Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

Published by rbanditaektrakul, 2022-01-28 13:29:37

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

1

ก คำนำ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดทำหลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ฉบบั นี้ ซ้ึงเปน็ เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนบ้านเชียงดาว พุทธศกั ราช 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศักราช 2551 เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการจัดการเรียนการสอน ให้ตรงตามมาตรฐาน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยพิจารณาตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านเชียงดาว พุทธศักราช 2564 ซึ่งมี องคป์ ระกอบดังน้ี - วสิ ยั ทัศน์ หลักการ จดุ หมาย - สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น - คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ - คณุ ภาพผเู้ รียน - ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง - รายวิชาที่เปิด - คำอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน - คำอธบิ ายรายวิชาเพมิ่ เตมิ - โครงสร้างรายวชิ าพืน้ ฐาน - โครงสร้างรายวิชาเพ่มิ เตมิ - สื่อ/แหล่งเรียนรู้ - การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรูข้ องกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีฉบบั นี้ จนสำเรจ็ ลลุ ว่ งเปน็ อยา่ งดี และหวังเป็นอยา่ งยิ่งวา่ จะเกดิ ประโยชน์ตอ่ การจดั การเรียนรู้ให้กับ ผู้เรียนต่อไป กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี คณะผูจ้ ดั ทำ

ข สารบัญ หนา้ คำนำ ก สำรบญั ข วสิ ัยทัศน์ ................................................................................................................... 1 หลกั กำร .......................................................................................................................................................... จุดม่งุ หมำย สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ทำไมต้องเรียนวิทยำศำสตร์ เรียนรู้อะไรในวิทยำศำสตร์ สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู คณุ ภำพผู้เรียน ตัวชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง รำยวชิ ำที่เปิ ดสอน คำอธบิ ำยรำยวิชำพืน้ ฐำนและโครงสร้ำงรำยวิชำพืน้ ฐำน คำอธบิ ำยรำยวิชำเพมิ่ เตมิ และโครงสร้ำงรำยวิชำเพมิ่ เติม ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ กำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้ ภำคผนวก สาระการเรียนรู้ ความสมั พนั ธข์ องการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน อภิธานศพั ท์ คณะผจู้ ดั ทา

1 วิสยั ทศั น์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ทั้ง กระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลกั การ แนวคดิ และองคค์ วามรู้ หลกั กำร หลกั สตู รโรงเรยี นบ้านเชยี งดาว ฉบับปรบั ปรงุ พุทธศกั ราช 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มหี ลกั การทสี่ ำคัญตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน ดงั นี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น เป้าหมายสำหรบั พัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ คี วามรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพืน้ ฐานของความเปน็ ไทย ควบคกู่ ับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมี คุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคลอ้ งกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ 4. เปน็ หลกั สูตรการศกึ ษาท่ีมีโครงสรา้ งยดื หยนุ่ ท้ังดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้ 5. เปน็ หลักสูตรการศกึ ษาท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคญั 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จดุ มุ่งหมำย หลักสูตรโรงเรียนบ้านเชยี งดาว ฉบับปรับปรงุ พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกำหนดเปน็ จุดหมายเพ่อื ให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาตามหลกั สูตร ดังนี้ 1. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่ีพงึ ประสงค์ เหน็ คุณคา่ ของตนเอง มีวนิ ยั และปฏิบัตติ นตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ตี นนบั ถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. มคี วามรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที กั ษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ทด่ี ี มีสุขนสิ ัย และรักการออกกำลงั กาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถชี ีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ 5. มจี ิตสำนกึ ในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนุรกั ษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสรา้ งส่งิ ท่ีดงี ามในสังคม และอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอย่างมคี วามสุข

2 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น การพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรโรงเรียนบ้านเชียงดาว ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 25 64 ตาม หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มุง่ เนน้ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานท่ี กำหนด ซงึ่ จะช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดสมรรถนะสำคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดังน้ี สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น หลักสูตรโรงเรียนบา้ นเชียงดาว ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ สมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มวี ัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปญั หาความขดั แย้งตา่ ง ๆ การเลือกรับหรอื ไมร่ ับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการ เลือกใชว้ ิธีการส่อื สาร ที่มปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมตี ่อตนเองและสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง สร้างสรรค์ การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพ่ือนำไปสู่การสรา้ งองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพ่อื การตดั สินใจเกี่ยวกับตนเองและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ท่ีเผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพืน้ ฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสมั พันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข ปัญหา และมีการตดั สนิ ใจ ทมี่ ปี ระสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้นึ ต่อตนเอง สังคมและส่งิ แวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง ประสงคท์ สี่ ่งผลกระทบต่อตนเองและผูอ้ ื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี ้านต่าง ๆ และ มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

3 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ หลักสูตรโรงเรียนบ้านเชียงดาว ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2564 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรยี นให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อนื่ ในสงั คม ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ • แสดงความเคารพเมื่อไดย้ นิ เสียงเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสรญิ พระบารมี • ปฏบิ ตั ติ นอยู่ในกรอบของประเพณีวัฒนธรรมไทย • ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนิกชน ตามหลักพุทธศาสนา 2. มีความซื่อสตั ยส์ จุ ริต • ไมล่ ักขโมย • ไมพ่ ูดเท็จ • ทำงานดว้ ยตนเอง 3. ใฝเ่ รยี นรู้ • แสวงหาความรไู้ ดด้ ้วยตนเองอยา่ งสม่ำเสมอ • ศึกษาคน้ คว้า ตดิ ตามอา่ นสิ่งที่เปน็ ประโยชน์อยู่เสมอ • ร้จู ักใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์ 4. ประหยดั อดออม • มกี ารออมทรัพย์ • ใช้สง่ิ ของอย่างประหยัด(ทั้งของตนเองและสว่ นรวม) 5. รักความเปน็ ไทย • พูดจาสุภาพ ไพเราะ • มสี มั มาคารวะต่อผู้ใหญ่ • แต่งการตามประเพณี • เข้าร่วมกจิ กรรมทางวัฒนธรรม ศลิ ปะ ประเพณีไทย 6. มีวินัย • ตรงเวลา • แตง่ กายถกู ระเบยี บ • เดนิ แถวเปน็ ระเบยี บตามข้อตกลง • ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 7. อยอู่ ยา่ งพอเพียง • ปฏบิ ัตติ ามกระแสพระราชดำรัส • มีเหตผุ ล • พอประมาณ • มคี ณุ ธรรม

4 8. ม่งุ มั่นในการทำงาน • มีการวางแผนการทำงาน • รับผดิ ชอบงานตามท่ีไดร้ บั มอบหมาย • ทำงานให้สำเร็จและมีคุณภาพ 9. มีจติ สาธารณะ • การเปดิ ใจกว้างพร้อมรบั ฟังทุกความคิดเห็น • คิดถงึ สว่ นรวมก่อนคิดถงึ ตนเอง • ทำงานเพ่ือสว่ นรวมด้วยความเต็มใจ ทำไมต้องเรยี นวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มีทกั ษะสำคญั ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแกป้ ัญหาที่หลากหลาย ให้ผูเ้ รียนมีสว่ นรว่ มในการเรยี นรูท้ กุ ขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ จริง อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้นั โดยกำหนดสาระสำคัญ ดังนี้ ✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรยี นรเู้ ก่ียวกับ ชีวิตในส่งิ แวดล้อม องคป์ ระกอบของสิ่งมีชีวิตการดำรงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ ส่ิงมีชวี ติ ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนท่ี พลังงาน และคล่ืน ✧ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกบั องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผล ตอ่ สิ่งมีชวี ิตและสิง่ แวดล้อม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพฒั นางานอย่างมคี วามคดิ สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี อยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ● วิทยาการคำนวณ เรยี นรู้เกย่ี วกับ การคิดเชงิ คำนวณ การคดิ วเิ คราะห์ แกป้ ัญหาเป็นข้ันตอนและ เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการ แก้ปัญหาทพ่ี บในชวี ิตจริงไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ี ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาสิ่งแวดล้อมรวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ ของโครงสรา้ งและหน้าทีข่ องอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทำงานสมั พนั ธ์กัน รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุ ลกั ษณะการเคล่ือนท่ี แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณท์ ีเ่ กย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาว ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อส่ิงมชี วี ิต และสง่ิ แวดล้อม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิตในสังคมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรูแ้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมี ความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึง ผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและเป็น ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรมความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

6 คณุ ภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 ❖ เข้าใจลักษณะท่วั ไปของสง่ิ มีชีวติ และการดำรงชวี ิตของสงิ่ มชี ีวติ รอบตวั ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวสั ดุท่ีใช้ทำวตั ถแุ ละการเปล่ียนแปลงของ วัสดรุ อบตวั ❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ พลังงานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การเกิดเสยี ง แสงและการมองเห็น ❖ เขา้ ใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะ และความสำคัญของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออยา่ งงา่ ย รวบรวมขอ้ มลู บนั ทกึ และอธบิ ายผลการสำรวจตรวจสอบด้วยการ เขียนหรอื วาดภาพ และสื่อสารส่ิงทเ่ี รยี นรดู้ ว้ ยการเลา่ เรือ่ ง หรือด้วยการแสดงทา่ ทางเพื่อให้ผ้อู ่ืนเขา้ ใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สอ่ื สารเบอ้ื งต้น รักษาข้อมลู สว่ นตวั ❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่ กำหนดให้หรอื ตามความสนใจ มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเห็น และยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ผู้อน่ื ❖ แสดงความรบั ผดิ ชอบด้วยการทำงานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบประหยัด ซื่อสัตย์ จน งานลลุ ่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกับผูอ้ ่นื อยา่ งมีความสุข ❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต ศึกษา หาความร้เู พ่มิ เตมิ ทำโครงงานหรือชนิ้ งานตามทีก่ ำหนดให้หรือตามความสนใจ จบช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ❖ เข้าใจโครงสรา้ ง ลกั ษณะเฉพาะการปรบั ตัวของส่ิงมีชวี ติ รวมทง้ั ความสมั พันธข์ องส่ิงมีชีวติ ในแหล่ง ท่ีอยู่ การทำหนา้ ท่ีของสว่ นต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ❖ เข้าใจสมบตั ิและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสารการละลาย การ เปล่ียนแปลงทางเคมี การเปลย่ี นแปลงทผี่ ันกลบั ไดแ้ ละผันกลับไมไ่ ด้ และการแยกสาร ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสยี ดทาน แรงไฟฟา้ และผลของแรงตา่ ง ๆ ผล ทเ่ี กิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดนั หลักการท่ีมตี ่อวัตถุ วงจรไฟฟา้ อย่างง่ายปรากฏการณ์เบ้ืองต้นของเสียง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การ ข้ึนและตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนท่ีดาว การเกิดอปุ ราคา พฒั นาการและประโยชน์ของเทคโนโลยอี วกาศ ❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแหลง่ น้ำ วฏั จักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้างน้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัยการเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน กระจก

7 ❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกันเข้าใจสิทธิและหน้าท่ี ของตน เคารพสทิ ธิของผูอ้ ่ืน ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับส่ิงที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรอื ตามความสนใจ คาดคะเน คำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและ สำรวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลท้งั เชงิ ปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน รปู แบบที่เหมาะสม เพอื่ สื่อสารความรูจ้ ากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตผุ ลและหลักฐานอา้ งอิง ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คดิ เห็นผอู้ ืน่ ❖ แสดงความรับผดิ ชอบดว้ ยการทำงานท่ีได้รบั มอบหมายอยา่ งมุ่งม่ันรอบคอบ ประหยดั ซอ่ื สัตย์ จน งานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกับผูอ้ น่ื อย่างสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหา ความร้เู พิม่ เติม ทำโครงงานหรอื ชิ้นงานตามท่กี ำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึง้ ห่วงใย แสดงพฤตกิ รรมเกีย่ วกบั การใช้ การดูแลรกั ษา จบช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ❖ เขา้ ใจลกั ษณะและองค์ประกอบท่ีสำคญั ของเซลล์สิ่งมีชีวติ ความสมั พันธ์ของการทำงานของระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมการเปลี่ยนแปลงของยีน หรอื โครโมโซม และตวั อย่างโรคท่ีเกิดจากการเปล่ยี นแปลงทางพันธกุ รรมประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิต ดดั แปรพนั ธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏสิ ัมพนั ธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและการถ่ายทอด พลงั งานในสง่ิ มีชวี ติ ❖ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสมหลักการแยกสาร การ เปลยี่ นแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี และสมบัติ ทางกายภาพ และการใชป้ ระโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอรเ์ ซรามิก และวัสดุผสม ❖ เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรงแรงที่ปรากฏใน ชีวติ ประจำวนั สนามของแรง ความสมั พันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศกั ย์โนม้ ถว่ งกฎการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้าการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงาน ไฟฟา้ และหลักการเบื้องต้นของวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ❖ เข้าใจสมบัติของคลื่น และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อนการหักเหของแสงและ ทศั นอปุ กรณ์ ❖ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดขา้ งขึ้นข้างแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำข้ึนน้ำลงประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ และ ความก้าวหน้าของโครงการสำรวจอวกาศ

8 ❖ เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศการเกิดและ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดนิ แหล่งน้ำผวิ ดิน แหล่งน้ำใต้ดินกระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณี พิบตั ิภยั ❖ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์ระหว่างเทคโนโลยกี ับศาสตรอ์ น่ื โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณติ ศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสำหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือการประกอบ อาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งคำนึงถึงทรัพย์สินทางปัญญาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า อย่างง่าย ❖ นำข้อมลู ปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วเิ คราะห์ ประเมนิ นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้ตาม วัตถุประสงค์ ใช้ทกั ษะการคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ิตจรงิ และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพ่ือช่วย ในการแกป้ ญั หา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทันและรบั ผดิ ชอบต่อสังคม ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการ กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนำไปสู่การสำรวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและ เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ได้ผลเที่ยงตรงและ ปลอดภัย ❖ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและสื่อสารความคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่าง เหมาะสม ❖ แสดงถึงความสนใจ มุง่ มั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซอ่ื สัตย์ ในสงิ่ ท่ีจะเรียนร้มู คี วามคดิ สร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และ ยอมรับการเปลยี่ นแปลงความรูท้ ีค่ ้นพบ เมอ่ื มขี ้อมูลและประจักษพ์ ยานใหมเ่ พ่ิมข้ึนหรือโตแ้ ยง้ จากเดมิ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันใช้ความรู้และ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชพี แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คดิ ค้น เขา้ ใจผลกระทบทั้งดา้ นบวกและด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ตอ่ ส่ิงแวดล้อมและตอ่ บริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรูเ้ พิ่มเตมิ ทำโครงงานหรอื สรา้ งชน้ิ งานตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ ความหลากหลายทางชวี ภาพ

9 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิง่ มีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมรวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.1 1. ระบุชื่อพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณต่าง ๆจาก • บริเวณต่าง ๆ ในท้องถนิ่ เชน่ สนามหญา้ ใต้ตน้ ไม้ ข้อมลู ท่รี วบรวมได้ สวนหย่อม แหล่งนำ้ อาจพบพชื และสตั วห์ ลายชนดิ 2. บอกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต อาศยั อยู่ ของสตั ว์ในบริเวณทีอ่ าศัยอยู่ • บริเวณทแี่ ตกต่างกนั อาจพบพชื และสัตวแ์ ตกต่างกัน เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละบริเวณจะมีความ เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตวท์ ีอ่ าศัยอยู่ ในแต่ละบริเวณ เช่น สระน้ำ มีน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของ หอย ปลา สาหร่าย เป็นที่หลบภัยและมีแหล่งอาหาร ของหอยและปลา บริเวณต้นมะม่วงมีต้นมะม่วงเป็น แหลง่ ที่อยู่ และมอี าหารสำหรบั กระรอกและมด • ถ้าสภาพแวดล้อมในบริเวณทีพ่ ืชและสตั ว์อาศัยอยู่ มีการเปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของพืช และสัตว์ ป.2 - - ป.3 - - ป.4 - - ป.5 1. บรรยายโครงสร้างและลักษณะของสิ่งมีชีวิตท่ี • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้างและลักษณะท่ี เหมาะสมกับการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการ เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการ ปรบั ตวั ของสิง่ มีชีวติ ในแต่ละแหลง่ ทอ่ี ยู่ ปรับตัวของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้ดำรงชีวิตและอยู่รอดได้ 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต ในแต่ละแหล่งที่อยู่ เช่น ผักตบชวามีช่องอากาศใน และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ิตกับสิง่ ไม่มชี ีวิต เพ่ือ ก้านใบ ช่วยให้ลอยน้ำได้ ต้นโกงกางทข่ี ้ึนอยูใ่ นปา่ ชาย ประโยชน์ต่อการดำรงชวี ติ เลนมีรากค้ำจุนทำให้ลำต้นไม่ล้ม ปลามีครีบช่วยใน 3. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าท่ีของสิ่งมีชีวิต การเคล่อื นท่ีในน้ำ ทเี่ ปน็ ผผู้ ลิตและผู้บรโิ ภคในโซอ่ าหาร • ในแหล่งที่อยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพันธ์ซ่ึง 4. ตระหนักในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการ กันและกันและสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิต เพื่อประโยชน์ ดำรงชีวิตของสิง่ มีชวี ติ โดยมีส่วนร่วมในการดแู ลรักษา ต่อการดำรงชวี ิต เช่น ความสมั พนั ธ์กันด้านการกนิ กัน สิ่งแวดล้อม เป็นอาหาร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหลบภัยและเลี้ยงดู ลกู ออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ • สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อกันเป็น ทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหาร ทำให้สามารถระบุ บทบาทหน้าที่ของสง่ิ มชี วี ติ เปน็ ผู้ผลติ และผบู้ รโิ ภค ป.6 - -

10 ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายปฏสิ ัมพนั ธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศ • ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีชีวิตเช่น ท่ไี ดจ้ ากการสำรวจ พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น 2. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊สองค์ประกอบเหล่านี้มี สิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในแหล่งที่อยู่เดียวกันที่ได้จาก ปฏิสัมพันธ์กัน เช่นพืชต้องการแสง น้ำ และแก๊ส การสำรวจ คาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างอาหาร สัตว์ต้องการ 3. สร้างแบบจำลองในการอธิบายการถ่ายทอด อาหาร และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการ พลังงานในสายใยอาหาร ดำรงชวี ิต เชน่ อณุ หภูมิ ความชื้น องคป์ ระกอบท้ังสอง 4. อธิบายความสมั พันธ์ของผู้ผลิต ผูบ้ รโิ ภค และผูย้ อ่ ย ส่วนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมระบบ สลายสารอนิ ทรียใ์ นระบบนิเวศ นเิ วศจึงจะสามารถคงอยตู่ อ่ ไปได้ 5. อธิบายการสะสมสารพิษในส่งิ มีชีวติ ในโซ่อาหาร • สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบ 6. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต และ ต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัยภาวะเหย่ือ สิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ กบั ผูล้ า่ ภาวะปรสิต ระบบนเิ วศ • สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งท่ี อย่เู ดียวกนั ในชว่ งเวลาเดียวกนั เรยี กวา่ ประชากร • กลุ่มสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยประชากรของสิ่งมีชีวิต หลาย ๆ ชนิด อาศยั อยู่รว่ มกันในแหล่งท่อี ยเู่ ดยี วกนั • กลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าที่ได้เป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย สารอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตทัง้ ๓ กลุ่มน้ี มีความสัมพันธก์ นั ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารได้เอง โดย กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงผู้บรโิ ภค เป็นสง่ิ มีชีวิต ท่ไี ม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และตอ้ งกินผผู้ ลติ หรอื สงิ่ มีชวี ติ อ่นื เป็นอาหาร เมือ่ ผู้ผลติ และผ้บู รโิ ภคตายลง จะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ซึ่งจะเปลี่ยน สารอินทรียเ์ ปน็ สารอนินทรีย์กลบั คนื สูส่ ง่ิ แวดลอ้ ม ทำ ให้เกิดการหมุนเวียนสารเป็นวัฏจักรจำนวนผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์จะต้องมีความ เหมาะสม จึงทำให้กลุม่ สิ่งมชี ีวติ อยู่ไดอ้ ย่างสมดุล • พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำดับ ต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในรูปแบบ สายใยอาหาร ที่ประกอบด้วย โซ่อาหารหลายโซ่ท่ี สัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานที่ถูกถ่ายทอดไปจะลดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ ของการบริโภค • การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทำให้ สารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกิด อันตรายต่อสิ่งมีชีวติ และทำลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบนิเวศให้เกิดความสมดุล และคงอยูต่ ลอดไปจึงเป็นสิง่ สำคญั

11 สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กนั รวมทั้งนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ ชัน้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.1 1. ระบุชื่อ บรรยายลักษณะและบอกหน้าที่ของส่วน • มนุษย์มีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่แตกต่าง ตา่ ง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพชื รวมท้งั บรรยาย กัน เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิตเช่น ตามีหน้าที่ การทำหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตาเพื่อป้องกันอันตราย มนุษย์ในการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ให้กับตา หูมีหน้าที่รับฟังเสียงโดยมีใบหูและรูหู เพื่อ 2. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เป็นทางผ่านของเสียงปากมีหน้าที่พูด กินอาหาร มี ตนเอง โดยการดูแลส่วนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ให้ ช่องปากและมีริมฝีปากบนล่าง แขนและมือมีหน้าที่ ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยเู่ สมอ ยก หยิบ จับมีท่อนแขนและนิ้วมือที่ขยับได้ สมองมี หน้าท่คี วบคมุ การทำงานของสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย อยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะ ทำหนา้ ที่ร่วมกนั ในการทำกจิ กรรมในชวี ติ ประจำวัน • สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วนต่าง ๆ ท่ีมี ลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมใน การดำรงชีวิต เช่น ปลามีครีบเป็นแผ่น ส่วนกบ เต่า แมว มีขา 4 ขา และมีเท้าสำหรบั ใช้ในการเคลอ่ื นท่ี • พืชมีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต โดยทั่วไป รากมี ลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเล็ก ๆทำ หน้าที่ดูดน้ำ ลำต้นมีลักษณะเป็นทรงกระบอกตั้งตรง และมีกิ่งก้าน ทำหน้าที่ชูกิ่งก้าน ใบและดอก ใบมี ลักษณะเป็นแผ่นแบน ทำหน้าที่สร้างอาหาร นอกจากน้ีพืชหลายชนิด อาจมีดอกที่มีสี รูปร่างต่าง ๆ ทำหน้าที่สืบพันธุ์ รวมทั้งมีผลที่มีเปลือก มีเน้ือ หอ่ ห้มุ เมลด็ และมเี มลด็ ซ่ึงสามารถงอกเปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้ • มนุษย์ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการทำกิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิต มนุษย์จึงควรใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างถูกต้อง ปลอดภัยและรักษาความ สะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามองตัวหนังสือในที่ที่มีแสง สว่างเพียงพอ ดูแลตาให้ปลอดภัยจากอันตราย และ รกั ษาความสะอาดตาอยูเ่ สมอ ป.2 1. ระบวุ ่าพืชตอ้ งการแสงและน้ำ เพอื่ การเจรญิ เตบิ โต • พืชต้องการนำ้ แสง เพอ่ื การเจรญิ เติบโต โดยใช้ข้อมลู จากหลักฐานเชิงประจักษ์ • พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการ 2. ตระหนกั ถงึ ความจำเปน็ ที่พชื ต้องไดร้ ับนำ้ และแสง สืบพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ดเม่ือ เพ่อื การเจรญิ เตบิ โต โดยดแู ลพืชให้ไดร้ ับสิง่ ดงั กลา่ ว เมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ดจะเจริญเติบโต อย่างเหมาะสม เป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่จะเจริญเติบโตออกดอก 3. สรา้ งแบบจำลองทบ่ี รรยายวฏั จกั รชีวิตของ เพอ่ื สืบพันธมุ์ ผี ลต่อไปได้อีกหมนุ เวยี นต่อเน่ืองเป็นวัฏ พชื ดอก จักรชวี ติ ของพืชดอก

12 ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.3 1. บรรยายส่งิ ท่จี ำเป็นต่อการดำรงชวี ิต และการ • มนุษย์และสตั ว์ตอ้ งการอาหาร น้ำ และอากาศเพอื่ เจริญเติบโตของมนษุ ย์และสตั ว์ โดยใชข้ อ้ มลู ท่ี การดำรงชีวิตและการเจรญิ เตบิ โต รวบรวมได้ • อาหารชว่ ยให้ร่างกายแข็งแรงและเจรญิ เตบิ โตนำ้ 2. ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้ำ และอากาศ ชว่ ยใหร้ า่ งกายทำงานได้อย่างปกติ อากาศใชใ้ นการ โดยการดูแลตนเองและสตั ว์ใหไ้ ดร้ บั ส่งิ เหล่าน้ีอยา่ ง หายใจ เหมาะสม • สัตว์เมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูก เมื่อลูก 3. สรา้ งแบบจำลองที่บรรยายวฏั จกั รชีวติ ของสัตวแ์ ละ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็สืบพันธุ์มีลูกต่อไปได้อีก เปรียบเทยี บวัฏจกั รชีวิตของสตั ว์บางชนิด หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ซึ่งสัตว์แต่ 4. ตระหนกั ถงึ คุณค่าของชีวติ สตั ว์ โดยไม่ทำให้วัฏจักร ละชนิด เช่น ผีเสื้อ กบ ไก่ มนุษย์จะมีวัฏจักรชีวิตท่ี ชวี ิตของสตั วเ์ ปลย่ี นแปลง เฉพาะและแตกต่างกัน ป.4 1. บรรยายหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ และดอกของพืช • ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชดอกทำหน้าท่ีแตกต่างกัน ดอก โดยใชข้ ้อมลู ท่ีรวบรวมได้ - รากทำหนา้ ท่ดี ูดน้ำและธาตุอาหารขนึ้ ไปยงั ลำตน้ - ลำต้นทำหนา้ ทลี่ ำเลยี งนำ้ ต่อไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของพชื - ใบทำหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้นคือ น้ำตาลซ่งึ จะเปล่ยี นเป็นแปง้ - ดอกทำหน้าที่สืบพันธุ์ ประกอบด้วยส่วนประกอบ ต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอกเกสรเพศผู้ และ เกสรเพศเมีย ซึ่งส่วนประกอบแต่ละส่วนของดอกทำ หน้าท่แี ตกต่างกนั ป.5 - - ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหาร • สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่ แตล่ ะประเภทจากอาหารท่ีตนเองรบั ประทาน คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ วติ ามินและน้ำ 2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ • อาหารแตล่ ะชนิดประกอบดว้ ยสารอาหารท่ีแตกตา่ ง สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและ กัน อาหารบางอยา่ งประกอบด้วยสารอาหารประเภท วัย รวมท้งั ความปลอดภยั ต่อสุขภาพ เดียว อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร 3. ตระหนักถึงความสำคัญของสารอาหาร โดยการ มากกวา่ หน่งึ ประเภท เลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนใน • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกาย สัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย รวมทั้งปลอดภัยต่อ แตกตา่ งกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมนั เป็น สขุ ภาพ สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ 4. สร้างแบบจำลองระบบย่อยอาหาร และบรรยาย วิตามิน และน้ำ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแก่ หน้าที่ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร รวมทั้งอธิบาย รา่ งกาย แต่ชว่ ยให้รา่ งกายทำงานได้เปน็ ปกติ การยอ่ ยอาหารและการดดู ซมึ สารอาหาร • การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต 5. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบย่อยอาหารโดย มีการเปลี่ยนแปลงของรา่ งกายตามเพศและวัย และมี การบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อย สุขภาพดี จำเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงาน อาหารใหท้ ำงานเป็นปกติ เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและให้ได้ สารอาหารครบถว้ น ในสัดสว่ นทเี่ หมาะสมกบั เพศและ วัย รวมทั้งต้องคำนึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุเจือ ปนในอาหารเพอื่ ความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ • ระบบย่อยอาหารประกอบดว้ ยอวัยวะตา่ ง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กลำไส้ ใหญ่ ทวารหนกั ตับ และตบั ออ่ น ซึง่ ทำ

13 ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง หนา้ ท่รี ว่ มกนั ในการย่อยและดดู ซมึ สารอาหาร - ปากมฟี ันช่วยบดเค้ียวอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงและมี ลนิ้ ชว่ ยคลุกเคลา้ อาหารกบั นำ้ ลายในน้ำลายมีเอนไซม์ ย่อยแป้งใหเ้ ปน็ นำ้ ตาล - หลอดอาหารทำหน้าที่ลำเลียงอาหารจากปากไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อย โปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจากกระเพาะ อาหาร - ลำไส้เลก็ มีเอนไซม์ทีส่ ร้างจากผนังลำไส้เล็กเองและ จากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและ ไขมัน โดยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมันทผี่ ่านการ ย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตามินจะถูกดูดซึมที่ผนัง ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อลำเลียงไปยังส่วน ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน จะถูกนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ใน กิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วย ใหร้ ่างกายทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ - ตับสร้างน้ำดีแล้วสง่ มายงั ลำไสเ้ ล็กช่วยให้ไขมันแตก ตวั - ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดนำ้ และเกลือแร่ เป็นบริเวณที่ มีอาหารที่ย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมดเป็นกากอาหาร ซ่ึงจะถกู กำจัดออกทางทวารหนกั • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสำคัญจึง ควรปฏบิ ตั ิตน ดแู ลรักษาอวัยวะใหท้ ำงานเปน็ ปกติ ม.1 1. เปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะ และโครงสร้างของ • เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตบาง เซลล์พืชและเซลล์สตั ว์ รวมทั้งบรรยายหนา้ ท่ีของผนัง ชนิดมเี ซลล์เพยี งเซลลเ์ ดยี ว เชน่ อะมีบา พารามเี ซียม เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึมนิวเคลียส แวคิวโอล ยีสต์ บางชนดิ มีหลายเซลล์ เช่น พชื สัตว์ ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์ • โครงสร้างพื้นฐานที่พบทั้งในเซลล์พชื และเซลล์สัตว์ 2. ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสรา้ ง และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง ต่าง ๆ ภายในเซลล์ ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส 3. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรปู รา่ งกับการทำหนา้ ที่ โครงสรา้ งทีพ่ บในเซลลพ์ ืชแต่ไมพ่ บในเซลล์สตั ว์ไดแ้ ก่ ของเซลล์ ผนังเซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวติ โดยเริม่ จากเซลล์ • โครงสรา้ งตา่ ง ๆ ของเซลล์มีหน้าทแี่ ตกตา่ งกัน- ผนัง เน้ือเย่ือ อวัยวะ ระบบอวยั วะ จนเปน็ สง่ิ มชี วี ิต เซลล์ ทำหนา้ ทีใ่ ห้ความแข็งแรงแกเ่ ซลล์ 5. อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจาก - เยื่อหุ้มเซลล์ ทำหน้าที่ห่อหุ้มเซลล์และควบคุมการ หลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่และ ลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ออสโมซสิ ในชีวติ ประจำวนั - นวิ เคลียส ทำหนา้ ท่ีควบคมุ การทำงานของเซลล์ 6. ระบุปัจจัยที่จำเป็นในการสังเคราะห์ด้วยแสงและ - ไซโทพลาซึม มอี อรแ์ กเนลลท์ ท่ี ำหนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้ - แวควิ โอล ทำหน้าทีเ่ ก็บนำ้ และสารต่าง ๆ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ - ไมโทคอนเดรีย ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสลาย สารอาหารเพือ่ ให้ได้พลังงานแก่เซลล์

14 ช้ัน ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 7. อธิบายความสำคัญของการสังเคราะห์ด้วยแสงของ - คลอโรพลาสต์ เป็นแหล่งที่เกิดการสังเคราะห์ด้วย พืชต่อส่งิ มีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม แสง 8. ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ • เซลล์ของส่ิงมีชีวิตมรี ูปร่าง ลักษณะ ทห่ี ลากหลาย สิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ และมีความเหมาะสมกับหนา้ ทข่ี องเซลล์นัน้ เชน่ เซลล์ ในโรงเรียนและชุมชน ประสาทส่วนใหญ่ มีเส้นใยประสาทเป็นแขนงยาว 9. บรรยายลกั ษณะและหน้าท่ีของไซเลม็ และโฟลเอม็ นำกระแสประสาทไปยังเซลล์อื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป 10. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการลำเลียงสาร เซลล์ขนราก เป็นเซลล์ผิวของรากที่มีผนังเซลล์และ ในไซเล็มและโฟลเอ็มของพชื เยื่อหุ้มเซลล์ยื่นยาวออกมาลักษณะคล้ายขนเส้น 11. อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และไม่อาศัย เลก็ ๆ เพ่ือเพม่ิ พื้นท่ผี ิวในการดดู นำ้ และธาตุอาหาร เพศของพชื ดอก • พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีการจัดระบบ 12. อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนทำให้ โดยเริ่มจากเซลล์ไปเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะระบบอวัยวะ เกิดการถ่ายเรณู รวมทั้งบรรยายการปฏิสนธิของพืช และสิ่งมีชีวิตตามลำดับ เซลล์หลายเซลล์มารวมกัน ดอก การเกิดผลและเมล็ดการกระจายเมล็ด และการ เป็นเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อหลายชนิดมารวมกันและทำงาน งอกของเมล็ด ร่วมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะต่าง ๆทำงานร่วมกันเป็น 13. ตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ที่ช่วยในการถ่าย ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะทุกระบบทำงานร่วมกัน เรณูของพืชดอก โดยการไม่ทำลายชีวติ ของสัตว์ที่ชว่ ย เปน็ สง่ิ มีชวี ติ ในการถา่ ยเรณู • เซลล์มีการนำสารเข้าสูเ่ ซลล์ เพื่อใช้ในกระบวนการ 14. อธิบายความสำคัญของธาตุอาหารบางชนิดที่มผี ล ต่าง ๆ ของเซลล์ และมีการขจัดสารบางอย่างที่เซลล์ ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและการดำรงชีวิตของพชื ไม่ต้องการออกนอกเซลล์ การนำสารเขา้ และออกจาก 15. เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับพืชใน เซลล์มีหลายวิธี เช่น การแพร่ เป็นการเคลื่อนที่ของ สถานการณท์ ก่ี ำหนด สารจากบรเิ วณทมี่ คี วามเข้มขน้ ของสารสงู ไปสู่บริเวณ 16. เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับความ ที่มีความเข้มข้นของสารต่ำ ส่วนออสโมซิส เป็นการ ต้องการของมนุษย์ โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธ์ุ แพรข่ องนำ้ ผา่ นเยื่อห้มุ เซลล์ จากดา้ นทมี่ คี วามเขม้ ข้น ของพืช ของสารละลายตำ่ ไปยังดา้ นที่มีความเข้มขน้ ของ 17. อธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง สารละลายสูงกว่า เนื้อเยอ่ื พชื ในการใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ • กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เกิดขึ้นใน 18. ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืชโดย ค ล อ โ ร พ ล า ส ต์ จ ำ เ ป ็ น ต ้ อ ง ใ ช ้ แ ส ง แ ก๊ ส การนำความรูไ้ ปใช้ในชวี ิตประจำวนั คาร์บอนไดออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และน้ำ ผลผลิตท่ไี ด้ จากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ น้ำตาลและแก๊ส ออกซเิ จน • การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เปน็ กระบวนการทส่ี ำคญั ต่อ สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นกระบวนการเดียวที่สามารถนำ พลงั งานแสงมาเปลีย่ นเปน็ พลังงานในรูปสารประกอบ อินทรีย์และเก็บสะสมในรูปแบบต่าง ๆ ในโครงสร้าง ของพืช พืชจึงเป็นแหล่งอาหารและพลังงานที่สำคัญ ของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากนี้กระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสงยังเป็นกระบวนการหลักในการสร้างแก๊ส ออกซิเจนให้กับบรรยากาศเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอื่น ใช้ใน กระบวนการหายใจ • พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็ม ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อมีลักษณะ คล้ายท่อ เรียงตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะที่โดยไซเล็ม ทำหนา้ ที่ลำเลียงน้ำและธาตุอาหารมีทิศทางลำเลยี ง

15 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง จากรากไปสูล่ ำตน้ ใบ และสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื เพื่อใช้ ในการสังเคราะห์ด้วยแสงรวมถึงกระบวนการอื่น ๆ ส่วนโฟลเอ็มทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ได้จากการ สังเคราะห์ด้วยแสงมีทิศทางลำเลียงจากบริเวณที่มี การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงไปสู่สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื • พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ และบางชนดิ สามารถสืบพันธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศได้ • การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่มีการ ผสมกันของสเปิร์มกับเซลล์ไข่ การสืบพันธุ์แบบอาศัย เพศของพืชดอกเกิดขึ้นที่ดอก โดยภายในอับเรณูของ สว่ นเกสรเพศผู้มีเรณู ซ่งึ ทำหนา้ ทีส่ ร้างสเปิรม์ ภายใน ออวุลของส่วนเกสรเพศเมียมีถุงเอ็มบริโอ ทำหน้าท่ี สรา้ งเซลลไ์ ข่ • การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์่ที่พืช ต้นใหม่ไม่ได้เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับ เซลล์ไข่ แต่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ลำต้น ใบ มีการเจริญเติบโตและพัฒนาขึ้นมาเป็นต้น ใหมไ่ ด้ • การถ่ายเรณู คือ การเคลื่อนย้ายของเรณูจากอบั เรณู ไปยังยอดเกสรเพศเมีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะและ โครงสร้างของดอก เช่น สีของกลบี ดอก ตำแหน่งของ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี โดยมีสงิ่ ที่ชว่ ยในการถา่ ย เรณู เช่น แมลง ลม • การถ่ายเรณจู ะนำไปสูก่ ารปฏิสนธิ ซง่ึ จะเกดิ ขึ้นที่ถุง เอ็มบริโอภายในออวุล หลังการปฏิสนธิจะได้ไซโกต และเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเปน็ เอม็ บรโิ อ ออวุลพัฒนาไปเปน็ เมลด็ และรงั ไขพ่ ัฒนาไปเปน็ ผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิม โดย วิธีการต่าง ๆ เมื่อเมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด โดยเอ็มบริโอ ภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะอาศัย อาหารที่สะสมภายในเมล็ด จนกระทั่งใบแท้พัฒนา จนสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เต็มที่ และสร้าง อาหารไดเ้ องตามปกติ • พืชต้องการธาตุอาหารที่จำเป็นหลายชนิดในการ เจรญิ เตบิ โตและการดำรงชีวติ • พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมาก ได้แก่ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน ซึ่งในดินอาจมีไม่เพียงพอ สำหรับการเจริญเติบโตของพืช จึงต้องมีการให้ธาตุ อาหารในรปู ของปุย๋ กับพชื อยา่ งเหมาะสม

16 ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง • มนษุ ย์สามารถนำความร้เู รอื่ งการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัย เพศและไม่อาศัยเพศ มาใช้ในการขยายพันธุ์เพื่อเพ่ิม จำนวนพชื เชน่ การใช้เมลด็ ทีไ่ ดจ้ ากการสืบพันธุ์แบบ อาศัยเพศมาเพาะเลี้ยงวิธีการนี้จะได้พืชในปริมาณ มาก แต่อาจมีลักษณะที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ ส่วน การตอนกิ่ง การปักชำการต่อกิ่ง การติดตา การทาบ กิ่ง การเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ เป็นการนำความรูเ้ รือ่ งการ สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืชมาใช้ในการ ขยายพนั ธุ์ เพื่อให้ได้พืชที่มีลักษณะเหมือนต้นเดิมซึ่งการ ขยายพันธแ์ุ ต่ละวิธี มขี ั้นตอนแตกตา่ งกนั จงึ ควรเลอื ก ให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์ โดยต้อง คำนงึ ถงึ ชนิดของพชื และลักษณะการสบื พันธข์ุ องพชื • เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นการนำ ความรู้เกีย่ วกับปัจจัยทีจ่ ำเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของ พืชมาใช้ในการเพิ่มจำนวนพืช และทำให้พืชสามารถ เจริญเติบโตได้ในหลอดทดลอง ซึ่งจะได้พืชจำนวน มากในระยะเวลาสั้น และสามารถนำเทคโนโลยีการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาประยุกต์เพื่อการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืช ปรับปรุงพันธุ์พืชที่มีความสำคัญทาง เศรษฐกิจ การผลิตยาและสารสำคญั ในพืช และอน่ื ๆ ม.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะท่ี • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่จมูก เกย่ี วขอ้ งในระบบหายใจ ทอ่ ลม ปอด กะบังลม และกระดกู ซี่โครง 2. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช้ • มนุษยห์ ายใจเข้า เพ่ือนำแกส๊ ออกซิเจนเข้าส่รู า่ งกาย แบบจำลอง รวมทั้งอธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยน เพื่อนำไปใช้ในเซลล์ และหายใจออกเพื่อกำจัดแก๊ส แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย 3. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบหายใจโดยการ • อากาศเคลื่อนที่เข้าและออกจากปอดได้เนื่องจาก บอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจ การเปลี่ยนแปลงปริมาตรและความดันของอากาศ ใหท้ ำงานเป็นปกติ ภายในชอ่ งอกซงึ่ เกย่ี วข้องกบั การทำงานของกะบังลม 4. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบ และกระดูกซโี่ ครง ขับถ่ายในการกำจัดของเสียทางไต • ก า ร แ ล ก เ ป ล ี ่ ย น แ ก ๊ ส อ อ ก ซ ิ เ จ น ก ั บ แ ก๊ ส 5. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบขับถ่ายในการ คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เกดิ ขนึ้ บรเิ วณถงุ ลมใน กำจัดของเสียทางไต โดยการบอกแนวทางในการ ปอดกับหลอดเลือดฝอยที่ถุงลม และระหว่างหลอด ปฏบิ ัติตนที่ชว่ ยใหร้ ะบบขับถา่ ยทำหน้าท่ไี ดอ้ ย่างปกติ เลือดฝอยกับเน้ือเยอ่ื 6. บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจหลอดเลือด • การสูบบุหร่ี การสูดอากาศทีม่ ีสารปนเป้อื น และการ และเลอื ด เป็นโรคเกี่ยวกับระบบหายใจบางโรคอาจทำให้เกิด 7. อธิบายการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดโดยใช้ โรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งมีผลให้ความจุอากาศของปอด แบบจำลอง ลดลง ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาระบบหายใจ ให้ทำ 8. ออกแ บ บ กา ร ทด ล องแ ล ะ ทด ล อง ในกา ร หน้าทเี่ ป็นปกติ เปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจ ขณะปกติและ • ระบบขับถ่ายมีอวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต หลงั ทำกจิ กรรม กระเพาะปสั สาวะ และทอ่ ปัสสาวะ โดยมไี ตทำหนา้ ท่ี

17 ช้ัน ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 9. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด กำจัดของเสีย เช่น ยูเรีย แอมโมเนียกรดยูริก รวมท้ัง โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ สารที่ร่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด และควบคุม หมุนเวยี นเลอื ดใหท้ ำงานเปน็ ปกติ สารที่มีมากหรือน้อยเกินไปเชน่ น้ำ โดยขับออกมาใน 10. ระบอุ วัยวะและบรรยายหนา้ ทขี่ องอวยั วะในระบบ รูปของปสั สาวะ ประสาทส่วนกลางในการควบคุมการทำงาน ต่าง ๆ • การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น ของรา่ งกาย รับประทานอาหารที่ไม่มีรสเค็มจัด การดื่มน้ำสะอาด 11. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบประสาทโดย ให้เพียงพอ เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ระบบขับถ่าย การบอกแนวทางในการดูแลรักษา รวมถึงการป้องกัน ทำหน้าที่ได้อย่างปกติระบบหมุนเวียนเลือด การกระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมองและไขสนั ประกอบด้วย หัวใจหลอดเลอื ด และเลือด หลัง • หัวใจของมนษุ ย์แบง่ เปน็ 4 หอ้ ง ได้แก่ หวั ใจหอ้ งบน 12. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทีข่ องอวัยวะในระบบ 2 หอ้ ง และหอ้ งล่าง 2 หอ้ ง ระหว่างหวั ใจห้องบนและ สบื พันธ์ขุ องเพศชายและเพศหญิงโดยใชแ้ บบจำลอง หวั ใจหอ้ งลา่ งมีล้นิ หวั ใจกน้ั 13. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงที่ • หลอดเลือด แบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรีหลอด ควบคุมการเปลีย่ นแปลงของร่างกาย เมื่อเขา้ สูว่ ัยหนุ่ม เลือดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซง่ึ มีโครงสร้างตา่ งกัน สาว • เลือด ประกอบด้วย เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลตและ 14. ตระหนกั ถึงการเปลยี่ นแปลงของร่างกายเม่ือเข้าสู่ พลาสมา วัยหนุ่มสาว โดยการดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของ • การบีบและคลายตัวของหวั ใจทำให้เลือดหมุนเวียน ตนเองในชว่ งทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลง และลำเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอื่น ๆ 15. อธิบายการตกไข่ การมีประจำเดือนการปฏิสนธิ ไปยงั อวยั วะและเซลลต์ า่ ง ๆ ทว่ั รา่ งกาย และการพฒั นาของไซโกตจนคลอดเปน็ ทารก • เลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจ 16. เลือกวิธีการคมุ กำเนิดท่เี หมาะสมกับสถานการณท์ ่ี ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันแก๊ส กำหนด คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและ 17. ตระหนักถึงผลกระทบของการต้ังครรภ์กอ่ นวัยอัน ลำเลยี งกลับเข้าสู่หัวใจและถูกส่งไปแลกเปล่ียนแก๊สที่ ควร โดยการประพฤตติ นให้เหมาะสม ปอด • ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจซึ่งอัตราการ เต้นของหัวใจในขณะปกติและหลังจากทำกิจกรรม ต่าง ๆ จะแตกต่างกันส่วนความดันเลือด ระบบ หมุนเวียนเลือดเกิดจากการทำงานของหัวใจและ หลอดเลือด • อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ละ บุคคล คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลอื ดจะสง่ ผลทำ ให้หัวใจสบู ฉดี เลือดไมเ่ ปน็ ปกติ • การออกกำลังกาย การเลอื กรับประทานอาหารการ พักผ่อน และการรักษาภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ จึง เป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาระบบหมุนเวียน เลอื ดใหเ้ ปน็ ปกติ • ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบด้วยสมองและไข สันหลงั จะทำหน้าท่ีร่วมกับเสน้ ประสาทซึ่งเป็นระบบ ประสาทรอบนอก ในการควบคุมการทำงานของ อวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแสดงพฤติกรรม เพื่อการ ตอบสนองต่อสงิ่ เร้า

18 ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึก จะเกิด กระแสประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับความรู้สกึ ไปยงั ระบบประสาทสว่ นกลาง แลว้ ส่งกระแสประสาท มาตามเซลล์ประสาทสั่งการ ไปยังหน่วยปฏิบัติงาน เช่น กล้ามเน้ือ • ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและมี ความสัมพันธ์กับทุกระบบในร่างกาย ดังนั้นจึงควร ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนต่อสมอง หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงภาวะเครียด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อดูแลรักษา ระบบประสาทใหท้ ำงานเป็นปกติ • มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญิงจะทำหน้าที่ ผลิตเซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะในเพศชายจะทำหน้าที่สร้าง เซลล์อสจุ ิ • ฮอร์โมนเพศทำหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของ ลักษณะทางเพศที่แตกต่างกัน เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จะมีการสร้างเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ การตกไข่การมี รอบเดือน และถ้ามีการปฏิสนธิของเซลล์ไข่และเซลล์ อสจุ จิ ะทำให้เกิดการตง้ั ครรภ์ • การมีประจำเดือน มีความสัมพันธ์กับการตกไข่โดย เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ หญิง • เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการ ปฏิสนธิกับเซลล์อสจุ ิจะทำให้ได้ไซโกตไซโกตจะเจรญิ เป็นเอ็มบริโอและฟีตัสจนกระทั่งคลอดเป็นทารก แต่ ถ้าไม่มีการปฏิสนธิเซลล์ไข่จะสลายตัว ผนังด้านใน มดลูกรวมทั้งหลอดเลือดจะสลายตัวและหลุดลอก ออก เรยี กว่าประจำเดอื น • การคุมกำเนิดเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ โดยป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดการปฏสิ นธิหรือไม่ให้มีการฝงั ตวั ของเอ็มบริโอ ซึง่ มหี ลายวิธี เช่น การใชถ้ งุ ยางอนามัย การกินยาคมุ กำเนิด ม.3 - -

19 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ รวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 - - ป.2 1. เปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต • สิง่ ทีอ่ ยู่รอบตัวเรามีท้งั ที่เป็นสิ่งมชี ีวติ และสงิ่ ไมม่ ชี วี ติ จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร มีการหายใจเจริญเติบโต ขับถ่าย เคลื่อนไหว ตอบสนองต่อสิ่งเร้าและสืบพันธ์ุ ได้ลูกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพ่อแม่ส่วนสิ่งไม่มีชีวติ จะไมม่ ีลักษณะดังกล่าว ป.3 - - ป.4 1. จำแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความ • สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุ่มได้ โดยใช้ แตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่มพืช ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ กล่มุ สัตว์ และกลมุ่ ท่ีไมใ่ ช่พืชและสัตว์ เช่น กลุ่มพืชสร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนที่ด้วย 2. จำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอกโดยใช้ ตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารและ การมีดอกเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ที่รวบรวมได้ เคลื่อนที่ได้ กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ เช่นเห็ด รา 3. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ จุลินทรีย์ ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็น • การจำแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ใน เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ การจำแนก ได้เป็นพชื ดอกและพชื ไมม่ ีดอก 4. บรรยายลักษณะเฉพาะท่สี ังเกตได้ของสัตวม์ กี ระดูก • การจำแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดกู สันหลังเป็น สนั หลังในกลุ่มปลา กล่มุ สตั ว์สะเทินนำ้ สะเทินบก กลุ่ม เกณฑ์ในการจำแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและ สัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วย สตั ว์ไม่มีกระดกู สันหลงั น้ำนม และยกตวั อยา่ งสิ่งมีชวี ิตในแต่ละกลุ่ม • สัตว์มีกระดูกสันหลังมีหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนกและสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยน้ำนม ซึง่ แตล่ ะกลุ่มจะมี ลกั ษณะเฉพาะท่ีสงั เกตได้ ป.5 1. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดจาก • สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ เมื่อโตเต็มที่จะมี พ่อแม่สลู่ กู ของพชื สัตว์ และมนษุ ย์ การสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงพันธ์ุ โดยลูกท่ี 2. แสดงความอยากรู้อยากเห็น โดยการถามคำถาม เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เกีย่ วกับลักษณะทีค่ ล้ายคลึงกนั ของตนเองกับพอ่ แม่ จากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะ แตกตา่ งจากสงิ่ มีชวี ติ ชนดิ อื่น • พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น ลกั ษณะของใบ สีดอก • สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่นสีขน ลักษณะของขน ลักษณะของหู • มนษุ ยม์ กี ารถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เช่นเชิง ผมที่หน้าผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา การห่อลิ้น ลักษณะของติ่งหู ป.6 - -

20 ช้ัน ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ยีน ดีเอ็นเอ และ • ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถ โครโมโซม โดยใชแ้ บบจำลอง ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้ โดยมียีนเป็น 2. อธิบายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจากการ หน่วยควบคุมลักษณะทางพันธกุ รรม ผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่นข่มแอลลี • โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีนขดอยู่ ลดอ้ ยอย่างสมบรู ณ์ ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมี 3. อธิบายการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูกและ ความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอทำหน้าท่ี คำนวณอตั ราส่วนการเกดิ จีโนไทปแ์ ละฟโี นไทป์ของรุ่น เป็นยนี ทก่ี ำหนดลักษณะของสง่ิ มชี วี ติ ลูก • สิ่งมีชวี ิตทีม่ ีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมท่ีเป็นคู่กันมี 4. อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโท การเรียงลำดับของยนี บนโครโมโซมเหมอื นกนั เรียกว่า ซิสและไมโอซิส ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่ฮอมอโลกัส 5. บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม โครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกต่างกัน เรียกแต่ละ อาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมทั้งยกตัวอย่าง รูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่าแอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กัน โรคทางพนั ธุกรรม ของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะ 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทาง ทแ่ี ตกต่างกันได้ พนั ธกุ รรม โดยรวู้ ่ากอ่ นแต่งงานควรปรึกษาแพทย์เพ่ือ • สิง่ มีชีวติ แตล่ ะชนดิ มีจำนวนโครโมโซมคงที่ มนุษย์มี ตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกิดโรคทาง จำนวนโครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และ พันธกุ รรม โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX 7. อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปร เพศชายมโี ครโมโซมเพศเป็น XY พันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์และ • เมนเดลได้ศกึ ษาการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ส่งิ แวดลอ้ ม โดยใชข้ อ้ มูลทีร่ วบรวมได้ ของต้นถั่วชนิดหนึ่ง และนำมาสู่หลักการพื้นฐานของ 8. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิต การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต ดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม • สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยีนแต่ละตำแหน่ง โดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการโต้แย้งทาง บนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลีลโดยแอลลีลหน่ึง วิทยาศาสตร์ ซ่งึ มขี อ้ มลู สนับสนนุ มาจากพ่อ และอีกแอลลลี มาจากแม่ ซึ่งอาจมีรูปแบบ 9. เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในระดับ เดียวกัน หรือแตกตา่ งกันแอลลลี ทีแ่ ตกตา่ งกันนี้ แอล ชนิดสงิ่ มชี วี ิตในระบบนิเวศตา่ ง ๆ ลีลหนึง่ อาจมกี ารแสดงออกข่มอกี แอลลลี หนง่ึ ได้ เรยี ก 10. อธิบายความสำคัญของความหลากหลายทาง แอลลีลนั้นว่าเป็นแอลลีลเด่น ส่วนแอลลีลที่ถูกข่ม ชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและต่อ อยา่ งสมบรู ณ์เรยี กวา่ เปน็ แอลลีลดอ้ ย มนุษย์ • เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ แอลลีลที่เป็นคู่กันใน 11. แสดงความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของ แต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่เซลล์ ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีส่วนร่วมในการ สืบพันธ์ุแต่ละเซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์จะได้รับ ดแู ลรกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ เพียง 1 แอลลีล และจะมาเข้าคูก่ ับแอลลีลท่ีตำแหน่ง เดียวกันของอีกเซลลส์ ืบพนั ธ์ุหนึ่งเมื่อเกิดการปฏิสนธิ จนเกดิ เป็นจโี นไทปแ์ ละแสดงฟโี นไทป์ในรนุ่ ลกู • กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือไม โทซสิ และไมโอซิส • ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มี ลักษณะและจำนวนโครโมโซมเหมือนเซลลต์ ง้ั ตน้

21 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • ไมโอซสิ เป็นการแบง่ เซลล์เพ่ือสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ุผล จากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจำนวน โครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้นเมื่อเกิดการ ปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูกจะได้รับการถ่ายทอด โครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุดหนึ่งจากแม่ จึง เป็นผลให้รุ่นลูกมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับรุ่นพ่อแม่ และจะคงทใ่ี นทุก ๆ รุ่น • การเปล่ียนแปลงของยนี หรอื โครโมโซม สง่ ผลให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจำนวน โครโมโซม • โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ ลกู ได้ ดงั นั้นกอ่ นแตง่ งานและมบี ตุ รจงึ ควรป้องกนั โดย การตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรค ทางพนั ธุกรรม • มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตาม ธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมชี ีวติ นวี้ ่า สิ่งมชี วี ติ ดัดแปรพันธกุ รรม • ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดดั แปรพันธุกรรมเป็นจำนวนมาก เช่น การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อย่างไรก็ดีสงั คมยงั มี ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังทำ การติดตามศึกษาผลกระทบดังกล่าว • ความหลากหลายทางชวี ภาพ มี 3 ระดบั ไดแ้ กค่ วาม หลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของ ชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพนี้มีความสำคัญต่อการ รักษาสมดุลของระบบนิเวศระบบนิเวศที่มีความ หลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษาสมดุลได้ดีกว่า ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า น อ ก จ า ก น ี ้ ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ท า ง ช ี ว ภ า พ ย ั ง มี ความสำคญั ต่อมนุษย์ในด้านตา่ ง ๆ เชน่ ใช้เปน็ อาหาร ยารักษาโรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรม ต่าง ๆ ดังนั้นจึง เป็นหน้าที่ของทุกคนในการดูแลรักษาความ หลากหลายทางชีวภาพใหค้ งอยู่

22 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบัตขิ องสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.1 1. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุซึ่งทำ • วัสดุที่ใช้ทำวัตถุที่เป็นของเล่น ของใช้ มีหลายชนิด จากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิดประกอบกันโดยใช้ เช่น ผา้ แก้ว พลาสติก ยาง ไม้ อิฐ หิน กระดาษโลหะ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติที่สังเกตได้ต่าง ๆเช่น สี นุ่ม 2. ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุตามสมบัติท่ี แขง็ ขรุขระ เรยี บ ใส ขุน่ ยดื หดไดบ้ ดิ งอได้ สังเกตได้ • สมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุแต่ละชนิดอาจเหมือนกนั ซ่ึงสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑใ์ นการจัดกลมุ่ วัสดุได้ • วสั ดบุ างอย่างสามารถนำมาประกอบกนั เพือ่ ทำเปน็ วตั ถุต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดมุ ใช้ทำเส้อื ไมแ้ ละโลหะ ใชท้ ำกระทะ ป.2 1. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุโดยใช้ • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซับน้ำแตกต่างกันจึง หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ และระบุการนำสมบัตกิ ารดูดซบั นำไปทำวัตถุเพ่อื ใชป้ ระโยชน์ได้แตกตา่ งกนั เช่นใช้ผ้า น้ำของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุ ใน ทีด่ ดู ซบั น้ำไดม้ ากทำผ้าเชด็ ตวั ใชพ้ ลาสติกซงึ่ ไมด่ ดู ซับ ชีวิตประจำวัน นำ้ ทำร่ม 2. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุที่เกิดจากการนำ • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกันซึ่งทำให้ได้ วัสดมุ าผสมกันโดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ สมบัติที่เหมาะสม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ 3. เปรียบเทียบสมบตั ิทสี่ งั เกตไดข้ องวสั ดุ เพอื่ นำมาทำ เช่น แป้งผสมน้ำตาลและกะทิ ใช้ทำขนมไทย ปูน เป็นวัตถใุ นการใชง้ านตามวัตถุประสงคแ์ ละอธิบายการ ปลาสเตอร์ผสมเยื่อกระดาษใช้ทำกระปุกออมสิน ปนู นำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยใช้หลักฐานเชิง ผสมหนิ ทราย และน้ำใช้ทำคอนกรีต ประจักษ์ • การนำวัสดุมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตาม 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวัสดุที่ใช้แล้ว วัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับสมบัติของวัสดุ วัสดุที่ใช้แล้ว กลบั มาใช้ใหม่ โดยการนำวสั ดทุ ี่ใชแ้ ล้วกลบั มาใช้ใหม่ อาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษใช้แล้วอาจ นำมาทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ ถุงใสข่ อง 1. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนย่อย ๆซึ่ง • วัตถุอาจทำจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่งแต่ละชิ้นมี สามารถแยกออกจากกันได้และประกอบกันเป็นวัตถุ ลักษณะเหมอื นกันมาประกอบเขา้ ดว้ ยกนั เม่อื แยกชน้ิ ชิ้นใหม่ได้ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์๒. อธิบายการ ส่วนย่อย ๆ แต่ละชิ้นของวัตถอุ อกจากกันสามารถนำ เปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทำให้ร้อนขึ้นหรือทำให้เย็น ชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหม่ได้ เช่น ลง โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ กำแพงบ้านมีก้อนอิฐหลาย ๆก้อนประกอบเข้าดว้ ยกนั และสามารถนำก้อนอิฐจากกำแพงบ้านมาประกอบ เป็นพืน้ ทางเดนิ ได้ • เมื่อให้ความร้อนหรือทำให้วัสดุร้อนขึ้น และเมื่อลด ความร้อนหรือทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกิดการ เปลย่ี นแปลงได้ เช่น สีเปล่ียน รูปรา่ งเปล่ยี น ป.4 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็ง • วัสดแุ ต่ละชนิดมีสมบัตทิ างกายภาพแตกต่างกันวัสดุ สภาพยืดหยนุ่ การนำความรอ้ น และการนำไฟฟา้ ของ ท่มี ีความแขง็ จะทนตอ่ แรงขดู ขีด วัสดุท่ีมีสภาพ

23 ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง วัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและ ยืดหยนุ่ จะเปลีย่ นแปลงรูปร่างเม่อื มแี รงมากระทำและ ระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยดื หยุ่น การนำ กลบั สภาพเดมิ ไดว้ สั ดทุ ่นี ำความร้อนจะรอ้ นได้เร็วเมื่อ ความร้อน และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ใน ได้รับความร้อนและวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ จะให้ ชวี ิตประจำวนั ผ่านกระบวนการออกแบบช้นิ งาน กระแสไฟฟ้าผ่านได้ดังนั้นจึงอาจนำสมบัติต่าง ๆ มา 2. แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่นโดยการอภิปราย พิจารณาเพื่อใช้ในกระบวนการออกแบบชิ้นงานเพ่ือ เกยี่ วกับสมบัตทิ างกายภาพของวัสดุอยา่ งมเี หตุผลจาก ใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวัน การทดลอง • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่สสารมี 3. เปรียบเทียบสมบัติของสสารทั้ง 3 สถานะ จาก สถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สของแข็ง มี ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมวล การต้องการที่อยู่รูปร่าง ปริมาตรและรูปร่างคงท่ี ของเหลวมีปริมาตรคงที่ แต่ และปริมาตรของสสาร มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะเฉพาะส่วนที่บรรจุ 4. ใช้เครือ่ งมือเพ่อื วัดมวล และปริมาตรของสสารทงั้ 3 ของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตรและรูปร่างเปลี่ยนไป สถานะ ตามภาชนะทบี่ รรจุ ป.5 1. อธบิ ายการเปล่ยี นสถานะของสสาร เมอื่ ทำให้สสาร • การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็นการเปลี่ยนแปลง รอ้ นขึน้ หรอื เย็นลง โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารถึงระดับ 2. อธิบายการละลายของสารในน้ำ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง หน่ึงจะทำให้สสารที่เป็นของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็น ประจักษ์ ของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลวและเมื่อเพิ่มความ 3. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสารเมื่อเกิดการ ร้อนต่อไปจนถึงอีกระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนเปน็ เปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ แก๊ส เรียกว่าการกลายเป็นไอ แต่เมื่อลดความร้อนลง 4. วิเคราะห์และระบกุ ารเปลีย่ นแปลงท่ผี นั กลบั ได้และ ถึงระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว การเปลยี่ นแปลงทผี่ นั กลับไม่ได้ เรียกว่าการควบแน่น และถ้าลดความร้อนต่อไปอีก จนถึงระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็น ของแข็งเรียกว่า การแข็งตัว สสารบางชนิดสามารถ เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ผ่านการ เป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิด สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่านการ เป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิดกลับ • เมื่อใส่สารลงในน้ำแล้วสารนั้นรวมเป็นเนื้อเดียวกัน กับน้ำทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิดการละลาย เรียก สารผสมท่ีได้ว่าสารละลาย • เม่อื ผสมสาร ๒ ชนิดขึ้นไปแลว้ มสี ารใหม่เกิดขึ้นซ่ึงมี สมบัติต่างจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนิดเดียวเกิดการ เปลี่ยนแปลงแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้ เรียกว่า การเปลีย่ นแปลงทางเคมี ซึง่ สงั เกตได้จากมีสี หรือกลิ่นต่างจากสารเดิม หรือมีฟองแก๊ส หรือมี ตะกอนเกิดขึ้นหรือมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ อุณหภมู ิ • เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถ เปลี่ยนกลับเปน็ สารเดิมได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผนั กลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอการ ละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ สามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้เป็นการ เปลี่ยนแปลงทีผ่ นั กลับไม่ได้ เช่นการเผาไหม้ การเกดิ สนิม

24 ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดยการ • สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปผสม หยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูดการรินออก กันเช่น น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการ การกรอง และการตกตะกอนโดยใช้หลักฐานเชิง ที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยูก่ ับลักษณะและ ประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สมบตั ขิ องสารที่ผสมกนั ถา้ องคป์ ระกอบของสารผสม เก่ียวกับการแยกสาร เป็นของแข็งกับของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่าง ชดั เจน อาจใช้วิธกี ารหยบิ ออกหรอื การร่อนผา่ นวสั ดุที่ มีรู ถ้ามีสารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้ วธิ ีการใช้แมเ่ หล็กดึงดูดถา้ องค์ประกอบเป็นของแข็งท่ี ไมล่ ะลายในของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถ นำไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวันได้ ม.2 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุ • ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทาง โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิง กายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ ประจักษ์ที่ได้จากการสังเกตและการทดสอบและใช้ ตา่ งกัน ซึ่งสามารถนำมาจัดกลุ่มธาตเุ ปน็ โลหะ อโลหะ สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆรวมทั้งจัดกลุ่ม และกึ่งโลหะ ธาตุโลหะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสงู มี ธาตเุ ปน็ โลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ ผิวมันวาว นำความร้อนนำไฟฟ้า ดึงเป็นเส้นหรือตี 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ เป็นแผ่นบาง ๆ ได้ และมีความหนาแน่นท้งั สูงและตำ่ และธาตุกัมมันตรังสี ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม ธาตุอโลหะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ มีผิวไม่มัน เศรษฐกิจและสงั คม จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ วาวไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟ้า เปราะ แตกหักง่าย 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะก่ึง และมีความหนาแน่นต่ำ ธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติบาง โลหะ ธาตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุ ประการเหมือนโลหะ และสมบัติบางประการเหมือน อย่างปลอดภยั คมุ้ คา่ อโลหะ 4. เปรยี บเทียบจดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวของสารริสุทธ์ิ • ธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ที่สามารถแผ่รังสีได้ และสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟแปล จดั เปน็ ธาตุกมั มันตรังสี ความหมายขอ้ มูลจากกราฟ หรือสารสนเทศ • ธาตุมีทั้งประโยชน์และโทษ การใช้ธาตุโลหะอโลหะ 5. อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสาร กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อ บรสิ ุทธ์แิ ละสารผสม ส่ิงมชี วี ิต สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสังคม 6. ใชเ้ ครื่องมอื เพือ่ วัดมวลและปริมาตรของสารบริสทุ ธิ์ • สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวส่วน และสารผสม สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป สาร 7. อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอมธาตุ บริสุทธิ์แต่ละชนิดมีสมบัติบางประการที่เป็นค่า และสารประกอบ โดยใช้แบบจำลองและสารสนเทศ เฉพาะตัว เช่น จุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงท่ี แต่ 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน สารผสมมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่คงท่ี ขึ้นอยู่ นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใชแ้ บบจำลอง กับชนิดและสัดส่วนของสารที่ผสมอยู่ด้วยกัน• สาร 9. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาคแรงยึด บริสุทธิ์แต่ละชนิดมีความหนาแน่น หรือมวลต่อหน่ึง เหนี่ยวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาค หน่วยปริมาตรคงท่ี เป็นค่าเฉพาะของสารนั้น ณ ของสสารชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว สถานะและอุณหภูมิหนึ่งแต่สารผสมมีความหนาแน่น และแกส๊ โดยใชแ้ บบจำลอง ไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วนของสารที่ผสมอยู่ 10. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อน ด้วยกนั กับการเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิง ประจกั ษแ์ ละแบบจำลอง

25 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • สารบริสุทธิ์แบ่งออกเป็นธาตุและสารประกอบธาตุ ประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ยังแสดงสมบัติของ ธาตุนั้นเรียกว่า อะตอม ธาตุแต่ละชนิดประกอบด้วย อะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่สามารถแยกสลายเป็น สารอน่ื ได้ดว้ ยวิธีทางเคมธี าตเุ ขยี นแทนด้วยสญั ลักษณ์ ธาตุ สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปรวมตัวกันทางเคมีในอัตราส่วนคงที่ มี สมบัติแตกต่างจากธาตุที่เป็นองค์ประกอบ สามารถ แยกเป็นธาตุได้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตุและสารประกอบ สามารถเขียนแทนได้ดว้ ยสตู รเคมี • อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุชนิด เดียวกันมีจำนวนโปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะ ของธาตุนั้น นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้าส่วน อิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ เมื่ออะตอมมีจำนวน โปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนจะเป็นกลางทาง ไฟฟ้า โปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลางอะตอม เรียกว่า นวิ เคลยี สสว่ นอิเล็กตรอนเคล่ือนทอ่ี ยใู่ นทวี่ า่ ง รอบนวิ เคลียส • สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาค โดยสารชนิด เดียวกันที่มีสถานะของแข็ง ของเหลว แก๊สจะมีการ จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การ เคลอ่ื นทีข่ องอนุภาคแตกต่างกนั ซึ่งมีผลต่อรูปร่างและ ปรมิ าตรของสสาร • อนุภาคของของแข็งเรียงชิดกัน มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาคมากที่สุด อนุภาคสั่นอยู่กับที่ทำให้มี รปู รา่ งและปริมาตรคงท่ี • อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส อนุภาคเคลื่อนที่ได้แต่ไม่เป็นอิสระเท่าแก๊ส ทำให้มี รูปรา่ งไมค่ งท่ี แต่ปริมาตรคงที่ • อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาคน้อยที่สุด อนุภาคเคลื่อนที่ได้อย่าง อสิ ระทกุ ทศิ ทาง ทำให้มีรูปร่างและปรมิ าตรไมค่ งท่ี • ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสสารเมื่อ ให้ความร้อนแก่ของแข็ง อนุภาคของของแข็งจะมี พลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่งซ่ึง ของแข็งจะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็น ของเหลว เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะ จากของแข็งเป็นของเหลวว่า ความร้อนแฝงของการ หลอมเหลว และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะคงที่ เรียกอณุ หภมู นิ ้วี ่าจุดหลอมเหลว

26 ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง • เมื่อให้ความร้อนแกข่ องเหลว อนุภาคของของเหลว จะมีพลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่งซ่ึง ของเหลวจะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็น แก๊ส เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะจาก ของเหลวเป็นแกส๊ วา่ ความร้อนแฝงของการกลายเปน็ ไอ และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะคงที่ เรียก อณุ หภมู นิ ี้วา่ จดุ เดือด • เมื่อทำให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกอุณหภูมิน้ี ว่า จุดควบแน่น ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุดเดือดของ ของเหลวน้นั • เมื่อทำให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึงระดับ หนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งเรียก อุณหภูมินี้ว่า จุดเยือกแข็ง ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุด หลอมเหลวของของแขง็ น้นั ม.2 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้งการตก • การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธิ์ทำได้หลายวิธี ผลึก การกลั่นอย่างง่ายโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ ขึ้นอยู่กับสมบัติของสารนั้น ๆ การระเหยแห้งใช้แยก การสกดั ด้วยตวั ทำละลาย โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ สารละลายซง่ึ ประกอบดว้ ยตัวละลายทีเ่ ปน็ ของแข็งใน 2. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลึกการกล่ัน ตัวทำละลายที่เป็นของเหลว โดยใช้ความร้อนระเหย อย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษการสกดั ด้วยตัว ตัวทำละลายออกไปจนหมดเหลือแต่ตัวละลาย การ ทำละลาย ตกผลึกใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายท่ี 3. นำวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เป็นของแขง็ ใน โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เทคโนโลยี ตัวทำละลายที่เป็นของเหลว โดยทำให้สารละลาย และวศิ วกรรมศาสตร์ อิ่มตัวแล้วปล่อยให้ตัวทำละลายระเหยออกไปบาง 4. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผล ส่วนตัวละลายจะตกผลึกแยกออกมา การกลั่นอย่าง ของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวทำละลายอุณหภูมิที่มีต่อ ง่ายใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายและ สภาพละลายได้ของสาร รวมทั้งอธิบายผลของความ ตัวทำละลายที่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือดต่างกันมาก ดนั ท่มี ีตอ่ สภาพละลายได้ของสาร โดยใชส้ ารสนเทศ วิธีนี้จะแยกของเหลวบริสุทธิ์ออกจากสารละลายโดย 5. ระบปุ ริมาณตวั ละลายในสารละลาย ในหนว่ ยความ ให้ความร้อนกับสารละลายของเหลวจะเดือดและ เข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตรมวลต่อมวล กลายเป็นไอแยกจากสารละลายแล้วควบแน่นกลับ และมวลตอ่ ปรมิ าตร เป็นของเหลวอีกครั้ง ขณะที่ของเหลวเดือด อุณหภูมิ 6. ตระหนักถึงความสำคัญของการนำความรู้เรื่อง ของไอจะคงท่ี โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเปน็ วิธกี าร ความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้ แยกสารผสมทีม่ ีปรมิ าณนอ้ ยโดยใชแ้ ยกสารที่มสี มบัติ สารละลายในชีวิตประจำวนั อยา่ งถกู ต้องและปลอดภัย การละลายในตัวทำละลายและการถูกดูดซับด้วยตัว ดูดซบั แตกตา่ งกนั ทำใหส้ ารแตล่ ะชนิดเคล่ือนทไี่ ปบน ตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึงแยกออกจากกันได้ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่สารองค์ประกอบแต่ละ ชนิดเคลื่อนที่ได้บนตัวดูดซับกับระยะทางที่ตัวทำ ละลายเคลื่อนที่ได้ เป็นค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละ ชนิดในตัวทำละลายและตัวดูดซับหนึ่ง ๆ การสกัด ด้วยตัวทำละลายเป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีสมบัติ การละลายในตัวทำละลายท่ตี ่างกัน โดยชนิดของตัว

27 ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ทำละลายมีผลต่อชนิดและปริมาณของสารที่สกัดได้ การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ ใช้แยกสารที่ระเหย ง่าย ไม่ละลายน้ำ และไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำออกจาก สารท่ีระเหยยาก โดยใชไ้ อน้ำเปน็ ตัวพา • ความรู้ด้านวทิ ยาศาสตร์เกีย่ วกับการแยกสารบรู ณา การกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการ ทางวิศวกรรม สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวันหรือปัญหาที่พบในชุมชนหรือสร้าง นวัตกรรม โดยมีขั้นตอน ดังน้ี - ระบุปัญหาในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับการแยกสาร โดยใช้สมบัติทางกายภาพ หรือนวัตกรรมที่ต้องการ พฒั นา โดยใช้หลกั การดงั กลา่ ว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับการแยกสารโดย ใช้สมบัติทางกายภาพที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ หรอื นำไปส่กู ารพฒั นานวตั กรรมนัน้ - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรมท่ี เกี่ยวกับการแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติทาง กายภาพ โดยเชื่อมโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทาง วิศวกรรม รวมทั้งกำหนดและควบคุมตัวแปรอย่าง เหมาะสม ครอบคลมุ - วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนา นวัตกรรม รวบรวมข้อมูล จัดกระทำข้อมูลและเลือก วิธกี ารส่อื ความหมายที่เหมาะสมในการนำเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาหรือ นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ รวบรวมได้ - นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือผลของนวัตกรรมท่ี พัฒนาขึ้น และผลที่ได้ โดยใช้วิธีการสื่อสารที่ เหมาะสมและน่าสนใจ ม.3 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุ • พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้มาก ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสมโดยใช้ ในชวี ิตประจำวัน หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ และสารสนเทศ • พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจาก 2. ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ โมเลกุลจำนวนมากรวมตัวกันทางเคมีเช่น พลาสติก เซรามิก และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้ ยาง เส้นใย ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่มีสมบัติแตกต่างกัน วสั ดอุ ย่างประหยัดและคมุ้ คา่ โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ขึ้นรูปเปน็ รูปทรงต่าง ๆ 3. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัว ได้ ยางยืดหยุ่นได้ส่วนเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ที่สามารถ ใหมข่ องอะตอมเมือ่ เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีโดยใชแ้ บบจำลอง ดงึ เป็นเส้นยาวไดพ้ อลิเมอรจ์ ึงใชป้ ระโยชน์ได้แตกต่าง และสมการข้อความ กนั 4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์

28 ช้ัน ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง 5. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคาย • เซรามิกเป็นวสั ดทุ ผ่ี ลติ จาก ดิน หิน ทราย และแร่ ความร้อน จากการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อน ธาตตุ า่ ง ๆ จากธรรมชาติ และส่วนมากจะผ่านการ ของปฏิกิรยิ า เผาที่อุณหภูมสิ งู เพือ่ ให้ไดเ้ น้ือสารท่แี ข็งแรงเซรา 6. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยา มิกสามารถทำเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ สมบตั ทิ วั่ ไปของ ของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และ เซรามิกจะแข็ง ทนตอ่ การสึกกร่อนและเปราะ ปฏิกริ ยิ าของเบสกบั โลหะ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นภาชนะท่เี ปน็ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้การเกิดฝนกรด การ เครือ่ งปน้ั ดนิ เผา ชิ้นส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ สังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้สารสนเทศ รวมทั้งเขียน • วัสดผุ สมเปน็ วสั ดทุ ี่เกดิ จากวสั ดตุ ้งั แต่ ๒ ประเภทที่ สมการขอ้ ความแสดงปฏิกริ ิยาดังกลา่ ว มสี มบตั ิแตกตา่ งกันมารวมตัวกนั เพื่อนำไปใช้ 7. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อ ประโยชนไ์ ดม้ ากขน้ึ เชน่ เส้อื กนั ฝนบางชนิดเปน็ วสั ดุ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่างวิธีการ ผสมระหวา่ งผา้ กับยาง คอนกรตี เสริมเหลก็ เป็นวสั ดุ ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบใน ผสมระหวา่ งคอนกรีตกบั เหล็ก ชวี ติ ประจำวัน จากการสืบคน้ ข้อมลู • วัสดุบางชนดิ สลายตวั ยาก เชน่ พลาสติก การใช้ 8. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยใช้ วสั ดุอยา่ งฟุม่ เฟือยและไม่ระมัดระวงั อาจกอ่ ปญั หาต่อ ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณาการ สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เทคโนโลยี และ • การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี วิศวกรรมศาสตร์ ของสาร เป็นการเปลย่ี นแปลงทท่ี ำใหเ้ กิดสารใหม่ โดยสารที่เข้าทำปฏิกริ ิยา เรยี กวา่ สารตั้งต้นสารใหม่ ที่เกิดขนึ้ จากปฏกิ ริ ยิ า เรยี กว่า ผลติ ภัณฑ์การ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมสี ามารถเขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ ขอ้ ความ • การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี อะตอมของสารตง้ั ต้นจะมกี าร จัดเรยี งตัวใหม่ ได้เป็นผลติ ภัณฑ์ ซ่ึงมีสมบตั แิ ตกตา่ ง จากสารต้งั ต้น โดยอะตอมแตล่ ะชนดิ กอ่ นและหลัง เกิดปฏิกริ ิยาเคมมี ีจำนวนเทา่ กัน • เมอ่ื เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี มวลรวมของสารตง้ั ต้นเทา่ กบั มวลรวมของผลติ ภัณฑ์ ซง่ึ เป็นไปตามกฎทรงมวล • เมอ่ื เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี มีการถ่ายโอนความรอ้ นควบคู่ ไปกบั การจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมของสารปฏกิ ริ ยิ า ท่มี กี ารถ่ายโอนความร้อนจากสงิ่ แวดล้อมเขา้ สรู่ ะบบ เป็นปฏิกริ ยิ าดูดความรอ้ น ปฏกิ ริ ยิ าท่มี กี ารถ่ายโอน ความรอ้ นจากระบบออกสสู่ ิ่งแวดลอ้ มเป็นปฏิกริ ิยา คายความรอ้ น โดยใชเ้ คร่ืองมือท่เี หมาะสมในการวดั อณุ หภูมิ เช่นเทอรม์ อมิเตอร์ หัววดั ท่สี ามารถ ตรวจสอบการเปลยี่ นแปลงของอุณหภมู ิได้อยา่ ง ต่อเนือ่ ง • ปฏิกิริยาเคมีทีพ่ บในชีวิตประจำวันมีหลายชนิดเชน่ ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดสนิมของเหล็กปฏิกริ ิยา ของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยา ของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรดการสังเคราะห์ด้วย แสง ปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียนแทนได้ด้วยสมการ ข้อความ ซงึ่ แสดงชือ่ ของสารตง้ั ตน้ และผลิตภณั ฑ์

29 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เช่นเชื้อเพลิง + ออกซิเจน → คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารกับ ออกซิเจน สารที่เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ส่วนใหญ่ เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็น องค์ประกอบ ซึ่งถ้าเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้ำ • การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏกิ ิรยิ าเคมีระหวา่ ง เหล็ก น้ำ และออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นสนิมของ เหล็ก • ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกิดสนมิ ของเหล็กเป็น ปฏิกริ ยิ าระหว่างสารตา่ ง ๆ กบั ออกซเิ จน • ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั โลหะ กรดทำปฏิกริ ยิ ากบั โลหะ ได้หลายชนิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและ แก๊สไฮโดรเจน • ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนตได้ ผลติ ภัณฑเ์ ป็นแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดเ์ กลือของโลหะ และน้ำ • ปฏิกริ ยิ าของกรดกับเบส ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ปน็ เกลือของ โลหะและนำ้ หรอื อาจได้เพียงเกลอื ของโลหะ • ปฏกิ ิริยาของเบสกบั โลหะบางชนดิ ไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ปน็ เกลอื ของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน • การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่างน้ำฝน กับออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทำให้นำ้ ฝนมีสมบตั เิ ป็นกรด • การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช เปน็ ปฏกิ ิรยิ าระหวา่ ง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมีแสงช่วยในการ เกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาลกลูโคสและ ออกซิเจน • ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีทั้งประโยชน์ และโทษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงต้อง ระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรู้จักวิธี ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบใน ชีวติ ประจำวัน • ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี สามารถนำไปใช้ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน และสามารถบรู ณาการกบั คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์เพื่อใช้ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามต้องการหรืออาจ สรา้ งนวตั กรรมเพ่ือป้องกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กิดข้ึนจาก ปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี เชน่ การเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนอันเนื่องมาจาก ปฏิกิรยิ าเคมีการเพมิ่ ปริมาณผลผลติ

30 สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.2. เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการ เคลือ่ นท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.1 - - ป.2 - - ป.3 1. ระบุผลของแรงทม่ี ีตอ่ การเปลีย่ นแปลงการเคล่ือนที่ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงกระทำต่อวัตถุ ของวัตถจุ ากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ แรงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงอาจทำให้วัตถุ 2. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผัสและแรงไม่ เกิดการเคลื่อนที่โดยเปลี่ยนตำแหน่งจากที่หนึ่งไปยัง สัมผัสที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้หลักฐาน อีกทหี่ นง่ึ เชงิ ประจกั ษ์ • การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ ได้แก่วัตถุท่ี 3. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับแม่เหล็กเป็นเกณฑ์ อยู่นิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เปลยี่ นเปน็ เคล่ือนท่เี ร็วขึ้นหรือช้าลงหรอื หยดุ นิง่ หรือ 4. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ผลที่เกิดขึ้นระหว่าง เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนท่ี ขั้วแม่เหล็กเมื่อนำมาเข้าใกล้กันจากหลักฐานเชิง • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิดจากวัตถุ ประจกั ษ์ หนึ่งกระทำกับอีกวตั ถุหนึ่ง โดยวัตถุทั้งสองอาจสัมผสั หรือไม่ต้องสัมผัสกัน เช่น การออกแรงโดยใช้มือดึง หรือการผลักโต๊ะให้เคลื่อนที่เป็นการออกแรงที่วัตถุ ต้องสัมผัสกัน แรงนี้จึงเป็นแรงสัมผัส ส่วนการท่ี แม่เหล็กดึงดูดหรือผลักระหว่างแม่เหล็กเป็นแรงท่ี เกิดขึ้นโดยแม่เหล็กไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน แรง แมเ่ หลก็ นจี้ ึงเปน็ แรงไม่สัมผัส • แม่เหล็กสามารถดงึ ดูดสารแมเ่ หล็กได้ • แรงแม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างแม่เหล็กกับ สารแม่เหล็ก หรือแม่เหล็กกับแม่เหล็กแม่เหล็ก มี 2 ขั้ว คือ ขั้วเหนือและขัว้ ใต้ขั้วแม่เหล็กชนิดเดยี วกันจะ ผลกั กัน ต่างชนิดกนั จะดงึ ดดู กัน ป.4 1. ระบุผลของแรงโนม้ ถ่วงที่มีตอ่ วัตถุจากหลักฐานเชงิ • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทำต่อ ประจกั ษ์ วัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเป็นแรงไม่ 2. ใชเ้ ครื่องชง่ั สปรงิ ในการวัดนำ้ หนักของวัตถุ สมั ผสั แรงดงึ ดูดที่โลกกระทำกบั วตั ถหุ น่งึ ๆทำให้วตั ถุ 3. บรรยายมวลของวตั ถทุ มี่ ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงการ ตกลงสพู่ น้ื โลก และทำให้วัตถุมนี ำ้ หนักวดั นำ้ หนกั ของ เคลือ่ นที่ของวัตถุจากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ วัตถไุ ดจ้ ากเครื่องช่ังสปรงิ น้ำหนกั ของวตั ถุข้ึนกับมวล ของวัตถุ โดยวัตถุที่มีมวลมากจะมีน้ำหนักมาก วัตถุที่ มีมวลน้อยจะมีน้ำหนักนอ้ ย • มวล คือ ปรมิ าณเนื้อของสสารทั้งหมดท่ีประกอบกนั เป็นวัตถุ ซึ่งมีผลตอ่ ความยากง่ายในการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุ วัตถุที่มีมวลมากจะ เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ีไดย้ ากกว่าวัตถุทีม่ มี วลน้อย ดังนั้นมวลของวัตถุนอกจากจะหมายถึงเนื้อทั้งหมด ของวัตถุนัน้ แลว้ ยังหมายถึงการตา้ นการเปลี่ยนแปลง การเคลอื่ นท่ขี องวัตถนุ ้นั ด้วย

31 ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.5 1. อธิบายวิธีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนว • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่กระทำต่อวัตถุ โดย เดียวกันที่กระทำต่อวัตถุในกรณีที่วัตถุอยู่นิ่งจาก แรงลัพธ์ของแรง 2 แรงที่กระทำต่อวัตถุเดียวกันจะมี หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ขนาดเท่ากับผลรวมของแรงท้ังสองเม่ือแรงท้ังสองอยู่ 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อวัตถุที่อยู่ใน ในแนวเดียวกันและมีทิศทางเดียวกันแต่จะมีขนาด แนวเดยี วกันและแรงลัพธท์ ่กี ระทำตอ่ วัตถุ เทา่ กบั ผลตา่ งของแรงทัง้ สองเมอ่ื แรงทั้งสองอยู่ในแนว 3. ใชเ้ คร่ืองชง่ั สปรงิ ในการวดั แรงที่กระทำตอ่ วัตถุ เดียวกันแต่มีทิศทางตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุที่อยู่น่ิง 4. ระบุผลของแรงเสียดทานที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง แรงลัพธ์ทีก่ ระทำตอ่ วัตถุมีค่าเป็นศูนย์ การเคล่ือนท่ขี องวตั ถจุ ากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ • การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถสุ ามารถ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู่ใน เขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศรแสดงทิศทางของ แนวเดียวกันที่กระทำตอ่ วัตถุ แรง และความยาวของลูกศรแสดงขนาดของแรงท่ี กระทำต่อวตั ถุ • แรงเสียดทานเปน็ แรงท่เี กดิ ขนึ้ ระหว่างผิวสัมผัสของ วัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดยถ้าออก แรงกระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิวหนึ่งให้เคลื่อนท่ี แรงเสยี ดทานจากพ้ืนผิวนั้นกจ็ ะตา้ นการเคล่ือนที่ของ วัตถุ แต่ถ้าวัตถุกำลงั เคล่ือนทีแ่ รงเสียดทานก็จะทำให้ วตั ถุน้ันเคลอ่ื นทช่ี า้ ลงหรอื หยุดนง่ิ ป.6 1. อธบิ ายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซงึ่ เกิดจากวัตถุ • วัตถุ 2 ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำเข้าใกล้กัน ท่ีผา่ นการขัดถู โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มีประจุ ไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือประจุไฟฟ้าบวก และประจุไฟฟ้าลบ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน ผลักกนั ชนดิ ตรงข้ามกนั ดึงดูดกนั ม.1 1. สร้างแบบจำลองที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • เมื่อวัตถุอยู่ในอากาศจะมีแรงที่อากาศกระทำต่อ ความดนั อากาศกับความสงู จากพ้ืนโลก วัตถุในทุกทิศทาง แรงที่อากาศกระทำต่อวัตถุขึ้นอยู่ กับขนาดพนื้ ทขี่ องวัตถนุ น้ั แรงท่อี ากาศกระทำตั้งฉาก กบั ผวิ วัตถตุ ่อหนงึ่ หนว่ ยพื้นที่เรยี กว่า ความดันอากาศ • ความดันอากาศมีความสัมพันธ์กับความสูงจากพ้ืน โลก โดยบริเวณที่สูงจากพื้นโลกขึ้นไปอากาศเบาบาง ลง มวลอากาศนอ้ ยลง ความดันอากาศกจ็ ะลดลง ม.2 1. พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็นผลของแรง • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรง ลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำต่อวัตถุในแนว กระทำต่อวัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่กระทำตอ่ วัตถุมคี ่าเป็น เดยี วกนั จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ศูนย์ วัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่แต่ถ้าแรง 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรง ลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่าไม่เป็นศูนย์วัตถุจะ หลายแรงทก่ี ระทำต่อวตั ถุในแนวเดียวกนั เปลย่ี นแปลงการเคล่ือนที่ 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที ่เี หมาะสม • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงที่ของเหลวกระทำ ในการอธิบายปัจจัยท่มี ผี ลตอ่ ความดนั ของของเหลว ต่อวัตถุในทุกทิศทาง โดยแรงที่ของเหลวกระทำต้ัง 4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุใน ฉากกับผิววัตถุต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่เรียกว่าความดัน ของเหลวจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ของของเหลว 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อวัตถุใน • ความดันของของเหลวมีความสัมพันธ์กับความลึก ของเหลว จากระดับผิวหน้าของของเหลว โดยบริเวณทีล่ ึกลงไป จากระดบั ผวิ หนา้ ของของเหลวมากขน้ึ

32 ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทานจลน์ ความดนั ของของเหลวจะเพม่ิ ข้นึ เนื่องจากของเหลวท่ี จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ อยู่ลึกกว่า จะมีน้ำหนักของของเหลวด้านบนกระทำ 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที ่เี หมาะสม มากกว่า ในการอธิบายปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ ขนาดของแรงเสียดทาน • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนื่องจาก 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงอื่น ๆที่ ของเหลวกระทำต่อวัตถุ โดยมที ิศขนึ้ ในแนวดิง่ การจม กระทำตอ่ วัตถุ หรือการลอยของวัตถุขึ้นกับน้ำหนักของวัตถุและแรง 9. ตระหนักถึงประโยชนข์ องความรูเ้ รอื่ งแรงเสียดทาน พยุง ถ้าน้ำหนักของวัตถุและแรงพยุงของของเหลวมี โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะวิธีการ ค่าเท่ากัน วัตถุจะลอยนิ่งอยู่ในของเหลว แต่ถ้า ลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่เป็นประโยชน์ต่อการทำ น้ำหนักของวัตถุมีค่ามากกว่าแรงพยุงของของเหลว กิจกรรมในชวี ิตประจำวนั วตั ถจุ ะจม 10. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ี • แรงเสยี ดทานเปน็ แรงทีเ่ กดิ ขน้ึ ระหวา่ งผิวสัมผัสของ เหมาะสมในการอธบิ ายโมเมนต์ของแรง เมือ่ วัตถอุ ยูใ่ น วัตถุ เพือ่ ตา้ นการเคล่อื นทีข่ องวตั ถุนน้ั โดยถ้าออกแรง สภาพสมดลุ ต่อการหมนุ และคำนวณโดยใชส้ มการ กระทำต่อวัตถุทีอ่ ยู่น่ิงบนพื้นผิวใหเ้ คลื่อนท่ี แรงเสยี ด M = Fl ทานก็จะต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานที่ 11. เปรียบเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็กสนามไฟฟ้า เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่เรียก แรงเสียด และสนามโน้มถ่วง และทิศทางของแรงที่กระทำต่อ ทานสถิต แต่ถ้าวัตถุกำลังเคลือ่ นที่ แรงเสียดทานกจ็ ะ วตั ถทุ อ่ี ย่ใู นแตล่ ะสนามจากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ ทำให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่ง เรียก แรง 12. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้าและ เสียดทานจลน์ แรงโน้มถ่วงท่ีกระทำต่อวัตถุ • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ 13. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรง ขึน้ กับลกั ษณะผวิ สมั ผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาตั้ง แม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโนม้ ถ่วงท่กี ระทำต่อวัตถุท่ี ฉากระหวา่ งผวิ สัมผสั อยู่ในสนามนัน้ ๆ กับระยะห่างจากแหล่งของสนามถึง • กิจกรรมในชีวิตประจำวันบางกิจกรรมต้องการแรง วตั ถจุ ากข้อมลู ที่รวบรวมได้ เสียดทาน เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้ำการใช้แผ่น 14. อธบิ ายและคำนวณอัตราเร็วและความเร็วของการ กันลื่นในห้องน้ำ บางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียด เคลื่อนทีข่ องวัตถุ โดยใช้สมการ ทาน เช่น การลากวัตถุบนพ้ืนการใช้น้ำมันหลอ่ ลื่นใน v =s/t และ v =s/t จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ เครอ่ื งยนต์ 15. เขียนแผนภาพแสดงการกระจดั และความเร็ว • ความรู้เร่อื งแรงเสยี ดทานสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในชีวติ ประจำวันได้ • เมื่อมีแรงที่กระทำต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศนู ย์กลางมวล ของวัตถุ จะเกิดโมเมนต์ของแรง ทำให้วัตถุหมุนรอบ ศนู ย์กลางมวลของวัตถนุ ัน้ • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคณู ของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ กับระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง เม่ือ ผลรวมของโมเมนตข์ องแรงมีค่าเป็นศูนย์วัตถุจะอยู่ใน สภาพสมดุลต่อการหมุน โดยโมเมนต์ของแรงในทิศ ทวนเข็มนาฬิกาจะมีขนาดเท่ากับโมเมนต์ของแรงใน ทศิ ตามเข็มนาฬกิ า • ของเล่นหลายชนดิ ประกอบด้วยอปุ กรณ์หลายสว่ นที่ ใช้หลักการโมเมนต์ของแรง ความรู้เรื่องโมเมนต์ของ แรงสามารถนำไปใชอ้ อกแบบและประดษิ ฐ์ของเลน่ ได้

33 ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • วัตถุที่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบแรงโน้ม ถ่วงที่กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีทิศพุ่ง เขา้ หาวตั ถทุ ีเ่ ป็นแหลง่ ของสนามโนม้ ถว่ ง • วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบแรง ไฟฟ้าที่กระทำต่อวัตถุที่มีประจุจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรอื ออกจากวตั ถทุ ม่ี ปี ระจทุ เี่ ป็นแหล่งของสนามไฟฟา้ • วัตถุที่เป็นแม่เหล็กจะมีสนามแม่เหล็กอยู่โดยรอบ แรงแม่เหล็กทีก่ ระทำต่อขั้วแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งเข้าหา หรือออกจากขั้วแม่เหล็กที่เป็นแหล่งของ สนามแม่เหล็ก • ขนาดของแรงโนม้ ถ่วง แรงไฟฟ้า และแรงแมเ่ หล็กที่ กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในสนามนั้น ๆ จะมีค่าลดลงเม่ือ วตั ถอุ ยู่หา่ งจากแหลง่ ของสนามน้นั ๆ มากขึ้น • การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของ วัตถุเทียบกบั ตำแหน่งอา้ งอิง โดยมปี ริมาณที่เก่ยี วขอ้ ง กับการเคลื่อนที่ซึ่งมีทั้งปริมาณสเกลาร์และปริมาณ เวกเตอร์ เช่น ระยะทางอัตราเร็ว การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์เป็นปริมาณที่มีขนาด เช่น ระยะทาง อัตราเร็วปริมาณเวกเตอร์เป็นปริมาณที่มี ท้งั ขนาดและทิศทาง เชน่ การกระจดั ความเรว็ • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร โดยความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศร แสดงทศิ ทางของเวกเตอรน์ ั้น ๆ • ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็น ความยาวของเส้นทางที่เคล่ือนทีไ่ ด้ • การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัดมี ทิศชี้จากตำแหน่งเริ่มต้นไปยังตำแหน่งสุดท้ายและมี ขนาดเทา่ กบั ระยะท่ีส้นั ทส่ี ุดระหวา่ งสองตำแหน่งนน้ั • อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็น อตั ราสว่ นของระยะทางต่อเวลา • ความเร็วปริมาณเวกเตอร์มีทิศเดียวกับทิศของการ กระจัด โดยความเร็วเป็นอตั ราส่วนของการกระจัดต่อ เวลา ม.3 - -

34 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณท์ เ่ี ก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 1. บรรยายการเกิดเสียงและทิศทางการเคลื่อนที่ของ • เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุ วัตถุที่ทำให้เกิดเสียง เสียงจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีทั้งแหล่งกำเนิดเสียงตาม ธรรมชาตแิ ละแหลง่ กำเนดิ เสยี งที่มนุษยส์ ร้างขึ้น เสียง เคลอื่ นท่ีออกจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งทกุ ทศิ ทาง ป.2 1. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจากแหลง่ กำเนิด • แสงเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดแสงทุกทิศทางเป็น แสง และอธิบายการมองเห็นวัตถุจากหลักฐานเชิง แนวตรง เม่อื มแี สงจากวัตถุมาเข้าตาจะทำให้มองเห็น ประจักษ์ วัตถุนั้น การมองเห็นวตั ถทุ ี่เป็นแหลง่ กำเนิดแสง แสง 2. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของการมองเห็นโดย จากวัตถนุ ัน้ จะเขา้ สูต่ าโดยตรงส่วนการมองเห็นวัตถุที่ เสนอแนะแนวทางการป้องกันอันตรายจากการมอง ไม่ใช่แหล่งกำเนดิ แสง ต้องมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสง วัตถุทีอ่ ย่ใู นบริเวณที่มแี สงสวา่ งไมเ่ หมาะสม ไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่าง มาก ๆ เข้าสู่ตาอาจเกิดอันตรายต่อตาได้ จึงต้อง หลีกเลี่ยงการมองหรือใช้แผ่นกรองแสงที่มีคุณภาพ เมอ่ื จำเป็น และต้องจดั ความสว่างให้เหมาะสมกับการ ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านหนังสือการดู จอโทรทศั น์ การใชโ้ ทรศัพทเ์ คลื่อนทีแ่ ละแทบ็ เล็ต ป.3 1. ยกตัวอย่างการเปลี่ยนพลังงานหนึ่งไปเป็นอีก • พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถในการ พลังงานหนึง่ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ทำงาน พลังงานมหี ลายแบบ เชน่ พลังงานกล พลังงาน 2. บรรยายการทำงานของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้าและระบุ ไฟฟ้า พลังงานแสงพลังงานเสียง และพลังงานความ แหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากข้อมูลที่รวบรวม ร้อน โดยพลังงานสามารถเปลี่ยนจากพลังงานหน่งึ ไป ได้ เป็นอีกพลังงานหนึ่งได้ เช่น การถูมือจนรู้สึกร้อนเปน็ 3. ตระหนักในประโยชน์และโทษของไฟฟ้า โดย การเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานความร้อนแผง นำเสนอวธิ ีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และปลอดภยั เซลล์สุรยิ ะเปลย่ี นพลงั งานแสงเปน็ พลงั งานไฟฟ้าหรือ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าเปล่ียนพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานอืน่ • ไฟฟ้าผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งใช้พลงั งานจาก แหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหล่ง เช่นพลังงานจาก ลม พลงั งานจากน้ำ พลงั งานจากแก๊สธรรมชาติ • พลังงานไฟฟ้ามคี วามสำคญั ตอ่ ชวี ติ ประจำวันการใช้ ไฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถูกวิธี ประหยัดและคุ้มค่า แล้ว ยังต้องคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ด้วย ป.4 1. จำแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใสตัวกลางโปร่งแสง • เมื่อมองสิ่งต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมากั้นแสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ จะทำให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งนั้น ๆ ชัดเจนต่างกัน ผ่านวตั ถุนั้นเป็นเกณฑโ์ ดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ จึงจำแนกวัตถทุ ี่มากั้นออกเปน็ ตัวกลางโปร่งใส ซึ่งทำ ใหม้ องเหน็ สงิ่ ต่าง ๆ ไดช้ ัดเจนตวั กลางโปร่งแสงทำให้ มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้ มองไมเ่ ห็นส่ิงต่าง ๆ น้ัน

35 ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.5 1. อธบิ ายการไดย้ ินเสยี งผ่านตัวกลางจากหลักฐานเชิง • การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็น ประจกั ษ์ ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผ่าน 2. ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบายลักษณะและการ ตัวกลางมายังหู เกิดเสียงสงู เสียงตำ่ • เสียงที่ได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียงต่างกันขึ้นกับ 3. ออกแบบการทดลองและอธิบายลักษณะและการ ความถี่ของการส่ันของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเม่ือ เกดิ เสยี งดัง เสยี งคอ่ ย แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะเกิดเสียงต่ำแต่ 4. วดั ระดบั เสียงโดยใช้เครือ่ งมอื วัดระดับเสยี ง ถา้ ส่ันด้วยความถ่ีสงู จะเกิดเสยี งสูง สว่ นเสยี งดังค่อยท่ี 5. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องระดับเสียงโดย ได้ยินขึ้นกับพลังงานการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง เสนอแนะแนวทางในการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทาง โดยเมื่อแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานมากจะเกิด เสยี ง เสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานน้อย จะเกดิ เสยี งคอ่ ย • เสียงดังมาก ๆ เปน็ อันตรายตอ่ การไดย้ นิ และเสียงที่ ก่อให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทางเสียงเดซิเบล เป็นหน่วยท่ีบอกถงึ ความดังของเสียง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ของแต่ละ • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิด สว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยจากหลกั ฐานเชิง ไฟฟ้าสายไฟฟา้ และเครื่องใชไ้ ฟฟ้าหรืออปุ กรณไ์ ฟฟา้ ประจักษ์ แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ 2. เขยี นแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย ทำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนำไฟฟา้ 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที ่เี หมาะสม ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและ ในการอธิบายวิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกันเครื่องใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่ แบบอนกุ รม เปลยี่ นพลังงานไฟฟา้ เป็นพลังงานอ่นื 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อ • เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกันโดยให้ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และการ ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีก ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั เซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรมทำให้มีพลังงาน 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที ่เี หมาะสม ไฟฟา้ เหมาะสมกบั เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ซ่ึงการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ ในการอธบิ ายการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบ แ บ บ อนุ กร ม ส า ม า ร ถนำ ไ ป ใช้ ป ร ะ โ ย ชน ์ ใ น ขนาน ชีวิตประจำวนั เชน่ การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ ในไฟฉาย 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อหลอด • การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมเม่อื ถอดหลอดไฟฟ้า ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ ดวงใดดวงหนึ่งออกทำให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือดับ ขอ้ จำกดั และการประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เมื่อถอด 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจากหลักฐานเชิง หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกหลอดไฟฟ้าที่เหลือก็ ประจักษ์ ยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถ 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงา นำไปใช้ประโยชน์ได้เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลาย มวั ดวงในบ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อ เลือกใชห้ ลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงไดต้ ามตอ้ งการ • เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉากรับ แสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถทุ ี่ทำ ให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสงบางส่วนตกลงบน ฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณที่ไม่มีแสงตกลงบนฉาก เลย

36 ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และคำนวณ • เมอ่ื สสารได้รบั หรือสญู เสียความรอ้ นอาจทำให้สสาร ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิและ เปลย่ี นอณุ หภมู ิ เปลยี่ นสถานะ หรือเปลีย่ นรปู รา่ ง เปลยี่ นสถานะโดยใช้สมการ • ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ Q = mcΔt และ Q = mL ขึ้นกับมวล ความร้อนจำเพาะ และอุณหภูมิท่ี 2. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัดอุณหภูมิของสสาร๓. เปลย่ี นไป สร้างแบบจำลองที่อธิบายการขยายตัวหรือหดตัวของ • ปริมาณความร้อนที่ทำใหส้ สารเปลีย่ นสถานะขึ้นกับ มวลและความร้อนแฝงจำเพาะ โดยขณะที่สสาร สสารเนอ่ื งจากไดร้ บั หรอื สญู เสียความรอ้ น 3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการหดและ เปลี่ยนสถานะ อุณหภมู จิ ะไม่เปลยี่ นแปลง ขยายตัวของสสารเนื่องจากความร้อนโดยวิเคราะห์ • ความร้อนทำให้สสารขยายตัวหรอื หดตวั ไดเ้ นอ่ื งจาก สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะวิธีการนำความรู้มา เมื่อสสารไดร้ บั ความร้อนจะทำใหอ้ นุภาคเคลื่อนท่เี รว็ ขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวแต่เมื่อสสารคายความรอ้ น แกป้ ญั หาในชวี ิตประจำวนั 4. วิเคราะห์สถานการณ์การถ่ายโอนความร้อนและ จะทำให้อนภุ าคเคลือ่ นที่ชา้ ลง ทำให้เกดิ การหดตวั คำนวณปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอนระหว่างสสารจน • ความรู้เรื่องการหดและขยายตัวของสสารเนื่องจาก เกดิ สมดลุ ความรอ้ นโดยใช้สมการ Qสญู เสยี = Qได้รบั ความร้อนนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้านต่าง ๆ เช่น การ 5. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการถ่ายโอนความร้อน สร้างถนน การสร้างรางรถไฟการทำเทอรม์ อมเิ ตอร์ โดยการนำความร้อน การพาความร้อนการแผ่รังสี • ความร้อนถ่ายโอนจากสสารทีม่ ีอณุ หภมู ิสงู กวา่ ไปยัง สสารที่มีอุณหภูมิต่ำกวา่ จนกระทั่งอุณหภูมิของสสาร ความรอ้ น 6. ออกแบบ เลอื กใช้ และสร้างอุปกรณ์ เพอื่ แก้ปัญหา ทั้งสองเท่ากัน สภาพที่สสารทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ากนั ในชีวิตประจำวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอน เรยี กวา่ สมดุลความรอ้ น • เมื่อมีการถ่ายโอนความร้อนจากสสารที่มีอุณหภูมิ ความรอ้ น ต่างกันจนเกิดสมดลุ ความร้อนความร้อนท่เี พ่ิมข้ึนของ สสารหนึ่งจะเท่ากับความร้อนที่ลดลงของอีกสสาร หนึง่ ซึง่ เป็นไปตามกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน • การถ่ายโอนความร้อนมี ๓ แบบ คือการนำความ รอ้ น การพาความรอ้ น และการแผ่รงั สีความรอ้ น การ นำความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัย ตัวกลาง โดยที่ตัวกลางไม่เคลื่อนที่ การพาความร้อน เป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ ตัวกลางเคลื่อนที่ไปด้วย ส่วนการแผ่รังสีความร้อน เปน็ การถา่ ยโอนความร้อนที่ไมต่ ้องอาศยั ตัวกลาง • ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนความร้อนสามารถ นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั ได้ เช่นการเลอื กใช้ วัสดุเพื่อนำมาทำภาชนะบรรจุอาหารเพื่อเก็บความ ร้อน หรือการออกแบบระบบระบายความร้อนใน อาคาร ม.2 1. วิเคราะห์สถานการณ์และคำนวณเกี่ยวกับงานและ • เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุ แล้วทำให้วัตถุเคลื่อนที่ กำลงั ที่เกดิ จากแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถโุ ดยใช้สมการ โดยแรงอยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่จะเกิดงาน W = Fs และ P=W/t จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ งานจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับขนาดของแรงและ 2. วิเคราะห์หลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย ระยะทางในแนวเดียวกับแรง จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ • งานที่ทำในหนึ่งหน่วยเวลาเรียกว่า กำลัง หลักการ ของงานนำไปอธิบายการทำงานของเคร่อื งกลอยา่ ง

37 ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 3. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของเครือ่ งกลอย่าง ง่าย ได้แก่คาน พื้นเอียง รอกเดี่ยว ลิ่มสกรู ล้อและ ง่าย โดยบอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน เพลา ซี่งนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆใน ชีวติ ประจำวัน ชวี ิตประจำวัน 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ • พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่เคลื่อนที่ อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์และพลังงานศักย์ พลังงานจลน์จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวลและ โนม้ ถ่วง อัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับ 5. แปลความหมายข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยน ตำแหนง่ ของวตั ถุ จะมีคา่ มากหรอื นอ้ ยขึน้ กับมวลและ พลังงานระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน ตำแหน่งของวัตถุ เมื่อวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วัตถุ จลน์ของวัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัวจาก จะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงพลังงานจลน์และพลังงาน ขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ ศักยโ์ นม้ ถว่ งเปน็ พลงั งานกล 6. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยนและ • ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ การถา่ ยโอนพลังงานโดยใช้กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน เป็นพลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน จลนข์ องวัตถุหน่งึ ๆ สามารถเปลีย่ นกลบั ไปมาได้ โดย ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มี ค่าคงตวั นัน่ คอื พลังงานกลของวตั ถมุ คี ่าคงตัว • พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซึ่งอาจเปลี่ยนจาก พลังงานหนึ่งเป็นอีกพลังงานหนึ่ง เช่นพลังงานกล เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าพลังงานจลน์เปลี่ยนเป็น พลังงานความร้อนพลังงานเสียง พลังงานแสง เนื่องมาจากแรงเสียดทาน พลังงานเคมีในอาหาร เปลี่ยนเปน็ พลงั งานท่ไี ปใชใ้ นการทำงานของสิง่ มีชวี ิต • นอกจากนี้พลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีก ระบบหน่งึ หรอื ได้รบั พลงั งานจากระบบอ่ืนไดเ้ ช่น การ ถ่ายโอนความร้อนระหวา่ งสสารการถ่ายโอนพลังงาน ของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงปยังผู้ฟัง ทั้งการ เปลี่ยนพลังงานและการถ่ายโอนพลังงาน พลังงาน รวมทัง้ หมดมีคา่ เท่าเดมิ ตามกฎการอนรุ ักษพ์ ลังงาน ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ • เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออก กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคำนวณปริมาณ จากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิง แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซงึ่ วัดคา่ ไดจ้ ากแอมมิเตอร์ ประจักษ์ • ค่าที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหนว่ ย 2. เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ประจุระหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความต่างศักย์ซึ่งวัด ความต่างศกั ย์ไฟฟ้า ค่าไดจ้ ากโวลตม์ ิเตอร์ 3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ในการวัดปริมาณทาง • ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีคา่ แปรผันตรงกับความต่าง ไฟฟ้า ศักย์ระหวา่ งปลายทัง้ สองของตวั นำ 4. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าใน โดยอตั ราสว่ นระหวา่ งความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรม มีคา่ คงท่ี เรยี กค่าคงทน่ี ีว้ า่ ความต้านทาน และแบบขนานจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ • ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตัวต้านทาน สายไฟฟ้า และอุปกรณไ์ ฟฟา้ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าแตล่ ะ แบบอนกุ รมและขนาน ชิ้นมีความต้านทาน ในการต่อตวั ต้านทานหลายตัว มี 6. บรรยายการทำงานของช้นิ ส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์อย่าง ทงั้ ต่อแบบอนุกรมและแบบขนาน งา่ ยในวงจรจากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้

38 ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง 7. เขียนแผนภาพและต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่าง • การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน งา่ ยในวงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานแต่ละ 8. อธิบายและคำนวณพลงั งานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ ตัวมีค่าเท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ที่คร่อมตัว W = Pt รวมทั้งคำนวณค่าไฟฟา้ ของเครื่องใช้ไฟฟ้าใน ต้านทานแตล่ ะตัว โดยกระแสไฟฟา้ ท่ีผ่านตวั ต้านทาน บา้ น แต่ละตัวมคี ่าเท่ากัน 9. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า • การตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟา้ โดยนำเสนอวธิ ีการใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าอย่างประหยดั และ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านวงจรมีค่าเท่ากับ ผลรวมของ ปลอดภยั กระแสไฟฟ้าทีผ่ ่านตวั ต้านทานแต่ละตวั โดยความต่าง 10. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดคลื่นและ ศกั ยท์ ค่ี ร่อมตวั ต้านทานแต่ละตัวมคี ่าเทา่ กัน บรรยายส่วนประกอบของคลื่น • ช้ินสว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์มีหลายชนดิ เช่น ตวั ตา้ นทาน 11. อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมคลื่น ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเกบ็ ประจุ โดยชิน้ สว่ นแต่ละ แม่เหลก็ ไฟฟา้ จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ ชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันเพื่อให้วงจรทำงานได้ตาม 12. ตระหนักถึงประโยชน์และอันตรายจากคลื่น ตอ้ งการ แม่เหล็กไฟฟ้าโดยนำเสนอการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง • ตวั ตา้ นทานทำหนา้ ท่คี วบคุมปรมิ าณกระแสไฟฟ้าใน ๆ และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน วงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านทาง ชีวิตประจำวนั เดียว ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปิด 13. ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองด้วย วงจรไฟฟ้าและควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ตัวเก็บ วิธที ี่เหมาะสมในการอธบิ ายกฎการสะท้อนของแสง ประจทุ ำหนา้ ทเี่ กบ็ และคายประจไุ ฟฟา้ 14. เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นทขี่ องแสง แสดงการเกิด • เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชิ้นส่วน ภาพจากกระจกเงา อเิ ล็กทรอนกิ ส์หลายชนดิ ที่ทำงานร่วมกันการต่อวงจร 15. อธิบายการหักเหของแสงเมื่อผ่านตัวกลางโปรง่ ใส อิเล็กทรอนิกส์โดยเลือกใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ท่ี ทแ่ี ตกตา่ งกนั และอธิบายการกระจายแสงของแสงขาว เหมาะสมตามหน้าที่ของชิ้นสว่ นน้ัน ๆ จะสามารถทำ เม่อื ผา่ นปรซิ มึ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ให้วงจรไฟฟา้ ทำงานไดต้ ามตอ้ งการ 16. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสงแสดงการเกิด • เครื่องใชไ้ ฟฟ้าจะมคี า่ กำลังไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ ภาพจากเลนส์บาง กำกับไว้ กำลังไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ วัตต์ ความต่างศกั ย์มี 17. อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง และการ หน่วยเป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจากพลังงาน ทำงานของทัศนอุปกรณ์จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งหาได้จากผลคูณของกำลังไฟฟา้ 18. เขยี นแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกดิ ในหน่วยกิโลวัตต์ กับเวลาในหน่วยชั่วโมง พลังงาน ภาพของทศั นอปุ กรณ์และเลนสต์ า ไฟฟ้ามหี น่วยเป็นกโิ ลวัตต์ ชวั่ โมง หรอื หนว่ ย 19. อธบิ ายผลของความสวา่ งทีม่ ีต่อดวงตาจากข้อมลู ท่ี • วงจรไฟฟา้ ในบ้านมีการตอ่ เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าแบบขนาน ไดจ้ ากการสืบค้น เพื่อให้ความต่างศักย์เท่ากัน การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าใน 20. วัดความสวา่ งของแสงโดยใชอ้ ุปกรณว์ ดั ความสว่าง ชวี ิตประจำวันตอ้ งเลอื กใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ท่มี ีความต่าง ของแสง ศักย์และกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน และการ 21. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เร่ือง ความสว่างของ ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่าง แสงทีม่ ีตอ่ ดวงตา โดยวเิ คราะหส์ ถานการณ์ปญั หาและ ถูกตอ้ ง ปลอดภยั และประหยัด เสนอแนะการจัดความสว่างให้เหมาะสมในการทำ • คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลาง กิจกรรมตา่ ง ๆ และไม่อาศัยตัวกลาง ในคลื่นกล พลังงานจะถูกถ่าย โอนผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไม่เคลื่อนท่ี ไปกับคลื่น คลื่นที่แผ่ออกมาจากแหล่งกำเนิดคล่ืน อย่างต่อเนื่องและมีรูปแบบที่ซ้ำกัน บรรยายได้ด้วย ความยาวคลืน่ ความถแี่ อมพลจิ ูด

39 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลางใน การเคลื่อนท่ี มีความถี่ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมาก เคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากันแต่จะ เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอื่นคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าแบ่งออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆเรียกว่า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละช่วงความถี่มี ช่อื เรยี กต่างกัน ได้แก่ คลืน่ วิทยไุ มโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลตรังสีเอกซ์และรังสี แกมมา ซงึ่ สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ • เลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น เดียว เป็นลำแสงขนานและมีความเข้มสูง นำไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการสื่อสารมกี ารใช้ เลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผ่านเส้นใยนำแสง โดย อาศัยหลักการการสะท้อนกลับหมดของแสง ด้าน การแพทย์ใชใ้ นการผ่าตดั • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนำไปใช้ ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่นถ้ามนุษย์ ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะทำให้เกดิ มะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่งเป็นคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงและสามารถทะลุผ่าน เซลล์และอวัยวะได้อาจทำลายเนื้อเยื่อหรืออาจทำให้ เสยี ชีวติ ไดเ้ มอ่ื ไดร้ ับรังสีแกมมาในปริมาณสูง • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซึ่งเป็นไป ตามกฎการสะท้อนของแสง โดยรังสีตกกระทบ เสน้ แนวฉาก รงั สสี ะทอ้ นอยูใ่ นระนาบเดยี วกนั และมมุ ตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ภาพจากกระจกเงาเกิด จากรังสีสะท้อนตัดกันหรือต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัด กัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิดภาพจริง แต่ ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนใหไ้ ปตัดกนั จะเกดิ ภาพเสมอื น • เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน เช่น อากาศและน้ำ อากาศและแกว้ จะเกิดการหกั เห หรอื อาจเกิดการสะท้อนกลบั หมดในตัวกลางท่ีแสงตก กระทบ การหกั เหของแสงผา่ นเลนสท์ ำใหเ้ กดิ ภาพที่มี ชนิดและขนาดต่าง ๆ • แสงขาวประกอบด้วยแสงสตี ่าง ๆ เมื่อแสงขาวผ่าน ปริซึมจะเกดิ การกระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆเรียกวา่ สเปกตรมั ของแสงขาว เมอ่ื เคลือ่ นทีใ่ นตัวกลางใด ๆ ท่ี ไม่ใช่อากาศ จะมีอัตราเร็วต่างกันจึงมีการหักเห ตา่ งกัน • การสะท้อนและการหักเหของแสงนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ทีเ่ กี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และ

40 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง อธิบายการทำงานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยายระ จกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์กล้องจุลทรรศน์ และ แวน่ สายตา • ในการมองวัตถุ เลนสต์ าจะถกู ปรบั โฟกสั เพ่ือใหเ้ กิด ภาพชดั ทจ่ี อตา ความบกพรอ่ งทางสายตาเช่น สายตา สั้น และสายตายาว เป็นเพราะตำแหน่งที่เกิดภาพ ไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ในการแก้ไขเพ่ือ ช่วยให้มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตา สัน้ ใชเ้ ลนสเ์ วา้ สว่ นคนสายตายาวใชเ้ ลนส์นูน • ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์ การใช้ สายตาในสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างไม่เหมาะสม จะเป็นอันตรายตอ่ ดวงตา เช่น การดูวัตถุในที่มีความ สว่างมากหรือน้อยเกินไป การจ้องดูหน้าจอภาพเป็น เวลานาน ความสวา่ งบนพื้นที่รับแสงมีหน่วยเป็นลกั ซ์ ความรู้เกี่ยวกับความสว่างสามารถนำมาใช้จัดความ สว่างให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การ จัดความสวา่ งท่เี หมาะสมสำหรับการอา่ นหนงั สือ

41 สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาว ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกาศ ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.1 1. ระบุดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้าในเวลากลางวันและ • บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวซึ่งใน กลางคนื จากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ เวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์และอาจมองเห็น 2. อธิบายสาเหตุที่มองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ในเวลา ดวงจันทร์บางเวลาในบางวันแต่ไม่สามารถมองเห็น กลางวันจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ดาว • ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ เนื่องจาก แสงอาทติ ย์สวา่ งกว่าจึงกลบแสงของดาว ส่วนในเวลา กลางคืนจะมองเห็นดาวและมองเห็นดวงจันทร์เกือบ ทุกคืน ป.2 - - ป.3 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก ของดวง • คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นทางด้าน อาทติ ย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ หนึ่งและตกทางอกี ด้านหน่ึงทุกวันหมุนเวียนเป็นแบบ 2. อธิบายสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์การขึ้นและตก รูปซำ้ ๆ ของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืนและการ • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบดวง กำหนดทิศ โดยใช้แบบจำลอง อาทิตย์ ทำให้บริเวณของโลกได้รับแสงอาทิตย์ไม่ 3. ตระหนักถึงความสำคัญของดวงอาทิตย์ โดย พร้อมกัน โลกด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะเปน็ บรรยายประโยชน์ของดวงอาทติ ยต์ อ่ สิง่ มีชีวติ กลางวันส่วนด้านตรงข้ามที่ไม่ได้รับแสงจะเป็น กลางคืน นอกจากนี้คนบนโลกจะมองเห็นดวงอาทิตย์ ปรากฏขึ้นทางด้านหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้เป็นทิศ ตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ตกทางอีกด้าน หนึ่ง ซึ่งกำหนดให้เป็นทิศตะวันตกและเมื่อให้ด้าน ขวามืออยู่ทางทิศตะวันออกด้านซ้ายมืออยู่ทางทิศ ตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนือ และด้านหลังจะ เป็นทศิ ใต้ • ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสงและ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้ ป.4 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตกของดวง • ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์ จันทร์ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็ 2. สร้างแบบจำลองที่อธิบายแบบรูปการเปลี่ยนแปลง หมุนรอบตัวเองด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเองของ รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์และพยากรณ์รูปร่าง โลกจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกในทิศทางทวน ปรากฏของดวงจนั ทร์ เข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขั้วโลกเหนือทำให้มองเห็น 3. สร้างแบบจำลองแสดงองคป์ ระกอบของระบบสุรยิ ะ ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและตก และอธบิ ายเปรยี บเทียบคาบการโคจรของดาวเคราะห์ ทางดา้ นทิศตะวนั ตกหมุนเวยี นเปน็ แบบรปู ซ้ำ ๆ ตา่ ง ๆ จากแบบจำลอง

42 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง • ดวงจนั ทร์เปน็ วตั ถุท่เี ปน็ ทรงกลม แต่รูปรา่ งของดวง จันทร์ที่มองเห็นหรือรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์บน ท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวนั โดยในแต่ละวนั ดวง จันทร์จะมีรูปร่างปรากฏเป็นเสี้ยวที่มีขนาดเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องจนเต็มดวงจากนั้นรูปร่างปรากฏของ ดวงจันทร์จะแหว่งและมีขนาดลดลงอย่างต่อเนื่องจน มองไม่เห็นดวงจันทร์ จากนั้นรูปร่างปรากฏของดวง จันทร์จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกครั้งการ เปลี่ยนแปลงเชน่ นี้เป็นแบบรปู ซำ้ กันทุกเดือน • ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวงและ บรวิ าร ซึง่ ดาวเคราะหแ์ ต่ละดวงมขี นาดและระยะหา่ ง จากดวงอาทติ ยแ์ ตกตา่ งกัน และยังประกอบดว้ ย ดาว เคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุ ขนาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ วัตถุขนาด เล็กอื่น ๆ เมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศเนื่องจากแรง โน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดเป็นดาวตกหรือผีพุ่งไต้และ อุกกาบาต ป.5 1. เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของดาวเคราะหแ์ ละดาว • ดาวท่ีมองเห็นบนท้องฟ้าอยใู่ นอวกาศซึ่งเป็นบริเวณ ฤกษจ์ ากแบบจำลอง ที่อยู่นอกบรรยากาศของโลก มีทั้งดาวฤกษ์และดาว 2. ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่งและเส้นทางการขึ้นและ เคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกำเนิดแสงจึงสามารถ ตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้า และอธิบายแบบรูป มองเห็นได้ สว่ นดาวเคราะห์ไม่ใช่แหลง่ กำเนดิ แสง แต่ เส้นทางการขึน้ และตกของกลุม่ ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าใน สามารถมองเห็นได้เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ตก รอบปี กระทบดาวเคราะห์แล้วสะท้อนเขา้ สตู่ า • การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่าง ๆ เกิดจาก จินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุม่ มีดาวฤกษ์แต่ละดวงเรยี ง กันที่ตำแหน่งคงที่ และมีเส้นทางการขึ้นและตกตาม เส้นทางเดิมทุกคืน ซึ่งจะปรากฏตำแหน่งเดิม การ สังเกตตำแหน่งและการขึ้นและตกของดาวฤกษ์ และ กลุ่มดาวฤกษ์ สามารถทำได้โดยใชแ้ ผนที่ดาว ซึ่งระบุ มุมทิศและมุมเงยที่กลุ่มดาวน้ันปรากฏ ผู้สังเกต สามารถใช้มือในการประมาณคา่ ของมมุ เงยเมอ่ื สังเกต ดาวในท้องฟ้า ป.6 1. สรา้ งแบบจำลองทอี่ ธบิ ายการเกดิ และเปรยี บเทียบ • เมื่อโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง ปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคา เดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสมทำให้ 2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และ ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายัง ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยอี วกาศมาใช้ประโยชน์ใน โลก ผสู้ งั เกตท่ีอย่บู รเิ วณเงาจะมองเห็นดวงอาทิตยม์ ืด ชวี ิตประจำวัน จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ไป เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาซึ่งมีทั้งสุริยุปราคา เตม็ ดวง สุริยุปราคาบางสว่ นและสรุ ยิ ุปราคาวงแหวน

43 ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง เดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่าน เงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไปเกิด ปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้งจันทรุปราคาเต็ม ดวง และจันทรุปราคาบางส่วน • เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของมนุษย์ ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่ากล้อง โทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่งเพื่อสำรวจ อวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศและยังคง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี อวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การพยากรณ์ อากาศ หรือการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ อุปกรณ์วัดชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวกนิรภัย ชุดกีฬา ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ • ในระบบสรุ ยิ ะมีดวงอาทติ ย์เป็นศูนย์กลางโดยมดี าว ดว้ ยแรงโน้มถ่วงจากสมการ F = (Gm1m2)/r2 เคราะห์และบริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ 2. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดฤดู และการ น้อย ดาวหาง และอื่นๆ เช่น วัตถุคอยเปอร์โคจรอยู่ เคล่ือนทปี่ รากฏของดวงอาทติ ย์ โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ และวัตถุเหล่านี้โคจรรอบ 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดข้างขึ้นข้างแรม ดวงอาทติ ยด์ ว้ ยแรงโน้มถว่ งแรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูด การเปลี่ยนแปลงเวลาการขึ้นและตกของดวงจันทร์ ระหว่างวัตถุสองวัตถุโดยเป็นสัดส่วนกับผลคูณของ และการเกิดน้ำขน้ึ น้ำลง มวลทั้งสอง และเป็นสัดส่วนผกผันกับกำลังสองของ 4. อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศและ ระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสอง แสดงได้โดยสมการ ยกตัวอย่างความก้าวหน้าของโครงการสำรวจอวกาศ F = (Gm1m2)/r2 เมื่อ F แทนความโน้มถ่วงระหว่าง จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ มวลทั้งสอง G แทนค่านิจโนม้ ถ่วงสากล m1 แทนมวล ของวตั ถุแรก m2 แทนมวลของวัตถทุ ่สี อง และ r แทน ระยะห่างระหว่างวัตถุทง้ั สอง • การที่โลกโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นลักษณะท่ีแกนโลก เอียงกับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจรทำให้ส่วน ต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกันในรอบปี เกดิ เป็นฤดกู ลางวันกลางคืนยาว ไมเ่ ท่ากนั และตำแหน่งการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เปลี่ยนไปในรอบปี ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิต• ดวง จันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์โคจรรอบดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์ครึ่งดวง ตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกได้หันส่วน สว่างมายังโลกแตกต่างกัน จึงทำให้คนบนโลกสังเกต ส่วนสว่างของดวงจันทร์แตกต่างไปในแต่ละวันเกิด เปน็ ข้างข้นึ ข้างแรม

44 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกับที่โลก หมุนรอบตัวเอง จึงทำให้เห็นดวงจันทร์ขึ้นช้าไป ประมาณวนั ละ 50 นาที • แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์กระทำต่อโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งส่งผลต่อ สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลก วันที่น้ำมีระดับการ ขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดเรียก วันน้ำเกิดส่วนวันที่ระดับ น้ำมีการขึ้นและลงน้อยเรียกวนั น้ำตาย โดยวันนำ้ เกิด น้ำตาย มคี วามสัมพันธก์ บั ขา้ งขึน้ ขา้ งแรม • เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของ มนุษย์ในปัจจุบันมากมาย มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีอวกาศ เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GNSS) การติดตามพายุสถานการณ์ไฟป่า ดาวเทียม ชว่ ยภยั แลง้ การตรวจคราบน้ำมนั ในทะเล • โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพิ่มพูน ความรู้ความเข้าใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพ มากข้ึนเปน็ ลำดับ ตวั อย่างโครงการสำรวจอวกาศเช่น การสำรวจสิ่งมีชีวิตนอกโลก การสำรวจดาวเคราะห์ นอกระบบสุริยะ การสำรวจดาวองั คารและบรวิ ารอื่น ของดวงอาทติ ย์

45 สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ สิ่งมชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.1 1. อธบิ ายลกั ษณะภายนอกของหิน จากลกั ษณะเฉพาะ • หนิ ท่อี ย่ใู นธรรมชาตมิ ลี กั ษณะภายนอกเฉพาะตวั ที่ ตวั ท่สี งั เกตได้ สงั เกตได้ เช่น สี ลวดลาย น้ำหนัก ความแข็งและเน้ือ หิน ป.2 1. ระบุส่วนประกอบของดิน และจำแนกชนิดของดิน • ดนิ ประกอบด้วยเศษหนิ ซากพชื ซากสตั ว์ผสมอยู่ใน โดยใชล้ ักษณะเน้อื ดนิ และการจบั ตัวเป็นเกณฑ์ เนื้อดิน มีอากาศและน้ำแทรกอยู่ตามช่องว่างในเนื้อ 2. อธิบายการใช้ประโยชน์จากดิน จากข้อมูลท่ี ดิน ดินจำแนกเป็น ดินร่วน ดินเหนียวและดินทราย รวบรวมได้ ตามลักษณะเนื้อดินและการจับตัวของดินซึ่งมีผลต่อ การอมุ้ นำ้ ท่แี ตกตา่ งกนั • ดินแต่ละชนิดนำไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันตาม ลกั ษณะและสมบัตขิ องดนิ ป.3 1. ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยายความสำคัญ • อากาศโดยทั่วไปไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ประกอบด้วยแก๊ส ของอากาศ และผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อ ไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ส่ิงมชี ีวติ จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ แก๊สอื่น ๆ รวมทั้งไอน้ำ และฝุ่นละออง อากาศมี 2. ตระหนักถึงความสำคัญของอากาศ โดยนำเสนอ ความสำคัญตอ่ ส่งิ มชี ีวิต หากส่วนประกอบของอากาศ แนวทางการปฏิบัติตนในการลดการเกิดมลพิษทาง ไม่เหมาะสม เนื่องจากมีแก๊สบางชนิดหรือฝุ่นละออง อากาศ ในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตชนิด 3. อธบิ ายการเกิดลมจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ต่าง ๆ จดั เป็นมลพิษทางอากาศ 4. บรรยายประโยชน์และโทษของลม จากข้อมูลท่ี • แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดการปล่อยมลพิษทาง รวบรวมได้ อากาศ เชน่ ใชพ้ าหนะร่วมกัน หรอื เลือกใชเ้ ทคโนโลยี ทล่ี ดมลพิษทางอากาศ • ลม คือ อากาศที่เคลือ่ นท่ี เกดิ จากความแตกต่างกัน ของอุณหภูมิอากาศบริเวณที่อยู่ใกล้กัน โดยอากาศ บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะลอยตัวสูงขึ้น และอากาศ บรเิ วณท่ีมีอุณหภูมิต่ำกว่าจะเคลื่อนเขา้ ไปแทนที่ • ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนใน การผลิตไฟฟ้า และนำไปใช้ประโยชน์ในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ หากลมเคลื่อนที่ด้วย ความเร็วสูงอาจทำให้เกิดอันตรายและความเสียหาย ตอ่ ชวี ิตและทรัพย์สนิ ได้ ป.4 - - ป.5 1. เปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละแหล่ง และระบุ • โลกมที ัง้ นำ้ จืดและนำ้ เคม็ ซึง่ อยู่ในแหล่งน้ำต่าง ๆที่มี ปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จาก ทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึงแม่น้ำ ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำในดิน และน้ำบาดาล น้ำ 2. ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำโดยนำเสนอแนวทางการ ทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้ำเค็มประมาณร้อยละ 97.5 ใช้น้ำอยา่ งประหยดั และการอนุรกั ษน์ ำ้ ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่น ๆ และที่เหลืออกี ประมาณร้อยละ 2.5 เปน็ นำ้ จดื

46 ช้นั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการหมุนเวียนของน้ำ ถ้าเรียงลำดับปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ท่ี ในวัฏจกั รน้ำ ธารน้ำแข็ง และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็ง 4. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง คงตัวและน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน และน้ำค้างแข็ง จากแบบจำลอง ความชน้ื ในบรรยากาศ บงึ แม่นำ้ และนำ้ ในส่งิ มชี ีวิต 5. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเหบ็ • นำ้ จืดที่มนุษยน์ ำมาใชไ้ ดม้ ีปรมิ าณน้อยมากจงึ ควรใช้ จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ นำ้ อยา่ งประหยดั และรว่ มกนั อนรุ ักษ์นำ้ • วัฏจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูปซ้ำ เดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศน้ำผิวดิน และนำ้ ใตด้ ิน โดยพฤตกิ รรมการดำรงชวี ติ ของพืชและ สัตว์สง่ ผลตอ่ วัฏจักรนำ้ • ไอน้ำในอากาศจะควบแนน่ เปน็ ละอองน้ำเล็ก ๆโดย มีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของ ดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวน มากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้ พื้นดิน เรียกว่า หมอกส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็น ละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้างถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำคา้ งกจ็ ะกลายเปน็ นำ้ ค้างแขง็ • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำที่มี สถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝนเกิดจาก ละอองนำ้ ในเมฆทีร่ วมตวั กนั จนอากาศไม่สามารถพยงุ ไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิด กลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้น จนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมาลูกเห็บเกิด จากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุ พัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่ และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้น แลว้ ตกลงมา ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนีหินตะกอน • หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และหนิ แปร และอธิบายวัฏจักรหนิ จากแบบจำลอง ประกอบด้วย แร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถ 2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของหิน จำแนกหินตามกระบวนการเกิดได้เป็น ๓ ประเภท และแร่ในชีวิตประจำวนั จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ไดแ้ ก่ หนิ อคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปร 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดซากดึกดำบรรพ์ • หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหินมี และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของซากดึกดำ ลักษณะเป็นผลึก ทั้งผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บรรพ์ บางชนิดอาจเป็นเนอ้ื แกว้ หรอื มีรพู รนุ 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม • หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก รวมทั้งอธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจาก แรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหินเน้ือ แบบจำลอง หินกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีลกั ษณะเป็นเม็ดตะกอนมีทั้งเน้อื 5. อธิบายผลของมรสมุ ต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย หยาบและเนื้อละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึด จากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ เกาะกนั เกิดจากการตกผลกึ หรอื ตกตะกอนจากน้ำ

47 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของน้ำท่วมการกัด โดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็นชั้น ๆ จึง เซาะชายฝั่ง ดนิ ถล่ม แผน่ ดินไหว สึนามิ เรยี กอกี ชอื่ ว่า หนิ ชั้น 7. ตระหนักถึงผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณี • หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิมซึ่งอาจ พิบัติภัย โดยนำเสนอแนวทางในการเฝ้าระวังและ เป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปรโดยการกระทำ ปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติ ของความร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมี เนื้อหิน ภยั ท่ีอาจเกิดในทอ้ งถน่ิ ของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียงตัวขนานกันเปน็ 8. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ แถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิดเป็นเนื้อ เรือนกระจก และผลของปรากฏการณ์เรอื นกระจกต่อ ผลกึ ทม่ี ีความแข็งมาก ส่ิงมีชวี ิต • หินในธรรมชาติทั้ง 3 ประเภท มีการเปลี่ยนแปลง 9. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน จากประเภทหนึ่งไปเป็นอกี ประเภทหนง่ึ หรือประเภท กระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลด เดิมได้ โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลงคงที่และ กจิ กรรมท่กี ่อให้เกดิ แกส๊ เรอื นกระจก ต่อเนอื่ งเปน็ วัฏจกั ร • หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่าง กัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิตประจำวันใน ลักษณะต่าง ๆ เช่น นำแร่มาทำเครื่องสำอาง ยาสีฟนั เครื่องประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำหินมา ใชใ้ นงานก่อสรา้ งต่าง ๆ เปน็ ตน้ • ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทบั รอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของ ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่ในหิน ใน ประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะการังหอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีน สตั ว์ • ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วย อธิบายสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในอดีตขณะเกิด สิ่งมชี ีวติ น้นั เชน่ หากพบซากดึกดำบรรพ์ของหอยน้ำ จืด สภาพแวดลอ้ มบริเวณน้นั อาจเคยเป็นแหล่งน้ำจืด มาก่อน และหากพบซากดึกดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ซากดึกดำบรรพ์ยังสามารถใช้ระบุอายุของ หิน และเป็นข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการของ สงิ่ มีชีวิต • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดินและพ้ืน น้ำ ร้อนและเย็นไม่เทา่ กันทำให้อุณหภูมิอากาศเหนือ พื้นดินและพื้นนำ้ แตกตา่ งกัน จึงเกิดการเคลือ่ นที่ของ อากาศจากบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำไปยังบริเวณที่มี อณุ หภมู ิสงู • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิ่นที่พบบริเวณ ชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทำให้มีลมพัด จากชายฝ่งั ไปสทู่ ะเล สว่ นลมทะเลเกดิ ในเวลากลางวนั ทำให้มีลมพัดจากทะเลเขา้ สูช่ ายฝ่งั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook