รวมท้ังบุคลากรและส่ิงอ่ืน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูผู้สอน ผู้บริหาร งบประมาณ การบริหารสนับสนุน การใชห้ ลักสตู รไดต้ ามจุดประสงค์ คณะบคุ คลที่ทำการตรวจสอบหลกั สตู ร ได้แก่คณะกรรมการยกร่างหลักสูตรผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการ ผู้เรียนและผู้ปกครอง ซึ่งควรจะได้มีบทบาทในการประชุมสัมมนาเพ่ือหา ประสิทธภิ าพของหลกั สูตร เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน เห็นคณุ ค่า เกิดการยอมรับ และมีทัศนคตทิ ่ีดีต่อ หลกั สูตรซึ่งเป็นสิง่ ท่ีสำคญั ในการจะนำหลกั สูตรไปใชต้ อ่ ไป 1.2) การวางแผนและทำโครงการศกึ ษานำร่อง การวางแผนและทำโครงการศึกษานำร่องเป็นสิ่งท่ีจำเป็นจะตรวจสอบคณุ ภาพความ เป็นไปได้ของหลักสูตรก่อนที่จะนำไปใช้ปฏิบัติจริง วิธีการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติประการแรกคือ เลือกตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายก่อนที่จะทำการใช้หลักสูตร จากน้ันแปลงหลักสูตรสู่กระบวนการเรียน การสอน พัฒนาวัสดุหลักสูตร เตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมในการใช้หลักสูตร จัดหาแหล่งบริการที่ สนับสนุนการใช้หลักสูตร งบประมาณ จัดสิ่งแวดล้อมท่ีจะสนับสนุนการสอนติดตามผลการทดลองท้ัง ระยะสั้นและระยะยาว รวมท้งั ศกึ ษาระบบการบริหารของโรงเรียนในปจั จุบันวา่ ระบบหลักสูตรจะเข้าไป ปรับใช้ให้เข้ากับระบบบริหารที่มีอยู่เดิมให้ผสมผสานกันได้อย่างไร โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ ระบบเดมิ 1.3) การประเมินโครงการศึกษานำรอ่ ง การประเมินโครงการศึกษานำร่องอาจจะกระทำได้หลายรูปแบบ เช่น การ ประเมินผลการเรียนจากผู้เรียน โดยการประเมินแบบย่อย และการประเมินรวมยอด การประเมิน หลักสูตรหรือการประเมินท้ังระบบการใช้หลักสูตร และปรับแก้จากข้อค้นพบ โดยประชุมสัมมนากับ ผู้เชี่ยวชาญและผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการใช้หลักสูตร เพื่อนำความคิดเห็นบางส่วนมาปรับปรุงหลักสูตรให้ สมบรู ณ์ยงิ่ ขน้ึ 1.4) การประชาสมั พันธห์ ลักสตู ร การเปล่ียนแปลงใด ๆ ก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อผู้ท่ีเก่ียวข้องเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การเปล่ียนแปลงหลักสูตรก็เช่นเดียวกัน ผู้ท่ีเก่ียวข้องนับต้ังแต่ผู้บริหารการศึกษา ศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการอำเภอ ผู้อำนวยการประถมศึกษาจังหวัดและอำเภอ ศึกษานิเทศก์ ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ ครูใหญ่ ครูผู้สอน ซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงท้ังสิ้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามแตก่ รณี ที่กล่าวเช่นน้ีกเ็ พราะหลักสตู รเก่ียวข้องกับส่ิงต่าง ๆ หลายอย่างไม่เฉพาะเร่อื งการเรยี นการ สอนเท่านั้นแต่ยังเก่ียวพันไปถึงวัสดุอุปกรณ์เครอื่ งมือเครือ่ งใช้ อาคารสถานที่ และงบประมาณค่าใช้จา่ ย ฯลฯ ส่ิงเหล่าน้ีเก่ียวข้องกับบุคคลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซ่ึงจะต้องปรับตัวแก้ไขวิธีการทำงานและ ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้การใช้หลักสูตรผลสำเร็จตามจุดหมายท่ีได้กำหนดไว้ ด้วยเหตุน้ีเขา เหล่าน้ันจึงจำต้องทราบว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น อันท่ีจริงการประชาสัมพันธ์ไม่ใช่ว่า จะมาเรม่ิ ตอนจัดทำหลักสตู รตน้ แบบเสร็จแลว้ แต่ควรเร่ิมตน้ ตงั้ แต่มีแผนการทจ่ี ะเปลีย่ นแปลงปรบั ปรุง หลักสูตรโดยให้ผู้เกยี่ วข้องได้ทราบเป็นระยะ ๆ วา่ ไดม้ ีการดำเนนิ การไปแลว้ แค่ไหนเพียงใด การประชาสัมพันธ์อาจไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การออกเอกสารส่ิงพิมพ์ การใช้ส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น นอกจากน้ีการประชุมและการประชุมและการสัมมนาก่ีคร้ัง เป็นเร่ืองที่จะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรให้ผู้เก่ียวข้องทราบก็คือสิ่งสำคัญท่ี เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชัยภูมิ 124
เปลย่ี นแปลงไปนนั้ คอื อะไร จะมปี ระโยชน์แกผ่ ้เู รียนและผู้เกี่ยวขอ้ งอยา่ งไร และจะมีผลตอ่ บทบาท 1.5) การเตรยี มบุคลากรที่เกี่ยวขอ้ ง การอบรมผู้บริหารและผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการใช้หลักสูตรต้องคำนึงและต้องกระทำ อย่างรอบคอบ นับแต่ขั้นเตรียมการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นที่นำมาใช้ในการวางแผน และวิธีการฝึก บุคลากร เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการใช้หลักสูตรซึ่งจะมีความแตกต่างของความพร้อมของใช้หลัก โรงเรียนในตัวเมืองขนาดใหญ่ย่อมมีความพร้อมหลายๆ ด้านมากกว่าโรงเรียนขนาดเล็กในชนบท และ บุคลากรฝ่ายต่าง ๆ เช่น ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ ครู กลุ่มผู้สนับสนุน รวมท้ังผู้ปกครอง วิธีการอบรม ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการอบรมและงบประมาณทใ่ี ชใ้ นแผนนี้ วิธีการฝึกอบรมจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมายของการใช้หลักสูตร เช่น ผู้บริหารและผู้ท่ีเก่ียวข้อง วิธีการอบรมจะมุ่งเน้นเก่ียวกับนโยบาย เจตนารมณ์ของหลักสูตรการจัด งบประมาณและบริการสนับสนุนการใช้หลักสูตรและการสอน วิธีการท่ีใช้ส่วนมากจะเป็นการประชุม ช้ีแจงสาระสำคัญและ แนวทางการปฏิบัติ เป็นต้น วิธีการท่ีใช้ส่วนมากจะเป็นมุ่งเน้นการประชุมเชิง ปฏิบัติการ เพราะการที่จะเขา้ ใจหลักสูตรจนสามารถปฏิบัติการสอนได้น้ันต้องลงมือฝึกปฏิบัติจรงิ ครูจึง จะเห็นภาพรวมและเกิดความม่ันใจในการสอน วธิ ีการฝึกอบรมแบบน้ีจะสน้ิ เปลืองงบประมาณและต้อง ใช้ระยะเวลานานพอสมควร ดังน้ันทรัพยากรต่าง ๆ การเตรียมวัสดุสำหรับการฝึกอบรม จะต้องมีการ วางแผนอยา่ งดเี พ่ือไม่ให้ครเู กิดความสับสนและไม่แน่ใจซ่ึงเป็นเหตุการณ์ไม่ยอมรับหลกั สูตรใหม่ตามมา นอกจากนั้นครูให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้ทราบผลของการฝึกอบรมปัญหาและแนวทางแก้ไข โดยให้ผู้ อบรมได้มีส่วนวางแผนการแก้ปัญหา และตัดสินใจ ส่ิงเหล่านี้จะช่วยให้ผลของการพัฒนาหลักสูตร ดำเนินไปสู่การปฏวิ ตั ิจริงได้มากขน้ึ 2) ขั้นดำเนินการใช้หลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้เป็นการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน การใช้หลักสูตรจะมงี านหลัก 3 ลกั ษณะ คือ 2.1) การบริหารและบริการหลักสตู ร หน่วยงานบริการหลักสูตรส่วนกลางของคณะ พฒั นาหลักสูตรมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรยี มบุคลากรเพ่ือใช้หลักสตู รและการบริหารและบริการ หลักสูตร ส่วนงานบริหารและบริการหลักสูตรในระดับท้องถิ่นซึ่งได้แก่โรงเรียนก็จะเกี่ยวข้องกับการจัด บคุ ลากรเข้าสอนตามความถนัดและความเหมาะสม การบรหิ ารและการบริการหลักสูตรในโรงเรยี น ได้แก่ 2.1.1) การจดั ครูเข้าสอนตามหลักสตู ร การจดั ครเู ขา้ สอน หมายถึง การจัดและ ดำเนินการเก่ียวกับการสรรหาและกลวิธีการใช้บุคลากรอย่างเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ความ สนใจ ความถนัดและประสบการณ์ รวมทั้งสามารถพัฒนาบุคลากรเพื่อให้มีความสามารถในการปฏิบัติ หนา้ ที่ และมีความรบั ผดิ ชอบต่อการงานอยา่ งมีประสิทธภิ าพ การจัดครูเขา้ สอนโดยหลักสูตรทั่วไปจะเป็นงานของหัวหน้าสถานศึกษาแต่ละแห่ง การรับครูเข้าสอนจำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด และประสบการณ์ ตลอดจนความสมัครใจของครูแต่ละคนด้วย ท้ังน้ีเพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรแต่ละคนมีโอกาสได้ใช้ศักยภาพ ของตนให้เปน็ ประโยชนต์ ่อการใชห้ ลักสตู รให้มากท่สี ุด 2.1.2) บริการพัสดุหลักสูตร วัสดุหลักสูตรท่ีกล่าวถึงนี้ได้แก่ เอกสารหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนทุกชนิดท่จี ัดทำข้ึนเพอ่ื ใหค้ วามสะดวก และช่วยเหลือครใู ห้สามารถใชห้ ลักสตู ร ได้อย่างถูกต้อง งานบริการหลักสูตรจึงเป็นภารกิจของหน่วยงานส่วนกลางซึ่งมีหน้าท่ีในการพัฒนา หลกั สูตรจึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานส่วนกลางซ่ึงผู้พัฒนาหลักสูตรจะต้องดำเนินการบริหารและบริการ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ชัยภูมิ 125
ส่อื หลกั สูตรให้มีประสิทธิภาพเพือ่ ให้ถึงมือผู้ใชใ้ นโรงเรียนแต่ละแห่งอยา่ งครบถ้วนและทันกำหนด 2.1.3) การบริหารหลักสูตรภายในโรงเรียน การจัดบริการหลักสูตรภายใน โรงเรยี น ได้แก่ การจัดสงิ่ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ แกผ่ ู้ใช้หลกั สูตร เช่น การบรหิ ารหอ้ งสอนวิชาเฉพาะ บริการเกี่ยวกับห้องสมุด สื่อการเรียนการสอน บรกิ ารเก่ียวกับเคร่ืองมือในการวัดผลและประเมินผลและ การแนะแนว เป็นต้น ผู้บริหารโรงเรียนควรอำนวยความสะดวกในการจัดทำหรือจัดหาแหล่งวิชาการ ต่าง ๆ รวมถงึ การใชป้ ระโยชน์จากบุคคลและหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ที่อยภู่ ายนอกโรงเรยี นอีกดว้ ย 2.2) การดำเนนิ การเรยี นการสอนตามหลักสตู ร 2.2.1) การปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพของท้องถ่ิน เนื่องจาก หลักสูตรท่ีร่างข้ึนมาเพื่อใช้กับประชากรโดยส่วนรวมในพ้ืนท่ีกว้างขวางทั่วประเทศน้ัน มักจะ ไม่ สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของท้องถ่ิน ดังนั้น เพื่อให้หลักสูตรมีความสอดคล้องกับ สภาพของสังคมในท้องถิ่น และสามารถสนองความต้องการของผู้เรียน ควรจะได้มีการปรับหลักสูตร กลางให้มีความเหมาะสมกับสภาพของท้องถน่ิ ท่ีใช้หลกั สูตรนน้ั ๆ 2.2.2) การจัดทำแผนการสอนอการจัดทำแผนการสอนเป็นการขยาย รายละเอียดของหลักสูตรให้ไปสู่ภาคปฏิบัติโดยการกำหนดกิจกรรมและเวลาไว้อย่างชัดเจน สามารถ นำไปปฏิบตั ไิ ด้ แผนการสอนควรจะแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คอื (1) แผนการสอนระยะยาว จัดทำเปน็ รายภาคหรือรายปี (2) แผนการสอนระยะสั้น นำแผนการสอนระยะยาวมาขยายเป็น รายละเอียดสำหรบั การสอนในแต่ละครงั้ - วางเป็นแนวทางในการสอน ซึ่งจะช่วยให้ความสะดวกแก่ครูผู้ใช้ หลกั สูตรสามารถดำเนินการสอนให้ได้ตามความม่งุ หมายของหลักสูตร - ให้ความสะดวกแก่ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ ในการช่วยเหลือ แนะนำและติดตามผลการเรียนการสอน - เป็นแนวทางในการสร้างข้อทดสอบเพ่ือประเมินผลการเรียนการ สอนเพื่อใหม้ ีการครอบคลมุ กับเน้ือหาสาระที่ได้สอนไปแลว้ จะเห็นได้ว่าแผนการสอนจะเป็นแนวทางในการใช้หลักสูตรของครู ถ้าหากไม่มี การจัดทำแผนการสอน การใช้หลักสตู รกจ็ ะเปน็ ไปอย่างไม่มจี ดุ หมายทำใหเ้ สยี เวลาหรือมีข้อบกพร่องใน การใชห้ ลักสูตรเป็นอยา่ งมากอนั จะสง่ ผลใหก้ ารบรหิ ารหลกั สตู รเกดิ ความล้มเหลว 2.2.3) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มีนักปราชญ์ทางด้างหลักสูตรหลาย คนได้ให้ความหมายของหลักสูตรว่า เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนชนิดต่าง ๆ ทีจ่ ัดโดยโรงเรียน ดังนั้น จึงถือว่า กิจกรรมการเรียนการสอนซ่ึงจดั ข้ึนโดยครูเพ่ือให้สนองต่อเจตนารมณ์ของหลักสูตรจงึ เป็นส่วน ของการนำหลักสตู รไปสูภ่ าคปฏบิ ัตโิ ดยแทจ้ ริง 2.2.4) การวัดและประเมินผลการเรยี นการสอน ในการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้น มีข้ันตอนหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ คือ การวัดและประเมินผล เพราะการวัดและ ประเมินผลจะได้ข้อมูลย้อนกลับท่ีสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการเรียนรู้ว่าบรรลุ ตามจุดประสงค์ของการสอนและความมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่ การวัดและประเมินผลการศึกษา เป็นกระบวนการต่อเน่ืองสัมพันธ์กับกระบวนการการเรียนการสอนซ่ึงจำเป็นต้องจัดให้เป็นระบบท่ี ชัดเจนเหมาะสมเพ่ือประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการเรียนการสอน อันเป็นส่วนสำคัญของการนำ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชยั ภมู ิ 126
หลักสูตรไปใช้ 2.3) การสนบั สนนุ และสง่ เสริมการใชห้ ลักสูตร 2.3.1) การจัดงบประมาณเพื่อการเรียนการสอนนั้นเป็นส่ิงจำเป็นและมี ความสำคัญมากสำหรับสถานศึกษาทุกระดับ ผู้บริหารโรงเรียนและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องต้องบริหารงาน งบประมาณของโรงเรยี นประจำปีการศกึ ษาหน่ึงๆ ใหม้ ีประสทิ ธิภาพสงู และยงั ประสิทธผิ ล 2.3.2) การใช้อาคารสถานท่ี เป็นส่ิงสนับสนุนการใช้หลักสูตรซ่ึงผู้บริหาร การศึกษาพึงตระหนักอยู่เสมอว่า อาคารสถานท่ี และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในสถานศึกษาย่อมเป็น สว่ นประกอบสำคญั ต่อการเรียนการสอน 2.3.3) การอบรมเพ่ิมเติมระหว่างการใช้หลกั สูตร ขณะที่ดำเนินการใช้หลักสูตร จะต้องศึกษาปัญหาและปรับแก้สิ่งต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพจริงและความเป็นไปได้ให้มากท่ีสุดเท่าที่จะ มากได้ ท้ังน้ีโดยไม่ให้เสียหลักการใหญ่ของหลักสูตรสิ่งท่ีครูต้องการมากท่ีสุดคือการฝึกอบรมเพ่ิมเติม เพื่อสร้างความพร้อมในการสอนของครูให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น การฝึกอบรมจะกระทำจากการ วเิ คราะห์ส่วนที่ขาดในบทบาทหน้าทข่ี องครู เก่ยี วกับการใชห้ ลักสูตร เพอื่ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ ความต้องการของสงั คมและทสี่ ำคญั ท่สี ดุ คือการเพิม่ พูนประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนการสอน 2.3.4) การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรภารกิจ เกี่ยวกับการจัดต้ังศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ส่วนกลางซ่ึงเป็นผู้พัฒนาหลักสูตร สามารถดำเนินการใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพในลักษณะใด ลักษณะหนงึ่ ซงึ่ พอจะเปน็ แบบอย่างใหแ้ ก่โรงเรียนอ่นื ๆ ได้ 3) ขนั้ ตดิ ตามและประเมินผลการใช้หลกั สตู ร 3.1) การนิเทศและการใช้หลักสูตรในโรงเรียน การนิเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งใน หนว่ ยงานทกุ แหง่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในวงการศกึ ษา เพอ่ื เป็นการช่วยปรบั ปรงุ การเรียนการสอน หลักสำคัญของการนิเทศ คือ การให้คำแนะนำช่วยเหลือไม่ใช่การตรวจสอบเพ่ือจับผิดแต่ประการใด โดยลักษณะเช่นนี้ ผู้นิเทศจำเป็นจะต้องสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีกับผู้รับการนิเทศ การ ดำเนนิ การนเิ ทศจะตอ้ งดำเนินไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตยและรว่ มมอื กัน 3.2) การติดตามและการประเมินผลการใช้หลักสูตร จะต้องมีการวางแผนไว้ให้ ชัดเจนว่าจะทำการประเมินส่วนใดของหลักสูตร ถ้าการวางแผนเก่ียวกับการประเมินไม่ชัดเจนเม่ือมี ความต้องการจะทำการประเมินในหัวข้อน้ันหรือส่วนน้ัน บางคร้ังอาจจะกระทำไม่ได้ต่อเน่ือง ดังนั้น การวางแผนเพ่อื การประเมนิ หลกั สูตรจะตอ้ งชัดเจน กระบวนการในการประเมินผลเพื่อควบคุมภาพของหลักสูตร ในแง่ของการปฏิบัติการ กระบวนการของการประเมินผลเพื่อควบคุมคุณภาพของหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ข้ันตอนคือ การ ตรวจสอบหาประสิทธิผลและความตกต่ำของคุณภาพของหลักสูตร การตรวจสอบหาสาเหตุของความ ตกต่ำของคุณภาพ และการนำวิธีการต่าง ๆ มาแก้ไขพรอ้ มท้ังตรวจสอบประสิทธิผลของวิธกี ารเหล่านั้น รายละเอยี ดของแต่ละขนั้ ตอน มดี งั น้ี 1) การตรวจสอบประสิทธิผลและความตกต่ำของคุณภาพของหลักสูตร วิธีการ ตรวจสอบเร่ิมด้วยการรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน (Basic Data) เพื่อใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลระหว่างการ ดำเนินการ ข้อมูลพ้ืนฐานน้ีควรเกบ็ รวบรวมในระหวา่ งท่ีนำหลกั สูตรไปทดลองในภาคสนาม ควรเก็บให้ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชยั ภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎชัยภมู ิ 127
ได้มากและหลากหลาย เราจะสรุปว่าคุณภาพของหลักสูตรต่ำลงก็ต่อเมื่อข้อมูลผลสัมฤทธิ์ในด้านต่าง ๆ ที่รวบรวมได้หลังจากการทดลองใช้ในภาคสนาม มีค่าต่ำกว่าข้อมูลที่รวบรวมได้จากการทดลองใช้ใน ภาคสนาม อย่างไรก็ตามส่ิงที่พึงระมัดระวังก็คือ ในการเก็บข้อมูลทั้งสองครั้งน้ันจะกระทำในสภาพท่ี ใกลเ้ คียงกันที่สดุ มิฉะน้ันแล้วจะนำข้อมูลทง้ั สองครงั้ มาเปรยี บเทยี บกนั ไม่ได้ 2) การตรวจสอบหาเหตุที่ทำให้คุณภาพตกต่ำ งานนี้เร่ิมขึ้นเม่ือได้มีการพบแล้ว ว่าคณุ ภาพของหลกั สตู รตกต่ำลง มสี มมุติฐานหลายเรอ่ื งท่อี าจนำมาใช้ในการค้นหาสาเหตุทส่ี ำคัญคือ 3) แก้ไขและตรวจสอบประสิทธิผลของวิธีการท่ีนำมาแก้ไข หลังจากท่ีได้ทราบ แล้วว่าความตกต่ำของคุณภาพหลักสูตรคือเรื่องอะไร และเกิดจากสาเหตุอะไรแล้วข้ันต่อไปขอ ง กระบวนการควบคุมคุณภาพก็คือการแก้ไข สำหรับการแก้ไขน้ีอาจทำได้หลายวิธีท้ังน้ีขึ้นอยู่กับสาเหตุ และปัญหาที่ทำให้คุณภาพตกต่ำ ในบางกรณีอาจใช้วิธีปรับปรุงวิธีการสอนและแก้ไขหลักสูตรบางส่วน เช่น ตัดทอนหรือเพ่ิมเติมเน้ือหาสาระแก้ไขวิธีสอนโดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้เล็กลง หรือให้มีการศึกษา ค้นคว้าด้วยตังเองมากข้ึน หรือร่นช่วงเวลาการทดสอบให้สั้นเข้า เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลจากผลการ สอบเร็วขน้ึ 6.4.6 เกณฑ์การประเมินคณุ ภาพหลักสตู ร การประเมินหลักสูตรมีเกณฑ์ท่ีใช้พิจารณาคุณภาพของการประเมินหลักสูตร มี 3 ด้าน ได้แก่ 1) เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) 2) เกณฑ์การนำไปปฏิบัติได้จริง (Practical Criteria) 3) เกณฑ์ความคุ้มค้า (Prudential Criteria) ซึ่งก่อนที่จะดำเนินการประเมิน หลกั สตู รตอ้ งมีการวางแผนการดำเนินการให้การประเมนิ หลกั สูตรมคี ณุ ภาพครอบคลุมท้ัง 3 ด้านโดยแต่ ละด้านมีสาระสำคญั ดังน้ี (วิชยั วงษใ์ หญ่, 2554, Brady, 1992 อา้ งใน มารตุ พัฒผล, 2556) 1. เกณฑ์ความเปน็ วิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) หมายถึง ความถูกตอ้ งและเชื่อถือ ได้ของการประเมินหลักสูตร 4 ประการ ได้แก่ 1) ความเที่ยงตรงภายใน (Internal Validity) 2) ความ เทีย่ งตรงภายนอก (External Validity) 3)ความเชือ่ มัน่ (Reliability) 4)ความเป็นปรนยั (Objective) 2. เกณฑ์การนำปปฏิบัติ ได้จริง (Practical Criteria) หมายถึง หลักการท่ีกำหนด ไว้เพื่อให้การประเมินหลักสตู รมีความเป็นไปได้จริงในระดับการปฏิบตั ิ 6 ประการ ไดแ้ ก่ 2.1 ความสอดคล้องกบั วตั ถุประสงคก์ ารประเมนิ (Relevance) 2.2 ความมคี ุณค่าและความสำคญั (Importance) 2.3 ความมีขอบเขต (Scope) 2.4 ความนา่ เช่อื ถือ (Credibility) 2.5 ความเหมาะสมของเวลา (Timelines) 2.6 การเผยแพร่ผลการประเมนิ (Pervasiveness) 3. เกณฑ์ความคุ้มค่า (Prudential Criteria) เป็นหลักการที่กำหนดไว้เพื่อให้การ ประเมินหลักสูตรมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ซ่ึงความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หมายถึง การประเมินหลักสูตรต้องใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด แต่ได้ผลการประเมินที่มีประโยชน์สูงสุด นำไปสกู่ ารปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลกั สูตรให้มีคุณภาพมากขน้ึ 6.4.7 ผู้ที่เกยี่ วขอ้ งกบั การนำหลักสตู รไปใช้ ในการนำหลักสตู รไปใช้ และบทบาทของบคุ คลท่ีเกยี่ วข้องกับการนำหลักสตู รไปใช้ดังน้ี เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 128
1) การใชห้ ลักสูตรโดยหนว่ ยงานส่วนกลางมีบทบาทอยา่ งเต็มที่ การใชห้ ลักสูตรใน รปู นี้หน่วยงานสว่ นกลางและส่วนทอ้ งถ่นิ จะมบี ทบาททส่ี ำคญั ดังนค้ี ือ บทบาทของหน่วยงานส่วนกลาง 1. กำหนดเปา้ หมายและจุดม่งุ หมายของหลกั สูตร 2. เตรียมโปรแกรมและหลักสูตรชนิดตา่ ง ๆ 3. ดำเนินการวิเคราะห์และผลของการใช้หลักสูตร 4. พิจารณาอนุญาตใหม้ กี ารเปลีย่ นแปลงโปรแกรมการเรยี นการสอน 5. ดำเนินการวัดและดำเนินผลการปฏิบัติงานการใช้หลักสูตรของ หน่วยงานระดับทอ้ งถน่ิ 2) บทบาทหน่วยงานสว่ นท้องถิ่น ทำหน้าท่ีให้ชว่ ยเหลือหน่วยงานสว่ นกลางในเร่อื ง การติดตามผลการใช้หลักสตู ร การใช้หลักสูตรโดยใหโ้ รงเรียนมีบทบาทอย่างเต็มที่ การใชห้ ลักสูตรแบบ นหี้ นว่ ยงานแต่ละระดับจะมีบทบาทท่ีสำคัญ บทบาทของหนว่ ยงานของท้องถิ่น 1. กำหนดจดุ มุ่งหมายของหลกั สูตร 2. พฒั นาโปรแกรมการเรยี นการสอนและสรา้ งผนู้ ำทางวชิ าการ 3. วเิ คราะหแ์ ละตดิ ตามผลการใชห้ ลกั สูตร 4. ดำเนนิ การปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเรยี นการสอน 3) บทบาทของบคุ ลากรในการนำหลกั สูตรไปใช้ กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นการพิจารนาถึงบทบาทของหน่วยงานส่วนกลางซ่ึงเป็น ผู้พัฒนาหลักสูตรกับหน่วยงานส่วนท้องถ่ินซ่ึงเป็นหน่วยงานผู้ใช้หลักสูตรว่า หน่วยงานทั้งสองแห่งมี บทบาทในการพัฒนาและการใช้หลักสูตรแตกต่างกันอย่างไรในแต่ละรูปแบบ สำหรับหัวข้อนี้จะ พิจารณาถึงบทบาทบุคคลต่าง ๆ ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรว่า บุคคลในตำแหน่งหน้าที่นั้น ๆ ควรจะมีบทบาทในการใชห้ ลกั สูตรในลักษณะใดดังต่อไปนี้ 1. ช่วยพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร และ ดำเนินการเรียนการสอนตามเจตนารมณข์ องหลักสูตร 2. ทำการนิเทศและตดิ ตามผลการใชห้ ลกั สตู รในหนว่ ยงานที่ใชห้ ลกั สตู ร 3. ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการใช้หลักสูตรโดยการ ให้บริการวสั ดุหลักสูตร และให้กำลังใจแกผ่ นู้ ำหลักสตู รไปใช้ บทบาทหน้าท่ขี องผบู้ รหิ ารในการใช้หลักสูตร บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในการนำหลักสูตรไป ใช้ควรมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้หลักสูตรด้วยภาระหน้าที่หลักของผู้ บริหาร สถานศึกษาอันได้แก่ งานบริหารและบริการหลักสูตร งานดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตร และ งานสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลกั สูตรให้มปี ระสิทธิภาพบรรลตุ ามจุดมุ่งหมายของหลกั สตู ร ผู้บริหาร ตอ้ งมีวิธกี ารในการควบคุมและสง่ เสรมิ การใชห้ ลักสตู รของบุคคลการในโรงเรยี น ดังน้ี 1. การส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจ ผู้บริหารจำเป็นจะต้องรับบทบาท ผู้นำการใช้หลักสูตร จะต้องมีการประชุมช้ีแจง ทบทวนการปฏิบัติตามหลักการ จุดหมายของหลักสูตร และจุดมุ่งหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ โดยผู้บริหารต้องมีการประชุมชี้แจงและปฏิบัติการ เตรียมการใช้หลักสูตรอยา่ งน้อยปีละ 1 ครัง้ ก่อนเริ่มปีการศึกษา รวมทง้ั ประชาสัมพนั ธห์ ลักสูตรใหม่ให้ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชัยภูมิ 129
ผู้ปกครองและผู้เรยี นได้ทราบ เพอื่ จะได้สง่ เสรมิ ใหก้ ารใช้หลักสูตรเกิดผลดยี ิ่งขึน้ 2. การบริการเก่ียวกับหลักสูตร เอกสารหลักสูตรประกอบด้วย เอกสารหลักสูตร คู่มือการใช้หลักสูตร คู่มือการวัดผลประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาต่าง ๆ และเอกสารอ่ืน ๆ ควรจัดไว้ในที่ท่ผี ู้สอนทุกคนสามารถนำไปใช้ได้สะดวก ในการให้บรกิ ารและการจดั ทำ วัสดุหลักสูตรน้ันผู้บริหารในฐานะผู้นำการใช้หลักสูตร ซึ่งนอกจากจะต้องทำความเข้าใจเก่ียวกับ หลักสูตรแล้วยังต้องทำหน้าท่ีในการบริหารหลักสูตรด้วย ในหน้าท่ีน้ีงานแรกและเป็นงานที่สำคัญก่อน เริ่มงานอย่างอื่น ๆ ก็คือ การหาวิธีการท่ีจะทำให้ผู้สอนและผู้เก่ียวข้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร กิจกรรมที่สามารถทำได้มีหลายวิธี เช่น อาจใช้วิธีช้ีแจงให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร อาจเรียกประชุม ชีแ้ จงหรือจดั บรรยาย อบรมหรือสัมมนาเกี่ยวกับความรู้ทางด้านหลักสตู รและแนวทางปฏบิ ัติ รวมตลอด ทงั้ การประชุมเชงิ ปฏบิ ตั ิในการแปลงหลกั สูตรไปสู่การสอน ดังน้ัน ผู้บริหารจึงต้องให้บริการและสนับสนุน ในการจัดให้มีการทำวัสดุ หลักสูตรด้วย ซ่ึงวัสดุประกอบหลักสูตรคือสิ่งต่างๆ ท่ีนำมาใช้ประกอบกับหลักสูตรเพื่อให้ผลของการ เรียนการสอนบรรลุถึงจุดหมายของหลกั สูตรประกอบด้วย 2.1 เอกสารประกอบหลักสูตร ได้แก่ หนังสือเรียน คู่มือการใช้ หลักสูตร คู่มือการวดั ประเมินผลการเรียน คู่มือการจัดกจิ กรรม คมู่ ือการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ คู่มือ การบริหารจัดการแนะแนว คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน คู่มือการบริหารหลักสูตรคู่มือผู้สอน คมู่ ือผู้ปกครอง และเอกสารอื่นทีใ่ ชป้ ระกอบหลักสตู ร 2.2 ส่ือการเรียนการสอน ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน หนงั สือสง่ เสริมการอา่ น หนงั สืออา่ นเพิม่ เติม แบบฝกึ บทเรียนสำเรจ็ รูป ใบงานและอปุ กรณ์การสอน บทบาทหัวหนา้ สาขาวิชา ควรจะดำเนินการส่งเสรมิ การใชห้ ลักสตู ร ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ศึกษารายระเอียดและทำความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรท่ีตนเอง รบั ผดิ ชอบอย่างชัดแจ้ง 2. ช่วยวางแผนและจัดทำแผนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักสตู รท่ี ตนเองรบั ผดิ ชอบ 3. จัดหาวัสดหุ ลักสูตร และส่ือการเรยี นการสอนและให้บริการแก่ครูคนอื่น ท่อี ย่ภู ายในสายเดยี วกัน 4. ดำเนินการนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตรท่ีอยู่ในความรับผิดชอบ ของตนเองสม่ำเสมอ 5. ประสานงานการใช้หลักสูตรกับหมวดวิชาอื่น หรือสายวิชาอื่นเพ่ือให้ การใช้หลกั สตู รภายในโรงเรียนเป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ บทบาทครูผู้สอน ในฐานะเป็นผใู้ ช้หลักสูตรโดยตรงมีส่วนท่ีจะช่วยสนับสนนุ ให้ การใช้หลักสตู รภายในโรงเรยี นมปี ระสิทธภิ าพดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรเพ่ือสร้างความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรที่ตนเองใช้อยู่ อย่างกระจา่ งชดั 2. ปรับปรุงหลักสูตรท่ีใช้อยู่ให้มีความเหมาะสมกับสภาพและความ ต้องการของท้องถิน่ 3. สอนใหถ้ กู ตอ้ งกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรท่ีใช้ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 130
4. พยายามคิดค้นหาวิธีการท่ีเหมาะสมหรือวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพและ นำมาใช้ 5. บุคลากรอื่น ๆ ภายในโรงเรียน นักเทคโนโลยีทางการศึกษา นักวัดผล และนกั แนะแนว ฯลฯ ตา่ งกม็ บี ทบาทในการสนบั สนนุ และสง่ เสริมการใชห้ ลกั สตู รโดยกระทำดงั นี้ - ปฏิบตั ิงานในหนา้ ท่ที ่ีตนเองรับผิดชอบอย่างเต็มที่ - ให้ความชว่ ยเหลือหรือบริการแก่ครูผู้ใช้หลักสตู รอย่างเต็มท่ี ถา้ หาก บุคลากรทุกผ่ายที่กล่าวมาท้ังหมดน้ีได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ ก็พอคาดการณ์ได้ว่าใช้ หลักสูตรจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีปัญหาเกิดข้ึนน้อยที่สุดอันจะช่วยใหก้ ารนำหลักสตู รไปใช้ ประสบความสำเรจ็ ตามจดุ มุง่ หมายทวี่ างไวไ้ ด้มากทส่ี ุด บทสรปุ การนำหลกั สูตรไปใชเ้ ปน็ การแปลงหลักสตู รไปสู่การสอน เป็นกระบวนการทเี่ กี่ยวข้องกับบุคคล หลายฝ่าย และเป็นกิจกรรมท่ีมีข้ันตอนการปฏิบัติหลายข้ันตอน วิธกี ารของกระบวนการนำหลักสูตรไป ใช้ น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรมีผู้กล่าวว่า แม้เราจะมีหลักสูตรดีแสนดี แต่ถ้านำ หลักสูตรไปใช้อย่างไม่ถูกต้องแล้วหลกั สูตรน้นั ก็ไมม่ ีประโยชนอ์ ะไร เพราะฉะนั้นผ้ทู ี่มหี น้าที่เก่ียวขอ้ งกับ การนำหลักสูตรไปใช้จะต้องศึกษาทำความเข้าใจกับการนำหลักสูตรไปใช้ตามบทบาทหน้าท่ีของตนให้ สมบรู ณ์ที่สดุ เพือ่ ให้การใช้หลักสูตรน้ันสัมฤทธิ์ผลตามจดุ มุ่งหมายที่กำหนดไว้ การประเมินหลักสูตรน้ันควรประเมินในประเด็นสำคัญคือ การประเมินเอกสารหลักสูตร การ ประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียนซึ่งหมายถึง การประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน คุณลักษณะผู้เรียนและพฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไปและการประเมินระบบ หลักสตู รเป็นการประเมินความสัมพันธ์กันขององค์ประกอบต่าง ๆ ท่มี ีอยู่ในระบบและกระบวนการของ หลักสูตร ส่วนระยะเวลาในการประเมินหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรได้เสนอไว้เป็น 4 ระยะ คือการ ประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร การประเมินหลัง การใช้หลักสตู ร และการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ การประเมินในแต่ละระยะนน้ั มีรปู แบบการประเมิน หลักสูตรท่ีไม่เหมือนกัน ซ่ึงนักพัฒนาหลักสูตรต้องเลือกใช้รูปแบบการประเมินท่ีเหมาะสมกับระยะการ ประเมิน การนำเสนอรูปแบบการประเมนิ หลักสูตรของนักพัฒนาหลักสูตรไว้ 5 รูปแบบคือ รปู แบบการ ประเมินของไทเลอร์ แฮมมอนด์ และ ครอนบัค ซึ่งทั้งสามแนวคิดนี้เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรท่ี เน้นการนำเอาเป้าประสงค์ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมาเป็นประเด็นในการประเมิน รูปแบบประเมิน ของโรเบริท์ สเตท เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่เน้นการใช้เกณฑ์เป็นหลัก การประเมิน กระบวนการต่าง ๆ ทช่ี ่วยในการดำเนนิ การใชห้ ลักสตู รให้บรรลุวตั ถุประสงค์ เป็นไปตามเกณฑ์ทีก่ ำหนด ไว้หรือไม่ ส่วนรูปแบบการประเมินหลักสูตรของแดเนียล สตัฟเฟิลบีม เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้น การตรวจสอบเปรียบเทียบข้อมูลที่เกิดจากการดำเนินงานหรือปฏิบัติงานจริงของการใช้หลักสูตรกับ เกณฑ์มาตรฐานท่กี ำหนดไวก้ ่อนผลการประเมินหลักสูตร จะมีความนา่ เชื่อเพียงใดขึ้นอยูท่ ี่เกณฑ์สำหรับ การใช้พิจารณาตัดสินใจการประเมินหลักสูตรซึ่งประกอบด้วย 1) เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) ซ่ึงเน้นความถูกต้องและเชื่อถือได้ของการประเมินหลักสูตร 2) เกณฑ์การนำไป ปฏิบัติได้จรงิ (Practical Criteria) เน้นหลกั การท่ีกำหนดไวเ้ พ่ือให้การประเมินหลักสตู รมีความเป็นไปได้ จริงในระดับการปฏิบัติและ 3) เกณฑ์ความคุ้มค่า (Prudential Criteria) เป็นหลักการที่ก าหนดไว้ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชยั ภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภมู ิ 131
เพ่อื ใหก้ ารประเมนิ หลักสตู รมีประสทิ ธิภาพและเกิดประโยชนส์ ูงสดุ แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 1. การนำหลักสูตรไปใช้ จะต้องพจิ ารณาในประเดน็ สำคญั ใดบา้ ง 2. จงอธบิ ายจุดมงุ่ หมายของการประเมนิ หลักสูตร 3. จงเขียนอธบิ ายลกั ษณะสำคญั ของการประเมนิ หลกั สูตรตามแนวคิดตนเอง 4. จงเขยี นอธิบายระยะเวลาในการประเมนิ หลกั สตู รพรอ้ มระบุวตั ถุประสงค์ในแตล่ ะระยะใหเ้ หน็ 5. จงยกตวั อยา่ งวิธกี ารประเมนิ หลกั สตู รในระยะของการนำหลกั สตู รไปใช้ตามที่ตนเข้าใจ 6. จงเขยี นผงั กราฟฟกิ รูปแบบการประเมนิ หลกั สูตรท่ีตนเองสนใจอยา่ งน้อย 3 รูปแบบ 7. จงเขียนเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างรูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์กับของ โรเบิร์ท สเตค 8. จงเขียนสรปุ เกณฑก์ ารประเมนิ คณุ ภาพหลกั สตู รพรอ้ มยกตัวอยา่ งประกอบ 9. จงยกตวั อย่างวิธีการและเคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ หลักสูตรหลักการใช้หลกั สูตร 10. ในสถานการณ์ที่นักศึกษาได้รับหน้าท่ีให้ทำการประเมินหลักสูตรแกนกลางการศึกษา พุทธศักราช 2551 ใน รายวิชาหน้าท่ีพลเมือง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม นักศึกษาจะเลือกรูปแบบการประเมินหลักสูตรของใคร พร้อมท้ังเขียนเหตุผลและอธิบายข้ันตอนการ ประเมิน เอกสารอา้ งองิ ชวลิต ชกู ำแพง. (2553). การวจิ ัยหลกั สูตรและการสอน. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. มหาสารคาม: สำนักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ชัยวัฒน์ สุทธริ ัตน.์ (2556). การพัฒนาหลกั สูตร ทฤษฎีสู่การปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพมหานคร: วีพรินท์. ทศิ นา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอน: องค์ความร้เู พอ่ื การจัดกระบวนการเรียนรูท้ ่ีมี ประสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพมหานคร: สำนกั พมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ธำรง บัวศรี. (2514). ทฤษฎีหลักสูตรภาค 2. พระนคร: มงคลการพมิ พ์. _______. (2531). ทฤษฎีหลักสตู ร: การออกแบบและพัฒนา. กรุงเทพฯ: เอราวณั การพิมพ์. _______. (2542). ทฤษฎีหลักสตู ร: การออกแบบและพัฒนา. พิมพค์ ร้ังท่ี 2 กรุงเทพมหานคร: สำนกั พมิ พ์พฒั นาศึกษา. เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 132
บุญชม ศรสี ะอาด. (2546). การพัฒนาหลักสตู รและการวิจยั เก่ียวกับหลักสูตร. กรงุ เทพมหานคร: สวุ ีริยาสาสน.์ มารุต พัฒผล. (2556). การประเมินหลกั สูตรเพื่อการเรยี นรูแ้ ละพฒั นา. พมิ พ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : จรัลสนทิ วงศก์ ารพมิ พ์ จำกัด. รจุ ริ ์ ภสู่ าระ. (2545). การพฒั นาหลกั สูตร: ตามแนวปฏิรปู การศกึ ษา = Curriculum Development : Education Reform. กรงุ เทพมหานคร : บริษทั บุ๊ค พอยท์ จำกัด. _______. (2546). การพฒั นาหลักสูตร : ตามแนวปฏิรปู การ การ = Curriculum Development : Education Reform. พิมพ์คร้งั ท่ี 2 กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั บ๊คุ พอยท์ จำกดั . วิชัย ดสิ สระ. (2535). การพัฒนาหลกั สตู รและการสอน. กรงุ เทพมหานคร : สุวรี ยิ าสาสน.์ วชิ ยั วงษ์ใหญ.่ (2521). พฒั นาหลกั สูตรและการสอน. ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร. _______. (2523). พัฒนาหลักสูตรและการสอน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพร์ งุ่ เรืองธรรม. _______. (2537). กระบวนการพฒั นาหลักสูตรและการเรียนการสอน ภาคปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพมหานคร : สวุ รี ยิ าสาสน.์ _______. (2554). การพฒั นาหลกั สูตรระดบั อุดมศกึ ษา. พมิ พค์ รั้งท่ี 2 กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท อาร์ แอนด์ ปริ้นท์ จำกดั ศศธิ ร ขนั ตธิ รางกูร.(2554). หลกั สตู รและการพฒั นาหลักสูตร. เลย : มหาวิทยาลยั ราชภฏั เลย. โครงการจัดทำตำราและงานวจิ ัยเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั มหาวิทยาลยั ราชภฏั กลมุ่ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ. ศริ ชิ ยั กาญจนวาส.ี (2552). ทฤษฎกี ารทดสอบแบบดั้งเดิม. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 6. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . สงัด อทุ รานนั ท.์ (2532). พืน้ ฐานและการพฒั นาหลกั สูตร. พมิ พ์คร้งั ท่ี 3 กรงุ เทพมหานคร : มติ รสยาม สมหวัง พธิ ยิ านวุ ฒั น์, (2540). รวบรวมบทความทางการประเมินโครงการ. พมิ พค์ รั้งท่ี 5 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สันต์ ธรรมบำรุง. (2527). หลักสูตรและการบรหิ ารหลักสูตร. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. สมุ ิตร คุณากร. (2520). หลักสูตรและการสอน. พมิ พ์ครงั้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ชวนชม. อัญชลี สารรัตนะ.(2547). เอกสารคำสอน วิชา 211722 : การประเมินหลกั สูตร (Curriculum Evaluation). ขอนแก่น : สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. APEID. (1977). Lmplenting curriculum : A Symposium of Experience from The Asian Region. Bangkok; UNESSCO Regional Office Education in Asia. Beauchamp,G.A (1975). Curriculum Thoery. 3th ed. Illinois. F.E. Peacook. Publisher. Bloom , B.S. (1972). Taxonomy of Education Objective Handbook 1 : Cognitive Domain. New York : David Mckay Company Inc. Chandra. Arvinda. (1977). Curriculum Development and Evaluation in Education. New delhi : Sterling Publishers Private Ltd. เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎชัยภูมิ 133
Gagne, R.W. (1967). “Curriculum Research and the Promotion of Learning” in Area Monograph Series on Curriculum Evaluation. No.1, Perspective of Curriculum Evaluation, Chicago : Rand Mcnally & Co. Guba, E. G. (1990). The alternative paradigm dialog. In E.G. Guba (Ed.). The Paradigm Dialog. (pp.45-57) Newbury Park, CA: Sage. Marsh, Collin. And Willis, George (1995). Curriculum Alternative Approaches, Ongoing Issues. New York: Simon & Schuster Company. McNeil, John D. (1981). Curriculum : A Comprehensive Introduction. Boston : Little, Brown and Company. Oliva, P.F. (2009). Developing the Curriculum (7th ed.). Boston: Allyn and Bacon. Pratt, (1980). Curriculum : Design and Development. New York : Harcourt, Brace Jovanovich. Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York : Harcourt, Brace And World. Tankard, G. G. (1974). Curriculum lmprovement. West Nyack New York : Parker Publishing. Tyler,R.W. (1950). Basic Principles of Curriculum and Instruction : Syllabus for Education 305. Chicago : University Chicago Press. Verduin, John R. (1977). Cooperative Curriculum Improvement. New York: Prentice Hall. Werdelin, I.(1977). “The Feasibility of an Education Plan” in Manual of Education Planning : Evaluation. Linkoping, School of Education, Department of Education Linkoping University. Worthen, B. R. & Sanders, J.R. (1973). Educational Evaluation: Theory and Practice. Ohio: Charles A. Jones Publishing Company เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชยั ภูมิ 134
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 7 รปู แบบการประเมินหลักสตู ร หัวขอ้ เน้ือหาประจำบท 7.1 ความหมายของการประเมินหลกั สตู ร 7.2 จดุ มุ่งหมายของการประเมนิ หลกั สูตร 7.3 ลักษณะสำคัญของการประเมินหลกั สตู ร 7.4 ระยะเวลาในการประเมินหลักสูตร 7.5 รปู แบบการประเมินหลักสตู ร 7.6 เกณฑ์การประเมนิ คุณภาพหลกั สตู ร บทสรปุ แบบฝึกหัดทา้ ยบท เอกสารอ้างองิ วตั ถปุ ระสงค์ เม่อื ผเู้ รยี นศึกษาบทเรยี นนแี้ ลว้ สามารถ 1. วิเคราะห์และบอกความหมายของการประเมินหลกั สูตรได้ 2. วิเคราะห์จุดมงุ่ หมาย ลักษณะและระยะเวลาของการประเมินหลักสตู รได้ 3. เขียนผงั กราฟฟิกสรปุ ความร้เู กยี่ วกับความหมาย จดุ มงุ่ หมาย ลกั ษณะและระยะเวลา ของการประเมินหลกั สตู รได้ 4. วเิ คราะห์และอธบิ ายขนั้ ตอนการประเมินหลกั สตู รของแตล่ ะรปู แบบได้ 5. วิเคราะหล์ ักษณะเด่นและข้อจำกัดของการประเมินหลกั สูตรแตล่ ะรูปแบบได้ 6. วิเคราะห์เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งและความเหมือนของรูปแบบการประเมินหลักสูตรได้ 7. วิเคราะหว์ ธิ ีการและเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการประเมนิ หลกั สูตรแตล่ ะระยะได้ 8. อธบิ ายและยกตวั อย่างเกณฑ์การประเมนิ คุณภาพหลักสูตรได้ วิธีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วิธสี อน 1.1 วธิ ีสอนแบบอภปิ ราย 1.2 วิธสี อนแบบบรรยาย 1.3 วธิ สี อนแบบกลุม่ เรียนรู้ 2. เทคนคิ การสอน 2.1 การใช้คำถาม 2.2 การใช้ผังกราฟฟิก 2.3 กระบวนการกลมุ่ 2.4 การจัดนทิ รรศการ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ชัยภูมิ 134
3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ขั้นนำ 3.1 ผูส้ อนนำข่าวท่ีเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตร ให้นกั ศึกษาอ่าน แล้วแสดงความคดิ เห็น เกีย่ วกับขา่ ว 3.2 ผูส้ อนเชือ่ มโยงเนื้อหากับบทเรยี น พรอ้ มแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ นำเสนอเนื้อสาระ กิจกรรมการเรยี นร้แู ละช้ินงานทจี่ ะเกิดขนึ้ ในการเรียนรู้ครัง้ นี้ด้วย Power Point ขั้นสอน 3.3 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับ ความหมายของการประเมินหลักสูตร จุดมุ่งหมายของการ ประเมินหลักสูตร ลักษณะของการประเมินหลักสูตร ระยะเวลาในการประเมินหลักสูตร รูปแบบการ ประเมนิ หลักสูตร และเกณฑ์การประเมนิ คุณภาพหลักสตู ร ดว้ ย Power Point 3.4 ผู้สอนซักถามในประเด็นสำคัญพร้อมให้นักศึกษาสรุปความรู้ ในรูปแบบของผัง กราฟฟิก (ความหมาย และระยะเวลาของจดุ มงุ่ หมาย ลกั ษณะ การประเมิน) โดยการศึกษาเพิ่มเติมด้วย การสืบค้นจากเอกสารประกอบการสอน Internet ดว้ ย Smart Phone หรือ Tablet 3.5 นักศึกษาเข้ากลุ่ม ๆ ละ 3-4 คน เลือกประเดน็ ท่ีกลุ่มสนใจและร่วมวิเคราะห์และสรุป องคค์ วามรู้ (กรอบในการศึกษาได้แก่ แนวคิด วธิ ีการและเคร่ืองมอื ประเมิน) ดังนี้ กลุ่มที่ 1 รปู แบบการประเมินหลกั สตู รของ ไทเลอร์ กลุ่มท่ี 2 รปู แบบการประเมนิ หลักสูตรของ แฮมมอนด์ กลุ่มท่ี 3 รูปแบบการประเมนิ หลักสูตรของ ครอนบคั กลมุ่ ที่ 4 รูปแบบการประเมินหลักสตู รของ โรเบริท สเตล กลุ่มท่ี 5 รปู แบบการประเมนิ หลักสูตรของ สตัฟเฟิลบีม ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน และ Internet ผ่าน Smart phone หรือ Tablet 3.6 ผู้สอนและนักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์แนวคิดความเหมือนความต่างของรูปแบบการ ประเมนิ หลกั สตู ร 5 รูปแบบ พร้อมสรปุ ผทู้ ีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการประเมนิ หลักสตู ร 3.7 นักศึกษาแต่ละกลมุ่ อ่านกระบวนการประเมินหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ.2560) โดยนำความรู้เร่ืองรูปแบบการประเมินหลักสูตรมาวิเคราะห์ พร้อมนำเสนอหนา้ ชัน้ 3.8 นักศึกษาเชื่อมโยงวิธีการประเมินตามรูปแบบการประเมินท่ีเรียนผ่านมากับวิธีการ ประเมินหลกั สูตรของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 พรอ้ มร่วมกนั วพิ ากษ์ ขน้ั สรปุ 3.9 ผู้สอนสรุปประเด็นสำคัญของปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตรด้วย Power Point พรอ้ มซกั ถาม 3.10 นักศกึ ษาทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท สอื่ การเรยี นร้/ู แหลง่ เรยี นรู้ 1. เอกสารคำสอนวิชา การพฒั นาหลักสูตร 2. PowerPoint หัวข้อท่ีบรรยายเรื่อง ความหมายของการประเมินหลักสูตร จุดมุ่งหมายของ การประเมินหลักสูตร ลักษณะสำคัญของการประเมินหลักสูตร ระยะเวลาในการประเมินหลักสูตร เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชัยภมู ิ 135
รปู แบบการประเมินหลกั สตู ร และเกณฑ์การประเมนิ คณุ ภาพหลกั สูตร 3. หนงั สือความรูท้ ี่เก่ยี วขอ้ งกับ รูปแบบการประเมนิ หลักสูตร 4. เวบ็ ไซต์ทางการศกึ ษา รูปแบบการประเมินหลักสตู ร 5. บทเรียนออนไลน์ รายวชิ า การพฒั นาหลกั สูตร การวัดผลและการประเมินผล 1. สังเกตการตอบคำถามและต้งั คำถาม 2. สังเกตจากการอภิปราย ซักถาม และการแสดงความคดิ เหน็ 3. วดั เจตคติจากการสงั เกตพฤติกรรมความกระตือรือรน้ ในการทำงาน 4. กิจกรรมและคณุ ภาพของงาน 5. ประเมนิ ผลจากการทำแบบฝึกหดั ท้ายบท เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎชยั ภมู ิ 136
บทที่ 7 รปู แบบการประเมินหลกั สตู ร บทนำ การประเมินหลักสูตร มีความสำคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนาคุณภาพของหลักสูตรเพราะการ ประเมินหลักสูตร เป็นการพิจารณาตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรท่ีได้รับการออกแบบ พัฒนาข้ึนและค้นหาข้อบกพร่องของหลักสูตรว่ามีส่วนใดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขเม่ือมีการป ระเมิน ตรวจสอบหลักสูตรแล้วจะสามารถตอบคำถามได้ว่าหลักสูตรที่พัฒนาข้ึนนั้น สามารถนำไปใช้ได้ดีจริง หรือไม่เพียงใดและผลท่ีเกิดข้ึนจากการใช้หลักสูตรน้ันจะเป็นอยา่ งไร บรรลุตามจุดหมายของหลักสูตรท่ี กำหนดไว้หรือไม่ ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินหลักสูตรน้ีจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาปรับปรุง หลกั สตู รใหม้ คี ณุ ภาพสงู ขน้ึ ในบทนี้จงึ กลา่ วถึงระบบการประเมนิ หลกั สูตร 7.1 ความหมายของการประเมินหลกั สูตร วชิ ัย วงษ์ใหญ่ (2523: 192) ให้ความหมาย “การประเมินหลักสูตร ว่าเป็นการพิจารณาคุณค่า ของหลักสูตรโดยอาศัยการรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลจากการวัดในแง่มุมต่าง ๆ ของสิ่งที่ประเมินเพ่ือ นำมาพิจารณาร่วมกัน และสรุปว่าจะให้คุณค่าของหลักสูตรท่ีพัฒนาขึ้นมานั้นเป็นอย่างไร มีคุณภาพดี หรอื ไม่เพียงใดหรือไดผ้ ลตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกำหดหรือไม่ มีสว่ นใดท่จี ะตอ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ข” สงัด อุทรานันท์ (2532: 279) สรุปว่าการประเมนิ หลักสูตรจะทำให้รคู้ ุณค่าของหลักสูตรว่าเป็น อย่างไร สามารถจะนำไปใช้ได้ดีเพียงใด ผลท่ีได้จากการใช้หลักสูตรเป็นอย่างไร ซ่ึงข้อมูลที่ได้จากการ ประเมนิ หลักสตู รจะเป็นประโยชน์ตอ่ การปรับปรุงหลักสตู รใหม้ ีคุณคา่ สงู ข้นึ รุจริ ์ ภ่สู าระ (2545: 143) ใหค้ วามหมายของการประเมนิ หลกั สูตรวา่ หมายถึงประเดน็ ต่อไปนี้ 1. การวัดผลการปฏิบตั ขิ องผ้เู รียนตามจดุ ประสงคท์ ก่ี าหนดไว้ในเชิงปริมาณ 2. การเปรยี บเทียบพฤติกรรมการปฏบิ ัตขิ องผเู้ รยี นกบั มาตรฐาน 3. การอธิบายและการตดั สนิ ใจเกี่ยวกบั หลักสตู ร 4. การอธิบายการตัดสินใจเกยี่ วกบั หลักสูตร และการเลือกการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเก่ียวกบั การตดั สินใจเร่ืองหลักสตู ร 5. การใช้ความรเู้ ก่ยี วกับวชิ าชีพในการตัดสินใจเกี่ยวกับการนำหลักสตู รไปใช้ของหลักสตู ร ต่อผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด หลักสูตรสามารถพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้จริงหรือไม่ ซ่งึ ข้อมลู การประเมนิ หลักสูตรจะไปสู่การตัดสินใจท่ีจะปรบั ปรุงแกไ้ ขหลักสูตรให้มีคณุ ภาพสงู ขน้ึ สรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรเป็นการพิจารณาคุณค่าของหลักสูตรต่อผู้เรียนว่ามีมากน้อย เพยี งใด หลักสูตรสามารถพฒั นาผู้เรยี นให้บรรลุจดุ มุ่งหมายได้จริงหรอื ไม่ ซึ่งข้อมูลการประเมินหลักสูตร จะนำไปสกู่ ารตัดสินใจทจี่ ะปรับปรงุ แก้ไขหลกั สูตรใหม้ ีคณุ ภาพสูงขึน้ 7.2 จดุ มงุ่ หมายของการประเมินหลักสูตร นกั วชิ าการท่ีมชี ่อื เสยี งในสาขาหลักสูตรหลายท่านกล่าวถงึ จดุ มุ่งหมายของการประเมินหลกั สตู ร ไว้ในลักษณะต่าง ๆ ดงั น้ี วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537: 218-219) กล่าวว่า การประเมินหลักสูตรโดยท่ัว ๆ ไปจะมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ 1. เพ่ือหาคุณค่าของหลักสูตร โดยตรวจสอบดูว่าหลกั สูตรทพี่ ัฒนาขึ้นมานนั้ สามารถบรรลุ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 137
ตามวัตถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ 2. เพื่อวัดผลดูว่าการวางเค้าโครงและรูปแบบระบบของหลักสูตร รวมท้ังวัสดุประกอบ หลักสูตร การบรหิ ารและบรกิ ารหลักสตู รเป็นไปในทางทถ่ี กู ตอ้ งแลว้ หรือไม่ 3. การประเมินผลจากผู้เรียนเอง หรือการประเมินผลผลิตเพ่ือตรวจสอบดูว่ามีลักษณะท่ี พึงประสงค์ เป็นไปตามจดุ มุง่ หมายของหลกั สูตรหรือไม่เพียงใด ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539: 192) กล่าวว่า โดยทั่วไปการประเมินหลักสูตรใด ๆ ก็ตามจะมี จดุ มุ่งหมายสำคญั ทีค่ ล้ายคลึงกันดังน้ี คอื 1. เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขส่ิงบกพร่องท่ีพบในองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร การ ประเมินผลในลักษณะนี้มักจะดำเนินในช่วงการพัฒนาหลักสูตรยังคงดำเนินอยู่ เพ่ือที่จะพิจารณาว่า องค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร เช่น จุดหมาย โครงสร้าง เนื้อหา การวัดผล เป็นต้น ว่ามีความ สอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่ สามารถนำมาปฏิบัติในช่วงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้หรือในขณะที่ การใช้หลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนกำลังดำเนินอยู่มากน้อยเพียงใดหรือได้ผลเพียงใด และมี ปัญหาอุปสรรคอะไร จะได้เป็นประโยชน์แก่นักพัฒนาหลักสูตรและผู้ที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุง เปลีย่ นแปลงองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสตู รใหม้ ีคุณภาพดขี น้ึ ไดท้ ันท่วงที 2. เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร การนิเทศกำกับดูแลการจัด กระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึน้ การประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินการในขณะท่มี ี การนำหลักสูตรไปใชจ้ ะได้ช่วยปรับปรงุ หลกั สูตรให้บรรลุเป้าหมายทีว่ างไว้ 3. เพ่ือช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปอีกหรือควรยกเลิกการใช้ หลักสูตรเพียงบางส่วน หรือยกเลิกท้ังหมด การประเมินผลในลักษณะน้ีจะดำเนินการหลังจากที่ใช้ หลักสูตรไปแล้วระยะหน่ึงแล้วจึงประเมินสรุปผลตัดสินใจว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ดี บรรลุตาม เป้าหมายท่ีหลักสูตรกำหนดไว้มากน้อยเพียงใด สนองความต้องการของสังคมเพียงใด และเหมาะสมกับ การนำไปใช้ตอ่ หรอื ไม่ 4. เพ่ือต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของหลักสูตรว่า มีการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมไปตามความมุ่งหวังของหลกั สูตรหลังจากผ่านกระบวนการทางการศึกษามาแล้วหรอื ไม่ อยา่ งไร การประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินการนำหลักสูตรไปใช้หรือหลังจากท่ีใช้หลักสูตรไป แล้วระยะหน่งึ ทาบา (Taba. 1962: 310) กล่าวว่า การประเมนิ ผลหลกั สูตร กระทำขึน้ เพอื่ ศึกษากระบวนการ ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดบ้างท่ีสอดคล้องหรือขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ทางการศึกษา ซ่ึงการประเมิน ดังกล่าวจะครอบคลุมเนื้อหาท้ังหมดของหลักสูตรและกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซ่ึงได้แก่ จุดประสงค์ขอบเขตของเน้ือหาสาระ คุณภาพของผู้บริหารและผู้ใช้หลักสูตร สมรรถภาพของ ผู้เรียน ความสัมพนั ธข์ องวชิ าต่าง ๆ การใช้สือ่ และวสั ดกุ ารสอน ฯลฯ แมคนีล (Mcneil. 1981: 153) กลา่ วว่า การประเมนิ หลกั สูตรมีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื ใช้เป็นเครือ่ งมือ ประกอบการตัดสินในการเลือกหลักสูตร เพ่ือนักพัฒนาหลกั สตู รได้รู้วา่ ควรจะปรับปรุงหลักสตู รตรงไหน และอย่างไร และเพื่อให้ครูใช้หาคำตอบเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนสรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตร เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างหนึ่งของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งการประเมินหลักสูตรจะทำให้ทราบ คณุ ภาพของผ้เู รียนซึ่งเป็นผลผลติ ของหลักสตู รว่ามีคณุ ลกั ษณะตามจดุ มุง่ หมายของหลกั สูตรหรอื ไม่ และ ผลการประเมินหลักสูตรนี้จะนำไปสู่การตัดสินใจของผู้เก่ียวข้องในการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือใช้ในการ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชัยภูมิ 138
ปรบั ปรงุ แกไ้ ข หรืออาจจะเปล่ยี นแปลงหลกั สูตร 7.3 ลักษณะสำคญั ของการประเมนิ หลักสูตร นักการศึกษาได้เสนอแนะการประเมินหลักสูตรในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมการประเมิน เอกสารหลักสูตร การประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียนและการ ประเมินระบบหลักสตู รดงั นี้ สงดั อทุ รานนั ท์ (2532: 279-280) เสนอว่าการประเมนิ หลักสตู รควรทำให้ครอบคลมุ ระบบของ หลักสูตรทั้งหมดและควรประเมินให้ต่อเน่ืองกัน ดังน้ันการประเมินหลักสูตรจึงควรประเมินทั้ง 4 ประเด็นสำคัญ คือการประเมินเอกสารหลักสูตร การประเมินการใช้หลักสูตร การประเมินสัมฤทธิผล ของหลักสตู ร และการประเมนิ ระบบหลกั สูตร ซ่งึ มรี ายละเอียด ดงั นี้ 1. การประเมินเอกสารหลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ของ หลักสูตร เช่น จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง เน้ือหาวิชา กิจกรรม และการวัดประเมินผล เป็นต้น ซ่ึงมักจะ ประเมินคุณค่าของเอกสารหลักสูตรในประเด็นตา่ ง ๆ ได้แก่ ความชัดเจน ความสอดคลอ้ งท้ังในแง่ความ สอดคล้องภายในหลักสูตรและความสอดคล้องภายนอกหลักสูตร ความครอบคลุมความซ้ำซ้อน ความ เหมาะสม และความทันสมัย โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และใช้วิธีให้ผู้รู้ ผ้เู ช่ียวชาญหรอื ผทู้ ีเ่ กี่ยวขอ้ งประเมนิ 2. การประเมินการใช้หลักสตู ร เป็นการประเมินในส่วนท่ีเกี่ยวกับการนำเอกสารหลักสูตร ไปใช้เพ่ือศึกษาดูว่าได้ดำเนินการไปตามวิธีการและข้อกำหนดต่าง ๆ ท่ีให้ไว้ในหลักสูตรหรือไม่ เพียงใด การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรทำอย่างไร รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการนำหลักสูตรไปใช้ วธิ ีการประเมินอาจใช้การสังเกต สัมภาษณ์ การตอบแบบสอบถามของผู้ใช้หลักสูตร ได้แก่ ครู นกั เรียน และผปู้ กครองของนกั เรยี น เป็นต้น 3. การประเมินผลสัมฤทธ์ิของหลักสูตร เป็นการประเมินในส่วนท่ีเป็นผลผลิตที่ได้จาก หลักสูตรซ่ึงประกอบด้วย สัมฤทธ์ิผลของนักเรียนท้ังด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น ความรู้ ความสามารถในเนอ้ื หาวชิ า บุคลิกลักษณะ พฤติกรรมทางดา้ นศลี ธรรมจรรยา เปน็ ตน้ 4. การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมนิ หลักสูตรท้ังระบบพร้อมกันไปไม่ว่าจะเป็น เอกสารหลักสูตร การใช้หลักสูตร สัมฤทธิผลของนักเรียน และสิ่งที่เอ้ืออำนวยต่อการเรียนการสอน ทั้งหมด เชน่ การบรหิ าร การจัดสภาพแวดล้อม วสั ดุอุปกรณ์ อาจารย์ นกั เรียน และเจ้าหน้าทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์ (2539: 193) สรปุ วา่ การประเมนิ หลกั สูตรนนั้ ควรทำให้ครอบคลุมระบบ ของหลักสูตรทั้งหมดและควรจะประเมินให้ต่อเน่ืองเป็นระยะ ๆ เพ่ือลดปัญหาอันเน่ืองมาจาก ข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของหลักสูตรท่ีอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัยและในระยะเวลาต่างกันการ ประเมนิ หลักสตู รตามเวลาและจุดม่งุ หมายของการประเมนิ จึงแบง่ ออกเป็น 3 ระยะ ดงั นี้ ระยะท่ี 1 การประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินตรวจสอบความ เป็นไปได้ของหลักสูตรฉบับร่าง เพื่อพิจารณาว่าเอกสารหลักสูตรมีข้อบกพร่องอะไรบ้างเพ่ือนำไป ปรบั ปรุงแก้ไขให้ดขี ึน้ ระยะท่ี 2 การประเมินหลักสูตรระหว่างใช้หลักสูตร เป็นการประเมินระหว่างที่มีการ ดำเนินใช้หลักสูตรเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าหรือปัญหาท่ีอาจเกิดข้ึน จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขได้ ทันท่วงที เช่น ประเมินกระบวนการใช้หลักสูตรในด้านการบริหาร การจัดการหลักสูตร การนิเทศและ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชยั ภมู ิ 139
การจัดการการเรยี นรู้ ระยะท่ี 3 การประเมินหลักสูตรหลังการนำหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินหลักสูตรทั้ง ระบบเพ่ือสรุปผลตดั สินว่าหลักสูตรที่พัฒนาขน้ึ น้ันควรจะดำเนินการใช้ต่อไปหรือควรปรบั ปรุงแก้ไขให้ดี ย่ิงข้ึนหรอื ควรยกเลกิ การนำไปใชอ้ กี กาเย่ (Gagne, 1967: 19-20) มีความเห็นว่า ส่ิงที่สำคัญของการประเมินหลักสูตรก็คือหาวิธี ตรวจสอบความเหมาะสมของการเลือกและการจัดเน้ือหา เพอ่ื จะได้ทราบวา่ เนื้อหาบางตอนในหลักสูตร นั้นไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ทำให้เด็กเกิดความสับสนหรือทำให้เด็กเรียนรู้ได้ช้าลงหรือไม่ การจัดลำดับเนื้อหาในหลักสูตรทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีหรือไม่ การวิเคราะห์งานเป็นไปอย่างถี่ถ้วน เพียงใด สิ่งเหล่านี้รวมท้ังหลักการในการออกแบบหลักสูตรน้ันยากที่จะตรวจสอบโดยวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์ แตก่ ็มคี วามจำเปน็ จะตอ้ งหาวิธกี ารศกึ ษาให้ได้ โบซอง (Beauchamp, 1975: 170-171) เสนอว่าการประเมินหลักสูตรอย่างน้อยที่สุดจะต้อง ให้ครอบคลุมใน 4 ด้าน คือ การประเมินผลการใช้หลักสูตรของครู การประเมินรูปแบบของหลักสูตร การประเมินผลที่เกดิ ขึน้ กบั นักเรยี น และการประเมินระบบหลักสูตร แพร็ท (Pratt, 1980: 400-419) ได้เสนอว่า การประเมินหลักสูตรจะมีลักษณะสำคัญท่ีต้อง ประเมนิ ดงั น้ี 1. การประเมินภายในตัวหลักสูตร ซึ่งจะต้องพิจารณาส่ิงต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ คือ จดุ มุ่งหมายเหตุผลของการสรา้ งหลักสูตร วัตถุประสงค์ เกณฑ์การประเมินผลการเรยี น การจัดระดับผล การเรียน สภาวะแวดล้อม คุณลักษณะของผู้เรียน การสอน การแก้ปัญหาความแตกต่างของผู้เรียน การจัดการทรพั ยากร การทดลองใช้หลักสูตร การประเมินโปรแกรมของหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ และผลผลิตจากหลักสูตร ซ่ึงการประเมินในขัน้ น้ีจะกระทำโดยผเู้ ช่ียวชาญหรอื ผู้ท่ีเกี่ยวข้องกบั หลักสูตร เช่น ครู บุคลากรในชมุ ชน เปน็ ต้น 2. การประเมินการทดลองใช้หลักสูตร มีการดำเนินงานเป็น 2 ข้ัน คือ การทดสอบกับ กลุ่มเลก็ (Pilot Testing) และการทดสอบจริง (Field Testing) 3. การประเมินผลโปรแกรม เป็นการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหลักสูตร หลังจากที่ได้นำหลักสูตรไปใช้จริงแล้ว ซึ่งการประเมินลักษณะนี้จะต้องประเมินหลาย ๆ ด้าน ท้ังจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ผลการเรียนของนักเรียน คุณลักษณะของผู้เรียน การสอนและการจัดการ ทรพั ยากร เปน็ ต้น สรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรน้ันควรประเมินใน 4 ส่วนคือ ประการแรกคือ การประเมิน เอกสารหลักสูตรที่ได้รับการออกแบบหรือพัฒนาข้ึน โดยประเมินรายละเอียดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ใน เอกสารหลักสูตร ประการที่สอง ควรประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ โดยประเมินการใช้หลักสูตรของครู ว่ามีการปฏิบัติตามคำแนะนำท่ีมีอยู่ในคู่มือการใช้หลักสูตรหรือไม่ ประการท่ีสาม ควรประเมินผลที่เกิด ขน้ึ กับนักเรียน โดยประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น คุณลักษณะของผู้เรียนและพฤติกรรมของผู้เรียนท่ี เปล่ียนแปลงไป และประการสุดท้าย ควรประเมินระบบหลักสูตร โดยประเมินความสัมพันธ์กันของ องค์ประกอบต่าง ๆ ทมี่ อี ยใู่ นระบบและกระบวนการของหลักสตู ร 7.4 ระยะเวลาในการประเมนิ หลกั สตู ร เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชยั ภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 140
การประเมินหลักสูตร คือกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ ตรวจสอบว่าหลักสูตร และตัดสินใจว่าหลักสูตรมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด การประเมินหลักสูตร ต้องมีการประเมินเป็นระยะ ใจทิพย์ เชื้อรัตน์พงษ์ (2539) และวิชัย วงษ์ใหญ่ (2554) ได้เสนอ ระยะเวลาการ ประเมินหลักสูตรไว้ 4 ระยะ คือ การประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ การ ประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร การประเมินหลังการใช้หลักสูตร และการประเมินหลักสูตรท้ัง ระบบ ซ่ึงมรี ายละเอยี ดของการประเมินหลักสูตรแตล่ ะระยะ ดงั นี้ 1. การประเมินก่อนนำหลักสตู รไปใช้ การประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความ เหมาะสม ความเป็นไปได้ในการนำหลักสูตรไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการประเมินก่อนท่ีจะมีการใช้ หลักสตู รจรงิ ๆ การประเมินหลักสูตรกอ่ นนำไปใช้ดำเนินการได้ดังน้ี 1.1 วัตถุประสงค์ของการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินก่อนนำ หลกั สตู รไปใช้มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พื่อตอบคำถามสำคญั ๆ ดังน้ี 1.1.1 หลักสูตรมีส่วนประกอบครบถ้วน ชัดเจน หรือไม่ และส่วนประกอบ เหลา่ นัน้ มีคณุ ภาพมากนอ้ ยเพียงใด 1.1.2 หลักสูตรมีความสอดคล้องหรือมีความสมั พันธ์กันในแต่ละส่วนหรือแต่ละ องคป์ ระกอบของหลักสูตรท่พี ฒั นาหรือจัดทำขึน้ หรือไม่ เพียงใด 1.1.3 หลักสูตรสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือองค์กรโดยแท้จริง หรอื ไม่เพียงใด 1.1.4 หลักสูตรมีความเป็นไปได้ คุ้มทุน ทันเวลาในการนำไปดำเนินการหรือ นำไปใช้หรอื ไม่เพยี งใด 1.1.5 หลักสูตรมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องมากน้อย เพียงใด เม่ือมีการนำไป ทดลองใช้ 1.2 วิธกี ารในการประเมนิ ก่อนน าหลักสูตรไปใช้ มดี ังน้ี 1.2.1 การใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หลังจากเขียนหลักสูตร ครบถ้วนแล้ว ซึ่งประกอบด้วยจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร เนื้อหาสาระ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดประเมินผล ยังไม่ถือว่าเสร็จ ส้ินภารกิจของการร่างหลักสูตร ผู้พัฒนาหลักสูตรซึ่งเป็นผู้ร่าง หลักสูตรควรศึกษาวเิ คราะห์และตรวจสอบหลักสตู รที่ได้สร้างขึ้นวา่ ครบถ้วนหรือไม่อย่างไร อาจใช้แบบ ตรวจสอบรายการดังตวั อย่างต่อไปนี้ (สมหวัง พิธยิ านุวฒั น์, 2540: 136) เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชยั ภมู ิ 141
หัวข้อท่ีประเมิน มี ไมม่ ี ชัดเจน ไมช่ ัดเจน หมายเหตุ ก. การต้ังจุดมุง่ หมาย - จดุ มงุ่ หมายท่ัวไป - จดุ มงุ่ หมายเฉพาะ สอดคล้องกับ จุดมงุ่ หมายทวั่ ไป ข. เน้อื หา - การกำหนดความคดิ รวบยอด - การเรียงลำดับ ค. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน - - ง. สื่อการเรยี นการสอน - - จ. การวัดผล - - ฯลฯ มี หมายถึง ไดก้ ำหนดไว้เป็นลายลกั ษณ์อักษร ชดั เจน หมายถงึ ส่ือความหมายใหเ้ ขา้ ใจตรงกันและมองเหน็ แนวทางการนำไปปฏิบตั ไิ ด้ ตารางท่ี 7.1 การประเมนิ โครงรา่ งหลักสูตรโดยใชแ้ บบตรวจสอบรายการ 1.2.2 การใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแซงค์ (Puissance Analysis Technique) การประเมินหลักสูตรของปุยแซงค์ เป็นการประเมินเอกสารหลักฐานด้านจุดมุ่งหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล มีความเหมาะสมท่ีจะทำการประเมินก่อนการนำ หลักสูตรไปใชจ้ ริง ซ่ึงวธิ ีการประเมินหลักสตู รของปยุ แซงค์เร่ิมต้นด้วยการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบ 3 สว่ น ของหลักสูตร คือ จุดมุ่งหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล แล้วนำมาใส่ในตาราง วิเคราะห์ปุยแซงค์ (The Puissance Analysis Matrix) และคิดคำนวณ น้ำหนักออกมาโดยใช้สูตร ปุยแซงค์ ผลทคี่ ำนวณไดส้ ามารถแปลความหมายหลักสูตรนนั้ มีคุณภาพอย่ใู นระดบั ใด 1.2.3 การติดสินพิจารณ าโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณ วุฒิ (Expert Judgement) การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ด้วยวิธีการตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญ นิยมใช้สำหรับ การพิจารณาตัวหลักสูตรเพื่อดูว่าหลักสูตรท่ีพัฒนาขึ้นนั้นในแต่ละส่วนมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน หรือไม่ มีความเป็นเหตุเป็นผลเพียงใด ซึ่งโดยท่ัวไปแล้วส่วนประกอบของหลักสูตรมักจะประกอบด้วย เป้าหมาย จุดมุ่งหมายท่ัวไป จุดมุ่งหมายเฉพาะของหลักสูตร เนื้อหา กิจกรรมการเรียน การสอน และ การวัดประเมินผล ซ่ึงในการประเมินผลหลักสูตรโดยการให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาตัดสินว่าส่วนประกอบ ของหลักสูตรมีความสอดคล้องกันจริงหรือไม่ และเหมาะสมเพียงใด ผู้เช่ียวชาญที่จะทำการประเมิน เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 142
หลักสูตรควรประกอบด้วยผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาหลักสูตร และผู้ท่ีมีความรู้ความ เข้าใจเกย่ี วกบั เนือ้ หาสาระของวิชาตา่ ง ๆ ทบ่ี รรจุไว้ในหลกั สตู รขอ้ ดีของการประเมินโดยผ้เู ชยี่ วชาญก็คือ มีความง่ายต่อการนำไปปฏิบัติเป็นการใช้ความสามารถทางปัญญาแบบบูรณาการของมนุษย์ และเป็น การยอมรับและยกย่องความเช่ียวชาญของบุคคล อย่างไรก็ดีในสังคมที่กำลังพัฒนามักจะประสบปัญหา การขาดแคลนผู้รู้ผู้เช่ียวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ ซ่ึงเป็นข้อจำกัดประการหนึ่งของการประเมินหลักสูตร โดยใช้วิธีการนี้ ส่วนข้อจำกัดอ่ืน ๆ ได้แก่ ผลการประเมินตามวิธีนี้อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถ ตรวจสอบซ้ำได้ กล่าวคือ ถ้าประเมินใหม่ผลการประเมินอาจแปรเปลี่ยนไปได้ง่ายเป็นการประเมินที่มี ความเป็นอตั นยั สูง และผลการประเมินตามวธิ ีนี้อาจจะยากตอ่ การสรุปเปน็ นยั ทว่ั ไป 1.2.4 การประเมินความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) การประเมิน ความต้องการจำเป็นของหลักสูตร หมายถึง การศึกษาหลักสูตรท่ีจัดทำข้ึนเป็นหลักสูตรที่สนองตอบ ความตอ้ งการของกล่มุ เป้าหมายท่เี ปน็ ผู้รบั ผลหรือรับบริการโดยแทจ้ ริงเพียงใดประการหนึ่ง อีกประการ หน่ึงนั้นเป็นการศึกษาว่า หลักสูตรท่ีจัดทำข้ึนเป็นความต้องการท่ีแท้จริงของหน่วยงานองค์กรนั้น โดยตรง และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายในด้านคุณภาพชีวิตโดยรวมหรือไม่ นอกจากน้ี การประเมินความต้องการจำเป็นยังเป็นกระบวนการสำหรับการวิเคราะห์เพื่อให้ทราบแน่ชัดลงไปว่า ปัญหาและความต้องการใดเป็นปัญหาและความต้องการที่แท้จริง ปัญหาและความต้องการใดที่มี ความสำคัญกว่ากัน การประเมินความจำเป็นเป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานซ่ึงเป็นข้ันตอน ขั้นแรกของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร และมีวิธีดำเนินการได้หลายวิธี เช่น การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การทดสอบ การประชมุ สัมมนาและการศึกษาจากเอกสาร เป็นตน้ 1.2.5 การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) การศึกษาความเป็นไปได้ เป็นการประเมินท่ีใช้ผลสรุปเพื่อการตัดสินใจ ก่อนเริ่มกิจกรรมหรือโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการด้านการศึกษาจะต้องพิจารณา แยกเป็น 2 มิติ คือ มิติของ “ผู้เสนอ” โครงการ และมิติ ของผู้ได้รับผลจากการดำเนินงานตาม โครงการซ่ึงเรียกวา่ “ผู้รับ” การวิเคราะหใ์ นแตล่ ะมิติ ให้คำนึงถึง ความเป็นไปได้ของทรัพยากรท่ีจำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ และการเตรียมการเพ่ือให้โครงการดำเนินไปได้ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดซงึ่ สามารถเขียนเป็นภาพท่ี 7.1 (Werdelin ,1977 : 281) ทรพั ยากร ความเปน็ ไปไดด้ ้านเศรษฐกิจ ความเปน็ ไปไดด้ ้านสติปญั ญา ความเปน็ ไปไดด้ า้ นกำลังคน ความ ความเป็นไปไดด้ ้านภูมหิ ลัง ฯลฯ เป็นไปไดด้ ้านเทคนิค ฯลฯ ผเู้ สนอแผน ผ้รู ับแผน ความเป็นไปได้ด้านกฎหมาย ความเปน็ ไปไดด้ ้านสงั คม การเตรยี มการ ภาพท่ี 7.1 การวิเคราะหค์ วามเป็นไปไดข้ องการจดั ทำแผนด้านการศึกษา เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ชัยภูมิ 143
จากภาพที่ 7.1 แสดงให้เห็นรูปแบบและปัจจัยท่ีศึกษาตามแนวความคิดของเวอร์เดลิน (Werdelin) ซึ่งแสดงไว้ 7 ด้านด้วยกัน คอื ด้านเศรษฐกิจ ด้านกำลังคน ด้านเทคนิค ดา้ นกฎหมาย ด้าน สติปัญญา ด้านภูมิหลัง และด้านสังคม เม่ือพจิ ารณาจากผู้เสนอแผน ก็ต้องมอง 2 ทาง คือ ความเปน็ ไป ได้ด้านทรพั ยากร เชน่ เศรษฐกจิ กำลงั คน และเทคนิควธิ ี เป็นต้น อีกทางหน่งึ คือ ดา้ นการเตรียมการใน ด้านกฎหมาย เป็นต้น ถ้าพิจารณาจากผู้รับแผน ก็ต้องมองความเป็นไปได้ 2 ทางเช่นเดียวกันคือ การศึกษาความเป็นไปได้ด้านสังคมที่แวดล้อมและเกี่ยวข้องกับโครงการ และการศึกษาความเป็นไปได้ ด้านสติปัญญาและด้านภูมิหลังของผู้เรียนในปัจจัยแต่ละด้าน เวอรเ์ ดลิน (Werdelin, 1977: 282-288) ไดเ้ สนอแนะใหศ้ กึ ษาตวั แปร ดงั นี้ 1) ความเป็นไปได้ด้านเศรษฐกิจ โดยศึกษากำลังเงินค่าใช้จ่ายของโครงการในด้าน ต่าง ๆ เช่น เงินเดือนครู อาคารสถานท่ี สื่อ เคร่ืองมือ อาหาร ยา และสุขภาพอนามัย การปรับปรุง ระบบขององค์การ และอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ส่งิ ดังกล่าวเหล่าน้ีตอ้ งคาดคะเนออกมาเป็นวงเงนิ คา่ ใช้จา่ ยทม่ี ี ความคลาดเคล่ือนน้อยที่สุดและสอดคล้องกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจมากท่ีสุด และจะต้องมี ระบบทดสอบความคลาดเคล่อื นได้ 2) ความเป็นไปได้ด้านกำลังคนหรือทรัพยากรมนุษย์ โดยศึกษาความพร้อมของ ผู้สอนและบุคลากรท่ีจะร่วมในโครงการ เช่น ผู้มีคุณสมบัติท่ีจะสร้างส่ือและผลิตวัสดุอุปกรณ์เพ่ือการ สอนนักเรียน และการฝึกอบรมครู ครูใหญ่ ศึกษานิเทศก์ หรือบุคคลอื่น ๆ ในองค์กรให้สามารถ ทำงานได้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องวางแผนดำเนินการให้รอบคอบบางเรื่องหรือทั้งหมดอาจ จำเปน็ ต้องตรวจสอบหรอื ทดลองก่อน 3) ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ต้องมีการตรวจสอบหรือทดสอบว่าสิ่งต่าง ๆ เช่น เคร่ืองเสียง วิทยหุ รอื โทรทัศน์ เครื่องพิมพ์ โรงงานท่จี ะผลติ วัสดุหรืออปุ กรณ์และบรษิ ัทรับเหมาก่อสรา้ ง อาคาร มีอยู่พร้อมจะดำเนนิ การไดต้ ามโครงการ 4) ความเป็นไปได้ทางด้านกฎหมาย โดยศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อตกลง และสัญญา ต่าง ๆ รวมทั้งกลไกการบริหารที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานตามโครงการหรือสิทธิของครู อำนาจและหน้าที่ของ ผู้บรหิ ารโรงเรียนและเจ้าหน้าทีท่ างการศึกษาทจ่ี ะดำเนินการ หรอื เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ 5) ความเป็นไปได้ทางสังคม ศึกษาบุคคลที่เกี่ยวข้องและได้รับผลจากโครงการ เช่น ผู้เรียน ครู และกลุ่มบุคคลต่าง ๆ เพื่อดูว่าจะยอมรับความเปล่ียนแปลงหรือไม่เพียงใดวิธีการศึกษา คือ สุ่มตัวอย่างมาให้แสดงความคิดเห็นหรือเจตคติเก่ียวกับการดำเนินงานหรือผลท่ีได้จากโครงการโดยใช้ เคร่อื งมือวัดทางสังคมทเ่ี หมาะสม มีความเทีย่ งตรงและเช่ือถือได้ 1.2.6 การศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับภูมิหลังและสติปัญญาของผู้เรียนและ บุคลากรอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง อาจได้ข้อมูลเก่าท่ีมีอยู่แล้ว หรือบางกรณีอาจจำเป็นต้องรวบรวมใหม่จาก กลุ่มตัวอย่างข้อจำกัดของการศึกษาในเรื่องนี้ด้วย ไม่สามารถวัดภูมิหลังและความสามารถของบุคคลได้ ในสถานการณ์ทเี่ ปน็ จริง ผลคาดคะเนจึงคาดเคลอื่ นไปบ้าง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการหรือการใช้หลักสูตรน้ีจะต้องมีการ รวบรวมความคิดเห็นจากแหล่งขอ้ มูลตา่ ง ๆ เช่น กล่มุ เป้าหมายผู้รับบริการจากโครงการหรือรับผลจาก หลักสูตร และกลุ่มบุคคลท่ีเกี่ยวข้องท่ีเป็นผ้ปู ฏิบัติโครงการหรอื จัดหาหลักสูตรทัง้ นี้อาจใช้การสัมภาษณ์ การสำรวจโดยใชแ้ บบสอบถาม และการสงั เกตเพอื่ เก็บรวบรวมข้อมลู เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั ชยั ภูมิ 144
1.2.7 การทดลองนำร่อง (Pilot Study) การทดลองนำร่องเป็นอีกวิธีหนึ่งใน การตรวจสอบและประเมนิ หลักสูตรก่อนทีจ่ ะนำไปใช้จรงิ การทดลองนำร่องหรือการทดลองใช้หลักสตู ร หมายถึงการนำหลักสูตรนั้น ๆ ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายท่ีแท้จริงของหลักสูตร แต่ลดขนาดและ จำนวนเป้าหมายลง โดยเหลือเพียงจำนวนน้อยและระยะเวลาส้ันลง ตลอดจนเลือกมาเฉพาะตอนใด ตอนหนึ่งของหลักสูตรทำการทดลอง วัตถุประสงค์ในการใช้การนำร่องในการประเมินผลหลักสูตรก่อน ดำเนินการก็เพ่ือจะรู้ว่าหากมีการดำเนินการใช้หลักสูตรแล้วจะมีผลอะไรเกิดข้ึนบ้าง มีอุปสรรค ข้อจำกดั อะไรที่อาจจะทำให้วัตถุประสงคข์ องหลักสูตรไม่ได้รับการสนองตอบ นอกจากน้ี การทดลองนำ ร่องยังทำให้ผู้พัฒนาหลักสูตรได้ตรวจสอบความเท่ียงตรง และความเชื่อถือได้ของเคร่ืองมือที่สร้างขึ้น ข้อมูลท่ีได้จากการทดลองนำร่องจะนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งข้ึน การ ทดลองนำร่องสำหรับประเมินผลหลักสูตรน้ีจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดออกแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ในลักษณะเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยนิยมใช้ แบบทดสอบแบบสอบถาม และการสงั เกตเป็นเคร่ืองมอื และวิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล 2. การประเมนิ ระหวา่ งดำเนินการใชห้ ลักสตู ร ภายหลังจากหลักสูตรที่พัฒนาได้รับการประเมินก่อนท่ีจะมีการนำไปใช้แล้วข้ันตอน ต่อไปก็คือการนำหลักสูตรไปดำเนินการใช้กับกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนดไว้โดยในระหว่างการนำ หลักสูตรไปดำเนินการใช้ ก็มีความจำเป็นท่ีจะต้องทำการประเมินผลหลักสูตรเพ่ือให้รู้คำตอบต่าง ๆ เกี่ยวกบั การดำเนนิ การใช้หลกั สูตรว่ามีผลเปน็ ไปในลกั ษณะใด การประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถ นำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ดีเพียงใด มีส่วนไหนท่ีเป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตรโดยมากหากพบ ข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตร ก็มักจะได้รับการแก้ไขโดยทันทีเพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไป อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ การประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร บางคร้ังเรียกว่าการประเมินกำกับ ควบคุมหลักสูตร และการประเมินผลย่อยของหลักสูตรซ่ึงตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Process Evaluation, Monitoring Evaluation, และ Formative Evaluation” ตามลำดับ แต่ไม่ว่าจะ ใช้คำใดก็ตามกห็ มายถึงการประเมินผลหลักสตู ร ทก่ี ำลังอยู่ในช่วงการใช้หลกั สูตร โดยมีการจัดกิจกรรม ตา่ ง ๆ กับกล่มุ เปา้ หมาย เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลตามวัตถปุ ระสงคข์ องหลักสูตรทีก่ ำหนดไว้ 2.1 วัตถุประสงค์ของการประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร วัตถุประสงค์หลัก ของการประเมนิ ผลหลักสูตรขณะดำเนินการใช้เพ่ือการปรบั ปรุงหลกั สูตรในดา้ นต่าง ๆ โดยมุ่งหวังให้ผล การใช้หลักสูตรบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้หรือเพ่ือให้การใช้หลักสูตรปราศจากอุปสรรคใด ๆ ที่ จะพึงเกิดข้ึนได้ การประเมินผลหลักสูตรขณะดำเนินการจะเกี่ยวข้องกับการตอบคำถามใหญ่ ๆ 2 คำถาม ได้แก่ 2.1.1 หลักสูตรท่ีดำเนินการนั้นนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม หรอื ไม่ อยา่ งไร 2.1.2 หลักสูตรท่ีดำเนินการนั้น กิจกรรมการใช้หลักสูตรมีการนำไปใช้ปฏิบัติ อยา่ งคงเส้นคงวาตามที่กำหนดหรือออกแบบไว้ในหลักสตู รหรือไม่ อยา่ งไร 2.1.3 ทำให้ผู้ดำเนินการใช้หลักสูตรได้รับข้อมูลท่ีสำคัญ อันจะใช้สำหรับการ ตัดสินใจเปล่ยี นแปลงแนวทางปฏิบัติ หรอื เปล่ยี นแปลงกจิ กรรมการใช้หลักสูตรทด่ี ำเนินอยู่ในขณะนั้น เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชยั ภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภูมิ 145
2.1.4 ช่วยให้เกิดการพิจารณาตรวจสอบวัตถุประสงค์ของหลักสูตรโดย สม่ำเสมอว่าได้รับการตอบสนองหรือบรรลุหรือไม่ โดยการตั้งคำถามในการประเมินว่า “ใครกำลังได้รับ อะไร อย่างไร” 2.1.5 บางครั้งอาจจะใช้ผลการประเมินเพื่อนำปประกอบการตัดสินใจ ดำเนินการขยายหลักสตู รให้ตอ่ เนอ่ื ง หรือระงับลม้ เลิกหลักสตู รในบางส่วน ผลที่ได้จากการประเมินตามวัตถุประสงคข์ องการประเมินผลหลักสูตรตามทก่ี ล่าวนั้น จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงหลักสูตรในส่วนของกิจกรรมและทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินการหลักสูตร ทั้งที่เป็นงบประมาณ บุคลากร ระยะเวลา ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งน้ี การจะปรับเปลี่ยนส่วนใด นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผลที่ได้จากการประเมินชี้ให้เห็นว่าส่วนใดก่อให้เกิดปัญหา และเป็นอุปสรรคในการด าเนนิ งานที่จะใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ 2.2 ลักษณะการประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร การประเมินระหว่าง ดำเนินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ดีเพียงใด มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตรโดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตร ก็มักจะได้รับการแก้ไขโดยทันทีเพ่ือให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้การ ประเมินผลหลักสูตรขณะดำเนินการจึงเป็นการประเมินผลหลักสูตรที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์หรือยังไม่ ครบถว้ นตามระยะเวลาการนำหลกั สูตรไปปฏบิ ัติ โดยทั่วไปการประเมินผลหลักสูตรขณะดำเนินการจะเริ่มทำการประเมินต่อเม่ือ หลักสูตรไดน้ ำไปปฏบิ ัตแิ ลว้ ชว่ งระยะเวลาหน่งึ หลังจากการน้ันทิ้งช่วงเวลาให้หลักสูตรดำเนนิ การต่อไป จึงทำการประเมินอีกเป็นช่วง ๆ จนกว่าจะเป็นท่ียุติหรือครบ ตามระยะเวลาที่กำหนดการเว้นช่วง ระยะเวลาการประเมินผลหลักสูตรขณะดำเนินการจะมีช่วงระยะเวลาถ่ีห่างหรือมีจำนวนคร้ังการ ประเมินไม่เท่ากันก็ได้ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับว่าหลักสูตรที่ทำการประเมินนั้นเป็นหลักสูตรที่ใช้เวลาการ ดำเนนิ งานระยะยาว ซง่ึ ผู้ประเมินจะต้องพจิ ารณาใหเ้ หมาะสม เชน่ การนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพน้ื ฐานไปใช้ อาจมกี ารประเมินภาคเรยี นละครัง้ เป็นตน้ 3. การประเมนิ หลงั การใชห้ ลักสตู ร ห ลั ง จ า ก ห ลั ก สู ต ร ได้ น ำ ไป ด ำ เนิ น ก า ร ใช้ แ ล ะ มี ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร ข ณ ะ ดำเนินการตามระยะเวลาที่กำหนดไว้จนกระท่ังส้ินสุดการดำเนินกิจกรรมของหลักสู ตรแล้วก็มีความ จำเป็นท่ีต้องทำการประเมินผลหลักสูตรอีกคร้ัง เพื่อให้รู้คำตอบต่าง ๆ เกี่ยวกับหลักสูตรทั้งหมดใน ภาพรวมว่าผลการใช้หลักสูตรเป็นอย่างไร ก่อให้เกิดผลอื่นใดตามมาหรือไม่ ซึ่งก็จะเป็นการประเมินผล หลักสตู รแบบสรุปรวบยอดหรือการประเมนิ ผลหลักสตู รหลงั ดำเนินการซง่ึ มรี ายละเอียด ดงั น้ี 3.1 วัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตรหลังดำเนินการ การประเมินผลหลักสูตร หลงั ดำเนินการหรือการประเมนิ หลักสูตรเมื่อเสร็จส้ินการดำเนินงานมีวัตถุประสงคท์ ีส่ ำคัญ 4 ประการ ดงั นี้ 3.1.1 เพื่อให้รู้ว่าการดำเนินงานของหลักสูตรท่ีผ่านมาท้ังหมด ได้ผลเป็นไป ตามทก่ี ำหนดไวใ้ นวตั ถุประสงค์ของหลักสตู รหรอื ไมเ่ พยี งใด 3.1.2 เพ่ือให้รู้วา่ ผลท่ีเกิดขึ้นจากการดำเนนิ งานของหลักสูตรน้นั ใชท้ รัพยากรใน การดำเนินงานไปมากน้อยเพียงใด คุ้มค่าหรือไม่กับทรัพยากรท่ีต้องสูญเสียไป และผลที่ได้จากหลักสูตร เพียงพอกบั ความต้องการของกลุม่ เป้าหมายหรือผรู้ ับบริการจากหลักสตู รหรอื ไม่ 3.1.3 เพื่อให้รู้ว่าผลท่ีเกิดข้ึนจากการดำเนินงานของหลักสูตรน้ันเป็นผลท่ี เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชัยภมู ิ 146
แท้จริงจากการดำเนินการของหลักสูตรโดยตรงหรือไม่ และมีผลอ่ืนใดที่เกิดข้ึนอันเน่ืองมาจากหลักสูตร ไปทำใหเ้ กิดขึน้ โดยมิได้มงุ่ หวัง หรือต้องการใหเ้ กดิ ข้ึน ซง่ึ เรยี กวา่ ผลกระทบหรอื ไมผ่ ลขา้ งเคยี ง 3.1.4 เพ่ือประเมินองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ของหลักสูตรทั้งหมด ส่วนใหญ่จะ ทำการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม (Context) ดา้ นปัจจัยนำเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และด้านผลผลิต (Product) ของหลกั สตู ร จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ท้ัง 4 ประการนั้น เม่ือผู้ประเมินสามารถหาคำตอบได้ แล้วจะนำไปสู่การตัดสินใจสำหรับผู้บริหารหรือผู้ที่เก่ียวข้องรับผิดชอบหลักสูตรในการขยายผลการใช้ หรอื ยุบเลกิ การใช้หลักสตู รดังกล่าว 3.2 ลักษณะการประเมินหลังการใช้หลักสูตร การประเมินผลหลักสูตรหลัง ดำเนินการ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Post Evaluation, Summative Evaluation และ Impact Evaluation” แต่ไม่ว่าจะใช้คำใดก็ตามการประเมินผลหลักสูตรหลังการใช้หรือหลังดำเนินการ คือ การ ประเมินภายหลังจากได้นำหลักสูตรไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายครบวงจร หรือตามระยะเวลาท่ีกำหนดไว้ การใชห้ ลักสูตรแตล่ ะหลักสูตรใช้เวลามากน้อยแตกต่างกัน เช่น หลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พื้นฐานระดับชว่ ง ชั้นที่ 1-2 (ประถมศึกษาปีท่ี 1-6) ใช้เวลาเรียน 6 ปี จะดำเนินการประเมินเม่ือหลักสูตรใช้ไปแล้วครบปี ที่ 6 หรือหลักสูตรฝึกอบรมซึ่งเป็นหลักสูตรระยะส้ันอาจใช้เวลาดำเนินการ 1 เดือน ก็จะประเมิน หลงั จากใชห้ ลกั สูตรครบ 1 เดอื นแล้วเปน็ ตน้ การประเมินหลังการใช้หลักสูตรอาจแยกทำได้เป็น 2 ระยะ กล่าวคือภายหลังจาก หลักสตู รดำเนินงานเสร็จสน้ิ ก็ทำการประเมินทันที หรอื ท้ิงช่วงการประเมินออกไประยะหน่ึงแล้วจึงค่อย ทำการประเมิน นอกจากน้ันก็อาจใช้ทั้งสองลักษณะร่วมกัน คือ ทำการประเมินท้ังภายหลังหลักสูตร เสร็จสนิ้ ทันที และทิ้งช่วงระยะการประเมนิ ออกไปตามความเหมาะสม แล้วใช้ข้อมลู จาก2 สว่ นประกอบ กนั ซึ่งการประเมนิ ท้งั 2 ลักษณะมีวัตถปุ ระสงคแ์ ละเทคนคิ วิธีการประเมนิ แตกต่างกัน 3.3 วิธีการประเมินหลังการใช้หลักสูตร การประเมินผลหลังการใช้หลักสูตรมี องค์ประกอบและวิธกี ารในการประเมนิ 3 สว่ น ต่อไปนี้ 3.3.1 การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสตู ร การประเมนิ สัมฤทธผิ ลของหลักสูตร คือการประเมินเพ่ือจะให้รู้ว่าหลักสูตรได้รับผลตามท่ีต้องการหรือไม่ ท้ังนี้โดยยึดวัตถุประสงค์ของ หลักสูตรเป็นหลักในการเปรียบเทียบ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรทุก ๆ ระดับมุ่งไปยังผลที่เกิดข้ึนในตัว ผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมการบริหารหลักสูตรด้านต่าง ๆ อันเป็น ขั้นตอนของการใช้หลักสูตรก็ล้วนแต่มุ่งไปยังผลที่ท่ีจะเกิดข้ึนที่ตัวผู้เรียนท้ังส้ิน ดังนั้นการประเมิน สัมฤทธิผลของหลักสูตรก็คือการประเมินผลที่เกิดข้ึนที่ตัวผู้เรียนหรือความสำเร็จของตัวผู้เรียนว่า สอดคล้องกับเปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู รมากน้อยเพียงใด ความสำเร็จของตัวผู้เรียนหรือสัมฤทธิผลของผู้เรียนประกอบด้วย สัมฤทธิผล ทางวิชาการ (Academic Achievement) ได้แก่ ความรู้ความสามารถในวิชาการต่าง ๆ ที่เรียนและ สัมฤทธิผลที่ไม่ใช่ทางวิชาการ (Non-Academic Achievement) ได้แก่ บุคลิกภาพ ความรับผิดชอบ ความสามัคคี ความซื่อสัตย์ เป็นต้น (ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์, 2539 : 196) นอกจากน้ีสัมฤทธิผลของ ผู้เรียนอาจแบ่งตามจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิดของบลูม (Bloom , 1972) ซึ่งจำแนก จุดมุ่งหมายทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา (Cognitive Domain) ด้านความรู้สึก (Affective Domain) และด้านทักษะ (Psychomotor Domain) เคร่ืองมือวัดด้านสติปัญญา ได้แก่ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชยั ภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 147
แบบทดสอบด้านความรู้สึก ได้แก่ แบบวัดทัศนคติ ความสนใจ แรงจูงใจ ความนึกคิดเกี่ยวกับตน เปน็ ต้น และดา้ นทักษะ ได้แก่ การวัดการปฏบิ ตั ิจรงิ และในสถานการณจ์ ำลอง เป็นต้น การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตรนั้น นอกจากจะประเมินผู้เรียนท่ีกำลัง ศึกษาอยแู่ ลว้ อาจติดตามผลความก้าวหนา้ ของผูส้ ำเร็จการศึกษาว่าสามารถนำความรู้ท่ีได้ศึกษาเล่าเรียน ไปใช้ในการปฏิบัติงาน และประสบความสำเร็จในการทำงานหรือศึกษาต่อหรือไม่ เพียงใด มีความรู้และ ทักษะเพียงพอท่ีจะแก้ปัญหาและปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้ดีหรือไม่ โดยติดตามสอบถามจากผู้เรียน ผู้สำเรจ็ การศึกษา นายจ้างหรอื เจ้าของสถานประกอบการซึ่งวธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ การศึกษา เอกสารรายงานผลการวิจัย การสัมภาษณ์การใช้แบบสอบถาม เปน็ ตน้ 3.3.2 การวิเคราะห์คา่ ใช้จา่ ย การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายมีวธิ ีวเิ คราะห์ที่สำคัญอยู่ 3 วธิ ีคอื 1) ก ารวิเค ราะ ห์ ค่ าใช้ จ่ าย –ป ระสิ ท ธิผ ล ข อ งห ลั ก สู ต ร (Cost- Effectiveness Analysis) เป็นการวิเคราะห์ท่ีใช้ประเมินหลักสูตรต่าง ๆ โดยดูจากค่าใช้จ่ายในการ ลงทุนท่ีเสียไป เปรียบเทียบกับผลที่เกิดข้ึนตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือหลักสูตร เทคนิคการ วิเคราะห์น้ีใช้ในการประเมินเพ่ือเปรียบเทียบโครงการหรือหลักสูตรต่าง ๆ ท่ีมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน และสามารถใช้ตัวแปรร่วมกันในการวัดประสิทธิผลท่ีเกิดจากหลักสูตรเหล่านี้ได้ โดยหลักสูตรที่มี ประสิทธิผลเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายดีที่สุด จะเป็นหลักสูตรท่ีสามารถดำเนินการให้ได้ผลดีกว่าแต่เสีย ต้นทุนค่าใช้จ่ายเท่ากับหลักสูตรอ่ืน ๆ หรือมิฉะนั้นเป็นหลักสูตรที่ให้ผลเท่ากับหลักสูตรอ่ืน ๆ แต่เสีย ค่าใช้จ่ายน้อยกวา่ 2) การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย–ผลกำไรจากการลงทุน (Cost-Effectiveness analysis) เป็นการวิเคราะห์ที่ใช้ประเมินโครงการ โดยดูต้นทุนค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบกับผลที่เกิดข้ึน ซ่ึง วัดในรูปของตัวเงิน เช่น วัดในรูปของรายได้ท่ีเกิดจากการนำความรู้ท่ีได้จากโครงการไปใช้ให้เป็น ประโยชนต์ ่อการประกอบอาชพี การงาน 3) การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย–คุณค่าของโครงการ (Cost-Effectiveness Analysis) เป็นการประเมินโครงการโดยดูคา่ ใช้จ่ายเปรียบเทียบกับคุณคา่ ของผลที่เกิดโครงการโดยเป็น การประเมินคณุ ค่าตามความคิดเห็นของผูป้ ระเมิน หรือกล่มุ เปา้ หมาย 3.3.3 การประเมินผลกระทบ การประเมินผลกระทบของหลักสูตรเปน็ ส่วนหน่ึง ของการประเมินผลสรุปเม่ือสิ้นสุดการใช้หลักสูตรในระยะเวลาหนึ่ง และผลกระทบท่ีแท้จริงจะต้อง สัมพันธ์กับผลผลิตที่ได้รับจากหลักสูตรด้วย ซึ่งผลของโครงการจำแนกโดยใช้ระยะเวลาของการ ดำเนินงานเป็นหลักแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้ 1) ผลผลิต (Output) เป็นผลของโครงการในช่วงเวลาท่ีการดำเนิน โครงการเสร็จสิ้นลงตัวอย่าง เช่น ผลของโครงการอ่านออกเขียนได้ หมายถึง จำนวนผู้เรียนท่ีได้ ลงทะเบียนไว้อัตราการมาเรียน คะแนนที่วัดผลก่อนเรียนและหลังเรียนในแต่ละหน่วยที่มีการเรียน การสอนซ่ึงผลดังกลา่ วจะเน้นวา่ มีอะไรเกิดขนึ้ กับผู้เรียนในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย มากกวา่ จะจัดว่ามีอะไร เกิดข้นึ จากโครงการบ้าง 2) ผลท่ีได้รับ (Effect) เป็นผลของโครงการในช่วงเวลาท่ีห่างออกไป ตัวอย่างเช่น ผลของโครงการอ่านออกเขียนได้ หมายถึง จำนวนหรืออัตราของคนที่มีความสามารถใน การอ่านเพ่ิมข้ึน การเร่ิมอ่านหนงั สือพิมพ์ การเริ่มอ่านหนังสือ ค่มู ือทำการเกษตร การอ่านหนังสือให้ลูก เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 148
ฟงั และลักษณะอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าการท่ีประชาชนเข้าร่วมในโครงการทำให้เขาพัฒนาไปในทิศทาง ท่ีกำหนดไว้ในโครงการ 3) ผลกระทบ (Impact) เป็นผลของโครงการในช่วงระยะเวลาท่ีจะ ยาวนานออกไป บางคร้ังผลกระทบดังกล่าวจะเกิดข้ึนก็ต่อเมือ่ โครงการได้เสร็จสิ้นลงไปในช่วงเวลาหน่ึง และเป็นผลของโครงการที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลและชุมชน ตัวอย่างของโครงการอ่านออกเขียนได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงเก่ียวกับการปฏิบัติงานทางการเกษตรซ่ึงมีผลมาจากการอ่านเอกสารหรือหนังสือท่ี เก่ียวข้องกับการเกษตร หรือการมีส่วนรวมของประชาชนเกี่ยวกับประเพณี และวัฒนธรรม เป็นผลมา จากการฝึกอบรมหรือการแนะให้มีการรวมกลุ่มกัน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าผลกระทบของโครงการจะ ปรากฏออกมาในด้านเศรษฐกิจ สังคม ประกอบอาชีพ การย้ายถิ่น อุปนิสัยและสภาพจิตใจของบุคคล และชมุ ชน 4) การประเมินหลักสูตรท้ังระบบ การประเมินหลักสูตรทั้งระบบ เป็นการ ประเมินด้านสภาวะแวดล้อมหรือบริบท (Context) ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และด้านผลผลิต (Product) ของหลักสูตรซึ่งจะประเมินองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร ทั้งหมด คือ เอกสารหลักสูตรวัสดุ ได้แก่ เอกสาร ตำรา คู่มือครู หนังสือเรียน แบบฝึกหัด บุคลากร ที่เก่ียวข้องกับการใช้หลักสูตร ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ศึกษานิเทศก์ ผู้เชี่ยวชาญ สภาพการใช้ หลักสูตรด้านการบริหารจัดการกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศก ากับดูแล การประเมินผล การ เรียนการสอน รวมท้งั สภาพแวดล้อมทจี่ าเป็นซึ่งจะเป็นตัวบ่งช้ีคณุ ภาพของผลผลติ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537: 214-217) ได้เสนอแนะเก่ียวกับรปู แบบการประเมินหลักสูตรแบบCIPP Model ว่าการประเมินในความคิดของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) ที่เรียกว่า CIPP เป็นการประเมิน เพ่ือรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ ซ่ึงรูปแบบการประเมินแบบซิปป์นี้มีองค์ประกอบ 4 ส่วนสำคัญ คอื 1. การประเมินภาวะแวดล้อมหรือบริบท (Context Evaluation-C) หมายถึง สภาวะ แวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองทั่ว ๆ ไปที่จะเป็นตัวการสำคัญในการโน้มนำการศึกษา เพราะ สภาพแวดล้อมเป็นตัวกำกับ และมีอิทธิพลต่อกิจกรรมที่เกิดข้ึนเสมอการประเมินสภาวะแวดล้อมนี้จะ ทำให้ทราบทศิ ทางและชว่ ยในการกำหนดจดุ มงุ่ หมายของหลักสตู รไดช้ ดั เจน 2. การประเมินปัจจัยเบ้ืองต้น (Input Evaluation-I) องค์ประกอบท่ีจะนำไปสู่ระบบหรือ กระบวนการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ สติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ ทักษะและสภาพแวดล้อมทาง ครอบครัวด้านอื่น ๆ ของผู้เรียนก่อนท่ีจะเข้าสู่ระบบโรงเรียนนอกจากตัวผู้เรียนแล้วยังมีปัจจัยด้านครู และงบประมาณ เป็นต้น ซ่ึงแยกรายละเอียดได้อีกมากมายผู้ประเมินจะต้องกำหนดว่าจะประเมินเร่ือง ใด และควรมีกรอบการประเมนิ ท่ีชัดเจน 3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation–P) หมายถึง การประเมินการปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ตามหลักสูตรว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายได้มากน้อยเพียงใด เช่น การประเมินการจัดการ เรียนการสอนของครู หรือการประเมินกระบวนการติดตามนิเทศของผู้บริหาร เปน็ ต้น 4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation–P) หมายถึง การประเมินผลผลิต เช่น ผลสัมฤทธ์ิและคุณลักษณะของผู้เรียนว่าได้ผลตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เป็นการกระทำเพื่อการตัดสินใจ เพ่ือเร่ิมวงจรของการประเมินใหม่ ผู้ประเมินต้องการจะประเมินว่าผลผลิตของผู้เรียนท้ังทางสติปัญญา เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ 149
ร่างกายและเจตคติไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปตามความมงุ่ หวงั ของหลักสตู รหรือไม่เพยี งใด 7.5 รูปแบบการประเมนิ หลกั สตู ร 7.5.1 รูปแบบการประเมินหลักสตู รของ ไทเลอร์ ไทเลอร์ (Tyler, 1950: 11) ได้ให้แนวคิดว่าวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่กำหนดขึ้นเป็นสิ่งที่ แสดงถงึ สิง่ ทม่ี ุ่งหวังให้ผเู้ รียนเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมหรือมคี ุณลักษณะตามท่ตี ้องการ ดงั นัน้ การประเมิน จึงเป็นกระบวนกำหนดระดับความเปลี่ยนแปลของพฤติกรรมที่เกิดข้ึนจริงในตัวผู้เรียนเม่ือได้ผ่าน กระบวนการเรียนการสอน อัญชลี สารรัตนะ (2547: 133-134) ได้สรุปรูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ไว้ว่า รปู แบบการประเมินหลกั สูตรจึงยึดวตั ถุประสงค์ทางการศกึ ษาหรือวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสูตรเป็นหลกั ใน การประเมินความสำเร็จ วัตถุประสงค์จึงสามารถนำมาเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการตัดสินผลสำเร็จ ของการดำเนินงานในการกำหนดวัตถุประสงค์ของส่ิงท่ีประเมิน จึงต้องกำหนดในรูปของวัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) เพื่อความชัดเจน และการตัดสินผลสำเร็จของการดำเนิน กิจกรรม แนวคิดน้ีจึงมีลักษณะเป็น Goal-Base (Behavioral Objective) Approach เม่ือนำรูปแบบ การประเมินของไทเลอร์ มาใช้ในการประเมินหลักสูตร จึงเป็นการประเมินว่าผลลัพธ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน จากหลกั สูตรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลกั สูตรหรือไม่ หากผลลัพธ์ที่เกิดขน้ึ เปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ ของหลักสูตรแสดงวา่ การบริหารหลักสูตรหรือการใชห้ ลักสูตรดี รูปแบบการประเมินของไทเลอร์ จึงเป็น การประเมนิ เปรียบเทียบระหวา่ ง สิ่งท่ีเป็นจริงกับสงิ่ ท่ีควรเปน็ และการใช้ข้อมูลความสอดคล้องเปน็ หลัก ในการตดั สนิ ใจสรุปผลการดำเนินงานเก่ียวกบั การบรหิ ารหลักสตู ร ไทเลอร์ เป็นผู้ที่วางรากฐานการประเมินหลักสูตร โดยเสนอแนวคิดว่าประเมินหลักสูตรเป็น การเปรียบเทียบว่าพฤติกรรมของผู้เรียนท่ีเปลี่ยนแปลงไป เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยการศึกษารายละเอียดขององค์ประกอบกระบวนการจัดการศึกษา 3 ส่วน คือ วัตถุประสงค์ การจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ และการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนดังภาพที่ 7.2 (อัญชลี สารรัตนะ, 2547: 134) จุดมุ่งหมายทางการศึกษา ประสบการณ์การเรยี นรู้ การตรวจสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ภาพที่ 7.2 ความสัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบกระบวนการจัดการศึกษา แนวคิดใหม่ในการประเมินหลักสตู รควรประกอบด้วยการประเมนิ ความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ ของหลักสูตร การประเมินความเป็นไปได้ของแผนการเรียนรทู้ ่ีจะส่งผลต่อความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ประเมินผลผลิตและผลลัพธ์ของหลักสูตร ตลอดจนการ ติดตามประเมินหลักสูตรเป็นระยะอย่างต่อเน่ือง แนวคิดของไทเลอร์เกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรยึด ความสำเร็จของจุดมุ่งหมายเป็นหลัก ไทเลอร์เห็นว่า จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร คือ (ธำรง บวั ศร,ี 2531; ใจทิพย์ เชอื้ รัตนพงษ์, 2539, อัญชลี สารรตั นะ, 2547; ศศธิ ร ขันติธรางกงู , 2554) 1. เพื่อตัดสินว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาท่ีตั้งไว้ในรูปของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมน้ัน ประสบผลสำเร็จหรือไม่ ส่วนใดท่ีประสบผลสำเร็จก็อาจเก็บไว้ใช้ต่อไป แต่ส่วนใดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชยั ภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชยั ภมู ิ 150
ก็จะปรบั ปรงุ แก้ไขต่อไป 2. เพ่ือการประเมินค่าความก้าวหน้าทางการศึกษาของกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ เพ่ือให้ สาธารณะชนได้ข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือและเข้าใจปัญหาความต้องการของการศึกษา และเพ่ือใช้ข้อมูลนั้น เป็นแนวทางในการปรับปรุงนโยบายทางการศึกษาที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย เหตุฉะนี้ ในการประเมิน หลักสูตรจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนและการประเมิน คุณค่าของหลักสูตร ไทเลอร์ได้จัดล ดับข้ันตอนการเรยี นการสอนและการประเมนิ ผล ดงั น้ี 2.1 กำหนดวัตถุประสงค์อย่างกว้างๆ โดยวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ในการกำหนด วัตถุประสงค์ (Goal Screens) คือ นักเรียน สังคม และเนื้อหาสาระ ส่วนปัจจัยที่กำหนดขอบเขตของ วตั ถุประสงค์ (Goal Screens) คือ จิตวทิ ยาการเรียนรู้และปรชั ญาการศกึ ษา 2.2 กำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน ซ่ึงจะ เปน็ พฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการวดั ภายหลัง จากการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ 2.3 กำหนดเนอื้ หาหรือประสบการณ์การเรียนรู้เพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้ 2.4 เลอื กวธิ กี ารเรียนการสอนท่ีเหมาะสมท่ีจะทำใหเ้ น้ือหาหรือประสบการณ์ทีว่ างไว้ ประสบความสำเรจ็ 2.5 ประเมินผลโดยการตัดสินใจด้วยการวัดผลทางการศึกษาหรือการทดสอบ สมั ฤทธิผลในการเรียน 2.6 ถ้าไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ ก็จะต้องมีการตัดสินท่ีจะยกเลิกหรือ ปรับปรุงหลักสูตร แต่ถ้าบรรลุตามวัตถุประสงค์ ก็อาจจะใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพ่ือ ปรับปรุงการกำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงหรือใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนา คณุ ภาพของหลักสตู ร สรุปเปน็ ภาพที่ 7.3 (ใจทพิ ย์ เช้ือรตั นพ์ งษ์, 2539: 225) กำหนดวัตถปุ ระสงค์ ยกเลกิ หรือ ปรับปรุง กำหนดจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ปรับปรงุ หลกั สตู ร กำหนดเนอ้ื หาสาระและประสบการณ์ เลือกวิธีการเรียนการสอน วัดพฤติกรรม ประเมนิ วัดพฤติกรรม ก่อนเรยี น ผลการเรียนรู้ หลงั เรยี น ถา้ ผลการวัด ถ้าผลการวัด กอ่ นเรียนดีกว่า หลังเรยี นดกี ว่า เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั ชัยภมู ิ 151
ภาพที่ 7.3 ขั้นตอนการเรียนการสอนและการประเมนิ หลักสตู รของไทเลอร์ 7.5.2 รูปแบบการประเมนิ ของแฮมมอนด์ แฮมมอนด์ (Hammond อ้างใน วิชัย วงษ์ใหญ่, 2554: 153 ) มีแนวคิดในการประเมิน หลกั สูตรโดยยึดจดุ ประสงค์เป็นหลักคล้าย ไทเลอร์ แต่แฮมมอนด์ได้เสนอแนวคิดทตี่ า่ งจากไทเลอร์โดยที่ แฮมมอนด์ได้เสนอว่าโครงสร้างสำหรับการประเมินน้ันประกอบด้วยมิติ (Dimensions) ใหญ่ ๆ หลาย มิติด้วยกัน แต่ละมิติก็จะประกอบดว้ ยตัวแปรสำคัญ ๆ อีกหลายตัวแปร ความสำเร็จหรือความล้มเหลว ของหลักสูตรโดยเฉพาะนวัตกรรมทางการศึกษาที่ถูกนำมาบรรจุในหลักสูตรเม่ือมีการพัฒนาหลักสูตร โดยเฉพาะนวัตกรรมทางการศึกษาท่ีถูกน ามาบรรจุในหลักสูตรเม่ือมีการพัฒนาหลักสูตรข้ึนกับ ความสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างตัวแปรในมิติต่าง ๆ เหล่านี้ มิติทั้ง 3 ได้แก่ มิติด้านการเรียน การสอน (Instructional Dimension) มิติด้านสถาบัน (Institutional Dimension) และมิติด้าน พฤติกรรม (Behavioral Dimension) แฮมมอนด์ เรียกมิติท้ัง 3 น้ีว่าโครงสร้างเพ่ือการประเมนิ ดงั ภาพ ที่ 7.4 (ใจทิพย์ เชือ่ รตั นพงษ์ ; 2539: 227) 1) ส่งิ ที่ประเมิน สิง่ ท่ีประเมินประกอบด้วยปฏิสัมพันธ์ของตัวแปรใน 3 มิติ ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ย่อย ๆ 90 เซลล์ แต่ละเซลล์จะเป็นตวั แทนของคำถามเชิงประเมิน มิติท่ี 2 ดา้ นสถาบัน การจดั ชั้นเรียนและตารางสอน ความ ู้รความคิด มิติท่ี 3 เน้อื หาวิชา ัทกษะ ด้านพฤติกรรม วิธกี าร เจตคิต มติ ิท่ี 1 ดา้ นการเรยี น ส่งิ อำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ งบประมาณ การสอน ภาพที่ 7.4 ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั แปรในมติ ติ ่าง ๆ มติ ดิ า้ นการสอน ประกอบดว้ ยตัวแปรสำคัญ 5 ตัวแปร คอื 1. การจัดการชั้นเรียนและตารางสอน หมายถึงการจัดครูและนักเรียนให้พบกันและ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชยั ภูมิ 152
ดำเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน ซ่ึงเก่ียวข้องกับเวลาท่ีใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนและ การจดั กล่มุ นกั เรยี น 2. เนื้อหาวิชา หมายถึง เน้ือหาวิชาท่ีจะนำมาจัดการเรียนการสอน การจัดลำดับ เนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะของผู้เรียนและชั้นเรียนในแต่ละระดับ ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้าง ของความรู้ ความคิดรวบยอด และวิธีการแสวงหาความรู้ตามลักษณะเฉพาะของแต่ละสาขาวิชา การจัดลำดบั เน้ือหาให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผูเ้ รียนและชน้ั เรยี นแต่ละระดบั 3. วิธีการ หมายถึง หลักการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนรวมท้ัง ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างครกู บั นักเรยี น และนกั เรียนกบั นักเรยี น 4. ส่ิงอำนายความสะดวกต่าง ๆ หมายถึง สถานท่ี อุปกรณ์ เคร่ืองมือ และอุปกรณ์ พเิ ศษ ห้องปฏิบตั กิ าร วสั ดุสนิ้ เปลอื งต่าง ๆ รวมทงั้ สิง่ ท่ีมผี ลต่อการใช้หลกั สูตร และการสอนด้านอ่ืน ๆ 5. งบประมาณ หมายถึง เงนิ ท่ีใชเ้ พ่ืออำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน การซ่อมแซม เงนิ เดอื นครู คา่ จา้ งบุคลากรทจี่ ะทำให้งานการใช้หลกั สูตรประสบความสำเรจ็ มติ ิด้านสถาบัน ประกอบดว้ ยตัวแปรที่ควรคำนงึ ถึงในการประเมินหลักสูตร 5 ตวั แปรคอื 1. นักเรียน มีองค์ประกอบท่ีต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ ระดับช้ันท่ีกำลังศึกษา ความสนใจ ความเก่ียวข้องกับนวัตกรรม ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สุขภาพ และ สุขภาพจิต ภูมิหลงั ทางครอบครัวและเศรษฐกจิ สงั คม 2. ครู มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒิสูงสุด ทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการสอน เงินเดือน กิจกรรมท่ีทำเวลาว่าง ๆ การฝึกอบรมเพ่ิมเติม เกีย่ วกบั การใช้หลักสตู รในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏบิ ัติงาน 3. ผู้บริหาร มอี งค์ประกอบทต่ี ้องคำนงึ ในการประเมินหลกั สูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒสิ งู สุด การศึกษา ประสบการณท์ างการบริหาร เงินเดอื น ลักษณะทางบุคลิกภาพการฝึกอบรมเพ่ิมเตมิ เก่ียวกับ การใชห้ ลักสตู รในชว่ งระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏิบัตงิ านด้านวิชาการ 4. ผู้เชี่ยวชาญ มีองค์ประกอบท่ีตอ้ งคำนึงถงึ ในการประเมนิ หลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลักษณะของการให้ค าปรึกษาหรือช่วยเหลือ ลักษณะทางบุคลิกภาพ และ ความพงึ พอใจในการปฏบิ ตั ิงาน 5. ครอบครัว มีองค์ประกอบท่ีต้องคำนงึ ถงึ ในการประเมนิ หลักสตู ร ได้แก่ สถานภาพ สมรส ขนาดของครอบครัว รายได้ สถานที่อยู่ การศึกษา การเป็นสมาชิกของสมาคม การโยกย้าย จำนวนบตุ รทีอ่ ยู่ที่โรงเรียนน้ี และจำนวนญาติที่อยู่ร่วมโรงเรียน 6. ชุมชน มีองค์ประกอบท่ีต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สภาพชุมชน จำนวนประชากร การกระจายของอายุ ของประชากร ความเชื่อ (ค่านิยม ประเพณี ศาสนา ลักษณะ ทางเศรษฐกิจ สภาพการให้บรหิ ารสขุ ภาพอนามยั และการรับนวตั กรรมเทคโนโลย)ี มิติด้านพฤติกรรม มีองค์ประกอบของพฤติกรรม 3 ด้าน คือ พฤติกรรมด้านความรู้ (Cognitive) พฤติกรรมด้านทักษะ (Psychomotor) และพฤติกรรมด้านเจตคติ (Affective) การจัด หลักสูตรถ้าได้มีการกำหนดพฤติกรรมเป็นด้าน ๆ ไว้ จะช่วยให้การประเมินหลักสูตรมีความสะดวกและ เป็นระบบ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ (Cognitive) ได้แก่ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้การ วเิ คราะห์ การประเมินค่าและการสร้างสรรค์ การตรวจสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของผู้เรียนในด้าน เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชยั ภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 153
องคป์ ระกอบยอ่ ยของพฤติกรรมอาจจะใช้แบบทดสอบมาตรฐานเปน็ เครอื่ งมือการประเมนิ 2. พฤติกรรมด้านทักษะ (Psychomotor) ได้แก่ การกระทำทั้งหลายท่ีใช้การ ประสานของกล้ามเน้ือหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้มือและร่างกายปฏิบัติงานต่าง ๆ เช่น การออก กำลงั กาย การเล่นกฬี า การคัดลายมือ การพิมพด์ ีด 3. พฤติกรรมด้านเจตคติ (Affective) ได้แก่ พฤติกรรมท่ีเก่ียวกับความสนใจ ความชอบ ไม่ชอบ ทัศนคติ ความซาบซึ้ง และค่านิยม (ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์, 2539; วิชัย วงษ์ใหญ่, 2554; มารุต พัฒผล, 2556 ; March & Willis, 1995) 2) ขั้นตอนการประเมนิ หลักสตู ร แนวคิดการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ เร่ิมด้วยการประเมินหลักสูตรที่กำลัง ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นพ้ืนฐานที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ แล้วจึงเรม่ิ กำหนดทิศทาง และกระบวนการของการเปล่ียนแปลงหลักสูตร โดยการประเมินหลักสูตรของ แฮมมอนด์มีข้ันตอนของ การประเมินหลักสตู รมี ดงั น้ี (มารุต พฒั ผล, 2556; อญั ชลี สารรัตนะ, 2557) 2.1 การประเมินหลักสูตรที่ก าลังใช้อยู่ โดยประเมินส่วนย่อย ๆ ของหลักสูตร เช่น การประเมินเพยี งรายวิชาหนง่ึ ของหลักสตู ร 2.2 นยิ ามลกั ษณะตา่ ง ๆของตวั แปร โดยอธบิ ายถึงตวั แปรต่าง ๆ ในมิตดิ ้านการเรยี น การสอน มติ ิพฤติกรรม และมิตดิ ้านสถาบัน 2.3 กระบวนการประเมินหลกั สูตร ดำเนินการ 2.3.1 กำหนดสิ่งที่ต้องการประเมิน ควรจะเร่ิมต้นที่วิชาใดวิชาหน่ึงในหลักสูตร เชน่ ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ และจำกดั ระดบั ชนั้ เรยี น 2.3.2 กำหนดตัวแปรในมิตกิ ารสอนและมติ สิ ถาบันใหช้ ัดเจน 2.3.3 กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบุถึง (1) พฤติกรรมของ นักเรียนที่แสดงว่าประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด (2) เงื่อนไขของพฤติกรรมที่เกิดขึ้ น (3) เกณฑ์ของพฤตกิ รรมที่บอกใหร้ ู้วา่ นกั เรยี นประสบความสำเรจ็ ตามวัตถุประสงคม์ ากน้อยเพียงใด 2.3.4 ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ ผลท่ีได้จากการประเมินจะ เป็นตัวกำหนดพิจารณาหลักสูตรที่ดำเนินการใช้อยู่ เพ่ือตัดสินยกเลิกรวมหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หลักสตู ร 2.3.5 วิเคราะห์ผลภายในองค์ประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเก่ียวกับพฤติกรรมแท้จริงที่เกิดข้ึน ซ่ึงจะเป็นผลสะท้อนกลับไปสู่วัตถุประสงค์ เชิงพฤตกิ รรมท่ตี ้ังไว้ และเป็นการตัดสินว่าหลกั สูตรน้ันมีประสิทธิภาพเพยี งใด 2.4 พจิ ารณาสิง่ ทีค่ วรเปล่ียนแปลงปรบั ปรุง 7.5.3 รูปแบบการประเมนิ ของครอนบคั แนวความคิดของ ครอนบัค (Cronbach) ในการประเมินผลหมายถึงการเก็บรวบรวม ข้อมูลและใช้ข้อมูลนั้นเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษา อาจเป็นกิจกรรใดก็ได้ เช่น กิจกรรม การเรียนการสอนครอนบัค มีความเห็นว่าในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีตัวแปรที่เก่ียวข้องหลาย อยา่ ง ดงั นั้นจงึ เชือ่ ว่าการทดสอบสัมฤทธผิ ลในการเรียนเพยี งอย่างเดยี วเพ่อื ดูการบรรลุ วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมย่อมไม่เพียงพอสำหรับการประเมินกิจกรรม การเรียนการสอน ควรประเมินผลกระทบหรือ ผลข้างเคยี ง (Side Effect) (อัญชลี สารรตั นะ, 2547: 140-142) เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 154
1) จดุ มุ่งหมายของการประเมินผล จุดมงุ่ หมายของการประเมินน้นั อาจแยกได้ 3 ประการ คือ 1.1) เพ่ือปรับปรุงรายวิชา (Course Improvement) เพ่ือตัดสินว่า อุปกรณ์การเรียน การสอน และวิธีการสอนใดทีน่ า่ พอใจ และมสี ่วนใดทีด่ ำเนินการอยแู่ ลว้ ตอ้ งแก้ไข 1.2) เพื่อตัดสินเก่ียวกับตัวบุคคล (Decision about Individual) เช่น การตัดสินใน การวางแผน การคัดเลือก หรือการแยกกลุ่มผู้เรียน หรือแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าส่วนใดที่เขาเด่น และ สว่ นใดท่ีเขาควรปรบั ปรงุ แก้ไข เป็นตน้ 1.3) เพื่อการตดั สินเก่ียวกับระเบียบวิธีในการบริหาร (Administrative Regulation) เช่น เพื่อการตัดสินว่าระบบการศึกษาของโรงเรียนดีหรือไม่เพียงไร และครูแต่ละคนของโรงเรียนมี ประสิทธิภาพดหี รอื ไมอ่ ยา่ งไร เปน็ ตน้ 2) สิง่ ทคี่ วรประเมิน ครอนบัค มีความเห็นว่า การประเมินไม่ควรจำกัดอยู่ท่ีการทดสอบผลสัมฤทธ์ิเพียง อย่างเดียว ควรมกี ารวัดหรือศึกษาดา้ นอ่ืนดว้ ย โดยครอนบคั เสนอไว้ 4 ดา้ น คอื 2.1) การติดตามผลผู้ที่จบจากหลักสูตร (Follow-up-Studies) สำหรบั การศึกษา เพื่อติดตามผลนั้น เปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างจากการศึกษารายวิชาใดวิชาหน่ึงโดยเฉพาะหรือกลุ่ม ตัวอย่างในโครงการกับกลุ่มตัวอย่างอีกจำนวนหนึ่งที่มีพื้นฐาน (Demographic–Variables) คล้ายคลึง กัน แลว้ ศึกษาเปรียบเทียบดผู ลท่ีเกิดข้ึนระหว่าง กลุ่ม 2 กลุ่มนี้ว่า แตกต่างกันหรือไม่ ในความก้าวหน้า ทางวิชาชีพ หรือทางความก้าวหน้าทางการศึกษาในระยะยาว ผลที่ได้จากการศึกษาแบบนี้ไม่มีผล โดยตรงในการปรับปรุงหลักสูตรหรือรายวิชาเรียน เพราะไม่ให้คำตอบที่ทำให้ทราบได้ว่าหลักสูตร หรือ รายวิชานั้น ๆ ควรได้รับการปรับปรุงด้านใดโดยเฉพาะบ้าง แต่ก็มีประโยชน์ในการสร้างหลักสูตรใหม่ เพราะอาจใชร้ ายวชิ าเดมิ หรอื ยกเลกิ รายวิชานน้ั ๆ กไ็ ด้ 2.2) การวัดทัศนคติ (Attitude Measurement) การวัดทัศนคติทำได้หลายอย่าง เช่น การสมั ภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม หากใช้แบบสอบถาม ไมค่ วรจะเชอ่ื ผลจากแบบสอบถามมากนัก ต้องดูว่าอัตราสว่ นของผู้ตอบในการแสดงความคิดเห็นแต่ละข้อ มีน้ำหนักเพยี งพอหรอื ไม่ และที่สำคัญก็ คอื ทัศนคตเิ ปลยี่ นแปลงไดง้ า่ ย และผ้ตู อบมีความลำเอยี งไดม้ ากถ้าผตู้ อบมีผลประโยชน์เกยี่ วข้องดว้ ย ถ้า ถามความคิดเห็นที่ไม่เก่ียวข้องกับเนื้อหาอย่างตรง ๆ จะได้ผลท่ีน่าเช่ือถือได้มากว่า ผลของ แบบสอบถามควรดูรายเฉลี่ยท่ัว ๆ ไปแทนท่จี ะดรู ายละเอียดของแต่ละบุคคล 2.3) การวัดความสามารถทั่ว ๆ ไป (Proficiency Measurement) การวัด ความสามารถท่ัว ๆ ไป ควรใช้แบบทดสอบมาตรฐานและควรใช้แบบทดสอบต่างฟอร์มกับนักเรียนต่างกลุ่ม ก็จะเป็นการดี ในการทดสอบกลุ่มตัวอย่างควรเป็นตัวแทนของประชากร และข้อทดสอบควรเป็นตัวแทน ของเนื้อหาวิชา ส่วนข้อสอบแบบเขียนตอบ (Essay Types) ควรใช้วัดความสามารถเฉพาะอย่างด้วย และ ใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กก็พอ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าครอนบัค ให้ความสำคัญของข้อสอบแต่ละข้อมากกว่า คะแนนรวมและเม่ือรู้ผลการสอบแต่ละข้อแล้ว ก็นำมาปรับปรุงการเรียนการสอนได้ทันทีตลอดเวลา ดังนั้น การประเมินผลของครอนบัคจึงเป็นท้ังการประเมินผลความก้าวหน้าหรือการประเมินเพื่อการ ปรับปรุงในการเรียน (Formative Evaluation) และการประเมินผลสรุปผลการเรียน (Summative Evaluation) และ ครอนบัคเชอ่ื วา่ การประเมนิ ผลไม่ใช่การทดสอบหลงั เรียนเพียงอย่างเดยี วเท่าน้นั 2.4) การศึกษากระบวนการ (Process Studies) การศึกษากระบวนการมี เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 155
จดุ มุ่งหมายในการศึกษาสง่ิ ทเี่ กิดข้นึ ในหลกั สูตรเพอ่ื ประโยชนใ์ นการปรับปรงุ หลกั สตู รให้ดขี นึ้ ส่วนนีเ้ ป็น การประเมินผลความก้าวหน้าของหลักสูตรซึ่งเกิดขึ้นในขณะท่ีหลักสูตรกำลังดำเนินอยู่ตามความ เห็น ของครอนบัคน้ัน เป็นการประเมินเพื่อการปรบั ปรงุ หลักสูตรระดบั ชาติ หรอื รายวิชาในการเรียนการสอน ควรกระทำโดยผู้เช่ียวชาญในโรงเรียนหรือในระดับท้องถ่ินนั้นผู้สอนควรทำหนา้ ที่ประเมินผลหลักสตู รที่ ตนสอนเอง ตามแนวคิดของครอนบัค สรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรต้องการทำ การวัดหลาย ๆ ด้าน (Multidimentional Studies) ไม่เพียงแต่การวัดตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไวเ้ ทา่ นน้ั ตอ้ งพยายาม วัดผลข้างเคียงหรือผลกระทบอ่ืน ๆ ด้วย (Side Effects) เช่น ความรู้ความสามารถท่ัว ๆ ไป ทัศนคติ รวมทั้งการติดตามผลของการเรียนหลังการเสร็จส้ินการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาด้วยว่าผู้เรียนได้ผล ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนหรือไม่ เคร่ืองมือในการทดสอบก็มี Proficiency Testแบบสอบถามและ การสัมภาษณ์ รวมท้ังการเขียนเรียงความ เป็นต้น โดยครอนบัคให้ความสำคัญมากกับคะแนนที่ได้จาก แต่ละข้อแทนที่จะเป็นคะแนนรวม และมุ่งทำการทดสอบกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่หรือเกือบท้ังหมดด้วย เคร่ืองมือที่แตกต่างกนั เขาไม่เช่อื เรื่อง Micro-Studies และ Comparative Studies เพราะคดิ ว่า ผลท่ี ได้เชื่อถือได้ยากเพราะมีตัวแปรบางอย่าง ๆ เช่น Bias และ Placebos Effect ท่ีทำให้กลุ่มตัวอย่างที่ นำมาเปรียบเทียบกันเท่ากันได้ยาก นอกจากนี้แนวความคิดที่น่าสนใจมากคือ การท่ีเขามีความคิดว่า การกำหนดวัตถุประสงค์ทีม่ ากเกินไป อาจทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้น้อยกวา่ ท่ีควร เพราะผู้เรียนจะไม่สนใจ เรียนรสู้ ง่ิ อืน่ ทน่ี อกเหนือจากสิง่ ท่ไี ด้กำหนดไวใ้ นวตั ถปุ ระสงค์ 7.6 เกณฑก์ ารประเมินคุณภาพหลักสตู ร การประเมินหลักสูตรมีเกณฑ์ท่ีใช้พิจารณาคุณภาพของการประเมินหลักสูตร มี 3 ด้าน มีดังนี้ 1) เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) 2) เกณฑ์การนำไปปฏิบัติได้จริง (Practical Criteria) 3) เกณฑ์ความคุ้มค่า(Prudential Criteria) การประเมินหลักสูตรมีคุณภาพครอบคลุมทั้ง 3 ดา้ น โดยแตล่ ะด้านมีสาระสำคญั ดังนี้ (วชิ ยั วงษ์ใหญ่, 2554, Brady, 1992 อ้างใน มารตุ พัฒผล, 2556) 1. เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) หมายถึง ความถูกต้องและ เช่อื ถอื ไดข้ องการประเมนิ หลักสูตร 4 ประการ ได้แก่ 1.1 ความเทีย่ งตรงภายใน (Internal Validity) 1.2 ความเท่ยี งตรงภายนอก (External Validity) 1.3 ความเช่อื มัน่ (Reliability) 1.4 ความเปน็ ปรนัย (Objective) 2. เกณฑ์การนำไปปฏิบัติได้จริง (Practical Criteria) หมายถึง หลักการท่ีกำหนดไว้ เพอ่ื ใหก้ ารประเมินหลักสูตรมคี วามเป็นไปได้จริงในระดบั การปฏิบตั ิ 6 ประการ ไดแ้ ก่ 2.1 ความสอดคล้องกบั วตั ถุประสงคก์ ารประเมิน (Relevance) 2.2 ความมีคุณคา่ และความสำคัญ (Importance) 2.3 ความมขี อบเขต (Scope) 2.4 ความน่าเชือ่ ถอื (Credibility) 2.5 ความเหมาะสมของเวลา (Timelines) 2.6 การเผยแพรผ่ ลการประเมนิ (Pervasiveness) เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 156
3. เกณฑค์ วามคุ้มคา่ (Prudential Criteria) เป็นหลักการที่กำหนดไว้เพื่อให้การประเมิน หลักสูตรมีประสิทธิภาพและเกิด ประโยชน์สูงสุด ซ่ึงความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หมายถึง การประเมินหลักสูตรต้องใช้ ทรัพยากรนอ้ ยทส่ี ดุ แต่ได้ผลการประเมินทีม่ ปี ระโยชนส์ ูงสุด บทสรุป ในการประเมินหลักสูตรน้ัน ควรประเมินในประเด็นสำคัญคือ การประเมินเอกสารหลักสูตร การประเมนิ การนำหลกั สตู รไปใช้ การประเมนิ ผลทเ่ี กิดขนึ้ กบั นกั เรยี นซึ่งหมายถึงการประเมินผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียน คุณลักษณะผู้เรียนและพฤติกรรมของผู้เรียนท่ีเปล่ียนแปลงไปและการประเมินระบบ หลักสูตรเป็นการประเมินความสมั พันธก์ ันขององค์ประกอบต่าง ๆ ทีม่ ีอยู่ในระบบและกระบวนการของ หลักสูตร ส่วนระยะเวลาในการประเมินหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรได้เสนอไว้เป็น 4 ระยะ คือ การ ประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร การประเมินหลัง การใช้หลักสูตร และการประเมินหลักสตู รทั้งระบบ การประเมินในแต่ละระยะนนั้ มีรูปแบบการประเมิน หลักสูตรที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรต้องเลือกใช้รูปแบบการประเมินที่เหมาะสมกับระยะการ ประเมินน้ัน ๆ ในบทน้ีได้เสนอรูปแบบการประเมินหลักสูตรของนักพัฒนาหลักสูตรไว้ 5 รูปแบบคือ รูปแบบการประเมินของไทเลอร์ แฮมมอนด์ และ ครอนบัคซ่ึงทั้งสามแนวคิดนี้เป็นรูปแบบการประเมิน หลักสูตรทเี่ นน้ การนำเอาเป้าประสงค์ วัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตรมาเป็นประเด็นในการประเมิน รูปแบบ ประเมินของโรเบริท์ สเตท เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่เน้นการใช้เกณฑ์เป็นหลัก การประเมิน กระบวนการต่าง ๆ ที่ช่วยในการดำเนินการใช้หลักสูตรให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นไปตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้หรือไม่ ส่วนรูปแบบการประเมินหลักสูตรของแดเนียล สตัฟเฟิลบีม เป็นรูปแบบการประเมินที่ เนน้ การตรวจสอบเปรียบเทียบข้อมูลที่เกดิ จากการดำเนินงานหรือปฏบิ ัติงานจรงิ ของการใช้หลักสูตรกับ เกณฑ์มาตรฐานท่ีกำหนดไว้ก่อนผลการประเมินหลักสูตรจะมีความน่าเชื่อเพียงใด อยู่ที่เกณฑ์สำหรับ การใช้พิจารณาตัดสินใจการประเมินหลักสูตรซึ่งประกอบด้วย 1) เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) ซึ่งเน้นความถูกต้องและเช่ือถือได้ของการประเมินหลักสูตร 2) เกณฑ์การนำไป ปฏิบตั ิได้จริง (Practical Criteria) เน้นหลกั การทีก่ ำหนดไวเ้ พ่ือใหก้ ารประเมินหลักสตู รมคี วามเป็นไปได้ จริงในระดับการปฏิบัติและ 3) เกณฑ์ความคุ้มค่า (Prudential Criteria) เป็นหลักการที่กำหนดไว้ เพ่อื ใหก้ ารประเมินหลกั สูตรมีประสทิ ธภิ าพและเกดิ ประโยชน์สงู สุด แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 1. จงสรุปความหมายของการประเมนิ หลกั สูตรตามแนวคิดของตนเอง 2. จงอธบิ ายจดุ มุ่งหมายของการประเมนิ หลกั สตู ร 3. จงเขยี นอธิบายลักษณะสำคัญของการประเมินหลกั สูตรตามแนวคดิ ตนเอง 4. จงเขยี นอธบิ ายระยะเวลาในการประเมนิ หลักสตู รพร้อมระบุวัตถุประสงคใ์ นแต่ละระยะใหเ้ หน็ 5. จงยกตัวอย่างวธิ กี ารประเมนิ หลักสตู รในระยะของการน าหลักสูตรไปใชต้ ามท่ตี นเข้าใจ 6. จงเขยี นผงั กราฟฟกิ รปู แบบการประเมนิ หลกั สูตรทต่ี นเองสนใจอย่างนอ้ ย 3 รปู แบบ 7. จงเขียนเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างรูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์กับของ โรเบริ ์ท สเตค 8. จงเขยี นสรปุ เกณฑ์การประเมนิ คณุ ภาพหลักสตู รพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ 9. จงยกตัวอยา่ งวธิ ีการและเครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการประเมินหลกั สูตรหลกั การใชห้ ลกั สตู ร เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชยั ภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชัยภมู ิ 157
10. การประเมินหลักสูตรแกนกลางการศึกษา พุทธศักราช2551 ในรายวิชาหน้าท่ีพลเมือง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หากนักศึกษาได้รับหน้าที่ประเมินจะเลือก รูปแบบการประเมินหลักสูตรของใครพร้อมใหเ้ หตุผลและอธิบายขน้ั ตอนการประเมนิ เอกสารอ้างอิง ใจทพิ ย์ เชือ้ รัตนพงษ์. (2539). การพฒั นาหลกั สตู ร : หลักการและแนวปฏบิ ัติ. กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาบริหารการศกึ ษา คณะคุรศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ธำรง บวั ศร.ี (2531). ทฤษฎหี ลักสตู ร : การออกแบบและพฒั นา. กรุงเทพฯ: เอราวัณการพพิ ม.์ บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การพฒั นาหลักสตู รและการวจิ ยั เกย่ี วกบั หลกั สูตร. กรงุ เทพมหานคร : สวุ รี ิยาสาสน์. มารตุ พฒั ผล (2556). การประเมินหลักสตู รเพือ่ การเรยี นรู และพัฒนา. พิมพ์คร้ังที่ 2 กรงุ เทพมหานคร : จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์ จ ากดั . รจุ ริ ์ ภ่สู าระ. (2545). การพัฒนาหลักสตู ร : ตามแนวปฏิรปู การการศกึ ษา = Curriculum Development : Education Reform. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัทบุค๊ พอยท์ จำกดั . วชิ ยั วงษ์ใหญ.่ (2523). พฒั นาหลกั สตู รและการสอน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพร์ ุ่งเรอื งธรรม. . (2537). กระบวนการพัฒนาหลักสตู รและการเรียนการสอน ภาคปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน.์ . (2554). การพฒั นาหลักสูตรระดับอดุ มศึกษา. พิมพค์ รั้งท่ี 2 กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อาร์ แอนด์ ปริน้ ท์ จำกัด ศศิธร ขันตธิ รางกูร. (2554). หลกั สตู รและการพฒั นาหลกั สูตร. เลย : มหาวิทยาลัยราชภฏั เลย. โครงการจดั ทำตำราและงานวจิ ยั เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. สงัด อทุ รานันท์. (2532). พื้นฐานและการพฒั นาหลักสตู ร. พมิ พค์ รงั้ ที่ 3 กรุงเทพฯ: มิตรสยาม. สมหวัง พธิ ยิ านุวัฒน์, (2540). รวบรวมบทความทางการประเมินโครงการ. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 5. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . อัญชลี สารรัตนะ.(2547). เอกสารค าสอน วชิ า 211722 : การประเมินหลกั สูตร (Curriculum Evaluation).ขอนแกน่ : สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . Beauchamp,G.A (1975). Curriculum Thoery. 3th ed. Illinois. F.E. Peacook. Publisher. Bloom , B.S. (1972). Taxonomy of Education Objective Handbook 1 : Cognitive Domain. New York : David Mckay Company Inc. Gagne, R.W. (1967). “Curriculum Research and the Promotion of Learning” in Area Monograph Series on Curriculum Evaluation. No.1, Perspective of Curriculum Evaluation, Chicago: Rand Mcnally & Co. Marsh, Collin. And Willis, George (1995). Curriculum Alternative Approaches, Ongoing Issues. New York : Simon & Schuster Company. McNeil, John D. (1981). Curriculum : A Comprehensive Introduction. Boston : เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชยั ภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 158
Little, Brown and Company. Pratt, (1980). Curriculum : Design and Development. New York : Harcourt, Brace Jovanovich. Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York : Harcourt, Brace And World. Tyler,R.W. (1950). Basic Principles of Curriculum and Instruction : Syllabus for Education 305. Chicago : University Chicago Press. Werdelin, I. (1977). “The Feasibility of an Education Plan” in Manual of Education Planning : Evaluation. Linkoping, School of Education, Department of Education Linkoping University. เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชยั ภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎชยั ภมู ิ 159
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 8 หลกั สตู รท้องถิ่นและหลกั สตู รองิ มาตรฐาน หัวข้อเนอ้ื หาประจำบท 8.1 การพัฒนาหลักสูตรทอ้ งถิ่น 8.2 การพัฒนาหลักสตู รอิงมาตรฐาน บทสรุป แบบฝกึ หัดทา้ ยบท เอกสารอา้ งอิง วัตถุประสงค์ เมอ่ื ผู้เรียนศึกษาบทเรียนน้ีแล้วสามารถ 1. วิเคราะหแ์ ละระบุความสำคญั ของหลกั สูตรท้องถน่ิ ได้ 2. วิเคราะหแ์ ละสรุปความหมายของหลักสตู รท้องถนิ่ ตามแนวคดิ ของนักการศึกษาได้ 3. อธบิ ายองคป์ ระกอบสำคัญของหลักสูตรทอ้ งถนิ่ ได้ 4. อธบิ ายแนวทางการจดั ทำหลักสูตรทอ้ งถ่ินได้ 5. สรุปขนั้ ตอนการพฒั นาหลักสตู รทอ้ งถิน่ ได้ 6. วิเคราะห์และระบุความสำคัญของหลักสตู รอิงมาตรฐานได้ 7. วิเคราะห์และสรุปความหมายของหลักสตู รองิ มาตรฐานได้ 8. อธิบายความสำคญั ความสมั พันธแ์ ต่ละองค์ประกอบของหลกั สูตรอิงมาตรฐานได้ 9. สรปุ ข้นั ตอนการพฒั นาหลักสูตรอิงมาตรฐานได้ วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 วธิ สี อนแบบอภิปราย 1.2 วธิ ีสอนแบบบรรยาย 1.3 วธิ ีสอนแบบกลมุ่ เรียนรู้ 2. เทคนคิ การสอน 2.1 การใชค้ ำถาม 2.2 กระบวนการกลุม่ 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ข้ันนำ 3.1 ผู้สอนเชือ่ มโยงเนอื้ หากบั บทเรียน พร้อมแจ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เน้ือสาระกิจกรรม การเรยี นรู้และชิ้นงานท่จี ะเกิดขึน้ ในการเรียนรู้ครง้ั น้ดี ว้ ย Power Point ขนั้ สอน 3.2 นักศึกษาดูวีดิทัศน์ “ถอดรหัสหลักสูตร ตอน หลักสูตรท้องถิ่น” แล้วร่วมกันอภิปราย เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 160
เก่ียวกับตัวอย่างการได้มาซ่ึงหลักสูตรท้องถิ่น ความสำคัญของหลักสูตรท้องถ่ิน ข้ันตอนการพัฒนา หลักสูตรท้องถ่นิ ขน้ั จัดกิจกรรม 3.3 นักศกึ ษาเข้ากลมุ่ ๆ ละ 3-4 คน รว่ มกนั สรปุ เขยี นแผนภมู ิลงในกระดาษปร๊ฟุ โดย เสนอประเด็นตอ่ ไปนี้ 3.3.1 ความสำคญั ของหลักสูตรท้องถ่นิ 3.3.2 แนวทางการจดั ทำหลักสตู รทอ้ งถิ่น 3.3.3 ขั้นตอนการพฒั นาหลักสตู รท้องถน่ิ 3.4 ผ้สู อนบรรยายเก่ยี วกบั หลกั สตู รท้องถ่นิ และหลักสตู รอิงมาตรฐาน ด้วย Power Point และนำเสนอตัวอย่าง “หลักสูตรทอ้ งถิ่น” พร้อมซกั ถาม 3.5 นักศึกษาตรวจสอบความถูกต้องการสรุปสาระต่าง ๆ ในแผนภูมิก่อนนำไปติดหน้า ชั้นเรียน 3.6 ผู้สอนนำเสนอ “มาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์” ของหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ให้นักศึกษาวิเคราะห์ว่า “มาตรฐานการเรียนรู้” บอกอะไรแก่ “ครผู ู้สอน” “ผปู้ กครอง” และ “นกั เรียน” 3.7 ผู้สอนและนักศึกษาร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับความหมาย และความสำคัญของ หลกั สตู รองิ มาตรฐาน 3.8 นักศึกษาจัดกลุ่มใหม่ตามความสนใจ กลุ่มละ 3-4 คน ให้ศึกษา 1) องค์ประกอบของ หลักสูตรอิงมาตรฐาน 2) ความสัมพันธ์แต่ละองค์ประกอบของหลกั สูตรอิงมาตรฐาน และ 3) ขั้นตอนการ พัฒนาหลกั สูตรองิ มาตรฐาน โดยให้นำเสนอผลการศกึ ษาตามวิธกี ารหรือรูปแบบท่กี ลุ่มสนใจ 3.9 กลุ่มนำเสนองาน สมาชิกในหอ้ งรว่ มกันอภปิ รายซักถามในเชิงวเิ คราะห์ ผสู้ อนเตมิ เต็ม ความรู้ 3.10 ผู้เรียนแต่ละคนสรุปรายละเอียดเติมเต็มเกี่ยวกับ หลักสูตรอิงมาตรฐานตามท่ีตนเอง เข้าใจเขยี นลงสมุดบันทึก ขนั้ สรปุ 3.11 ผู้สอนสรุปประเด็นสำคญั ของหลักสตู รท้องถิน่ และหลกั สตู รองิ มาตรฐานดว้ ย Power Point พรอ้ มซกั ถาม 3.12 นักศึกษารว่ มแลกเปลย่ี นเรยี นร้โู ดยชมผลงานทเี่ พื่อนนำเสนอหน้าชน้ั 3.13 ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น ส่อื การเรียนร/ู้ แหลง่ เรยี น 1. เอกสารประกอบการสอน เร่ืองการพฒั นาหลักสูตร 2. Power Point หัวข้อที่บรรยายเรื่องหลักสูตรท้องถ่ิน และหลักสูตรอิงมาตรฐาน 3. ใบงาน และตัวอย่างใบงาน เร่ือง หลกั สตู รท้องถนิ่ และหลักสูตรองิ มาตรฐาน 4. หนงั สือความรู้ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับ หลักสตู รท้องถ่ิน และหลักสตู รองิ มาตรฐาน 5. เว็บไซต์ทางการศกึ ษา หลกั สูตรท้องถิ่น และหลกั สตู รองิ มาตรฐาน เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ชัยภูมิ 161
6. บทเรยี นออนไลน์ รายวชิ า การพัฒนาหลกั สตู ร การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. สังเกตการตอบคำถามและต้งั คำถาม 2. สงั เกตจากการอภปิ ราย ซักถาม และการแสดงความคดิ เห็น 3. วดั เจตคติจากการสงั เกตพฤติกรรมความกระตือรอื ร้นในการทำงาน 4. กิจกรรมและคณุ ภาพของงาน 5. ประเมินผลจากการทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท บทที่ 8 หลกั สตู รท้องถน่ิ และหลกั สูตรอิงมาตรฐาน บทนำ หลักสูตรแกนกลางของชาติเป็นเครื่องที่ใช้ในการพัฒนาของคนในประเทศ โดยมีมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมาย ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพื่อให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปปรับใช้ให้ สอดคล้องกับสภาพสังคม ชุมชนของท้องถิ่น โดยการจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินหรือเรียกว่า หลักสูตรทอ้ งถิน่ เพื่อให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้จากบริบทสภาพจริ งของสังคมชุมชมตนเอง ในบทน้ีจึงได้กล่าวถึง การพัฒนาหลักสูตรท้องถ่นิ และหลกั สูตรอิงมาตรฐาน 8.1 หลกั สตู รทอ้ งถ่นิ 8.1.1 ความสำคญั ของหลกั สตู รท้องถิน่ ถึงแม้ว่ามีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางของชาติซ่ึงเป็นหลักสูตรแม่บทท่ีสถานศึกษานำไป เป็นแนวทางในจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ซึง่ หลักสูตรสถานศึกษาจะต้องเป็นหลักสูตรที่ตอบสนองความ ต้องการและความจำเป็นของท้องถิ่นในปัจจุบันนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง เน่ืองจาก พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 27 ได้กำหนดให้สถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐานมี หน้าที่พัฒนาหลักสูตร เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภูมิ 162
ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น เพ่ือปลูกฝังความรักในท้องถ่ิน จึงมีความสำคัญย่ิง เหตุผลและความจำเป็นดังน้ี (ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์, 2539 ; สนุ นั ทา สุนทร ประเสรฐิ , 2544 อ้างใน ฆนัส ธาตทุ อง, 2550) 1) หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรแม่บทได้กำหนดจุดหมาย เนื้อหาสาระ และ กิจกรรมอย่างกว้าง ๆ เพ่ือให้ทุกคนได้เรียนรู้คล้ายคลึงกันทำให้กระบวนการเรียนการสอนมุ่งเน้ือหา สาระและประสบการณ์ท่เี ป็นหลักการท่วั ๆ ไป 2) การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยมี ีผลกระทบโดยตรงต่อทรรศนะและการดำเนินชวี ิตของคนไทยท้ังในเมืองและชนบท 3) การเรียนรู้ที่ดีควรจะเรียนรู้จากส่ิงท่ีใกล้ตัวไปยังส่ิงที่ไกลตัวเพราะเป็นกระบวน การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถดูดซับได้รวดเร็วกว่า การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นจะช่วยปลูกฝังให้ ผเู้ รียนมคี วามรักและความผูกพนั รวมทงั้ ภาคภูมิใจในท้องถ่นิ ของตน 4) ทรัพยากรท้องถิ่นโดยเฉพาะภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือภูมิปัญญาชาวบ้านในชนบท ของไทยมีอยู่มากมายและมีค่าบ่งบอกถึงความเจริญมาเป็นเวลานาน หลักสูตรแม่บทหรือหลักสูตร แกนกลางไม่สามารถนำเอาทรัพยากรทอ้ งถิ่นดงั กลา่ วมาใชป้ ระโยชน์ได้ 5) การตอบสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับพุทธศักราช 2542 มาตรา 27 คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานเป็นผู้กำหนดหลักสูตรแกนกลางและการศึกษาขั้น พ้ืนฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพตลอดจน เพือ่ การศึกษาต่อ 6) การตอบสนองต่อสภาพในชุมชนและสังคม สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าท่ีจัดทำ สาระของหลักสูตรขึ้นมาใช้เอง ในส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถ่ินและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์โดยให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถ่ินเพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดีของ ครอบครวั ชุมชน สังคมและประเทศชาติ 7) การตอบสนองต่อการปฏิรูปหลักสูตรตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2524 มุ่งเน้นปฏิรูปหลักสูตรให้เหมาะสมกับท้องถิ่นและเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้เข้ามามี ส่วนในการพัฒนาหลักสูตร เพ่ือให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับวิถีชีวิต การประกอบอาชีพซ่ึงจะช่วย ให้ผู้เรียน สามารถดำรงชีวิตอยู่ในท้องถิ่นอย่างมีความสุข ท้ังเพ่ือการตอบสนองต่อการปฏิรูปหลักสูตร ตามพระราชบญั ญัติ การศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2542 8.1.2 ความหมายของหลกั สตู รท้องถิ่น หลักสูตรท้องถิ่น เป็นหลักสูตรที่มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของ ชุมชนท่ีจะต้องใช้หลักสูตรน้ัน ๆ นอกจากน้ีชุมชนและบุคคลได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรด้วย ดังน้ัน หลักสูตรท้องถิ่นจะก่อให้เกิดผลทางปฏิบัติและอำนวยประโยชน์ท่ีแท้จริงต่อท้องถิ่นที่มีส่วน เก่ียวขอ้ ง มีนักการศกึ ษาให้ความหมายหลักสตู รท้องถิ่น ดงั น้ี ฆนัท ธาตุทอง (2550: 151 ) ให้ความหมายหลักสูตรท้องถิ่น หมายถึง หลักสูตรที่ท้องถิ่น สร้างขึ้นเองหรือการพัฒนาจากหลักสูตรแกนกลาง โดยการปรับขยาย เพิ่ม หรือสร้างหลักสูตรย่อย ข้ึนใหม่ โดยมีเน้ือหาสาระสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของแต่ละท้องถ่ินเพื่อให้ผู้เรียนได้มี เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชยั ภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชัยภมู ิ 163
โอกาสเรียนรู้เรื่องราวของตน เรียนรู้อาชีพ สภาพเศรษฐกิจ สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ในท้องถิ่นเพ่อื นำไปแก้ปัญหา พฒั นาชีวติ ของตนเองครอบครวั และท้องถน่ิ ได้ ชัยวัฒน์ สุทธ์รัตน์ (2556: 186) ให้ความหมาย หลักสูตรท้องถิ่น ว่าเป็นหลักสูตรที่สร้าง ข้ึนให้สอดคล้อกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้เรียน วัฒนธรรม เอกลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น รวมทั้ง ปัญหาและคามต้องการของสังคมที่ใช้หลักสูตรน้ัน ๆ โดยการเปดิ โอกาสให้ผู้ใช้หลักสูตรได้มสี ่วนรว่ มใน การพัฒนาหลักสตู ร โบแชมป์ (Beauchamp, 1981) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นนั้นควรให้ผู้ใช้ หลักสูตรได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีอาณาเขต ( Area) ท่ีเหมาะสมของหลักสูตรว่าควรจะอยู่ที่โรงเรียนแต่ละแห่ง ท้ังน้ี เน่ืองจากชุมชนแต่ละแห่งจะมีสภาพ ปัญหาและความต้องการแตกต่างกันและการพัฒนาหลักสูตรควรเปิดโอกาสให้ครูได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นใช้ เองโดยสะดวกด้วย หลักสูตรท้องถิ่นเป็นการขยายและปรับปรุงหลักสูตรระดับชาติ คือคำว่า “การขยาย” หมายถึง การนำเอาท้ังจุดหมายและเน้ือหามาขยายความ คือ ขยายออกจากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ขยายเน้ือหาเพิ่มขึ้นมีรายละเอียดท่ีครูจะนำไปใช้สอนได้ ส่วนการ “ปรับ”ก็คือ การนำเอาจุดหมายและ เนื้อหาวชิ ามาปรับให้สอดคล้องกับสภาพสงั คมภมู ิศาสตร์และความต้องการของประชาชนในแต่ละเขต สรุปว่าหลักสูตรท้องถ่ินเป็นหลักสูตรที่สถานศึกษาหรือหน่วยงานในท้องถ่ินสร้างข้ึนอาจ แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 1) หลักสูตรอิงหลักสูตรแม่บท อาจเป็นการขยายหรือปรับจากหลักสูตรแม่บทเร่ือง หลักสูตรแกนกลางของชาติ และ 2) หลักสูตรท่ีอิงสภาพปัญหาและการตอบสนองต่อความต้องการของ ท้องถิ่น ท้ังนี้หลักสูตรท้องถ่ินสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อสาระหรือประสบการณ์ท่ีสอดคล้อง กับสภาพชีวิตจริงของผู้เรียน รวมถึงประสบการณ์เกิดจากความต้องการของชุมชนเพ่ือเปิดโอกาสให้ ผูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรคู้ วามเปน็ เอกลกั ษณะความเป็นท้องถ่นิ 8.1.3 องค์ประกอบของหลักสูตรท้องถิ่น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553: 23 -24) ได้กล่าวถึงระบบการศึกษาใน ปัจจุบันมีการกระจายอำนาจให้ท้องถ่ินและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรในส่วนท่ี สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่ิน ดังน้ี สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาจะต้องเป็น ตัวกลางในการประสานความร่วมมือกับโรงเรียนและชุมชนในการร่วมกันคิดและจัดท ำกรอบหลักสูตร ระดับท้องถิ่นเพ่ือให้สถานศึกษาภายในเขตพื้นที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในเรื่องที่ เกย่ี วขอ้ งกับท้องถิ่นในแง่มุมต่าง ๆ ทัง้ ด้านเศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม เป็นตน้ เพื่อให้ผเู้ รยี นได้มโี อกาส ได้เรียนรู้เร่ืองราวของชุมชน ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความผูกพันกับท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในการเป็น สมาชิกของชมุ ชนเพ่ือให้การจัดทำหลักสตู รท้องถ่ินไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เสนอองค์ประกอบสำคัญ ของหลักสูตรทอ้ งถน่ิ 3 ประการ ดังนี้ 1) เป้าหมายและจุดเน้น เขตพ้ืนที่การศึกษาหรือหน่วยงานระดับท้องถิ่นเป็น หน่วยงานสำคัญท่ีจะช่วยขับเคลื่อนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาภายในเขตหรือท้องถิ่นเพื่อให้ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางและผู้เรียนได้มี โอกาสเรียนรใู้ นเรอื่ งเกย่ี วกบั ชุมชนท้องถิ่น 2) สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เป็นส่วนท่ีให้ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อหรือประเด็นที่ผู้เรียนใน ท้องถ่ินควรเรียนรู้หรือได้รับการปลูกฝังในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชนนั้น เพ่ือให้เกิดความรัก ความ ภาคภูมิใจ และต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพแวดล้อมใน เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 164
ท้องถ่ิน การกำหนดสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินควรกำหนดในขอบเขตประเด็นสำคัญ พร้อมทั้งมีคำอธิบาย ประกอบในแต่ละประเด็นพอสังเขปเพื่อครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในเร่ือง เก่ียวกับท้องถ่ิน เช่น ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของท้องถิ่น สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เศรษฐกิจ สังคม วิถีชวี ิต ศลิ ปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภมู ิปญั ญาท้องถิ่น ในสว่ นท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ชุมชนและท้องถิ่น 3) การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับท้องถ่ิน การประเมินคุณภาพผู้เรียน และ การรายงานผลการศึกษาระดับท้องถ่ิน เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพการศึกษาเพื่อเป็นการ ตรวจสอบว่าคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางตลอดจนเป้าหมายและจุดเน้น ซึ่งกำหนดเป็น คุณภาพผเู้ รียนในพ้นื ท่ีนน้ั บรรลผุ ลหรือไมเ่ พยี งใด และมีอะไรจะตอ้ งปรับปรงุ พัฒนาต่อไป 8.1.4 แนวทางการจดั ทำหลักสตู รท้องถ่นิ การพัฒนาหลักสตู รตามความต้องการของทอ้ งถิน่ น้นั สถานศึกษาสามารถดำเนินการไดใ้ น ได้ใน 5 ลักษณะ คือ (กรมวชิ าการ, 2540: 26 ) 1) การปรับกิจกรรมการเรียนการสอนหรือจัดกิจกรรมเสริม การพัฒนาหลักสูตร ลักษณะ ท้องถิ่นสามารถกระทำได้กับทุกกลุ่มวิชาในทุกระดับช้ันโดยปรับปรุงจากหลักสูตรแกนกลาง โดยไม่ทำให้จุดประสงค์ของหลักสตู รเปล่ียนแปลง กอ่ นลงมือพฒั นาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพและ ความตอ้ งการของทอ้ งถ่ิน คำอธิบายรายวิชาที่กำหนดไวใ้ นหลักสูตรจะประกอบดว้ ยสว่ นต่าง ๆ คอื 1.1) กิจกรรม ได้แก่ ส่วนท่ีระบุถึงแนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ต้อง จัด ใหแ้ กผ่ ้เู รียน สังเกตได้จากคำว่า ศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง สำรวจ ฝกึ ปฏิบัติ วเิ คราะห์ อภปิ ราย 1.2) เน้ือหา ได้แก่ ส่วนท่ีระบุถึงหัวข้อหรือขอบข่ายของเน้ือหาท่ีจะนำมาให้ ผเู้ รยี น เรียนรหู้ รือฝึกฝนเพื่อใหบ้ รรลตุ ามจุดประสงค์ 1.3) จุดประสงค์ ได้แก่ ส่วนที่ระบุพฤติกรรมท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน หลังจากที่ได้เรียนรู้หรือฝึกทักษะตามที่ได้ระบุไปแล้วในส่วนท่ี 1 และ 2 พฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดนี้ จะตอ้ ง ประกอบดว้ ยส่วนทีเ่ ปน็ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และกระบวนการ 2) การปรับรายละเอียดของเน้ือหา กาพัฒนาหลักสูตรด้วยการปรับรายละเอียดของ เนื้อหานี้ มีวิธีการเช่นเดียวกับการพัฒนาหลักสูตรด้วยการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนหรือจัด กจิ กรรมเสริม กล่าวคือ เม่ือท้องถ่ินวิเคราะหพ์ บว่า แนวปฏบิ ัติในการพัฒนาเพ่อื บรรลุถึงเป้าหมายที่ระบุ ไวใ้ นจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของรายวิชาในหลกั สูตร ให้สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นได้ด้วยการเพ่ิมหรือ ปรับได้ตามความเหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรลักษณะนี้ท้องถิ่นสามารถกระทำได้กับทุกกลุ่ม ประสบการณ์หรือรายวิชา และสามารถจะดำเนินการไดเ้ อง โดยรายละเอียดต่าง ๆ ทพ่ี ฒั นาน้จี ะปรากฏ ในแผนการสอน 3) การปรับปรุงหรือเลือกใช้ส่ือการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตรของท้องถ่ิน ดว้ ยการ ปรบั ปรุงและเลอื กสื่อการเรียนน้เี ป็นกระบวนการพัฒนาทีต่ อ่ เน่ืองมาจากการท่ีทอ้ งถิน่ ได้ลงมือ พัฒนาหลักสูตรตามลักษณะที่ 1 และ 2 มาแล้ว กล่าวคือ เมื่อท้องถิ่นปรับกิจกรรมการเรียนการสอน และปรบั รายละเอียดของเน้ือหาเพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการแลว้ สอ่ื การเรียนการสอน ทม่ี อี ยู่โดยท่วั ไปกอ็ าจไมส่ อดคล้องกบั กจิ กรรมและเนื้อหาที่พฒั นาไป เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชยั ภกั ดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 165
4) การจัดทำส่ือการเรยี นการสอนข้ึนใหม่ ในกรณีที่ผลของการศกึ ษาวิเคราะห์ ความ ต้องการของท้องถิ่นพบว่า ในแนวปฏิบัติเพื่อการพัฒนานั้นมีความจำเป็นต้องพัฒนาส่ือการเรียน ต่าง ๆ ขน้ึ ใหม่ท้องถนิ่ สามารถจะดำเนินการได้ 5) การจัดทำคำอธิบายรายวชิ าเพิ่มเติม การพัฒนาหลักสูตรลักษณะนี้เป็นการจัดทำ วิชาหรือรายวิชาขึ้นใหม่หลังจากที่ศึกษาแล้ว พบว่า สิ่งที่ควรจะมีการพัฒนาน้ัน ไม่มีปรากฏอยู่ใน หลกั สูตรของกลมุ่ ประสบการณห์ รือรายวชิ าหรอื กล่มุ วชิ าใด ๆ ในหลกั สูตรแม่บทการพัฒนาหลกั สูตร 8.1.5 ข้ันตอนการพฒั นาหลกั สตู รทอ้ งถ่นิ การพัฒนาหลกั สูตรท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ท้งั ในระดับโรงเรียน กลุ่มโรงเรียน ระดับ อำเภอ ระดับจงั หวัด และระดบั เขตพ้ืนที่การศึกษา โดยดำเนินการตามขั้นตอนดงั น้ี (ชัยวฒั น์ สุทธิรัตน์, 2556: 121-123) ขั้นท่ี 1 จัดต้ังคณะทำงานเพื่อจัดทำหลักสูตร โดยผู้บริหารโรงเรียนคัดเลือกครู ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการในท้องถิ่น ตลอดจนผู้นำชุมชนและปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ๆ มาเป็น คณะทำงานเพอ่ื รา่ งหลักสตู รทอ้ งถ่นิ ข้ันที่ 2 ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน คณะทำงานต้องทำการศึกษาสภาพและความ ต้องการของท้องถิ่นเพ่ือให้หลักสูตรน้ัน ๆ เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยรวบรวมข้อมูลจาก คนในทอ้ งถ่นิ ด้วยวธิ กี ารสัมภาษณ์ การสังเกต เป็นต้น สำรวจความต้องการของผเู้ รียน ข้ันท่ี 3 กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะทำงานจะตอ้ งศกึ ษาสภาพปัญหาและ ความ ต้องการของท้องถ่ินและผู้เรียน จากน้ันกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนเมื่อเรียนจบ รายวิชานนั้ ๆ ทส่ี ำคัญคือจะต้องเป็นจุดมุ่งหมายท่สี ามารถเป็นไปไดจ้ ริงในทางปฏบิ ตั ิ ข้ันที่ 4 กำหนดเน้ือหา เป็นการนำจุดมุ่งหมายของหลักสูตรในข้ันท่ี 3 มาวิเคราะห์และ กำหนดเนื้อหาสาระของรายวิชาอย่างกว้าง ๆ ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายวิชาน้ัน ๆ จากนั้นจึง แยกออกเป็นเนื้อหาย่อย ซ่ึงในส่วนน้ีสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละท้องถิ่นและ ผู้เรยี นได้ ตลอดจนมคี วามตอ่ เนอื่ งกับรายวชิ าในข้นั ต้นและรายวิชาตา่ ง ๆ ข้ันที่ 5 กำหนดกิจกรรม พิจารณาจากจุดประสงค์แต่ละข้อ การกำหนดกิจกรรมไม่ควร มากหรือน้อยเกินไป เน้นทักษะกระบวนการ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรม โดยมีครูเป็นผู้ประสาน กิจกรรมและชี้แนะแกผ่ เู้ รยี น ขั้นท่ี 6 กำหนดคาบการเรียน ถ้ารายวิชาที่จัดทำได้กำหนดให้เป็นวิชาบังคับเลือก คาบเวลาเรียนที่กำหนดจะตอ้ งเป็นไปตามท่ีระบุไว้ในโครงสรา้ งของหลักสูตร ขน้ั ท่ี 7 กำหนดเกณฑ์การวดั และประเมินผล คณะท่ีทำงานควรกำหนดเกณฑ์การวัด และ ประเมนิ ผลในรายวิชาที่ทำข้ึนใหม่เพ่ือผ้นู ำหลักสตู รไปใชจ้ ะได้วัดและประเมินผลได้ตรงตาม เจตนารมณ์ ของหลักสูตร สิ่งที่ควรระบุคือรายวิชาที่สร้างขึ้นจะมีการวัดและประเมินผลแบบใด ก่อนเรียน ระหว่าง เรียน/หรือเมอ่ื จบหลกั สตู ร ใช้วิธกี ารเครอ่ื งมือและเกณฑ์ใดในการวดั และประเมนิ ผล ข้ันที่ 8 จัดทำเอกสารหลักสูตร หลังจากจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นในรายวิชาใหม่แล้วควร จะต้องจัดทำเอกสารหลักสูตร เช่น แผนการสอน คู่มือครู หนังสืออ่านเพ่ิมเติม และเอกสาร ประกอบการเรียนการสอนตา่ ง ๆ เป็นต้น เพื่อใหผ้ ใู้ ชห้ ลกั สูตรสามารถนำไปใชอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ ข้ันที่ 9 ตรวจสอบคุณภาพและทดลองใช้หลักสูตร คณะทำงานควรจะพิจารณาร่วมกัน เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดอื นเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชยั ภูมิ 166
หรือใหผ้ ู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร เช่น จดุ มุ่งหมายของหลักสูตร เน้อื หา กจิ กรรม การวัดประเมินผล และองคป์ ระกอบอน่ื ๆ ของหลักสตู รมีความสอดคลอ้ งกนั หรือไม่ ข้ันที่ 10 เสนอขออนุมัติใช้หลักสูตร เมื่อตรวจสอบคุณภาพและแก้ไขหลักสูตรท้องถ่ินท่ี สร้างข้ึนเรยี บร้อยแล้ว จะต้องนำหลักสตู รท่ีสร้างขน้ึ ใหม่เสนอต่อผมู้ ีอำนาจในการอนุมัติใชห้ ลกั สูตร ข้ันท่ี 11 นำหลักสูตรไปใช้ โดยคณะทำงานจะต้องทำการวางแผนการใช้หลักสูตรโดย เตรียมการอบรมครูเก่ียวกับวิธีการใช้หลักสูตร ควรจัดในรูปการประชุมเชิงปฏิบัติการและเมื่อการ ประชุมสิ้นสุดลงแล้ว ผู้บริหารหรือผู้ได้รับมอบหมายจะต้องนิเทศติดตามผลของการใช้หลักสูตรของครู ดว้ ย เพอื่ ใหก้ ารสอนเปน็ ไปตามจุดมงุ่ หมายของหลักสตู รและขอ้ กำหนดต่าง ๆ ในหลักสูตร ขั้นท่ี 12 ประเมินผลหลักสูตร หลังจากครูนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนระยะหนึ่งแล้ว โรงเรียนควรจัดให้มีการพิจารณาถึงคุณค่าของหลักสูตรว่าเป็นอย่างไร ให้ผลตรงตามจุดมุ่งหมายของ หลกั สูตรทกี่ ำหนดไวห้ รอื ไม่ ต้องปรบั ปรงุ แก้ไขในสว่ นใด หรอื ควรจะยกเลกิ หลักสูตรนัน้ ไป กล่าวโดยสรุปแล้วการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นควรดำเนินการให้ครบทุกขั้นตอน ซึ่งมี ขั้นตอนหลัก ๆ คือ การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร การศึกษาข้อมูลพื้นฐานการกำหนด องค์ประกอบของหลักสูตรที่ประกอบด้วย จุดมุ่งหมาย เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอนและการวัด ประเมินผล หลังจากนั้นจึงดำเนินการจัดทำเอกสารหลักสูตรและคู่มือการใช้หลักสูตรแล้วนำไปให้ ผู้เช่ียวชาญช่วยตรวจสอบคุณภาพ นำมาปรับปรุงอีกครั้งแล้วจึงนำไปทดลองใช้อาจมีการปรับปรุงอีก ครั้ง แล้วจึงนำมาขออนุมตั ิใช้หลักสูตรกับผู้มีอำนาจในการอนุมัติหลังจากน้ันจึงนำหลักสูตรไปใช้ และมี การติดตามการใช้หลกั สตู รอย่างตอ่ เน่ืองเพื่อนำผลมาปรบั ปรุงพฒั นาหลกั สตู รใหท้ ันสมัยอยู่เสมอ 8.2 หลกั สูตรองิ มาตรฐาน 8.2.1 ความสำคญั ของหลกั สูตรอิงมาตรฐาน เพ่ือเป็นหลักประกันว่าเยาวชนของชาติจะได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพเท่าเทียมกัน ส่วนกลางจึงได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ขึ้นเพื่อเป็นเกณฑ์กลางที่ใช้ในการเทียบเคียง ตรวจสอบ คุณภาพการจัดการศกึ ษาของสถานศึกษาแต่ละแห่ง มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเกณฑ์คุณภาพสำคญั ท่ีบ่งชี้ถึง ระดบั ความร้คู วามสามารถทตี่ ้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน (สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2553: 3) ผู้เรียน มาตรฐานช่วยให้ผู้เรียนทราบถึงส่ิงท่ีคาดหวังจากการเรียนของเขา ว่าเขาจะต้อง ทำอะไรบ้างเพอื่ ใหถ้ ึงมาตรฐานที่กำหนด ครู มาตรฐานเป็นกรอบทิศทางช่วยครูในการสร้างหลักสูตร ออกแบบการเรียนการสอน และการประเมินผล ผู้ปกครอง มาตรฐานช่วยให้การสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครองเกิดความเข้าใจท่ี ชดั เจนตรงกัน โรงเรยี นและผปู้ กครองพูดภาษาเดียวกันเกี่ยวกับเร่ืองหลกั สูตร ชุมชน และสถานศึกษา มาตรฐานเป็นเสมือนความคาดหวังทางการศึกษาที่ทุกฝ่าย กำหนด ไว้ร่วมกัน ชว่ ยใหน้ ักการศึกษาและผทู้ ่เี กย่ี วขอ้ งกบั การศึกษาในระดบั ท้องถน่ิ 8.2.2 ความหมายหลกั สตู รอิงมาตรฐาน รุ่งนภา นุตราวงศ์ (2552: 15 ) ให้ความหมายของหลักสูตรอิงมาตรฐานคือหลักสูตรที่มุ่ง จดั การเรียนการสอนเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาไปสเู่ ปา้ หมายทกี่ ำหนด ผู้เรียนบรรลุมาตรฐาน เนอื้ หา เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลักสตู ร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ 167
เก่ียวกับองค์ความรู้ท่ีสำคัญ (Essential Knowledge) ทักษะ (Skills) และพัฒนาการด้านจิตใจ และ ความนึกคิด (Habits of Mind) และมาตรฐานการปฏิบัติเกี่ยวกับคุณภาพและระดับ (Degree) ท่ี ผเู้ รยี นต้องรหู้ รือทำส่ิงนั้นได้ สรุปได้ว่าหลักสูตรอิงมาตรฐาน หมายถึงหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย หรือเป็นกรอบทิศทางในการกำหนดเน้ือหา ทักษะกระบวนการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ ประเมินผลเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานเนื้อหาเกี่ยวกับองค์ความรู้ท่ีสำคัญ (Essential Knowledge) ทักษะ (Skills) และ พัฒนาการด้านจิตใจและความนึกคิด (Habits of Mind) และ มาตรฐานการปฏิบัติเกีย่ วกบั คณุ ภาพ และระดบั (Degree) ท่ผี เู้ รยี นตอ้ งรู้หรือทำตามท่ีมาตรฐานกำหนด 8.2.3 องค์ประกอบของหลกั สตู รอิงมาตรฐาน หลักสูตรอิงมาตรฐานเป็นหลักสูตรที่มมี าตรฐานเป็นเป้าหมายและเปน็ กรอบทิศทางในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถและทักษะตามมาตรฐานกำหนด ดังนั้น องค์ประกอบ ของหลักสตู รจึงมีความสำคญั นกั การศึกษากล่าวถงึ องค์ประกอบของหลกั สตู รอิงมาตรฐานไว้ดงั น้ี สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2547) ; ไตรรงค์ เจนการ (2548) ; ดักลาส และจูดี้ (Douglas and Judy, 1966 ) กล่าววา่ หลกั สูตรองิ มาตรฐานมอี งค์ประกอบสำคัญสอดคลอ้ งกัน ดงั น้ี 1) วิสัยทศั น์ภารกิจ เป้าหมาย สะท้อนว่าโรงเรียนมีภารกิจหลักท่ีพัฒนานักเรียนไปสู่ มาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกำหนดไว้ในระดับชาติส่วนจุดเน้นอ่ืน ๆ ซ่ึงรวมถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท่ี โรงเรียนต้องการเน้น เป็นส่ิงท่ีเสริมเพ่ิมเติมตามความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทและความต้องการ ของผู้เรียนและชุมชน 2) โครงสร้างหลักสูตร มีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ขอบข่าย สาระ หลัก เวลาเรียน (ช่ัวโมง/หนว่ ยกิต) กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน เกณฑก์ ารจบหลักสูตรหรือการผา่ นชว่ งชั้น 3) คำอธิบายรายวิชา (โครงสร้างรายวิชา) ระบุมาตรฐานช่วงช้ันท่ีต้องการพัฒนา ผู้เรียนเพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน การประเมินผล การรายงานผลและการเทียบโอน เนอ้ื หา สาระหลัก วธิ กี ารประเมนิ ผลและเวลาเรยี น 4) หน่วยการเรียนร้เู ป็นขั้นตอนท่ีสำคัญที่สุดในการจดั ทำหลกั สูตรอิงมาตรฐานเพราะ เป็นสว่ นท่นี ำมาตรฐานไปสู่การปฏิบัติในการเรียนการสอนอยา่ งแท้จริง ดักลาส และจูด้ี (Douglas and Judy, 1966: 28 ) กล่าวว่า หน่วยการเรียนแบบอิง มาตรฐานจะมุง่ เน้นมาตรฐานท่ีเป็นเป้าหมายของหน่วยการเรียนเป็นสำคัญ จึงช่วยให้เกิดความมั่นใจว่า เม่ือเรียนจบหน่วยนั้นแล้วผู้เรียนทุกคนจะมีความรู้และทักษะตามมาตรฐานเป้าหมายซง่ึ หน่วยการเรียน แบบองิ มาตรฐานประกอบดว้ ย 7 องคป์ ระกอบคือ 1. หวั เรือ่ งหรือประเด็นคำถามของหน่วยการเรียน 2. มาตรฐานการเรียนรสู้ ำหรับการสอนและการประเมนิ ในหนว่ ยการเรยี น 3. กิจกรรมการเรียนการสอน 4. ชิน้ งานหรือภาระงานทผ่ี ้เู รียนปฏบิ ตั ซิ ง่ึ ใช้ในการประเมนิ การเรียน 5. เกณฑก์ ารประเมินทีส่ รา้ งขนึ้ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมาย 6. การใหค้ ะแนน ใชส้ ำหรบั การประเมินและสอื่ สารให้ผูอ้ ่ืนรเู้ กีย่ วกับผลการเรยี น 7. ผลงานตัวอย่างท่ีสะสมรวบรวมอย่างต่อเน่ืองเป็นเวลานานพอสมควรเพื่อ เป็นตัวอย่างแก่ผู้เรียนได้เห็นว่าผลงานที่ได้มาตรฐานมีลักษณะอย่างไรและสามารถใช้ผลงานเป็น เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพฒั นาหลกั สตู ร ผศ.ดร.เดือนเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ชัยภูมิ 168
แนวทางในการประเมนิ และปรับปรุงหนว่ ยการเรยี น องคป์ ระกอบทั้ง 7 ประการในหน่วยการเรียนแบบ องิ มาตรฐานมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันโดยตลอด องค์ประกอบตัวหนึง่ จะสง่ ผลถึงองค์ประกอบตวั อน่ื ๆ ต่อเน่ืองเป็นลูกโซ่ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของหลักสูตรอิงมาตรฐานมิได้แตกต่างจากหลักสูตรโดยทั่ว ๆ ไป กล่าวคือมหี ลกั การ จุดมงุ่ หมาย โครงสร้างหลักสูตร แนวดำเนินการและหลกั เกณฑ์การใช้หลักสตู ร แตม่ ี ข้อแตกต่างท่ีชัดเจนคือหลักสูตรอิงมาตรฐานจะยึดมาตรฐานเป็นหลักในการออกแบบโครงสร้าง หลักสูตร การกำหนดรายวิชา การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ตลอดจนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ รวมท้ังการออกแบบการประเมินผลทุกกระบวนการพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐานยึดมาตรฐานเป็นหลั ก แตกต่างจากหลักสูตรอนื่ ๆ ท่อี ิงกจิ กรรมเปน็ หลกั จากองค์ประกอบของหลักสูตรอิงมาตรฐาน 8.2.4 ขน้ั ตอนการพัฒนาหลักสตู รองิ มาตรฐาน การสร้างและพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐานอย่างเป็นระบบเช่ือมโยงต่อกันทุกองค์ประกอบ ของหลักสูตรมีจดุ เรมิ่ ตน้ และเป้าหมายทมี่ าตรฐานการเรยี นรทู้ ีช่ ัดเจน มีนกั การศกึ ษากลา่ วไวด้ ังน้ี ไตรรงค์ เจนการ (2548: 24 - 26) กล่าวถึงระบบการสร้างและพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐาน ว่าเป็นระบบท่ีมีความเช่ือมโยงต่อเนื่องไม่ขาดสายของแต่ละองค์ประกอบภายในที่ท ำตามมาตรฐานที่ กำหนด ไว้มีจุดเร่ิมต้นและเป้าหมายที่ชัดเจน การคิดเชิงระบบในการสร้างหลักสูตรอิงมาตรฐาน มี ข้นั ตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาทั้ง 8 กลุ่มสาระ ซึ่งมีมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดในช่วงช้ันต่าง ๆ ของทุกกลุ่มสาระให้ผู้เรียนรู้จริงท ำได้จริงตาม มาตรฐาน การเรียนรู้ทุกมาตรฐาน ขน้ั ตอนท่ี 2 นำมาตรฐานการเรียนรทู้ ้ังหมดในช่วงชัน้ มากำหนดหน่วยการเรยี นร้หู รือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลท่ีอิงมาตรฐานการเรียนรู้ ดังน้ันหน่วยการ เรียนรู้แต่ละหน่วยประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรู้หลักฐานท่ียืนยันได้ว่าผู้เรียนรู้จริง ทำได้จริงตาม มาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งอาจเป็นการสอบ ผลงานหรือการกระทำแนวทางการให้คะแนน เชิงคุณภาพ (Rubrics) ขั้นตอนที่ 3 จัดทำคำอธบิ ายรายวิชา รายวชิ าหนง่ึ ๆ ประกอบด้วยหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี มีมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีอิงมาตรฐาน คำอธิบายรายวิชาเขียนครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้และมี มาตรฐานการเรียนรู้ปรากฏในคำอธิบายรายวิชา นำรายวชิ ามาจัดเป็นโครงสร้างหลักสูตรโดยพิจารณา มาตรฐานการเรียนรปู้ ระกอบ ขั้นตอนท่ี 4 การออกแบบการรายงานผลการเรียนรู้เป็นรายงานที่แสดงถึง ความก้าวหน้าของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ต้องเป็นรายงานที่ระบุมาตรฐานการเรียนรู้และระดับ ผลการเรียนรขู้ องผ้เู รียนวา่ ความรคู้ วามสามารถในมาตรฐานนน้ั ๆ อยู่ในระดบั ใด ขัน้ ตอนที่ 5 การให้เกรดและการตัดสินผลการเรียน มีการกำหนดไว้ชัดเจนว่ารายวิชานี้ ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ก่ีหน่วย ผู้เรียนถูกประเมินด้วยวิธีการใด ใช้เคร่ืองมืออะไร น้ำหนัก ความสำคัญแตล่ ะส่วน สว่ นละเทา่ ใด เกณฑ์กำหนดการให้คะแนนเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ตอ้ งกำหนดไวก้ ่อน มกี ารเรยี นการสอนการคิดเชงิ ระบบการสรา้ งหลักสูตรองิ มาตรฐานที่เนน้ ผูเ้ รยี นสำคัญ เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ชัยภูมิ 169
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2547: 4) กล่าวว่า การสร้างและพัฒนาหลักสูตร อิงมาตรฐานมีลักษณะสำคัญคือทุกองค์ประกอบของหลักสูตรต้องเช่ือมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้เป็นหวั ใจของหลักสูตร การจดั การเรียนรู้ในแต่ละ หนว่ ยการเรียนรู้ต้องนำพาผู้เรียนให้ บรรลมุ าตรฐานทีร่ ะบุในหน่วยการเรียนรูน้ ้นั ๆ รุ่งนภา นุตราวงศ์ (2552: 17) กล่าวว่าการสร้างและพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐานต้องมี ความเชื่อมโยงของมาตรฐานการเรียนรู้ระดับชาติมาตรฐานการเรียนรู้ของมลรัฐและท้องถ่ินไปสู่ เป้าหมาย การเรียนการสอนของผู้เรียนและครูได้อย่างชัดเจน นั่นคือกิจกรรมการเรียนการสอนและ หน่วยการเรียนเช่ือมโยงและสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้มลรัฐ หลักสูตรท้องถิ่นและหลักสูตร สถานศึกษาทั้งนี้สนองความสนใจความต้องการของผู้เรียนและชุมชนด้วย หลักสูตรและการประเมิน ระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาสะท้อนถึงมาตรฐานท่ีกำหนดในกรอบหลักสูตรมลรัฐ กรอบหลักสูตรมลรัฐ เช่อื มโยงและสะท้อนถึงส่ิงที่พึงประสงคใ์ นมาตรฐานการเรยี นรู้ระดับชาตแิ ละยงั กล่าวอีกว่า การสร้างและ พัฒนาหลกั สูตรอิงมาตรฐานมีจดุ เร่ิมต้นท่ีแตกตา่ งกันไป บทสรุป หลักสูตรท้องถิ่นเป็นหลักสูตรท่ีสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและสนองความต้องการ ของสังคมที่ใช้หลักสูตรน้ัน โดยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้หลักสูตรได้มีสว่ นร่วมในการพัฒนาหลักสูตรได้ ซ่ึง หมายถึงโรงเรียน ชุมชน รวมถึงหน่วยงานการที่จัดการศึกษาในระดับท้องถ่ิน มีบทบาทหน้าท่ีในการ จดั ทำ การจัดทำหลักสตู รทอ้ งถ่ินสามารถจัดได้ในลักษณะของการปรับกิจกรรมการเรยี นการสอน จัดทำ เป็นรายวิชาเพิ่มเติม หรือปรับรายละเอียดของเนื้อหาโดยเพิ่มหรือ ลดรายละเอียดจากหลักสูตร แกนกลาง รวมถึงปรับปรงุ หรือเลือกใช้ส่ือการเรยี นการสอนให้เหมาะสมกบั ท้องถ่ิน ทั้งน้ีเพ่ือให้ผู้เรียนรู้ เร่ืองของท้องถ่ินของตนเอง ได้รู้จักตนเอง มีจุดยืนของตนเอง ภาคภูมิใจในท้องถ่ินและรักถิ่นฐานของ ตนเอง ส่วนหลักสูตรอิงมาตรฐานเป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายหรือเป็นกรอบ ทิศทางในการกำหนดเนื้อหา ทักษะกระบวนการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นเป้าหมายว่าเขาต้องเรียนรู้อะไรให้ ได้เพื่ออะไร ครูพ่อแม่ ผู้ปกครองรู้ว่าผู้เรียน ตอ้ งรแู้ ละสามารถทำอะไรไดใ้ นระดับใด สงั คม หนว่ ยงานทร่ี ับเด็กเข้าทำงานรู้ว่าเด็กแตล่ ะวัยรู้อะไรและ ทำอะไรได้ ระบบการสร้างและพัฒนา หลักสูตรอิงมาตรฐานต้องมีความเชื่อมโยงต่อเนื่องไม่ขาดสาย ของแตล่ ะองค์ประกอบกับมาตรฐาน การเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้เป็นหัวใจของหลักสูตร ฉะน้ันการสรา้ ง และพัฒนาหลักสูตรอิงมาตรฐานต้องมีความเช่ือมโยงของมาตรฐานการเรียนรู้ระดับชาติมาตรฐานการ เรียนรู้ท้องถ่ินและมาตรฐาน การเรียนรู้สถานศึกษาไปสู่เป้าหมายการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาคุณภาพ ตามมาตรฐานการเรยี นรอู้ นั เดยี วกัน แบบฝึกหัดท้ายบท 1. จงอธิบายความหมายและความสำคญั ของหลักสูตรท้องถิ่น 2. จงเขยี นสรปุ แนวทางการจดั ทำหลักสตู รท้องถน่ิ 3. จงอธิบายองคป์ ระกอบสำคัญของหลกั สตู รท้องถิน่ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ 4. จงอธบิ ายขัน้ ตอนการพฒั นาหลักสูตรท้องถิน่ 5. จงยกตัวอยา่ งหลักสตู รท้องถิ่นท่ีนักศึกษาเคยมปี ระสบการณ์อย่างนอ้ ย 2 หลกั สตู ร เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพฒั นาหลักสูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชยั ภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎชัยภูมิ 170
6. จงอธิบายความสำคญั ของหลกั สตู รอิงมาตรฐานต่อการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน 7. จงอธบิ ายความสำคัญของมาตรฐานการเรียนรทู้ ม่ี ผี ลตอ่ ผู้สอนและนักเรียน 8. จงอธบิ ายความสมั พันธ์แตล่ ะองค์ประกอบของหลกั สตู รองิ มาตรฐาน 9. จงอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างหลักสูตรท้องถ่ินและหลักสูตรอิงมาตรฐานกับหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาชาตมิ าพอสงั เขป เอกสารอา้ งองิ กรมวิชาการ. (2540). ชุดการเขียนแผนการสอนใหส้ อดคล้องกับความต้องการของทอ้ งถ่ิน. พิมพ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพค์ รุ สุ ภา. ฆนทั ธาตุทอง. (2550). การพัฒนาหลกั สูตรท้องถนิ่ (Curriculum Development for Local). กรงุ เทพมหานคร: เพชรเกษมการพมิ พ์. ใจทพิ ย์ เชอื้ รัตนพงษ์. (2539). การพฒั นาหลักสูตร: หลักการและแนวปฏิบัติ. ภาควชิ า บริหารการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ชัยวฒั น์ สทุ ธิรตั น์. (2556). การพัฒนาหลักสูตร ทฤษฎีสกู่ ารปฏิบตั ิ. กรงุ เทพมหานคร: วพี รินท์. ไตรรงค์ เจนการ. (2548). การวดั และประเมนิ ผลอิงมาตรฐานการเรียนรูค้ วบคูก่ บั การจัดการเรยี น การสอนทีเ่ น้นผูเ้ รยี นเป็นสำคญั . กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกดั มารค์ เอ็ม พรนิ้ ติ้ง. มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. (2545). ประมวลสาระชุดวชิ า การประเมนิ หลกั สตู รและการเรียน การสอน หน่วยท่ี 1-5. นนทบรุ ี: สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. รงุ่ นภา นุตราวงศ์. (2552). “หลกั สตู รองิ มาตรฐาน การพัฒนาสคู่ ุณภาพ”, วารสารวิชาการ. ฉบบั ที่ 4 (ตลุ าคม-ธันวาคม), 60. สงัด อทุ รานันท.์ (2532). พน้ื ฐานและการพัฒนาหลกั สตู ร. พมิ พ์คร้งั ที่ 3 กรุงเทพมหานคร: มิตรสยาม. สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2547). รายงานการวจิ ัยโครงการวิจยั เชิงทดลอง กระบวนการสร้างหลักสตู รสถานศึกษาแบบองิ มาตรฐาน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรบั ส่งสนิ ค้าและพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). _______. (2553). แนวทางการบริหารจัดการหลกั สตู ร ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชมุ ชนสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด. สำนักคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. Beauchamp,G.A (1981). Curriculum Thoery. 4th ed. Illinois. F.E. Peacook. Pulblisher. Douglas E. Harris and Judy F. Carr. (1966). How to Use Standards in the Classroom. Alexandria, Virginia : ASCD. เอกสารคำสอนรายวิชา 5002504 การพัฒนาหลกั สูตร ผศ.ดร.เดอื นเพญ็ พร ชยั ภักดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎชยั ภมู ิ 171
แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 9 การวิเคราะห์การจดั ทำหลกั สตู ร หัวข้อเน้อื หาประจำบท 9.1 ความหมายของการวิเคราะห์หลักสูตร 9.2 ลักษณะของตารางวิเคราะห์หลักสูตร 9.3 การวเิ คราะห์หลกั สูตรแบบองิ กล่มุ 9.4 การวิเคราะหห์ ลกั สตู รแบบอิงเกณฑ์ 9.5 ประโยชน์การวเิ คราะหห์ ลักสตู ร 9.6 การวิเคราะห์หลกั สูตรเพ่ือการเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ บทสรุป แบบฝึกหดั ท้ายบท เอกสารอ้างอิง วตั ถุประสงค์ เมื่อผู้เรียนศึกษาบทเรยี นนี้แล้วสามารถ 1. อธิบายความหมายของการวเิ คราะห์หลักสูตรได้ 2. เขียน บรรยาย ลกั ษณะของตารางวเิ คราะห์หลักสตู รได้ 3. สามารถวิเคราะหห์ ลักสูตรแบบอิงกลุ่มได้ 4. สามารถวเิ คราะหห์ ลกั สตู รแบบอิงเกณฑ์ได้ วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 วิธีสอนแบบอภปิ ราย 1.2 วิธีสอนแบบบรรยาย 1.3 วธิ สี อนแบบกลุ่มเรียนรู้ 2. เทคนิคการสอน 2.1 การใชค้ ำถาม 2.2 กระบวนการกลมุ่ 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ข้นั นำ 3.1 ผู้สอนชวนผู้เรียนสนทนาเกี่ยวกับระดับหลักสูตรท่ีเคยเรียนผ่านมาหรือจาก ประสบการณ์ทผี่ เู้ รยี นได้เคยเรียนรู้ 3.2 ผู้สอนเช่ือมโยงเน้ือหากับบทเรยี น พร้อมแจง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เนื้อสาระกิจกรรม การเรยี นรูแ้ ละชิ้นงานทีจ่ ะเกดิ ข้นึ ในการเรยี นรูค้ รง้ั นีด้ ว้ ย Power Point ข้ันสอน 3.3 นักศึกษาดูวีดิทัศน์ “วิเคราะห์หลักสูตร” แล้วร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับตัวอย่างการ ได้มาซงึ่ วเิ คราะหห์ ลกั สูตรร่วมกนั ตวั อย่างรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ เอกสารคำสอนรายวชิ า 5002504 การพัฒนาหลักสูตร ผศ.ดร.เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ชยั ภมู ิ 172
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277