Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังใหญ่

Description: หนังใหญ่

Search

Read the Text Version

31 ทัง้ นีข้ นึ้ อย่กู บั วา่ สังคมไทยจะสามารถพัฒนาเคร่ืองมอื ในการประสานและไกลเ่ กลี่ยความแตกตา่ งนัน้ อยา่ งไร แตก่ ็คาดไดว้ า่ น่าจะยนื อยบู่ นพน้ื ฐานเดิมเปน็ หลกั เพราะฉะนน้ั จงึ ต้องทาความเข้าใจกบั รากเหง้าของ สังคมไทยใหถ้ อ่ งแท้ หากจะดารงชีวิตอยใู่ นสงั คมนอ้ี ย่างเป็นปกติสขุ .5 ทฤษฎีวัฒนธรรมตามแนวทางนักมานุษยวทิ ยา ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (Cultural Diffusion Theory) ทฤษฎีน้จี ะเนน้ ถึงกระบวนการทางประวตั ศิ าสตรท์ ใ่ี ช้อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เรียกว่า ลกั ษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ (Historical Particularism) นักมานษุ ยวทิ ยาในแนวความคิดนี้คือ ฟรานซ์ โบแอส (Franz Boas) เปน็ นกั มานุษยวทิ ยาชาวเยอรมนั ทํางานในตําแหนง่ อาจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั โคลมั เบยี ประเทศสหรฐั อเมริกา เน้นวา่ “การแพรก่ ระจายทางวัฒนธรรมเป็นกระบวนการท่มี ีลักษณะสาคัญของ วัฒนธรรมหน่งึ แพรก่ ระจายไปสูอ่ กี วฒั นธรรมหน่ึง โดยปรับเปลี่ยนให้สอดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมใหม่ ” นอกจากนั้นยังเปน็ ผู้สนับสนุนใหเ้ กิดแนวคิดท่เี ช่ือวา่ “วัฒนธรรมสามารถวัดได้ โดยนาวฒั นธรรมทีแ่ ตกตา่ งกนั มาเปรยี บเทียบกนั และพิจารณาคุณลกั ษณะทส่ี ูงกวา่ หรือดอ้ ยกว่าของแตล่ ะวัฒนธรรม แตย่ งั คงเชื่อว่า วัฒนธรรมนน้ั ไม่มวี ัฒนธรรมใดท่ดี กี ว่าหรือเลวกว่ากัน” เอช.จี. บาร์เนท (H.G. Barnett) นักมานษุ ยวิทยาชาวอเมริกันผูซ้ ่ึงสนใจศกึ ษาในประเดน็ ทเ่ี กี่ยวกับ นวตั กรรม (Innovation) ทถี่ อื ว่าเปน็ ตวั แทนจากวฒั นธรรมหนึ่งและมกี ารถ่ายทอดไปยังวัฒนธรรม อืน่ ในงาน เขียนช่อื “Innovation : The Basis of Cultural Change” (๑๙๕๓) กล่าวไว้วา่ นวัตกรรมก็คอื ความคิดหรือ พฤติกรรมหรอื สง่ิ ใดๆกต็ ามท่ีเป็นของใหม่ เพราะมนั แตกตา่ งทางดา้ นคุณภาพไปจากรปู แบบท่มี ีอยู่ บารเ์ น ทเชอ่ื ว่า “วฒั นธรรมเปลีย่ นไปเพราะนวตั กรรม แตข่ ณะเดยี วกันวัฒนธรรมบางวัฒนธรรมอาจเป็นตวั ถ่วง หรือไม่สนบั สนุนใหเ้ กิดมีนวัตกรรมก็ได้ ฉะน้ันเขาจึงเสนอว่าจาํ เปน็ ตอ้ งมวี ธิ กี ารสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ นวตั กรรมขนึ้ ใน สงั คมหรือวฒั นธรรม” เอฟเวอเรท เอม็ . โรเจอร์ (Everett M. Rogers) ผู้เขยี นงานช่อื “Diffusion of Innovations” ได้เน้น ว่า “การเปลี่ยนแปลงสังคมสว่ นใหญ่เกดิ จากการแพรก่ ระจายทางวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามามากกว่าเกิด จากการประดิษฐ์คดิ ค้นภายในสงั คม และนวัตกรรม (Innovation) ทีถ่ ่ายทอดกันนัน้ อาจเป็นความคดิ (Idea) 5 ภัทรวดี ภชู ฎาภริ มย์, คู่มอื มนษุ ยใ์ นวฒั นธรรมบันเทิงวฒั นธรรมบันเทงิ ในชาตไิ ทย : การเปล่ียนแปลงของวัฒนธรรมบันเทงิ ในสังคมกรงุ เทพฯ พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๕๐๐ ศลิ ปวฒั นธรรมฉบับพิเศษ [ออนไลน์], มกราคม ๒๕๕๐. Cs]j’muj,k http://nokcult.blogspot.com

32 ซ่ึงรบั มาในรูปสญั ลกั ษณ์ (Symbolic Adoption) ถา่ ยทอดได้ยาก หรืออาจเปน็ วตั ถุ (Object) ทร่ี ับมาใน รปู การกระทํา (Action Adoption) ซึ่งจะเหน็ ไดง้ ่ายกวา่ ” โรเจอร์ ยังได้กล่าวอีกว่า “นวตั กรรมทจี่ ะยอมรับ กันได้ง่าย ต้องมีลักษณะ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. ต้องมีประโยชน์มากกวา่ ของเดมิ (Relative Advantage) ๒. มีความสอดคล้องกบั วัฒนธรรมของสงั คมทีร่ บั (Compatibility) ๓. ต้องไมย่ ุ่งยากสลบั ซับซอ้ นมาก (Less Complexity) ๔. ควรสามารถแบ่งทดลองรบั มาปฏิบัติเปน็ คร้ังคราวได้ (Divisibility) ๕. ตอ้ งสามารถมองเห็นเขา้ ใจง่าย (Visibility) นอกจากนัน้ โรเจอร์ยงั ไดน้ าํ เสนอขนั้ ตอนการตัดสนิ ใจรับเอานวัตกรรมใหม่อีก ๕ ขัน้ ตอนไดแ้ ก่ ๑. ขน้ั ตอนในการรบั รูน้ วตั กรรม (Awareness) ๒. เกิดความสนใจในนวัตกรรมนั้นๆ (Interest) ๓. ประเมนิ คา่ นวตั กรรม (Evaluation) ๔. ทดลองใชน้ วัตกรรม (Trial) ๕. การรบั หรอื ไมร่ บั เอานวตั กรรม (Adoption or-Refection) โดยผู้รับนวัตกรรมอาจมที ั้งผู้รบั เร็วหรอื ชา้ แตกต่างกนั ไป โดยสรุปทฤษฎกี ารแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรมนีจ้ ะช่วยอธบิ ายวธิ กี ารขัน้ ตอน ของการ เผยแพร่วัฒนธรรมหนึง่ ไปสอู่ ีกวัฒนธรรมหน่ึง ซึ่งจะต้องคํานงึ ถึงข้อเหมือนและข้อต่างของวัฒนธรรม ทั้งสองเปน็ สาํ คญั แนวคิดและทฤษฎวี ฒั นธรรมอ่นื ๆ แนวคดิ ความล้าหลงั ทางวัฒนธรรม (Cultural Lag) นักคดิ ในกลุ่มนี้ เช่น วิลเลียม อ็อก- เบอรน์ (william Ogburn) นกั สงั คมวทิ ยาชาวอเมรกิ ันมองว่า “การเปลย่ี นแปลงทางวัฒนธรรมจะก่อใหเ้ กดิ ภาวะการปรบั ตวั ไม่ทนั ข้ึนเสมอ ทาให้เกดิ ความเฉ่ือยหรือความ ลา้ หลงั ทางวัฒนธรรมข้ึน” เช่น วฒั นธรรมทางวัตถทุ ําใหส้ งั คมเจริญแลว้ เชน่ การมรี ถยนต์ขับ แต่วฒั นธรรมท่ี

33 ไมใ่ ช่วัตถุ อันได้แก่ คา่ นิยม ประเพณยี ังไมป่ รับตวั กลมกลนื กับวัฒนธรรมทางวตั ถุ เพราะกลัวการเปลีย่ นแปลง ไมก่ ลา้ เปล่ียนนิสยั หรอื พฤติกรรม ขาดการศกึ ษา แมจ้ ะมรี ถยนต์แตก่ ารปฏบิ ัตติ ามกฏจร าจรยังเกดิ ไม่เทา่ กับ ปรมิ าณรถท่เี พม่ิ ข้ึน ทัง้ นผี้ วู้ ิจยั มีแนวคิดว่า กระบวนการคิดของคนโบราณยอ่ มเกดิ จากภูมปิ ญั ญาทสี่ ่ังสมมาจาก ประสบการณห์ รอื สงิ่ ทีอ่ ยรู่ อบๆตัว แตค่ นรนุ่ ต่อมามักนาํ ทฤษฏีวิธีคิดของคนสมยั ใหม่ หรอื วธิ คี ิดแบบโลก ตะวนั ตก มาครอบหรอื ตีขลมุ การสร้างสรรคง์ านศลิ ปะของศิลปนิ ในอดีต ดงั น้นั การศกึ ษาเรื่องหนงั ใหญ่ ก็ควรมีแนวทฤษฎเี ฉพาะเพื่อเป็นแนวทางการวเิ คราะหใ์ นทศิ ทาง เดยี วกนั เนอื้ เดยี วกัน และอาจเปน็ ทฤษฏที ่ีนําไปใช้ประโยชนก์ บั ศิลปการแสดงไทยแขนงอน่ื ได้อีกด้วย แนวคดิ จากคาํ ว่า “เตียว” ในการแสดงหนงั ใหญ่ เตยี ว มีท่มี าจากการแสดงหนังใหญ่ ชุดเบกิ โรง เร่ืองจับลิงหัวคํ่า ในตอนทา้ ยของเร่ือง ลิงขาวได้ เตียว ผกู มดั ลงิ ดาํ ไปใหฤ้ าษีตดั สนิ และสอนธรรมมะ คําวา่ เตยี ว มคี วามหมายถึงผูกไวร้ วมกัน หรอื มคี วามหมายเดียวกบั คําวา่ เกลยี ว สามคั คกี ลมเกลยี ว หลักใหญข่ องการแสดงหนงั ใหญ่คือรวมศาสตรศ์ ิลปห์ ลายแขนงมาไว้รวมกัน การผกู รวมกันมีอยใู่ นงาน ศลิ ปะและวิถชี วี ติ ไทย อาทิ ผกู รวมเพลงไวด้ ว้ ยกัน เรยี กวา่ เพลงเร่ือง ผกู หนงั สอื ไว้ใหเ้ ป็นหมวกหมู่ ก็เรียกว่า หนงั สอื ผูก เปน็ ต้น หนงั ใหญไ่ ม่ได้ผกู เฉพาะงานศิลป์ แตย่ งั ผูกคนเลน่ ที่มคี วามรคู้ วามสามารถต่างกนั ให้มารวมกนั ผูก ลทั ธคิ วามเช่อื ผีพรามหมณ์พทุ ธอยู่ดว้ ยกัน แกน่ ทีเ่ ชอ่ื มกนั ไวค้ ือ ความดี ความศรทั ธา มีความเช่ือศรัทธาตอ่ ผมู้ ี พระคณุ ครูบาอาจารย์ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ผกู ปรัชญาสิ่งที่มองเห็นและมองไมเ่ ห็นไวด้ ว้ ยกัน “เม่ือมแี สง แหง่ ปญั ญายอ่ มมองเหน็ ตัวตนผา่ นเงา”

34 เอกสารอ้างอิงการวิจยั กนกนวรรณ สวุ รรณวัฒนา. (๒๕๒๗). หนังใหญว่ ัดขนอนจังหวัดราชบุรี. (อดั สาํ เนา). เกร่ิน ศลิ ปเพ็ชร์. สมุดภาพเรอ่ื งหนงั ใหญ่ ชุดพระนครไหว. กรงุ เทพมหานคร: สาํ นักพมิ พเ์ มืองโบราณ, ๒๕๒๖. UU ฉววี รรณ ศริ ิ. (๒๕๒๙). สาเหตุของการเสือ่ มนิยมของหนงั ใหญ่วดั ขนอน : กรณศี กึ ษาหนงั ใหญ่วดั ขนอน. สารนพิ นธ์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปกร. นวลพรรณ บตุ รธรรม และคณะ. (๒๕๔๙). หนังใหญ่วัดบ้านดอน. กรุงเทพมหานคร: ศรบี ุญอุตสาหกรรมการพิมพ์ ปญั ญา นิตยสุวรรณ. (๒๕๒๗ เมษายน-มถิ นุ ายน). หนงั ใหญ่จะไม่สูญ. วารสารไทย ๑๔ (๕๔) : หน้า ๓๒ - ๓๗ ผะอบ โปษะกฤษณะ, พันตรีหญิง. (๒๕๒๐). วรรณกรรมประกอบการเล่นหนงั ใหญ่ วดั ขนอน,วิจัย.กรงุ เทพมหานคร พระนชุ ิต วชริ วฑุ โฒ. หนงั ใหญ่วดั ขนอน:มรดกวฒั นธรรม ล้าํ ค่าของเมอื งราชบรุ ี.ราชบุรี:ธรรมรักษ์การพิมพ,์ ๒๕๔๑. UU ศนู ย์วัฒนธรรมจังหวดั สิงห์บุร.ี (๒๕๓๗). ศลิ ปะบนผืนหนังใหญว่ ดั สวา่ งอารมณ์. กรงุ เทพฯ:นิติกุลการพิมพ์. สรกจิ โสภติ กลุ . (๒๕๔๒). หนงั ใหญ่ : ความเปน็ มา การสร้าง การแสดงและสภาพปจ๎ จุบัน. กรงุ เทพฯ สจุ ิตรา มาถาวร. (๒๕๔๑). หนังใหญ่และหนงั ตะลงุ . กรงุ เทพฯ : คอมแมคการพมิ พ์ สุภติ ร อนศุ าสน.์ (๒๕๒๘). หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์. ลพบุรี: โรงพิมพห์ ัตถโกศล. อนกุ ลุ โรจนสขุ สมบูรณ์. (๒๕๔๑). การเชดิ หนงั ใหญว่ ดั สว่างอารมณ์. วทิ ยานพิ นธ์ฯ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย อวยพร เกิดชว่ ย. บันทกึ เร่อื งและชดุ หนงั ใหญ่ วัดขนอน ตาํ บลสร้อยฟาู จงั หวัดราชบุรี , ม.ป.ป. UU บทความออนไลน์และข่าวออนไลน์  พิพิธภณั ฑ์หนงั ใหญ่วัดพลบั พลาชัย  การอนรุ กั ษห์ นังใหญว่ ัดตะเคียน ๑๕๗ ตวั ไปเกบ็ รักษาไวท้ ่พี พิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตสิ มเดจ็ พระนารายณ์

35  หนงั ใหญ่ ในหนังสอื ลักษณะไทย HH  มะกนั คืนหนังใหญร่ ามเกียรติ์ ๒๐๐ ปี-ขา่ ว นสพ.คมชดั ลกึ  หนงั ใหญ่๒จว.ปลุกคนไทยรักษามรดกชาติ-ข่าว  ชาวสิงห์บุรี หว่ัน เขมร ขโมย \"หนังใหญ่\" จดทะเบียน  ราชบุรี เปดิ ตํานานหนังใหญว่ ดั ขนอน สบื ทอดจากรชั กาลท่ี ๕  มะกนั คนื หนังใหญ่อายุกวา่ ๒๐๐ปี กลบั ไทย-ข่าว นสพ.เดลนิ วิ ส์  อเมรกิ าคนื หนังใหญ่ “ชุดรามเกียรติ์” สมยั ร.๖ -ข่าว นสพ.ผจู้ ดั การ  จัดโขน-หนงั ใหญ่ ถวายพระราชพิธี HH  จดั โชว์'หนงั ใหญ่'สวยสดุ ของไทย HH  เกษมบัณฑิต ศึกษาวัฒนธรรมและเรยี นรู้การแสดงหนงั ใหญ่ จาก คุณครสู มพร เกตแุ กว้  รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงวฒั นธรรมเปน็ ประธานในงานราตรีการกศุ ล “สบื สานศลิ ปะหนังใหญ่” ฯลฯ ๑.๕ คําถามในการดําเนนิ โครงการ คําถามหลัก  ชุมชนใดบ้างท่เี คยมีคณะหนงั ใหญ่ มปี ระวัติความเป็นมาอย่างไร  หนังใหญม่ ีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมอยา่ งไร และมีความเชอื่ มโยงเก่ยี วขอ้ งกันหรือไม่ คําถามย่อย  มขี นบ ความเช่ือ อะไรบ้างในการแสดงหนังใหญ่  คุณคา่ ของการแสดงหนังใหญ่มีอะไรอกี นอกจากคณุ ค่าทางศิลปะ  ตัวหนงั ใหญข่ องแตล่ ะชุมชนได้ถูกเคลอ่ื นยา้ ยไปไหน อย่างไร

36 ๑.๖ ชุมชนท่เี กี่ยวขอ้ ง โดยกําหนดชุมชน และพนื้ ท่ี ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั หนังใหญ่ ก่อนการสํารวจภาคสนาม ตามขอ้ มูลอ้างองิ และ คน้ พบเบือ้ งตน้ จากเอกสารและคําบอกเล่าใน ๙ จงั หวดั ๓๔ ชุมชนดังนี้ กรุงเทพมหานคร ๑.วัดอินทารามวรวิหาร (บางยเ่ี รือนอก) ๒.สาํ นกั การสังคตี กรมศิลปากร ๓.พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร ๔.คลงั พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ ๕.ศูนย์วัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑติ พระนครศรีอยธุ ยา ๖.วัดกษัตราธิราช อ.พระนครศรีอยุธยา ๗.วดั พระญาติการาม อ.พระนครศรีอยุธยา ๘.วดั ตะกู อ.บางบาล ๙.วดั โคกเสือ อ.เสนา ๑๐.คณะหนังใหญค่ รูวน เกิดผล อ.บางบาล ๑๑.แหล่งค้นพบพระปรุหนงั อยธุ ยา (ศลิ ปะเทียบเคียงหนังใหญ่) ลพบรุ ี ๑๒.วัดตะเคยี น อ.เมืองลพบรุ ี ๑๓.วดั สําราญ อ.เมืองลพบรุ ี ๑๔.พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สมเดจ็ พระนารายณ์ ๑๕.บา้ นดาบโก่งธนู อ.เมือง

37 สงิ ห์บรุ ี ๑๖.วดั ตกึ ราชา อ.เมอื ง ๑๗.วัดสวา่ งอารมณ์ อ.เมอื ง ๑๘.วัดประศกุ อ.อนิ ทร์บุรี ๑๙.วดั เชิดหนัง อ.อินทร์บรุ ี ๒๐.พิพธิ ภัณฑ์แห่งชาติอินทรบ์ ุรี(วดั โบสถ์ พระอารามหลวง) อ่างทอง ๒๑.วัดบ้านอฐิ อ.เมือง ๒๒.ชมุ ชนหนังใหญ่เมอื งอา่ งทอง (ลกู หลานศลิ ปนิ หนงั ใหญ่ ครคู รา้ ม,ครคู ล้าย,ครกู รด, ครลู ะม่อม,ครลู ํา่ ไตรนาวี,แมส่ ังวาลย์ ช้างงาม) ๒๓.พิพธิ ภัณฑ์หนงั ใหญ่ ครวู ีระ มีเหมอื น อ.สามโก้ ๒๔.บา้ นเอกราช ปาุ โมก (แหล่งซื้อหนงั ) สมุทรสงคราม ๒๕.วัดบางนอ้ ย อ.บางคนฑี ๒๖.บา้ นครูสงดั ใจพรหม อ.บางคนฑี ๒๗.วัดภุมรนิ ทร์กุฎที อง อ.อัมพวา ๒๘.วัดราษฏรบ์ รู ณะ อ.อมั พวา ๒๙.ชมุ ชนช่างหนงั ใหญ่ครูดี (บิดาหมน่ื ไพเราะพจมาน) ๓๐.บา้ นพญาซอ ครูสมพร เกตุแกว้ อ.บางคนฑี

38 ราชบุรี ๓๑.วดั ขนอน อ.โพธาราม เพชรบรุ ี ๓๒.วัดพลบั พลาชัย อ.เมือง ระยอง ๓๓.วัดบ้านดอน อ.เมือง ๓๔.วัดจันทอดุ ม (วดั เก๋ง) อ.เมอื ง หลงั จากสาํ รวจภาคสนาม มกี ารปรับหมวดหมชู่ ุมชนใหม่ พน้ื ทีห่ ลกั พ้นื ที่รอง ทีม่ เี รือ่ งราวเกีย่ วข้องใน แตล่ ะจังหวดั และตามสภาพความเป็นจริง ท้งั น้เี พอื่ งา่ ยต่อการศกึ ษารวบรว ม โดยยงั คงพ้นื ท่ีไว้ท่ี ๙ จังหวัด ในช่วงเวลาต้งั แต่ต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๕๗)เช่นเดิม ดังน้ี กรงุ เทพมหานคร  หนังใหญ่พระนคร6 ประกอบด้วย o หนังใหญ่วงั หลวง-วงั หน้า “จากกรมมหรสพสู่กรมศิลปากร” o สลกั หนิ ออ่ นจากตัวหนงั อยุธยา ๑๕๒ ภาพ รอบพระอุโบสถวดั พระเชตุพนฯ  หนังใหญม่ หาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑิต พระนครศรอี ยุธยา  หนงั ใหญ่วัดตะกู บางบาล  หนังใหญ่ครวู น บางบาล  หนงั ใหญว่ ัดพระญาติการาม  หนังใหญว่ ัดกษตั ราธิราชวรวิหาร  ครูแข พยัฆคิน  ครูปุน เวชาคม  หม่อมราชวงศจ์ รูญศกั ดิ์ ศขุ สวัสดิ 6 ชื่อเฉพาะงานวิจยั ตงั้ ขนึ ้ มาใหมเ่ พ่อื ใช้กาหนดขอบเขตในการศกึ ษาหนงั ใหญ่ในกรุงเทพมหานคร

39 อา่ งทอง  หนังใหญว่ ดั บ้านอฐิ  พพิ ธิ ภัณฑ์-ครวู รี ะ มเี หมอื น สงิ หบ์ ุรี  หนังใหญว่ ัดสวา่ งอารมณ์ และพื้นท่ีรอง ท่ีมเี ร่ืองราวเกี่ยวขอ้ งอาทิ วัดเชดิ หนงั , วัดประศกุ , พพิ ิธภัณฑส์ ถานแหง่ ชาติอินทรบ์ ุรี, วดั ตึกฯ ลพบุรี  หนังใหญว่ ดั โบสถ์ โกง่ ธนู  หนงั ใหญ่วัดตะเคียน  หนงั ใหญว่ ัดสาํ ราญ และพน้ื ทร่ี อง ท่ีมีเรื่องราวเกี่ยวขอ้ งอาทิ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเดจ็ นารายณ์มหาราช ราชบุรี  หนงั ใหญว่ ดั ขนอน โพธาราม และพน้ื ทรี่ อง วดั คงคาราม โพธาราม สมทุ รสงคราม  หนังใหญ่วดั บางน้อย บางคนฑี  พิพิธภัณฑ์,ครูสงดั ใจพรหม  หนงั ใหญ่ครดู ี, วัดราษฎร์บรู ณะ  ครสู มพร เกตแุ ก้ว และพื้นท่ีรอง ทมี่ ีเรอ่ื งราวเกย่ี วข้องอาทิ วดั ภมุ รินทร์กฏุ ีทอง, อุทยานรัชกาลที่ ๒ เพชรบุรี  หนังใหญว่ ัดพลบั พลาชยั ระยอง  หนงั ใหญ่วัดบา้ นดอน และพื้นที่รอง ที่มีเรอื่ งราวเกยี่ วข้องอาทิ วัดเกง๋ หรือวัดจนั ทรอุดม

40 ๑.๗ การกระจายตัวของมรดกภมู ิป๎ญญาหนงั ใหญ่ แบ่งการแสดงหนังใหญ่ การกระจายตวั ตามระดับสถานภาพทางสงั คมและพน้ื ที่ชมุ ชนดงั น้ี ๑.๗.๑ จากมหรสพหลวง สู่มหรสพราษฎร์ จากหลกั ฐานท่ปี รากฏน้ัน หนงั ใหญเ่ ริ่มตน้ จากการเป็นมหรสพหลวงต้งั แต่ครงั้ อยธุ ยา มาจนถึง รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ สรา้ งสรรคถ์ ่ายทอดเรียนรู้และจัดแสดงโดยความดูแลของหลวงหรือราชสาํ นกั ทีอยใู่ นรา ชปู ภมั ป์ของพระมหาษัตรยิ ์ ต่อมาจงึ ได้ถ่ายทอดไปสชู่ มุ ชนชาวบ้านหรือราษฎร ภายใตก้ ารอุปภัมภ์ของวัดทีม่ ี สมภารเจ้าอาวาสเปน็ ศนู ย์รวมศรทั ธาบารมี และบา้ น ของคหบดีผู้มฐี านะกาํ ลงั คน หรือบา้ นศลิ ปนิ มโี ตโ้ ผหรือ หวั หน้าคณะท่เี ข้าใจท้ังศาสตรแ์ ละศิลป์ คือรู้ระบบการจัดการคนข้าวของและศิลปค์ ือรู้จักกระบวนการแสดง หนงั ใหญ่ได้เป็นอย่างดี แมห้ นงั ใหญ่ ได้กระจายตัวมาสชู่ ุมชนชาวบ้าน แต่หากมีงานพระราชพธิ ี สาํ คญั ใด หนงั ใหญร่ าษฎ์ก็จะ ได้ไปร่วมการแสดงในงานมหรสพหลวงดว้ ย จงึ เปน็ กระจายออกมาเพอื่ กลบั ไปเกื้อหนุน พึ่งพาเกอ้ื กลู กนั ๑.๗.๒ หนงั ใหญร่ าษฏร์ กระจายในชมุ ชนจงั หวัดภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ด้วยศูนย์กลางการปกครองหรอื เมอื งหลวงของประเทศไทยครัง้ อยธุ ยาจนถึงรตั นโกสินทร์ต้งั อยู่บรเิ วณ ภาคกลางตอนลา่ ง ชมุ ชนหนงั ใหญ่ของชาวบ้าน จึงอยู่ในบรเิ วณนี้เกอื บท้งั หมด ได้แก่จงั หวดั กรงุ เทพมหานคร พระนครศอี ยุธยา อา่ งทอง สงิ ห์บรุ ี ลพบรุ ี สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี และระยอง เป็นท่ีนา่ สงั เกตว่าถงึ แม้ จงั หวัดระยองจังหวดั เดยี วที่ไมไ่ ดอ้ ยู่ในบรเิ วณภาคกลางตอนลา่ ง แต่มีชมุ ชนหนังใหญ่ที่สืบทอดมาเปน็ ระยะ เป็นร้อยปี เมือ่ ศกึ ษาประวตั จิ ะพบวา่ ทัง้ วธิ กี ารแสดงและตัวหนงั ไดร้ ับสืบทอดถ่ายทอดมาจากอยุธยา

41 บทท่ี ๒ ประวตั คิ วามเป็นมาหนังใหญ่ ข้อมลู พน้ื ฐาน สภาพทว่ั ไปทางสังคมและวัฒนธรรม แผนภมู ิ ๒.๑ บริบทหนังใหญ่ ตามแนวคิด “เตียว” ของผู้วิจัย ศลิ ปการแสดงหนังใหญ่ จากในอดีตสง่ ผลมาถึงปัจจบุ ันนนั้ ถูกสลักเสลาขัดเกลาจากสภาพสงั คมและ วัฒนธรรมแบบไทยๆ ทม่ี ีความโดดเดน่ ในการผูกมัดทุกสง่ิ ทกุ อย่างกันจนเปน็ เกลยี ว กลม หรอื ในทีน่ ้จี ะเรยี กวา่ “เตยี ว”7 ซ่งึ เป็นหลกั ปักแนน่ ใหเ้ กิดความสามัคคีปรองดอง หากจะสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะขึ้นมากจ็ ะทาํ ไดอ้ ย่าง ลงตัวคอื ไดส้ าระบนั เทงิ ควบคู่กนั 7 เตียว หรือ เกลียว หมายถงึ การผกู มดั มาจากการแสดงหนงั ใหญช่ ว่ งเบกิ โรง ตอนจบั ลิงหวั ค่า ลิงขาวจบั ลิงดา(มดั )เตยี วไปให้พระฤาษี

42 ดว้ ยพนื้ ฐานสงั คมวถิ เี กษตร ท่อี าศยั ปจั จยั ธรรมชาติอาทิ ดินนา้ํ ลมฟูาอากาศ แสงอาทิตย์ เป็นตน้ ปลกู พชื เลยี้ งสตั ว์แบบพอเพยี ง ชว่ ยกนั เพาะปลูกดูแลและเก็บเก่ียวพืชผลตามฤดูกาล เมอื่ ได้ผลิตผลก็เผื่อแผ่ แบ่งปนั แลกเปลี่ยนซือ้ ขาย เปน็ บ้านครอบครวั ใหญม่ ีทั้งปุูย่าตายาย ลงุ ปูาน้าอา อยู่ดว้ ยกนั อย่างอบอุ่น เมื่อ ยามวา่ งจากการงานกร็ วมตัวกันสรา้ งสรรค์งานกศุ ล เหนอ่ื ยหนกั พกั เม่อื ยรอ้ งราํ ทาํ เพลง ดูมหรสพตามโอกาส ศูนยร์ วมใจชุมชนทใี่ กลส้ ุดคอื วัด มสี มภารเจา้ อาวาสเป็นศนู ยรวมศรัทธา วดั จงึ เป็น เหมือนตักศลิ าให้ ความรู้ทางโลกทางธรรม เป็นที่อาศยั คลายรอ้ นกายร้อนใจ บําบดั โรคร้ายภายในและภายนอก พ้นื ทีพ่ ธิ กี รรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมถึงการละเลน่ ประเพณี และมหรสพ รว่ มทุกขร์ ว่ มสขุ เสมอื นเปน็ ผา้ ผืนเดียวกับบา้ น ชมุ ชน และเมื่อชมุ ชนหลายๆ แหง่ มีความเหมอื นกนั เชอ่ื มโยงสมั พันธก์ นั จนรวมตัวกนั เป็นปกึ แผน่ ขนาดใหญ่ เป็นสถาบันชาติ ที่อยู่เคยี งขา้ งสถาบนั ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ แม้คนไทยส่วนใหญ่จะนับถอื ศาสนาพุทธ แต่มิใช่พทุ ธเครง่ ครดั ปฏิบตั ิ ยงั มวี ิถีความเชื่อดั้ งเดิมอื่นสืบ เนือ่ งกันมา อย่างเรือ่ ง “ผ”ี ผบี รรพบุรุษปุูย่าตายาย ผเี จา้ ที่ เจา้ ปุาเจา้ เขา ผีครูมนุษย์ ผคี รูเทพฯลฯ รวมถึงยัง ประกอบพธิ ีกรรม เชือ่ โหราศาสตรฯ์ และเทพเจา้ อยา่ ง พระพรหม พระอศิ วร พระนารายณฯ์ ลฯแบบพราหมณ์ ท่ีสว่ นใหญ่ไดแ้ พรก่ ระจายมาจากวงั คตคิ วามเช่อื พระราชพิธี ในสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้คตินิยมวา่ พระมหากษตั ริย์เปน็ เสมือนพระนารายณ์อวตารลงมาดบั เขญ็ เช่นเดยี วกบั การอวตารของพระราม ในวรรณกรรมเร่ืองรามเกยี รติ์ หนังใหญ่ ไม่ได้เป็นแค่ศลิ ปะการแสดงท่ยี ิ่งใหญ่ หรือมหรสพหลวงในพระราชูปถั มป์ของ พระมหากษัตรยิ เ์ ท่านน้ั แตห่ นังใหญ่ยงั เป็นเคร่ืองมือสือ่ สารของพระเจ้าแผน่ ดินไปสูพ่ สกนกิ ร และเป็นมหรสพ อศั จรรยท์ ผ่ี คู้ นทุกชมุ ชน ทกุ สถาบนั ไดช้ ว่ ยกนั สร้างสรรคแ์ ละช่นื ชมร่วมกันต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน หนงั ใหญ่มหรสพหลวงในวัง เปน็ ราชปู โภค ราชปู ถมั ป์พระเจา้ แผ่นดนิ หนังใหญเ่ ปน็ มหรสพหลวงท่ีอยู่ใต้ราชูปถัมป์ และเป็นราชปู โภคของพระมหากษตั ริย์มาอยา่ งยาวนาน มพี ราหมณ์ ราชครเู ปน็ เสมือนทป่ี รกึ ษา มีทหารเหลา่ สงั กัดกรมวงั กรมมหาดเลก็ หรือกรมมหรสพ มีหนา้ ทีใ่ น การแสดงหนังใหญ่ โดยมีจดุ มงุ่ หมายหลักคือเปน็ มหรสพทแ่ี สดง ยอยศเฉลมิ พระเกียรต์ิของพระเจ้าแผน่ ดิน ใน ฐานะสมมุติเทพ เฉกเชน่ เดียวกับ พระนารายณอ์ วตารมาเกดิ เป็นพระราม ในเรื่องรามเกยี รติ์ แตย่ งั มนี ยั ยะ สําคญั หลายประการที่แฝงอยคู่ อื หนงั ใหญเ่ ปน็ เคร่ืองมือสอ่ื สาร สาระบนั เทิงของพระราชากบั พสกนกิ ร และ เป็นการฝกึ ซอ้ มกําลงั พลใหเ้ กดิ ความสามัคคแี ละเรยี นร้วู ิชาพชิ ยั สงครามจากการแสดงสรู้ บจบั ตวั หนงั ใหญ่ สมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช เปน็ ยุคท่หี นงั ใหญ่เฟอื่ งฟู พระองคท์ า่ นมพี ระราชประสงค์ เป็นพุทธ บูชา พระราชนพิ นธ์เรอ่ื งสมุทรโฆษคําฉันท์ขึน้ มาแสดงหนังใหญ่ นัยวา่ เปน็ เครอื่ งมอื สอ่ื สารทางการเมอื งกับ

43 พสกนิกรว่าพระองค์ท่านมเี ลอื่ มใสในบวรพุทธศาสนาอยา่ งเตม็ เป่ียม ล่วงมาถงึ ปจั จบุ นั ก็ยังไม่มผี ู้ใดสานตอ่ ความตัง้ ใจยง่ิ ใหญ่ของพระองคท์ า่ น บทความเร่ืองหนังใหญ่ของ เจนจริ า เบญจพงศ์ กล่าวว่า หนงั ใหญม่ ักเลน่ เรอื่ ง รามเกียรติ์ และมีความสัมพนั ธ์ใกล้ชดิ กับ โขน บางท่านวา่ เป็ นตน้ กําเนิดของโขน เพราะเมอ่ื ก่อนโขนเลน่ กลางแจ้งและมี จอหนงั อยู่ด้านหลัง เป็นขนบธรรมเนยี ม ดงั โบราณเรียก “โขนติดหนัง” คนเต้นหนงั ปกตอิ ยู่หลงั จอจงึ เกิดเงา ต่อมาราชสํานักคิดใหค้ นเตน้ ออกมาเต้นหน้าจอ แล้วเรมิ่ แตง่ ตัวให้เหมอื นตัวหนัง ทาํ ท่ารําต่อสผู้ ิดธรรมชาติ เลียนแบบหนัง แตโ่ ขนไม่ไดม้ าจากหนังเพียงอยา่ งเดยี ว เพราะพัฒนามาจากการละเล่นต่างๆ ทม่ี อี ยูก่ อ่ น รวมเข้าด้วยกนั เช่น ระบาํ ราํ เต้น ชกั นาคดกึ ดําบรรพ์ ฯลฯ8 หนงั ใหญ่อุปรากรสอนธรรม ท่สี มภารวัดอุปถมั ป์ เม่ือหนังใหญ่มหรสพหลวงในร้วั ในวังได้แพร่กระจายมาถงึ สู่วัด ภายให้การอปุ ถมั ป์สนับสนนุ ของ สมภารหรือเจ้าอาวาส ทุกอยา่ งดแู ทบไม่แตกตา่ งจากเดมิ มแี ตก่ ารเพ่ิมเตมิ แทรกธรรมมะเข้าไปในกระบวนการ สร้างสรรคแ์ ละการแสดงอยา่ งแยบคาย หลวงพ่อฤทธิ์ อดตี เจ้าอาวาสวัดพลบั พลาชัย เพชรบุรี เป็นทง้ั ครชู ่าง เมืองเพชรและเป็นเกจอิ าจารยท์ มี่ ีชอ่ื เสยี งโดง่ ดังมากในชว่ งสมัยรัชกาลท่ี ๕ ได้ใชง้ านสลกั ตวั หนังในการสอน ธรรมแกศ่ ษิ ย์ ฝึกใหใ้ ช้ความเพียร ความอดทน สมาธิ แมแ้ ตก่ ารตอกหนังแตล่ ะครั้งให้กาํ หนดจติ ภาวนา งานตัว หนังทสี่ าํ เรจ็ จงึ ไม่ใชค่ วามสวยงามที่เหน็ ด้วยตา แตเ่ ปน็ เพราะชา่ งได้สลักหรือตอกจติ วญิ ญาณตรึงไวก้ ับตัวหนัง ยามเมอื่ หนงั โลดแลน่ จึงมีแสงเงาภายในท่ลี อดเขา้ ไปสรา้ งความอิ่มเอิบกลางใจผูช้ ม เหมอื นกบั วา่ ตวั หนัง เคล่ือนไหวอย่างมชี ีวิต มคี วามขลงั และได้ส่งต่อพลงั ไปสูว่ รรณกรรมเรือ่ งสั้น สดี า ของครมู านสั จรรยงค์ ราชา เรื่องส้ันที่มีบา้ นติดกบั วดั พลับพลาชัย ไมต่ ่างจากการการสอนธรรมมะผา่ นตวั ละครหนังใหญข่ องหลวงพอ่ เรอื ง อดตี เจา้ อาวาสวดั สวา่ ง อารมณ์ สงิ ห์บุรี ที่ครพู ศิ ภมู ิจติ รมนัส อดีตรกั ษาการประธานชมรมอนุรักษห์ นังใหญ่ วัดสว่างอารมณ์ (เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗) กล่าวว่า “เสน่หข์ องหนงั ใหญ่คอื เป็นอุปกรณ์กงึ่ พธิ กี รรม เพราะการชมหรือดหู นังใหญน่ ี้ มอง ลกั ษณะไปถงึ คุณธรรม จริยธรรม ศลี ธรรม อิทธิบาท ๔ เช่น ฉนั ทะ คอื พระราม วริ ิยะ คอื พระลักษณ์ จิตตะ คอื หนุมาน วิมังสา คือ พเิ ภก ตัวละครเหล่าน้มี คี ณุ ธรรมอยู่ จะทํางานอะไรกส็ าํ เร็จ น่นั ก็สอดคลอ้ งกับเจตนา ของหลวงปเุู รืองที่ว่าตอ้ งการให้หนังใหญ่เปน็ อุปกรณใ์ นการสอนธรรมะ”9 8 เจนจิรา เบญจพงศ์, หนงั ใหญ่ สุวรรณภมู สิ โมสร สยามรัฐสัปดาห์วจิ ารณ์ ฉบบั วันท่ี ๑๙ – ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔. แหล่งทม่ี า http://www.sujitwongthes.com

44 สาํ หรบั ในประเทศอนิ เดียนนั้ เรื่องของพระรามไม่ได้เป็นเพยี งนิทานที่เลา่ กันฟงั สนกุ ๆ หรอื ไวใ้ ชเ่ ลน่ แสดงโขนละครอยา่ งในเมืองไทยเท่าน้นั แต่ถือกนั วา่ เป็นเรอ่ื งศกั ดส์ิ ิทธิ์ทางศาสนาเป็นเรอื่ งของพระเป็นเจา้ อวตารมาปราบทุกเข็ญ มหาตมะคานธี (M.K.Gandhi) ผกู้ อบกู้เอกราชของอนิ เดยี กอ่ นสน้ิ ชพี ก็เอ่ยพระนาม ของพระรามพระเปน็ เจา้ เป็นคาํ สุดท้ายกอ่ นสนิ้ ใจ ในเรื่องรามายณะพระรามคอื พระวิษณอุ วตารปางท่ี ๗ เปน็ เรอ่ื งราวท่เี ป็นแบบอยา่ งทางศลี ธรรมการประพฤติปฏบิ ัติในสงั คม คือ พระรามเปน็ แบบอยา่ งของลูกท่ีดี สามี ท่ีดี พีช่ ายทีด่ ี เพอ่ื นท่ดี ี สว่ นสีดาเป็นภรรยาที่ดี และหนุมานเป็นผรู้ บั ใช้ทด่ี ซี อื่ สตั ย์ เป็นต้น10 ตาราง ๒.๑ ตัวละครหนังใหญ่ อปุ กรณส์ อนธรรมะ11 ความหมายทางธรรม ฉนั ทะ ลาํ ดับ ตวั ละคร ในเรอ่ื งรามเกียรติ์ วริ ิยะ ๑ พระราม จติ ตะ ใจ วญิ ญาณ ๒ พระลกั ษณ์ วิมงั สา ๓ วานรทัง้ หลาย รอยไถหรือนพิ พาน ๔ พิเภก กเิ ลส ๕ สดี าหรอื สิตะ คณุ งามความดี ๖ ยกั ษ์ท้งั หลาย ความช่วั ความเลวทัง้ หมาย ๗ ลิงขาว ๘ ลิงดาํ ตัวหนงั เมอื่ วางอยกู่ ับที่ เมือ่ ไมม่ ีแสงไฟ ดูคลา้ ยๆกบั กองขยะทัว่ ไป แต่เมอ่ื ไดร้ ับแสงไฟแสงใต้ แสง เทยี นหรือแสงสว่าง จะทาํ ใหต้ ัวหนังห รือแสงสใี นตวั หนังชัดเจนและเดน่ ขึ้น เหมอื นกับคนทไ่ี ด้รับแสงแหง่ ธรรม นน้ั 12 พลตรี ม .ร.ว. ศกึ ฤทธ์ิ ปราโมช ไดส้ ะทอ้ นมมุ มองเกี่ยวกับพระสงฆ์ กับศลิ ปะไว้วา่ “..ความจรงิ ศิลปะ ของไทยนั้น เป็นศิลปะในทางศาสนาเสยี เป็นส่วนใหญ่ ไมว่ า่ จะเปน็ ด้านวจิ ิตรศิลป ประตมิ ากรรม ภาพเขี ยน ภาพป้นั แกะสลัก เหลา่ นี้ลว้ นศลิ ปะทางศาสนาทง้ั สน้ิ เพราะฉะน้ันพระจึงเป็นผสู้ รา้ งและรกั ษาศลิ ปะของไทย 10เอกสารประกอบการเรยี นการสอน หลักสตู รท้องถ่นิ , หนงั ใหญ่วดั สวา่ งอารมณ์ องคค์ วามรู้หลกั จากการดหู นงั ใหญ,่ ม.ป.ป. หน้า ๑๒ 11 เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ 12.

45 ตลอดมา ศิลปนิ ท่มี ชี ื่อร้จู กั กันมาถึงทุกวนั นี้ เช่น ขรวั อนิ โข่ง13 พระอาจารยน์ าค กเ็ ปน็ พระท้ังส้ิน จงึ เหน็ ไดว้ า่ ในสมัยหนง่ึ ในเมืองไทยเรา พระเป็นผสู รา้ งรักษาศลิ ปะ แลว้ วนั ดีคนื ดีพระไทยเรากห็ มดศลิ ปะโดยสน้ิ เชงิ เลิก เป็นช่างเขยี น ช่างสลัก ชา่ งปั้น ชา่ งปิดทอง ช่างลงรกั เป็นแตพ่ ระเฉยๆ และเม่อื เป็นแต่พระเฉยๆ แลว้ ก็ไม่ รกั ษาศลิ ปะ ไม่สนใจศิลปะ ปลอ่ ยใหว้ ดั รกรุงรัง ปลอ่ ยใหภ้ าพเขยี นภาพสลัก ประตมิ ากรรมต่างๆ ในวัดหายหก ตกหลน่ ไป..” หนังใหญ่ บ้านโต้โผมหรสพ เมื่อหนังใหญไ่ ด้ขยับขยายตัวมาเปน็ มหรสพ ฉบบั ราษฎร์ ที่เจ้าของคณะเป็นสามัญชนคนธรรมดาได้ โตโผ14มหรสพ หรอื เจา้ ผู้จดั การการแสดงเพือ่ ความบันเทงิ ของชาวบา้ นอาทิ ปพ่ี าทย์ ละคร ลเิ ก หุ่นกระบอก กลองยาว จงึ สรา้ งหนงั ใหญข่ ้นึ มาเปน็ ทางเลือกใหม่สาํ หรบั ผูว้ า่ จ้าง ตามฐานะและวาระโอกาสของงานนั้นๆ ครวู น เกดิ ผล เชือ้ สายจนี เดมิ แซต่ นั นบั เปน็ อดตี โตโ้ ผมหรสพคณะหนังใหญ่ แตรวง ลเิ ก องั กะลงุ และเพลงพืน้ บ้าน อยธุ ยา ในสมัยตน้ รัชกาลท่ี ๕ ท่ีมีชื่อเสยี งมาก ไดว้ างรากฐานการจดั การวฒั นธรรมในแบบ ฉบบั ชาวบา้ นครอบครวั ใหญ่ สบื เนอ่ื งมาสลู่ ูกหลานในปจั จบุ ัน เชน่ คุณครสู ําราญ เกิดผล ศลิ ปินแห่งชาตเิ ปน็ ต้น หนงั ใหญ่ในวิถีเกษตร เครอ่ื งประกอบการแสดงหนังใหญ่ สว่ นใหญ่ลว้ นนาํ จากวัตถดุ ิบท่ีไดจ้ าก สภาพแวดล้อมสภาพ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและภูมิปญั ญาในการการคดิ แบบวถิ เี กษตรหรอื สังคมเกษตรกรรม ตวั หนงั ท่นี าํ มาเชดิ ทาํ มาจากหนงั ววั ที่เป็นสตั ว์เลีย้ งใช้แรงไถนาไร่ แรงเกวียนขนส่งเดินทาง เม่ือสตั วผ์ ู้มพี ระคณุ เหล่าน้ลี าตายจากไป คนท่เี ปน็ เจ้าของก็นําหนังววั ท้งั ผนื มาถวายสมภารวดั อย่างครัง้ ที่หลวงปุูกลอ่ ม อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอน ราชบุรี เริ่มตน้ สรา้ งหนังใหญก่ ม็ ีชาวบา้ นในระแวกใกลเ้ คียงเกิดจนิ ศรัทธานําหนังวัวจาํ นวนมากมาถวาย เพ่อื กศุ ลผล บุญร่วมกันสรา้ งหนังใหญ่ นอกจากนี้ยงั มไี มต้ ับ หรอื ไมค้ าบตวั หนงั กท็ ําจากไมไ้ ผ่ท่ีทงั้ ปลูกทง้ั ขึ้นเองรอบอาณาบรเิ วณชมุ ชน สว่ นไมค้ าบหนงั ของวดั บ้านดอนระยอง จะพเิ ศษกวา่ ชมุ ชนอนื่ เพราะใชไ้ ม้หลาวชะโอน ซึง่ เป็นพืชตระกูลปาล์ม ขึ้นเฉพาะถ่นิ ใกลท้ ะเลอย่างภาคตะวนั ออกและภาคใต้ เชือ่ วา่ เป็นไม้ที่มคี วามคงทนนานเป็นร้อยๆปี 13 ขรัวอินโขง่ เปน็ ครูคนสาํ คัญของ หลวงพ่อฤทธิ์ ผู้กอ่ ตั้งสรา้ งหนังใหญว่ ดั พลบั พลาชยั เพชรบรุ ี 14 โต้โผ มาจากคาํ ภาษาจนั ว่า ต้วั โผ, ตั้ว หมายถึง ใหญ่ , โผ หมายถึง บัญชี

46 เสาจอหนังทั้งสีต่ น้ และกรอบขอบจอก็ทาํ จากลาํ ไม้ไผ่เชน่ กนั ท้งั จากการตระเตรยี มขนไปของคณะ หนังใหญ่ หรอื บางครง้ั เจ้าภาพก็เหน็ ใจในความ ยากลาํ บากในการขนยา้ ย จงึ ตระเตรียม ตดั กอไผ่กอใหญไ่ วใ้ ห้ เลือกใชต้ ามสะดวก หากบางคณะหนงั ใหญ่อย่างวัดขนอน ราชบรุ ี ในอดตี ใชก้ ะลาเปน็ เชอ้ื เพลงิ ในการให้แสงสว่างใหต้ วั หนงั ทอดเงา แม่ครัวโรงทานหรือชาวบ้านรา้ นถิ่นทีร่ ่วมกันเป็นเจา้ ภาพก็จะตระเตรียมกะลามะพรา้ วไวใ้ ห้ สรรพเสร็จ ซึ่งไฟจากกะลา มะพร้าวน้นั จะใหแ้ สงสวา่ งอยา่ งนุม่ นวล กลนิ่ ก็หอมละมนุ ไมแ่ สบจมูก ระคายตาจึง เป็นทน่ี ยิ มกนั มากในยา่ นชาวสวนมะพรา้ ว ไลก่ ันมาตง้ั แต่ ราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ฤดกู าลทีน่ ิยมแสดงหนงั ใหญค่ อื ฤดูหลังฝน ซง่ึ พอดีกบั เกษตรกรเก็บพชื ผลทีเ่ พาะปลู กเสรจ็ แลว้ ได้ หายเหน่อื ย มีรายได้ มีเวลาว่างพอทจี่ ะเล่นหนัง หรือชมหนัง เพราะทัง้ ผ้เู ลน่ ผ้ชู มลว้ นเปน็ ชาวเรา เหมอื นใน บทไหว้ครู คอื เปน็ ชาวบ้านในวถิ ีเกษตรเหมอื นกัน เหตผุ ลสาํ คัญประการหนง่ึ ที่หนงั ใหญไมเ่ ลน่ ชว่ งฤดูฝน เพราะหนังใหญแ่ ละเคร่ืองประกอบต่างไม่ชอบนํ้าเพราะเปน็ มหรสพกลางแจ้ง ยงิ่ ตวั หนังเปยี กนํา้ หรอื ถ้าเป็น น้ําฝนดว้ ยแล้วจะได้รับความเสยี หาย ยน่ ยบั เสยี รูปเป็นราเนา่ จนยากต่อการซอ่ มบํารุงได้ ซ่งึ กรณที ีต่ วั หนัง เปียกฝนไม่ได้เกดิ จากชว่ งการแสดง แตส่ ่วนใหญเ่ กดิ ในชว่ งของการเก็บรกั ษา หลังคามุงจาก มุงกระเบอื้ งมีนาํ้ รั่วซมึ เ ปน็ สาเหตุสาํ คัญที่ทาํ ให้ ตัวหนังใหญ่ อาทิ วดั ขนอน ราชบุรี วดั บา้ นดอน ระยอง วัดสวา่ งอารมณ์ สงิ หบ์ รุ ี วดั บางน้อย สมทุ รสงคราม วัดตะกู อยธุ ยา วัดพระญาติการาม อยธุ ยา และวัดตะเคียน ลพบุรี เป็นตน้ ไดร้ ับความเสยี หายเปน็ อยา่ งมาก สาํ หรบั การแสดงของชุมชนคณะหนังใหญใ่ นอดีตไมว่ ่าจะเป็นคณะหนงั ทีอ่ ยใู่ นความดแู ลของวดั หรอื บา้ น ลว้ นต้องใช้เสน้ ทางนํา้ ทางเรอื เชน่ เดยี วกบั การลําเรยี งขา้ วของเครอื่ งใชผ้ ลิตผลการเกษตร ดงั เช่นหนัง ใหญ่ชุมชนวัดพระญาตกิ าราม อยุธยา ไปแสดงที่ อําเภอสามชกุ สพุ รรณบรุ ีกอ่ นปี พ .ศ.๒๕๐๐ ก็เดินทางไป ทางเรอื โชคดที ว่ี ัดพระญาติฯสมัยนั้นมเี รอื เครอ่ื งยนต์ เรยี กกันว่าเรือหลวงพอ่ อนั้ เพราะตรงกับช่วงหลวงพ่อ อนั้ เป็นเจ้าอาวาสวดั จงึ ดโู ก้หรูสะดวกสบายกวา่ การถอ่ เรือไปมาก ส่วนคณะหนังใหญ่วดั สวา่ งอารมณก์ เ็ คยถ่อ เรอื ทวนน้าํ ขึน้ ไปแสดงหนังถงึ อําเภอชมุ แสง จังหวัดนครสวรรค์ และหนงั ใหญว่ ัดราษฎ ร์บรู ณะ สมทุ รสงคราม ก็ใช้เรือเปน็ พาหนะสําคัญในการเดินทางสัญจรในแมน่ ํ้าแม่กลอง จนเกิดเรอื่ งเลา่ อัศจรรย์ทีว่ า่ หนงั หมมุ านตก แม่กลองแล้ววา่ ยน้าํ กลับวัดเองได้ หนังใหญ่กาํ เนดิ ในราชสํานักเป็นมหรสพหลวงทย่ี ิง่ ใหญ่ ด้วยเป็นตน้ ทางรวมศาสตรศ์ ิลปก์ ารแสดงไว้ หลายแขนง เปน็ เครื่องราชปู โภคภายใต้ราชูปถมั ปข์ องพระมหากษตั ริย์ เครือ่ งมือส่อื สารของพระราชากบั ไพร่ ฟูาประชาราษฎร์ แล้วผลดิ อกออกชอ่ ใบไปเป็นมหรสพชาวบา้ นภายใตก้ ารอุปถัมปข์ องสมภารวดั ท่เี พม่ิ หนัง ใหญใ่ ห้เป็นอุปกรสอนธรรม หรือการจัดการของบา้ นโตโ้ ผมหรสพท่ีเน้นการแสดงเพ่อื ความสนกุ สนาน

47 ทา้ ยสุดเมอ่ื บา้ นเมอื งมงี านสาํ คัญ หนงั ใหญบ่ ้าน หนงั ใหญว่ ัด ฉบับราษฎร์กจ็ ะได้รับเชญิ ไปแสดงใน งานพระราชพิธเี คยี งข้างหนงั ใหญฉ่ บบั หลวง นบั เปน็ มหรสพอศั จรรยท์ ี่ผูค้ นทุกชมุ ชนชนช้ันได้มสี ว่ นรว่ ม สร้างสรรค์กันมาอย่างตอ่ เน่ืองยาวนาน ความรู้ของมรดกภมู ปิ ๎ญญา โดยอนุสญั ญาวา่ ด้วยการปกปูองค้มุ ครองมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมได้กาํ หนดนิยามคาํ วา่ “มรดก ภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม” (intangible cultural heritage) ไว้ดงั นี้ การปฏบิ ัติ การเปน็ ตวั แทน การ แสดงออก ความรู้ ทกั ษะ ตลอดจนเครอ่ื งมือ วัตถุส่งิ ประดิษฐ์ และพน้ื ท่ีทางวฒั นธรรม ที่เกยี่ วเนือ่ ง กับสงิ่ เหล่าน้นั ซงึ่ ชุมชน กลมุ่ ชน และในบางกรณีป๎จเจกบคุ คล ยอมรบั วา่ เปน็ ส่วนหนึ่งของมรดกทาง วฒั นธรรม ของตน มรดกภมู ิป๎ญญาทางวฒั นธรรมซ่ึงถา่ ยทอดจากรุ่นหนง่ึ ไปยงั คนอกี ร่นุ หน่งึ นี้ เปน็ ส่งิ ซง่ึ ชมุ ชนและกล่มุ ชนสรา้ งข้ึนใหม่อย่างสม่ําเสมอเพือ่ ตอบสนองตอ่ สภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพนั ธข์ องพวกเขาทม่ี ตี ่อธรรมชาตแิ ละประวัติศาสตร์ของตน และทาํ ใหค้ นเหลา่ นน้ั เกดิ ความรู้สกึ มอี ัตลักษณ์ และความตอ่ เนือ่ ง ดังนั้น จงึ กอ่ ให้เกดิ ความเคารพตอ่ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และ การคิดสรา้ งสรรค์ของมนุษย์ มวี ัตถุประสงค์เพื่อปกปอู งค้มุ ครองมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม โดยรวบรวมและจัดเกบ็ ข้อมูล ซ่งึ ชุมชนมีสว่ นร่วม อนั เปน็ การกระตุ้นจิตสํานกึ ให้เกดิ การสงวนรกั ษามรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม ให้เป็น วฒั นธรรมที่มีชวี ติ เพอ่ื จดั ทําคลังข้อมูลมรดกภมู ปิ ญั ญาในขอบเขตประเทศไทย และเพ่ือนําไปสกู่ าร เสนอขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และนาํ เสนอ ยเู นสโกใหเ้ ปน็ มรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมของมนษุ ยชาติเม่อื ประเทศไทยเขา้ เป็นภาคีในอนาคตอันใกลน้ ้ี สามารถจําแนกสาขามรดกภูมิปญ๎ ญาทางวัฒนธรรมได้ ๗ สาขา คอื ๑ สาขาศลิ ปะการแสดง ๒ สาขางานชา่ งฝีมอื ดง้ั เดมิ ๓ สาขาวรรณกรรมพ้ืนบ้าน ๔ สาขากีฬาภมู ปิ ัญญาไทย ๕ สาขาแนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พิธีกรรมและงานเทศกาล ๖ สาขาความรแู้ ละแนวปฏบิ ัติ เก่ยี วกบั ธรรมชาติและจักรวาล ๗ สาขาภาษา

48 หนังใหญ่ ไดร้ ับการเสนอขึ้น บญั ชรี ายชอื่ มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมเพอ่ื ขึ้นทะเบียนคุ้มครอง ในปี พุทธศักราช ๒๕๕๒ ซึง่ หนงั ใหญจ่ ดั อย่ใู นสาขาศลิ ปะการแสดง แยกยอ่ ยเป็นประเภทนาฏศิลปแ์ ละการ ละคร ซง่ึ กรมสง่ เสริมวัฒนธรรมได้ใหค้ วามหมายของศิลปะการแสดงว่า การแสดงดนตรี การราํ การเต้น และ ละครที่แสดงเปน็ เรอื่ งราวท้งั ท่ีเปน็ การแสดงตามขนบแบบแผน มกี ารประยุกต์ เปลี่ยนแปลง และ /หรือ การแสดงร่วมสมยั การแสดงท่ีเกดิ ข้นึ นน้ั เป็นการแสดงสดต่ อหน้าผู้ชมและมีจุดมุ่งหมายเพอื่ ความงาม ความบันเทิงและ/หรือเปน็ งานแสดงท่กี ํอใหเ้ กดิ การ คิด วพิ ากษ์ นําสู่การพฒั นาและเปล่ยี นแปลงสังคม แบง่ ออกได้เป็น ๒ ประเภท ๑ ดนตรแี ละเพลงรอ้ ง หมายถึง เสยี งท่ีเกิดจากเคร่ืองดนตรแี ละการขับร๎องทป่ี ระกอบกันเป็นทาํ นองเพลง ทําใหร้ ู้สกึ เพลดิ เพลนิ หรอื เกิดอารมณ์ ต่างๆ โดยมีบทบาทหน้าทเ่ี พ่ือบรรเลง ขบั กล่ อม ใหค้ วามบันเทิง ประกอบพิธีกรรมและประกอบการแสดง ดนตรี แบ่งออกเป็นดนตรใี นการแสดงและดนตรีในพธิ ีกรรม ๒ นาฏศิลป์และการละคร หมายถงึ การแสดงออกทางร่างกาย ท่วงท่าการเคล่ือนไหว ทําเต้น ท่ารํา การเชิด การพากย์ การใช้เสยี ง การขบั ร้ อง การใช้ บท การใช้ อุปกรณ์ ฯลฯ ซึ่งสอื่ ถงึ เรอ่ื งราว อารม ณ์ความรู้สกึ อาจ แสดงร่วมกับดนตรแี ละการขับร้องหรอื ไม่ก็ได้ การแสดง แบ่ งออกเป็น การแสดง ในพิธกี รรม การแสดงทเ่ี ป็น เร่ืองราวและไม่เป็นเรื่องราว หากพิจารณาองค์ประกอบของหนงั ใหญ่แลว้ จะเห็นวา่ ไม่ได้มคี วามเก่ยี วขอ้ งกับศลิ ปะการแสดงอยา่ ง เดยี ว แต่ยังเก่ยี วเนอ่ื งกับ วรรณกรรม ด้วยมีบทพากย์เจรจา และงานชา่ งฝีมือดงั้ เดมิ อย่างการวาดลวดลายสลัก ตวั หนังใหญ่ แตเ่ มือ่ มองวัตถุประสงค์ หลักของการนําเสนอ ก็เปน็ ขอ้ สรุปไดว้ า่ หนงั ใหญ่ได้รวมหลายศาสตร์ หลายศลิ ปเ์ พ่ือสรา้ งสรรค์ข้นึ มาเปน็ ศิลปการแสดง ๒.๑ ช่อื ทีป่ รากฏในท้องถนิ่ หรือชอ่ื เทียบเคยี ง ชือ่ ท่ีเรยี กการแสดงหนังใหญ่ในแต่ละท้องถิน่ ส่ วนใหญม่ ีความใกล้เคียงกันเพราะโดยสามญั กเ็ รยี กกนั อยแู่ ลว้ ว่าหนังใหญ่ แตเ่ มื่อเร่มิ ศึกษาจําเพาะเจาะจงไปในช่วงเวลาทตี่ า่ งกนั ศพั ท์แสงทใี่ ช้ในการถ่ายทอด การ แสดงรวมถงึ ชา่ งหนงั ใหญ่ ในแตล่ ะชุมชนกจ็ ะมคี วามแตกตา่ งจากการลงรายละเอียดมากขนึ้ เป็นช่อื เรียกการ แสดงหนังใหญ่ทอี่ าจจะดูตา่ งจากนักวิขาการรุ่นครไู ด้บนั ทึกไวเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ ักษร แต่คาํ เรียกหนงั ใหญ่ที่ นาํ มาเสนอเหล่านเี้ ป็นมขุ ปาฐะ ที่สบื เน่อื งกนั มาตามความเขา้ ใจเฉพาะถิ่น แตก่ ็สามารถเทยี บเคยี งให้เข้าใจได้ ทัง้ นี้เพ่ือประโยชน์การศึกษาหนงั ใหญ่ในเชิงลึกต่อไป

49 ๑. หนังใหญ่ เปน็ คําเรียกหลกั ในการวิจยั ครั้งน้ี และเปน็ ชอ่ื ท่ที วั่ ไปท่ีเข้าใจตรงกัน ๒. หนงั เปน็ คําเรยี กเกา่ ที่พบในเอกสารโบราณ พงศาวดาร กฏหมายตราสามดวง กฎ มณเฑยี รบาล จดหมายเหตุฯ หรือเรียกอยา่ งสัน้ หมายเขา้ ในในหมชู่ าวหนังใหญ่ หากแต่ปจั จบุ ันไมน่ ยิ มเรยี กสั้นๆเด่ียวๆ เพราะวา่ จะ สับสนกบั หนังประเภทอ่ืนๆเชน่ หนังตะลุง หนังกลางแปลง หนงั -ภาพยนตร์ ๓. หนงั ระบาํ หรือหนงั จบั ระบาํ หนา้ จอ เปน็ หนังทก่ี ลางวันอย่างหน่งึ ดังปรากฏคาํ น้ีในสมยั อยุธยา สมเด็จฯกรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ทรงอธบิ ายไวด้ งั น้ี “อน่งึ ที่เรียกวา่ หนังจบั ระบําหน้าจออย่างโบราณน้นั คือ เล่นต้งั แต่เวลาบา่ ย ใช้หนังท่ีเรียกชอื่ วา่ คเนจร พระ คเนจรนาง ตวั นางนั้นระบายสี ดดั เส้นเขยี นโดยงดงาม เพราะใช้เลน่ ในตอน กลางวนั คนเชิดหนงั ระบํานั้นนุ่งผา้ ยกหรอื ผ้าเกย้ี ว สวมเสือ้ อยา่ งน้อย คาดเข็มขดั โพกผา้ ขลิบ แล้วเชดิ พระกบั นางเป็นคู่ๆกนั ไป คนร้องกร็ ้ องบทระบํา คือ ราํ พระทอง บะหลม่ิ เบา้ หลดุ สระบุหรง่ คนเชิดก็ทําทา่ ทางตา่ งๆ ไปตามบท แล้วกเ็ ชดิ หนังนาง เมขลา รามสูร อรชนุ อกมาเล่นตามเร่ืองของระบาํ พอเวลาพลบคํ่าจึงจับเลน่ เรอื่ งตอ่ ไป” ๔. หนงั กลางวนั หรอื หนงั สี ใชเ้ ล่นหรอื แสดงในตอนกลางวนั เดมิ โบราณใช้สจี ากธรรมชาติ ทาลงตัว หนงั ได้แก่ สีขาวจะเอาเหลก็ ขูดท่หี นังให้หมดสดี าํ สเี ขยี วใชจ้ นุ สกี บั นาํ้ มะนาว ทา สแี ดงใช้นาํ ฝางกับสารส้มทา และสเี หลอื ง ใช้นําฝางทาแลว้ เอาน้าํ ถลู กั ษณะ การเชิด จะเชิดแสดงกนั หนา้ จอหนงั นิยมเลน่ ในงานมงคล หรอื พระราชพิธี ๕. หนงั สี คือหนงั กลางวนั คําอธิบายเหมือนกัน ๖. หนงั กลางคืน หรือหนังขาวดาํ ใชเ้ ลน่ หรอื แสดงในตอนกลางคนื นยิ มเล่นในงานอวมงคล ๗. หนงั ขาวดาํ คือหนงั กลางคนื คําอธบิ ายเหมือนกัน ๘. หนังเลก็ หรือหนังตะลงุ ภาคกลาง คนหนังในอยธุ ยา ยังคงคุ้นปากเรียกวา่ หนงั เลก็ ไม่เรยี กว่า หนงั ตะลงุ รูปตวั หนังและวิธีการเล่นคล้ายหนงั ตะลงุ แต่ตัวหนงั ทุกตวั พากย์เจรจา เป็นภาษาภาคกลาง

50 ๙. หนงั ระทา หรอื หนังกลาง มขี นาดยอ่ มกว่าหนงั ใหญ่ ความกวา้ งอยทู่ ่ีประมาณ ๑ เมตรรูปแบบ การแสดงเหมือนหนังใหญ่ ใช้แสดงระหว่างระทาไฟในงานพระราชพิธี ๑๐.หนังกลาง คอื หนงั ระทา คําอธบิ ายเหมอื นกัน ๑๑.หนังตะลงุ คือหนงั ขนาดเลก็ กวา่ หนังใหญ่ ทนี่ ิยมเลน่ ในภาคใต้ ๑๒.หนงั ไทย คอื คาํ เรียกหนงั ใหญ่ อีกชือ่ หนึง่ เมอ่ื มีหนงั ต่างประเทศอย่างหนังจนี หนัง ชวาเข้ามาแสดงในสยามประเทศ ๒.๒ ลกั ษณะการแสดง ลักษณะการแสดงของหนังใหญ่ จดั อยใู่ นประเภทหุ่นแสงเงา หุน่ แบบสองมิติที่ทาํ จากหนงั ววั ขนาด ใหญ่ประมาณ ๑-๒เมตร วาด ลวดลายแลว้ สลักฉลปุ รโุ ปรง่ ทาสสี นั แตง่ แต้มเปน็ ตัวละครพระนางยกั ษลงิ สิงสาราสัตว์ ฉากปาุ รถลาปราสาทราชวัง ในเร่อื งรามเกยี รติ์ เรยี กว่าตัวหนงั ใหญ่ แสงเกดิ จากไฟ ไม่ว่าจะเป็ น การเผากะลามะพร้าว ไต้ หรอื ตะเกยี งลาน เมอื่ ตวั หนงั กระทบไฟ กลายเปน็ เงา บนจอหนัง ซงึ่ ตัวหนังเคลอื่ นไหวดุจมีชีวิตได้เพราะมคี นเชดิ คนเชดิ โยกเต้นไหวเอนโอนตาม บทบาทท่คี นพากยเ์ จรจาเออ้ื นเอ่ย มเี คร่อื งดนตรีปีพ่ าทยบ์ รรเลงประกอบ ๒.๓ ประเภท หนังใหญจ่ ัดอยู่ในประเภท ศลิ ปะการแสดง และนับเปน็ ศิลปะการแสดงชัน้ สูงของไทยด้วยเปน็ มหรสพหลวง เคร่อื งราชูปโภค อยใู่ นพระราชูปถัมป์ของพระมหากษตั ริย์มาคร้งั โบราณ ๒.๔ พัฒนาการ จุดเริ่มแรกของหนงั ใหญ่มาจากการละเลน่ ประกอบพิธกี รรม และพฒั นามาสู่ศิลปการแสดงในรูปแบบ มหรสพหลวง ในราชสํานกั และเผยแพรส่ ูร่ าษฎร เป็นมหรสพชาวบ้าน มีพฒั นาการรว่ มกบั โขน ละคร และ ศลิ ปะการแสดงอ่ืนๆ โดยองคป์ ระกอบหลักคือ ตัวหนงั การเชิด การพากยเ์ จรจา ดนตรีประกอบ และเร่ืองที่ แสดง ยงั คงอยู่ แต่มีการปรบั เปลีย่ นสว่ นยอ่ ยตามสภาพสังคมชมุ ชน

51 สุจิตต์ วงษเ์ ทศ ได้เสนอแนวความคดิ เร่ืองพัฒนาการของหนังใหญ่ ไว้ในบทความ หนงั ใหญ่ มาจาก ไหนว่า หนงั ใหญ่ เปน็ คาํ ไทย ตรงกบั คําเขมรว่า แสบก ธม (แสบก แปลว่า หนัง , ธม แปลวา่ ใหญ่ ) และอนิ โดนเี ซยี เรยี ก วาหยงั กุลิต..ทง้ั หมดคอื “วฒั นธรรมเลน่ เงา” เป็นพิธีกรรมของมนุษยท์ ั่วโลกมาก่อน “เล่นเงาเป็นพิธีกรรมเชอ่ื มโยงมนษุ ยเ์ ข้ากับ ส่งิ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิหลงั จากนั้นถงึ กลายเป็นการละเล่นอยา่ งท่เี ขา้ ใจใปจั จบุ ัน” อาจารยศ์ ิ รพิ จน์ เหลา่ มานะเจรญิ (คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศลิ ปากร) อ้างถงึ จารกึ บนใบลานไศวาคม พบท่เี กาะชวา แล้วยกมาอธบิ ายไวใ้ น บทความเรื่องสะแบก ธม, หนังใหญ,่ กับ วาหยัง กุลิต การเล่นเงา มรดกร่วมของ อษุ าคเนย์ (พมิ พใ์ นมติ ชนรายวนั ฉบบั วนั พฤหัสบดีที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ หนา้ ๒๑) คาํ อธบิ ายของ อาจารยศ์ ิรพิ จนน์ า่ ฟัง และเข้าใจไดด้ ีกวา่ อย่างอ่ืน จงึ ควรสรุปงา่ ยๆ อ่านเข้าใจ งา่ ยๆ ว่า หนงั ใหญ่มวี วิ ัฒนาการยาวนานจากวัฒนธรรมเล่นเงา ซ่ึงเป็นพธิ กี รรม ของมนุษย์ ทั่วโลกท่ีเช่อื มโยงมนุษย์เข้ากบั ส่ิงศกั ดิส์ ิทธ์ิ และววิ ัฒนาการ รว่ มกันกับ แสบกธม ของเขมร, วาหยังกลุ ิตของชวา ตอ่ จากนัน้ มีพฒั นาการเปน็ การละเลน่ โดยผสมผสานเขา้ กับประเพณีเตน้ และเชดิ ของคนในอุษาคเนยม์ าแต่ดง้ั เดิมดกึ ดาํ บรรพ์ รปู ฉลุกบั ท่าเตน้ ของคนเชดิ หนงั ใหญ่ ต่อไปขา้ งหน้าจะมพี ัฒนาการเป็นโขน, ละคร15 ประเมษฐ์ บณุ ยะชัย ผู้เช่ียวชาญจากสถาบันบัณฑิตพฒั นศลิ ป์ ไดก้ ลา่ วถงึ พฒั นาการถงึ หนงั ใหญไ่ ว้วา่ “ถา้ เปรยี บหนงั ใหญก่ ็เหมอื นเป็นการแสดงคลาสสคิ คือองค์ประกอบการแสดงทกุ อย่างพฒั นาสูงสดุ เต็มอิ่มหมดแลว้ ”16 โขนจงึ เปน็ การแสดงที่ตอ่ ยอดพฒั นามาจากหนังใหญ่ จากตวั หนงั มาเปน็ คนจริงแสดง และยังคงมบี ทพากยเ์ จรจา มดี นตรปี ่พี าทย์บรรเลงประกอบการแสดง แรกทีเดียวกเ็ ล่นโขนหน้าจอหนังเปน็ ” หนังตดิ โขน” คอื การแสดงหนังเป็นหลกั มีโขนมาแทรกบางชว่ งเพื่อสรา้ งสสี นั ต่อมากส็ ลบั กนั เป็น โขนตดิ หนงั คอื การแสดงโขนเป็นหลกั หนังเปน็ แค่เลก็ นอ้ ย เพราะคนดเู ร่ิมเทใจไปชอบการแสดงโขนมากกว่า ทา้ ยสดุ เป็น โขนหนา้ จอ เหลอื แต่จอหนงั ตั้งเปน็ อนสุ รณ์ ไม่มหี นังใหญร่ ว่ มแสดงด้วย ภายหลังโขนพฒั นาเปน็ รปู แบบละคร ยิ่งทาํ ใหค้ นรนุ่ หลังแทบจะไม่รู้ท่มี าว่าโขนพัฒนาการมาจากหนังใหญ่ 15 สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ หนังใหญ่ มาจากไหน?[ออนไลน]์ มติชนรายวนั ฉบับประจําวันอังคารท่ี ๖ กนั ยายน ๒๕๕๔. แหล่งท่ีมา http://www.sujitwongthes.com/๒๐๑๑/๐๙/siam๐๖๐๙๒๕๕๔/ 16 สัมภาษณ์ ประเมษฐ์ บณุ ยะชยั ,ผเู้ ชีย่ ชาญอาวุโสสถาบนั พํฒนศิลป์, การประชุมขึ้นทะเบยี นมรดกภูมิป๎ญญาทางวฒั นธรรม ยูเนสโก, เดือน พฤศจกิ ายน ๒๕๕๗.

52 ถึงแม้องค์ประกอบหลกั คือ ตัวหนัง การเชิด การพากยเ์ จรจา ดนตรปี ระกอบ และเร่ืองท่แี สดง ยังคง มี อยู่กจ็ ริง แตม่ กี ารปรบั เปลี่ยนพัฒนาสว่ นยอ่ ยตามสภาพสงั คมชมุ ชนมาอยา่ งตอ่ เนื่อง อาทิ หนังสร้างได้ง่ายขน้ึ ดว้ ยการลอกลายเดมิ แผน่ หนังหาซอื้ ได้ทโ่ี รงงานฟอกหนงั รูปแบบการเชิดบางครัง้ ไมต่ อ้ งตั้งจอ ท่ใี ชท้ าบเงา เพิ่มการรับร้องอย่างละครเพอ่ื ลดการพากยเ์ จรจา ดนตรปี ระกอบยังเป็นวงปพ่ี าทย์ แต่ไมไ่ ดใ้ ช้เสียงทางกลาง ปกี่ ลาง กลองตง๋ิ จอหนังใชโ้ ครงเหล็กแทนไมไ้ ผ่เพราะคงทนกว่า และแสงไฟสปอตไลท์ ส่องสว่างแทน ไต้ ตะเกียงลาน หรือกะลามะพร้าว เรือ่ งราวทแ่ี สดงยังคงเปน็ เร่ืองรามเกี ยรต์ิ แต่ระยะเวลาแสดงตอ้ งส้ันกระฉับ เปน็ ตน้ ทง้ั หมดคอื พัฒนาการหนงั ใหญใ่ นแงม่ ุมของกล่มุ ชมุ ชนหนังใหญ่ ในมุมมองของ ผู้ทศี่ ึกษาสนใจ ศลิ ปการแสดงแขนงนี้ หากมองในมมุ กวา้ ง ความหมายของคําวา่ หนงั ใหญ่ ได้แปรเปลยี่ นไปไกลกันคนละเรื่อง เพราะผ้คู นทัว่ ไปในปจั จุบนั จะเขา้ ใจทันทวี า่ หนังใหญ่ คอื หนงั ในโรง หรือ หนังทีฉ่ ายในโรงภาพยนตร์ ด้วย อิทธิพลของหนังฟลิ ์มตา่ งประเทศที่ค่อยๆเข้ามาแทนทหี่ นังใหญ่ ตั้งแตช่ ว่ งสมัยรัชกาลท่ี ๕ จนในช่วง พ .ศ. ๒๔๙๐ เป็นชว่ งทห่ี นงั ใหญ่ ในแต่ละชมุ ชนเริม่ หมดเรีย่ วแรงยตุ กิ ารแสดงลง และค่อยมาเริม่ ฟนื้ ฟอู ีก ครั้ง ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๘ ทชี่ ุมชนวัดสว่างอารมณ์ สงิ ห์บุรี และปีถัดมา พ.ศ.๒๕๑๙ ที่วดั ขนอน ราชบุรี คาํ วา่ หนัง หนงั ใหญ่ หนงั โรง หนงั กลางแปลง หนังพากย์ คนพากยห์ นัง ฯลฯ ยงั อยูใ่ นวถิ ชี วี ติ คนใน ปจั จบุ ัน ทัง้ ทีร่ ปู แบบการแสดง องคป์ ระกอบการนาํ เส นอ มคี วามแตกต่างกนั นั่นหมายความว่า หนัง ยงั ทรง อทิ ธิพลมาอยา่ งตอ่ เนื่อง มองเผินๆคอื เปน็ แค่คาํ ท่ีเรยี กติดปากคนไทยมาแต่โบราณ แตห่ ากความจรงิ คือ จิต วญิ ญาณพลงั พฒั นาการของ มหรสพหนงั ใหญ่ ยังคงซ่อนอานภุ าพอยนู่ ั่นเอง ๒.๕ ขนบ ขนบธรรมเนยี มปฏิบตั ขิ องการแสดงหนังใหญ่ เปน็ สว่ นทสี่ ะทอ้ นให้เห็นภมู ิปญั ญาของบรรพชนท่สี ่ังสม กนั มานานหลายร้อยปี เป็นทง้ั ข้อปฏิบตั ิทย่ี ดึ ถือ รวมเปน็ ถึงกุศโลบายในชมุ ชนเพ่ือความสามคั คีและดาํ เนนิ ชวี ิต รว่ มกัน ซึง่ ขอยกตัวอย่าง ขนบเฉพาะทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับหนังใหญ่ดังนี้ ๑.การไหวค้ รูหนงั ใหญ่ เรียกวา่ ไหวค้ รูใหญ่ เพราะการไหว้ครหู นงั ใหญ่ประจาํ ปีนน้ั จะเป็นการไหวค้ รูศลิ ปะ ประกอบด้วย ไหว้ครูช่างสิบหมู่ ครู ดนตรี นาฏศลิ ป เรียกกันว่า “ไหวค้ รชู า่ งหนงั ใหญ่ โขน ละคร พิณพาทยฯ์ ”

53 การไหว้ครูหนังใหญ่ ไดร้ ับแนวทางมาจากพธิ กี รรมในศาสนาพราหมณด์ งั ที่ บาํ รุง คําเอก กลา่ วว่า อิทธิพลทางดา้ นนาฏกรรมกไ็ ดร้ ับมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น พิธไี หว้ครู โหมโรง เบกิ โรง17 ในหลายๆชมุ ชนหนงั ใหญจ่ ะมมี หรสพอยู่รวมกนั ทัง้ หนังใหญ่ โขน ละคร พณิ พาทย์ ลิเก กลองยาว เช่น วดั พระญาตกิ าราม อยุธยา , วัดกษตั ราธิราชวรวิหาร อยธุ ยา , คณะหนงั ใหญ่ครวู น เกดิ ผล อยุธยา , วดั ตะเคยี น ลพบรุ ี ฯลฯ ๒.พิธีเบิกหน้าพระ เปน็ พธิ ที ี่มเี ฉพาะการแสดงหนังใหญ่เทา่ นั้น ๒.๑ เคร่อื งบชู าครู เชน่ หวั หมู บายศรีปากชาม เคร่ืองกระยาบวช เทียนขาว ๓ เล่ม เป็นตน้ ๒.๒ พากย์สามตระ มเี ฉพาะหนงั ใหญ่ ๒.๓ เมื่อทาํ พิธีเบกิ หน้าพระ มหรสพอ่ืนจะตอ้ งหยุดให้ ๓.หนังใหญ่เป็นมหรสพแสดงลาํ ดบั แรก ต่อด้วยโขน ละคร ตามลาํ ดบั เปน็ ขนบธรรมเนียมนยิ มแต่โบราณ ท่จี ะให้ หนงั ใหญ่แสดงเป็นลาํ ดับแรกของมหรสพทกุ ครั้ง ๔.ผชู้ ายเชดิ หนัง ความจรงิ ศิลปการแสดงของไทยหลายชนดิ ทีม่ ขี นบนยิ มแบง่ ไว้ใหผ้ ชู้ ายแสดงชนิดนแี้ ละผหู้ ญงิ แสดง ชนดิ นน้ั ซึ่งหนังใหญ่เป็นอกี หนงึ่ กรณีศึกษาท่ีมีขนบใหเ้ ป็นเร่ืองของผชู้ ายเชดิ พากย์ กรณีศกึ ษาหนังใหญ่เปน็ เรอ่ื งของผ้ชู าย เหตทุ ผ่ี ้ชู ายมบี ทบาทสําคัญในการแสดงหนังใหญ่ คงดว้ ยเหตเุ บอื้ งต้น ๒ ประการคอื เร่ิมต้นจากผู้ แสดงเป็นทหารจดุ มุ่งหมายคอื ซอ้ มรบเรยี นรู้ และเป็นการละเลน่ เพ่อื ประกอบพธิ กี รรมเพ่ือสรรญเสรญิ พระผู้ เปน็ เจา้ ในที่น้คี อื พระมหากษตั ริย์ ม่มี ีความเช่อื ว่าเสมือนองค์นารายณม์ าอวตาร ลกั ษณะการแสดงท่ีออกมาคือ ความเข้มแข็ง สง่างาม ตอ้ งใช้กาํ ลัง ส่วนผหู้ ญิงสมัยก่อน กส็ ามารถเรียนรู้ดา้ นศลิ ปการแสดง ละครร่ายรําได้ รปู แบบการแสดงหนงั ใหญข่ องวดั บ้านดอน ระยองในอดีตกม็ ีละครพน้ื บ้าน ที่เป็นผู้หญงิ แสดงเปน็ นาง สดี า ตอนสีดาลุยไฟ ซึ่งเป็นตอนทไี่ ดร้ บั การกลา่ วขานมชี ื่อเสยี งมาก เรียกวา่ “หนังติดละคร” คือการแสดง หลกั ยงั เปน็ หนังใหญ่อย่แู ต่เพมิ่ เติมสีสันดว้ ยละครพนื้ บ้านเขา้ มาแทรกแคบ่ างฉากบางตอน พระครปู ลัดวริ ตั น์ อคคธมโม อดีตเจ้าอาวาสวดั บ้านดอนหนังใหญ่ วัดบา้ นดอน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “จุดเด่นอยูท่ ก่ี ารแสดงตอนสีดา 17 บาํ รงุ คาํ เอก, ศาสนาพราหมณ์ · ศาสนาฮินดู · พธิ ที างศาสนาและพิธกี รรม. ภาควิชาภาษาตะวนั ออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศลิ ปากร (นครปฐม: พิมพลักษณ์,2550)

54 ลุยไฟ ซึ่งผู้เชดิ หนังได้แสดงการลุยไฟจรงิ ๆ จนเป็นท่เี ล่อื งลอื ในความสามารถของผู้เชิด ถงึ ขน้ั ที่หากกล่าวถงึ หนังใหญ่วัดบ้านดอนกจ็ ะนึกถงึ การแสดงในตอนสีดาลยุ ไฟ”18 แม้กระทั่งผฝู้ ึกสอนหนังใหญ่วดั บ้านดอนคนสําคัญ ครูเสถียร แสงมณี เป็นผ้หู ญงิ ท่สี อนการเชดิ จาก ประสบการณ์จริงท่เี หน็ กับศิษย์ โดยใช้คําพดู และท่าทางประกอบ ไมไ่ ด้จบั ตวั หนงั เพอ่ื รักษาขนบเดมิ ท่ไี มน่ ยิ ม ให้ผหู้ ญงิ จับตวั หนงั รวมถึงนกั ดนตรปี ่พี าทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงหนังใหญ่วัดบา้ นดอนในปจั จบุ นั ก็มผี หู้ ญิงเป็นนักดนตรีสว่ นใหญ่ เปน็ อกี หน่งึ กรณีศกึ ษาใหเ้ หน็ แบบภาพเชิงซอ้ น ว่าส่ิงทค่ี รูบาอาจารย์สมยั ก่อน วางขนบไวย้ ่อมมเี หตุผลท่ีลึกซง้ึ การแสดงหนังใหญว่ ดั บ้านดอนทม่ี นี างละครสีดามาลยุ ไฟ หรือครผู สู้ อนเปน็ หญิง นั้นย่อมสะท้อนใหเ้ หน็ สภาพการปรบั ตัวเข้าหากนั ระหวา่ งขนบกับการสืบทอดศิลปะผู้คนในชมุ ชนได้เป็น อยา่ งดี ๒.๖ ความเช่ือ ความเช่อื เก่ียวกบั ตวั หนัง ทกุ ชมุ ชนหนังใหญล่ า้ นมคี วามเช่อื เหมือนๆกนั ว่าตัวหนงั ทุกตวั เป็นเสมอื นครู ไมต่ า่ งจากศรีษะโขน หรอื เครือ่ งดนตรี ทตี่ ้องดูแลรักษาเปน็ อยา่ งดี วาง ไว้ท่สี ูงหรอื เหมาะสม ไม่เดินขา้ มหรือใช้อวยั วะจับต้อง นอกจากมอื หากมีใครเจ็บปุวยหรือมีอาการแปลกผดิ สงั เกตนายโรงจะมาไหว้ขอให้ครูหนงั หนงั เจา้ ทงั้ สามช่วย รกั ษาหรือยกโทษให้อภยั หากศิษยพ์ ล้งั ผิดพลาดแลว้ กม็ กั จะไดผ้ ลทกุ ครงั้ 19 แบง่ ความเชื่อตามลําดับตัง้ แต่เรม่ิ สร้างตัวหนังจนถงึ การแสดงดังนี้  หนังครูหรอื หนงั เจ้าทาํ ดว้ ยหนังเสอื หนังหมี ความขลงั , ไม้คาบหนงั ทําจากไม้ฝาโลง หรอื ไมเ่ ขีย่ ศพ  หนงั ครอู อกขา้ งจอ หา้ มรอดใต้จอ  หนงั ครฤู าษี จะไม่วางทบั หรอื ใกล้กบั หนงั ครูพระอิศวรและหนงั ครูพระนารายณ์  เชอ่ื ว่าหนังทกุ ตัว เป็นเสมอื นครู ไมเ่ ดินขา้ ม ต้ังไว้ในท่ีเหมาะสม  หนังกับไฟไมถ่ กู กนั เชน่ ไฟไหม้ หนังนครไหว ท่โี รงละคอนศิลปากร, วัดบางน้อย สมทุ รสงคราม  ความเชื่อเรอื่ งหนังสีใช้เลน่ งาน มงคล หนงั ขาวดําใชเ้ ล่นงาน อวมงคล  เชอื่ วา่ หนังมชี วี ิต เช่นกรณี ๑.หนงั หนมุ านวา่ ยนา้ํ กลบั วดั ราษฎรบ์ รู ณะ สทรุ สงคราม ๒.หนังสดี าเกาะ หางเสือมา ระยอง ๓.ลงิ ขาววา่ ยนํา้ ไตข่ ้นึ เสาจอหนัง อยธุ ยา เปน็ ต้น  เช่อื เร่ืองหนังสัตวแ์ ละลักษณะความตายทเ่ี กดิ ความขลงั “หนงั ตายพราย ถูกฟูาผา่ ตาย ออกลกู ตาย” 18สรปุ การแสดงทางวัฒนธรรมครง้ั ท่ี ๑๒, ศูนยม์ านุษยวิทยาสริ นิ ธร (องค์กรมหาชน), หนงั ใหญ่วดั บ้านดอน [ออนไลน์], ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗. แหล่งท่มี า http://www.sac.or.th 19สัมภาษณ์ วลั ลภ แสงอรุณ,(นายหนังวดั บา้ นดอน ระยอง), ๒๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๗.

55 พระมหากษัตริยค์ อื สมมตุ ิเทพ แสดงหนังใหญน่ ิยมเล่นเร่ืองรามเกียรต์ิ ซ่ึงเปน็ วรรณกรรมเทิดพระเ กียรต์ิ พระมหากษตั ริยไ์ ทยตาม ความเชอื่ ในศาสนาพราหมณ์ที่วา่ พระมหากษตั ริยไ์ ทยทุกพระองคท์ รงเป็นพระนารายณ์ อวตารมาเพอื่ ปกครอง และทํานุบาํ รุงบา้ นเม่ือให้มีความสงบสขุ โดยทว่ั กัน เช่ือในหลักคาํ สั่งสอนของทุกศาสนา ธรรมมะชนะอธรรม ความดีย่อมชนะความช่วั ความเชอ่ื นเี้ ปน็ บทสรุปตอนจบของการแสดงชดุ เบิกโรง เช่น จับลิงหัวคํ่า ลงิ ขาวกบั ลิงดาํ เป็นต้น หนังไมเ่ ลน่ ถ้าไมไ่ หวค้ รู ผเู้ ล่นหนงั ถือว่าการไหวค้ รูเปน็ ของสาํ คัญมาก เขาจะไม่เล่นหนงั ถา้ การไหว้ครู (เบิกหนา้ พระ)ไม่ไดท้ ํา ครบพธิ ี ไม่เลน่ ตอนลม้ ไม่เลกิ ตอนตาย ผเู้ ล่นถือมากว่าจะไมเ่ ล่นตอนตาย หรือเรียกตามภาษาหนังวา่ “ลม้ ” แม้จะสลบกต็ ้องให้ฟนื้ กอ่ น เช่น ตอนพระลกั ษณถ์ ูกศรนาคบาศและศรพรหมมาสตรจ์ ะหมุดตอนน้ันไมไ่ ด้ ต้องเลน่ ถงึ ตอนฟนื้ ก่อน มเิ ช่นนั้นจะมี อันเป็นไปในทางไม่ด2ี 0 เชื่อผี เจา้ ทีเ่ จ้าทาง ก่อนต้ังจอหนังขุดเสาปักจอทกุ ครัง้ นายหนงั หรื อหวั หน้าคณะหนงั ใหญ่ จะทําพธิ ีขอขมาเจา้ ทเ่ี จ้าทาง ทกุ ครงั้ เพราะมคี วามเช่ือว่ามีส่ิงศกั ดิ์สิทธ์ิ ดวงวิญญาณเจ้าที่เจา้ ทางสงิ สถิตย์คมุ้ ครองสถานท่ีบรเิ วณนั้น สําหรับการตง้ั เสาปักจอ ที่ชมุ ชนหนังใหญ่วดั สวา่ งอารมณ์ สิงห์บุรีนัน้ จะต้องทําพธิ ีขออนุญาตเจ้าที่ เจา้ ทางเสยี ก่อนจึงเร่ิมลงมอื เรยี กวา่ ชมบ มลี ักษณะเปน็ กระทงกาบกลว้ ยประดับด้วยดอกไม้ธูปเทียน 20 ผะอบ โปษะกฤษณะ, ความเป็ นมาของหนังใหญ่วดั ขนอน (อ้างถงึ การสมั ภาษณ์นายประสบ วงศ์จีน) เอกสารประกอบการประชมุ วิชาการ การศกึ ษากบั การถา่ ยทอดวฒั นธรรม กรณศี กึ ษาหนังใหญว่ ดั ขนอน, หน้า ๕๔

56 ชมบ ผีเงาผหู้ ญิงยุคก่อนอยุธยา คําวา่ ชมบ ใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ผผี ูห้ ญิงที่ตายในปุาและสงิ อยู่ในบริเวณทตี่ าย มีรปู เหน็ เป็นเงา ๆ แต่ไม่ทําอนั ตรายใคร, ฉมบ หรือ ทมบ กว็ ่า สรปุ ความวา่ เป็น ผเี งา ในกฎหมายลกั ษณะเบด็ เสรจ็ (ตอนทา้ ย) ตราขนึ้ เม่อื พ .ศ.๑๗๖๘ ก่อนการสถาปนากรุงศรอี ยุธยาขน้ึ ใหม่ เมอื่ พ .ศ.๑๘๙๓ ถงึ ๑๒๕ ปี ยคุ อโยธยาศรรี ามเทพนคร21 มีเน้ือหาเก่ยี วกับความเชอ่ื เรื่อง ผีร้าย มชี อ่ื เรยี กในกฎหมายน้ีวา่ \"ฉมบ จะกละ กระสอื กระหาง \" กบั เรอื่ ง หมอผี ทเี่ รยี กชื่ อในกฎหมายนีว้ า่ \"แมม่ ดพ่อ หมอ\"คือคนผเู้ รียนร้เู วทวทิ ยาคมและกฤตยิ าคณุ อันทําใหถ้ ึงตายฉบิ หายดว้ ยอบุ ายตา่ งๆ22 หากรปู แบบการไหวเ้ จา้ ท่ี ชมบ สบื เนือ่ งมาจากครูเปีย ครูหนังเร่ ซึง่ เปน็ คนรุ่นอยธุ ยาตอนปลาย แหง่ วัดสวา่ งอารมณ์สงิ หบ์ รุ ี23 ทาํ ให้เกดิ ความนา่ สนใจวา่ สองประการคอื ประการแรก น่าจะมมี หรสพหนังใหญ่เลน่ กันมาตัง้ แต่ก่อนสมัยอยธุ ยา ในทร่ี าบลุ่มภาคกลาง อยุธยา ลพบุรี แห่งนี้ ด้วยปรากฎหลกั ฐานคาํ วา่ ชมบ ผีเงาผู้หญิง มาก่อนก่อตัง้ ราชธานี ประการทสี่ อง มีผีต้งั มากมายหลายชนดิ แตก่ ารแสดงหนงั ใหญ่เลอื กที่จะไหวบ้ ชู าใหค้ วามยาํ เกรงกบั ผชี มบ ซงึ่ เปน็ ผเี งาผหู้ ญิง มคี วามเกีย่ วขอ้ งกันตรงลกั ษณะการปรากฏกายใหค้ นเหน็ ในลักษณะเงา สว่ นหนงั ใหญ่ก็เปน็ การละเลน่ วา่ ด้วย “แสงเงา” เช่นกัน จงึ อาจเกรงว่าหากบอกกลา่ วเล่าความกอ่ นตั้งเสา เมอื่ ถึงเวลา แสดงหนังใหญ่แล้วผีชมบจะปรากฏเปน็ แสงเงารบกวน สว่ นการเลอื กผชี มบ ผีผู้หญิง มารว่ มพธิ ีกรรมน้ันเปน็ การนับถอื ใหเ้ กยี รติ สง่ิ ใดยิ่งใหญใ่ ห้กําเนิด มกั เรยี กแม่ ซึ่งเป็นเพศหญิงเสมอมา เช่น แม่น้ํา แมธ่ รนี แมพ่ ระคง คาฯลฯ แม้โลกความจรงิ ผูห้ ญงิ อาจไมม่ บี ทบาทเกี่ยวข้องกับการแสดงหนังใหญ่ตามคติพราหมณ์ชายเปน็ ใหญ่ แตโ่ ลกของวญิ ญาณความเช่อื และชนพ้ืนถิน่ กไ็ ด้ดงึ ชมบ ผผี ูห้ ญงิ มาเกีย่ วโยงได้อยา่ งลงตวั ดว้ ยการปูทางก่อนต้งั เสาไหวผ้ ีเจ้าถิ่น ก่อนเขา้ สู่พิธกี รรมไหว้ ผีเทพแบบพราหมณ์ในชว่ งเบิกหนา้ พ ระกอ่ นการแสดงหนงั ใหญ่ ความเชือ่ เป็นเรอ่ื งยากตอ่ การพิสูจนเ์ ชิงวิทยาศาสตร์ เป็นประสบการณ์โดยตรงของผู้ประสบเหตุ หรือ เช่ือสืบเนือ่ งตามกนั มา จงึ มีคําวา่ ไมเ่ ชื่ออยา่ ลบหลู่ เป็นขอ้ เตือนสติ แต่ความเชื่อสง่ ผลดหี ลายประการ ในแง่ ของคตธิ รรมและการเตอื นสติ 21 ผู้วิจัยสันนิษฐาน 22 สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ. “อา่ นแผน่ ดินฯ”, มตชิ นสุดสปั ดาห์(๑๕ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๔๖) ปที ่ี ๒๓ ฉบบั ท่ี ๑๒๐๐. 23 ในช่วงเวลา พ.ศ.๒๓๙๙ ครเู ปียนา่ จะตอ้ งมีอายุไม่ตํา่ กว่า ๗๔ ปี เพราะต่างเล่าสืบกนั มาว่าเป็นคนยคุ ปลายกรงุ เกา่ (ผู้วิจยั )

57 หนังครูทําไมตอ้ งทําจากหนังเสือ หนังหมี เพราะความเป็นครู หรือการแสวงหาครทู ีด่ ีมีความรนู้ ัน้ ยาก ยง่ิ ด่งั การหาผนื หนังสัตวท์ ่มี อี ํานาจและบารมี ทหี่ นังครูฤาษี จะไมว่ างทบั หรือใกล้กบั หนังครพู ระอศิ วรและหนงั ครพู ระนารายณ์ เพราะตามหลกั ธรรมชาติ กลน่ิ สาปหนังเสืออาจไปทาํ ปฏกิ ริยาทางเคมีกับหนังหมี หรอื หนังวัวก็ได้ จนถทาํ ให้หนังย่นเปล่ียนรปู ทีเ่ ชอ่ื ว่าหนงั ทกุ ตัว เปน็ เสมอื นครู ไมค่ วรเดินข้าม ตั้งไวใ้ นทเ่ี หมาะสมนั้น เป็นสิง่ ดีง ามทศ่ี ิลปนิ ควร กระทาํ เพราะหนังแต่ละตวั เปน็ ส่งิ ที่บอบบางง่ายตอ่ การชํารดุ หากไม่ทะนถุ นอม แต่ละตัวกว่าจะทาํ ขึ้นมาก็ ยาก มมี ลู คา่ ทางใจมาก ทวี่ า่ หนังกบั ไฟไมถ่ กู กัน เชน่ ไฟไหม้ หนังนครไหว ท่ีโรงละคอนศลิ ปากร, วัดบางนอ้ ย สมทุ รสงคราม น้นั เปน็ เครื่องเตอื นสตใิ หร้ ะแวดระวงั ภยั ไมป่ ระมาทเลนิ เล่อ ความจรงิ สาเหตุของไฟไหมเ้ กิดจากคนท้งั นั้น24 ส่วนความเชอ่ื เรื่องหนงั สใี ชเ้ ลน่ งาน มงคล หนงั ขาวดาํ ใชเ้ ล่นงาน อวมงคลน้นั เปน็ เรือ่ งของกาลเทศะ คตคิ วามเชอ่ื ของสังคมไทยวงกว้าง ส่งิ ที่มีหลากสียอ่ มสร้างความรนื่ รมยใ์ นการพบเห็นมากกว่าสขี าวดํา สําหรับกรณคี วามเชื่อเร่ืองหนงั มีชวี ิต หนงั หนมุ าน ว่างนํ้ากลบั วดั หนงั สดี าเกาะหางเสอื เรือมาระยอง และหนงั ลิงขาวปีนเสาจอได้ เปน็ ประสบการณท์ มี่ ผี ูพ้ บเห็นจริง เปน็ ความมหศั จรรย์ยากต่อพสิ ู จน์ทาง วทิ ยาศาสตร์ จึงขอยกเว้นเปน็ กรณพี เิ ศษ เกบ็ หนังใหญไ่ ว้ท่ีวดั เช่ือกันวา่ หนงั ใหญน่ น้ั ครแู รง หรอื ทีเ่ รียกกนั วา่ ครูหนัง จงึ ไมน่ ยิ มเกบ็ รักษาไว้ท่บี ้าน ถึงแมว้ ่าหลาย ชุมชน ผู้ทีเ่ ปน็ เจ้าของ หนงั ใหญจ่ ะเปน็ ชาวบ้าน เช่น หนังใหญค่ รดู ี อัมพวา ก็ไปเกบ็ หนังใหญ่ไว้ท่วี ดั ราษฎร์ บูรณะ สมทุ รสงคราม และครฉู ิง่ พจนีย์ ก็นาํ หนังใหญข่ องตนเองไปเกบ็ ไว้ทีว่ ัดพระญาติการาม อยุธยา และ หนังใหญว่ ดั บ้านอฐิ อา่ งทอง อาศยั บารมีของสมภารเจา้ อาวาสและสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ภายในวัดช่วยคมุ้ ครองปูองกัน รักษาตัวหนงั และเคร่ืองประกอบการเล่นหนัง หากมองในเชิงบวก ผู้คนในชุมชนยอ่ มมคี วามรสู้ กึ ว่าหนงั ใหญ่ เป็นสมบตั ิของรว่ มกัน และในบรเิ วณวัดเอื้อประโยชน์สะดวกตอ่ การถ่ายทอด การฝกึ ซ้อม รวมถงึ เปน็ เหมอื น ตวั อย่างให้ผูท้ ีม่ าวดั เกิดความประทบั ใจและว่าจ้างคณะหนงั ใหญ่ไปแสดงงานตา่ งๆตามความเหมาะสม ๒.๗ ลําดับขั้นตอนการแสดง แบ่งเป็นหนงั กลางวัน และกลางคนื ดงั นี้ การแสดงหนงั กลางวัน หรือระบําหนา้ จอ ๑. ระบาํ สบ่ี ท ๒. ชุดเมขลา รามสูร 24 สัมภาษณ์ วรี ะ มีเหมอื น (ครูหนงั ใหญ่ จ.อา่ งทอง), ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๕๗.

58 ทง้ั น้ไี ม่มีหลกั ฐานระบวุ ่าโหมโรงหนังใหญต่ อนกลางวนั ใชเ้ พลงอะไรและเรยี งลาํ ดับเพลงเหมอื นโหม โรงหนงั ใหญ่กลางคนื หรือไม่ ตามธรรมเนยี มปฏิบัติแลว้ อย่างไรเสยี คงตอ้ งมโี หมโรงก่อนการแสดงทุกครั้ง การแสดงหนังกลางคืน ๑. ปพี่ าทยโ์ หมโรงหนังใหญ่ ๒. เบิกหน้าพระ ๓. เบิกโรง ๔. เข้าเรื่องรามเกยี รติ์ (ตอนหรือศกึ ใดตามเหมะสม) หนงั กลางวัน หนังใหญก่ ลางวันหรอื หนังระบาํ หนา้ จอนั้น เป็นการเชดิ หนงั ใหญ่สีหน้าจอเลียนแบบอยา่ งชดุ ระบํา สมเดจ็ ฯกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงอธบิ ายหนังจบั ระบําหน้าจอ ไว้วา่ “อน่ึง ทเี่ รยี กวา่ หนังจบั ระบําหนา้ จออยา่ งโบราณนั้นคือ เลน่ ต้ังแต่ เวลาบ่าย ใชห้ นังทเี่ รียกชอื่ ว่า คเนจรพระ คเนจรนาง ตัวน างนั้นระบายสี ตัดเสน้ เขียนโดยงดงาม เพราะใช้เล่นในตอนกลางวัน คน เชิดหนังระบํานนั้ นุง่ ผ้ายกหรอื ผ้าเกี้ยว สวมเสื้ออย่างนอ้ ย คาดเข็มขดั โพกผา้ ขลบิ แลว้ เชิดพระกบั นางเปน็ คๆู่ กันไป คนรอ้ งกร็ ้องบทระบํา คือ รําพระทอง บะหล่มิ เบ้าหลดุ สระบหุ ร่ง คนเชิดกท็ ํา ทา่ ทางตา่ งๆไปตามบท แลว้ กเ็ ชิดหนังนางเ มขลา รามสูร 25 อรชุน ออกมาเลน่ ตามเร่ืองของระบาํ พอ เวลาพลบคํา่ จึงจับเล่นเรือ่ งต่อไป” ระบําส่ีบทเป็นระบาํ ทยี่ กย่องกนั มาแตโ่ บราณ สนั นิ ษฐานว่ามีมาตง้ั แต่สมยั สุโขทยั แตไ่ มม่ ีหลักฐาน ปรากฏเดน่ ชัด แตล่ ะบทนน้ั จะมที าํ นองเพลงและการขับรอ้ งทแี่ ตกต่างกันออกไป ผแู้ สดงจะรําไปตามทาํ นอง เพลง และแสดงกิรยิ าท่าทางตามบทร้องทปี่ รากฏอยู่ในแตล่ ะเพลง เหตุที่เรียกระบาํ ชดุ นวี้ ่าระบาํ ส่บี ท ก็ เนอ่ื งจากมบี ทรอ้ งทงั้ หมด ๔ บท และมที ํานองเพลงแตกตา่ งกนั ๔ เพลงด้วยกัน ระบาํ สบ่ี ทเป็นระบํา มาตรฐานซ่งึ ประกอบด้วยบทรอ้ งและทาํ นองไดแ้ ก่ พระทอง,เบ้าหลุด,สระบุหรง่ และบะลิ่ม 25 รามสูร หรอื ปรศุราม เป็นชอ่ื ของยักษต์ นหนงึ่ ซึง่ มีฤทธ์ิเดชมาก ตามตาํ นานความเชอ่ื กลา่ ววา่ รามสรู มอี ทิ ธิฤทธ์มิ ากมาย กายสีดํา ปรากฏในวรรณกรรมรามเกยี รต์ิ สองคร้ัง

59 รวมเรียกวา่ “ระบาํ สบ่ี ท” ระบําชุดนย้ี กยอ่ งกนั วา่ เป็นระบาํ แบบฉบบั เรยี กว่า “ระบาํ ใหญ่” มกั จะ นาํ ไปประกอบการแสดงโขน เชน่ ระบาํ เทพบุตรนางฟาู ในตอนตน้ ของชดุ “นารายณป์ ราบนนทกุ ” หรอื ชุด “เมขลา –รามสรู ” หรือในตอนแสดงความยินดีเม่อื ผู้ทรงฤทธิ์ได้ปราบอสูรและยักษร์ า้ ยพ่ายแพ้ไป แต่เดิมบทร้องและทํานองเพลงนน้ั คอ่ นข้างยดื ยาว และกนิ เวลาแสดงนานมาก มาในสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทรจ์ งึ ไดต้ ัดตอนบทรอ้ งให้สนั เขา้ ตามบทพระราชนพิ นธ์ในพระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๔ ดงั ต่อไปนี้ ปพี่ าทยท์ ําเพลงโคมเวียน เพลงพระทอง เมื่อนั้น ฝาุ ยฝงู เทวาทุกราศี ท้ังเทพธดิ านารี สขุ เกษมเปรมปรดี เิ์ ปน็ สุด เทพบุตรจบั ระบําทาํ ท่า นางฟาู ราํ ฟอู นอ่อนจริต ราํ เรยี งเคียงเข้าไปให้ชดิ ทอดสนทิ ตดิ พนั กลั ยา แลว้ ตวี งเวยี นเปล่ยี นซา้ ย ไลต่ ีวงเวยี นเปล่ยี นขวา ตลบหลังลดเลี้ยวลงมา เทวญั กลั ยาสาํ ราญใจ เพลงเบา้ หลดุ เมือ่ นัน้ นางเทพอัปสรศรีใส รําล่อเทวาสภุ าลยั ทว่ งทีหนีไลพ่ อไดก้ นั เทพบุตรฉุดฉวยชายสไบ นางปดั กรค้อนให้แล้วผนิ ผนั หลีกหลบลดเลย้ี วเกย่ี วพัน เหยี นหนั มาขวาทาํ ท่าทาง ครัน้ เทพเทวัณกระช้นั ไล่ นางชมอ้ ยถอยไปเสียใหห้ ่าง เวยี นระวนั หันวงอย่ตู รงกลาง ฝงู นางนารกี ็ปรดี า เพลงสระบหุ รง่ เมือ่ นนั้ ฝาุ ยฝูงเทพไทถ้วนหนา้ ราํ เรยี งเคยี งค่ันกลั ยา เลี้ยวไล่ไขวค่ วา้ เปน็ แยบคาย เทพบุตรหยุดยืนจบั ระบาํ นางฟาู ฟอู นราํ ทําฉุยฉาย ทอดกรออ่ นระทวยกรดี กราย เทพไทท้ังหลายกเ็ ปรมปรดี ์ิ

60 เพลงบลิ่ม เมื่อนั้น นางฟูาธิดามารศรี กรายกรออ่ นระทวยทง้ั อนิ ทรีย์ ดัง่ กินรรี ําฟูอนร่อนรา แล้วตีวงลดเลี้ยวเกย่ี วกล ประสานแทรกสันสนซา้ ยขวา ทอดกรงอนงามกิริยา เทวาปฎพิ นั ธก์ เ็ ปรมปรดี ิ์ ปี่พาทยท์ าํ เพลงช้า – เรว็ ระบาํ หนงั กลางคนื การแสดงกลางคนื ต้องมีการเบิกหนา้ พระก่อน ต่อจากนัน้ หนงั ใหญจ่ ะต้องแสดงเร่อื งสน้ั ๆ เปน็ การเบิก โรงเสยี ตอนหน่ึงกอ่ น แลว้ จึงจบั เรือ่ งใหญ่แสดงตอ่ ไป ตามเนอื้ เรอ่ื งตอนใดตอนหนง่ึ ในเรือ่ งรามเกียรติ์ เร่อื งทใ่ี ช้ แสดงตอนเบกิ หน้าโรงแต่โบราณมาปรากฏวา่ มีอย่หู ลายเรอื่ ง เชน่ บอ้ งตนั แทงเสือ หัวล้านชนกนั แทงหอก (ชวาแทงหอก) และจับลิงหวั คํ่า เป็นตน้ แตใ่ นสมยั หลงั นีแ้ สดงกนั แต่ชดุ จับลิงหวั คาํ่ โดยมากคร้นั หมดชุดเบิก โรงแล้ว จบึ งเรม่ิ แสดงเร่อื งรามเกียรต์ิ ในตอนต่างตามทกี่ ําหนดไว้ หนงั กลางคืนจะเริ่มจากปี่พาทยบ์ รรเพลงชดุ โหมโรงหนังใหญ่ การเรยี งเพลงเหมือนกบั โรงเย็นคอื เรม่ิ จาก สาธุการ ตระ รวั ลาเดียว ตน้ เขา้ มา่ น เข้าม่าน ปฐม ลา และมาหยดุ ท่เี พลงเสมอ แล้วเข้าสพู่ ิธเี บกิ หน้าพระ หรือไหว้ครูหนงั ใหญ่ ตอ่ ดว้ ยการแสดงเบกิ โรงจับการแสดงเร่อื งสัน้ ๆ อย่างจบั ลงิ หวั คํา่ และจงึ แสดงเข้าเรอื่ ง รามเกียรต์ิ ตอนใดศกึ ใดก็ตามความเหมาะสม เบกิ หนา้ พระ ครูผเู้ ปน็ เจ้าของคณะหนังใหญ่หรือนายหนัง จะนําหนงั เจา้ หรือหนงั ครูคือ พระฤาษี พระอิศวร พระ นารายณ์ นาํ เอาออกมาปกั ไวห้ น้าจอ พระนารายณ์อยดู่ ้าน ซ้ายมือ พระ ฤาษีอยูก่ ลาง พระอิศวรอยดู่ า้ นขวามอื ของจอหนงั เงนิ กาํ นนจากเจา้ ภาพ แต่กอ่ น ๖ เฟื้อง แลว้ มาเปน็ ๖ บาท และเทียนขี้ผ้ึง ๓ เลม่ หวั หมูกับ บายศรีปากชามเป็นสาํ คญั นอกนี้บางชมุ ชนอาจ เพ่มิ เตมิ ด้วยการนําพวงมาลยั คล้องที่ตวั หนัง มะพร้าวออ่ น ๑ ลกู ขนมตม้ แดงขนมต้มขาว ๑ จาน กลว้ ย ๑ หวี เหลา้ ขาว ๑ ขวด และ ขนั นาํ้ มนต์ ๑ ขัน พอต้งั ตวั หนัง เตรียมเครือ่ งบัดพลแี ละคนเชิดหนงั แต่งตัวเรียบรอ้ ยมานงั่ บรเิ วณท่ีจะกระทําพิธี ซึง่ อยหู่ นา้ จอหนังแล้ว หัวหน้า คณะหรอื นายหนงั จะเป็นผ้เู ร่ิมต้นกระทาํ พิธีพร้อมกับปี่พาทยข์ ึน้ เพลงสาธุการโหมโรง โดยจุดเทียน ๑ เล่ม ใหก้ ับครปู ี่พาทย์เพ่ือไปตดิ ทต่ี ะโพน เพราะถอื วา่ เปน็ ครใู หญ่หรือเครอื่ งดนตรีแทนพระประโคนธรรพ์

61 โดยพธิ ีจะเร่ิมดว้ ยอ่านโองการเบิกหนา้ พระ นายหนังหรอื ครูผนู้ าํ พิธกี ็กลา่ วนมัสการตามพธิ จี ุดเทยี น อกี ๒ เล่ม ตดิ ตรงปลายไมค้ าบหนงั ตับหน้า ของรปู พรอศิ วร และพระนารายณ์ ซ่งึ อยู่ตรงปลายศรพอดี พวก แสดงหนังในโรงจะโหข่ ้ึน ๓ ลา ป่พี าทย์บรรเลงเพลงเชดิ ผู้เป็นครูนาํ หนงั ฤษเี ขา้ เกบ็ ในโรง คนเชิดหนงั ๒ คน จบั หนงั พระอิศวร พระนารายณข์ ึน้ เชิด ออกมาพน้ จากจอ ทาํ ท่าทางสกั ๒ – ๓ ท่า ไม่มากนกั (จะเป็นทา่ ทาง ในรปู แบบของตวั พระ คือไมม่ กี ารเต้น ไม่มีการเก็บในฉบบั ของยักษ์และลงิ ) แลว้ จึงนําหนังเจ้าเข้าทาบจอ ดังเดมิ ป่พี าทยห์ ยุดบรรเลง คนพากยจ์ ึงเร่มิ พากย์ ๓ ตระ ซ่งึ มี ๓ ทวยดว้ ยกนั เริม่ ทวยที่ ๑ และเมอื่ จบทวยที่ ๑ คนพากยจ์ ะบอกหนา้ พาทย์ว่า “ทวย” ปี่พาทยบ์ รรเลงเพลงเชดิ คนเชิดนําหนงั แผลงทั้งคู่คอื หนังพระอศิ วรและหนังพระนารายณอ์ อกมาเชิดอีก ทําทา่ ทางเหมอื นกับครั้งแรกใน ตอนไหว้ครู แล้วเอาเข้ามาทาบจอ ป่พี าทย์บรรเลง คนพากย์กเ็ ร่มิ พากยท์ วยที่ ๒ และเมื่อจบทวยที่ ๒ คนพากยจ์ ะบอกหนา้ พาทย์ “ทวย” ปีพ่ าทย์ บรรเลงเพลงเชิด คนเชิดจะนําหนงั แผลงทั้งค่อู อกมาเชดิ อกี ครง้ั แต่ เป็นการเชดิ รบกันในลกั ษณะเบาๆ คอื คน เชดิ ท้ังคู่ หนั หน้าหนงั เข้าประจันหน้ากั นแลว้ เอาข้างตวั หนังตกี นั เบาๆข้างขวาทีหนึ่ง – ข้างซ้ายทหี น่ึง แลว้ เอา ข้างมาทาบจอเหมอื นเดิมปพ่ี าทย์หยดุ บรรเลง คนพากย์กเ็ ริ่มพากยท์ วยท่ี ๓ และเม่ือจบทวยท่ี ๓ คนพากย์บอก “ทวย” ครงั้ สดุ ท้าย คนคมุ รา้ นเพลงิ ก็จดุ ใตเ้ รง่ ไฟให้ลุกโพลงขึ้นพรอ้ มกับปพี่ าทยบ์ รรเลงเพลงเชดิ คนเชิ ดก็เชญิ หนงั แผลงท้งั คอู่ อกมาเชิด เป็นครงั้ สุดท้าย ในตอนนี้จะเชิดรบกนั โดยหนั หน้าเขา้ หากัน แล้วเอาข้างตวั หนังตีกันเบาๆ ข้างขวาทีหนึง่ ขา้ ง ซ้ายทีหนงึ่ แล้วสบั เปล่ยี นท่ีกนั หนั หนา้ เขา้ หากนั เอาขา้ งตวั หนังตีกันอกี คร้งั หน่งึ โดยเอาขา้ งขวาตีทหี น่งึ ขา้ ง ซ้ายตที หี นึ่ง แล้วลงเหลยี่ มทั้งสองขา้ ง เชดิ หนังเขา้ ทางดา้ นซา้ ยมือของจอ เปน็ อนั วา่ จบตอนทีเ่ รยี กวา่ “เบิก หนา้ พระ” จากนั้นเป็นการแสดงชุดเบิกโรง นยิ มเล่นชุด “จบั ลิงหัวคํา่ ” เบกิ โรง ก่อนการเล่นหนงั ใหญ่ จะตอ้ งมกี ารเล่นเบกิ โรงเรือ่ งส้ันๆเพอ่ื อนุ่ เครื่องเรียกผู้ชมใหเ้ กิดความสนใจ โดย การเลอื กเร่อื งท่ีจะนํามาเลน่ นั้น เน้ือหาอาจไมม่ สี ่วนเก่ียวข้อง กับเรือ่ งรามเกยี รตก์ิ ไ็ ด้ เดมิ มีเบกิ โรงหลายเรอ่ื ง อาทิ จระเข้เหนือใต้ ซ่ึงตวั หนังใหญ่ชุดน้ียังมีอยทู่ วี่ ดั บางนอ้ ย สมุทรสงคราม แต่ไม่ทราบเนอื้ เรื่องวา่ ดําเนิน

62 อย่างไร นอกจากน้นั ยงั มเี บกิ โ รงชุด หัวล้านชนกัน คอื เอาคนหัวล้านจริงๆมาชนกัน แตท่ น่ี ิยมสืบเนอ่ื งมากค็ ือ ชดุ จบั ลงิ หัวคํา่ สาํ หรับการแสดงเบิกโรงชดุ จบั ลงิ หวั ค่าํ น้ัน ในตอนลงิ ขาวจับลงิ ดํา จะจับกันถงึ ๓ คร้งั การจับ ๒ คร้งั แรก จะเปน็ การจบั หลุด และจะจบั ไดใ้ น คร้ังที่ ๓ ขณะท่ีลงิ ขาวกําลงั ไลจ่ บั ลิงดาํ น้นั เคร่ืองดนตรจี ะใช้เพยี งปี่ กับกลองเล็ก เปน็ ช่วงทแี่ สดงความสามารถของคนเปาุ ปี่ ทํานองของปีใ่ นชว่ งนี้ คนดหู นังจะได้ยนิ เสยี งวา่ “จับ ได้ตีใหต้ าย” หลงั จากทีพ่ ระฤๅษใี หล้ ิงขาวปลอ่ ยลงิ ดาํ แล้ว ก็จะมกี ารซักถามเรอ่ื งและตอน ทจี่ ะนาํ มาแสดงหนงั ใหญ่ คนพากย์จะเลา่ เร่ืองยอ่ ๆ ใหผ้ ู้ฟังทราบ จากน้ันจะเริ่มการแสดงกอ่ นจะแสดงนัน้ พระฤๅษจี ะขอพร ดังน้ี “ศรีศรีขอให้พรม่ิงสวัสดมี ีชยั ไปเล่นท่ไี หนให้มีชัยชนะทนี่ ั่น จงปล่อยลิงดําไปยงั ทิศพายัพ ลงิ ขาวจงย้อนกลับ ไปทางทศิ บูรพา ฝาุ ยองคพ์ ระนกั สิทธิฤทธา ก็กลบั หลังเขา้ ยังบรรณศาลา บดั น้ี ” (พิณพาทย์บรรเลงรวั ) เม่อื คนพากย์ พากยบ์ ทไหวค้ รูท้ัง ๓ ทวย จบแลว้ หัวหน้าคณะจะเจมิ หนงั เจ้า และเชิดหนังไปเกบ็ ไวใ้ นโรง เป็น อนั เสร็จพิธี เพลงทปี่ ีเ่ ปาุ ประกอบการแสดงเบกิ โรง ชดุ จบั ลิงหัวคาํ่ นี้ คือเพลงเชิดนอก ท่ตี อ่ มาคตี กวหี ลายท่านได้ นํามาสร้างสรรคเ์ ป็นเพลงเดี่ยวยอดนยิ ม สาํ หรับเครอื่ งดนตรีไทยชนดิ ตา่ งๆเกือบทุกชิ้น เมอื่ จบการแสดงชดุ เบกิ โรงแลว้ กเ็ ล่นเรือ่ งใหญ่ คือเร่อื งรามเกยี รต์ิ ตามชุดท่กี าํ หนดตอ่ ไป ๒.๘ รูปแบบการจัดการแสดง รูปแบบการแสดงหนงั ใหญ่ มักนิยมแสดงกลางแจง้ ช่วงเวลากลางคืน เป็นมหรสพที่เล่นเฉพาะงาน ใหญ่งานสาํ คญั ทง้ั ในงานพิธหี ลวง และพธิ ีราษฎร์ เพื่อใหเ้ ห็นความหลากหลายและพัฒนารูปแบบการจัดการ แสดงของหนังใหญ่ จึงแบ่งเปน็ ๒ รปู แบบหลักดังนี้ ๒.๘๑ หนงั ใหญง่ านหลวง หนังใหญ่งานหลวง จะแสดงในในงานพระราชพิธฉี ลองสมโภช งาน ออกพระเมรุมาศ26 ทัง้ ในพระนคร และหวั เมอื งตา่ งๆ เชน่ ฉลองส มโภชพระพทุ ธบาท สระบรุ ี , พระแก้วมรกตฯ, ฉลองวัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลา รามฯ, วดั มหาธาตุ ชยั นาท, วัดพระนอนจกั รสีห์ สิงห์บุรี และเม่ือ พ.ศ. ๒๕๕๑ งานออกพระเมรุ สมเด็จพระ เจา้ พี่นางเธอ เจา้ ฟูากลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราชนครนิ ทร์ โดยกระทรวงวฒั นธรรม เป็นตน้ การ 26 การจัดแสดงมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุ ถอื ว่าเป็นประเพณีท่ีมีมาแตโ่ บราณ ซึ่งเปน็ ส่วนหนึง่ ของงานออกทกุ ข์ และถอื เป็นการแสดง แสนยานุภาพของพระมหากษตั รยิ ์

63 แสดงมีท้ังคณะหนังใหญก่ รมมหรสพ วังหลวง วังหนา้ เจา้ นาย รวมถงึ คณะหนังใหญ่ราษฏร วัดและบา้ น ร่วม สมทบ ๒ โรง ๙ โรง ๑๒ โรงบา้ ง แลว้ แต่ความประสงค์ของผูด้ ําเนินการจัดงาน บางงานพระราชพิธี มีหนังใหญ่ช่องระทา หรือหนังขนาดกลาง แสดงอยู่ระหว่างชอ่ งไฟระทา เมื่อถงึ ชว่ งเวลาจดุ ไฟระทาหนังใหญ่ก็จะหยดุ การแสดงชว่ั ขณะเพือ่ ไม่แข่งกบั เสยี งดงั อึกทกึ และใหโ้ อกาสคนดไู ดช้ ม ดอกไม้ไฟส่องสวา่ งบนท้องฟาู บางงานมี หนงั ประชนั คอื ตง้ั จอหนังประชันกัน ใครไดม้ คี นดูมากกว่า หรือคน พากยเ์ จรจาได้ตลกสนกุ สนานเหนือกว่าเจา้ ภาพกจ็ ะตบรางวลั ใหก้ ันเป็นพิเศษ ๒.๘๑ หนงั ใหญง่ านราษฎร์ หนงั ใหญง่ านราษฎร์ มีลกั ษณะการแสดงไม่แตกต่างจากงานหลวงคือ งานฉลองวัด ฉลองพระ งาน ประจาํ ปี รวมถงึ งานศพพระสงฆ์ คหบดี ผู้มฐี านะ เปน็ ทน่ี ่าสังเกตวา่ หนังใหญเ่ ขา้ ไปมีส่วนรว่ มในงานท่ี เก่ียวข้องกับวิถีชีวิตสามญั ชนเฉพาะงานศพ ถือเปน็ การแสดงความยิง่ ใ หญค่ รัง้ สดุ ทา้ ยใหแ้ ก่ผ้วู ายชนพ์ ท่านผนู้ ี้ อาจเป็นผอู้ ุปภัมป์ ผชู้ ่นื ชมช่ืนชอบ อยู่ในชมุ ชน ญาติสนิทมิตรสหายเป็นศลิ ปินหนงั ใหญ่ก็เปน็ ไปได้ หนังใหญ่ ขาวดาํ จงึ ดเู หมาะสมกบั งาน หนังไฟแสงเงา ใหท้ ้ังคตโิ ลก คตธิ รรมกบั ผู้ชมทม่ี าร่วมงาน ถา้ ดภู ายนอกกไ็ ด้ ความบันเทิงสนุกสนานคลายทุกขโ์ ศก ถา้ เพง่ พนิ ิจภายใน กจ็ ะเห็นธรรมมะหลายประการ เกิดคาํ เรียกวา่ “หนังหนา้ ไฟ” มีความหมายเปน็ ๒ นยั ยะ คอื หนังใหญท่ ่แี สดงในงานศพ และ ผู้เชดิ หนงั ที่ตอ้ งเชิดหนงั อยใู่ กล้ ไฟ ย่อมต้องได้รับความร้อนจากไฟมากกวา่ คนอ่ืน จนตอ่ มากลายเป็นคําสํานวนไทยเทยี บเปรยี บเปรย หนงั เร่ เปน็ วถิ หี น่งึ ของการแสดงไทยฉบบั ราษฏร์หลายชนิด อาทิ ละครเร่ ลเิ กเร่ รวมถงึ หนงั เร่ เปน็ ตน้ หนังใหญท่ ต่ี อ้ งแสดงเรน่ น้ั ส่วนหนึง่ เพ่ือความอยรู่ อดในชว่ งเวลาท่ีไมม่ ผี ู้มาว่าจา้ งงาน เพราะครเู จ้าของ คณะมักมีลูกศิษยท์ ม่ี าเรยี นนอนอยู่กันด้วยกนั เปน็ จํานวนมาก นอกจากน้ียังเปิดการแสดงหนงั เรแ่ บบเฉพาะ กจิ กลางทางระหว่างวันเดนิ ทางไปแสดงขา้ มหัวเมอื งต่างๆ เพราะสมัยก่อนใช้เวลาเดินทางกันหลายวัน ตอ้ งค้าง คนื หลายท่ี การแสดงหนงั เร่ จงึ เป็นท้ังการหารายได้ หรือขา้ วของเครื่องใชท้ ีผ่ ูช้ มนํามามอบให้เปน็ สินจา้ ง รางวัล และเป็นการฝึกซอ้ มก่อนการแสดงวนั งานจรงิ ๆอีกด้วย บางครั้งการแสดงหนงั เร่ เม่อื ไปอยแู่ ห่งหนตําบล ไหนนานกลางคืนกน็ อนกนั ในเรอื กลางวันกอ็ อกไปลงแขกชว่ ยงานชาวบา้ นตอบแทน หรือรับจ้างทํางานหวา่ น ไถ ตามสภาพวถิ ชี ุมชนนน้ั จนบางคนตง้ั หลักปักฐานอยูท่ นี่ นั่ เลยกม็ ี27 กรณีของครเู ปยี เจ้าของคณะหนังเร่ ชาว อยธุ ยา เป็นอีกหนึง่ กรณศี ึกษา ท่ีพาคณะไปเปดิ แสดงย่านบางมอญ อินทบรุ ี หรอื วัดสวา่ งอารมณ์ เมอื งสิงห์บรุ ี ในปจั จบุ นั ท้ายสดุ หลวงพอ่ เรอื ง อดตี เจ้าอาวาสฯ ซือ้ ตวั หนงั และเชิญครเู ปยี ให้อยสู่ อนวชิ าหนงั ใหญใ่ ห้กับ ผคู้ นในชุมชน จนสน้ิ อายขุ ัย ณ ท่ีแห่งน้ัน 27 สมั ภาษณ์ วรี ะ มีเหมือน (ครหู นังใหญ่ จ.อา่ งทอง), ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๕๗.

64 การจดั การแสดงหนังใหญ่ในปจั จุบนั ได้ย่นเวลา ย่อเรอื่ งให้กระชับฉับไว จากที่แตก่ ่อนเล่นกันทั้งคนื ก็ เหลอื เพยี งประมาณ ชวั่ โมงถงึ สองช่วั โมง นอกจากนน้ั เปน็ การแสดงสาธิตประกอบการอธิบายใช้เวลาไม่เกิน ช่วั โมง ทั้งในและนอกสถานท่ี อย่างทว่ี ดั ขนอน ราชบรุ ี จะมกี ารแสดงสา ธติ หนังใหญ่เปน็ ประจําทกุ วนั เสาร์ เวลา ๑๐.๐๐ น. และอาจเพ่ิมรอบวนั อาทิตย์ เวลา ๑๑.๐๐ น. ส่วนวดั บา้ นดอน ระยอง และวดั สว่างอารมณ์ สิงหบ์ ุรี ก็มีการแสดงสาธิตหนงั ใหญ่ โดยตอ้ งบอกล่วงหน้าก่อน นอกจากนยี้ งั มเี ทศกาลหนงั ใหญ่ ท่ีวัดขนอน ราชบรุ ี ท่จี ดั ช่วงสงการนต์ต่อเน่ื องมาทกุ ๆปี ตัง้ แต่ พ .ศ. ๒๕๔๘ จนถึงปจั จุบัน โดยบรรยากาศภายในงานเป็นวฒั นธรรมแบบดง้ั เดมิ ย้อนยุค ถา่ ยทอดการดําเนินชวี ติ ตามวถิ ขี องชาวไทยโบราณ โดยมีการละเลน่ และศลิ ปะแขนงต่างๆ อาทิ การเล่นหนงั ใหญแ่ บบโบราณ ด้วยการ เผากะลาเล่นไฟ ใช้แสงไฟจากกะลาในการแสดง และการแสดงวัฒ นธรรม ๔ ภาค อาทิ โขนล้านนา การแสดง หุ่นละครเลก็ ห่นุ คน หุ่นกระบอก ดเิ กร์ฮลู ู หนงั ตะลงุ จากภาคใต้ ลิเกย้อนยุค ฯลฯ28 สาํ หรับหนังใหญข่ องมหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑติ เปน็ หนงั ใหญร่ ว่ มยุคที่แสดง เป็นชุดส้นั ๆอยา่ งชดุ จับ นาง หนมุ านจบั นางสพุ รรณมจั ฉา สลับกบั การแสดงเชดิ หุน่ ก ระบอก บนเวทีหรืองานต่างๆ ที่ไม่ตอ้ งใช้จอหนัง ตงั้ ทาบเงา มีพากยเ์ จรจาเพยี งเลก็ น้อยก็ไดร้ ับอรรถรสที่แปลกใหม่เปน็ ทสี่ นกุ สนานตน่ื เตน้ สาํ หรับผชู้ มใน ปัจจุบนั หากใครมีความสนใจใครร่ ู้จกั หนงั ใหญท่ ี่มรี ปู แบบการแสดงอย่างดัง้ เดมิ ก็สามารถสง่ ตอ่ ใหไ้ ปชมกันได้ ที่ ชุมชนหนังใหญ่ท้ังสามวดั ของเมืองไทย ๒.๙ ดนตรี บทเพลง บทละคร ๒.๙.๑ ดนตรปี ระกอบการแสดง วงปีพ่ าทย์ไมแ้ ขง็ เคร่ืองหา้ และเคร่ืองคู่ ปีก่ ลาง กลองตง๋ิ และโกร่ง / อืน่ ๆ เกราะ ตะขาบ ม้าฬ่อ ซออู้ ๑. ประเภทวงดนตรี ทางกลาง ๒. เคร่ืองดนตรพี ิเศษ บรรเลงประกอบการแสดง ๓. ระดบั เสียงท่ีใช้ วงปีพ่ าทยต์ ง้ั หันหน้าเขา้ หาจอ ๔. รูปแบบการเลน่ ๕. ลักษณะการจดั วางวงดนตรี สาํ หรบั ดนตรปี ระกอบการแสดงหนังใหญ่นน้ั จะใช้วงปี่พาทยไ์ ม้แขง็ เคร่ืองห้า เคร่อื งคู่ เครื่องใหญท่ ่ี ไดร้ ับความนยิ มมากในปจั จุบันคอื ปีพ่ าทยเ์ คร่ืองคู่ ประกอบไปด้วยป่ี ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆอ้ งวง 28 ชมมหรสพเกา่ แก่บรรยากาศยอ้ นยุคช่วงสงกรานต์ ในงาน “เทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน” [ออนไลน์] ASTVผูจ้ ัดการ (๔ เมษายน ๒๕๕๕) แหลง่ ทมี่ า http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042851&TabID=2&

65 เล็ก เคร่อื งดนตรีดาํ เนนิ ทํานอง ตะโพน กลองทัด ๒-๓ ใบ29 เป็นเคร่ืองกาํ กับจังหวะ ฉ่งิ ฉาบ กรับและโหมง่ เป็นเครอื่ งประกอบจงั หวะ นอกจากน้ันยังมีเครื่องดนตรีท่นี ิยมเล่นเฉพาะการแสดงหนงั ใหญใ่ นอดีตหลกั ๆอกี ๓ ชน้ิ คือ ปี่กลาง กลองตงิ๋ และโกร่ง มเี สยี งสูงกวา่ ปี่ในหนง่ึ เสยี ง ศพั ท์ดนตรีไทยเรยี กวา่ ทางกลาง มาจากระดับจากเสยี งของป่ี กลางนั่นเอง ระดบั เสียงทสี่ ูงกวา่ นัน้ เอ้ือประโยชนใ์ นการ บรรเลงกลางแจ้งอยา่ งหนงั ใหญ่ และ เขา้ กับระดับ เสียงของผู้พากยเ์ จรจาท่ีเปน็ ผู้ชายท้ังหมด รวมถึงเดมิ ยงั ไม่มีเครือ่ งขยายเสียง การใ ช้ทางกลางที่มเี สยี งสูงจึง ช่วยใหผ้ ชู้ มได้ฟงั เสยี งดนตรชี ดั เจนย่ิงขน้ึ แต่ปัจจุบันปีพ่ าทยป์ ระกอบการแสดงหนงั ใหญ่จะใชเ้ สียงใน หรือทาง ใน ตามบันไดเสียงป่ีในกันทั้งหมด จึงเปน็ ทน่ี า่ สนใจว่า หากมคี ณะป่ีพาทย์ใดกลับไปใช้เสียงกลาง หรือป่ีกลาง ในการประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ อาจจะไดม้ ิตเิ สียงทีแ่ ตกตา่ ง และได้เสยี งประกอบเงาในอดีตกลบั มาอีกครัง้ สว่ นกลองตงิ๋ 30รูปทรงสันฐานคลา้ ยกลองทัดแต่มีขนาดย่อมลงมากลางๆ มขี นาดใหญ่กวา่ กลองตกุ๊ ของละครชาตรี ที่เรยี กวา่ กลองตงิ๋ คงเรยี กตามเสยี งตีท่ีไดย้ นิ นิยมตใี นชว่ งเดี่ยวปเี่ พลงเชดิ นอก ชุดจบั ลิ งหัวคํ่า ตอ่ มาจงึ ใช้กลองสองหน้า เขา้ มาตีแทน สว่ นช่วงเวลาการแสดงจะตีประกอบการจัดทพั หรอื ชว่ งออกเพลงเรว็ เนน้ จงั หวสั นกุ สนาน ข้อสงั เกตคอื กลองติง๋ จะเปน็ ของคนเชดิ หนังใหญไ่ ม่ใช่มากบั วงป่พี าทย์ เพราะเป็นกลอง ชุดเดยี วกับที่ใช้ฝึกซอ้ ม เมอ่ื นาํ มาเล่นจะตั้งไว้หลังจอโดยครู หนงั หรอื ผูท้ เ่ี ชยี่ วชาญทีว่ ่างจากการเชิดหนังจะ สลบั กนั มาให้จงั หวะหลักและสัญญาณพิเศษ เพ่อื สรา้ งความอุ่นใจดว้ ยเสยี งกลองท่ีคนุ้ เคยและบอกสญั ลกั ษณ์ ทา่ ทางการแสดง ปัจจบุ นั ไม่มใี ครใชก้ ลองต๋งิ แต่ยงั มเี ก็บไวเ้ ปน็ หลกั ฐานทค่ี ณะละครชาตรีบ้านเรืองนนท์ หลาน หลวง โกร่ง น้ันมีรูปรา่ งคลา้ ยเกราะ แตเ่ ป็นเกราะ ๓ ปลอ้ งไม้ไผเ่ จาะรรู ะบายเสียง เรียงติดกนั เป็นแนวนอน มีขาต้ังหวั ท้าย ใช้ตี ในการใหจ้ ังหวะเนน้ เตน้ ยํา้ เทา้ สร้างความแนน่ ใหก้ ับจังหวะ บางครัง้ เปน็ กุศโลบายให้คนดู มีสว่ นรว่ ม ลกู เดก็ เลก็ แดงท่ีอย่ใู นชุมชนระแวกท่ีไปดูหนงั ก็จะไดเ้ ข้ าไปนั่งข้างหนา้ แลว้ ตโี กร่งตามจังหวะท่ีนกั 29 ปัจจบุ นั นยิ มใช้แค่ กลองทดั ๒ ใบ เสียงสงู กบั ตา่ หรือ ต้มุ และต้อม ในอดตี มีถงึ ๓ ใบ ปรากฏหลกั ฐานในโน้ตเพลงเพลงเร่ืองฉบบั กรม ศลิ ปากร และกลองทดั บ้านเครื่องพาทยโกศล ธนบรุ ี (ผ้วู ิจยั ) 30 ในการแสดงหนงั ใหญ่มักเพ่มิ กลองตงิ๋ เข้ามาอีก ๒ ลกู รวมกับกลองทัดเดิมทมี่ อี ยูใ่ นวงป่ีพาทยเ์ ป็น ๔ ลูกด้วยกันซ่ึงเจ้าของคณะหนงั จะตอ้ งมไี ว้ เปน็ ของประจาํ และนํามาสมทบเขา้ รวมกับวงปพี่ าทย์ ตงั้ เรียงต่อจากกลองทัดไปทางขวามือของคนตี ดังน้นั ในวงป่ีพาทยจ์ งึ มีกลอง ๔ ลูก (บางวงใช้ กลองทัด ๓ ลูก กลองติ๋ง ๒ ลูก รวมเปน็ ๕ ลกู )

66 ดนตรเี ลน่ กนั อยู่ขา้ งๆ เปน็ การฝึกใหเ้ ดก็ ๆคนุ้ เคยกับการแสดง กล้าแสดงออก เดก็ คนไหนมแี ววจงั หวะแมน่ ก็ สามารถคดั สรรมาเปน็ นกั ดนตรหี รอื คนเชิดหนังได้อีก หรอื อกี นัยหนึง่ เป็นการหยง่ั เชิงเพราะเด็กทเ่ี ป็นลูกหลาน ศิลปนิ ในถนิ่ ทไี่ ปเล่นหนังใหญ่ ลว้ นเป็นลูกเสอื ลกู จะเข้คอื จะกลา้ เกนิ เดก็ ท่วั ไปอยู่แลว้ นักดนตรีจะสงั เกตได้วา่ เด็กคนไหนทีอ่ าสามาตีโกรง่ มพี น้ื ฐานทางดนตรมี ากอ่ น อาจจะค่อยๆสบื ถามวา่ เป็นลกู หลานใคร จากน้นั จึง หาทางผกู มติ รกบั ดนตรีในถ่ินโดยอาศยั เดก็ เป็นผ้เู ช่อื มความสัมพันธ์ โกร่งนอกจะเป็นเคร่อื งดนตรปี ระกอบหนงั ใหญแ่ ลว้ ยงั เปน็ เครอื่ งประกอบจังหวะการละเลน่ พน้ื บ้าน นอกจากนี้ สุจติ ต์ วงษ์เทศ ได้กล่าววา่ “...เครือ่ งประโคมหนังใหญ่ตอ้ งมีเคร่อื งตีอย่างหนึ่งเรียกโกรง่ ทําจากกระบอกไมไ้ ผย่ าวทั้งลํา ตีหลายคน สะท้อนลกั ษณะชุมชนด้งั เดิมดกึ ดาํ บรรพ์ ในไทยหนงั ใหญ่สมยั แรก มพี ฒั นาการข้ึนในล่มุ นา้ํ เจา้ พระยาตอนลา่ งก่อนยุคอยธุ ยา (ละโว้-อโยธยา ไมเ่ คยพบว่ามใี นรัฐ สโุ ขทัย)31...” โกร่ง เป็นชือ่ เรยี กลาไมไ้ ผ่ เครื่องตีประโคมสัญลกั ษณข์ องหนงั ใหญม่ าแต่ดั้งเดมิ ดกึ ดาบรรพ์ ยาว ประมาณวาหนึ่ง (ขนาดกางแขนสุดสองข้าง) หรอื สองวา แล้วปาดปล้องไผใ่ ห้เวา้ บางแห่งเพ่ือเกดิ เสยี งก้องเม่ือ ไมต้ กี ระทบใช้ตจี ังหวะประกอบหนังใหญ่, โขน, ละคร โดยเฉพาะปี่พาทย์ประโคมเพลงหนา้ พาทย์ ตอนตรวจ พลยกทพั ท่ีตอ้ งการคึกคกั ฮึกเหมิ ห้าวหาญ ในชมุ ชนหมบู่ ้านแตก่ ่อนตโี กร่งเกราะเคาะไมเ้ ลน่ สงกรานต์ (หรอื เทศกาลสนกุ สนานอ่นื ๆ) เมือ่ ร้องเชิญผี (ทรงเจ้า เข้าผี) ราํ แมส่ ี ไม้ไผใ่ ชท้ าํ เครือ่ งตปี ระโคมอย่างอืน่ ไดอ้ ีก มชี ่ือ เรยี กอยา่ งนอ้ ย ๓ ช่อื คือ โกรง่ , เกราะ, กรบั โกร่งใชไ้ ม้ไผท่ ง้ั ลาํ , เกราะใช้ไมไ้ ผ่ปลอ้ งเดยี ว, กรบั ใช้ไม้ไผ่ผ่าซกี (ไม้ไผ่ปล้องเดียว เรยี กกระบอกไผ่ และไมไ้ ผ่ผ่าซี ก จะมพี ัฒนาการเป็นระนาด) ทงั้ หมดนีเ้ ป็นทีม่ าของคําคลอ้ ง จองว่า“ตเี กราะเคาะไม้”32 นอกจากน้ยี ังมเี ครื่องดนตรีอื่นๆ เกราะ ตะขาบ มา้ ฬ่อ และซออู้ มาใชส้ ร้างสสี ันประกอบการแสดง หนังใหญ่อกี ดว้ ย อย่างม้าฬอ้ ซออู้ ของจีนน้ันเอามาเล่นชว่ ง หนงั จําอวดเล่นออกภาษาจีน เลน่ เอ าใจเจา้ ภาพท่ี เปน็ คนจีน 33 สว่ นเกราะและ ตะขาบ คงเอาไว้เคาะและกระทงุ้ ให้จังหวะเช่นเดียวกบั โกรง่ ตามท่กี ลา่ วว่าปพ่ี าทยป์ ระกอบการแสดงหนังใหญ่นน้ั จะใชป้ ก่ี ลางเปุา ซ่ึงกจ็ ะสง่ ผลให้เสยี งทง้ั หมด ของวงป่ีพาทยเ์ ป็นเสยี งทางกลาง ท้ังนี้ ดนตรีไทยแบ่งระดบั เสียงไว้ทง้ั หมด ๗ ทาง ยดึ ตามเสียงเครอ่ื งเปาุ เป็น หลัก ดงั น้ี ทางเพยี งออล่าง ทางใน ทางกลาง ทางเพยี งออบน ทางนอก ทางกลางแหบ และทางชวา 31 หนังใหญว่ ัดขนอน จ. ราชบุรี หนงั ใหญ่ หนังตะลงุ [ออนไลน์], มตชิ นรายวนั ฉบับประจําวันพฤหสั บดที ี่ ๗ สงิ หาคม ๒๕๕๗ แหล่งท่ีมา http://www.sujitwongthes.com/๒๐๑๔/๐๘/siam๐๗๐๘๒๕๕๗/ 32 ตเี กราะเคาะไม้ หนงั ใหญว่ ดั ขนอน [ออนไลน]์ , มติชนรายวัน ฉบบั ประจาํ วันศกุ ร์ท่ี ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๗ แหลง่ ท่ีมา http://www.sujitwongthes.com/๒๐๑๔/๐๘/siam๑๕๐๘๒๕๕๗/ 33 สัมภาษณ์ รตต.วชั ชระ พจนยี ์, (ทายาทหนังใหญ่วัดพระญาติการาม อยุธยา), ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗.

67 ทางกลางนน้ั เสยี งจะสูงกวา่ ทางใน ๑ เสียง บนั ใดเสยี งในทางนี้ ตรงกบั ลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่ ๕ และ ๑๒ หรือค่แู ปด ทางนเี้ ปน็ ทางทีป่ ่ีกลางบรรเลงได้สะดวกที่สุด ปใี่ นและปี่กลางเปน็ เคร่อื งเปุาในตระกูล เดียวกนั มีระบบน้วิ หรอื การการไลเ่ สียงทเี่ หมอื นกนั ต่างกนั ทป่ี ีก่ ลางมขี นาดเลก็ กวา่ และทีเสียงสูงกวา่ 34 เท่าน้ัน สมเดจ็ ฯ เจ้าฟาู กรมพระยานริศรานวุ ดั ติวงศ์ ทรงประทานอธบิ ายไว้ว่า \"...ป่ใี หญห่ รอื ปใ่ี นเป็นของมี ประจาํ วงป่ีพาทย์มาแต่ดัง้ เดมิ ปเี่ ลก็ หรือป่ีนอกเป็นของมีประจาํ วงปี่พาทยม์ าแต่เก่าแก่เหมอื นกัน เวน้ แตก่ อ่ น นีไ้ มไ่ ด้ใชเ้ อามาเปุาเข้าวงปพี่ าทย์ ใช้เปุาแต่ทําหนังจําเพาะเพลงเชิดนอกเม่อื จับลิงหวั คาํ่ อย่างเดยี ว ภายหลังจึง เอามาเติมเขา้ ในวงป่พี าทย์คู่กบั ปใ่ี หญ่\" แต่กอ่ นป่ีพาทย์ประกอบการแสดงหนังใหญ่น้ันจะบรรเลงประกอบการแสดงเท่าน้นั เป็นขนบทป่ี ฏิบตั ิ กันมาแตร่ ะยะหลงั บางคณะไดเ้ พ่มิ สสี ันให้มปี พี่ าทยร์ ับร้องอย่างละคร เพื่อสรา้ งสีสนั ความสนกุ สนานอย่าง ชุมชนหนังใหญว่ ดั บา้ นดอน ระยอง นน้ั ครอู าํ นาจ แสงมณี35 ไดเ้ พ่ิมบทร้องใหม่ทาํ นอง เพลงเขมรขอทาน เข้า ไปในชดุ จบั ลิงหัวคํา่ ดงั จะขอยกตัวอยา่ งเน้อื รอ้ งมาพอสงั เขป ฤาษี พระเจ้าตา(เออ่ เออเอย้ )แลเหน็ แลเหน็ วานรไพร มันข่ีหลังมาทําไม เจ้าลิงสองตัว ลงิ ขาว พระเจ้าตาอย่าดีใจ เจ้าตวั นี้มนั ทาํ ชัว่ ใครเหน็ มันกต็ ้องกลัว โกงจรงิ โกงจริง ฤาษี เรื่องคดโกง มันไม่ดี เร่อื งอปั รีย์ทะยานหยง่ิ ติดเหล้ายามานอนกล้งิ กลบั ตวั กลบั ตัว ฯลฯ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟาู กรมพระยานรศิ อธิบายเพิ่มเตมิ วา่ “แต่กอ่ นนนั้ พวกร้อง พวกป่ีพาทย์ พวกเครื่องสาย ต่างคนต่างเล่น ไมไ่ ดเ้ ล่นปนกัน คือปพี่ าทย์ไมไ่ ด้ทาํ รับรอ้ ง เครือ่ งสายไม่ได้ ผสมกับปพ่ี าทยอ์ ยา่ งทุกวันน้ี..แรกที่ 34 ศ.ดร.มานพ วสิ ุทธิแพทย์, วถิ ีพลโลก เสยี งดนตรไี ทย [ออนไลน์], ม.ป.ป. แหลง่ ทม่ี า http://yongyutheiamsaart.blogspot.com 35 อานาจ แสงมณี เป็ นปราชญ์ชาวระยอง ผ้ฟู ืน้ ฟหู นงั ใหญ่วดั บ้านดอน ระยอง

68 ปพ่ี าทยจ์ ะเล่นกบั ร้องกเ็ พียงทาํ ค่นั กนั ก่อนตวั อยา่ งเช่น ละครเม่อื รอ้ งสิ้นบทแลว้ ถงึ เวลาเดนิ ทเี่ รียกเพลงน้นั เดิมก็เปน็ ร้องเหมอื นกัน แต่รอ้ งภาษาปาุ มเี หโ่ ห่ฮา้ ฮะชะตา้ อะไรไปตามทีทีเ่ กิดจากใจรนื่ เรงิ …36 ลักษณะการจดั วางวงดนตรีนัน้ วงป่ีพาทยต์ ง้ั ตรงกลางหันหน้าเขา้ หาจอ อยดู่ า้ นหน้าคนดูหา่ งจากจอ ประมาณสองวา หรือ ๔ เมตร เพอื่ กันพืน้ ทีใ่ ห้คนเชดิ หนัง และเป็นระยะที่มองเห็นภาพรวมการแสดงหนังใหญ่ ได้ชัดเจน คนเชิดหนงั ก็ได้ยนิ เสียงชดั เจน และช่วยสะทอ้ นเสียงกลบั ใหป้ ี่พาทย์มเี สยี งดงั กงั วาล ผชู้ มที่นงั่ อยู่จะ ได้ยนิ เสยี งที่ดังขยายมากขน้ึ ๒.๙.๒ บทเพลงท่ใี ชป้ ระกอบการแสดงหนงั ใหญ่ ๑. บทเพลงโหมโรงหนังใหญ่ ๒. บทเพลงเฉพาะหนงั ใหญ่ เชิดนอก เตียว ๓. บทเพลงหนา้ พาทย์ และเพลงประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ ๔. ชอ่ื เพลงหนา้ พาทย์แผลง ๑.บทเพลงโหมโรงหนงั ใหญ่ โหมโรงหนังใหญ่ การเรยี งเพลงเหมอื นกับโรงเยน็ คอื เร่มิ จาก สาธุการ ตระ รวั ลาเดียว ตน้ เข้าม่าน เข้า มา่ น ปฐม ลา และมาจบที่เพลงเสมอ ๒.บทเพลงเฉพาะหนงั ใหญ่ เชดิ นอกและเตยี ว เพลงเชดิ นอก เพลงท่ปี ่เี ปุาประกอบการแสดงเบกิ โรง ชุดจับลิงหวั ค่ําน้ี คือเพลงเชิดนอก ที่ตอ่ มาคีต กวหี ลายทา่ นไดน้ าํ มาสรา้ งสรรคเ์ ปน็ เพลงเด่ยี วยอดนยิ ม สาํ หรับเคร่อื งดนตรีไทยชนดิ ต่างๆเกือบทกุ ชิ้น เชดิ นอกมีจาํ นวน ๓ จับ แทนการเรียกว่า ๓ จบั เป็นลักษณะการเรยี กจาํ เพาะบทเพลงนี้ทีม่ ีต้นทางจากหนังใหญ่ คือลงิ ขาวจบั ลิงดาํ ๓ ครง้ั คร้ังแรกครงั้ ทสี่ องจับไมอ่ ยู่ ไปจนครั้งสดุ ท้าย ครงั้ ท่ี ๓ จึงสามารถจับมดั ได้ เรยี กวา่ เตียว หรอื บา้ งกเ็ รียกว่า เกลยี ว นาํ ตัวไปให้พระฤาษตี ัดสินความผดิ จบั ลิงนน้ั ดูอาจไมค่ ุน้ ตาเท่ากับจับนางของ หนมุ านในตอนจับนางเบญกาย สพุ รรณมจั ฉา ฯลฯ เพราะเรียกความสนกุ สนานเร้าใจแฝงสญั ลักษณไ์ ว้ได้ น่าสนใจ เป็นทนี่ า่ สังเกตวา่ การแสดงโขนนัน้ กาํ หนดทา่ รําไว้ ๓ จบั คอื ท่าสงู ท่าจับขา้ งหน้า และทา่ พนม37 36 ขบั เสภา ตอ้ งมกี รบั ไมจ้ ริง และปี่พาทยไ์ ม้แข็ง[ออนไลน]์ , มตชิ นสุดสปั ดาห์ ลงฉบับประจาํ วนั ศกุ รท์ ี่ ๖ กนั ยายน ๒๕๕๖ แหล่งที่มา http://www.sujitwongthes.com/๒๐๑๓/๐๙/weekly๐๖๐๙๒๕๕๖/ 37 เพลงหนา้ พาทย์ จตพุ ร รัตนวราหะ พมิ พค์ ร้ังแรก พ.ศ.๒๕๑๙, หน้า ๒๘

69 ซึง่ ถอดแบบมาจากหนงั แต่ละจับในช่วง ลงิ ขาวจับลงิ ดาํ ทจี่ บดว้ ยภาพสลกั ตวั หนงั ท้ายสุด ลิงขาวจบั ลิงดาํ ผกู มดั โดยลงิ ดาํ น่ังพนมมือไหวน้ ่นั เอง ทง้ั นี้ ณรงคช์ ัย ปิฎกรชั ต์ ได้อธบิ ายเพลงเชิดนอกและเพลงเตยี ว ไว้ในหนังสือสารานุกรมเพลงไทยวา่ “แต่เดมิ ใช้ประกอบการแสดงหนังใหญ่ ตอนเบิกโรง ชุดจบั ลงิ หัวคา่ คือตอนลิงขาวลิงดารบกัน เมือ่ หนังเดย่ี ว แสดงทา่ รบแลว้ จะมภี าพหนังจบั ออกมาเตน้ แทรก ช่วงน้ปี จี่ ะเลยี นเสยี งพดู วา่ “จับใหต้ ดิ ตใี ห้ตาย” หรือ “ฉวย ใหต้ ิดตใี ห้แทบตาย” ตามแบบแผนของการแสดงจะแทรกหนงั จบั และปุาปี่จบั ถึง ๓ ครัง้ จงึ หมด เรียกวา่ ๓ จบั ตอ่ จากน้ันจงึ ออกเพลงเตียว หมายถึงมดั ไดแ้ ลว้ ..” 38 ๓.บทเพลงหนา้ พาทย์ และเพลงประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ เพลงหน้าพาทยเ์ ป็น เพลงประเภทหนึง่ ทใี่ ชบ้ รรเลงในการแสดงกริ ยิ าของมนษุ ย์ สัตว์ วัตถุ หรอื ธรรมชาติ ท้งั กริ ยิ าท่ีมตี ัวตน กิรยิ าสมมติ กิริยาท่ีเป็นปัจจุบนั และกิริยาทีเ่ ป็นอดีต เช่น บรรเลงในการแสดง กริ ิยา ยนื เดนิ กนิ นอน ของมนุษยแ์ ละสัตว์ การเปลย่ี นแปลง เกิดข้ึนหรอื สูญไปของวัตถแุ ละธรรมชาติ 39 ซ่งึ เพลงหน้าพาทยห์ ลกั ๆที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ ก็จะมี เชดิ เสมอ รัว และกราว และมีเพลงอืน่ ๆ ตามแตผ่ ู้พากย์เจรจาจะเรียก หรอื ครบู าอาจารย์หนงั ใหญใ่ นแตล่ ะชมุ ชนจะกําหนด ดังน้ี ตาราง ๒.๒ ตวั อยา่ งเพลงหนา้ พาทย์ทใ่ี ชส้ ําหรบั การแสดงหนังใหญ่ ชือ่ เพลง ลักษณะการใช้งาน กราวนอก หรือสาดทราย ตรวจพลและยกทัพของฝาุ ยลงิ กราวใน หรอื สาดทราย ตรวจพลและยกทัพของฝาุ ยยกั ษ์ กลม หรอื กระสนุ การไปมาของเทวดาช้ันผู้ใหญ่ ฉุยฉาย แสดงความภมู ใิ จ ชาํ นาญ ร่ายรา่ ยเวทมนตค์ าถาและแปลงกาย เชดิ หรือชวย/ทวย เพลงเชดิ นบั เปน็ เพลงสาํ คัญเชงิ สญั ลกั ษณ์ของการแสดงหนงั ใหญ่ เป็นลกั ษณะ กรยิ าใหถ้ ือชูตัวหนังไว้ และขยับเตน้ เคลอื่ นไหว ใช้บรรเลงต้ังแต่ช่วงเบกิ หน้า 38 ณรงคช์ ยั ปิฎกรัชต์ หนงั สือสารานุกรมเพลงไทย หน้า ๘๐-๘๑ 39 สารานกุ รมศพั ท์ดนตรไี ทย ภาคคีตะ-ดุรยิ างค์ ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๐, หน้า ๑๑๔

70 พระไปจนจบการแสดง วามไปถงึ การเชิดหนุ่ ทกุ ประเภท ท่มี กี ริยาเหมือนกันคอื เชิดจึงมคี าํ วา่ เชิดหนัง เชดิ หุ่น การเอย่ คําวา่ บดั นน้ั เชดิ เปน็ คําคนุ้ เคยติดปาก ทีย่ ังคงใชส้ ืบเนือ่ งมาท้ังโขนละครบัดนั้น เป็นเกรน่ิ นําเพ่ือให้ผูเ้ ชดิ หนัง เตรียมพร้อม เชิดเปน็ เหมือนคําสั่ง หรอื สงิ่ ท่ีจะใหท้ าํ คาํ วา่ บดั นน้ั บัดน้ี ยงั คงใช้ นําหนา้ บทประพนั ธ์โขน ละคร อยจู่ นถึงปัจจุบัน เพลงเชิดใชบ้ รรเลงประกอบ ชว่ งเดนิ ทางระยะไกลไปมารีบรอ้ น แบง่ เป็น -เชดิ ..................สาํ หรับมนุษย์หรือท่วั ไป -เชิดนอก สําหรบั สัตว์ เช่น ลิง ใชเ้ ล่นตอนจบั ลงิ หัวคํ่า -เชิดฉาน สําหรับ มนุษยข์ ณะอยู่กบั สัตว์ เชน่ ตอน พระรามตามกวาง -เชดิ ฉง่ิ ใชป้ ระกอบในการแสดงถงึ ท่ีลกึ ลบั ตระนอน ตวั ละครนอน ตระนมิ ิต ทยอย ตวั ละครสาํ คัญ รา่ ยร่ายเวทมนต์คาถาและแปลงกาย บาทสกุณี40 ปฐม เดนิ ร้องไห้ แผละ หรอื เสมอตีนนก พระยาเดิน เพลงฉงิ่ จดั ทพั และยกทพั เฉพาะตวั คอื สคุ รพี (แมท่ ัพใหญฝ่ ุายพระราม) และ มโหรี เพลงช้า-เพลงเรว็ รวั (แมท่ ัพใหญฝ่ ุายลงกา) ลงสรง สําหรบั การไปมาของสตั ว์ปีก เช่น ครฑุ นกใหญ่ โล้ เสดจ็ พระราชดําเนนิ ของพระเจ้าแผ่นดนิ , การสัญจรไปมาของยักษผ์ ู้สงู ศักดิ์41 สาธุการ เสมอ ใชช้ มสวน ชมปาุ เกบ็ ดอกไม้ โอด ใชส้ ําหรับการเบกิ บานในการไป มาอย่างสภุ าพ งดงามและแช่มชอ้ ย มีเพลงรัวลาเดยี ว และเพลงรัวสามลา ใชต้ อนแผลงฤทธ์ิเดช หรือแสดงอาการโกรธเคืองอย่างน่าเกรงขาม อาบนํ้า แตง่ ตัว มีสองเพลงลงสรง มกั บรรเลงต่อเน่ืองกัน -ลงสรง(อาบนา้ํ ) -ลงสรงโทน (แตง่ ตัว) เดนิ ทางทางน้าํ เช่นตอน เบญจกายแปลงตัวเป็นนางสดี าลอยนาํ้ มา อญั เชญิ พระรัตนตรัย เทพดา ครูบาอาจารย์ สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ทง้ั หลายให้มาชุมนมุ หรือไมไ่ ด้ไมเ่ สยี บรรเลงตอนเดนิ ไปมาในระยะใกล้ ๆ -โอดสองชน้ั /ใช้สําหรบั ความโศกเศรา้ ของตัวละครท่มี ศี กั ดสิ์ ูง -โอดชน้ั เดียว สาํ หรับตัวละครทวั่ ไป 40 อ้างในเพลงหน้าพาทย์ จตพุ ร รัตนวราหะ พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ.๒๕๑๙, หนา้ ๓๘ วา่ “พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเพิ่งจะทรง เปล่ยี นเสียใหม่ว่า บาทสกณุ ี” 41 จตุพร รตั นวราหะ, เพลงหนา้ พาทย์, พมิ พค์ รงั้ แรก พ.ศ.๒๕๑๙, หน้า ๔๑.

71 ๔.ช่ือเพลงหน้าพาทยแ์ ผลง42 หน้าพาทย์แผลงเปน็ การทดสอบภูมปิ ญั ญาของผู้พากยห์ นงั และพากยโ์ ขน กบั นักดนตรีป่พี าทย์ คอื แทนที่จะเรียกชอ่ื เพลงหน้าพาทยใ์ ห้บรรเลงกนั ตรงๆ กลับใช้คําใบใ้ ห้ขบคดิ หรอื เรียกวา่ คาํ แผลง ซ่ึงผู้ที่ เขียนบทความอธบิ ายไวไ้ ดด้ ี ดว้ ยทันยุคสมัยนยิ มหนา้ พาทย์แผลงกค็ ือ ครมู นตรี ตราโมท โดยกล่าวนาํ ไวว้ า่ “อนั คาบอกหนา้ พาทย์แผลงน้ี คนเจรจาโขนและหนงั ใหญใ่ นสมัยกอ่ นไดน้ ิยมใชก้ ันอยู่โดยทว่ั ไป ซึ่งแทนท่ี จะบอกปีพ่ าทยบ์ รรเลงเพลงหนา้ พาทย์อะไรตรงๆ กแ็ ผลงบอกเสยี อกี อยา่ งหนง่ึ เพ่อื ลองเชาว์นักป่พี าทย์อีก ชน้ั หนง่ึ คาแผลงที่บอกน้ี มไิ ดแ้ ผลงดว้ ยตัวอกั ษรดงั คาแผลงในอกั ษรศาสตร์ เป็นการแผลงดว้ ยคาต่อคาทเี ดยี ว มีหลักอยทู่ จี่ ะให้ความหมายของคาแผลงนั้นตรงกบั ช่ือหนา้ พาทย์เท่านนั้ ทจี่ รงิ ก็เป็นคาบอกใบ้เรานเี่ อง สมยั ก่อนๆ ถ้าผู้ใดทาใหป้ พี่ าทยจ์ นเพลงได้มากเทา่ ใด ก็มักจะเห็นกนั ว่าเปน็ ผูท้ ่ียงิ่ ด้วยความรูค้ วามสามารถมาก เทา่ น้ัน ทง้ั ดูเหมือนจะเป็นที่น่าเกรงขามของบรรดาหม่นู ักปพ่ี าทยด์ ว้ ย ตลอด จนคนร้องส่งก็เช่นเดยี วกนั แต่มา สมัยนเี้ ป็นสมัยทนี่ ิยมความเรยี บร้อยและความพรอ้ มเพรียงเป็นใหญ่ ความเห็นจงึ ออกจะเปน็ ไปในทางว่า ผูท้ ี่ ทาใหป้ ่ีพาทยจ์ นเพลงกค็ อื ผูน้ ามาซึง่ ความไมเ่ รียบร้อยของการแสดงน้นั ถ้าเปน็ คนร้องส่ง เมื่อร้องไปแลว้ ปี่ พาทยร์ ับไม่ได้ ตวั ผู้รอ้ ง สง่ เองก็เคอะเขนิ ผู้ฟงั กไ็ ม่ได้ฟงั สิง่ ทไี่ พเราะ ถ้าเป็นคนเจรจา เมอื่ บอกหนา้ พาทยไ์ ป แลว้ ปพ่ี าทยท์ าไมไ่ ด้ตัวโขนหรือหนังก็จะยืนเกอ้ อย่โู ดยไม่มีเพลงท่จี ะรา เปน็ เครื่องขลุกขลกั มาก คนดูกช็ ัก จะเบอื่ ฉะนน้ั การบอกหน้าพาทย์แผลงจึงไดศ้ นู ย์ไปจนเกือบจะไม่มีเหลอื อยแู่ ล้ว จะมอี ยบู่ ้างก็ในต่างจังหวัด บางจงั หวดั เทา่ นนั้ แต่กน็ ้อยตามที อยา่ งไรกต็ าม การบอกหน้าพาทย์แผลงนี้ ยอ่ มเป็นการฝึกหัดใช้ความคดิ ฝกึ ฝนเชาวนใ์ หว้ ่องไว ซึ่งนบั ว่าเปน็ เครอ่ื งนามาซึ่งความเจริญแหง่ ปญั ญาได้อยา่ งหนง่ึ อันควรรักษาไว้” จากบทความคําบอกหนา้ พาทย์แผลง ขอ งครมู นตรี ตราโมท นับเป็นบทความชน้ิ สาํ คัญทีไ่ ด้เล่า เรือ่ งราวบทเพลงประกอบการแสดงหนังใหญ่ รวมถึงลกั ษณะการแสดงของหนงั ใหญ่ไว้อย่างนา่ สนใจ ในช่วง เวลา พ.ศ.๒๔๘๑ นบั เปน็ ชว่ งโรยลาของหนังใหญ่ มีคําแพลงหนา้ พาทย์อยู่ทงั้ หมด ๑๑ ช่อื เพลงดังนี้ ๑. ส่ีศอก คือเพลงวา ๒. ไมไ่ ด้ไม่เสีย คือเพลงเสมอ ๓. ลูกกระสุน คือเพลงกลม 42 บญุ ธรรม ตราโมท, คาํ บรรยายวชิ าดุริยางคศาสตรไ์ ทย, พ.ศ.๒๔๘๑

๔. ชวยหรอื ทวย 72 ๕. แสวงหา ๖. นางพระยาดาํ เนนิ คอื เพลงเชดิ ๗. แมล่ ูกอ่อนไปตลาด คือเพลงชา้ ๘. เหลืองออ่ น คือเพลงช้า ๙. ผวั ตาย คอื เพลงเร็ว ๑๐. สาดทราย คอื เพลงสีนวล ๑๑. บาทสกุณี คือเพลงช้า เจาะจงให้บรรเลงเพลงแม่หมา้ ยคราํ่ ครวญ คอื เพลงกราว คนและลิงใช้เพลงกราวนอก เป็นยกั ษใ์ ชเ้ พลงกราวใน คือเพลงเสมอตนี นก ๒.๙.๓ บทละคร เรื่องทห่ี นงั ใหญน่ ยิ มแสดงคือเรื่องรามเกยี รต์ิ เพราะมีคําพากย์รามเกยี รตขิ์ องเกา่ ปรากฏอยู่ และ ตวั หนงั ก็เป็นตัวละครในเรือ่ งรามเกยี รติ์ แต่ปรากฏเปน็ ตาํ นานในหนังสอื สมทุ รโฆษคาํ ฉันท์ ว่า สมเด็จพระ นารายณม์ หาราช ได้โปรดให้พระมหาราชครแู ตง่ สมุทรโฆษคําฉนั ท์ ซึ่งสําหรบั เล่นหนงั อกี เรอื่ งหนง่ึ และศรี ปราชญไ์ ด้แต่งอนิรธุ คาํ ฉนั ทข์ น้ึ ทูลเกลา้ ฯถวาย เพื่อเล่นหนงั อกี เรือ่ งหนง่ึ ด้วย แต่ท้ังสองเรอ่ื งนค้ี งจะไม่ทันได้นาํ ออกแสดงหรอื อาจจะไมไ่ ด้รับความนยิ ม จึ งไม่ปรากฏว่าไดใ้ ช้เปน็ เรอ่ื งแสดงหนังใหญก่ นั สบื มาเหมอื นอย่าง เร่ืองรามเกยี รติ์ นอกจากนี้ เชอื่ กันวา่ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา นยิ ายเรื่องอเิ หนา (ปนั หยี) ของชวาได้เขา้ มา แพรห่ ลายในราชสาํ นักไทย และคงมีผแู้ ต่งเป็นคําพากยห์ รอื บทละครไวส้ กั เรือ่ งสองเร่ือง หรือเป็นตอนใด ตอนหนงึ่ แตเ่ ปน็ ท่นี า่ เสยี ดายว่าต้นฉบับไดส้ ูญหายไปเมอ่ื คราวเสยี กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ คาํ พากย์เรื่อง อเิ หนาได้ถกู รวบรวม หรอื ถกู แตง่ ข้ึนใหมอ่ ีกในสมัยรชั กาลท่ี ๑ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ซงึ่ เป็นต้นเหตุใหเ้ กิด เปน็ ขอ้ มลู สร้างความบันดาลใจให้คิดแต่งเปน็ บทละครเร่ืองอิเหนาขนึ้ ในสมยั รัชกาลที่ ๒ เรอ่ื งอิเหนาและเร่อื ง สมุทรโฆษคําฉนั ทไ์ ม่ปรากฏมตี วั หนงั ใหญห่ ลงเหลือให้เหน็ แต่ก็ปรากฏมรี ูปภาพเขียนบนกระดาษแขง็ และผนื ผา้ ใหเ้ หน็ เคา้ วา่ นา่ จะเคยสลักลงในผนื หนัง43 43 ผะอบ โปษะกฤษณะ, เรือ่ งเดยี วกนั

73 สมุทรโฆษคําฉนั ท์ สมุทรโฆษคําฉนั ท์ เกดิ ข้ึนโดยพระราชประสงคข์ องสมเด็จพระนารายณม์ หาราช รับส่งั ให้พระมหา ราชครแู ต่งขน้ึ เพ่อื ใชเ้ ล่นหนังใหญ่ ในคราวเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระชนมพรรษาครบเบญจเพส เม่อื พ .ศ.๒๐๙๙ ดังปรากฏไวใ้ นแผนกหนงั สอื หรคื าํ นาํ หนงั สอื “สมทุ รโฆษคําฉันท์” ของพระมหาราชครูว่า “พระบาทกรงุ ไทธ้ รณี รามาธบิ ดี ประเสริฐด้วยเดโชชยั ท่วั ท้งั ภพไตร ทา้ วท่ัวสากล เดชะอาจผโอนท้าวไท ธรรมาคมสบ ตระหนกด้วยเดโชพล บริกษสรร- พระบาทกมลนฤมล ปางเป็นราชา มาถวายบงั คมเคารพ เสร็จเสด็จมาพูล ผจญคณกษตั ริย์ สบศิลปน์ เรศวรพบ ปการรู้รสธรรม์ ทมุ ดีเจยี รจีน- จํานองโดยกล พระปรโี ชบายอนนั ต์ เปน็ บรรพบรุ ณะ พการสดุ สงกา กลเลน่ โดยการ พระรําฤกยศพระศาสดา สมทุ รโฆษอาดูร เสดจ็ เสวยสรุ โลกพบิ ลู ย์ ในมรรคทรงธรณี แสดงศิลป์ธนูศรศรี อันโรมในรณควรถวิล ไดไ้ ทเ้ ทพชี อื่ พณิ - ตโฉมอนงคพิมล พระใหก้ ล่าวนิพนธ์ ตระการเพลงยศพระ ใหฉ้ ลกั แสบกอนั ชระ นเรนทรราชบรรหาร ใหท้ วยนกั คนผ้ชู าญ ยเปน็ บําเทิงธรณี พระมหาราชครแู ตง่ ไม่ทันจบก็ถึงแกอ่ นจิ กรรมเสยี ก่อน แต่งไดเ้ พยี ง \"พระเสดจ็ ดว้ ยน้อง ลลิ าศ ลุ อาศรมอาส นเท พบตุ รอนั บล\" เปน็ ตอนพระสมุทรโฆษและนางพนิ ทุมดเี สดจ็ ไปแกบ้ น พระนานายณ์มหาราช

74 ทรงพระราชนิพนธ์ต่อมาก็ไม่จบอกี ทรงเรม่ิ ต้นตงั้ แต่ \"พิศพระกุฏอี า ศรมสถานตระการกล \"และยตุ ิลงเพยี ง \"ตนกตู ายกจ็ ะตายผู้เด่ียวใครจะดูแล โอ้แกว้ กบั ตนกู ฤเห็น \"ซงึ่ เป็นคาํ คร่าํ ครวญของพิทยธรช่ือรณาภมิ ุข ที่ บาดเจ็บเพราะถกู อาวุธของพทิ ธยาชื่อรณบตุ ร เรือ่ งน้ีจึงค้างอยูอ่ กี ครัง้ หนงึ้ ส่วนในตอนจบเป็นพระราชนพิ นธ์ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯทรงนพิ นธเ์ สร็จเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๓ ตามคาํ อาราธนา ของกรมหลวสงไกสรวิชิต และ กรมหลวงวงศาธิราชสนทิ เรมิ่ ต้งั แต่ “พิทยาธรทกุ ข์ลาํ เคญ็ ครวญครํา่ ร่ําเขญ็ บรูก้ ส่ี าํ่ แสนศัลย์” อนริ ุทธ์คาํ ฉันท์ สันนิษฐานว่าเป็นงานนพิ นธข์ องของศรปี ราชญ์ แตง่ เมือ่ รับราชการอยูก่ บั พระ นารายณ์ฯ กลา่ วกันวา่ ศรปี ราชญ์แต่งข้นึ ตามความมานะท่ีจะลบลา้ งคาํ ประมาทของบดิ า คือพระมหาราชครูว่า แตง่ ได้แตโ่ คลงซึง่ เปน็ ของง่าย แต่จะแตง่ ฉั นท์ซงึ่ เปน็ คาํ ประพนั ธท์ ี่ยากและประณตี ไมไ่ ด้ ศรปี ราชญจ์ ึงแต่งอ นริ ุทธค์ ําฉนั ท์ข้นึ บางทา่ นให้ความเหน็ ว่า ศรปี ราชญ์แต่งอนิรทุ ธ์คําฉันท์เพราะเป็นห่วงบิดาชราแล้ว จะแต่งส มุทโฆษคาํ ฉนั ท์ ซงึ่ จะใช้ในงานพระราชพธิ สี มโภชพระชนมายุครบเบญจเพสของสมเดจ็ พระนารายณฯ์ ไม่ สาํ เรจ็ จงึ ไดแ้ ต่งเรื่องน้ขี ึ้น มเี น้ือเร่อื งคล้ายคลึงกนั แต่งดว้ ยฉันท์เหมือนกัน และตง้ั ใจให้เปน็ บทพากยห์ นงั เหมอื นกัน เพ่อื วา่ จะไดเ้ ปน็ เร่ืองสาํ รอง และเป็นงานแทนงานของบิดาได้ โดยแตง่ เป็นฉันทแ์ ละกาพย์ มรี ่ายสภุ าพปน ซงึ่ เรียกไดว้ ่า ซ่งึ ถอื ว่าแหกขนบการประพนั ธ์เดิมๆ แต่เอ้ือ ประโยชนอ์ ยา่ งมากหากนํามาใช้พากย์เจรจาหนังใหญ่ ลีลาฉนั ท์และการดําเนนิ เรอื่ งรวดเรว็ รวบรัด ไม่ เคร่งครัดตอ่ ธรรมเนียมรวมในการแต่ง บทไหว้ซงึ่ ควรจะอย่ตู อนต้นเรือ่ งศรีปราชญ์เอาไปไวต้ อนท้ายเรอ่ื ง แสดงถึงนสิ ัยรักอิสระเสรีในการแต่งหนงั สือต้องการใหเ้ ป็นแบบของตนเองโดยเฉพาะ เนือ้ หาของเรือ่ งก็มีความใกลเ้ คยี งกบั สมุทโฆษคาํ ฉันทม์ าก ในตอนตน้ ตา่ งกันแตพ่ ระอนริ ุทธป์ ระพาส ปาุ กอ่ นเข้าบรรทมใตต้ ้นไทร (สมุทรโฆษตน้ โพธิ์) ก็ไดก้ ราบไหวพ้ ระไทรๆ จึงอุม้ ไปสมนางอุษา ธดิ ายกิ ษ์ ชื่อพา นาสูร นางพิจติ รเลขาวาดรปู เทวดา และกษตั ริยต์ ่างๆ ให้นาง อุษาๆ จาํ พระอนิรทุ ธ์ได้ นางพิจิตรเลขาจึงเหาะ มาสะกดพระอนริ ทุ ธ์ไปอยู่กับนางอษุ า ต่อมาความทราบถึงพระยายักษ์บดิ าจึงจบั พระอนิรทุ ธไ์ ดด้ ้วยอํานาจศร ขณะนน้ั พระนารท (ฤาษ)ี ดีดพิณเหาะผ่านมาเหน็ เหตุการณ์ จงึ นําความไปทลู พระกฤษณะ (ตาของพระอนิ รุทธ์) พระกฤษณะยกทพั มาต่อสยู้ ักษ์ ยกั ษ์ไปขอใหพ้ ระศิวะมาชว่ ยรบ แต่พระศิวะไม่ช่วย พานาสรู จงึ รบเอง ก็ พ่ายแพพ้ ระกฤษณะจะประหาร แตพ่ ระศิวะขอชวี ิตไว้ จงึ ไดแ้ ต่ตัดแขนหน่งึ พนั แขนของพานาสูรให้เหลอื เพียง สองแขน และใหเ้ ป็นนายทวารบาล พระอนิรุทธ์และนางอษุ าได้ครองกนั เป็นสขุ สืบไป บทพากย์รามเกียรติห์ นังใหญ่ บทพากย์รามเกียรติ์หนังใหญ่ มีทงั้ ฉบบั หลวง ฉบบั ราษฏรห์ รอื ฉบบั เฉลยศกั ด์ิ ตามจะเรยี กกนั แตไ่ ม่ ว่าบทพากยห์ นังเหล่าน้นั จะกาํ เนดิ กอ่ เกิดเช่นไร ล้วนเป็นต้นทางก่อนสรา้ งตัวหนงั ท้ังสิ้น

75 หนังสือประชุมบทพากยร์ ามเกยี รต์ิเลม่ ๑ และเล่ม ๒ นบั เป็นการรวมตน้ ฉบบั วรรณกรรมทเี่ ก่ียวข้อง กบั หนังใหญ่และโขนไว้มากท่สี ุด แหลง่ อ่ืนๆท่ียงั มบี ทพากย์หนงั หลงเหลืออย่บู ้าง ส่วนใหญ่จะเหลือแต่ช่อื ตอน หรอื ช่อื ศึกคือ หนังใหญ่วัดขนอน ราชบุรี วัดบ้านดอน ระยอง วัดสว่างอารมณ์ ระยอง และวดั ตะกู อยุธยา ดังน้ันจึงรวมช่ือตอนทัง้ หมดไว้เป็นหลกั ฐาน สาํ หรับเทียบเคียงกับตัวหนงั ใหญ่ท่ีอาจค้นพบในแหล่งต่างๆต่อไป รามเกยี รตสิ์ มยั กรุงศรีอยธุ ยา รามเกยี รติ์คําฉนั ท์ เป็นบทละครท่ไี มป่ รากฏหลกั ฐานว่าแต่งขนึ้ ในสมยั ใด ปจั จบุ นั ต้นฉบับคาํ ฉันทส์ ญู หายไปเกือบหมดตามกาลเวลา มกี ารกล่าวถงึ ในหนงั สอื จินดามณีของพระโหราธบิ ดเี พยี ง ๓-๔ บทเทา่ น้นั คอื บทละครตอนพระอนิ ทรส์ ่ังให้พระมาตุลีนาํ ราชรถมาถวายยังสนามรบ บทละครตอนพระรามโศกเศร้าเสียใจ ราํ พันคราํ่ ครวญเมื่อคราวทที่ ศกณั ฐ์ลักพาตัวนางสีดา บทละครแบบพรรณาตอนมหาบาศบตุ รของทศกัณฐ์ และ บทละครตอนพเิ ภกครํา่ ครวญหลงั ทศกัณฐ์ลม้ รามเกยี รติ์คําพากย์ เป็ นบทละครท่ีหอสมดุ แหง่ ชาติ กรมศิลปากร ได้ทาํ การแบ่งตพี มิ พ์ไวเ้ ปน็ ภาค ๆ เป็นการดําเนินเรอ่ื งตดิ ตอ่ กนั ต้งั แต่ภาค ๒ ตอนสีดาหาย จนถึงภาค ๙ ตอนกมุ ภกรรณล้ม รปู แบบการแต่งเปน็ บทพากยท์ ีค่ อ่ นขา้ งยาวและส้นั แต่เดิมใช้พากยส์ าํ หรับเลน่ หนังใหญ่ ภายหลังนํามาใชป้ ระกอบในการเลน่ โขน ด้วย... บทละครรามเกียรติใ์ นสมยั กรุงศรอี ยุธยามบี างสํานวนกล่าวถงึ ตอนพระรามประชุมพลจนถงึ ตอน องคตสือ่ สาร เปน็ บทละครทไี่ ม่เคยตพี ิมพเ์ ผยแพรท่ ีใ่ ดมากอ่ น เม่อื นาํ มาเปรยี บเทียบกับบทละครรามเกยี รติใ์ น สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟูาจฬุ าโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ พบวา่ เนือ้ ความบางตอนไม่ตรงกัน ถ้อยคาํ ต่าง ๆ ดูไม่เหมาะสม จึงเข้าใจว่าบทละครดังกลา่ วเป็นบทละครรามเกียรตฉิ์ บับเชลยศกั ด์ิ ที่มผี ้คู ดั ลอกไวใ้ น สมัยกรุงศรีอยธุ ยา บทพากย์รามเกียรต์สิ มยั ธนบุรี มีด้วยกัน ๔ ตอนคอื ตอนท่ี ๑ พระมงกุฎ พระมงกุฎอยปู่ ุา พระรามเสยี่ งม้า พระมงกฎุ ขม่ี า้ เสย่ี งทาย หนุมานจะจบั ถกู พระมงกุฎเสกมนตรม์ ดั ตวั พระพรตจบั พระมงกฎุ

76 พระลบแจง้ ข่าวนางสีดา พระมงกุฎถกู จองจาํ พระลบช่วยพระมงกุฎหนี พระรามเตรียมยกทพั ไปจบั พระมงกฎุ ตอนที่ ๒ ตอนหนุมานเก้ียววานรนิ จนทา้ วมาลวี ราชมา หนุมานเกย้ี ววานริน หนมุ านสงั หารวริ ุฬจาํ บัง ทศกัณฑ์ให้นนยุเวกวายุเวกไปตามท้าวมาลีวราช ทา้ วมาลวี ราชสอบคดีทศกัณฐ์ ทา้ วมาลวี ราชให้พระวษิ ณุกรรมไปตามพระราม ตอนที่ ๓ ตอนท้าวมาลวี ราชพิพากษาความ จนทศกณั ฐ์เข้าเมอื ง ท้าวมาลีวราชสอบความข้างพระราม ท้าวมาลีราชสอบความนางสดี า ทา้ วมาลีวราชตดั สินความ ทศกัณฑ์พาล ไมย่ อมรับคําตัดสิน ทศกณั ฑ์คนื เมอื ง คดิ แค้นพระรามพระลักษมณแ์ ละเหล่าเทวา ตอนท่ี ๔ ตอนทศกัณฐ์ต้ังพธิ ที รายกรด, พระลักษมฌต์ ้องหอกกบิลพัท จนผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑ ทศกณั ฐต์ ั้งพิธที รายกรด พระอนิ ทรใ์ หเ้ ทพพาลไี ปทําลายพิธที รายกรด ทศกัณฑค์ ดิ วา่ พเิ ภกเปน็ ตน้ คดิ ทาํ ลายพธิ ี ยกรบพระรามหมายฆา่ พิเภก พระลักษมณ์ถูกหอกทศกณั ฑ์ พิเภกบอกวธิ ีแก้ หนมุ านหายาแก้พระลักษมณใ์ หฟ้ ื้น ผูกผมทศกัณฐ์ตดิ กบั นางมณโฑ ทศกณั ฐใ์ หต้ ามฤษีโคบุตรมมาชว่ ย จากข้อความในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา จดหมายเหตุความทรงจําของกรม หลวงนรินทรเทวีและพระราชวจิ ารณ์ ซึ่งเปน็ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั และเล่าเรือ่ งหนังสอื รามเกยี รติ์ ซึง่ ธนติ อยโู่ พธ์ิ เรยี บเรียง ปรากฏว่าสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช เสด็จ กลับจากราชการสงครามเมอื งนครศรีธรรมราชเมอื่ เดือน ๔ ปลาย พ .ศ. ๒๓๑๒ ทรงนําเจา้ นครกบั ครอบครวั พรอ้ มท้งั คณะละครผหู้ ญิงมายังกรุงธนบรุ ีและในครัง้ น้นั อาจได้บทละครจากนครศรธี รรมราชเขา้ มาด้วย

77 ต่อมาในเดอื น ๖ พ.ศ.๒๓๑๓ น้นั เอง ได้มีใบบอกรายงานเร่ืองเจา้ พระฝางประพฤติมชิ อบตัง้ ตวั เปน็ ใหญ่ เมอ่ื ทรงทราบก็รบั ส่ังให้เตรียมการสงครามและเสด็จกรธี าทัพไปปราบเจา้ พระฝาง ณ เมอื งสวางค บรุ ี เมอ่ื เดอื น ๘ พ.ศ. ๒๓๑๓ หากพจิ ารณากาํ หนดเวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรต์ติ ามบานแผนกที่วา่ วัน อาทิตย์ เดอื น ๖ ข้นึ ๑ คาํ่ พ .ศ. ๒๓๑๓ ระยะเวลาที่ทรงวา่ งราชการสงครามสําหรับทรงพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ก็เพยี ง ๑ เดอื น และการท่ที รงพระอุต สาหะทรงพระราชนพิ นธ์บทละครเรอื่ ง รามเกยี รตขิ์ ้นึ ในครงั้ น้ี อาจมีมูลเหตุบางสว่ นจากการไดค้ ณะละครผูห้ ญิงและบทละครเมือง นครศรธี รรมราชมาก็เปน็ ได้ พระราชนพิ นธบ์ ทละครเรอื่ งรามเกียรติอ์ าจได้ใชเ้ ลน่ ละครหลวงในงาน สมโภชคร้งั สาํ คัญๆ ตลอดสมยั กรุงธนบรุ ี บทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช พมิ พ์ครั้งแรกเมือ่ พ .ศ. ๒๔๘๔ เรื่องรามเกยี รติ์ของไทยไดต้ น้ เคา้ มาจากเรื่องรามายณะของ อนิ เดยี เรือ่ งรามเกยี รต์คิ งเข้ามาแพรห่ ลายในหมคู่ นไทยนบั แต่สมัยสุโขทัยแล้ว เรอ่ื งรามเกยี รติม์ อี ิทธพิ ล ต่อนาฏศลิ ปแ์ ละวรรณคดีของไทยเป็นอนั มาก เรอ่ื งนผี้ กู ข้นึ เปน็ บทแสดงหนัง ละครและโขน และแตง่ ขึ้น สาํ หรับอ่านโดยตรงมาแต่ครั้งกรุงศรอี ยธุ ยา เช่น รามเกียรติบ์ ทพากย์ แตง่ ดว้ ยกาพย์ ใช้สําหรบั พากยห์ นัง สันนิษฐานวา่ แตง่ ระหว่างรชั กาลสมเด็จพระเพทราชากับสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั บรมโกศ บทพากยเ์ รอ่ื ง รามเกียรติเ์ หลอื อยเู่ ป็นบางตอน สําหรบั ตอนนางลอยสนั นิษฐานว่าพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย ทรงนํามาแปลงใหมแ่ ละทรงใชเ้ ปน็ บทพากย์โขน ประชุมคําพากยร์ ามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอนที่ ๑ อธิบายประชุมคาํ พากยร์ ามเกยี รติ์ ตอนท่ี ๒ ประชุมคําพากยร์ ามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์สามตระเบิกหนา้ พระ ตอนที่ ๓ ประชุมคําพากย์รามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอน พากยก์ ระบวนทศกณั ฑล์ งสวน(ไม่ทราบนามผู้แต่ง) ตอนที่ ๔ ประชมุ คาํ พากยร์ ามเกียรต์ิ ภาค ๑ ตอน พากย์นางลอย (รชั กาลที่ ๒) ตอนที่ ๕ ประชมุ คาํ พากย์รามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอน พากยน์ าคบาศ (รัชกาลท่ี ๒) ตอนที่ ๖ ประชมุ คาํ พากยร์ ามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์พิธีพรหมาสตร์ (รัชกาลที่ ๒)

78 ตอนที่ ๗ ประชมุ คาํ พากยร์ ามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอน พากยก์ ระบวนทัพมังกรกณั ฐุ์ (ไมท่ ราบนามผ้แู ตง่ ) ตอนท่ี ๘ ประชุมคําพากย์รามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอน พากยก์ ระบวนมังกรกณั ฐย์ุ กทพั ไปขัดตาทัพ ตอนที่ ๙ ประชุมคําพากย์รามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์ศึกมงั กรกัณฐุ์ ตอนท่ี ๑๐ ประชมุ คําพากย์รามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากยท์ ศกณั ฐุ์บอกขา่ วมงั กรกัณฐุล์ ม้ ตอนท่ี ๑๑ ประชมุ คําพากย์รามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์พรหมาสตร์ ตอนท่ี ๑๒ ประชุมคาํ พากย์รามเกียรต์ิ ภาค ๑ ตอน พากย์เอราวณั ตอนที่ ๑๓ ประชุมคาํ พากยร์ ามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์นางสดี ามาสนามรบ ตอนที่ ๑๔ ประชมุ คาํ พากย์รามเกียรติ์ ภาค ๑ ตอน พากย์รถต่าง ๆ ตอนท่ี ๑๕ ประชมุ คําพากย์รามเกยี รติ์ ภาค ๑ ตอน พากยก์ ระบวนทพั ม้าวิรณุ จาํ บงั ตอนที่ ๑๖ ประชุมคาํ พากยร์ ามเกยี รต์ิ ภาค ๑ ตอน พากย์ทพั ม้า ตอนท่ี ๑๗ ประชมุ คาํ พากย์รามเกียรต์ิ ภาค ๑ ตอน คําพากย์พระราชนิพนธร์ ัชกาลท่ี ๖ ตอนท่ี ๑๘ ประชมุ คําพากยร์ ามเกียรติ์ ภาค ๒ ตอน สดี าหาย ตอนที่ ๑๙ ประชมุ คาํ พากย์รามเกยี รติ ภาค ๓ ตอน พระรามไดข้ ดี ขนิ ตอนที่ ๒๐ ประชุมคาํ พากย์รามเกยี รต์ิ ภาค ๔ ตอน หนมุ านถวายแหวน ตอนท่ี ๒๑ ภาคผนวก ตาํ ราเลน่ หนังในงานมหรสพ ฉบบั หอพระสมดุ วชิรญาณ ประชุมคาํ พากย์รามเกยี รติ์ เลม่ ๒ ตอนท่ี ๑ ประชมุ คําพากย์รามเกยี รต์ิ ภาค ๕ ตอน หนมุ านเผาลงกา ตอนที่ ๒ ประชมุ คําพากยร์ ามเกียรติ์ ภาค ๖ ตอน พระรามประชมุ พล ตอนท่ี ๓ ประชุมคาํ พากยร์ ามเกยี รต์ิ ภาค ๗ ตอน พระรามประชิดลงกา ตอนที่ ๔ ประชุมคําพากย์รามเกยี รต์ิ ภาค ๘ ตอน ศกึ ไมยราพ ตอนที่ ๕ ระชมุ คาํ พากย์รามเกียรติ์ ภาค ๙ ตอน ศกึ กมุ ภกรรณ

79 ช่อื ตอนบทพากย์ หนังใหญ่วัดขนอน ราชบุรี มจี าํ นวน ๑๑ ตอน หนุมานถวายแหวน สหัสสกุมารและเผาลงกา ศึกอนิ ทรชติ ครง้ั ท่ี ๑ ศึกมังกรกณั ฐ์ ศึกวิรุญมขุ นาคบวช พรหมาสตร์ ศึกทศกณั ฐ์ครั้งท่ี ๕ หนมุ านอาสา ทศกณั ฐส์ ง่ั เมอื ง ศึกบรรลัยกลั ป์ ช่ือตอนบทพากย์ หนังใหญ่วดั บ้านดอน ระยอง มีจาํ นวน ๘ ตอน ๑. สีดาลยุ ไฟ ๒. สดี าวาดรูป ๓. สดี าถูกสง่ั ประหาร ๔. กาํ เนดิ สองกุมาร ๕. ปลอ่ มมา้ อปุ การ ๖. พระบุตรพระลบ รบกับพระพรต พระสตั รุต ๗. พ่อลกู ร้จู กั กัน (พระบตุ รพระลบพบพระราม) ๘. พระบุตรพระลบ รบั นางสดี ากลบั เมอื ง

80 ภาพ ๒.๑ ตัวอย่างบทพากยห์ นงั ใหญ่ เรอ่ื งรามเกยี รติ์ ลายมือของ ครเู จมิ ขอบอรัญ ครูพากย์หนังใหญ่วัดบ้านดอน ระยอง สาํ เนาจากครอู ําไพ บุญรอด นักพากย์หนงั ใหญว่ ัดบา้ นดอน ระยอง คนปจั จบุ นั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook