Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อนาคตศึกษา

อนาคตศึกษา

Published by educat tion, 2021-04-16 02:15:12

Description: Future_Studies

Search

Read the Text Version

อนาคตศึกษา | 86 ทฤษฎกี ารเปลี่ยนแปลง เนอื้ หาขา้ งตน้ อธบิ ายแนวคดิ พน้ื ฐานเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลง แตก่ ารวเิ คราะหภ์ าพอนาคตและการคาด การณเ์ ชงิ ยทุ ธศาสตร์ จำ� เปน็ ตอ้ งพงึ่ ทฤษฎบี างประการทอี่ ธบิ ายการเปลย่ี นแปลงในดา้ นตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มากอ่ นในอดตี แลว้ นำ� ทฤษฎนี น้ั มาเปน็ กรอบในการคาดการณภ์ าพอนาคต นกั อนาคตศาสตรท์ ผี่ า่ นมา ประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎีการเปล่ยี นแปลงจากหลายศาสตร์ นับตัง้ แตว่ ทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ เชน่ ฟิสิกส์ เคมี และชีววทิ ยา ไปจนถงึ ทฤษฎีด้านสังคมศาสตร์และจิตวทิ ยา ทฤษฎีการเปลีย่ นแปลงแนววิทยาศาสตร์ มกั ใชก้ บั การพยากรณอ์ นาคตของเทคโนโลยแี ละระบบตา่ ง ๆ โดยเนน้ ความเปน็ วตั ถวุ สิ ยั (objectivity) ของการวเิ คราะห์ สว่ นทฤษฎดี า้ นสงั คมศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยามกั ใชเ้ ปน็ กรอบวเิ คราะหก์ ารเปลยี่ นแปลง ทม่ี าจากความเปน็ อตั วสิ ยั ของคนในสงั คม เชน่ คณุ คา่ และความเชอื่ ทฤษฎกี ารเปลยี่ นแปลงมผี ลตอ่ วธิ ี การทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหภ์ าพอนาคต ซง่ึ สามารถประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ามสถานการณแ์ ละเงอื่ นไขทเ่ี หมาะสมได้ ทฤษฎกี ารเปลยี่ นแปลงในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มทฤษฎีส�ำคัญท่ีเป็นพ้ืนฐานการวิเคราะห์การเปล่ียนแปลงท่ีใช้คาดการณ์อนาคตคือทฤษฎีจาก วิทยาศาสตร์กายภาพหรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (physical/natural sciences) โดยเฉพาะทฤษฎี ฟิสิกส์ ทฤษฎีกลุ่มน้ีเน้นเน้นสภาพวัตถุวิสัยของปรากฏการณ์และส่ิงต่าง ๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ เรมิ่ ตงั้ แตก่ ารวเิ คราะหแ์ บบฟสิ กิ สข์ องไอแซก นวิ ตนั (Isaac Newton) ซงึ่ เนน้ แสดง ภาพแบบยอ่ สว่ น (reductionism) และกลไก (mechanics) ของสาเหตุและผลลพั ธ์ โดยมักใช้ในการ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของระบบท่ีมีความซับซ้อน กรอบแนวคิดแบบนิวตันกลายเป็นพื้นฐานของ การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานาน และมีอิทธิพลต่อสังคมศาสตร์หลายสาขา โดยเฉพาะ เศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงแบบนิวตันได้รับการประยุกต์ใช้ในการคาดการณ์อนาคต โดย ยึดหลักการพื้นฐานท่ีว่า นักวิเคราะห์สามารถพยากรณ์เหตุการณ์หรือการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนใน อนาคต ถ้าสามารถทราบถึงกลไกของความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล หรือสาเหตุกับผลลัพธ์ได้ ภาย ใต้ข้อสมมติว่าความสัมพันธ์นั้นจะยังคงมีอยู่ต่อไปในลักษณะเดิม การพยากรณ์ตามแนวคิดน้ีมุ่งสร้าง ความแมน่ ยำ� ของการพยากรณใ์ หไ้ ด้มากท่ีสุด แนวคิดฟิสิกส์ในยุคต่อมาได้ท้าทายกระบวนทัศน์แบบนิวตัน หนึ่งในน้ันคือทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relativity) ของอัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ ทฤษฎนี ไี้ ดข้ ยายพรมแดนความรเู้ ก่ียวกับความจรงิ ที่เก่ยี วโยงกับ

87 | อนาคตศึกษา เวลาและพน้ื ที่ (time and space) โดยลม้ ลา้ งความคดิ ทมี่ มี าแตเ่ ดมิ วา่ เวลาเปน็ สง่ิ ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งวตั ถวุ สิ ยั และเหมือนกนั สำ� หรบั ทุกคน และแยกออกจากพ้นื ทีไ่ ด้ อกี แนวคดิ หน่งึ ที่ทา้ ทายการมองความจริงแบบ หนงึ่ เดยี วคอื แนวคดิ ฟสิ กิ สค์ วอนตมั ซง่ึ ไดก้ อ่ รา่ งขนึ้ มาอยา่ งชดั เจนในชว่ งตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 ทฤษฎี ควอนตัมได้ท้าทายข้อสมมติแต่เดิมเก่ียวกับมุมมองว่าด้วยวัตถุวิสัยของความจริง งานวิจัยจ�ำนวนมาก ได้พยายามพิสูจน์และค้นหาหลักฐานท่ีสนับสนุนหรือหักล้างทฤษฎีดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ บทความที่ ตีพมิ พใ์ นวารสาร Science Advances เม่ือเดอื นกันยายน พ.ศ.2562 ทีผ่ ่านมา34 ซ่งึ แสดงให้เห็นว่า ในโลกระดบั จุลภาคท่ปี ระกอบดว้ ยอะตอมและอนภุ าค ซงึ่ ปฏิกิริยาต่าง ๆ ก�ำหนดโดยกลศาสตร์ควอน ตมั (quantum mechanics) คนสองคนสามารถสงั เกตปรากฏการณเ์ ดยี วกนั แต่เหน็ เปน็ ขอ้ เท็จจริง ที่แตกต่างกนั ได้ กล่าวคอื สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ ขอ้ เท็จจริงนน้ั สามารถมคี วามเปน็ อตั วสิ ยั ได้ ทั้งทฤษฎสี มั พัทธ ภาพและทฤษฏีควอนตัมสอดคล้องกับกระบวนทัศน์ของอนาคตศึกษาในยุคทศวรรษที่ 1970 เป็นต้น มาท่ีมองอนาคตเปน็ พหพู จน์ และไม่ได้มอี ย่หู น่งึ เดยี ว อกี ทั้งยังเปน็ อนาคตทีเ่ ปน็ อัตวิสยั และขน้ึ อย่กู ับ มมุ มองของแต่ละคนหรือกล่มุ คน ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กับทฤษฎีควอนตัมอาจดูเหมือนห่างไกลเกินกว่าท่ีจะน�ำมาใช้ ในการคาดการณ์อนาคต แต่การมองอนาคตด้วยมิติเวลาท่ีแตกต่างจากเดิม อาจเปิดโอกาสให้ผู้เข้า รว่ มกระบวนการคาดการณอ์ นาคตสามารถจินตนาการความเปน็ ไปไดอ้ ่นื ๆ ทแ่ี ตกตา่ งจากภาพเดมิ ได้ ตัวอย่างเช่น ในโครงการมองภาพอนาคตของ Army Medical Department ของสหรัฐอเมริกา ซงึ่ ดำ� เนนิ กระบวนการโดย Institute for Alternative Futures ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ ไดล้ องใชแ้ นวคดิ เกย่ี ว กับเวลาที่ต้ังอยู่บนฐานทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์ไตน์ และได้สร้างภาพอนาคตที่ต้ังอยู่บนข้อสมมติ ว่า คนรุ่นใหม่มีความคิดเก่ียวกับเวลาและมีปฏิสัมพันธ์กับเวลาในรูปแบบท่ีแตกต่างจากคนรุ่นก่อน35 เทคโนโลยใี หม่ ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ไมเ่ พยี งแตเ่ ปดิ โอกาสใหค้ นร่นุ ใหมส่ ามารถใช้เวลาในรปู แบบที่แตกต่างคนรุ่นก่อนเท่าน้ัน แต่อาจท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงในโครงสร้างของสมองและระบบ ประสาทของคนรุ่นใหมด่ ้วยกเ็ ปน็ ได้ ตวั อยา่ งนีแ้ สดงให้เหน็ วา่ ทฤษฎพี ้ืนฐานจากฟิสกิ ส์สามารถนำ� มา ใชเ้ ปน็ ฐานความคดิ ในการมองอนาคตทแี่ ตกต่างจากเดมิ ได้ ความท้าทายหนึ่งของการคาดการณ์อนาคตคือการจินตนาการภาพอนาคตท่ีหลุดออกจากกรอบ ความคิดที่มีอยู่แต่เดิม ขั้นตอนส�ำคัญในช่วงแรกของกระบวนการคาดการณ์จึงอยู่ท่ีการโน้มน้าวความ คดิ ของผเู้ ขา้ รว่ มกระบวนการให้กา้ วพน้ กระบวนทศั นเ์ ดิมทท่ี �ำใหไ้ มส่ ามารถมองเหน็ ภาพใหม่ขน้ึ ได้ ทฤษฎีความซบั ซอ้ น นบั ตง้ั แตท่ ศวรรษ 1970 เปน็ ตน้ มา ศาสตรด์ า้ นการศกึ ษาอนาคตมวี วิ ฒั นาการไปตามกระบวนทศั นเ์ กยี่ ว กบั อนาคตทปี่ รบั เปลย่ี นไป จากทแ่ี ตเ่ ดมิ มองวา่ อนาคตเปน็ ผลลพั ธส์ บื เนอ่ื งจากอดตี เปน็ อนาคตทมี่ ที าง เลอื กและเปดิ กวา้ งมากขน้ึ ทฤษฎวี ทิ ยาศาสตรส์ ำ� คญั ทพ่ี ฒั นาเปน็ พน้ื ฐานของการศกึ ษาอนาคตในชว่ งดงั กลา่ วคอื แนวคดิ โครงสรา้ งแบบกระจาย (dissipative structure) ของอลิ ยา พรโิ กกนี (Ilya Prigogine) นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวเบลเยยี มทไี่ ดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาเคมใี นพ.ศ. 2520 ทฤษฎโี ครงสรา้ งแบบกระจาย เปน็ พน้ื ฐานของงานวจิ ยั เกย่ี วกบั ระบบจดั การตนเอง (self-organizing systems) ซง่ึ อธบิ ายปรากฏการณ์ ตา่ ง ๆ ดว้ ยปจั จยั ทม่ี ากกวา่ กลไกแบบสาเหตแุ ละผลลพั ธ์ (cause-effect mechanism) ธรรมดา โดยเพมิ่

อนาคตศกึ ษา | 88 การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ จากความบงั เอญิ (chance) และความอลวนหรอื เคออส (chaos) ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความ ซบั ซอ้ น (complexity) ในระบบตา่ ง ๆ ทฤษฎนี เี้ สนอวา่ ระบบปดิ (closed systems) ซงึ่ มคี ณุ ลกั ษณะ ทเี่ ปน็ ไปตามกฎฟสิ กิ สแ์ บบนวิ ตนั สามารถคงอยไู่ ดไ้ ปพรอ้ มกบั ระบบเปดิ (open systems) ทเ่ี อนโทรปี (entropy) นำ� ไปสสู่ ภาวะเคออส และท�ำให้เกิดระบบที่มีศักย์สูงกว่า (higher order systems) ระบบ ทมี่ คี วามซบั ซอ้ นสงู นอ้ี อ่ นไหวตอ่ เงอ่ื นไขตงั้ ตน้ (initial conditions) มาก กลา่ วคอื คา่ ตงั้ ตน้ เปลย่ี นแปลง เพยี งเล็กน้อย ก็อาจขยายผลทำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขนาดใหญ่ได้ แนวคดิ เคออสและความซบั ซอ้ นของระบบไดก้ ลายเปน็ ทฤษฎสี ำ� คญั ทนี่ กั อนาคตศาสตรใ์ ชอ้ ธบิ าย การเปลยี่ นแปลงดา้ นทน่ี ำ� ไปสภู่ าพอนาคตทแ่ี ตกตา่ งไปอยา่ งมากจากภาพและแนวโนม้ ในปจั จบุ นั งาน คาดการณภ์ าพอนาคตจำ� นวนมากไดใ้ ชก้ รอบแนวคดิ ระบบทซี่ บั ซอ้ น เปดิ กวา้ งและมวี วิ ฒั นาการอยเู่ สมอ ความทา้ ทายของการวางแผนในยคุ แห่งความไมแ่ นน่ อน แนวคิดกระแสหลกั ในหมู่นักอนาคตศาสตร์ในปัจจุบนั คอื เราไม่สามารถทำ� นายอนาคตได้ แตส่ ามารถ คาดการณ์ว่าภาพอนาคตทางเลือกใดบ้างที่น่าจะเกิดขึ้นได้ แล้วน�ำภาพเหล่านั้นมาวางแผนต่อ แต่ องค์กรจ�ำนวนมากยังคงใช้แนวคิดและวิธีการวางแผนแบบเดิมที่ต้ังอยู่บนข้อสมมติว่า อนาคตจะเป็น ไปอย่างทเี่ คยเป็นมาในอดตี และสามารถทำ� นายได้ ความไม่แน่นอนของอนาคตกบั การวางแผนจึงดู เหมือนเป็นสองสง่ิ ทข่ี ดั แยง้ กัน ระบบซบั ซอ้ น (complex systems) เป็นแนวคดิ หน่ึงท่ใี ชใ้ นการท�ำความเข้าใจเกย่ี วกบั ความไม่ แน่นอน แนวคิดนี้ช่วยให้นักวางแผนสามารถทำ� ความเข้าใจได้ว่า ปรากฏการณ์หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ในระบบทีซ่ บั ซอ้ นเกิดขึ้นและมปี ฏสิ มั พันธ์กันอย่างไร ตวั อยา่ งของระบบซบั ซอ้ นมเี หน็ อยู่ทวั่ ไป นับ ต้ังแต่รังมด ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ไปจนถึงตลาดหุ้นระดับโลก เป็นต้น ระบบซับซ้อนเหล่าน้ีมี คุณลกั ษณะพิเศษ ได้แก่ 1. พฤตกิ รรมกล่มุ ท่ีซบั ซอ้ น แมว้ า่ แต่ละองคป์ ระกอบยอ่ ยของระบบจะมพี ฤติกรรมที่เปน็ ไปตามกฏง่าย ๆ ไมซ่ ับซ้อน แตเ่ มือ่ องค์ประกอบเหล่านีท้ ำ� งานรว่ มกนั เปน็ ระบบใหญ่ แลว้ กลับมรี ูปแบบพฤตกิ รรมท่ที ำ� นายไดย้ าก 2. การประมวลผลและยอ้ นกลบั (feedback) ของขอ้ มลู ทใี่ ชใ้ นการตดั สนิ ใจ ทง้ั ขอ้ มลู จาก ภายในและภายนอกระบบ 3. พฤติกรรมการปรับตัว ระบบซับซ้อนจะเรียนรู้และปรับพฤติกรรมไปตามเง่ือนไขและ สภาพแวดลอ้ มทเี่ ปล่ยี นแปลงไป อนงึ่ ระบบซบั ซอ้ นในความหมายของคำ� วา่ complex แตกตา่ งจากระบบทย่ี งุ่ ยากซบั ซอ้ นในความ หมายของคำ� วา่ complicated ระบบซบั ซอ้ นในแบบหลงั สอ่ื ถงึ ความซบั ซอ้ นและยากในการทำ� ความเขา้ ใจ แตส่ ามารถแบง่ ระบบยอ่ ยลงมาเปน็ องคป์ ระกอบยอ่ ย ๆ ได้ ในทางกลบั กนั ในกรณขี องระบบซบั ซอ้ นแบบ complex นน้ั ไมส่ ามารถแบง่ องคป์ ระกอบยอ่ ยลงมาไดใ้ นลกั ษณะเดยี วกนั เพราะบางองคป์ ระกอบอาจมี พลวตั และปรบั เปลย่ี นตวั เองไปแลว้ ตามสภาพแวดลอ้ มและเงอ่ื นไขทเี่ ปลย่ี นไป ระบบทมี่ คี ณุ ลกั ษณะซบั ซอ้ น และปรบั ตวั ไดเ้ ชน่ นท้ี ำ� ใหก้ ารทำ� นายหรอื พยากรณอ์ นาคตเปน็ ไปไดย้ าก กรอบแนวคดิ และเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการ ทำ� ความเขา้ ใจในอนาคตของระบบดงั กลา่ วจงึ ตอ้ งแตกตา่ งจากการทำ� ความเขา้ ใจในระบบซบั ซอ้ นแบบสถติ

89 | อนาคตศึกษา การวางแผนยทุ ธศาสตรใ์ นบรบิ ทเดมิ ทผี่ า่ นมาตง้ั อยบู่ นฐานความคดิ ทว่ี า่ อนาคตเปน็ การตอ่ แนวโนม้ จากปจั จบุ นั แตใ่ นบรบิ ททมี่ คี วามซบั ซอ้ นและความไมแ่ นน่ อนสงู ขอ้ สมมตดิ งั กลา่ วไมส่ ามารถใชไ้ ดอ้ กี ตอ่ ไป ในโลกของการเปลย่ี นแปลง การวางแผนในยคุ ตอ่ จากนไ้ี ปตอ้ งจดั การกบั ความซบั ซอ้ นและความไมแ่ นน่ อน เปา้ หมายของการวางแผนและการตดั สนิ ใจในเชงิ นโยบายในโลกทซ่ี บั ซอ้ นและเชอื่ มตอ่ กนั หมดเชน่ น้ี คอื การ คน้ หาทางออกทบี่ รรลเุ ปา้ หมายและไดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งรวดเรว็ ในระยะสนั้ พรอ้ มกบั เลย่ี งการกระทำ� ทจ่ี ะทำ� ให้ เกดิ ผลลพั ธท์ ไี่ มพ่ งึ ประสงคใ์ นระยะยาว ดงั นน้ั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวเิ คราะหเ์ พอ่ื การวางแผนไมไ่ ดอ้ ยตู่ รง ทกี่ ารหาทางออกทดี่ ที สี่ ดุ (optimal) แตอ่ ยทู่ ก่ี ารลดความไมแ่ นน่ อนและความเสย่ี งทเี่ กดิ จากการตดั สนิ ใจ ตวั อยา่ งสำ� คญั ทใ่ี ชแ้ นวคดิ ระบบซบั ซอ้ นในการคาดการณเ์ ชงิ ยทุ ธศาสตรค์ อื โครงการวจิ ยั ระบบโรค อว้ น (obesity system) โดยแผนงาน Foresight Programme ของส�ำนกั งานวทิ ยาศาสตรแ์ หง่ รัฐบาล สหราชอาณาจกั ร (UK Government Office for Science)36 โครงการดงั กลา่ วไดใ้ ชก้ ระบวนการมสี ว่ น รว่ มกบั ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี จากภาคสว่ นตา่ ง ๆ ในการพฒั นาผงั ระบบความอว้ น (Obesity System Map) ทีเ่ ป็นแบบจ�ำลองแนวคดิ เชงิ คุณภาพ (qualitative, conceptual model) ทม่ี ีตวั แปร 108 ปจั จัย ซ่ึง แบง่ ออกเป็น 7 กล่มุ ต้งั แตก่ ลุม่ ตัวแปรในด้านการผลิตอาหาร ไปจนถงึ ปัจจัยด้านสรีรวิทยา การสรา้ ง ผงั ระบบดงั กลา่ วเปน็ พนื้ ฐานของการวเิ คราะหภ์ าพอนาคตและนโยบายทางเลอื กในการปอ้ งกนั และลด ปัญหาโรคอว้ นของรฐั บาลอังกฤษในชว่ งต่อมา ทฤษฎวี วิ ฒั นาการ อีกทฤษฎีหนึ่งท่ีอธิบายการเปลี่ยนแปลงในระบบต่าง ๆ คือทฤษฎีวิวัฒนาการ ซ่ึงมีจุดเร่ิมต้นมาจาก แนวคิดวิวัฒนาการด้วยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ที่เสนอโดยชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) และอลั เฟรด รสั เซล วอลลัส (Alfred Russel Wallace) ในชว่ งกลางศตวรรษท่ี 19 สาระพื้นฐานของแนวคิดวิวัฒนาการคือการเปล่ียนแปลงของคุณลักษณะของสปีชีส์ในช่วงหลาย ช่วงอายุ โดยผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ปัจเจกท่ีสามารถปรับตัวได้ตามเง่ือนไขและส่ิง แวดลอ้ มทป่ี รบั เปลย่ี นไปจะสามารถเอาตวั รอดได้ โดยแพรข่ ยายพนั ธแ์ุ ละถา่ ยทอดยนี ของตนเองใหก้ บั ลูกหลานตอ่ ไป ในขณะทีป่ ัจเจกทไี่ ม่สามารถปรบั ตวั ได้ ก็ตอ้ งลม้ หายตายจากไป และไม่มีการถา่ ยทอด ยีนสว่ นทดี่ อ้ ยกว่าต่อไป ทฤษฎีวิวัฒนาการเองก็มีวิวัฒนาการเร่ือยมา จนมาถึงในยุคหลังที่มีข้อเสนอในกลุ่มชีววิทยา พฒั นาการเชงิ ววิ ฒั นาการ (evolutionary developmental biology) หรอื ทเ่ี รยี กโดยยอ่ วา่ evo-devo ทเี่ นน้ วา่ การเปลีย่ นแปลงระหวา่ งรนุ่ ทเี่ รยี กวา่ ววิ ัฒนาการ (evolution) นนั้ เปน็ ผลมาจากรปู แบบการ เปลยี่ นแปลงภายในส่งิ มชี วี ิตแต่ละประเภทในแตล่ ะรุ่น หรอื ที่เรียกว่าพัฒนาการ (development) นกั อนาคตศาสตรห์ ลายคนไดป้ ระยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎวี วิ ฒั นาการในการมองภาพอนาคต หนงึ่ ในนน้ั คอื โยนาส ซอลค์ (Jonas Salk) ซง่ึ เสนอวา่ แรงผลกั ดนั การเปลยี่ นแปลงแบบววิ ฒั นาการคอื การเตมิ เตม็ ของ ส่ิงตรงกันขา้ ม (opposed complementarity) โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนโดยการเคลอ่ื นที่ระหว่าง ขวั้ ต่างสองขั้ว37 สำ� หรับงานดา้ นอนาคตศกึ ษา ววิ ัฒนาการเกดิ ขึ้นจากปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างขวั้ ของความ จรงิ ที่รับรู้อยใู่ นปัจจุบนั (perceived reality) กับวสิ ยั ทศั น์ของอนาคตในอุดมคติ (idealized future) กระบวนการสร้างการเปล่ียนแปลงภายในองค์กร ในพื้นที่หรือประเทศ นัยหนึ่งก็คือการจัดการกับ แรงดงึ ดูดและความตงึ เครยี ดระหวา่ งข้วั ต่าง ๆ

อนาคตศึกษา | 90 แนวคิดและวิธีการหน่ึงท่ีนิยมใช้ในการคาดการณ์เชิงยุทธศาสตร์คืออนาคตเชิงปรารถนา (aspirational futures) ซง่ึ เสนอโดย Institute for Alternative Futures แนวคดิ นเ้ี สนอกระบวนการ คน้ หาและวเิ คราะหค์ ณุ คา่ เบอื้ งลกึ ของสงั คมหรอื องคก์ ร แลว้ ฉายภาพนน้ั ไปยงั อนาคต เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ ตงึ เครยี ด (tension) ระหวา่ งภาพทพี่ งึ ประสงคก์ บั ภาพความจรงิ ในปจั จบุ นั จากนนั้ จงึ สรา้ งเสน้ ทางของ การเปลย่ี นแปลงเชงิ วิวฒั นาการไปยังอนาคตตอ่ ไป ววิ ัฒนาการแบบดลุ ยภาพเป็นช่วง ๆ ในปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติแต่ดั้งเดิม วิวัฒนาการเกิดข้ึนอย่างช้า ๆ ตามสัจพจน์ (axiom) “Natura non facit saltus” ในภาษาละตนิ 38 ซงึ่ แปลวา่ ธรรมชาติไม่กระโดด หลักการดงั กลา่ วถือวา่ ส่ิงและ คณุ ลักษณะต่าง ๆ ในธรรมชาติเปลยี่ นแปลงไปทลี ะเล็กทีละน้อย ไม่ทันทีทันใด นยั ทางคณิตศาสตร์ คอื ววิ ฒั นาการเปน็ การเปลย่ี นแปลงแบบต่อเน่อื ง (continuous) ไม่ได้เป็นแบบไมต่ อ่ เนอ่ื ง (discrete) หลักการนี้เป็นพื้นฐานทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ซ่ึงเช่ือว่า ทุกสปีชีส์มีวิวัฒนาการมาจาก สปีชีส์ก่อนหน้าน้นั อย่างคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป ทลี ะเลก็ ทีละนอ้ ย ไมไ่ ด้เป็นสปีชีส์ทเี่ กิดข้ึนใหมอ่ ย่างฉบั พลนั อย่างไรก็ตาม ตามกระบวนทัศน์ในสาขาชีววิทยาวิวัฒนาการในปัจจุบันยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลง ด้านชีววิทยามที ัง้ การเปล่ยี นแปลงอย่างต่อเน่อื ง เชน่ การแปรผนั ทางพนั ธุกรรม (genetic drift) และ การพลกั ผันอยา่ งฉบั พลนั เชน่ การผา่ เหล่าหรือมิวเทชัน (mutation) เนื่องจากโครงสร้างพ้นื ฐานของ พนั ธุกรรมในดีเอน็ เอมลี กั ษณะแบบไมต่ ่อเนือ่ ง การเปล่ียนแปลงของธรรมชาติจึงเปน็ แบบกา้ วกระโดด ในระดับชีววิทยา (biological level) แม้วา่ ในปรมิ าณท่ีเลก็ มากก็ตาม แนวคดิ ววิ ฒั นาการแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป (phyletic gradualism) ซงึ่ เปน็ พนื้ ฐานทฤษฎวี วิ ฒั นาการ ของดาร์วินจึงถูกแทนที่ในช่วงหลังโดยทฤษฎีวิวัฒนาการแบบดุลยภาพเป็นช่วง ๆ (punctuated equilibrium) ซ่ึงเสนอว่า วิวัฒนาการประกอบด้วยช่วงเวลาระยะยาวท่ีไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือ เปลยี่ นแปลงเพยี งเลก็ นอ้ ย ตามดว้ ยชว่ งการเปลยี่ นแปลงอยา่ งกา้ วกระโดดในระยะเวลาสน้ั ๆ นกั บรรพ ชวี ินวทิ ยาชาวอเมรกิ ันชื่อไนลส์ เอลเดร็จ (Niles Eldredge) และสตเี ฟน เจ กูล (Stephen J Gould) ได้ตีพิมพ์บทความที่เสนอแนวคิดน้ีในพ.ศ.2515 โดยเสนอว่า การเปล่ียนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (gradualism) ทีเ่ ปน็ พนื้ ฐานของทฤษฎวี วิ ฒั นาการของดารว์ ินไม่พบในหลักฐานทางฟอสซลิ แมว้ า่ นกั วทิ ยาศาสตรย์ งั คงวจิ ยั และถกเถยี งกนั อยจู่ นถงึ ปจั จบุ นั วา่ รปู แบบววิ ฒั นาการของสปชี สี ์ ตา่ ง ๆ แทจ้ ริงแลว้ แตกตา่ งกนั อย่างไร แต่ทฤษฎหี ลกั ก็ยังคงเป็นววิ ัฒนาการแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไปและ แบบแบบดลุ ยภาพเปน็ ชว่ ง ๆ ทง้ั น้ี ขอ้ เสนอหลักประการหนง่ึ คอื รูปแบบวิวฒั นาการของสปีชีสห์ นึง่ อาจเปน็ แบบใดแบบหนง่ึ หรอื อาจมที ัง้ สองแบบ โดยวิวฒั นาการในระยะยาวมกั เป็นแบบค่อยเป็นค่อย ไป และววิ ฒั นาการในระยะสั้นมกั เปน็ แบบดุลยภาพเป็นชว่ ง ๆ39 ในววิ ฒั นาการแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป การคดั เลอื กและการแปรผนั (variation) เกดิ ขนึ้ ทลี ะเลก็ ทลี ะ นอ้ ย จงึ ไมส่ ามารถสงั เกตเหน็ ไดใ้ นระยะเวลาสนั้ ๆ องคป์ ระกอบของสง่ิ มชี วี ติ จะผนั แปรเพยี งเลก็ นอ้ ยไป ตามสง่ิ แวดลอ้ มรอบขา้ ง คนหรอื สง่ิ มชี วี ติ ตวั ไหนทมี่ คี ณุ ลกั ษณะทเี่ ปน็ ประโยชนก์ จ็ ะอยรู่ อด ในขณะทค่ี น อนื่ หรอื ตวั อนื่ ทไ่ี มม่ คี ณุ ลกั ษณะนน้ั หรอื มอี ยนู่ อ้ ยกจ็ ะลม้ หายตายจากไป ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ยในระยะยาว ประชากรของสปชี ีสน์ ้นั กจ็ ะเปลีย่ นแปลงไป การเปลี่ยนแปลงมกั เกดิ ข้นี อยา่ งช้า ๆ คงท่ี และสมำ่� เสมอ

91 | อนาคตศึกษา สำ� หรบั ววิ ฒั นาการแบบดลุ ยภาพเปน็ ชว่ ง ๆ นน้ั ในชว่ งเวลาระยะหนง่ึ ทเ่ี ปน็ สภาพเสถยี ร (stasis) แทบไมเ่ กดิ การเปลย่ี นแปลงของสณั ฐาน (morphology) ของสง่ิ มชี วี ติ นนั้ ตอ่ มาในชว่ งระยะเวลาสน้ั ๆ กลบั มกี ารเปลย่ี นแปลงครง้ั ใหญป่ ะทขุ นึ้ ซงึ่ ทำ� ใหเ้ กดิ การผา่ เหลา่ ของยนี ของคนบางคนหรอื สตั วบ์ างตวั ท่ีไม่ได้เป็นการสืบทอดทางดีเอ็นเอมาจากยุคก่อนหน้าน้ัน ผลลัพธ์ของการผ่าเหล่าน้ีจะสืบทอด ต่อไปยังรุ่นหลังต่อมาจนน�ำไปสู่วิวัฒนาการแบบแยกสาย (cladogenesis) (แผนภาพท่ี 4) แม้ว่าคุณลักษณะใหม่จากการผ่าเหล่าบางอย่างอาจไม่เป็นผลดีต่อคนคนน้ันหรือสัตว์ตัวนั้น แต่ บางอย่างอาจเป็นผลดีท่ีท�ำให้สามารถปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมได้ เนื่องจากคุณลักษณะใหม่น้ีมักมี ผลกระทบอย่างมากต่อการอยู่รอดของคนหรือสัตว์ในสปีชีส์นั้น การเปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่แต่ละคร้ัง จะท�ำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในสัดส่วนของกลุ่มคนหรือสัตว์ท่ีมีคุณลักษณะดังกล่าวกับกลุ่มท่ี ไมม่ ี และเกิดข้นึ ในระยะเวลาสัน้ ภายในชว่ งเวลาเพยี งไมก่ ี่ช่ัวอายุ หลงั จากนนั้ ก็จะเข้าสชู่ ่วงดลุ ยภาพ ท่มี กี ารเปล่ยี นแปลงนอ้ ย วิวัฒนาการแบบดุลยภาพเปน็ ช่วง ๆ น้ีอาจเกิดจากการผา่ เหล่าของยนี หรอื อาจเกิดจากปัจจัยอ่ืน เช่นการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่และอย่างรวดเร็วของส่ิงแวดล้อมที่ท�ำให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงอยา่ งมากทัง้ ในระดบั พฤติกรรมและองค์ประกอบรา่ งกายของสิ่งมีชีวติ น้นั รแปูผแนบภบาพวิวทัฒี่ 4นาการ

อนาคตศึกษา | 92 นักสังคมศาสตร์ในช่วงต่อมาได้น�ำทฤษฎีวิวัฒนาการแบบดุลยภาพเป็นช่วง ๆ มาประยุกต์ใช้ อธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงของระบบสังคมท่ีซับซ้อน โดยเสนอว่า ระบบสังคมโดยมากมักอยู่ ในสภาพหยุดนง่ิ (stasis) ในชว่ งระยะเวลาหนงึ่ แลว้ จงึ เกิดการเปล่ียนแปลงพลิกผนั อยา่ งรวดเร็วใน ชว่ งระยะเวลาสนั้ งานวิจยั ด้านสงั คมศาสตร์ทีใ่ ช้กรอบแนวคดิ นม้ี ที ้ังงานศึกษาการเปล่ยี นแปลงด้าน นโยบาย40 และววิ ัฒนาการของความขัดแยง้ 41 นกั อนาคตศาสตรไ์ ด้นำ� แนวคดิ นม้ี าประยุกต์ใช้ในการคาดการณอ์ นาคตเชน่ กนั ปเี ตอร์ บิชอบ (Peter Bishop) และแอนด้ี ไฮนส์ (Andy Hines) เรยี กชว่ งเวลาทมี่ ีการเปล่ียนแปลงน้อยหรือช่วง ดลุ ยภาพวา่ เปน็ “ยุคสมัย” (era) ตามท่นี กั ประวัตศิ าสตรม์ ักใชก้ นั อยทู่ ่วั ไป เช่น ยุคสงครามเย็น ยคุ เศรษฐกจิ ตกตำ่� ครง้ั ใหญ่ (Great Depression) และยคุ การฟน้ื ฟศู ลิ ปวทิ ยา (Renaissance)42 ชว่ งเวลา ในยคุ เหลา่ นม้ี คี ณุ ลกั ษณะเฉพาะตวั ทแี่ ตกตา่ งจากยคุ กอ่ นหนา้ นนั้ และมกั มเี หตกุ ารณท์ เี่ ปน็ หมดุ หมาย ของการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันท้งั กอ่ นหนา้ และภายหลังยคุ นนั้ ช่วงเวลาระหวา่ งยุคสมัยเรยี กว่า ช่วงเปล่ียนผ่าน (transitions) ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและพลิกผัน โดยอาจเกิด จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนาและแพร่ขยายของเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเติบโต ตกตำ่� หรือผันผวนทางเศรษฐกจิ ความขัดแย้งทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ไปจนถึงวิกฤตการณ์ด้านส่ิงแวดล้อม ภัยพิบัติและโรคระบาดคร้ังใหญ่ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นใน ชว่ งเปลย่ี นผ่านท้ายท่สี ดุ จะน�ำไปสู่สภาวะใหมท่ แี่ ตกต่างจากเดิม และเปน็ จุดเริม่ ต้นของยคุ สมยั ใหม่ โจทยแ์ ละความท้าทายของการคาดการณ์จึงอยทู่ ี่การวเิ คราะหว์ ่า สภาพทเ่ี กิดขึ้นในปัจจบุ ันนน้ั อยู่ในชว่ งดลุ ยภาพของยคุ สมยั หน่งึ หรอื แท้จริงแลว้ ก�ำลังอยูใ่ นชว่ งเปลย่ี นผา่ น และชว่ งเวลาดงั กลา่ ว จะคงอยู่นานเทา่ ไหร่ เนอ่ื งจากตามนิยามแลว้ ช่วงเปล่ยี นผา่ นมกี ารเปลี่ยนแปลงมาก จึงมคี วามไม่ แน่นอนสูงและยากต่อการคาดการณ์ได้อย่างแม่นย�ำ อีกทั้งยังยากที่จะด�ำเนินการตามแผนได้อย่าง ทีต่ ้องการ แต่น่ันก็คือวตั ถุประสงคแ์ ละประโยชนห์ ลกั ของการคาดการณ์ กล่าวคอื ในช่วงท่ไี มม่ กี าร เปลย่ี นแปลงมาก วตั ถปุ ระสงคข์ องการคาดการณค์ อื เพอื่ วเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ ภาพอนาคตของสญั ญาณหรอื ปจั จยั ทอ่ี าจสรา้ งความเปลยี่ นแปลงพลกิ ผนั ในชว่ งเปลย่ี นผา่ นเมอื่ ภาวะดลุ ยภาพเรมิ่ จบลง แตถ่ า้ หาก อยใู่ นชว่ งเปลย่ี นผา่ น วตั ถปุ ระสงคข์ องการคาดการณค์ อื เพอ่ื วเิ คราะหภ์ าพอนาคตทางเลอื กของยคุ สมยั ใหม่ท่ีนา่ จะเกดิ ข้นึ ได้หลังจากผ่านชว่ งเปล่ยี นผ่านไปแลว้ ไม่วา่ จะเปน็ ช่วงใดกต็ าม วัตถปุ ระสงค์หลัก ของการคาดการณ์คือเพ่ือเตรียมพรอ้ มรับมือกบั การเปลย่ี นแปลงท่ีจะเกดิ ขึ้นในอนาคต ทฤษฎจี ิตวิทยาพัฒนาการ อกี กลมุ่ หนง่ึ ของทฤษฎกี ารเปลย่ี นแปลงทมี่ ผี ลตอ่ กรอบแนวคดิ และวธิ กี ารดา้ นอนาคตศกึ ษาคอื ทฤษฎี จติ วทิ ยาพฒั นาการ (development psychology) ทฤษฎกี ลมุ่ นมี้ กั ใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานของการทำ� นายวา่ สงั คมมนษุ ยจ์ ะมวี วิ ฒั นาการไปตามพลวตั ทเี่ กดิ ขนึ้ จากปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งศกั ยภาพของระบบประสาท มนุษยท์ ี่มมี าแต่กำ� เนดิ กบั ปัญหาทต่ี อ้ งประสบและแกไ้ ขในช่วงชีวิตของแตล่ ะคน ทฤษฎีหลักในกลุ่มแนวคิดน้ีคือทฤษฎีเกลียวพลวัต (Spiral Dynamics theory) ซึ่งพัฒนามา จากทฤษฎี Emergent Cyclical Levels of Existence Theory ท่เี สนอโดยนกั จติ วิทยาชาวอเมรกิ นั

93 | อนาคตศึกษา ชื่อแคลร์ เกรฟส์ (Clare Graves) ในช่วงทศวรรษ 1950-60 สาระหลักของทฤษฎนี คี้ อื มนษุ ย์ไม่ได้มี ววิ ฒั นาการมาเฉพาะในดา้ นกายภาพ แตร่ วมไปถงึ ดา้ นสงั คมและดา้ นจติ วทิ ยา ทง้ั นี้ จติ วทิ ยาของมนษุ ย์ มีวิวัฒนาการผ่านกระบวนการที่ท้ังแบบค่อย ๆ คลี่คลายออกมา (unfolding) แบบปรากฏตัวขึ้นมา อยากปจั จบุ นั ทนั ด่วน (emergent) แบบเหวีย่ งกลับไปกลบั มา (oscillating) และแบบเคลื่อนทีเ่ ปน็ เกลยี ว (spiraling) พรอ้ มกนั นี้ กม็ กี ารทดแทนระบบพฤตกิ รรมเดมิ ในระดบั ศกั ยต์ ำ่� กวา่ (lower order) ดว้ ยระบบพฤติกรรมใหม่ทม่ี ลี ำ� ดบั ศักย์สงู กว่า (higher order) เมอ่ื ปัญหาการคงอย่ขู องมนษุ ยชาตไิ ด้ เปลี่ยนไป43 ข้อสังเกตหน่ึงของทฤษฎีนี้คือ เม่ือปัญหาหรือปรากฏการณ์ในโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ไปจนถึงขนั้ หนง่ึ ความสามารถของสมองมนษุ ย์ในการรับรูจ้ ะเริ่มประสบขดี จำ� กัด ดงั น้นั สมองมนษุ ย์ จึงตอ้ งพัฒนาแบบจำ� ลองท่ีมีความซับซ้อนมากยิง่ ขึน้ เพอื่ ทำ� ความเข้าใจกับปญั หาใหม่ ๆ ทเ่ี กิดขนึ้ 44 ตามแนวคดิ “เกลยี วสองชนั้ ” (Double Helix) ของเกรฟส์ ววิ ฒั นาการเกดิ จากปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง โลกภายนอกกบั การตอบสนองของมนษุ ย์ ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ไดท้ ง้ั ในระดบั ปจั เจกบคุ คล ระดบั สงั คม และระดบั มนษุ ยชาติ เกลยี วชน้ั แรกอธบิ ายเงอื่ นไขของชวี ติ หรอื สงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ ในโลกภายนอก ทงั้ สภาพกายภาพ การเปลีย่ นแปลงดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม ระบบเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีและการเมือง ส่วนเกลียวทสี่ อง อธบิ ายสมรรถภาพของจติ ใจและระบบประสาทและการรับรขู้ องแตล่ ะคนหรอื กลมุ่ คน ในการตอบรับ และตอบสนองกบั สงิ่ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในโลกภายนอก มนษุ ยจ์ ะปรบั ตวั เขา้ กบั โลกทมี่ คี วามซบั ซอ้ นมาก ย่งิ ข้นึ ดว้ ยการปรับกระบวนทัศน์และคุณค่าของแต่ละคนตามสภาพแวดล้อมที่เปล่ยี นแปลงไป อกี ทฤษฎหี นง่ึ ในดา้ นจติ วทิ ยาทนี่ กั อนาคตศกึ ษาไดป้ ระยกุ ตใ์ ชใ้ นการคาดการณก์ ารเปลยี่ นแปลง ทางสังคมคอื แนวคดิ จติ สำ� นกึ 5 ขั้นของรอเบริ ์ต คีกัน (Robert Kegan) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1. Impulsive mind เป็นจิตส�ำนึกตามสัญชาตญาณและการรับรู้ท่ียังไม่ได้แบ่งแยก ระหว่างความจริงกับจนิ ตนาการ การรบั รูร้ อบตัวเปน็ ไปตามแรงกระตนุ้ หรือสงิ่ ดลใจ รอบตัว 2. Imperial mind เป็นจิตส�ำนึกที่เน้นความต้องการ ความสนใจและประโยชน์ของ ตนเอง มีการแบง่ แยกสงิ่ ตา่ ง ๆ รอบตวั ออกเปน็ กลุ่มก้อนและเปน็ ประเภทต่าง ๆ ท่ี แตกต่างกนั อย่างชดั เจนไดม้ ากข้นึ 3. Socialized mind เป็นจิตส�ำนึกท่ีเร่ิมเห็นความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน (mutuality) และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonalism) มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง และความสำ� นึกรู้ตนเอง (self consciousness) ปจั จัยส�ำคัญท่ีสดุ สำ� หรบั จติ สำ� นึกใน ระดบั นีค้ อื แนวคิด ความเชอื่ และธรรมเนยี มปฏิบตั ิเก่ยี วกบั ผู้คนและระบบรอบตัวเรา เช่น ครอบครัว สังคม อุดมคติ และวฒั นธรรม 4. Self-Authoring mind เป็นจติ ส�ำนึกที่เข้าใจตนเอง และตระหนักวา่ ความคิด ความ รู้สึกและความเชื่อของตนเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานหรือความคาดหวังของคนอื่น หรือกลุ่มคนอ่ืนในสังคม อีกท้ังยังสามารถแยกความคิดของตนเองออกจากของผู้อื่น ได้ โดยพัฒนาความตระหนักเก่ียวกับตัวเอง ท้ังในเชิงความคิดและวิถีของการกระท�ำ

อนาคตศึกษา | 94 รวมถงึ การพฒั นาขดี ความสามารถในการตดั สนิ ใจและดำ� เนนิ การดว้ ยตนเอง จติ สำ� นกึ ในระดบั น้ีสามาถกำ� หนดขีดจำ� กัดและขอบเขตของปฏิสมั พนั ธ์กับโลกภายนอก รวมถงึ การร่วมมอื กับผูอ้ ื่น 5. Self-Transforming mind เปน็ ระดับจติ สำ� นกึ ทีก่ ารรับรู้เกี่ยวตนเองไม่ได้ผูกติดกบั บทบาทหรืออัตลักษณ์หน่ึงใด แต่สร้างสรรค์และเปล่ียนไปเร่ือยด้วยการส�ำรวจและ ไตร่ตรองตนเองอยเู่ สมอ และปรับบทบาทและความเปน็ ตวั ของตัวเองตามปฏสิ มั พนั ธ์ ท่มี กี ับผอู้ ืน่ คกี นั เชอ่ื วา่ มนษุ ยไ์ ดพ้ ฒั นาจติ สำ� นกึ ระดบั สงู ขน้ึ มาในชว่ งตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ อดตี ทไ่ี มน่ านมานใ้ี นประวตั ศิ าสตรข์ องมนษุ ยชาติ เนอื่ งจากมนษุ ยม์ อี ายยุ นื มากขนึ้ และมเี วลาในการพฒั นา ระบบประสาทและความคดิ มากขนึ้ 101 พรอ้ มกนั นี้ คกี นั ยงั เสนอวา่ พฒั นาการของจติ สำ� นกึ เปน็ การสลบั ไปสลบั มาระหวา่ งความคดิ วา่ ดว้ ยตวั เอง หรอื ฉนั (me) กบั ความคดิ เกย่ี วกบั ตวั เองกบั ผอู้ นื่ หรอื เรา (we) และหลกั การของการก้าวข้าม (transcend) กับรวมเข้า (include) จึงเกดิ ขน้ึ ในจติ ส�ำนึกขั้นสงู ขนึ้ ไป นอกจากแนวคิดเกลียวพลวัตของเกรฟส์และคีกันแล้ว ยังมีทฤษฎีด้านจิตวิทยาอีกหลายส�ำนัก ที่นักอนาคตศาสตร์สามารถน�ำมาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในระบบต่าง ๆ เพ่ือ คาดการณ์ภาพอนาคต เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาพัฒนาการว่า จิตส�ำนึก (conciousness) ท่ีซับซ้อนและสามารถจัดการกับปัญหาในโลกท่ีซับซ้อนมากยิ่งข้ึน มักเกิดขึ้นใน คนหรือกลุ่มคนที่ส่ิงแวดล้อมที่สนับสนุนและท้าทายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ45 หากทฤษฎีดัง กลา่ วเปน็ จรงิ ตามทน่ี กั จติ วทิ ยากลมุ่ นเี้ สนอมา ขอ้ เสนอนมี้ นี ยั สำ� คญั มากสำ� หรบั การคงอยขู่ องโลกใบนี้ เนอ่ื งจากหนง่ึ ในแนวโนม้ สำ� คญั ของโลกคอื กระบวนการเปน็ เมอื งทป่ี ระชากรโลกจำ� นวนกวา่ ครง่ึ ใชช้ วี ติ อยู่ในพนื้ ท่เี มอื ง ซงึ่ มคี วามซับซ้อนกวา่ พ้นื ท่ีชนบททงั้ ในดา้ นระบบเศรษฐกิจสงั คมและการปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ งผคู้ น และในด้านปญั หาระบบนเิ วศและสงิ่ แวดล้อม นกั อนาคตศาสตรไ์ ดป้ ระยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ วฒิ นาการเชงิ จติ วทิ ยาในกระบวนการคาดการณแ์ ละสรา้ ง ภาพอนาคตกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กร โดยเฉพาะในการคาดการณ์ที่มุ่งสู่การแก้ไขปัญหาท่ีซับ ซ้อนมากกว่าเดิม ข้อตกลงเบ้ืองต้นของแนวคิดน้ีคือการยอมรับว่า ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมาก ข้ึน ปัจเจกหรือองค์กรท่ีเก่ียวข้องต้องก้าวพ้นความจ�ำเป็นและความต้องการเฉพาะของตนเอง แล้ว เปิดกว้างให้ผู้อื่นและองค์กรอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ แก้ไขและด�ำเนินการเพ่ือจัดการกับ ปญั หาท่ซี ับซ้อนข้ึนนนั้ ตวั อย่างหนง่ึ คือในการคาดการณเ์ ชงิ ยุทธศาสตร์ของบริษัทการตลาดแห่งหน่งึ นักวเิ คราะหไ์ ด้ใช้ กรอบแนวคิดระดับจิตส�ำนึกในการประเมินปัจจัยต่าง ๆ และพบว่า บริษัทในยุโรปที่ให้ความส�ำคัญ กับความรับผิดชอบต่อสังคม (corporate social responsibility) สามารถเสนอคุณค่า (value propositions) ทส่ี งู กวา่ บริษัทอเมริกันทเ่ี น้นการแข่งขันเปน็ หลกั และนำ� คณุ คา่ ทางสงั คมน้นั มาสร้าง ผลิตภัณฑแ์ ละการบรกิ ารใหม่ใหก้ ับลกู ค้า อีกตัวอย่างหนงึ่ ที่ใช้แนวคดิ วิวัฒนาการดา้ นจติ วทิ ยาในการ คาดการณเ์ ชงิ ยทุ ธศาสตร์ คอื โครงการคาดการณอ์ นาคตของหลกั สตู รดา้ นเภสชั ศาสตรข์ องมหาวทิ ยาลยั

95 | อนาคตศกึ ษา แห่งหน่ึงในสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ที่ได้คือยุทธศาสตร์ในการสอนจริยธรรม การเพิ่มขีดความสามารถ ด้านวฒั นธรรมและภาษา การทำ� งานเปน็ ทีมภายในและระหวา่ งกล่มุ วชิ าชพี และการรบั ใชส้ งั คม โดย เฉพาะกลุ่มผู้ดอ้ ยโอกาส46 ทฤษฎบี รู ณาการ นักวิชาการด้านอนาคตศาสตร์ในยุคหลังเริ่มให้ความสนใจกับทฤษฎีบูรณาการท่ีพยายามผสมผสาน องค์ความรู้เก่ียวกับการพัฒนาด้านทางจิตวิญญาณ (spiritual development) กับองคค์ วามรู้ ดา้ นการพฒั นาปญั ญาและการพฒั นาดา้ นจติ วทิ ยา หนงึ่ ในทฤษฎใี นกลมุ่ นค้ี อื ทฤษฎี บรู ณาการของเคน วลิ เบอร์ (Ken Wilber) ซึ่งเสนอวา่ ความรู้และประสบการณข์ องมนุษยส์ ามารถแบ่งออกเป็น 4 เสย้ี ว หรือจตภุ าค (quadrant) ที่แบง่ ด้วยแกน 2 แกนคือ แกนขา้ งใน-ขา้ งนอก (internal-external) และ แกนปจั เจก-กล่มุ (individual-collective)47 กตาารรแางบท่ง่ีก2ลุม่ ความรู้และประสบการณต์ ามทฤษฎบี รู ณาการของเคน วลิ เบอร์ ท่ีมา: Wilber (2000) นอกจากแนวคิดจตุภาคของความรูแ้ ละประสบการณแ์ ลว้ ตามแนวคิด AQAL (All Quadrant, All Level) วลิ เบอร์เสนอองค์ประกอบเพ่ิมเติมของการบรู ณาการ ไดแ้ ก่ 1. Levels คอื ระดบั การพฒั นาของจิตสำ� นกึ ตง้ั แตร่ ะดับ pre-personal, personal และ transpersonal 2. Lines คอื เสน้ ทางของการพฒั นาตามขอบเขต (domain) ของการพฒั นาดา้ นต่าง ๆ โดยในแต่ละเส้นทางก็จะมีระดับการพัฒนาหลายขั้นตอนท่ีอาจไม่เท่าและเสมอกัน ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ดา้ นการรบั รู้ (cognitive) ดา้ นจรยิ ธรรม (ethical) ดา้ นความสนุ ทรยี ภาพ (aesthetic) ดา้ นพ้นื ที่ (spatial) ดา้ นตรรกะและคณิตศาสตร์ (logical-mathematic) เปน็ ต้น

อนาคตศกึ ษา | 96 3. States คือสภาวะของจิตสำ� นึกระดบั ต่างๆ เช่น การเดนิ การหลบั การฝัน การกระ ตนุ้ ประสาท ฯลฯ 4. Types คอื สภาพอ่ืนๆ ทอี่ ธิบายปรากฏการณท์ ่ีไมส่ ามารถแบ่งเขา้ กลมุ่ อื่น ๆ ได้ เช่น ความเป็นผ้ชู าย/ผู้หญงิ บุคลิกลกั ษณะ ฯลฯ ตามแนวคดิ ของวลิ เบอร์ ความรทู้ บี่ รู ณาการอยา่ งแทจ้ รงิ คอื ความรแู้ ละประสบการณท์ เี่ ปน็ ไปตาม เกณฑ์ทง้ั 5 ดา้ น คอื quadrants, lines, levels, states และ types นกั อนาคตศาสตรเ์ รม่ิ พยายามทดลองใชก้ รอบแนวคดิ แบบบรู ณการนใ้ี นการมองภาพอนาคต โดย เฉพาะในงานที่พยายามบูรณาการมิติการพัฒนาของมนุษย์ที่ไม่แยกออกจากธรรมชาติ กล่าวคือ การ มองโลกแบบองค์รวม (holon) ขององค์ประกอบทุก ๆ ด้านเขา้ ด้วยกัน แนวคิดช้ันขององคร์ วม หรอื holarchy มคี วามคลา้ ยกบั ตกุ๊ ตาแมล่ กู ดก (Matryoshka) ของรสั เซยี ซง่ึ มคี วามเปน็ องคร์ วมอยซู่ อ้ นกนั นยั หนงึ่ คอื ความเปน็ องคร์ วมสามารถเกดิ ขนึ้ ไดใ้ นสภาพแวดลอ้ มทมี่ คี วามซบั ซอ้ น แนวคดิ ชน้ั ขององคร์ วมไดร้ บั การประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ กรอบแนวคดิ ในโครงการคาดการณอ์ นาคตหลาย งานของ Institute for Alternative Futures ตวั อยา่ งเช่น ในงานคาดการณ์ขดี ความสามารถของการ วิจัยดา้ นชีวการแพทย์ในการยกระดับสุขภาพของมนุษย์ในหลายทศวรรษต่อมา48 ผลจากกระบวนการ คาดการณอ์ ยา่ งมสี ว่ นรว่ มกบั นกั วทิ ยาศาสตร์ แสดงภาพอนาคตทค่ี วามสามารถเพม่ิ ขนึ้ จากการพฒั นา ดา้ นความรแู้ ละเทคโนโลยี ระบบการป้องกันความเสีย่ งเฉพาะบคุ คล และความเขา้ ใจใหมเ่ ก่ยี วกบั โรค ภยั ไข้เจ็บที่ผสมผสานความร้วู ิทยาศาสตรแ์ บบตะวันตกกบั โลกทัศนข์ องตะวนั ออก แตป่ ระเดน็ ท้าทาย ทส่ี ดุ ในงานคาดการณด์ งั กลา่ ว คอื การวเิ คราะหภ์ าพอนาคตของระดบั การพฒั นาดา้ นจรยิ ธรรมในโลกท่ี เปน็ กรอบชน้ี ำ� การพฒั นาดา้ นวทิ ยาศาสตรใ์ นยคุ ตอ่ ๆ มา ในการน้ี นกั อนาคตศาสตรช์ อ่ื โจนาธาน เพก็ (Jonathan Peck) ไดป้ ระยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎบี รู ณาการของเคน วลิ เบอร์ โดยขยายความของแนวคดิ ชนั้ องค์ รวม (holarchy) ทคี่ รอบคลมุ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยเ์ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของธรรมชาตโิ ดยรวม และระบบการวจิ ยั และพฒั นาดา้ นชวี การแพทยอ์ ยภู่ ายในระบบสขุ ภาพ ซง่ึ อยภู่ ายใตร้ ะบบเศรษฐกจิ การเมอื งทอ่ี ยภู่ ายใน ระบบจรยิ ธรรมอีกขนั้ หน่งึ ในภาพอนาคตของการพัฒนาดา้ นชีวการแพทย์ใน ค.ศ. 2029 ปัจจยั ด้าน จริยธรรมด้านชีวการแพทย์ จึงกลายเป็นเงื่อนไขส�ำคัญที่จะท�ำให้การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์สามารถ สรา้ งประโยชน์สงู สดุ ให้กบั มนุษยชาตไิ ด้

97 | อนาคตศกึ ษา ประเภทของงาน อนาคตศึกษา งานด้านอนาคตศึกษามีอยู่หลากหลาย และแบ่งออกได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ต่าง ๆ โดยคร่าวดังน้ี การคาดการณเ์ ชงิ ปฏฐิ านและเชงิ ปทัสถาน งานอนาคตศึกษาสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุม่ คอื การคาดการณเ์ ชิงปฏิฐาน (positive forecast/ foresight) และการคาดการณเ์ ชงิ ปทสั ถาน (normative forescast/foresight) สำ� หรบั การคาดการณ์ เชิงส�ำรวจ (exploratory forecasting) ทต่ี ้ังค�ำถามวา่ อนาคตทเี่ ชอื่ ว่าเกดิ ขึ้นมอี ะไรบ้าง เป็นค�ำถาม แนวปฏฐิ าน การศกึ ษาในแนวทางนเ้ี รม่ิ จากการวเิ คราะหภ์ าพอดตี และปจั จบุ นั แลว้ จงึ วางโครงรา่ งและ เน้ือหาเกี่ยวกับภาพอนาคต ส่วนการคาดการณ์เชิงปทัสถานหรือบรรทัดฐานจะต้ังค�ำถามว่า อนาคต ที่ปรารถนาเป็นอย่างไร การวิเคราะห์ในแนวทางน้ีเร่ิมจากการวาดภาพอนาคตท่ีพึงประสงค์ แล้วจึง ย้อนกลับมาเตรียมแนวทางและกิจกรรมในปัจจุบันที่คาดว่าจะน�ำไปสู่อนาคตที่ต้องการ ดังนั้น การ คาดการณ์เชิงส�ำรวจมักมุ่งไปที่อนาคตท่ีดูเหมือนน่าจะเกิดขึ้นและอนาคตท่ีเชื่อว่าเกิดขึ้นได้จริง ส่วน การคาดการณ์เชงิ ปทสั ถานจะเนน้ อนาคตพงึ ประสงค4์ 9 อย่างไรก็ตาม การแบง่ กลมุ่ แบบนอี้ าจใช้ไมไ่ ด้กบั การแบ่งกลมุ่ วธิ กี ารวิเคราะห์ดา้ นอนาคตศึกษา เสมอไป วิธีการวิเคราะห์บางอย่างสามารถใช้ได้กับการคาดการณ์ทั้งสองแบบ และบางวิธีการผสม ผสานทั้งแนวทางแบบปฏิฐานและปทัสถานเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์เชิงศึกษาส�ำนึก หรือฮิวริสติก (heuristic forecasting) เน้นการคาดคะเนว่า แนวทางไหนหรือทางเลือกไหนน่าจะดี ที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด แล้วด�ำเนินการไปแบบลองผิดลองถูก แต่อยู่ภายใต้กรอบท่ีควบคุมได้ ระดับหนึง่ แนวทางแบบฮวิ ริสติกค�ำนึงถงึ ทง้ั ปจั จัยหรอื ตวั แปรหลักในระบบที่วเิ คราะห์ และความรูส้ กึ และปฏสิ มั พนั ธข์ องผคู้ นในระบบนนั้ วธิ กี ารดา้ นอนาคตศกึ ษาหลายวธิ ใี นปจั จบุ นั มคี วามยดื หยนุ่ มาก พอทสี่ ามารถประยกุ ตใ์ ชก้ บั สถานการณ์ เงอ่ื นไขและวตั ถปุ ระสงคต์ า่ ง ๆ ได้ และตอบโจทยไ์ ดท้ งั้ ในเชงิ ปฏฐิ านและปทัสถาน แนวทางการศกึ ษาอนาคตยงั สามารถแบง่ ตามการมสี ว่ นรว่ มของกลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางหนงึ่ เนน้ การศึกษาโดยนักอนาคตศาสตร์ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยไม่ต้องร่วมท�ำงานกับกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ ว่าจา้ ง ในกรณนี ี้ ผู้ศึกษาด�ำเนนิ การตามวตั ถุประสงค์และเปา้ หมายทีก่ �ำหนดโดยกลมุ่ เป้าหมาย แล้ว ส่งผลการศึกษาเมื่อแล้วเสร็จ ในทางกลับกัน วิธีการศึกษาอนาคตบางวิธีเน้นการท�ำงานร่วมกับกลุ่ม

อนาคตศกึ ษา | 98 เป้าหมาย ซึง่ อาจเป็นบรษิ ทั องคก์ ร ชุมชน รฐั บาล หรือผ้วู ่าจ้าง การศกึ ษาอนาคตแบบนีเ้ ชือ่ ว่า การมี ส่วนรว่ มของกลุ่มเป้าหมายเป็นหวั ใจหลกั ของการทำ� ความเขา้ ใจในผลลพั ธข์ องการศกึ ษา และการน�ำ ผลลัพธ์นนั้ ไปดำ� เนนิ การต่อ การทำ� นาย การพยากรณ์ และการคาดการณ์ งานศกึ ษาอนาคตอาจแบง่ ออกเปน็ การท�ำนาย (prediction) การพยากรณ์ (forecast) และการคาด การณ์ (foresight) กจิ กรรมทั้งสามแบบอาจฟงั ดูไมแ่ ตกตา่ งกนั และดเู หมอื นการแบง่ แยกประเภทดงั กลา่ วเปน็ เพยี งการเลน่ คำ� ของนกั วชิ าการ หรอื เปน็ เพยี งประเดน็ ในเชงิ อรรถศาสตร์ (semantic) ทไ่ี มไ่ ด้ มีนยั ส�ำคัญในการดำ� เนนิ งานจรงิ ทั้งน้ี คำ� ศัพทห์ ลายค�ำมีความหมายคล้ายคลงึ กนั มาก จนคนทว่ั ไปไม่ จ�ำเปน็ ตอ้ งใช้แยกแยะกนั ในภาษาพดู และการใชง้ าน อย่างไรกต็ าม สำ� หรบั นักทฤษฎแี ละนกั วชิ าการ คำ� ศพั ทแ์ ตล่ ะคำ� สอ่ื ถงึ ความหมายทแี่ ตกตา่ งกนั ในศาสตรด์ า้ นอนาคตศกึ ษา มคี ำ� ศพั ทเ์ ชงิ เทคนคิ หลาย คำ� ทแ่ี สดงถงึ แนวคดิ หรอื สงั กปั (concept) ทแี่ ตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน โดยเฉพาะในภาษาองั กฤษทเ่ี ปน็ ภาษาหลักของวงการวิชาการดา้ นอนาคตศึกษา ในอนาคตศกึ ษา การทำ� นายสอ่ื ถงึ ความเชอ่ื ของผทู้ ำ� นายวา่ สง่ิ ทท่ี ำ� นายไวจ้ ะเกดิ ขนึ้ จรงิ ในอนาคต เชน่ รายงานของบรษิ ทั Ericsson ทำ� นายวา่ ภายในค.ศ.2020 จะมคี นใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื มากกวา่ คนใช้ โทรศพั ทบ์ า้ น50 หรอื ในค.ศ.2020 ราคาไฟฟา้ จากพลงั งานแสงอาทติ ยจ์ ะถกู กวา่ จากไฟฟา้ จากแหลง่ อนื่ อย่างน้อยในพื้นที่คร่ึงหน่ึงของประเทศสหรัฐอเมริกา51 ในทางกลับกัน การพยากรณ์สื่อถึงความเป็น ไปได้ของการเกิดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าผู้พยากรณ์เชื่อว่าจะเกิดขึ้นเช่นนั้น เช่น ในการ พยากรณ์อากาศ กรมอตุ ุนิยมวิทยาระบวุ า่ โอกาสฝนตกอยู่ที่รอ้ ยละ 70 ภายในชว่ งเวลา 24 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วนคำ� วา่ การคาดการณน์ ้ัน ขยายความของการท�ำนายและการพยากรณ์ให้กว้างขึ้น โดยใน ชว่ งหลงั เรมิ่ เนน้ กระบวนการศกึ ษาอนาคตทเี่ ปิดกวา้ งมากขน้ึ ทง้ั ในดา้ นอนาคตทางเลือก และในดา้ น กระบวนการ มสี ว่ นรว่ มของผ้มู สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในการวิเคราะหแ์ ละสรา้ งภาพอนาคต ตามท่ีกล่าวมาก่อนหน้าน้ี การศึกษาอนาคตเพื่อช่วยในการตัดสินใจจะเป็นประโยชน์หรือไม่นั้น ขน้ึ อยกู่ บั วา่ กระบวนการและผลลพั ธจ์ ากการวเิ คราะหส์ ามารถชว่ ยผบู้ รหิ ารสามารถตดั สนิ ใจและสรา้ ง นโยบายได้หรือไม่ มากกว่าความแม่นย�ำของผลลัพธ์จากการคาดการณ์น้ัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การคาดการณแ์ ละพยากรณห์ ลายประเดน็ ในรายงาน Limits to Growth ไมแ่ มน่ ยำ� และไมถ่ กู ตอ้ ง แต่ งานศึกษาดังกล่าวทำ� ให้เกิดการถกเถียงและกระตุ้นใหเ้ กิดการศกึ ษาวจิ ัยต่อ จนน�ำไปสู่ความตระหนกั และนโยบายการวางแผนดา้ นส่งิ แวดล้อมท่ดี ีมากขน้ึ กว่าเดมิ นักวางแผนกับนกั อนาคตศาสตร์ การวางแผนเปน็ การเตรยี มพรอ้ มสำ� หรบั อนาคต การมองไปยงั อนาคตจงึ เปน็ องคป์ ระกอบและกจิ กรรม ส�ำคัญที่นักวางแผนด�ำเนินการอยู่เป็นประจ�ำ อย่างไรก็ตาม นักวางแผนมีบทบาทที่แตกต่างจากนัก อนาคตศาสตร์ในหลายด้าน อาทิ นักวางแผนโดยทั่วไปมุ่งเน้นพิจารณาปรากฏการณ์เฉพาะเร่ือง หรือประเด็นหัวข้อใดหัวข้อหน่ึง สาขาใดสาขาหน่ึง เช่น การวางแผนพัฒนาเมือง การวางแผนด้าน สาธารณสขุ การวางแผนดา้ นการศกึ ษา ฯลฯ ในขณะทนี่ กั อนาคตศาสตรม์ งุ่ วเิ คราะหก์ ารเปลยี่ นแปลง

99 | อนาคตศกึ ษา ในหลายด้านดว้ ยกรอบความคิดจากหลายสาขาไปพร้อมกัน นอกจากนี้ นกั อนาคตศกึ ษามักมองภาพ ระยะยาวตงั้ แต่ 20 ปขี ้นึ ไป ในขณะท่ีนักวางแผนมกั ตงั้ ช่วงเวลาในการวเิ คราะหไ์ ว้ท่ปี ระมาณ 3-5 ปี อย่างไรกต็ าม ความแตกต่างน้ีอาจมีนอ้ ยลงในปจั จุบัน เมอ่ื นกั วางแผนให้ความสำ� คัญกับการมองภาพ อนาคตระยะยาวมากขึ้น และใช้กระบวนการและวิธีการด้านอนาคตศาสตร์มากขึ้นในกระบวนการ วเิ คราะหแ์ ละการวางแผนเชงิ ยทุ ธศาสตรข์ ององคก์ รหรอื การวางแผนนโยบายสาธารณะ ผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพระยะยาวโดยนักอนาคตศาสตร์สามารถน�ำมาใช้เป็นกรอบคิดของนัก วางแผนได้ โดยเฉพาะการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวและโอกาสการ พัฒนาในระยะยาว นักอนาคตศาสตร์สามารถช่วยสร้างทางเลือกของอนาคต เพื่อให้ผู้บริหารหรือ ผู้มีอ�ำนาจตัดสินใจสามารถเลือกทิศทางในการพัฒนา ในขณะท่ีนักวางแผนสามารถน�ำทางเลือกนั้น มาสรา้ งเปน็ แผนการพฒั นาในการบรรลเุ ปา้ หมายในอนาคต แนน่ อนวา่ ในสถานการณจ์ รงิ กจิ กรรมและ บทบาทของนักอนาคตศึกษากับนักวางแผน รวมถึงผู้มีอ�ำนาจในการตัดสินใจอาจไม่ได้แยกกันชัดเจน และมกี ารทำ� งานรว่ มกนั ระหวา่ งคนกลมุ่ ตา่ ง ๆ เหลา่ นตี้ ลอดกระบวนการศกึ ษาและวางแผนเพอ่ื อนาคต อนาคตศึกษา อนาคตศาสตร์ หรืออนาคตวิทยา ประเดน็ หนง่ึ ทยี่ งั ไมม่ ขี อ้ ตกลงอยา่ งลงตวั อยา่ งนอ้ ยในวงการศกึ ษาและคาดการณอ์ นาคตในประเทศไทย คือ ค�ำเรียกของสาขาวิชาหรือศาสตร์ของการศึกษาอนาคตว่าเป็น “อนาคตศึกษา” หรือ “อนาคต ศาสตร”์ ซง่ึ แปลโดยตรงจากค�ำวา่ futures studies หรอื ค�ำวา่ “อนาคตวทิ ยา” ซึง่ แปลมาจากค�ำวา่ futurology รวมไปจนถงึ ศาสตรก์ ารคาดการณ์ ซง่ึ แปลจากคำ� วา่ anticipation science/studies คำ� เรยี กชอ่ื ศาสตรห์ รอื สาขาทยี่ งั ไมล่ งตวั เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ศาสตรพ์ น้ื ฐานอน่ื นยั หนงึ่ กส็ ะทอ้ นพลวตั ใน ปจั จุบนั ของสาขาวชิ าการนี้ ศาสตรพ์ นื้ ฐานทเ่ี รารจู้ กั กนั อยทู่ ว่ั ไปมกั มวี วิ ฒั นาการจนเปน็ องคค์ วามรทู้ อี่ าจแยกกนั อยา่ งชดั เจน จนมชี อ่ื เรียกเฉพาะที่ชัดเจน ดังในกรณขี องศาสตรท์ ลี่ งทา้ ยดว้ ย –ics เช่น คณิตศาสตร์ (Mathemat- ics) เศรษฐศาสตร์ (Economics) และสถิติศาสตร์ (Statistics) รากศัพท์ของค�ำเสริมท้าย (suffix) นี้สามารถย้อนกลับไปถึงค�ำในภาษากรีกโบราณคือ φύσις (phúsis) ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติ ดังน้ัน ศาสตรท์ ลี่ งทา้ ยด้วย “-ics” จงึ มักหมายถงึ องค์ความรู้ทเี่ กีย่ วกบั ธรรมชาติ สว่ นคำ� วา่ “-logy” นนั้ มา จากค�ำในภาษากรกี โบราณ λογία (logía) ซ่งึ แปลวา่ แขนงของการศกึ ษา (branch of study) ส่วน คำ� ว่า studies ในสาขาหรือแขนงสาขาวิชาใหม่ เช่น นครศึกษา (urban studies) วัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) สตรศี กึ ษา (women’s studies) ภมู ิภาคศึกษา (reginal studies) สือ่ ถึงการศกึ ษา ทข่ี า้ มศาสตรแ์ ละสาขาทม่ี มี าแตเ่ ดมิ และมคี วามเปน็ พหศุ าสตร์ สหศาสตร์ หรอื ขา้ มศาสตร์ หากเปน็ ไป ตามนน้ั การศกึ ษาอนาคตในปจั จบุ นั อาจยงั คงเรยี กวา่ อนาคตศกึ ษา มากกวา่ อนาคตศาสตรห์ รอื อนาคต วทิ ยา แตท่ ง้ั นที้ งั้ นนั้ ขน้ึ อยกู่ บั วา่ ผเู้ ชยี่ วชาญและผเู้ กย่ี วขอ้ งในวงการวชิ าการดา้ นนจ้ี ะตกลงกนั อยา่ งไร จงึ เป็นประเดน็ ทย่ี ังคงต้องอภปิ รายกนั ตอ่ ไป

อนาคตศึกษา | 100 ข้อจำ�กดั เชงิ ทฤษฎขี อง อนาคตศึกษา สาขาวชิ าการหนงึ่ ใดยอ่ มตอ้ งมที ฤษฎรี องรบั หรอื อยา่ งนอ้ ยกต็ อ้ งมกี ารถกเถยี งกนั ในเชงิ ทฤษฎรี ะหวา่ ง นกั วิชาการในวงการนั้น ทฤษฎีในท่นี ้หี มายถงึ โครงสรา้ งความคิดอยา่ งเปน็ ระบบทม่ี นุษย์จนิ ตนาการ ข้ึนมา โดยครอบคลุมขอบเขตที่กว้างและมีกฎเชิงประจักษ์หรือประสบการณ์ท่ีมีความสม�่ำเสมอของ คุณลักษณะในวัตถุหรือเหตุการณ์ ท้ังที่สังเกตได้และที่สมมติขึ้นได้ ส�ำหรับสาขาวิชาและศาสตร์ที่มี วิวฒั นาการมาจากการผสมผสานความร้จู ากหลายศาสตร์เขา้ ด้วยกัน ดังในกรณขี องอนาคตศึกษา ขอ้ จ�ำกัดส่วนหน่งึ คือรากฐานทางทฤษฎขี องการคน้ หาความร้ใู นศาสตรน์ ้ัน หนงึ่ ในขอ้ วพิ ากษท์ น่ี กั วชิ าการหลายคนมเี กย่ี วกบั อนาคตศกึ ษาในฐานะสาขาวชิ าหนง่ึ คอื อนาคต ศกึ ษาไมม่ รี ากฐานทางทฤษฎที แี่ ขง็ แกรง่ และเชอื่ มโยงสอดคลอ้ งซง่ึ กนั และกนั โดยเฉพาะในสว่ นของการ คาดการณ์ (foresight)52 นกั อนาคตศกึ ษาบางกลมุ่ เสนอใหใ้ ชท้ ฤษฎนี วตั กรรรม (innovation theories) และทฤษฎีระบบ (systems theory) เปน็ พ้ืนฐานทางทฤษฎีของการคาดการณ5์ 3 อีกกลมุ่ หน่งึ เสนอให้ ใช้ทฤษฎีระบบความคิด (system of thought) ซึ่งนิยมใช้ในงานศึกษาอนาคตเชิงวิพากษ์ (critical futures studies) เปน็ พนื้ ฐานทางทฤษฎที ง้ั สำ� หรบั งานวชิ าการดา้ นอนาคตศกึ ษาและงานคาดการณ5์ 4 ความทา้ ทายในการพฒั นาทฤษฎพี นื้ ฐานสำ� หรบั การคาดการณแ์ ละการศกึ ษาอนาคต สว่ นหนงึ่ เกดิ จาก การขาดความเขา้ ใจและขอ้ ตกลงกนั ในขอบเขตทางทฤษฎขี องสาขาวชิ านี้ รวมถงึ ความหมายของทฤษฎี เกี่ยวกบั และในการคาดการณ์ (theory about and in foresight) ขอ้ เสนอหนึ่งในการพฒั นาทฤษฎขี องการคาดการณ์และอนาคตศกึ ษาคอื การก�ำหนดกรอบเบอ้ื ง ตน้ ในการนำ� เสนอทฤษฎเี กยี่ วกบั การคาดการณ์ โดยแบง่ การวเิ คราะหอ์ อกเปน็ สามระดบั ทฤษฎรี ะดบั แรกมองการคาดการณ์เป็นกิจกรรมในการสร้างความรู้ ทฤษฎีในส่วนน้ีจึงเป็นทฤษฎีระดับอภิมาน (meta-theory) ทีป่ ระมวลทฤษฎตี า่ ง ๆ เกี่ยวกับการคาดการณ์เขา้ ดว้ ยกัน ทฤษฎสี ่วนนีจ้ งึ ไมใ่ ชก่ าร คาดการณใ์ นตัวเอง แต่เปน็ พืน้ ฐานทางปรชั ญาของกจิ กรรมการคาดการณ์ ทฤษฎีระดบั ทีส่ องมองการ คาดการณเ์ ปน็ กระบวนการทม่ี กี ารแทรกแซงหรือดำ� เนินการบางอย่างในด้านองค์กรหรือสงั คม ทฤษฎี ระดบั นใ้ี หค้ วามสำ� คญั กบั ผลลพั ธเ์ ชงิ ปฏบิ ตั ขิ องกระบวนการคาดการณ์ สว่ นทฤษฎรี ะดบั ทส่ี ามมองการ คาดการณ์เป็นการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับอนาคตของระบบสังคมเทคโนโลยี ท้ังนี้ ทฤษฎีสองกลุ่มหลังมี

101 | อนาคตศกึ ษา ผลอยา่ งมากตอ่ วงการอนาคตศกึ ษา โดยเฉพาะในดา้ นการคาดการณ์ เนอ่ื งจากเปน็ กลมุ่ ทฤษฎที ก่ี ำ� หนด เงอ่ื นไขและบรบิ ทเกยี่ วกบั วธิ กี ารคาดการณ์ วธิ กี ารวดั ผลลพั ธแ์ ละประสทิ ธผิ ล และวธิ กี ารเชอ่ื มโยงกบั ทฤษฎีเก่ยี วกบั อนาคตที่ขน้ึ อยู่กบั บรบิ ททเี่ ฉพาะเจาะจง55 ข้อจ�ำกัดทางทฤษฎีของอนาคตศึกษาและการคาดการณ์นัยหนึ่งถือเป็นโอกาสและความท้าทาย ในเชิงวิชาการท่ีจะเสนอแนวคิดและทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ท�ำให้วงการวิชาการและองการวิชาชีพในเร่ืองนี้ พฒั นาไดต้ อ่ ไป

อนาคตศกึ ษา | 102 สรปุ นักวิชาการด้านอนาคตศึกษาได้พัฒนาชุดแนวคิด ทฤษฎีและหลักการส�ำหรับการศึกษาและ สร้างภาพอนาคตเรื่อยมา จนในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับทั่วไปในฐานะศาสตร์ทางวิชาการและ สาขาวิชาชีพหน่ึง เนื้อหาในบทนี้ได้ประมวลหลักการและวัตถุประสงค์ของการศึกษาอนาคต รวมถงึ ขอ้ สมมตแิ ละทฤษฎกี ารเปลย่ี นแปลงทน่ี กั อนาคตศาสตรใ์ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกย่ี วกบั อดีตและปจั จุบนั เพอ่ื สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกับความเป็นไปไดข้ องอนาคตในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อสมมติและทฤษฎีเก่ยี วกับเวลาและการเปล่ียนแปลงของส่ิงทีต่ ้องการศกึ ษา ในภาพรวมจะเห็นได้ว่า แนวคิดและทฤษฎีท่ีใช้ในอนาคตศึกษามาจากการผสมผสาน ความรู้จากศาสตร์และสาขาท่ีหลากหลาย ไม่จ�ำกัดอยู่เพียงเฉพาะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แต่รวมไปถึงมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปศาสตร์ แม้ว่ากระบวนทัศน์พื้นฐานของ อนาคตศึกษาในปัจจุบันให้ความส�ำคัญกับแนวคิดเชิงระบบ ซ่ึงได้รับอิทธิพลหลักจากแนวคิด ปฏิฐานนิยมและประจักษ์นิยมที่มุ่งไปสู่ความจริงเชิงภววิสัย แต่นักอนาคตศาสตร์และนักคาด การณ์เชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบันก็ตระหนักถึงความส�ำคัญของแนวคิดเชิงปทัสถาน ซ่ึงเน้นความ คิดเชิงอัตวิสัยของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างภาพอนาคตท่ีพึงประสงค์ท่ี ใช้เป็นกรอบของการตัดสินใจในการวางแผนด�ำเนินการ แนวคิดพื้นฐานว่าด้วยพหุอนาคตจึง สัมพันธ์กับความเป็นพหุศาสตร์และสหศาสตร์ของงานด้านอนาคตศึกษาในยุคปัจจุบัน อีกท้ังยัง สะท้อนออกมาในความหลากหลายของวิธีการศึกษาอนาคตและการคาดการณ์เชิงยุทธศาสตร์ ซ่ึงจะน�ำเสนอในบทต่อไป

103 | อนาคตศกึ ษา

อนาคตศึกษา | 104 3 วธิ ีการศึกษา อนาคต By three methods we may learn wisdom: First, by reflection, which is noblest; and thirdSebcyoenxdp,ebryienimceit,awtihoinc,hwishitchheisbiettaesrieesstt;. Confucius

105 | อนาคตศึกษา ประเภท วธิ กี ารศกึ ษาอนาคต ความสามารถในการท�ำความเข้าใจและคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตขึ้นอยู่กับความสามารถในการ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีและวิธีการคาดการณ์ตามสถานการณ์และเงื่อนไขท่ีแตกต่างกันออกไป นักอนาคต ศาสตรท์ ่ดี ตี ้องมีความรู้พื้นฐานดา้ นทฤษฎี และตระหนกั อย่เู สมอวา่ ทฤษฎีและวิธกี ารที่เลือกใชศ้ กึ ษา อนาคตมีผลต่อกระบวนทัศน์และมุมมองทมี่ ตี อ่ เงอื่ นไขและบรบิ ทของการศกึ ษา ซ่งึ ย่อมมีผลสบื เน่อื ง ต่อกระบวนการและผลลพั ธข์ องการคาดการณ์ วิธีการและเครื่องมือการศึกษาอนาคตมีอยู่หลากหลาย แต่ละวิธีมีปรัชญาพื้นฐาน ข้อสมมติ เงื่อนไข ประโยชน์และข้อจ�ำกัดท่ีแตกต่างกันออกไป พัฒนาการและความนิยมของวิธีการศึกษาของ ศาสตร์ใดศาสตร์หน่ึงย่อมสะท้อนววิ ฒั นาการของศาสตรน์ ้ัน อนาคตศาสตรก์ เ็ ช่นกัน จากทแี่ ตเ่ ดิม วธิ ี การทนี่ ยิ มใชเ้ ปน็ แนวทางวเิ คราะหเ์ ชงิ ระบบดว้ ยผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะทาง เพอื่ ตอบโจทยด์ า้ นยทุ ธศาสตร์ ทางการทหาร จนตอ่ มา วงการอนาคตศาสตรเ์ รมิ่ ยอมรบั วธิ กี ารอนื่ ทเี่ ปดิ กวา้ งใหผ้ มู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เขา้ มามีส่วนร่วมและมีบทบาทในกระบวนการศึกษาและสร้างภาพอนาคตร่วมกัน เพื่อตอบโจทย์ที่กว้าง และมคี วามหลากหลายมากข้ึน เช่นเดียวกับการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ในปัจจุบัน การศึกษาอนาคตในช่วงหลังไม่ได้พ่ึงวิธีการ วเิ คราะหเ์ พยี งวธิ เี ดยี ว แตใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั การผสมผสานของวธิ กี ารทห่ี ลากหลาย ทง้ั วธิ กี ารวเิ คราะห์ เชิงปริมาณกับวิธีการเชิงคุณภาพ และวิธีการท่ีด�ำเนินการเฉพาะโดยผู้เชี่ยวชาญกับวิธีการที่เน้นการ มีส่วนร่วม ขีดความสามารถในการค�ำนวณท่ีเพิ่มมากขึ้นจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ ท�ำให้การวิเคราะห์แบบจ�ำลองคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเป็นไปได้ง่ายมากข้ึน ขณะเดียวกัน ความตระหนกั ในสทิ ธทิ างการเมอื งและประชาธปิ ไตยทำ� ใหก้ ารมสี ว่ นรว่ มของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี กลาย เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการศึกษาอนาคตทต่ี อ้ งด�ำเนินการและผลักดันใหเ้ กิดขนึ้ จรงิ โครงการมิลเลนเนียมโปรเจกต์ (The Millennium Project) แบ่งกลุ่มวิธีการศึกษาอนาคตไว้ อยา่ งครอบคลุม ดงั น1้ี

อนาคตศกึ ษา | 106 วตธิากีราางรทสำ่ี �3คัญในศึกษาอนาคต

107 | อนาคตศกึ ษา ท่ีมา: Gordon and Glenn (2009) วิธีการศึกษาอนาคตอาจแบ่งตามข้ันตอนการคาดการณ์เชิงยุทธศาสตร์ ริชาร์ด สลอเทอร์ (Richard Slaughter) เสนอกรอบแนวทางการศกึ ษาอนาคตแบบ 4 ขั้นตอนเพอ่ื ใชใ้ นการคาดการณ์ เชงิ ยุทธศาสตร์ (strategic foresight) ซงึ่ โจเซฟ โวรอส (Joseph Voros) น�ำไปพฒั นาเพม่ิ เตมิ จน กลายเป็นแนวทางการคาดการณ์พื้นฐานที่ใช้ในการสอนด้านอนาคตศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี สวินเบิรน์ (Swinburne University of Technology) ในประเทศออสเตรเลีย แตล่ ะขน้ั ตอนมีวิธกี าร เฉพาะท่ีสามารถเลอื กและประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณแ์ ละพืน้ ท2่ี โดยแบง่ เป็น 4 กล่มุ ดงั นี้ 1. กลมุ่ วธิ กี ารนำ� เขา้ (input methods) วัตถุประสงค์หลักของวิธีการในกลุ่มนี้คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลที่สามารถน�ำมาใช้วิเคราะห์ต่อไป ตัวอย่างวิธีการที่เป็นท่ี นิยมใช้ ได้แก่ วิธีการเดลฟาย (Dephi) วิธีการกวาดสัญญาณ วิธีการ futurescan รวมไปถึงวิธีการส�ำรวจและวิธีการประเมินเทคโนโลยี (technology assessment) 2. กลมุ่ วธิ กี ารวเิ คราะห์ (analytic methods) วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของวธิ กี ารในกลมุ่ นคี้ อื เพอ่ื สรา้ งความหมายจากขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ รวบรวมมาในการเขา้ ใจถงึ อนาคต เพอื่ ใหเ้ กดิ มมุ มองและกรอบแนวคดิ ใหม่ทอี่ าจแตกตา่ งจากมมุ มองทีม่ อี ยใู่ นปัจจบุ ัน ตวั อยา่ งวิธกี าร ในกลุม่ นป้ี ระกอบด้วยการวเิ คราะห์ประเดน็ อุบัตใิ หม่ (emerging issues analysis) การวเิ คราะหแ์ นวโนม้ และการประมาณค่านอกช่วง (trend analysis and extrapo- lation) การวิเคราะหผ์ ลกระทบไขว้ (cross impact analysis) การวเิ คราะหร์ ปู แบบ (pattern recognition) การวิเคราะหว์ าทกรรมและข้อความ (discourse and text analysis) และการสนทนา (dialogue) 3. วธิ กี ารตคี วาม/วธิ กี ารเชงิ ลกึ (interpretive/paradigmatic/in-depth methods) กล่มุ วิธีการนีม้ งุ่ สรา้ งความเขา้ ใจเชงิ ลกึ จากขอ้ มูลท่เี ก็บรวบรวมและวเิ คราะหม์ า โดย เฉพาะอย่างย่ิงปัจจัยเชิงลึกที่มีผลต่อปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษา ตัวอย่างของวิธี การตีความและวิเคราะห์เชิงลึกท่ีเกิดขึ้นมาจากงานด้านอนาคตศึกษา ได้แก่ วิธีการ วเิ คราะหป์ ระวตั ศิ าสตรม์ หภาค (macrohistory) ของโยฮาน กลั ทงุ (Johan Galtung)

อนาคตศึกษา | 108 การวิเคราะห์ชั้นสาเหตุ (Causal Layered Analysis) ของโซเฮล อินายาตอลลา (Sohail Inayatullah) นอกจากน้ี ยังมวี ิธีการอืน่ ที่พัฒนามาก่อนหนา้ นี้ เชน่ อรรถ ปรวิ รรตศาสตร์ (Hermaneutics) ซึง่ เป็นวธิ ีการตีความและท�ำความเข้าใจตวั บทผา่ น ทางกระบวนการเชงิ ประจักษ์ วธิ ีการวิเคราะหร์ ะบบ (systems analysis/thinking) รวมไปถงึ วธิ กี ารผสมผสานสงิ่ ตา่ ง ๆ เขา้ มาใชใ้ นงาน (bricolage) นอกจากน้ี แนวทาง เชงิ บรู ณาการ (integral metholology) ของเคน วลิ เบอร์ (Ken Wilbur) ในกระแส แนวคดิ อนาคตเชงิ บรู ณาการ (integral futures) 4. วธิ กี ารสำ� รวจ ทำ� ซำ�้ และคาดหวงั (iterative, exploratory, prospective methods) วิธีการในกลุ่มน้ีมุ่งเน้นการสร้างภาพอนาคตด้วยการจินตนาการและการใช้ความคิด สรา้ งสรรค์ อาทิ การสรา้ งวสิ ยั ทศั น์ (visioning) การวางแผนฉากทศั น์ (scenario plan- ning) และการพยากรณย์ อ้ นกลบั (backcasting) ซงึ่ เปน็ ตง้ั วสิ ยั ทศั นใ์ นอนาคตไวแ้ ลว้ ยอ้ นกลบั มาวางแผนเพอื่ ใหบ้ รรลวุ สิ ยั ทศั นน์ นั้ องคป์ ระกอบหนง่ึ ของวธิ กี ารศกึ ษาและ สรา้ งภาพอนาคตกลมุ่ นค้ี อื การเคลอ่ื นไหวผลกั ดนั ทางสงั คม (activism) ทงั้ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (action research) การเรยี นร้เู ชงิ ปฏิบตั กิ าร (action learning) และการ จัดประชมุ ปฏบิ ตั ิการเพอ่ื สรา้ งภาพอนาคตแบบมสี ่วนรว่ ม3 การแบ่งกลุ่มวิธีการตามข้ันตอนการคาดการณ์ข้างต้นสามารถแบ่งให้ละเอียดเพิ่มลงไปอีกตาม ประเภทกจิ กรรมในแตล่ ะขน้ั ตอน ดงั ทเ่ี สนอไวโ้ ดยเอสจาน ซารทิ าส (Ozcan Saritas) 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. กลุ่มวิธีการส�ำรวจเพ่ือให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (intelligence) และก�ำหนดขอบเขตของ การศกึ ษา 2. กลุ่มวธิ กี ารจินตนาการ (imagination) เพ่อื ค้นหาความเปน็ ไปได้และทางเลอื กทอี่ าจ เกดิ ขึน้ ในอนาคตด้วยความคิดสร้างสรรค์ 3. กลุ่มวิธีการบูรณาการ (integration) เพื่อจัดระเบียบข้อมูล ความรู้และเหตุการณ์ เกี่ยวกบั อนาคต 4. กลมุ่ วิธีการตคี วาม (interpretation) เพอื่ แปลผลและก�ำหนดกรอบยุทธศาสตร์ 5. กล่มุ วิธีการดำ� เนินการ (intervention) เพื่อก�ำหนดนโยบาย แผนและโครงการ 6. กลุ่มวิธีการประเมินผลกระทบ (impact) เพื่อทบทวนผลด�ำเนินการ และเพื่อแก้ไข ปรับปรุงแนวทางหรอื ดำ� เนนิ กจิ กรรมใหม่ นอกจากวิธกี ารท้ัง 6 กลมุ่ แลว้ ยงั มีกลมุ่ ที่ 7 คอื วิธกี ารสร้างปฏิสมั พันธ์ (interaction) ระหวา่ ง ผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสยี ในตลอดกระบวนการคาดการณท์ ั้ง 6 ขน้ั ตอน ตามทแ่ี สดงไวใ้ นตารางท่ี 4

109 | อนาคตศกึ ษา ปตารระาเภงททว่ี 4ิธกี ารศึกษาอนาคตแบง่ ตามข้นั ตอนการคาดการณ์ ดัดแปลงจาก: Saritas (2013)

อนาคตศึกษา | 110 วิธีการศึกษาอนาคตท่ีมีอยู่จ�ำนวนมากนี้อาจท�ำให้เกิดข้อสงสัยว่า แต่ละแนวทางและวิธีการมี ความแตกต่างกนั อยา่ งไร สำ� นักงานวิทยาศาสตร์และนวตั กรรมของอังกฤษ (Office of Science and Innovation) อธบิ ายความแตกต่างของวิธีการหลกั ในการคาดการณไ์ วอ้ ย่างกระชบั และชดั เจน ดงั น4้ี สมมติว่าคุณกำ� ลังยนื อยู่บนหอบงั คบั การบนเรอื เม่ือกวาดสายตาออกไป จะ เหน็ เส้นขอบฟา้ (การกวาดสญั ญาณ - horizon scanning) และมองเหน็ ยอดของ ภเู ขานำ�้ แขง็ และเรอื บรรทกุ เสบยี ง คณุ คาดประมาณความเรว็ และทศิ ทางของยอด ภูเขานำ้� แขง็ และเรอื บรรทุกเสบียงน้นั (การวิเคราะห์แนวโนม้ - trend analysis) แลว้ นำ� เอาขอ้ มลู ทวี่ เิ คราะหด์ ว้ ยคอมพวิ เตอร์ (การสรา้ งแบบจำ� ลอง – modeling) จากน้นั จึงกำ� หนดเส้นทางเดินเรอื (การท�ำแผนที่นำ� ทาง – roadmapping) เพอ่ื “เข้าไปหาเรือบรรทุกเสบียงแต่เลี่ยงไม่ให้ชนภูเขาน้�ำแข็ง ในขณะที่คุณก�ำลังล่อง เรอื ไป คณุ คิดถงึ ช็อกโกแลตอรอ่ ยที่คุณหวงั วา่ จะอยบู่ นเรอื บรรทุกเสบียงนนั้ (การ สรา้ งวสิ ยั ทศั น์ - visioning) คณุ ตระหนกั ดวี า่ ความเรว็ และทศิ ทางของภเู ขานำ้� แขง็ และเรอื บรรทกุ เสบยี งอาจเปลย่ี นแปลงไดเ้ สมอ จงึ คำ� นวณทางเลอื กเสน้ ทางทท่ี ำ� ให้ มโี อกาสสงู ทส่ี ดุ ในการเขา้ ไปถงึ เรอื บรรทกุ เสบยี ง (การสรา้ งฉากทศั น์ – scenarios) กระน้นั กต็ าม คุณรู้ดวี า่ ถงึ แม้จะพยายามวางแผนไวอ้ ยา่ งไรก็ตาม ก็ยงั มโี อกาสท่ี เหตุไม่คาดฝันอาจเกิดข้ึน และท�ำให้เรือชนกับภูเขาน�้ำแข็งได้ คุณจึงส่ังให้ลูกเรือ ฝึกซ้อมการหนีภัยฉุกเฉิน (การใช้เกมจ�ำลองสถานการณ์ - gaming) พร้อมกันนี้ คุณก็จินตนาการต�ำแหน่งของเรือบรรทุกเสบียงท่ีคาดว่าน่าจะเป็นไปได้มากท่ีสุด แล้ววเิ คราะห์และวางขั้นตอนการเดนิ เรือเข้าไปถงึ ตำ� แหนง่ นนั้ (การพยากรณย์ อ้ น กลบั - backcasting) คำ� อธบิ ายขา้ งบนแสดงใหเ้ ห็นว่า วิธีการศึกษาอนาคตมอี ยู่หลากหลาย การเลอื กใชจ้ งึ ข้นึ อยกู่ ับ วตั ถุประสงค์ สถานการณแ์ ละบรบิ ท โดยไม่มวี ิธีการหน่งึ เดยี วทเ่ี หมาะสมส�ำหรับทุกวตั ถุประสงคแ์ ละ ทุกสถานการณ์ ความเข้าใจในจุดแข็งและข้อจ�ำกัดของแต่ละวิธีการช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีการที่ ”เหมาะสมกับค�ำถาม สถานการณ์และเง่ือนไขของการวเิ คราะหใ์ นแต่ละคร้ัง เนื้อหาส่วนท่ีเหลือในบทน้ีน�ำเสนอสาระส�ำคัญโดยย่อของวิธีการและเครื่องมือศึกษาอนาคต ท่ีเป็นท่ียอมรับในวงการอนาคตศาสตร์และการคาดการณ์เชิงยุทธศาสตร์ เน้ือหาส่วนใหญ่สรุปมา จากหนังสือชื่อ Futures Research Methodology - V3.0 ซ่ึงเจโรม เกลน (Jerome Glenn) และเธโอดอร์ กอร์ดอน (Theodore Gordon) เป็นบรรณาธิการ โดยมนี กั อนาคตศาสตรช์ อื่ ดงั ระดบั โลกเปน็ ผเู้ ขยี นในแตล่ ะบท หนงั สอื เลม่ ดงั กลา่ วอธบิ ายวธิ วี ทิ ยาดา้ นอนาคตศกึ ษาไวอ้ ยา่ งครอบคลมุ จงึ เปน็ หนงั สอื อา้ งองิ ทเี่ หมาะสำ� หรบั ผอู้ า่ นทต่ี อ้ งการทราบรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ จากเนอื้ หาทส่ี รปุ ไวใ้ นบทน้ี

111 | อนาคตศกึ ษา การกวาดสญั ญาณ การวางแผนทดี่ ตี อ้ งใชข้ อ้ มลู ความรจู้ ากการคาดการณ์ แตก่ ารคาดการณไ์ มว่ า่ ดว้ ยวธิ กี ารใดกต็ าม ยอ่ ม ต้ังอยู่บนข้อสมมติเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ รวมถึงสมมติฐานเกี่ยวกับสาเหตุที่ท�ำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงน้ัน ในโลกปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและในวงกว้าง การค้นหาและ ตรวจจับสัญญาณการเปล่ียนแปลงและการประเมินผลกระทบย่อมมีความส�ำคัญมากข้ึน หน่วยงาน และองค์กรท่ีต้องการวางแผนยุทธศาสตร์ในบริบทของการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ย่ิงจำ� เป็นต้องมีขีดความสามารถที่ดใี นการกวาดสญั ญาณ การกวาดสัญญาณเป็นวิธีการพ้ืนฐานท่ีนักอนาคตศาสตร์ใช้ในการค้นหา เก็บรวมรวมและ วิเคราะห์ข้อมูล เพ่ือให้แยกแยะว่าปัจจัยหรือเหตุการณ์ใดเป็นปัจจัยคงที่ (constant) ปัจจัยใดที่ เปล่ยี นแปลง (change) และปัจจัยใดท่ีเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่ (constant change) รวมถึงสัญญาณ ออ่ น (weak signals) ทบี่ ง่ ชถ้ี งึ การเปลีย่ นแปลงสำ� คญั ทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ในอนาคต รวมไปถงึ สาเหตทุ ที่ ำ� ให้ เกิดการเปล่ียนแปลงหรือไม่เปล่ียนแปลงนั้น ผลลัพธ์จากการกวาดสัญญาณท�ำให้นักอนาคตศาสตร์ สามารถตัดสินได้ว่า ข้อสมมติพื้นฐานของการคาดการณ์ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ควรต้องปรับเปล่ียนข้อ สมมติและเง่ือนไขใดบ้างเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในอนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนแผนและการเต รียมการใหด้ ีย่งิ ข้นึ คำ� วา่ environment ในคำ� วา่ environmental scanning เปน็ ศพั ทท์ นี่ กั อนาคตศาสตรใ์ ชอ้ ยา่ ง แพร่หลายในชว่ งทศวรรษท่ี 1960-1970 แตเ่ ม่อื แนวคดิ และการรณรงค์ด้านส่งิ แวดล้อมแพรข่ ยายใน วงกวา้ งมากขน้ึ จงึ เกดิ ขอ้ สงั เกตวา่ คำ� ศพั ทด์ งั กลา่ วสอื่ ถงึ การจบั สญั ญาณทเ่ี นน้ เฉพาะการเปลยี่ นแปลง ในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ (natural environment) ท่ีเกิดจากการกระท�ำของมนุษย์เท่านั้น ดังน้ัน เพื่อหลีกเล่ียงความสับสนดังกล่าว นักอนาคตศาสตร์จึงเริ่มใช้ค�ำศัพท์อ่ืน เช่น ระบบกวาดสัญญาณ อนาคต ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (early warning system) และระบบปัญญาส�ำหรับอนาคต (futures intelligence system) อีกคำ� ศพั ทห์ นงึ่ ท่ใี ช้คือ horizon scanning system วัตถุประสงค์หลักของระบบการกวาดสัญญาณคือการค้นพบส่ิงบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงหรือ การพัฒนาส�ำคัญท่ีอาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ล่วงหน้ามากที่สุดเท่าท่ีจะท�ำได้ การกวาดสัญญาณเป็น มากกว่าการติดตามข่าวตามส่ือต่าง ๆ โดยเป็นกระบวนการที่ออกแบบไว้อย่างเป็นระบบเพื่อค้นหา วิเคราะห์และประเมินความส�ำคัญของแนวโน้ม พัฒนาการ และประเด็นอุบัติใหม่ท่ีอาจยังไม่ชัดเจน

อนาคตศึกษา | 112 ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต แต่อาจมีนัยส�ำคัญในเชิงนโยบายและเชิงการปฏิบัติด้วยเช่น กนั กระบวนการกวาดสัญญาณจงึ ไมจ่ บอย่ใู นตัวเอง แตต่ ้องสรา้ งคำ� ถามที่น�ำไปสูก่ ารสนทนาและถก เถียงกันต่อไปเกี่ยวกับทิศทางและภาพอนาคตขององค์กรหรือพ้ืนที่เป้าหมายของการคาดการณ์และ การวางแผนนนั้ ด้วยเหตุนี้ กจิ กรรมในการกวาดสญั ญาณจงึ ควรเป็นกจิ กรรมพนื้ ฐานในกระบวนการ เรียนรแู้ ละการตดั สินใจขององค์กร ข้ันตอนและวธิ ีการ กระบวนการกวาดสญั ญาณในภาพรวมแบง่ ออกเปน็ 6 ขนั้ ตอนหลกั เรม่ิ จาก (1) การระบคุ วามต้องการ ในการกวาดสญั ญาณ (2) การคดั เลือกและเชิญผูเ้ ขา้ ร่วมกระบวนการกวาดสญั ญาณ (3) การเกบ็ ขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง (4) การวเิ คราะหข์ อ้ มลู (5) การเผยแพรผ่ ลการกวาดสญั ญาณและ (6) การใชผ้ ลการวเิ คราะห์ ในการวางแผนเพอ่ื ตดั สนิ ใจ ในบางองคก์ ร อาจมกี ารสรา้ งระบบการกวาดสญั ญาณเพอ่ื ใหก้ ระบวนการ ดังกล่าวให้เป็นกิจกรรมส�ำคัญส่วนหน่ึงขององค์กร แผนภาพข้างล่างแสดงตัวอย่างโครงสร้างระบบ การกวาดสัญญาณทโี่ ครงการมลิ เลเนยี มโปรเจกตพ์ ฒั นาใหก้ ับบรษิ ทั คเู วตออยล์ ตแัวผอนยภา่ างพรทะบี่ 5บการกวาดสัญญาณในการคาดการณ์ ดดั แปลงจาก: Gordon and Glenn (2009) ตามตัวอย่างดังกล่าว องค์ประกอบสำ� คัญของระบบกวาดสัญญาณอนาคตประกอบด้วย ระบบ กวาดสัญญาณ ระบบวิเคราะห์และสังเคราะห์ ระบบสร้างปัญญาร่วม (collective intelligence system) และระบบบรหิ ารจดั การ ซง่ึ มบี ทบาทสำ� คญั ในการทำ� ความเขา้ ใจและเรยี นรเู้ กยี่ วกบั อนาคต และการตัดสินใจด้านนโยบาย องค์ประกอบส�ำคัญอีกส่วนหนึ่งคือระบบป้อนกลับและระบุความ ตอ้ งการใหม่ (feedback and new requirements) ซงึ่ ปอ้ นข้อมลู ทงั้ ความเหน็ และค�ำแนะนำ� จาก

113 | อนาคตศึกษา ฝ่ายผู้บริหารและผู้ตัดสินใจไปยังกลุ่มนักวิเคราะห์ที่กวาดและวิเคราะห์สัญญาณ เพ่ือปรับปรุงวิธีการ และขอ้ มลู ทใ่ี ชว้ เิ คราะห์ ข้อมูลรายละเอียดของข้อมลู จากการกวาดสัญญาณสามารถบนั ทกึ ตามหัวข้อหรอื คำ� สำ� คัญ เพอื่ นำ� ไปวเิ คราะหไ์ ด้งา่ ยขึน้ เช่น 1. กลุ่มหวั ข้อของเหตกุ ารณ/์ ปจั จยั เช่น STEEP – สงั คม (social) เทคโนโลยี (technology) เศรษฐกจิ (economic) สงิ่ แวดลอ้ ม (environmental) และการเมอื ง (politics) รวมถึง ขอ้ สมมติ และความเสย่ี ง (risks) 2. สงิ่ บง่ ชหี้ ลกั (leading indicator) คอื เหตกุ ารณห์ รอื ปจั จยั ทส่ี อ่ื ถงึ การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ 3. ทีม่ าขอ้ มลู 4. วธิ กี ารเข้าถงึ ขอ้ มูล 5. นัยและความส�ำคัญของเหตุการณ์หรือปัจจัย ซึ่งเป็นผลการวิเคราะห์เบื้องต้นและการ วเิ คราะหร์ ปู แบบ (pattern analysis) 6. ผลลัพธ์และผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์หรือปัจจัยขับเคล่ือน แม้ว่าเราไม่ อาจทราบถงึ อนาคต แต่พอคาดเดาอยา่ งมีหลกั การได้ถึงขอบเขตของผลกระทบท่มี ีโอกาส เกดิ ขนึ้ ในอนาคต นกั วเิ คราะหอ์ าจใชว้ ธิ กี ารวงลอ้ อนาคต ในการคาดการณผ์ ลกระทบทอ่ี าจ เกิดขน้ึ ไดใ้ นปจั จุบนั และอนาคต โดยแสดงเปน็ ตวั เลขหรอื การพรรณนาสถานการณท์ ่ีเปน็ อย่ใู นปัจจุบนั และเหตกุ ารณ์ทีม่ ีแผนการหรอื คาดว่าจะเกิดขน้ึ ในอนาคต 7. ผเู้ ก่ยี วข้องมใี ครบา้ งท่มี ผี ลต่อเหตกุ ารณ์หรือตวั บ่งชท้ี สี่ นใจ ทั้งปจั เจกบุคคลและองค์กร 8. วันเวลาทบ่ี นั ทกึ และผบู้ นั ทกึ การกวาดสญั ญาณเป็นกจิ กรรมส�ำคญั ของการนำ� เขา้ ขอ้ มลู (input) เพอ่ื การศกึ ษาอนาคตทงั้ ใน ด้านวิชาการและด้านการวางแผนยุทธศาสตร์ การกวาดสัญญาณสามารถใช้วิธีการและเครื่องมือที่ หลากหลาย ตวั อยา่ งเชน่ • คณะผู้เชี่ยวชาญ (expert panels) ในระบบกวาดสัญญาณ อาจมีการจัดต้ังคณะผู้ เชี่ยวชาญท่ีคอยสังเกตการณ์และเฝ้ามองหาการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางต่าง ๆ ท้ังวิธีการเดลฟาย การพัฒนาและใช้ซอฟต์แวร์ในการจับสัญญาณบนพื้นท่ีดิจิทัลและส่ือ โซเชียล และการจัดการประชุมกลมุ่ ย่อยและการสนทนาเพ่อื ระดมสมองในรูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ แบบ world café รวมถงึ วิธีการท่ีซับซ้อนมากขน้ึ เชน่ ตลาดการพยากรณ์ (predic- tion market) • การทบทวนวรรณกรรม (literature review) ในฐานข้อมูลท่ีเก็บรวมรวมข้อมูลใน หัวข้อและประเด็นที่สนใจ ท้ังบทความในวารสารวิชาการ นิตยสาร รายงานของรัฐบาล และองค์กร ข่าวและสิ่งตีพิมพ์อื่น ๆ ท้ังในรูปแบบกระดาษและแบบดิจิทัลท่ีสามารถเข้า ถงึ ได้ทางอินเทอร์เนต็ • การสบื คน้ บนเวบ็ ไซต์ โดย web crawlers ทสี่ ามารถสบื คน้ บนเวบ็ เพอ่ื หาขอ้ มลู ใหม่ และ

อนาคตศึกษา | 114 การใช้ Google Alerts (http://www.googlealert.com) ในการค้นหาสญั ญาณด้วยคำ� ส�ำคัญทก่ี ำ� หนดขน้ึ และแจง้ การเปลยี่ นแปลงท่เี กิดข้ึนตามระยะเวลาที่ต้งั ไว้ • การรวบรวมประกาศและสื่อประชาสัมพันธ์ (press release) ขององคก์ รหรือบริษัทท่ี แสดงข้อมลู ผลิตภณั ฑใ์ หมแ่ ละแนวโน้มด้านต่าง ๆ • การติดตามบุคคลสำ� คัญ ท้ังผูเ้ ชีย่ วชาญเฉพาะทางที่มชี อื่ เสยี งและได้รบั การยอมรบั รวม ถงึ หวั ขอ้ และเนื้อหาการบรรยายในการประชุมชัน้ น�ำในวงการวิชาการและวงการธุรกจิ ความถี่ของการกวาดสัญญาณข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์และความส�ำคัญท่ีองค์กรให้กับการคาด การณ์เชิงยุทธศาสตร์ องค์กรบางแห่งอาจมีหน่วยย่อยหรือเจ้าหน้าที่ท่ีท�ำหน้าที่กวาดสัญญาณอยู่ อย่างต่อเน่ืองและเป็นประจ�ำ เช่น ศูนย์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ (Centre for Strategic Futures) ของรัฐบาลสิงคโปร์ บางแห่งมีโครงการกวาดสัญญาณตามค�ำขอหรือค�ำสั่งจากหน่วยงานอ่ืน บางแห่ง กวาดสัญญาณเม่ือมีความสนใจในสถานการณ์ท่ีดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน ขอบเขตของการกวาดสัญญาณมักข้ึนอยู่กับพันธกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร คุณลักษณะ ส�ำคัญของการกวาดสัญญาณในการคาดการณ์ท่ีแตกต่างจากการการส�ำรวจแนวโน้มและเง่ือนไข ส�ำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ท�ำอยู่ทั่วไป คือ การให้ความส�ำคัญกับสัญญาณอ่อน (weak signals) ท่ีบ่งชี้ถึงโอกาสในการเปล่ียนแปลงในอนาคต เหตุไม่คาดฝันท่ีมีโอกาสเกิดขึ้นต่�ำแต่ผลกระ ทบสูง หรือไวล์คาร์ด รวมถึงความครอบคลุมในการกวาดสัญญาณในสาขาและภาคส่วนต่าง ๆ ให้ มากที่สุด โดยเฉพาะการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนภายนอกองค์กร ท้ังนี้ท้ังน้ัน ขอบเขตของการกวาด สัญญาณขึ้นอยู่กับทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณและด้านบุคลากรขององค์กรด้วยเช่นกัน ตัวอย่างหนึ่งของระบบกวาดสัญญาณระดับโลกที่พัฒนาระบบปัญญาร่วม (collective intelligence system) คือระบบข้อมูลและเครือข่ายพลังงานระดับโลก (Global Energy Network and Information System – GENIS) ซ่ึงพัฒนาโดยโครงการมิลเลนเนียมโปรเจกต์ (The Millennium Project) ระบบ GENIS มีสององค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) เครือข่ายพลังงานระดับโลก (Global Energy Network) ซ่ึงส่งเสริมการส่ือสารและการท�ำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักนโยบาย และผู้ท�ำงานด้านพลังงาน และ (2) ระบบข้อมูลพลังงานระดับโลก (Global Energy Information System) ซ่ึงเป็นฐานความรู้และชุดเคร่ืองมือท่ีส่งเสริมการรวบรวมและพัฒนาความรู้ เก่ียวกับระบบพลังงานระดับโลก5 รัฐบาลหลายประเทศให้ความส�ำคัญกับระบบการคาดการณ์ระดับ ชาติ จึงมีหน่วยงานหรือคณะท�ำงานที่ท�ำหน้าที่กวาดสัญญาณในด้านต่าง ๆ อาทิ รัฐบาลฟินแลนด์ (ท้ังในรัฐบาลและในสภาผู้แทนราษฎร) สิงคโปร์ (ใน Centre for Stratetic Futures) อังกฤษ (ใน Government Office of Science) และแคนาดา (ใน Policy Horizons Canada) เนื่องจากกรอบการท�ำงาน แนวทางและวิธีการกวาดสัญญาณของแต่ละองค์กรและแต่ละ โครงการมักแตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงมักแตกต่างกันด้วย ตารางท่ี 5 แสดงตัวอย่างหนึ่งของ ผลลัพธ์การกวาดสัญญาณ โดยเป็นสารบัญของรายงานของการกวาดสัญญาณด้านความม่ันคงทาง ส่ิงแวดล้อมของสถาบันนโยบายสิ่งแวดล้อมของกองทัพบกสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 25526

115 | อนาคตศึกษา ตตัวารอายง่าทง่ีป5ระเด็นการกวาดสญั ญาณดา้ นความมั่นคงทางส่งิ แวดลอ้ ม ทม่ี า: Gordon and Glenn (2009)

อนาคตศึกษา | 116 อีกตวั อยา่ งหนง่ึ ในตารางท่ี 6 แสดงผลการกวาดสญั ญาณปจั จยั ขบั เคลอื่ นท่นี ่าจะมผี ลตอ่ อนาคต ของเมอื ง โดยใช้กรอบการวิเคราะห์ STEEP ในโครงการ “คนเมือง 4.0” ซ่งึ ดำ� เนินการโดยคณะวิจัย จากจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย7 ตตวัารอายง่าทงี่ป6จั จยั ขบั เคลอ่ื นท่นี า่ จะมีผลต่ออนาคตของเมือง

117 | อนาคตศึกษา ที่มา: อภวิ ัฒน์ รัตนวราหะ และคณะ (2563)

อนาคตศึกษา | 118 การทำ�เหมืองขอ้ มลู และข้อความ ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลมหาศาลหรือบิ๊กดาต้า (Big Data) ประกอบกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ ทำ� ใหว้ ธิ กี ารทำ� เหมอื งขอ้ มลู และเหมอื งขอ้ ความเปน็ ทน่ี ยิ มมากขน้ึ ในงานดา้ นอนาคตศกึ ษา และเปน็ ชอ่ งทางใหมท่ ไี่ ด้รับความส�ำคญั มากข้ึนในวงการคาดการณ์เชิงยุทธศาสตรใ์ นปจั จบุ ัน อยา่ งไร กต็ าม ดว้ ยจำ� นวนขอ้ มลู ไดเ้ พม่ิ ข้ึนมากและอย่างรวดเร็ว อกี ท้ังแหล่งขอ้ มลู ยังมคี วามหลากหลายมาก ยง่ิ ขน้ึ จงึ ทำ� ใหก้ ารทำ� เหมอื งขอ้ มลู ตอ้ งกา้ วขา้ มขอบเขตของศาสตรแ์ ละสาขาวชิ าการและวงการวชิ าชพี และครอบคลมุ สงิ่ ตพี มิ พแ์ ละฐานขอ้ มลู จำ� นวนมากและหลากหลายมากขน้ึ ดว้ ยเหตนุ ้ี นกั อนาคตศกึ ษา จงึ ตอ้ งพฒั นาเทคนคิ วธิ ใี นการระบุ คน้ หา และประมวลขอ้ มลู ทสี่ ามารถวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหใ์ หเ้ ปน็ ความรทู้ ใี่ ชป้ ระโยชน์ไดใ้ นการคาดการณแ์ ละตดั สินใจเชิงยทุ ธศาสตร์ วิธีการหนึ่งในการได้มาซ่ึงข่าวกรองหรือข้อมูลเชิงลึกท่ีใช้ในการวางแผนและการบริหารจัดการ คือการท�ำเหมืองข้อมลู (data mning) และการทำ� เหมอื งขอ้ ความ (text mining) วธิ กี ารทำ� เหมอื ง ข้อมูลและข้อความเป็นหนึ่งในวิธีการส�ำคัญของการวิเคราะห์เทคโนโลยีส�ำหรับอนาคตท่ีประกอบ ด้วยการประเมิน การพยากรณ์ การคาดการณ์และการสรา้ งแผนท่ีน�ำทางดา้ นเทคโนโลยี (technol- ogy assessment, forecasting, foresight, and roadmapping) หลักการพื้นฐานของวิธีการท�ำ เหมอื งขอ้ ความคอื การเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากแหลง่ ตา่ ง ๆ คลา้ ยกบั วธิ กี ารพน้ื ฐานของการ ทบทวนวรรณกรรมแบบดง้ั เดมิ แลว้ จดั ระบบและยอ่ ยขอ้ มลู ดบิ เพอื่ วเิ คราะหห์ ารปู แบบและเหตกุ ารณ์ ส�ำคัญ แนวคิดพืน้ ฐานของการทำ� เหมืองขอ้ มูลและเหมืองขอ้ ความคลา้ ยคลงึ กับวิธกี ารกวาดสญั ญาณ ทง้ั การท�ำเหมอื งขอ้ มูลและการทำ� เหมอื งข้อความเกี่ยวข้องกบั การวเิ คราะหข์ ้อมลู การทำ� เหมือง ขอ้ มลู หมายถงึ กระบวนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู จำ� นวนมากเพอ่ื คน้ หารปู แบบทมี่ คี วามหมาย ในขณะทกี่ าร ท�ำเหมอื งขอ้ ความมุ่งวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงข้อความที่อยใู่ นรูปแบบโครงสรา้ งไม่ชดั เจน (unstructured) ให้อยใู่ นรปู แบบที่มโี ครงสรา้ งเพื่อหาข้อค้นพบเชิงลกึ การท�ำเหมืองขอ้ มลู โดยทั่วไปมุ่งใชเ้ ครอ่ื งมือทาง สถติ ทิ วี่ ิเคราะหต์ ัวเลข ในขณะทก่ี ารท�ำเหมืองข้อความเน้นการวเิ คราะห์ทางภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะ วากยสัมพนั ธ์ (syntax) และการวเิ คราะห์ศัพท์ (lexicon) การกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศโดยเฉพาะขดี ความสามารถในการคำ� นวณโดยคอมพวิ เตอร์ ทำ� ใหก้ ารวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลขอ้ มลู จากฐานขอ้ มลู อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ปน็ ไปไดง้ า่ ยและมปี ระสทิ ธภิ าพ มากขึ้น ตวั อยา่ งหนึ่งคือวิธกี ารบรรณมิติหรอื บรรณมาตร (bibliometrics) ซ่ึงประยุกต์ใช้แนวคิดและ

119 | อนาคตศึกษา วธิ ีการทางคณติ ศาสตร์และสถิติศาสตร์ในการวัดและประเมินสิง่ ตพี ิมพ์ เช่น การวัดจ�ำนวนผลงานวิจยั และจำ� นวนการอา้ งอิงผลงานวิจัยในสาขาหรอื หัวข้อทีส่ นใจ วิธีการทำ� เหมืองขอ้ ความส่วนหน่งึ คลา้ ย กบั การวิเคราะห์เนือ้ หา (content analysis) ซึ่งเป็นวธิ กี ารวจิ ัยทวี่ ิเคราะห์รปู แบบของการใชค้ �ำศัพท์ หรอื ประโยค แตข่ ดี ความสามารถดา้ นคอมพวิ เตอรท์ ำ� ใหก้ ารวเิ คราะหเ์ นอื้ หาดว้ ยการทำ� เหมอื งขอ้ ความ ครอบคลมุ ปริมาณขอ้ มลู มากขนึ้ เรว็ ขึน้ และมีประสิทธภิ าพมากข้ึน การท�ำเหมืองข้อมูลวิเคราะห์ทั้งข้อมูลท่ีเป็นตัวเลขและมีโครงสร้าง (structured data) หรือ ข้อมูลที่ได้แบ่งเป็นเขตข้อมูลหรือฟิลด์ (field) ไว้แล้ว เช่น ผู้เขียน ปีเผยแพร่ ค�ำส�ำคัญ แต่รวมไปถึง ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบโครงสร้างไม่ชัดเจน (unstructured qualitative data) เช่น ข้อความการ สนทนาและแลกเปลยี่ นบนกระดานสนทนาหรือเว็บบอรด์ (webboard) เปน็ ตน้ สาขาความเชี่ยวชาญ ในการท�ำเหมืองขอ้ มูลได้พฒั นามากข้ึน เช่น ภาษาศาสตรค์ อมพวิ เตอร์ (computational linguistics) การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) และ การค้นหาความรู้ในฐาน ข้อมูล (Knowledge Discovery in Databases) อนึ่ง การท�ำเหมืองข้อมูลและเหมืองข้อความถือ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ที่เสริมประกอบซ่ึงกันและกัน และมุ่งวิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลจ�ำนวนมากเพื่อ แก้ปัญหาหรือความท้าทายทางวิชาการหรือธุรกิจเช่นเดียวกัน แต่วิธีการทั้งสองเน้นวิเคราะห์ข้อมูลที่ แตกต่างกัน โดยทวั่ ไป การทำ� เหมอื งขอ้ มลู เนน้ วเิ คราะหข์ อ้ มลู แบบมโี ครงสรา้ ง ในขณะทกี่ ารทำ� เหมอื งขอ้ ความ เน้นขอ้ มลู ท่ีโครงสรา้ งไมช่ ดั เจน ท้งั สองแนวทางพ่ึงการวเิ คราะหด์ ว้ ยเคร่อื งมือทางสถิติศาสตร์ ปญั ญา ประดิษฐ์ และการเรยี นรู้ของเครอ่ื ง (Machine Learning) แตใ่ นกรณีของการท�ำเหมอื งขอ้ ความ ตอ้ ง ใช้เคร่ืองมือด้านการประมวลภาษาธรรมชาติเพิ่มเติม เพ่ือแปลงข้อมูลดูเหมือนไม่มีโครงสร้างหรือมี โครงสรา้ งไม่ชัดเจนให้มีโครงสรา้ งทช่ี ดั เจนมากข้ึนก่อนน�ำไปวิเคราะหด์ ้วยเครอ่ื งมอื อ่ืน ๆ วธิ กี ารท�ำเหมืองขอ้ มูลเพือ่ วิเคราะห์และคาดการณ์ด้านเทคโนโลยี (tech mining) สามารถใช้ได้ ในการวางแผนการพฒั นาเทคโนโลยแี ละการสรา้ งดชั นกี ารเปลยี่ นแปลงทเี่ กย่ี วขอ้ ง เชน่ ดชั นนี วตั กรรม (innovation indicators) ประเภทข้อมูลท่ีเลือกใช้ในการท�ำเหมืองข้อมูลขึ้นอยู่กับประเด็นหัวข้อ และวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ ประเภทข้อมูลส�ำหรับการท�ำเหมืองข้อมูลในบริบทด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละและนวตั กรรมแบ่งไดต้ ามประเภทเน้ือหา (เทคโนโลย/ี บรบิ ทของเทคโนโลยี) และแหลง่ ขอ้ มลู (ฐานข้อมลู /อนิ เทอรเ์ นต็ /คน) ได้ 6 ประเภท ไดแ้ ก8่ ปตารระาเภงททขี่ 7อ้ มูลดา้ นเทคโนโลยี ทม่ี า: Porter (2009)

อนาคตศกึ ษา | 120 ขัน้ ตอนและวธิ กี าร การท�ำเหมืองข้อมูลด้านเทคโนโลยีใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลและช่องทางทั้งหมดที่แสดงในตาราง ท่ี 7 ทงั้ น้ี กระบวนการทำ� เหมอื งขอ้ มลู เพอ่ื ใชใ้ นการคาดการณเ์ ชงิ ยทุ ธศาสตรแ์ บง่ ออกเปน็ 4 ขนั้ ตอน หลักคือ (1) การเลือกแหล่งข้อความ (2) การเตรียมพร้อมข้อความ (3) การวิเคราะห์ข้อมูล และ (4) การแปลผล การเลอื กแหล่งข้อความ การเลือกแหล่งข้อความท่ีใช้ในการวิเคราะห์เพื่อศึกษาอนาคตข้ึนอยู่กับกรอบค�ำถามวิจัยหรือ หวั ขอ้ ทก่ี ำ� หนดไวใ้ นตอนตน้ เมอ่ื กำ� หนดคำ� ถามวจิ ยั ไดช้ ดั เจนแลว้ จงึ ตดั สนิ ใจวา่ จะตอบคำ� ถามนนั้ ดว้ ย วธิ กี ารใด และการวเิ คราะหด์ ว้ ยแหลง่ ขอ้ ความจะใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไร แหลง่ ขอ้ ความทใ่ี ชไ้ ดม้ อี ยมู่ าก นบั ตง้ั แตบ่ ทความทว่ั ไป สงิ่ ตพี มิ พท์ รี่ ะบมุ าตรฐานเทคโนโลยแี ละวทิ ยาศาสตร์ ไปจนถงึ ขอ้ ความบนโลก โซเชียลมีเดียต่าง ๆ แนวทางการค้นหาข้อความที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อการคาดการณ์จะข้ึนอยู่ กับหัวข้อและประเด็นท่ีต้องการวิเคราะห์ ขอ้ ความบางประเภทสามารถเขยี นโปรแกรมและอลั กอรทิ มึ เพอ่ื ชว่ ยในการค้นหาได้สะดวกและรวดเร็วมากข้ึน เช่น ข้อความท่ีอยู่ในฐานข้อมูล เช่น สิทธิบัตร ลขิ สิทธ์ิ และมาตรฐานเทคโนโลยี และข้อความตามโซเชียลมีเดีย การพฒั นาอลั กอริทึมท่ที �ำให้ระบบ คอมพวิ เตอรส์ ามารถเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง หรอื machine learning ไดท้ ำ� ใหก้ ารทำ� เหมอื งขอ้ มลู เปน็ ไป ไดง้ า่ ยยงิ่ ขน้ึ อยา่ งไรกต็ าม ในกรณที ต่ี อ้ งวเิ คราะหข์ อ้ ความในแหลง่ ขอ้ มลู แบบดง้ั เดมิ ทยี่ งั อยใู่ นรปู แบบ กระดาษ เชน่ รายงานของภาครฐั ยคุ กอ่ นดจิ ทิ ลั นกั วเิ คราะหย์ งั คงจำ� เปน็ ตอ้ งใชว้ ธิ เี กบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง การเตรยี มพร้อมขอ้ ความ กอ่ นท่จี ะวเิ คราะห์ข้อความได้ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารคัดกรอง (clean) และปรบั เปล่ียนขอ้ ความให้อยู่ ในรปู แบบขอ้ มลู ทมี่ โี ครงสรา้ งทสี่ ามารถวเิ คราะหไ์ ด้ โดยเรม่ิ จากการแยกขอ้ ความออกเปน็ องคป์ ระกอบ ยอ่ ย ๆ เชน่ คำ� ศพั ท์ ขน้ั ตอนนเี้ รยี กวา่ tokenization จากนนั้ จงึ นำ� องคป์ ระกอบยอ่ ยมาแสดงเปน็ เวก เตอร์ (vector) จากนน้ั จงึ เปน็ การตดั คำ� ดว้ ย stop words ซง่ึ เปน็ การลบคำ� ทไ่ี มส่ ำ� คญั ทงิ้ ไปจากขอ้ มลู หรอื ใชเ้ ทคนคิ อน่ื ๆ เชน่ stemming ซงึ่ เปน็ การตดั คำ� ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบพนื้ ฐาน หรอื lemmatization ซง่ึ เป็นการลดความซบั ซ้อนของคำ� จนอยใู่ นรปู แบบฐาน (root form) ในพจนานุกรม จากนนั้ จงึ เปน็ การ นบั และเกบ็ ความถ่ีของแตล่ ะคำ� เพือ่ วเิ คราะห์ต่อไป9 การวิเคราะหข์ ้อมลู ขนั้ ตอนทส่ี ามของการทำ� เหมอื งขอ้ ความคอื การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารทางสถติ ิ เชน่ การจำ� แนก ประเภท (classification) และการวิเคราะห์กลุ่ม (clustering) ด้วยซอฟแวร์ต่าง ๆ เช่น R, SPSS, RapidMiner, Leximancer, VantagePoint เป็นต้น การแปลผล ข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์จะมีประโยชน์เม่ือมีการแปลผล แต่การแปลผลจากข้อมูลจ�ำเป็น ตอ้ งมกี รอบแนวคดิ ทมี่ าจากความรเู้ ชงิ สาระเกยี่ วกบั หวั ขอ้ นน้ั และเกยี่ วกบั วธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ นอกจากนี้ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะหต์ อ้ งแปลผลตามบรบิ ทและขอบเขตของกระบวนการคาดการณ์

121 | อนาคตศกึ ษา ทดี่ ำ� เนนิ การอยู่ การทำ� เหมอื งขอ้ ความเปน็ กระบวนการทำ� ซำ้� ซงึ่ ผลลพั ธก์ ารวเิ คราะหจ์ ำ� เปน็ ตอ้ งมกี าร คน้ หาข้อมลู เพิ่มเติม เชน่ การสมั ภาษณ์ การประชมุ กล่มุ ยอ่ ย เพื่อตรวจสอบความถูกตอ้ ง ในองค์กรท่ี ดำ� เนนิ กระบวนการคาดการณเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการวางแผนยทุ ธศาสตร์ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยเหมอื ง ข้อความสามารถท�ำใหเ้ ปน็ มาตรฐาน เพือ่ ทำ� ซ้�ำไดอ้ ยา่ งอตั โนมัติ ด้วยพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการบรรจบกันของเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐานของ อุตสาหกรรม 4.0 (industry 4.0) เช่น อนิ เทอร์เน็ตของสรรพสงิ่ (IoT) ปรมิ าณข้อมูลจะเกิดขึ้นในโลก มนุษย์อีกมากมายมหาศาล วิธีการท�ำเหมืองข้อมูลและเหมืองข้อความจะย่ิงได้รับความนิยมมากขึ้น ในวงการอนาคตศึกษาและคาดการณ์เชิงยุทธศาสตร์ เน่ืองจากเป็นวิธีการที่ขยายขอบเขตความรู้ของ มนุษยอ์ อกไปอกี โดยเฉพาะขอบเขตอนาคตทเ่ี ปน็ ไปได้

อนาคตศึกษา | 122 เดลฟาย เดลฟายเปน็ วธิ กี ารบกุ เบกิ ทที่ ำ� ใหอ้ นาคตศกึ ษาไดพ้ ฒั นาเปน็ ศาสตรแ์ ละสาขาวชิ าทมี่ รี ะบบและระเบยี บ วจิ ยั ทช่ี ดั เจน นกั วจิ ยั ในแรนดค์ อรป์ อเรชนั (RAND Corporation) ไดพ้ ฒั นาวธิ เี ดลฟายในชว่ งทศวรรษ ที่ 1960 เพ่ือวิเคราะห์ศักยภาพของเทคโนโลยีทางทหาร รวมถึงประเด็นด้านการเมืองและแนวทาง จัดการกับสถานการณ์ด้านการทหารและความมั่นคง ก่อนหน้านั้น วิธีการวิเคราะห์ทางเลือกใน อนาคตมีอยจู่ �ำกดั เช่น วิธีการใช้เกมและสถานการณ์จ�ำลอง (simulation and games) โดยให้ผูเ้ ข้า ร่วมกระบวนการสวมบทบาทเป็นตัวแทนประเทศหรือกลุ่มการเมือง อีกวิธีหน่ึงคือวิธีการคาดการณ์ แบบอัจฉริยะ (genius forecasting) ซ่งึ ให้ผ้เู ช่ยี วชาญรายบคุ คลหรอื รายกลุ่มแสดงความเห็นเกี่ยวกบั ประเด็นทตี่ ้องการวเิ คราะห์ ในวงการวางแผนยคุ น้นั การวเิ คราะห์เชิงปริมาณยังไมไ่ ดพ้ ัฒนาข้ึนเท่าใด นัก และคอมพิวเตอร์ยังมีขีดความสามารถจ�ำกัด นักวิจัยที่แรนด์เชื่อว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ท่ีสอดคล้องกันน่าจะมีโอกาสถูกต้องและแม่นย�ำมากกว่าความเห็นของคนท่ัวไปที่อยู่นอกวงการของ ศาสตรห์ รือวิชาชีพนั้น แตอ่ ุปสรรคสำ� คญั ประการหนงึ่ ในการรวบรวมความเห็นของคนท่หี ลากหลายคอื เมอื่ ผูเ้ ชยี่ วชาญ มาร่วมประชุมในห้องเดียวกัน การถกเถียงและอภิปรายกันซึ่ง ๆ หน้าอาจท�ำให้ผู้เช่ียวชาญบางคนไม่ แสดงความเหน็ ทีแ่ ทจ้ รงิ ของตนเอง คณะนกั วิจัยของแรนด์ ซง่ึ นำ� โดยโอลาฟ เฮลเมอร์ (Olaf Helmer) จงึ พฒั นาวธิ กี ารรวบรวมและประมวลความเหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญโดยไมต่ อ้ งใหม้ ารว่ มประชมุ ในทเ่ี ดยี วกนั นกั วจิ ยั ของแรนดต์ พี มิ พเ์ ผยแพรผ่ ลงานการคาดการณจ์ ากการใชว้ ธิ กี ารเดลฟายครง้ั แรกในรายงาน การพยากรณ์ระยะยาว (Report on a Long-Range Forecast) ใน พ.ศ. 2507 โดยน�ำเสนอผลการ คาดการณร์ ะยะยาวเกย่ี วกบั การคน้ พบทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยคี รง้ั ใหญใ่ นชว่ ง หลัง พ.ศ. 2543 คณะผู้เช่ียวชาญทีเ่ ขา้ รว่ มในกระบวนการเดลฟายในคร้ังน้นั มที งั้ หมด 82 คน โดยมี ตง้ั แตน่ กั วทิ ยาศาสตรแ์ ละนกั สงั คมศาสตรท์ มี่ ชี อ่ื เสยี งไปจนถงึ นกั เขยี นนวนยิ ายวทิ ยาศาสตรช์ อื่ ดงั เชน่ ไอแซค อสมิ อฟ (Isaac Asimov) และอาร์เธอร์ คลาก (Arthur Clarke) และนกั อนาคตศาสตร์ เช่น แบรท์ ร็อง เดอ จวู เี นล (Bertrand de Jouvenel)10 แมว้ า่ เหตุการณแ์ ละเทคโนโลยีทค่ี าดการณไ์ วใ้ น รายงานดังกลา่ วมีทัง้ ทเี่ กิดขน้ึ จรงิ และที่ไมเ่ กดิ ขนึ้ เลยกต็ าม แตโ่ ครงการศึกษาดังกลา่ วไดท้ ำ� ใหเ้ ดลฟาย กลายเป็นวิธีการทไี่ ดร้ บั การยอมรบั อยา่ งแพรห่ ลาย โดยเฉพาะในฐานะทที่ ำ� ให้การคาดการณอ์ นาคตมี กระบวนการทเี่ ปน็ ระบบและเปน็ วทิ ยาศาสตรม์ ากขนึ้ ตอ่ จากนนั้ มา วธิ กี ารเดลฟายไดร้ บั ความนยิ มและ

123 | อนาคตศกึ ษา ใชง้ านอย่างแพรห่ ลายไปท่วั โลกจนถึงปจั จุบัน จากการส�ำรวจฐานข้อมูล Scopus ใน พ.ศ. 2551 พบ วา่ งานวจิ ยั ที่มีผลงานตีพิมพ์ 105 ฉบับใช้วธิ กี ารเดลฟายเปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศึกษา โดยเฉพาะอยา่ ง ยง่ิ ในงานวิจัยดา้ นการแพทย1์ 1 จุดมุ่งหมายหลักของวิธีการเดลฟายคือการกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงและอภิปรายกันอย่าง แท้จริง โดยไม่สนใจว่าผู้เข้าร่วมเป็นใครก็ตาม หลักการส�ำคัญของวิธีการนี้จึงอยู่ท่ีความเป็นนิรนาม (anonymity) หรือการปิดบังชื่อหรือตัวตนของผู้เข้าร่วมกระบวนการ ความเห็นต่าง ๆ จะประมวล และป้อนกลบั (feedback) ไปยังกลุ่มผูเ้ ช่ียวชาญ เพ่ือใหค้ ณะผู้เช่ยี วชาญท้ังหมดร่วมกนั วเิ คราะห์และ ประเมนิ อกี รอบหน่ึง วิธีการเดลฟายเหมาะส�ำหรับการคาดการณ์และประเมินภาพอนาคตระยะยาวประมาณ 20-30 ปี ของประเดน็ ทีเ่ พ่ิงเกิดใหม่และยงั ไม่มหี ลักฐานเชิงประจกั ษ์ในปจั จุบนั เทา่ ใดนัก วิธีการนยี้ ัง เหมาะสมสำ� หรบั ประเด็นทปี่ จั จยั ภายนอก อาจทำ� ใหเ้ กดิ ผลกระทบอยา่ งมากตอ่ ทิศทางและระดบั การ เปลยี่ นแปลงของประเดน็ นนั้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในกรณที ปี่ จั จยั ในดา้ นความคดิ เหน็ ของสงั คมมอี ทิ ธพิ ล มากกวา่ องค์ประกอบด้านเทคนิคหรอื ดา้ นเศรษฐกิจ ระบบการคาดการณร์ ะดบั ชาตใิ นหลายประเทศมกี ารสำ� รวจเดลฟายอยเู่ ปน็ ระยะ ๆ หนงึ่ ในนนั้ คอื ประเทศญปี่ ุ่น ซ่งึ ไดใ้ ชเ้ ทคนคิ เดลฟายมานานกวา่ 40 ปตี ัง้ แต่ปี 1970 สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแหง่ ชาติ (National Institute of Science and Technology Policy – NISTEP) เป็นองค์กรหลักท่ีรับผิดชอบการคาดการณ์ระดับชาติ โดยด�ำเนินโครงการคาดการณ์ขนาดใหญ่ทุก ๆ 5 ปี และใช้เทคนิคเดลฟายเป็นวิธีการหลัก ในโครงการคาดการณ์ครั้งล่าสุดในพ.ศ.2562 มีผู้เข้า ร่วมกระบวนการมากกวา่ 6,697 คนทีเ่ ป็นผเู้ ชีย่ วชาญจากหลากหลายสาขาวชิ าการและวชิ าชีพ และ ครอบคลมุ ประเด็นมากกวา่ 700 เร่อื ง12 ขน้ั ตอนและวิธีการ กระบวนการเดลฟายเรม่ิ ตน้ จากการกำ� หนดประเดน็ ทตี่ อ้ งการศกึ ษาหรอื คาดการณใ์ หช้ ดั เจนทสี่ ดุ เพอื่ ระบทุ งั้ ขอบเขตศาสตรแ์ ละสาขาทต่ี อ้ งการวเิ คราะห์ รวมถงึ รายชอื่ ผเู้ ชยี่ วชาญทต่ี อ้ งการเชญิ ใหเ้ ขา้ รว่ ม กระบวนการ สง่ิ สำ� คญั ทต่ี อ้ งแจง้ ผเู้ ชย่ี วชาญคอื การปกปดิ ชอ่ื และตวั ตนของผรู้ ว่ มเขา้ กระบวนการ เพอื่ ให้ผูเ้ ช่ยี วชาญสามารถตอบค�ำถามไดอ้ ยา่ งอสิ ระ เมื่อกำ� หนดขอบเขตและรายช่ือผเู้ ชย่ี วชาญแลว้ คณะ ท�ำงานจงึ รา่ งคำ� ถามส�ำหรับแบบสอบถามท่จี ัดส่งไปใหผ้ เู้ ช่ียวชาญตอบเปน็ ชดุ ๆ ต่อเน่อื งกนั ชุดค�ำถามท่ีส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญถือเป็นหัวใจของกระบวนการเดลฟาย สมมติว่าค�ำถามหลักที่นัก วิจัยต้องการทราบคือปีที่ประเทศไทยจะก้าวพ้นกักดับรายได้ปานกลางและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือปีท่ีบริการแท็กซ่ีในกรุงเทพฯ จะใช้รถยนต์ไร้คนขับเป็นส่วนใหญ่ ค�ำถามดังกล่าวจะปรากฏ อยู่ในแบบสอบถามชุดแรก ค�ำตอบของผู้เชี่ยวชาญจะระบุปีท่ีคาดว่าเหตุการณ์น้ันจะเกิดข้ึน จากนั้นนกั วิจัยจะรวบรวมและประมวลค�ำตอบเหลา่ นี้ แล้วแสดงออกมาเปน็ พิสยั (range) หรอื ชว่ งปี ทผ่ี ู้เช่ยี วชาญตอบมา แบบสอบถามชดุ ทส่ี องทีส่ ่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญกลุม่ เดิม จะแสดงชว่ งปีทป่ี ระมวลมา ขั้นตอนนี้จะเน้นถามผู้เช่ียวชาญที่ให้ค�ำตอบท่ีสูงที่สุดและต่�ำที่สุด หรือคนท่ีให้ค�ำตอบที่มีค่าห่างจาก คา่ เฉล่ยี มากให้ทบทวนคำ� ตอบของตวั เอง เมือ่ เปรียบเทยี บกับค�ำตอบของกลมุ่ ผูเ้ ชีย่ วชาญทั้งหมดแลว้

อนาคตศึกษา | 124 ผู้เช่ยี วชาญกล่มุ น้ีอาจปรบั คำ� ตอบของตนเอง หรอื ให้ค�ำอธบิ ายเพิ่มเติมว่า ทำ� ไมค�ำตอบของตนเองจงึ แตกตา่ งจากกล่มุ คณะผเู้ ช่ียวชาญอ่ืนมาก จากนน้ั คณะผูว้ จิ ยั จะสงั เคราะห์เหตุผลเหลา่ นี้ เพอื่ น�ำไปสรา้ งชดุ คำ� ถามรอบท่ีสาม ซึ่งนำ� เสนอ ทั้งช่วงปที ี่ไดป้ ระมวลมาจากรอบท่สี อง และคำ� อธิบายของค�ำตอบทแ่ี ตกต่างมากจากคนอื่น ชดุ ค�ำถาม รอบท่ีสามอาจเปิดโอกาสให้คนอื่นโต้แย้งค�ำตอบและค�ำอธิบายที่น�ำเสนอไป โดยใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จ จรงิ ทีม่ อี ยู่ ข้อโตแ้ ย้งเหล่านจี้ ะน�ำเสนอต่อไปในชดุ คำ� ถามรอบทสี่ แ่ี ละหา้ รวมทัง้ ประเด็นทท่ี ้ังกลุม่ เหน็ พ้องกนั เปน็ ฉันทามติ วธิ กี ารคาดการณแ์ บบเดลฟายนยั หนง่ึ เปน็ การเปดิ ใหม้ กี ารโตแ้ ยง้ กนั ภายใตส้ ถานการณท์ นี่ กั วจิ ยั สามารถควบคมุ ได้ แนวทางนท้ี ำ� ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นและปอ้ นขอ้ มลู กลบั ไปกลบั มาเกยี่ วกบั ความเหน็ ท่ีสุดขั้วหรือแตกต่างมากจากความเห็นของคนอ่ืน ๆ จนกระทั่งสามารถสร้างฉันทามติได้ระดับหนึ่ง ภายในกลุ่มผ้เู ชีย่ วชาญนนั้ แม้ว่าในบางกรณี ฉนั ทามตอิ าจไม่เกิดขึ้นกต็ าม แตว่ ิธกี ารเดลฟายท�ำให้นกั วิจัยและผู้เข้าร่วมกระบวนการเห็นถึงเหตุผลและข้อสมมติอย่างชัดเจนมากข้ึน ข้อค้นพบในส่วนน้ีมี ประโยชน์อยา่ งมากในการนำ� เอาผลลัพธ์จากการคาดการณด์ ว้ ยวธิ กี ารเดลฟายไปใช้ตอ่ ในการวางแผน ยุทธศาสตร์และนโยบาย เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการประชุมเชิงปฏิบัติการและการประชุมกลุ่มย่อย วิธีการเดลฟายเปิด โอกาสให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการมีเวลาตรึกตรองและเก็บข้อมูลเพ่ิมข้ึนในช่วงระหว่างการสำ� รวจเดล ฟายแตล่ ะรอบ จงึ เปน็ วธิ กี ารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพในการวเิ คราะหเ์ ชงิ ลกึ และการจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ดว้ ย ฉนั ทามตจิ ากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทเ่ี ขา้ รว่ มในกระบวนการ วิธีการเดลฟายให้ความส�ำคัญกับเกณฑ์ในการเลือกผู้เชี่ยวชาญท่ีเข้าร่วมในกระบวนการส�ำรวจ และการออกแบบกระบวนการใหม้ นั่ ใจไดว้ า่ ผเู้ ขา้ รว่ มเขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคข์ องกระบวนการเดลฟาย และ ยนิ ดเี ข้ารว่ มในทุกขั้นตอนของกระบวนการ เนอ่ื งจากวธิ กี ารเดลฟายมงุ่ เนน้ ทคี่ วามเหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญ แนวคดิ พน้ื ฐานจงึ แตกตา่ งอยา่ งชดั เจน จากวธิ กี ารศกึ ษาอนาคตทเ่ี นน้ เครอื่ งมอื ทางสถติ ิ จำ� นวนผเู้ ขา้ รว่ มกระบวนการเดลฟายมกั มนี อ้ ย ผลลพั ธ์ จากการท�ำเดลฟายจึงไม่สามารถน�ำไปท�ำนายว่า ในกลุ่มประชากรที่ใหญ่กว่านั้น ผลลัพธ์จะเป็น อย่างไร แม้แต่ในกรณีท่ีเปลี่ยนกลุ่มผู้เช่ียวชาญเป็นกลุ่มอ่ืน ผลลัพธ์ของกระบวนการเดลฟายอาจ แตกต่างกัน ข้อค้นพบจากกระบวนการเดลฟายจึงเป็นเพียงผลการประมวลความเห็นของคนกลุ่ม หนึ่งเท่าน้ัน แต่นน่ั ไม่ได้หมายความว่า กระบวนการเดลฟายไมม่ ีประโยชนแ์ ละไมน่ า่ เช่ือถอื เพราะจุด มงุ่ หมายสำ� คญั ของวธิ กี ารนค้ี อื การคน้ หาแนวคดิ เกย่ี วกบั อนาคต ทงั้ ทไ่ี ดร้ บั ฉนั ทามตจิ ากคนในกลมุ่ หรอื ทีแ่ ตกต่างอย่างมากจากความเหน็ อืน่ ๆ คำ� ถามพนื้ ฐานของวธิ กี ารเดลฟายเพอื่ การคาดการณแ์ ละวางแผนอนาคตแบง่ ออกเปน็ สามประเภท ไดแ้ ก่ 1. การคาดการณ์เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต คำ� ถามหลักคือเหตุการณ์หรือปัจจัยน้ัน จะเกิดข้ึนเมื่อใด รวมถึงคุณลักษณะ รูปแบบ และระดับของเหตุการณ์หรือปัจจัยน้ันจะ เป็นอย่างไร

125 | อนาคตศึกษา 2. ความพงึ ประสงคข์ องสถานการณใ์ นอนาคต คำ� ถามหลกั คอื เหตกุ ารณห์ รอื ปจั จยั หนง่ึ สมควร ทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ หรอื ไม่ ด้วยเหตผุ ลอะไร 3. วธิ กี ารบรรลหุ รือหลีกเลย่ี งสถานการณ์ในอนาคต ค�ำถามหลกั คือถ้าเหตุการณห์ นง่ึ สมควร เกดิ ขนึ้ จะตอ้ งดำ� เนนิ นโยบายหรอื กจิ กรรมอะไรบา้ งเพอ่ื ทำ� ใหส้ งิ่ นนั้ เกดิ ขนึ้ จรงิ และบรรลุ เปา้ หมายท่ตี ้ังไว้ ในทางกลบั กนั ถ้าหากไม่ควรเกิดข้ึน ควรตอ้ งทำ� อะไรบ้างเพอื่ หลีกเล่ยี ง หรอื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ หตกุ ารณน์ นั้ เกดิ ขนึ้ คำ� ถามในสว่ นนอ้ี าจครอบคลมุ ถงึ ระดบั ความเปน็ ไป ได้ที่นโยบายจะทำ� ให้สามารถบรรลุเปา้ หมายได้ ค�ำถามท้ังสามกลุ่มอาจต้องใช้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญคนละกลุ่ม เนื่องจากแต่ละเรื่องต้องการค�ำตอบท่ี แตกต่างกัน บางค�ำถามอาจต้องการผู้เช่ียวชาญในเชิงวิชาการท่ีมองเห็นภาพกว้างไกลและข้ามสาขา วชิ า บางคำ� ถามอาจตอ้ งการประสบการณเ์ ชงิ ปฏบิ ตั แิ ละความเขา้ ใจในปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การนำ� นโยบาย ไปด�ำเนนิ การใช้จริง วิธีการเดลฟายอาจประยุกต์ใช้วิธีการสอบถามและรวบรวมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้วยวิธี การอื่นนอกจากการใช้แบบสอบถาม เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เช่ียวชาญ โดยเชิญให้เข้าร่วม กระบวนการโดยไม่เปิดเผยช่ือและตัวตน การสัมภาษณ์เชิงลึกอาจด�ำเนินการสองครั้ง ถ้าสามารถจัด เวลาได้ แต่โดยมากมกั เปน็ การสัมภาษณค์ รง้ั เดียว โดยใช้วธิ ถี ามทเ่ี รียกว่า feed-forward คือการตงั้ ค�ำถามและให้ข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญคนอื่น มารอบหน่ึงแล้ว และ เป็นความเห็นท่ีเริ่มสอดคล้องกัน แม้ว่าความเห็นจากการสัมภาษณ์อาจแตกต่างกันมาก แต่ไม่ถือว่า เป็นปัญหา เพราะวัตถุประสงค์ของวิธีการเดลฟายคือเพื่อหาแนวคิดที่ส�ำคัญส�ำหรับการวิเคราะห์ข้ัน ต่อไป ไม่ใช่การสร้างข้อมูลจ�ำนวนมากเพื่อการวิเคราะห์เชิงสถิติ ข้อดีของการสัมภาษณ์เชิงลึกคือ ผู้วิจัยสามารถสอบถามเพ่มิ เตมิ ได้ โดยเฉพาะในกรณีทต่ี ้องการทราบถงึ เหตผุ ลของความคิดเห็นของผู้ เชยี่ วชาญ และในกรณที ่ีไดค้ ำ� ตอบท่ีไมค่ าดหมายมาก่อน นอกจากข้อมูลหลักที่ได้จากการส�ำรวจความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญแล้ว กระบวนการเดลฟาย จ�ำเป็นต้องมีการวิจัยเอกสารเบื้องต้น เพื่อประมวลแนวโน้มและปัจจัยไม่แน่นอนเบ้ืองต้นที่จะใช้ใน การสำ� รวจความเหน็ นอกจากนี้ การประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยเพอื่ การทำ� เดลฟายสามารถประยกุ ตใ์ ชเ้ ครอื่ งมอื สารสนเทศสมัยใหม่ด้วยซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันออนไลน์ ท่ีเปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีปฏิสัมพันธ์ กันได้ โดยยงั คงหลักการพนื้ ฐานของการป้อนกลับข้อมูล ในบางกรณผี ูเ้ ขา้ รว่ มสนทนาอาจเปดิ เผยตวั ตน แตม่ วี ิธกี ารใหแ้ ตล่ ะคนสามารถลงคะแนนเสียงอย่างอิสระดว้ ยชอ่ งทางออนไลน์ แม้กระทงั่ การใช้ แบบสอบถามในการส�ำรวจความคดิ เห็นเร่มิ ใชแ้ บบสอบถามออนไลนม์ ากข้นึ เพอ่ื ลดระยะเวลาในการ สำ� รวจและการวิเคราะห์ข้อมูลจากผตู้ อบแบบสอบถาม วิธีเดลฟายแบบเรียลไทม์ อกี วธิ กี ารหนง่ึ ทพ่ี ฒั นามาจากวธิ เี ดลฟายคอื วธิ เี ดลฟายแบบเรยี ลไทมห์ รอื เวลาจรงิ (real-time Delphi) คณะผูว้ ิจัยในโครงการมลิ เลนเนียมโปรเจกต์ (The Millennium Project) ของสมาพันธแ์ ห่งสมาคม สหประชาชาตโิ ลก (World Federation of United Nations Associations) ไดพ้ ฒั นาวธิ กี ารนี้ โดย

อนาคตศกึ ษา | 126 ยึดหลกั การพน้ื ฐานเหมือนกบั วิธกี ารเดลฟายท่วั ไป คอื การใช้แบบสอบถามที่ส่งไปยงั ผเู้ ชยี่ วชาญทีไ่ ม่ เปิดเผยตวั ตนและมีการป้อนกลับขอ้ มูล13 ข้อแตกต่างจากแบบด้งั เดมิ คือผูเ้ ขา้ รว่ มกระบวนการทกุ คน สามารถเข้าถึงแบบสอบถามบนเว็บไซต์ เมื่อกรอกค�ำตอบบนเว็บไซต์แล้ว ระบบเดลฟายจะส่งข้อมูล ไปยังฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ (server) ท่ีประมวลผลทันที แล้วจึงส่งผลการค�ำนวณกลับไปยังผู้เข้า ร่วมกระบวนการทุกคน พร้อมกันน้ีทุกคนจะเห็นค่าเฉล่ียหรือพิสัยของค�ำตอบ รวมท้ังเหตุผลทั้งหมด ทแี่ ต่ละคนไดใ้ หไ้ ว้ วิธีเดลฟายแบบเรียลไทม์ไม่ได้มีการส�ำรวจเป็นรอบ เหมือนวิธีการเดลฟายแบบดั้งเดิม แต่ผู้เข้า รว่ มสามารถเปล่ียนค�ำตอบและเหตุผลของตนเองได้ เมือ่ ได้เห็นผลลัพธ์ทเ่ี ปน็ คา่ เฉล่ยี หรอื พสิ ัยของคำ� ตอบของคนอน่ื ในกลมุ่ แตล่ ะคนอาจเปลยี่ นคำ� ตอบของตนเองไดเ้ สมอ หลกั การพนื้ ฐานของวธิ กี ารเดล ฟายยงั คงมอี ยใู่ นวธิ กี ารแบบเรยี ลไทม์ ทงั้ ความเปน็ นริ นาม การปอ้ นกลบั ขอ้ มลู และผลลพั ธ์ และการนำ� เสนอผลลพั ธใ์ หก้ บั ผเู้ ขา้ รว่ มกระบวนการ ขอ้ ดขี องการทำ� เดลฟายแบบเรยี ลไทมค์ อื ความสะดวกรวดเรว็ และสามารถใช้ได้กับผู้เชี่ยวชาญจ�ำนวนมากท่ีอยู่ในหลายพ้ืนท่ีพร้อมกันหรือแม้แต่ท่ัวโลก แต่ต้องมี การเตรยี มพรอ้ มดา้ นโครงสรา้ งพน้ื ฐาน ทง้ั เวบ็ ไซต์ ฐานขอ้ มลู และความสามารถในการประมวลผลทนั ที

127 | อนาคตศึกษา วงลอ้ อนาคตและรปู อนาคตหลายเหลย่ี ม วงล้ออนาคต (Futures Wheel) เปน็ วิธกี ารคาดการณ์ทใี่ ชว้ ิเคราะหแ์ ละแสดงผลลัพธ์และผลกระทบ ของแนวโน้ม เหตกุ ารณ์ และประเดน็ อุบตั ิใหม่ รวมถึงการตดั สนิ ใจท่ีอาจเกิดขนึ้ ในอนาคต ผลกระทบ ดังกล่าวมีท้ังผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมหลายทอด นักอนาคตศาสตร์ เจอโรม เกลน (Jerome Glenn) พัฒนาวิธีการน้ใี น พ.ศ. 2514 ซ่ึงต่อมากลายเปน็ วิธีการหนึง่ ทน่ี ิยมใช้ในการประชุมเชิงปฏิบัติ การท่ีช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมวิเคราะห์และพิจารณาผลกระทบในอนาคต และสร้างข้อมูลท่ี เปน็ ประโยชนส์ �ำหรบั กระบวนการวเิ คราะหน์ โยบายและการคาดการณเ์ พ่ือก�ำหนดนโยบาย วิธกี ารน้ี ตอ่ มาได้รบั การพฒั นาและประยกุ ต์ใช้ในดา้ นอนาคตศกึ ษาและการวางแผนดา้ นต่าง ๆ และมชี ่ือเรียก อน่ื เชน่ วงลอ้ การดำ� เนนิ การ (Implementation Wheel) วงลอ้ ผลกระทบ (Impact Wheel) แผนที่ ความคดิ (Mind Map) และการโยงใยผลกระทบ (Webbing) วธิ กี ารวงลอ้ อนาคตเปน็ วธิ กี ารทใี่ ชไ้ ดง้ า่ ย ไมซ่ บั ซอ้ นยงุ่ ยาก ใชเ้ พยี งกระดาษเปลา่ และปากกา แต่ เปน็ เครอ่ื งมอื ทที่ รงพลงั และใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี จงึ ไดร้ บั ความนยิ มมากในหมนู่ กั อนาคตศาสตรท์ วั่ โลก ทงั้ ในดา้ นการเรยี นการสอนดา้ นอนาคตศาสตรแ์ ละการวางแผน รวมถงึ การใชง้ านจรงิ เพอ่ื วางแผน นโยบายสาธารณะและการดำ� เนนิ ธรุ กจิ ของบรษิ ทั เอกชน ทง้ั ในการระบถุ งึ ปญั หาและโอกาสในอนาคต สินคา้ และการบรกิ ารใหม่ และชอ่ งทางตลาดใหม่ รวมถงึ การประเมินทางเลือกยทุ ธศาสตรแ์ ละกลยุทธ์ ใหม่ วงล้ออนาคตมคี วามคล้ายคลงึ กับการวาดแผนที่ความคดิ (mind mapping) ซง่ึ แสดงผลกระทบ สืบเน่ืองเป็นเส้นตรงจากเหตุการณ์หรือแนวโน้มตั้งต้น ในขณะที่วงล้ออนาคตแสดงความสัมพันธ์เป็น วงกลม แผนที่ความคิดใช้ได้ดีในการส�ำรวจความคิด แต่ไม่ได้แบ่งแยกผลกระทบเป็นล�ำดับขั้นดังใน กรณขี องวิธวี งล้ออนาคต วงลอ้ อนาคตเปน็ วธิ กี ารระดมสมองแบบมโี ครงสรา้ ง (structured brainstorming) ทใี่ ชต้ งั้ คำ� ถาม และหาค�ำตอบเก่ียวกับอนาคต ข้ันตอนเริ่มแรกคือการเขียนช่ือแนวโน้มหรือเหตุการณ์ในวงกลมตรง กลางกระดาษ แล้วจึงลากเส้นออกจากวงกลมน้ันคล้ายกับซี่วงล้อ แล้วจึงเขียนผลกระทบโดยตรง ในข้ันแรกตรงปลายซี่ล้อนั้น ต่อจากนั้น จึงลากเส้นต่อไปอีกเพ่ือแสดงผลกระทบขั้นต่อไป ดั่งเป็นวง ล้อวงที่สอง ท�ำเช่นน้ีต่อไปเรื่อย ๆ จนเห็นภาพท่ีชัดเจนและครอบคลุมของผลกระทบของเหตุการณ์ หลกั ทีเ่ ขยี นไวต้ รงกลางวงลอ้ น้นั

อนาคตศกึ ษา | 128 ตแัวผอนยภ่าางพภทา่ีพ6วงลอ้ อนาคต ทม่ี า: Belfo et al. (2015) วิธีการวงล้ออนาคตนอกจากใช้วิเคราะห์ผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้นจากแนวโน้มหรือเหตุการณ์ ในปัจจุบนั หรอื ท่อี าจเกิดขึน้ ในอนาคตอย่างครอบคลุมแลว้ ยงั ใชใ้ นการพยากรณ์และฉายรายละเอยี ด ของฉากทัศนใ์ นอนาคต โดยสะสางความสัมพันธ์ที่ซบั ซ้อนระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และการพฒั นา แนวคิดใหม่จากแนวคิดที่มีอยู่แต่เดิม อีกท้ังยังเป็นวิธีการท่ีสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ สว่ นเสยี ไปพรอ้ มกนั ในการน้ี คณะทำ� งานจะเลอื กฉากทศั นท์ ส่ี นใจและประเดน็ ในฉากทศั นน์ นั้ ทต่ี อ้ งการ ขยายความ แลว้ ดำ� เนนิ กระบวนการระดมสมองเพอื่ ระบผุ ลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ จากเหตกุ ารณห์ รอื แนวโนม้ ในฉากทศั นน์ น้ั จากนน้ั คณะทำ� งานอาจวเิ คราะหป์ ระเดน็ เดยี วกนั ในฉากทศั นอ์ นื่ เพอ่ื เปรยี บเทยี บราย ละเอยี ดของแตล่ ะฉากทัศนส์ �ำหรับการประเมนิ ทางเลือกในเชิงยทุ ธศาสตรต์ ่อไป

129 | อนาคตศึกษา ตแัวผอนยภา่ างพวทงล่ี 7้ออนาคตของนวตั กรรมดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทม่ี า: Belfo et al. (2015) ขน้ั ตอนและวธิ กี าร การระดมสมองเพ่ือจัดท�ำวงล้ออนาคตเริ่มจากการก�ำหนดประเด็นที่ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็น ปัจจัย แนวโน้ม แนวคิด หรือเหตุการณ์อะไรบางอย่างท่ีสนใจ กระบวนการระดมสมองเร่ิมจากการ เขียนประเด็นดังกล่าวตรงกลางกระดาษ ฟลิปชาร์ท กระดาน หรือใช้โปรเจกต์เตอร์ผ่านคอมพิวเตอร์ จากน้ัน กระบวนกร (facilitator) หรือผู้ด�ำเนินการประชุมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมน�ำเสนอ ผลกระทบหรือผลลัพธ์ท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นโดยตรงจากเหตุการณ์หรือปัจจัยเร่ิมต้นนั้น แล้วจึงวาดเส้น ตรงเหมอื นซลี่ อ้ จากวงกลมตรงกลาง จงึ ลากเสน้ เชอ่ื มผลกระทบขนั้ แรกเขา้ ดว้ ยกนั เปน็ วงกลมหรอื วงรี จากนั้น กระบวนกรจะขอให้ผู้เข้าประชุมลืมปัจจัยต้ังต้นที่อยู่ตรงกลางวงล้อไปก่อน แล้วเสนอ ผลกระทบขน้ั ตอ่ ไปทคี่ ดิ วา่ จะเกดิ ขนึ้ จากผลกระทบขน้ั แรก เมอื่ ไดผ้ ลกระทบขนั้ ทสี่ องแลว้ จงึ ลากเสน้ วงกลมอีกวงหน่งึ ผจู้ ดั การประชุมสามารถก�ำหนดจำ� นวนวงรอบของวงลอ้ ไดต้ ามความเหมาะสมของ เวลาและทรพั ยากรทม่ี อี ยู่ หลกั การพนื้ ฐานของการระดมสมองเพอ่ื สรา้ งวงลอ้ อนาคตคอื การเปดิ โอกาส ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มประชมุ สามารถเสนอความคดิ เหน็ ไดอ้ ยา่ งอสิ ระในชว่ งแรก โดยไมป่ ระเมนิ วา่ ประเดน็ ทน่ี ำ� เสนอมาถกู ตอ้ งหรือไม่ หรือมีความเป็นไปไดม้ ากนอ้ ยขนาดไหน จากน้ัน จึงใชว้ ิธกี ารใดวธิ กี ารหน่งึ ใน การอภปิ รายระหว่างผู้เขา้ ร่วมประชุม เพือ่ ประเมนิ และตดั สนิ ใจร่วมกันวา่ ประเด็นไหนมีความเป็นไป ได้มากกว่ากัน คลา้ ยกับขน้ั ตอนการสรา้ งความชดั เจนในกระบวนการระดมสมองท่ัวไป

อนาคตศึกษา | 130 อกี วธิ กี ารหนง่ึ คอื กอ่ นทจี่ ะเขยี นผลกระทบใดลงไปในกระดาษ กระบวนกรอาจเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มประชมุ อภปิ รายกนั เพอ่ื เลอื กผลกระทบทค่ี ดิ วา่ นา่ จะมโี อกาสเกดิ ขน้ึ จรงิ ถา้ ทกุ คนในกลมุ่ เหน็ ดว้ ย ว่า ปัจจัยใดปัจจัยหน่ึงน่าจะเกิดขึ้นจริง จึงระบุและบันทึกลงไปในวงล้ออนาคต ท่ีประชุมอาจใช้หลัก เกณฑ์ฉันทามติในการเลอื กประเดน็ ท่ีจะเขยี นลงไปในวงลอ้ อนาคต และเพื่อตัดประเด็นที่ไมน่ ่าจะเกดิ ขึน้ ออกไป เพ่อื ให้กระบวนการกระชับและมีประสิทธิภาพมากขึน้ การแสดงล�ำดับขั้นของผลกระทบเป็นขั้นที่หนึ่ง สองและสาม อาจใช้วิธีการอ่ืนแทนการสร้าง วงกลมเป็นรอบ ๆ ได้ เช่น การใช้ลูกศรสองเส้นระหว่างผลกระทบข้ันท่ีหน่ึงกับขั้นที่สอง และลูกศร สามเส้นระหว่างผลกระทบข้ันท่ีสองกับข้ันท่ีสาม ข้อดีของวิธีการนี้คือสามารถแสดงผลกระทบไขว้ (cross impact) ได้ ตแวัผอนยภ่าางพวทธิ ี่ีก8ารแสดงวงลอ้ อนาคตทีใ่ ช้จำ�นวนลูกศรแทนลำ�ดบั ขน้ั ของผลกระทบ ท่ีมา: David Snyder U.S. National Security Agency อ้างใน Glenn (2009a) วงลอ้ อนาคตเปน็ วธิ กี ารทด่ี ำ� เนนิ การไดง้ า่ ยโดยไมต่ อ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื อะไรเปน็ พเิ ศษ และไมต่ อ้ งมกี าร ฝกึ อบรมอะไรเปน็ พเิ ศษ ในขณะทผ่ี เู้ ขา้ รว่ มประชมุ สามารถเขา้ ใจวธิ กี ารและกระบวนการไดง้ า่ ย วธิ กี าร นสี้ ามารถใชไ้ ดใ้ นแทบทกุ ขน้ั ตอนทตี่ อ้ งการทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การเปลยี่ นแปลงของเหตกุ ารณแ์ ละ แนวโน้มในกระบวนการคาดการณ์ จึงเป็นเคร่ืองมอื ทม่ี ีความยืดหยุ่นและใช้ได้ดีในหลายสถานการณ์ วงล้ออนาคตสามารถใช้ได้ในการสร้างวงจรสะท้อนกลับ (feedbook loop) ทั้งเชิงบวกและ เชิงลบ ซ่ึงแสดงผลกระทบข้ันต่อ ๆ ไปท่ีย้อนกลับมาท่ีจุดเริ่มต้น การวิเคราะห์ความเช่ือมโยงเชิงเหตุ และผลด้วยวิธีการวงล้ออนาคตสามารถพัฒนาต่อเป็นผังพลวัตระบบ (system dynamics) ส�ำหรับ

131 | อนาคตศึกษา การวิเคราะห์เชิงปริมาณต่อไปได้ วิธีการวงล้ออนาคตเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการสามารถคิด วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ได้ด้วยกรอบแนวคิดเชิงระบบโครงข่ายท่ีมีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ท่ีซับ ซ้อนและยืดหยุ่น แทนท่ีจะเป็นระบบแบบง่ายที่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเป็นแบบเส้นตรงและมี ลำ� ดับศกั ย์ นอกจากน้ี รปู แบบความสมั พันธท์ ปี่ รากฏออกมาในวงล้ออนาคตอาจขดั แย้งซงึ่ กันและกัน ซ่งึ อาจใช้เปน็ พืน้ ฐานในการวเิ คราะห์ทางเลือกเชงิ ยทุ ธศาสตร์ วิธีการวงล้ออนาคตจึงสะท้อนพ้นื ฐาน ด้านทฤษฎีเชิงระบบแบบซับซ้อนและมีพลวัต อีกท้ังยังเป็นวิธีการท่ีแสดงภาพความสัมพันธ์ท่ีเข้าใจได้ งา่ ยและส่อื สารได้อย่างชัดเจน อยา่ งไรกต็ าม ในกระบวนการเชอ่ื มตอ่ ปจั จยั ตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั เปน็ วงลอ้ อนาคต ความซบั ซอ้ นทเี่ กดิ ข้ึนอาจท�ำให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการหรือกระบวนกรไม่สามารถสร้างรูปแบบของภาพอนาคตที่เข้าใจได้ แมว้ า่ จดุ แขง็ ของวธิ กี ารนอ้ี ยทู่ ก่ี ารคน้ พบรปู แบบความสมั พนั ธท์ ชี่ ดั เจนของปจั จยั ตา่ ง ๆ ในภาพอนาคต แต่กระบวนการระดมสมองอาจท�ำให้ประเด็นท่ีปรากฏมีความซับซ้อนเกินไปจนไม่สามารถสร้างภาพ ความสมั พนั ธท์ ชี่ ดั เจนขนึ้ ได้ การใชว้ ธิ กี ารวงลอ้ อนาคตจงึ ตอ้ งระวงั ไมใ่ หป้ ระเดน็ ตา่ ง ๆ ซบั ซอ้ นจนเกนิ ไป ขอ้ จ�ำกดั อกี ประการหน่งึ ของวิธกี ารวงลอ้ อนาคตคอื ผลลัพธ์จากการระดมสมองข้ึนอยกู่ ับความรู้ และความสามารถของคนทเี่ ขา้ ร่วมกระบวนการ ไมเ่ ฉพาะในการระบุปัจจัยหรอื ผลกระทบทส่ี ำ� คญั แต่ รวมไปถึงการเข้าใจผดิ วา่ ปจั จัยตา่ ง ๆ มคี วามสมั พนั ธ์เปน็ แบบเหตุและผล (causation) แตใ่ นความ เป็นจริงแล้วเป็นแบบสหสัมพันธ์ (correlation) นอกจากน้ี ผลกระทบที่แสดงในวงล้ออนาคตอาจไม่ แสดงถงึ จงั หวะเวลาและความเปน็ ไปไดข้ องการเกดิ ผลกระทบ โดยเฉพาะเมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ผลกระทบอน่ื ข้อจ�ำกัดนี้ท�ำให้นักอนาคตศาสตร์ได้พัฒนาวิธีการรูปอนาคตหลายเหลี่ยมข้ึนมา เพื่อแก้ไขข้อจ�ำกัด เก่ียวกบั ชว่ งเวลาและระดับความเปน็ ไปได้ของผลกระทบต่าง ๆ รูปอนาคตหลายเหล่ยี ม วธิ กี ารศกึ ษาอนาคตแบบรปู อนาคตหลายเหลยี่ ม (Futures Polygon) พฒั นามาจากวธิ กี ารวงลอ้ อนาคต โดยนักอนาคตศาสตร์ชือ่ อนั โทนโี อ ปาชิเนลลี (Antonio Pacinelli) ปาชิเนลลวี พิ ากษว์ า่ แนวคิดวง ล้ออนาคตแบบเดิมมีข้อจ�ำกัดในการประเมินความเป็นไปได้ของผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แต่การ ประเมินดังกล่าวเป็นองค์ประกอบท่ีจ�ำเป็นในการคาดการณ์และการก�ำหนดแนวทางการน�ำผลลัพธ์ จากการคาดการณ์ไปด�ำเนินการต่อ14 เกณฑ์หน่ึงที่วิธีการวงล้ออนาคตใช้ในการประเมินความเป็นไป ได้คือฉันทามติของผู้เข้าร่วมกระบวนการ กล่าวคือ ถ้าผู้ร่วมสร้างวงล้ออนาคตเห็นด้วยกันทั้งหมดว่า เหตกุ ารณห์ รอื ผลกระทบหนงึ่ มโี อกาสเกดิ ขน้ึ จรงิ นา่ จะเปน็ หลกั ประกนั ไดว้ า่ เหตกุ ารณห์ รอื ผลกระทบ นั้นเชอ่ื ว่าเกดิ ข้ึนจรงิ ในอนาคต (plausible) แนวคิดน้ีเชอ่ื วา่ การตัดสินใจดงั กล่าวควรเกิดขึ้นก่อนการ คาดการณห์ รอื การสรา้ งฉากทศั น์ แตเ่ กณฑด์ งั กลา่ วไมร่ ะบรุ ะดบั ความเปน็ ไปไดข้ องเหตกุ ารณห์ รอื ผลก ระทบหนึ่งภายในระยะเวลาที่สนใจ นอกจากน้ี วิธกี ารวงลอ้ อนาคตยงั มขี อ้ จำ� กดั อืน่ เก่ยี วกับผลกระทบ ท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึน เช่น เม่ือใดท่ีผลกระทบจะปรากฏให้เห็นและเม่ือใดที่จะแสดงผลกระทบมากท่ีสุด และผลกระทบนัน้ จะเกดิ ขนึ้ ยาวนานเท่าใด

อนาคตศึกษา | 132 วธิ ีการรูปอนาคตหลายเหลย่ี มมงุ่ แกไ้ ขขอ้ จำ� กัดดังกล่าว โดยเพิม่ ขนั้ ตอนการประเมนิ ระดับความ เป็นไปได้ของผลกระทบที่คาดการณ์ได้จากวิธีวงล้ออนาคต พร้อมกับประเมินต�ำแหน่งและช่วงเวลาที่ ผลกระทบดังกลา่ วจะเกิดข้นึ วธิ กี ารน้ีเหมาะส�ำหรับขน้ั ตอนสุดท้ายของการสรา้ งฉากทัศน์ ซ่ึงเนน้ การ ประเมินความเป็นไปได้ของฉากทัศน์มากกว่าการประเมินความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ หน่ึง คุณลักษณะและวัตถุประสงค์หลักของวิธีวงล้ออนาคตและรูปอนาคตหลายเหลี่ยมอยู่ตรงที่การ สร้างฉากทัศน์ที่เกิดจากหลายเหตุการณ์ ซ่ึงมีผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นเรื่องราว เม่ือเหตุการณ์หน่ึง เกดิ ขน้ึ มา กจ็ ะท�ำใหค้ วามเป็นไปได้ท่ีอกี เหตกุ ารณห์ น่งึ จะเกิดขน้ึ เพ่มิ ตามมาได้ วิธีการรปู อนาคตหลายเหล่ียมมกี ระบวนการวิเคราะห์โดยครา่ วดงั น้ี • ขั้นตอนแรกด�ำเนินการเหมือนกับวิธีการวงล้ออนาคตทั่วไป โดยใช้เกณฑ์การลงมติแบบ เอกฉันท์ในการตดั ผลกระทบและประเดน็ ทไ่ี มน่ า่ จะเกดิ ขน้ึ จริงออกกอ่ น เพื่อเนน้ เหตุการณ์ ท่ผี ู้เชย่ี วชาญเหน็ วา่ นา่ จะเกิดข้ึนจรงิ เทา่ นน้ั • จากน้ัน ผเู้ ข้ารว่ มกระบวนการจะระบุคา่ ความเป็นไปไดท้ ่ีเหตุการณห์ รอื ผลกระทบหน่งึ จะ เกดิ ขน้ึ โดยอาจประชมุ และอภปิ รายกนั แลว้ ตกลงรว่ มกนั วา่ ความเปน็ ไปไดอ้ ยทู่ ร่ี ะดบั ใด อกี ชอ่ งทางหนงึ่ คอื การผา่ นกระบวนการสอ่ื สารอนื่ เชน่ การตอบคำ� ถามผา่ นทางกระบวนการเดล ฟาย ตวั อยา่ งคำ� ถามทใ่ี ชค้ อื ความเปน็ ไปไดท้ จี่ ะเกดิ เหตกุ ารณห์ รอื ผลกระทบจากกระบวนการ วงลอ้ อนาคต ภายในชว่ งเวลา 1 ปี 5 ปี 10 ปี 20 ปี อยู่ท่ีระดบั ใด • เม่ือได้คำ� ตอบทงั้ หมดแล้ว จงึ แสดงตวั เลขความเปน็ ไปไดอ้ อกมาในแผนภาพ โดยเร่มิ จาก การก�ำหนดจุดศูนย์กลางของวงกลม แล้วแบ่งวงกลมออกเป็นเสี้ยว ตามจ�ำนวนผลกระทบ ที่ต้องการประเมินความเป็นไปได้ จากน้ันจึงลากเส้นตรงท่ีแสดงระดับความเป็นไปได้หรือ ความแนน่ อนของแต่ละผลกระทบ ผลกระทบหน่ึงมีโอกาสเกิดข้นึ ใกล้ ร้อยละ 100 เทา่ ใด เสน้ รศั มจี ะยาวใกลจ้ รดกบั ขอบเสน้ วงกลมเทา่ นนั้ เมอื่ ลากเสน้ รศั มไี ดค้ รบทกุ เหตกุ ารณแ์ ลว้ จึงลากเส้นเชื่อมจุดปลายเส้นรัศมีท้ังหมด เพ่ือวาดเป็นรูปหลายเหล่ียมต่อไป วิธีการนี้ช่วย ประเมินความเปน็ ไปไดข้ องผลกระทบทีไ่ ด้คาดการณจ์ ากวิธีการวงลอ้ อนาคต แผนภาพขา้ ง ล่างแสดงตัวอย่างของรูปหลายเหล่ียมแสดงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ท่ีคาดการณ์จาก กระบวนการสรา้ งวงล้ออนาคต รแปูผอนนภาาคพตทหี่ 9ลายเหลย่ี มแสดงความเป็นไปไดข้ องเหตกุ ารณ์ในอนาคต ที่มา: Pacinelli (2006)

133 | อนาคตศึกษา วธิ กี ารรปู อนาคตหลายเหลย่ี มสามารถใชร้ ว่ มกบั วธิ กี ารคาดการณแ์ บบอนื่ ตวั อยา่ งเชน่ ในโครงการ วเิ คราะห์โอกาสในการทำ� งานของคนจนในพ้นื ท่ี Chieti-Ortona ในอิตาลี นักวจิ ยั ไดผ้ สมผสานวธิ ีการ ประชุมกลุ่มย่อย การท�ำเดลฟายเก่ียวกับนโยบาย วงล้ออนาคต และรูปอนาคตหลายเหลี่ยม โดยใช้ แต่ละวธิ ีการในแตล่ ะขัน้ ตอนของการคาดการณ์ ดงั ตัวอยา่ งหน้าถัดไป กแาผรนผภสามพผทส่ี า1น0วธิ กี ารรปู อนาคตหลายเหลีย่ มกบั วธิ ีการคาดการณอ์ ื่น ๆ ที่มา: Pacinelli (2006)

อนาคตศึกษา | 134 การวเิ คราะหผ์ ลกระทบ การวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Analysis) ของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์เป็นกลุ่มวิธีการศึกษา อนาคต ท่แี บง่ ผลกระทบออกเปน็ 3 ดา้ นด้วยกนั ไดแ้ ก่ ผลกระทบของเหตุการณ์ (event impact) ซง่ึ เกดิ ขนึ้ เมอ่ื เหตกุ ารณห์ นงึ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในระบบหนงึ่ ผลกระทบแนวโนม้ (trend impact) ซง่ึ เปน็ ผลกระทบของ เหตุการณ์หนึ่งต่อแนวโน้ม และผลกระทบไขว้ (cross-impact) ซึ่งเป็นผลกระทบระหว่างเหตุการณ์ ต่าง ๆ การวิเคราะห์ผลกระทบเหตุการณ์ (Event Impact Analysis) เน้นผลกระทบที่เกิดข้ึนจาก เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท้ังท่ีคาดการณ์ได้หรือไม่สามารถเล่ียงได้ ท้ังปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเหตุการณ์ที่เกิดจากการกระท�ำของมนุษย์ เช่น เหตุการณ์ทางการเมือง การวเิ คราะหผ์ ลกระทบ เหตุการณ์อาจใช้ร่วมกับการศึกษาอนาคตวิธีการอ่ืน เช่น วิธีวงล้ออนาคตและวิธีรูปอนาคตหลาย เหลย่ี ม ทง้ั สองวธิ กี ารนส้ี ามารถใชร้ ว่ มกบั วธิ กี ารเดลฟายเพอื่ ประเมนิ ความเปน็ ไปไดข้ องผลกระทบและ เหตกุ ารณอ์ นาคตในแตล่ ะฉากทศั นท์ พี่ ฒั นามา แลว้ จงึ พฒั นาเปน็ รปู อนาคตหลายเหลย่ี ม เพอื่ แสดงคา่ ความเป็นไปไดข้ องการเกดิ เหตกุ ารณ์ในอนาคต อกี วธิ กี ารหนงึ่ เปน็ การศกึ ษาผลกระทบของเหตกุ ารณท์ มี่ โี อกาสเกดิ ขน้ึ ในอนาคตตอ่ แนวโนม้ ของ ปรากฏการณ์ท่ีสนใจ15 วิธีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้ม (Trend Impact Analysis) เป็นการ ประมาณค่านอกช่วง (extrapolate) ของแนวโน้มการเปล่ียนแปลงของปัจจัยหรือปรากฏการณ์ที่ แสดงด้วยตัวแปรเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ แล้วใช้วิจารณญาณของผู้เช่ียวชาญในการปรับแนวโน้ม ของปรากฏการณ์ดังกล่าวตามผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น วิธีการน้ีสามารถใช้ร่วมกับวิธีการแบบ จ�ำลองอนื่ ได้ อีกวิธีการหน่ึงคือการวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ (cross impact analysis) ซึ่งพิจารณาผลกระทบ ทแี่ ตล่ ะเหตกุ ารณม์ ตี อ่ กนั วธิ กี ารพนื้ ฐานของการวเิ คราะหค์ อื การสรา้ งตารางไขว้ (matrix) โดยทแี่ ตล่ ะ ช่องตารางแสดงปฏิสัมพันธ์ของแต่ละชุดเหตุการณ์ วิธีการวิเคราะห์ผลกระทบไขว้สามารถใช้ส�ำหรับ วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษาอนาคตทหี่ ลากหลาย เช่น การปรบั ค่าความเป็นไปได้จากวธิ กี ารเดลฟาย16 การคาดคะเนแนวโน้มในอนาคต17 และการสรา้ งฉากทศั น1์ 8 แนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบไขวแ้ บ่ง ออกเปน็ 3 แนวทางดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ แบบจำ� ลองสถานการณ์ (simulative approach) แบบฮวิ ริสตกิ (heuristic approach) และแบบการหาคา่ ทเ่ี หมาะสมทีส่ ุด (optimization approach)

135 | อนาคตศกึ ษา การวเิ คราะหผ์ ลกระทบตอ่ แนวโน้ม วิธีคาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณใช้ข้อมูลจากอดีตโดยท่ัวไป โดยประมาณค่านอกช่วงตามแนวโน้ม ท่ีมีอยู่เดิมไปยังอนาคต วิธีการนี้ใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานในงานวิจัยในหลายศาสตร์และ สาขาทใ่ี ชว้ ธิ ีการวเิ คราะหแ์ บบอนุกรมเวลา (time-series) อาทิ วิธเี ศรษฐมิติในเศรษฐศาสตร์ อยา่ งไร ก็ตาม วิธีการวิเคราะห์แนวนี้ไม่ค�ำนึงถึงเหตุการณ์ในอนาคตท่ีไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในองค์กร หรือใน พื้นที่หรอื บรบิ ทท่ศี กึ ษา ข้อสมมตขิ องวิธกี ารนจ้ี ึงอยูท่ ีว่ ่า ปจั จยั ขบั เคลือ่ นหรอื ตัวแปรตน้ ท่เี ป็นสาเหตุ ของการเปลยี่ นแปลงในอดตี จะยงั คงสรา้ งผลกระทบหรอื ผลลพั ธแ์ บบเดมิ ตอ่ ไป วธิ กี ารนยี้ งั ไมค่ ำ� นงึ วา่ เหตุการณ์หรือปัจจัยบางอย่างในอนาคตอาจท�ำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีเคยมีมาแต่อดีตต้อง เปลี่ยนไป จนทำ� ใหแ้ นวโนม้ ทผ่ี า่ นมาไมเ่ ปน็ ไปตามทศิ ทางหรอื ระดบั เดมิ วธิ กี ารคาดการณแ์ บบนี้ ทำ� ให้ ผลลัพธ์ท่ีวิเคราะห์ได้ไม่เปิดช่องให้กับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง จึงท�ำให้การวางแผนไม่ได้เตรียมพร้อม สำ� หรับเหตกุ ารณ์ในลักษณะนนั้ ด้วยข้อจ�ำกัดดังกล่าว จึงมีการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้มขึ้นในช่วงปลาย ทศวรรษที่ 1970 เพ่อื ปรับปรุงการคาดการณ์ตามแนวโน้มแบบเดมิ โดยปรบั การวเิ คราะหแ์ บบอนุกรม เวลาใหค้ ำ� นงึ ถงึ เหตกุ ารณท์ อี่ าจเปลย่ี นแปลงแนวโนม้ ทเ่ี ปน็ มาจากอดตี วธิ กี ารนเ้ี รมิ่ จากการจนิ ตนาการ และระบเุ หตกุ ารณห์ รอื ปจั จยั ทอ่ี าจเปลยี่ นทศิ ทางหรอื ระดบั การเปลยี่ นแปลงของแนวโนม้ ทสี่ นใจ โดย วิเคราะหท์ งั้ ชดุ ปจั จัยและเหตุการณ์สำ� คญั ความเปน็ ไปไดท้ ีจ่ ะเกิดข้นึ และผลกระทบท่ีอาจเกดิ ขึน้ ตัวอย่างของการใช้วิธีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้ม ได้แก่ งานศึกษาของบริษัท Health Care Futures ซงึ่ ใชว้ ธิ กี ารนใี้ นการคาดการณอ์ นาคตของตลาดยา และโครงการมลิ เลนเนยี มโปรเจกต์ (Millennium Project) ใชว้ ธิ กี ารนใี้ นการสรา้ งดชั นสี ถานการณอ์ นาคต (State of the Future Index) กระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้มมีสองข้ันตอนหลัก ในขั้นแรก นักวิเคราะห์จะลาก เสน้ ตรงหรือเส้นโคง้ ตามแนวโน้มตามขอ้ มูลในอดีต เพือ่ ประมาณค่านอกช่วงแล้วลากเส้นไปยงั อนาคต ในกรณีที่ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด เส้นแนวโน้มนี้เรียกว่าเส้นฐาน (baseline) ที่แสดงถึงสถานการณ์ฐาน (baseline scenario) ในกรณีที่ไม่มีปัจจัยหรือเหตุการณ์แทรกซ้อนใด ๆ นักวิเคราะห์สามารถเลือก เส้นท่สี ะทอ้ นแนวโน้มตามข้อมูลจรงิ มากทส่ี ุด โดยใช้ขั้นตอนวิธีหรืออัลกอริทึม (algorithm) ท่ี เหมาะสม การเลอื กเส้นฐานมคี วามส�ำคญั มาก เพราะจะก�ำหนดสถานการณ์พ้นื ฐานที่วเิ คราะห์เปรียบ เทียบการเปลีย่ นแปลง ขัน้ ตอนต่อมาเป็นการสำ� รวจ รวบรวมและประมวลความเห็นและการตดั สินใจของผู้เชีย่ วชาญใน การค้นหาและระบุเหตกุ ารณอ์ นาคตทอ่ี าจเกิดขน้ึ และท�ำใหแ้ นวโน้มจากอดีตเปลี่ยนแปลงไป โดยระบุ ทง้ั เหตกุ ารณท์ คี่ าดวา่ จะเกดิ ระดบั ความเปน็ ไปได้ ภายในชว่ งเวลาทกี่ ำ� หนดไว้ และผลกระทบทค่ี าดวา่ จะเกดิ ขนึ้ กบั แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์อาจเพิ่มขน้ั ตอนท่สี าม คอื การสร้างสถานการณ์หรือฉาก ทศั นอ์ นาคตทคี่ ำ� นงึ ถงึ เหตกุ ารณแ์ ละปจั จยั ทค่ี าดวา่ จะเกดิ ขนึ้ แผนภาพที่ 11 แสดงแนวคดิ พน้ื ฐานของ วิธกี ารวเิ คราะหผ์ ลกระทบตอ่ แนวโน้ม การวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้มเหมาะส�ำหรับการประเมินนโยบาย โดยผู้ประเมินสามารถ เปรยี บเทยี บคา่ ของปจั จยั หรอื ตวั แปรทส่ี นใจในสถานการณท์ ไี่ มท่ ำ� อะไร (do-nothing) กบั สถานการณ์ ที่ด�ำเนินนโยบาย โดยคาดประมาณระดับความเป็นไปได้และระดับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดข้ึนจาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook