Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Creative Learning 2nd edition

Creative Learning 2nd edition

Published by educat tion, 2021-04-16 02:09:47

Description: Creative Learning 2nd edition

Search

Read the Text Version

188 บทท่ี 4 การบูรณาการเชงิ สรา้ งสรรค์ 4. สมรรถนะ 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ 2. ความสามารถในการเรยี นรูแ้ ละการสื่อสาร 3. มวี นิ ัยและมีความรับผดิ ชอบในการเรยี นรู้ 4. มีจติ สาธารณะ 5. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวินยั 2. มีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ 3. มจี ติ สาธารณะ 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สำรวจความคิดเห็นอย่างง่ายเก่ยี วกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในท้องถิ่น โดยเลือกใช้ค่ากลางที่เหมาะสมกับข้อมูลและวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ ค่าเฉลยี่ เลขคณิตและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างถูกต้อง 2. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าตามหลักการเขียนเชิงวิชาการได้ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ 3. วเิ คราะหส์ ภาพและสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในท้องถิ่น พร้อมทั้งอภิปรายแนวทางในการป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ วางแผนและดำเนินการเฝ้าระวังอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อม และทรพั ยากรธรรมชาติ 4. มีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ ความสามารถในการเรียนรู้และการสือ่ สาร ตลอดจนมวี ินยั และมีความรบั ผิดชอบในการเรียนรู้ รวมทั้งมีจิตสาธารณะ

บทที่ 4 การบรู ณาการเชิงสรา้ งสรรค์ 189 7. กิจกรรมการเรียนรู้ คาบท่ี 1 1) ผู้เรียนชมสารคดีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรับฟังการบรรยาย หัวขอ้ อทุ ยานแห่งชาตเิ อราวณั จากผู้สอน 2) ผู้เรียนร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับอุทยาน แห่งชาตเิ อราวณั และสรุปสาระสำคัญ แล้วนำมาแลกเปล่ยี นเรียนร้กู ับเพือ่ น คาบท่ี 2 – 3 1) ผู้เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม แล้วร่วมกันวิเคราะห์สภาพปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเอราวัณ โดยใช้ข้อมูลจากการ ชมสารคดี การฟังบรรยาย รวมทั้งประสบการณ์ของผู้เรียน แล้วเขียนเป็นผังมโนทัศน์ ที่มีประเด็นหลัก ได้แก่ สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางการแก้ไข และแนวทางการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ภายในบรเิ วณอุทยานแหง่ ชาติเอราวณั อย่างคุ้มค่า 2) ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผังมโนทัศน์หน้าชั้นเรียนโดยผู้เรียนกลุ่ม อ่นื รว่ มอภปิ รายใหข้ ้อเสนอแนะและปรบั ปรุงผงั มโนทัศนใ์ หส้ มบรู ณม์ ากขนึ้ 3) ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสำรวจความคิดเห็นของบุคคลในชุมชน เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเอราวัณด้วยวิธีการ อยา่ งงา่ ย เลือกใช้คา่ กลางท่ีเหมาะสมกับข้อมูลและวัตถุประสงค์ และวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย เลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา (กิจกรรมต่อเนื่อง นอกชัน้ เรยี น) คาบท่ี 4 – 5 4) ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันเขียนรายงานการสำรวจความคิดเห็นของ บุคคลในชุมชนเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติ เอราวัณตามหลกั การเขียนเชงิ วชิ าการ แล้วนำเสนอและแลกเปลย่ี นเรียนรู้กับเพือ่ น

190 บทท่ี 4 การบูรณาการเชงิ สรา้ งสรรค์ 5) ผู้เรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้รับจากการสำรวจความคิดเห็น เกี่ยวกับสภาพและสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถ่ิน พรอ้ มทั้งอภิปรายแนวทางการป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม และทรัพยากรธรรมชาติ วางแผนและดำเนินการเฝ้าระวัง อนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยการจดั ทำเป็นผังมโนทัศน์ คาบท่ี 6 – 8 6) ผู้เรียนร่วมกันศึกษาเรียนรู้อุทยานแห่งชาติเอราวัณในสถานที่จริง (พรอ้ มกบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 และชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6) โดยมีจดุ เนน้ เกีย่ วกับ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดข้ึนในบริเวณอุทยานแหง่ ชาติเอราวณั แนวทางการแก้ไขปญั หา ตลอดจนแนวทางการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาอทุ ยานแหง่ ชาติเอราวัณ คาบท่ี 9 – 10 7) ผู้เรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้รับจากการเรียนตั้งแต่คาบเรียนท่ี 1 – 8 แล้วนำมาจัดทำเป็นผังมโนทัศน์ที่สมบูรณ์ แล้วนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กบั เพือ่ นรว่ มช้นั เรียน 8. สอ่ื การเรยี นรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. สารคดีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. เอกสารความรู้ หัวข้อ อุทยานแหง่ ชาติเอราวัณ 3. แบบสำรวจความคิดเห็นของบุคคลในชุมชนเกี่ยวกับสภาพปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อมและแนวทางการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ภายในบริเวณอุทยาน แหง่ ชาติเอราวณั 4. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรื่อง การสำรวจความคิดเห็นอย่างง่าย ค่ากลางของขอ้ มูล สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ เรือ่ ง หลักการเขยี นเชงิ วชิ าการ 6. บคุ คลในชุมชนที่เกย่ี วข้อง

บทที่ 4 การบรู ณาการเชิงสรา้ งสรรค์ 191 9. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. การสงั เกตพฤตกิ รรมการสำรวจความคิดเหน็ 2. การตรวจสอบการเขียนรายงานเชิงวิชาการ 3. การตรวจสอบผงั มโนทศั น์ 4. การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 10. การออกแบบการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เคร่ืองมอื เกณฑ์ แบบสงั เกต การประเมนิ 1. สำรวจความคดิ เห็นอยา่ งงา่ ยเกย่ี วกับ สงั เกต พฤตกิ รรม สง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติในท้องถ่นิ พฤติกรรม การสำรวจ ผลการ โดยเลอื กใชค้ ่ากลางทเี่ หมาะสมกบั ขอ้ มูล การสำรวจ ความคดิ เห็น ประเมิน และวตั ถปุ ระสงค์ วิเคราะหค์ า่ เฉลย่ี เลขคณติ ความคิดเห็น อยู่ในระดับดี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของขอ้ มูล แบบประเมนิ ขึ้นไป ทีเ่ กบ็ รวบรวมมาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ตรวจ การเขียน การเขยี น รายงาน ผลการ 2. เขยี นรายงานการศึกษาค้นควา้ รายงาน เชงิ วิชาการ ประเมิน ตามหลักการเขียนเชิงวชิ าการ เชงิ วชิ าการ แบบประเมิน อยู่ในระดับดี ไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ ตรวจ ผังมโนทศั น์ ขน้ึ ไป ผังมโนทศั น์ ผลการ 3. วิเคราะห์สภาพและสาเหตขุ องปญั หา แบบสังเกต ประเมิน สง่ิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถนิ่ สงั เกต พฤติกรรมการ อยู่ในระดบั ดี พร้อมทั้งอภปิ รายแนวทางการปอ้ งกัน แกไ้ ข พฤติกรรม ข้นึ ไป ปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาติ การเรยี นรู้ เรียนรู้ วางแผนและดำเนนิ การเฝา้ ระวังอนุรกั ษพ์ ัฒนา ผลการสังเกต สงิ่ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ อยใู่ นระดบั ดี 4. มกี ระบวนการคดิ อย่างเป็นระบบ ขนึ้ ไป เรยี นรแู้ ละสอื่ สารไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ รวมท้งั มีความรับผดิ ชอบในการเรียนรู้ และมจี ติ สาธารณะ

192 บทที่ 4 การบรู ณาการเชิงสรา้ งสรรค์ 11. บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ 1. ความรู้ทลี่ ึกซงึ้ (Deep knowledge) ..................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ............ ............................................................................................................................. ............ ................................................................................................................ ......................... 2. การถกั ทอความรู้ (Weaving)/ การสังเคราะห์ ..................................................................................................... ....................... ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... 3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ..................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ............ ............................................................................................................................. ............ ................................................................................................................ ......................... 4. สงิ่ ท่เี ปน็ จดุ แขง็ ของการจดั การเรียนรู้ ..................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ............ ............................................................................................................................. ............ ................................................................................................................ ......................... 5. สิ่งท่ีผ้สู อนตอ้ งพฒั นา ..................................................................................................... ....................... ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ .........................................................................................................................................

บทที่ 4 การบรู ณาการเชงิ สรา้ งสรรค์ 193 แบบบันทกึ ผลการประเมนิ เพอ่ื พัฒนาการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรูบ้ รู ณาการกลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ อทุ ยานแหง่ ชาตเิ อราวณั ระยะเวลาทใ่ี ชจ้ ัดการเรียนรู้ 1 สปั ดาห์ จำนวน 10 คาบ คำชี้แจง ใหผ้ ้สู อนเขยี นคะแนนผลการประเมินตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ โดยใชเ้ กณฑก์ ารให้คะแนนทีก่ ำหนดไว้ เลขที่ ชอื่ – สกลุ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ข้อ 1 ขอ้ 2 ข้อ 3 ขอ้ 4

194 บทท่ี 4 การบูรณาการเชงิ สร้างสรรค์ แบบสังเกตพฤติกรรมการสำรวจความคิดเหน็ คำชแ้ี จง ให้ผูส้ อนเขยี นผลการประเมินลงในช่องผลการประเมินให้ครบทงั้ 3 ดา้ น โดยใชเ้ กณฑก์ ารให้คะแนนทก่ี ำหนด ผลการประเมนิ เลขท่ี ชอ่ื – สกลุ การ การเก็บ การวิเคราะห์ รวม วางแผน รวบรวม และนำเสนอ ขอ้ มูล เกณฑ์การให้คะแนน ดา้ นการวางแผน 3 คะแนน วางแผนการการสำรวจความคดิ เหน็ ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ เป็นระบบ และมีความเปน็ ไปได้ 2 คะแนน วางแผนการการสำรวจความคิดเห็นตรงตามวตั ถุประสงค์ เป็นระบบ 1 คะแนน วางแผนการการสำรวจความคิดเหน็ ตรงตามวัตถปุ ระสงค์

บทที่ 4 การบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ 195 ดา้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3 คะแนน เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ได้ข้อมูลครบถ้วน ทนั เวลา 2 คะแนน เก็บรวบรวมข้อมูลตรงตามวตั ถุประสงค์ ได้ข้อมลู ครบถ้วน 1 คะแนน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ด้านการวิเคราะหแ์ ละนำเสนอ 3 คะแนน วิเคราะหข์ ้อมูลตรงตามวตั ถุประสงค์ นำเสนอเป็นระบบ น่าสนใจ 2 คะแนน วิเคราะห์ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ นำเสนอเปน็ ระบบ 1 คะแนน วเิ คราะห์ข้อมูลตรงตามวัตถปุ ระสงค์ เกณฑก์ ารประเมิน ดมี าก 9 คะแนน ดี พอใช้ 7 – 8 คะแนน ปรบั ปรงุ 5 – 6 คะแนน 3 – 4 คะแนน

196 บทท่ี 4 การบูรณาการเชงิ สร้างสรรค์ แบบประเมินการเขียนรายงานเชิงวิชาการ คำชี้แจง ให้ผสู้ อนเขยี นผลการประเมินลงในช่องผลการประเมนิ ให้ครบทั้ง 3 ดา้ น โดยใชเ้ กณฑ์การให้คะแนนทีก่ ำหนด เลขที่ ช่อื – สกุล ผลการประเมิน รวม เนื้อหา กระบวน ความ สาระ การเขยี น สรา้ งสรรค์ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ด้านเนือ้ หาสาระ 3 คะแนน เน้อื หาสาระสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ของการเขยี น ใชข้ ้อมูลสารสนเทศประกอบการเขยี น ใช้ภาษาเชิงวชิ าการถูกต้อง 2 คะแนน เนอ้ื หาสาระสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเขยี น ใชข้ อ้ มลู สารสนเทศประกอบการเขียน 1 คะแนน เนือ้ หาสาระสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ของการเขียน

บทท่ี 4 การบรู ณาการเชงิ สร้างสรรค์ 197 ดา้ นกระบวนการเขียน 3 คะแนน มกี ารวางแผนการเขียน ดำเนินการเขยี นอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน และมกี ารตรวจสอบความถกู ตอ้ งในงานเขียน 2 คะแนน มกี ารวางแผนการเขียน ดำเนินการเขยี นอย่างเปน็ ข้นั ตอน 1 คะแนน มีการวางแผนการเขยี น ดา้ นความสรา้ งสรรค์ 3 คะแนน ผลงานมีความแปลกใหม่ นา่ สนใจ เกิดจากความคิดรเิ ริม่ ของตนเอง 2 คะแนน ผลงานมคี วามแปลกใหม่ น่าสนใจ เกิดจากการปรับประยุกต์ใช้ ความคดิ ริเรมิ่ ของผู้อ่ืน 1 คะแนน ผลงานมีลกั ษณะเลยี นแบบตวั อยา่ งผลงานของบุคคลอ่ืน เกณฑก์ ารประเมิน ดมี าก 9 คะแนน ดี พอใช้ 7 – 8 คะแนน ปรบั ปรุง 5 – 6 คะแนน 3 – 4 คะแนน

198 บทที่ 4 การบูรณาการเชงิ สร้างสรรค์ แบบประเมนิ การเขยี นผังมโนทัศน์ คำชี้แจง ใหผ้ ู้สอนเขยี นผลการประเมนิ ผังมโนทัศน์ลงในช่องผลการประเมิน โดยใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนทีก่ ำหนด กล่มุ ที่ ชื่อ – สกุล ผลการ ขอ้ เสนอแนะ 1 ประเมิน 2 3 4 เกณฑ์การให้คะแนน 3 คะแนน นำเสนอสาระสำคัญได้ถูกต้อง ครบถ้วน เปน็ ระบบทีเ่ ชื่องโยงกัน 2 คะแนน นำเสนอสาระสำคัญได้ถกู ต้อง ครบถว้ น 1 คะแนน นำเสนอสาระสำคัญได้ถกู ต้อง

บทท่ี 4 การบรู ณาการเชงิ สรา้ งสรรค์ 199 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรู้ คำชแ้ี จง ใหผ้ สู้ อนเขยี นผลการประเมนิ ลงในช่องผลการประเมินให้ครบท้งั 4 ดา้ น โดยใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนที่กำหนด ผลการประเมนิ รวม เลขที่ ชื่อ – สกุล การคดิ การเรยี นรู้ ความ อยา่ งเปน็ และการ รับผดิ ชอบ จิตสาธารณะ ระบบ ส่ือสาร ในการเรียนรู้ เกณฑ์การให้คะแนน ดา้ นการคิดอยา่ งเป็นระบบ 3 คะแนน มองภาพรวมในส่ิงที่คิด เชอื่ มโยงสิ่งต่างๆ เข้าดว้ ยกนั และใชห้ ลักเหตผุ ลในการคิด 2 คะแนน มองภาพรวมในสิ่งท่ีคิดเปน็ ส่วนมาก เชอื่ มโยงส่ิงต่างๆ เข้าดว้ ยกันและใช้หลักเหตุผลในการคดิ เมือ่ ได้รบั การกระตุ้น 1 คะแนน มองภาพรวมในสง่ิ ท่ีคิดเป็นส่วนน้อย เช่อื มโยงสง่ิ ตา่ งๆ เข้าด้วยกันและใชห้ ลกั เหตุผลในการคิดเม่อื ไดร้ ับการชว่ ยเหลอื เปน็ พิเศษ

200 บทที่ 4 การบูรณาการเชิงสรา้ งสรรค์ ด้านการเรียนรแู้ ละการส่อื สาร 3 คะแนน เรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเองโดยใชว้ ิธกี ารและแหลง่ เรยี นรู้ท่หี ลากหลาย สามารถสอื่ สารความรู้ความเข้าใจได้อย่างชัดเจนเป็นระบบ 2 คะแนน เรียนรู้ได้เม่ือไดร้ ับคำแนะนำ ใชว้ ิธกี ารและแหลง่ เรียนรู้ที่จำกัด ส่อื สารความรคู้ วามเขา้ ใจได้ค่อนข้างเป็นระบบ 1 คะแนน เรียนรไู้ ดต้ ามคำบอกคำส่ัง ใชว้ ธิ กี ารและแหลง่ เรยี นรทู้ ่ีจำกัด สื่อสารความรู้ความเขา้ ใจได้ยาก ดา้ นความรบั ผดิ ชอบในการเรียนรู้ 3 คะแนน ตั้งใจปฏิบตั งิ านอย่างเต็มความสามารถ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ของผลงานดว้ ยตนเองและส่งงานตรงเวลา 2 คะแนน ปฏบิ ัติงานตามที่ไดร้ ับมอบหมาย ตรวจสอบความถูกตอ้ งของผลงาน เมื่อได้รับคำแนะนำ และสง่ งานตรงเวลา 1 คะแนน ปฏิบัตงิ านและสง่ งานตามเวลาทีก่ ำหนดเม่ือได้รับการช่วยเหลอื ดา้ นจิตสาธารณะ 3 คะแนน ตงั้ ใจปฏิบตั ิงานเพ่ือประโยชน์ของส่วนรวมเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ และแบง่ ปันผู้อน่ื ด้วยตนเอง ไมก่ ่อความเสียหายต่อส่วนรวม 2 คะแนน ปฏิบัตงิ านเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเมื่อไดร้ ับการกระตุ้นจากผสู้ อน เออื้ เฟื้อเผื่อแผแ่ ละแบง่ ปันผู้อ่ืนเมอื่ มตี วั แบบ 1 คะแนน ปฏิบตั ิงานเพ่ือประโยชนข์ องส่วนรวมเม่อื ไดร้ ับคำสัง่ จากผู้สอน เอื้อเฟื้อเผอ่ื แผ่และแบง่ ปนั ผู้อ่ืนเมือ่ ไดร้ ับการร้องขอ เกณฑก์ ารประเมนิ 9 – 10 คะแนน ดี 4 – 5 คะแนน ปรับปรงุ 11 – 12 คะแนน ดีมาก 6 – 8 คะแนน พอใช้

บทท่ี 4 การบรู ณาการเชงิ สร้างสรรค์ 201 บทสรุป การบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ (Creative Integration) หมายถึง การนำ สาระสำคัญหรือองค์ความรู้ต่างๆ ตั้งแต่ 2 องค์ความรู้ขึ้นไป ทักษะกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เกิดความ เช่ือมโยงกันอย่างลงตวั และสมบรู ณ์ พัฒนาข้ึนในลักษณะหน่วยการเรยี นรู้บรู ณาการ หน่วยการเรียนรู้บูรณาการ หมายถึง ความรู้ที่ครบวงจรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มาจากการนำความคิดรวบยอดหลักต่างๆ รวมทั้งสมรรถนะ และคุณลักษณะ มาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ จัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ ตามความสนใจ ความต้องการของผู้เรียน โดยมีผู้สอนเป็น โค้ช และเอ้อื อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ควรมีความสอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน มีปัจจัยกำหนดที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ หนว่ ยการเรยี นรู้ 3 ประการ ได้แก่ 1) ธรรมชาติของผู้เรียน 2) สาระสำคัญ 3) สมรรถนะ และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ การบูรณาการมีหลายรูปแบบ เช่น การบูรณาการโดยผู้สอนคนเดียว การบูร ณาการแบบคู่ขนาน การบูรณาการแบบสหวิทยาการ การบูรณาการแบบโครงการ นอกจากนี้รูปแบบการบูรณาการของ Fogarty.(1991) ได้นำเสนอรูปแบบการบูรณา การหลกั สูตรและการเรยี นการสอน ไว้ 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่ การบูรณาการภายในกลุ่มสาระ การเรียนรู้เดียวกัน การบูรณาการข้ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการบูรณาการภายใน กลุม่ ผู้เรยี นและขา้ มกลมุ่ สาระ องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 1) ผลการเรียนรู้ 2) ความคิดรวบยอดหลัก 3) หัวข้อสาระการเรียนรู้ 4) สมรรถนะ 5) คุณลักษณะที่พึง ประสงค์ 6) จุดประสงค์การเรียนรู้ 7) กิจกรรมการเรียนรู้ 8) สื่อและแหล่งเรียนรู้ 9) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 10) การออกแบบวิธีการวัดและประเมินผล 11) บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้

202 บทที่ 4 การบรู ณาการเชิงสรา้ งสรรค์ บรรณานกุ รม วชิ ัย วงษ์ใหญ่. (2542). พลังการเรียนรู้: ในกระบวนทัศนใ์ หม.่ กรุงเทพฯ: SR Printing. วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2555). จากหลักสูตรแกนกลางสู่หลักสูตร สถานศึกษา: กระบวนทัศน์ใหม่การพัฒนา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: จรัลสนทิ วงศก์ ารพมิ พ์. Fogarty, R., & Stoehr, J. (1991). Integrating Curricula with Multiple Intelligences: Teams, Themes, and Threads. Palatine, IL: Skylight Publishing, Inc. Oxford University. (2005). Oxford Advanced Learner’s Dictionary. Oxford: Oxford University Press. Reagan, Timothy G. (2000). Becoming a Reflective Educator: How to build a culture of Inquiry in the Schools. California: Thousand Oaks. Warnod, Helen. (2002). Integrated Curriculum: Designing Curriculum in the Immersion Classroom. The Bridge: From Research to Practice. May (1 – 8).

บทท่ี 5 การประเมินเชงิ สร้างสรรค์ 203 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์

204 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ เน้นการประเมนิ เชิงรุก (Active Assessment) ผู้เรียนใชก้ ารประเมินตนเอง เปน็ กระบวนการเรียนรู้

บทท่ี 5 การประเมินเชงิ สรา้ งสรรค์ 205 5. การประเมิน 5.1 แนวคิดการประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ เชงิ สร้างสรรค์ 5.2 การประเมินตนเองเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 5.3 การประเมนิ เพื่อวนิ ิจฉยั ผ้เู รยี น 5.4 บทบาทของผู้สอนในการประเมนิ เชงิ สร้างสรรค์ 5.5 ตัวอยา่ งแบบประเมนิ และเกณฑ์การใหค้ ะแนน

206 บทที่ 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ สาระสำคัญ การนำเสนอเนื้อหาสาระ เรื่อง การประเมินเชิงสร้างสรรค์มุ่งสร้างความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั 1) การประเมินการเรียนรู้ใน New Normal 2) การประเมินตนเอง เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 3) บทบาทของผู้สอนในการประเมินการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ 4) การทดสอบเพ่อื วินจิ ฉัยผเู้ รยี น และ 5) ตวั อย่างแบบประเมนิ ผลการเรยี นรแู้ ละเกณฑ์ การให้คะแนน โดยมสี าระสำคญั ดังต่อไปนี้ 1. การประเมินเชิงสร้างสรรค์มุ่งเน้นการประเมินตนเองของผู้เรียน และสะท้อนคิดไปสู่การพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเน่ือง (Self-assessment for improvement) โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นโค้ช (Coach) ที่ให้คำชี้แนะให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการ ประเมนิ ตนเอง 2. การประเมินตนเองเป็นการประเมินเชิงรุกที่เป็นเครื่องมือ พฒั นาการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนโดยมแี บบประเมินและเกณฑก์ ารให้คะแนนทชี่ ดั เจน 3. ผู้สอนมีบทบาทเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนใช้การประเมินเป็นวิธีการ เรยี นรู้ (Assessment as Learning) เปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นไดแ้ ลกเปลี่ยนเรียนรู้ในผลการ ประเมินผ่านการสะท้อนคดิ และถอดบทเรียน 4. การประเมินเพื่อวินิจฉัยผู้เรียน จะทำให้ผู้สอนทราบความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียนแต่ละคนที่สามารถนำผลการทดสอบไปพัฒนาผู้เรียน ใหม้ คี วามเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ งได้เป็นรายบุคคล 5. แบบประเมินและเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring rubrics) ที่มี คณุ ภาพ เป็นปจั จยั สนับสนนุ ให้ผ้เู รียนประเมินตนเองได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

บทท่ี 5 การประเมินเชิงสร้างสรรค์ 207 5.1 แนวคดิ การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ การประเมินการเรียนรู้ใน New normal มุ่งเน้นการประเมินตนเองของ ผู้เรียนและสะท้อนคิดไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง (Self-assessment for improvement) โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นโค้ช (Coach) ที่ให้คำชี้แนะให้ผู้เรียน เห็นคุณค่าของการประเมินตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินตนเองด้วยจิตใจใฝ่รู้ นำผลการประเมินมาสะทอ้ นคิดและถอดบทเรยี น และนำไปพัฒนาตนเอง การประเมินตนเองเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หรือ Self-assessment for improvement เป็นการประเมินตนเองของผู้เรียนโดยใช้วิธีการและเครื่องมือ ประเมินที่มีคุณภาพ (ผู้สอนมีบทบาทอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนใช้วิธีการ และเคร่ืองมือประเมนิ ตนเอง) แลว้ นำผลการประเมนิ มาสะท้อนคิด (Reflection) และ ถอดบทเรียน (Lesson Learned) และปรับปรุงและพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ทั้งด้านการรู้คิด ทักษะกระบวนการเรียนรู้ และคุณธรรมจริยธรรม ด้วยวิธีการ ท่สี อดคล้องกบั ธรรมชาติของตนเอง การประเมินการเรียนรู้ใน New normal เปลี่ยนแปลงจากการประเมิน เพื่อตัดสินความรู้ความสามารถของผู้เรียน (Judgement) มาเป็นการประเมิน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Assessment for learning) เน้นการให้ผู้เรียนประเมิน ตนเอง (Self-assessment) มากขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมคุณลักษณะการเป็นบุคคล แหง่ การเรยี นรขู้ องผู้เรียนในระยะยาว การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง จะเป็นจุดสำคัญและจุดเปลี่ยนคุณภาพผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนได้ สะท้อนคิด (Reflection) กระบวนการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ของตนเอง แสวงหาแนวทาง การพฒั นาตนเองตอ่ ไปอยา่ งตอ่ เนอื่ ง

208 บทที่ 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ พัฒนาตนเอง สะท้อนคิดและถอดบทเรียน การประเมนิ โดยผ้สู อน เพ่ือตดั สินการเรียนรู้ ผ้เู รยี นประเมินตนเอง การประเมนิ ตนเอง เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ New normal ภาพประกอบ 5.1 การประเมนิ ตนเองเพือ่ พัฒนาการเรยี นรู้ Growth mindset ของการประเมินใน New normal เป็นหัวใจสำคัญที่ จะเปลี่ยนแปลงจากการประเมินเพื่อตัดสิน (Assessment for judgement) ไปสู่ การประเมนิ เพื่อพัฒนา (Assessment for improvement) ไดป้ ระสบความสำเรจ็ การประเมินเพื่อตัดสินได้สร้างความกดดันให้กับผู้เรียนจากเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการประเมินเหล่านั้น และไม่ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และ คุณลักษณะของความเป็นนวัตกร ที่ต้องมี Mindset ของการประเมินเพื่อพัฒนา มากกว่าการประเมินเพื่อตัดสิน เพราะนวัตกรต้องนำผลการประเมินไปปรับปรุง นวัตกรรมอยูต่ ลอดเวลา

บทท่ี 5 การประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ 209 ผู้สอนมีบทบาทพัฒนาผู้เรียนให้มี Growth mindset ต่อการประเมิน ในรูปแบบใหม่ ที่เน้นการประเมินตนเองแล้วนำไปสู่การสะท้อนคิดและถอดบทเรียน จนเกิดความรู้และปัญญาที่จะมองเห็นว่าจะต้องเรียนรู้และปรับปรุงตนเองในส่วนใด และจะใช้วิธกี ารปรบั ปรุงอยา่ งไร ให้เหมาะสมกับธรรมชาตขิ องตนเอง จุดเน้นสำคัญของการประเมินการเรียนรู้ใน New normal คือ การประเมิน เชิงรุก (Active assessment) คือ ไม่ต้องรอให้ผู้สอนเป็นผู้ประเมิน แต่ผู้เรียน ประเมินตนเองทันที แทนที่แบบเดิมที่เป็นการประเมินเชิงรับ (Passive assessment) คือ ต้องรอให้ผู้สอนเป็นผู้ประเมิน ทำให้เสียโอกาสการเรียนรู้ ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการประเมินการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์จึงเปลี่ยนจากการ ประเมินเชงิ รบั มาเปน็ การประเมนิ เชงิ รุกมากขึ้น เปล่ียนแปลงการประเมินจากเชงิ รับเปน็ เชิงรุก การประเมินเชงิ รับ การประเมนิ เชงิ รุก (Passive assessment) (Active assessment) รอคอยให้ผสู้ อนประเมนิ ประเมนิ ตนเองทันที ผสู้ อนแจง้ ให้ทราบผลการประเมนิ ผสู้ อนช้แี นะใหป้ รับปรงุ เสียโอกาสในการเรยี นรู้ เพ่ิมโอกาสในการเรยี นรู้ ภาพประกอบ 5.2 เปลี่ยนจากการประเมนิ เชิงรบั เปน็ เชงิ รุก

210 บทที่ 5 การประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ Growth mindset ของการประเมินเชิงสร้างสรรค์มีความแตกต่างจาก Mindset การประเมนิ ทีผ่ ่านมาดังน้ี ตาราง 5.1 Growth mindset ของการประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ Mindset การประเมนิ ทผี่ า่ นมา Growth mindset ของการประเมินเชงิ สรา้ งสรรค์ - การประเมินคอื การพสิ จู นว์ ่า - การประเมินคอื การตรวจสอบ ผู้เรียนมคี วามรคู้ วามสามารถ คุณภาพของผู้เรียนวา่ มสี ิ่งใด มากน้อยเพยี งใด ทีต่ อ้ งปรบั ปรุงและพฒั นา - ผลการประเมินไม่สามารถ - สามารถแก้ไขผลการประเมินได้ แก้ไขใหด้ ขี ึ้นได้ เม่ือผเู้ รียนมศี กั ยภาพท่ีสูงขึ้น - มุ่งเนน้ การประเมินแล้วนำไป - มงุ่ เนน้ การประเมนิ แลว้ นำไป เปรยี บเทยี บกับคนอ่ืน ตรวจสอบตนเอง - ประเมินแล้วกแ็ ล้วกัน - ประเมนิ แล้วตอ้ งนำไปพฒั นา - ประเมนิ ไม่ผา่ นสามารถซอ่ มได้ - ประเมนิ ผา่ นกส็ ามารถซ่อมได้ - ประเมนิ ครง้ั เดียวเลิก - ประเมินไปเรื่อยๆ สิ่งท้าทายความคิดและความเชื่อของผู้สอนที่จะนำไปสู่ Growth mindset ของการประเมินใน New normal คือ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนสามารถ ปรับปรุงและพัฒนาตนเองจากผลการประเมินที่ผ่านมาได้แบบไม่มีเงื่อนไข จนกว่า ผู้เรยี นบรรลเุ ป้าหมายของตนเอง เพราะการเรียนร้เู ป็นของผู้เรยี น ไม่ใชข่ องผสู้ อน การประเมินเชิงสร้างสรรค์จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการประเมินตนเอง เรียนรู้ที่จะปรับปรุง และพัฒนาตนเองอยา่ งเต็มความสามารถ ซึ่งเป็นเงอ่ื นไขสำคัญของการพัฒนาไปสู่ความ เปน็ นวัตกร (Innovator) ท่มี ีทกั ษะในการสรา้ งสรรค์นวัตกรรมตอ่ ไป

บทที่ 5 การประเมินเชิงสร้างสรรค์ 211 5.2 การประเมินตนเองเพอ่ื พัฒนาการเรียนรู้ การประเมนิ ตนเองของผู้เรยี นจะเปน็ วิธกี ารหลกั ของการประเมินการเรียนรู้ ใน New normal เนื่องจากการเรียนรู้ใน New normal ผู้เรียนจะมี Platform ในการเรยี นรูท้ ี่หลากหลายมากขึ้น มีทางเลือกในการเรียนรู้มากขน้ึ ดว้ ยเหตุนีก้ ารประเมินโดยผู้สอนฝ่ายเดียวจะไม่สามารถตอบสนองการเรียนรู้ ที่หลากหลายของผู้เรียนได้ และไม่มีสารสนเทศอย่างเพียงพอ ในการนำมาออกแบบ การจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จงึ ต้องใชก้ ารประเมนิ ตนเองของผู้เรียนเข้ามา สนับสนนุ การเรียนรขู้ องผเู้ รียนเอง การประเมินตนเองของผู้เรียน มีจุดเน้นคือการให้ผู้เรียนใช้การประเมิน ตนเองเป็นกระบวนการเรียนรู้ชนิดหนึง่ (Assessment as Learning) ผู้เรียนประเมนิ ตนเองเป็นระยะๆ แล้วเรียนรู้จากผลการประเมินนั้น และแสวงหาแนวทางพัฒนา ตนเองต่อไปไม่มีท่สี ิน้ สดุ การประเมนิ ตนเองมีประโยชนต์ ่อผู้เรยี นหลายประการดงั น้ี 1. การประเมินตนเองชว่ ยกระตนุ้ คุณลักษณะการมีวนิ ยั ในการเรียนรู้ 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการประเมินตนเองซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตในอนาคต เพราะต้องใช้การประเมินเป็นเครื่องมือ สำหรับการพฒั นาอาชีพและคุณภาพชีวติ 3. ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการสะท้อนคิดและการตั้งคำถามเกี่ยวกับการ เรียนร้ขู องตนเอง และพยายามตอบคำถามนนั้ ดว้ ยตนเอง และนำไปสกู่ ารเปลี่ยนแปลง ความคิดและพฤติกรรมการเรียนรู้ตอ่ ไป

212 บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ 4. ผู้เรียนได้ใช้ผลการประเมินตนเองในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับระดับความสามารถของตนเอง กำกับตนเองไปสู่เป้าหมายและพัฒนา ตอ่ ยอดไปอยา่ งตอ่ เนื่อง 5. การประเมินตนเองช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนผลการเรียนรู้และ ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่ควรปรับปรุง กำหนดเป้าหมายและวิธีการ ปรับปรุงด้วยตนเอง และนำไปสู่การปฏิบัติในลักษณะวงจรการเรียนรู้และพัฒนาที่เป็น รากฐานของคุณลักษณะบุคคลแห่งการเรยี นรู้ พลังคำถามกระตุ้นการประเมินตนเอง เป็นคำถามที่ผู้สอนใช้กระตุ้นผู้เรียน ให้ประเมินหรือตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีเป้าหมายและทิศทาง เชน่ คำถามดังตอ่ ไปน้ี 1. จุดมงุ่ หมายของการเรยี นของนักเรียนคอื อะไร 2. นกั เรยี นมวี ิธกี ารเรียนรู้ในเร่ืองนอี้ ย่างไร 3. นักเรียนไดเ้ รียนรู้อะไรจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม 4. นักเรียนมีความเขา้ ใจสาระสำคญั ท่เี รียนรวู้ า่ อย่างไร 5. นักเรยี นมเี กณฑ์การประเมนิ การเรียนรอู้ ย่างไร 6. นกั เรียนประสบความสำเรจ็ ตามจดุ มุง่ หมายหรือไม่ 7. สงิ่ ท่ีนกั เรียนทำไดด้ คี ืออะไร 8. สง่ิ ท่ีนกั เรียนควรพัฒนาใหด้ ีขน้ึ คืออะไร การใช้คำถามที่ดีจะกระตุ้นการคิดขั้นสูงของผู้เรียนและส่งผลกระทบ ตอ่ ระบบคิดของผ้เู รียนทน่ี ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ 213 ผ้เู รยี นไดร้ บั การกระตนุ้ วนิ ัยในการเรียนรู้ ผู้เรยี นไดเ้ รียนร้วู ธิ กี ารประเมนิ ตนเอง คุณคา่ ของ ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะการสะท้อนคดิ การประเมินตนเอง ผเู้ รยี นได้กำหนดเปา้ หมายการเรียนรู้ ท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง ผเู้ รยี นไดส้ ะท้อนผลการเรยี นรู้ และทบทวนสง่ิ ท่ีได้เรยี นรู้ สง่ เสรมิ คณุ ลกั ษณะบุคคลแห่งการเรยี นรู้ ภาพประกอบ 5.3 คณุ คา่ ของการประเมนิ ตนเอง การประเมินผลการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ยึดหลักการประเมินเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ในลักษณะการประเมินที่เสริมพลังตามสภาพจริง หรือที่เรียกว่า Authentic Empowerment Evaluation ให้ความสำคัญกับการนำผลการประเมิน มาพฒั นาผ้เู รยี นและปรับปรงุ การจดั การเรียนร้ใู หม้ ปี ระสทิ ธิภาพสงู ขึ้น การประเมนิ ท่ีเสริมพลังตามสภาพจริงมีจุดเด่นคือเป็นการประเมินเพื่อการ ปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนจากข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนกระบวนการ เรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ และความกา้ วหนา้ ทางการเรียนรขู้ องผเู้ รียน ไมเ่ น้นการตัดสิน

214 บทท่ี 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ การประเมินทเ่ี สรมิ พลงั ตามสภาพจรงิ มหี ลักการทสี่ ำคัญ ดังนี้ 1. ใช้ผปู้ ระเมนิ หลายฝ่าย เชน่ ผสู้ อนประเมนิ ผเู้ รยี น ผูเ้ รียนประเมิน ตนเอง หรอื การประเมนิ โดยผู้มสี ่วนเก่ยี วขอ้ ง เปน็ ตน้ 2. ใช้วิธีการและเครื่องมือประเมินหลายชนิด เช่น การสังเกต พฤติกรรมการเรียนรู้ การประเมินจากผลการปฏิบัติ การทดสอบ หรือการรายงาน ตนเองของผ้เู รยี น เป็นตน้ 3. ประเมนิ อยา่ งต่อเนื่องหลายช่วงเวลา เชน่ การประเมินก่อนเรียน การประเมนิ ระหว่างเรียน การประเมินหลังเรยี น และการประเมนิ ติดตามผล เป็นต้น 4. ใหข้ ้อมูลย้อนกลับแก่ผเู้ รียนด้วยวธิ ีการที่สร้างสรรค์ โดยที่ผู้สอน ควรออกแบบการประเมินผลการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์และกิจกรรม การเรียนรู้ ตนเอง ก่อน การทดสอบ เรยี น การสังเกต ระหวา่ งเรยี น ตดิ ตามผล การรายงาน หลัง การตรวจ เพ่ือน ตนเอง เรยี น ช้นิ งาน ผูส้ อน ผู้เก่ียวข้อง การสะทอ้ นผลการประเมิน ภาพประกอบ 5.4 การประเมินที่เสรมิ พลงั ตามสภาพจริง

บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ 215 การประเมินผลการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ใช้การประเมิน 3 แนวทาง ผสมผสานกันอย่างลงตัว ได้แก่ 1) การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Assessment for learning) มีลักษณะเป็นการประเมินในขณะจัดการเรียนรู้ 2) การประเมินตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ (Assessment as learning) เป็นการประเมินตนเองของผู้เรียน ในขณะปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนรู้ (Assessment of learning) เป็นการประเมนิ ผลการเรียนรู้ภายหลังเสรจ็ สิน้ การจัดการ เรียนรู้ ซึ่งแนวทางการประเมินทั้ง 3 แนวทางดังกล่าว ผู้สอนควรเลือกใช้ให้เหมาะสม กับกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน สำหรับการประเมินผลการ เรียนรู้นั้น ผู้สอนควรประเมินให้ครอบคลุมทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Process assessment ผลการเรียนรู้หรือที่เรียกว่า Product assessment และ ความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Progress assessment แล้วนำผลการ ประเมนิ ไปพัฒนาผู้เรยี นเปน็ รายบุคคลตอ่ ไป การประเมินเชิงสร้างสรรค์แตกต่างจากการประเมินโดยทั่วไปที่ผู้สอนเปน็ ผู้ประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่การประเมินยุคใหม่จะเน้นการให้ ผู้เรียนประเมินตนเองมากขึ้น ผู้เรียนได้สะท้อนคิดและถอดบทเรียนและนำไปสู่การ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เม่ือทำการประเมนิ ผลการเรยี นรู้แล้ว สิ่งท่ผี ้สู อนจะตอ้ งดำเนินการต่อไปคือ การให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างสร้างสรรค์ ที่เป็นการเสริมพลังการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่การให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างสร้างสรรค์นั้น เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาให้ดีข้ึน ซึ่งหลักการให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1) การให้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ว่าผลการประเมินจะเป็นอย่างไร ผู้สอน จะต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบ 2) ให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยวิธีการที่นุ่มนวล สอดคล้องกับ ระดับการรับรู้และวุฒิภาวะของผู้เรียน และ 3) เลือกเวลาและสถานที่ในการให้ข้อมลู ย้อนกลับอยา่ งเหมาะสม

216 บทที่ 5 การประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ การให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดีจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาขึ้นนั้น ผู้สอนควรให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการเรียนรู้ จุดแข็ง จดุ ทคี่ วรปรับปรุงและที่สำคัญคือการช้แี นะแนวทางการปรับปรุงและพัฒนา ตนเองของผูเ้ รียนรายบุคคล นอกจากนี้การ Feedback ยุคใหม่ ใช้การสื่อสารเชิงบวก ด้วยความจริงใจ ช่วยกระตุ้น Passion เสริมสร้าง Growth mindset และส่งเสริมให้ ผเู้ รยี นพฒั นาตนเองอย่างตอ่ เนอื่ ง เทคนิคง่ายๆ สำหรับการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคโนโลยีเป็นฐาน คือ การให้ผู้เรียนถอดบทเรียนของตนเอง โดยตอบคำถามหลังการ ปฏบิ ัติกิจกรรมการเรยี นรู้ 3 ประการตามลำดับ ได้แก่ 1) ความรู้สกึ ท่ีเกิดขึ้นระหว่าง การปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างไร 2) สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรูค้ ืออะไร และ 3) จะนำสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ซึ่งการ ให้ผู้เรียนถอดบทเรียนของตนเองจะช่วยทำให้การจัดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ มากยิ่งขนึ้ ทผ่ี สู้ อนควรพจิ ารณานำไปใชใ้ นการประเมนิ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน ภาพประกอบ 5.5 การถอดบทเรยี นดว้ ยเทคนิคตะกรา้ 3 ใบ

บทที่ 5 การประเมนิ เชงิ สร้างสรรค์ 217 ตัวอยา่ งการประเมินตนเอง ดว้ ยการถอดบทเรียนเทคนคิ ตะกร้า 3 ใบ หัวข้อการถอดบทเรียน “การประเมนิ การเรยี นรู้”  1.รู้สึกอยา่ งไร : การประเมินผลการเรียนรู้มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้รู้ว่าผู้เรียน แต่ละคน มกี ารเรยี นรู้ด้านสตปิ ัญญา อารมณ์ และทักษะตา่ งๆ มากน้อยแคไ่ หน : การเสริมพลังจะสนับสนุนให้บุคคลมีความเชื่อมั่นในการคิดและตัดสินใจ ได้ด้วยตนเองและสามารถพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของตนเองในการ ปฏิบตั งิ านไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง  2.ได้เรยี นรูอ้ ะไร : การประเมินการเรียนรู้ ทำให้ให้สามารถทราบว่าผู้เรียนมีคุณภาพตรงตาม วัตถปุ ระสงค์หรือไม่ : การประเมินการเรียนรู้มีวิธีการประเมินอย่างหลากหลายและมีความ เหมาะสมกับพฤติกรรมที่ต้องการประเมิน นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือ วิธีการวัด และเกณฑก์ ารประเมนิ ท่หี ลากหลาย : องคป์ ระกอบของเกณฑก์ ารประเมนิ ได้แก่ ระดับ คำอธิบาย : ได้เรียนร้กู ารสร้างเครื่องมือวัดและประเมนิ ผลท่ีถูกต้อง ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ : สามารถตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู

218 บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์  3.จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร : นำความรู้การประเมินผลและนำผลการประเมินมาใช้สำหรับการอธิบาย ผลการเรียนรู้ ของผู้เรียนทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ตลอดจนการอธิบายจุดดี และจดุ ท่ีต้องปรบั ปรงุ แก้ไข : สามารถสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินให้ตรงกับจุดประสงค์ที่จะใช้ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง แมน่ ยำ ควบคไู่ ปกับสภาพแวดลอ้ มในสงั คมปัจจุบัน : นำความรู้มาออกแบบกิจกรรมและการประเมิน ด้านความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสร้าง เพื่อให้ให้ตรงกับ วัตถปุ ระสงค์น้ันๆ การประเมินตนเองของผู้เรียน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในลักษณะ Assessment as Learning หรือการใช้การประเมินเป็นวิธีการเรียนรู้ชนิดหนึ่งน้ัน จำเปน็ ที่ผูส้ อนจะต้องมแี บบประเมินให้ผู้เรียนได้ใช้ประเมนิ ตนเองด้วย เพ่อื ใหผ้ เู้ รียน ประเมินตนเองได้อย่างมที ศิ ทาง ตัวอยา่ งแบบประเมินไดแ้ สดงไว้ในทา้ ยบทน้ี 5.3 การประเมินเพ่อื วนิ จิ ฉัยผู้เรยี น การประเมินการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ยึดหลักการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 26 ที่ระบุว่าการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ควรพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน โดยการสังเกต พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปกับ กระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องสะท้อนผลการประเมิน (Reflection) ไปยังผู้เรียน โดยการนำผล การประเมินมาวิเคราะห์วางแผนและดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และคุณภาพผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทดสอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnosis Testing)

บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสร้างสรรค์ 219 นับว่าเป็นวิธีการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ผู้สอนทราบ ความเข้าใจท่ีคลาดเคลอื่ น หรอื Misconceptions ของผู้เรียน และนำไปสกู่ ารพัฒนา ผเู้ รยี นรายบุคคลตอ่ ไป การวินิจฉัย หมายถึง การค้นหาและวิเคราะห์สาเหตุของพฤติกรรม และปัญหาของบุคคล (ราชบัณฑิตยสถาน. 2555: 151) ส่วนการทดสอบเพื่อวินิจฉัย การทดสอบเพื่อค้นหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือ Misconception คือ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของผู้เรียน ทั้งก่อน ระหว่าง หรือหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใชแ้ บบทดสอบวนิ จิ ฉัยที่สรา้ งขึ้นและนำผลการทดสอบมาพัฒนาผู้เรยี น การประเมนิ เพื่อวนิ ิจฉยั มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรยี นแต่ละคน มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว หรือไม่ อย่างไร มีความสำคัญทำให้ ผู้สอนทราบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียนแต่ละคน ที่สามารถนำผลการ ทดสอบไปพฒั นาผู้เรยี นใหม้ ีความเขา้ ใจท่ีถกู ต้องไดเ้ ปน็ รายบุคคล ทำให้ผู้เรยี นทีไ่ ดร้ ับ การพัฒนาจะสามารถเรยี นรู้เนอ้ื หาสาระทีย่ ากและซบั ซอ้ นขน้ึ ได้ การประเมินเพื่อวินิจฉัยผู้เรียนมีวิธีการประเมินหลายวิธี เช่น การประเมิน โดยการสัมภาษณ์ การประเมินจากการทดสอบภาคปฏิบัติ การประเมินโดยใช้ข้อสอบ วินิจฉัย เป็นต้น ซึ่งในที่นี้ขอนำเสนอรายละเอียดของข้อสอบเพื่อวินิจฉัยเท่านั้น เนื่องจากเป็นวิธีการวินิจฉัยผู้เรียนที่มีความแม่นยำสูงหากมีกระบวนการวินิจฉัย ที่ถกู ต้องและชดั เจน ข้อสอบเพื่อการวินิจฉัยมีลักษณะเป็นข้อสอบที่วัดความรู้ความเข้าใจย่อย ไม่ยาก ไม่ซับซ้อนเพราะต้องการตรวจสอบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียน ข้อสอบมีจำนวนหลายข้อและค่อนข้างง่าย ผลการสอบจะให้สารสนเทศว่าผู้เรียน

220 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ แต่ละคนมีความเข้าใจทีค่ ลาดเคลื่อนอย่างไร ความแตกต่างระหว่างข้อสอบเพื่อวนิ จิ ฉยั กบั ขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธิ์แสดงไดด้ ังตารางตอ่ ไปน้ี ตาราง 5.2 ความแตกต่างระหวา่ งข้อสอบวนิ ิจฉัยกบั ข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ ข้อสอบวินิจฉัย ขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ - ตอ้ งการตรวจสอบความเข้าใจ - ตอ้ งการทราบผลการเรยี นรู้ของ ที่คลาดเคลอ่ื นของผู้เรียน ผเู้ รยี นตามจุดประสงค์การเรียนรู้ - วัดความรหู้ รอื ทักษะย่อย ๆ - วดั ความรหู้ รอื ทกั ษะ - ถามง่ายๆ ไมย่ ากมาก ที่บูรณการและซับซ้อน - โจทยไ์ มซ่ ับซอ้ น - คำถามมีท้ังง่ายและยาก - โจทย์มคี วามซบั ซ้อน เน้นการวิเคราะห์และแกป้ ัญหา แนวคดิ การสร้างข้อสอบวนิ ิจฉัยกบั ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มคี วามแตกต่างกัน โดยข้อสอบวินิจฉัยจะนำสาระสำคัญหลักหรือ Main concept จำนวน 1 เรื่อง มาวเิ คราะห์เปน็ ความรู้ความเขา้ ใจย่อยๆ (Sub concept) ภายใต้สาระสำคัญหลักนั้น โดยจะวิเคราะห์ให้ละเอียดมากที่สุดและจัดเป็นหมวดหมู่ความรู้ความเข้าใจย่อยๆ (Facet) แลว้ นำไปออกข้อสอบวดั ความรูค้ วามเข้าใจย่อยๆ เหลา่ นนั้ ส่วนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์จะมีแนวคิดในการสร้างข้อสอบท่ีมุ่งวัดการคิด ขัน้ สูงของผ้เู รยี น ซง่ึ ตอ้ งใช้ความรู้ความเขา้ ใจ หรือ Main concept หลายอยา่ งในการ ตอบข้อสอบ 1 ข้อ ซึ่งการตอบข้อสอบ 1 ข้อนั้น นอกจากผู้เรยี นจะต้องใช้ความรูค้ วาม เข้าใจเชิงลกึ อย่างเชอื่ มโยงกนั แล้ว ยงั ต้องใช้กระบวนการคดิ ต่างๆ เช่น การคดิ วเิ คราะห์ การคิดเชิงประยุกต์ การคิดเชิงประเมิน ตลอดจนการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น อีกด้วย จึงจะตอบข้อสอบประเภทนไ้ี ด้ถกู ต้อง

บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสร้างสรรค์ 221 แนวคิดการสร้างข้อสอบวินิจฉัยและข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีความแตกต่าง กนั ดงั ภาพประกอบตอ่ ไปน้ี ภาพประกอบ 5.6 แนวคิดการสร้างข้อสอบวินิจฉัยกับข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ การสร้างข้อสอบเพื่อวินิจฉัยมีขั้นตอนหลัก 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ความรู้และทักษะที่ต้องการทดสอบ ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนการสร้าง ขอ้ สอบใหค้ รอบคลุมความรู้ และทกั ษะที่วเิ คราะห์ได้จากขั้นตอนท่ี 1 ขน้ั ตอนท่ี 3 สร้าง ข้อสอบและตรวจสอบคุณภาพ แสดงตัวอย่างขั้นตอนการสร้างข้อสอบวินิจฉัย ได้ดังตอ่ ไปน้ี

222 บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ความรู้และทกั ษะทต่ี ้องการทดสอบ ในกรณีจะแสดงตัวอย่างการวิเคราะห์ Main concept สาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ 2 แบบ คือ แบบที่ 1 การวิเคราะห์ในลักษณะผังมโนทัศน์ และแบบที่ 2 การวิเคราะหใ์ นลักษณะขน้ั บนั ได ดังนี้ การวิเคราะห์แบบท่ี 1 วเิ คราะหแ์ บบผงั มโนทศั น์

บทท่ี 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ 223

224 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์

บทท่ี 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ 225

226 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์

บทท่ี 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ 227

228 บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ การวิเคราะห์แบบท่ี 2 การวเิ คราะหใ์ นลกั ษณะขัน้ บันได กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ คณิตศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนนิ การ มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจถงึ ผลทีเ่ กดิ ขนึ้ จากการดำเนนิ การของจำนวน และความสมั พนั ธ์ระหว่างการดำเนนิ การต่างๆ และสามารถใชก้ ารดำเนนิ การในการแกป้ ญั หา ตัวชว้ี ดั ป.5/1 บวก ลบ คณู หาร และบวก ลบ คณู ระคนของเศษส่วน พรอ้ มท้ังตระหนักถงึ ความสมเหตสุ มผลของคำตอบ ตวั อย่างการวเิ คราะห์ความรู้และทกั ษะ กลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 สาระท่ี 1 จำนวนและการดำเนินการ มาตรฐาน ค 1.2 ตัวชี้วดั ป.5/1 (แบบขัน้ บันได)

บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสร้างสรรค์ 229 ขัน้ ตอนท่ี 2 การวางแผนการสรา้ งขอ้ สอบ เมื่อวิเคราะห์สาระการเรียนรู้เสร็จแล้วนำสาระสำคัญในแต่ละส่วนไปจดั ทำ ตารางการวิเคราะห์ความเข้าใจที่ถูกต้องและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียน ดังตัวอย่างการวางแผนสร้างข้อสอบสาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ มาตรฐาน ค1.2 ตัวชี้วัด ป.5/1 ต่อไปนี้ ในที่นี้ได้แสดงตัวอย่างให้ศึกษาเพียง 1 ข้อ คือ การบวก เศษสว่ นทตี่ วั ส่วนตวั หน่ึงเปน็ พหคุ ณู ของตวั สว่ นอกี ตัวหนึง่ จากทัง้ หมด 5 ขอ้ จากตารางการวิเคราะห์ความเข้าใจที่ถูกต้องจะนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง เพียงคำตอบเดียว ซึ่งผู้เรียนที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องจะสามารถตอบได้ (ดูที่คอลัมน์ ความเข้าใจที่ถูกต้อง) ส่วนความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จะมีอยู่ 3 ลักษณะ (ดูที่คอลัมน์ ความเข้าใจทค่ี ลาดเคลือ่ น) ตามที่วิเคราะห์ไวแ้ ล้ว 1 ลกั ษณะ และอีก 2 ลักษณะ ดังน้ี

230 บทท่ี 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์

บทที่ 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ 231 เมอ่ื วางแผนการสร้างข้อสอบวนิ จิ ฉยั ตามตัวอย่างขา้ งตน้ แล้ว จึงดำเนินการ ในข้ันตอนที่ 3 ต่อไปดังนี้ ขั้นตอนท่ี 3 สรา้ งข้อสอบและตรวจสอบคณุ ภาพของขอ้ สอบ ขัน้ ตอนนี้ดำเนินการสรา้ งขอ้ สอบวินจิ ฉัยใหต้ รงกบั ตารางวิเคราะห์ความ เขา้ ใจท่ีถกู ต้องและความเขา้ ใจทคี่ ลาดเคล่ือนท่ีดำเนินการแลว้ ในข้ันที่ 2 เมือ่ สรา้ ง ขอ้ สอบครบถว้ นทุกข้อแลว้ จงึ ดำเนนิ การตรวจสอบคณุ ภาพข้อสอบต่อไป คำตอบที่ถูกต้องคือตัวเลือก ง. ส่วนตัวเลือกอื่นๆ เป็นตัวเลือกที่ใช้ในการ ประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องการบวกเศษส่วนที่ตัวส่วน ไมเ่ ท่ากนั อย่างไร ซ่ึงจะนำไปสูก่ ารแกไ้ ขความเข้าใจท่ีคลาดเคลื่อนน้นั ให้ถูกตอ้ ง

232 บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ การตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบวินิจฉัยจะเน้นที่การตรวจสอบว่าข้อสอบ แต่ละข้อสามารถวินิจฉัยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียนได้หรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้อง ใช้ผู้เชีย่ วชาญที่มีความร้แู ละประสบการณส์ ูงในการตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วนำมา ปรับปรงุ แกไ้ ขและนำไปทดลองใช้ตอ่ ไป ซ่ึงจะทำให้ได้ข้อสอบวินิจฉัยทม่ี คี ณุ ภาพ ขัน้ ตอนท่ี 4 นำไปใชท้ ดสอบเพอ่ื วินิจฉยั ผ้เู รียน เมื่อได้ดำเนินการพัฒนาข้อสอบเพื่อวินิจฉัยผู้เรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปใช้ทดสอบผู้เรียนต่อไป โดยการทดสอบจะมุ่งเน้นตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความ เข้าใจท่ีคลาดเคลอ่ื นในองคค์ วามรู้หรือไม่ อยา่ งไรเปน็ สำคญั ผู้สอนควรอธิบายและชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียนถึงจุดมุ่งหมาย และประโยชน์ของการทดสอบเพือ่ วินิจฉัยให้ผู้เรียนทราบ และทำข้อสอบตามความรู้ ความเข้าใจของตนเองโดยไม่ใชว้ ธิ กี ารเดาข้อสอบ เพราะการเดาข้อสอบไม่วา่ จะเดาถกู หรือผดิ ก็ตามจะส่งผลต่อการแก้ไขความเข้าใจทค่ี ลาดเคลื่อนให้กลบั มาถูกต้องซ่ึงจะเป็น ผลเสยี ทั้งตอ่ ผเู้ รียนและผู้สอน จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าการทดสอบเพื่อวินิจฉัยผู้เรียนนั้น เ ป ็ น อ ี ก ว ิ ธ ี ก า ร ห น ึ ่ ง ใน ก า ร ท ี ่ จ ะ ต ร ว จ ส อ บ ว ่ า ผ ู ้ เ ร ี ย น ม ี ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ ใ น ส ิ ่ ง ท ี ่ เ ร ี ย น รู้ อย่างถูกต้องหรือมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น การทดสอบวินิจฉัยจะทำให้ผู้สอน มีสารสนเทศที่ถูกต้องแม่นยำ และสามารถนำไปพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล ตามเจตนารมณข์ องการจดั การเรียนรู้เชงิ สรา้ งสรรค์

บทที่ 5 การประเมนิ เชิงสรา้ งสรรค์ 233 5.4 บทบาทของผู้สอนในการประเมินการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ การประเมินการเรียนรู้ระดับชั้นเรยี น เป็นการประเมินที่ดำเนินการควบคู่ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการของการเรียนรู้ จากการจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ ปน็ อยา่ งไร ข้อมูลสารสนเทศจากการประเมนิ จะนำมาใช้ สำหรับการพัฒนาผู้เรียนรายบุคคล การประเมินผลระดับชั้นเรียนมีความสำคัญ ช่วยให้มีการสะท้อนผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (Reflection) ในลักษณะวันต่อวัน (Day – to – Day Assessment) ท่ีสามารถพฒั นาผู้เรียนได้ในทนั ที (Immediately) การประเมินที่ดีมีประสิทธิภาพช่วยให้ผู้สอนมีข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับ การเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนการจัดการเรียนรู้และการ พัฒนาผู้เรียนรายบุคคล ช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดกลุ่มผู้เรียนตามระดับความสามารถ ได้อย่างถูกต้องชัดเจนทำให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับผู้เรียนมากข้ึน ส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นพฒั นาตนเองอย่างตอ่ เน่ือง จากการได้รบั การสะท้อนผลการประเมิน อย่างมีคุณภาพจากผู้สอนและช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองและการคิด ข้ันสงู ของผู้เรียนเมอื่ ไดน้ ำการสะท้อนผลจากผ้สู อนไปสกู่ ารปฏบิ ัติ บทบาทของผู้สอนสำหรับการประเมินการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์มุ่งเน้นการ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้อย่างมีคุณภาพและเกิดการเรียนรู้จากการ ประเมนิ ดังนี้ 1. สร้างบรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) ในการประเมินตนเอง ท่ีทำใหผ้ ้เู รียนรสู้ ึกปลอดภัยทจ่ี ะประเมินตนเองตามข้อมูลท่เี ป็นจรงิ 2. กระตุ้นผู้เรียนให้เห็นคุณค่าของการประเมินตนเองในฐานะที่เป็น เคร่ืองมอื สำคัญของการเรยี นรู้ ท่มี ิใชเ่ พยี งแคก่ ารตดั สนิ ผลการเรียนรู้

234 บทที่ 5 การประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ 3. อำนวยความสะดวกดา้ นเครื่องมือประเมนิ ท่ผี เู้ รียนอาจจะต้องใช้เป็น แนวทางหรือหลักเกณฑ์ในการประเมินตนเองซึ่งเครื่องมือประเมินที่มีคุณภาพจะเป็น ปัจจัยสนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถสะท้อนคิดและถอดบทเรียนจากการประเมินตนเอง ไดด้ ีขน้ึ 4. ตรวจสอบผลการประเมินตนเองของผู้เรียนแล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ เกี่ยวกับคุณภาพของการประเมินตนเองทั้งในแง่กระบวนการประเมินตนเอง ผลการ ประเมนิ ตนเอง ตลอดจนการปรับปรุงและพัฒนาตนเองจากผลการประเมิน 5. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการประเมิน การสะท้อนคิดและถอดบทเรียนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน มากขน้ึ สร้างบรรยากาศความไวเ้ น้อื เช่อื ใจ (Trust) บทบาทของผสู้ อน กระต้นุ ผ้เู รยี นใหเ้ ห็นคณุ ค่าของการประเมนิ ตนเอง สำหรบั การประเมนิ การเรยี นรู้ อำนวยความสะดวกดา้ นเครือ่ งมือประเมนิ ใน New normal ตรวจสอบผลการประเมนิ ตนเองของผเู้ รยี น แล้วให้ขอ้ มูลย้อนกลบั เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ การสะทอ้ นคดิ และถอดบทเรยี น ภาพประกอบ 5.7 บทบาทของผ้สู อนสำหรับการประเมินการเรยี นรู้เชงิ สร้างสรรค์

บทท่ี 5 การประเมนิ เชงิ สรา้ งสรรค์ 235 การสะทอ้ นคดิ เพอื่ พัฒนาศกั ยภาพผเู้ รียน การสะท้อนคิดเชิงสร้างสรรค์มุ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการทาง ความคิดแบบก้าวหน้า หรือ Growth mindset คือการมีความคิดความเชื่อใน ศักยภาพของตนเองที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จบนพื้นฐานของความอดทน มุ่งมั่น และพยายาม ผู้สอนควรสะท้อนคิดให้กับผู้เรียน ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมี ความต่อเนื่อง ผู้เรียนพัฒนา Growth mindset และส่งผลทำให้เป็นบุคคลแห่งการ เรียนร้ซู ึง่ มีแนวทางการสะทอ้ นคิดผูเ้ รยี นดงั น้ี 1. เปิดใจกว้างรับฟังความคิดที่แท้จริงของผู้เรียนแล้วชี้แนะให้ผู้เรียน มองเหน็ ความคิดของตนเอง ไมว่ ่าความคดิ นน้ั จะเป็นความคดิ ทถ่ี กู ต้องหรอื ไม่กต็ าม 2. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นตรวจสอบกระบวนการทางความคิดของตนเอง ให้เห็นถึงกระบวนการทางความคิดที่นำมาสู่การกระทำต่างๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นว่า ความคดิ เป็นจุดเริ่มตน้ ของการกระทำ 3. เมอื่ ผู้เรยี นมองเห็นกระบวนการทางความคดิ ของตนเองแลว้ ผู้สอนใช้ พลงั คำถามกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นหาเหตผุ ลวา่ เพราะอะไรจงึ คิดเชน่ น้ัน ซง่ึ จะทำให้ผู้เรียน เขา้ ใจวา่ กระบวนการทางความคดิ คือจุดเรมิ่ ต้นของพฤติกรรมตา่ งๆ ของผเู้ รียนเอง ทจ่ี ะต้องหม่ันสำรวจตรวจสอบอย่เู สมอ 4. ใช้พลังคำถามกระตุ้นผู้เรยี นให้คิดทบทวนความคิดของตนเอง (Self - Reflective Thinking) ก่อนที่จะกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการ ทบทวนตรวจสอบความคิดของตนเอง

236 บทท่ี 5 การประเมินเชงิ สรา้ งสรรค์ 5. ให้ผู้เรียนตรวจสอบผลการปฏิบัติหรือผลการกระทำของตนเองว่า การปฏิบัติหรือการกระทำต่างๆ ส่งผลดีต่อตนเองอย่างไรและให้ผู้เรียนคิดเชื่อมโยง ให้ได้วา่ กระบวนการทางความคิดของตนเองเปน็ อย่างไร 6. ชี้แนะให้ผู้เรียนเห็นว่ากระบวนการทางความคิดที่ดีที่ถูกต้อง ของตนเองนนั้ ส่งผลต่อความสำเรจ็ ในการเรยี นรู้ กระบวนการที่ให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ดา้ นต่างๆ ของตนเอง เช่น ความรูค้ วามเขา้ ใจ ทกั ษะกระบวนการเรยี นรู้ การคิด โดยใชก้ ระบวนการทางสติปัญญา ไตร่ตรองอย่างเชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผ่านมาของตนเอง การสะท้อนผลการ เรียนรู้ที่ดีควรเน้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามกับตัวเอง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ ส่ิงท่ีต้องปรับปรุงและพฒั นาใหด้ ขี ้นึ แทนการบอกกล่าวจากผ้สู อนโดยตรง การให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบเองว่าเขาควรปรับปรุงการเรียนรู้ของเขาในจุดใด ด้วยวิธีการอย่างไรการตั้งคำถามย้อนกลับเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพินิจพิเคราะห์คุณภาพ ของตนเองบนพื้นฐานของหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ปราศจากความลำเอียงใดๆ วิธีการให้ผู้เรียนตอบคำถามย้อนกลับนั้นสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาระและ กิจกรรมที่ดำเนินการจัดการเรียนรู้ไปแล้ว เช่น การประเมินผลการเรียนรู้งานตนเอง แล้วเขียนรายงานตนเองสั้นๆ เกี่ยวกับคุณภาพของผลงานรวมทั้งแนวทางพัฒนา คณุ ภาพผลงานให้ดียง่ิ ขึน้ จากการท่ีได้กล่าวถึงบทบาทผู้สอนในการประเมินเชิงสร้างสรรค์ จะเห็นว่า มีแนวคิดหลักคือมุ่งประเมินเพือ่ พัฒนาผู้เรียน ไม่เน้นการประเมินเพื่อตดั สินว่าผ้เู รียน มีผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ตามปกติ ไม่แยกการประเมินออกจากการจัดการเรียนรู้ และนำผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสูงขึ้น โดยที่การประเมิน

บทท่ี 5 การประเมินเชิงสรา้ งสรรค์ 237 อย่างต่อเนื่องมีลักษณะเป็นวงจรที่ต่อเนื่องกัน 4 ประการ ได้แก่ การวางแผน (Plan) การปฏบิ ัติ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการถอดบทเรียน (Lesson learned) แสดงได้ดงั แผนภาพตอ่ ไปน้ี แผนภาพ 5.8 วงจรการประเมินอยา่ งต่อเนื่อง การประเมินที่มีความต่อเนื่องช่วยทำให้ผู้สอนมีสารสนเทศทางการเรียนรู้ ของผู้เรียนที่จะสามารถนำไปปรับปรุงการจัดการเรียนรู้และการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ทางด้านวิชาการเป็นรายบุคคลตอ่ ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook