่ำง ๆ มำด้วยเสมอ ซ่ึงบำงคร้ังทำให้เรำไม่เขำ้ ใจภำษำและสำนวนต่ำง ๆ ดงั น้นั เรำจึงตอ้ งเรียนรู้สำนวน ภำษำองั กฤษเพรำะจะช่วยทำให้เรำสำมำรถเขำ้ ใจควำมหมำยที่แทจ้ ริงในกำรสื่อสำร เมื่อกำรเรียนกำรสอนภำษำองั กฤษในปัจจุบนั มีบทบำทมำกข้ึน เนื่องดว้ ยกำรศึกษำที่สำมำรถหำควำมรู้ ไดอ้ ยำ่ งสะดวก สำมำรถคน้ หำควำมรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง อีกท้งั ยงั มีส่ือให้ผเู้ รียนไดท้ บทวนส่ิงที่เคยเรียนรู้ใหก้ ลบั มำใชง้ ำนไดอ้ ีก เพ่ือควำมสำเร็จในกำรเรียนภำษำกำรรู้คำศพั ทแ์ ละสำนวนยอ่ มมี ส่วนช่วยให้กำรเรียนน้นั ประสบควำมสำเร็จ ชิดพงษ์ กวีวรวฒุ ิ และคณะ (2550) สำนวน หรืออำจรวมไปถึงสแลง สุภำษิต คำพงั เพย ลว้ นมีรำกเหงำ้ มำจำกพ้ืนฐำนทำงวฒั นธรรมของแต่ละชำติ กำรจะทำควำมเขำ้ ใจกบั ควำมหมำยต่ำง ๆ ผเู้ รียน อำจจะตอ้ งศึกษำเกี่ยวกบั ประเทศน้นั ๆ และวฒั นธรรมของเจำ้ ของภำษำดว้ ย กำรศึกษำเกี่ยวกบั สำนวนท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวนั จะเป็นประโยชนต์ ่อผเู้ รียนและผทู้ ่ีสนใจศึกษำ ทำใหเ้ รำสำมำรถ ส่ือสำรไดอ้ ย่ำงมน่ั ใจ มีทกั ษะในกำรส่ือสำรเพ่ิมมำกข้ึน เพรำะในกำรสนทนำเจำ้ ของภำษำใชส้ ำนวนบ่อยมำก แต่เรำคนไทยส่วยใหญ่ไม่ค่อยทรำบควำมหมำยของสำนวนเหล่ำน้ี นกั บำงคร้ังเรำจึงแปลไม่ได้ ตีควำมผดิ แมแ้ ตใ่ นบทแปลของหนงั ที่นำเขำ้ จำกตำ่ งประเทศผอู้ ำ่ นก็พบวำ่ ผแู้ ปลคำบรรยำยหนงั ต่ำงประเทศตีควำมหมำยของสำนวนไม่ออก คือแปลผิดเพรำะไม่รู้ วำ่ คำศพั ทน์ ้นั ๆ คือ สำนวน คำพงั เพยดงั น้นั ผเู้ รียนภำษำองั กฤษในฐำนะภำษำต่ำงประเทศควรฝึกพดู สำนวนภำษำที่มกั ใชบ้ อ่ ย ๆ ในกำรสนทนำเพือ่ จะไดฟ้ ังเขำ้ ใจและเลือกใช้สำนวนภำษำ ให้ไดอ้ ยำ่ งเหมำะสมตำมสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ดงั ตวั อยำ่ งสำนวนตอ่ ไปน้ี

10.2 สานวนภาษาองั กฤษทใี่ ชบ้ ่อย

10.2 สำนวนภำษำองั กฤษทใี่ ชบ้ ่อย 1. About to / Going to, on the verge of กำลงั จะ 2. All along / From the beginning, all the time ต้งั แตต่ น้ , ตลอดเวลำ - Dad was about to leave when we arrived. - Tom knew all along that he would not get the promotion he wanted. - พอ่ กำลงั จะออกไปเมื่อเรำมำถึง - ทอมรู้ต้งั แตแ่ รกแลว้ วำ่ เขำจะไม่ไดร้ ับกำรเล่ือนข้นั อยำ่ งท่ีตอ้ งกำร 3. All over (sometime) /Everywhere ทุกท่ี, ทุกหนทุกแห่ง 4. A babe in the wood / Someone who has not had much experience - I searched all over the house for my diamond ring. of life and trusts other people too easily (คนท่ีไร้เดียงสำ, - ฉนั หำแหวนเพชรของฉนั ทวั่ ทุกจุดในบำ้ นแลว้ ไมม่ ีประสบกำรณ์, เชื่อคนง่ำย) - Jen was just babes in the woods, she was fresh from university. - เจนยงั ออ่ นหดั เธอเพิ่งจบจำกมหำวทิ ยำลยั น่ะ

10.2 สำนวนภำษำองั กฤษทใี่ ชบ้ อ่ ย 1. Behind someone’s back/ To do or say something secretly, or without telling someone ลบั หลงั (ใชก้ บั กริยำ to do ไดด้ ว้ ย เวลำท่ีจะบอกวำ่ “ทำลบั หลงั ท้งั ๆ ที่หำ้ มแลว้ ) - Jenny went behind my back and told mother about my new boyfriend. - เจนน่ีแอบบอกแม่เรื่องแฟนใหม่ของฉนั 2. Bad blood / An angry and bitter feeling between to more people ควำมข่นุ ขอ้ งหมองใจต่อกนั - Sports can sometimes cause bad blood between the teams, unless everyone displays good sportsmanship. - กีฬำก็ทำใหค้ นตำ่ งทีมโกรธเกลียดกนั ได้ ยกวน้ เสียแต่วำ่ ทุกคนจะแสดงควำมมีน้ำใจเป็น นกั กีฬำ

10.2 สำนวนภำษำองั กฤษทใี่ ชบ้ อ่ ย 1. A piece of cake / Very easy เร่ืองกลว้ ย ๆ - Speaking test is a piece of cake foe Mos. - กำรสอบพดู เป็นเรื่องกลว้ ย ๆ สำหรับมอส 2. To call it a day/ To stop working หยดุ ทำงำนน้นั ๆ - Let’s call it a day, guys. I’m really exhausted. - วนั น้ีพอแคน่ ้ีก่อนเถอะพวกเรำ ผมเหน่ือยจะแยอ่ ยแู่ ลว้

10.2 สำนวนภำษำองั กฤษทใี่ ชบ้ อ่ ย 1. Goody-goody (Am.) Unnaturally good or self-righteous ทำตวั เป็นคนดีมำก ๆ แบบจงใจ ไมไ่ ดเ้ ป็นธรรมชำติ (ในท่ีน้ีเป็นคำ adjective แต่เรำกส็ ำมำรถเรียกคนที่ทำดีจนออกนอกหนำ้ เพอ่ื จะทำ ใหเ้ จำ้ นำยหรือผทู้ ่ีอยเู่ หนือกวำ่ พอใจ - Sandra’s a real goody-goody. She’s always doing extra homework and arriving early to lesson. - แซนดร้ำเป็นพวกเอำหนำ้ หล่อนมกั จะชอบทำกำรบำ้ นเกินกวำ่ ท่ีสง่ั และเขำ้ เรียนก่อนเวลำ 1.To have a big head / To be arrogant, to be too proud of oneself หลงตวั เอง - Mary’s had such a big head since she won first prize in the science competition. - แมร่ีหลงตวั เอง ต้งั แต่ที่หล่อนไดอ้ นั ดบั ท่ี 1 ในกำรแข่งขนั วทิ ยำศำสตร์นน่ั

10.2 สำนวนภำษำองั กฤษทใี่ ชบ้ ่อย 1. A nine-to-five-job / A job with regular hours งำนท่ีมีชว่ั โมงทำงำนปกติ (คือ ประมำณ 9 โมงเชำ้ ถึง 5 โมงเยน็ ) - I want a nine-to-five-job. - ฉนั อยำกทำงำนจำก 9 โมง ถึง 5 โมง 1. To kid around/ To behave in a silly way ทำตวั ต๊ิงตอ๊ ง เที่ยวแกลง้ คนโนน้ ลอ้ คนน้ีเล่น - Stop kidding around. - เลิกเล่นซะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook