Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore RMUTSV

RMUTSV

Published by taweelap_s, 2019-05-17 00:19:12

Description: RMUTSV

Search

Read the Text Version

ทางานข้ามสายงาน แหล่งผู้รู้ในองค์กร เวทีเสวนา การประชุมระดมสมอง การใช้เทคนิคการเล่า เร่ือง การทบทวนหลังการปฏิบัติงาน และการจัดทาฐานข้อมูล โดยผู้สอนทาหน้าท่ีเป็นเหมือนพ่ี เลี้ยงคอยอานวยการให้เกิดการเรียนรู้ผ่านการลงสนามศึกษาชุมชน หลังจากการดาเนินกิจกรรม ดังกล่าวทาให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ ส่งผลถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผู้เรยี นโดยเฉพาะดา้ นทกั ษะทางความรู้และทกั ษะทางสงั คม คาสาคญั : การจัดการเรยี นรู้ ชุมชน เคร่ืองมอื การจัดการความรู้ Summary Learning management is one of the most important part of learning process. Therefore, the instructors have to adjust themselves to the new environment of challenging by the students’ characteristic. So, the instructors aimed to enhance students’ capabilities by using several learning models. In this project, the instructor had created learning management process by integrating Knowledge Management tools (KM tools) and we also used community as a field of study. Thus, there were several KM tools employed into this project such as cross-functional team, dialogue, center of excellence, brainstorming, storytelling, after action review and knowledge bases. Instructors can be seen as mentor who helped catalyze the activity for students and persuaded student to work in a field. After started the learning management through the community by using knowledge management tools, students responded positively. It can be noticed that students tried to complete their learning tasks and they also produced many learning outcomes comply with learning objectives significantly. Students were also improved in knowledge skilled and social skilled. Keywords: leaning management; community; KM tools บทนา การจัดการความร้เู ป็นเคร่ืองมือหน่ึงท่ีช่วยในการค้นหา เข้าถึง ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยน ความรู้ให้สะดวกรวดเร็วยิ่งข้ึน การเลือกใช้กระบวนการและเครื่องมือจัดการความรู้นั้นจึงข้ึนอยู่ กับชนิดของความรู้ ลักษณะขององค์กร ลักษณะการทางาน วัฒนธรรมองค์กร ทรัพยากร ฯลฯ การจัดการความรู้จึงเป็นกระบวนการที่เป็นวงจรต่อเน่ือง โดยมีเป้าหมาย คือ การพัฒนางาน และพัฒนาคนที่มกี ระบวนการจัดการความรู้เปน็ เคร่ืองมือ (วิจารณ์, 2548)

การจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยก่อนท่ีจะมีการจัดการความรู้นั้น เนื่องด้วยประเภทรายวิชาของ หลักสูตรสังคมศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานบังคับและวชิ าบังคับเลือก นักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยจงึ ต้อง ลงทะเบียนเรียนอย่างน้อย 9 -12 หน่วยกิต ทาให้การเรียนการสอนในแต่ละกลุ่ม มีนักศึกษา ลงทะเบียนเรียนเป็นจานวนมาก สภาพผู้เรียนมาจากต่างคณะ มีความรู้พื้นฐาน ความสนใจท่ี แตกต่างกันไป การจัดการเรียนการสอนผู้สอนจึงเน้นการสื่อสารทางเดียว โดยผู้สอนเป็นผู้มี บทบาทสาคัญในการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ เตรยี มการสอน การบรรยายตามคาอธบิ ายรายวิชาโดย ใช้ความรูค้ วามเข้าใจของผู้สอนเป็นสาคัญมากกว่าท่ีจะเชื่อมโยงกับความสนใจ ความรู้พนื้ ฐานเดิม ตามความถนัดของผู้เรียน การสอนแบบบรรยายจึงเป็นการสอนให้รู้และเข้าใจเป็นส่วน ๆ ไม่ เชื่อมโยงกับความสนใจ ความรู้ดั้งเดิมของผู้เรียน อีกท้ังไม่เช่ือมโยงกับประสบการณ์ชีวิตจริง ทา ให้การเรียนการสอนเป็นไปด้วยความน่าเบื่อ ผู้สอนกับผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์เพียงการถามตอบเพื่อ ทบทวนความรู้ที่บรรยายไป ประกอบกับสภาพสังคมปัจจุบันที่เทคโนโลยีมามีบทบาทกับ ชีวิตประจาวันของผู้เรียน ก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนความสนใจไปยังส่ิงเร้าอื่นได้ง่าย การจัดการ เรยี นการสอนดว้ ยวิธดี ังกลา่ วจึงไมป่ ระสบผลสาเรจ็ ตามความคาดหวังของผู้สอน ดังนั้น เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนได้ผลสัมฤทธ์ิเพิ่มข้ึน ผู้สอนจึงได้นาเทคนิคและ เครื่องมือของการจัดการความรู้ (KM) มาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนมากข้ึน โดยใน การจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นให้นักศกึ ษาสามารถออกแบบการค้นหาความรู้ ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียน มีความกระตอื รือรน้ ในการเรียนอยา่ งตอ่ เน่ือง นอกจากน้ีการจัดการความรู้ยงั เอ้ืออานวยให้ผู้สอน เปล่ียนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ถ่ายทอดความความรู้ให้กับนักศึกษาเพียงทางเดียว มาเป็นผู้ เอื้ออานวยให้นักศึกษาสามารถค้นหาความรู้ได้เองอย่างต่อเนื่อง ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่ง แนวทางการพัฒนาให้ผู้เรียนมีศักยภาพในการรู้ด้วยตนเองมากข้ึนน้ี สอดคล้องกับการพัฒนาการ เรียนการรู้แบบ Active Learning จึงเป็นท่ีมา ในการจัดการเรียนรู้ของรายวิชาต่าง ๆ ใน หลักสูตรรายวิชาสงั คมศาสตร์ ม่งุ เน้นการส่งเสริมให้นกั ศกึ ษาได้ออกแบบการเรยี นรูเ้ อง พร้อมท้ัง ค้นหาความรู้ ประมวลความรู้ ประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะเฉพาะตามสาขาวิชาของนักศึกษา บูรณาการเข้ากับการเรียนแบบโครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning) โดยผู้สอน ออกแบบให้ชุมชนเป็นพื้นที่สาหรับการปฏิบัติการของนักศึกษา เพ่ือสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ใหม่ ๆ และนาเอาเครอื่ งมอื การจัดการความรเู้ ข้าไปใช้รว่ มด้วย

วธิ กี ารดาเนนิ งานตามกระบวนการจดั การความรู้ (KM Process) การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย โดยเฉพาะการสร้างความโดดเด่นและเป็นเลิศเฉพาะทางตามอัตลักษณ์เชิงพ้ืนท่ี ถือเป็น หน้าท่หี ลักของคณาจารย์ทุกท่าน ที่ต้องพัฒนารปู แบบการจัดการเรียนการสอนให้สามารถดึงเอา ศักยภาพที่มีอยู่ของผู้เรียนให้แสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ อีกนัยหนึ่งนับเป็นความท้าทายของ ผู้สอนเป็นอย่างย่ิง ดังน้ันจึงมีวิธีการดาเนินงานตามกระบวนการจัดการความรู้โดยใช้เครื่องมือ การจัดการความรู้ (KM TOOLS) 7 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1. การบ่งชีค้ วามรู้ เร่ิมต้นจากคณาจารย์ในหลักสูตรรายวิชาสังคมศาสตร์ประชุมวางแผนการจัดความรู้ ตาม กระบวนการจัดการความรู้ ( KM Process) โดยสรุปทบทวนผลการจัดการเรียนการสอน แบบเดิมกอ่ นการจะมีการจดั การเรยี นรู้ พบวา่ ความรู้ที่ผเู้ รยี นได้รบั เป็นความร้สู าเรจ็ รูปจากตารา เรียน หนังสือตลอดจนเอกสารประกอบการสอนตามคาอธิบายรายวิชา ซึ่งในความเป็นจริงน้ัน ความรทู้ างสังคมศาสตรค์ ือการเรียนรโู้ ลกกว้างท่ีเคลื่อนไหวอย่างมพี ลวัต มีการปรับเปล่ียนไปตาม สภาพสังคมปัจจุบัน เกิดปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ตามสถานการณ์โลกท่ีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คณาจารย์ในหลกั สูตรรายวิชาสังคมศาสตร์จึงสรุปข้อคน้ พบ วิธีการ และเครือ่ งมือในการแสวงหา ความรู้เพ่ือนามาปรับใช้พัฒนาผู้เรียนโดยให้เกิดสอดคล้องกับลักษณะผู้เรียน ซึ่งมีความรู้ที่ แตกต่างหลากหลายไปตามสาขาวิชา จึงมีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียน “ใช้ ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้” เพื่อค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นองค์ความรู้ท่ีฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) ซึ่งยังขาดการศึกษาค้นคว้าให้เป็นปัจจุบัน โดยมีผู้สอนทาหน้าท่ีเป็นพี่เลี้ยง เพ่ือให้ เกิดความรแู้ ละประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ การจดั การเรียนการสอน 2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ ในการสร้างและการแสวงหาความรู้ คณาจารย์ได้ทบทวนวรรณกรรมเก่ียวกับชุมชน ตา่ ง ๆ ที่ตง้ั อยู่ใกล้สถานศกึ ษา มีปราชญ์ชมุ ชน มเี รอ่ื งราวท่ีน่าสนใจ และมคี วามปลอดภัยตอ่ การ เข้าศึกษาหาความรู้ ผลจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า ชุมชนบ้านหัวนอนวัดคูเต่า ม. 3 ต. แม่ทอม อ.บางกล่า จ. สงขลา เป็นชุมชนเป้าหมาย เมื่อ เป็นชุมชนที่มีองค์ความรู้ทางสังคมและ วัฒนธรรมท่โี ดดเด่น โดยเฉพาะวัดคูเตา่ ซึง่ มีศาลาทีไ่ ด้รบั การขึ้นทะเบียนเปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ขององค์การ UNESCO องค์ความรู้ในชุมชนจึงเหมาะสมและสอดคล้องกับเน้ือหาของการเรียน การสอนในรายวิชาของหลักสูตร อีกท้ังชุมชนยังมีกิจกรรมท่ีเอื้อให้นักศึกษาได้ใช้ศักยภาพของ ตนเองตามทักษะและความถนัด หลังจากการได้ชุมชนเป้าหมายแล้ว ผู้สอนในรายวิชา สังคมศาสตร์ จึงออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมและได้นาเอาการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) มาใช้ร่วมกับการเรียนการสอน เน่ืองจากในชุมชนมีแหล่งการเรียนรู้ท่ี

หลากหลาย เช่น พิพิธภัณฑ์ลุม่ น้าคลองอตู่ ะเภา ซึ่งต้ังอยู่ในวัดคูเต่า ภาพเขียนฝาผนังในโบสถ์วัด คูเต่า และตลาดนัด 100 ปวี ัดคูเต่า เปน็ ต้น ซึ่งองค์ความร้เู หลา่ น้ีมีการประมวลเอาไว้เป็นเอกสาร บันทึก รายงานต่าง ๆ อยู่แล้ว ความรู้เหล่านี้จึงเป็นความรู้ที่จัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ที่ รอให้นักศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง นอกจากน้ีในชุมชนยังมีปราชญ์ของชุมชนในด้านต่าง ๆ ทพ่ี ร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา ซึ่งปราชญ์ชุมชนดังกล่าวมีองค์ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัว คน (Tacit Knowledge) ต้องอาศัยเครื่องมือในการจัดการความรู้ นาเอาองค์ความรู้เหล่านี้มา ถ่ายทอดใหก้ ับนักศกึ ษา โดยมขี ้นั ตอนในการดาเนินงานการศึกษาหาความรู้ ดังนี้ 2.1 การดาเนนิ งานกับชุมชน 2.1.1 การติดต่อกับชุมชน การค้นหาความรู้และผู้เชียวชาญในชุมชนผู้สอนได้ ทาการติดต่อกับตัวแทนชุมชนเพ่ือแจ้งให้ทางชุมชนทราบเก่ียวกับกิจกรรมท่ีนักศึกษาจะลงไป ศึกษา เป็นการแนะนาเบ้ืองต้นให้ชุมชนทราบก่อนการลงพื้นท่ีจริง ป้องกันอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดข้ึน พร้อมทั้งเพ่ือให้ชุมชนอานวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับนักศึกษา เป็นการใช้การทางานข้ามสายงาน ( Cross – Functional Team) จัดต้ังทีมเพื่อมาทางาน ร่วมกันใน ซ่ึงในท่ีนี้ต้องการใช้คนจากชุมชนหลาย ๆส่วนเข้ามาแลกเปล่ียนประสบการณ์ร่วมกับ ผเู้ รียน 2.1.2 ติดต่อกับปราชญ์ชุมชน ผู้สอนตดิ ต่อกบั ปราชญ์ชมุ ชน ซ่งึ ถือวา่ เป็นผู้รใู้ น องค์กร (Center of Excellence) เพ่ือช้ีแจงเก่ียวกับลักษณะกิจกรรมท่ีนักศึกษาจะลงมาศึกษา ชุมชนและช้ีแจงเน้ือหาเบ้ืองต้นเกี่ยวกับงานที่ได้มอบหมายให้นักศึกษามาศึกษาร่วมกับปราชญ์ ชมุ ชน 2.2 การดาเนินกจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.2.1 ผู้สอนใช้การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นฐานในการสร้างการ เรยี นรู้ โดยผู้สอนได้ชวนคดิ ชวนคุย เป็นเวทีเสวนา (Dialogue) ร่วมกนั พร้อมทงั้ ฉายภาพชมุ ชน เบ้ืองต้นให้ผู้เรียนได้ทราบบริบท จากนั้นจึงร่วมกันคิดเก่ียวกับโครงงานท่ีผู้เรียนจะลงไปศึกษา โดยสรุปได้ว่าเป็นการลงพนื้ ทีภ่ าคสนามเพือ่ ศกึ ษา “ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชมุ ชน” 2.2.2 ผู้สอนทาหน้าที่เป็นผู้อานวยการให้เกิดการเรียนรู้ หรืออีกนัยหนึ่งคือทา หน้าท่ีเป็นเหมือนพ่ีเลี้ยง (Mentor) ให้กับผู้เรียน โดยผู้สอนได้แนะนาเคร่ืองมือการวิจัยเบ้ืองต้น ให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้จักเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบก่อน จะลงภาคสนามเพ่อื ปฏิบัติการจรงิ ในชุมชน 2.2.3 ผู้สอนทาหน้าท่ีเสนอแนะให้กับผู้เรียน โดยเมื่อผู้เรียนเกิดปัญหาหรือ ต้องการคาปรึกษา ผู้สอนได้เปล่ียนบทบาทจากผู้มอบความรู้แบบทางเดียวให้นักศึกษา มาเป็น ผู้สอนงาน (Coaching) และให้คาแนะนาอย่างใกล้ชิด (วิจารณ์, 2556) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้

เสนอแผนการทางาน เสนอความคิดเห็นได้ตลอดระยะเวลาการดาเนินงานอย่างอิสระภายใต้ แนวทางท่ีผูส้ อนช้ีแนะ เม่ือผู้เรียนลงพน้ื ท่ีไปศึกษายังชุมชนเปา้ หมาย ผู้สอนได้ออกแบบการเรียน การสอนโดยบูรณาการ โดยใช้การจัดการความรู้เข้ามาในข้ันตอนน้ีด้วย เพ่ือเอ้ืออานวยให้ นักศึกษาสามารถค้นหาองคค์ วามรู้จากชุมชนไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ 2.2.4 ใช้การประชุมระดมสมอง (Workshop/Brainstorming) ผู้สอนชี้แนะให้ ผู้เรียนใช้การระดมสมองในการวางแผนงานก่อนจะลงพื้นท่ีศึกษาจริง ซ่ึงการระดมสมองเป็น เคร่ืองมือช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักปรึกษาหารือ กาหนด แนวทางแก้ไขปัญหาหรอื ตัดสินใจดาเนินการปฏบิ ัตงิ านร่วมกัน ผ่านประสบการณแ์ ละมุมมองของ ทุกคนในกลุ่ม ซ่ึงการประชุมระดมสมองน้ียงั กระตุ้นให้ผู้เรยี นเกดิ ทักษะการส่ือสารและทักษะการ ทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืน 2.2.5 ใช้เทคนิคการเล่าเรือ่ ง (Story Telling) หลังจากผู้สอนได้แนะนาเครื่องมือ วจิ ยั ในเบอื้ งต้นให้ผู้เรยี นแล้ว ผู้เรียนได้นาทักษะการสังเกต สารวจ สัมภาษณ์ มาใช้ในการคน้ คว้า หาความรู้กับปราชญ์ชุมชน โดยเฉพาะการต้ังคาถามเพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการ เม่ือผู้เรียน กล้าต้ังคาถาม เป็นกระตุ้นทาให้ปราชญ์ชุมชนสามารถเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ ผ่านประวัติศาสตร์ ชุมชนและข้อมูลเชิงวัฒนธรรมได้ วิธีการน้ีจึงเป็นการสกัดองค์ความรู้ท่ีมีในตัวปราชญ์ชุมชนให้ สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นระบบ ถูกต้องและเหมาะสม ซ่ึงการเล่าเรื่องยังเหมาะกับ ปราชญ์ซึ่งเป็นผู้สูงวัยท่ีชื่นชอบการพูดคุยถ่ายทอดเรื่องราวให้คนรุ่นหลังฟัง เกิดบรรยากาศการ เรยี นรู้ทีเ่ ป็นมิตรและมคี วามสุข ภาพท่ี 1 การเลา่ เรือ่ งจากผ้รู ้ใู นชมุ ชน ภาพท่ี 2 การเล่าเร่ืองจากปราชญช์ ุมชน 3. การจัดการความรู้ใหเ้ ป็นระบบ การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ผู้สอนใช้การทบทวนหลังการปฏิบัติงาน (AAR : After Action Reviews) กระบวนการน้ีผู้สอนได้แนะนาให้ผู้เรียนรู้จักการทบทวนหลังการ

ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะผู้เรียนลงเก็บข้อมูลในชุมชน ต้องบันทึกให้เป็นระบบโดยแยกข้อมูลเป็น หมวดหมู่ จากนน้ั นาขอ้ มลู มาอภิปรายรว่ มกันในกลุ่ม 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ ให้ผู้เรียนทุกคนในกลุ่มได้สะท้อนความคิดเห็นของการปฏิบัติงานเรียนรู้ชุมชน ร่วมกันสอบทานดูข้อมูลท่ีได้ว่าถูกต้องครบถ้วนตามงานท่ีได้รับมอบหมายหรือไม่ เพื่อประโยชน์ ในการลงพื้นท่ีศึกษาและจัดเติมข้อมูลท่ีขาดตกบกพร่องให้สมบูรณ์ในคร้ังต่อไป เม่ือได้ข้อมูล เพิ่มเติมจึงร่วมกันอภิปราย ถกเถียง เพ่ือความถูกต้องสมบูรณ์ และผู้เรียนนาข้อมูลเหล่านั้นมา เรียบเรียงข้อเขียนอย่างเป็นระบบในรูปบทความสารคดี โดยมีคณาจารย์ผู้สอนในหลักสูตร สังคมศาสตร์ร่วมกันตรวจสอบให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ จนก่อเกิดเป็นองค์ความรใู้ หม่เกี่ยวกับ ชมุ ชนท่ศี ึกษา ภาพที่ 3 นกั ศกึ ษาวิศวกรรมเคร่อื งกลเรยี นรู้ ภาพท่ี 4 การอภปิ รายร่วมกนั ของนักศึกษา เครื่องมือประมงพื้นบา้ น และอาจารย์ 5. การเขา้ ถึงความรู้กาหนดวิธีการเข้าถงึ ความรู้ทจ่ี ดั เกบ็ ไว้ ใช้การจัดทาฐานข้อมูล (Knowledge Bases) หลังจากผู้เรียนได้ข้อมูลองค์ความรู้ จากชุมชนแล้ว ผู้เรียนได้ออกแบบการบันทึกข้อมูลองค์ความรู้เหล่าน้ันออกมาในรูปแบบต่าง ๆ คือ ภาพถ่ายวิถีวัฒนธรรมชุมชน และบทความสารคดี นาเสนอในรูปของ QR Code (คิวอาร์ โค้ด) นามาตดิ ไว้ใต้ภาพถา่ ยสาหรับการแบง่ ปนั ความรู้ในลาดบั ตอ่ ไป 6. การแลกเปล่ียนแบง่ ปันความรู้ ผู้สอนและผู้เรียนกาหนดวิธีการและช่องทางการถ่ายทอดความรู้ซึ่งต่อมาได้ส่งมอบ ให้กบั ชุมชนไว้จดั แสดงยังพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้าคลองอู่ตะเภา รวมไปถงึ บันทึกภาคสนามของผู้เรียนซ่ึง จัดทาเป็นเอกสารรายงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนของพ้ืนที่ที่ผู้เรียนได้ ปฏิบัติการภาคสนามร่วมกับชุมชน องค์ความรู้ที่จัดทาเป็นสื่อเหล่าน้ี กลายเป็นฐานข้อมูลของ ชมุ ชนทสี่ ามารถนาไปใช้ประโยชน์ไดต้ อ่ ไป

ภาพท่ี 5 ผลงานนกั ศกึ ษาถูกจัดแสดงภาพใน ภาพท่ี 6 ผลงานนกั ศึกษาได้เปน็ สว่ นหนึ่ง พพิ ธิ ภัณฑ์ชมุ ชน ของแหลง่ เรียนร้ใู นชมุ ชน 7. การเรียนรู้ หลังจากการนาข้อมูลคืนชุมชน ทางคณาจารย์ได้รว่ มพูดคุยปรึกษากับชุมชนในการนา ขอ้ มูลไปพัฒนาต่อโดยชุมชนเลือกที่จะส่งเสริมด้านการท่องเท่ียวชุมชน ด้วยการใชข้ ้อมูลความรู้ ท่ีทางผู้สอนและผู้เรียนมอบให้ สร้างเป็นเร่ืองราวของชุมชนหมู่บ้านเพื่อการท่องเท่ียว จากน้ัน คณาจารย์ได้นาขั้นตอนทั้งหมดต้ังแต่ต้นเข้าร่วมประชุมพูดคุยแลกเปล่ียนระหว่างคณาจารย์ ด้วยกัน จนนาไปสู่การทา MOU ในปีงบประมาณ 2563 ด้านการบริการวิชาระหว่างคณะศิลป ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย กับ ชุมชนลุ่มน้าคลองอู่ตะเภา ในด้านการ เรียนรู้ของนักศึกษารุ่นต่อมา คือ การกลับไปศึกษาความรู้ยังพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้าคลองอู่ตะเภา และ นาองค์ความรู้เหล่าน้ันมาต่อยอดด้วยการจัดทาเป็นสารคดีภาพเคล่ือนไหว(คลิปวิดิโอ) และนา ความรู้ไปขยายในวงกว้างผ่านระบบออนไลน์ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และ หมนุ เวียนต่อไปอยา่ งต่อเนอ่ื ง ผลและอภิปรายผลการดาเนนิ งาน หลังจากการบูรณาการการเรียนการสอนเข้ากบั เคร่ืองมือการจัดการความรู้ ส่งผลใหเ้ กิด ความเปล่ียนแปลงในตัวผู้เรียนและก่อให้เกิดรูปธรรมเป็นชิ้นงานต่าง ๆ ซ่ึงสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้น ดังนี้ 1.คุณค่าต่อผูเ้ รียน 1.1 ผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างเป็นระบบ มีความ กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ตามกระบวนการวิจัยในเบื้องต้น อีกท้ังได้พัฒนาทักษะทาง สงั คมและทักษะทางวชิ าชพี ท่ผี ู้เรียนมีความถนัด เหน็ ได้จากการลงพ้นื ท่ีศึกษาชุมชนซ่ึงผู้เรยี นตอ้ ง ใช้ความรู้ที่ได้รับแนะนาจากผู้สอนนามาปฏิบัติการจริงในภาคสนาม พร้อมทั้งนี้ผู้เรียนยังต้องใช้ ทักษะทางวิชาชีพของสาขาตนเอง มาปรับใช้ในการลงชุมชนด้วยยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาสาขา

วศิ วกรรมเครื่องกลใช้ความรู้ทางกลศาสตร์ ศึกษาระบบกลไกของ “บาม” (เครื่องมือทามาหากิน ของคนในชุมชนมีลักษณะคลา้ ยยอใช้ดักปลา) 1.2 การลงพ้ืนที่ชุมชนจริงช่วยปรับเปลยี่ นพฤติกรรมการเรียนรขู้ องผูเ้ รียน การพบปะ ผู้คนในสิ่งแวดล้อมใหม่นอกเหนือไปจากห้องเรียนส่ีเหลี่ยม ส่งผลให้พฤติกรรมผู้เรียนแปลงไป ในทางท่ีดขี ้ึน ยกตัวอย่างเชน่ การเรยี นในห้องเรียนผู้เรียนขาดสมาธิ หยอกลอ้ เล่นกันในคาบเรียน หรือบางส่วนใช้โทรศัพท์มือถือตลอดเวลาเรียน แต่เมื่อผู้สอนได้กาหนดให้ผู้เรียนร่วมลงศึกษา ชมุ ชน จากการสังเกตพบว่าผู้เรียนมีความใสใ่ จและสนใจเรียนรู้ เห็นได้จากการทีผ่ ู้เรียนออกแบบ วางแผน สอบถาม และสังเกตเร่ืองราวในชุมชนผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ นาไปส่กู ารให้ไดม้ าซ่ึงข้อมูลตามโครงงานที่กาหนด 1.3 ผู้เรียนเกิดทักษะทางความคิด จากการจัดการเรียนรู้ผ่านชุมชน ผู้เรียนเกิด ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และสามารถพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ผ่านการเรียนรู้ วางแผน ลงมือทา และลงมือปฎิบัติการค้นหาความรู้ภายใน ชุมชนดว้ ยตัวเอง โดยความคดิ สร้างสรรคเ์ กดิ ขนึ้ เมอ่ื ผเู้ รียนสามารถแสดงออกตามสง่ิ ท่ีคิดไดอ้ ย่าง อิสระ โดยเฉพาะในกระบวนการคน้ หาความรู้และการนาเสนอผลงาน เหน็ ไดจ้ ากการทีผ่ ู้เรียนนา ขอ้ มูลจากการศึกษาภาคสนามมาสื่อความผ่าน QR Code ซ่ึงเป็นการต่อยอดความคดิ สรา้ งสรรค์ โดยใช้เทคโนโลยีมาประยุกตจ์ ากการคดิ วิเคราะห์ของผเู้ รยี นเอง 1.4 ผู้เรียนได้รู้จักการทางานเป็นทีมในทุกข้ันตอน ตั้งแต่การระดมสมองวางแผน ร่วมกนั ทั้งกับผู้สอนและในกลมุ่ ของตนเอง ตงั้ แต่กระบวนการออกแบบการคน้ หาข้อมลู การลงมือ ปฏิบัติจริงและการสรุปข้อมูลที่ได้มาจากการลงพื้นท่ี ซ่ึงทักษะการทางานเป็นทีมยังเป็นทักษะ สาคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับลักษณะบัณฑิตที่พึงปรารถนาในตลาดแรงงานปัจจุบัน (วิลาสินี, 2560) 2. คุณคา่ สะท้อนผ่านผลงาน 2.1 ช้ินงานภาพถ่ายของนักศึกษา ปัจจุบันได้นาไปจัดแสดงไว้ยังพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้า คลองอู่ตะเภาในวัดคูเต่า สะท้อนให้เห็นถึงรูปธรรมและประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ ทั้ง จากการบูรณาการใช้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ สะท้อนให้เห็นศักยภาพของผู้เรียนท่ีสามารถใช้ วธิ กี ารศึกษาวิจยั ในเบ้ืองตน้ ไปสกดั เอาองค์ความรจู้ นนามาสื่อสารผา่ นภาพ รวมทงั้ สะทอ้ นให้เห็น ประสิทธิภาพของการนาเอาเคร่ืองมือการจัดการความรู้มาบูรณาการใช้ในการเรียนการสอน ซึ่ง ทาใหผ้ ู้เรียนสามารถผลิตช้ินงานได้สอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคข์ องการเรยี นที่ได้ตัง้ ไว้ 2.2 การร้องเพลงเรือ นอกจากผู้เรียนได้ลงพ้ืนท่ีศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับ ประวตั ิศาสตร์และวฒั นธรรมของชุมชนแล้ว ผู้เรียนยงั ได้ฝึกร้องเพลงเรอื จากปราชญ์ด้านเพลงเรือ ของชุมชน ซ่ึงเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการค้นคว้าหาความรู้ผ่านการปฏิบัติการจริง การฝึกร้อง

เพลงเรือได้สะท้อนใหเ้ หน็ ความสนใจของผู้เรียนต่อองคค์ วามรู้ในชมุ ชน ทงั้ ยงั แสดงให้เห็นว่า การ จัดการเรียนรู้โดยผ่านชุมชนนั้นช่วยต่อยอดคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น เป็น ชอ่ งทางหน่ึงของการอนุรักษ์ศลิ ปวัฒนธรรมผ่านการเผยแพร่ให้เยาวชน คนรนุ่ หลังได้รบั รู้ ซาบซึ้ง และนามาสู่การเรียนรู้ทดลองฝึกปฏิบัติอย่างจรงิ จัง ซ่ึงผู้เรียนกลมุ่ นี้ได้ทดลองฝึกหัดร้องเพลงเรือ จนสามารถร้องเพลงเรือเปน็ ลูกคไู่ ด้ ภาพท่ี 7 นักศึกษาร่วมรอ้ งเพลงเรอื ภาพที่ 8 การทา MOU งานบริการวิชาการ กบั ปราชญช์ ุมชน รว่ มกบั ชมุ ชน นอกเหนือจากนี้ ผลจากการดาเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ผ่านชุมชนดังกล่าว หลักสูตรรายวิชาสังคมศาสตร์สามารถพัฒนาเป็นการบริการวิชาการให้กับชุมชนซ่ึงเป็นการต่อ ยอดความร่วมมือ โดยในการน้ีได้ดาเนินงานผ่านทางคณะศิลปศาสตร์ในการจัดทา MOU ร่วม เป็นพื้นท่ีการให้บริการทางวิชาการของคณะศิลปศาสตร์ อันเป็นการเช่ือมโยงระหว่างชุมชนกับ สถาบันการศกึ ษา สรุป การจัดการเรียนรู้ผ่านชมุ ชนโดยบูรณาการเอาเคร่ืองมือจดั การความรเู้ ข้ามาชว่ ยเสริมน้ัน ส่งผลให้ผู้สอนได้ใช้กระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ๆ เช่น การใช้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ ซ่ึงจะ เป็นประโยชนต์ อ่ ผู้สอนในดา้ นการพัฒนาการเรียนการสอน สรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้และรับมือ กับผู้เรียนในยุคปัจจุบันได้ นอกเหนือจากนี้กระบวนการเรียนรู้ซ่ึงประยุกต์เอาเคร่ืองมือจัดการ ความรู้มาใช้น้ันยังสอดคล้องกับ “หลักวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA)” ซึ่งเป็นปัจจัยแห่ง ความสาเรจ็ ของการจัดการเรียนการสอนนี้ กล่าวคือ ในการจัดการเรียนร้ผู ่านชุมชนโดยประยุกต์ เอาเคร่ืองมือจัดการความรูม้ าใช้ ก็เพ่ือตอ้ งการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเป็นวงจรต่อเนื่อง โดย เป้าหมาย คือ การพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาทั้งผู้สอนและผู้เรียน รวมท้ังเน้นการต่อ ยอดทบทวนและปรับปรุงการดาเนินกจิ กรรมเพื่อนามาพัฒนาตอ่ ให้ดยี ่ิงๆ ขึน้ ไป สะท้อนใหเ้ หน็ ได้ จากการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านชุมชน สู่การบริการทางวิชาการต่อสังคม

อยา่ งเป็นรปู ธรรม ในส่วนผู้เรียนก็ไดร้ ับประโยชน์จากการเรียนรแู้ บบใหม่ ๆ ได้ทดลองปฏิบตั ิการ ในกจิ กรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง เป็นการสง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนไดพ้ ัฒนาศกั ยภาพด้านการเรียนรไู้ ด้อยา่ ง เต็มท่ี ริเร่ิมให้ผู้เรียนไม่รอรับความรู้จากผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่สามารถออกแบบการค้นหา ความรู้ได้ด้วยตัวเอง อันเป็นคุณสมบัติหนึ่งท่ีจะนาไปสู่การเป็นบัณฑิตท่ีมีคุณภาพและเป็น ชื่อเสียงใหแ้ กม่ หาวทิ ยาลยั ตอ่ ไป อย่างไรก็ดีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้และบูรณาการเอาเครื่องมือ จัดการความรู้เข้ามาใช้รว่ มกันมีข้อเสนอแนะบางประการ หากตอ่ ไปจะมกี ารจดั กจิ กรรมการเรยี น การสอนโดยใช้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ กล่าวคือ ในข้ันตอนการติดต่อชุมชน มีความจาเป็นอย่าง ยิ่งที่จะต้องทาความเข้าใจร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรมที่ผู้สอนและผู้เรียนจะลง ไปปฏิบัติการภาคสนามในชุมชน เป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันพร้อมทั้งเป็นการเตรียมชุมชน ใหท้ ราบล่วงหนา้ เกี่ยวกับส่ิงที่จะเกิดขนึ้ ในชมุ ชน เนื่องจากบางชุมชนอาจไม่คุ้นชินกับการมบี ุคคล แปลกหน้าเข้ามาศึกษาหรือสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งน้ียังเป็นไปเพ่ือประโยชน์ในการช่วย อานวยความสะดวกและความปลอดภยั ให้กบั ผสู้ อนและผเู้ รยี นเมอ่ื ลงไปศึกษาในชมุ ชนดว้ ย อีกประการคือ ตัวแทนชุมชนหรือผู้ประสานงานในชุมชน ถือเป็นบุคคลสาคัญท่ีจะช่วย เอ้ืออานวยให้การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างราบร่ืน ตัวแทนชุมชนน้ีจะช่วยติดต่อแนะนา และบางคร้ังไดร้ ่วมกบั ผสู้ อนในการชี้แนะผู้เรียน เมือ่ ลงพ้ืนที่ศึกษายังชมุ ชนจรงิ การมีตัวแทนหรือ ผ้ปู ระสานงานในชมุ ชนที่ดจี ะนาไปสู่ความสาเร็จของการดาเนินกิจกรรม บรรณานกุ รม วจิ ารณ์ พานชิ . 2548. การจัดการความรฉู้ บับนกั ปฏบิ ัต.ิ กรงุ เทพฯ: สขุ ภาพใจ วจิ ารณ์ พานชิ . 2556. การสร้างการเรยี นรู้ส่ศู ตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ : มลู นิธิสยามกัมมาจล. วิลาสินี สขุ กา. 2560. แนวทางการจดั การเรยี นการสอนเพ่ือการพัฒนาศกั ยภาพนักศึกษาให้ สามารถแขง่ ขันในตลาดแรงงานของประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียนของคณาจารย์มหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชยั จ. สงขลา. วิจยั : มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลศรวี ชิ ยั สงขลา.

การจดั การความรขู ยะทะเลบนชายฝง เพ่อื พัฒนาหนว ยการเรยี นการสอน Knowledge Management Marine Debris on Coast for Instruction Unit development เอนก สาวะอนิ ทร อาจารย สาขาส่งิ แวดลอ ม คณะวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการประมง มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวชิ ัย วิทยาเขตตรัง Email: [email protected] .......................................................................................................................................................... บทสรปุ การดําเนินการจัดการองคความรูท่ีเกี่ยวของกับขยะทะเล เปนการรวบรวมขอมูลทางดานวิธีการสํารวจ วิธีการบันทึกขอมูล ท่ีเก่ียวของกับแหลงกําเนิด ชนิด ปริมาณ ความหนาแนน และ ขอมูลอ่ืน ๆ ของขยะทะเล ที่ ตกคา งอยตู ามแนวชายฝง ทีไ่ ดจ ากงานบรกิ ารวชิ าการ งานวจิ ัย สามารถนําไปใชเ ปน หนว ยเรยี นในภาคปฏิบัติการของ นักศึกษา และ เผยแพรสูบุคคลภายนอกโดยการฝก อบรมเชงิ ปฏิบัติการ ผลจากการจัดการองคความรูทําใหมีรูปแบบ วิธกี ารทส่ี ามารถนําไปประยุกตใชในการสาํ รวจขยะทะเล เพือ่ เก็บรวบรวมขอมูลตา ง ๆ เชน แหลงกาํ เนดิ ลักษณะทาง กายภาพ การเคล่ือนท่ีของขยะทะเลตามแนวชายฝง และ ขอมูลอ่ืน ๆ ซึ่งการใหไดมาของขอมูลเหลาน้ีสามารถ นําไปใชสําหรับการหาแนวทางแกไข หรือ มาตรการสําหรับการจัดการปญหาขยะทะเลไดในอนาคต ซ่ึงเปนการ ปองกนั แกไขปญหาผลกระทบทางส่งิ แวดลอมทเ่ี กดิ จากขยะทะเล ทอ่ี าจทวคี วามรุนแรงมากขึ้นในอนาคตหากไมไดรับ ความสนใจ นอกจากน้ียังเปนแนวทางในการจัดการองคความรูจากงานบริการวิชาการ งานวิจัย สําหรับพัฒนา หรือ บรู ณาการรว มกบั การเรยี นการสอนไดอ กี ดวย คาํ สําคญั : ขยะทะเล, การสาํ รวจ, ชายฝง , ชายหาด Summary Knowledge management related to marine debris Is a collection of data on survey methods data recording method. Related to the source, type, quantity, density and other data of marine debris, that are left along the coast obtained from academic services and research. Can be used as a study unit in the student's operating sector and propagandise to outsiders by training workshops. The result of knowledge management has created a method that can be applied in the survey of marine debris, to collect information such as source, physical characteristics, the movement of marine debris along the coast and other information. The acquisition of this information can be used to find solutions or measures for managing marine debris problems in the future. Which is to prevent and solve the environmental impact caused by marine debris. That may be more severe in the future if not receiving attention. In addition, it is also a way to manage knowledge from academic services, research for development or integration with teaching and learning. Keyword: Marine debris, Survey, Coastal, Beach

บทนํา ปญหาขยะทะเลเปนสิ่งที่มีการสะสมมานาน เหมือนกับขยะที่ตกคางหรือมีการสะสมอยูในทะเล ท้ังน้ี เนือ่ งจากทะเลมีพืน้ ที่กวางใหญถงึ 3 ใน 4 สว น ของพื้นทีข่ องโลกทั้งหมด ซง่ึ ไมม กี ารเล็งเห็นถึงปญหาทเ่ี กดิ จากขยะที่ ถูกท้ิงลงในทะเล จนกระท้ังมันมีการสะสมและสงผลกระทบทางส่ิงแวดลอมเพิ่มมากขึ้น ปจจุบันจึงไดมีการเล็งเห็น ปญหาขยะทะเล อยางไรก็ตามปญหาขยะทะเลเปนสิ่งที่แกไขไดยาก ทั้งในดานของปริมาณขยะที่มีการสะสมอยูใน ทะเลเปนระยะเวลานาน รูปแบบและงบประมาณในการเก็บขนขึ้นมาจากทะเล รูปแบบและงบประมาณในการกําจดั เปนตน นอกจากน้ีการเรียนการสอนท่ีเก่ียวของกับขยะทะเลในสถานศึกษามีนอยมาก ซึ่งเปนผลมาจากการรวบรวม ขอมูลท่ีเกี่ยวของกับขยะทะเลมีนอย และ ขอจํากัดในการเดินทางศึกษาขอมูล การลงพื้นท่ีศึกษา หรือ ขอจํากัดใน ดานงบประมาณทีต่ องใชใ นกิจกรรมตา ง ๆ ท้ังน้ีจากการที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ซ่ึงพ้ืนที่ของมหาวิทยาลัยอยูติดกับ ทะเล มีพื้นที่ชายหาดภายในมหาวิทยาลัยท่ีมีช่ือเสียง คือ หาดวิวาใตสมุทร หาดราชมงคล รวมถึงชายหาด รวมถึง เกาะ ตาง ๆ ทําใหการดําเนินงานวิจัย การบริการวิชาการ การเรียนการสอน และ กิจกรรมอื่น ๆ มีความผูกพันธกับ ทะเล ดงั นน้ั ผูเ ขียนจงึ ไดม ีการศึกษารวบรวมขอ มลู ทงั้ จากงานบริการวิชาการ งานวิจยั ทไี่ ดดําเนินงานมาตัง้ แตป พ.ศ. 2554 ในพื้นที่เกาะลิบง เกาะมุกด หาดปากเมง หาดราชมงคล และ พ้ืนท่ีชายฝงบริเวณใกลเคียงของจังหวัดตรัง มา พัฒนาเปนหนวยเรียนในภาคปฏิบัติใหกับนักศึกษา รวมถึงนักเรียน หรือ ผูท่ีสนใจ ทางดานการสํารวจขยะทะเล บริเวณแนวชายฝง ซึ่งเปนแนวทางการบูรณานาํ ความรูจากงานบริการวชิ าการ งานวิจัย จัดการความรูส ูก ารเรียนการ สอนในภาคปฏิบัติ โดยการดัดแปลงพัฒนารูปแบบวิธีการจากหนวยงานทั้งในประเทศ และ ตางประเทศ ในการลง พ้ืนทส่ี ํารวจขยะทะเลบริเวณแนวชายฝง โดยเฉพาะพืน้ ทชี่ ายฝงทีม่ ีลักษณะเปน ชายหาด ทัง้ ที่เปน แหลง ธรรมชาติที่ยัง ไมมีการรุกลํ้า หรือ ใชประโยชน แหลงทองเท่ียว หรือ บริเวณชุมชน บานเรือน ตามแนวชายฝง สามารถนําวิธีการ สํารวจขยะทะเลตามแนวชายฝงไปใชสําหรับการเรียนการสอน การถายทอดองคความรูผานงานบริการวิชาการใน รูปแบบตาง ๆ ได ท้ังน้ีในปจจุบันมีการเล็งเห็นปญหาขยะทะเล โดยสามารถสังเกตไดจากสื่อโฆษณานา หรือ แมกระ ทั้งภาพยนตรระดับโลกที่มีการกลาวถึงปญหาขยะทะเล ซ่ึงเปนเสียงสะทอนท่ีดีสําหรับการหาแนวทางปองกัน หรือ แนวทางการแกป ญ หาขยะทะเลทเี่ กิดขึน้ ในปจ จุบนั เพ่ือการฟนฟูส่ิงแวดลอมทางทะเลใหมสี ภาพดีข้นึ ในอนาคต วิธกี ารดาํ เนินงาน การจัดการความรสู ําหรับขยะทะเลของผูเขยี น เปนการรวบรวมและนําองคความรทู ี่ไดเร่ิมตนจากการดาํ เนิน โครงการบรกิ ารวชิ าการ “โครงการพฒั นากระบวนการจัดการขยะทะเลในพน้ื ทช่ี ายฝงทะเลทองเทย่ี ว จงั หวดั ตรงั ” ใน ป พ.ศ.2554 ใหกบั กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง ในพื้นทก่ี รณีศึกษา คือ เกาะลบิ ง เกาะมกุ ด หาดปากเมง และ หาดราชมงคล ซ่ึงในการดําเนินงานบริการวิชาการในลักษณะงานวิจัยเชิงสํารวจขอมูล ปริมาณ ความหนาแนน ของ ขยะทะเลที่ติดคางอยูบนพื้นที่ชายหาดตา ง ๆ โดยมีเครื่องมือท่ีตองใชในการดําเนินงาน คือ วิธีการสํารวจ แบบฟอรม บันทึกขอมูล ซ่ึงไดมีการศึกษาขอมูลจากแหลงตาง ๆ เชน การใชแบบบันทึกขอมูล ICC Data Card (Ocean Conservancy, 2009) และ โดยมีการดัดแปลงวิธีการลงพื้นที่สํารวจตามวิธีการของ UNEP/IOC Guidelines on Survey and Monitoring of Marine Litter (UNEP-United Nation Environmental Programme, 2009) เพ่อื ให มีความเหมาะสมกับการลงพ้ืนท่ีสํารวจ นอกจากน้ีไดม กี ารพัฒนางานวจิ ยั ในการสาํ รวจขอมลู อน่ื ๆ ของขยะทะเล เชน ลักษณะการการเคล่ือนที่ของขยะทะเลบริเวณริมชายฝง การตกคางของขยะทะเลในพ้ืนที่ตาง ๆ ท้ังจากการ ดําเนินงานในรปู แบบตา ง ๆ นาํ มาสูก ารพัฒนาการเรียนการสอนในภาคปฏบิ ัติการ สาํ หรับรายวชิ าท่ีเก่ียวของกับ การ จัดการขยะมลู ฝอย ซง่ึ แตเดิมมเี พียงองคความรูทางดานการจดั การขยะมูลฝอยชุมชน โดยการออกแบบเพิ่มเติมหนวย การเรียนการสอนภาคปฏิบัติการสําหรับนักศึกษา และ การจัดฝกอบรมเชิงปฏิบัติการใหกับนักเรียน นักศึกษา จาก ภายนอกมหาวิทยาลัย เพ่ือเปนการเผยแพรขอมูลองคความรทู างดานขยะทะเล อยางไรก็ตามปญหาขยะทะเลยังเปน สิ่งที่ดาํ เนนิ การแกไขปญหายาก โดยเฉพาะการจัดการขยะทะเลที่ตกคางอยูในทะเลปริมาณมาก ทตี่ องใชงบประมาณ และ ระยะเวลานาน ดังน้ันการดําเนินงานในปจจุบันจึงเปนการหาวิธกี าร แนวทางปองกัน และ แนวทางแกไขปญหา

การท้ิงขยะลงทะเล ณ แหลงกําเนิด โดยเร่ิมตนการลงพ้ืนที่บริการวิชาการของ สาขาส่ิงแวดลอม คณะวิทยาศาสตร และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ิชัย วิทยาเขตตรัง ระหวางป พ.ศ. 2555 – 2558 ใน พ้ืนท่ีเกาะลิบง โดยเฉพาะการจัดการขยะชุมชนที่ตั้งอยูบนพื้นท่ีเกาะ นํามาสูการศึกษาพัฒนารูปแบบ มาตรการ สําหรับการจัดการขยะที่เกิดจากกิจกรรมในธุรกิจการทองเท่ียวทางทะเลในรูปแบบตาง ๆ รวมถึงองคกร หนวยงาน ตาง ๆ ที่อยูในชุมชน ซึ่งจะสามารถรวบรวมองคความรูและนําไปถายทอดสูสาธารณตอไปไดในอนาคต เปนแนวทาง ในการจดั การขยะทะเล และ ขยะชุมชน เพือ่ ปอ งกันผลกระทบทางส่ิงแวดลอ มท่เี กดิ จากปญหาขยะมูลฝอย ผลและอภปิ รายผลการดําเนนิ งาน การจัดการองคความรูทางดานขยะทะเล เริ่มตนจากการดําเนินโครงการบริการวิชาการ “โครงการพัฒนา กระบวนการจัดการขยะทะเลในพื้นที่ชายฝงทะเลทองเท่ียว จังหวัดตรัง” ในป พ.ศ.2554 ใหกับกรมทรัพยากรทาง ทะเลและชายฝง ในพ้ืนท่ีกรณีศึกษา คือ เกาะลิบง เกาะมุกด หาดปากเมง และ หาดราชมงคล ตั้งแตการรวมรวม ขอมูลวิธีการสํารวจ วิธีการเก็บขอมูล การบันทึกขอมูล ซ่ึงบางสวนไดมีการดัดแปลงใหเขากับการดําเนินงานในพื้นที่ จริง โดยมีการแบงชวงระยะเวลาการสํารวจออกเปน 2 ชวง คือ ในชวงฤดูการทองเที่ยว และ ชวงนอกฤดูกาล ทองเท่ียว ซ่ึงจากการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ มีปญหาเกิดข้ึนในหลายๆ ดาน เชน รูปแบบ วิธีการ เก็บขอมูลยังมีนอย เนอ่ื งจากปญหาขยะทะเลยังมีการศึกษากนั นอยมากในประเทศไทยในขณะน้นั ดังน้ันจงึ เปนการใชขอมลู ที่ไดจากกรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝง และ ตอมาไดมีการศึกษาขอมูลเพ่ิมเติมจากเอกสารเผยแพรจากตางประเทศ เม่ือ ออกแบบวิธีการดําเนินงานเก็บขอมูลแลวเสร็จจึงจะเขาสูข้ันตอนของการลงพ้ืนที่เก็บขอมูล ซึ่งผูเขียนมีหนาท่ี รับผิดชอบการเก็บขอมลู ขยะทะเลในพน้ื ทีเ่ กาะลบิ ง แสดงดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 จุดเก็บขอมลู ขยะทะเล (Marine Debris) ในพื้นที่เกาะลบิ ง (โปรแกรม google earth) โดยในแตละพื้นที่จะนํานักศึกษาของสาขาสิ่งแวดลอมลงพ้ืนที่ชวยเก็บขอมูลขยะทะเลที่เกยต่ืนขึ้นมาบน ชายหาดในแตละวนั แสดงดังภาพท่ี 2 ทั้งนี้การนาํ นักศึกษาลงพน้ื ที่ชว ยเก็บขอมูลนั้นเปนการชวยใหนักศึกษาเกิดการ

เรียนรูจากการปฏิบัติงานจริง รวมถึงการฝกหาวิธีการวางแผนการทํางาน การแกไขปญหาเฉพาะหนา เน่ืองจากภูมิ ประเทศในแตละจุดที่กําหนดเปนพื้นที่เก็บตัวอยาง มีความแตกตางกันบางจุดสามารถขับรถจักยานยนตไปได บางจุด ตองนง่ั เรอื ออกไป โดยเฉพาะพ้นื ทเี่ กาะ ตัวอยางเชน พืน้ ท่เี กาะลบิ งท่ีมีการกําหนดพ้นื ที่สําหรบั สาํ รวจท่ีจุดเกบ็ ตัวอยาง ทก่ี าํ หนดกระจายอยรู อบเกาะ A. B. ภาพที่ 2 การเรียนรูว ธิ ีการเก็บขอมลู ขยะทะเลของนักศึกษา สาขาส่ิงแวดลอม คณะวทิ ยาศาสตรและเทคโนลยีการ ประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง A. การเรียนรูวิธีการคัดแยกขยะทะเล B. การลง พื้นที่เกบ็ ขอ มลู ขยะทะเล ผลจากการดําเนินงานเก็บขอมูลขยะทะเล ทําใหทราบถึงองคประกอบของขยะทะเลที่เกยตื้นอยูบนชายหาด เชน ชนิด แหลงกําเนิด ความหนาแนน รวมถึงขอมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ ซ่ึงไดนําขอมูลบางสวนนําเสนอในงานประชุม วิชาการสิ่งแวดลอมแหงชาติ ครั้งที่ 11 เรื่อง “องคประกอบและแหลงกําเนิดขยะทะเลบนชายหาดรอบเกาะลิบง” (เอนก สาวะอนิ ทร และ คณะ, 2555) นอกจากนจี้ ากการเก็บขอมลู เพิ่มเติมในสวนของการเคล่ือนท่ีของขยะทะเล ทาํ ใหท ราบถึงขอมูลขยะทะเลทบี่ างสวนเปน ขยะท่ีถูกท้ิงลงแมน าํ้ ลาํ คลองไหลออกสูท ะเล และ ถูกพดั พาไปโดยกระแสน้ํา คลื่น ลม ไปยังสถานที่ตาง ๆ ตามแนวชายฝง ซึ่งไดนําขอมูลดังกลาวนําเสนอในงานประชุมวิชาการมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล ครงั้ ท่ี 10 เรอื่ ง “ลกั ษณะทางกายภาพและการเคลื่อนที่ของขยะทะเลบนชายหาด” (เอนก สาวะ อนิ ทร และ ณานกิ า แซแ ง ชูกล่นิ , 2560) เพือ่ เผยแพรข อมลู ขยะทะเลแกน ักวิชาการ นกั ศึกษา และ ผูทส่ี นใจ ผลจากการดําเนินการจดั การความรทู างดานขยะทะเล ทาํ ใหสามารถนาํ มาใชในการเรยี นการสอนภาคปฏิบัติ การสําหรบั นักศกึ ษา สาขาสงิ่ แวดลอม คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการประมง มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง แสดงดังภาพที่ 3 กอใหเกิดการเรียนการสอนที่มีเอกลักษณในรายวิชาทางดานการจัดการขยะ มูลฝอย โดยการเพิ่มเติมเนื้อหาวธิ ีการสํารวจ เก็บขอมูล และ การจัดการขยะทะเล ท่ีแตกตางจากมหาวิทยาลัยอ่ืน ๆ ทัง้ นเ้ี ปน การอาศัยความไดเปรียบของสถานทีต่ ั้งของมหาวิทยาลัยที่อยตู ิดกับทะเลอนั ดามัน โดยการเรยี นการสอนเนน ในสวนของภาคปฏิบตั ิการ ในการลงพื้นท่สี ํารวจเก็บขอมลู ขยะทะเลในสถานท่จี ริง ทาํ ใหนกั ศกึ ษามคี วามรคู วามเขาใจ จากการปฏบิ ตั ิจรงิ ซงึ่ มปี ระสิทธิภาพมากกวา การเรียนการสอนในหองเรียนทัว่ ไป

ภาพท่ี 3 การเรียนรูวธิ กี ารเกบ็ ขอมูลขยะทะเลของนักศึกษา สาขาสิ่งแวดลอม คณะวทิ ยาศาสตรและเทคโนลยีการ ประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ในรายวิชาทางดานการจัดการขยะมูลฝอย ภาคปฏิบัตกิ าร นอกจากการนําองคความรูที่ไดจัดการเรียนการสอนใหกับนักศึกษาแลว ยังสามารถถายทอดองคความรูสู นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมท่ีเขามารวมทํากิจกรรม โครงการตาง ๆ ของสาขาส่ิงแวดลอม โดยใหลงฝกปฏิบัติจริง เชนเดียวกัน โดยมีนักศึกษาสาขาส่ิงแวดลอมเปนพ่ีเล้ียงในการดําเนินกิจกรรม แสดงดังภาพท่ี 4 ทั้งนี้เพ่ือเปนการ เผยแพรองคความรูสูนักเรียน หรือ แมกระท้ังบุคคลท่ัวไปที่มีความตระหนักถึงปญหาขยะทะเล ซ่ึงปจจุบันมีหลาย หนวยงานท่เี ลง็ เห็นถงึ ความสาํ คญั ของปญหานี้ ท้งั ในระดบั ประเทศ และ นานาชาติ ภาพท่ี 4 การฝก อบรมเชิงปฏิบัตกิ ารใหก ับนกั เรยี นชนั้ มธั ยม

ผลจากการจดั การองคความรูทางดานขยะทะเลทั้งจากงานบริการวิชาการ งานวจิ ยั เพอื่ ใชเปน ขอ มูลเผยแพร วิธีการเก็บขอมูลขยะทะเล โดยเริ่มตนเปนการมุงเนนเพ่ือนําไปพัฒนาการเรียนการสอนใหกับนักศึกษา สามารถไป เผยแพรสูกลุมคนท่ัวไปได ท้ังนี้มีอีกวัตถุประสงคหน่ึงท่ีสําคัญ คือ เพ่ือสรางความตระหนักถึงปญหาขยะทะเลหาก ไมไดรับการแกไข แกนักศึกษา นักเรียน หรือ บุคคลทั่วไป ซ่ึงปจจุบันเร่ิมมีการเล็งเห็นถึงความสําคัญของปญหา ดงั กลา ว ถึงแมว าการเกบ็ ขยะทะเลขึน้ จากทะเล หรือ มหาสมทุ ร จะกระทําไดยากมาก แตห ากการดําเนนิ กิจกรรมตาง ๆ ดําเนินตอไปเรื่อย ๆ อยา งตอเนื่อง ปญหาขยะทะเลก็จะลดนอ ยลงไปทุกวนั ซง่ึ การจดั การองคค วามรูท ไี่ ดดําเนินการ นี้จึงเปนสวนหน่ึงในการขับเคลื่อนการปองกันแกไขปญหาดังกลาว และ นําไปสูการสรางมาตรการการปองกันแกไข ปญ หาขยะทะเลในรปู แบบตา ง ๆ รว มกบั หนอ ยงานอื่น ๆ ไดในอนาคต เน่ืองจากการปองกนั แกไขทด่ี ีทส่ี ุดของปญหา ขยะทะเล นาจะเปน การไมท้ิงขยะลงไปในทะเล สรุป การดําเนินการจัดการองคความรูทางดานขยะทะเล เปนการดําเนินงานเพื่อพัฒนาหนวยการเรียนการสอน โดยเนนภาคปฏิบัติการ เพือ่ การฝกปฏบิ ัติจรงิ ของนักศึกษา จากการรวบรวมขอมูลที่มีอยูนอย การสรางประสบการณ จากงานบริการวชิ าการ และ การวิจยั เพื่อใหใดองคความรทู สี่ ามารถนําไปถา ยทอดใหกับนักศึกษา รวมถงึ การเผยแพร ใหกับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา หรือ บุคคลท่ีสนใจ ท้ังนี้จะเปนแบบอยางในการจัดการองคความรูในรายวิชาอื่น ๆ หรือ การจัดการองคความรูจากการบริการวิชาการ งานวิจัย ถอดบทเรียน เพ่ือนําไปใชกับการเรียนการสอน หรือ การจัดฝก อบรม นําไปสกู ารสรางมาตรการรว มกบั หนว ยงานท่ีเก่ียวของ หนว ยงานสว นทอ งถิ่นทม่ี ีพื้นที่ตงั้ ใกลทะเล ท่ี คนบนโลกเร่มิ เหน็ ถึงความสําคญั ของปญ หาขยะทะเล และ รว มมือกันหาวิธีการปอ งกนั แกไ ข แนวทางการจดั การขยะ ทะเล รวมถงึ การนําไปสกู ารพฒั นาทางดา นอน่ื ๆ ตอไป ในอนาคต บรรณานุกรม เอนก สาวะอินทร บุญจงรักษ จิ้วตัน กมลวรรณ โชติพันธ และ สุวิทย จิตรภักดี. 2555. องคประกอบและ แหลงกําเนิดขยะทะเลบนชายหาดรอบเกาะลิบง. P02. รายงานการประชุมวิชาการส่ิงแวดลอมแหงชาติครั้งท่ี 11. โพธิ์วดล รีสอรท แอนด สปา เชียงราย; 21 – 23 มนี าคม 2555 เอนก สาวะอินทร และ ณานิกา แซแง ชูกล่ิน. 2560. ลักษณะทางกายภาพและการเคล่ือนที่ของขยะทะเลบน ชายหาด. การประชมุ วิชาการระดบั ชาตมิ หาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล คร้งั ที่ 10. โรงแรมเรือรัษฎา จังหวัด ตรงั . 1 – 3 สงิ หาคม 2561 Ocean Conservancy, 2009. Guide to Marine Debris and the International Coastal Cleanup. Ocean Conservancy’s International Coastal Cleanup. Washington, DC. USA. UNEP- United Nation Environmental Programme. 2009. UNEP/ IOC Guidelines on Survey and Monitoring of Marine Litter. UNEP Regional Seas Reports and Studies (117p)

รปู แบบการนาํ เสนอแนวปฏบิ ัตทิ ี่ดี โครงการประชุมสมั มนาเครือข่ายการจัดการความรู้ฯ ครั้งที่ 12 “การจัดการความรสู้ ู่มหาวทิ ยาลยั นวัตกรรม” (Knowledge Management: Innovative University) สาํ หรบั อาจารย์/ บคุ ลากรสายสนบั สนุน/ นกั ศกึ ษา ชอื่ เร่ือง/แนวปฏิบัติท่ีด.ี .............การสรา้ งความเข้มแขง็ ทางดา้ นพลงั งานให้กับโรงเรยี นบา้ นคลองหอยโข่ง....................... ชอ่ื -นามสกลุ ผนู้ าํ เสนอ…………ดร.สุปราณี วนุ่ ศร…ี …………….........................……............…...…................................. ชอื่ สถาบนั การศึกษา………..…มทร ศรีวชิ ยั สงขลา.…............……...………………………………… หนว่ ยงาน…………………คณะศลิ ปศาสตร์……………………………………….............……..………………………………… เบอร์โทรศพั ทม์ ือถอื ...............................081-5390193............................................................................. เบอร์โทรสาร.............................-....................................................................................................................................... E-Mail address...................................kongsuwan9153575@gmail.com...........................................................

การสรา้ งความเขม้ แข็งทางด้านพลังงานให้กบั โรงเรยี นบา้ นคลองหอยโขง่ Strengthening Ban Khlong Hoi Kong school through alternative energy สปุ ราณี วนุ่ ศรี1* วราวฒุ ิ ดวงศริ ิ1 , พลชัย ขาวนวล1 และสมบูรณ์ ประสงค์จันทร์1 1อาจารย์ หลกั สตู รรายวชิ าวิทยาศาสตร์ สาขาศึกษาท่วั ไป คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั E-mail : [email protected] .......................................................................................................................................................... บทสรปุ การถ่ายทอดเทคโนโลยี บ่อแก๊สชีวภาพ เตาประหยัดพลังงาน และเตาเผาถ่าน สําหรับการจัดการขยะที่ย่ังยืนเพ่ือ สรา้ งความเข้มแข็งทางด้านพลังงานให้กับโรงเรียนบ้านคลองหอยโข่ง ตําบลคลองหอยโข่ง อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ตามวัตถุประสงคเ์ พ่ือจดั การของเสยี จากเศษวสั ดุเหลือท้ิงจากการเกษตร และเพ่อื เป็นการลดค่าใช้จา่ ยทางดา้ นพลังงาน ซ่ึงจาก การดําเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยี คือ บ่อแก๊สชีวภาพ เตาประหยัดพลังงาน และเตาเผาถ่าน พบวา่ เทคโนโลยบี ่อแก๊สชีวภาพ สามารถลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่เกิดจากการประกอบอาหารของโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 80 เตาประหยัดพลังงานสามารถ นํามาใช้งานในการปรุงอาหารควบคู่กับการใช้แก๊ส LPG ทําให้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากเดิม 1,500 บาท/เดือน เป็น 1,000 บาท/เดือน และเตาเผาถ่านสามารถนําเศษวัสดุชีวมวลเหลือทิ้งมาทําเป็นถ่านที่มีคุณภาพเหมาะกับการป้ิงย่าง เน่อื งจากมปี รมิ าณความร้อนสูง ปรมิ าณเถา้ และปริมาณสารระเหยต่ํา Summary Knowledge transfer of biogas technology using biogas plant, energy saving stoves and charcoal kilns for organic wastes management at Ban Khlong Hoi Khong School, Klong Hoi Khong District, Songkhla province was aimed to produce biogas from agricultural waste. The use of biogas can reduce household fuel costs and create alternative energy for the school. The knowledge transfer of biogas technology was performed with biogas plant, energy saving stoves and charcoal kilns. After knowledge transfer, the school could produce biogas and reduce amount of organic waste from cooking about 80%. Energy saving stoves can be used with LP cooking gas and reduce cost from 1,500 to 1,000 THB per month. Charcoal kilns can produce biomass to good quality charcoal with high heating value, low rate of ash content and volatile. คําสําคัญ ชวี มวล, พลงั งานทดแทน, เตาชวี มวล บทนาํ โรงเรียนบ้านคลองหอยโข่ง เป็นโรงเรียนในเครือข่ายสถานศึกษาคลองหอยโข่งก้าวหน้าสักดัดสํานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 ปัจจุบันโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย ชั้นประถมศึกษาป่ีท่ี 1 – 6 มีนักเรียน จํานวน 150 คน บุคลากร 20 คน โรงเรียนอยู่ในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตําบลคลองหอยโข่ง มีเนื้อท่ี 227 ไร่ 1 งาน 75.80 ตารางวา นํามาจัดสรรเพ่ือก่อให้เกิดรายได้ให้กับโรงเรียนในการปลูกไม้ยางพารา 35 ไร่ ปลูกปาล์ม น้ํามัน 20 ไร่ นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กในชุมชน ครอบครัวมีฐานะปานกลาง โรงเรียนมีการจัดอาหารเช้าและอาหารเที่ยงฟรี ให้กับนักเรียนและบุคลากร โดยวัตถุดิบสําหรับนํามาทําอาหารกลางวันเป็นผลผลิตของโรงเรียนเอง เนื่องจากโรงเรียนเป็น โรงเรียนพึ่งตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีการดําเนินกิจกรรมตามฐานการเรียนรู้ ดังนี้คือ การเล้ียงไก่ไข่ เลี้ยงปลา

เพาะเห็ด และปลูกผัก ซ่ึงผลผลิตท่ีได้มีคุณภาพปลอดสารพิษ นํามาทําอาหารกลางวันของโรงเรียนและผลผลิตท่ีเหลือได้มีการ จําหน่ายก่อให้เกิดรายได้ให้กับโรงเรียน ซ่ึงในการดําเนินโครงการอาหารกลางวันฟรีให้กับนักเรียนและบุคลากรจะประสบ ปัญหาค่าใช้จ่ายในด้านเชื้อเพลิงสูง เพ่ือเป็นการลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงแก๊ส LPG จึงได้มีการนําเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหานี้ คือ เทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพจากมูลสัตว์และเศษขยะอินทรีย์, เตาชีวมวลประหยัดพลังงาน และเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูง ซ่ึงเทคโนโลยีการผลติ แกส๊ ชีวภาพเป็นเทคโนโลยีท่ผี ลิตแก๊สเชอื้ เพลิงจากมลู สัตว์ เทคโนโลยีเตาชวี มวลประหยัดพลงั งานเปน็ เตา ขนาดใหญ่ใช้เช้ือเพลิงน้อยแต่ให้ความร้อนสูง ใช้งานเป็นระยะเวลายาวนานและสามารถทําอาหารในปริมาณมากได้ และ เทคโนโลยีเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูงเป็นเตาเผาถ่านท่ีสามารถผลิตถ่านที่มีคุณภาพเน่อื งจากอุณหภมู ิของเตาเผาสูงถึง 800 – 1,000 องศาเซลเซยี ส ทาํ ใหไ้ ด้ถ่านคณุ ภาพดที มี่ คี ่าความรอ้ นสูง และปรมิ าณสารระเหยต่ํา ในการดําเนินโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้มีการจัดอบรมให้ความรู้ในด้านเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพ เตาชีว มวลประหยัดพลังงาน และเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูงให้กับนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียน ดําเนินการติดตั้ง และสาธิต การใช้งานจริง ทําให้นักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด มีความยั่งยืน และสามารถถ่ายทอดความรู้ส่งชุมชนอ่ืนได้ ส่งผลให้โรงเรียนมีฐานการเรียนด้านพลังงาน ทดแทน และสามารถลดรายจา่ ยด้านพลงั งานหุงต้มให้กบั โรงเรยี น วธิ กี ารดําเนนิ งาน ในการวางแผนดําเนินงาน จากการลงพ้ืนที่เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียน สํารวจความพร้อมและสภาพปัญหาใน ด้านการจัดการฐานการเรียนรู้เพื่อเพิ่มเติมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับนักเรียนตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ซึ่งจากการศึกษา พบว่า โรงเรียนบ้านคลองหอยโข่งเป็นโรงเรียนดีเด่นในด้านเศรษฐกิจพอเพียง มีความพร้อมในด้าน การจัดการอาหารเพ่ือเป็นอาหารกลางวนั สาํ หรับนักเรียนและบุคลากรได้เป็นอยา่ งดี แต่ยังขาดการจัดการขยะ เศษวัสดุชวี มวล เหลือทิ้งทางการเกษตรอย่างครบวงจรส่งผลให้โรงเรียนเสียพื้นที่ในการใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุพาหะนําโรคต่างๆ ได้แก่ ยุง แมลงหว่ี แมลงวัน จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงได้ดําเนินการจัดทําข้อเสนอโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพ่ือการ จัดการขยะเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ขยะอินทรีย์ และเป็นการส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ เทคโนโลยีบ่อแก๊ส ชีวภาพ เตาประหยัดพลังงาน และเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้ทําการศึกษาจากการวิจัยและได้บูรณา การความร้รู ่วมกับชมุ ชน สามารถแก้ปัญหาการจัดการขยะอย่างถูกวิธีและมีความย่งั ยืน การกําหนดแผนงานในการจัดกิจกรรมได้มีการอบรม มีการให้ความรู้จากทีมวิทยากรของมหาวิทยาลัยร่วมกับทีม วิทยากรของชุมชนเก่ียวกับความรู้ด้านเทคโนโลยีสําหรับการจัดการของเสีย วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนการใช้งาน การดูแลรักษาให้ ใช้งานได้ยาวนาน ได้ลงมอื ปฏิบตั จิ รงิ ในวนั ทอ่ี บรมภาคความรูเ้ พ่ือใหค้ วามตอ่ เน่อื งกนั สําหรับเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพเป็นเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพด้วยถุงพลาสติก LDPE เพื่อผลิตแก๊ส ชีวภาพ [3], [5], [6], [7] แก๊สชีวภาพเป็นแก๊สที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการหมักย่อยสลายของสารอินทรีย์ภายใต้สภาวะ ไร้ออกซิเจน โดยการนําของเสียอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์ เศษอาหาร เศษผักและผลไม้ เป็นต้น มาหมักในถุงพลาสติก LDPE ใน สภาวะไร้อากาศทาํ ให้เกิดก๊าซมีเทน ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ซ่ึงก๊าซมีเทนสามารถนํามาเป็นกา๊ ซหุงต้มแทนแก๊ส LPG ซึ่งนับว่าเป็นวัตถุดิบสําคัญในการพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกในครัวเรือน และนํ้าล้นจากบ่อแก๊สสามารถนํามาใช้ เปน็ ปุ๋ยอินทรีย์บํารุงพืช

(a) ลักษณะโครงสรา้ งของบอ่ แก๊สชีวภาพ [4] (b) บ่อแกส๊ ชวี ภาพ (c) ลกั ษณะแก๊สชวี ภาพ (d) น้าํ หมักของบ่อแกส๊ ชวี ภาพ รูปที่ 1 บ่อแกส๊ ชีวภาพแบบ ถงุ พลาสตกิ LDPE เตาประหยัดพลังงาน [8] เป็นเตาชีวมวลที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ได้แก่ ขี้เลื่อยไม้ยางพารา แกลบ เศษไม้ กะลามะพร้าว เปน็ ต้น มหี ้องเผาไหม้ขนาด 46 เซนตเิ มตร ความสูง 65 เซนติเมตร ตัวเตาจะเก็บความร้อนทําให้ ไมส่ น้ิ เปลอื้ งเชอื้ เพลงิ ภาชนะทีใ่ ชป้ รงุ อาหารวางสนิทกบั เตาทําใหไ้ มม่ ปี ระกายไฟออกจากเตาทําใหส้ ะดวกตอ่ การใชง้ าน

รูปที่ 2 เตาประหยดั พลงั งาน เตาเผ่าถ่านแบบถัง 200 ลิตร แบบตั้งนอน [1] สามารถเผ่าถ่านให้ได้ถ่านท่ีมีค่าความร้อนและคาร์บอนคงตัวสูง ในขณะทค่ี ่าความช้ืน ปริมาณเถา้ และปรมิ าณสารระเหยมคี ่าตํา่ [9] ซ่ึงจัดวา่ เป็นถ่านคณุ ภาพดเี หมาะกับการนาํ มาใช้ในการป้ิง ยา่ ง รูปที่ 3 เตาเผา่ ถ่านประสิทธภิ าพสงู วิธีการติดต้ังตง้ั เทคโนโลยบี ่อแกส๊ ชวี ภาพ เตรียมบ่อแก๊ส โดยการขุดบ่อดิน ขนาด ความกว้าง 1.3 เมตร ความยาว 4.3 เมตร ความลึก 0.9 เมตร (สําหรับการเลี้ยงสุกรจํานวน 6-20 ตัว หรือเท่ากับบ่อเก็บมูลปริมาณ 5 ลูกบาศก์เมตร) ขุดเป็นแนวสําหรับวางท่อรับและท่อ ระบายมูลดว้ ย โดยให้ทางเขา้ มูลมรี ะดบั สูงกวา่ ทางระบายมูลออกเลก็ นอ้ ย รูปท่ี 4 ลักษณะการเตรยี มบอ่ แกส๊ แล้วตดิ ตั้งบอ่ แกส๊ ซึ่งทําจากถงุ พลาสตกิ LDPE ขนาด ความกวา้ ง x ความยาว เทา่ กับ 2.4 เมตร x 6.30 เมตร ดงั รูป

(a) (b) (c) (d) (e) (f) รูปท่ี 5 ข้นั ตอนการติดตั้งบ่อแก๊สชีวภาพ วธิ กี ารติดตั้งเตาประหยัดพลังงาน เตาประหยัดเปน็ เตาชีวมวลแบบไหลขนึ้ หล่อจากแมแ่ บบ ซ่ึงมีอตั ราสว่ นผสมระหวา่ ง ปนู ซเี มนต์ : ทราย หยาบ : หนิ เทา่ กับ 2 : 1 : 2 ตามขนั้ ตอนดงั รูป (a) (b) (c) รูปท่ี 6 ขนั้ ตอนการหลอ่ เตา วธิ กี ารติดตัง้ เตาเผ่าถา่ น เตาเผา่ ถา่ นเป็นที่ทําจากถงั 200 ลิตร ติดต้ังแบบนอน โดยทาํ การเชอ่ื มทอ่ เหลก็ ขนาด 4 น้วิ ยาว 1 เมตร แล้วทาํ การตดิ ตัง้ อุปกรณด์ ังรูป

(a) (b) (c) รูปที่ 7 ขัน้ ตอนการติดตั้งเตาเผา่ ถ่าน จากการสังเกต สอบถาม ติดตามผลของการดําเนินโครงการ มีแบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจสําหรับ นักเรียน บุคุลากรและผู้ที่สนใจ ใน 2 ระยะ คือ ประเมินผลทันทีหลังจัดโครงการอบรม และประเมินติดตามผลระยะ 3 เดือน แลว้ สรุปผลและรายงานผลการดาํ เนนิ โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี อภิปรายผลการดําเนนิ งาน จากการดําเนินโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับบ่อแก๊สชีวภาพ เตาประหยัดพลังงาน และเตาเผ่าถ่าน ประสิทธิภาพสูง ให้กับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5, 6 จํานวน 40 คน และตัวแทนบุคลากร จํานวน 5 คน ของ โรงเรียนบ้านคลองหอยโข่ง ตําบลคลองหอยโข่ง อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ตามวัตถุประสงค์เพ่ือจัดการของเสียจาก เศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร และเพ่ือเป็นการลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน พบว่า นักเรียน และบุคลากรของโรงเรียนมี สามารถนําเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในการจัดการของเสียของโรงเรียนได้อย่างเป็นระบบ ซ่ึงเดิมโรงเรียนใช้วิธีการเผาขยะ ได้มี ปรับเปลี่ยนเป็นการคัดแยกขยะ เพ่ือนําขยะอินทรยี ์มาหมักในบอ่ แก๊สชวี ภาพ และเศษวัสดุชีวมวลนํามาเผาถ่าน ทําให้โรงเรียน สามารถลดปัญหากลิ่น กําจัดแหล่งเพาะพันธ์ุสัตว์ท่ีเป็นพาหะนําโรค เช่น ยุง แมลงวัน และแมลงหว่ี และลดค่าใช้จ่ายด้าน พลงั งานหงุ ต้ม จากเดมิ 1,500 บาท/เดือน เปน็ 1,000 บาท/เดือน และจากการร่วมมอื ของผปู้ กครองและผู้สนใจไดม้ ีการขยาย ฐานการเรยี นรอู้ อกไปส่ชู ุมชนใกลเ้ คียง สรปุ การจัดอบรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีเน้นเทคโนโลยีสําหรับการจัดการของเสียชีวมวลอย่างยั่งยืน และเพ่ือสร้างความ เข้มแข็งทางด้านพลังงานของโรงเรียนบ้านคลองหอยโข่ง ให้กับนักเรยี น และบุคลากรของโรงเรียน เก่ยี วกับเทคโนโลยีการผลิต แก๊สชีวภาพ เตาประหยัดพลังงาน และเตาเผ่าถ่านประสิทธิภาพสูง เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนํามาแก้ปัญหาในการจัดการขยะ ได้อย่างยั่งยืน และสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานหุงต้มได้ เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถติดต้ังได้รวดเร็ว ใช้งานได้ สะดวก และสามารถซ่อมบํารุงได้ง่าย ทําให้โรงเรียนบ้านคลองหอยโข่งเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ นักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนรวมถึงผู้ปกครองนักเรียนสามารถนําความรู้ไปใช้ประโยชน์กับตนเองและถ่ายทอดความรู้ ใหก้ ับชุมชนใกลเ้ คยี งไดต้ ่อไป บรรณานุกรม [1] เตาเผ่าถ่านประหยดั พลงั งาน. กรมพัฒนาพลงั งานทดแทน กระทรวงพลงั งาน.

[2] นคร ทิพยาวงค์. 2553. เทคโนโลยีการแปลงสภาพชีวมวล.(พิมพ์คร้ังที่ 1). กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย- ญป่ี นุ่ ). [3] นพดล โพชกําเนิด. 2559. การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพจากถุงพลาสติก LDPE โดยใช้ของเสียจากการเล้ียง สัตว์เพ่ือความย่ังยืนของชมุ ชน. คลนิ ิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา. [4] ลกั ษณะโครงสรา้ งของบอ่ แก๊สชวี ภาพ. https://www.pttep.com/th/Sustainabledevelopment/Csr/Biogas.aspx?mode=print (สืบคน้ 29 มกราคม 2562) [5] สชุ น ต้งั ทววี ิพฒั น์. 2557. การตดิ ตง้ั บอ่ แกส๊ ชีวภาพระดบั ครัวเรือน. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชยี งใหม่. [6] สุปราณี วุ่นศรี นพดล โพชกําเหนิด และพวงทิพย์ แก้วทับทิม. 2560. การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพระดับ ครัวเรือนจากถุงพลาสติก LDPE ในพ้ืนท่ีชุมชนตําบลคลองลุ อําเภอกันตัง จังหวัดตรัง. คลินิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ยั สงขลา. [7] สุปราณี วุ่นศรี สมบูรณ์ ประสงค์จันทร์ ณิชา ประสงค์จันทร์ โกสินทร์ ทีปรักษพันธ์ และพลชัย ขาวนวล. 2559. การ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพระดับครัวเรือนจากถุงพลาสติก LDPE ในพื้นท่ีชุมชนเกาะสุกร อําเภอปะเหลียน จงั หวัดตรัง. คลินิกเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ัย สงขลา. [8] สปุ ราณี วุ่นศร,ี พวงทิพย์ แก้วทับทิม และนุชลี ทิพยม์ ณฑา. 2561. การพัฒนาเตาประหยัดพลังงานสาํ หรับชุมชน. วารสาร วิจัย มทร.กรุงเทพ 12(2) : 8-16. [9] สุปราณี วุ่นศรี, วราวฒุ ิ ดวงศริ ิ และนชุ ลี ทิพยม์ ณฑา. 2561. การศึกษาวิธีการผลิตเช้ือเพลิงอัดแท่งจากขี้เล่ือยไม้ยางพารา กบั มลู สตั ว์. วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ 12(2) : 17-25.

การจดั การเรียนการสอนสู่การบริการวชิ าการโรงเรยี นวัดไม้ฝาดเพื่อการพัฒนาที่ย่งั ยนื ตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง Teaching and learning management for community services at Wat Mai Fad School for sustainable development based on the sufficiency economy philosophy ผอ่ งศรี พัฒนมณี Pongsri Pattanamanee อาจารย์ สาขาศึกษาท่ัวไป คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารประมง มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรงั อ.สิเกา จ.ตรงั อเี มล : [email protected] ……………………………………………………………………………………………………………………………… บทสรปุ การจัดการเรียนการสอนสู่การบริการวิชาการโรงเรียนวัดไม้ฝาดเพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาท่ีเรียนในรายวิชาชีวิตกับ เศรษฐกิจพอเพียงและรายวิชาวัฒนวิถีแห่งการดารงชีวิตนาความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนการสอนไป ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนโรงเรียนวัดไม้ฝาดให้สามารถพ่ึงพาตนเองได้อย่างย่ังยืน ดาเนินการ ระหว่าง 6 กรกฎาคม – 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561 โดยแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมท่ี1 การใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเสริมความรู้ในการลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ และมีเงินออม กจิ กรรมที่ 2 การทาผลิตภัณฑ์เพอ่ื ใช้ในครัวเรอื น กิจกรรมที่ 3 การนาภูมปิ ัญญาท้องถ่ินมาบูรณาการใน การดาเนินชีวิต ผลการดาเนินงาน พบว่า นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจการใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจ พอเพียง และเสรมิ ความร้ใู นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และมเี งินออม ร้อยละ 85 กิจกรรมที่ 2 นักเรยี น สามารถทาผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในครัวเรือน ได้ร้อยละ 91 กิจกรรมท่ี 3 นักเรียนสามารถนาภูมิปัญญา ท้องถ่ินมาบูรณาการในการดาเนินชีวิต ได้ร้อยละ 93 นอกจากน้ันอาจารย์ผู้สอนสามารถนามาเป็น กรณีศึกษาเพ่ือปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนและสามารถนามาต่อยอดสู่งานวิจัยเร่ืองแนวทางการ ส่งเสรมิ การดาเนนิ ชวี ิตหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง คาสาคญั : เศรษฐกิจพอเพยี ง, การจัดการเรยี นการสอน, โรงเรยี นวดั ไมฝ้ าด

Summary Teaching and learning and community services for Wat Mai Fad School for sustainable development based on the sufficiency economy philosophy. The objective is to encourage students who study in life and sufficiency economy courses and courses of livelihood culture. Bring the knowledge gained from learning, transfer knowledge to students at Wat Mai Fad School and students can be self-reliant on sustainability. Conducted between 6 July - 22 August 2018, divided into 3 activities, namely Activity 1: Living a sufficiency economy model and increasing knowledge in reducing expenses, increasing income and saving money. Activity 2 Making products for household use. Activity 3: Integrated local wisdom in life. The results showed that activity 1, students had knowledge and understanding of life style, sufficiency economy and added knowledge to reduce expenses, increase income and have savings of 85 percent. Activity 2: Students can make 91 percent of household products. Activity 3: Students are able to integrate local wisdom into their lives by up to 93 percent. In addition, the instructor can be used as a case study to be used in teaching and learning management and can be further developed into research on ways to promote life philosophy, sufficiency economy. Keywords: sufficiency economy philosophy, Teaching and learning, Wat Mai Fad School บทนา การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาชีวิตกับเศรษฐกิจพอเพียง และวิชาวัฒนวิถีแห่งการ ดารงชีวิต เป็นรายวิชาทส่ี าขาศึกษาทัว่ ไปรบั ผิดชอบการสอน ซึ่งเปน็ รายวิชาเลอื กเสรี มีนักศึกษาที่เลอื ก จากหลายสาขาวิชา การเรยี นการสอนในสองรายวิชาดังกล่าวได้มีการเรียนการสอนโดยการจัดกจิ กรรม การเรียนรู้แบบบูรณาการการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ การเรียนการสอน การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ร่วมทางานเป็นกลุ่ม มีกิจกรรมกลุ่มลักษณะต่างๆ อย่าง หลากหลาย และส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมโี อกาสได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง มีประสบการณ์ตรง ให้แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากสิ่งท่ีเป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย ตรงกับความเป็นจริง สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันอย่างได้ผล และส่งเสริมให้มีโอกาสได้ปฏิบัติจริงจนเกิดความสามารถ และทักษะจนติดเป็นนิสัย ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเกิดความรู้สึกกล้าคิดกล้าทา ท้ังนี้เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ

ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน การปลูกฝังจิตสานึก ค่านิยมและจริยธรรมท่ีถูกต้องดีงามให้ผู้เรียน ซึ่งสอดคล้อง กบั อัตลกั ษณ์ของนักศกึ ษามหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั \"บัณฑิตนักปฏบิ ตั \"ิ วกิ ฤตทางเศรษฐกิจสงั คมไทยปัจจุบันไดส้ ่งผลกระทบต่อคณุ ภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญใ่ น ประเทศ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพระ ราชดารัสที่พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดชทรงพระราชทานแกป่ วงชนชาวไทยเพื่อให้ คนไทยสามารถดาเนินชีวิตให้มีความสุขได้ในสังคมปัจจุบัน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วย 3 ห่วงได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การมีภูมิคุ้มกันท่ีดี และ 2 เง่ือนไข ได้แก่ ความรอบรู้ คณุ ธรรม รัฐบาลได้น้อมนาหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาใชใ้ นการขบั เคลื่อนและได้กระตุ้นสรา้ ง จิตสานึกเร่ิมต้นด้วยแนวทางส่งเสริมกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง 6 ด้านได้แก่ ด้านการลดรายจ่าย ด้าน การเพ่ิมรายได้ ด้านการประหยัด ด้านการเรยี นรู้การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างย่ังยืนและด้านการเอ้ืออารีให้กบั ประชาชนตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชนและขยายผลในทุกพื้นที่ท่ัว ประเทศ จะเห็นได้ว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวิธีหน่ึงท่ีสามารถนามาใช้ในการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจท่ีเกิดขึ้นกับทุกระดับได้เป็นอย่างดี หากสามารถน้อมนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลัก คิดและวิถีปฏิบัติด้วยความเข้าใจตระหนักถึงความสาคัญตลอดจนประยุกต์ใช้ให้เกิดผลสาเร็จอย่างเป็น รูปธรรมสามารถสรา้ งความม่นั คงของประเทศให้ยัง่ ยนื ตลอดไป [1] โรงเรียนวัดไมฝ้ าด เปน็ โรงเรียนระดับประถมศึกษา ตัง้ อย่หู มทู่ ่ี 3 ตาบลไม้ฝาด อาเภอสิเกา จังหวัดตรัง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นท่ีราบชายฝั่งทะเลอันดามัน มีภูเขาเต้ียๆ สลับซับซ้อนกันไปมา ในการ จัดการเรียนการสอนประกอบครูผู้สอนจานวน 11 คน และนักเรียนจานวน 89 คน จากการลงพ้ืนท่ี สารวจความตอ้ งการของคณะครูโรงเรียนวัดไม้ฝาด พบวา่ ทางโรงเรยี นตอ้ งการพัฒนานกั เรียนในดา้ นวิถี ชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง ได้เล็งเห็นความสาคัญและความต้องการดังกล่าว ผู้สอน นักศึกษาที่ลงทะเบียน เรียนในรายวิชาชีวิตกับเศรษฐกิจพอเพียง และรายวิชาวัฒนวิถีแห่งการดารงชีวิต พร้อมด้วยอาจารย์ สาขาศึกษาทว่ั ไปจึงได้จดั โครงการบริการวิชาการข้ึน โดยจดั กิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) กจิ กรรม การใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเสริมความรู้ในการลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ และมีเงินออม 2) กิจกรรมการทาผลิตภณั ฑ์เพือ่ ใช้ในครัวเรือน 3) กจิ กรรมการนาภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นมาบรู ณาการในการ ดาเนินชีวิต เพื่อท่ีช่วยให้นักเรียนสามารถนาความรู้ท่ีได้รับ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันและส่งเสริม ใหน้ ักเรียนมีคณุ ภาพชวี ติ ทีด่ ขี ้ึน สามารถพง่ึ พาตนเองได้อย่างย่ังยืน วิธกี ารดาเนินงาน การวางแผน 1. ทาความเข้าใจ ช้ีแจง ข้อตกลงร่วมกันกับนักศึกษาและอาจารย์สาขาศึกษาทว่ั ไปเกี่ยวกบั การ องค์ความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 2. สารวจความต้องการและวเิ คราะห์ความต้องการของโรงเรียนวดั ไม้ฝาด

3. ประชุมจดั ทาแผนการระหวา่ งอาจารย์ผู้สอน นักศกึ ษา และอาจารย์สาขาศกึ ษาทวั่ ไป เพ่ือให้ สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และการบูรณาการความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการ ดาเนนิ ชีวติ 4. อาจารย์ผู้สอน นักศึกษา ร่วมกันคิดกิจกรรมท่ีจะไปถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับนักเรียน 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเสริมความรู้ในการลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ และมีเงินออม 2) กิจกรรมการทาผลติ ภัณฑ์เพ่ือใช้ในครัวเรือน 3) กิจกรรมการนาภูมิปญั ญา ท้องถิ่นมาบูรณาการในการดาเนินชีวิต 5. ประสานโรงเรยี นแจง้ กจิ กรรมทีจ่ ัดใหก้ บั นักเรียน และวนั เวลา ในการเขา้ จัดกิจกรรม 6. ดาเนนิ การจัดโครงการ 7. สรุปและรายงานผลการดาเนินโครงการ 8. ตดิ ตามผลและประเมลิ ผลการดาเนินโครงการ การดาเนินงาน 1. นักศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 3 กลมุ่ 2. นักศึกษาแต่ละกลุ่มปรึกษาหาขอ้ สรปุ ในการจัดทากจิ กรรม 3. จดั ทารายช่ือสมาชกิ ในกล่มุ พรอ้ มกิจกรรมทีร่ บั ผดิ ชอบเสนออาจารย์ผู้สอน 4. นักศึกษาประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการทากิจกรรม พร้อมท้ังประสานงานอาจารย์ ผูส้ อนในการจดั ซ้ือวัสดุอุปกรณใ์ นการจดั กิจกรรม 5. นกั ศึกษาทาเรอ่ื งเบกิ วัสดุอุปกรณใ์ นการจดั กิจกรรมจากอาจารยผ์ สู้ อน วสั ดอุ ุปกรณ์ 1) กิจกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเสริมความรู้ในการลดรายจ่าย เพ่ิม รายได้ และมีเงินออม ประกอบด้วย บัญชีครวั เรือน ออมวันละนิดเพื่อชีวิตท่ีมั่นคง แปลงนาสาธิต เพาะ เหด็ เล้ียงไก่ และสวนครัวร้ัวกินได้ การคัดแยกขยะและขยะมาประดษิ ฐเ์ ปน็ ของใชใ้ นชีวิตประจาวัน 2) กิจกรรมการทาผลิตภัณฑ์เพ่ือใช้ในครัวเรือน ประกอบด้วย ทานา้ ยาล้างจาน ทาน้ายาซัก ผา้ น้ายาปรบั ผ้านมุ่ ทาสบเู่ หลว น้ายาล้างห้องน้า การทาผ้ากันเป้อื น ทาเสอ้ื ฝนทาร่มจากถุงนม และการ ทาหมวกจากกลอ่ งนม 3) กิจกรรมการนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาบูรณาการในการดาเนินชีวิต ประกอบด้วย การ เสริมสร้างทักษะอาชีพ (ทากล้วยฉาบรสพิซซ่า รสปาริก้า รสบาบิคิว รสสาหร่ายและรสรวม ทาเกรียบ ข้าวจากข้าวสังข์หยด ข้าวพองปรุงรสทาจากข้าวกล้องสังข์หยดกับข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่) ปลูกสมุนไพร ไทยและภมู ิทศั นโ์ รงเรยี นสวยงามด้วยพืชสวนครัวและสมนุ ไพร 6. นักศึกษาดาเนนิ การจัดกิจกรรม 7. สรปุ ผลและจดั ทารายงานผลกิจกรรมฉบับสมบูรณ์ส่งอาจารย์ผูส้ อน 8. นาเสนอผลการดาเนนิ กจิ กรรมหน้าชน้ั เรยี น และแลกเปล่ียนความรปู้ ระสบการณ์ การประเมินผล

1. ตดิ ตามผลจากการประเมนิ ด้วยแบบสอบถาม 2. การสังเกตพฤติกรรมจากการใหค้ วามรว่ มมอื ของนักศึกษา 3. ติดตามจากการรายงานผลและสรุปผลโครงงานและการนาเสนอผลการดาเนินกิจกรรมหน้า ชนั้ เรยี น 4. ร่วมกันสรุปผลการดาเนินกิจกรรมสู่การปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนในภาคเรียน ตอ่ ไป นาผลมาปรับปรุงการเรยี นการสอน ประเมินผลความสาเร็จการจัดการเรียนการสอนสกู่ ารบรกิ ารวชิ าการโรงเรยี นวัดไม้ฝาดเพอ่ื การ พัฒนาที่ย่ังยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จัดทาสรุปผลและรายงานผลความสาเร็จต่อ คณะกรรมการประจาคณะฯ และคณะกรรมการดาเนินงานให้ข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการ ดาเนินการสอนเพ่ือนาไปปรับปรงุ ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนในภาคเรยี นต่อไป สถานท่ีดาเนินการ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัย วทิ ยาเขตตรงั และโรงเรยี นวัดไม้ฝาด วนั / เดอื น/ ปี ทีจ่ ดั กจิ กรรม 6 กรกฎาคม – 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ผลการดาเนินงาน ด้านผลผลิต จานวนนักศึกษาท่ีลงเรียนในรายวิชาชีวิตกับเศรษฐกิจพอเพียงและรายวัฒนวิถี แห่งการดารงชีวิต ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 47 คน นักเรียนโรงเรียนวดั ไม้ฝาด จานวน 89 คน และครู จานวน 11 คน ด้านผลลัพธ์ 1) กิจกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเสริมความรู้ในการลด รายจ่าย เพม่ิ รายได้และมเี งินออม นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถทารายรบั – รายจ่ายเปน็ มี เงินออม ทานาขา้ วไรซ์เบอร์รเ่ี ปน็ ทาฟารม์ เพาะเห็ดฮงั การีเปน็ เลย้ี งไกไ่ ข่ ปลกู พืชสวนครัว รู้จักการคัด แยกขยะ ใช้ถุงนมทาผ้ากันเป้ือน ทาร่ม ทากระเป๋าใส่ของ ทาหมวกจากกล่องนมได้ ร้อยละ 85 2) กิจกรรมการทาผลิตภัณฑ์เพ่ือใช้ในครัวเรือน นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถทาน้ายาล้าง จาน น้ายาซักผ้า น้ายาปรับผ้านุ่ม สบู่เหลว น้ายาล้างห้องน้าได้ ร้อยละ 91 3) กิจกรรมการนาภูมิ ปัญญาท้องถิ่นมาบูรณาการในการดาเนินชีวิต นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถทากล้วยฉาบ รสพซิ ซ่า รสปาริกา้ รสบาบิคิว รสสาหร่ายและรสรวม ทาเกรียบข้าวจากขา้ วสังข์หยด ข้าวพองปรงุ รส (ทาจากข้าวกล้องสังข์หยดกับข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่) รู้สรรพคุณของสมุนไพร และสามารถจัดภูมิทัศน์ โรงเรียนสวยงามด้วยพชื สวนครวั และสมุนไพรได้ รอ้ ยละ 93

ภาพผลผลติ ทไี่ ดจ้ ากการการจัดการเรียนการสอนสู่การบรกิ ารวิชาการโรงเรียนวดั ไม้ฝาดเพ่อื การพัฒนา ท่ียง่ั ยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง การนาไปใช้ 1. นักศึกษาที่เรียนในรายวิชาชีวิตกับเศรษฐกิจพอเพียงและรายวิชาวัฒนวิถีแห่งการดารงชีวิต สามารถนาความรู้ที่ได้รับจากการเรียนการสอนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้กับนักเรียนโรงเรียนวัดไม้ฝาด ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของนักเรียนให้ดีขึ้น โดยการส่งเสริมการเรียนรู้

ต่างๆ เช่น เรียนรู้การทาบัญชีครัวเรือน ทาให้นักเรียนรู้รายรับ รายจ่าย สามารถวิเคราะห์ฐานะทาง การเงนิ และวางแผนการออมได้ 2. ส่งเสริมอาชีพท่ีก่อให้เกิดรายได้ เช่น การทาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไว้ใช้ในครัวเรือน ตลอดจนมี การส่งเสริมให้เรียนรู้การปลูกพืชต่างๆ ที่ปลอดสารพิษเพื่อไว้บริโภคในครัวเรือน และยังสามารถ จาหน่ายได้เพอื่ เป็นรายไดเ้ สริม ทาใหส้ ามารถลดค่าใชจ้ ่าย เพิม่ รายได้ในครัวเรือน 3. นอกจากน้ันในอนาคตนักเรียนสามารถต่อยอดทาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อจาหน่ายใน โอกาสตอ่ ไป การบรู ณาการกับงานวจิ ัย ผลการจัดการเรียนการสอนสู่การบริการวิชาการโรงเรียนวัดไม้ฝาดเพ่ือการพัฒนาท่ีย่ังยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง นามาสกู่ ารบูรณาการกับทางานวิจัยเรอื่ งแนวทางพัฒนาการส่งเสริม การดาเนนิ ชวี ิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งของประชาชนบ้านไมฝ้ าด อาเภอสิเกา จังหวดั ตรงั อภปิ รายผล จากการจัดการเรียนการสอนสู่การบริการวิชาการโรงเรียนวัดไม้ฝาดเพื่อการพัฒนาท่ียั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีนักเรียน นักศึกษาจานวนมากมีความตั้งใจนาความรู้ท่ีได้รับ เช่น การทายาล้างจานและน้ายาซกั ผ้าไปถา่ ยทอดให้กับครอบครัวและชุมชนนาไปใช้ประโยชน์ในการดาเนิน ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเห็นได้ว่านักศึกษาและนักเรียนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเอง และผอู้ ่ืนได้ สรุปผล จากการจัดการเรียนการสอนสู่การบริการวิชาการโรงเรียนวัดไม้ฝาดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง นักศึกษาสามารถนาความรู้ทีไ่ ด้รบั จากการเรียนการสอนไปถ่ายทอด ความรู้ใหก้ บั นักเรียนโรงเรียนวดั ไม้ฝาดให้สามารถพ่ึงพาตนเองได้อย่างย่ังยืน เอกสารอ้างองิ คณะอนุกรรมการขับเคล่ือนเศรษฐกิจพอเพียง. (2550). เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร? (พิมพ์คร้ังที่ 4). กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาต.ิ มูลนิธิชัยพฒั นา. (2560). เศรษฐกิจพอเพยี ง. สบื ค้นเมอื่ 20 มกราคม 2562, [ออนไลน์] จาก http://www.chaipat.or.th/site_content/34-13/3579-2010-10-08-05-24-39.html

ช่ือเร่ือง / แนวปฏิบัตทิ ่ีดี : การขับเคล่ือนคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสู่วฒั นธรรม องค์กรการจัดการความรู้ 4.0 ชอ่ื -นามสกลุ ผูนาํ เสนอ : นางสาวอัญชลี สะอาด สถาบันการศึกษา : มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั หนวยงาน : คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เบอรโทรศัพทมือถือ : 087-6118168 เบอร์โทรสาร : 074-317181 E-Mail address: [email protected] -1-

การขบั เคล่อื นคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยสี วู่ ฒั นธรรมองคก์ ร การจัดการความรู้ 4.0 Driving the Faculty of Industrial Education and Technology to Corporate CultureKnowledge Management 4.0 นางสาวอญั ชลี สะอาด (Miss Anchalee Saart) ตําแหน่ง เจ้าหน้าที่บรหิ ารงานทัว่ ไป คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี E-mail : [email protected] นายอนุกลู นนั ทพุทธ (Anugool Nuntaput) ตําแหนง่ หวั หน้าสํานักงานคณบดี คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี E-mail : [email protected] บทสรปุ : คณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ได้ใหค้ วามสําคัญกับการสร้างและพัฒนาการ จัดการความรู้เพื่อมุ่งสู่สถาบันแห่งการเรียนรู้ โดยมีการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ท้ังในและนอก สถาบัน ซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ในตัว บุคคลหรือเอกสารมาจัดการให้เป็นระบบ เพ่ือให้คณาจารย์ ในสถาบันสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้ เป็นผู้รู้ รวมท้ังปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยการกําหนดประเด็นความรู้และเป้าหมายของการจัดการ ความรู้ท่ีสอดคล้อง กับแผนยุทธศาสตร์ของคณะ กําหนดบุคลากรกลมุ่ เป้าหมายท่ีจะพฒั นาความรแู้ ละทักษะด้านการ เรียนการสอน และแลกเปล่ียนเรียนรู้จากความรู้ ทักษะของผู้มีประสบการณ์ตรง ผ่านเว็บไซต์ และสื่อ สังคมออนไลน์ ให้สามารถค้นหาแนวปฏิบัติที่ดีเก่ียวกับการเรียนการสอน เผยแพร่ไปสู่ บุคลากรกลุ่มเป้าหมาย ทั้งการจัดต้ังคณะทํางานเพ่ือทําหน้าท่ีดําเนินการวางแผนและจัด กิจกรรม แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกับคณาจารย์ และกําหนดประธานที่มีทักษะการพูด สร้าง บรรยากาศให้เกิดความเป็นกันเอง นําองค์ความรู้ท่ี อยู่ในบุคคลแล้วสรุปประเด็นได้ นําองค์ ความรู้จัดเก็บอย่างเป็นระบบและแลกเปล่ียนผ่านเทคโนโลยี สารสนเทศที่สามารถเข้าถึงได้ทั้ง ภายในและภายนอกองค์กร Summary Faculty of Industrial Education and Technology Has given importance to the creation and development of knowledge management to focus on learning institutions With the collection of knowledge available both inside and outside the institution Which is scattered in Person or document to manage as a system For the faculty In the institute, able to access knowledge and develop oneself to be -2-

knowledgeable as well as perform effectively By defining knowledge and management goals Knowledge that is consistent with the strategic plan of the faculty Determine the target group of personnel to develop knowledge and skills in teaching and learning and exchange knowledge from knowledge. Skills of experienced people through websites and social media to be able to find good practices about teaching and learning Disseminated to target group personnel Gather knowledge Store knowledge And access to information From the implementation of knowledge management to drive the Faculty of Industrial Education and Technology To a corporate culture that has a shared exchange of knowledge among faculty members And define the president with speaking skills Create a friendly atmosphere Bring knowledge that In person and can summarize issues Bring knowledge and systematically store and exchange technology. Information that can be accessed both inside and outside the organization. คาํ สําคัญ : การจัดการความรู้ ,ไทยแลนด์ 4.0, วฒั นธรรมองค์กร 1. บทนาํ : ปัจจุบันการพัฒนาบุคลากรเป็นหัวใจสําคัญต่อการเปลี่ยนแปลงองค์กร บุคลากรจึงจําเป็นที่ จะต้องได้รับการพัฒนาตลอดเวลาเพ่ือให้มีความคิดสร้างสรรค์ และสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ การพัฒนา บคุ ลากร จึงเป็นการนําศักยภาพของแต่ละบุคคลมาใช้ ไม่วา่ จะเป็นการนําเอาความรู้ความสามารถท่ีมี อยู่ รวมท้ัง กฎหมายและ ระเบียบต่างๆ ท่ีจําเป็นในการปฏิบัติราชการ และสมรรถนะเพ่ือให้การ ปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างให้แต่ละบุคคล เกิดทัศนคติที่ดีต่อองค์กร ตลอดจนเกิด ความตระหนักในคุณค่าของตนเอง เพ่ือนร่วมงาน อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาองค์กร ต้องอาศัย องค์ประกอบที่สําคัญคือ การพัฒนาระบบในการทํางาน ซึ่งหากเมื่อมีการปรับ การทํางานเข้าสู่ระบบ แล้ว มีการปฏิบัติงานไปตามระบบ ดังน้ันศักยภาพของบุคลากรก็จะต้องมีการพัฒนาและปรับให้มี ความเหมาะสมกับ ระบบและยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การพัฒนาประสิทธิภาพใน การทํางานรวมถึงความรู้ในด้านต่างๆ ของบุคลากรเป็นเรื่องที่จะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ซ่ึง นอกจากเป็นการเสริมสร้างความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานได้อย่างดีแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญ กําลังใจ ในการทํางานที่นับว่าเป็นสวัสดิการอันดีให้กับบุคลากรในองค์กร ซ่ึงจะทําให้บุคลากรได้รับ ความรู้ เพ่ือนําไปใช้ในการทํางานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ในขณะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กําลังอยู่ในยุคของการปฏิรูปเพ่ือนําประเทศเข้าสู่ -3-

การพัฒนาตามแนวคิดไทยแลนด์ 4.0 องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรปกครองท้องถ่ินเป็นศูนย์ รวมขององค์กรที่มีความสําคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกัน วันนี้องค์กรต่างๆ ไม่สามารถจะอยู่ได้ตามลําพังท่ามกลางภัยคุกคามที่มีความผันผวนความไม่แน่นอน และความซับซ้อน ดังนั้นองค์กรต่างๆ จึงจําเป็นต้องมีการปรับปรุงรูปแบบและกระบวนการการ บริหารจัดการให้มีความยืดหยุ่นทันสมัยรวมท้ังมีกลยุทธ์และนวัตกรรมใหม่ในการนําไปสู่การปฏิบัติ เพ่ือการพัฒนาและบริการประชาชนในบรบิ ทตา่ งๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและการทอี่ งค์กรจะบริหาร จัดการให้ประสบความสําเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์/เป้าหมายและตัวช้ีวัดท่ีกําหนดไว้จําเป็นอย่างย่ิง ท่ีองค์กรจะต้องมีบุคลากรท่ีมีความรู้ความเข้าใจและทักษะตลอดจนประสบการณ์ในการกําหนดกล ยุทธ์เพอื่ นําไปสู่ความสําเร็จของการบรหิ ารจัดการองค์กรในมิติต่างๆได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ดงั นั้น คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตระหนักและให้ความสําคัญในการ พัฒนาศักยภาพบุคลากรขององค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน จึงกําหนดจัดโครงการการ อบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพ่ือเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน” สู่ ความสําเร็จในการพัฒนาองค์กร ๔.๐ โดยมุ่งให้ผู้บริหาร บุคลากรขององค์กรได้รับการเสริมสร้างองค์ ความรู้ ความเข้าใจทกั ษะและประสบการณ์ดา้ นการบริหารจัดการด้วยมิตขิ องนวัตกรรมใหม่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพซง่ึ จะสง่ ผลดีต่อการพัฒนาองค์กรให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนตลอดไป 2. วัตถุประสงค์ : 2.1 เพื่อให้ผู้เข้ารบั การอบรมพัฒนาศักยภาพดา้ นความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ตลอดจนมี แนวคิดในการบรหิ ารจดั การเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง 2.2 เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนําองค์ความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ใน การกําหนดกลยทุ ธก์ ารบริหารจัดการได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.3 เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรมได้สร้างเครือข่ายวิชาการในการบริหารจัดการองค์กร ตลอดจนมโี อกาสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิด ประสบการณซ์ ่ึงกันและกัน 3. วิธีการดาํ เนนิ งาน : คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตระหนักและให้ความสําคัญในการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรขององค์กรเพ่ือเพ่ิมประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน จึงกําหนดจัดโครงการการ อบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน” สู่ ความสําเรจ็ ในการพฒั นาองค์กร ๔.๐ โดยมุ่งใหผ้ ู้บรหิ าร บุคลากรขององค์กรได้รับการเสริมสร้าง องค์ความรู้ ความเข้าใจทักษะและประสบการณ์ด้านการบริหารจดั การด้วยมิติของนวัตกรรมใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาองค์กรให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนโดย ใช้ -4-

กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process) มาประยุกต์ใช้ในการ ดําเนินงานซง่ึ ประกอบดว้ ย 7 ข้ันตอนและรว่ มกบั การดาํ เนินงานตามกระบวนการ PDCA ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 การค้นหาความรู้ (Knowledge Identification) ได้เชิญชวนบุคลากร คณะฯเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เพ่ือพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ความ เข้าใจ ทักษะ ตลอดจนมีแนวคิดในการบริหารจัดการเพ่ือรองรับการเปลย่ี นแปลง เพื่อให้ผู้เข้ารับ การอบรมสามารถนาํ องค์ความรแู้ ละประสบการณ์ไปประยกุ ต์ใช้ในการกําหนดกลยุทธ์การบริหาร จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรมได้สร้างเครือข่ายวิชาการในการบริหาร จัดการองค์กรตลอดจนมีโอกาสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิด ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และ เพ่ือสอบถามขอ้ มูลและทบทวนการทํางานของปีท่ผี ่านมาและนํามาวางแผนการดาํ เนินงานในคร้งั น้ี ภาพท่ี 1 การค้นหาความรู้ ข้ันตอนที่ 2 การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition) คณะกรรมการดาํ เนนิ งานได้รับความรเู้ บ้ืองต้นจากบุคคลท่ีเก่ียวข้อง รวบรวมจัดการข้อมูลที่มีอยู่ แล้วเพื่อเปน็ แนวทางในการจัดโครงการเบอื้ งต้น แต่ยังต้องแสวงหาความรู้เพิม่ เติมซ่ึงเป็นความรู้ท่ี เก่ียวกบั มหาวิทยาลยั กับการขับเคล่ือนแผนยทุ ธศาสตร์ชาติ ทกั ษะการเปน็ นักวางแผนเชิงกลยุทธ์ ด้วย Value Chain ทักษะและวิธีการคิดนอกกรอบเพ่ือการพัฒนาคณะ ทักษะและวิธีการ ขบั เคล่ือนนโยบาย ยุทธศาสตร์คณะฯไปสูก่ ารปฏิบตั ิ ทักษะและวิธีการการบริหารเพ่ือการพัฒนา องคก์ รยุคใหม่ -5-

ภาพท่ี 2 การสรา้ งและแสวงหาความรู้ ข้ันตอนที่ 3 การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) คณะกรรมการ ดาํ เนินงานร่วมประชุมพิจารณาแบ่งกลุม่ ตามด้านตา่ งๆ ซึ่งแบ่งออกเปน็ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.ด้านการ บริหาร 2.ด้านจัดการเรียนการสอน 3.ด้านวิจัย 4.ด้านบริการวิชาการ 5.ด้านทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรม และแต่งตั้งคําส่ังบุคลากรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามท่ีได้รับมอบหมายแบ่งเป็น คณะกรรมการดําเนินงานฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสรุปผล –ประเมินผลฝ่ายพัสดุ การเงินและบัญชี ฝ่ายประสานงาน เป็นต้น ทั้งน้ี ได้จัดทําเอกสารประกอบการ ตาราง เปรียบเทียบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์มหาวทิ ยาลัย 20 ปี และ แผนยุทธศาสตร์คณะตามนโยบาย คณบดี เพ่อื ใหผ้ ู้เขา้ รว่ มโครงการการไว้เป็นแนวทางในการศกึ ษาอีกช่องทางหน่งึ ภาพที่ 3 การจัดความรใู้ หเ้ ป็นระบบ -6-

ขั้นตอนท่ี 4 การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) จากที่ได้แบ่งกลุ่มตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ เทคโนโลยี และผู้เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้เก่ียวกับ มหาวิทยาลัยกับการขับเคล่ือนแผน ยุทธศาสตร์ชาติ ทักษะและวิธีการขับเคล่ือนนโยบาย ยุทธศาสตร์คณะฯ ไปสู่การปฏิบัติ ทักษะและวธิ ีการการบริหารเพ่ือการพัฒนาองค์กรยุคใหม่ เมอ่ื สมาชกิ ในกลุ่มทํางานในหน้าท่ขี อง ตนเองเสร็จแล้วก็จะช่วยสมาชิกคนอื่น ๆ และร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มต่าง ๆ โดยใช้ KM : tools เวทเี สวนา (Dialogue) และวธิ ีการทบทวนสรุปบทเรียน (After action review) ภาพที่ 4 การประมวลและกลั่นกรองความรู้ ขั้นตอนท่ี 5 การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) จากการท่ีผู้เข้าร่วมกิจกรรม แบ่งกล่มุ กันจัดทําแผนยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาคณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตามดา้ น ต่างๆ สมาชิกแต่ละกลุ่มท่ีท่ีจําทําแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ เทคโนโลยี เรียบร้อยแล้วจะต้องนําเสนอความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้สมาชิกคนอื่น ๆ ได้ทราบ ข้อมูล ในรูปแบบเอกสารตามแบบฟอร์มท่ีกําหนดให้ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ให้เกิด ประโยชน์แบบบูรณาการไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ผู้รับไม่ต้องร้องขอหรือต้องการ ด้วย วิธีการนําเสนอองค์ความรู้ต่อกลุ่มผู้รับผิดชอบกลุ่มอื่นๆ เพื่อบูรณาการเทคโนโลยีพัฒนาต่อยอด และ มีการนําเสนอองค์ความรู้ต่อท่ีประชุมประจําเดอื นของคณะกรรมการบริหารคณะ เพ่ือนํามา สูก่ ารพัฒนาและปรับแผนยุทธศาสตร์ฯ ของคณะตอ่ ไป -7-

ภาพที่ 5 การประมวลและกล่ันกรองความรู้ ข้ันตอนที่ 6 การแบ่งปันแลกเปล่ียนความรู้ (knowledge Sharing) เป็นข้ันตอนของ การทบทวนผลของการปฏิบัติงานจากการเข้าร่วมโครงการแต่ละกลุ่มเป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่ี วางไว้ จะต้องนําเสนอความรู้ ความเข้าใจ เพ่ือให้ถ่ายทอดให้คนอื่น ๆ โดยการจัดประชุม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ถาม ตอบ และผ่านกระบวนการจัดทําแผนยุทธศาสตร์คณะฯ เอกสารเผยแพร่ข้อมลู นอกจากน้ยี ังอาศยั ใช้สื่อชอ่ งทางตา่ ง ๆ ข้ันตอนที่ 7 การเรียนรู้ (Learning) การนําความรู้ที่ได้จากการจัดการความรู้ที่เป็นลาย ลักษณ์อักษร และจากความรู้ ทักษะของ ผู้มีประสบการณ์ตรงที่เป็นแนวปฏิบัติท่ีดีมาปรับใช้ใน การปฏิบัติงานจรงิ และได้มีอาจารย์นําองคค์ วามรู้ไปใช้ใน การเรยี นการสอน ซ่งึ อาจารย์ได้กรอก ข้อมูลการนําความรู้ไปใช้หรือแสดงความคิดเห็นการนําความรู้ไปใช้ใน ส่ือ สังคมออนไลน์ ( Facebook )และเมื่อเสร็จส้ินโครงการคณะกรรมการดําเนินงานได้เปิดโอกาสให้บุคลากรได้มี การแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกลุ่ม และได้นําองค์ความรู้มาบูรณาการดําเนินงานเพื่อพัฒนาแผน ยทุ ธศาสตรฯ์ คณะ มากขึ้น โดยการจดั โครงการปรบั แผนยทุ ธศาสตรค์ ณะฯ ทุกๆปี เปน็ ต้น -8-

4. ผลและอภปิ รายผลการดําเนนิ งาน : 4.1 ผลการดําเนนิ งาน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตระหนักและให้ความสําคัญในการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรขององค์กรเพ่ือเพ่ิมประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ทําให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ ความรู้ความเข้าใจทักษะตลอดจนมีแนวคิดในการบริหารจัดการเพ่ือรองรับการเปลี่ยนแปลง ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนําองค์ความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการกําหนดกลยุทธ์ การบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงได้สร้างเครือข่ายวิชาการในการบริหารจัดการ องค์กรตลอดจนมีโอกาสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิด ประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน และมี แผนการพัฒนาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีท่ีสอดคล้องกับแผนการพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี มผี ลการประเมินความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ดมี าก 4.2 อภิปรายผล คณะครศุ าสตร์อตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี ได้ใหค้ วามสําคญั กบั การสร้างและพัฒนาการ จัดการความรู้เพื่อมุ่งสู่สถาบันแห่งการเรียนรู้ โดยมีการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ท้ังในและนอก สถาบัน ซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ในตัว บุคคลหรือเอกสารมาจัดการให้เป็นระบบ เพ่ือให้คณาจารย์ สามารถเข้าถึงความรแู้ ละพัฒนาตนเองให้ เป็นผู้รู้ รวมท้ังปฏิบัตงิ านได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ โดย สามารถการกําหนดประเด็นความรู้และเป้าหมายของการจัดการ ความรู้ที่สอดคล้องกับแผน ยุทธศาสตร์ของคณะ กําหนดบุคลากรกลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนาความรู้และทักษะด้านการ เรียน การสอน และแลกเปล่ียนเรียนรู้จากความรู้ ทักษะของผู้มีประสบการณ์ตรง ผ่านเว็บไซต์ และสื่อ สังคมออนไลน์ ให้สามารถค้นหาแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการเรียนการสอน เผยแพร่ไปสู่บุคลากร กลุ่มเป้าหมาย ทั้งการจัดตั้งคณะทํางานเพ่ือทําหน้าที่ดําเนินการวางแผนและจัดกิจกรรม แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกับคณาจารย์ และกําหนดประธานท่ีมีทักษะการพูด สร้างบรรยากาศให้ เกิดความเปน็ กันเอง นําองค์ความรทู้ ่ี อยใู่ นบุคคลแล้วสรุปประเด็นได้ นําองค์ความรู้จดั เก็บอยา่ ง เป็นระบบและแลกเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี สารสนเทศที่สามารถเข้าถึงได้ท้ังภายในและภายนอก องค์กร 5. สรุป : คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตระหนักและให้ความสําคัญในการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรขององค์กรเพื่อเพ่ิมประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ทําให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ ความรู้ความเข้าใจทักษะตลอดจนมีแนวคิดในการบริหารจัดการเพ่ือรองรับการเปลี่ยนแปลง ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนําองค์ความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการกําหนดกลยุทธ์ การบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เข้ารับการอบรมได้สร้างเครือข่ายวิชาการในการ บริหารจัดการองค์กรตลอดจนมีโอกาสการแลกเปลย่ี นเรียนรคู้ วามคดิ ประสบการณ์ซ่ึงกันและกนั -9-

1. ผู้เข้ารับการอบรมได้ความรู้ความเข้าใจทักษะตลอดจนมีแนวคิดในการบริหาร จดั การเพื่อรองรบั การเปลีย่ นแปลง 2. ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนําองค์ความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการ กําหนดกลยุทธ์การบรหิ ารจัดการได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 3. ผู้เข้ารับการอบรมได้สร้างเครือข่ายวิชาการในการบริหารจัดการองค์กรตลอดจนมี โอกาสการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ความคดิ ประสบการณ์ซึง่ กันและกนั บรรณานุกรม :  วิจารณ์ พานิช. (2547). สถานศึกษากับการจัดการความรู้เพื่อสังคม. กรุงเทพฯ: สํานักเลขาธิการสภาการศึกษา. ทิพย์พาพร มหาสินไพศาล. 2554“ยุทธศาสตรก์ ารจัดการความรู้ ในมหาวิทยาลยั เอกชน”วารสารนกั บริหาร. ปีที่ 31 ฉบบั ท่ี 3 ( ก.ค.-ก.ย. 2554 ) หน้า 12-19.  รายงานผลโครงการการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพ่ือเพิ่มประสิทธิผลในการ ปฏิบัตงิ าน  แผนการพัฒนาคณะครศุ าสตรอ์ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แผนการพฒั นามหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ัย - 10 -

รปู แบบการนาํ เสนอแนวปฏบิ ตั ิทด่ี ี โครงการประชุมสมั มนาเครือขา่ ยการจดั การความรฯู้ ครงั้ ที่ 12 “การจดั การความรสู้ ู่มหาวทิ ยาลยั นวตั กรรม” (Knowledge Management: Innovative University) สําหรับอาจารย์/ บคุ ลากรสายสนบั สนุน/ นกั ศกึ ษา ชอ่ื เรือ่ ง/แนวปฏบิ ตั ิทด่ี ี : การพฒั นารปู แบบการจัดการเรียนรู้ดว้ ยการศึกษาจากชมุ ชน ชื่อ-นามสกลุ ผู้นาํ เสนอ : ผศ.ดร. ปิยาภรณ์ อรมตุ ชอื่ สถาบนั การศึกษา : มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชยั หนว่ ยงาน : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั เบอร์โทรศัพทม์ อื ถือ : 0887823563 เบอร์โทรสาร : 074317173 E-Mail address : piyaporn.oramut @gmail.com

โครงการประชมุ สัมมนาเครอื ข่ายการจดั การความรูฯ้ ครั้งที่ 12 “การจดั การความรู้สู่มหาวิทยาลยั นวตั กรรม” (Knowledge Management: Innovative University) การพฒั นารปู แบบการจดั การเรียนรดู้ ว้ ยการศึกษาจากชุมชน The Development of Learning Management Systems through Educational from the Community ปยิ าภรณ์ อรมุต1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัย piyaporn.oramut @gmail.com 1 .......................................................................................................................................................... บทสรปุ : การจัดการเรียนร้ดู ้วยการศึกษาจากชมุ ชน (ในพ้นื ทจ่ี ิรง) มผี ลสมั ฤทธ์ิสงู สดุ และเหมาะสมกบั บรบิ ทการ จัดการเรียนการสอน เรียนการสอนในรายวิชาสถาปัตยกรรมไทยพืน้ ถิ่น วธิ ดี าํ เนินการ ไดแ้ ก่ ศึกษาเอกสารและ งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง และผวู้ ิจยั นําเสนอรูปแบบการจดั การเรยี นรู้ 2 รูปแบบในการศึกษา เพื่อหาวธิ กี ารทเ่ี หมาะสมใน การจดั การเรยี นการสอน คือ รูปแบบที่ 1 อาจารย์ผสู้ อนกาํ หนดพ้ืนท่ีศึกษาในแต่ละกลมุ่ และมีสมาชกิ กลมุ่ 9-10 คน และ รปู แบบที่ 2 นกั ศกึ ษาเลอื กพน้ื ท่ศี ึกษาตามความสนใจ อาจารยผ์ ู้สอนกําหนดเกณฑก์ ารเลือกพืน้ ท่ศี กึ ษา และมี สมาชกิ กลุม่ 3-5 คน ซง่ึ มปี จั จยั ในการกําหนดพื้นทศี่ ึกษาและจาํ นวนสมาชิกแตกต่างกัน ท้ัง 2 รูปแบบการจดั การ เรยี นรตู้ ้องการผลลพั ธ์ทีเ่ หมอื นกนั ผลการศกึ ษาสรปุ ได้ดังน้ี นกั ศกึ ษาทีจ่ ดั การเรยี นรูใ้ นรปู แบบที2่ คอื นกั ศึกษาเลือกพืน้ ที่ศึกษาตามความสนใจ อาจารย์ผู้สอนกาํ หนด เกณฑก์ ารเลือกพน้ื ท่ีศกึ ษา และมีสมาชิกกลมุ่ 3-5 คน ซ่งึ มปี ัจจัยในการกําหนดพ้ืนทศี่ กึ ษาและจํานวนสมาชิกแตกตา่ ง กนั มรี ะดบั คะแนนส่วนใหญอ่ ยูใ่ นระดับดเี ย่ยี ม (A) ถงึ ระดบั พอใช้ (C) ซงึ่ มีระดบั คะแนนอยใู่ นเกณฑ์ท่ีสูงกว่าเมือ่ เปรยี บเทียบกบั การจดั การเรยี นรู้ในรปู แบบท่ี 1 ทม่ี รี ะดบั คะแนนสว่ นใหญ่อยู่ในระดับดพี อใช้ (C+) The purpose of this research is to study the teaching methods by study the actual area which has the highest achievement and appropriate to the context of teaching and learning resources including the development of teaching and learning in Thai vernacular architecture subjects. This process included researching through document papers and relavant researches. The researcher will uses two of Educational Patterns in finding the most appropriate pattern in teaching and learning. The first pattern is the lecturer specify the area of study and put them in a large group of 9-10 students. However, the second pattern allows students to choose their own field of

interest and put them into small group of 3-5 students. Althought, these 2 patterns have the different factors, the area of study and the amount of member, but will also need the same result in the end. Which leads to the conclusion that the second pattern which allows students to choose thier own field of interest tends to have a higher GPA (the range between A-C) than students in the first pattern which the averange GPA are C+. คาํ สําคญั : การจัดการเรียนรู้, การศึกษาจากพน้ื ที่จริง บทนํา : พนั ธกจิ สาํ คญั ด้านหน่ึงของมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชัย คอื การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอน เพอ่ื ผลติ บัณฑิตนักปฏิบัติด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยสี ูส่ ากลทมี่ คี ณุ ธรรมและจริยธรรม ตามวิสัยทศั น์ทีก่ าํ หนดไว้ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการในชนั้ เรยี น เป็นกระบวนการหนึ่งในการพัฒนาคณุ ภาพการเรียนการสอน เนอื่ งจากชว่ ย แกป้ ญั หาที่เกดิ ขึ้นในหอ้ งเรยี น และนาํ ผลมาใชใ้ นการพัฒนา รวมถงึ การปรบั ปรุงการเรยี นการสอน เพอ่ื ให้เกิด ประโยชน์สูงสดุ ต่อผเู้ รยี นและผูส้ อน และนาํ ไปส่กู ารพฒั นาการเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธิภาพ ตอ่ ไป วธิ ีการดําเนนิ งาน : จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ได้ดําเนินการกําหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ โมเดลซิปปา (CIPPA Model) คือ เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน และการแลกเปล่ียนความรู้ การ ได้เคล่ือนไหวทางกาย การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ และการนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ ร่วมกับการศึกษาแบบ กรณีศึกษา (Case Study) เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ในพ้ืนที่จริง โดยผู้วิจัยได้นําเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2 รูปแบบในการศกึ ษา เพอ่ื หาวธิ กี ารท่ีเหมาะสมในการจดั การเรยี นการสอนวิชาสถาปัตยกรรมไทยพน้ื ถิน่ ดงั น้ี รูปแบบที่ 1 อาจารยผ์ ้สู อนกาํ หนด ข้อมลู ชมุ ชน ลงพ้นื ท่ีเก็บข้อมูล พนื้ ทศี่ ึกษา เพิ่ม ลงพืน้ ท่ีศกึ ษาบรบิ ทชุมชน แจง้ เกณฑก์ ารเลือกพื้นที่ - เรียนรู้ภูมิหลัง แก้ไขผลงาน - เรียนรปู้ จั จบุ ัน สมาชิกในกลมุ่ - รปู แบบเรอื น และปจั จัย ผลงานสมบูรณ์ 8-10 คน ภาพที่ 2 รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบที่ 1

รูปแบบที่ 2 นกั ศกึ ษาเลอื กพ้นื ท่ี ขอ้ มูลชุมชน ลงพืน้ ทเ่ี ก็บข้อมูล ศกึ ษาตามความสนใจ เพ่ิม ลงพืน้ ที่ศึกษาบรบิ ทชมุ ชน กาํ หนดเกณฑก์ ารเลอื ก - เรียนรู้ภูมิหลัง แก้ไขผลงาน ้ - เรียนรู้ปัจจุบัน - รปู แบบเรือน และปัจจยั ผลงานสมบูรณ์ สมาชิกในกลมุ่ 4-5 คน ภาพท่ี 3 รูปแบบการจัดการเรยี นรแู้ บบท่ี 2 ผลและอภปิ รายผลการดาํ เนนิ งาน : จากการศึกษาและดําเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียนในรายวิชาสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่น เพ่ือศึกษา รูปแบบการเรียนการสอนด้วยวิธีการศึกษาจากพ้ืนท่ีจริงท่ีมีผลสัมฤทธิ์สูงสุด และเหมาะสมกับบริบทของแหล่งท่ี จัดการเรียนการสอน รวมถึงการพัฒนาการเรียนการสอนในรายวิชาสถาปัตยกรรมไทยพ้ืนถ่ิน ในช่วง 2 ปีการศึกษา คอื ปีการศกึ ษา 2559 และ 2560 เพ่อื ศึกษารปู แบบทเ่ี หมาะสม น้นั ผู้วิจัยได้นําเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2 รูปแบบในการศึกษา เพ่ือหาวิธีการท่ีเหมาะสมในการจัดการ เรียนการสอน คือ รูปแบบที่ 1 อาจารย์ผู้สอนกําหนดพ้ืนท่ีศึกษาในแต่ละกลุ่ม และมีสมาชิกกลุ่ม 9-10 คน และ รูปแบบที่ 2 นักศึกษาเลือกพน้ื ท่ศี กึ ษาตามความสนใจ อาจารย์ผู้สอนกําหนดเกณฑ์การเลือกพื้นที่ศึกษา และมีสมาชิก กลุ่ม 3-5 คน ซึ่งมีปัจจัยในการกําหนดพ้ืนที่ศึกษาและจํานวนสมาชิกแตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตอ้ งการผลลัพธ์ที่เหมือนกนั คือ การจัดทําหุน่ จําลองเรอื นพ้ืนถน่ิ ในพ้ืนทกี่ รณศี กึ ษา 1 หลงั (เลือกตามความเหมาะสม) ไฟล์นาํ เสนอ และ เล่มรายงาน ซึ่งมเี นื้อหาประกอบดว้ ย 1) บทท่ี 1 ประวัติความเป็นมา ความสําคัญ บริบทของชุมชน แนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และ งานวิจยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 2) บทที่ 2 ลักษณะเรือนพ้ืนถ่ิน (เรือนตัวอย่างอย่างน้อย 5 หลัง) ประกอบด้วย ประวัติเรือน, ชื่อ เจ้าของเรือน, ภาพถ่ายองค์ประกอบเรือนส่วนต่างๆ, ภาพสเกต (sketch), ผังบริเวณ (lay-out), ผังพ้ืน (plan), รูป ด้าน (elevation), รูปตัด (section), ทัศนียภาพภายนอก (perspective), แบบขยาย (detail), ภาพการลงพ้ืนท่ีเก็บ ขอ้ มูล

3) บทที่ 3 บทวิเคราะห์ และสรุปเนื้อหา ประกอบด้วย บทวิเคราะห์เหตุและปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ลักษณะเรอื นทัง้ ดา้ นรปู ทรง การใชพ้ ื้นท่ี และสรปุ ผลการศกึ ษา จากการประเมนิ ผลด้วยการสอบปลายภาคในรายวิชาสถาปตั ยกรรมไทยพื้นถิน่ ด้วยขอ้ สอบอัตนยั และปรนยั สามารถสรุปผลการจดั การเรียนรู้ทงั้ 2 รูปแบบไดด้ ังนี้ 4.1.1 ระดับคะแนนของนักศึกษา ท่ีดําเนินการจัดการเรียนรู้รูปแบบท่ี 1 ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จาํ นวนนักศกึ ษาลงทะเบยี น 43 คน ตารางที่ 1 จํานวนนักศึกษาทไ่ี ด้คะแนนในระดับต่างๆ ระดบั คะแนน ผลการศึกษา ชว่ งคะแนน จํานวนนกั ศึกษา 80 คะแนนขึ้นไป 1 A ดีเย่ยี ม (Excellent) 8 75 – 79.99 3 B+ ดีมาก (Very Good) 70 – 74.99 19 65 – 69.99 8 B ดี (Good) 60 – 64.99 3 55 – 59.99 0 C+ ดีพอใช้ (Fairly Good) 50 – 54.99 1 0 – 49.99 C พอใช้ (Fairly) D+ อ่อน (Poor) D อ่อนมาก (Very Poor) F ตก (Fail) ระดับคะแนนของนักศกึ ษาท่ีจดั การเรยี นรู้ในรูปแบบที่ 1 ร้อยละ 50 45 40 ดมี าก ดี (Good) ดีพอใช้ พอใช้ อ่อน (Poor) อ่อนมาก ตก (Fail) 35 (Very 6.98 (Fairly (Fairly) 6.98 (Very 2.33 30 Good) Good) Poor) 25 18.6 20 18.6 44.19 0 15 10 5 0 ดเี ยี่ยม (Excellent) รอ้ ยละ 2.33 ภาพที่ 13 แผนภมู ิแสดงรอ้ ยละระดบั คะแนนของนักศกึ ษาทดี่ ําเนินการจัดการเรยี นร้รู ูปแบบท่ี 1 ในภาคการศึกษาที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2559

นักศึกษาที่ดําเนินการจัดการเรียนรู้รูปแบบที่ 1 ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 จํานวนนักศึกษา ลงทะเบียน 43 คน โดยส่วนใหญ่มีค่าคะแนนในรายวิชาสถาปัตยกรรมไทยพ้ืนถิ่น อยู่ในระดับดีพอใช้ (C+) 65 – 69.99 คะแนน จาํ นวน 19 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 44.19 ของนักศึกษาทัง้ หมด 4.1.2 ระดับคะแนนของนักศึกษา ที่ดําเนินการจัดการเรียนรู้รูปแบบที่ 2 ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2560 จํานวนนักศึกษาลงทะเบยี น 48 คน ตารางที่ 2 จํานวนนกั ศกึ ษาท่ีได้คะแนนในระดบั ตา่ งๆ ระดบั คะแนน ผลการศกึ ษา ช่วงคะแนน จํานวนนกั ศึกษา 80 คะแนนขึ้นไป 8 A ดเี ยี่ยม (Excellent) 10 75 – 79.99 14 B+ ดีมาก (Very Good) 70 – 74.99 11 65 – 69.99 5 B ดี (Good) 60 – 64.99 0 55 – 59.99 0 C+ ดีพอใช้ (Fairly Good) 50 – 54.99 0 0 – 49.99 C พอใช้ (Fairly) D+ อ่อน (Poor) D อ่อนมาก (Very Poor) F ตก (Fail) ระดับคะแนนของนักศึกษาที่จัดการเรียนรใู้ นรูปแบบที่ 2 35 30 25 ร้อยละ 20 15 10 5 0 ดมี าก ดี (Good) ดีพอใช้ พอใช้ ออ่ น (Poor) ออ่ นมาก ตก (Fail) ดีเย่ียม (Very 29.17 (Fairly (Fairly) 0 (Very 0 Good) Good) Poor) (Excellent) 10.42 20.83 22.92 0 รอ้ ยละ 16.67 ภาพที่ 14 แผนภูมิแสดงรอ้ ยละระดบั คะแนนของนักศึกษาที่ดาํ เนินการจัดการเรียนร้รู ปู แบบที่ 2 ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2560

นักศึกษาท่ีดําเนินการจัดการเรียนรู้รูปแบบท่ี 2 ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2560 จํานวนนักศึกษา ลงทะเบียน 48 คน โดยส่วนใหญ่มีค่าคะแนนในรายวิชาสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่น อยู่ในระดับดี (B) 70 – 74.99 คะแนน จาํ นวน 14 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 29.17 ของนักศกึ ษาทั้งหมด 4.1.3 เปรยี บเทียบระดับคะแนนของนักศึกษา การเปรียบเทียบระดับคะแนนของนักศึกษาทั้ง 2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ คือ รูปแบบท่ี 1 อาจารย์ผู้สอน กําหนดพ้ืนที่ศึกษาในแต่ละกลุ่ม และมีสมาชิกกลุ่ม 9-10 คน และ รูปแบบท่ี 2 นักศึกษาเลือกพ้ืนที่ศึกษาตามความ สนใจ อาจารย์ผู้สอนกําหนดเกณฑ์การเลือกพ้ืนท่ีศึกษา และมีสมาชิกกลุ่ม 3-5 คน ซึ่งมีปัจจัยในการกําหนดพ้ืนที่ ศึกษาและจํานวนสมาชกิ แตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 รูปแบบการจัดการเรยี นรูต้ ้องการผลลัพธท์ ่เี หมอื นกัน เปรยี บเทียบระดบั คะแนนของนักศกึ ษา 50 45 40 35 30 ร้อยละ 25 20 15 10 5 0 ดพี อใช้ อ่อนมาก (Fairly (Very ดีเย่ียม ดีมาก (Very ดี (Good) Good) พอใช้ ออ่ น (Poor) Poor) ตก (Fail) (Excellent) Good) (Fairly) 44.19 6.98 0 2.33 รูปแบบท่ี 1 2.33 18.6 6.98 18.6 0 0 รปู แบบท่ี 2 16.67 20.83 29.17 22.92 10.42 0 ภาพท่ี 15 แผนภูมิแสดงร้อยละการเปรยี บเทียบระดับคะแนนของนกั ศึกษาทง้ั 2 รปู แบบ การจัดการเรยี นรู้ จากแผนภูมิเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่า นักศึกษาท่ีจัดการเรียนรู้ในรูปแบบที่ 2 คือ นักศึกษาเลือกพ้ืนท่ี ศึกษาตามความสนใจ อาจารย์ผู้สอนกําหนดเกณฑ์การเลือกพื้นที่ศึกษา และมีสมาชิกกลุ่ม 3-5 คน ซึ่งมีปัจจัยในการ กําหนดพื้นท่ีศึกษาและจํานวนสมาชิกแตกต่างกัน มีระดับคะแนนส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีเยี่ยม (A) ถึงระดับพอใช้ (C) ซ่ึงมีระดับคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบที่ 1 ที่มีระดับคะแนนส่วนใหญ่ อยใู่ นระดับดีพอใช้ (C+)

สรปุ : จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยแรกที่ส่งผลให้ระดับคะแนนในการวัดความรู้ความเข้าใจมีผลแตกต่างกัน คือ จาํ นวนสมาชิกในการทํางาน เนอ่ื งจากในรปู แบบที่ 1 มสี มาชกิ 9-10 คน ทาํ ให้การลงพ้นื ท่ีมีความรวดเร็วแต่นักศึกษา ขาดความเขา้ ใจในภาพรวมของเรือนพนื้ ถน่ิ ภาคใต้ ไมส่ ามารถวเิ คราะห์ สงั เคราะหข์ ้อมลู หรือเปรยี บเทียบขอ้ มลู ตา่ งๆ ที่ส่งผลต่อความรู้ความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ ส่วนรูปแบบที่ 2 มีสมาชิก 3-5 คน ซ่ึงนักศึกษาส่วนใหญ่ เลือกจับ กลุ่ม 3 คน ทําให้การเก็บข้อมูลต่างๆ ค่อนข้างช้า แต่สามารถเข้าใจในรายละเอียดต่างๆได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการ แลกเปล่ียนความคิดเห็นของนักศึกษาในกลุ่มที่มีค่อนข้างน้อย จึงต้องร่วมออกความคิดเห็นในการวิเคราะห์และ สังเคราะห์ข้อมูล ทําให้ผลงานการนําเสนอในภาพรวมค่อนข้างมีรายละเอียดที่ชัดเจน ปัจจัยท่ีสองท่ีมีผลต่อระดับ คะแนนคือ การกําหนดพ้ืนที่ในการศึกษา เนื่องจากรูปแบบที่ 1 พ้ืนที่ถูกกําหนดโดยอาจารย์ผู้สอนให้อยู่ในบริเวณ จังหวัดสงขลาเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บข้อมูล ส่วนรูปแบบท่ี 2 คือ เลือกศึกษาตามพ้ืนที่ที่สนใจ นักศึกษาจึงได้ แลกเปล่ียนความคิดเห็นในการเลือกพ้ืนที่และเป็นพื้นที่ที่นักศึกษาคุ้นเคย อาจเป็นภูมิลําเนาหรือพ้ืนท่ีท่ีรู้จักของ สมาชิกในกลุ่ม ทําให้มีความสนใจ ความกระตือรือร้นในการเข้าถึงข้อมูล และการสัมภาษณ์ผู้อยู่อาศัยในชุมชน ค่อนขา้ งง่ายกว่าการกาํ หนดพืน้ ท่ศี กึ ษาโดยอาจารยผ์ ูส้ อน สรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบท่ี 2 คือ นักศึกษาเลือกพื้นที่ศึกษาตามความสนใจ อาจารย์ผู้สอน กําหนดเกณฑ์การเลือกพ้ืนที่ศึกษา และมีสมาชิกกลุ่ม 3-5 คน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการศึกษาจากพ้ืนที่จริง ที่มีผลสัมฤทธ์ิสูงสุด และเหมาะสมกับบริบทของแหล่งที่จัดการเรียนการสอน รวมถึงการพัฒนาการเรียนการสอนใน รายวชิ าสถาปัตยกรรมไทยพนื้ ถิน่ ในภาคการศกึ ษาต่อไปให้เหมาะสมยิง่ ขึ้น บรรณานกุ รม : นลิ รัตน์ นวกจิ ไพฑูรย.์ “การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในช้นั เรียน”[ออนไลน์], 18 มถิ ุนายน 2557. แหล่งท่มี า edu.nstru.ac.th/edunstru_thai/research/fileresearch /0_040712_143114.pdf ประภัสรา โคตะขุน “รูปแบบการสอนแบบตา่ งๆ” ”[ออนไลน]์ , 20 เมษายน 2558. แหลง่ ทมี่ า https://sites.google.com/site/prapasara/15-1 มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร.์ (2552). รายงานวจิ ัยโครงการวจิ ัยการจัดองค์ ความรู้การใชว้ สั ดกุ อ่ สร้างพืน้ ถิน่ และเทคโนโลยกี ารกอ่ สร้างในพื้นทภ่ี าคเหนอื ตอนบน. ม.ป.ท. : ม.ป.พ. ยาใจ พงษ์บรบิ รู ณ.์ 2553. การศกึ ษาแบบกรณศี ึกษา : Case Study. วารสารศกึ ษาศาสตร์ ฉบบั วิจยั บัณฑติ ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 33(4): 42-50. วลั ลภา เทพหัสดนิ ณ อยุธยา. “การวิจยั ในชัน้ เรียน”[ออนไลน]์ , 18 มิถนุ ายน 2557. แหล่งท่มี า www.nrru.ac.th/rdi/file_mineclass/mineclass_file_2.pdf

ช่ือเร่ือง / แนวปฏิบัติที่ดี : การบริหารจัดการการฝกงานของนักศึกษาดวยระบบ Internship Management (IM) ชอื่ -นามสกุล ผูน ําเสนอ : นางสาวจฑุ าทิพย ดาํ มาก ชอื่ สถาบนั การศึกษา : มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ัย หนวยงาน : คณะครศุ าสตรอุตสาหกรรม เบอรโทรศัพทมือถือ : 093-581-7502 เบอรโทรสาร : 0 7431 7181 E-Mail address : [email protected] -1-


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook