ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี แบบของสภาไว้เป็น ๒ ประเภท คือ มีสมาชิกที่มาจากการเลือกต้ังโดย ทางอ้อม และสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ สมาชิก ท้ัง ๒ ประเภทจะเป็นข้าราชประจ�ำด้วยไม่ได้ และพระมหากษัตริย์ทรง ใช้พระราชอำ� นาจนิตบิ ญั ญตั ิ โดยผ่านคำ� แนะนำ� จากสภานิติบญั ญัติ อ�ำนาจดา้ นการบรหิ าร มลี ักษณะเดียวกนั กบั ปัจจุบนั กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอ�ำนาจทางการบริหารโดยผ่านทางคณะ รฐั มนตรี ทรงแตง่ ตั้งนายกรัฐมนตรี และนายกรฐั มนตรกี ็คัดเลือกคณะ รัฐมนตรีขึ้นมาเพ่ือท�ำการบริหารประเทศในกระทรวงต่างๆ ตามอ�ำนาจ หน้าท่ี ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เป็นสมาชิกของสภานิติบัญญัติ โดยต�ำแหน่ง และที่ส�ำคัญนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดย ตรงตอ่ องคพ์ ระมหากษัตรยิ ์ ลักษณะของการถ่วงดุลอ�ำนาจระหว่างกันในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับน้ีได้มีการระบุไว้ว่า ฝ่ายบริหารเป็นผู้เสนอและสภานิติบัญญัติมี อ�ำนาจเสนอรา่ งกฎหมายและใหค้ วามเหน็ ชอบ เกย่ี วกบั พระราชบญั ญัติ งบประมาณประจ�ำปี ฝ่ายบรหิ ารจะตอ้ งนำ� เสนอตอ่ สภานิตบิ ัญญัติ และ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติเสียก่อนจึงจะสามารถ ประกาศใชไ้ ด้ รวมถงึ สภานติ บิ ญั ญตั กิ ม็ อี ำ� นาจถว่ งดลุ ฝา่ ยบรหิ ารได้ ดว้ ย การตงั้ กระทถู้ ามในประเดน็ การบรหิ ารงานของฝา่ ยบรหิ าร ซง่ึ ฝา่ ยบรหิ าร กจ็ ะตอ้ งตอบกระทูเ้ หล่าน้นั ด้วย ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กล่าวถึงลักษณะของการเลือกตั้ง ซึ่ง ถือเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นตัวแทนของ อ�ำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก�ำหนดวิธีการเลือกตั้งไว้ว่าเป็นการเลือก ตั้งโดยทางอ้อม กล่าวคือ ให้ราษฎรในอ�ำเภอของทุกจังหวัดคัดเลือกผู้ สมัครับการเลือกต้ัง แล้วผู้รับการเลือกต้ังเป็นผู้เลือกตั้งผู้แทนของ มณฑล ซ่ึงจ�ำนวนของผู้แทนในแต่ละมณฑลนั้นใช้วิธีการเทียบกับ จ�ำนวนประชากรในแต่ละมณฑลกับจ�ำนวนของผู้แทน และที่ส�ำคัญร่าง 151
ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ก�ำหนดเอาไว้ว่าผู้ท่ีจะมาเป็นผู้แทนจะเป็น ขา้ ราชการประจำ� ไม่ได้ นอกจากน้ี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวยังมีการกล่าวถึงเร่ือง ของอภิรัฐมนตรีสภาเอาไว้ด้วย โดยก�ำหนดให้อภิรัฐมนตรีสภาเป็นสภา ถาวร ท�ำหน้าที่เป็นท่ีปรึกษาของพระมหากษัตริย์ แยกออกจากกันกับ ฝ่ายบริหารเด็ดขาด ไม่มีอ�ำนาจในการตัดสินใจ เข้าร่วมประชุม หรือมี อ�ำนาจในการน�ำเสนอนโยบายใดๆ กับฝ่ายบริหาร และที่ส�ำคัญ อภิรัฐ มนตรีสภาจะด�ำรงตำ� แหน่งรฐั มนตรใี ดๆ ไม่ได้ จะเห็นได้ว่า สาระโดยรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับน้ี มีความ เป็นประชาธิปไตยอยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวกันว่าพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยเอาไว้ว่าจะพระราชทาน รัฐธรรมนูญในวันมหาจักรีและงานพระราชพิธีฉลองกรุงครบ ๑๕๐ ปี ของพระราชวงศ์จกั รี หรอื ในวนั ท่ี ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ซ่งึ ก็เปน็ เวลากอ่ น การเปลยี่ นแปลงการปกครองหรือการปฏิวัติเพียงไมน่ าน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวท่ีนายสตีเวนส์และพระยาศรี วิสารวาจาได้น�ำส่งพร้อมกับค�ำวิจารณ์ของทั้ง ๒ คน โครงร่างรัฐธรรม นูญฉบับดังกล่าวได้มีการน�ำเข้าท่ีประชุมของอภิรัฐมนตรีสภา ทว่าร่าง ดังกล่าวยังไม่ทันได้มีการน�ำมาประกาศใช้ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เสียก่อน โครงร่างรัฐธรรมนูญท่ีเกิดจากแนวพระราชด�ำริของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือหลักฐานท่ีชัดเจนถึงความเป็นนัก ประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์สยามพระองค์นี้ ยิ่งพิจารณาในราย ละเอียดของโครงร่างรัฐธรรมนูญก็จะพบว่ามีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ มาก แม้ว่าจะเป็นการลดพระราชอ�ำนาจของพระองค์ลงอย่างชัดเจน และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ประเทศ 152
ประวัติศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ต่อค�ำกล่าวท่ีว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง หลีกเล่ียงท่ีจะให้มีการสถาปนาระบบรัฐสภาในประเทศสยามน้ันเห็นได้ ชัดเจนว่าไม่เป็นความจริง เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนตามพระ ราชด�ำริของพระองค์น้ัน ทรงให้ด�ำเนินไปอย่างเป็นระบบและเปล่ียน แปลงไปอย่างเหมาะสมตามความพร้อมของประเทศ หากว่าไม่มีการ ปฏิบัติเสียก่อนและร่างรัฐธรรมนูญของพระองค์ได้มีการน�ำมาประกาศ ใช้จริง ก็จะยิ่งเป็นส่ิงที่ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ในระบอบใหม่ท่ี พระองค์ทรงวางไว้ การบริหารจัดการบ้านเมืองทั้งหลายจะไม่ได้เป็น พระราชกิจที่มาจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว หรือมาจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไป หากแต่เป็นการบริหารจัดการบ้านเมือง ทีม่ าจากประชาชน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงเข้าพระทัยในแนวความคิดและรูปแบบของการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ทรงมีการด�ำเนินการอย่างต่อเนื่อง และทรงคิดว่าการเปล่ียนแปลงไปโดยท่ีประเทศยังไม่มีความพร้อมนั้น จะเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม หากแต่ควรจะต้องเรียนรู้อย่างเป็นข้ันตอน ระหวา่ ง “อุดมการณ์และความเป็นจริง” ซ่ึงเหน็ ได้จากภายหลงั จากการ เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว รูปแบบของประชาธิปไตยในความเป็น จริงที่เกดิ ขึน้ ในหลายเร่อื งก็ไมไ่ ดม้ ีความเปน็ จรงิ ตาม “อุดมการณ”์ มาก นัก อย่างไรก็ตาม ความพยายามให้มีการด�ำเนินการเร่ืองการ ปกครองในรูปแบบใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรง มีอยู่อย่างต่อเน่ืองน้ี ก็ไม่ทันหรือเพียงพอต่อความต้องการของกลุ่ม บุคคลกลุ่มหน่ึงที่ต้องการเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงน�ำมา ซึง่ การเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ที่มีกลุ่มบคุ คลกลุ่มหนงึ่ ที่ เรียกตวั เองว่า “คณะราษฎร” เปน็ ผู้ด�ำเนนิ การ 153
ประวัตศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี เชงิ อรรถ ๑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์. แนวพระราชด�ำริทางการเมืองของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชา ประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๒๐, หน้า ๑๒๐-๑๒๑ ๒ เร่ืองเดยี วกนั หนา้ เดยี วกนั 154
ประวัตศิ าสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สัญลกั ษณ์ของการเร่ิมต้น แตกใบ และเตบิ โต ของประชาธปิ ไตยในประเทศสยาม 155
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี หมดุ หมาย “ประชาธปิ ไตย” ในสยาม 156
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ๑๑ ประวตั ศิ าสตร์การปฏวิ ัตสิ ยาม พ.ศ.๒๔๗๕ ๑ การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดขน้ึ โดยการน�ำ ของข้าราชการกลุ่มหนึ่งท่ีเรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” เข้าท�ำการยึด อ�ำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่ วั เม่อื วันท่ี ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ การกระท�ำดังกลา่ วเป็นผลสบื เนือ่ งมาจากแนวความคิดใน เรื่องการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันเป็นแนวคิดที่มีต้น ก�ำเนิดมาจากประเทศตะวันตก ซึ่งรูปแบบของการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจและ สังคมต่อประเทศต่างๆ ที่ได้น�ำระบบดังกล่าวมาใช้ ตัวอย่างท่ีเป็นได้ ชดั เจนท่ีสดุ คือ ประเทศองั กฤษ แนวคิดเรื่องสังคมประชาธิปไตยในประเทศสยามเร่ิมมีข้ึน ต้ังแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีความ พยายามจะพัฒนาประเทศให้มีความเจริญตามแบบอย่างประเทศตะวัน ตก มีการสง่ บคุ คลออกไปศกึ ษาวชิ าการตา่ งๆ ในประเทศตะวนั ตกอยา่ ง 157
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ต่อเนื่อง ท�ำให้บุคคลเหล่านี้ได้รับรู้และพบเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดข้ึนกับประเทศเหล่านั้น รวมท้ังมกี ารนำ� มาเปรียบเทียบกับสภาพของ บ้านเมืองสยามที่ยังคงล้าหลัง อันเป็นเหตุผลส�ำคัญท่ีก่อให้เกิดการ เปล่ียนแปลงข้นึ เหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการ ปกครองของประเทศอย่างสิ้นเชิง แต่หากได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนรูปแบบ เท่านั้น หรือเป็นการเปลี่ยนเพียงกลุ่มของชนช้ันน�ำที่เข้ามามีอ�ำนาจ บริหารจัดการ ในภาคส่วนของชนชั้นล่างหรือประชาชนท่ีอยู่ภายใต้การ ปกครองโดยทั่วไปกลบั ไมพ่ บความเปล่ยี นแปลงมากนกั ส�ำหรับเหตุการณ์ส�ำคัญในวันที่คณะราษฎรได้ก่อการปฏิวัติ พอสรุปได้ดงั น้ี ๒ เหตกุ ารณว์ นั ท่ี ๒๔ มถิ ุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อตอนรุ่งเช้าของวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ กำ� ลังทหารบก ทหารเรอื ไดม้ ารวมกันท่พี ระท่นี ั่งอนันตสมาคม ทั้งหมดเป็นกองก�ำลังในพระนคร บุคคลเหล่านี้มารวมกันโดยรู้ตัวและ ไมร่ ูต้ วั จาก “คำ� สง่ั ปลอม” ท้ังของกองทพั บกและกองทพั เรอื ส่วนนาย ทหารอ่ืนๆ ทีค่ ุมกำ� ลงั ได้ตามเสดจ็ ไปเขา้ เฝา้ ฯ พระเจา้ อยู่หวั ที่พระราชวัง ไกลกงั วล หวั หนิ พวกทร่ี ตู้ วั ไดแ้ ก่ ผนู้ ำ� กอ่ การเปลยี่ นแปลงการปกครอง ซึ่งได้ถือโอกาสประกาศค�ำส่ังของคณะปฏิวัติต่อทหารบกและทหารเรือ ท่ีมาชุมนุมกนั ณ ท่นี น้ั ผู้ท่ีประกาศค�ำส่ังของคณะปฏิวัติก็คือ พันเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา ได้ประกาศแก่เหล่าทหารที่มาชุมนุมกันว่า บัดนี้คณะราษฎร ได้ท�ำการยึดอ�ำนาจการปกครองจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพ่ือ 158
ประวัติศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ทจี่ ะจดั ตั้งรฐั บาลในระบอบประชาธิปไตยขนึ้ ปกครองประเทศ ทหารท้ังหลายพากันโห่ร้องต้อนรับคณะปฏิวัติ เน่ืองจากมี ความไม่พอใจระบอบการปกครองแบบเก่าอยู่แล้ว แต่บางคนก็จ�ำใจท�ำ ไปอย่างสับสนต่อเหตุการณ์ขณะน้ัน คณะปฏิวัติได้ควบคุมสถานการณ์ ไว้ได้โดยสิ้นเชิง และได้เชิญเจ้านายและพระราชวงศ์บางพระองค์ที่คุม ก�ำลังทหารมากักไว้โดยให้ประทับอยู่ภายในพระนั่งอนันตสมาคมเพ่ือ เป็นองค์ประกันของคณะราษฎร โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนคร สวรรค์วรพินิต ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชอ�ำนาจมากท่ีสุด โดยคุมก�ำลัง ทหารและพลเรือนของประเทศส่วนใหญ่ไว้ และได้ทูลให้ลงพระนาม ประกาศทคี่ ณะราษฎรน�ำมาถวายซ่ึงมีขอ้ ความว่า “ด้วยตามท่ีคณะราษฎรได้ยึดอ�ำนาจการ ปกครองแผ่นดินไว้ได้โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ท่ีจะ ให้ประเทศสยามได้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินน้ัน ข้าพเจ้าขอให้ทหาร ข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายจง ชว่ ยกันรกั ษาความสงบ อย่าใหเ้ สยี เลอื ดเน้อื ของคนไทย ด้วยกนั โดยไม่จ�ำเปน็ เลย” ๓ คณะปฏิวัติได้อาศัยประกาศนี้ซึ่งเป็นเสมือนค�ำรับรองจากผู้มี อ�ำนาจสูงสุดขณะนั้นออกค�ำส่ังให้ส่วนราชการทุกแห่งท่ัวประเทศรวมท้ัง ก�ำลังทหารหัวเมอื งควรปฏบิ ัตหิ น้าทไี่ ปตามปกติ โดยไมม่ ีการหยดุ ชะงกั ใดๆ เลย ฝ่ายพลเรือนของคณะปฏิวัติน�ำโดยนายควง อภัยวงศ์ ได้ ปฏิบตั งิ านในวันนี้ดว้ ยเชน่ กนั โดยออกตระเวนตัดสายโทรเลข โทรศพั ท์ ทั้งพระนครธนบุรี เพื่อปิดก้ันการติดต่อส่ือสารและสั่งการในสายการ บังคับบัญชาหรือติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซ่ึง 159
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ “มันสมอง” ของคณะปฏิวัติได้จัดท�ำแถลงการณ์ของคณะ ปฏิวตั เิ พื่อแจกและแถลงต่อสอื่ มวลชนในวันปฏวิ ัตนิ ้นั ด้วยเชน่ กนั เมื่อเหตุการณ์ภายในพระนครเป็นไปด้วยดี คณะราษฎรก็ได้ ท�ำหนังสือราชการซ่ึงลงนามโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พัน เอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ส่งไปกราบถวาย บังคมทูลพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และ อัญเชิญในหลวงกลับสู่พระนครเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ การปกครองแผ่นดินซึ่งคณะราษฎรได้ร่างข้ึนมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้ คำ� กราบบงั คมทลู ของคณะราษฎร ๔ พระทีน่ ั่งอนันตสมาคม วันที่ ๒๔ มถิ ุนายน ๒๔๗๕ ขอเดชะใตฝ้ ่าละอองธุลพี ระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ด้วยคณะราษฎร์ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ได้ยึดอ�ำนาจการ ปกครองแผน่ ดนิ ไว้แล้ว และไดเ้ ชญิ เสดจ็ พระบรมวงศานุวงศ์ มีสมเดจ็ พระเจา้ พย่ี าเธอเจา้ ฟา้ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ เปน็ ตน้ ไวเ้ ปน็ ประกนั ถา้ หากคณะราษฎร์น้ีถูกท�ำลายดว้ ยประการใดกด็ ี จะต้องทำ� ร้ายเจ้านาย ท่ีจับกมุ ไว้เป็นการตอบแทน คณะราษฎร์ไม่ประสงค์จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความ ประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพ่ือให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จกลับคืนสู่พระนครและทรงเป็นกษัตริย์ต่อ 160
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ไป โดยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ซ่ึงคณะราษฎร์ได้สร้าง ขึ้น ถ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายในหน่ึง ช่ัวโมงนับแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎร์จะได้ประกาศใช้ธรรมนูญ การปกครองแผ่นดิน โดยเลือกเจ้านายพระองค์อ่ืนที่เห็นสมควรข้ึนเป็น กษตั รยิ ์ ควรมิควรแล้วแตจ่ ะทรงพระกรณุ า โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม (ลงนาม) พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา (ลงนาม) พ.อ. พระยาทรงสุรเดช (ลงนาม) พ.อ. พระยาฤทธิอัคเณย์ ต่อมาในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎรก็ได้รับค�ำ ตอบจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากหัวหิน แจ้งว่าพระองค์ทรง ยอมรับความสิ้นสุดแห่งพระราชอ�ำนาจสิทธิขาดของพระองค์ และทรง รับทราบถึงการตั้งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยในแบบที่มีพระมหากษัตริย์ เปน็ องคพ์ ระประมุขของประเทศ พระองคไ์ ด้ทรงมรี บั ส่ังด้วยวา่ พระองค์ เองก็ได้ทรงคิดที่จะให้ประเทศสยามได้มีรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย อยแู่ ลว้ เหมอื นกนั และทรงตง้ั พระทยั วา่ พระองคจ์ ะทรงดำ� รงตำ� แหนง่ องค์ พระประมุขของรัฐ และได้ทรงพระราชทานอภัยโทษโดยลงพระ ปรมาภิไธยในกฎหมายนิรโทษกรรมซ่ึงร่างข้ึนทูลถวายโดยหลวง ประดิษฐ์มนูธรรมนิรโทษกรรมให้แก่คณะราษฎรผู้ยึดอ�ำนาจการ ปกครองแผน่ ดนิ ในครั้งนั้น ความส�ำเร็จในการปฏิวัติครั้งนี้ ส่วนส�ำคัญประการหน่ึงข้ึนอยู่ กับความรวดเร็วว่องไวของคณะราษฎรและการปฏิบัติหน้าท่ีอย่าง เคร่งครัดตามกฎระเบียบข้อบังคับและค�ำส่ังของฝ่ายรัฐบาล คือทราบ แผนการปฏิวัติก่อนแต่อา้ งวา่ ยงั ไม่มอี ำ� นาจจบั กมุ หลงั จากไดป้ รกึ ษากับ 161
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี กระทรวงยตุ ิธรรมแลว้ ความชกั ช้าเหลา่ นีเ้ อ้อื อำ� นวยใหก้ ารเปลีย่ นแปลง การปกครองเปน็ ไปโดยสะดวกตามแผนทว่ี างไวส้ มบรู ณ์ทส่ี ดุ แนวนโยบายและหลักการของคณะราษฎร ซ่ึงก�ำหนดข้ึนมีอยู่ ดว้ ยกนั ๑๐ ประการ ๕ ซึ่งกำ� หนดเปา้ หมายกวา้ งๆ เพือ่ ให้งานของคณะ ราษฎรส�ำเรจ็ ลุลว่ งตามความประสงคก์ ค็ ือ ๑. ต้องให้มพี ระเจา้ แผ่นดินตลอดไป ๒. ตอ้ งทำ� เพ่อื ประชาธิปไตย ๓. ตอ้ งฟงั ความเหน็ ซึ่งกันและกัน ๔. ต้องมีความเหน็ อันเที่ยงตรง ๕. ตอ้ งทำ� เพ่อื มุ่งจรรโลงประเทศใหก้ า้ วหน้า ๖. ตอ้ งไมท่ รยศตอ่ ประเทศชาติ ๗. ตอ้ งมคี วามซื่อสตั ย์สจุ ริต ๘. ต้องไมเ่ ยอ่ หยิง่ ลมื ตวั ๙. ต้องมีความประพฤติดี ๑๐. ตอ้ งรกั ษาหนา้ ท่โี ดยเดด็ ขาดและเที่ยงตรง หลังจากการเปล่ียนแปลงการปกครองได้ ๓ วัน คือในวันท่ี ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม เปน็ ผรู้ ่างและน�ำขนึ้ ทูลเกลา้ ฯ ถวาย นับว่าเป็นการมอบอ�ำนาจการปกครองแก่คณะราษฎรเป็นการ ชั่วคราวจนกว่าจะได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเข้ามาปกครองประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวน้ีจึงมีผลเป็นกฎหมายโดย สมบูรณ์และเป็นกฎหมายที่เร่ิมศักราชใหม่แห่งการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตย ในด้านการปกครองได้มีการต้ังผู้น�ำฝ่ายบริหารราชการแผ่น ดินอย่างเร่งด่วน คือ ให้พันเอกพระยาพหลพยุหเสนาเป็นหัวหน้าผู้ 162
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี รักษาพระนครฝ่ายทหารและได้ประกาศแต่งต้ังผู้แทนราษฎรชุดแรกขึ้น จ�ำนวน ๗๐ คน โดยคัดเลอื กจากผทู้ รงคุณวุฒิในคณะราษฎร และอื่นๆ รวมถึงไดม้ อบอ�ำนาจการปกครองแผ่นดนิ ให้แกส่ ภาผ้แู ทนราษฎร (เป็น สภาเดียวสมาชิกมาจากการแต่งตั้งท้ังหมด) ซ่ึงเปิดประชุมครั้งแรกใน วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ จากการประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรในวัน ท่ี ๒๘ นั้น ได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลชั่วคราวขึ้นโดยมีพระยามโน ปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานคณะกรรมการราษฎร และมีกรรมการ ราษฎรอีก ๑๔ นาย ท�ำหนา้ ที่บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ดังน้ันรัฐบาลจึงเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐสภาคือ ฝ่ายบริหารอยู่ ภายใต้การควบคุมของรัฐสภาโดยตรงและฝ่ายบริหารไม่มีอ�ำนาจยุบ สภา สภาผู้แทนได้แต่งต้ังคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหน่ึงเพื่อยกร่าง รัฐธรรมนูญฉบบั ถาวรขึ้นใช้เป็นหลกั ในการปกครองประเทศตอ่ ไป และ เปน็ ท่มี าของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๔๗๕ ซึง่ ประกาศใช้ ณ วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม ๒๔๗๕ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคร้ังส�ำคัญ ของประเทศสยามที่วัตถุประสงค์ของคณะผู้ก่อการคือต้องการเปล่ียน รูปแบบของการบริหารจัดการประเทศ ไม่ได้มุ่งหวังเพ่ือการแย่งชิงราช สมบตั เิ หมือนดังในอดตี ทผ่ี ่านมา สถาบันกษัตริย์นับเป็นสถาบันการปกครองรูปแบบด้ังเดิมที่มี มาแต่อดีต การก้าวขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไม่ได้มีเหตุผล จากพระราชอ�ำนาจที่ทรงมีอยู่ในด้านการทหารเพียงอย่างเดียว ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การเป็นพระมหากษัตริย์ของ ประเทศสยามเรื่องของบุญบารมีในลักษณะของเทวราชาก็ยังคงเป็น ความชอบธรรมอยู่ (แม้จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าอดีตก็ตาม) ดังน้ันเราจึงเห็น การแย่งชิงอ�ำนาจในอดีตเป็นการแย่งชิงด้วยข้ออ้างเร่ืองความยิ่งใหญ่ ของบุญญาธิการของผู้ท่ีแย่งชิงอ�ำนาจน้ันๆ ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในสมัย 163
ประวัติศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี อยธุ ยา การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในแต่ละครั้งเร่ืองของความชอบ ธรรมเป็นเรื่องส�ำคัญ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ การปฏิวัติยึดอ�ำนาจจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เราจึงพบว่า “ข้ออ้าง” หรือ “เหตุผล” เพ่อื สรา้ งความชอบธรรมไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปเปน็ เรื่องสทิ ธิของ พลเมืองในการเข้ามามีส่วนได้รับรู้และจัดการบริหารประเทศแทนรูป แบบเดิมท่ีใช้กันมานานและไม่ประสบความส�ำเร็จ (ตามเหตุผลของ คณะผู้กอ่ การ) เมอ่ื เปรียบเทียบกับประเทศอ่ืนทแี่ ตกต่างกัน ข้ออ้างของคณะราษฎรที่ใช้กล่าวอ้างน้ีมีทั้งเรื่องของสิทธิ เสรภี าพ การกดขขี่ ม่ เหง ความไม่เสมอภาค เรอื่ งของชนชัน้ รวมถึงเรื่อง ของเศรษฐกิจดว้ ย เร่ืองเศรษฐกิจดูจะเป็นประเด็นส�ำคัญของข้ออ้างดังกล่าว ใน ค�ำประกาศของคณะราษฎร์ก็มีการกล่าวถึงไว้อย่างชัดเจนถึงความ ล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกล่าวว่าแนวพระราชด�ำริด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา ของพระองค์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านตัวเลขทาง เศรษฐกิจและความแตกแยกในสังคม เห็นจากค�ำประกาศค่อนข้างจะ รนุ แรงท่ีว่า “...ราษฎรท้ังหลาย พึงรู้เถิดว่าประเทศเราน้ีเป็น ของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามท่ีเขาหลอกลวง บรรพ บุรุษของราษฎรเป็นผู้กู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมือจาก ข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดเอาทรัพย์สมบัติ เข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่าน้ีเอามาจากไหน? ก็เอา มาจากราษฎรเพราะวิธีท�ำนาบนหลังคนน่ันเอง บ้านเมือง ก�ำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องท้ิงนา 164
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี เพราะท�ำไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บ�ำรุง รัฐบาลไล่คนงานออก อย่างกลาดเกลื่อน นักเรียนที่เรียนส�ำเร็จแล้วและทหารที่ ปลดกองหนนุ ไมม่ งี านทำ� จะตอ้ งอดอยากไปตามยถากรรม เหลา่ นเี้ ปน็ ผลของรฐั บาลของกษตั รยิ เ์ หนอื กฎหมายบบี คน้ั ข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เม่ือให้ออก จากงานแล้วไม่ให้เบ้ียบ�ำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่ กวาดรวบรวมไว้มาจัดบ้านเมืองให้มีงานท�ำ จึงจะ สมควรท่ีจะสนองคุณราษฎรซ่ึงได้เสียภาษีอากรให้พวก เจ้าได้ร่�ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ท�ำเช่นน้ันไม่ คง สูบเลือดกันเรื่อยไป เงินมีเหลือเท่าไรก็เอาฝากต่าง ประเทศคอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ ราษฎรอดอยาก การเหลา่ นี้ยอ่ มชวั่ ร้าย” ๖ นับว่าเป็นค�ำกล่าวท่ีร้ายแรงอย่างมากต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ หากพิจารณาถึงรายละเอียดในกระบวนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตาม พระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็จะพบว่า ค�ำ ประกาศดังกล่าวน้ันรุนแรงเกินความจริง เพราะการเกิดปัญหาวิกฤติ เศรษฐกิจในรัชสมัยของพระองค์ ต้องท�ำความเข้าใจด้วยว่าเป็นเพราะ เหตปุ จั จยั หลายประการ ทัง้ ท่ีควบคมุ ได้และทไี่ ม่สามารถควบคุมได้ ดัง ได้กล่าวในรายละเอียดแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับผิดเสียท้ังหมด กล่าวคือ ผลกระทบที่เกิดข้ึนจากนโยบายการแก้ปัญหาต่างๆ น้ันมีอยู่จริง เช่น เร่ืองการปลดข้าราชการ เศรษฐกิจตกต่�ำ เร่ืองค่าตอบแทนของ ข้าราชการ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจท่ีเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งท่ีคณะผู้ก่อการได้มี การน�ำไปใช้เป็น “เหตุผล” เพ่ือสร้างความชอบธรรมในการยึดอ�ำนาจ 165
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นให้ราษฎรได้มี ส่วนร่วมในการบริหารจัดการผ่านสภาผู้แทนราษฎรตามระบอบ ประชาธปิ ไตย ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงครั้งน้ีมิได้หมายความถึง ปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่หมายถึงเหตุปัจจัยอื่นๆ หลายปัจจัย ท่ีส่งผลร่วมกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาเรื่องการบริหารจัดการด้าน เศรษฐกิจของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นปัจจัยส�ำคัญประการ หนึ่งท่ีคณะผู้ก่อการได้ใชเ้ ป็นเหตุผล ตามที่คณะผู้ก่อการน�ำเหตุผลเร่ืองความล้มเหลวในการบริหาร จัดการระบบเศรษฐกิจตามแนวพระราชด�ำริและกระบวนการในการ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ ประสบความส�ำเร็จหรือเรียกว่า “ล้มเหลว” (ตามเหตุผลของคณะผู้ ก่อการ) ข้ึนมากล่าวอ้างน้ีมีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ควรได้ พจิ ารณารายละเอยี ดดังนี้ การท่ีพระองค์ทรงเลือกตัดทอนรายจ่ายในทุกกระทรวงท่ีไม่ จ�ำเป็นลง มาตรการดุลข้าราชการท้ังทหารและพลเรือนออกจากราชการ ทรงตัดทอนรายจ่ายในส่วนที่รัฐบาลจะต้องทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระองค์ ลดจ�ำนวนมหาดเล็กลงจาก ๓,๐๐๐ คนเหลอื ๓๐๐ คน ใหย้ บุ กรมหรือ กองใดที่มีหน้าท่ีซ้�ำซ้อนกัน ให้รวมกระทรวงท่ีมีหน้าที่งานใกล้เคียงกัน ยุบเลิกภาคและมณฑลและจังหวัดอีกหลายแห่ง การปรับปรุงการเงิน ของประเทศเข้าสู่ดุลยภาพ ด้วยการเพ่ิมภาษีอาการ เป็นต้น มาตรการ ต่างๆ เหล่านี้ส่งผลเป็นความส�ำเร็จต่อการแก้ไขปัญหาตัวเลขทาง เศรษฐกิจได้อย่างน่าพอใจ ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้นเกิด จากเหตุปัจจัยหลายประการ ซ่ึงบางอย่างก็เกินกว่าที่จะควบคุมได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต�่ำท่ัวโลก ปัญหาที่เกิดจากภัยธรรมชาติ อย่างไร ก็ตามความส�ำเร็จดังกล่าวไม่เพียงพอต่อค�ำกล่าวอ้างของคณะราษฎร 166
ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ดังที่ปรากฏในค�ำประกาศของขณะราษฎรท่ีพยายามชี้ให้เห็นถึงความ ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของพระองค์ด้วยถ้อยค�ำท่ีรุนแรง ในหลายชว่ งตอน เช่น “เม่ือกษัตริย์องค์น้ีได้ครองราชสมบัติสืบต่อ พระเชษฐาน้นั ในช้นั ตน้ ราษฎรได้หวังกันวา่ กษตั ริย์องค์ ใหม่น้ีคงจะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์หาเป็น ไปความหวังท่ีคิดไม่ กษัตริย์คงทรงอ�ำนาจอยู่เหนือ กฎหมายตามเดิม ทรงแต่งต้ังญาติวงศ์และคนสอพลอ ไร้คุณงามความรู้ให้ด�ำรงต�ำแหน่งท่ีส�ำคัญๆ ไม่ทรงฟัง เสียงราษฎรปล่อยให้ข้าราชการใช้อ�ำนาจหน้าที่ในทาง ทจุ ริต มกี ารรับสินบนในการกอ่ สรา้ งซ้อื ของใช้ในราชการ หากำ� ไรในการเปลยี่ นราคาเงนิ ผลาญเงนิ ทองของประเทศ ยกพวกเจ้าข้ึนให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร ปกครอง โดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถา กรรมดังจะเห็นได้ในการตกต�่ำในการเศรษฐกิจและ ความฝดื เคืองทำ� มาหากิน ซ่ึงราษฎรได้รกู้ ันอยทู่ ่วั ไปแลว้ รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ ฟ้ืนขน้ึ ได้...” ๗ และ “...รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอก ลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า จะบ�ำรุงการท�ำมา หากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่คร้ันคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ ทำ� จรงิ จงั ไม”่ ๘ 167
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ค�ำประกาศของคณะราษฎรนี้นับว่ารุนแรงอย่างมาก พร้อมทั้ง มีการกล่าวอ้างไว้ว่า “...การปกครองซ่ึงคณะราษฎรจะพึงกระท�ำก็คือ จำ� ต้องวางโครงการอาศยั หลักวิชา ไมท่ ำ� เหมือนคนตาบอด” ๙ โดยการ วางหลักการและระบุถึงวัตถุประสงค์ ๖ ประการ ของคณะราษฎร ๑๐ ความว่า ๑. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชใน ทางการเมอื ง การศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มน่ั คง ๒. จะตอ้ งรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ใหก้ ารประทษุ รา้ ยต่อกันลดน้อยลงให้มาก ๓. ต้องบำ� รงุ ความสุขสมบูรณข์ องราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดย รัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนท�ำ จะวางโครงการเศรษฐกิจ แหง่ ชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ๔. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิ ย่งิ กว่าราษฎรเชน่ ท่เี ป็นอย่)ู ๕. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรี ภาพนไี้ ม่ขดั ตอ่ หลกั ๕ ประการดังกลา่ วข้างต้น ๖. จะตอ้ งให้การศกึ ษาอยา่ งเต็มทแ่ี กร่ าษฎร จากแนวนโยบายและค�ำประกาศของคณะราษฎรบอกให้เข้าใจ ถึงสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจท่ีเป็นสาเหตุของการปฏิวัติพ.ศ.๒๔๗๕ และหลังจากการปฏิวัติส�ำเร็จลงแล้ว ผู้น�ำการปฏิวัติได้วางหลักการ ปกครองบ้านเมืองไว้ด้วยโดยครอบคลุมด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สงั คม เพอ่ื ประโยชนข์ องสว่ นรวม ในขณะเดียวกันท่ีคณะราษฎรก็ยืนยันหนักแน่นถึงความ เปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนภายหลังการปฏิวัติดังในหลักการส�ำคัญ ๖ ข้อ ท่กี ล่าวไวข้ า้ งตน้ หากพิจารณาในค�ำประกาศของคณะราษฎรในอีกเหตุผลหนึ่ง 168
ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ว่า ณ เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จะต้องสร้างความเชื่อม่ัน ความชอบธรรม ให้เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วและชัดเจนท่ีสุด เพราะหากว่าคณะราษฎรไม่มี ความชัดเจนในการก่อการแล้วความชอบธรรมจะไม่เกิดข้ึน และจะ กลายเป็นการล้มล้างระบอบเก่าเพื่อสถาปนาระบอบใหม่ของพวกตน ดังน้ันจึงเห็นว่าในค�ำประกาศเน้นถึงเนื้อหาที่ชนช้ันสูงได้กระท�ำต่อ พลเมืองชั้นล่างไว้อย่างหนักแน่น เพราะฉะนั้นในค�ำประกาศของคณะ ราษฎรจึงพยายามอธิบายและยืนยันว่าการกระท�ำของพวกตนก็เป็นการ กระทำ� เพ่ือประชาชน ไม่ใชก่ ารกระทำ� เพ่ือกล่มุ ผู้กอ่ การ เกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถยืนยันได้จาก ภายหลังท่ีพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ในวันเดียวกันน้ีเองผู้แทนคณะราษฎรได้ เขา้ เฝา้ ทูลละอองธุลพี ระบาท ณ วังศุโขทัย และทูลเกล้าฯ ถวายพระราช ก�ำหนดนิรโทษกรรมเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย พระราชทานนิรโทษ กรรมแกค่ ณะราษฎร หลังจากนั้น คณะราษฎรได้น�ำดอกไม้ธูปเทียนเข้าทูลเกล้าฯ ถวายขอพระราชทานอภัยโทษ ท่ีบังอาจกระท�ำการล่วงเกินพระองค์ บรรพกษัตรยิ ์และพระราชวงศจ์ ักรี ณ พระทีน่ ั่งจิตรดารโหฐาน พระราช วังดุสติ เมอื่ วันท่ี ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ๑๑ ในค�ำกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าวมี ข้อความท่ีแสดงไว้ชัดเจนถึงความมุ่งหมายหลักในค�ำประกาศของ คณะราษฎรกเ็ พื่อให้การปฏิบตั กิ ารน้นั ส�ำเร็จผลอย่างรวดเร็ว ความวา่ “...การที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ประกาศกล่าว ข้อความในวันเปล่ียนแปลงด้วยถ้อยค�ำอันรุนแรง กระทบกระเทือนถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และ พระบรมวงศานุวงศ์ ก็ด้วยมุ่งถึงผลส�ำเร็จทันทีทันใด 169
ประวตั ิศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี เป็นใหญ่ สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชในพระบรมวงศ์ จักรี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ได้ ทรงมีส่วนท�ำความเจริญมาสู่ประเทศสยามตามกาลสมัย บัดน้ีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกข้าพระพุทธ เจ้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าท้ังหลาย จึงขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสน้ี กราบบังคมทูล ขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งหนึ่งเป็นค�ำรบสองใน ถอ้ ยค�ำที่ไดป้ ระกาศไป การจะควรประการใดแล้วแต่จะทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม” ๑๒ ค�ำกล่าวหาเร่ืองที่พระองค์หรือรัฐบาลของพระองค์รวมถึงพระ ราชวงศ์ได้สร้างความเดือดร้อนและไม่ได้สร้างความสุขสมบูรณ์ให้กับ ราษฎรของพระองค์นั้น ก็ได้สร้างความโทมนัสให้กับพระองค์อย่างมาก เช่นกัน เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงกระท�ำทุกวิถีทางเพื่อให้บ้านเมือง พัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการท่ีท�ำให้ พระองค์ยังไม่สามารถน�ำพาบ้านเมืองไปยังจุดหมายจนเป็นท่ีพอใจของ หลายฝ่ายได้ ซ่ึงในพระราชด�ำรัสตอบค�ำกราบบังคมทูลขอพระราชทาน อภยั โทษของคณะราษฎร พระองคก์ ท็ รงกล่าวไว้เชน่ กนั วา่ “...ข้อความท่ีท�ำให้ข้าพเจ้าเองและสมาชิกของ พระราชวงศ์จักรีรู้สึกโทมนัสอย่างยิ่งคือ ในข้อท่ีท�ำให้ เข้าใจว่าพระราชวงศ์จักรีไม่ได้ท�ำประโยชน์ให้แก่ประเทศ สยามอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ข้อนั้น ท�ำให้สมาชิกในพระ ราชวงศท์ ่ัวไปโทมนสั นอ้ ยใจและแค้นเคอื งมาก...” ๑๓ 170
ประวัตศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี สรุปได้ว่า “ค�ำกล่าวอ้าง” ตามค�ำประกาศของคณะราษฎร เรื่องความล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เหตุผลหลักของการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ อย่างไรก็ตามแสดงให้เห็นว่า การแก้ไข ปัญหาเศรษฐกิจตามแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวเป็นส่วนหนึ่งท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน กล่าวคือ การตัดลดงบประมาณของแต่ละกระทรวงด้วยมาตรการต่างๆ อันน�ำมา ซึ่งความเดือนร้อนของข้าราชการชั้นผู้น้อย การไม่สามารถจัดหารายได้ เพียงพอสำ� หรบั การพฒั นาประเทศ การเพิ่มภาษี เปน็ ต้น สิง่ ต่างๆ เหล่า นี้น�ำมาซึ่งการสิ้นสุดของอ�ำนาจแห่งการปกครองในระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชย์ 171
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี เชงิ อรรถ ๑ ปรับปรุงจาก ส�ำราญ ผลดี. แนวพระราชด�ำริของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหา บัณฑิต แขนงวิชาไทยคดีศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย สโุ ขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๕๑ ๒ “พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” พิมพ์ที่ระลึกใน พระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ในอภิลักขิตสมัย วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ประชาธิปก พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (กรงุ เทพฯ : อมั รินทรพ์ รน้ิ ต้ิงแอนด์ พบั ลชิ ช่งิ จ�ำกัด (มหาชน) ๒๕๓๖) หน้า ๒๑๑-๒๑๒ ๓ คำ� ประกาศของเสนาบดมี หาดไทย เพ่ิงอา้ ง หน้า ๒๑๖ ๔ ค�ำกราบบังคมทูลของคณะราษฎร ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขตั ตยิ า กรรณสตู . เอกสารการเมอื งการปกครอง (กรงุ เทพฯ : สมาคม สงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย ๒๕๑๘) หน้า ๒๑๒ ๕ เกียรตชิ ัย พงษ์พาณิชย์ “ปฏิวตั ิ ๒๔๗๕” (พระนคร : สำ� นกั พิมพ์แพรพ่ ิทยา ๒๕๑๔) หน้า ๑๐๙ ๖ ประกาศของคณะราษฎร์ ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต เอกสารการเมืองการปกครอง (กรุงเทพฯ : สมาคม สังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย ๒๕๑๘) หน้า ๒๐๙-๒๑๑ ๗ เรื่องเดยี วกนั หน้า ๒๑๑ ๘ เรอ่ื งเดยี วกัน หน้าเดยี วกัน ๙ เรื่องเดยี วกนั หน้าเดยี วกนั ๑๐ เรอ่ื งเดยี วกัน หน้าเดยี วกัน 172
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ๑๑ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ท่ีระลึกใน พระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ในอภิลักขิตสมัย วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ประชาธปิ ก พระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว (กรงุ เทพฯ : อมั รนิ ทรพ์ ร้นิ ต้งิ แอนด์ พบั ลิชชง่ิ จำ� กดั (มหาชน) ๒๕๓๖) หนา้ ๒๑๖ ๑๒ นายสุจินดา. พระปกเกล้าฯ กษัตริย์นักประชาธิปไตย. (กรงุ เทพฯ : สำ� นักพมิ พ์สยาม ๒๕๑๙) หนา้ ๒๘๖ ๑๓ พมิ าน แจม่ จรัส. ราชวลี. (พระนคร : สำ� นักพิมพ์แพรพ่ ิทยา ๒๕๐๙) หน้า ๘๔๑-๘๔๓ 173
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ๑๒ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งสยาม พระยามโนปกรณ์นิติธาดา มีชื่อเดิมว่า ก้อน หุตะสิงห์ เป็น บุตรของนายฮวด และนางแพ้ว หุตะสิงห์ เกดิ เม่อื วนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๒๗ ภูมิล�ำเนาด้ังเดิมอยู่ที่ พาหุรัด กรุงเทพมหานคร เร่ิมเรียน หนังสือที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและโรงเรียนอัสสัมชัญ จากนั้น เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม กล่าวกันว่าพระยาผู้ นี้เปน็ ผทู้ ่มี คี วามสามารถในดา้ นการศกึ ษาอย่างมาก โดยสามารถสอบไล่ ได้เป็นเนติบัณฑิตไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๖ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติ ปัญญาชั้นเยี่ยมมากที่สามารถศึกษาทางด้านกฎหมายส�ำเร็จได้เมื่ออายุ เพียง ๑๙ ปี และด้วยสติปัญญาอันยอดเยี่ยมน้ีเอง พระยามโนปกรณ์ นิติธาดาจึงได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อทางด้านกฎหมาย ณ ส�ำนักเกรย์อิน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซ่ึงเป็นประเทศเดียวกันกับพระบิดาแห่ง กฎหมายไทยนน่ั กค็ อื กรมหลวงราชบรุ ดี เิ รกฤทธ์ิ ครั้นเม่ือท่านศึกษาส�ำเร็จกฎหมาย โดยสอบไล่ได้เนติบัณฑิต 174
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรฐั มนตรคี นแรกของสยาม 175
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี อังกฤษแล้วได้เดินทางกลับประเทศสยามและเข้ารับราชการที่กระทรวง ยุติธรรม หน่วยงานตามที่ได้รับทุนไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ท่านได้รับต�ำแหน่งเป็นผู้พิพากษา ต่อมาได้รับพระราชทาน บรรดาศกั ดิ์เป็น “หลวงประดิษฐพ์ ิจารณ์การ” จากนั้นกไ็ ด้รบั การเล่อื น ช้ันยศและบรรดาศักดิ์สืบต่ออีกตามล�ำดับเป็นมหาเสวกตรี พระยามโน ปกรณ์นิติธาดา สมุหพระนิติศาสตร์ จนเมื่อครั้งก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครองในพ.ศ.๒๔๗๕ ได้เป็นมหาอัมมาตย์โท พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา และเป็นองคมนตรี ดำ� รงตำ� แหน่งอธิบดศี าลอธุ รณ์ ๑ นอกจากนีพ้ ระยามโนปกรณ์นติ ธิ าดายงั เปน็ พระอาจารยท์ ส่ี อน กฎหมาย เป็นกรรมการร่างกฎหมายในกรมร่างกฎหมาย ความท่ีเป็นผู้ เช่ียวชาญด้านกฎหมายน้ี ท่านจึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และ การเป็นอาจารย์ท่ีสอนคนรุ่นใหม่จึงท�ำให้ท่านได้รับความเคารพนับถือ และมลี ูกศิษย์จ�ำนวนมาก และหน่ึงในน้ันก็มนี ายปรดี ี พนมยงคร์ วมอยู่ ด้วย และเชือ่ กันว่า องคป์ ระกอบดงั กลา่ วขา้ งต้นนีเ้ องทม่ี สี ว่ นสนับสนุน ให้ท่านได้รับการคัดเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของระบอบ ประชาธิปไตยในสยาม พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ ก็ถูกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้ากลุ่มราษฎร ท�ำการรฐั ประหาร ภายหลงั จากพ้นจากต�ำแหน่งนายกรฐั มนตรแี ล้ว ทา่ น ไดเ้ ดนิ ทางไปพำ� นกั ทเี่ กาะปนี งั จนถงึ แกอ่ นจิ กรรมเมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๔๙๑ แม้ว่าจะท�ำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่ในระยะเวลาไม่นานนัก ทว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็มีบทบาทอย่างมากต่อการเมืองการ ปกครองของประเทศสยามในเวลานั้น แม้จะมีการกล่าวกันว่า การที่ ท่านได้รับการคัดเลือกข้ึนมาเป็นนายกรัฐมนตรีน้ัน ก็เพื่อต้องการท่ีจะ 176
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ประคับประคองความขัดแย้งหรือเป็นกันชนระหว่างกลุ่มผู้ก่อการกับ กลุ่มเจ้าท่ีมีอ�ำนาจอยู่เดิม เนื่องจากว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดานี้ถูก มองกันว่าโน้มเอียงไปทางกลุ่มอ�ำนาจเก่า ดังนั้นเพ่ือไม่ให้รอยร้าวของ ความขดั แยง้ รุนแรงมากเกนิ ไปจึงเลือกท่านเข้ามารบั หนา้ ท่ีอนั สำ� คัญนี้ ในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พระยามโน ปกรณ์นิติธาดาเองก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็น ๑ ใน ๗๐ สมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชวั่ คราว ที่คัดเลือกโดยคณะผูร้ ักษาพระนครฝา่ ยทหาร คร้ังน้ันสภาผู้แทนราษฎรได้มีการประชุมเพ่ือเลือกประธาน สภาและคณะกรรมการราษฎร โดยที่ประชุมมีมติเลือกเจ้าพระยาธรรม ศักดิ์มนตรีข้ึนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่พระยามโน ปกรณ์นิติธาดาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร นอกจากนี้สภาผู้แทนราษฎรยังได้มีการลงมติเห็นชอบรายนามคณะ กรรมการราษฎรตามที่ประธานกรรมการราษฎรเป็นผู้เสนอ ประกอบ ดว้ ย - พระยาพหลพลพยหุ เสนา - พระยาทรงสุรเดช - พระยาฤทธิอัคเนย์ - พระยาปรชี าชลยทุ ธ - พระยาศรีวิสารวาจา - พระยาประมวลวชิ าพลู - พระประศาสนพ์ ิทยายุทธ - หลวงประดษิ ฐ์มนญู ธรรม - หลวงพิบูลสงคราม - หลวงเดชสหกรณ์ - หลวงสนิ ธุสงคราม 177
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี - นายประยูร ภมรมนตรี - นายตั๊ว พลานุกรม - นายแนบ พหลโยธิน ข้อน่าสังเกตคือ คณะกรรมการดังกล่าวตามท่ีพระยามโน ปกรณ์นิติธาดาในฐานะประธานคณะกรรมการราษฎรเสนอมาน้ี ส่วน ใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลท่ีอยู่ในคณะราษฎร ทั้งน้ีอาจเป็นด้วยว่า อ�ำนาจใน การคัดเลือกดังกล่าว อาจไม่ได้เป็นอิสระอย่างเต็มที่กับทางพระยามโน ปกรณ์นิติธาดา เพราะว่าเป็นเร่ืองของอ�ำนาจท่ีช่วงเวลาดังกล่าวกลุ่ม คณะผู้ก่อการจะต้องสามารถกุมอ�ำนาจท่ีแท้จริงเอาไว้ก่อน เพ่ือให้การ ด�ำเนินงานบริหารบ้านเมืองในเบ้ืองต้นนี้เป็นไปตามนโยบายของตน รวมถงึ เพอื่ ป้องกันผลสะท้อนกลบั ในทางอำ� นาจหรอื ป้องกันภยั ไวด้ ้วย นอกจากน้ี รายช่ือท่ีปรากฏเบ้ืองต้นก็เป็นบุคคลส�ำคัญท่ีต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลายท่าน ท้ังพระยาพหลพลพยุหเสนาผู้น�ำฝ่าย ทหารในคณะราษฎร นายปรีดี พนมยงค์แกนน�ำฝ่ายพลเรือนท่ีต่อมา ท่านได้มีบทบาทอย่างสูงทั้งการเมืองการปกครองรวมไปถึงเรื่องของ เศรษฐกิจ และหลวงพิบูลสงครามที่ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มี ระยะเวลาในการอยอู่ �ำนาจยาวนานในช่อื จอมพล ป พิบลู สงคราม ผลงานช้ินส�ำคัญของคณะกรรมการชุดที่มีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดาเป็นประธานน้ี คือการร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญท่ีจะน�ำมา ใช้เป็นการถาวรแทนธรรมนูญการปกครองสยามฉบับชั่วคราวที่มีการ น�ำมาประกาศใช้เม่ือวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซ่ึงอาจถือได้ว่าเป็น ภารกิจส�ำคัญเร่งด่วนท่ีคณะกรรมการชุดน้ีจะต้องเร่งด�ำเนินการ เพ่ือ ใหก้ ารปกครองบา้ นเมืองเข้ารูปเขา้ รอยโดยเร็วท่ีสดุ คณะกรรมการได้มีการแต่งต้ังผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย หลายท่านเข้ามาร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งการด�ำเนินการ เป็นไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึง ๖ เดือนก็แล้วเสร็จ ครั้นเมื่อ 178
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี รัฐธรรมนูญแล้วเสร็จตามวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ในรูปของคณะกรรมการราษฎร) ก็ถวาย บังคมลาออกจากต�ำแหน่งเม่ือวันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๔๗๕ เพื่อให้มีการ ยกเลิกรูปการใช้อ�ำนาจเดิมและน�ำมาซึ่งรูปแบบการใช้อ�ำนาจตาม รัฐธรรมนูญใหม่ (ก่อนการประกาศรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม เพียงวันเดียว) หรืออาจจะเรียกว่าคณะกรรมการราษฎรดังกล่าวมีอัน ต้องส้ินสภาพไปโดยปริยายเนื่องจากธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน สยามชวั่ คราวนน้ั ส้นิ สภาพไปนนั่ เอง ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (ฉบับที่มีการประกาศใช้ในวันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕) ไดม้ คี ำ� เรียกผูท้ ี่จะมาท�ำหน้าท่ีฝา่ ยบรหิ ารท่ชี ดั เจนข้ึน มา นนั่ กค็ อื คำ� วา่ “รัฐมนตร”ี ซง่ึ ความจริงแล้วค�ำว่ารฐั มนตรนี ้ี แต่เดิม เคยมีการน�ำมาใช้แล้วเม่ือคร้ังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ท่ีพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแต่งต้ังเจ้านาย และข้าราชการช้ันสูงให้เป็น “รัฐมนตรี” มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการ แผ่นดิน ทว่าต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้มีการใช้ค�ำน้ีสืบต่อมา อีก อยา่ งไรก็ตาม คำ� วา่ “รฐั มนตรี” ตามรฐั ธรรมนูญฉบับถาวรน้ี ก็ให้มีการเปลี่ยนชื่อเรียกจากคณะกรรมการราษฎรท่ีใช้อยู่แต่เดิมมา เป็นคณะรัฐมนตรี โดยมี “นายกรัฐมนตรี” เป็นหัวหน้า ซึ่งก็เป็น ต�ำแหน่งเดียวกันกับประธานคณะกรรมการราษฎรท่ีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดาเคยด�ำรงต�ำแหน่งอยกู่ อ่ นหน้านี้นัน่ เอง ครั้นเมื่อมีการพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งสยามฉบับถาวร เมื่อวันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ แล้ว ก็มีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประวัติศาสตร์การปกครองใน 179
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ระบอบประชาธิปไตยของสยาม นอกจากนี้ก็ทรงแต่งต้ังคณะรัฐมนตรี เพื่อดูแลบริหารจัดการบ้านเมือง ว่าการแตล่ ะกระทรวงที่สำ� คญั ดงั น้ี ๑. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติอีกต�ำแหน่ง ซึ่งเป็นข้อน่า สังเกตว่าการดูแลกระทรวงท่ีเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของแผ่นดินโดย พระยามโนปกรณ์นิติธาดาน้ัน อาจเป็นด้วยว่าเพ่ือลดข้อครหาในเร่ือง การกระท�ำการปฏิวัติเพ่ือผลประโยชน์ของกลุ่มผู้ก่อการก็เป็นได้ เนื่องจากว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเองภายหลังก็ถูกมองว่ามีความ โนม้ เอยี งไปทางกลมุ่ เจ้านายอยูม่ าก ๒. พลเรือโท พระยาราชวังสัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กลาโหม กระทรวงดังกล่าวนี้ถือว่ามีความส�ำคัญสูงมาก เนื่องจากว่า ความม่ันคงทางอ�ำนาจที่แน่นอนว่ายังไม่อาจเกิดขึ้นชัดเจนภายหลังจาก ทเี่ กิดการเปลย่ี นแปลงทางการเมืองไปได้ไมน่ าน ดังนั้น การที่กลุ่มคณะ ราษฎรจะให้ผู้ใดเข้ามาดูแลเร่ืองก�ำลังทหารแล้ว คนวงในน่าจะดูเหมาะ สมกว่า และพระยาราชวังสันก็น่าจะมีความเหมาะสมกับต�ำแหน่งน้ีมาก ทส่ี ดุ ๓. พระยาศรวี สิ ารวาจา เปน็ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการตา่ ง ประเทศ ทา่ นผนู้ ี้ถือว่าเป็นผทู้ ีม่ ีความเชีย่ วชาญเรอ่ื งการตา่ งประเทศ ย่ิง ในสภาวะที่บ้านเมืองเพ่ิงจะผ่านการเปล่ียนแปลง การท�ำความเข้าใจกับ นานาประเทศย่อมมีความส�ำคัญสูงตอ่ ความมั่นคงของบ้านเมอื ง ๔. เจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรพาณชิ ยการ ๕. เจ้าพระยาธรรมศักด์ิมนตรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ธรรมการ ๖. เจา้ พระยาแสนบดีศรบี รบิ าล เปน็ รฐั มนตรีวา่ การกระทรวง มหาดไทย 180
ประวัตศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ๗. พระยาเทพวิทรู พหุลศรุตาบดี เปน็ รฐั มนตรีวา่ การกระทรวง ยุตธิ รรม หากเราไม่นับรัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวท่ีมีการประกาศใช้ภาย หลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่วันแล้ว บคุ คลสำ� คญั ดังกล่าวข้าง ต้นถือเป็นคณะรัฐมนตรีชุดแรกในการบริหารประเทศ ที่เกิดจากรัฐ ธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกที่มีการประกาศใช้เมื่อวันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ คณะรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้แถลงนโยบาย ต่อรัฐสภา ซ่ึงหากพิจารณาในรายละเอียดของนโยบายที่แถลงต่อสภา แล้วจะเห็นได้ว่า เป็นนโยบายท่ีสานต่อวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร ๖ ประการ ทง้ั เร่อื งของการต้องรกั ษาความเป็นเอกราชท้งั หลาย เอกราชใน ทางการเมือง การศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้ม่ันคง การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ การบ�ำรุงความสุขสมบูรณ์ของ ราษฎรในทางเศรษฐกจิ การให้ราษฎรมสี ิทธิเสมอภาคกนั การให้ราษฎร ไดม้ ีเสรีภาพ มคี วามเปน็ อสิ ระ เมอื่ เสรภี าพน้ีไมข่ ดั ต่อหลัก ๕ ประการ รวมถึงเร่ืองท่ีจะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร ซ่ึงนโยบายที่ได้ แถลงนก้ี ็ได้รบั การไวว้ างใจลงมติเห็นชอบจากสภา อย่างไรก็ตามภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลชุดนี้เห็นจะเป็นการจัด ระเบียบการบริหารจัดการ ระเบียบของราชการ รวมถึงโครงสร้างการ บริหารจัดการบ้านเมืองให้เข้ารูปเข้ารอยในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ เสียมากกว่า เน่ืองจากเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางการบริหาร จดั การบา้ นเมอื ง รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาท�ำงานอยู่ได้ไม่นานจน เมอื่ มีการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกจิ ของประเทศข้นึ โดยเกดิ กลายเปน็ ความขัดแย้งบานปลายและน�ำมาซึ่งการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร จนถงึ มกี ารงดใชร้ ัฐธรรมนูญบางมาตรา 181
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ความขัดแย้งดังกล่าวน�ำมาซึ่งรัฐประหาร เมื่อวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ ที่น�ำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้คบคิดกับพวก ประกอบด้วยคณะทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนเข้ายึดอ�ำนาจการ ปกครอง และเข้าจัดการให้คณะรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ตัดสินใจลาออกเสียท้ังหมด โดยกล่าวอ้างถึงความจ�ำเป็นท่ีจะต้องเข้า มาแก้ไขสถานการณ์อันจะน�ำมาซึ่งความเสื่อมถอยและความศักดิ์สิทธ์ิ ของรฐั ธรรมนญู ความจริงแล้วพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเองนั้นไม่ได้มีอ�ำนาจ ทางการเมืองอย่างแท้จริงในการขึ้นสูอ่ �ำนาจ เห็นได้จากเมอ่ื ครั้งท่ีเจา้ ของ อ�ำนาจตัวจริงอย่างพระยาพหลพลพยุหเสนาเข้ายึดอ�ำนาจ พระยามโน ปกรณ์นิติธาดาจึงจ�ำต้องลาออกไปในท่ีสุด ด้วยการย่ืนใบลาออกและ ก็ไดร้ บั พระบรมราชานญุ าตใหล้ าออกไดต้ ามประสงค์ การรัฐประหารเมื่อวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๗๖ น้ัน ประวัติ- ศาสตร์กล่าวว่าเป็นการท�ำรัฐประหารเงียบคร้ังแรกในประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยในสยาม ซึ่งการกระท�ำการดัง กล่าวเป็นเร่ืองภายในไม่มีเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย เหตุการณ์สภาพ บา้ นเมอื งตา่ งกเ็ ป็นปกตสิ ขุ ไมม่ ีเหตกุ ารณ์ความวนุ่ วายใดๆ เกดิ ข้นึ ภายหลังจากทีไ่ ดร้ บั พระบรมราชานญุ าตใหล้ าออกแลว้ พระยา มโนปกรณ์นิติธาดาก็เดินทางไปพักผ่อนท่ี จ.เพชรบุรี ก่อนที่จะเดินทาง ไปพำ� นกั ตอ่ ยงั เกาะปนี งั จนถึงแกอ่ นจิ กรรม เมื่อวนั ที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ นับได้ว่านายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งสยามผู้น้ีได้สร้างบทบาทของการ เมืองไทยสมัยใหม่ไว้มากมาย ทว่าบั้นปลายชีวิตกลับต้องได้รับชะตา- กรรมระหกระเหินไปยงั ต่างแดน อยา่ งไรกต็ ามพระยามมโนปกรณน์ ติ ธิ าดาผนู้ ค้ี อื นายกรฐั มนตรี ที่มีคนสนใจศึกษาถึงประวัติความเป็นมามากที่สุดคนหน่ึงของ ประเทศไทย 182
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี เชิงอรรถ ๑ รอง ศยามานนท.์ ประวตั ศิ าสตร์ไทยในระบอบรฐั ธรรมนูญ. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. ๒๕๒๐, หน้า ๔๓ 183
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ๑๓ เม่ือพระปกเกลา้ ฯ ทรงสละราชสมบัติ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอ�ำนาจอันเป็น ของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้า ไม่ยินยอมยกอ�ำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะ ใดโดยเฉพาะ เพ่ือใช้อ�ำนาจน้ันโดยสิทธิขาดและโดยไม่ ฟังเสียงอันแทจ้ ริงของประชาราษฎร” ๑ ความตอนหน่งึ จากพระราชหตั ถเลขา พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสละราชสมบตั ิ ดูเหมือนว่าจะเป็นวลีที่ผู้สนใจประวัติศาสตร์การเปล่ียนแปลง การปกครองคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ เม่ือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติ ลงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ณ บา้ นโนล แครนล.ี ประเทศอังกฤษ เหตุผลในการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า 184
ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี เจ้าอยู่หัว อาจเกิดจากเหตุปัจจัยหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งต้อง ยอมรับว่าเกิดจากความไม่พอพระราชหฤทัยของพระองค์ท่ีมีต่อรัฐบาล ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ซ่ึงพระองค์ทรง ตระหนักแน่ในพระราชหฤทัยว่ารัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนมากพอใจที่จะขัดพระราชด�ำริของพระองค์ไปเสียทุกเร่ือง เช่น เก่ียวกับการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ เสรีภาพในการพูด การเขียน การโฆษณา การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม เรื่องการตัดงบ ประมาณของกระทรวงวัง เปน็ ต้น พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดที่จะเสด็จไปต่างประเทศ เพ่ือรักษาพระเนตรของพระองค์แม้จะได้รับการคัดค้านจากรัฐบาล ก็ตาม แต่ที่สุดแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วย สมเดจ็ พระนางเจ้ารำ� ไพพรรณี กเ็ สด็จออกจากกรงุ เทพฯ ไปยังประเทศ ฝรัง่ เศส เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และเสดจ็ พระราชด�ำเนิน ทอ่ งเทีย่ วประเทศในภาคพื้นยโุ รปจนกระทง่ั เดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงเสดจ็ กรุงลอนดอน และทรงรบั การรักษาพระเนตร จนเปน็ ผลส�ำเรจ็ หนึ่งในเหตุผลของพระองค์ในการปรารภเรื่องสละราชสมบัตินี้ มีเร่ืองของเศรษฐกิจรวมอยู่ด้วย กล่าวคือ พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยกับ การบริหารจดั การของรัฐบาลในหลายเรือ่ ง โดยเฉพาะอย่างย่งิ การเสนอ เคา้ โครงการเศรษฐกจิ ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรดี ี พนมยงค์) จนเกิดเป็นความขัดแย้งข้ึนภายในรัฐบาลเอง เร่ืองน้ีปรากฏชัดเจนใน พระราชบันทึกฉบับที่ ๒ ท่ีทรงมีพระราชปรารภจะสละราชสมบัติไว้ อย่างนา่ สนใจ ความวา่ “...น่าเสียใจอย่างยิ่งท่ีความหวังเหล่านี้มิได้ เป็นไปสมหมาย อีกไม่ช้าก็เห็นแตกต่างกันขึ้น ใน ระหว่างบุคคลในคณะรัฐบาลเองและในสภาผู้แทน 185
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ราษฎร เน่ืองจากเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวง ประดิษฐ์ฯ จนถึงกับต้องมีการปิดสภาฯ และงดใช้ รัฐธรรมนูญบางมาตรา ในขณะนั้นฉันรู้สึกทันทีว่า ประเทศสยามจะหนีกฎธรรมดาของการปฏิวัติหาได้ไม่ เหตุการณ์จะต้องด�ำเนินไปเหมือนอย่างประเทศอ่ืนๆ ตั้งแต่นั้นข่าวการไม่สงบต่างๆ ก็หนาหูข้ึนทุกวัน แล้ว ความไม่สงบต่างๆ ก็เกิดมีข้ึนต่างๆ ตามที่ทราบกันอยู่ แล้ว ตัวฉันเองก็ตกอยู่ในท่ีน่ังล�ำบากอย่างท่ีสุด เพราะ คณะราษฎรก็มีความระแวงสงสัยอยู่เร่ือยว่า คงจะอยาก ไดอ้ �ำนาจคนื และสนบั สนุนให้คนคิดลม้ รัฐบาล ส่วนพวก ท่ีเกลียดชังรัฐบาลและกลัวว่าประเทศสยามจะเป็น คอมมิวนิสต์ก็โกรธเคืองฉันว่าไม่ช่วยเหลือให้พวกเขา ยึดอ�ำนาจให้ได้” ๒ ที่นา่ สนใจคือ ทา่ มกลางความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว “ทรงตกอยู่ในที่น่ังล�ำบากท่ีสุด” เพราะพระองค์ ได้รับผลกระทบท้ังจากความระแวงสงสัยของรัฐบาลว่าพระองค์ต้องการ พระราชอ�ำนาจกลับคืนมา รวมถึงผู้ที่ก่อการกบฏก็ต่อว่าพระองค์ว่าไม่ ยอมช่วยเหลือ ด้วยการท่ีพระองค์ทรงวางพระองค์เป็นกลางโดยการไม่ เขา้ ไปข้องเกีย่ วกบั ฝ่ายใดทั้งส้นิ จากหลายกรณีดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัฐบาล หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่สู้จะราบร่ืนนัก พระองค์ทรงเช่ือว่า รฐั บาลไมไ่ วใ้ จในพระองคแ์ ละคงเป็นเช่นน้นั ตลอดไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องการสละราชสมบัติของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีปัจจัยหลายประการประกอบเข้าด้วย 186
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี กัน แต่ในส่วนของเศรษฐกิจต้องกล่าวว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในปัจจัย ดังกล่าวอย่างแน่นอน ท้ังเร่ืองค�ำกล่าวอ้างของคณะราษฎรที่ว่ารัฐบาล ของพระองค์ (ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ไม่ประสบความ ส�ำเร็จที่จะสร้างฐานะทางเศรษฐกิจอันน�ำมาสู่ความสุขสมบูรณ์ของ ราษฎรได้ ความขัดแย้งภายในรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองที่สืบเน่ืองมาจากพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ที่มีต่อ เค้าโครงการเศรษฐกิจ (แม้จะไม่ได้เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ ก็ตาม) รวมถึงกรณีกบฏบวรเดช เหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านี้คือองค์ ประกอบส�ำคัญท่ีสืบเนื่องเช่ือมโยงกันมา และส่งผลต่อการตัดสิน พระทัยสละราชสมบัตขิ องพระองคใ์ นทีส่ ดุ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีลายพระราช หัตถเลขาสละราชสมบัติในวันท่ี ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ จากกรณี ขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลายเร่ืองระหว่างพระองค์กับรัฐบาล ภายหลังจากที่ รัฐบาลไดส้ ่งคณะผแู้ ทนไปเข้าเฝา้ ฯ ณ ประเทศองั กฤษ เพ่อื กราบบังคม ทูลช้ีแจงข้อข้องพระราชหฤทัยและเพ่ืออัญเชิญเสด็จนิวัติพระนคร แต่ ไม่ประสบความสำ� เรจ็ ภายหลังจากท่ีทรงสละราชสมบัติแล้ว พระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณีทรงเสด็จประทับ อยู่ที่อังกฤษจนกระท่ังเสด็จสวรรคต เมื่อวันท่ี ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่ทรง ประกาศทรงสละราชสมบัติ ในส่วนของผู้ท่ีจะรับสืบราชสมบัติสืบแทนพระองค์นั้น ก็มิมี พระราชประสงคบ์ ง่ ชดั พระนามของผใู้ ดในการสบื ราชสนั ตตวิ งศค์ วามวา่ “ข้าพเจ้าไม่มีประสงค์ท่ีจะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใดให้ เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามท่ีข้าพเจ้ามี 187
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี สิทธิจะท�ำได้ตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติ วงศ์” ๓ ครั้นเม่ือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราช สมบัติแล้ว ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๗ การสืบราชสมบัติ ท่าน ว่าให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง ผู้ที่ทรงอยใู่ นล�ำดบั ของการสบื ราชสนั ตตวิ งศ์ล�ำดบั ที่ ๑ คือ พระวรวงศ์ เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบ ในวนั ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ในการอญั เชญิ พระวรวงศเ์ ธอพระองค์ เจา้ อานันทมหิดลข้นึ ครองราชสมบตั ิสืบไป อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงการ ปกครองในปี ๒๔๗๕ มากท่ีสุด คงไม่พ้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงได้รับผลมากมายตั้งแต่การส้ินพระชนม์ของพระ เชษฐาท่ีเป็นผู้อยู่ในฐานะองค์รัชทายาท การประสูติพระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั ท่ตี อ่ มาพระองค์ก็ตอ้ งทรงเสีย พระเชษฐาอย่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไปอีก อันน�ำ มาซึ่งพระราชภาระในฐานะพระมหากษัตริย์ รัชกาลท่ี ๗ แห่งสยาม ประเทศ แม้ว่าช่วงเวลาแค่ข้ามคืนจะท�ำให้พระราชอ�ำนาจท่ีมีอยู่แต่เดิม ของพระองค์ ท่ีคงสืบทอดสืบต่อกันมาแต่คร้ังโบราณนานนับร้อยปี จะมีอันต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ตาม ทว่าก็ไม่ได้ท�ำให้ พระองค์ทรงย่อท้อต่อการสร้างสุขให้กับอาณาประชาราษฎร์ของ พระองค์แต่อย่างใดเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่พระองค์เองก็ไม่ทรงคิดคาด หวงั ท่ีจะเปน็ พระมหากษตั รยิ ก์ ็ตาม กล่าวกันว่าการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ที่เกิด 188
ประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ข้ึนนั้นจะเกิดความวุ่นวายอย่างมากมาย หากว่าไม่ได้รับพระมหา กรุณาธิคุณให้ความร่วมมือจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับคณะผู้ก่อการด้วยดี ไม่ได้เป็น เพราะพระองค์ทรงกร่ิงเกรงกลัวในอ�ำนาจของกลุ่มผู้ก่อการ หากแต่ว่า หากการก่อการในคร้ังนี้ไม่มีพระองค์ภาพลักษณ์ของประเทศย่อมเส่ือม สูญ ไร้ความน่าเช่ือถือ เนื่องจากพระองค์คือสัญลักษณ์ และเกียรติยศ ของประชาชนชาวไทยรวมถงึ ในสายตาของตา่ งชาติ การที่พระองค์ทรงยอมให้ความร่วมมือกับคณะผู้ก่อการน่ันก็ ด้วยทรงมุ่งหวังว่าพระองค์จะสามารถช่วยบ้านเมืองประประชาชนได้ใน ชว่ งหัวเลยี้ วหัวตอ่ ทางการเมืองการปกครอง ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละ ราชสมบัติแล้ว ทรงกลับไปใช้พระนามเดิม คือ กรมหลวงสุโขทัยธรรม ราชา ซึ่งเป็นพระนามเดิมก่อนท่ีจะทรงเสด็จข้ึนครองราชสมบัติ พระองค์ทรงซื้อบ้านท่ีเวอร์จิเนีย วอเตอร์ ท่ีอยู่ในชนบทของประเทศ อังกฤษ ทรงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบ หลีกหนีความวุ่นวายทาง การเมอื งจนถงึ วาระสุดทา้ ยแหง่ พระชนมช์ ีพ กลา่ วไดว้ า่ ในชว่ งระยะเวลาตัง้ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติข้ึนเป็นกษัตริย์ล�ำดับท่ี ๗ แห่ง ราชวงศ์จักรี จนส้ินรัชกาลของพระองค์เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ของประเทศสยามทจ่ี ะตอ้ งจารกึ ถงึ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั และการเปลย่ี นแปลง ทเี่ กิดขึ้น พระราชประวัติต้ังแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์น้อยอันเป็นที่รักของพระราชวงศ์และเหล่าราษฎรทั้งประเทศ ความเป็นลูกกษัตริย์ท�ำให้พระองค์มีพระราชภาระติดตัวมาตลอดกับ การที่จะต้องบ�ำบัดทุกข์บ�ำรุงสุขให้กับราษฎรของพระองค์ไม่ว่าจะใน ฐานะพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ พระอนุชาของพระมหากษัตริย์ 189
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี หรือแม้แต่การเสด็จข้ึนเป็นกษัตริย์ ตลอดเวลาพระองค์ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่าจะต้องมาเป็นกษัตริย์ แม้ว่าล�ำดับการสืบพระราชสันตติ วงศ์จะมีช่ือของพระองค์ติดอยู่ก็ตาม แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะล�ำดับท่ี ห่างหลายชน้ั เหลือเกิน อย่างไรก็ตามความไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เป็นไปได้ เม่ือล�ำดับช้ัน ของการสืบราชสันตติวงศ์ของพระองค์ได้เล่ือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และ ในที่สุด พระองค์คือ “กษัตริย์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม” แบบ “ม้ามืด” แม้ว่าจะมิได้ทรงคาดคิดและมุ่งหวัง แต่เม่ือเหตุการณ์เป็นผู้ ก�ำหนดพระองค์ก็จ�ำต้องรับพระราชภาระอันยิ่งใหญ่นี้กับการท่ีจะต้อง น�ำรัฐสยามนาวาล�ำนี้ให้ล่องลอยมุ่งหน้าไปสู่ความส�ำเร็จ คือการเป็น ประเทศท่ปี ระชาราษฎรอยกู่ นั อยา่ งร่มเยน็ เปน็ สขุ นับเป็นความโชคร้ายของพระองค์อย่างเหลือเกินที่พระราช ภาระในฐานะกษัตริย์ของพระองค์นั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติหรือ ก้าวหน้า เม่ือแรกที่ทรงข้ึนครองราชย์ พระองค์ก็ต้องเจอกับปัญหา เศรษฐกจิ ปญั หาการเมือง ปญั หาความตกตำ่� ของพระราชวงศ์ ทที่ า้ ทาย และรอพระองค์อย่อู ยา่ งมากมาย ปัญหาแรก คือ เงินคงคลังที่ขาดดุลติดต่อกันมาหลายปีก่อน ท่ีพระองค์เสด็จข้ึนครองราชสมบัติ ปัญหาท่ีท้าทายพระปรีชาสามารถ ของพระองค์ กบั ความรู้ความสามารถทีม่ ุ่งไปทางด้านการทหารเปน็ หลกั มาแต่ต้น พระองค์จะท�ำอย่างไร ต่อมาไม่นานก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ตกต่�ำทั่วโลกท่ีเกิดขึ้นซ่ึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ ปัญหาเศรษฐกิจทั้งสองคร้ังรุนแรงไม่น้อยกับกษัตริย์พระองค์ใหม่ อยา่ งไรกต็ าม แมว้ ่าจะไมใ่ ช่เร่ืองท่ีพระองคท์ รงช�ำนาญ แต่ก็ไมน่ ่าเช่อื ว่า พระองคจ์ ะสามารถแก้ไขปัญหานไี้ ดล้ ุล่วงไปได้ดว้ ยดี ปัญหาเร่ืองความร้อนแรงทางการเมือง แนวคิดเร่ืองประชา- ธิปไตยที่เป็นเสมือน “ไฟ” ท่ีก่อเชื้อและลุกไหม้พระราชอ�ำนาจแบบ 190
ประวัติศาสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระองค์ ท้าทายให้พระองค์ต้องทรงหา ทางออกใหก้ บั บ้านเมือง แนวคิดเร่ืองประชาธิปไตยน้ี ความจริงพระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรู้ดี และเห็นเป็นเรื่องส�ำคัญมาตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้น ครองราชย์ ทรงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดท่ีต้องการเปล่ียนแปลงบ้านเมือง แบบ “พลิกฝา่ มือ” เพราะนนั่ คอื หนทางท่จี ะน�ำมาประเทศไปสคู่ วามลม่ สลาย วิธีการทีด่ ีท่สี ดุ คอื การเปล่ียนแปลงแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ดว้ ย การเตรียมความพร้อมให้กับบ้านเมือง ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเร่ือง การปกครองรูปแบบใหม่ให้กับราษฎรเสียก่อน และเมื่อมีความพร้อม พระองค์กจ็ ะทรงพระราชทานอ�ำนาจของพระองค์ใหก้ ับประชาชนทนั ที เรื่องนี้ไม่ได้แปลความว่าเป็นการ “ผัดเวลา” เพื่อการรักษา พระราชอ�ำนาจ แต่พระองค์ทรงกระท�ำให้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยการ เตรยี มการเร่ืองรฐั ธรรมนญู ไว้เรียบรอ้ ยแลว้ อย่างไรกต็ าม “ไฟ” ประชาธิปไตยก็รอ้ นแรงเกินกว่าเวลาทจ่ี ะ รอคอยได้ วันท่ี ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ กลุ่มคณะบุคคลที่เรยี กตัว เองว่า “คณะราษฎร” ได้กระท�ำการยึดอ�ำนาจจากรัฐบาลของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นแบบ ประชาธิปไตย การกระท�ำดังกล่าวถือเป็นจุดเปล่ียนทางประวัติศาสตร์ ให้กับสยามประเทศท่ีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ระบอบที่ เคยฝงั รากลงลกึ อย่ใู นดินแดนแหง่ นี้มาแลว้ เป็นเวลานาน ต้องมาเปล่ียน ผ่านอ�ำนาจแบบปัจจุบนั ทนั ดว่ น เร่ืองน้ีไม่ได้สร้างความท้อแท้ในอันที่จะปกป้องและดูแลเหล่า ราษฎรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวลงแต่อย่างใด ในทาง ตรงกันข้าม แนวคิดเรื่องการเปล่ียนแปลงน้ีก็เป็นแนวคิดท่ีมีอยู่แล้วใน พระราชด�ำรขิ องพระองค์ และทรงด�ำเนนิ การมาแล้วอย่างต่อเน่ือง พระองค์มิได้ทรงต่อต้าน ทรงยอมรับกับการเปล่ียนแปลงนี้ 191
ประวัติศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ด้วยดี ทรงช่วยเหลือให้การเปล่ียนแปลงครั้งน้ีด�ำเนินไปอย่างเรียบร้อย อันเป็นเร่ืองท่ีทั่วโลกต้องต่ืนตะลึงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ ประเทศนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการต่อสู้เข่นฆ่ากันได้อย่างไร ทั้งท่ีก่อนหน้าน้ีมหาอ�ำนาจอย่างรัสเซียท่ีกว่าจะได้การเปลี่ยนแปลงมาก็ ความสูญเสยี ให้กบั ประเทศไม่นอ้ ย ภายหลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ พระองค์ ทรงเปล่ียนสถานะจากกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พระ ราชอ�ำนาจสิทธิขาด) มาเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว พระองค์ก็ ยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะกษัตริย์ของราษฎรอยู่มิเคยขาด ตราบจนเม่ือพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ไม่สามารถท�ำหน้าท่ีในการ ช่วยเหลอื ราษฎรของพระองค์ได้อกี ต่อไปแล้วก็ทรง “สละราชสมบตั ”ิ กับเหตุการณ์ส�ำคัญต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนท�ำให้ประวัติศาสตร์ในช่วง รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความส�ำคัญและน่า สนใจอย่างยงิ่ รายละเอียดมากมายท่มี ีมาพร้อมกับเรือ่ งราวท่เี กิดขึน้ ได้ สร้างค�ำถามที่ต้องการหาค�ำตอบท่ีชัดเจนให้กับผู้ท่ีสนใจไม่น้อย ดังนั้น หนังสือเล่มนจ้ี งึ ชว่ ยใหค้ ำ� ตอบกบั คำ� ถามท่ตี อ้ งการไดไ้ ม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็หวังว่าไม่สมควรอย่างยิ่งท่ีจะยุติความ สนใจประวัตศิ าสตรด์ ว้ ยหนังสอื เล่มนี้ เพราะจะเป็นเสมือนการปดิ ประตู เพือ่ รับรขู้ อ้ มลู และมมุ มองอ่นื ๆ โดยสน้ิ เชิง ประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนและได้ผ่านซ่ึงกาลเวลามา แล้ว ไม่มีใครสามารถสร้างภาพของประวัติศาสตร์ได้ชัดเจนเหมือน เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริง เพราะยังมีแง่มุมอีกมากมายท่ีไม่อาจน�ำเสนอได้ ครบถ้วนทั้งด้วยสติปัญญาของผู้เขียนเอง รวมถึงข้อจ�ำกัดของการน�ำ เสนอในรูปของหนงั สอื เป็นการสมควรอย่างยิง่ ทผ่ี ้สู นใจจะได้ใคร่ศึกษา หาข้อมูลความรู้เพ่ิมเติมตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ภาพของประวัติศาสตร์ อยา่ งรอบดา้ นต่อไป 192
ประวัตศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี เชงิ อรรถ ๑ แถลงการณ์เร่ือง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชา ธิปก พระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงสละราชสมบตั ิ อา้ งจาก “พระราชประวตั ิ และพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” พิมพ์ที่ระลึกในพระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราช กุศลทักษณิ านุปทาน ในอภลิ กั ขติ สมัยวนั พระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (กรงุ เทพฯ : อัมรินทรพ์ ริ้นติง้ แอนดพ์ ับลชิ ชงิ่ จ�ำกัด (มหาชน) ๒๕๓๖) หน้า ๙ ๒ พระราชบนั ทึก เร่ือง สละราชสมบัติ ฉบบั ท่ี ๒ ใน สำ� นักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชา ธิปก พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงสละราชสมบัต”ิ (กรุงเทพฯ : ส�ำนกั งาน เลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร ๒๕๓๖) หน้า ๑๐-๑๔ ๓อา้ งจาก เบนจามนิ เอ. บัทสัน. อวสานสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ ในสยาม. กรงุ เทพฯ : มลู นธิ โิ ครงการตำ� ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร.์ ๒๕๔๗ หนา้ ๔๕๘-๔๕๙ 193
ประวัตศิ าสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี มรดกทางประวตั ศิ าสตร์ “ประชาธปิ ไตย” ในสยาม 194
ประวัติศาสตรป์ ระชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี 195
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี ๑๔ ประชาธิปไตยสยาม : การเมืองท่วี ่าด้วยเรือ่ งของอ�ำนาจ ส่ิงที่เกิดข้ึนรายรอบภูมิภาคเอเชียในยุคสมัยการล่าอาณานิคม ตะวันตกน้ัน ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการบริหาร จัดการสังคมแห่งรัฐในรูปแบบใหม่ นั่นก็คือ การรวมศูนย์อ�ำนาจไว้ที่ ส่วนกลาง ซึ่งรูปแบบลักษณะอย่างน้ีมีต้นแบบมาจากตะวันตกอย่าง ชดั เจน ทว่าการรวมศูนย์อ�ำนาจในยุคล่าอาณานิคมตะวันตกนั้น อ�ำนาจท่ีรวมไว้กลับไม่ได้ตกอยู่กับท้องถ่ินหรือชุมชนเจ้าของพื้นที่ใน การบริหารจัดการ หากแต่เป็นส่วนกลางท่ีรวมอ�ำนาจเข้าสู่ตนเอง รูป แบบดังกล่าวเราจะเรียกว่าเป็นรูปแบบหรือผลผลิตที่เกิดจากนักล่า อาณานคิ มตะวันตก นักวิชาการบางท่านกล่าวไว้ถึงขนาดว่าสถาบันกษัตริย์ในยุค เดิม แทจ้ ริงแล้วกไ็ ม่ได้ทรงมีอำ� นาจแบบเบ็ดเสร็จเดด็ ขาดหรอื ทีเ่ รียกวา่ 196
ประวตั ิศาสตรป์ ระชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี “สมบรู ณาญาสิทธิราชย์” อย่างแท้จริง หากแตไ่ ดถ้ กู บดบงั เบียดเบียน จากกลุ่มอ�ำนาจหน่ึงท่ีเรียกว่าขุนนางมาแทบทุกยุคทุกสมัย มากบ้าง น้อยบ้างตามแต่ละช่วงเวลา มาจนถึงรัชกาลท่ี ๕ แนวคิดในการรวม ศูนย์อ�ำนาจท่ีพระองค์ทรงใช้ด้วยนโยบายปรับปรุงประเทศ ด้วยการ ปรับเปล่ียนรูปแบบการบริหารบ้านเมืองจากระบอบเดิมเปลี่ยนมาเป็น กระทรวงต่างๆ ที่ค่อนข้างจะชัดเจนว่าเป็นการดึงอ�ำนาจหรือรวมอ�ำนาจ เข้ามาสู่ส่วนกลางอย่างแท้จริง หรือจะกล่าวอีกนัยหน่ึงว่าเป็นการทำ� ลาย กล่มุ กอ้ นทางอ�ำนาจของขุนนางลงไปจ�ำนวนมาก แนวคิดเร่ืองประชาธิปไตยในสยามอาจมาพร้อมกับการหล่ัง ไหลของวัฒนธรรมตะวันตก ท่ีพรั่งพรูมาในทุกสารทิศ สารพัดรูปแบบ การก่อตัวในครัง้ นั้นมันได้ถกู ปะทุขน้ึ มาหลายครง้ั ท้งั การเสนอความคดิ เรื่องพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญในรัชสมัยของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเกิดเป็นกบฏในรัชสมัยพระบาท สมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั หรือทเี่ รยี กว่า “กบฏ รศ.๑๓๐” ท่เี กดิ ข้นึ ในปแี รกทพ่ี ระองค์เสดจ็ ขึน้ ครองราชสมบตั ิ ความจริงแล้วเร่ืองเหล่าน้ี ชนชั้นผู้น�ำในสยามก็คงทราบดี ดัง จะเห็นได้จากการที่ชนชั้นน�ำพยายามปรับตัวเองให้รู้เท่าทันต่อกระแส การไหลบ่าท่ีเข้ามาอย่างรุนแรง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวก็ทรงกระท�ำการมากมายท่ีเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย ทั้งการให้ สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชน มีรูปแบบการปกครองท่ีสอดคล้องกับ การแสดงความคิดความเห็น คร้ังเม่ือถึงในสมัยรัชกาลของพระบาท สมเด็จพระจุลมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เองก็ทรงด�ำเนินพระ ราโชบายตามรอยพระราชบิดาในหลายเรื่อง การสร้าง “ดุสิตธานี” เป็นรูปแบบหน่ึงของการเรียนรู้ประชา- ธิปไตยที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ทว่าก็กลับถูกวิจารณ์ในบางมุมว่าเป็น ของเล่นของพระองคไ์ ป ซึง่ ในความเปน็ จรงิ แลว้ หากวา่ ไม่มคี วามคิดใน 197
ประวัติศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม สำ� ราญ ผลดี เรื่องการปกครองเลย พระองค์จะทรงสร้างของเล่นลักษณะนี้ขึ้นมา ท�ำไม ซงึ่ กเ็ ป็นประเด็นท่ีชชี้ วนใหส้ งสัยกันอยู่ ความพยายามท่ีจะเสนอร่างรัฐธรรมนูญในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นอีกหน่ึงความพยายามของพระมหา กษัตริย์ที่จะปรับตัวให้เท่าทันต่อกระแสของการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าร่าง รัฐธรรมนูญดังกล่าวจะยังไม่ได้มีการน�ำมาใช้จริงก็ตาม เน่ืองจากว่าเกิด การเปล่ียนแปลงการปกครองในพ.ศ.๒๔๗๕ เสียก่อน ท้ังหลายเหล่านี้ ได้ช้ีชัดให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชนช้ันน�ำของสยามไม่ได้นิ่งนอนใจกับ แนวคิดเรือ่ งการเปลีย่ นแปลงการปกครองแบบใหมน่ ้เี ลย ในอีกมุมหน่ึง ในช่วงระยะเวลาก่อนการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ สภาพทางสังคมในเวลานั้น จ�ำนวนประชาการมี อยเู่ พียงประมาณ ๗ - ๘ ล้านคนเทา่ นน้ั ไม่ได้มากมายถึงเกอื บรอ้ ยล้าน คนเหมือนดังเช่นปัจจุบัน ดังน้ันมิติส�ำคัญทางการเมืองในช่วงเวลาดัง กล่าวเราจึงไม่สามารถน�ำเอามิติทางสังคมปัจจุบันไปเทียบเคียงได้ นอกจากน้ี โดยลักษณะพื้นฐานทางสังคมไทยท่ีมักอยู่กันกระจัด กระจายไปทั่วภูมิภาค ความแออัดนั้นย่อมไม่มีซึ่งแตกต่างจากสังคม ปัจจุบัน ส่ิงส�ำคัญคือ ในเวลาน้ัน ประเทศไทยเป็นสังคมท่ีรวมความ หลากหลายทางเช้ือชาติมาต้ังแต่ครั้งโบราณ ที่นักวิชาการรวมเรียกว่า “พหสุ งั คม” มกี ารบรู ณาการความหลากหลายเหลา่ นไี้ วเ้ ปน็ หนงึ่ เดยี วกนั ได้อยา่ งแยกไมอ่ อก ในแง่ของเศรษฐกิจก่อนเปล่ียนแปลงการปกครองส่วนใหญ่ แล้วอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติ และมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลง มาก หากว่าเป็นอุตสาหกรรมก็จะเป็นชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ หากเปน็ การค้าข้าวคนจีนก็ถอื วา่ แทบจะกมุ อ�ำนาจเอาไวท้ ้งั หมด ความจริงแล้วในครั้งอดีตสงั คมไทยแบง่ ชนชั้นออกเป็น ๒ ชน ช้ันใหญ่ๆ เท่านั้นคือ ชนชั้นสูงที่ประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ พระ 198
ประวตั ิศาสตร์ประชาธปิ ไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ราชวงศ์ ขุนนาง และชนช้ันล่างอันประกอบด้วย ไพร่และทาสอย่างที่ พวกเราเล่าเรียนมา ทว่าเม่ือมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ อย่างโหมกระหน่�ำในยุคล่าอาณานิคมตะวันตก สังคมสยามก็จ�ำต้องมี การปรับตัวขนานใหญ่ ท�ำให้สังคมสยามเกิดมีชนช้ันใหม่ข้ึนมาเปล่ียน รูปเปลี่ยนร่างสังคมสยามไปจากเดิมนั่นก็คือ “ชนช้ันกลาง” หรือ “นายทนุ ” รากฐานทางอุดมการณ์หรือรากฐานแห่งความเข้าใจในความ เป็นสังคมที่แตกต่างกันในอดีตและปัจจุบัน มีส่วนส�ำคัญในการน�ำพา รัฐสยามให้เดินทางมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไม่น่าเช่ือ ระบอบสมบูร- ณาญาสิทธิราชย์ พยายามอธิบายว่ากรรมสิทธิ์ท้ังหลายในแผ่นดินน้ัน เป็นของคนเพียงคนเดียวที่อยู่ในรูปของกษัตริย์ ราชา สุลต่านหรืออ่ืนๆ ตามแต่จะเรียกกันไป หากแต่ประชาธิปไตยน้ันอธิบายแตกต่างออกไป ว่า แผ่นดินท้ังหมดน้ีเป็นของประชาชน เป็นของคนทุกคนที่อยู่รวมกัน หรือจะเรยี กว่าทกุ คนนั้น “มสี ทิ ธิ” ในฐานะความเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม ทรัพย์สินในแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น แม้ว่าประชาชนจะไม่ได้มีสิทธิในความเป็นเจ้าของแผ่นดิน หากแต่ กษัตรยิ ์ก็ “ให้สทิ ธิ” ในแผ่นดนิ นนั้ กับประชาชนไดท้ ำ� กนิ เม่ือใดกต็ าม ที่แผ่นดินนั้นไม่ได้ใช้ในการท�ำกิน สิทธิน้ันก็จ�ำต้องกลับไปอยู่ที่กษัตริย์ หรือพระเจ้าแผ่นดิน ทว่าในระบอบต่อมานั้นต่างกัน เม่ือปล่อยให้ ประชาชนมี “กรรมสิทธิ์” ในแผ่นดิน กรรมสิทธ์ินั้นก็มีค่าที่สามารถน�ำ มาแลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันได้ ท่ีน่าเศร้าไปกว่าน้ันก็คือ กรรมสิทธิ์ ทั้งหลายไม่ได้กระจายไปสู่สมาชิกในสังคมอย่างแท้จริง หากแต่มันได้ ยอ้ นกลับไปสู่กลุ่มอำ� นาจใหมท่ เ่ี ราเรยี กวา่ “นายทนุ ” เสยี แทบทงั้ หมด และน่ีคือปัญหาหรือผลพวงของค�ำว่า “สิทธิ” ที่เราจะเรียกได้ หรือไมว่ ่ามันมาพร้อมกับแนวคดิ เรือ่ งประชาธปิ ไตย ดงั นั้น เรากต็ อ้ งยอมรับตามความเปน็ จรงิ อย่างหน่ึงวา่ จดุ เด่น 199
ประวตั ศิ าสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ส�ำราญ ผลดี ของคำ� วา่ ประชาธิปไตยนนั่ กค็ อื เรอื่ งของ “สทิ ธ”ิ ทว่าคำ� ๆ นต้ี ่อมากน็ �ำ ปัญหาตามมาเช่นกัน ด้วยการอ้างค�ำว่าสิทธินี้ในการเรียกร้องจนบาง ครงั้ ก็ดวู า่ จะเกนิ เลยขอบเขตของค�ำว่าสิทธิขัน้ พ้นื ฐานไปเช่นกนั การเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว เราอาจมองกันว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของการให้ซึ่ง “สิทธิ” แก่ประชาชน หากแต่เม่ือคร้ังนั้นในเชิงลึกแล้วเม่ือเกิดการเลิกทาสข้ึน ผู้ที่เดือดร้อน ที่สุดกลับเป็นตัวของทาสเองไม่ใช่มูลนาย เน่ืองจากว่าทาสทั้งหลายขาด ที่พึง่ และเควง้ คว้าง ซึ่งกอ่ นหนา้ นี้ ระบบของสงั คมสยามเราผูกพนั กันอยู่ ในระบบอุปถัมภ์ ทั้งชนช้ันสูงและไพร่ ทาส ต่างก็พึ่งพึง พ่ึงพาอาศัย ระหว่างกัน ตัวของทาสเองก็จะต้องท�ำงาน ใช้แรงงานผ่านกระบวนการ ผลิต ซ่ึงดอกผลนั้นก็ไปตกอยู่กับเจ้าขุนมูลนาย ในขณะเดียวกันท่ีตัว ของทาสเองก็ได้รับความคุ้มครอง ได้รับการสนับสนุนการด�ำเนินชีวิต จากเจ้าขนุ มลู นายดว้ ยเชน่ กนั เมื่อสยามประกาศว่าจะให้สิทธิกับผู้ที่เคยอยู่ในระบบอุปถัมภ์ ขึ้นมา ก็เกิดการปรับตัวไม่ทัน ทาสจึงดูเหมือนว่าจะล�ำบากอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ ระบอบใหม่ยังมีเร่ืองของการให้ในกรรมสิทธิ์ในทรัพยากร หรือท่ีดินเข้ามาอีก เมื่อสังคมไทยปรับตัวไม่ทัน มันก็เป็นช่องว่างให้ กลุ่มนายทุนเข้าแทรกแซงทันที ท้ังกลุ่มนายทุนชนช้ันน�ำในสังคมไทย เอง กลุ่มนายทุนตะวันตก และที่ส�ำคัญคือกลุ่มนายทุนที่เป็นชาวจีน ท่ี เร่ิมเข้ามามีบทบาทมากข้ึน เม่ือเราเปลี่ยนรูปแบบทางสังคม และน�ำมา ซ่ึงปรากฏการณ์ท่เี ราเรยี กว่า “ชนชั้นกลาง” ข้นึ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหน่ึงคือ ข้าราชการในยุคสมัยเดิมน้ัน หมายรวมถึงตั้งแต่เมื่อครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวเป็นต้นมา มีไม่มากนัก ในช่วงที่มีการปรับปรุงประเทศด้วย ความเร่งรีบนั้น กลุ่มข้าราชการที่มาจากต่างประเทศถือเป็นกลจักร ส�ำคัญในการเปล่ียนแปลงทางสังคมของสยาม ซึ่งอยู่ในรูปของที่ปรึกษา 200
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221