ปรัชญาการศึกษา (Philosophy of Education) คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา
ปรชั ญาการศึกษา (Philosophy of Education) โดย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุนสิ า ทดลา รองศาสตราจารย์ ดร.นิรนั ดร์ สุธนี ิรันดร์ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐมน พนั ธ์ชาตรี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พชั รา เดชโฮม อาจารย์ ดร.อโนทัย แทนสวัสดิ ์ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กฤษดา ผอ่ งพิทยา ผู้ทรงคุณวฒุ ติ รวจพจิ ารณาเอกสาร: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ศาสตราจารย์ ดร.คณติ เขียววชิ ัย รองศาสตราจารย์ ดร.ธรี ศักดิ์ อปุ ไมยอธิชัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ISBN : 978-974-373-619-3 ข้อมูลทางบรรณานุกรมหอสมดุ แหง่ ชาติ ปรัชญาการศกึ ษา = Philosophy of Education.-- กรงุ เทพฯ: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ บ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา, 2563. 230 หนา้ . 1. การศึกษา -- ปรัชญา. I. ศนุ ิสา ทดลา. II. ชอื่ เรื่อง. 370.1 ISBN 978-974-373-619-3 พิมพค์ ร้ังท่ี 1 ธนั วาคม 2561 จ�ำนวน 1,000 เล่ม พิมพค์ รัง้ ที่ 2 สงิ หาคม 2562 จำ� นวน 1,000 เล่ม พมิ พ์คร้ังที่ 3 สงิ หาคม 2563 จ�ำนวน 1,000 เลม่ ออกแบบปก แฝงกมล เพชรเกลี้ยง สงวนลขิ สิทธิต์ ามพระราชบัญญัตลิ ิขสิทธ์ิ (ฉบับเพ่มิ เติม) พ.ศ. 2558 หา้ มลอกเลยี นแบบ หรอื คดั ลอกส่วนใดส่วนหนงึ่ ของหนังสือเล่มนี้ ยกเว้นแตไ่ ดร้ บั อนญุ าตเป็นลายลกั ษณอ์ ักษรจากผเู้ ขยี น หนงั สอื ยมื เรียน หรอื แจกฟรี (หา้ มจำ� หน่าย) จดั ทำ� โดย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา 1061 ซอย 15 ถนนอสิ รภาพ แขวงหริ ัญรูจี เขตธนบรุ ี กรุงเทพฯ 10600 โทร. 02-473-7000 ต่อ 5000 โทรสาร : 02-472-5712 E-mail : [email protected] https://www.edu.bsru.ac.th พมิ พ์ท่ ี โรงพมิ พ์ หจก.วรานนท์ เอน็ เตอรไ์ พรส์ 6, 8 ซอย 13 ถนนสะแกงาม แขวงแสมด�ำ เขตบางขุนเทยี น กรงุ เทพมหานคร 10150 โทร. 02-894-9050-3 E-mail : [email protected]
คำนำ หนังสือ “ปรัชญาการศึกษา” เล่มนี้จัดทาข้ึนเพ่ือให้ผู้อ่านมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญา ปรัชญาการศึกษา หลักการศึกษา แนวคิดทฤษฎีทางการศึกษา กลวิธีการจัดการศึกษาอย่างสร้างสรรค์เพ่ือ เสริมสร้างการพัฒนาที่ย่ังยืน วิวัฒนาการของการศึกษาไทยและการศึกษาโลก เป้าประสงค์และรูปแบบของ การศึกษาร่วมสมัย การประยุกต์ใช้ปรัชญา แนวคิดและทฤษฎีทางการศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรมเพื่อใช้ในการพัฒนาสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นเน้ือหาสาระที่เป็นสาระประโยชน์สาหรับนักศึกษา รวมถึงผสู้ นใจเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาและนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานที่เกย่ี วขอ้ งกับการศึกษาต่อไป คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณผู้เขียน ตารา เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องที่นามาใช้อ้างอิงเพื่อ ประโยชนท์ างวชิ าการทกุ ท่าน ณ ทนี่ ี้ คณะผจู้ ัดทา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา
สำรบญั หน้ำ คำนำ (1) สำรบญั (3) สำรบญั ภำพ (6) สำรบัญตำรำง (7) บทท่ี 1 ปรัชญำกำรศึกษำ 1 1 ความหมายของปรัชญา 4 ขอบข่ายของปรัชญา ความหมายของปรชั ญาการศึกษา 7 ลัทธปิ รชั ญาการศึกษา 11 1. ปรัชญาการศกึ ษากลุ่มสารัตถนยิ ม 12 2. ปรัชญาการศกึ ษานิรนั ตรนยิ ม 3. ปรชั ญาการศกึ ษาพิพัฒนาการนิยม 14 4. ปรชั ญาการศึกษาปฏิรูปนยิ ม 5. ปรัชญาการศึกษากลุ่มอัตถิภาวนยิ ม 17 6. ปรัชญาการศึกษากลุ่มพุทธปรัชญาการศึกษา 21 7. ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงกับการศกึ ษา สรปุ 25 เอกสารอ้างองิ บทท่ี 2 หลักกำร แนวคดิ ทฤษฎที ำงกำรศึกษำ 28 ลักษณะทัว่ ไปของการศึกษา 33 ความหมายของคาวา่ “การศึกษา” ทฤษฎีการศกึ ษา 45 ทฤษฎีการเรยี นรู้ ทฤษฎกี ารสอน 46 ทฤษฎีหลกั สตู ร 49 ทฤษฎีวัดและประเมนิ ผลการศึกษา 49 สรุป เอกสารอา้ งองิ 50 52 54 66 73 77 80 81
(4) หน้ำ สำรบญั (ตอ่ ) 83 83 บทที่ 3 ววิ ัฒนำกำรของกำรศึกษำไทยและกำรศึกษำโลก 91 ววิ ฒั นาการของการศึกษาไทย 92 สรุปประเด็นสาคัญของพัฒนาการของระบบการศึกษาไทย แนวโนม้ ของการศึกษาไทยในอนาคต 96 การจดั การศึกษาตา่ งประเทศ 96 นโยบายการศึกษาตา่ งประเทศ: ประเทศสิงคโปร์ 102 นโยบายการศึกษาตา่ งประเทศ: ประเทศเวยี ดนาม 106 นโยบายการศึกษาต่างประเทศ: ประเทศญี่ปุ่น 109 ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย 111 เอกสารอา้ งอิง 113 113 บทที่ 4 บริบทกำรจดั กำรศกึ ษำของสถำนศกึ ษำ 116 ชว่ งท่ี 1 การจัดการศึกษาหลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475-2542 123 ชว่ งที่ 2 การจัดการศึกษาตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ 128 การจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560-2579) 128 การศกึ ษาทางเลือก 135 การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั 137 เอกสารอ้างองิ 137 139 บทท่ี 5 กำรเปล่ียนแปลงกำรศกึ ษำตำมบริบท 142 ปญั หาการศึกษาท่ีพบจากการปฏริ ูปการศกึ ษาในทศวรรษที่ 2 143 ปัญหาการศึกษาทพ่ี บจากโครงการวิจยั ทางการศึกษา 144 ปัญหาการศึกษาทพ่ี บจากรายงานผลการศึกษาความสามารถในการแขง่ ขันโลก 144 กลยุทธ์ในการพฒั นาการศกึ ษาในปัจจุบนั และอนาคต 145 วิสยั ทัศน์ในการพัฒนาการศกึ ษาไทย 151 วตั ถุประสงคใ์ นการพัฒนาการศกึ ษา 153 ยุทธศาสตรแ์ ละการดาเนินงาน การจัดการศึกษาไทยในศตวรรษท่ี 21 เอกสารอา้ งองิ
(5) สำรบญั (ตอ่ ) หน้ำ บทท่ี 6 กำรจัดกำรคณุ ภำพกำรศึกษำ 155 การจัดการศึกษาตามพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ 155 บทบาทหน้าท่ผี เู้ ก่ยี วขอ้ งกับการจดั การศึกษา 158 การจดั การทรัพยากรทางการศึกษา 162 การประกนั คณุ ภาพการศึกษาตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษา 165 การจดั ทาแผนพฒั นาการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษาทีม่ ุ่งมาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษา 173 เอกสารอ้างองิ 181 บทท่ี 7 กำรออกแบบและกำรดำเนินกำรประกนั คณุ ภำพกำรศึกษำ 183 การออกแบบระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 183 การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา 183 ประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากการประกนั คุณภาพ 184 หลักเกณฑแ์ ละแนวปฏิบัตเิ ก่ยี วกับการประกนั คุณภาพภายใน 186 การวางแผนการประกนั คณุ ภาพการศึกษาและการนาแผนสู่การปฏิบตั ิ 192 สรุป 205 เอกสารอา้ งอิง 206 บทที่ 8 ระบบสำรสนเทศเพ่อื กำรบริหำรจัดกำรคุณภำพของสถำนศึกษำ 207 ความหมายของระบบสารสนเทศ 207 ขน้ั ตอนการดาเนนิ งานหลักของการจดั ระบบสารสนเทศที่ดีในสถานศกึ ษา 209 วธิ ีดาเนนิ การของการจดั ระบบสารสนเทศ 210 กระบวนการจดั ระบบบริหารและสารสนเทศของสถานศึกษา 211 ความสาคัญของระบบสารสนเทศทมี่ ีต่อการประกนั คุณภาพการศกึ ษา 220 สรปุ 221 เอกสารอา้ งอิง 222 บรรณำนุกรม 223 ดชั นี 229
(6) หนำ้ สำรบญั ภำพ 6 39 ภำพที่ 71 1.1 ขอบเขตของปรชั ญา 100 1.2 ตัวอยา่ ง ระบบทฤษฎใี หม่ที่สมบูรณ์ 104 2.1 กรวยประสบการณ์ (Cone of Experiences) 172 3.1 โครงสร้างระบบการศึกษาประเทศสิงคโปร์ 186 3.2 โครงสรา้ งระบบการศึกษาประเทศเวยี ดนาม 6.1 ตัวแปรทสี่ มั พันธแ์ ละเช่อื มโยงสู่มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 195 7.1 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งระบบการประกันคณุ ภาพการศึกษา กับแนวคิดการบริหารที่ 197 เป็นระบบครบวงจรแบบ PDCA 198 7.2 แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งระบบการประกนั คุณภาพการศึกษากับแนวคดิ การบรหิ ารที่ 199 200 เปน็ ระบบครบวงจรแบบ PDCA 201 7.3 แสดงขนั้ ตอนการดาเนนิ การประกันคุณภาพภายใน 202 7.4 ความสัมพันธเ์ ช่ือมโยงของแผนต่าง ๆ ทส่ี ถานศึกษาควรจดั ทา 208 7.5 แสดงขัน้ ตอนการวางแผน 214 7.6 การกาหนดเป้าหมายของสถานศกึ ษา 7.7 แสดงกจิ กรรมการตรวจสอบประเมนิ ผลภายใน 7.8 แสดงการจัดหา/จดั ทาเครื่องมอื 8.1 กระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศของสถานศึกษา 8.2 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งระบบบรหิ ารและสารสนเทศกับระบบการประกนั คุณภาพ ภายในของสถานศึกษา
(7) สำรบญั ตำรำง หน้ำ ตำรำงที่ 2.1 แสดงสรปุ ภาพรวมของปรัชญาการศึกษากลมุ่ พิพฒั นาการนิยม 44 7.1 แสดงความแตกต่างระหวา่ งการประกนั คุณภาพภายในและภายนอก 184 8.1 ภารกจิ การบรหิ ารและการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษา: การบริหารงานวชิ าการและบุคคล 212 8.2 ภารกิจการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา: การบรหิ ารงบประมาณและบริหารท่ัวไป 213
บทที่ 1 หลกั การ แนวคดิ ปรัชญาการศึกษา ศุนสิ า ทดลา ความหมายของปรัชญา ความหมายของปรชั ญา การที่จะให้ความหมายหรือให้คาจากัดความของคาว่าปรัชญาน้ันไม่ใช่ สิ่งที่ทาได้ง่ายและเป็นส่ิงท่ี ถูกต้องสมบูรณ์ท่ีสุดก็กระทาได้ยาก แต่ก็ผิดได้ยากเช่นกันเพราะนักปรัชญาแต่ละคน แต่ละสมัย แต่ละกลุ่ม ก็ ให้คานิยามแตกต่างกันออกไป การให้ความหมายในท่ีน้ีจะกล่าวอย่างกว้าง ๆเพื่อให้เข้าใจตรงกันในหมู่ผู้ที่ทา ความเข้าใจในเร่อื งของปรชั ญาการศกึ ษาตอ่ ไป ความหมายตามรูปศพั ท์ การพิจารณาความหมายของปรชั ญาแบบแรกคือพิจารณาตามรูปศัพท์ที่ใชอ้ ยู่ว่ามีความหมายอยา่ งไร ซง่ึ เราอาจพิจารณาได้เปน็ 2 แนวทางคอื รปู ศพั ทภ์ าษาไทยและรปู ศัพท์ภาษาอังกฤษ ตามรูปศัพท์ในภาษาไทยน้ัน คาว่าปรัชญาเป็นคาท่ีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติขึ้นเพ่ือใช้แทนคาว่า Philosoph ในภาษาอังกฤษ (กีรติ บุญเจือ, 2519, น.1) และเป็นศัพท์บัญญัติ ท่ี “ติด” เป็นท่ีนิยมใช้กันกว้างขวางในปัจจุบัน ตามรากศัพท์ปรัชญาเป็นคาสันสกฤต มาจากคาว่า ชญา แปลว่า รู้ เข้าใจ เม่อื เตมิ อปุ สรรค ปร ซง่ึ แปลว่า ไกล สูงสุด ประเสรฐิ ลงไปข้างหน้า จึงกลายเปน็ คาวา่ ปรัชญา ซง่ึ อาจจะให้ความหมายได้ว่า เป็นความรอบรู้ รู้กว้างขวาง หรือความรู้อันประเสริฐ ความรู้ข้ันสูงก็ได้ โดยนัยนี้ ความหมายของปรัชญาในศัพท์ภาษาไทยจึงเน้นไปที่ตวั ความรู้หรือผู้รู้ซ่ึงเปน็ ความรทู้ ่ีกว้างขวางลึกซึ้งประเสริฐ เปน็ ตน้ ซ่งึ ตรงกบั คาวา่ ปญั ญาในภาษาบาลี แต่ตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายแตกต่างไปจากภาษาไทยอยู่บ้าง ดังที่พีทาโกรัสเป็น คนที่เริ่มใช้คานี้ โดยเรียกตัวเองว่านักปรัชญา ศัพท์ภาษาอังกฤษใช้คาว่า “Philosopher” (Thakur, 1977, p.3) รากศัพท์เดิมของคา Philosophy น้ันมาจากคาภาษากรีก 2 คาสนธิกัน คือ Phillos กับ Sophia คาว่า Philos หรือ Philia น้ันแปลว่า รัก หรือความรัก (Love) ส่วนคาว่า Sophia น้ัน หมายถึงความรู้ ความปราดเปร่ือง (Wisdom) เม่ือรวมกันเข้าเป็น Philosophy แล้วจึงหมายถึง ความรักในความรู้ ความรักในความปราดเปร่ือง (The Love of Wisdom) ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษนี้เน้นไปท่ีทัศนคตินิสัยและความต้ังใจ เน้นท่ี กระบวนการในการจะหาความรู้ นักปรัชญาตามความหมายรูปศัพท์ภาษาอังกฤษจึงหมายถึงคนท่ีสนใจ แสวงหา และอยากรอู้ ยากเห็นใฝห่ าความรู้อยเู่ สมอ ไม่ใชค่ นท่มี ีความรูแ้ ล้วเพียงพอกบั ความรทู้ ่ีตนมีอยแู่ ล้วน้นั อย่างไรก็ตาม แมค้ านิยามจะแตกตา่ งกันออกไปบ้างตามรูปศัพทข์ องภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็ตาม แต่ส่ิงที่รวมกันอยู่อย่างหน่ึงก็คือความรู้ ไม่ว่าจะเป็นตัวความรู้หรือการแสวงหาความรู้ก็ตาม ปรัชญาจึงหนีไม่พ้น เรือ่ งความรู้ไปได้ แต่จะเปน็ ความรูอ้ ะไร อยา่ งไร หรอื เกย่ี วข้องอย่างใด เพือ่ อะไรนั้นจะกล่าวถึงในตอนต่อ ๆ ไป
2 ความหมายโดยอรรถ การพิจารณาหาความหมายของปรัชญาโดยอรรถนี้ ก็เช่นเดียวกับการให้คานิยามปรัชญาโดยทั่ว ๆ ไป นนั้ เอง คอื ไม่มคี านิยามตายตัว การให้ความหมายในท่นี ี้จะพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไปเป็นหลักสาคัญ เม่อื พจิ ารณาโดยเนื้อหาแลว้ เรากอ็ าจกล่าวได้ว่า ปรชั ญาน้นั เป็นสาขาวชิ าหน่ึง ซึง่ มีทมี่ าและมีวิวัฒนาการ อันยาวนาน โดยเร่ิมต้นจากการท่ีมนุษย์มีความสงสัยและพิศวงงงงวยต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แล้วก็พยายามขบคิด หาคาตอบต่อปัญญาและความสงสัยต่าง ๆเหล่านั้น ในระยะแรก ๆ ก็พยายามหาคาตอบต่อปัญหาในสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติ เช่น โลก จักรวาล ธรรมชาติก่อน แล้วจึงหันมาสนใจเร่ืองของมนุษย์เองในระยะหลัง โดยเฉพาะสมัย หลังโสกราตีสเป็นต้นมา เพอ่ื หาความหมายต่อส่ิงแวดล้อมและตัวมนุษย์เองนใี้ นระยะแรก ๆ กเ็ ปน็ ไปอย่างง่าย ๆ ใช้ เหตุผลไม่ลึกซ้ึงซับซ้อนมากนัก เป็นการคาดคะเนตามความนึกคิดและสติปัญญา ในยคุ นน้ั ๆ ความรู้ท่ีใช้ประกอบก็ มีลักษณะกว้าง ๆ ตามท่ีคิดได้ในยุคนั้น ๆ เช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับเป็นร้อย ๆ ปีขึ้นไป ปัญหาและคาตอบ ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ได้รับการพิจารณาสืบทอดและปรับปรุงให้ดีขึ้นเร่ือย ๆ จนเป็นระยะของความคิดนึกท่ีสมบูรณ์ขึ้น ผลของความพยายามสะสมเหลา่ นี้เองที่เราเรียกกนั ว่างานทางปรัชญา ในระยะแรก ความรู้ต่าง ๆ ท่ีนักปรัชญานามาประกอบในการพิจารณาเพื่อต้ังคาถามและหาคาตอบให้กับ ความหมายของสิ่งต่าง ๆรอบกายนั้นย่อมได้ความรู้หลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน ความรู้ทุกอย่างก็เป็นปรัชญา ท้ังหมด แต่เม่ือความรู้ในสาขาใดได้รับการพัฒนากว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น มีคาตอบของตนเองชัดเจนข้ึน กแ็ ยกตัวเปน็ วิชาหนึ่งตา่ งหากออกไป (กีรติ บญุ เจือ, 2519, น.5) ชี้ว่า วิชาที่แยกตวั ออกไปจากปรัชญาวชิ าแรก ก็คือวิชาศาสนา เพราะศาสนาน้ันแรก ๆ กเ็ ป็นความพยายามที่จะหาคาตอบของปัญหาและหาความหมายของ ความเป็นมนุษย์ท่ัว ๆ ไป อันเป็นปรัชญาอยู่ ต่อเม่ือมีคนคิดละเอียดและทาความเข้าใจชัดเจน มีพิธีกรรมของ ตนเองชัดเจนขึ้นกแ็ ยกเป็นวิชาต่างหากออกไป ท่ีเหลือก็เป็นเนื้อหาของปรชั ญาต่อไป วชิ าทแ่ี ตกตัวออกมาจาก ปรัชญาในระยะหลัง ๆ ก็ได้แก่ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เป็นต้น โดยเหตุน้ี การที่จะกล่าวถึงเนื้อหา ของวิชาปรัชญาอย่างชัดเจน เช่น การกล่าวถึงวิชาพฤกษศาสตร์ว่าด้วยศึกษาเร่ืองพืช สัตวศาสตร์ศึกษาเรื่อง ของสัตว์ จึงเป็นส่ิงที่ทาได้ยากและไม่ครอบคลุมขอบเขตและวิวัฒนาการของวิชาปรัชญาอย่างเพียงพอ เหตุนี้ ในปจั จบุ นั จงึ มผี ้กู ล่าวว่า ปรชั ญาน้นั ไม่มเี นอ้ื หาของตนเอง แตเ่ ปน็ การนาเอาเนอ้ื หาของวิชาตา่ ง ๆ มาวิเคราะห์ สรุปรวมหาความสัมพันธ์และความหมายให้แก่ศาสตร์นั้น ๆ (ซี อี เอ็ม โจด, 2523, น.7) ในขณะเดียวกันก็จะ มองเหน็ คณุ ค่าอยา่ งอืน่ ๆ เพ่มิ เติมข้ึนมาด้วย การให้ค่าให้ความหมายของสิ่งต่าง ๆเหล่านี้เองที่ทาให้เนื้อหาของปรัชญาจัดตัวเองชัดเจนข้ึน โดยมี จุดมุ่งหมายอยู่ที่การค้นหาความจริงแท้ (Ultimate Reality) ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลและพื้นพิภพน้ี โดยอาศยั ความรู้จากศาสตรต์ า่ ง ๆ มาประกอบกนั ซ่งึ กลายเปน็ เน้ือหาของปรชั ญาในปัจจุบัน อีกลักษณะหนึ่ง ปรัชญาเป็นวิธีการมองปัญหาหรือมองความรู้ท่ีมีอยู่ (A way of looking at knowledge) โดยนัยน้ี ปรัชญาไม่ใช่วิธีการหาความรใู้ หม่และไม่ใชต่ ัวความรู้ (Body of Knowledge) แต่เป็น วิธีการเป็นลักษณะการมองความรู้หรือปัญหาท่ีเป็นอยู่ ท่ีมีอยู่แล้ว วิธีการของปรัชญาจะไม่ให้ความรู้ใหม่ ๆ ความหมายในประการน้ีเองท่ีคนโดยมากเข้าใจกัน ดังที่มีคากล่าวอยู่เสมอว่า ปรัชญาชีวิตของคนนั้นคนน้ีเป็น อย่างนั้นอยา่ งน้ี ปรัชญาการทางานของนาย ก. เปน็ อยา่ งนัน้ ของนาย ข. เป็นอยา่ งน้ี เป็นต้น การมองปญั หานี้
3 จาเป็นจะต้องวิเคราะห์ตีความปัญหาข้อมูลต่าง ๆอย่างกว้างขวาง แต่บางคนก็อาจจะใช้ประสบการณ์และ ความคิดนึกของตนเองเท่านั้น ความเป็นนักปรัชญาในท่ีนี้จึงมักจะมองกันในแง่ที่ว่า ใครจะมีความสามารถ เขา้ ถึงปัญหาทแี่ ท้จริงมากกว่ากัน ความหมายของปรัชญาในแนวทางของการมองปัญหาน้ีเองอาจจะพิจารณาได้ว่าเป็นการใช้วิชาปรัชญามา ประยุกต์ก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะปรัชญาประยุกต์นั้นก็คือการนาแนวคิดหรือวิธีการ รวมทั้งปัญหาพ้ืนฐานทาง ปรชั ญามาวิเคราะห์วชิ าต่าง ๆ ใหก้ ารทาความเข้าใจในวชิ าต่าง ๆชดั เจนขึ้น เช่นปรชั ญาศลิ ปะ ปรชั ญาคณิตศาสตร์ ปรัชญาประวตั ศิ าสตร์ เป็นต้น เนื่องจากมนุษย์ต้องเผชิญหน้าต่อสภาพแวดล้อม เหตุการณ์และปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันทั้งในด้าน สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง อีกท้ังปัญหาธรรมชาติ ทาให้จาเป็นต้องดิ้นรนหาทางแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่าน้ัน จึง ทาให้เกดิ การค้นคดิ หาวิธีการ ตามแนวความเชื่อ ประสบการณ์ และความรู้ของตน จงึ ทาใหเ้ กิดปรชั ญาขึ้น การเกดิ ปรชั ญาขึ้นนั้นมมี ูลเหตุมาจากหลายประการด้วยกัน พอสรุปไดว้ า่ เกดิ ขึ้นมาเพื่อเข้าใจส่ิงต่าง ๆ ใน ธรรมชาติ เข้าใจตัวมนุษย์เอง เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณอยากรู้ อยากเห็น เมื่อพบเห็นอะไร มักจะครุ่นคิด ใคร่ครวญ ตรวจสอบขอ้ เท็จจริง เพือ่ หาความรู้ พอจะบอกมลู เหตุของการเกิดปรัชญาไดเ้ ป็นข้อ ๆ ดงั นี้ 1. ความแปลกใจ ความประหลาดใจ (Sense of Wonder) เพลโต (Plato) กล่าวไว้ว่า “ปรัชญา เร่ิมต้นมาจากความรู้สึกแปลกใจ” ความแปลกใจเกิดจากความสงสัย ที่มีความท่ึง ความฉงนสนเท่ห์ เร่งเร้าให้ เกิดความอยากรอู้ ยากเห็น ตง้ั ปัญหาถามตัวเอง พยายามคิดใคร่ครวญ คน้ หาคาตอบตอ่ ไป ชาวกรีกโบราณเป็น นกั ปรัชญาเพราะแปลกใจ เมอ่ื แปลกใจก็คิดเอาจรงิ เอาจัง คนเราเมื่อพบเหน็ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ของธรรมชาติ ในชีวิตประจาวัน เช่น ภูเขาไฟระเบิด น้าท่วม เป็นต้น เกิดความประหลาดใจ แล้วนาไปขบคิดพิจารณาว่า ทาไมสิง่ เหลา่ น้ันจึงเกิดข้ึน จึงเกดิ เป็นวิชาปรัชญา และกลายเปน็ ปัญหาทีต่ อ้ งหาคาตอบ 2. การหวนคิด มนุษย์มีสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็น เมื่อพบเห็นอะไรก็อดสนใจอดคิดไม่ได้ พบเห็นอะไรที่ ไมเ่ ขา้ ใจแม้เวลาจะผา่ นพน้ ไปแลว้ ยงั เก็บมาคดิ มาระลกึ หวนคดิ ทบทวนถงึ เหตุการณ์ทีป่ ระสบมาแลว้ ไตร่ตรองถึงส่ิงนั้น ก่อให้เกิดการตั้งปัญหาและคิดค้นหาคาตอบต่อไป ถ้าจะพูดไปก็น่าจะถือว่าเป็นธรรมดา แม้คนเราท่ัวไปในปัจจุบันก็ ชอบหวนคดิ ถงึ เหตุการณบ์ างอยา่ ง ถา้ มขี อ้ สงสยั มกั จะคิดใครค่ รวญ ซกั ถามคนอน่ื ๆ ใหร้ ู้จักแจง้ เข้าใจจรงิ ซง่ึ ทาให้เกิด ปัญญาไดท้ างหนง่ึ 3. ความสงสัยและลังเลใจ (Sense of Doubt) ผลของความแปลกใจและจากการหวนคิดทาให้มนุษย์ ได้คาตอบของปัญหาและข้อสมมตฐานต่าง ๆ มาเป็นความรู้เพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆเป็นธรรมดา ย่ิงมีการไตร่ตรองด้วย เหตผุ ลมากข้ึนอาจทาใหเ้ กดิ ความสงสยั หรือลงั เลใจว่าสิ่งที่เรารับรู้มา เคยเช่ือกนั มากกวา่ จรงิ ว่าดี นนั้ เป็นสง่ิ ท่ี มีจริง ๆหรือไม่ ส่ิงที่ปฏิบัติกันอยู่น้ันถูกต้องหรือไม่ มีเหตุผลหรือหลักฐานอะไรชวนให้เชื่อได้ว่าจริง มนุษย์ใน ยุคหลัง ๆ กระทั่งปัจจุบัน ก็ยังมีความสงสัย และลังเลใจในส่ิงต่าง ๆอยู่มาก และดูจะมากยิ่งขึ้นด้วย เช่น ไม่ แน่ใจว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ตายแล้วไปไหน วิญญาณเป็นอย่างไร การปกครองแบบไหนดีท่ีสุด ควรจัดการ ระบบเศรษฐกิจอย่างไร
4 ขอบขา่ ยของปรัชญา ปรัชญามีขอบเขตกว้างขวางกว่าศาสตร์อ่ืนใด เพราะเปน็ วชิ าครอบจกั รวาล ทั้งจกั รวาลแหง่ สสาร วตั ถุ อันเป็นรูปธรรม และจักรวาลแห่งจิตวิญญาณอันเป็นนามธรรม นักปรัชญาเมธีได้พยายามที่จะจัดแบ่งประเภท สาขาของปรัชญาให้คลุมเนื้อหาของปรชั ญาใหม้ ากท่ีสุด ปรากฏว่า ไดม้ ีผู้แบง่ ไว้ตา่ ง ๆ กนั ดงั นี้ คือ แบบท่ี 1 ฟรานซีส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษ ได้แบ่งปรัชญาออกเป็น 2 สาขา คือ 1) ปรัชญา ธรรมชาติ (Natural Philosophy) ได้แก่ วิทยาศาสตร์กายภาพสาขาต่าง ๆ 2) ปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ (Human Philosophy) ได้แก่ สังคมศาสตร์ และมนษุ ยศาสตร์ แบบที่ 2 ปรัชญาเมธีบางท่าน ได้แบ่งปรัชญาออกไปอีกวิธีหนึ่ง แบ่งเป็น 3 สาขา คือ 1) อภิปรัชญา (Metaphysics) หรือภววิทยา เป็นการศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติจิตวิญญาณ พระเจ้า ซ่ึงแบ่งทัศนะการหาความจริง เป็น 3 ลักษณะย่อย ได้แก่ 1) พวกเอกนยิ ม (Monism) ถือว่าความจริงมหี นึง่ เดียว แยกย่อยเป็น พวกวัตถนุ ิยม (Materialism) ซึง่ ถอื วา่ ความจริงแทค้ ือวตั ถุ และพวกจติ นยิ ม (Idealism) ถอื ว่าจิตหรือนามธรรมเท่านั้นที่มีอยู่ จริง 2) พวกทวินิยม (Dualism) ถือว่าความจริงแท้มี 2 อย่างคือ วัตถุกับจิต 3) พวกพหุนิยม (Pluralism) ถือ ว่าความจริงแท้มีมากกว่า 2 อย่าง แยกย่อยออกไปอีกเป็น 2 กลุ่มคือ พวกพหุวัตถุนิยม ถือว่าความแท้จริงมี มาก คือ ปรมาณู หรืออะตอม (Atom) และพวกพหุจิตนิยม ถือว่าจิตประกอบขึ้นด้วยปรมาณู หรือโมนาค ซึ่ง เน้นเรื่องปัญหาทางอภิปรัชญามี 3 ประเด็น คือ ปัญหาเอกภพ (Cosmology) ซ่ึงตอบปัญหาเก่ียวกับความเป็นไป ทุกอย่างในเอกภพ ปัญหาภาวะหรือภววิทยา (Ontology) ซ่ึงตอบปัญหาเก่ียวกับภาวะท่ัวไปในเอกภพและ ปัญหาจิต (Philosophy of Mind) ซ่ึงตอบปัญหาเก่ียวกับจิต 2)ญาณวิทยา (Epistemology) หรือทฤษฎี ความรู้(Theory of Knowledge) เป็นการตอบปัญหาเก่ียวกับความรู้ของมนุษย์ 4 ประเด็น คือ ความรู้มี ลักษณะอย่างไร มนุษย์ได้ความรู้มาอย่างไร ความรู้มีขอบเขตแค่ไหนและมีเกณฑ์อะไรในการตรวจสอบความรู้ ว่าตรงกบั ความจรงิ และ 3) คุณวทิ ยา หรืออัคฆวทิ ยา(Axiology) ศกึ ษาดา้ นคุณค่า แบบที่ 3 Encyclopedia Americana แบ่งไว้เป็น 5 สาขา ได้แก่ อภิปรัชญา (Metaphysics) ญาณ วิทยา (Epistemology) จริยศาสตร์ (Ethics) หรือปรัชญาศีลธรรม (Moral Philosophy) สุนทรียศาสตร์ (Aestheticas) ตรรกศาสตร์ (Logic) แบบที่ 4 ปรัชญาเมธีอีกพวกหน่ึงแบ่งปรัชญาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่ ปรัชญาบริสุทธ์ิ (Pure Philosophy) คือ ปรัชญาตามความหมายท่ีแท้จรงิ ในแต่ละสาขา ได้แก่อภิปรัชญา ญาณวิทยา คุณวิทยา และ ปรัชญาประยุกต์ (Applied Philosophy) คือปรัชญาที่ตีความจากปรัชญาบริสุทธ์ิ เพื่อผลสรุปของวิชาต่าง ๆ แล้วแยกสาขาออกไป เปน็ สาขาเฉพาะวชิ า เชน่ ปรชั ญาสงั คม ปรชั ญากฎหมาย ปรัชญาประวตั ิศาสตร์ ปรชั ญา ศาสตร์นา ปรัชญาการศึกษา ปรัชญาภาษา ปรัชญาการปกครอง คือการนาทฤษฎีปรัชญาไปใช้กับศาสตร์ ต่าง ๆจึงเกิดเป็นปรชั ญาประยกุ ต์ขึน้ มากมาย ขอบเขตของปรัชญาตามท่ีได้กล่าวมาท้ัง 4 แบบ เฉพาะแบบที่ 4 ถือว่าเป็นสากลมากกว่า ดังนั้น จึง นาเสนอเพ่มิ เติม เพือ่ ความเข้าใจโดยละเอียด ดงั ต่อไปนี้
5 1. ปรัชญาบริสุทธิ์ (Pure Philosophy) ได้แก่ ความรู้ท่ีเป็นทฤษฎีของปรัชญาล้วนๆ ไม่เก่ียวกับ การนาไปใช้ในการปฏิบัติ หรือกล่าวถึงปัญหาปรัชญาโดยตรง แม้ปรัชญาจะเป็นศาสตร์ท่ีขอบเขตกว้างขวาง มาก แต่ปัจจุบันพอจะเป็นสาขาใหญ่ ๆ ได้ 3 สาขา คือ 1) สาขาอภิปรัชญา (Metaphysics) อภิปรัชญาเป็น สาขาหนึ่งที่ว่าด้วยความจริง (reality) โดยศึกษาว่าโลกและจักรวาลตลอดจนธรรมชาติของมนุษย์มีความเป็น จรงิ อย่างไร ความเปน็ จริงท่ีอภิปรชั ญาแสวงหานั้นเปน็ ความจริงสุดทา้ ยอันเป็นพน้ื ฐานท่ีมาของความจริงอ่ืน ๆ เป็นความจริงที่สุดหรือท่ีเรียกว่า อันติมสัจจะ (Ultimate Reality) 2) สาขาญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ (Epistemology or Theory of Knowledge) ญาณวิทยาหรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ทฤษฎีความรู้ เป็นสาขา ปรัชญาท่ีศึกษาหาคาตอบว่าเรารู้ความเป็นจริงได้อย่างไร ความรู้ ที่ถูกต้องมีลักษณะอย่างไร อะไรคือลักษณะ ท่ัวไปของความรู้มนุษย์เรารู้ความจริงได้แค่ไหนและความรู้ได้มาจากทางใด เป็นต้น และ 3) สาขาคุณวิทยา สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 สาขาย่อยไดแ้ ก่ (1) จริยศาสตร์ หรือจริยปรชั ญา (Ethics or Ethical Philosophy) เป็นปรัชญาสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับความดี ความช่ัว ความถูก ความผิด ตลอดจนศึกษาว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สาหรบั ชีวิต มนุษย์ควรแสวงหาอะไร และควรทาอยา่ งไรจึงจะไดช้ ื่อว่าเปน็ คนดี ความช่ัวมจี รงิ หรือไม่ หรือเป็น เพียงสิ่งสมมติ มีมาตรการตายตัวอะไรหรือไม่อย่างไรท่ีจะตัดสินคุณธรรมความดีและมาตรการดังกล่าวนั้นคือ อะไร จริยศาสตร์ จึงเป็นเร่ืองของความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อตัวเองและต่อตัวผู้อื่น (2) ตรรกวิทยา หรือ ตรรกศาสตร์ (Logic) เป็นสาขาปรชั ญาที่ว่าด้วยการใชเ้ หตุและผลศึกษากฎเกณฑ์ขอการอ้างเหตุผลความถูกผิด ในการโต้แย้งข้อบกพร่องในการเสนอเหตุผล การอ้างเหตุผลมีได้ก่ีวิธี แต่ละวิธีมีลักษณะและข้อได้ข้อเสียของ ตนอย่างไร การอ้างเหตุผลอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผลเป็นต้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากตรรกวิทยามีเนื้อหามาก พอ และมีคาตอบที่ค่อนข้างตายตัวจึงแยกตัวออกเป็นศาสตร์เฉพาะ (3) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็น สาขาปรัชญา ที่ศึกษาเกี่ยวกับค่าทางสุนทรียะหรือความงามของส่ิงต่าง ๆในโลก รวมทั้งความงามของผลงาน ทางศิลปะว่าคืออะไร มีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงความรู้สึกของมนุษย์ และความงามน้ันมีลักษณะเป็นอัตวิสัย หรอื วัตถุวิสัยเป็นต้น 2. ปรัชญาประยุกต์ (Applied Philosophy) ได้แก่ ปรัชญาที่นาเอาผลสรุปหรือคาตอบของ ปรัชญาบริสุทธ์ิไปตีความผลสรุปของวิชาต่าง ๆ แต่ละสาขาวิชาถูกคิดค้นไปจนพบปัญหาท่ีอธิบายไม่ได้ด้วย ข้อเท็จจริง จึงเอาปรัชญาบรสิ ทุ ธิ์ไปอธิบาย ตีความปัญหาน้ัน ๆ จึงให้เป็นปรัชญาประยกุ ต์ตามสาขาวิชานัน้ ๆ เป็นการนาเอาความรู้ แนวความคิด ความจริง ท่พี ิสูจน์ ค้นคว้า ทห่ี ามาไดจ้ ากปรัชญาบริสทุ ธิ์ ไปผสมผสานกับ ศาสตรแ์ ขนงต่าง ๆ ซ่ึงแยกออกมาจากปรัชญาบริสุทธิ์ ไปผสมผสานกับศาสตรแ์ ขนงต่าง ๆ ซงึ่ แยกออกมาจาก ปรัชญาบริสุทธิ์เป็นศาสตรอ์ ิสระ เช่น ปรัชญาศาสนา (Philosophy of Religion) ปรัชญาศิลปะ(Philosophy of Art) ปรัชญาวิทยาศาสตร์(Philosophy of Science) ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) ปรัชญา สังคม (Social Philosophy) ปรัชญากฎหมาย (Philosophy of Law) ปรัชญาคณิตศาสตร์(Philosophy of Mathematics) ปรัชญาภาษา (Philosophy of Languages) ปรัชญาจิต (Philosophy of mind) ปรัชญา ประวัตศิ าสตร์ (Philosophy of History) ซึง่ แยกสาขาออกมามากมายตามสาขาวชิ าเฉพาะแตล่ ะวชิ า กล่าวคอื เป็นปรัชญาที่นาปรัชญาบริสทุ ธเ์ิ ข้ากับวิชาการอื่น ๆ แล้วกาหนดชื่อตามโดยใชว้ ิชาน้ันเป็นตัวยนื ขอบเขตของ ปรชั ญาทก่ี ล่าวมาข้างตน้ สรปุ ไดด้ ังภาพที่ 1.1 ตอ่ ไปน้ี
6 ปรัชญาธรรมชาติ แบบที่ 1 ปรชั ญาเกี่ยวกบั มนษุ ย์ เอกนยิ ม วัตถนุ ิยม แบบท่ี 2 อภปิ รัชญา ทวนิ ิยม จิตนยิ ม พหนุ ยิ ม พหวุ ัตถุนิยม ญาณวิทยา คุณวิทยา พหุจติ นิยม ขอบเขตของ อภิปรชั ญา ปรชั ญา ญาณวทิ ยา แบบท่ี 3 จริยศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ ตรรกศาสตร์ อภปิ รัชญา ปรัชญาบรสิ ุทธ์ิ ญาณวทิ ยา คุณวทิ ยา แบบที่ 4 ปรชั ญาศาสนา ปรชั ญาศิลปะ ปรัชญาประยุกต์ ปรัชญากฎหมาย ภาพท่ี 1.1 ขอบเขตของปรัชญา ฯลฯ ทม่ี า : สถติ ย์ วงศส์ วรรค์, 2537
7 เม่ือได้พิจารณาสาขาต่าง ๆ ของปรัชญาแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ปรัชญามีขอบเขตกว้างขวางมากเกินกว่าที่ ปัญญาของมนุษย์คนเดียวจะศึกษาได้จบสิ้น ฉะน้ัน จึงจาต้องเลือกศึกษาเพียงบางเร่ือง ในเรื่องเดียวนั้นถ้ามีเวลา น้อยก็ศึกษาได้แค่เพียงกว้าง ๆบางคนอาจชอบปรัชญาของสานักนี้ สานักนั้น สานักโน้นขึ้นอยู่กับทัศนคติ สติปัญญา และรสนิยมของแต่ละคน วิลเล่ียม เจมส์ แบ่งคนตามอุปนิสัยเป็น 2 พวก คือ “พวกเฉียบขาด” และ “อ่อนโยน” พวกแรกมักอยู่ในปรัชญาสานัก ประจกั ษวาท ผัสสวาท สสารวาท ทุวาท อศาสนวาท พหวุ าท นยิ ตั ิวาท สว่ นพวกออ่ นโยนมักอยู่ในสานัก วติ รรกวาท วุฒวิ าท จติ วาท สวุ าท ศาสนาวาท เอกวาท อิสรวาท ความหมายของปรัชญาการศกึ ษา ปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาประยุกต์(Applied philosophy) เพราะนาเอาปรัชญาบริสุทธ์ิ (Pured Philosophy) มาประยุกต์ใช้กับการศึกษา จึงเรียกว่า “ปรัชญาการศึกษา” ปรัชญาการศึกษามีความสาคัญกับ มนุษย์ โดยมุ่งให้มนุษย์เจริญงอกงามเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ดังนั้น ปรัชญาการศึกษาเป็นเครื่องช่วยในการคิด หรือวิเคราะห์หาหลักการและวิธีการท่ีดีที่สุดมาใช้ให้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา ดังน้ัน ความหมายของ “ปรัชญาการศึกษา” มอี งค์ประกอบดังนี้ ปรัชญาการศึกษา คือ การนาเอาหลักการบางประการของปรัชญาแม่บท มาดัดแปลงให้เป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ปรัชญาการศึกษา คือ ผู้นาทาง(มัคคุเทศก์) ในการจัดการศึกษาของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มี อิทธิพลตอ่ การเรียนการสอน การจัดประสบการณ์ในการเรยี นรใู้ ห้แกผ่ ู้เรียนมากทส่ี ดุ ปรัชญาการศึกษา คือ ความพยายามท่ีจะวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์การศึกษาอย่างละเอียด ลึกซ้ึง เพือ่ ให้เข้าใจทัง้ ในเร่อื งแนวคดิ หลกั ความสาคญั และเหตุผลต่าง ๆ อยา่ งชดั เจน และมีจุดหมายตอ่ มนุษย์ สังคม และสิง่ แวดล้อม (กิตติมา ปรดี ีดลิ ก, 2520, น.71) ปรัชญาการศึกษา คือ การนาเอาแนวความคิดและความรู้มาจัดระเบียบเพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์ โดยผ้ทู ีเ่ กย่ี วข้องทว่ี างแนวปรชั ญาจะต้องมองสภาพความเป็นจรงิ เก่ียวกับการดารงอยู่ของมนุษย์ และปญั หาที่ มนษุ ย์ต้องเผชิญอยู่ เพ่ือจะได้แก้ไขได้ถกู ตอ้ งและสมบรู ณ์ จากความหมายข้างต้น พอสรุปได้ว่า ปรัชญาการศึกษา หมายถึง การนาเอาแนวความคิด หลักการและ ทฤษฎที างปรชั ญามาใช้เปน็ แนวทางในการจดั การศึกษาเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายตามที่ต้องการ ความสาคญั ของปรชั ญาการศึกษา ความสาคัญของปรัชญาการศึกษามีมากสาหรับการดาเนินชีวิตของมนุษย์ หากมนุษย์ดาเนินชีวิตโดย ปราศจากแนวความคิด ความรู้และความเช่ือที่ถูกต้อง ย่อมจะประสบปัญหาและความทุกข์ยากลาบาก นานปั การ เพราะมนษุ ย์ไม่เข้าใจเรือ่ งชีวติ โลกและสง่ิ แวดลอ้ ม ความเข้าใจผิดอาจทาลายตนเองและส่ิงแวดล้อม อันจะนามหันตภัยมาสู่มวลมนุษยชาติและสภาวะแวดล้อมในท่ีสุด เพราะฉะนั้น ปรัชญาการศึกษา จึงมี ความสาคัญในแงต่ ่อไปนี้
8 เปน็ บญั ญัติหรือบรรทัดฐาน ปรัชญาการศึกษามีความสาคัญในแง่ของการชวี้ ่าเป้าหมายของการศึกษาควร เป็นอย่างไรและมีวิถีทางใดท่ีควรนามาใช้ ชี้แนะเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆที่จะนามาปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดความเจริญ งอกงาม เป็นการวิเคราะห์ภาษา ความสาคัญในแง่น้ี เป็นเร่ืองการให้ความหมายของปรัชญาเก็งความจริงและ ปรัชญาบัญญัติกระจ่างชัดข้ึน ซ่ึงจะช่วยตรวจสอบเหตุผลของความคิดทางการศึกษา องค์ประกอบของ ความคิดอ่ืน ๆและวิถีทางทาให้เกิดความเบี่ยงเบนและหายไป เพราะความคิดน้ันไร้เหตุผลที่ไม่รัดกุมพอ สิ่งท่ี สาคัญยิ่งก็คือปรัชญาการศึกษาพยายามท่ีจะทาความกระจ่างในความหมายของคาต่าง ๆที่ใช้ในทางการศกึ ษา เช่นคาว่า อิสรภาพ การปรับตัว ความเจริญงอกงาม ประสบการณ์ ความต้องการ และความรู้ เป็นต้น (เมธี ปลิ นั ธนานนท์, 2523, น.22-23) เป็นปรัชญาเก็งความจริง ปรัชญาการศึกษาพยายามแสวงหาสาระท่ีจะสร้างทฤษฎีต่าง ๆที่เกี่ยวกับ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ สังคม และโลก โดยจดั ระเบยี บและตคี วามข้อมูลท่ขี ัดแย้งท้ังหลายซ่งึ ได้มาจาการวิจัยทาง การศึกษาและทางพฤตกิ รรมศาสตร์ ลกั ษณะของปรชั ญาการศกึ ษา การที่จะช้ีชัดลงไปว่า ปรัชญาการศึกษามีลักษณะเฉพาะอย่างน้ัน เป็นการยากต่อการวินิจฉัย เพราะ คาวา่ “ปรชั ญา” และ “การศกึ ษา” ยงั เปน็ คาท่ีหาคาจากดั ความหรือความหมายอันเปน็ ที่ยอมรับของทุกฝ่าย ไม่ได้ นักปรัชญาการศึกษาแต่ละคนแต่ละกลุ่มก็มีอิสระในการคิดและแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกัน อย่างไรก็ ตาม สมาคมปรัชญาการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ได้ประชุมถกเถียงกันในเร่ืองเนื้อหาของปรัชญาการศึกษาว่า ควรมลี กั ษณะอย่างไร ผลของการอภปิ รายออกมาและได้ออกแถลงการณ์ดงั น้ี “(แก่น) ของตนมาต้ังแต่เกิดจนกระท่ังตาย ดังน้ัน สาระหรือคุณค่าต่าง ๆมาหลังความมีอยู่กลุ่มอัตถิ ภาวนิยมจึงให้ความสาคัญแก่ความมีอยู่มากกว่าสาระ นักปรัชญาคนสาคัญในกลุ่มน้ี เช่น ซอเร็น คีร์เคกอร์ด คาร์ล แจสเปอรส์ อลั เบริ ์ต คามูส ฌอง ปอล ซารต์ ร์ และจอร์จ เอฟ. เนลเลอร์ เปน็ ต้น” แนวทางในการพิจารณาปรัชญาการศึกษา ตาราการศกึ ษาหลายเล่ม นักการศึกษาหลายคน เม่อื เริ่มต้นสนใจหรือทาความเข้าใจกบั การศึกษาก็จะ หันเข้าหาปรัชญาพ้ืนฐานก่อนทันทีโดยดูว่า ปรัชญาพ้ืนฐานหรือตัวเนื้อหาของปรัชญามีอะไร เช่น ปรัชญาจิต นิยม วัตถุนิยม เป็นต้น แล้วก็จะวิเคราะห์การศึกษาไปตามปรัชญาเหล่านี้ แนวทางเหล่าน้ีเป็นแนวทางหนึ่ง เทา่ นั้น และในปัจจบุ นั เริ่มนับเปน็ แนวทางตันของปรัชญาการศึกษาเพราะมีข้อจากัดหลายประการ ในปจั จุบัน จึงมีแนวทางอ่ืน ๆ เกิดข้ึนและเป็นที่นิยมมากขึ้น เม่ือรวมแล้วเท่าท่ีเป็นอยู่มี 3 แนวทางใหญ่ ๆ คือ ปรัชญา การศึกษาท่ียึดปรัชญาเนื้อหาเป็นแม่บท ปรัชญาการศึกษาที่ยึดตัวการศึกษาเป็นแกนกลาง และปรัชญา การศึกษาที่มงุ่ หาความกระจา่ งในแนวคดิ และกิจกรรมทางการศกึ ษา
9 ปรัชญาการศกึ ษาท่ียึดเนือ้ หาทางปรัชญาทวั่ ไปเป็นแมบ่ ท ปรัชญาการศึกษาในแนวน้ีเป็นแนวเก่าและมีมานานเป็นระบบและรูปแบบที่ชัดเจน เริ่มต้นจาก การศึกษาปรัชญาท่ัวไปก่อน เม่ือรู้จักและทาความเข้าใจกับปรัชญาทั่วไป ซึ่งจะเรียกในที่นี้ว่าปรัชญาพ้ืนฐาน แล้วก็จะวิเคราะห์การศึกษาไปตามปรัชญาแต่ละสาขา เป็นการสร้างปรัชญาการศึกษาตามปรัชญาท่ัวไป (Educational philosophy as deduction from philosophical premises.) (Wingo, 1974, p.18) แนวนี้ถือว่า เมื่อมีปรัชญาแล้วจึงมีปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาจะเกิดข้ึนอย่างอิสระไม่ได้ นัก การศึกษาจะต้องอาศัยนักปรัชญามาช่วยหรือนักการศึกษาจะต้องเป็นนักปรัชญาไปด้วยในตัว ปรัชญา การศกึ ษาจึงขึ้นอย่กู ับปรชั ญาพนื้ ฐานเสมอไป ขอบเขตของการศึกษาในแนวนี้โดยท่ัวไปมักจะเร่ิมต้นจากการศึกษาปรัชญาท่ัวไป 4 สาขาใหญ่ (นักปรัชญาบางท่านอาจแบ่งแตกต่างกันออกไปได้) คือ ปรัชญาจิตนิยม (ldealism) ปรัชญาวัตถุนิยม (Materialism) และปรัชญาประสบการณ์นิยม (Experimentalism) และเพ่ิมปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) เข้าไว้ด้วย การศึกษาก็จะศึกษาท้ัง 3 องค์ประกอบคือ ศึกษาอภิปรัชญา (Metaphysics) ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) และคุณวิทยา (Axiology) เมื่อศึกษาปรัชญาพ้ืนฐานเหล่าน้ีแล้วก็จะวิเคราะห์ การศึกษาตามแนวของปรัชญาแต่ละสาขาน้ี ซึ่งอาจจะพูดถึงปรัชญาจิตนิยมกับการศึกษาแล้วพูดทั้ง 3 องค์ประกอบคือ อภิปรัชญากับการศึกษา แล้วพูดถึงปรัชญาจิตนิยม วัตถุนิยม ประสบการณ์นิยมว่า อภิปรชั ญาของแต่ละปรัชญาเก่ยี วข้องกับการศึกษาอย่างไร หรอื ในบางกรณีก็จะกล่าวถงึ นักปรัชญากับแนวคิด ของการศกึ ษาของผู้นัน้ แนวการศึกษาลักษณะน้ีมีข้อดีหลายประการคือเป็นการประยุกต์ปรัชญาท่ัวไปมาใช้กับการศึกษา อย่างแท้จริง นักการศึกษาไม่ต้องคิดหรือวิเคราะห์ตัวปรัชญาอะไรใหม่ เพราะนักปรัชญาวิเคราะห์ไว้แล้ว รูปแบบของปรัชญามีอยู่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว นักการศึกษาเพียงแต่หาข้อสรุปทางการศึกษาให้สอดคล้องกับ ปรัชญาแต่ละรปู แบบเท่านั้น เปน็ ต้น แตใ่ นปัจจุบันการศึกษาในแนวนไี้ ดร้ บั คาวพิ ากษ์วจิ ารณห์ ลายประการดว้ ยกนั คอื ประการที่ 1 ปัญญาหลายอย่างในตัวเนื้อของปรัชญาท่ัวไปเองก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ยังไม่มีข้อตัดสินท่ี ตายตัวชัดเจน (Wingo,1974, p.20) ถา้ การศึกษาสรุปมาใช้ทนั ทเี ลยก็จะทาให้การศึกษาขาดความชดั เจนไปด้วยได้ ประการที่ 2 การพิจารณาปรัชญาการศึกษาในแนวน้ีเป็นการวิเคราะห์ 2 ข้ันตอน คือ วิเคราะห์ ปรชั ญาทั่วไปก่อนแลว้ กว็ เิ คราะห์การศึกษาตามไปใหส้ อดคล้องกัน ปญั หาทเ่ี กิดขึ้นก็คือการวิเคราะห์การศึกษา ตามไปใหส้ อดคล้องกันนัน้ อาจตคี วามไดห้ ลายแงม่ มุ หลายแนวทาง อาจจะขัดแยง้ หรอื แตกตา่ งกนั ไดม้ าก ประการที่ 3 การวิเคราะห์หรือพิจารณาการศึกษาในแนวทางปรัชญานี้ ถ้าไปอธิบายหรือตอบปัญหา ทางการศกึ ษาก็จะมองได้เฉพาะแง่มมุ เดยี วเท่านั้นคือมุมของปรัชญาซึ่งเกีย่ วพันกบั ความจริง ความรู้และคุณค่า แต่ทางด้านสงั คม การเมือง จติ วิทยานน้ั ไม่ได้คานงึ ถงึ มากนกั ซง่ึ ทาใหม้ องแคบได้ง่าย
10 ประการท่ี 4 การกล่าวว่า ปรัชญาการศึกษาเป็นผลมาจากปรัชญาทั่วไปนั้น อาจจะไม่เน้นอย่างน้ัน เสมอไป และไม่สมเหตุสมผลเสมอไป เพราะตัวอย่างจากปรัชญาพิพัฒนาการ (Progressivism) น้ัน ดิวอี (Dewey) เองก็ไม่ได้พัฒนามาจากปรัชญาสาขาประสบการณ์นิยม(Experimentalism) โดยตรง แต่พัฒนาขึ้น จากพื้นฐานของจิตวิทยา สังคมและการเมืองมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนและสภาพของการศึกษา มากกวา่ และพัฒนาแนวคดิ ทางการศกึ ษาก่อนแนวคดิ ทางปรชั ญาเสียอกี ประการท่ี 5 การผูกพันกับปรัชญาทั่วไปมากน้ันทาให้การศึกษาได้รับอิทธิพลหรือถูกกาหนดโดยนัก ปรัชญาหรือแนวคิดทางปรัชญามากเกินไป ซึ่งหลายประการไม่สอดคล้องกับปัญหาและสภาพความเป็นจริง ของสังคม โดยเหตุน้ี แม้การศึกษาตามแนวนี้จะยังมีความสาคญั มกี ารใช้และการศึกษากันกวา้ งขวาง เพราะเนื้อ หาทางวิชาการมีมาก แต่บทบาทก็จะน้อยลงทุกที ในหนังสือเล่มน้ีจะกล่าวถึงพอเป็นพ้ืนฐานในตอนต่อ ๆไป เพอื่ ความเขา้ ใจแนวทางน้ตี ามสมควร ปรัชญาการศกึ ษาทีย่ ึดตวั การศึกษาเปน็ แกนกลาง แนวทางปรัชญาการศึกษาลักษณะน้ี ความจริงเป็นแนวเก่าและได้ใช้กันมานานแล้ว โดยเฉพาะในวง การศึกษาเอง เพียงแต่ไม่มีใครมาวิเคราะห์ถึงรูปแบบที่ชัดเจนและศึกษาต่ออย่างเป็นระบบระเบียบเป็นรูปร่างของ ปรชั ญาขึน้ มา เมอ่ื มคี นมาสนใจกันในระยะหลัง ๆ มากขึ้น แนวทางน้ีจึงเป็นแนวทางใหม่ข้นึ มา เปน็ แนวทางท่ีศึกษา ถึงเป้าหมายและวิธีการทางการศึกษาโดยเฉพาะ(Philosophy of education as determination of the ends and means of education) (Wingo, 1974, p.21) ปรัชญาการศกึ ษาในแนวนถี้ ือวา่ เมือ่ มกี ารศึกษาจงึ มปี รัชญาการศึกษาเกิดขึ้น การดาเนนิ การศึกษาใน ลักษณะใด กิจกรรมใดก็ตาม จะมีแนวคิดพ้ืนฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องกาหนดอยู่เสมอ แนวคิดหรือ หลักการเหล่าน้ี จะช่วยให้วิเคราะห์ทาความเข้าใจในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจนและเป็นเคร่ืองนาไปสู่การ ปฏบิ ัตทิ ่ีเหมาะสมถกู ตอ้ งย่งิ ขน้ึ การศึกษาเป็นกิจกรรมท่ีใหญ่ กว้างขวาง และมีบทบาทอย่างมากในสังคมมนุษย์ จึงไม่ควรจะกาหนดหรือ พิจารณาโดยการมองแคบๆ เฉพาะปรัชญาใดปรัชญาหนึ่งเท่านั้น แต่ควรมองให้กว้างถึงเรื่องของจิตวิทยา สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองดว้ ยพร้อม ๆกนั ไป เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆทเ่ี กี่ยวข้องกับการศึกษาแลว้ จึงกาหนด เป้าหมายและวิธีการทางการศึกษาข้ึน เมื่อศึกษาปรัชญาการศึกษาในแนวนี้จึงศึกษาเริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายหรือ วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาก่อนเป็นการเร่ิมตน้ แลว้ จึงตามด้วยวิธีการต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วเนอื่ งและสัมพันธก์ ัน โดยเหตุนี้ จึงมักจะมีผู้เรียกปรัชญาการศึกษาแนวนี้ว่าทฤษฎีทั่วไปทางการศึกษา(Educational philosophy is the generalized theory of education) (Newsome Jr., 1969, p.163-164) ปรัชญาการศึกษาในแนวน้ีดูแล้วคล้ายกับว่า ปรัชญาการศึกษาจะไม่สัมพันธ์กับปรัชญาท่ัวไปเลย ซ่ึง แท้จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเราย้อนไปดูในส่วนที่ว่าความรู้ทางปรชั ญาแลว้ ก็จะพบวา่ ปรัชญาการศึกษาสาขานี้ ได้ใชว้ ิธีการมองปัญหาทางปรัชญามาใช้นน่ั เอง
11 การพิจารณาปรัชญาในแนวนี้ (A Generalized Theory Approach) เป็นการมองปรัชญาในวงกว้าง ข้อเสียอาจจะอยู่ที่ความสัมพันธ์โดยตรงกับปรัชญาทั่วไปน้อยกว่าวิธีแรก แต่จะใช้ประโยชน์ในการศึกษาได้ มากกว่าเพราะสามารถจะอธิบายแนวคิดและวิเคราะห์ปัญหาได้กว้างขวางกว่าแนวแรกมาก นักปรัชญา การศึกษาในแนวนี้ก็จะมีลักษณะเป็นนักปรัชญาด้วยตนเอง (Newsome Jr., 1969, p.164) ไม่ต้องพ่ึงพาหรือ หยิบยืมหลักการอน่ื แตฝ่ ่ายเดยี ว มีแตพ่ ง่ึ พาอาศยั ซ่งึ กนั และกนั ปรชั ญาการศกึ ษาที่มงุ่ หาความกระจา่ งในแนวคดิ และกจิ กรรมการศึกษา การศึกษาปรัชญาในแนวน้ีถือว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับการศึกษาน้ันมีความสัมพันธ์ใน ลักษณะท่ีปรัชญาไม่ใช่ตัวเนื้อหา แต่ปรัชญาเป็นกิจกรรมของการวิพากษ์วิจารณ์หรือหาความกระจ่าง ใน ความหมายและในถอ้ ยคาโดยเฉพาะในปญั หาของการศึกษา การวิเคราะห์ในลักษณะหนง่ึ อาศัยประวัติศาสตร์เป็นแนวเทียบโดยมองว่า ประวัตศิ าสตร์มีผลอย่างไร ต่อการพจิ ารณาการศึกษาในปัจจบุ นั ในขณะเดียวกนั กห็ าความหมายที่แทจ้ ริงของคาและความร้ตู ่าง ๆ ในการศึกษา (Wingo, 1974, p.23) ดูวา่ การใชค้ าแตล่ ะคาในแต่ละท่ีมีความเหมาะสมสอดคล้องกันเพยี งไร เปน็ ตน้ ในอีกลักษณะหน่ึงก็เป็นการให้ความหมายหรือให้คานิยามกับคาและความหมายทางการศึกษาตามทัศนะ ของแต่ละคน (Newsome, Je., 1969, p.162) แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมองไปในลักษณะไหน อย่างไร บางคนก็ให้ ความหมาย ความกระจ่างในขั้นสามัญสานึก (Common Sense) แต่บางคนก็ให้อรรถาธิบายในข้ันของปรัชญา (Philosophical Level) แล้วแต่ความสามารถและทัศนะของแต่ละคน การให้ความหมายและการอภิปรายทีเ่ ราควร จะนับไดว้ า่ เปน็ ปรชั ญาการศึกษาน้ันควรจะมลี ักษณะทางปรัชญา และผู้อภิปรายมีใจเป็นกลาง ลทั ธปิ รัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษา เกิดขึ้นจากแนวคิดของผู้ที่มีความคิดความเช่ือแตกต่างกันไป ตามบริบทของสังคม และวัฒนธรรมหรือสภาพการณ์ในขณะนั้น ๆ ปรัชญาการศึกษาจึงมีพ้ืนฐานมาจากการบูรณาการแนวคิด ปรัชญา บริสุทธ์ิหลายๆ สาขาหรือสาขาเดียว มาสร้างเป็นปรัชญาการศึกษาของตน จึงส่งผลให้เกิดเป็นลัทธิความเชื่อ หลายลทั ธใิ นบทน้ีจะกล่าวถึงลัทธปิ รชั ญาการศึกษาดงั น้ี 1. ปรัชญาการศึกษากลมุ่ สารัตถนยิ ม (Essentialism) 2. ปรัชญาการศกึ ษากลุ่มนิรันตรนิยม (Perennialism) 3. ปรชั ญาการศกึ ษากลุ่มพิพัฒนาการนยิ ม (Progressivism) 4. ปรชั ญาการศึกษากลุ่มปฏิรูปนยิ ม (Reconstructionism) 5. ปรัชญาการศกึ ษากลุ่มอัตถภิ าวนยิ ม (Existentialism) 6. ปรชั ญาการศึกษากลุ่มพุทธปรัชญาการศึกษา (BuddhismPhilosophy of Education) ในบทนี้จะกล่าวถึงแนวคิดพ้ืนฐาน ความเชื่อทางการศึกษา องค์ประกอบของการศึกษา ซึ่ง ประกอบด้วยหลักสูตร โรงเรียน ผู้สอน ผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอน การวัดประเมินผลของแต่ละลัทธิ ปรชั ญาการศกึ ษา มรี ายละเอียด ดังน้ี
12 1. ปรชั ญาการศกึ ษากลมุ่ สารตั ถนยิ ม (Essentialism) สารัตถนิยม เกดิ ข้ึนในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1930 (พิมพพ์ รรณ เทพสุเมธานนท์และ คณะ, 2555) โดยผสมผสานแนวคิด ระหว่างปรัชญาอุดมคตินิยม (Idealism) กับปรัชญาสัจนิยม (Realism) เพื่อ ต้านแนวคิดพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) ซึ่งกาลังเผยแพร่อยู่ในขณะน้ัน โดยมีผู้นากลุ่ม คือวิลเลี่ยม ซี แบก เลย่ ์ (William C. Bagley) และนักการศึกษาท่ีมีแนวความเช่ือเดียวกัน เช่น โทมสั บริกส์ (Thomas Briggs) เฟรดเด อริด บรีด (Frederich Breed) ไอแซด แอล. คาสเดล (Isaac L. Kande) และ เฮอร์แมน เอช. ฮอร์น (Herman H. Horne) และในปี ค.ศ. 1946 กลุ่มผู้นาเหล่าน้ีได้ร่วมกันก่อตั้งเป็น “คณะกรรมการฝ่ายสารัตถนิยม เพ่ือ ความก้าวหนา้ ทางการศึกษาของสหรัฐอเมริกา” เพ่ือเผยแพร่ความเช่ือของกลุ่ม แนวคดิ พ้ืนฐาน ปรัชญาการศึกษา ลัทธิสารัตถนิยมมี รากฐานจากปรัชญาอุดมคตินิยม และปรัชญาสัจนิยม โดยมี หลกั การสาคญั ดังนี้ (Kneller, 1971, อา้ งในสมนึก พวงพวา, 2531, น.44) 1. การเรียนรตู้ อ้ งเกยี่ วขอ้ งกับการทางานหนักและการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ 2. การรเิ รม่ิ ในการศึกษา ควรจะขึ้นอยูก่ บั ผู้สอนมากกวา่ ผเู้ รียน 3. แกน่ แทข้ องการศึกษา (Essence of Education) คือ การเรยี นรเู้ นื้อหาวชิ าท่ีได้เลือกสรรมาเป็นอย่างดี 4. โรงเรียนควรรักษาวิธีการเดิมที่ใช้ระเบียบ วินัย และการอบรมทางจิตใจเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม การเรียนรู้ (Traditional Methods of Mental Discipline) ความเชอื่ ทางการศกึ ษา จุดมุ่งหมายการศกึ ษา จุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม มี 2 ระดับ (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.84) คือ ระดับมหภาค (Macro Level) หรือระดับกว้าง ๆ มุ่งถ่ายทอดวัฒนธรรม ซ่ึงวัฒนธรรมจะมี ผลในการควบคุมการกระทาหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ของบุคคล และอีกระดับหน่ึงคือระดับจุลภาค (Micro Level) หรือระดับเฉพาะตัวมุ่งที่จะพัฒนาสติปัญญา ของมนุษย์ให้เป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดแ ละมี ความประพฤติดีงาม ท้ังน้ีไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2529, น.69) ยังได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญา สารตั ถนยิ ม ไวด้ งั น้ี 1. ให้การศึกษาในส่ิงท่ีเป็นเน้ือหาสาระ (Essential Subject Matter) อันได้มาจากมรดกทาง วัฒนธรรม 2. ให้การศึกษาเพ่อื การเรยี นรใู้ นเรื่องของความเชอ่ื ทศั นคติ และคา่ นิยมของสงั คมในอดตี 3. ธารงรกั ษาสิ่งตา่ ง ๆ ในอดตี เอาไว้ 4. มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้มีระเบียบวินัย ทางานหนัก ใช้สติปัญญาให้มาก และรักษาอุดมคติอันดี งามของสังคม
13 องค์ประกอบของการศกึ ษา หลักสูตร หลักสูตรของปรัชญาการศึกษากลุ่มสารัตถนิยมเป็นหลักสูตรแบบเน้ือหาวิชา (Subject-Matter Curriculum) เป็นหลักสาคัญ เนื้อหาหลักคือเนื้อหาท่ีเก่ียวกับความรู้พ้ืนฐาน และเนื้อหาสาระที่เน้นจะเป็น มรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี หลักสูตรน้ีมีวิชาพ้ืนฐานคือ ภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นอกจากนี้เนื้อหาที่เน้นเป็นพิเศษ คือ เน้ือหาท่ีเก่ียวกับศิลปะ ดนตรี วรรณคดี ค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมที่ควรรักษาไว้ การจัดทาหลักสูตรจึงเป็นหน้าท่ีของผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรจะต้องมีลกั ษณะควบคุมการเรียนการสอนล่วงหน้าและสว่ นใหญ่จะเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วประเทศ (ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์, 2556, น. 69-70) โรงเรียน บทบาทของโรงเรียนในปรัชญาปรัชญาการศึกษากลุ่มสารัตถนิยม โรงเรียนมีบทบาทหน้าท่ีตามท่ี สังคมมอบหมาย สังคมมอบหมายอะไรก็ทาไปตามนั้นไม่มีการแนะนาหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างหน่ึง อยา่ งใด (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2529) ปรชั ญาการศึกษาสารัตถนยิ มเน้นเรื่องมาตรฐานการศึกษา ดังนนั้ โรงเรียน จะต้องเคร่งครัดในเร่ืองระเบียบวินัย หน้าท่ีสาคัญของโรงเรียนคือ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่ คนอีกรุ่นหนึ่ง สร้างบรรยากาศทางการศึกษาให้เหมาะสมแก่การพัฒนาสติปัญญา จริยธรรมและถ่ายทอด วัฒนธรรม (ศกั ดา ปรางคป์ ระทานพร, 2526, น.85) ผู้สอน ผู้สอนตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมน้นั จะให้ความสาคญั กับผู้สอนเปน็ อย่างมาก เพราะผ้สู อนเป็น ผู้ที่กาหนด ตัดสิน และดาเนินการเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด นอกจากนี้ผู้สอนต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ดีและ มีความประพฤติดี เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นผู้นาในห้องเรียนดังที่วิลเลียม ดับบลิว บริก (William W. Brickman, 1968 อา้ งใน ศุภร ศรแี สน, 2526) กล่าวไวว้ ่า “ปรชั ญาสารัตถนิยมถือวา่ ผสู้ อนเปน็ ศนู ย์กลางของ การจัดการศึกษา” ผู้สอนต้องมีความรู้ทางการศึกษาทว่ั ไป (Liberal Education) ทฤษฎีการเรยี นรู้แบบต่าง ๆ มีความร้ลู ึกซงึ้ ในจติ วิทยาการศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ สามารถแยกขอ้ เท็จจริงออกจากอุดมคติ ใหผ้ ูเ้ รยี น เขา้ ใจปรัชญาพ้ืนฐานทางการศกึ ษาและมีความเสยี สละตอ่ วิชาชพี ผ้เู รยี น ตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมเช่ือว่าผู้เรียนมีความสาคัญเพราะผู้เรียนจะเป็นผู้เรียนรู้ เป็นผู้สืบ ทอดคา่ นยิ มไว้และจะต้องถา่ ยทอดตอ่ ให้กับคนรนุ่ หลัง ดว้ ยเหตนุ ีผ้ ู้เรียนจงึ เป็นบุคคลสาคญั สถาบนั การศึกษา จึงควรจะให้ความสนใจแก่ผ้เู รียนเปน็ พเิ ศษ แต่ความสนใจและการให้การศึกษานัน้ ควรจะเปน็ ไปตามแนวทางที่ ผู้ใหญ่ สังคม หรือผู้สอน ได้กาหนดไว้ ผู้เรียนจึงเป็นผู้รับ ผู้ฟัง และทาความเข้าใจกับเนื้อหาต่าง ๆ ที่ผู้สอนได้ กาหนดไวใ้ ห้เพอ่ื จะได้เขา้ ใจจดจาและนาไปถา่ ยทอดต่อไป (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2529)
14 กระบวนการเรียนการสอน การเรียนการสอนตามแนวปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม เน้นหลักสาคัญท่ีจะให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา อย่างถ่องแท้ ผู้สอนจึงต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ในการถ่ายทอดความรู้ แต่การเรียนการสอนตามแนวปรัชญา การศึกษาสารัตถนิยมเน้นการเรียนการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก เพื่อให้ได้เนื้อหาสาระมาก ๆ และมีความเชื่อว่า เนื้อหาสาระท่ีได้คัดเลือกแล้วเป็นส่ิงที่มีคุณค่า การเรียนการสอนจะอาศัยหนังสือ ตาราเป็นสื่อการสอน การถาม ตอบเพ่ือทบทวนความเข้าใจในเน้ือหาวิชา ดังน้ัน ผู้เรียนต้องมีความเพียรพยายามอย่างหนัก และต้องจดจา วิชาการต่าง ๆ ให้ข้ึนใจ ส่วนผู้สอนจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ดี มีความสามารถในการถ่ายทอดวิชา และมี ความสามารถในการชักนาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในส่ิงท่ีมีประโยชน์และมีคุณค่า นอกจากนี้การเรียนการสอนใน แนวน้ยี งั เปน็ การสร้างผ้นู าในกลุ่มด้วย กลา่ วคอื ผูน้ าของกลุ่มคือผู้ทเ่ี กง่ มคี วามสามารถในการจดจาเนื้อหาได้ดี มคี วามประพฤตดิ ี มีระเบียบวนิ ัย (ณัฐพร คามะสอน, 2531, น.32-33) การวัดผลและประเมินผล จากจุดมุ่งหมายของการศึกษา ลัทธิปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมให้ความสนใจและเช่ือมั่นในส่ิงท่ีเป็น สาระสาคัญทงั้ หลาย ดงั นน้ั ผู้สอนจึงเป็นผวู้ ัดและประเมินผลโดยเน้นดา้ นวิชาการเป็นสาคัญ เนน้ การสอนให้ได้ โดย เนอ้ื หาสาระที่เรียนไป และการสอนนน้ั ต้องถึงมาตรฐานทว่ี างไวจ้ ึงจะถือวา่ ผา่ น (อไุ ร ดิษฐลกั ษณ, 2530, น.52) 2. ปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนยิ ม (Perennialism) ความเปน็ มา ปรัชญานิรันตรเร่ิมต้นขึ้นสมัยกรีกโบราณ แนวความเช่ือพื้นฐานของลัทธิปรัชญานี้คือ คาสอนของนัก ปรัชญาชาวกรีกยุคโบราณ ได้แก่โสเครตีส เพลโต และ อริสโตเติล ต่อมาบาทหลวงโธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) ได้นาความเช่ือทางศาสนาโรมันคาธอลิคมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ปรัชญานิรันตรนิยมจึงเป็น การผสานระหว่างแนวคิดของอริสโตเติลที่เรียกว่า Rational Humanism ซึ่งเน้นการใช้ความคิดและเหตุผล ของบุคคลกบั แนวคิดของบาทหลวงโธมัส อไควนสั ท่เี รยี กว่า Scholastic Realism ซ่ึงมีความเช่อื เกี่ยวกับพระ เจา้ ศาสนาและข้อเรียกรอ้ งทางศาสนา (ฐติ พิ งษ์ ธรรมานสุ รณ์และคณะ, 2522, น.77) ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมเกิดขึ้นในขณะท่ีประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกาลังพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ นาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้มีการแข่งขันการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ครอบครัวไม่มีเวลาอบรมสมาชิกในครอบครัว และที่สาคัญคือ มนุษย์เริ่มเสียความเป็นมนุษย์ไปทีละน้อย ๆ ให้กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักปรัชญาและนักการศึกษากลุ่มหน่ึงจึงเสนอปรัชญาการศึกษาท่ีมี จุดมุ่งหมายให้เป็นสิ่งที่นามนุษย์ไปสู่อดีตที่มีระเบียบ มีความมั่งคง มีจริยธรรม และความยุติธรรม (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.95) นักปรัชญาและนักการศึกษาผู้ท่ีได้รวบรวมหลักการและให้กาเนิดปรัชญา การศึกษานิรันตรนิยมในปี ค.ศ. 1929 คือ โรเบิร์ต เอ็ม ฮัทชินส์ (Rober M. Hutchines) มอทิเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler) และเซอร์ ริชารด์ ลฟิ วงิ่ สโตน (Sir Richard Living Stone)
15 แนวคิดพน้ื ฐาน ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมมีรากฐานมาจากปรัชญาพ้ืนฐานกลุ่มจิตนิยมเชิงเหตุผลและกลุ่มวัตถุ นิยมเชิงเหตุผลผสมผสานกัน โดยท้ังสองฝ่ายมีความเชอื่ พ้ืนฐานในเรื่องของเหตุผลเหมือนกัน เพราะถือว่าเปน็ ลักษณะสูงสุดของมนุษย์ และมนุษย์เองก็อยู่ในโลกแห่งเหตุผล นิรันตรนิยม เชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถท่ีจะ ใช้ความคิดและเหตุผลมาตัดสินปัญหาต่าง ๆ ได้ ซึ่งความสามารถวันนี้ไม่มีในส่ิงท่ีมีชีวิตอ่ืน ๆ มนุษย์ได้ใช้ ความคิดและเหตุผลอยู่ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่และความสามารถในการคิดเหตุผลของมนุษย์ติดตัวมาแต่กาเนิด (วรวิทย์ วศินสรากร, 2549, น.62) ส่วนความรู้นั้นปรัชญาการศึกษานิรัตรนิยมเชื่อว่าได้มาจากการคิดเหตุผล และความดีความงามนนั้ กเ็ ชอื่ ว่า ไมไ่ ดข้ นึ้ อยู่กับพันธุกรรมหรือสงิ่ แวดล้อม แต่จะขน้ึ อยกู่ บั ความมีวินยั ในตัวเอง และยดึ ม่ันในความดี (กิติมา ปรีดดี ิลก, 2523, น.86) หลกั การสาคญั ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมมีหลักการสาคัญ ดังนี้ (ศุภร ศรีแสน, 2526, น.167-169; ชารี มณีศรี อ้างถึงใน วรวทิ ย์ วศินสรากร, 2549, น.63) 1. ธรรมชาติพ้ืนฐานของมนุษย์ย่อมเหมือนกันในทุกกาลเทศะ การจัดการศึกษาควรจะเหมือนกัน สาหรบั ทุกคน 2. ธรรมชาติของมนษุ ย์ไม่ว่าจะอยู่ทีใ่ ด ยอ่ มทาหนา้ ที่เหมอื นกันหมด คือ การเปน็ พลเมืองของชมุ ชน 3. สิ่งสาคัญท่ีสุดสาหรับมนุษย์คือ สติปัญญา การศึกษาควรมุ่งพัฒนาสติปัญญาและความมีเหตุผล มนุษยม์ เี สรภี าพและความรับผิดชอบ 4. การศึกษามุ่งให้ผู้เรียนเข้าถึงสัจจะหรือความเป็นจริงแท้จริงการศึกษาจึงเป็นไปเพื่อสอนให้คน ปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์ต่างๆในชีวิต 5. การศึกษามใิ ชก่ ารเอาอยา่ งชวี ิตหรอื เลียนแบบชีวติ หากแต่เปน็ การเตรยี มตวั เพ่อื ชีวิต 6. ผู้เรียนควรเรียนรู้วิชาพ้ืนฐานบางประการ เพ่ือจะได้รู้ถึงสิ่งซึ่งรู้จริงแท้และถาวรท่ีสุดในโลก โดย ตอ้ งเรยี นวชิ าหลักท่จี ะพัฒนาผู้เรยี นท้ังทางดา้ นจติ ใจและรา่ งกาย 7. วิชาหลักที่ควรศึกษาได้แก่ งานนิพนธ์ที่สาคัญ ๆ ทางวรรณคดี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นการเอาของดีจากอดีตมาใช้ในปัจจุบัน ความเช่อื ทางการศกึ ษา จดุ มงุ่ หมายการศึกษา จุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม คือ การพัฒนาให้คนเป็นคนท่ีสมบูรณ์ด้วย การช่วยให้บุคคลแต่ละคนได้ตระหนักถึงธรรมชาติท่ีแท้จริงที่แฝงอยู่ภายในตัวของบุคคล การศึกษาเป็น กระบวนการพัฒนาเพ่ือดึงพลังธรรมชาติในตัวมนุษย์ให้ปรากฏออกมาและใช้ศักยภาพนั้นได้อย่างเต็มที่จุดมุ่งหมาย การศึกษาของนิรนั ตรนิยมแยกเป็นสองด้าน คอื ดา้ นพทุ ธิปัญญา และด้านศลี ธรรม (รตั นา ตนั บญุ เต็ก, 2530)
16 จุดมุ่งหมายการศกึ ษาของปรัชญานิรนั ตรนิยมสรุปได้ดงั น้ี (ไพฑูรย์ สินลารตั น์, 2529, น.72) 1. มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รียนรู้จักและทาความเข้าใจกบั ตนเองให้มากทส่ี ดุ โดยเฉพาะในเร่อื งเหตุผลและสติปัญญา 2. มุ่งพัฒนาสตปิ ัญญาและเหตุผลในตัวมนษุ ยใ์ ห้ดขี นึ้ 3. ธารงรกั ษาส่ิงต่าง ๆ ในอดตี เอาไว้ 4. มุ่งใหผ้ ู้เรียนมคี วามม่ังคงทางจติ ใจ มคี ณุ ธรรม และจริยธรรม ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม เป็นกระบวนการพัฒนาคุณธรรมทางพุทธิปัญญาให้แก่ผู้เรียน ปลูกฝัง คณุ ธรรมจรยิ ธรรมดว้ ยการฝกึ อบรม เพ่ือใหผ้ ้เู รียนตระหนกั ถงึ คณุ คา่ และความดงี ามของศลี ธรรม องค์ประกอบของการศึกษา หลกั สตู ร หลักสูตรตามแนวคิดของปรัชญาการศึกษาลัทธินิรันตรนิยมกาหนดขึ้นโดยผู้รู้หรือผู้เช่ียวชาญ เน้น การศึกษาพ้ืนฐานได้แก่วิชาศิลปะศาสตร์ (Liberal Arts) คือ การอ่าน การฟัง การพูด การเขียน และการคิด หรอื เน้นวชิ าไตรภาค (3 R’ S) (ศุภร ศรีแสน, 2526) ศลิ ปะศาสตร์โดยทวั่ ไปจะแบ่งเปน็ 2 กลุ่ม คอื ศิลปะทาง ภาษา (Literary Arts) ซงึ่ ประกอบดว้ ย ไวยากรณ์ วาทศิลป์และตรรกศาสตร์ อีกกลุ่มหนึง่ คือศลิ ปะทางคานวณ (Mathematical Arts) ประกอบดว้ ย วิชาเลขคณติ เรขาคณติ ดาราศาสตร์ และดนตรี วชิ าศิลปะศาสตร์เหล่าน้ี มุ่งที่การพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียนเป็นสาคัญ ในเรื่องเน้ือหาและตาราเรียนน้ัน ปรัชญาการศึกษาท่ีเน้นเนื้อหาท่ี เรียกว่า “The Great book” หรือ Classics Works ซ่ึงถือว่าเป็นงานอมตะ คือมีค่าทุกยุคทุกสมัย งานท่ีเป็นอมตะ เหล่านี้จะประกอบด้วยงานท่ีเป็นศิลปะ งานทางวรรณกรรม งานทางด้านการเมือง งานทางด้านสังคม รวมทั้งงาน ทางด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ การท่ีเราเรียนจากอดีตเพราะถือว่าบทเรียนจากอดีตยังนามาประยุกต์ได้ใน ปัจจุบนั (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2556, น.73) โรงเรยี น ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมไม่มีบทบาทต่อสังคมโดยตรงแต่มีผลในทางอ้อมเพราะเน้นท่ีตัวบุคคล เป็นหลัก เม่ือบุคคลมีพัฒนาการเกิดข้ึนแล้วย่อมจะทาให้สังคมนั้นดีข้ึนด้วย ดังน้ันโรงเรียนตามแนวคิดปรัชญา นิรันตรนิยมจึงเปรียบเสมือนส่ือกลางที่จะทาให้ผู้เรียนไปสู่สัจธรรม ค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีงาม ส่วนการ สร้างบรรยากาศและจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนจะต้องพยายามสร้างความช่นื ชอบในวฒั นธรรมท่ีมีอยู่ และ โรงเรียนจะต้องเคร่งครัดในเรื่องระเบียบวนิ ยั และความประพฤติ ท้ังน้ีเพื่อเปน็ การ เตรยี มผู้เรยี นให้เปน็ ผู้ใหญ่ที่ ดใี นอนาคต (จิตดา ยัญทิพย์, 2528, น.44) ผ้สู อน ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมให้ความสาคัญกับผู้สอนเป็นอย่างมาก โดยเช่ือว่าผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ของกระบวนการเรียนการสอน เป็นบุคคลสาคัญในการตัดสินใจ การเลือก การกาหนดวิธีการท่ีจะสอน ตลอดจนการวัดประเมินผล แต่ผู้สอนจะไม่เป็นผู้ป้อนความรู้โดยตรง แต่จะเป็นผู้เสนอข้อคิดต่าง ๆ ให้ผู้เรียน
17 ได้พัฒนาสติปัญญา โดยบทบาทที่สาคัญท่ีสุดของผู้สอนก็คือผู้นาทางสติปัญญาน่ันเอง นอกจากนั้นผู้สอนยังมี บทบาทในการดูแลรักษาระเบียบวินัย โดยการควบคุมความประพฤติ และวินัยของผู้เรียน (กิตติมา ปรีดีลก, 2523, น.87) และทองปลิว ชมช่ืน (2529, น.147) ได้กล่าวถึงผู้สอนตามปรัชญาการศึกษานี้ว่าจะต้องเป็นผู้มี ความสามารถ ทั้งทางด้านวิชาการและมีคุณสมบัติทางด้านคุณธรรมเป็นอย่างดี จึงจะเป็นผู้นาของผู้เรียนทั้ง ดา้ นวุฒปิ ญั ญาและคณุ ธรรม ผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องเป็นคนดีจิตใจดี คิดทาในส่ิงที่ดี มีเหตุผล มีจิตใจบริสุทธิ์ การให้การศึกษาเป็นการ ปรับปรุงความมีเหตุผลของผู้เรียนให้มากข้ึนมุ่งพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยถือว่าความรู้ไม่ว่าอยู่ท่ีใด เหมือนกันหมด อะไรที่สอนแลว้ ทาไม่ได้ ไม่เข้าใจ ตอ้ งทาซ้า ๆ ทาบอ่ ย ๆ ผเู้ รยี นมีโอกาสเรียนเท่ากนั หมด ใช้ หลักสูตรท่ีเปน็ มาตรฐานเดยี วกันท้งั ผู้เรียนท่ีมีความสามารถสงู ปานกลางและอ่อน ผู้เรียนทุกคนตอ้ งบรรลุถงึ เปา้ หมายเดียวกนั กระบวนการเรยี นการสอน การเรียนการสอนตามแนวปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมเน้นท่ีจะสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ โดยวิธีการ ฝกึ ฝนศกั ยภาพท่ีมอี ยู่ในตัวผเู้ รยี นเป็นสาคัญ ฉะนั้นกระบวนการเรียนการสอนจึงเนน้ หนักทกี่ ารกระตุ้นให้ผเู้ รียนเกิด การพัฒนา โดยการอภิปราย การใช้เหตุผล และการใช้สติปัญญาโต้แย้งกันอย่างสมเหตุสมผล (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2529) ซ่ึงการเรียนการสอนตามแนวความเชื่อของปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมนีย้ ึดหลักการสอนตามแนวจิตวทิ ยา ที่ว่าด้วยสมรรถภาพของสมองเป็นสาคัญ โดยเชื่อว่าสมองน้ันทาหน้าท่ีสาคัญ 3 ด้าน คือ ด้านเหตุผล (Reasoning) ด้านความจา (Memoring) และด้านความต้ังใจ (Willing) และส่วนของสมองท่ีทาหน้าที่ด้านเหตุผลนั้นถือว่าเป็น พืน้ ฐานสาคัญของสติปัญญา จึงควรจะได้รบั การพฒั นาอย่างเตม็ ที่ (บรรจง จนั ทรสา, 2522, น.163-164) การวดั และประเมนิ ผล การวัดและการประเมินผลตามแนวปรชั ญาการศึกษานิรันตรนิยม เป็นการวัดความสามารถในการคดิ และการใช้เหตุผลมีมากนอ้ ยเพยี งใด (ขนษิ ฐา สวุ รรณฤกษ์, 2553) 3. ปรัชญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม (Progressivism) ความเปน็ มา ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม เป็นแนวคิดที่เริ่มข้ึนในสมัยคริสต์ศตวรรษท่ี 18 โดยนักปรัชญา ชาวยุโรปได้แก่ยังจาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) จอห์น เฮนรี่ เปสตาลอสซี่ (John Henry Pestalozzi) และเฟรด เดอริค โฟรเบล (Frederic Froebel) โดยได้แนวคิดพื้นฐานมาจากนักปรัชญากลุ่ม เสรนี ิยม (Liberalism) ทไ่ี มเ่ ห็นด้วยกบั สภาพเศรษฐกิจและสังคมของสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ได้ยึด ทฤษฎีของ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่มุ่งแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ และระบบสังคมท่ีมุ่งประโยชน์
18 ส่วนตัวเปน็ สาคัญ นักปรชั ญาและนกั การศึกษา กลมุ่ เสรนี ยิ มจึงไดพ้ ยายามที่จะปฏิรปู สังคมอเมริกาใหม่ (ศกั ดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.54 ) จงึ ไดเ้ ร่มิ ขบวนการพพิ ัฒนาการขึ้น และกลายมาเป็นปรชั ญาการศกึ ษาพิพัฒ นาการนิยม นาโดย ฟรานซิส ดับบลิว ปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ในปี ค.ศ. 1870 ได้มีการให้ปฏิรูป ระบบการสอนโรงเรียน เพราะการจัดการศึกษาตามความเชื่อแบบแกนนั้นขาดจุดยืนที่แน่นอน ส่งผลให้ ประชาชนเฉ่ือยชา แต่ความเชื่อของปาร์คเกอร์ ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ต่อมาในปี ค.ศ. 1915 จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) ได้นาเอาแนวความเช่อื น้ีไปปฏบิ ัติและได้เขียนหนังสอื ช่ือโรงเรยี นของวันพรุ่งนี้ (School of Tomorrow) เม่ือตีพิมพ์เผยแพร่ทาให้ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง (George F. Kenller, 1971, p.47 อา้ งใน สุรนิ ทร์ รักชาติ, 2529) และไดม้ ีการจัดต้งั สมาคมการศกึ ษาแบบ พิพัฒนาการนิยม (Progressive Education Association) ขึ้นโดยกลุ่มนักการศึกษาท่ีมีชอ่ื เสียง เช่น วิลเลยี ม เอช. คิลแพทรกิ (William H. Kipatrick) จอร์ช เคาทส์ (George Counts) และ ฮาโรลด์ รักก์ (Harold Rugg) เป็นต้น มีการจัดทาหลักสูตรการศึกษาเพื่อชีวิต (The Life-Centered Curriculum) ขึ้นในโรงเรียน (ภิญโญ สาธร, 2525, น.21) แนวคิดพื้นฐาน ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมมีพ้ืนฐานมาจากปรัชญาปฏิบตั ินิยม ปรัชญาน้ีเชอ่ื วา่ ชีวิตต้องมกี าร เปลีย่ นแปลง ความรแู้ ละความจริงสงู สุดไม่มี ไม่แนน่ อน สิ่งท่ีนามาปฏิบตั แิ ลว้ ไดผ้ ลจงึ จะเป็นสิง่ ท่เี ป็นจริง และ ความรคู้ วามจริงจะได้มาน้นั จะตอ้ งลงมือกระทาเพ่ือใหเ้ กิดประสบการณ์ เพราะมนุษย์สามารถสร้างพฒั นาการ ให้กับตนเองได้ตามสภาพของส่ิงแวดล้อม และตามกาลเวลาท่ีเปล่ียนแปลงไป การแสวงหาความรู้ที่ถูกต้องจะ เกิดขึ้นได้จากการศึกษา การค้นคว้าและการทดลองตามแนววิทยาศาสตร์ ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ยังเช่ือว่ามนุษย์เป็นผู้กาหนดอนาคตและโชคชะตาของตนเอง ฉะนั้นมนุษย์ควรจะเน้นและให้ความสาคัญต่อ คุณคา่ ของบคุ คลแตล่ ะบคุ คลให้มาก (กติ ิมา ปรดี ีดลิ ก, 2523) หลกั การสาคัญ ปรชั ญาการศึกษาพพิ ัฒนาการนิยมมีหลกั การสาคัญ ดงั นี้ (George F. Kneller, 1971, p.69-103 อ้าง ใน สมนึก พวงพวา, 2531, น.56-57; สุรินทร์ รกั ชาติ, 2529, น.54; วรวทิ ย์ วศนิ สรากร, 2549, น.65) 1. การศกึ ษาคือชวี ิต ไมใ่ ช้เป็นการเตรียมตัวเพ่ือชวี ิต ส่ิงท่จี ดั ให้ผ้เู รยี น ควรเปน็ การให้ประสบการณ์ที่ ผ้เู รยี นจะนาไปใช้สามารถเขา้ ใจปัญหาชวี ติ และสามารถปรับตวั ใหอ้ ยใู่ นสภาพสงั คมได้อย่างมีความสุข 2. การศึกษาต้องมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสนใจของผู้เรียนมิใชว่ า่ ผู้เรียนจะได้รับอนุญาตให้ทา ตามความพอใจได้ทุกอยา่ ง ผู้เรยี นจะต้องมผี ูส้ อนคอยแนะนาเพราะผ้สู อนเป็นผ้ทู ี่มปี ระสบการณม์ ากกว่า 3. การเรียนรู้โดยวิธีการแก้ปัญหา สาคัญกว่าการเรียนรู้ โดยการจาเน้ือหาวิชา เพราะการเรียนรู้ทา ให้เกิดทกั ษะทางปัญญา จงึ ควรใชว้ ิธีการแหง่ ปญั ญาเปน็ เคร่ืองมือในการเรยี นรู้ 4. ผู้สอนมีบทบาทหน้าท่ีให้คาแนะนาและคาปรึกษา เพื่อให้ผู้เรียนไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ท้ังน้ีผู้สอน จะตอ้ งอาศัยความรูแ้ ละประสบการณ์ของตนมาใช้ใหเ้ กิดประโยชนม์ ากท่สี ุด
19 5. โรงเรียนต้องเป็นสถานท่ีเอ้ือให้เกิดการเรียนรู้ด้วยการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความร่วมมือร่วมใจใน การเรียนมากกว่าให้ผู้เรียนเกิดการแข่งขันกัน หากมีการแข่งขันควรเน้นการแข่งขันที่จะสร้างความร่วมมือกัน และใหร้ จู้ ักทางานเปน็ ทีม 6. ประชาธิปไตยเท่านั้นท่ีจะส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ทางความคิดและบุคลิกภาพ และจาเป็น สาหรับความเจริญงอกงามของผเู้ รียน ความเช่อื ทางการศึกษา จุดมุ่งหมายของการศึกษา จุดมุ่งหมายของการศึกษาของปรัชญาการศึกษากลุ่มพิพัฒนาการนิยม มีความยืดหยุ่นไปตามบริบทของ สังคม และสิ่งแวดล้อมของตัวผู้เรียนโดยเช่ือว่าสรรพส่ิงย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ จุดมุ่งหมายของการศึกษาของ ปรัชญาการศึกษากลุ่มนี้สรปุ ได้ดงั นี้(สรุ นิ ทร์ รกั ชาติ, 2529, น.55; วรวทิ ย์ วศนิ สรากร, 2549, น.64) 1. มุ่งใหผ้ เู้ รยี นพัฒนาทางรา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ญั ญาไปพร้อม ๆ กัน 2. มุ่งให้ผู้เรียนรู้จกั ปรับตัวเองให้เขา้ กับสงั คมได้ดีและมีความสขุ 3. มุ่งให้ผเู้ รียนมาประสบการณ์ใหม่เพือ่ ขึน้ เรื่อย ๆ อย่างไมม่ ีท่ีสิ้นสดุ 4. มุ่งปลูกฝังทัศนะแบบประชาธปิ ไตยและเสรีภาพให้แก่ผเู้ รียน โดยให้โอกาสท่ีจะพูด คิด เขียน และ แสวงหาความจรงิ องค์ประกอบของการศึกษา หลกั สูตร หลักสูตรของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเป็นหลักสูตรที่มีความเช่ือว่าผู้เรียนจะเรียนรู้โดย อาศัยประสบการณ์ในชีวิตเป็นสาคัญ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเพราะอาศัยประสบการณ์ตรง ไม่มีหลักสูตรใดท่ี สมบูรณ์แบบสาหรับผู้สอนและผู้เรียน นักการศึกษาตามลัทธินี้ไม่ชอบหลักสูตรที่มีการเขียนข้ึนล่วงหน้า แต่ให้ ใชว้ ธิ ีเขยี นแนวการเรียนรูเ้ องทันทเี ม่ือจะสอน และโรงเรียนในทอ้ งถ่ินแต่ละท้องถน่ิ ควรทจ่ี ะรู้แนวการเรยี นรู้จะ ครอบคลุมชีวิตประจาวันทุกรูปแบบท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางสังคม ศีลธรรม อาชีพ สุนทรียภาพ และ ในทางปัญญาพร้อม ๆ กันไป (ภญิ โญ สาธร, 2521, น.107) หลักสูตรของปรัชญาการศึกษานี้เป็นแบบประสบการณ์ ( Experience Curriculum) เน้น ประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นหลักสาคัญจึงเรียกชื่ออีกอย่างหน่ึงว่าหลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Centered Curriculum) (ไพฑูรย์ สนิ ลารัตน์, 2529) เน้ือหาทไี่ ดร้ บั ความสนใจเป็นพิเศษคือ สังคมศกึ ษาและ วิชาสื่อความหมายเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจาวัน วิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ก็ถือว่าสาคัญ แต่เป็น ความสาคัญในแง่ของวิธีการ คือวิธีการทางวิทยาศาสตร์(Scientific Method) ไม่ใช่ตัวเน้ือหาโดยตรง นอกจากน้ีจะมีการจัดหลักสูตรเป็น “หน่วยการงาน ” (Units of Work) (ภิญโญ สาธร, 2521, น.107) คือ จัดตามลักษณะโครงสร้างและวัตถุประสงค์ของสังคมในชีวิตจริง หลักสูตรจะดึงเอาหน่วยงานหน้าที่และ กิจกรรมต่าง ๆ มาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องท่องจาเน้ือหาวิชาแต่ให้ผู้เรียนทากิจกรรมเพ่ือที่จะได้ ประสบการณ์รวม ๆ กนั ไป (สมนกึ พวงพวา, 2531, น.59)
20 โรงเรยี น ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเชื่อว่าโรงเรียนคือ แบบจาลองที่ดีงามของชีวิตและสังคม ดังนั้น บทบาทของโรงเรียนจึงต้องทาหน้าที่เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตจริงให้แก่ผู้เรียน โดยจัด ประสบการณ์ให้สอดคล้องกับสภาพสังคม การดาเนินชีวิตจริง และเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน เพื่อให้ ผูเ้ รยี นสามารถแกไ้ ขปัญหาชีวติ และสังคมได้ นอกจากน้โี รงเรยี นจะต้องสรา้ งบรรยากาศแบบประชาธิปไตยเพื่อ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความร่วมมือกันในการทากิจกรรม(ศักดา ปรางค์ ประทานพร, 2526, น.64-65) ผ้สู อน ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเช่ือว่าผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง เพื่อช่วยให้ผเู้ รยี นก้าวไปสจู่ ดุ มงุ่ หมายของการเรยี นรู้ ลกั ษณะของผสู้ อนตามปรัชญานจี้ ะต้องเปน็ ผูม้ บี ุคลิกภาพ ดี เหน็ อกเห็นใจผู้เรียน ๆ และเขา้ ใจความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ผู้สอนจึงกระตือรือรน้ อยเู่ สมอ เพราะผู้สอน ในปรชั ญาการศึกษาน้ี คอื ผูเ้ สียสละเพอื่ ผูเ้ รยี นและสงั คมอยา่ งแทจ้ ริง ปรชั ญาการศกึ ษานี้ยังสนบั สนนุ ให้มีการ พัฒนาอบรมผู้สอนอย่างต่อเนื่องโดยการอภิปราย ฟังบรรยายและสัมมนา เพ่ือหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆของ โรงเรียน (กติ มิ า ปรีดดี ิลก, 2523, น.84; ภญิ โญ สาธร, 2521, น.108) ผู้เรยี น ปรัชญาการศึกษาพพิ ฒั นาการนยิ มเชื่อว่าผ้เู รยี นเปน็ ศูนย์กลางการเรียนรู้ ดงั นั้น ผู้เรียนควรจะไดเ้ รียน เพราะต้องการท่ีจะเรียนแต่ผู้เรียนยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอท่ีจะเห็นนัยสาคัญของการศึกษา ผู้เรียนจึงต้องการ การแนะแนว และการแนะนาจากผู้สอนในเร่ืองการจัดประสบการณ์เรียนรู้ การจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนา คุณลักษณะต่าง ๆ ให้ผู้เรียน เพ่ือให้ได้ประสบการณ์และพัฒนาการอย่างต่อเนื่องผู้เรียนจึงต้องใจกว้างเปิดใจ ยอมรบั ความคดิ เหน็ ใหม่ ๆ และเตม็ ใจทจี่ ะเปลี่ยนแปลงในสิง่ ที่ดขี ึ้น (เมธี ปิลนั ธนานนท์, 2523, น.90) กระบวนการเรียนการสอน การเรียนการสอนตามแนวคิดปรัชญาการศึกษากลุ่มพิพัฒนาการนิยมเน้นการเรียนรู้ผ่านการกระทา (Learning by doing) เพ่ือให้เกิดประสบการณ์โดยตรง การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงต้องใช้กระบวนการ แก้ปัญหา ดังน้ันการเรียนการสอนในลัทธินี้ใช้การสอนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving) โดยนาหลักการ แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน และต้องเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการ แก้ปัญหาในห้องเรียน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีเป็นกันเองโดยอาศัยหลักการแบบประชาธิปไตยคือ เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนในการ ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมอภิปราย เพ่ือหาข้อสรุป ซึ่งได้จากการลงมือปฏิบัติ ความรู้จากการปฏิบัติจริงจะเช่ือมโยงไปสหู่ ลกั การ แนวคิด หรือทฤษฎีซึ่งจะติดตัวผู้เรียนไปได้นานกว่าความรู้ ทไ่ี ดจ้ ากการทอ่ งจา
21 การวดั ผลและประเมินผล การวัดและประเมินผลการเรียนรูต้ ามแนวคิดปรัชญาการศึกษากลมุ่ พิพัฒนาการนิยมมิได้มุ่งวัดเฉพาะ ความเป็นเลิศทางวิชาการและความสามารถทางสมองแต่ได้นาเอาพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน เข้ามา รวมอยู่ในการวัดและประเมินผลผลการศึกษาด้วย ผู้เรียนต้องสามารถนาความรู้จากเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ท่ีได้ เรยี นมา นามาใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ดงั นั้นผ้สู อนจึงเป็นผู้วัดผลและประเมินผลผู้เรยี นโดยเน้นภาคปฏิบัติเป็น สาคัญ (ลออ การุญยวณชิ และคณะ, 2518, น.34) 4. ปรัชญาการศึกษาปฏริ ูปนยิ ม (Reconstructionism) ความเป็นมา ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม เกิดขึน้ ในปี ค.ศ. 1930 เม่อื ประเทศสหรัฐอเมรกิ าได้ประสบปัญหาหลาย ๆ ด้าน เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่า ปัญหาคนว่างงาน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างระบบนายทุนจึงเกิดนักคิด กลุ่มหน่ึงที่ได้พยายามจะแก้ปัญหาสังคม โดยให้การศึกษาเป็นตัวนาการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมือง และสังคม โดยการล้มระบบเก่าท่ีไม่มั่นคงและยุติธรรมลงเสีย แล้วสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมา นักคิดกลุ่มน้ีเสนอบทบาท ใหม่ให้โรงเรียนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคม โดยเรียกนักคิดกลุ่มนี้ว่า “นักคิดแนวหน้า (Frontier Thinker)” (Kneller, 1964) ผู้นากลุ่ม ได้แก่ จอร์จ เอส เค้าทส์ (George S. Counts) และฮาโรลด์ รักก์ (Harold Rugg) กลุ่มนี้มีความเช่ือในหลักการประชาธิปไตยโดยประชาชนต้องสามารถควบคุมสถาบันและ ทรัพยากรต่าง ๆ ได้โดยไม่ข้ึนอยู่กับนักการเมืองท่ีหวังเอาประชาชนเปน็ เครอื่ งมือและประชาธปิ ไตยดังกลา่ วนี้ ต้องสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยของแตล่ ะประเทศทั่วโลก ผู้นาของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมช่วงแรกคือ จอห์น ดิวอี้ (ค.ศ. 1920) แต่แนวคิดเก่ียวกับ “การศึกษาเพ่ือปฏิรูปสังคม” นี้ยังไม่เด่นชัดจนกระทังประมาณปี ค.ศ. 1950 ทีโอดอร์ บราเมลด์ (Theodore Brameld) ได้เป็นผู้ทาให้ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางโดยการเสนอปรัชญา การศึกษาเพ่ือการปฏิรูปสังคมในหนังสือหลายเล่ม เช่น “รูปแบบปรัชญาการศึกษา (Pattern of Education Philosophy (1950))” “แลหน้าการศึกษาปฏิรูปนิยม ( Toward a Reconstructed Philosophy of Education (1956))” และ “พลังการศึกษา (Educations Power (1965)) ” (Kneller, 1964) เป็นต้น ทา ให้บราเมลด์ได้รับการยกยอ่ งว่าเป็นบดิ าของปรชั ญาการศึกษาปฏริ ูปนิยม (สุรินทร์ รกั ชาติ, 2529, น.58) แนวคดิ พื้นฐาน ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมนี้พัฒนามาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) โดยหลอมรวมกับ แนวคิดของปรัชญาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) (ทองปลิว ชมช่ืน, 2529, น.162-163) ปรัชญาปฏิรูป นิยมเน้นว่า“แรงงาน” (Labor) เป็นหัวใจของสังคม และเชื่อว่ามนุษย์จะต้องช่วยกันสร้างระบบสังคมใหมโ่ ดย ถือว่า “การทางานคือชีวิต” ดังน้ันรูปแบบของการศึกษาในลัทธิปรัชญาน้ีจึงเน้นการทางานหรือแบบฝึกหัดใน บทเรียนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก (ภิญโญ สาธร, 2521, น.117) ปฏิบัตินิยมเน้นการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม
22 โดยอาศัยการศึกษาเป็นเคร่ืองมือ พิพัฒนาการนิยมเน้นการพัฒนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีผู้เรียนและผู้สอน ร่วมกันกาหนดขึ้น การผสมผสานระหว่างแนวคิดท้ังสองกลุ่ม ทาให้เกิดปรัชญากลุ่มปฏิรูปนิยมโดยเน้นการ พฒั นาการของบุคคลและของมวลชนเพื่อเข้าใจตนเองวา่ มคี วามตอ้ งการอะไร สังคมประกอบไปดว้ ยสมาชิกท่ีมี ความสามารถและจุดมุ่งหมายของสมาชิกไม่จาเป็นต้องเหมือนกันหมด (ทองปลิว ชมชื่น, 2529, น.163) ปรชั ญาการศึกษาปฏริ ูปนิยมเน้นการปฏริ ูปสังคมและสร้างสรรค์รูปแบบของสังคมขน้ึ มาใหม่ในอนาคต หลักการสาคญั ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมมีหลักการสาคัญ ดังน้ี (George F. Kneller, 1971, pp. 62-64 อ้างใน สรุ ินทร์ รักชาติ, 2529, น.59-60; วรวิทย์ วศนิ สรากร, 2549, น.65) 1. การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ระเบียบของสังคมขึ้นมาใหม่ เพ่ือให้เหมาะสมกับพ้ืนฐาน ทางวัฒนธรรม และต้องสอดคลอ้ งกับสภาวะของสังคมและเศรษฐกจิ 2. สงั คมใหม่ต้องเป็นสงั คมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยประชาชนหรือผู้แทนท่ีประชาชนเลือกมาจะมี สว่ นรับผดิ ชอบในการควบคุมผลประโยชน์ของสถาบันและทรัพยากรตา่ ง ๆ ของประเทศ 3. การศึกษาเป็นไปเพ่ือพัฒนาสังคม การสร้างระบบสังคมใหม่ให้เสรีภาพ ให้บุคคลสามารถทาในส่งิ ที่ ตนสามารถทาไดด้ ีทีส่ ดุ เพือ่ สว่ นรวม โดยหาทางลดหรอื ป้องกนั มิให้บคุ คลเอาเปรียบกนั 4. การศกึ ษานัน้ นอกจากจะทาใหบ้ ุคคลได้พัฒนาสังคมแล้วยังทาให้บุคคลได้เรยี นรทู้ จ่ี ะเขา้ รว่ มในการ วางแผนของสังคมดว้ ย ดังนั้นสงั คมจึงมสี ่วนรว่ มที่สาคญั ของการศกึ ษา 5. การสร้างสรรค์สังคมต้องกระทาโดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตย ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ร่วมแสดงความคิดเห็นในการแก้ปัญหา แม้ในชั้นเรียนจะมีการโต้แย้งและควรหาทางออกร่วมกันอย่าง สร้างสรรค์ โดยผู้สอนจะตอ้ งเช่อื และไว้วางใจผเู้ รียนในการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ตามกระบวนการของประชาธิปไตย และเป็นท่ยี อมรับของสังคมดว้ ย 6. วิธีการและจุดมุ่งหมายของการศึกษาต้องสนองความต้องการของวัฒนธรรมปัจจุบันเป็นสาคัญ ดงั นนั้ จึงตอ้ งปฏิรูป หลักสูตร หาหลกั สูตรใหม่ หาวธิ ีการใหม่ ๆ เนือ้ หาวิชา วธิ กี ารสอน ปรับปรงุ โครงสร้างการ บรหิ ารใหม่ ทง้ั นีเ้ พอ่ื ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนษุ ย์ ความเช่อื ทางการศึกษา จดุ มงุ่ หมายการศึกษา จุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญาการศึกษาปฏิรปู นิยมเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้โรงเรยี นมีบทบาทใน การปฏิรูปสังคมเพื่อใช้การศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างสังคมใหม่ที่มีความเสมอภาค และความเป็นธรรมมาก ยิ่งข้ึน (วิจิตร ศรีสอ้าน, 2525) และไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2529, น.89) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายการศึกษาของ ปรัชญาการศึกษาปฏริ ปู นิยม ไว้ดงั นี้
23 1. การศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือส่งเสริมพฒั นาสังคมโดยตรง และต้องช่วยแกป้ ัญหาของสังคมท่ีเป็นอยู่ 2. การศึกษาจะต้องมุ่งสร้างระเบียบใหม่ของสังคมบนรากฐานของประชาธิปไตยโดยคานึงถึงพื้นฐานท่ีมี อยู่เดิม 3. การศึกษาจะต้องให้ผู้เรียนเหน็ ความสาคญั ของสังคมโดยสว่ นรวม ควบคไู่ ปกบั ของตนเอง องค์ประกอบของการศึกษา หลกั สตู ร หลกั สตู รของปรชั ญาการศึกษาปฏริ ูปนยิ มเป็นหลักสูตรที่เน้นด้านสังคมเป็นแกนสาคัญ เพื่อสง่ เสริมให้ ผู้เรียนเขา้ ใจสภาพของสังคม และศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาของสงั คม เป็นการเตรียมผู้เรยี นให้มคี วามรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมยึดหลักสูตรแบบแกน (Core Curriculum of Wheel Curriculum) คือ การสอนเน้นหลักสูตรที่ยึดถือวิชาใดวิชาหน่ึงเป็นแกนกลาง เนื้อหาสาระในหลักสูตรมาจากปัญหาสังคมท่ีผู้เรียนประสบอยู่ ท้ังน้ีเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดหาแนวทางใน การพัฒนาและแก้ไขปัญหา และนาผลที่ได้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรต้องกาหนดให้ผู้เรียนได้ศึกษา อย่างกว้างขวางเพ่ือให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาสังคมอย่างชัดเจน และร่วมมือกันหาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ใน อนาคตได้ ผู้เรียนจึงควรได้รับการศึกษาในเร่ืองของอุตสาหกรรม ส่ือสารมวลชน การขนส่ง การอนามัยและ สาธารณสุข นิเวศวิทยา อาชญาวิทยา รวมทั้งวิชาที่สอนในโรงเรียน ได้แก่ วรรณคดี ดนตรี ศิลปะ ฟิสิกส์ เคมี สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.124) การสอนวิชาต่าง ๆ เหล่าน้ีจะทาให้ผู้เรียนเห็น ถึงความสัมพันธ์ของวิชาดังกล่าวกับ ชวี ิตประจาวนั และจะทาใหส้ ามารถเขา้ ใจสภาพสงั คมของตนเองมากข้ึน โรงเรียน ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเช่ือว่าโรงเรียนจะต้องมีบทบาทของการสนใจใฝ่หาอนาคต (Future Oriented) และนาทางให้ผู้เรียนพบกับระเบียบของสงั คมใหมโ่ ดยการให้การศึกษาฝึกความคิดสร้างสรรค์ให้แก่ ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรยี นมีความพร้อมท่ีจะร่วมมือในการวางแผนให้กับสงั คมใหม่ โรงเรียนมหี น้าท่ีสร้างบรรยากาศ แบบสังคมประชาธิปไตยให้แก่ผู้เรียน และขณะเดียวกันโรงเรียนจะต้องทางานร่วมกับสมาชกิ อ่ืน ๆ ของสังคม ด้วย โรงเรียนจะต้องเป็นผู้สร้างสังคมไม่ใช่ผู้ท่ีถูกสังคมสร้าง (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.124-127) หากต้องการใหส้ ังคมในอนาคตเป็นอย่างไร โรงเรยี นก็ตอ้ งจัดประสบการณ์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนมคี ุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถเปน็ อย่างนนั้
24 ผ้สู อน ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเช่ือว่าผู้สอนต้องสามารถทาให้ผู้เรียนเห็นว่ามีความจาเป็นที่จะต้อง สร้างสรรค์สังคมใหม่โดยอาศัยกระบวนการแบบประชาธิปไตยให้เกิดข้ึนในโรงเรียน มีการนาหลักการสาคัญแบบ ประชาธิปไตยมาใช้ (ศุภร ศรีแสน, 2526) ผู้สอนไม่ใช่มีหน้าที่คอยชี้แนะเพียงอย่างเดียว แต่ผู้สอนจะต้องเป็นผู้ กระตุ้นใหผ้ ู้เรียนได้มีสว่ นร่วมในการคิดวิเคราะห์เพื่อหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของสงั คม (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2556 น.95-96) นอกจากน้ีผู้สอนจะต้องเป็นผู้สอนผู้ที่เสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม มีลักษณะเป็นผู้นาใน การเปลี่ยนแปลงสังคมใหด้ ีข้ึนกว่าเดิม ผู้เรียน ผู้เรียนจะได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักในคุณค่าของสังคม เรียนรู้วิธีการทางานร่วมกับผู้อื่นเพ่ือการ แก้ไขปัญหาสังคมในอนาคตผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนให้รูปจักเทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ท่ีจะทาความเข้าใจ และแกป้ ญั หาในแนวทางประชาธิปไตย (ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์, 2556, น.96) ซึ่งผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้และรับทราบถึงข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดและเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใช่ การโฆษณาชวนเชื่อ ไม่วา่ ผ้เู รยี นจะเห็นดว้ ยหรือไม่ก็ตาม และควรจะได้หาข้อสรุปอนั เป็นทางเลือกท่ีเหมาะสม และยตุ ธิ รรม (บรรจง จนั ทรสา, 2522, น.250) กระบวนการเรียนการสอน การเรียนการสอนตามแนวปรัชญาปฏิรูปนิยมมีความคล้ายคลึงกับปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนยิ ม คือ เป็นการเรียนรู้โดยการปฏิบัติโดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) วิธีการแบบโครงการ (Project Method) และวิธีการแก้ปัญหา (Problem Solving Method) นอกจากน้ี ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมยังอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์ (Historical Method) และวีธีการทางปรัชญา (Philosophical Method) เข้ามาร่วมด้วย เพ่ือให้การศึกษาสมบูรณ์ที่สุด (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2556, น.97) ปรัชญาการศึกษาปฏริ ปู นิยมไม่สนบั สนนุ การเรียนแบบท่องจาและการสอนแบบบรรยาย ผสู้ อนและผู้เรียนควร ทาเพื่อสนองความต้องการในการเรียนรู้ของตน การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง สนใจปัญหาของสังคม สามารถเสนอแนะ วิธีการแก้ปัญหา การส่งเสริมบรรยากาศในการเรียนรู้ บรรยากาศในการเรียนการสอนที่ อิสระ การจัดตารางสอนท่ีมคี วามยืดหยนุ่ การวัดผลและประเมนิ ผล ปรัชญาการศึกษาลัทธิปฏิรูปนิยมเชื่อว่า มนุษย์มีความสามารถที่จะทาให้ส่ิงแวดล้อมของตนเองดีข้ึน มนุษย์มีความสามารถท่ีจะสร้างจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตอย่างชาญฉลาด มนุษย์เป็นผู้ทาให้ตนเองดีขึ้น มนุษย์มี ความสามารถที่จะสร้างจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตอย่างชาญฉลาด มนุษย์เป็นผู้กาหนดอนาคตของตนเอง และคุณ ค่าสูงสุดของมนุษย์คือการใช้พลังงานแห่งการสร้างสรรค์มากท่ีสุดดังน้ันจึงมีการวัดผลการเรียนด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาการของผู้เรียน และทัศนคติเก่ียวกับสังคมด้วย ตลอดจนด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดย ผสู้ อนเปน็ ผู้วัดและประเมินผลผเู้ รียน (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.119)
25 5. ปรชั ญาการศกึ ษากล่มุ อัตถภิ าวนยิ ม (Existentialism) ความเปน็ มา ผู้ให้กาเนิดปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม คือ ซอเร็น คีร์เคกอร์ด (Soren Kierkegard 1813-1855) นกั ปรัชญาชาวเดนมารค์ และ เฟรดดริก ดับบรวิ . นิชเชอร์ (Friedrich W. Nietzsche 1844-1900) นกั ปรชั ญา ชาวเยอรมันปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนยิ มเปน็ ปรัชญาท่ีมุ่งเสริมสร้างให้มนษุ ย์มีเสรีภาพในการเลือกและร้จู ัก ใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบในตนเองและได้เสนอความคิดว่าปรัชญาเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ดังนน้ั จงึ ควรสร้างปรัชญาของตนเองจากประสบการณ์ไม่มีความจริงนิรันดรความจริงท่ีแทค้ ือ สภาพของมนุษย์ (กีรติ บุญเจือ, 2519) ในระบบสังคมปจั จุบันนี้มนษุ ยก์ าลังสญู เสยี ความเป็นตวั ของตัวเอง และการศึกษาที่มีอยู่ กม็ ีส่วนในการทาลายความเป็นมนุษย์ดว้ ย เพราะสอนให้ผู้เรียนอย่ใู นกรอบของสังคมท่ีจากัดเสรีภาพความเป็น ตัวของตัวเองไม่มีใครที่รอดพ้นจากการบีบรัดของบทบาทและหน้าที่ทางสังคม นอกจากน้ีวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีก็มีส่วนทาลายความเป็นมนุษย์เช่นกัน เพราะมนุษย์พ่ึงพาเทคโนโลยีมากเกินไปจนมนุษย์ต้อง กลายเป็นทาสของสิ่งเหล่าน้ี (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, น.133) ปรัชญาอัตถิภาวนิยมได้รับการ กลา่ วถงึ อยา่ งมากในช่วงปี ค.ศ. 1950-1965 สาหรบั ความพยายามท่จี ะนาความคดิ อัตถภิ าวนิยมมาประยุกต์ใช้ กับการศึกษานั้นเริ่มราว ๆ 20 ปีมานี้เอง โดยถูกนาไปทดลองใช้ในโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนซัมเมอร์ฮิล (Summer Hill) แนวคิดพื้นฐาน ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาที่สอนให้มนุษย์ยึดถือตัวเองเป็นหลัก ( Human Subjectivity) เชือ่ ว่ามนุษยย์ อ่ มเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธแิ ละเสรีภาพท่จี ะทา พูด คดิ ได้ตามประสงค์ มีความ รบั ผดิ ชอบต่อการกระทาของตนเอง มนษุ ยเ์ ป็นผูส้ ร้างชีวิต และอนาคตของตนเอง ปรชั ญาการศึกษาอัตถิภาวนยิ มปรัชญาเป็นที่ต่อต้านธรรมชาตินยิ ม (Naturalism) และจติ นิยม (Idealism) เพราะท้งั สองลัทธปิ ฏิเสธเสรีภาพของมนุษย์ (ทองปลิว ชมชน่ื , 2529, น.176-177) หลกั การสาคัญ ปรัชญาการศกึ ษาอัตถภิ าวนิยมมีหลักการสาคัญ (บรรจง จนั ทรสา, 2522, น.252) ดงั นี้ 1. การศึกษาจะต้องทาหน้าที่สร้างมนุษย์ให้เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระในการเลือกและตัดสินใจ รบั ผดิ ชอบต่อการกระทาของตวั เอง การสง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนรู้จักเลือกและรบั ผดิ ชอบในการตัดสนิ ใจย่อมเป็นสิ่งท่ี ดีที่สุดสาหรับผู้เรียน และจะต้องเป็นส่ิงที่ดีสาหรับบุคคลอ่ืนด้วย การท่ีการศึกษาเน้นการสร้างมนุษย์ตามท่ี กล่าวมาแลว้ นั้นย่อมหมายถงึ การศึกษาจะต้องสรา้ งมนุษยใ์ ห้เป็นผ้มู วี ินัยในตนเอง 2. โรงเรียน ควรเน้นเร่ืองศีลธรรมและจริยธรรม โดยสอนหลักศีลธรรมและจริยธรรมหลายๆ แบบให้ ผู้เรียนได้เลือกตามแนวทางของตนเอง สาหรับเนื้อหาวิชาท่ีเก่ียวกับจริยธรรมนั้นต้องไม่แตกต่างไปจากสิ่งท่ี ผู้เรียนปฏิบตั อิ ย่ใู นชีวิตประจาวัน
26 ความเชื่อทางการศกึ ษา จุดมงุ่ หมายการศึกษา จุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญาการศึกษาอัตถิวนิยมคือ มุ่งจะให้ผู้เรียนพัฒนาความเป็นมนุษย์ของ ตัวเองอย่างเต็มที่ การศึกษาจะต้องสามารถสอนให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพในการเลือก มี ความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง โดยการช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตัวเอง เข้าใจโลกและเข้าใจความสาคัญ ของการมีอยู่เพื่อท่ีว่าการศึกษาจะช่วยทาให้ผู้เรียนสามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาดด้วยสติปัญญา ของตนเอง (Van Cleve Morri, 1961, น.391 อา้ งใน ณฐั พร คามะสอน, 2531, น.53) จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญานี้ (James A. Jhonson, 1969, น.335-343 อา้ งใน จินดา ยัญทิพย์, 2528, น.64) สรปุ ได้ดังนี้ 1. มุ่งใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาความเปน็ มนษุ ยข์ องตัวเองอย่างเต็มท่ี 2. มงุ่ ให้ผูเ้ รยี นมีเสรีภาพในการเลือก มีความรบั ผิดชอบในสงิ่ ท่ีตนเองเลอื กและในสิ่งทีต่ นเองกระทา 3. มุง่ ให้ผู้เรยี นเปน็ ผู้มีวินยั ในตนเอง (Self-Discipline) องค์ประกอบของการศกึ ษา หลักสูตร หลักสูตรของปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยมเป็นหลกั สูตรที่เช่ือว่าทุกวชิ ามีความสาคัญ ถ้าผู้เรียนเหน็ ว่าวิชาใดจะช่วยให้รู้จักตนเอง และเข้าใจโลกได้ดีขึ้น ถือว่าวิชาน้ันย่อมเหมาะสมกับเขา เนื้อหาที่เรียนต้องไม่ แตกต่างไปจากสิ่งท่ีผู้เรียนจะถือประพฤติในห้องเรียนและชีวิตประจาวัน (Wingo, 1974, p.335) เนื้อหาวิชา ของหลักสูตรจะเน้นทางสาขามนุษยศาสตร์ (Humanities) โดยเนน้ เนือ้ หาวชิ าทม่ี ีความสาคญั ในการสง่ เสริมให้ บุคคลเลอื กและตัดสินใจ ได้แก่ วิชาศลิ ปะ ปรัชญา วรรณคดี ประวตั ศิ าสตร์ การเขียน การละคร จิตกรรม และ ศิลปะประดิษฐ์ นักปรัชญาเช่ือว่าวิชาเหล่าน้ีจะช่วยฝึกฝนผู้เรียนในด้านสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic) อารมณ์ (Emotion) และฝึกฝนศีลธรรมจรรยา อย่างไรกต็ ามหลกั สตู รอตั ถิภาวนยิ มที่แทจ้ ริงต้องไมเ่ สนอวชิ าเรียนให้แก่ ผู้เรียน แต่ต้องมีวิชาต่าง ๆ พร้อมให้ผู้เรียนเลือก เพราะวิชาเรียนนั้นเป็นเพียงเคร่ืองมือให้ผู้เรียนพัฒนาความ เป็นตวั ของตัวเอง (ศักดา ปรางคป์ ระทานพร, 2526, น.44) โรงเรียน ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยมมีความเชื่อว่าโรงเรียนจะต้องสร้างบรรยากาศแห่ง เสรีภาพท้ังในและ นอกห้องเรียน จดั สง่ิ แวดล้อมให้ผ้เู รียนพอใจ โรงเรยี นจะไมส่ ร้างและกาหนดเง่ือนไขต่าง ๆ ให้ผเู้ รียนปฏิบตั ิตาม แต่ จะต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้เรียนแต่ละคนมีพัฒนาการในด้านความเป็นตัวของตัวเองโดยให้ผู้เรียนมีโอกาส เลือกและรู้จักเลือกโดยอิสระ ส่วนในด้านจริยธรรม โรงเรียนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกแนวทางจริยธรรมของ ตวั ผเู้ รียนเอง (วรวิทย์ วศินสรากร, 2549, น.67)
27 ผสู้ อน ปรชั ญาการศกึ ษาอัตถภิ าวนิยมเชื่อวา่ ผ้สู อนมีหน้าทก่ี ระตนุ้ และจงู ใจให้ผ้เู รียนร้จู ักตนเอง สามารถนา ศักยภาพของตนเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากท่ีสุด ช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของเสรีภาพ และเน้นให้ผู้เรียน เข้าใจตัวเอง เน้นให้ผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบการกระทาและผลการกระทาของตนเองผู้สอนกับผู้เรียนมี ความสาคัญเท่ากันต้องเคารพสิทธิซ่ึงกันและกัน และผู้สอนต้องรู้จริงในวิชาที่สอนต้องมีความซื่อสัตย์ และมี ความจรงิ ใจตอ่ ผ้เู รยี น (ศภุ ร ศรแี สน, 2526, น.154-155; วรวทิ ย์ วศนิ สรากร, 2549, น.67) ผูเ้ รียน ลัทธปิ รชั ญาอัตถิภาวนยิ ม เช่อื ว่าผเู้ รียนเปน็ บคุ คลท่ีสาคัญทสี่ ุด ผ้เู รยี นมสี ทิ ธแิ ละมอี านาจเตม็ ทใี่ นการ เลือกส่ิงท่ีตนเองจะศึกษาผู้เรยี นควรเป็นผู้รู้จกั ตนเอง เป็นผู้เลือกส่ิงต่าง ๆ ท่ีจะเรียน เลือกวิธีการปฏิบัติ เลือก แนวทางท่จี ะพฒั นาตนเองเพราะเป้าหมายของการเรียนศึกษาต้องการใหผ้ ้เู รียนได้พัฒนาความเป็นมนุษย์อย่าง เต็มที่ ผู้เรียนจึงมีอิสระ เสรีภาพที่จะเลือกใช้วิถีทางของตนเองในการเรียนรู้ ด้านความประพฤติปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดจนมีจริยธรรมแต่จะต้องรับผิดชอบในการเลือกของตนเอง และจะต้องไม่ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน (อุไร ดิษฐลักษณ, 2530, น.38-39; วรวิทย์ วศินสรากร, 2549, น.67) กระบวนการเรียนการสอน การเรียนการสอนตามแนวปรัชญาการศึกษาอัตถภิ าวนิยมให้ความสาคัญของผ้เู รยี นอยา่ งยง่ิ การเรียน การสอนจึงมุ่งให้ผู้เรียนได้พบและรู้จักตนเองเป็นสาคัญ คือ เห็นว่าการเรียนรู้ของผู้เรียนควรเร่ิมต้นท่ีความ อยากรู้ของตัวผู้เรียนเอง ไม่ใช้เร่ิมต้นท่ีความรู้ท่ีผู้สอนจะถ่ายทอดให้ (เกียรติวรรณ อมาตยกุล, 2528, น.66) ผ้เู รียนควรจะได้รบั การสง่ เสริมใหเ้ ข้าใจในวชิ าท่ีเรียนอยา่ งถ่องแท้ จนสามารถท่ีจะบอกได้วา่ ตนเองมีความรู้สึก อย่างไรตอ่ วิชาทีเ่ รยี นนั้น นอกจากน้ีกระบวนการเรยี นการสอนในปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยมนี้ยงั เน้น “การมีส่วนร่วม” ว่า เป็นองค์ประกอบท่สี าคัญของการเรียนรู้ และไม่เห็นกับการศึกษามนุษย์ในแง่ของวัตถุเท่านน้ั เพราะมนุษยไ์ ม่ใช้ วัตถุ จะศึกษามนุษย์ให้เข้าใจต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับการมีอยู่ของมนุษย์ วิชาที่ควรแก่การศึกษาคือ วิชาที่ให้ ความรู้เก่ียวกับมนุษย์ (ปานทพิ ย์ ศุภนคร, 2542) การวัดประเมนิ ผล เนอื่ งจากเปา้ หมายของการศึกษามิใชค่ วามรู้ มิใชเ่ พือ่ สงั คม แตเ่ พ่อื ให้ผ้เู รียนรจู้ ักตนเอง ดังน้ันควรใหผ้ ูเ้ รียน วดั ผลและประเมนิ ผลเก่ียวกับความก้าวหน้าและความสาเร็จของตนเองในทุกด้าน (อุไร ดษิ ฐลกั ษณ, 2530, น.40)
28 6. ปรชั ญาการศกึ ษากลุ่มพุทธปรชั ญาการศกึ ษา (BuddhismPhilosophy of Education) ความเปน็ มา การศึกษาของไทยมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา และได้พัฒนาการเรียนการสอนให้เป็นรูปแบบ มาตรฐานสากล นาระบบการศึกษาหลายรูปแบบมาประยุกต์ใช้กับระบบการศึกษาในประเทศไทย ทาให้ระบบ การศึกษาของไทยมีหลากหลายรปู แบบ แต่ด้วยพระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติ การศกึ ษาของไทยจึงมี การสอดแทรกคาสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้นักเรียนสามารถดารงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขโดย อาศยั หลกั คาสอนของพระพุทธเจ้าทเี่ รียกว่า “ธรรมะ” มาปฏบิ ัติใช้จรงิ ในชวี ติ การเรียนซึ่งสามารถสามารถนา ความรู้ท่ีได้เรียนจากห้องเรียนมาใช้ในชีวิตจริง พระพุทธศาสนานอกจากจะเป็นท่ียึดเหนี่ยวจิตใจแล้วยังช่วย ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น พุทธปรัชญาการศึกษาจึงเป็นระบบการศึกษาหนึ่งที่ได้นาาเอาคาสอนของ พระพุทธศาสนามาใช้ในระบบการศึกษาไทย ซึ่งสังคมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดแต่ต้องควบคู่กับการพัฒนา จิตใจของมนุษย์ด้วย พุทธปรัชญาการศึกษาซึ่งเป็นสิ่งสาคัญที่ควรจะเรียนรู้เพ่ือการพัฒนาตนตามหลักพุทธ ปรัชญาเพือ่ ความหลุดพ้นจากปจั จัยแวดล้อมต่างๆ สามารถการเผชิญปัญหาและแก้ปัญหา หรือการเผชิญทุกข์ และหาทางออกจากทกุ ขไ์ ด้ (พระอคั รเดช โลภะผล, 2557) แนวคิดพน้ื ฐาน พุทธปรัชญามีความเชื่อว่าธรรมชาติท่ีแท้จริงของมนุษย์คือทุกข์ จุดมุ่งหมายของการศึกษาในทัศนะ ของพระพุทธศาสนาคือการหลดุ พน้ จากทุกข์ เพราะฉะนน้ั การศึกษาจึงเปน็ เคร่ืองมือเพ่ือบรรลจุ ุดมุ่งหมายนี้ทั้ง ในแงโ่ ลกและแงข่ องศาสนา ธรรมชาตขิ องมนษุ ยใ์ นแง่อน่ื ๆ อาจนามาอธบิ ายในแงข่ องการศึกษาเพมิ่ เตมิ ได้อีก เช่น ในแง่ของกรรม หมายถึง ความก้าวหน้าหรือความเส่ือมทางการศึกษาขึ้นอยู่กับตนเอง ในแง่ของ ปฏิจจสมุปาท หมายถึง ธรรมชาติสัมพันธ์ของมนุษย์ต้องพิจารณาสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ในแง่ของไตรลักษณ์ หมายถงึ ธรรมชาตทิ ่ีมลี กั ษณเ์ ปลี่ยนแปลงไดด้ ว้ ยวธิ กี ารศึกษา (วจิ ิตร เกิดวิสิษฐ์, 2520, บทคัดยอ่ ) หลกั การสาคัญ พุทธปรัชญา มีหลกั การสาคัญ (พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต), 2525, น.166-168) โดยไดก้ ล่าวถึง หลักไตรสกิ ขา หรือหลักการศึกษา 3 ประการ สรุปได้ดงั น้ี 1. การฝึกอบรมในด้านความประพฤติระเบียบวินัย ความสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ เรียกว่า อธศิ ลี สกิ ขา 2. ฝึกอบรมทางจติ ใจ การปลูกฝังคุณธรรม สร้างเสริมคุณภาพ และสมรรถภาพของจติ เรียกวา่ อธิจติ ตสกิ ขา 3. การฝกึ อบรมทางปัญญาให้เกดิ ความรู้ เข้าใจส่ิงทั้งหลายตามความเปน็ จรงิ รู้เท่าทันโลกและชวี ติ จน สามารถทาจิตใจให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากความยึดติด ถือมั่นในส่ิงต่าง ๆ ดับกิเลส ดับทุกข์ได้ เป็นอยู่ด้วยจิตใจ อสิ ระ ผอ่ งใสเบกิ บาน เรยี กว่า อธิปญั ญาสกิ ขา
29 หลักการศึกษา 3 ประการนี้จัดขึ้นโดยอาศัยหลักปฏิบัติที่เรียกว่า วิธีแก้ปัญหาของอารยชน หรือ อริยมรรค แปลว่า ทางดาเนินสู้ความดับทุกข์ท่ีทาให้เป็นอริยชน ได้แก่ มรรค อันมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ดาริชอบ) สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (กระทาชอบ) สัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสมั มาสมาธิ (จิตมนั่ ชอบ) ความเช่อื ทางการศกึ ษา จุดมุ่งหมายการศึกษา จุดมุ่งหมายการศึกษาของพุทธปรัชญาการศึกษาน้ันได้มีผู้กล่าวไว้หลายท่านคือ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2555, น.87) ได้กล่าวว่า “ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หรือความเป็น มนุษย์ท่ีถูกต้อง ผู้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนน้ั คือ ผู้มีส่ิงท่ีเรียกว่ากิเลสหรือธรรมของคนพาลน้อย กระทั่งไม่ มีเลย” และสาโรช บัวศรี (2528) ไดก้ ลา่ วถงึ จดุ มุ่งหมายของการศึกษาไวด้ ังนี้ 1. เพื่อให้รู้จักตนเอง (รู้จักขันธ์ 5) และรู้จักทุกข์หรือปัญหาของตนเอง อันย่อมสืบเน่ืองมาจากอกุศล มลู และเพอ่ื จะไดน้ าตนใหห้ ลุดพ้นไปจากทุกข์ หรอื ปัญหานน้ั ๆ 2. เพ่ือใหเ้ กิดความรู้และความสามารถทีค่ ิดเป็น (รวมเรียกปญั ญาธรรม) ตลอดจนทงั้ ความรับผิดชอบ และสมรรถภาพทั้งปวง อันจะเป็นเครื่องมือในการดับทุกข์หรือแก้ปัญหาและปรับปรุงสภาพของสังคมและขอ ตัวมนุษยเ์ อง 3. เพื่อให้เกิดคุณธรรมและศีลธรรมข้ึนในใจ สาหรับช่วยสร้างสมั พันธภาพอันดีในหมู่มนุษย์ก่อให้เกิด สันตสิ ขุ ในสงั คม จุดมุ่งหมายการศึกษาตามหลักพุทธปรัชญาการศึกษามุ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้มีคุณธรรมปราศจากการเห็น แก่ตวั เป็นผรู้ ู้จักตัวเอง รูจ้ ักแก้ปญั หาในชวี ิตและอยู่ในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสุข องคป์ ระกอบของการศึกษา หลักสตู ร หลักสูตรของพุทธปรัชญาการศึกษาเป็นหลักสูตรท่ีเน้นการฝึกฝนอบรมทางด้านจิตใจและคุณธรรม ของผู้เรียนเป็นสาคญั สว่ นวชิ าชพี อืน่ ๆ นั้นให้เลอื กเรียนได้ตามความเหมาะสมเพ่ือประโยชน์ในชีวิตประจาวัน พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้กล่าวถึงการจัดการศึกษาควรยึดหลัก 4 ประการ (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2555, น.88) คือ 1. พุทธิศึกษา ต้องให้ความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสาคัญท่ีสุดของชีวิต คือ ผู้เรียนควรรู้ว่า เรา เกิดมาทาไม เกิดมาเพอ่ื อะไร สิง่ ทด่ี ที ี่สุดทีม่ นษุ ย์ควรจะไดค้ ืออะไร อยู่ทีไ่ หน สิง่ ตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ ควรไดร้ ับการส่ัง สอนต้งั แต่ช้นั อนุบาล 2. จริยศึกษา ผู้เรียนสามารถบังคับตนเองได้ถูกต้อง มีระเบียบวินัย ทาลายความเห็นแก่ตัวและพวก พอ้ ง และมคี วามสารวมมัธยัสถ์
30 3. พลศึกษา ผู้เรียนต้องประกอบด้วยกาลังฝ่ายกาย และกาลังฝ่ายจิต เม่ือพลศึกษา เป็นการศึกษา เพ่ือใช้กาลงั จงึ ต้องมกี าลังฝ่ายจิตด้วย ไมค่ วรมแี ต่กาลงั กลา้ มเน้อื อยา่ งเดยี ว 4. หัตถศึกษา ผู้เรียนต้องประกอบด้วยวิชาเทคนิคต่าง ๆ เพื่อจะได้นาไปใช้ในการประกอบสัมมาชีพ สรา้ งความกา้ วหน้าทางวัตถุ พระธรรมโกศาจารย์เช่ือว่า การศึกษาท่ีสมบูรณ์จะทาความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องสมบูรณ์จะต้อง ประกอบด้วย ความฉลาดหรือสติปัญญา ในขั้นพื้นฐานพอตัว คือ พอต่อความต้องการ และมีความรู้เร่ือง วชิ าชีพพอตวั กป็ ฏบิ ัตไิ ด้ รวมถงึ มมี นษุ ยธรรม คือ ความเป็นมนุษยอ์ ยา่ งถูกต้อง โรงเรียน พุทธปรชั ญาการศึกษามีความเช่ือว่าการจัดโรงเรียนนน้ั จะต้องคานึงถึงปจั จัยที่จะ ส่งเสรมิ จงู ใจ และปลุก เรา้ ใหเ้ กดิ ความศรัทธาที่จะเรียนรู้ ซง่ึ จะตอ้ งประกอบดว้ ยปจั จัยต่าง ๆ ดงั นี้ (สมุ น อมรววิ ฒั น์, 2528, น.79-81) 1. ความเงียบสงบ การสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบมิใช่การข่มขู่บังคับ ห้ามผู้เรียนพูด แต่เน้นท่ีการ สารวมตน คือ สารวมกาย วาจา ใจ การฝกึ หัดแผเ่ มตตา การฝึกสมาธอิ ยา่ งง่าย ๆ เปน็ การฝึกหดั ให้ผู้เรียนรู้ตัว อยูเ่ สมอวา่ กาลังทาอะไรอยู่ 2. ความใกล้ชิดกับธรรมชาติ การจัดช้ันเรียนมิได้จากัดอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเท่าน้ัน แต่ให้นา ธรรมชาติเข้ามาสู่ห้องเรียน และนาผู้เรียนออกไปสู่ส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นธรรมชาติ และเป็นแหล่งวิทยาการใน ชุมชน ทาใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั ประสบการณ์ตรงด้วยวธิ ีการท่ีประหยัดและสอดคล้องกบั สภาพของท้องถน่ิ 3. ความแปลกใหม่และเปล่ียนแปลงไม่จาเจ คือ จัดห้องเรียนให้น่าสนใจอยู่เสมอ เช่น การจัด ห้องเรยี นพเิ ศษตามลักษณะวชิ าท่ีเรยี น มกี ารตกแต่งห้องเรียน สื่อตา่ ง ๆ ในโอกาสทีส่ าคัญ มีการเปล่ียนแปลง กล่มุ ผ้เู รยี น เปลีย่ นรูปแบบการจดั ท่ีน่งั เรียน ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความสนใจไมร่ สู้ กึ จาเจเบ่อื หน่าย 4. ความสะอาด มีระเบียบและเรียบง่าย เป็นการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อฝึกลักษณะนิสัยและฝึกหัด อบรมการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งต้องกระทาอย่างสม่าเสมอ สภาพของห้องเรียนและอุปกรณ์ส่ือการเรียนรู้ต้อง สะอาดและมคี วามเป็นระเบียบเรียบร้อย ผสู้ อน พุทธปรัชญาการศึกษาเช่ือว่าผู้สอนจะต้องเป็นผู้ท่ีมีคุณธรรมมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อผู้เรียน ต้ังใจ สอนดว้ ยความมุ่งหวังท่จี ะใหศ้ ิษย์เป็นผมู้ ีคุณธรรมของสังคม ผู้สอนจะตอ้ งเป็นผู้ท่ีความรดู้ ี ปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ และมี วิธีสอนหลายรูปแบบสามารถจูงใจให้ผู้เรียนสนใจได้เป็นอย่างดี (สมนึก พวงพวา, 2531) นอกจากน้ี แสง จันทรง์ าม (2526, น.24-30) กล่าวถึงลักษณะผ้สู อนทด่ี ตี ามหลักพุทธปรัชญาการศึกษาวา่ ควรมีคุณสมบัติ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. มคี วามกรุณาเป็นพ้ืนฐานของจติ ใจ การสอนนน้ั มุ่งให้ผเู้ รียนพ้นจากความทุกข์ไมห่ วังผลสิ่งใดตอบแทน 2. ไมถ่ ือตัว ไมห่ ยิง่ ยโส ไม่ถือยศถือศกั ด์ิ 3. มีความอดทน ใจเย็น
31 4. มคี วามยุติธรรมไม่เหน็ แกห่ นา้ ไม่เขา้ ขา้ งผู้เรยี นบางคน หรอื ชอบผู้เรยี นบางคน 5. มีความรอบคอบ พิจารณาถถี่ ้วน ไม่ตัดสนิ ใจอยา่ งหุนหันพลันแลน่ 6. มีความประพฤติหน้าเคารพบูชา เป็นแบบอย่างที่ดีทางความประพฤติ ผู้สอนจะต้องเป็นผู้แนะนา และผู้นาจะตอ้ งปฏบิ ัตใิ นส่งิ ที่ตนสอน 7. รู้จักระดับสติปัญญาของผู้เรียน และปรับปรุงวิธีการสอนของตนให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน หรอื แตล่ ะกล่มุ ผเู้ รียน สุมน อมรวิวัฒน์ (2528 : 96) กล่าวถึงลักษณะของผู้เรียนตามลทั ธปิ รชั ญานี้ว่าต้องเป็นพหสู ูต และมี อิทธบิ าท 4 ซ่งึ คุณสมบตั ขิ องผู้เปน็ พหสู ูตมี 5 ประการ ดังนี้ 1. พหสุ สุตา ฟงั มาก 2. ธตา จาได้ คอื จบั หลกั หรือสาระได้ ทรงจาความไวแ้ มน่ ยา 3. วจสาปริจิตา คล่องปาก คือทอ่ งบ่นหรือใชพ้ ูดอยเู่ สมอแคล่วคล่องจดั เจน 4. มนสานเุ ปกขิตา เพ่งขึ้นใจ นึกคิดพิจารณาเจนใจนึกครัง้ ใดก็ปรากฏให้เหน็ สว่างชดั 5. ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา ขบได้ด้วยทฤษฎี หรือแทงตลอดดีด้วยทิฏิฐิยา คือมีความเข้าใจลึกซ้ึง มองเห็น ประจกั ษ์ แจง้ ดว้ ยปัญญา ทัง้ ในส่วนเนอ้ื หาและเหตุผล อทิ ธบิ าท 4 คอื คณุ เครือ่ งให้สาเรจ็ ความประสงค์ ได้แก่ 1. ฉันทะ พอใจรกั ใคร่ในสิ่งน้ัน 2. วริ ิยะ เพยี รประกอบส่ิงน้ัน 3. จิตตะ เอาใจใสฝ่ ักใฝใ่ นสิ่งนั้นไม่วางธุระ 4. วิมงั สา หมนั่ ตรติ รองพิจารณาเหตผุ ลในสง่ิ นั้น กระบวนการเรยี นการสอน การเรียนการสอนตามแนวพุทธปรัชญาการศึกษานน้ั เป็นการจัดโดยคานึงถึงสภาพแวดลอ้ ม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ผู้เรียนเกิดศรัทธาท่ีจะเรียนรู้และได้ฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคาย นาไปสู่การปฏิบัติจน ประจกั ษจ์ รงิ เรยี กว่า การสอนโดยสรา้ งศรัทธาและโยนโิ สมนสิการ (แปลว่า การทาใจโดยแยบคาย หรอื คิดถูก วิธี หมายถึง การคิดอย่างมีระเบียบหรือคิดตามแนวทางของปรัชญา) โดยมุ่งเน้นให้ผสู้ อนเป็นกัลยาณมิตรของ ศิษย์ ผสู้ อนและศิษย์มีความสัมพันธ์อันดีต่อกนั และศษิ ย์ได้มโี อกาสคิดแสดงออกปฏบิ ัติอย่างถูกวิธีจนสามารถ ใช้ปญั ญาแก้ปญั หาไดอ้ ย่างเหมาะสม (สุมน อมรวิวัฒน์, 2528, น.84) พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2555, น.91-92) ได้อธิบายลักษณะ สาคัญของการเรียนการสอน สรุปได้ดังน้ี
32 1. สอนเท่าท่ีควรสอน คือ ผู้เรียนควรจะได้เรียนเฉพาะที่จาเป็นที่จะนาไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ใช้เรียน กวา้ งขวางไปมากมายแต่ไมไ่ ดน้ ามาใชป้ ระโยชน์เท่าทค่ี วร 2. สอนอย่างชัดเจน บอกให้หมด คือ ความรู้ว่าส่ิงน้ันเป็นอย่างไรเปรียบเทียบได้กับสิ่งใด มีก่ีอย่าง กี่ ลกั ษณะ ไม่สอนให้ออกนอกไปจากทเี่ กี่ยวข้องกนั อย่กู บั การทีค่ วรจะรู้ 3. สอนมีเหตุผลอยู่ในตัว เป็นคาสอนที่ชัดเจน เป็นท่ีพอใจ ไม่ผิดหลักทางตรรกไม่ว่าจะมองด้านใดก็ ยังเปน็ สงิ่ ท่ถี กู ตอ้ งอยู่เสมอ 4. สอนชนะใจผู้ฟัง ผู้ฟังหมดปัญญาจะคัดค้าน เพราะมีคาอธิบายท่ีทาให้หมดแง่ที่จะคัดค้านโต้เถียง จนฟังอยา่ งรบั ยอมปฏิบตั ิตาม 5. สอนให้เกิดความร่าเรงิ ตามสมควร เพราะเป็นหลกั ธรรมชาติที่ทุกคนชอบความร่าเริง การเรียนการ สอนนัน้ ควรจะสนกุ มากกว่าการเหงาหงอย ทนฟงั ทนท่องจา 6. สอนใหผ้ เู้ รียนเกิดความกลา้ ทจี่ ะปฏิบัตติ าม ไม่สอนให้เกิดความกลัวซึ่งมกั ทาลายเสรภี าพ ตอ้ งสอน ใหเ้ กดิ ความกล้า ยิง่ ฟังย่ิงกล้า ย่ิงอยากท่จี ะปฏบิ ตั ิ นอกจากนี้ สาโรช บัวศรี (2526, น.5) ยงั ไดเ้ สนอแนะใหจ้ ัดการเรียนการสอนโดยใช้วธิ ีแกป้ ัญหาขั้นท้ัง 4 ของอรยิ สจั คือ ขน้ั ทุกข์ ข้ันสมุทัย ขนั้ นโิ รธ ขัน้ มรรค ย่อมเป็นท่ีทราบกันดวี ่า เรื่องเราคิดและทาดว้ ยตนเอง มักจะ เข้าใจหรือเรียนรู้ได้อย่างแจ่มชัด ในพทุ ธประวัตกิ ็ปรากฏว่า ในการแก้ปัญหาของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงคิด ทดลองและปฏิบัติหรือกระทาด้วยพระองค์เองทั้งส้ิน ผลกค็ อื ทรงตรสั รู้ คอื ไดท้ รงเรียนรู้อย่างแจ่มชัดหรือรู้แจ้ง ซึ่ง เป็นการยืนยันว่า การคิดหรือการแก้ปัญหาด้วยตนเองน้ัน ทาให้รู้แจ้งหรือเกิดการเรียนรู้ข้ึนเป็นอย่างดี เมื่อเป็น เช่นน้ี ครูทั้งหลาย ก็มองเห็นว่า ถ้าจะให้ศิษย์ (ผู้เรียน) ได้เกิดการเรียนรู้ ได้รู้ หรือ ได้เข้าใจอย่างชัดเจน ต้องให้ ศษิ ย์ไดค้ ิดและแก้ปัญหาดว้ ยตัวเขาเองให้มากทส่ี ุดเท่าท่ีจะทาได้ ความคิดแบบน้ีย่อมถือเป็นรากฐานสาคัญของการ คิดเกย่ี วกับการสร้างวธิ ีสอน การคดิ และการแกป้ ัญหาโดยการกระทาด้วยตัวเองจะดาเนินไปพร้อม ๆ กนั ได้อย่างไร หากกลับไปศึกษาพุทธประวัติอีกคร้ังหนึ่งจะพบว่า การคิดแก้ปัญหาและการกระทาควบกันไปน้ันได้ปรากฏอยู่ ชัดเจนในขน้ั ตอนของอริยสัจ 4 การวดั และการประเมนิ ผล การวัดผลและประเมินผล เป็นการรวบรวมลักษณะพฤติกรรมท่ีแสดงออกแล้วนามาวิเคราะห์ ว่าได้ บรรลุถึงเป้าหมาย ตามที่ต้องการมากน้อยเพียงใด ในการศึกษาตามแนวทางพุทธปรัชญาในความเห็นท่ีได้ รวบรวมไว้ การวัดผลและประเมินผลมีลักษณะคือ ไม่ต้องสอบแบบท่ีทาอยู่เพราะแข่งขันกับผู้อื่น คนเรา สตปิ ญั ญาไม่เท่ากัน วิธีวดั กบั คนอ่ืนควรเลิก ไมต่ ้องสอนอย่างในปัจจุบัน และไม่วิตกกังวลกับวิชาการ ควรจะมี การเล่านิทานธรรมะให้ฟัง ทาอะไรท่ีได้ผ่อนคลายการแข่งขันทางวัตถุ เช่น กีฬา งานอดิเรก ฯลฯ โดยเอาตัว เราสู่โลกภายนอก ไม่ใช่จากภายนอกเข้าหาตัวเรา ดังน้ันการประเมินผล ได้ดูของตัวเอง (วิทย์ วิศทเวทย์, 2523) นอกจากนี้ สุมน อมรวิวัฒน์ กล่าวว่าการวัดผลประเมินท่ีแท้จริง คือการประเมินตนเอง แล้ววิเคราะห์ ปรับปรงุ ตนเอง การประเมินโดยผ้อู ื่นเป็นเพยี งข้อมูลประกอบเท่านัน้
33 7. ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกับการศกึ ษา จุดเร่ิมตน้ แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพยี ง ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทนั สมยั ไดก้ ่อให้เกิดการเปลีย่ นแปลงแก่สังคมไทย อยา่ งมากในทุกดา้ น ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นเศรษฐกิจ การเมอื ง วัฒนธรรม สงั คมและสิ่งแวดล้อม อกี ท้ังกระบวนการ ของความเปล่ียนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้เพราะการ เปลีย่ นแปลงทั้งหมดต่างเป็นปจั จยั เชื่อมโยงซึง่ กนั และกัน สาหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพ่ิมข้ึนของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบส่ือสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจาย การศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสใน สังคมน้อย แต่ว่า กระบวนการเปล่ียนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้า ไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ท้ังการต้องพ่ึงพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการ สั่งสินค้าทุน ความเส่ือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติและการรวมกลุ่มกัน ตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและส่ังสม ปรบั เปลยี่ นกนั มาถกู ลมื เลือนและเรมิ่ สูญหายไป สิ่งสาคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดารงชวี ติ ซ่ึงเป็นเง่ือนไขพื้นฐานทีท่ าให้คนไทยสามารถพ่ึงตนเอง และดาเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อานาจและความมีอิสระในการกาหนดชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพ่ือให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้ง ความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งท้ังหมดน้ีถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานท่ีคนไทยและ สังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิมต้องถูกกระทบกระเทือน ซ่ึงวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความ ออ่ นแอของชนบท รวมท้ังปญั หาอ่ืนๆ ทเ่ี กิดข้ึน ลว้ นแต่เป็นขอ้ พิสจู นแ์ ละยืนยนั ปรากฎการณน์ ีไ้ ด้เปน็ อยา่ งดี ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรชั ญาชีถ้ ึงแนวการดารงอยู่และปฏบิ ัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจาก การเปลี่ยนแปลงท้ังภายในภายนอก ท้ังน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้าง พน้ื ฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนา้ ที่ของรฐั นกั ทฤษฎี และนกั ธุรกิจในทุกระดับให้มสี านึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและ ความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวฒั นธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอยา่ งดี (มลู นธิ ิชยั พฒั นา, 2552)
34 ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงประกอบดว้ ยคณุ สมบัติ ดังน้ี 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผูอ้ น่ื เช่น การผลติ และการบรโิ ภคทีอ่ ยใู่ นระดบั พอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดับความพอเพียงน้ันจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดย พิจารณาจากเหตปุ ัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลทีค่ าดวา่ จะเกิดขึน้ จากการกระทานั้นๆ อยา่ งรอบคอบ 3. ภูมิคมุ้ กัน หมายถึง การเตรยี มตวั ให้พรอ้ มรับผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงด้านตา่ งๆ ทจี่ ะเกดิ ข้ึน โดยคานึงถงึ ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ทค่ี าดว่าจะเกดิ ขึน้ ในอนาคต โดยมีเง่อื นไขของการตัดสินใจและดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ใหอ้ ย่ใู นระดบั พอเพยี ง 2 ประการ ดังน้ี 1. เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรเู้ กี่ยวกับวชิ าการตา่ งๆ ท่เี กี่ยวข้องรอบดา้ น ความรอบคอบ ท่ีจะนาความรู้เหล่าน้ันมาพจิ ารณาให้เชอ่ื มโยงกัน เพ่อื ประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏบิ ัติ 2. เง่ือนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ สจุ รติ และมีความอดทน มคี วามเพียร ใช้สติปญั ญาในการดาเนินชวี ติ เศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้ผู้ผลิตหรือผู้บริโภคพยายามเริ่มต้นผลิตหรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจากัดของรายได้ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซ่ึงก็คือหลักในการลดการพ่ึงพา เพ่ิมขีดความสามารถในการ ควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเส่ียงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้ เป็นคร้งั คราวตามอตั ภาพ แตค่ นสว่ นใหญ่ของประเทศมกั ใชจ้ า่ ยเกินตัวเกนิ ฐานะทห่ี ามาได้ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนาไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดย พื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นท่ีเศรษฐกิจการเกษตร เนน้ ความม่ันคงทางอาหารเป็นการสร้างความม่นั คงใหเ้ ปน็ ระบบเศรษฐกจิ ในระดับหน่ึง จงึ เป็นระบบเศรษฐกิจ ทชี่ ว่ ยลดความเส่ยี งหรือความไมม่ น่ั คงทางเศรษฐกจิ ในระยะยาวได้ เศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถประยกุ ต์ใชไ้ ด้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทกุ ภาคของเศรษฐกจิ ไมจ่ าเปน็ จะต้อง จากัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรพั ย์ และการค้าการลงทุน ระหว่างประเทศ โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัตอิ ย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้าง ภูมิคุ้มกนั ให้แกต่ นเองและสงั คม การดาเนินชีวิตตามแนวพระราชดาริพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังน้ัน เมื่อได้พระราชทาน แนวพระราชดาริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคานึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพ่ือไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนาไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้แนวพระราชดาริในการดาเนิน ชวี ิตแบบพอเพียง
35 1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใชจ้ ่ายในทกุ ดา้ น ลดละความฟมุ่ เฟือยในการใช้ชีวิต 2. ยดึ ถอื การประกอบอาชพี ด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจรติ 3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชนแ์ ละแข่งขันกนั ในทางการคา้ แบบตอ่ สู้กนั อย่างรนุ แรง 4. ไม่หยุดนิ่งท่ีจะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้ เพมิ่ พนู ข้ึน จนถงึ ขั้นพอเพียงเปน็ เปา้ หมายสาคญั 5. ปฏบิ ตั ิตนในแนวทางทีด่ ี ลดละส่ิงชว่ั ประพฤติตนตามหลักศาสนา ตวั อย่างเศรษฐกิจพอเพยี ง ทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงท่ีเด่นชัดท่ีสุด ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ได้พระราชทานพระราชดาริน้ี เพื่อเป็นการช่วยเหลอื เกษตรกรทมี่ ัก ประสบปัญหาท้ังภัยธรรมชาติและปัจจัยภาย นอกท่ีมีผลกระทบต่อการทาการเกษตรให้สามารถผ่านพ้น ชว่ งเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนนา้ ไดโ้ ดยไม่เดือดร้อนและยากลาบากนัก ความเส่ียงทีเ่ กษตรกรมักพบ เป็นประจา ประกอบด้วย 1. ความเสย่ี งดา้ นราคาสินคา้ เกษตร 2. ความเสี่ยงในราคาและการพง่ึ พาปจั จัยการผลิตสมยั ใหม่จากตา่ งประเทศ 3. ความเสย่ี งด้านนา้ ฝนทิ้งช่วง ฝนแลง้ 4. ภัยธรรมชาตอิ น่ื ๆ และโรคระบาด 5. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต ความเส่ียงด้านโรคและศัตรูพืช ความเสี่ยงด้านการขาดแคลน แรงงาน ความเส่ยี งดา้ นหนีส้ ินและการสูญเสยี ทด่ี นิ ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้า เพื่อการเกษตรในที่ดิน ขนาดเล็กใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ความสาคญั ของทฤษฎีใหม่ 1. มีการบรหิ ารและจัดแบง่ ทด่ี ินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชนส์ งู สดุ ของเกษตรกร ซงึ่ ไม่เคยมใี ครคิดมากอ่ น 2. มีการคานวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้าท่ีจะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้ อยา่ งเหมาะสมตลอดปี 3. มกี ารวางแผนที่สมบูรณ์แบบสาหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง 3 ขนั้ ตอน 1) ทฤษฎีใหมข่ ั้นตน้ ให้แบ่งพื้นท่ีออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซึ่งหมายถึง พ้ืนที่ส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้าเพ่ือใช้เก็บกักน้าฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจน การเลยี้ งสตั วแ์ ละพืชน้าตา่ ง ๆ พืน้ ทสี่ ว่ นทีส่ อง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใชเ้ ปน็ อาหารประจาวัน
36 สาหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปีเพื่อตดั ค่าใช้จ่ายและสามารถพง่ึ ตนเองได้ พื้นท่ีส่วนทสี่ าม ประมาณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็นอาหารประจาวัน หากเหลือบริโภคก็นาไป จาหน่าย พ้ืนท่ีสว่ นท่สี ่ี ประมาณ 10% เป็นที่อยอู่ าศัย เลยี้ งสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรอื นอ่ืนๆ 2) ทฤษฎีใหมข่ นั้ ทีส่ อง เม่ือเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในท่ีดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเร่ิมข้ันที่สอง คอื ใหเ้ กษตรกรรวมพลงั กนั ในรปู กลมุ่ หรือ สหกรณ์ รว่ มแรงร่วมใจกนั ดาเนนิ การในดา้ น (1) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดย เร่ิม ต้งั แต่ขนั้ เตรยี มดนิ การหาพันธ์พุ ชื ปุ๋ย การจดั หานา้ และอ่นื ๆ เพอ่ื การเพาะปลกู (2) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจาหน่ายผลผลิต) เม่ือมีผลผลิตแล้วจะต้อง เตรียมการต่างๆ เพ่ือการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้ง รวบรวมขา้ ว เตรียมหาเคร่ืองสขี ้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตใหไ้ ดร้ าคาดแี ละลดค่าใชจ้ ่ายลงดว้ ย (3) การเป็นอยู่ (กะปิ น้าปลา อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ฯลฯ) ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความ เปน็ อยู่ทด่ี พี อสมควรโดยมปี ัจจัยพืน้ ฐานในการดารงชวี ติ เชน่ อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้าปลา เสือ้ ผ้าทพ่ี อเพียง (4) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้) แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จาเป็น เช่น มี สถานีอนามยั เมื่อยามปว่ ยไข้ หรอื มีกองทุนไวก้ ้ยู มื เพ่ือประโยชนใ์ นกจิ กรรมต่างๆ ของชมุ ชน (5) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มี กองทุนเพื่อการศึกษาเลา่ เรยี นใหแ้ ก่เยาวชนของชมชนเอง (6) สังคมและศาสนา- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นท่ี ยดึ เหน่ียว โดยกิจกรรมท้ังหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง ไม่ว่า สว่ นราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชกิ ในชุมชนน้ันเป็นสาคัญ 3) ทฤษฎใี หมข่ ้นั ที่สาม เมอ่ื ดาเนินการผ่านพ้นขน้ั ที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกล่มุ เกษตรกรก็ควรพฒั นาก้าวหน้าไปสู่ขั้น ท่ีสามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพ่ือจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มา ช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งน้ี ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับ ประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถ ซ้ือข้าวบริโภคในราคาต่า (ซ้ือข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) เกษตรกรซ้ือเคร่ืองอุปโภคบริโภคได้ ในราคาต่า เพราะรวมกันซื้อเป็นจานวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) ธนาคารหรือบริษัทเอกชนจะ สามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดาเนนิ การในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ให้เกดิ ผลดยี ิ่งข้นึ
37 หลักการและแนวทางสาคัญ 1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเกษตรกรสามารถเล้ียงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัด กอ่ น ทงั้ นชี้ ุมชนตอ้ งมีความสามัคคี ร่วมมอื ร่วมใจในการชว่ ยเหลือซึ่งกันและกันทานองเดยี วกับการ “ลงแขก” แบบดง้ั เดมิ เพอื่ ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการจ้างแรงงานด้วย 2. เนอื่ งจากขา้ วเปน็ ปัจจยั หลักท่ีทุกครัวเรือนจะต้องบรโิ ภค ดังนน้ั จงึ ประมาณวา่ ครอบครัวหนึ่งทานา ประมาณ 5 ไร่ จะทาให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซ้ือหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมี อิสรภาพ 3. ต้องมีน้าเพื่อการเพาะปลูกสารองไว้ใช้ในฤดูแล้งหรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้นจึง จาเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้า โดยมีหลักว่าต้องมีน้าเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งน้ีได้ พระราชทานพระราชดาริเป็นแนวทางว่า ตอ้ งมีนา้ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลกู 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนน้ั เมอ่ื ทานา 5 ไร่ ทาพชื ไร่ หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร)่ จะตอ้ งมนี ้า 10,000 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ปี ดงั น้ัน หากตง้ั สมมตฐิ านว่า มีพื้นที่ 5 ไร่ ก็จะสามารถกาหนดสตู รครา่ วๆ ว่าแตล่ ะแปลง ประกอบด้วย นาขา้ ว 5 ไร่ พชื ไร่ พชื สวน 5 ไร่ สระน้า 3 ไร่ ขดุ ลกึ 4 เมตร จนุ า้ ไดป้ ระมาณ 19,000 ลกู บาศกเ์ มตร ซึ่งเป็นปรมิ าณนา้ ทีเ่ พยี งพอที่จะ สารองไวใ้ ชย้ ามฤดูแล้ง ที่อยู่อาศัยและอ่นื ๆ 2 ไร่ รวมทงั้ หมด 15 ไร่ แตท่ งั้ น้ี ขนาดของสระเกบ็ น้าขึน้ อยกู่ บั สภาพภูมปิ ระเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดงั นี้ ถ้าเป็นพื้นท่ีทาการเกษตรอาศัยน้าฝน สระน้าควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้าระเหยได้มาก เกนิ ไป ซ่งึ จะทาให้มนี า้ ใชต้ ลอดทงั้ ปี ถ้าเป็นพ้ืนที่ทาการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้าอาจมีลักษณะลึก หรือต้ืน และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ามาเติมอยู่เรื่อยๆ การมีสระเก็บน้าก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้าใช้ อยา่ งสม่าเสมอท้ังปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมใหด้ ี มรี ะบบนา้ หมุนเวยี นใชเ้ พื่อการเกษตรได้โดย ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างย่ิงในหน้าแล้งและระยะฝนท้ิงช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะ สามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้าในสระเก็บน้าไม่พอ ในกรณีมีเข่ือนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้า มาจากเขื่อน ซ่ึงจะทาให้น้าในเข่ือนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทานาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้ เกษตรกรใชน้ ้าท่ีเก็บตุนน้ัน ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพจิ ารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกบั ฤดูกาล เพอ่ื จะไดม้ ีผลผลิตอื่นๆ ไวบ้ ริโภคและสามารถนาไปขายได้ตลอดท้ังปี 4. การจัดแบ่งแปลงท่ีดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สงู สุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรง คานวณและคานึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัว เฉล่ียครัวเรือนละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพ้ืนที่ ถอื ครองน้อยกวา่ น้ี หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน 30:30:30:10 เปน็ เกณฑ์ปรับใช้ได้ กลา่ วคือ รอ้ ยละ 30 ส่วนแรก ขุดสระน้า (สามารถเล้ียงปลา ปลูกพืชน้า เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้า ง
38 เล้าไก่และบนขอบสระน้าอาจปลูกไม้ยืนต้นท่ีไม่ใช้น้ามากโดยรอบ ได้ร้อยละ 30 ส่วนที่สอง ทานาร้อยละ 30 ส่วนท่ีสาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นตน้ ) ร้อยละ 10 สุดทา้ ย เปน็ ทีอ่ ย่อู าศยั และอนื่ ๆ (ทางเดิน คนั ดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น) อย่างไรก็ตามอัตราส่วน ดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่าน้ัน สามารถปรับปรุงเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดย ข้ึนอยู่กับสภาพของพื้นท่ีดิน ปริมาณน้าฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ท่ีมีฝนตกชุกหรือพ้ืนท่ีที่มี แหล่งน้ามาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้าให้เล็กลง เพื่อเก็บพ้ืนท่ีไว้ใช้ประโชน์อื่น ตอ่ ไปได้ 5. การดาเนินการตามทฤษฎีใหม่มีปัจจัยประกอบหลายประการขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถ่ิน ดังน้ัน เกษตรกรควรขอรับคาแนะนาจากเจ้าหน้าท่ีด้วย และท่ีสาคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้า เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วน ราชการ มลู นธิ ิ และเอกชน 6. ในระหว่างการขุดสระน้า จะมีดินท่ีถูกขุดข้ึนมาจานวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนาไปกองไว้ ต่างหากเพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่าง ๆ ในภายหลัง โดยนามาเกล่ียคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนามาถมทาขอบสระน้า หรอื ยกรอ่ งสาหรบั ปลูกไมผ้ ลกจ็ ะไดป้ ระโยชน์อีกทางหนง่ึ ตัวอยา่ งพชื ทคี่ วรปลูกและสัตวท์ ี่ควรเล้ยี ง - ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรมุ สะเดา ข้เี หลก็ กระถนิ ฯลฯ - ผกั ล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผอื ก ถว่ั ฝกั ยาว มะเขอื มะลิ ดาวเรือง บานไม่รูโ้ รย กหุ ลาบ รกั และ ซ่อนกลิ่น เป็นตน้ - เหด็ : เหด็ นางฟ้า เห็ดฟาง เหด็ เป๋าฮ้ือ เปน็ ตน้ - สมุนไพรและเคร่ืองเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบาง ชนดิ เชน่ กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เปน็ ต้น - ไม้ใช้สอยและเช้ือเพลิง : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขีเ้ หลก็ ประดู่ ชงิ ชัน และยางนา เปน็ ต้น - พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถ่ัวลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสาปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่ หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจาหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้ และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ไดแ้ ก่ ขา้ วโพด ถวั เหลือง ถว่ั ลสิ ง ถัว่ พุม่ ถ่วั มะแฮะ ออ้ ย และมันสาปะหลงั - พืชบารุงดินและพืชคลุมดิน : ถ่ัวมะแฮะ ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขีเ้ หลก็ กระถิน รวมทัง้ ถัว่ เขยี วและถ่ัวพุ่ม เปน็ ต้น และเมอื่ เกบ็ เก่ียวแลว้ ไถกลบลงไปเพ่ือบารงุ ดินได้ หมายเหตุ : พชื หลายชนดิ ใช้ทาประโยชนไ์ ด้มากกว่าหนงึ่ ชนิด และการเลอื กปลูกพชื ควรเนน้ พืชยืนต้น ดว้ ย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลอื กพชื ยืนต้นชนิดต่างๆ
39 กัน ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับท่ีอยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของ พื้นที่ เช่น ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น สัตว์เล้ียงอ่ืนๆ ได้แก่ สัตว์น้า : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพ่ือเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน และยังสามารถนาไปจาหน่าย เป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นท่ีสามารถเลี้ยงกบได้ สุกร หรือ ไก่ เล้ียงบนขอบสระน้า ท้ังน้ีมูลสุกรและ ไกส่ ามารถนามาเป็นอาหารปลา บางแหง่ อาจเลย้ี งเป็ดได้ ประโยชนข์ องทฤษฎใี หม่ 1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับท่ีประหยัด ไม่อดอยากและเลี้ยงตนเองได้ตาม หลกั ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” 2. ในหน้าแล้งมีน้าน้อย ก็สามารถเอานา้ ท่ีเก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ท่ีใชน้ ้านอ้ ยได้ โดยไม่ต้อง เบียดเบียนชลประทาน 3. ในปีท่ฝี นตกตามฤดกู าลโดยมีนา้ ดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แกเ่ กษตรกรได้โดยไม่ เดือดรอ้ นในเรือ่ งคา่ ใช้จา่ ยตา่ งๆ 4. ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟ้ืนตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการ ไม่ตอ้ งช่วยเหลอื มากนัก ซ่ึงเป็นการประหยัดงบประมาณดว้ ย ทฤษฎใี หม่ท่สี มบูรณ์ ทฤษฎใี หม่ทด่ี าเนินการโดยอาศัยแหลง่ น้า ธรรมชาติ นา้ ฝนจะอย่ใู นลกั ษณะ “หมนิ่ เหม่” เพราะหากปี ใดฝนน้อย น้าอาจจะไม่เพียงพอ ฉะน้ันการที่จะทาให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้นจาเป็นต้องมีสระเก็บกักน้าที่มี ประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยการมีแหล่งน้าขนาดใหญท่ ี่สามารถเพิ่มเตมิ น้าในสระเก็บกักน้าใหเ้ ตม็ อยู่ เสมอ ดังเช่น กรณีของการทดลองท่ีโครงการพัฒนาพ้ืนที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชดาริ จังหวดั สระบุรี ตวั อยา่ ง ระบบทฤษฎใี หมท่ ี่สมบูรณ์ อา่ งใหญ่ เติมอ่างเลก็ อ่างเลก็ เตมิ สระนา้ ตามภาพท่ี 1.2 ภาพท่ี 1.2 ตัวอย่าง ระบบทฤษฎใี หม่ทสี่ มบรู ณ์
40 จากภาพที่ 1.2 วงกลมเล็ก คือ สระน้าท่ีเกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่ เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้าใน ฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ามาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้าในสระน้าไม่เพียงพอก็ขอรับน้าจากอ่างห้วยหิน ขาว (อ่างเล็ก) ซ่ึงได้ทาระบบส่งน้าเช่ือมต่อทางท่อลงมายังสระน้าท่ีได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง ซึ่งจะช่วยให้ สามารถมนี า้ ใช้ตลอดปี กรณีท่ีเกษตรกรใช้น้ากันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้าไม่เพียงพอก็สามารถใช้ วิธีการผันน้าจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่) ต่อลงมายังอ่างเก็บน้าห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มี ปริมาณน้ามาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไมต่ ้องเสย่ี ง ระบบการจดั การทรพั ยากรนา้ ตามแนวพระราชดารพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว รัชกาลที่ 9 สามารถ ทาใหก้ ารใชน้ ้ามปี ระสทิ ธิภาพอยา่ งสูงสุด จากระบบส่งทอ่ เปิดผา่ นไปตามแปลงไรน่ าต่าง ๆ ถึง 3-5 เทา่ เพราะ ยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้าในอ่างเก็บน้าแล้ว ยังมีน้าในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทาให้มีปริมาณ นา้ เพม่ิ อย่างมหาศาล น้าในอา่ งทต่ี ่อมาสู่สระจะทาหน้าทเ่ี ป็นแหลง่ น้าสารอง คอยเติมเท่าน้นั เอง เศรษฐกิจพอเพยี งกับการศกึ ษา ในการขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคการศึกษานั้น จะต้องมุ่งพัฒนาท่ีตัวครูก่อนเป็น อันดับแรก เพราะครูถือว่าเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญในการถ่ายทอดความรู้ และปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ ให้แก่เด็ก ดังนั้นจึง ควรส่งเสริมครูให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถ่องแท้ก่อน เพราะเมื่อครูเข้าใจ ครูก็ จะได้เป็นแบบอย่างทีดีให้แก่เด็กได้ ครูจะสอนให้เด็กรู้จักพอ ครูจะต้องรู้จักพอก่อน โดยอยู่อย่างพอเพียงและ เรยี นรูไ้ ปพร้อม ๆ กบั เดก็ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ต้องมสี ติในการเลือกรับข้อมลู ต่าง ๆ ทีเ่ ขา้ มา รูจ้ กั เลอื กรับและรู้จัก ต่อยอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ หมั่นศึกษา เพ่ิมพูนความรู้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ในการเลือกรับข้อมูล น้ัน ต้องรู้จักพิจารณารับอย่างเป็นข้ันเป็นตอน รู้จักแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ประเมินความรู้และ สถานการณ์อยู่ตลอดเวลา จะได้รู้จักและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสภาพ และผลจากการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ได้อยา่ งรอบคอบและระมดั ระวงั (สืบคน้ จาก https://sites.google.com/site/nirattisai071/sersthkic-phx- pheiyng-kab-kar-suksa) เป้าหมายสาคญั ของการขบั เคลื่อน คือ การทาใหเ้ ดก็ รู้จกั ความพอเพยี ง ปลกู ฝัง อบรม บม่ เพาะให้เด็ก มีความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยสอดแทรกแนวคิดปรัชญาของเศรษฐ กิจ พอเพียงให้เข้าเป็นส่วนหน่ึงของหลักสูตร สาระเรียนรู้ต่างๆเพื่อสอนให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ตาม แนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง เห็นคณุ ค่าของทรัพยากรต่างๆ รจู้ กั อยู่ร่วมกบั ผู้อื่น รจู้ กั เออ้ื เฟ้ือเผ่ือแผ่และแบ่งปัน มีจิตสานึกรักษ์สิ่งแวดล้อม และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมค่านิยม ความเป็นไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ รู้ว่าตนเองเป็นองค์ประกอบหน่ึงในส่ิงแวดล้อมและวัฒนธรรมของโลก การกระทาของตนย่อมมีผลและ เชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมในโลกที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ซ่ึงการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น สาคัญ คือครูจะต้องรู้จักบูรณาการการเรียนการสอนให้เด็กและเยาวชนเห็นถึงความเช่ือมโยงในมิติต่างๆ ท้ังด้าน สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ซ่ึงความเป็นองค์รวมน้ีจะเกิดขึ้นได้ ครูต้องโดยใช้ความรู้และ คณุ ธรรมเป็นปจั จัยในการขับเคล่ือน
41 นอกจากน้ี ในการส่งเสริมให้นาหลักปรัชญาฯไปใช้ในสถานศึกษาต่าง ๆ น้ัน อาจจะใช้วิธี “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ตามหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ว่า สาคัญที่สุดครูต้องเข้าใจ เรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก่อน โดยเข้าใจว่าแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงน้ัน เป็นแนวคิดที่ สามารถเร่ิม ต้น และปลูกฝังได้ผ่านการทากิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น กิจกรรมการรักษาส่ิงแวดล้อมใน โรงเรียนการกาจดั ขยะในโรงเรยี นการสารวจทรัพยากรของชุมชนฯลฯ ก่อนอื่น ครูต้องเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทาตัวเป็นแบบอย่างท่ีดี โดยกลับมาพิจารณาและ วิเคราะห์ดูว่า ในตัวครูน้ันมีความไม่พอเพียงในด้านใดบ้าง เพราะการวิเคราะห์ปัญหาจะทาให้รู้และเข้าใจ ปัญหา ท่ีเกิดจากความไม่พอเพียง รวมทั้งควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาด้วย โดยการวิเคราะห์นี้ ต้องดาเนินไปบนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมนั้น เป็นส่ิงที่ควรปลูกฝังให้เกิดข้ึนในใจ เดก็ ให้ไดก้ ่อน ผ่านกจิ กรรมทีค่ รูเป็นผคู้ ิดขึน้ มา โดยครใู นแต่ละโรงเรียนจะตอ้ งมาน่ังพิจารณาก่อนว่า จะเร่มิ ต้น ปลูกฝัง แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจากจุดไหน ทุกคนควรมาร่วมกันคิดร่วมกันทา สามัคคีกันใน กระบวนการหารือ หลังจากท่ีครไู ด้คน้ หากิจกรรมท่จี ะปลูกฝังแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแลว้ ครูควรจะต้องตั้ง เป้าหมายการสอนก่อนว่าครูจะสอนเด็กให้รู้จักพัฒนาตนเองได้อย่างไรโดยอาจเร่ิมต้นสอนจากกิจกรรม เล็กๆน้อยๆ ท่ีสามารถเริ่มต้นจากตัวเด็กแต่ละคนให้ได้ก่อน เช่น การเก็บขยะ การประหยัดพลังงาน ฯลฯ เพ่อื ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้ถงึ ความเชื่อมโยงระหวา่ งปัจจัย ทตี่ นเองมีต่อสิง่ แวดล้อมภายนอกในดา้ นตา่ ง ๆ 4 มติ ิ ในส่วนของการเข้าถึงนั้น เม่ือครูเข้าใจแล้ว ครูต้องคิดหาวิธีที่จะเข้าถึงเด็ก พิจารณาดูก่อนว่าจะ สอดแทรกกิจกรรมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เข้าไปในวิธีคิดและในวิชาการต่าง ๆ ได้อย่างไร ท้ังนี้ อาจจัด กิจกรรมกลุ่มให้นักเรียนได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทา รู้จักแบ่งหน้าท่ีกันตามความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงช้ัน เชน่ ในกจิ กรรมการเกบ็ ขยะเพ่ือรักษาความสะอาดของโรงเรียนนนั้ ครูอาจจดั กิจกรรมสาหรับเด็กในแตล่ ะช่วง ชั้น คือ ช่วงช้ันที่ 1 สร้างกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กช่วยกันเก็บขยะ (ให้เด็กรู้หน้าที่ของตน ในระดับบุคคล)/ ช่วงช้ันท่ี 2 สร้างกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กช่วยกันเก็บขยะและนับขยะ (ให้รู้จักการวิเคราะห์และรู้ถึงความ เช่ือมโยงของตนเองกับสมาชิกคนอ่ืนๆ ในโรงเรียน) / ช่วงช้ันที่ 3 สร้างกิจกรรมที่สอนให้เด็กรู้จักเช่ือมโยงกับ ชมุ ชนภายนอกรอบ ๆ โรงเรียน เชน่ สร้างกิจกรรมทสี่ อนใหเ้ ด็กรจู้ กั แบง่ แยกขยะ รว่ มมือกับชมุ ชนในการรกั ษา ส่ิงแวดล้อมในพ้นื ท่ที ่ีโรงเรยี นและชมุ ชนของเขาตั้งอยู่ดว้ ย กิจกรรมทั้งหมดน้ีสาคัญคือ ต้องเน้นกระบวนการมีสว่ นร่วมของทุกฝ่าย โดยสถานศึกษาควรตั้งเป้าให้ เกิดการจัดการศึกษาตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง สอดแทรกเข้าไปในกระบวนการเรียนรู้ สอนให้เด็ก พึง่ ตนเองให้ได้กอ่ นจนสามารถเปน็ ที่พึ่งของคนอ่นื ๆในสงั คมได้ต่อไป การจดั การศึกษาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง การจดั การศึกษาตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถดาเนินการได้ใน 2 ส่วน ส่วนทเี่ กยี่ วข้อง กับการบริหารสถานศึกษา และส่วนท่ีเป็นการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน ซ่ึงส่วนท่ี 2 นี้ ประกอบด้วย การ สอดแทรกสาระเศรษฐกิจพอเพียง ในหลกั สูตรและสาระเรียนรู้ในห้องเรียนและประยกุ ตห์ ลักเศรษฐกจิ พอเพียง ในการจดั กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240