ตามกฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนามีทิศตรงข้ามกับกระแสไฟฟ้าที่ทาให้มอเตอร์ หมนุ ทาให้กระแสไฟฟา้ ท่ีผา่ นมอเตอร์มคี ่านอ้ ยลง โดยมคี า่ เทา่ กับผลตา่ งของกระแสไฟฟา้ ทงั้ สอง กระแสไฟฟ้า ท่ผี า่ นมอเตอร์ขณะหมุนดว้ ยอัตราเรว็ คงตัวจึงมคี ่าน้อยกว่ากระแสไฟฟ้าทผ่ี า่ นมอเตอรข์ ณะเร่ิมหมุน อีเอ็มเอฟ เหนีย่ วนาท่ีเกิดขึน้ ขณะมอเตอร์หมุนเรียกวา่ อเี อ็มเอฟกลับ (Back emf) ถา้ มอเตอร์ถูกขดั ขวางให้หมุนช้าลง จะเกิดอีเอ็มเอฟกลบั น้อยลงทาให้มกี ระแสไฟฟ้าผ่านมอเตอรม์ ากกว่าขณะก่อนถกู ขัดขวาง ซึ่งส่งผลให้ขดลวด ในมอเตอร์รอ้ นจนเสียหายได้ มอเตอรไ์ ฟฟา้ เหน่ยี วนา มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนา (Induction motors) มีหลายแบบตามวัตถุประสงค์ตามการใช้ประโยชน์ใช้ หลักการเหนีย่ วนาแม่เหลก็ ไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนาแบบทีพ่ บทั่วไป ประกอบด้วยส่วนทีห่ มุนได้ เรียกว่า โรเตอร์ ติดกับแกนเหล็กที่หมุนได้คล่อง และส่วนที่อยู่กับที่ ได้แก่ โครงมอเตอร์และชุดขดลวด เรียกว่า สเตเตอร์ ดงั รูป รปู แสดงส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้าเหน่ยี วนา การหมุนของมอเตอร์เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนาเหล็กไฟฟ้าที่ขดลวดในสเตเตอร์ และเนื่องจากระแส ไฟฟ้าสลับที่จ่ายให้มอเตอร์ ทาให้ขดลวดในสเตเตอร์สร้างฟลักซ์แม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงและเหนียวนาให้เกิด กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาในโรเตอร์ เกิดแรงแม่เหล็กแม่เหล็กผลักกันระหว่างขดลวดของสเตเตอร์กับโรเตอร์ ส่งผลให้โรเตอร์หมนุ ปกติขดลวดที่สเตเตอรข์ องมอเตอรเ์ หนี่ยวนาจะมี 3 ชุด เกดิ การเหนยี่ วนาทาให้มีแรงผลัก กันตามลักษณะดังกล่าวทาให้โรเตอร์ของมอเตอร์หมุนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนาลักษณะน้ี จะมีราคาถูก บารุงรักษาง่าย และมีความเร็วคงที่ ทาให้นิยมนามอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนาชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ เช่น มอเตอร์พัดลม มอเตอรป์ ัม๊ นา้ กตี าร์ไฟฟา้ กีตาร์ไฟฟา้ มสี ว่ นประกอบทสี่ าคัญท่ีทาหน้าท่ีเปลีย่ นการส่ันของสายกีตาร์เป็นสัญญาณไฟฟ้าของเสียง คือ ปิ๊กอัพ (Pickup) หรืออีกชื่อหนึ่งคือคอนแทคท์ ภายในปิ๊กอัพจะมโี ซเลนอยดท์ ีพ่ ันอยู่บนแทง่ แม่เหล็ก ตรง กับตาแหนง่ ของสายกีตาร์ โดยแทง่ แม่เหลก็ ในขดลวดจะเหน่ียวนาสายกตี าร์ทีอ่ ยู่ใกลใ้ ห้เป็นแมเ่ หลก็ ดงั รูป
รปู แสดงปิ๊กอพั ทใี่ ช้กบั กีตารเ์ พ่อื รบั สัญญาณไฟฟา้ จากการส่นั ของสายกีตาร์ เมื่อดีดสายกีตาร์ทาให้สั่นไปมา การเหนี่ยวนาระหว่างแท่งแม่เหล็กกับสายกีตาร์จะทาให้ฟลักซ์ แม่เหล็กในโซเลนอยด์เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาตามกฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ ทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนยี่ วนาในโซเลนอยดส์ ่งไปยงั เคร่ืองขยายสญั ญาณและเปลีย่ นเป็นเสยี งต่อไป เตาแม่เหลก็ ไฟฟ้าเหน่ียวนา เตาแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนาทางานโดยให้กระแสไฟฟ้าสลับผ่านขดลวดที่อยู่ภายในเตา ทาให้เกิด สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ส่งผลให้เกิดการเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นในภาชนะโลหะเกิด กระแสไฟฟ้าวน (Eddy current) กลับไป-มาที่ก้นภาชนะ ตามความถี่ของกระแสไฟฟ้าที่ให้กับขดลวด ภายในเตา ดังรูป ซึ่งกระแสไฟฟ้าวนนี้จะทาให้ภาชนะโลหะเกิดความร้อน อย่างไรก็ดีภาชนะโลหะที่ใชก้ ับเตา แมเ่ หล็กไฟฟา้ เหนี่ยวนาตอ้ งถูกออกแบบให้เหมาะสมจงึ จะนามาใชก้ บั เตาชนดิ นี้ได้ รูปแสดงเตาแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนา และแผนภาพส่วนประกอบที่ทาให้เกิดความร้อนจากการเหนี่ยวนาที่ก้น ภาชนะ สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคิด - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการคดิ สงั เคราะห์
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (จิตวิทยาศาสตร)์ ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความรเู้ กยี่ วกบั ส่งิ ต่างๆ ทีสนใจหรือตอ้ งการคน้ พบสง่ิ ใหม่ แสดงออกได้โดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากิจกรรมตา่ งๆ แสวงหาความรูจ้ ากแหล่งเรยี นร้ตู ่างๆ อยู่เสมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ ชน้ิ งาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 1.10 การประยกุ ต์ใชห้ ลักการอเี อ็มเอฟเหนยี่ วนา กิจกรรมการเรียนรู้ วิธสี อนใชร้ ูปแบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน (5E Learning Cycle model) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ ( 5 นาที ) 1. ครทู บทวนความรู้เดิมเก่ียวกบั เครือ่ งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั และเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง 2. ครตู ั้งคาถามเพอื่ นาเข้าสู่การทากจิ กรรม เรอ่ื ง การประยุกต์ใชห้ ลักการอีเอม็ เอฟเหน่ียวนา ดังน้ี - ให้นักเรียนยกตัวอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประยุกต์ใช้การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและมีการ ประยุกต์ใชก้ ารเหนยี่ วนาแมเ่ หล็กไฟฟ้าอย่างไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถกู ตอ้ ง) ขนั้ ท่ี 2 ขั้นสารวจและคน้ หา ( 25 นาที ) 3. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลมุ่ กลุ่มละ 4 - 5 คน และให้ตัวแทนกล่มุ มารับใบงาน 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษากิจกรรมจากใบงานที่ 1.10 เรื่อง การประยุกต์ใช้หลักการอีเอ็มเอฟ เหนยี่ วนา 5. ครชู ้ีแจงจุดประสงคแ์ ละวธิ ีการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใหน้ กั เรียนทราบ 6. นักเรยี นลงมือปฏิบัติกจิ กรรม และรายงานผล ขนั้ ที่ 3 ขน้ั สรา้ งคาอธิบายและลงขอ้ สรปุ ( 15 นาที ) 7. นักเรียนแต่ละกล่มุ สง่ ตวั แทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหนา้ ชน้ั 8. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกันอภปิ รายเพื่อนาไปสกู่ ารสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี
- เมื่อต้องการให้หลอดฟลูออเรสเซนต์สว่าง จะต้องมีความต่างย์สูงมากระหว่างขั้วหลอดทั้งสอง ข้าง ซางเป็นผลมาจากการเกิดอีเอ็มเอฟเหน่ียวนาสงู มากในแบลลัสต์ ให้อธิบายการเกิดอีเอม็ เอฟเหน่ียวนาสงู มากในแบลลสั ต์ (แนวคาตอบ เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านแบลลัสต์ลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสตาร์ทเตอร์ตัดวงจร ส่งผลใหฟ้ ลักซ์แม่เหลก็ ในขดลวดของแบลลัสต์เปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทาใหเ้ กิดอเี อม็ เอฟหน่ยี วนาสงู มาก) 9. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เรื่อง การประยุกต์ใช้หลักการอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา ดังนี้ ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาถูกนาไปใช้อธิบายอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องกาเนิดไฟฟ้าแบลลัสต์แบบ ขดลวดของหลอดฟลูออเรสเซนต ์์มอเตอรไ์ ฟฟา้ เหน่ยี วนา กีตาร์ไฟฟา้ เตาแมเ่ หล็กไฟฟ้าเหน่ยี วนา เปน็ ตน้ ขนั้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 10 นาที ) 10. ครูอธิบายให้นักเรียนเล่นเกมค้นหาคา เพื่อสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยให้หาคาในเกมที่ใช้ หลกั การอีเอ็มเอฟเหนย่ี วนา ขน้ั ที่ 5 ประเมินผล ( 5 นาที ) 11. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรม วัสดุ/อุปกรณ์ ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรยี นฟสิ ิกส์ ม.6 เลม่ 1 สังกัด อจท. 2. หนงั สือเรียนฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 5 สังกดั สสวท. 3. เกมสค์ น้ หาคา เรือ่ ง การประยุกตใ์ ช้หลกั การอเี อม็ เอฟเหนยี่ วนา 4. หอ้ งเรยี น 5. ห้องสมดุ 6. แหล่งข้อมูลสารสนเทศ 7. ใบงานที่ 1.10 การประยุกตใ์ ชห้ ลักการอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนา
การวดั ผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธีวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน 1. นักเรียนอธิบายการทางาน ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1. 10 การ ได้ระดับคุณภาพดี ของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยใช้ ประยุกต์ใช้หลักการ จึงผ่านเกณฑ์ ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟ อเี อม็ เอฟเหนย่ี วนา เหนี่ยวนาได้ (K) 2. นักเรียนสามารถจัดกระทา สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี และสื่อความหมายของข้อมูลที่ ปฏิบตั ิกจิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรมการจัด จึงผา่ นเกณฑ์ ศึกษาค้นควา้ ได้ (P) กระทาสอื่ 3. มคี วามอยากรู้อยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรอู้ ยากเหน็ อยากร้อู ยากเห็น จงึ ผา่ นเกณฑ์ 4. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สงั เกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จงึ ผ่านเกณฑ์ ดา้ นใฝ่เรียนรู้ ความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงช่อื ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
การประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) เกณฑ์การให้คะแนนใบงาน ประเดน็ การประเมิน 4 คะแนน 1 32 ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมีความ เหนี่ยวนาถูกนาไปใช้อธิบาย กับประเด็นการ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่อง ประเมิน เนื้อหา ประเมินส่วนใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร กาเนิดไฟฟ้าแบลลัสต์ แบบ ขดลวดของหลอดฟลูออเรส สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา เ ซ น ต ์ ์ ม อ เ ต อ ร ์ ไ ฟ ฟ้ า ถกู ต้องครบถว้ น ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง เหนี่ยวนา กีตาร์ไฟฟ้า เตา แม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนา เป็น เล็กน้อย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก ตน้ บางสว่ น เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ดมี าก 4 อยใู่ นระดับ ดี 3 อยู่ในระดับ พอใช้ 2 อยใู่ นระดับ ปรับปรงุ 1 อยู่ในระดับ
การประเมินด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมนิ การปฏิบตั ิกจิ กรรมการการจัดกระทาส่ือ ประเดน็ การประเมนิ ระดับคะแนน 32 1 1. สื่อที่ทาสื่อถึงความ สามารถสื่อความหมาย สามารถสื่อความหมาย สามารถสื่อความหมาย หมายของเรื่องที่เรียนได้ ของเรื่องได้ถูกต้องตรง ของเรื่องได้ถูกต้องตรง ของเรื่องได้ถูกต้องตรง ถกู ต้อง ประเด็นทั้งหมดและมี ประเด็น และมีการ ประเด็น แต่ไม่มีการ การอธิบายข้อมูล อธบิ ายข้อมูล อธิบายข้อมลู 2. เชื่อมโยงความรู้ได้ ส า ม า ร ถ เ ช ื ่ อ ม โ ย ง ส า ม า ร ถ เ ช ื ่ อ ม โ ย ง สามารถเชื่อมโยงความรู้ ถูกต้องตามลาดบั ข้นั ความรู้ได้ถูกต้องตาม ความรู้ได้ตามล าดับ ได้แตไ่ มเ่ ปน็ ไปตามลาดับ ลาดบั ความสมั พนั ธ์ ความสัมพันธ์ได้ค่อน ความสัมพันธ์ ข้างครบ 3. ความสวยงามและ แผนภาพมีสีสันสวย แ ผ น ภ า พ ค ่ อ น ข ้ า ง ส า ม า ร ถ ส ร ้ า ง เ ข ี ย น การนาเสนอผลงาน งามและมีการนาเสนอ สวยงามและมีการนา แผนภาพได้แต่ยังไม่สวย ผลงานไดด้ ี เสนอผลงานได้ค่อน เท่าที่ควรและมีการนา ข้างดี เ ส น อ ผ ล ง า น ไ ด ้ บ ้ า ง บางส่วน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดีมาก 7 - 9 อยใู่ นระดับ ดี 4 - 6 อยู่ในระดับ พอใช้ 1 - 3 อยู่ในระดับ
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรอู้ ยากเห็น ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มกี ารแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้ัน ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรู้ได้น้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ท่ี อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบที่เป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพิม่ เติมจากความรูเ้ ดิม ยิ่งขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดบั
การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รียนรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตัวชวี้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครูผู้สอน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครงั้ โรงเรยี นเป็นประจา
ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
การประเมนิ ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมินการปฏิบัตกิ ิจกรรมการจดั กระทาสื่อ กลมุ่ ที่…………. รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. คาช้ีแจง: ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหว่างเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน ประเดน็ การประเมิน ระดับคะแนน 321 1. สอ่ื ทท่ี าส่อื ถึงความหมายของเร่ือง ที่เรยี นได้ถูกตอ้ ง 2. เชื่อมโยงความรู้ได้ถูกต้องตาม ลาดับขนั้ 3. ความสวยงามและการนาเสนอ ผลงาน รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั เกณฑ์การใหค้ ะแนน ดมี าก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถงึ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ดีมาก 7 - 9 อยใู่ นระดบั ดี 4 - 6 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 - 3 อยูใ่ นระดบั
การประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมนิ การมคี วามอยากร้อู ยากเห็น รายช่อื สมาชกิ …………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. คาชแ้ี จง: ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน ประเดน็ การประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบยิ่งขึน้ รวมคะแนน ผลการประเมินอย่ใู นระดบั เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยู่ในระดบั ดี 2 อยู่ในระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั
การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ - นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางที่ 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดับท่ี ระดบั ชน้ั จานวน ดมี าก (4) สรุปผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมินดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) ลาดบั ท่ี ระดบั ช้นั จานวน สรุปผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดีมาก (7 - 9) ดี (4 - 6) พอใช้ (1 - 3) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทกึ หลังการสอน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ผลการสอน ด้านความร.ู้ ................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ด้านทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ดา้ นเจตคต.ิ .................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ด้านสมรรถนะ.................................................................................................................. ................................... ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค.์ ........................................................................................................................... ปัญหา/อปุ สรรค................................................................................................................ .................................. ........................................................................................................................................ .................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ แนวทางการแก้ไข................................................................................................................... ............................. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหตุ..................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงชื่อ..........................................................ผสู้ อน (.............................................................) ........./........................./.........
ใบงานท่ี 1.10 การประยกุ ตใ์ ช้หลักการอีเอม็ เอฟเหน่ยี วนา จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นกั เรยี นอธบิ ายการทางานของเครอื่ งใช้ไฟฟา้ ตา่ งๆ โดยใชค้ วามรู้เก่ยี วกับอีเอม็ เอฟเหน่ียวนาได้ (K) 2. นักเรยี นสามารถจัดกระทาและส่อื ความหมายของข้อมลู ท่ศี ึกษาค้นคว้าได้ (P) 3. ความใฝเ่ รียนรูแ้ ละอยากรอู้ ยากเห็น (A) คาชี้แจง : ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการประยุกต์ใชห้ ลักการอีเอ็มเอฟเหน่ียวนาในชีวิตประจาวนั และ สรปุ ความรทู้ ไ่ี ดเ้ ปน็ แผนผงั มโนทศั น์
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 11 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว30205 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ แม่เหลก็ และไฟฟา้ เร่ือง ค่ายังผลของความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟา้ ของไฟฟ้ากระแสสลับ วนั ท…ี่ …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 2 ช่ัวโมง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ผสู้ อน นางสาวไข่มกุ สพุ ร สาระฟสิ กิ ส์ 3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศกั ย์ไฟฟ้า ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมท้งั นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธิบายและคานวณความความตา่ งศักยอ์ ารเ์ อ็มเอส และกระแสไฟฟ้าอาร์เอม็ เอส จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบ ไซน์ของกระแสไฟฟ้าสลบั ได้ (K) 2. นกั เรยี นอธบิ ายความต่างศกั ย์อารเ์ อม็ เอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอม็ เอสได้ (K) 3. นกั เรียนสามารถคานวณหาค่าความตา่ งศักยอ์ ารเ์ อ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอสได้ (P) 4. ความใฝ่เรียนรแู้ ละอยากรูอ้ ยากเหน็ (A) สาระการเรยี นรู้ การระบุคา่ กระแสไฟฟา้ หรอื ความตา่ งศกั ย์ของไฟฟ้ากระแสสลบั เปน็ ค่าคงตัว ใช้การเทยี บค่ากบั ไฟฟ้า กระแสตรงที่ใหก้ าลังไฟฟ้าทเ่ี ทา่ กันแกต่ ัวต้านทาน ซึง่ เรยี กว่า คา่ ยงั ผล หรอื คา่ มิเตอร์ ค่าดงั กลา่ วเปน็ คา่ เฉลย่ี แบบรากท่ีสองของกาลงั สองเฉลีย่ หรือคา่ อารเ์ อ็มเอส โดย ������rms = ������0 และ ������rms = ������0 √2 √2
สาระสาคญั คา่ อารเ์ อม็ เอสของความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟา้ ของไฟฟา้ กระแสสลับ จากการพิจารณาการทางานของเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับทาใหท้ ราบว่าอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนาจาก แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับเปลย่ี นแปลงกบั เวลาตามสมการ ������(������) = ������0������������������(������������) หากนาตัวต้านทาน ������ มาต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับเป็นวงจร ความต่างศักย์ระหวา่ งปลาย ตัวต้านทาน จะมีค่าเปลี่ยนแปลงกับเวลาเช่นเดียวกับอีเอ็มเอฟ ������ สามารถเขียนความต่างศักย์ ������ และความ ต่างศกั ย์สูงสดุ ������0 ระหวา่ งปลายตัวต้านทาน ได้ดงั น้ี รปู วงจรตวั ตา้ นทานต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ������ = ������ จะได้ ������ = ������0������������������(������������) ������ = ������0������������������(������������) โดย ������ = ������0 จากกฎของโอห์มสามารถเขยี นใหอ้ ย่ใู นรูปกระแสไฟฟ้า ������ ดงั นี้ ������ = ������ = ������0������������������(������������) = ������0 ������������������(������������) ������ ������ ������ เม่อื กระแสไฟฟา้ สูงสดุ ������0 หาได้จาก ������0 ������0 = ������ จะได้ ������ = ������0������������������(������������) จากที่พิจารณาข้างตน้ จะเห็นวา่ ความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับเปล่ียนแปลงตาม เวลาในรูปของฟงั ก์ชนั แบบไซนโ์ ดยความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับที่ตัวตา้ นทานมีค่ามาก ทสี่ ุดพร้อมกัน และเปน็ ศนู ยพ์ ร้อมกัน กลา่ วคอื มีเฟสตรงกนั ดงั รปู รปู กราฟความต่างศกั ย์และกระแสไฟฟ้าของตวั ตา้ นทานกบั เวลา จากที่ศึกษามาข้างต้น กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ของไฟฟ้ากระแสสลับมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา แต่ในชีวิตประจาวันค่าต่างๆ เหล่านี้ ถูกวัดหรือระบุเป็นค่าคงตัว เช่น ความต่างศักย์ที่ใช้ตาม
บ้านเรือนมีค่า 230 โวลต์ การวัดหรือระบุค่าเช่นนี้เป็นการเทียบค่ากับไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่งเรียกว่า ค่ายังผล (Effective value) หรือเปน็ ค่าท่ีได้จากการวัดเรียกว่า คา่ มิเตอร์ (Meter value) ค่าน้ีจะเป็นค่าเฉลี่ยแบบ รากทีส่ องของกาลงั สองเฉล่ีย (Root mean square) หรอื ค่าอาร์เอ็มเอส (Rms value) จะไดศ้ ึกษาดงั น้ี คา่ อาร์เอ็มเอสของกระแสไฟฟ้า ������������������������ คานวณไดจ้ าก ������������������������ = √���̅���2 พิจารณากระแสไฟฟา้ ของไฟฟา้ กระแสสลบั ทผ่ี า่ นตัวตา้ นทาน ตามสมการ ยกกาลังสองจะได้ ������ = ������0������������������(������������) ������2 = (������0������������������(������������))2 เม่ือเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับเวลา และกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองกับเวลา จะ ได้กราฟดงั รปู รูปการหาค่าเฉล่ยี กระแสไฟฟ้ายกกาลังสองจากพนื้ ทไ่ี ต้กราฟ จากรูปหาค่าเฉลี่ยกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองจากพื้นที่ใต้กราฟกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองกับเวลาใน ชว่ งเวลาหนึง่ คาบ จะได้ ���̅���2 = ������02 2 = ������0 = ������0 √���̅���2 หรอื ������������������������ √2 √2 ในทานองเดียวกัน ความต่างศักย์ของไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถหาความต่างศักย์อาร์เอ็มเอส )(������������������������ มคี วามสมั พันธ์ในลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั กระแสไฟฟา้ เขยี นไดเ้ ป็น ������������������������ = ������0 √2 สมรรถนะสาคญั ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ - ทกั ษะการคิดสงั เคราะห์
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (จติ วิทยาศาสตร์) ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความรู้เก่ยี วกบั สิง่ ต่างๆ ทสี นใจหรอื ต้องการค้นพบส่ิงใหม่ แสดงออกไดโ้ ดยการถามคาถาม หรือมี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียรพยายามในการเรียนและการทากิจกรรมต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ อยู่เสมอ โดยการ เลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ได้ ชิ้นงาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 1.11 คา่ ยังผลของความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟา้ ของไฟฟา้ ของไฟฟา้ กระแสสลบั กจิ กรรมการเรียนรู้ วิธีสอนใชร้ ูปแบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน (5E Learning Cycle model) ข้ันท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครนู าเขา้ สบู่ ทเรยี น โดยตงั้ คาถามให้นักเรยี นตอบ ดงั นี้ - เมื่อตอ่ ไฟฟ้ากระแสสลับกับอปุ กรณไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ทผี่ า่ นอุปกรณ์ไฟฟ้าจะมคี ่าคงตัวหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบท่ี ถูกตอ้ ง) 2. ครูตง้ั คาถามเพื่อนาเข้าสู่การทากิจกรรม เรอื่ ง ค่ายงั ผลของความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้า ของไฟฟ้ากระแสสลับ ดงั นี้ - ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ กระแสสลับทใ่ี ชต้ ามบ้านเรอื นในประเทศไทยมีค่าเปน็ เทา่ ไร - การระบคุ วามตา่ งศกั ย์ทีใ่ ช้ตามบ้านเรือนในประเทศไทยเป็นคา่ คงตวั ทาได้อย่างไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถกู ตอ้ ง)
ข้นั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา ( 45 นาที ) 3. ครูชี้แจงจุดประสงค์และวิธีการปฏิบัติกิจกรรมให้นักเรียนทราบ ตามรายละเอียดในใบงานที่ 1.11 คา่ ยงั ผลของความต่างศักย์และกระแสไฟฟา้ ของไฟฟา้ ของไฟฟา้ กระแสสลับ 4. ให้นักเรียนแต่ละคนคานวณค่ายังผลของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้า กระแสสลบั จากโจทยท์ ่กี าหนดให้ 5. นักเรยี นลงมือปฏิบตั ิกิจกรรม และรายงานผล ขั้นท่ี 3 ข้นั สรา้ งคาอธบิ ายและลงขอ้ สรุป ( 30 นาที ) 6. ครสู มุ่ นักเรียนเพอ่ื เปน็ ตัวแทนออกมานาเสนอผลการปฏิบตั กิ ิจกรรมหนา้ ช้ัน 7. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกับ เรอื่ ง ค่ายังผลของความต่างศกั ย์และกระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้า ของไฟฟ้ากระแสสลับ ดังน้ี ความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าสลับเปลี่ยนแปลงกับเวลาในรูปฟังชันก์แบบไซน์ ตามสมการ ������ = ������0������������������(������������) และ ������ = ������0������������������(������������) ตามลาดับ ค่าความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า สลบั ทรี่ ะบุเป็นคา่ คงตวั เรยี กวา่ คา่ ยังผล (effective value) หรอื คา่ มเิ ตอร์ (meter value) หรือ ค่าอาร์เอ็ม เอส (rms value หรอื root mean square value) ตามสมการ ������������������������ = ������0 และ ������������������������ = ������0 ตามลาดับ √2 √2 ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 15 นาที ) 8. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ อีเอ็มเอฟหรือความต่างศักย์ตามบ้านเรือนของประเทศไทย ดังน้ี วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ระบุไว้ในหนังสือ “มาตรฐาน การติดตั้งทางไฟฟ้า สาหรับประเทศไทย พ.ศ. 2556” ซงึ่ สรุปไดว้ ่า อีเอ็มเอฟของระบบไฟฟา้ อเี อม็ เอฟต่าชนิด 3 เฟส 4 สาย จาก เดิมระบไุ ว้เป็น 220/380 โวลต์ และ 240/415 โวลต์ ให้ปรับเปน็ คา่ เดียวคอื 230/400 โวลต์ ขั้นที่ 5 ประเมนิ ผล ( 15 นาที ) 9. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม วัสด/ุ อปุ กรณ์ สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1 สังกดั อจท. 2. หนังสือเรยี นฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 5 สงั กัด สสวท. 3. หอ้ งเรียน 4. ห้องสมุด 5. แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ 6. ใบงานที่ 1.11 คา่ ยังผลของความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับ
การวดั ผลและประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธวี ดั เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ 1. นักเรยี นอธิบายความสัมพันธ์ ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1. 11 ค่ายัง ได้ระดับคุณภาพดี ร ะ ห ว ่ า ง ค ว า ม ต ่ า ง ศ ั ก ย์ ผลของความต่างศักย์ จึงผา่ นเกณฑ์ กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรูปของ และกระแสไฟฟ้าของ ฟังก์ชันแบบไซน์ของกระแส ไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแส ไฟฟ้าสลบั ได้ (K) สลับ 2. นักเรียนอธิบายความต่าง ศักย์อาร์เอ็มเอสและกระแส ไฟฟา้ อาร์เอ็มเอสได้ (K) 3. นักเรียนสามารถคานวณหา สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ค่าความต่างศักย์อาร์เอ็มเอ ปฏบิ ตั ิกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จงึ ผ่านเกณฑ์ สและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส คานวณ ได้ (P) 4. มคี วามอยากรอู้ ยากเห็น (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรู้อยากเหน็ อยากร้อู ยากเหน็ จงึ ผ่านเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สังเกตพฤติกรรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผ่านเกณฑ์ ดา้ นใฝ่เรยี นรู้ ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงช่อื ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
การประเมินดา้ นความรู้ (K) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนใบงาน ประเด็นการประเมนิ 4 คะแนน 1 32 ค ว า ม ต ่ า ง ศ ั ก ย ์ แ ล ะ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมีความ กระแสไฟฟา้ สลับเปลีย่ นแปลง กับประเด็น การ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ กับเวลาในรูปฟังชันก์แบบไซน์ ประเมิน เนื้อหา ประเมินสว่ นใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร ต า ม ส ม ก า ร ������ = ������0������������������(������������) แ ล ะ ������ = สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา ������0������������������(������������) ตามลาดับ ค่า ถูกต้องครบถว้ น ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ความต่างศักย์และ ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง กระแสไฟฟา้ สลับที่ระบุเป็นค่า เลก็ น้อย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก คงตัว เรียกว่า ค่ายังผล บางสว่ น (effective value) หรือ ค่า มิเตอร์ (meter value) หรือ ค่าอาร์เอ็มเอส (rms value ห ร ื อ root mean square value) ตามสมการ ������������������������ = ������0 และ ������������������������ = ������0 √2 √2 ตามลาดับ เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ดีมาก 4 อย่ใู นระดับ ดี 3 อยใู่ นระดบั พอใช้ 2 อยู่ในระดับ ปรับปรงุ 1 อยใู่ นระดับ
การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมการคานวณ ประเด็นการประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การว ิเคราะห์โ จทย์ บอกส่งิ ท่ีโจทยใ์ ห้มา และ บอกสงิ่ ทโี่ จทยใ์ ห้มา และ บอกสิ่งท่ีโจทยใ์ หม้ า และ ปญั หา สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ อย่างถูก และเขียน และเขียนสมการการ และเขียนสมการการ สมการการคานวณของ โจทย์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ค านวณของโจทย์ได้ คานวณของโจทยไ์ ด้ อยา่ งถูกตอ้ ง 2.เลือกสูตรที่เหมาะสม เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณท่ี และสมั พันธก์ ับโจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้ แต่ไม่ ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ถกู ต้อง สามารถหาค าตอบที่ ถกู ตอ้ งได้ 3.การแทนค่าและแสดงวิธี การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร หาคาตอบ ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้ และแสดง แสดงวิธีการคานวณเป็น แสดงวิธีการคานวณเป็น วิธกี ารคานวณได้ ลาดบั ขั้นตอนชดั เจนและ ล าดับขั้นตอนและได้ ได้ค าตอบที่ถูกต้องมี คาตอบทถ่ี กู ต้อง ความแมน่ ยา 4.ตรวจสอบค าตอบของ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ โจทย์ และระบุหน่วยได้ คาตอบของโจทยไ์ ด้อย่าง คาตอบของโจทยไ์ ด้ และ คาตอบของโจทย์ได้บ้าง ชดั เจน ถูกต้อง และระบุหน่วย ระบหุ นว่ ยไดช้ ัดเจน เล็กน้อย และระบุหน่วย ได้ชัดเจน ได้ เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 9 – 12 อย่ใู นระดับ ดมี าก 5 – 8 อยูใ่ นระดบั ดี 1 – 4 อยใู่ นระดับ พอใช้
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรู้อยากเหน็ ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มีการแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้นั ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรไู้ ดน้ ้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ที่ อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า วั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบท่ีเป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพิม่ เตมิ จากความรเู้ ดิม ยิ่งขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดับ
การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รยี นรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตัวชวี้ ัด พฤตกิ รรมบ่งช้ี 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมคี วามเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวติ ประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครผู ้สู อน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครัง้ โรงเรยี นเป็นประจา
ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมนิ การปฏิบตั กิ ิจกรรมการคานวณ รายช่ือสมาชกิ …………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแี้ จง: ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียน แล้วขีด ลงในช่องทต่ี รงกบั ระดับคะแนน ประเด็นการประเมิน ระดับคะแนน 3 21 1.การวเิ คราะห์โจทยป์ ัญหา 2.เลือกสตู รที่เหมาะสมและสัมพนั ธ์กับ โจทย์ 3.การแทนค่าและแสดงวธิ ีหาคาตอบ 4.ตรวจสอบคาตอบของโจทย์ และระบุ หนว่ ยได้ชัดเจน รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั เกณฑก์ ารให้คะแนน ดมี าก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ดมี าก 9 – 12 อย่ใู นระดบั ดี 5 – 8 อย่ใู นระดับ พอใช้ 1 – 4 อยู่ในระดบั
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมินการมีความอยากร้อู ยากเหน็ รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี น แล้วขดี ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ประเด็นการประเมนิ 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบย่งิ ขึ้น รวมคะแนน ผลการประเมนิ อยู่ในระดับ เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั
การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ - นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ที่ ระดบั ช้นั จานวน ดมี าก (4) สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดบั ช้ัน จานวน สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดมี าก (9 – 12) ดี (5 – 8) พอใช้ (1 – 4) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บันทึกหลังการสอน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ผลการสอน ด้านความร้.ู ................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ด้านทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ด้านเจตคต.ิ .................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ด้านสมรรถนะ.................................................................................................................. ................................... ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค.์ ............................................................................................................ ............... ปัญหา/อปุ สรรค................................................................................................................ .................................. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ แนวทางการแกไ้ ข............................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหต.ุ .................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงชื่อ..........................................................ผ้สู อน (.............................................................) ........./........................./.........
ใบงานท่ี 1.11 ค่ายงั ผลของความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบ ไซน์ของกระแสไฟฟ้าสลับได้ (K) 2. นกั เรยี นอธิบายความตา่ งศักยอ์ าร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอารเ์ อม็ เอสได้ (K) 3. นักเรยี นสามารถคานวณหาคา่ ความตา่ งศักย์อารเ์ อ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอสได้ (P) 4. ความใฝ่เรียนร้แู ละอยากรอู้ ยากเห็น (A) คาชี้แจง : ให้นักเรียนคานวณหาค่าความต่างศักย์อาร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส รวมทั้งปริมาณที่ เก่ยี วขอ้ งจากโจทยท์ ่ีกาหนดให้ตอ่ ไปน้ีใหถ้ กู ต้อง 1. เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับที่มีความถี่ 50 เฮิรตซ์ ให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส 12 โวลต์ จงหา กระแสไฟฟา้ อาร์เอ็มเอสในวงจร เมอื่ ต่อเครือ่ งกาเนิดไฟฟา้ น้ีกับ (ก)ตวั ต้านทานทีม่ ีความตา้ นทาน 10 โอห์ม (ข) ตวั เก็บประจทุ ี่มีความจไุ ฟฟา้ 33 ไมโครฟารดั (ค)ตัวเหนีย่ วนาท่มี คี วามเหนีย่ วนา 20 มลิ ลเิ ฮนรี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. เตารีดเครื่องหนึ่งฉลากระบุว่าใช้กับความต่างศักย์ 224 โวลต์ ถ้าเตารีดนี้มีความต้านทาน 12 โอมห์ จะวดั กระแสไฟฟ้าที่ผ่านเตารีดไดเ้ ทา่ ใด และกระแสไฟฟา้ สงู สุดทผ่ี า่ นเตารีด มคี า่ เทา่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ตู้เย็นตู้หน่ึงมีความต่างศักย์ไฟฟ้า 120 โวลต์ ถา้ ต้เู ย็นนม้ี ีความต้านทาน 22 โอมห์ จะวัดกระแสไฟฟ้า ท่ีผา่ นตเู้ ยน็ นไ้ี ด้เท่าใด และกระแสไฟฟ้าสงู สุดท่ีผา่ นต้เู ย็น มคี ่าเทา่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 12 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว30205 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 5 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ แม่เหลก็ และไฟฟ้า เร่ือง การผลติ ไฟฟา้ กระแสสลับ วันท…่ี …….เดือน……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ชวั่ โมง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ผู้สอน นางสาวไข่มกุ สุพร สาระฟสิ ิกส์ 3. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศักยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ อธิบายหลักการทางานและประโยชน์ของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส การแปลงอีเอ็มเอฟ ของหมอ้ แปลง และคานวณปริมาณตา่ งๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนอธิบายหลักการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส และการส่งไฟฟ้า กระแสสลับไปตามบา้ นเรอื นได้ (K) 2. นกั เรยี นคานวณหาค่าพลังงานท่ีสญู เสียไปในสายไฟฟ้า เมือ่ สง่ ด้วยความตา่ งศักย์ได้ (P) 3. ความใฝเ่ รียนรู้และอยากรอู้ ยากเหน็ (A) สาระการเรยี นรู้ เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส ประกอบด้วยขดลวด 3 ชุด แต่ละชุดวางทามมุ 120 องศา ซ่ึงกันและกัน เม่ือหมุนแท่งแม่เหล็กจะเกิดอีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับจากขดลวดแต่ละชุด มีเฟสต่างกัน 120 องศา ทาให้ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 1 เฟส เมื่อใช้พลังงานในการผลิตเท่ากัน และการส่ง กาลังไฟฟ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ทาให้ใช้จานวนสายไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับการส่งไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด ทาให้การผลิตและการสง่ ไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส มปี ระสิทธิภาพมากกวา่ ไฟฟ้า 1 เฟส
สาระสาคัญ การผลิตและการสง่ ไฟฟ้ากระแสสลับ การทาให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับ โดยการหมุนขดลวดเพื่อทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดผ่านขดลวดมีการ เปลยี่ นแปลง การผลิตไฟฟา้ กระแสสลับ การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับโดยเครื่องกาเนิดไฟฟ้านั้นเป็นการเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า ด้วยการทาให้ฟลักซ์แมเ่ หล็กทตี่ ัดผ่านขดลวดมีการเปลี่ยนแปลง เพือ่ ทาให้เกดิ ไฟฟา้ กระแสสลับสามารถทาได้ ท้ังการหมุนขดลวดตัดผ่านฟลักซ์แม่เหล็ก และการหมุนแท่งแม่เหล็กเพื่อทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กตัดผ่านขดลวด เช่น เครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั ของรถจกั รยานบางรุ่น โดยมสี ว่ นประกอบ ดงั รูป รูปตวั อย่างเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลับ การผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั ด้วยเครื่องกาเนิดไฟฟา้ ทมี่ ีขดลวด 1 ชดุ ไฟฟ้ากระแสสลับท่ผี ลติ ได้จะถูกส่ง จากเครื่องกาเนดิ ด้วยสายส่ง 2 เส้น เรยี กระบบไฟฟ้ากระแสสลบั 1 เฟส แต่โรงไฟฟ้าจะใช้เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้าที่ มีขดลวด 3 ชุด ในการหมุนแม่เหล็กแต่ละรอบทาให้สามารถผลิตไฟฟ้ากระแสสลับออกมาทั้ง 3 ชุด เรียกว่า ระบบไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส ซ่งึ มีรายละเอียดดังน้ี เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับทีใ่ ช้งานตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครือ่ งกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส มีขดลวดตวั นา อยู่ 3 ชุด โดยแนวแกนของขดลวดแต่ละชดุ ทามุม 120 องศา ซึ่งกนั และกันในลักษณะ รปู แบบจาลองเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟส จากรปู สายไฟฟ้าเส้นที่ 1.1 2.1 และ 3.1 ของแต่ละขด จะตอ่ รวมกัน เรยี กวา่ สายนิวทรลั (neutral line) และต่อลงดนิ ท่ีโรงไฟฟ้า เรยี กว่า สายดนิ สว่ นสายไฟฟา้ เส้นท่ี 1.2 2.2 และ 3.2 ของแต่ละขด จะมีอเี อ็ม เอฟไฟฟ้ากระแสสลับเปลีย่ นแปลงตามการหมุนของแมเ่ หล็กเมื่อเทียบกับสายนิวทรัล จึงมีสายไฟฟ้าทีต่ ่อออก จากเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส จานวน 4 เสน้
เมื่อพิจารณาการหมุนแท่งแม่เหล็กครบ 1 รอบ สนามแม่เหล็กจะเหนี่ยวนาให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับ ออกมาจากขดลวดทั้งสามชุด แต่เนื่องจากขดลวดทั้งสามมีแนวแกนของขดลวดทามุมกัน 120 องศา ดังน้ัน อีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับที่เกิดขึ้นในขดลวดแต่ละชุด จะมีค่าสูงสุดไม่พร้อมกัน สามารถเขียนกราฟระหว่าง อเี อ็มเอฟกบั เวลาของขดลวดแตล่ ะชดุ ได้ ดงั รูป รปู กราฟอเี อ็มเอฟจากเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ 3 เฟสกับเวลา จากกราฟ อธิบายได้ว่าไฟฟ้าจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส จะมีเฟสของอีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับ จากขดลวดแตล่ ะชุดต่างกัน 120 องศา ในการผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั จากเครือ่ งกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส ประกอบด้วยสายไฟฟ้า 4 เส้น แต่ในการ ส่งไฟฟ้าจากโรงผลิตไปยังสถานีไฟฟ้าย่อย สายนิวทรัลจะถูกต่อลงดินที่โรงผลิต ทาให้เหลือสายไฟฟ้าที่ใช้ใน การสง่ ไฟฟา้ 3 เฟส จานวน 3 เส้น ดงั รูป รปู โรงไฟฟ้าถึงสถานีไฟฟ้าต้นทาง ขอ้ ดขี องการผลติ และการส่งไฟฟ้า 3 เฟส คือ การผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟสให้พลังงาน ไฟฟ้ามากกว่าเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 1 เฟส เมื่อใช้พลังงานในการผลิตเท่ากัน และการส่งกาลังไฟฟ้า จะถูกแบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ทาให้ใช้จานวนสายไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับการส่งไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด และการส่งไฟฟ้า 3 เฟส ทาใหก้ ระแสรวมน้อยกว่าการสง่ ไฟฟา้ 1 เฟส เม่อื ส่งด้วยพลงั งานทเ่ี ท่ากัน จึงลดขนาดสายไฟฟ้าและเสาท่ี ใช้ส่งได้ ซงึ่ ช่วยให้มปี ระสิทธิภาพในการผลติ และการส่งพลังงานไฟฟา้ นอกจากนี้หากเฟสใดเฟสหนงึ่ เกิดปัญหา ก็ยังสามารถใช้ไฟฟ้าเฟสอื่นได้ตามปกติ ซึ่งถ้าเป็นการส่งกาลังไฟฟ้าเพียงเฟสเดียวเมื่อไฟฟ้าขัดข้องจะไม่ สามารถใชไ้ ฟฟ้าได้เลย การสญู เสยี กาลงั ไฟฟา้ ในสายไฟฟ้า เนอ่ื งจากสายไฟฟา้ มีความตา้ นทาน ������ ดงั น้ัน กระแสไฟฟา้ ������ ทผ่ี า่ นสายไฟฟ้าจะทาให้เกิดการสูญเสีย กาลังไฟฟา้ ������������������������������ ท่ีความต้านทานในสายไฟฟ้าในรปู ความร้อน ตามสมการ ������������������������������ = ������2������
จะเห็นได้วา่ การสูญเสยี กาลังไฟฟ้ากับความต้านทานในสายไฟฟา้ ขน้ึ กับกระแสไฟฟา้ ท่ผี ่านสายไฟฟ้า ดังน้ันถ้า ตอ้ งการให้สญู เสียกาลังไฟฟ้าในสายไฟฟา้ น้อย จะตอ้ งใหก้ ระแสไฟฟ้าทผี่ า่ นสายไฟฟา้ มีคา่ น้อยๆขณะเดียวกัน การสง่ กาลังไฟฟ้าผา่ นสายไฟฟ้า ขึ้นอยกู่ บั กระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟ้าทใ่ี ช้สง่ ตามสมการ ������ = ������������ การส่งกาลังไฟฟ้าปริมาณมากจากโรงไฟฟ้าผ่านสายไฟฟา้ เปน็ ระยะทางไกลให้มกี ารสญู เสยี กาลงั ไฟฟ้า ในสายไฟฟา้ นอ้ ย จะต้องส่งกาลังไฟฟา้ ด้วยกระแสไฟฟา้ น้อย จึงต้องใชค้ วามต่างศกั ย์สงู การส่งไฟฟ้ากระแสสลับที่มีกาลังไฟฟ้ามาก ไประยะทางไกล ๆ ต้องส่งไฟฟ้าด้วยความต่างศักย์สูง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าต่า ทาให้มีการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าไปกับความต้านทานของสายไฟฟ้าน้อย และสามารถ ใช้สายสง่ ไฟฟา้ ท่มี ีขนาดเลก็ ลง ถ้าความต่างศักย์สูงมากเกินไป สนามไฟฟ้าระหว่างสายจะทาใหอ้ ากาศบริเวณระหว่างสายไฟฟ้าแตก ตวั เปน็ ประจไุ ฟฟา้ มสี ภาพเปน็ ตัวนาไฟฟ้า ส่งผลให้เกดิ ไฟฟา้ ลัดวงจรระหว่างสายส่งไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของ การสูญเสียพลังงานไฟฟ้าอีกแบบหนึ่ง นอกจากนี้เมื่อฝนตกก็อาจมีอันตรายเนื่องจากไฟฟ้ารั่วลงมาตามเสา ไฟฟา้ ที่เป็นโลหะได้ ดังน้ันความต่างศักย์ทีจ่ ะใชส้ ่งกระแสไฟฟ้าจากโรงผลติ ไฟฟา้ จึงตอ้ งมคี ่าเหมาะสม การส่งกาลังไฟฟ้า การสง่ กาลงั ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าจนถึงผู้ใช้ไฟฟา้ จะมีการปรับคา่ ความต่างศักย์ ทั้งการปรับค่าความต่าง ศักย์ไกล ๆ และปรับค่าความต่างศักย์ให้สูงขึ้นเพื่อลดการสูญเสียในการส่งกาลังไฟฟ้าไปไกล ๆ และปรับค่า ความตา่ งศักยใ์ หน้ อ้ ยลงใหเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน มีลาดบั ข้ันตอนการปรบั ค่าความต่างศกั ย์ ดงั รปู รูปแผนภาพแสดงการส่งไฟฟ้าจากโรงผลติ ไฟฟ้าสบู่ า้ นเรือน การส่งพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้า เพื่อให้ส่งกาลังไฟฟ้าได้ไกลและลด การสูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายส่ง จะต้องเพิ่มความต่างศักย์ในสายส่งให้สูงขึ้น ในปัจจุบันระบบส่งพลังงาน ไฟฟา้ แรงสูงของการไฟฟา้ ฝ่ายผลติ (กฟผ.) จะแปลงความตา่ งศักยจ์ าก 13,800 โวลตเ์ ปน็ 500,000 โวลต์ หรือ 230,000 โวลต์ หรือ 115,000 โวลต์ หรือ 69,000 โวลต์ ก่อนส่งไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยผ่านระบบสายส่ง ไฟฟ้าแรงสูง โดยความต่างศักย์ความต่างศักย์ที่แปลงขึ้นอยู่กับระยะทาง และกาลังไฟฟ้าที่ต้องการส่งสถานี ไฟฟ้าย่อยจะทาหน้าที่แปลงความต่างศักย์สูงให้มีความต่างศักย์ลดลงเหลือ 24,000 โวลต์หรือ 12,000 โวลต์ และส่งผ่านระบบจาหน่ายไปตามพ้ืนท่ีต่างๆ โดยจะแปลงค่าความต่างศักย์ ใหเ้ หลือ 400 โวลต์ 3 เฟส ก่อนถูก นาไปใช้ในโรงงานอตุ สาหกรรม แต่สาหรับบ้านเรอื นความตา่ งศักย์จะถกู ลดลงเหลอื 230 โวลต์ 1 เฟส
สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการคิดสงั เคราะห์ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (จติ วทิ ยาศาสตร์) ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความร้เู กย่ี วกบั ส่ิงตา่ งๆ ทสี นใจหรอื ตอ้ งการคน้ พบสง่ิ ใหม่ แสดงออกไดโ้ ดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียรพยายามในการเรียนและการทากิจกรรมต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ อยู่เสมอ โดยการ เลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวันได้ ช้นิ งาน/ภาระงาน ใบงานที่ 1.12 การผลิตไฟฟา้ กระแสสลบั กจิ กรรมการเรียนรู้ วิธีสอนใชร้ ปู แบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ข้นั ตอน (5E Learning Cycle model) ข้นั ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ ( 5 นาที ) 1. ครูทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาเกี่ยวกับการทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวด โดยตั้งคาถามให้นักเรียน ตอบ ดังนี้ - มวี ธิ ีการใดบา้ งทที่ าใหเ้ กดิ กระแสไฟฟ้าในขดลวดได้ (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถูกต้อง) 2. ครูตั้งคาถามเพื่อนาเขา้ ส่กู ารทากิจกรรม เร่อื ง การผลติ ไฟฟ้ากระแสสลบั ดงั น้ี - การทาให้เกิดไฟฟา้ กระแสสลบั โดยการหมุนแม่เหลก็ เพื่อทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กทีต่ ัดผ่านขดลวดมี การเปลย่ี นแปลงได้หรือไม่ (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถูกต้อง)
ขนั้ ที่ 2 ข้ันสารวจและค้นหา ( 25 นาที ) 3. ครูชี้แจงจุดประสงค์และวิธีการปฏิบัติกิจกรรมให้นักเรียนทราบ ตามรายละเอียดในใบงานที่ 1.12 การผลิตไฟฟา้ กระแสสลบั 4. ให้นักเรียนแตล่ ะคนคานวณค่าการผลติ ไฟฟ้ากระแสสลบั จากโจทย์ท่กี าหนดให้ 5. นกั เรยี นลงมอื ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม และรายงานผล ขนั้ ที่ 3 ขั้นสรา้ งคาอธิบายและลงข้อสรปุ ( 15 นาที ) 6. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหนา้ ชนั้ 7. ครใู ห้นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายเพอื่ นาไปสู่การสรุป โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี - การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับโดยเครื่องกาเนิดไฟฟ้านั้นเป็นการเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงาน อะไร (แนวคาตอบ เปล่ียนพลงั งานกลเป็นพลงั งานไฟฟา้ ) - การผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั โดยเครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้า ทาไดอ้ ยา่ งไร (แนวคาตอบ ค่าการทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดผ่านขดลวดมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อทาให้เกิด ไฟฟ้ากระแสสลับสามารถทาได้ทั้งการหมุนขดลวดตัดผ่านฟลักซ์แม่เหล็ก และการหมุนแท่งแม่เหล็กเพื่อทา ให้ฟลักซแ์ มเ่ หลก็ ตัดผา่ นขดลวด) - การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับด้วยเครื่องกาเนิดไฟฟ้าที่มีขดลวด 1 ชุด ไฟฟ้ากระแสสลับที่ผลิตได้ จะถูกส่งจากเคร่ืองกาเนิดดว้ ยสายส่ง 2 เส้น เรียกระบบไฟฟา้ นว้ี ่าอะไร (แนวคาตอบ ระบบไฟฟา้ กระแสสลบั 1 เฟส) - จากข้างต้นแต่โรงไฟฟ้าจะใช้เครื่องกาเนิดไฟฟ้าที่มีขดลวด 3 ชุด ในการหมุนแม่เหล็กแต่ละ รอบทาให้สามารถผลติ ไฟฟา้ กระแสสลับออกมาทัง้ 3 ชุด เรยี กระบบไฟฟ้านว้ี า่ อะไร (แนวคาตอบ ระบบไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส) - เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้งานตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากี่เฟส และมี ขดลวดตัวนาอยกู่ ่ีชดุ (แนวคาตอบ 3 เฟส มีขดลวดตัวนาอยู่ 3 ชดุ ) - จากกราฟความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของตัวต้านทานกับเวลาข้างต้น อยากทราบว่าความ ต่างศกั ย์ และกระแสไฟฟ้าของไฟฟา้ กระแสสลับเปลยี่ นแปลงอย่างไร (แนวคาตอบ เปลี่ยนแปลงตามเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบไซน์โดยความต่างศักย์และ กระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับที่ตัวต้านทานมีค่ามากท่ีสุดพร้อมกัน และเป็นศูนยพ์ รอ้ มกัน กล่าวคือมีเฟส ตรงกัน) - ในการผลิตไฟฟา้ กระแสสลบั จากเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้า 3 เฟส ประกอบดว้ ยสายไฟฟา้ กี่เสน้ (แนวคาตอบ ประกอบด้วยสายไฟฟา้ 4 เส้น)
- จงบอกขอ้ ดขี องการผลิตและการส่งไฟฟา้ 3 เฟส (แนวคาตอบ การผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส ให้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าเครื่อง กาเนิดไฟฟ้า 1 เฟส เม่อื ใชพ้ ลงั งานในการผลิตเท่ากนั และการส่งกาลังไฟฟ้า) - ถ้าต้องการให้สูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายไฟฟ้าน้อย จะต้องให้กระแสไฟฟ้าที่ผ่านสายไฟฟ้ามีค่า อยา่ งไร (แนวคาตอบ ถ้าต้องการให้สูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายไฟฟ้าน้อย จะต้องให้กระแสไฟฟ้าที่ผ่าน สายไฟฟา้ มคี า่ นอ้ ยๆ) - การส่งกาลังไฟฟ้าปริมาณมากจากโรงไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าเป็นระยะทางไกลให้มีการสูญเสีย กาลงั ไฟฟา้ ในสายไฟฟ้าอยา่ งไร จะต้องสง่ กาลังไฟฟา้ ด้วยกระแสไฟฟ้าน้อย จึงต้องใช้ความตา่ งศกั ยส์ งู (แนวคาตอบ การสูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายไฟฟ้าน้อย จะต้องส่งกาลังไฟฟ้าด้วยกระแสไฟฟ้า น้อย จงึ ตอ้ งใชค้ วามตา่ งศกั ย์สูง) 8. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เรื่อง การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ ดังน้ี ขณะที่มีการส่ง กาลังไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ จะเกิดการสูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายส่งไฟฟ้า ตามสมการ ������������������������������ = ������2������ กระแสไฟฟา้ ทผ่ี า่ นสายไฟฟ้าหาได้สมการ ������ = ������������ เมื่อต้องการส่งกาลังไฟฟ้าปรมิ าณหนงึ่ เปน็ ระยะทางไกล เพ่ือลดการสูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายส่งไฟฟา้ ใหก้ ารสญู เสยี น้อยท่ีสุด ทาไดโ้ ดยการลดปริมาณกระแสไฟฟ้าใน สายส่งโดยใช้ความต่างศักย์สูงในการส่งกาลังไฟฟ้าตามความสัมพันธ์ของสมการ ������ = ������������ สาหรับ กาลังไฟฟ้าที่ค่าคงที่ค่าหนึ่ง ถ้าใช้ความต่างศักย์สูงในการส่งกาลังไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะมีค่าน้อย นั่นคือ หาก ตอ้ งการให้กาลังไฟฟา้ เท่าเดมิ เมอื่ มกี ารเพม่ิ ค่าความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้าจะนอ้ ยลง ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 10 นาที ) 9. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ ดังนี้ ส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กาหนดสีของสายไฟฟ้าที่มีตัวนาเป็นทองแดงและหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอ ไรด์ (polyvinylchloride : PVC) ในระบบไฟฟา้ แรงต่า (ไม่เกนิ 1000 โวลต์) ของระบบไฟฟ้า 3 เฟส ดงั นี้ สายนิวทรลั สายดนิ สายไฟฟ้าของ สายไฟฟ้าของ สายไฟฟา้ ของ ขดลวดชดุ ท่ี 1 ขดลวดชดุ ท่ี 2 ขดลวดชุดท่ี 3
ขน้ั ที่ 5 ประเมินผล ( 5 นาที ) 10. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม วัสด/ุ อปุ กรณ์ สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียนฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 1 สังกัด อจท. 2. หนังสอื เรยี นฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 5 สังกัด สสวท. 3. หอ้ งเรยี น 4. หอ้ งสมดุ 5. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ 6. ใบงานท่ี 1.12 การผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั การวดั ผลและประเมนิ ผล จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ วี ดั เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ 1.นักเรียนอธิบายหลักการ ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1. 12 การ ได้ระดับคุณภาพดี ทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า ผลิตไฟฟ้ากระแสสลบั จงึ ผ่านเกณฑ์ กระแสสลับ 3 เฟส และการส่ง ไฟฟ้ากระแสสลับไปตาม บา้ นเรือนได้ (K) 2. นักเรียนค านวณหา ค่า สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี พลังงานที่สูญเสียไปในสาย ปฏิบัตกิ ิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จงึ ผา่ นเกณฑ์ ไฟฟ้า เมื่อส่งด้วยความตา่ งศักย์ คานวณ ได้ (P) 3. มีความอยากร้อู ยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรอู้ ยากเห็น อยากรอู้ ยากเหน็ จงึ ผ่านเกณฑ์ 4. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สงั เกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผ่านเกณฑ์ ดา้ นใฝเ่ รยี นรู้
ความคิดเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงช่อื ................................................................ผู้บรหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
การประเมินดา้ นความรู้ (K) เกณฑก์ ารให้คะแนนใบงาน ประเดน็ การประเมิน คะแนน 4 321 ขณะทีม่ กี ารส่งกาลงั ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงาน มี ค ว า ม ไปยงั ผใู้ ช้ จะเกดิ การสูญเสียกาลังไฟฟ้า กับประเด็น การ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ ในสายส่งไฟฟ้า ตามสมการ ดังต่อไปนี้ ประเมิน เนื้อหา ประเมนิ ส่วนใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร ������������������������������ = ������2������ กระแสไฟฟ้าที่ผ่าน สายไฟฟ้าหาได้สมการ ������ = ������������ สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา เมื่อต้องการส่งกาลังไฟฟ้าปริมาณหน่ึง ถูกต้องครบถ้วน ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง เป็นระยะทางไกล เพื่อลดการสูญเสีย ก าลังไฟฟ้าในสายส่งไฟฟ้า ให้การ เล็กนอ้ ย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก สูญเสียน้อยที่สุด ทาได้โดยการลด บางสว่ น ปริมาณกระแสไฟฟ้าในสายส่งโดยใช้ ความต่างศักย์สูงในการส่งกาลังไฟฟ้า ตามความสัมพันธ์ของสมการ ������ = ������������ สาหรับกาลังไฟฟ้าที่ค่าคงที่ค่า หนึ่ง ถ้าใช้ความต่างศักย์สูงในการส่ง กาลังไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะมีค่าน้อย นั่นคือ หากต้องการให้กาลังไฟฟ้าเท่า เดิม เมื่อมีการเพิ่มค่าความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ จะน้อยลง เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ดมี าก 4 อยู่ในระดบั ดี 3 อยใู่ นระดับ พอใช้ 2 อยู่ในระดบั ปรบั ปรุง 1 อยใู่ นระดบั
การประเมนิ ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมการคานวณ ประเด็นการประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การว ิเคราะห์โ จทย์ บอกส่งิ ท่ีโจทยใ์ ห้มา และ บอกสงิ่ ทโี่ จทยใ์ ห้มา และ บอกสิ่งท่ีโจทยใ์ หม้ า และ ปญั หา สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ อย่างถูก และเขียน และเขียนสมการการ และเขียนสมการการ สมการการคานวณของ โจทย์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ค านวณของโจทย์ได้ คานวณของโจทยไ์ ด้ อยา่ งถูกตอ้ ง 2.เลือกสูตรที่เหมาะสม เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณท่ี และสมั พันธก์ ับโจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้ แต่ไม่ ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ถกู ต้อง สามารถหาค าตอบท่ี ถกู ตอ้ งได้ 3.การแทนค่าและแสดงวิธี การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร หาคาตอบ ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้ และแสดง แสดงวิธีการคานวณเป็น แสดงวิธีการคานวณเป็น วิธกี ารคานวณได้ ลาดบั ขั้นตอนชดั เจนและ ล าดับขั้นตอนและได้ ได้ค าตอบที่ถูกต้องมี คาตอบทถ่ี กู ต้อง ความแมน่ ยา 4.ตรวจสอบค าตอบของ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ โจทย์ และระบุหน่วยได้ คาตอบของโจทยไ์ ด้อย่าง คาตอบของโจทยไ์ ด้ และ คาตอบของโจทย์ได้บ้าง ชดั เจน ถูกต้อง และระบุหน่วย ระบหุ น่วยไดช้ ัดเจน เล็กน้อย และระบุหน่วย ได้ชัดเจน ได้ เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ 9 – 12 อย่ใู นระดับ ดีมาก 5 – 8 อยูใ่ นระดบั ดี 1 – 4 อยใู่ นระดับ พอใช้
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรู้อยากเหน็ ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มีการแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้นั ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรไู้ ด้น้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ที่ อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบท่ีเป็น ค าตอบท่ีเป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพ่ิมเตมิ จากความรูเ้ ดมิ ย่ิงขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ พอใช้ 1 อยู่ในระดับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284