Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษ (1)

แนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษ (1)

Published by วารสาร สพม.ปจนย, 2021-02-19 01:41:03

Description: แนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษ (1)

Search

Read the Text Version

แนวทางการเปด หองเรยี นพิเศษ ในสถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๙ สาํ นกั นโยบายและแผนการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

แนวทางการเปิดห้องเรยี นพิเศษ ในสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๙ ส�ำ นกั นโยบายและแผนการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

แนวทางการเปิดห้องเรยี นพเิ ศษ ในสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๙ ผจู้ ดั พมิ พ ์ ส�ำ นกั นโยบายและแผนการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน สำ�นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ ปีทีพ่ ิมพ์ กรกฎาคม ๒๕๕๙ จ�ำ นวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพท์ ่ี โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ�กดั ๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ - ๒๕๖๑ - ๔๕๖๗ โทรสาร ๐ - ๒๕๗๙ - ๕๑๐๑ นายโชคดี ออสุวรรณ ผพู้ ิมพ์ผ้โู ฆษณา

ค�ำ น�ำ การเปิดห้องเรียนพิเศษ สำ�หรับนักเรียนท่ีมีศักยภาพและความสามารถพิเศษของ สถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน สงั กดั ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ให้ นกั เรยี นไดร้ บั การพฒั นาศกั ยภาพทถ่ี กู ตอ้ ง เหมาะสม เปน็ การด�ำ เนนิ งานทเ่ี ปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และแก้ไขเพมิ่ เติมทุกฉบบั มาตรา ๑๐ ทกี่ �ำ หนดว่า “...การจดั การศึกษาสำ�หรับบุคคลซ่ึงมีความสามารถพิเศษต้องจัดด้วยรูปแบบท่ีเหมาะสม โดยคำ�นึงถึง ความสามารถของบคุ คลนน้ั ...” ซง่ึ การเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษด�ำ เนนิ การมาตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา ๒๕๔๓ จนถึงปัจจุบัน มีจำ�นวนสถานศึกษา สังกัดสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ที่เปิดห้องเรียนพิเศษ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา จำ�นวนมาก เม่ือปีการศึกษา ๒๕๕๐ สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดทำ� หนงั สอื แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานขนึ้ เพอื่ ใหผ้ ทู้ เี่ กยี่ วขอ้ งใชเ้ ปน็ แนวทางในการด�ำ เนนิ งาน ตอ่ มาไดม้ กี ารปรบั ปรงุ ครงั้ แรก เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เพอื่ ใหเ้ หมาะสม กบั สภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปสยู่ คุ โลกาภวิ ตั น์ เปน็ สงั คมทมี่ กี ารเรยี นรอู้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง สง่ ผลให้ สถานศึกษาทกุ แห่งต้องยกระดบั การพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาเพอื่ พฒั นาผ้เู รยี นใหเ้ ปน็ พลโลก ท่มี ีการแข่งขนั สูงขน้ึ การเปิดห้องเรยี นพิเศษ จงึ เปน็ ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาทไ่ี ด้รับความสนใจ จากสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานมากขน้ึ ประกอบกบั กฎหมาย ระเบยี บทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การด�ำ เนนิ งาน มีการเปลีย่ นแปลงเชน่ กนั ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐานได้มีการปรับปรงุ โครงสร้างอีกครั้ง โดยยกเลิกคณะกรรมการเขตพ้ืนที่การศึกษา สำ�นักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพื้นฐานจึงได้ปรับปรุงแนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ครั้งที่สองเพ่ือให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงและกฎหมายใหม่ สำ�นักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน หวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ หนงั สอื แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษ ในสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๙ เล่มนจี้ ะเปน็ ประโยชน์ตอ่ สถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐานและ ผมู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งทกุ ฝา่ ย ขอขอบคณุ คณะท�ำ งานและทกุ ทา่ นทมี่ สี ว่ นรว่ มในการด�ำ เนนิ งานครง้ั นี้ สำ�นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร



สารบญั คำ�น�ำ บทสรปุ ผู้บรหิ าร บทท่ี ๑ บทนำ� ๑ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และงานวจิ ัยท่เี กยี่ วข้อง ๗ บทที่ ๓ การเปดิ หอ้ งเรียนพิเศษ โดยส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา ๕๗ บทท่ี ๔ การเปดิ ห้องเรยี นพิเศษ โดยส�ำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ๙๑ บทที่ ๕ การเก็บค่าใช้จา่ ยและการระดมทรพั ยากรเพ่ือการศึกษา ๑๓๗ บทที่ ๖ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๑๔๕ บรรณานกุ รม ๑๔๗ ภาคผนวก ๑๕๑ ระเบยี บ หนงั สือราชการ และเอกสารท่เี ก่ียวข้อง ๑๕๓ คณะท�ำ งาน ๒๑๒

บทสรปุ ผู้บริหาร พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทีแ่ กไ้ ขเพิ่มเติมทุกฉบับ มาตรา ๑๐ กำ�หนดให้มีการจัดการศึกษาสำ�หรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสม โดยคำ�นึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น มาตรา ๒๒ กำ�หนดว่า การจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำ�คัญที่สุด กระบวนการจดั การศึกษาตอ้ งส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน จึงส่งเสริมให้ สถานศึกษาขั้นพืน้ ฐานเปดิ ห้องเรยี นพเิ ศษ โดยแยกการด�ำ เนนิ การออกเป็น ๒ ลักษณะ คอื ๑. การเปิดห้องเรียนพิเศษ โดยสำ�นักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา หมายถึง ห้องเรียน ทสี่ ถานศกึ ษามงุ่ เนน้ การเรยี นการสอนเพอ่ื สง่ เสรมิ ศกั ยภาพของนกั เรยี นทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษทาง ด้านคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาตา่ งประเทศ ศลิ ปะ ดนตรี กฬี า ICT การงานอาชีพ โดยผ่าน ความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณาการขอเปิดห้องเรียนพิเศษของสำ�นักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษา ๒. การเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษ โดยส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน หมายถงึ ห้องเรียนที่สถานศึกษามุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มี ความสามารถพิเศษ ห้องเรยี นพเิ ศษ EP และ MEP ตามโครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสตู ร

กระทรวงศกึ ษาธิการเปน็ ภาษาอังกฤษ ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ สง่ิ แวดลอ้ มตามโครงการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดลอ้ ม ห้องเรียนพิเศษ พัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) ตาม โครงการพฒั นาประเทศไทยเป็นศนู ยก์ ลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) ซึ่งแนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษต่าง ๆ ข้างต้น สถานศึกษาจะต้องมีค่าเฉลี่ย ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพ้ืนฐาน (O - NET) ๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้หลัก ในระดับที่ขอเปิดสอนสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ ๓ ปี ย้อนหลัง และหากเป็นการเปิด ห้องเรียนพิเศษด้านวิชาการ จะต้องมีค่าเฉล่ียผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพื้นฐาน (O - NET) เฉพาะกลุม่ สาระการเรียนรู้ทีข่ อเปิดน้นั สงู กวา่ ค่าเฉลยี่ ระดับประเทศ ๓ ปี ยอ้ นหลังด้วย รวมท้ังมีความพร้อมในด้านตา่ ง ๆ ตามหลักเกณฑท์ ี่ก�ำ หนดแต่ละประเภท และด�ำ เนนิ ตามขั้นตอน อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกำ�หนดการที่สถานศึกษาจะต้องเสนอโครงการและเอกสารประกอบ การพิจารณาต่อต้นสังกัดล่วงหน้าอย่างน้อย ๑ ปีการศึกษา หลังจากได้รับอนุมัติให้เปิด ห้องเรียนพิเศษแล้ว ต้องดำ�เนินการรับนักเรียนให้เป็นไปตามกำ�หนดเวลาการรับนักเรียน หอ้ งเรยี นพเิ ศษของส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน รวมทงั้ การเกบ็ เงนิ บ�ำ รงุ การศกึ ษา และการระดมทรพั ยากร กต็ ้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการเก็บเงินบำ�รุงการศกึ ษาดว้ ย



บทที่ ๑ บทนำ� กรอบทิศทางแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๔ กำ�หนดจุดมุ่งหมายของ การจัดการศึกษาให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความเป็นพลเมือง (สำ�นักงาน เลขาธิการสภาการศกึ ษา, ๒๕๕๙) นัน่ คอื เปน็ คนดมี ีวนิ ยั เป็นพลเมอื งที่ดีและมีคณุ ภาพของสังคม ประเทศ และของโลก มีทักษะความรคู้ วามสามารถ และสมรรถนะในการปฏิบัตงิ าน ที่ตอบสนอง ต่อความต้องการแรงงานและการพัฒนาประเทศ ดำ�รงชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุข การสร้างระบบ การศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพจึงเป็นกลไกหลักของการพัฒนาศักยภาพและ ขดี ความสามารถของทนุ มนษุ ย์ และรองรบั การศกึ ษาการเรยี นรแู้ ละความทา้ ทายทเ่ี ปน็ พลวตั ของโลก ศตวรรษท่ี ๒๑ ซึ่งแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับน้ี มุ่งให้ความสำ�คัญกับการเรียนรู้ในทุกมิติและ ทุกช่วงอายุ เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงผู้สูงวัย โดยกำ�หนดยุทธศาสตร์ มาตรการ ตัวชี้วัด และ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ๙ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระบบข้อมูลและ สารสนเทศเพอ่ื การศกึ ษา ๒) ยทุ ธศาสตรก์ ารเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การระดบั สถานศกึ ษา ๓) ยุทธศาสตร์การกระจายอำ�นาจไปสู่สถานศึกษา ๔) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการมีส่วนร่วม จากทุกภาคส่วนของสังคม ๕) ยุทธศาสตร์การปรับระบบและกลไกการบริหารงานบุคคล ๖) ยทุ ธศาสตรก์ ารปฏริ ปู ระบบบรหิ ารทรพั ยากรและการเงนิ เพอื่ การศกึ ษา ๗) ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นา หลกั สตู รกระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลผเู้ รียน ๘) ยทุ ธศาสตร์การผลติ และพัฒนากำ�ลังคนเพื่อสนองตอบตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ และ ๙) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีของรัฐบาล และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๕๙) และในรา่ งแผนการศึกษาแห่งชาติเพื่อพฒั นาคนตลอดชว่ งชีวติ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑ ได้ก�ำ หนด คุณลักษณะของกำ�ลังคนที่พึงประสงค์ไว้ ดังน้ี (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๕๗) มกี ารเรยี นรแู้ ละทกั ษะทจี่ �ำ เปน็ มคี วามรอู้ ยา่ งรอบดา้ นทง้ั ดา้ นทกั ษะความรพู้ นื้ ฐาน ทกั ษะชวี ติ และ การท�ำ งาน ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม ทกั ษะดา้ นการวางแผนการเงนิ และทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี เพอ่ื เปน็ ภมู คิ มุ้ กนั ส�ำ คญั ในการด�ำ รงชวี ติ สามารถปรบั ตวั ใหท้ นั กบั การเปลย่ี นแปลง ของโลกในศตวรรษท่ี ๒๑ ได้แก่ มีจิตสำ�นึกและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคมและประเทศ มคี วามรแู้ ละทกั ษะทห่ี ลากหลาย (Multi - skills) มคี วามสามารถสร้างสรรคค์ ุณค่าหรอื มูลคา่ เพิม่ (Value - creation) มคี วามสามารถใช้ภาษาเพือ่ การสอ่ื สาร มคี วามเป็นมืออาชีพ และมีความภักดี ต่อองค์กร แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพเิ ศษในสถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน 1

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ทกุ ฉบบั ใหค้ วามส�ำ คญั กบั การพฒั นาเดก็ และเยาวชนทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ มาตรา ๑๐ วรรค ๔ กลา่ วว่าใหม้ กี ารจัดการศกึ ษาส�ำ หรบั บุคคลที่มคี วามสามารถพิเศษในรปู แบบ ที่เหมาะสม โดยคำ�นึงถึงความสามารถของบุคคลน้ัน และมาตรา ๒๒ กำ�หนดว่า การจดั การศกึ ษาโดยยดึ หลกั วา่ ผเู้ รยี นมคี วามสามารถเรยี นรู้ พฒั นาตนเองไดแ้ ละถอื วา่ ผู้เรียนมีความสำ�คัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศกั ยภาพ สอดคลอ้ งกบั หลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื พฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี นใหม้ สี มรรถนะส�ำ คญั ๕ ประการ ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถ ในการแกป้ ัญหา ๔) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ และ ๕) ความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้สถานศึกษาข้ันพื้นฐานในสังกัด เปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษ เพอื่ พฒั นานกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษได้ ตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา ๒๕๔๓ ตอ่ มาไดก้ �ำ หนดไวใ้ นนโยบายและแนวปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การรบั นกั เรยี นตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ทั้งน้ี สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยสำ�นัก นโยบายและแผนการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ไดจ้ ดั ท�ำ แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถาน ศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๓ และกำ�หนดค�ำ นิยามห้องเรยี นพิเศษไว้ดังนี้ (ส�ำ นักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, ๒๕๕๘) 2 แนวทางการเปิดหอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน

หอ้ งเรยี นพเิ ศษ หมายถงึ หอ้ งเรยี นทส่ี ถานศกึ ษามงุ่ เนน้ จดั การเรยี นการสอน ทีส่ ง่ เสริมศักยภาพนกั เรยี นท่ีมคี วามสามารถพเิ ศษด้านวิชาการและด้านอนื่ ๆ หอ้ งเรยี นพเิ ศษ โดยส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน หมายถงึ ห้องเรียนทสี่ ถานศึกษาม่งุ เน้นจัดการเรียนการสอน เพอื่ สง่ เสรมิ ศักยภาพของนักเรียน ที่มีความสามารถพิเศษ โดยดำ�เนินการตามโครงการของสำ�นักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน เชน่ หอ้ งเรยี น EP หอ้ งเรยี นพเิ ศษ MEP ตามโครงการจดั การเรยี น การสอนตามหลักสตู รกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ ห้องเรยี นพเิ ศษวิทยาศาสตร์ ตามโครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และ สง่ิ แวดลอ้ ม เป็นตน้ ห้องเรียนพิเศษ โดยสำ�นักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา หมายถึง ห้องเรียนที่ สถานศึกษามุ่งเน้นจัดการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนที่มี ความสามารถพเิ ศษทางดา้ นคณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาตา่ งประเทศ ศลิ ปะ ดนตรี กฬี า ICT ฯลฯ โดยผ่านความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการเขตพน้ื ที่การศึกษา ปัจจุบันมีสถานศึกษาเปิดห้องเรียนสำ�หรับนักเรียนท่ีมีศักยภาพและ ความสามารถพิเศษเพ่ิมมากขึ้น ตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และ ชมุ ชน ซึ่งห้องเรยี นพิเศษโดยสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มีโครงการ สำ�คัญ ดังนี้ ๑) ห้องเรียนพิเศษ EP และ MEP ตามโครงการจัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program or Mini English Program) รับผิดชอบโดยสถาบันภาษาอังกฤษ ๒) ห้องเรียนพิเศษ วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม ตามโครงการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสงิ่ แวดลอ้ ม รบั ผดิ ชอบโดยส�ำ นกั วชิ าการ และมาตรฐานการศึกษา และ ๓) ห้องเรียนพิเศษพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) ตามโครงการพัฒนาประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) รับผิดชอบโดยสํานักบริหารงาน การมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย แนวทางการเปิดห้องเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน 3

ในส่วนของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ให้ ความส�ำ คญั กบั การปฏริ ปู การศกึ ษาและการเรยี นรู้ โดยก�ำ หนดไวใ้ นนโยบายของรฐั บาล ซงึ่ แถลงตอ่ สภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ เม่ือวนั ศุกรท์ ี่ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ดงั นี้ ๑) จดั ให้ มีการปฏริ ูปการศกึ ษาและการเรยี นรู้ ๒) ปรบั เปลย่ี นการจดั สรรงบประมาณสนบั สนนุ การศกึ ษา ๓) ใหภ้ าคสว่ นตา่ ง ๆ รว่ มจดั การศกึ ษาและเนน้ การกระจายอ�ำ นาจ ๔) พฒั นา คนทุกช่วงวัยให้มีคุณธรรมจริยธรรมและความเป็นพลเมืองดี ๕) ส่งเสริมอาชีวศึกษา และการศึกษาระดับวิทยาลัยชุมชน ๖) พัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครู ๗) ทะนุบำ�รุงและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา และศาสนาอ่ืน ๆ ๘) อนุรักษ์ฟื้นฟูและ เผยแพรม่ รดกทางวฒั นธรรม ๙) สนบั สนนุ การเรยี นภาษาตา่ งประเทศ และ ๑๐) ปลกู ฝงั ค่านิยมและจิตสำ�นึกท่ีดี โดยได้แต่งต้ังคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดด้านการศึกษา) ซึ่งได้กำ�หนดนโยบายในการพัฒนาการศึกษาของไทย ๖ ด้าน (ส�ำ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน, ๒๕๕๙) ได้แก่ ๑) เดก็ จบ ป.๑ ตอ้ งอา่ นออกเขียนได้และตอ้ งมกี ารประเมนิ ผลทเี่ ปน็ รูปธรรม ๒) เดก็ ช้นั ม.๑ - ม.๖ ตอ้ งเลอื กเรยี นวชิ าเสรมิ เปน็ สาขาวชิ าชพี เพอ่ื การวางแผนอาชพี ในอนาคตได้ ๓) เชอื่ มโยง การศึกษากับการส่งเสริมวิชาชีพให้ตรงความต้องการของท้องถ่ินและประเทศชาติ ๔) ในระดับอุดมศึกษาให้เป็นการวิจัยเพื่อเชื่อมต่อกับงานวิจัยกับภาคเอกชน ๕) ให้นักเรียนมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษท่ีมาจากประเทศต้นทาง เคยชินกับ เจ้าของภาษา และ ๖) ผลิตครูท่ีมีความเข้มข้น อาทิ คุรุทายาทที่มีความสามารถ ตอบรบั การสอนของเดก็ ไดอ้ ย่างแท้จรงิ ด้านกระทรวงศึกษาธิการ พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการได้กำ�หนดยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวง ศึกษาธิการ ๑๐ ยุทธศาสตร์ (สำ�นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๘) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ : ผลิตและพัฒนากำ�ลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการและรองรับ การพัฒนาประเทศ ยุทธศาสตรท์ ่ี ๒ : หลักสตู รและกระบวนการเรยี นรู้ ยทุ ธศาสตร์ ที่ ๓ : ระบบงบประมาณ และทรพั ยากรเพอ่ื การศกึ ษา ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๔ : ระบบการวจิ ยั และประเมินคุณภาพการศึกษา ยุทธศาสตร์ท่ี ๕ : ระบบสื่อสารและเทคโนโลยี เพอ่ื การศกึ ษา ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๖ : พฒั นาระบบการผลติ การสรรหาและการพฒั นาครแู ละ บคุ ลากรทางการศึกษา ยุทธศาสตร์ท่ี ๗ : ระบบการบรหิ ารจัดการ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ : สรา้ งโอกาสทางการศกึ ษา ยุทธศาสตร์ท่ี ๙ : พัฒนาการศกึ ษาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ และยุทธศาสตร์ที่ ๑๐ : การวิจัยเพ่ือพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศและกำ�หนดจุดเน้น ๖ ยุทธศาสตร์ คือ ๑) หลักสูตรและกระบวนการ เรียนรู้ ๒) การผลติ และพฒั นาครู ๓) ตรวจสอบการประเมินการประกันคณุ ภาพและ การพัฒนามาตรฐานการศึกษา ๔) ผลิต พัฒนากำ�ลังคนและงานวิจัยท่ีสอดคล้องกับ ความตอ้ งการของการพฒั นาประเทศ ๕) ICT เพอ่ื การศกึ ษาและ ๖) การบรหิ ารจดั การ ซ่งึ ทงั้ หมดนส้ี ง่ ผลถึงคุณภาพของนกั เรียนท้งั สิน้ 4 แนวทางการเปดิ ห้องเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน

นอกจากนี้ ทผ่ี า่ นมาสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานและส�ำ นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา ไดใ้ ชก้ รอบแนวทางการด�ำ เนนิ งานเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๓ มาโดยตลอด แต่ในสภาวการณ์ปัจจุบันได้มีคำ�ส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แหง่ ชาตทิ ่ี ๑๐ / ๒๕๕๙ เรอื่ งการขบั เคลอื่ นการปฏริ ปู การศกึ ษาของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ในภูมภิ าค สั่ง ณ วนั ท่ี ๒๑ มนี าคม ๒๕๕๙ คำ�สั่งหัวหน้าคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑ / ๒๕๕๙ เรอ่ื งการบรหิ ารราชการของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในภมู ภิ าค สง่ั ณ วนั ท่ี ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ค�ำ สง่ั หวั หนา้ คณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๘/๒๕๕๙ เรอ่ื ง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๕ ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และคำ�สั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแหง่ ชาติ ที่ ๓๘/๒๕๕๙ เรอื่ งแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ค�ำ สง่ั หวั หน้าคณะรกั ษาความสงบ แหง่ ชาติ ท่ี ๑๐/๒๕๕๙ และคำ�ส่ังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๙ และ ส�ำ นกั ตา่ ง ๆ ไดม้ โี ครงการสง่ เสรมิ ใหส้ ถานศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษอยา่ งหลากหลาย มากขึ้นโดยมุ่งหวังให้นักเรียนมีโอกาสและความเสมอภาคในการได้รับการศึกษา ตามศักยภาพความสนใจและความถนัดสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงเห็นสมควรปรับปรุงแนวทางการเปิดห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับ ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง ชมุ ชน และสถานศึกษา ตลอดจนให้ผเู้ ก่ียวขอ้ ง มีความรู้ความเข้าใจ สามารถดำ�เนินการเปิดห้องเรียนพิเศษที่มุ่งเน้นการจัดการเรียน การสอน ส่งเสริมศกั ยภาพนกั เรียนท่มี คี วามพิเศษ ดา้ นวชิ าการและดา้ นอ่ืน ๆ ได้อย่าง ถูกต้อง แนวทางการเปิดหอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 5



บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย และงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้อง ศักยภาพของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกันเป็นลักษณะธรรมชาติ และเป็น ปรากฏการณท์ เ่ี กิดขึน้ ทัว่ โลก ในทกุ ประเทศจึงมีกลมุ่ บุคคลทม่ี ีศกั ยภาพสูงโดดเด่นเหนอื กวา่ บุคคล ในวัยเดียวกันอยู่จำ�นวนหนึ่ง ซึ่งจะมีประมาณร้อยละ ๓ และเด็กที่มีความสามารถพิเศษในระดับ สูงมาก (Highly Gifted) มีประมาณอย่างน้อย ร้อยละ ๐.๐๑ ของเด็กท้ังหมด หรือประมาณ ๑:๑๐,๐๐๐ ของแต่ละสาขา การส�ำ รวจและเสาะหาแววความสามารถของเดก็ และเยาวชน จงึ เปน็ กระบวนการที่ทำ�ให้เด็กทุกคน มีโอกาสที่จะแสดงออก ซึ่งความสามารถหรือความถนัดของ ตนเองมากขึ้น ดังนั้น การสำ�รวจหาแววเด็กต้องทำ�ความเข้าใจให้ถ่องแท้ ถึงวิธีการเรียนรู้ของเด็ก และความสามารถในด้านตา่ ง ๆ ซ่งึ เดก็ แต่ละคนลว้ นมศี กั ยภาพท่ีจะเรียนรู้ และข้ึนอย่กู บั แต่ละคน จะมีศักยภาพใดแฝงอยู่มากน้อยเพียงใด และมีหนทางใดท่ีจะดึงเอาความสามารถนั้นออกมา เราจงึ ควรทำ�ความเขา้ ใจกับความหมายและลักษณะของเด็กทม่ี ีความสามารถพิเศษ ดังนี้ เดก็ ท่ีมีความสามารถพิเศษ ๑. ความหมายของเดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ นกั การศกึ ษาหลายทา่ นไดใ้ หค้ �ำ นยิ าม ของค�ำ วา่ “เดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ” หมายถงึ เด็กท่มี คี วามสามารถพเิ ศษ (Talentedchild) หรือเด็กท่มี สี ติปญั ญาเลิศ (Giftedchild) ดงั น้ี Abraham, W. (๑๙๕๘) กล่าววา่ เด็กทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ มีลกั ษณะดังนี้ ๑. เดก็ ท่มี ีความสามารถสงู เรียนจบบทไดเ้ รว็ กวา่ เวลาท่กี �ำ หนดให้ ๒. เด็กที่มคี วามสามารถสงู ในดา้ นการคิดสร้างสรรค์ การใหเ้ หตุผล ๓. เป็นเด็กท่มี คี วามสนใจกว้างขวาง และผลติ ผลงานที่มีคุณภาพสูง ๔. เด็กท่มี ีความสามารถทางศลิ ปะและเครอื่ งกล ๕. เด็กทมี่ รี ะดบั สติปญั ญาสงู ๖. เดก็ ที่มคี วามสามารถทางสมองสงู มีผลการเรียนดีเด่น มผี ลงานดเี ดน่ แกส่ ังคม ๗. เดก็ ทม่ี อี ายุสมองสูงกว่าอายุจริง เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั เดก็ ทั่วไป แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพเิ ศษในสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน 7

Brodley (๑๙๗๐) กลา่ ววา่ เดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ คอื เดก็ ทม่ี คี วามสามารถทางดา้ นสตปิ ญั ญาสงู ในการแสวงหาความจรงิ ความคิดและความสัมพันธ์ รวมทง้ั ความสามารถพิเศษเฉพาะดา้ น เช่น ศิลปะ ดนตรี ความเปน็ ผู้น�ำ โดยทัว่ ไปแล้วเด็กเหล่านีจ้ ะมี IQ อย่รู ะหว่าง ๑๓๐ - ๑๖๐ Department of Education (๑๙๙๓) ได้แบง่ ลักษณะเดก็ ทม่ี ีความสามารถพิเศษออกเปน็ ๕ ด้าน ดงั น้ี คือ ๑. ความสามารถทางสตปิ ญั ญา ๒. ความสามารถทางวชิ าการด้านใดด้านหน่งึ ๓. ความสามารถทางความคดิ สรา้ งสรรค์ ๔. ความสามารถทางการเป็นผู้นำ� และ ๕. ความสามารถทางศลิ ปะหรอื ดนตรี Howard Gardner (๑๙๘๕) ท่ีมีช่ือเสียงด้านทฤษฎีพหุปัญญาหรือความสามารถพิเศษของเด็ก ได้ให้ความหมายของปัญญาว่าเป็นความสามารถทางชีวจิตวิทยา (Biopsychological Potential) ซึ่งเป็น กระบวนการได้มาของแตล่ ะบุคคล ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรยี นและได้แบ่งลักษณะเด็กทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ ไว้ ๙ ด้าน ดังน้ี ๑. ด้านภาษา (Linguistic Intelligence) ๒. ด้านตรรกะและคณติ ศาสตร์ (Logical - Mathematical Intelligence) ๓. ดา้ นดนตรี (Musical Intelligence) ๔. ดา้ นรา่ งกาย - การเคลอื่ นไหว (Bodily - Kinesthetic Intelligence) ๕. ด้านมติ ิ (Spatial Intelligence) ๖. ด้านความเขา้ ใจระหวา่ งบคุ คล - มนุษยสัมพนั ธ์ (InterpersonalIntelligence) ๗. ด้านความเขา้ ใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) ๘. ด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) ๙. ดา้ นจิตนิยมหรือการด�ำ รงอยู่ของชีวติ (Existential Intelligence) Renzulli (๑๙๘๖) ได้ให้ความหมายของคำ�ว่า สติปัญญาเลิศ หมายถึง เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ ประกอบดว้ ย คณุ ลักษณะ ๓ ด้าน ไดแ้ ก่ ๑) เปน็ ผทู้ ่มี คี วามสามารถทางสติปัญญาสูงกว่าเดก็ ปกติ ๒) เป็นผูท้ ่มี ี ความคิดสร้างสรรค์ในระดบั สงู และ ๓) เป็นผูท้ ่ีมคี วามมานะมงุ่ มน่ั ในการทำ�งาน Silverman (๑๙๘๓) ไดใ้ หค้ วามหมายของเดก็ สตปิ ญั ญาเลศิ คอื เดก็ ทมี่ พี ฒั นาการลาํ้ หนา้ ผอู้ น่ื ในดา้ น ต่าง ๆ จงึ จำ�เป็นต้องจดั โปรแกรม เพอ่ื ช่วยพฒั นาเดก็ ในอัตราที่เรว็ และแตกตา่ งจากเด็กท่ัวไป ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับได้ให้ความหมาย ของผู้มคี วามสามารถพเิ ศษวา่ “ผูม้ ีความสามารถพิเศษ หมายถึง บคุ คลท่ีแสดงออกซ่ึงความสามารถอนั โดดเด่น ดา้ นใดดา้ นหนง่ึ หรอื หลายดา้ น เชน่ ดา้ นสตปิ ญั ญา (ทกั ษะการคดิ ) ความสามารถทางวชิ าการในสาขาใดสาขาหนง่ึ หรือหลายสาขา ความคดิ สร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผูน้ �ำ การสรา้ งงานทางทัศนศิลป์และศลิ ปะการแสดง ความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นท่ีมีระดับอายุ สภาพส่ิงแวดล้อม หรอื ประสบการณใ์ กล้เคยี งกนั ” 8 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน

สำ�หรับคำ�นิยามของประเทศไทย ท่ีได้รับการเสนอไว้เป็นคร้ังแรก ในแผน พิจารณาการศึกษาสำ�หรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษ และได้ผ่าน ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมอ่ื วันท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๕๑ มสี าระส�ำ คัญ ดงั น้ี “เด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษ หมายถึง เด็กท่ีแสดงออก ซ่ึงความสามารถอันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน ในด้านสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นำ� การสร้างงานทางด้านทัศนศิลป์และ ศลิ ปะการแสดง ความสามารถด้านดนตรี ความสามารถดา้ นกฬี า และความสามารถ ทางวชิ าการในสาขาใดสาขาหนงึ่ หรอื หลายสาขา อยา่ งเปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ เมอื่ เปรยี บเทยี บ กบั เด็กอนื่ ท่ีมอี ายอุ ยใู่ นระดับเดียวกนั สภาพแวดล้อมหรอื ประสบการณ์เดียวกัน” แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพิเศษในสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน 9

๒. ลักษณะของเด็กทม่ี ีความสามารถพเิ ศษ การพิจารณาว่า เด็กคนใดคนหน่ึงมีความสามารถพิเศษหรือไม่เป็นเร่ืองท่ีมีความซับซ้อน เน่ืองจาก ความสามารถพิเศษมคี วามหลากหลาย เด็กแต่ละคนมลี ักษณะเฉพาะดา้ นและมแี บบแผนการพฒั นาเป็นของแตล่ ะคน เปน็ ความเขา้ ใจผดิ อยา่ งมากทว่ี า่ เดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษตอ้ งรอบรทู้ กุ ด้าน ความสามารถพเิ ศษอาจครอบคลมุ หลาย ๆ ดา้ น ไดแ้ ก่ เชาวนป์ ญั ญา ศลิ ปะ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทักษะทางรา่ งกายและทางสงั คม หรืออาจจะจ�ำ กดั อยู่ด้านใดด้านหนึ่งหรือสองด้านเท่านั้น นอกจากน้ียังมีความเข้าใจผิดอย่างมากว่าเด็กที่มีความสามารถพิเศษ หรอื มพี รสวรรค์ เปน็ เพราะพนั ธกุ รรมเพยี งอยา่ งเดยี ว และความสามารถพเิ ศษนไ้ี มม่ กี ารเปลย่ี นแปลงไปตลอดชวี ติ แต่ผลการศึกษาวิจัยจากนักวิชาการทั่วโลกเห็นตรงกันว่า สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เด็กเหล่าน้ันยังจำ�เป็น ต้องได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมเพ่ือพัฒนาศักยภาพด้านใดด้านหน่ึงหรือหลายด้านจนถึงระดับ สูงกวา่ ปกติ ในสภาพแวดลอ้ มทม่ี ีการจัดสรรทรัพยากรและในการท่จี ะเอือ้ ใหเ้ กดิ การเรียนรูท้ ่เี หมาะสม มฉิ ะนนั้ ความสามารถพิเศษท่ีเด็กเคยมีอาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นเด็กท่ีมีศักยภาพเช่นเดียวกับเด็กธรรมดาทั่ว ๆ ไปได้ เดก็ อาจเกดิ ความรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยตอ่ การเรยี นไมต่ ง้ั ใจเรยี น ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นอาจตาํ่ กวา่ ความเปน็ จรงิ การที่ เดก็ มคี วามสามารถพเิ ศษมกี ารพฒั นาการทางอารมณท์ ร่ี นุ แรงทผี่ ดิ ปกตไิ ปจากเดก็ ปกตทิ ว่ั ไป สาเหตสุ �ำ คญั เนอื่ งมาจาก การอบรมเล้ยี งดู และสภาพแวดล้อมรอบตวั เด็กมากกว่าเป็นลักษณะเฉพาะของเด็กที่มีความสามารถพิเศษเอง จากการศกึ ษาวจิ ัยของนกั วิชาการทั่วโลกไดบ้ ง่ ชลี้ กั ษณะของเดก็ ท่ีมีความสามารถพิเศษ หรอื มคี วามฉลาดปราดเปร่อื งซ่งึ มลี ักษณะแตกตา่ งจากเด็กอืน่ ในวัยเดียวกนั ในหลายทางในเร่ืองตอ่ ไปน้ี ๑. มีความอยากร้อู ยากเห็น เดก็ กลมุ่ ทีม่ ีความอยากรอู้ ยากเหน็ แบบสุดขัว้ เกยี่ วกบั สือ่ ต่าง ๆ ๒. มีความจำ�ดี สามารถจำ�สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตมาเป็นเวลายาวนาน และมีความสุขกับเร่ือง ทตี่ นสนใจ ๓. มกี ารเรยี นรเู้ รว็ สามารถเรยี นรวู้ ธิ คี ดิ ตา่ ง ๆ อยา่ งรวดเรว็ และสามารถใชค้ วามรทู้ เี่ รยี นรมู้ าปรบั ใช้ ในสถานการณใ์ หม่ ๆ ๔. มีความตั้งใจสงู สามารถมงุ่ อยู่กับส่ิงที่ตนสนใจไดเ้ ปน็ เวลานาน ๆ ๕. รู้จักใช้เหตุผล สามารถจะเข้าใจเหตุผล และมองเห็นความสัมพันธ์ของกระบวนการต่าง ๆ เกย่ี วกับเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึ้น ๖. มคี วามคลอ่ งแคล่ว มีความคดิ และมีวิธีการแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ได้ดมี าก ๗. จ�ำ ศัพท์ได้มาก สามารถจะใช้ค�ำ และวลีต่าง ๆ ไดม้ ากกวา่ และเรว็ กวา่ เด็กคนอนื่ ๆ ในวัยเดยี วกัน ๘. มีอารมณ์ขัน สามารถจะเขา้ ใจเรือ่ งข�ำ ขัน และค�ำ ถามปริศนาไดร้ วดเร็ว ๙. ชอบจินตนาการ มจี นิ ตนาการทีก่ วา้ งไกล แตกตา่ งจากเด็กทัว่ ไป ๑๐. มีอารมณ์อ่อนไหว อาจมีอารมณ์อ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้อื่น โกรธง่าย หรือให้ความสำ�คัญ ตอ่ บางสิง่ บางอย่าง ขณะท่คี นอ่นื ไม่เปน็ เชน่ น้ัน ๑๑. ต้องการแสวงหาเพ่ือน อาจชอบเล่นกับเพื่อนที่มีอายุมากกว่า หรือแสวงหาเพ่ือนท่ีมีสติปัญญา ใกลเ้ คียงกนั ๑๒. มีความรู้สึกไมส่ บายใจกับพฒั นาการของตนเอง เนอ่ื งจากพัฒนาการทางร่างกายตนตามไมท่ ัน ระดับสตปิ ัญญา 10 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน

๓. ภาพในอนาคตเก่ยี วกับเดก็ ทมี่ คี วามสามารถพิเศษ สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๑) ได้จัดทำ�แผนพัฒนาการศึกษาสำ�หรับเด็กและ เยาวชนผ้มู ีความสามารถพเิ ศษ (พ.ศ. ๒๕๔๑ - ๒๕๔๔) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมมี ติอนุมตั ิในหลักการของแผนพฒั นา ดังกลา่ ว ในคราวประชมุ เมื่อวนั ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๑ ได้กำ�หนดความหมาย วิสยั ทศั น์ และปรัชญาไว้อยา่ ง ชัดเจนวา่ ๓.๑ ความหมายของเดก็ และเยาวชนท่มี คี วามสามารถพิเศษ เดก็ และเยาวชนผมู้ คี วามสามารถพเิ ศษ หมายถงึ เด็กที่แสดงออกซงึ่ ความสามารถอนั โดดเด่น ด้านใดดา้ นหนง่ึ หรือหลายด้าน ในด้านสตปิ ญั ญา ความคดิ สรา้ งสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นำ� การสร้างงาน ทางทศั นศลิ ปแ์ ละศลิ ปะการแสดง ความสามารถดา้ นดนตรี ความสามารถทางกฬี า และความสามารถทางวชิ าการ ในสาขาใดสาขาหน่ึง หรือหลายสาขา อย่างเป็นที่ประจักษ์ เม่ือเปรียบเทียบกับเด็กอื่นท่ีมีอายุระดับเดียวกัน สภาพแวดล้อมหรอื ประสบการณเ์ ดียว ๓.๒ วสิ ัยทศั นข์ องเดก็ และเยาวชนที่มคี วามสามารถพิเศษ เด็กและเยาวชนท่ีมีความสามารถพิเศษต้องได้รับการพัฒนาความสามารถพิเศษของตนเอง อย่างเต็มท่ี ให้เป็นผู้นำ�ที่มีความคิดริเร่ิมและสร้างสรรค์ สามารถนำ�ประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงอย่างต่อเน่ือง และถาวร โดยได้รับการสนับสนุนและเสริมพลังจากครอบครัวและสังคม และมีโอกาสได้นำ�ความสามารถน้ี ไปรับใช้ในครอบครัว สงั คม ประเทศชาติ และสงั คมโลกอยา่ งมีความสขุ และอยา่ งมคี ณุ ธรรม แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน 11

๓.๓ ปรชั ญาในการจัดการศึกษาสำ�หรับเดก็ และเยาวชนผทู้ มี่ ีความสามารถพิเศษ ๓.๓.๑ การศกึ ษาเปน็ สทิ ธขิ น้ั พน้ื ฐานของมนษุ ยท์ กุ คน การศกึ ษาในทน่ี ี้ หมายถงึ กระบวนการ พัฒนาของบุคคลซ่ึงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต รูปแบบของการศึกษาครอบคลุมท้ังการศึกษาตามแนว ในระบบโรงเรยี น การศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อนั เปน็ การเรยี นรจู้ ากแหลง่ วทิ ยาการ และสภาพแวดลอ้ มท่อี ยโู่ ดยรอบตัวคน ๓.๓.๒ เดก็ และเยาวชนทกุ คนมสี ทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การศกึ ษาทสี่ อดคลอ้ งกบั ระดบั และประเภทของ ความสามารถ ความถนดั และความสนใจท่ีแตกต่างกันไปในแตล่ ะบคุ คล เพ่ือพฒั นาศกั ยภาพให้บรรลุขดี สงู สดุ และสามารถดำ�เนินชีวิตอยู่ได้อยา่ งเหมาะสมในสังคมท่ที วีความซับซ้อนและมคี วามเปน็ พลวตั มากขน้ึ ๓.๓.๓ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว ซ่ึงเป็นบุคคลแรก ๆ ในชีวิตของเด็กและเยาวชน มหี นา้ ทอ่ี บรมเลย้ี งดแู ละสง่ เสรมิ ใหเ้ ปน็ คนทสี่ มบรู ณ์ มกี ารพฒั นาการทร่ี อบดา้ นทงั้ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ และ สงั คม นอกจากนัน้ สำ�หรบั เด็กและเยาวชนทีม่ ีความสามารถพเิ ศษ พ่อแม่ ผูป้ กครอง และครอบครวั กม็ บี ทบาท พเิ ศษที่จะตอ้ งเอาใจใส่ในการพฒั นาเดก็ และเยาวชนเหล่านี้ ๓.๓.๔ สงั คมตอ้ งใหก้ ารยอมรบั ในเรอ่ื งความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล และความหลากหลายของ เดก็ และเยาวชน ทง้ั ทางดา้ นความคิด ความสนใจ บุคลิกภาพ ความสามารถพเิ ศษเฉพาะทางของบุคคล และอน่ื ๆ ๓.๓.๕ รฐั และสงั คมพงึ พฒั นาบคุ คลใหม้ คี วามสามารถดา้ นอนื่ ๆ โดยรอบดา้ นดว้ ย เพอื่ ใหเ้ ปน็ คนทีม่ ีพฒั นาการทสี่ มบูรณ์ทั้งด้านสมอง รา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ควบคูไ่ ปกบั การพฒั นาความสามารถ พเิ ศษทีม่ ีอยู่ ทงั้ นี้ พงึ ระมัดระวังวา่ การพฒั นาบคุ คลโดยองคร์ วมนน้ั จะต้องไม่ลดทอนหรือสกดั ก้ันความสามารถ พเิ ศษของบุคคล ๓.๓.๖ รัฐต้องไม่สร้างระบบการศึกษาท่ีปิดกั้นการพัฒนาความสามารถพิเศษในทุกด้านด้วย การจัดกระบวนการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาความสามารถเฉพาะด้านใดด้านหน่ึง หรือสาขาใดสาขาหนึ่ง เทา่ นน้ั แตต่ อ้ งสรา้ งระบบการศกึ ษาทเี่ ปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ และเยาวชนทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษไดแ้ สดงความสามารถ ทุกดา้ นที่มี และได้รบั การพัฒนาความสามารถเหลา่ น้ันไปพร้อม ๆ กนั ๓.๓.๗ การจัดกระบวนการการเรียนรู้ต้องมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เพ่ือเปิดโอกาสให้ เดก็ และเยาวชนแสดงออกซง่ึ ความสามารถพเิ ศษไดต้ ลอดชีวิตของการเรยี นรแู้ ละกระบวนการการเรยี นรู้นนั้ ตอ้ ง เออื้ ตอ่ การสรา้ งสรรค์ คดิ คน้ รเิ รม่ิ การเปน็ ตวั ของตวั เองการสรา้ งจนิ ตนาการทแ่ี หวกแนว ฯลฯ โดยทผี่ รู้ บั ผดิ ชอบ ในการเรียนรู้จะต้องเข้าใจวา่ ผเู้ รยี นรทู้ มี่ ีความสามารถพิเศษน้นั จะมีลักษณะดงั กล่าวขา้ งตน้ คอ่ นขา้ งมาก ๓.๓.๘ รปู แบบการบรกิ ารส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชนทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษควรค�ำ นงึ การบรกิ าร พิเศษหลายรูปแบบ อาทิ การจัดการเรียนรู้พิเศษหรือการรับรู้เฉพาะทางการจัดกิจกรรมเพ่ิมพูนประสบการณ์ (Enrichment Program) ในระบบโรงเรียนปกติ ฯลฯ เพอื่ เปดิ โอกาสให้เด็กและเยาวชนได้รศู้ ักยภาพและเรยี นรู้ ทจ่ี ะพฒั นาศกั ยภาพที่มอี ยู่นัน้ ใหบ้ รรลุถงึ จุดสูงสดุ ให้มากทีส่ ุดเท่าทจี่ ะเป็นได้ 12 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐาน

๓.๔ นโยบาย รัฐและสังคมมีหน้าท่ีส่งเสริมละสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้มคี วามสามารถพิเศษให้สามารถพฒั นาจนบรรลุศกั ยภาพของแตล่ ะคน พรอ้ มทง้ั มีคณุ ธรรมและเจตคตทิ ีจ่ ะรบั ใชส้ ังคม ๓.๕ วัตถปุ ระสงค์ ๑) เพ่ือพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษด้านต่าง ๆ ให้มีความคิดสร้างสรรค์ ความคิดริเร่ิมและสามารถพัฒนาจนบรรลุศักยภาพสูงสุดของแต่ละบุคคล ตามทิศทางหรือสาขาศาสตร์ที่สนใจ และมคี วามสามารถพเิ ศษ ๒) เพ่ือพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้ท่ีจัดอยู่ในกลุ่มน้ีให้รู้จักและเข้าใจตนเอง เข้าใจเพื่อนมนุษย์ เข้าใจสังคมและโลกอย่างถ่องแท้ รวมท้ังเกิดความตระหนักและมีเจตคติท่ีดีต่อการคำ�นึงถึงผลประโยชน์ของ ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ทั้งน้ี เพ่ือให้บุคคลเหล่านี้สามารถดำ�รงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ มีความสขุ และพรอ้ มทจี่ ะสร้างผลงานท่ีเป็นเลศิ ซงึ่ เป็นคณุ ประโยชนแ์ กส่ งั คมตอ่ ไป ๓) เพื่อกำ�หนดแนวทางและมาตรการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถ พเิ ศษในสาขาตา่ ง ๆ เพอ่ื เปน็ ฐานความคดิ ฐานการด�ำ เนนิ งานและการจดั ท�ำ รายละเอยี ดใหเ้ ปน็ รปู ธรรมทช่ี ดั เจน อันจะท�ำ ใหท้ ุก ๆ คน ในกลุ่มดังกลา่ วสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างสมบรู ณ์ และเต็มตามศักยภาพ ๔) เพ่ือสร้างสรรค์กลุ่มบุคคลท่ีมีความสามารถพิเศษให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ในประเทศไทย เพอื่ เปน็ แกนน�ำ ของสงั คมในการพฒั นา การประดษิ ฐ์ การประยกุ ตศ์ าสตร์ / องคค์ วามรแู้ ละทกั ษะ ในสาขาตา่ ง ๆ เพ่อื ใหบ้ รรลวุ สิ ยั ทศั น์ ปรัชญาในการจัดการศกึ ษา และนโยบายตามทกี่ �ำ หนดไว้ แนวทางการเปิดหอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 13

๓.๖ ยุทธศาสตรห์ ลัก ๑) สง่ เสรมิ ใหค้ รอบครวั มบี ทบาทมากขนึ้ ในการพฒั นาเดก็ และเยาวชนผมู้ คี วามสามารถพเิ ศษ ๒) เรง่ สรา้ งผเู้ ชย่ี วชาญและบคุ ลากรในด้านการศกึ ษาส�ำ หรบั ผูม้ ีความสามารถพิเศษ ใหม้ ากขน้ึ โดยเรว็ เพอื่ เปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คญั ในการพฒั นาองคค์ วามรู้ และการสรา้ งความเขา้ ใจแกส่ งั คมอย่างกวา้ งขวาง ๓) ปฏิรูปกระบวนการการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำ�คัญ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนอง อยา่ งเตม็ ทต่ี ามความสามารถ ความสนใจและความถนดั จดั ใหม้ นี วตั กรรมและเทคโนโลยใี หม่ ๆ ในเรอ่ื งการเรยี น การสอนและการพฒั นาเด็กท่มี ีความสามารถพเิ ศษ ๔) ใหอ้ งคก์ รของรฐั องค์กรพฒั นาเอกชน ภาคธรุ กจิ เอกชน องค์กรชมุ ชน ประชาคมจงั หวดั สถาบันทางสังคมตา่ ง ๆ และสื่อมวลชน มีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษ รวมทั้งมีความรู้ในการสังเกตแววความถนัด ความสนใจ และความสามารถพิเศษ ตลอดจนจัดหาและจัดสรร ปจั จัยท่สี ง่ เสริมให้เดก็ และเยาวชนเหล่านไี้ ดพ้ ฒั นาตนจนบรรลุศักยภาพสงู สดุ ๕) สร้างกลไกเพื่อจัดทำ�แผนปฏิบัติการของแผนพัฒนาการศึกษาสำ�หรับเด็กและเยาวชน ผู้มีความสามารถพิเศษ และจัดให้มีระบบการบริหารและจัดการแบบพิเศษ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของ แผน รวมทงั้ มีระบบตดิ ตามและประเมนิ ผลงานด้านนอ้ี ยา่ งจรงิ จงั และต่อเนอื่ ง 14 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศกึ ษาข้นั พื้นฐาน

๔. ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาเด็กและเยาวชนทีม่ ีความสามารถพเิ ศษ (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๙) สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (๒๕๔๘) ได้จัดทำ�ยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กและเยาวชนท่ีมี ความสามารถพิเศษ (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๙) ข้ึนเพือ่ เปน็ ทิศทางใหห้ น่วยงานการศกึ ษาและหนว่ ยงานท่เี กยี่ วข้อง นำ�ไปกำ�หนดแนวทางการดำ�เนินงานในการจัดการศึกษาและกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนท่ีมี ความสามารถพเิ ศษไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมเปน็ ระบบและครบวงจร เกดิ ความเสมอภาค ทวั่ ถงึ และเปน็ ธรรมแกเ่ ดก็ เยาวชนกลมุ่ น้ที ่ีกระจายอย่ทู ว่ั ประเทศ โดยกำ�หนดออกเป็น ๗ ยุทธศาสตร์ ในท่ีน้ียุทธศาสตรท์ ่เี กย่ี วขอ้ ง คือ ยุทธศาสตร์ท่ี ๖ การพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษระดับสูง (Highly Gifted) ซ่งึ จากปกตจิ ะมีอยรู่ อ้ ยละ ๐.๐๑ คนนัน้ เปน็ ปรากฏการณ์ทีแ่ ตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปอยา่ งมาก จนบางครั้ง ดเู หมอื นเปน็ ความมหศั จรรยท์ เี่ กดิ ขน้ึ เชน่ เดก็ อายุ ๖ ขวบ มคี วามรดู้ า้ นคณติ ศาสตรร์ ะดบั ปรญิ ญาโท เดก็ ๔ ขวบ มคี วามสามารถดา้ นภาษาตา่ งประเทศถงึ ๕ - ๖ ภาษา หรอื มคี วามเกง่ ดา้ นอน่ื ๆ อยา่ งสงู ผดิ ปกตมิ ากไดอ้ ยา่ งเปน็ ท่ี นา่ อศั จรรย์ เชน่ ดนตรี กฬี า ตง้ั แตว่ ยั เยาว์ รวมถงึ กลมุ่ เดก็ และเยาวชนทมี่ คี วามสามารถดา้ นสตปิ ญั ญาทอี่ าจวดั ดว้ ย การทดสอบ IQ ซง่ึ จะอยใู่ นระดบั ประมาณ ๑๔๐ ขึ้นไป ด้วยความแตกต่างอย่างมากเหล่านี้ การอบรมเลี้ยงดูและการให้การศึกษาจำ�เป็นต้องจัดให้เป็น รายบุคคล เฉพาะตวั ซ่งึ ตอ้ งการความยืดหยุน่ หลากหลายอย่างเพยี งพอและตอ้ งการระบบท่ใี ห้การเอาใจใส่ดแู ล อย่างครบวงจร จากประสบการณ์ที่พบทั่วไปเด็กกลุ่มนี้จะมีความเป็นเลิศ ขณะเดียวกันอาจมีความบกพร่อง ด้านอ่ืนด้วยซ่ึงหากได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องเหมาะสม จะเป็นผู้ให้คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และสังคม โลกอย่างมหาศาล มาตรการ ๑) สนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษามีความพร้อมให้บริการปรึกษา ดูแลเด็กและเยาวชนท่ีพบว่า มีความสามารถพิเศษระดับสูง โดยรว่ มกบั ผเู้ ชย่ี วชาญสาขาต่าง ๆ อย่างครบวงจร ๒) ให้เด็กท่ีมีแววความสามารถพิเศษระดับสูงได้รับการตรวจสอบหรือบ่งชี้โดยสถาบันต่าง ๆ ท่ีมี ผู้เชย่ี วชาญ โดยมีกลไกการส่งต่อเพอ่ื ให้การดแู ลและพฒั นา ๓) ใหส้ ถานศกึ ษาหรอื สถาบนั อดุ มศกึ ษาทด่ี แู ลเดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษระดบั สงู จดั แผนการเรยี น รายบคุ คลท่ีมีความเหมาะสมกบั ศักยภาพของเด็กและเยาวชนแตล่ ะบุคคล ๔) ให้หน่วยงานส่วนกลางเร่งแก้ไขหรือพัฒนากฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะการวัดผลการเรียน ข้ามช้ันเรียนเป็นรายวิชาหรือท้ังระดับ เพื่อให้ระบบการศึกษามีความยืดหยุ่นและหลากหลายและผู้เรียนที่ใช้ รูปแบบการเรียนรู้ที่ผสมผสานได้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย การเทียบโอนผลการเรียนรู้ การวัดและประเมนิ ผลตามศกั ยภาพของผู้เรียน ๕) สนับสนุนผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษระดับสูง ไม่ว่าจะเรียนรู้อยู่ในสถานศึกษาประเภทใด รวมถึงเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษระดับสูงท่ีพ่อแม่จัดการศึกษาให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ ในระบบโรงเรยี น ๖) ประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษระดับสูงได้รับ การดแู ลใหไ้ ดร้ บั การศกึ ษาสงู สดุ และเตรยี มการรองรบั เรอื่ งการประกอบอาชพี ใหเ้ ปน็ ไปตามศกั ยภาพของเยาวชน และความต้องการของประเทศ แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน 15

ยุทธศาสตรท์ ี่ ๗ การสร้างความเปน็ เลิศในดา้ นตา่ ง ๆ ใหก้ ับประเทศ ได้กำ�หนด เป้าหมายของการเสาะหาและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษนั้น นอกจาก จะเพ่ือสิทธิของบุคคลอันพึงมีพึงได้แล้วประเทศชาติต้องการให้กลุ่มคนเหล่าน้ี นำ�ความเช่ียวชาญ ทมี่ อี ยใู่ หเ้ กดิ ประโยชนแ์ กช่ มุ ชน ประเทศชาตแิ ละจนถงึ สงั คมโลก จงึ มคี วามจ�ำ เปน็ ใหเ้ ขาเหลา่ นน้ั พรอ้ มทจี่ ะรบั ใชส้ งั คม นอกจากการใหก้ ารศกึ ษาแลว้ การสรา้ งเสรมิ ประสบการณใ์ นการท�ำ งาน เพอ่ื ใหม้ วี สิ ยั ทศั นท์ กี่ วา้ งไกลมองเหน็ ความสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงของการพฒั นาดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ องค์รวม พร้อมท่ีจะก้าวสู่อาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ความสนใจ และสร้างเสริมความเจริญ ใหก้ บั ประเทศชาตไิ ดอ้ ยา่ งกา้ วกระโดด จำ�เปน็ ตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากทุกภาคสว่ น มาตรการ ๑) วางนโยบายและแผนปฏิบัติงานให้เกิดความต่อเนื่องเช่ือมโยงของการดำ�เนินงาน ต้ังแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับสูงสุดของการศึกษาให้กับผู้ที่มีความสามารถพิเศษ รวมท้ัง ต้องมีแผนรองรับด้านอาชีพที่เหมาะสมและใช้ความสามารถท่ีมีอยู่เต็มตามศักยภาพของคน กลุ่มน้ีให้ชดั เจนด้วย ๒) สนับสนุนการจัดส่งเด็กและเยาวชนไทยที่มีความสามารถพิเศษโดยให้ทุน การศึกษา ศึกษาดูงาน เขา้ ค่ายหรืออ่ืน ๆ ทง้ั ในประเทศและต่างประเทศอยา่ งทวั่ ถงึ เปน็ ธรรม และเสมอภาค เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์และได้มีโอกาสพัฒนาอย่างเต็ม ศกั ยภาพ ๓) สนับสนุนให้หน่วยงานองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน รับเด็กและเยาวชนที่มี ความสามารถพิเศษได้ร่วมเรียนรู้ และแลกเปล่ียนประสบการณ์ในการทำ�งานท่ีหลากหลาย เพ่ือใหก้ ารเรียนรู้ การพฒั นาทเี่ ช่อื มโยงกนั ระหวา่ งสาขาตา่ ง ๆ ๔) สนับสนนุ การจดั ต้งั ชมรม สมาคม ของเดก็ และเยาวชนทม่ี คี วามสามารถพิเศษ เพอื่ ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นเรยี นรแู้ ละรวมพลงั ในการท�ำ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คม ๕) สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษได้เข้าร่วมเป็นกรรมการ คณะทำ�งานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรว่ มใหข้ ้อคิดเหน็ ข้อเสนอแนะในการพัฒนาประเทศ 16 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน

แนวคิดและทฤษฎใี นการจดั การศกึ ษาสำ�หรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ สำ�นักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (๒๕๔๘) ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาเด็กและเยาวชนทม่ี ีความสามารถ พิเศษ (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๙) ได้กำ�หนดวิสยั ทัศน์ ไว้ว่า “เด็กและเยาวชนทีม่ ีความสามารถพเิ ศษตอ้ งไดร้ ับสิทธิ ในการพัฒนาความสามารถพิเศษของตนอย่างเต็มท่ี ให้เป็นผู้มีความเป็นเลิศท่ีมีความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ สามารถนำ�ประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงและมั่งค่ังอย่างต่อเน่ืองและถาวร โดยได้รับการสนับสนุนและเสริมพลัง จากรฐั ครอบครัวและสังคม และมโี อกาสได้น�ำ ความสามารถนีไ้ ปปรับใชใ้ นครอบครวั สงั คม ประเทศชาติ และ สงั คมโลกอยา่ งมีความสุขและอย่างมีคุณธรรม” ดังนั้นการคัดเลือกเสาะหาและสำ�รวจความสามารถพิเศษของเด็กเพื่อตรวจสอบศักยภาพพื้นฐาน ในอันท่ีจะนำ�มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของเด็ก แตล่ ะคน โดยทว่ั ไปเดก็ แตล่ ะคนมที งั้ จดุ ดแี ละจดุ เดน่ อยใู่ นตวั และในเดก็ บางคนกม็ จี ดุ เดน่ ทโี่ ดดเดน่ กวา่ เดก็ อนื่ ๆ ซึ่งอาจแตกต่างมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ศักยภาพพ้ืนฐานและการบ่มเพาะภายหลัง อย่างไรก็ตาม พบว่า ความสามารถพิเศษท่แี ฝงอยู่ในตวั เดก็ ท่มี คี วามสามารถสงู กว่าเดก็ อน่ื น้นั อาจไม่แสดงออกอยา่ งชดั เจนอย่างเช่น คนท่ัวไปคาดคิดเด็กที่มีศักยภาพโดดเด่นพบท่ีจะเป็นอัจฉริยะบุคคลในอนาคตได้อย่างสบาย ๆ อาจไม่แสดง ความสามารถใด ๆ ให้เห็นเป็นท่ีประจักษ์ในสถานการณ์ทวั่ ๆ ไป โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในระบบการศึกษาทป่ี ิดก้นั ความสามารถของเดก็ ท่ัวไปเชน่ น้ี กระบวนการสำ�รวจหรือเสาะหาเด็กกลุ่มนี้จึงต้องมีการศึกษา และทำ�ความเข้าใจกับธรรมชาติ อันหลากหลาย ตลอดจนปจั จัยทอี่ าจปดิ กัน้ ความสามารถอันแท้จรงิ ของเด็กได้ อาทิ การเลีย้ งดู ระบบการศกึ ษา ประสบการณช์ ีวติ ปญั หาทางครอบครวั ฯลฯ ด้วยเหตนุ ี้ การกำ�หนดขัน้ ตอน วิธีการ ตลอดจนการใช้เคร่อื งมอื ในการสำ�รวจและเสาะหาจึงต้องทำ�อย่างระมัดระวัง และไม่ปิดก้ันเด็กที่อาจไม่ได้รับการเลือกหรือเสนอชื่อ ในอนาคต ในอดีตที่ผ่านมาน้ัน การสำ�รวจและเสาะหาเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษยึดอยู่กับการสอบแข่งขัน การใช้ข้อสอบคัดเลือก การใช้ผลจากคะแนนที่ได้มาจากแบบทดสอบทางสติปัญญา หลังจากท่ีมีการดำ�เนินการ จัดการศึกษาพิเศษสำ�หรับเด็กกลุ่มน้ีมานับสิบปี จึงได้พบว่าความผิดพลาดในการคัดเลือกเด็กเข้าโครงการน้ัน มาจากสาเหตุหลายประการ อาทิ ความไม่กระจ่างชัดในเร่ืองคุณลักษณะของเด็กแต่ละประเภท ความเข้าใจ ผิดพลาดในเร่ืองความสามารถทางสติปัญญา การยึดถือแบบทดสอบข้อเขียนอย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ใช้ เกณฑอ์ น่ื เขา้ รว่ มตดั สนิ ความไมร่ อบคอบระหวา่ งการด�ำ เนนิ การคดั เลอื ก รวมถงึ การคดั เลอื กไมต่ รงกบั เปา้ ประสงค์ ทต่ี อ้ งการ นอกจากนย้ี งั มเี ดก็ หลายประเภททต่ี อ้ งใชว้ ธิ หี รอื เครอื่ งมอื พเิ ศษในการส�ำ รวจ เชน่ เดก็ ทมี่ คี วามสามารถ ตาํ่ กว่าความเป็นจรงิ หรอื เด็กทม่ี ีความบกพรอ่ งด้านตา่ ง ๆ อษุ ณีย์ โพธิสขุ (๒๕๒๔) เสนอแนวทางในการเสาะหาอจั ฉริยภาพของเดก็ ๆ ท่มี คี ุณภาพเป็นท่ียอมรับ ในระดับนานาชาติปจั จุบนั ซงึ่ ปรับมาจาก Model ของ Clark คอื ๑. การใช้กระบวนการตรวจสอบทเ่ี ปน็ ข้นั ตอน ๒. การใช้กระบวนการตรวจสอบทีใ่ ชเ้ ครื่องมือและวธิ ีการทเี่ หมาะสมกับแววของเด็ก ๓. การใชก้ ระบวนการตรวจสอบท่ีไมล่ ำ�เอยี งกบั เดก็ กลุม่ ใดเปน็ พเิ ศษ แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 17

๔. การใช้กระบวนการตรวจสอบท่เี ปน็ ขั้นตอนมขี ้อมลู หลายดา้ นประกอบกัน ดงั น้ี ขน้ั ท่ี ๑ เดก็ ท้ังหมด ๑๐๐% ๑) เสนอชอื่ โดยครู พอ่ แม่ เพอื่ น นักจติ วทิ ยา ตนเอง ๒) รายงานจากครู ๓) ประวตั คิ รอบครวั ๔) ผลงานที่โดดเดน่ ผลการเรียน ๕) แบบประเมินความสามารถ ๖) ทดสอบสตปิ ญั ญา (กลมุ่ ) ๗) แบบสำ�รวจความสนใจ ฯลฯ ขน้ั ท่ี ๒ เหลอื ๑๐% ของเด็กทง้ั หมด ๑) สรุปจากขอ้ มูลข้นั ตน้ ๒) ทดสอบสติปัญญา (เดยี่ ว) ๓) ทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ ๔) สัมภาษณพ์ ่อแม่ ครู ข้นั ที่ ๓ เหลอื ๑ - ๕% ของเด็กทงั้ หมดทเ่ี ข้าโครงการ ๑) ผู้เช่ยี วชาญตัดสินใจ 18 แนวทางการเปดิ ห้องเรยี นพเิ ศษในสถานศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน

๑. หลักการและรูปแบบในการจัดการศึกษาส�ำ หรบั เด็กและเยาวชนทีม่ ีความสามารถพเิ ศษ โดยท่วั ไปการจัดการศกึ ษาส�ำ หรบั เด็กทมี่ คี วามสามารถพิเศษ ควรดำ�เนนิ การ ดงั นี้ ๑. จัดเน้อื หายากและท้าทายกวา่ หลกั สูตรสำ�หรับเด็กทว่ั ไป ๒. มกี ารเช่อื มโยงและบรู ณาการกนั ในหลาย ๆ วิชา ๓. ให้เดก็ มสี ่วนรว่ มในการเลือกสิง่ ที่ตนเองจะเรียน ๔. จดั กระบวนการเรียนการสอนทส่ี ลับซับซ้อน ลึกซ้งึ กวา่ หลักสูตรปกติ ๕. เนน้ กระบวนการทางความคิดระดบั สูง ๖. มกี ิจกรรมที่ตอบสนองความหลากหลายของกระบวนการเรียนรู้ ๗. ตงั้ เกณฑ์ในการพจิ ารณาผลงานหรือผลการเรยี นรู้ของเดก็ ให้ชดั เจน ๘. ให้ความสนใจกับความมุ่งม่ันในความสำ�เร็จ ความกระตือรือร้นและการเปลี่ยนแปลงภายในที่มี คณุ คา่ ตอ่ การเรียนรูข้ องเดก็ ท่สี ง่ ผลดตี ่อสังคม ๙. เน้นพัฒนาการทางคุณธรรมจรยิ ธรรมเปน็ แกนนำ� ๑๐. เน้นการพฒั นาสมองทุกสว่ น (Whole Brain Approach) สำ�หรับการพิจารณาการจัดรูปแบบการจัดการศึกษาพิเศษนั้น แนวทางหน่ึงที่สามารถทำ�ได้ คือ การพิจารณาระดับความสามารถหรือความตอ้ งการว่ามีมากอยูใ่ นระดับใดแล้วจดั กลมุ่ ตามล�ำ ดบั อาการ ดงั น้ี คือ น้อย อยู่ในชั้นเรยี นปกติ แต่ให้คำ�แนะนำ�เป็นระยะ ๆ อยใู่ นช้ันเรยี นปกติ แต่ดงึ ออกจากหอ้ งเรียนเปน็ บางคร้งั ปานกลาง จดั ตารางเรยี น ในห้องเรยี น Resource Centre มาก ช้ันเรียนพิเศษ โรงเรียนพเิ ศษ Mentoring แนวทางการเปิดหอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน 19

๒. การจัดหลักสูตรการศึกษาสำ�หรับเด็กทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ วธิ กี ารจดั หลักสูตรทสี่ ำ�คัญ ๆ มี ๔ วธิ ี คือ ๑. วธิ เี พ่มิ พูนประสบการณ์ (Enrichment) ๒. วธิ ขี ยายหลักสูตร (Extension) ๓. วธิ ลี ดระยะเวลาเรยี น (Acceleration) ๔. การใชผ้ เู้ ชย่ี วชาญพเิ ศษเปน็ ผใู้ หค้ �ำ ปรกึ ษาดแู ล (Mentoring) ดงั มรี ายละเอยี ดในแตล่ ะวธิ กี าร ดงั นี้ ๓. การสอนแบบเพ่ิมพูนประสบการณ์ (Enrichment) เป็นวิธีการจัดการศึกษาแบบขยายกิจกรรมในหลักสูตรให้กว้างและลึกซึ้งกว่าที่มีอยู่ในหลักสูตรปกติ ทเ่ี น้นคณุ ภาพมากกวา่ ปริมาณ เนน้ กระบวนการเรยี นร้มู ากกวา่ เนอ้ื หาและเด็กอาจใชเ้ วลามากกวา่ หรือน้อยกวา่ เดก็ อ่ืนในช้นั เรียนเดียวกนั สามารถวางแผนในการจัดการศึกษาท่ีให้เดก็ ท่ีมีความสามารถพิเศษระดบั อายตุ า่ งกัน แต่มีความสนใจและมีความสามารถด้านเดียวกันมาเรียนด้วยกันเป็นบางช่ัวโมง โดยปรับเนื้อหาในหลักสูตร ให้เข้มข้นและกวา้ งขวางข้ึน การสอนแบบเพ่ิมพูนประสบการณ์ช่วยให้เด็กพัฒนาส่ิงท่ีสนใจได้ลึกซ้ึงย่ิงขึ้นในการปูพ้ืน ทักษะการเรียนรู้ การคดิ วเิ คราะห์ สบื สวน สอบสวน หาความรู้ความจริง และสนับสนุนให้เด็กศกึ ษาหาความรู้ ท่ีนอกเหนือจากจุดมุ่งหมายในการเรียนสำ�หรับเด็กปกติเหมาะสำ�หรับเด็กท่ีก้าวหน้ากว่าเพื่อน ๆ และอาจ เบอ่ื หนา่ ยการเรยี น ๓.๑ ลักษณะการจัดกิจกรรมในการเรยี นแบบเพ่ิมพนู ประสบการณ์ ๓.๑.๑ ชุดการเรยี นการสอนแบบรายบุคคล ๓.๑.๒ โครงงาน ๓.๑.๓ ทศั นศกึ ษา ๓.๒ การเรยี นการสอนแบบเพ่ิมพนู ประสบการณ์ ในชัน้ เรียนสามารถจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ได้ดังน้ี ๓.๒.๑ กจิ กรรม แบบฝกึ หดั ตา่ ง ๆ จดั ใหเ้ ปดิ กวา้ ง เปน็ ค�ำ ถามในลกั ษณะปลายเปดิ ใหม้ ากทสี่ ดุ ๓.๒.๒ ใหเ้ ดก็ ได้มีสว่ นร่วมในการเลอื กเนือ้ หา กจิ กรรม หรือเสนอแนะรูปแบบหรอื การเรียน การสอน ๓.๒.๓ ฝึกใหเ้ ด็กได้ศึกษาสิง่ ใดสิ่งหนึง่ ใหล้ กึ และชัดเจน ๓.๒.๔ ปรบั กระบวนการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะการเรยี นรู้ (Learning Styles) ของเด็กแต่ละคน ๓.๒.๕ ฝกึ การท�ำ โครงสร้างการเรยี นรู้ แผนทคี่ วามรตู้ นเอง ๓.๒.๖ จดั กจิ กรรมทช่ี ว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ในสงิ่ ทเี่ ขาสนใจ พฒั นาทกั ษะกระบวนการทางความคดิ ระดบั สูง และสามารถบรู ณาการหลาย ๆ สาขาเข้าด้วยกัน มคี วามสามารถในหลกั สูตรไดด้ ขี นึ้ 20 แนวทางการเปดิ ห้องเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน

๓.๓ การสอนแบบเพ่มิ พูนประสบการณ์ สามารถจัดกบั กลุ่มเดก็ ไดด้ ังน้ี ๓.๓.๑ จัดช้ันพิเศษให้กับเด็กท่ีมีความสนใจ มีความสามารถในเฉพาะ วชิ าการจดั หอ้ งเรยี นพเิ ศษทน่ี กั เรยี นมรี ะดบั ความสามารถพอ ๆ กนั มาเรยี นรว่ มกนั เฉพาะวชิ า (ไม่ใช่แยกห้องเดก็ เก่ง เด็กออ่ นและไมแ่ ยกวิชา) ช่วยใหเ้ ดก็ ไดพ้ ัฒนาความสามารถได้ตาม ศักยภาพยิ่งขึ้น และได้ท�ำ งานที่เหมาะสมมากข้นึ และครกู ็จัดกจิ กรรมง่ายขนึ้ ได้ทำ�งานท่ี ทา้ ทายท้ังครูและนักเรยี น ๓.๓.๒ จดั ชน้ั เรยี นพเิ ศษบางเวลา เชน่ เดก็ เกง่ คณติ ศาสตร์ ศลิ ปะ ดนตรี กีฬา ฯลฯ นอกเวลาเรยี นในวันเสาร์ - อาทิตย์ ปิดเทอม อาจทำ�ได้กบั ทง้ั เด็กในโรงเรียน เดยี วกนั ตา่ งช้ันเรยี นและเดก็ ตา่ งโรงเรยี นกนั ๓.๓.๓ จัดกจิ กรรมพเิ ศษในชน้ั เรยี นปกติ เปน็ การจดั ให้เดก็ ทุกระดบั ไว้ ในกลุ่มเดียวกันในบางครั้ง เพ่ือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เกิดพัฒนาการทางสังคมข้ึน แต่บางครั้งก็ควรจัดเด็กมีระดับการเรียนเดียวกันไว้กลุ่มเดียวกัน เพื่อโอกาสในการใช้ กจิ กรรมเสรมิ ทีย่ ากกวา่ ปกติ ในปัจจุบันวิธีนี้เป็นท่ีนิยมแพร่หลายมาก สามารถจัดได้หลากหลาย ตามความสามารถพเิ ศษของเดก็ โดยไมจ่ �ำ กดั เฉพาะวชิ าในหลกั สตู รเทา่ นนั้ และมผี ลกระทบ ทางจิตใจ อารมณ์ สังคม และกระบวนการเรียนรู้ในระยะยาวของเด็ก ส�ำ หรบั ประเทศไทย อาจมีข้อจ�ำ กัดในเรอื่ งวิธีสอนทหี่ ลากหลาย แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพเิ ศษในสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 21

๔. วธิ ีการขยายหลกั สตู ร (Extension) เปน็ การจดั โปรแกรมการศกึ ษานอกหลกั สตู รส�ำ หรบั เดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษทตี่ อบสนองความสนใจ และความสามารถเป็นรายบุคคล สามารถทำ�เป็นงานเดี่ยวหรืองานกลุ่มได้ เด็กสามารถเรียนเกินกว่าหลักสูตร กิจกรรมและการด�ำ เนินการจดั ความสามารถทำ�ไดห้ ลากหลายรปู แบบ เช่น ๑. การท�ำ โครงการพิเศษ ๒. การเรยี นรใู้ นหอ้ งศูนย์วิทยพฒั นา ๓. ท�ำ ศนู ยว์ ทิ ยาการทเี่ ปน็ แหล่งกระตุน้ การเรยี นรตู้ ามความสนใจทม่ี สี ่ือรูปแบบตา่ ง ๆ ๔. การใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน ๕. เขา้ ร่วมกจิ กรรมนอกหลกั สูตร ๖. ทำ�การก�ำ หนดโครงงานร่วมกัน ๗. การเรม่ิ โครงการทแ่ี ปลกใหมร่ ว่ มกับนักเรียน ๘. แคมป์วชิ าการ หรือแคมปต์ ามความสนใจของเดก็ ๙. สร้างเครือข่ายกลุ่มที่มีความสนใจ หรือมีความพยายามแบบเดียวกันเข้าด้วยกันโดยเฉพาะเด็ก ทีม่ คี วามสามารถพิเศษระดับสูง ๑๐. จัดการแข่งขัน ในบางคร้ังการแข่งขันทำ�ให้เกิดการกระตุ้น เกิดมีการท้าทายทางความคิด และทำ�ให้เกิดการปรับคุณภาพการเรียนการสอนการเปรียบเทียบและแข่งขัน เช่น โครงการโอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันคณติ ศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย เป็นตน้ ๑๑. การฝึกทักษะการเรียนรู้ เช่น การหาข้อมูล การใช้ข้อมูล การวินิจฉัยวิเคราะห์ใช้วิจารณญาณ กับข้อมลู การน�ำ ความรู้ไปสูก่ ารปฏบิ ัติ เปน็ ต้น 22 แนวทางการเปิดหอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน

๕. วธิ ีลดระยะเวลาเรียน (Acceleration) การจดั การศกึ ษาแบบลดระยะเวลาเรยี น (Acceleration) เปน็ หนทางหนง่ึ ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ กดิ ความยดื หยนุ่ ทางการศึกษาได้มากขึ้นวิธีหน่ึง แต่ต้องมีกระบวนการที่ถูกต้องรัดกุมจึงจะเป็นผลดีกับเด็ก การจัดการศึกษา ให้กับเดก็ ท่ีสามารถเรียนรว่ มกบั ผู้อืน่ ได้สงู กวา่ วยั ของตนเองเรียกวา่ การสอนแบบลดระยะเวลาท้ังส้ิน วิธีนี้ใช้กัน มานานในทกุ ๆ ประเทศ ซงึ่ กลยทุ ธใ์ นการจดั การมมี ากมายหลากหลาย แตท่ เ่ี รามกั จะพบ คอื การใหเ้ ดก็ ขา้ มชนั้ เรยี น โดยขาดกระบวนการท่ีครบถ้วน ทำ�ให้เด็กมีผลเสียทางด้านอ่ืนได้ในภายหลงั ๕.๑ หลักการจดั การศึกษาแบบลดระยะเวลาเรยี น ๕.๑.๑ ให้เข้าเรียนเร็วกว่าวัยของเด็กปกติมาก ในกรณีท่ีเด็กมีความพร้อมสูงมากได้รับ การตรวจสอบจากนักจิตวิทยาที่เช่ียวชาญในการตรวจสอบความสามารถ มีความมั่นคง ทางอารมณ์ สังคม และมีวุฒิภาวะมากกวา่ เพ่ือนวยั เดียวกัน และไมใ่ ชเ่ ป็นสง่ิ ที่พ่อแม่ต้องการให้เลอื่ น ๕.๑.๒ ขา้ มช้นั เรียน ต้องมกี ารกลัน่ กรองตามกระบวนการทดี่ ี ดังทกี่ ล่าวข้างต้น โดยพจิ ารณา จากเด็กท่ชี อบทำ�งานท่ียาก ๆ สลับซบั ซอ้ น ๕.๑.๓ ให้เรียนในชน้ั สงู กวา่ บางวชิ า วิธนี ไี้ ดผ้ ลดีมากและเดก็ ไม่ถูกเพง่ เลง็ มากนกั ๕.๑.๔ ใหท้ �ำ งานในชน้ั สงู กว่าแตเ่ ดก็ ยังอยู่ในช้ันเดียวกับเพ่อื น ๕.๑.๕ ยน่ หลักสตู รใหเ้ ดก็ จบเรว็ ขึน้ โดยท่มี ีเนอ้ื หาเทา่ เดิม ๕.๑.๖ จดั กลมุ่ เดก็ ท่ีมคี วามสามารถเรอ่ื งเดยี วกัน แตต่ ่างช้นั กนั มาเรียนดว้ ยกนั ๕.๒ ลกั ษณะเด็กทจ่ี ะพจิ ารณาใหไ้ ดร้ ับการจดั การศึกษาแบบลดระยะเวลาเรยี น ๕.๒.๑ มีความสามารถมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างเหน็ ไดช้ ดั เจน ๕.๒.๒ มคี วามกระหายท่จี ะเรียนรู้ โดยไมเ่ ครียด ๕.๒.๓ มีวุฒภิ าวะทางอารมณ์และสงั คมเหมาะกบั อายุ ๕.๒.๔ เด็กมคี วามพรอ้ มท่แี ยกจากเพือ่ น ๕.๒.๕ พอ่ แม่ ผูป้ กครอง และโรงเรยี นมีความเห็นตรงกนั วา่ ควรใชก้ ระบวนการจัดการศกึ ษา แบบน้ีกบั เด็ก ๕.๒.๖ ต้องมีความแน่ใจว่า ไม่เป็นการตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ท่ีอาจเป็นพ่อแม่ หรอื ครู ทต่ี ้งั ความคาดหวงั กบั เด็กสงู เกินจรงิ ๕.๒.๗ ต้องมีคนดูแลและรับผิดชอบในการจัดครั้งนี้อย่างเป็นระบบ ต่อเน่ือง มีเกณฑ์ ความสามารถ สตปิ ญั ญา IQ เกนิ ๑๓๐ ขน้ึ ไป (ในกรณเี ดก็ ทม่ี คี วามสามารถทางการเรยี น) ไดร้ บั การตรวจสอบจาก นกั จิตวทิ ยาท่ีเชี่ยวชาญในการตรวจสอบความสามารถของเด็ก ๕.๓ ประโยชนข์ องการจดั การศึกษาแบบลดระยะเวลาเรยี น คือ ๕.๓.๑ สามารถเรียนตามศกั ยภาพของตัวเอง ๕.๓.๒ เปน็ การเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นสง่ิ ทย่ี ากขนึ้ ใหเ้ หมาะกบั ความสามารถของตวั เดก็ เอง ๕.๓.๓ ลดทศั นคตทิ างลบกบั การเรยี นรู้ ลดความทะนงตวั ชว่ ยเดก็ เกง่ ไมใ่ หเ้ บอ่ื หนา่ ยการเรยี น ในวิชาปกติท่ีเขาไปได้เร็วกว่าเพ่ือน ๆ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการถดถอยทางศักยภาพของเด็ก หรือทำ�ลาย ศักยภาพตนเอง แนวทางการเปดิ ห้องเรยี นพิเศษในสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน 23

๖. การใช้ผเู้ ชย่ี วชาญพิเศษเป็นผใู้ หค้ �ำ ปรกึ ษาดูแล (Mentoring) เป็นการใช้ผู้เช่ียวชาญเฉพาะทางมาช่วยเด็กท่ีมีความสามารถโดดเด่น มักจะทำ�ในระดับมัธยมศึกษา กับเด็กท่ีมีความสนใจอย่างเด่นชัด และมีทักษะพื้นฐานทางสังคมดีจัดระบบวิธีเรียนของตนเองได้ดีแล้ว ซ่ึงเด็ก สามารถทำ�งานภายใต้คำ�แนะนำ�ของผู้เช่ียวชาญ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย ทนายนักเคมี นักประวัติศาสตร์ สถาปนิก และผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นตา่ ง ๆ การใช้วิธีการทางการศึกษาที่ดีไม่ควรยึดวิธีการเดียวเพราะทำ�ให้เกิดสภาพการศึกษาที่ไม่ยืดหยุ่น ตามความต้องการหรือสภาพความสามารถของเด็ก การกำ�หนดและเลือกใช้วิธีการจัดการศึกษาจะไม่ตายตัว มกี ารปรบั เปลยี่ นได้ตลอดเวลา (Dynamic Process) และควรใชว้ ิธหี ลายอย่างในโครงการเดียวกนั เชน่ อาจใช้ ทัง้ แบบ Enrichment,Extension, Acceleration และ Mentoring โดยมแี นวพจิ ารณาจากความต้องการและ ความสามารถของเดก็ ควบคไู่ ปกบั ความเป็นไปได้ในการบริหารจดั การของโรงเรยี น ดงั นน้ั การจัดการศึกษาสำ�หรับเดก็ ทีม่ ีความสามารถพิเศษหรือเดก็ ท่ีมคี วามสามารถพเิ ศษเฉพาะทาง นั้น จะต้องดัดแปลงตามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแต่ละโรงเรียนที่สามารถจัดให้เหมาะสมกับเด็ก แต่ละคน การให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่าน้ีจำ�เป็นต้องสร้างระบบโครงสร้างทางการศึกษาที่จะสามารถรองรับ ความตอ้ งการในสว่ นน้ี 24 แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพิเศษในสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน

การดำ�เนินงานจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ ในตา่ งประเทศ การดำ�เนินงานจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษในต่างประเทศ ได้ให้การส่งเสริม สนับสนุนเด็กและเยาวชนในชาติของตน ที่มีความสามารถพิเศษ ให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มท่ี โดยเฉพาะประเทศท่ีปกครองด้วยระบบสังคมนิยม หรือประเทศท่ีต้องการพัฒนาประเทศด้วยอัตราที่ก้าวกระโดด ซ่ึงในเร่ืองน้ี บางประเทศถือว่าเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่เปิดเผย สำ�หรับข้อมูลท่ีมี การเผยแพร่ในหลายประเทศ พบว่ามีการกำ�หนดนโยบายหรือแนวปฏิบัติในระดับ ประเทศไว้อย่างชัดเจนมีการดำ�เนินงานอย่างเป็นระบบและครบวงจรท้ังในเร่ือง การศึกษาและการประกอบอาชีพตามเป้าหมายของประเทศ รัฐจัดสรรงบประมาณ เป็นพิเศษให้และมีการจัดต้ังกองทุนสมทบจากแหล่งต่าง ๆ มีการเสาะแสวงหากลุ่ม เดก็ พเิ ศษเหลา่ นต้ี งั้ แตว่ ยั เยาว์ ในโรงเรยี นจะมรี ปู แบบการเรยี นการสอน หลกั สตู ร และ มีโปรแกรมพิเศษมากมายให้เด็กได้เลือกเรียนตามความเหมาะสมกับความสามารถ พเิ ศษของเด็กแต่ละคน ครูผู้สอนจะได้รับการอบรมเปน็ พิเศษ ใหม้ ีความรูค้ วามเขา้ ใจ และความสามารถท่ีจะสอนเดก็ กล่มุ น้ีได้เป็นอย่างดี ทุกประเทศดำ�เนินการพฒั นาเด็ก เหล่าน้ี โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ปกครอง ชุมชน และโรงเรียน นอกจากนั้น ในระดับประเทศและมลรฐั จะมีองคก์ รทีท่ �ำ หนา้ ทเ่ี ผยแพรค่ วามรู้ ประสานการดำ�เนินงาน ให้คำ�ปรึกษา แนะนำ� รวมถึงมีศูนย์หรือหน่วยงานท่ีทำ�หน้าท่ีวิจัยและรวบรวม ผลงานวจิ ยั เพอ่ื สะสมและเผยแพร่ องคค์ วามรใู้ นเรอื่ งดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งกวา้ งขวาง ต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีองค์กรระดับโลกท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กที่มีความสามารถ พเิ ศษ คอื The World Council for Gifted and Talented Children เปน็ องค์กร ท่ีตั้งขึ้นเพื่อให้การสนับสนุนหน่วยงานของรัฐและเอกชนท่ีมีความประสงค์จะพัฒนา เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ ซ่ึงเน้นการดำ�เนินงานในรูปแบบแลกเปลี่ยนและร่วมมือ ด้านวชิ าการ โดยมีสมาชิกจากท่ัวโลกประมาณรอ้ ยกว่าประเทศ และมอี งค์กรในระดบั ภมู ภิ าค ซึ่งรวมถึงเอเชยี แปซิฟกิ The Asia - Pacific Federation of The World Council for the Gifted and Talented Children (APF) ดำ�เนินการประสานงาน และทำ�หนา้ ทีเ่ ช่นเดียวกับหน่วยงานแรก สำ�หรบั สาระส�ำ คัญของการด�ำ เนินงานเร่อื งนี้ โดยสรุปของประเทศต่าง ๆ มีดังนี้ แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพิเศษในสถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน 25

๑. ประเทศแคนาดา ดำ�เนินการจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ โดยเน้นและ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั มติ ดิ า้ นสตปิ ญั ญา (Intellectual Ability) เปน็ พเิ ศษ รฐั บาลมนี โยบาย การจัดการศึกษาด้านนี้ท่ีชัดเจน การจัดบริการทางการศึกษา ให้สิทธิกับเด็กท่ีมี ความสามารถพเิ ศษอยา่ งเตม็ ทที่ จี่ ะรบั บรกิ ารในโรงเรยี นทกุ โรง แนวการจดั เนน้ จดั ในรปู แบบ การเรยี นรว่ มกบั เดก็ ปกติ การด�ำ เนนิ การตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบรว่ มกนั ระหว่างผปู้ กครอง และทางโรงเรียน แต่ถ้าชั้นเรียนปกติไม่เหมาะสม อาจจัดแยกเป็นช้ันเรียนพิเศษได้ การจดั เรยี นรว่ มในชั้นเรยี นปกติ ต้องคำ�นงึ ถงึ ความแตกต่างทางสงั คม ระดบั สตปิ ัญญา และความต้องการของตัวเด็กท่ีแตกต่างกัน ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานหรือองค์กรท่ีมี บทบาทโดยตรงกับเด็กกลุ่มน้ี มีการจัดโปรแกรมการเรียน โดยบูรณาการหลักสูตร และแนวการจัดการเรียนการสอนร่วมกับเด็กปกติ การแยกชั้นเรียนหรือจัดโปรแกรม พิเศษทีแ่ ยกชั้นเรยี น มกั เร่มิ ในระดับ เกรด ๓ (ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๓) ในกรณีทีเ่ ด็ก มคี วามสามารถสงู มาก (Highly Gifted) อาจใชแ้ บบเรยี นรว่ มกบั คนอน่ื เฉพาะในบางเวลา หรือกำ�หนดให้ใช้แบบเรียนเฉพาะโดยตลอด แล้วแต่ความเหมาะสมกับศักยภาพ ของเด็กแตล่ ะคนได้ 26 แนวทางการเปิดห้องเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน

การศึกษาดูงานในโครงการ “Developing Background in The Area of The Gifted Learner” ที่ประเทศแคนาดา (มะลิวัลย์ ลับไพรี, ๒๕๔๙) พบว่า มีแบบฝึกหัดมากมายที่ครูใช้สอนเด็กปัญญาเลิศโดยเฉพาะ เช่น แบบฝึกหัดให้คิด สรา้ งสรรค์ คดิ แกป้ ญั หา คดิ ขยายแยกยอ่ ย คดิ ดดั แปลงตกแตง่ ฯลฯ แบบฝกึ หดั เหลา่ น้ี ครูไทยอาจน�ำ ไปประยกุ ต์ใชฝ้ ึกหดั เดก็ ไทยเปน็ เดก็ ปญั ญาเลศิ ได้ บริทิชโคลัมเบีย เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศแคนาดา จังหวัดนี้มีพื้นท่ีเป็น ๓ เท่าของประเทศไทย ขณะทท่ี ้งั ประเทศของเขามีประชากรเพียง ๒๓ ล้านคนเทา่ นั้น การจัดการเรียนการสอน ตลอดจนช่วยสอนเด็กปัญญาเลิศท่ีโรงเรียน kerrisdale และ Lord Kitchener ซ่ึงมีการคัดเลือกเด็กปัญญาเลิศที่โรงเรียนโดยใช้แบบทดสอบ แบบสอบถามอาจารยป์ ระจำ�ช้ัน แบบสอบถามอาจารย์พิเศษ แบบสอบถามผู้ปกครอง และแบบสอบถามเพอ่ื นในระดบั ชน้ั เดยี วกนั ส่วนเน้อื หาทสี่ อนนน้ั มิไดแ้ ยกเปน็ วิชาแต่ อย่างใด โดยเนื้อหาหลักสูตรจัดทำ�เป็นพิเศษ เพื่อให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ เชน่ Problem Solving Techniques Creative Thinking Behaviors Logic Activities Skill in Analysis Synthesis Evaluation รวมทง้ั Fluency Flexibility Originality และ Elaboration อาจารยผ์ สู้ อนเดก็ ปญั ญาเลศิ จะตอ้ งไดร้ บั การฝกึ อบรมมาโดยเฉพาะ และได้ประกาศนียบตั รนนั้ ดว้ ย ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นอาจารย์ท่ีสอนเด็กปัญญาเลิศในโรงเรียนดังกล่าว อาจารย์จะแสดงความคิดเหน็ และความรู้สึกที่มตี ่อการสอนเด็กเหล่าน้นั เชน่ “Teaching in the learning enrichment center is a very challenging”. But also very reward process. Currently,I feel that my greatest problem is dealing with the highly gifted student and in finding appropriate learning situation for them” (Linda Fourt) เธอผนู้ เี้ ปน็ อาจารยส์ อนเดก็ ปญั ญาเลศิ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ - ชน้ั ประถมศกึ ษา ปีที่ ๗ ซึ่งในชั้นเรียนของเธอมีเด็กเกรด ๗ คนหน่ึงได้เข้าเรียนวิชาฟิสิกส์และเคมี ในมหาวทิ ยาลยั บรทิ ชิ โคลมั เบยี ขณะเดยี วกนั กเ็ รยี นคอมพวิ เตอรใ์ นโรงเรยี นมธั ยมดว้ ย “The best part of teaching the learning enrichment program is that the children are so energetic and eager to come. It does talk to educate parents (and other staff members) about L.E.C. program Although many of them know about Bloom’s taxonomy of thinking skill” (Magery Hokonson) เธอเปน็ อาจารยส์ อนเดก็ ปญั ญาเลศิ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ - ชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ่ี ๓ โรงเรยี น Kerrisdale แนวทางการเปิดห้องเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 27

“Gifted children need encouragement to talk risks and gain experience in assuming a leadership role. Pupil directed activities should be stressed and a development of social awareness and group dynamics in essential” (Sheila Herman) เธอผู้มปี ระสบการณ์ทางการสอนเด็กปัญญาเลิศมาแล้ว ๑๓ ปี ส่วนต่อไปน้ีจะขอกล่าวถึง “ความคิดสร้างสรรค์” ซึ่งเป็นส่วนประกอบท่ี สำ�คัญสว่ นหน่ึงในการสรา้ งหลักสูตรส�ำ หรับเดก็ ปัญญาเลศิ “คิดอย่างไรจึงสร้างสรรค์”เม่ือพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ หลายคนนึกถึง กระบวนการ (Process) ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หลายคนนึกถึงผลงาน (Product) ทส่ี �ำ เรจ็ ออกมาเปน็ ชนิ้ เปน็ อนั ไดม้ ผี ใู้ หค้ �ำ จ�ำ กดั ความของความคดิ สรา้ งสรรค์ เชน่ Crutchfield (๑๙๗๓) : กลา่ ววา่ ความคดิ สร้างสรรค์น้นั จะเกดิ ขึ้นไดต้ อ่ เมื่อมกี าร Cognitive and Motivation Process และขึน้ อยแู่ ตล่ ะบคุ คล และเชือ่ วา่ ความคิดสรา้ งสรรคม์ ีสว่ นเกีย่ วกับ perceiving remembering thinking and imagining Torrance (๑๙๗๖) เชื่อว่า ความคิดสรา้ งสรรค์เป็นกระบวนการความคิด ทางการแก้ปัญหา Jones (๑๙๗๒) กลา่ ววา่ ความคิดสรา้ งสรรค์เปน็ สว่ นประกอบ flexibility originality และ sensitivity Renzulli (๑๙๘๖) ไดก้ ลา่ วถงึ ความคดิ สรา้ งสรรคไ์ วใ้ นแผนภมู ขิ า้ งลา่ งนี้ คอื 28 แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพิเศษในสถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน

๑. General ๒. Tension Ability Aroused by the need for solution ๓. Creative skill ส่วนท่ี ๒ ทีเ่ ป็นองค์ประกอบส�ำ คัญ คอื Creative Problem solving หรอื Creative thinking หรอื Creative expression และเงามอื ทป่ี รากฏ คอื Mental ability ลักษณะสำ�คัญ ท่ี Renzulli เน้นเป็นพิเศษ เก่ียวกับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือ คนที่มีลักษณะดังแผนภาพข้างบน และท่ีสำ�คัญ จะต้องเป็นคนท่ีอยากรู้ และอยาก ค้นพบสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เสมอ ๒. ประเทศองั กฤษ โดยภาพรวมแลว้ ยงั ไมม่ กี ารก�ำ หนดนโยบายในเรอื่ งนท้ี ชี่ ดั เจนเหมอื นหลาย ๆ ประเทศ ด้วยอิทธิพลของระบบการปกครอง แต่ในทางปฏิบัติอังกฤษมีหลักสูตรท่ีมี โครงสรา้ งทดี่ ใี นการพฒั นาคณุ ภาพทางวชิ าการ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในสาขาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอังกฤษมีโครงการพิเศษมากมาย รวมท้ังมีการเผยแพร่เอกสาร ตำ�รา งานวิจัย และความเคลื่อนไหวอ่ืน ๆ อย่างต่อเน่ือง ซึ่งเป็นโอกาสที่เอื้อในเด็กกลุ่มน้ี ไดม้ ีการพฒั นาและเรียนรมู้ ากข้ึน ในปี ค.ศ. ๑๙๘๗ ได้มีการจดั ตง้ั ศนู ย์สำ�หรบั เด็กทม่ี ี ความสามารถพเิ ศษหลงั จากทไี่ ดด้ �ำ เนนิ การอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการมาเกอื บ ๑๐ ปี โดยท�ำ หน้าท่ีประสานงานและเป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยและสื่อ ให้คำ�ปรึกษาแก่หน่วยงาน และองคก์ รท่จี ดั การศึกษาแกเ่ ดก็ กลมุ่ น้ี แนวทางการเปดิ ห้องเรยี นพเิ ศษในสถานศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน 29

๓. ประเทศสหรัฐอเมรกิ า สหรฐั อเมริกาเป็นประเทศ ที่จุดชนวนความสนใจของโลกในเร่ืองน้ี และ เป็นประเทศแรกที่ใช้คำ�วา่ Gifted Education เป็นประเทศท่ีมีอิทธิพลทางความคิด และถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านน้ีมาต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๗ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจและให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง มีโครงสร้าง นโยบาย และกฎหมาย ทชี่ ดั เจนมากทสี่ ดุ นบั ไดว้ า่ เปน็ ประเทศทค่ี รองความเปน็ หนงึ่ ในเรอื่ งการศกึ ษาของเดก็ กลมุ่ น้ี นโยบายการจดั การศกึ ษาก�ำ หนดใหม้ กี ารสรา้ งมาตรฐานหลกั สตู รทงั้ ดา้ นเนอ้ื หา และภาคปฏบิ ตั ทิ ที่ า้ ทาย สรา้ งสรรคโ์ อกาสในการเรยี นรทู้ ที่ า้ ทายมากขนึ้ ใหเ้ ตม็ ศกั ยภาพ ทเี่ ดก็ มอี ยใู่ นรปู แบบทหี่ ลากหลาย โดยความรว่ มมอื ระหวา่ งชมุ ชนและโรงเรยี นขยายโอกาส ให้เด็กด้อยโอกาสได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพมากขึ้น พัฒนาครูให้มีความสามารถ พัฒนาหลักสูตรที่ซับซ้อนและท้าทายเด็กให้เรียนรู้ได้ดี มีการช่วยเหลือและ สนบั สนนุ งบประมาณใหเ้ ดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษประเภทตา่ ง ๆ อยา่ งชดั เจน รฐั บาล กลางเป็นผู้กำ�หนดนโยบายและกฎหมาย เพอื่ ให้มลรฐั ต่าง ๆ นำ�ไปปฏิบัติ โดยมลรัฐจะ เปน็ ผรู้ ะบหุ รอื ก�ำ หนดว่าเดก็ มคี วามสามารถพเิ ศษในดา้ นใด เพอื่ ใหไ้ ดร้ บั สทิ ธสิ นบั สนนุ ด้านงบประมาณ และกำ�หนดนโยบายการศึกษาของมลรัฐขึ้น เพื่อให้คณะกรรมการ บรหิ ารโรงเรียนน�ำ ไปปฏิบัติ มีโปรแกรมการศึกษามากมาย รวมทง้ั โปรแกรมในระดบั ชาตสิ �ำ หรบั เดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษทแ่ี ตกตา่ งจากโปรแกรมทมี่ อี ยใู่ นระบบการศกึ ษา ปกติ ตวั อยา่ งเชน่ Advanced Placement Program หรอื AP Program ทเี่ ปน็ การจดั การศกึ ษารูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้รเิ ริ่มมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. ๑๙๕๕ และไดข้ ยายตัวอยา่ งรวดเร็ว จนปจั จบุ นั ในแตล่ ะปจี ะมเี ดก็ นกั เรยี นเขา้ รว่ มโครงการกวา่ หนง่ึ ลา้ นคน โดยโปรแกรมพเิ ศษ เหลา่ นตี้ งั้ อยบู่ นพน้ื ฐานความเชอ่ื และแนวทางด�ำ เนนิ การในลกั ษณะเดยี วกนั คอื เดก็ ทมี่ ี ความสามารถพเิ ศษมีอยใู่ นทุกกล่มุ ชน ทกุ ระดับ ทกุ สาขาวชิ าชีพ ควรขยายการศึกษา ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพและใหก้ ารสนบั สนนุ สรา้ งโอกาสใหเ้ ดก็ ไดต้ ดั สนิ ใจ วเิ คราะหส์ ง่ิ ต่าง ๆ ทง้ั สถานการณแ์ ละกบั ชวี ติ จรงิ ใชแ้ บบทดสอบกบั เดก็ เทา่ ทจ่ี �ำ เปน็ สนบั สนนุ เดก็ กลมุ่ นี้ ท้ังในรปู ช้นั เรยี นปกติ ช้นั เรยี นพเิ ศษ รวมถึงจดั ให้โรงเรียนมกี ารสอนท่ีมคี วามยดื หย่นุ เพอ่ื ให้เด็กได้เรยี นอย่ใู นกลมุ่ ทมี่ ีความสนใจและความสามารถใกล้เคียงกนั 30 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน

๔. ประเทศออสเตรเลีย การจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ มีลักษณะค่อนข้าง กา้ วหนา้ มรี ปู แบบการจดั ในลกั ษณะกระจายอ�ำ นาจแตย่ งั ขาดความหลากหลายของวธิ ี การจัดการด�ำ เนนิ การ กำ�หนดให้มอี งคก์ รกลางท่ีไมใ่ ชห่ น่วยราชการทม่ี ีบทบาทหนา้ ที่ ส�ำ คญั ในเรอ่ื งนโี้ ดยตรงผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ความเคลอื่ นไหวระดบั ชาติ ชอ่ื วา่ Association for Gifted & Talented Children และการดำ�เนินงานในทางปฏิบตั ิ เชน่ เรอื่ งหลกั สตู ร ให้อิสระอยู่กับรัฐต่าง ๆ เด็กที่มีความสามารถพิเศษทุกคนจะมีหลักสูตรเฉพาะบุคคล ทต่ี า่ งจากเดก็ อน่ื ๆ โรงเรยี นสามารถจดั ใหม้ กี ารยน่ ระยะเวลาเรยี นไดต้ ลอดทกุ ระดบั ชน้ั มกี ารจ�ำ แนกประเภทความสามารถของเดก็ อยา่ งชดั เจน ครผู สู้ อนไดร้ บั การฝกึ อบรมมา โดยเฉพาะผปู้ กครองและชุมชนที่เกย่ี วข้องมสี ว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษา เด็กจะได้รับ การแนะแนวและคำ�ปรึกษาท้งั ดา้ นวิชาการและวชิ าชพี ๕. ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในอดตี แมว้ า่ สภาพทางเศรษฐกจิ ในภาพรวมของจนี จะตา่ํ กวา่ มาตรฐานสากล แตจ่ นี กใ็ หค้ วามส�ำ คญั กบั คนทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษอยา่ งเปน็ ระบบทชี่ ดั เจน การศกึ ษา สำ�หรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษในยุคใหม่ของจีน เริ่มเม่ือปี ค.ศ. ๑๙๗๘ โดยการ รเิ รม่ิ ของ University of Science & Technology of China ด�ำ เนนิ การโดยจัดให้ มีชั้นเรียนพิเศษสำ�หรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษที่อายุตํ่ากว่า ๑๕ ปี พร้อมกับทำ� วิจัยเกย่ี วกับเด็กท่มี คี วามสามารถเหนอื ปกตโิ ดยคณาจารยจ์ ากสถาบนั ต่าง ๆ มากกว่า ๓๐ องคก์ ร (Research Group of Supernormal Children) ปจั จบุ นั มนี กั วจิ ยั ทท่ี �ำ งาน ให้กับสถาบันน้ีในทุกมณฑลทั้งประเทศประมาณ ๘,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ คน และมี การดำ�เนนิ งานทแี่ ผข่ ยายไปทวั่ ประเทศ เพื่อสำ�รวจหาเด็กท่มี ีแววความสามารถพิเศษ แมว้ า่ นโยบายดา้ นการจดั การศกึ ษาส�ำ หรบั เดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษในปจั จบุ นั ของจนี จะยงั ไม่ไดร้ ะบไุ วช้ ดั เจน แต่จนี กม็ กี ารเนน้ การคดั เลอื ก โดยการแข่งขนั เพอ่ื ค้นหาเด็ก ที่มีความสามารถพิเศษ นอกจากน้ี จีนยังมีความก้าวหน้าในการจัดกิจกรรมพิเศษ หลังเลิกเรียน โดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และการสร้างพลังเยาวชน เพอ่ื เปดิ โอกาสให้เดก็ ได้แสดงออกซง่ึ ความสามารถพเิ ศษอย่างหลากหลายทกุ ด้าน แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน 31

๖. ประเทศไต้หวัน นับเป็นประเทศท่ีให้ความสนใจกับการจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กกลุ่มนี้มาก ประเทศไต้หวันเข้าไปเก่ียวข้องและมีบทบาทกับวงการการศึกษาสำ�หรับเด็กท่ีมี ความสามารถพเิ ศษของโลกอยา่ งใกลช้ ดิ มกี ารจดั ประชมุ ระดบั โลก การสรา้ งสายสมั พนั ธ์ เครือข่ายจัดทำ�โครงการแลกเปล่ียนกับมหาวิทยาลัยท่ีมีชื่อเสียงของโลก สร้าง องคค์ วามรแู้ ละความสมั พนั ธท์ างวชิ าการ การจดั การศกึ ษาส�ำ หรบั เดก็ ทมี่ คี วามพเิ ศษใน ประเทศไตห้ วันได้มกี ารพัฒนาและขยายวงกว้างออกไป โดยการดำ�เนนิ งานในรปู แบบ ของแผนนำ�ร่องต่าง ๆ มีนักเรียนพิเศษโดยเฉพาะสาขาปัญญาเลิศเพ่ิมขึ้นมาก อยา่ งรวดเรว็ มกี ารทุ่มทุนงบประมาณในดา้ นนอ้ี ย่างเต็มท่ี มีแผนการศกึ ษาส�ำ หรับเด็ก ที่มคี วามสามารถพเิ ศษ เรียกว่า Gate Program การด�ำ เนนิ การอยู่ในความรับผดิ ชอบ ของกระทรวงศึกษาธิการ มีการกำ�หนดหลักสูตรการอบรมครู และการทำ�วิจัย โดยกำ�หนดให้มีคณะกรรมการปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรและพัฒนาโครงการ เพ่ือเป็น แนวปฏิบัติในระดับชาติและระดับท้องถิ่น มีการพัฒนาครูในทุกระดับ ท้ังระยะสั้น และระยะยาวในทุกรูปแบบ กำ�หนดให้โรงเรียนจัดรูปแบบการสอนท่ีหลากหลาย มกี จิ กรรมพเิ ศษหรอื ใหม้ กี ารจดั ชน้ั เรยี นพเิ ศษ โดยเดก็ จะไดร้ บั การทดสอบและประเมนิ ความสามารถเฉพาะทางของตน รูปแบบการจัดการศึกษาแบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลกลางจะเป็นผู้กำ�หนดเป้าหมายของหลักสูตร โรงเรียนทำ�หน้าที่ พัฒนา ประยุกต์และทำ�การทดลองในชั้นเรียน ด้วยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวทิ ยาลยั และครเู ฉพาะสาขา มกี ารประชมุ เพอ่ื ปรับปรงุ และพัฒนาแผนการดำ�เนินงาน เป็นระยะ ๆ 32 แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน

๗. ประเทศฮ่องกง แม้ว่าจะไม่ได้มีการประกาศชัดเจนในเรื่องการศึกษาสำ�หรับเด็กท่ีมี ความสามารถพิเศษในกฎหมายมาก่อน แต่ในทางปฏิบัติฮ่องกงได้มีการดำ�เนินการ โดยเน้นความสามารถทางสติปัญญา และความสามารถทางวิชาการมาอย่างต่อเนื่อง การจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษของฮ่องกงจะเน้นความสามารถ ทางวิชาการเป็นหลกั โดยเฉพาะสาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนวทางการพฒั นา การศึกษาด้านนี้ฮ่องกงได้เร่งสนับสนุนงานวิจัย จัดทำ�โครงการนำ�ร่อง จัดต้ังกองทุน เพอ่ื สนบั สนนุ การด�ำ เนนิ การ ฮอ่ งกงใชร้ ะบบทจี่ ดั ในโรงเรยี นปกติ และจดั ใหม้ โี ครงการ พิเศษที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ เป็นการเรียนร่วมกับกลุ่มเด็กปกติ ให้มากที่สุดเท่าท่ีจะทำ�ได้ โดยฝึกให้เด็กเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มีความสามารถ ต่างกันและไม่เห็นด้วยกับการจัดโรงเรียนแยกออกเฉพาะ กำ�หนดให้มีรูปแบบ การจัดการศึกษาโดยการจัดกลุ่มเด็กท่ีมีความสามารถคล้ายกันแล้วจัดเวลาพิเศษ ใหจ้ ดั ท�ำ หลกั สตู รเรง่ รดั (Acceleration) รวมถงึ การเขา้ โรงเรยี นกอ่ นวยั ใหข้ า้ มชน้ั เรยี น หรือให้เรียนชั้นสูงในบางวิชาได้ขยายหลักสูตรให้กว้างและลึกกว่าเด็กปกติ พัฒนา หลกั สตู รพเิ ศษตามความสนใจและความถนดั ของเด็ก ๘. ประเทศสงิ คโปร์ เปน็ ประเทศทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั กบั เรอ่ื งการศกึ ษาเปน็ อนั ดบั หนง่ึ มกี ารพฒั นา คุณภาพและความเป็นเลิศทางการศึกษาอย่างจริงจัง ให้ควาสำ�คัญและกำ�หนดเป็น นโยบายการจัดการศึกษาสำ�หรับเดก็ ที่มคี วามสามารถพิเศษอยา่ งชดั เจน มกี ารด�ำ เนนิ การ และการติดตามอย่างใกล้ชิด ต่อเน่ืองมาหลายปี จัดต้ังโครงการพิเศษชื่อ Gifted Education Branch ในปี ๑๙๘๓ ด�ำ เนินการในรูปโครงการน�ำ ร่องในปี ค.ศ. ๑๙๘๔ ปจั จบุ นั สามารถขยายผลไปไดม้ าก การจดั การศกึ ษาสงิ คโปรไ์ ดใ้ ชว้ ธิ กี ารสอนแบบเพมิ่ พนู ประสบการณ์ (Enrichment Program) ฝกึ การคดิ การเปน็ ผนู้ ำ� ฝกึ การท�ำ โครงงาน ทกุ วชิ า มกี ระบวนการดา้ นการแนะแนวและดา้ นจติ วทิ ยาทด่ี ี ปจั จบุ นั สงิ คโปรม์ แี นวโนม้ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนขยายไปในทุกกช้ันเรียนแทนการ “คัด” แล้ว “แยก” เป็นชั้นพิเศษเหมือนแต่กอ่ น แนวทางการเปิดหอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน 33

๙. ประเทศเวยี ดนาม ประเทศเวียดนามเป็นประเทศท่ีเห็นความสำ�คัญของการนำ�บุคคลที่มี ความสามารถพิเศษมาช่วยพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า เป้าหมายการปฏิรูป การศกึ ษาหนง่ึ ในสามประการ จงึ ไดก้ �ำ หนดไวว้ า่ “ตอ้ งสรรหา สง่ เสรมิ และใชป้ ระโยชน์ จากกลุ่มอัจฉริยะเพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้า ๔ ประการ คือ วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ศลิ ปะและวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกจิ การผลิตและการจัดการชมุ ชน” โดยมุ่งเน้นอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำ�คัญ เนื่องจาก ความรู้ท่ีกว้างขวางในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำ�คัญท่ีจะช่วยเสริมสรา้ ง ความแข็งแกร่งด้านอุตสาหกรรมและความทันสมัยของประเทศชาติ รัฐได้มีนโยบาย ระดับชาติในการให้การศึกษาและฝึกอบรมแก่เด็กที่มีความสามารถพิเศษ พร้อมทั้ง จัดแข่งขันโอลิมปิกระดับชาติ เพื่อค้นหาและสนับสนุนเด็กนักเรียนที่มีความสามารถ พิเศษทางด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคอมพิวเตอร์ รวมทั้งส่งเสริม ให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติ ประเทศเวียดนามจัดการแข่งขัน ระดบั ชาติข้ึนทกุ ๆ ปี ต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๕ เปน็ ตน้ มา และสง่ เด็กนกั เรียนเขา้ แขง่ ขัน ระดับนานาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึงปัจจุบัน ได้รับรางวัลการแข่งขันมากกว่า ประเทศอ่ืน ๆ ในเอเชีย 34 แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาขนั้ พื้นฐาน

กฎหมายที่เกยี่ วข้อง การประมวลกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการเปิดห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษา ข้นั พน้ื ฐาน สังกดั สำ�นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน มดี งั นี้ ๑. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ กำ�หนดให้สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดต้ังขึ้น โดยมภี ารกจิ เกย่ี วกบั การจดั ตง้ั และการสง่ เสรมิ การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน โดยมอี �ำ นาจหนา้ ท่ี ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) จัดทำ�ข้อเสนอนโยบาย แผนพัฒนาการศึกษา มาตรฐานการจัด การศกึ ษาและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน (๒) ก�ำ หนดหลกั เกณฑ์ แนวทาง และด�ำ เนนิ การเกย่ี วกบั การสนบั สนนุ ทรพั ยากร การจดั ตง้ั จดั สรรทรพั ยากร และบรหิ ารงบประมาณอดุ หนนุ การจดั การศกึ ษา ขน้ั พื้นฐาน (๓) พัฒนาระบบบริหารและส่งเสริม ประสานงานเครือข่ายข้อมูล สารสนเทศ การนำ�เทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการเรียนการสอน รวมทั้งส่งเสริม การนเิ ทศการบรหิ ารและการจดั การศกึ ษา (๔) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษา (๕) พฒั นานวตั กรรมทางการศึกษา ประสาน สง่ เสริม สนับสนุน และ กำ�กับดูแลการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การศึกษาเพ่ือคนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และ ผู้มีความสามารถพิเศษและประสาน ส่งเสริมการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กร วชิ าชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สงั คมอน่ื ของเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา (๖) ดำ�เนินการเกี่ยวกับงานเลขานุการของคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน (๗) ปฏิบัติงานอ่ืนใดตามที่กฎหมายกำ�หนดให้เป็นอำ�นาจหน้าท่ีและ ความรบั ผดิ ชอบของส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน หรอื ตามทร่ี ฐั มนตรี หรอื คณะรฐั มนตรีมอบหมาย แนวทางการเปิดหอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 35

๒. พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ทแี่ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และท่แี ก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึง่ ออกตาม ความในรฐั ธรรมนญู มาตรา ๘๑ โดยไดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ สทิ ธขิ องผมู้ คี วามสามารถพเิ ศษ ที่สำ�คญั ดังน้ี มาตรา ๑๐ (วรรค ๔) การจดั การศกึ ษาส�ำ หรบั บคุ คลซงึ่ มคี วามสามารถ พิเศษ ตอ้ งจัดด้วยรปู แบบทเ่ี หมาะสมโดยค�ำ นงึ ถงึ ความสามารถของบคุ คลนั้น มาตรา ๒๒ การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่าผเู้ รียนทกุ คนมีความสามารถ เรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ และถอื วา่ ผเู้ รยี นมคี วามส�ำ คญั ทสี่ ดุ กระบวนการจดั การศกึ ษา ต้องสง่ เสริมให้ผู้เรยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ มาตรา ๒๔ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงาน ทเ่ี กีย่ วข้องดำ�เนินการดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและ ความถนดั ของผ้เู รียนโดยคำ�นงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (๒) ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การจดั การ การเผชญิ สถานการณ์ และ การประยุกตค์ วามรู้มาใชเ้ พอ่ื ป้องกันและแกไ้ ขปัญหา (๓) จดั กจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ ฝกึ การปฏบิ ตั ิ ใหท้ ำ�ได้ คิดเป็นท�ำ เป็น รักการอา่ นและเกดิ การใฝร่ อู้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง (๔) จดั การเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความรดู้ า้ นตา่ ง ๆ อยา่ งได้ สดั สว่ นสมดลุ กนั รวมทงั้ ปลกู ฝงั คณุ ธรรม คา่ นยิ มทดี่ งี ามและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ไวใ้ นทุกวิชา 36 แนวทางการเปิดหอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน

(๕) ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ใหผ้ ู้สอนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ส่ือการเรียน และอำ�นวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ี ผู้สอนและ ผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากส่ือการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภท ตา่ ง ๆ (๖) จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี มีการประสาน ความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่ือร่วมกันพัฒนา ผ้เู รียนตามศกั ยภาพ มาตรา ๒๘ หลกั สตู รการศกึ ษาระดบั ตา่ ง ๆ รวมทงั้ หลกั สตู รการศกึ ษา ส�ำ หรบั บคุ คลตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคส่ี ตอ้ งมลี กั ษณะหลากหลาย ท้ังน้ี ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล ใหเ้ หมาะสมแกว่ ัยและศกั ยภาพ มาตรา ๕๘ ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอ่นื และตา่ งประเทศมาใช้จัดการศึกษา ดังน้ี (๑) ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพ่ือ การศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทั้งน้ี ให้เป็นไป ตามทกี่ ฎหมายกำ�หนด (๒) ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถน่ิ เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วม ในการจดั การศกึ ษา บรจิ าคทรพั ยส์ นิ และทรพั ยากรอน่ื ใหแ้ กส่ ถานศกึ ษา และมสี ว่ นรว่ ม รบั ภาระค่าใช้จ่ายทางการศกึ ษาตามความเหมาะสมและความจำ�เป็น แนวทางการเปิดหอ้ งเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน 37

ทั้งน้ี ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ส่งเสริมและให้แรงจูงใจ ในการระดมทรพั ยากรดงั กลา่ ว โดยการสนบั สนนุ การอดุ หนนุ และใชม้ าตรการลดหยอ่ น หรือยกเวน้ ภาษี ตามความเหมาะสมและความจำ�เปน็ ทง้ั นี้ ใหเ้ ป็นไปตามทกี่ ฎหมาย ก�ำ หนด มาตรา ๕๙ ใหส้ ถานศกึ ษาของรฐั ทเี่ ปน็ นติ บิ คุ คล มอี �ำ นาจในการปกครอง ดูแล บำ�รุงรักษา ใช้ และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา ท้ังที่เป็น ท่รี าชพัสดุ ตามกฎหมายว่าด้วยทีร่ าชพัสดุ และท่เี ป็นทรัพยส์ ินอื่น รวมท้ังจดั หารายได้ จากบรกิ ารของสถานศกึ ษาและเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มการศกึ ษาทไี่ มข่ ดั หรอื แยง้ กบั นโยบาย วตั ถปุ ระสงค์ และภารกจิ หลกั ของสถานศึกษา บรรดาอสังหาริมทรัพย์ท่ีสถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลได้มาโดยมี ผู้อุทิศให้ หรือโดยการซื้อหรือแลกเปล่ียนจากรายได้ของสถานศึกษา ไม่ถือเป็น ท่ีราชพัสดุ และใหเ้ ป็นกรรมสิทธข์ิ องสถานศกึ ษา บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐท่ีเป็นนิติบุคคล รวมทงั้ ผลประโยชนท์ เี่ กดิ จากทรี่ าชพสั ดุ เบยี้ ปรบั ทเี่ กดิ จากการผดิ สญั ญาลาศกึ ษา และ เบย้ี ปรบั ทเ่ี กดิ จากการผดิ สญั ญาการซอื้ ทรพั ยส์ นิ หรอื จา้ งท�ำ ของทดี่ �ำ เนนิ การโดยใชเ้ งนิ งบประมาณไม่เปน็ รายได้ทีต่ ้องนำ�ส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายวา่ ด้วยเงนิ คงคลัง และกฎหมายว่าดว้ ยวธิ กี ารงบประมาณ 38 แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน

บรรดารายไดแ้ ละผลประโยชนข์ องสถานศกึ ษาของรฐั ทไ่ี มเ่ ปน็ นติ บิ คุ คล รวมท้ังผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ราชพัสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบ้ียปรับท่ีเกิดจากการผิดสัญญาการซ้ือทรัพย์สินหรือจ้างทำ�ของท่ีดำ�เนินการ โดยใช้เงินงบประมาณให้สถานศึกษาสามารถจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของ สถานศึกษานัน้ ๆ ไดต้ ามระเบียบท่ีกระทรวงการคลังกำ�หนด มาตรา ๖๐ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะ ทม่ี คี วามส�ำ คญั สงู สดุ ตอ่ การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื ของประเทศโดยจดั สรรเปน็ เงนิ งบประมาณ เพ่ือการศึกษา ดังนี้ (๓) จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความจำ�เป็นในการจัดการศึกษาสำ�หรับผู้เรียนท่ีมี ความต้องการเป็นพิเศษแต่ละกลุ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ โดยค�ำ นงึ ถงึ ความเสมอภาคในโอกาสทางการศกึ ษาและความเปน็ ธรรม ทงั้ นี้ ใหเ้ ปน็ ไป ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการท่ีก�ำ หนดในกฎกระทรวง แนวทางการเปดิ หอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน 39

๓. กฎกระทรวง ก�ำ หนดหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารกระจายอำ�นาจการบรหิ ารและการจดั การศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๑ ใหป้ ลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร หรอื เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานพจิ ารณา ดำ�เนินการกระจายอำ�นาจการบริหารและการจัดการศึกษา ในด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหาร งานบคุ คล และดา้ นการบรหิ ารทั่วไปไปยงั คณะกรรมการเขตพ้ืนที่การศึกษา สำ�นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา หรือ สถานศกึ ษาในอ�ำ นาจหนา้ ทขี่ องตน แล้วแตก่ รณี ในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) ด้านวิชาการ (ก) การพัฒนาหรอื การดำ�เนินการเก่ยี วกบั การใหค้ วามเห็นการพฒั นาสาระหลกั สตู รท้องถิ่น (ข) การวางแผนงานดา้ นวชิ าการ (ค) การจดั การเรยี นการสอนในสถานศกึ ษา (ง) การพัฒนาหลักสตู รของสถานศึกษา (จ) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (ฉ) การวัดผล ประเมินผล และด�ำ เนินการเทยี บโอนผลการเรยี น (ช) การวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา (ซ) การพฒั นาและส่งเสริมใหม้ แี หล่งเรยี นรู้ (ฌ) การนเิ ทศการศกึ ษา (ญ) การแนะแนว (ฎ) การพัฒนาระบบประกนั คุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา (ฏ) การส่งเสรมิ ชุมชนใหม้ คี วามเข้มแข็งทางวิชาการ (ฐ) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศกึ ษาและองค์กรอื่น (ฑ) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบนั อน่ื ท่ีจดั การศกึ ษา (ฒ) การจดั ทำ�ระเบยี บและแนวปฏิบตั ิเกยี่ วกับงานด้านวชิ าการของสถานศึกษา (ณ) การคดั เลอื กหนงั สอื แบบเรยี นเพ่อื ใชใ้ นสถานศึกษา (ด) การพัฒนาและใช้ส่อื เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (๒) ด้านงบประมาณ (ก) การจัดทำ�แผนงบประมาณและคำ�ขอต้ังงบประมาณเพ่ือเสนอต่อปลัดกระทรวง ศกึ ษาธิการ หรือเลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน แล้วแตก่ รณี (ข) การจัดทำ�แผนปฏิบัติการใช้จ่ายเงิน ตามท่ีได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำ�นักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐานโดยตรง (ค) การอนุมตั ิการใช้จ่ายงบประมาณทไ่ี ด้รับจดั สรร (ง) การขอโอนและการขอเปล่ียนแปลงงบประมาณ (จ) การรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ (ฉ) การตรวจสอบติดตามและรายงานการใชง้ บประมาณ 40 แนวทางการเปดิ ห้องเรียนพเิ ศษในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน

(ช) การตรวจสอบติดตามและรายงานการใชผ้ ลผลติ จากงบประมาณ (ซ) การระดมทรพั ยากรและการลงทุนเพอื่ การศกึ ษา (ฌ) การปฏบิ ตั ิงานอน่ื ใดตามท่ีได้รบั มอบหมายเก่ยี วกับกองทุนเพื่อการศกึ ษา (ญ) การบรหิ ารจัดการทรพั ยากรเพ่อื การศึกษา (ฎ) การวางแผนพัสดุ (ฏ) การกำ�หนดรูปแบบรายการ หรือคุณลักษณะเฉพาะของครุภัณฑ์ หรือสิ่งก่อสร้าง ท่ีใช้เงินงบประมาณเพ่ือเสนอต่อปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน แลว้ แตก่ รณี (ฐ) การพฒั นาระบบข้อมูลและสารสนเทศเพอื่ การจัดท�ำ และจดั หาพสั ดุ (ฑ) การจดั หาพัสดุ (ฒ) การควบคมุ ดูแล บำ�รุงรักษาและจำ�หนา่ ยพัสดุ (ณ) การจดั หาผลประโยชน์จากทรัพยส์ ิน (ด) การเบกิ เงนิ จากคลัง (ต) การรับเงนิ การเก็บรักษาเงนิ และการจา่ ยเงิน (ถ) การนำ�เงนิ สง่ คลงั (ท) การจดั ทำ�บญั ชีการเงนิ (ธ) การจัดทำ�รายงานทางการเงนิ และงบการเงิน (น) การจดั ทำ�หรอื จดั หาแบบพมิ พ์บัญชี ทะเบียน และรายงาน (๓) ด้านการบรหิ ารงานบุคคล (ก) การวางแผนอัตราก�ำ ลัง (ข) การจัดสรรอัตรากำ�ลงั ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (ค) การสรรหาและบรรจุแต่งตัง้ (ง) การเปลย่ี นตำ�แหน่งให้สงู ขน้ึ การยา้ ยขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (จ) การด�ำ เนินการเกย่ี วกบั การเลอื่ นขน้ั เงินเดอื น (ฉ) การลาทกุ ประเภท (ช) การประเมินผลการปฏิบตั งิ าน (ซ) การด�ำ เนนิ การทางวินยั และการลงโทษ (ฌ) การส่งั พักราชการและการสง่ั ให้ออกจากราชการไว้ก่อน (ญ) การรายงานการด�ำ เนินการทางวินัยและการลงโทษ (ฎ) การอุทธรณ์และการรอ้ งทกุ ข์ (ฏ) การออกจากราชการ (ฐ) การจัดระบบและการจดั ทำ�ทะเบียนประวัติ (ฑ) การจัดทำ�บัญชีรายชื่อและให้ความเห็นเก่ียวกับการเสนอขอพระราชทานเครื่องราช อสิ รยิ าภรณ์ แนวทางการเปิดหอ้ งเรยี นพิเศษในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 41


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook