Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือสวดพุทธมนต์ ฉบับพุทธบริหารการศึกษา

หนังสือสวดพุทธมนต์ ฉบับพุทธบริหารการศึกษา

Published by Kasem S. Kdmbooks, 2021-07-13 19:06:42

Description: หนังสือสวดพุทธมนต์ ฉบับพุทธบริหารการศึกษา (13-7-64) โดย เกษม แสงนนท์ สนับสนุนโดย ผศ.ดร.พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ

Search

Read the Text Version

ค่มู อื สวดพุทธมนต์ ฉบับ พุทธบรหิ ารการศกึ ษา หลักสูตรบณั ฑิตศึกษา ภาควชิ าบรหิ ารการศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย https://eda.mcu.ac.th

คูม่ อื สวดพระพุทธมนต์ ฉบับพุทธบรหิ ารการศกึ ษา ชมรมพุทธบรหิ ารการศึกษา หลกั สูตรบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบรหิ ารการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ทีป่ รกึ ษา รศ.ดร.สมศักด์ิ บญุ ปู่ พระราชสตุ าภรณ,์ รศ.ดร. รศ.ดร.อินถา ศิรวิ รรณ พระมหาบญุ สขุ สทุ ธฺ ญิ าโณ, ผศ. รศ.ดร.สทุ ธิพงษ์ ศรวี ิชยั พระครสู ถิตบุญวฒั น์, ดร. รศ.ดร.สิน งามประโคน พระครภู ทั รธรรมคุณ, ดร. รศ.ดร.ประเทือง ภูมภิ ัทราคม พระครูโอภาสนนทกิตต์,ิ ผศ.ดร. รศ.ดร.วรกฤต เถื่อนชา้ ง พระครกู ิตติญาณวสิ ิฐ, ผศ.ดร. ผศ.ดร.วิรัช จงอยู่สขุ พระครวู ิรุฬห์สุตคุณ, ผศ.ดร. ผศ.ดร.พรี วฒั น์ ชัยสขุ พระมหาสมบตั ิ ธนปญฺโญ, ผศ.ดร. ผศ.ดร.ระวงิ เรืองสังข์ พระมหาญาณวัฒน์ ฐติ วฑฺฒโน, ผศ.ดร. ผศ.ดร.บญุ เชดิ ชำนิศาสตร์ พระมหาอดุ ร อตุ ตฺ โร, ผศ.ดร. ดร.วินัย ทองม่นั พระครอู ดุลสีลาภรณ,์ ดร. ดร.สุรศักดิ์ จันพลา พระครมู นูญธรรมธาดา, ดร. ดร.สมบัติ รตั นคร พระปลดั โฆสติ โฆสโิ ต, ผศ.ดร. ดร.ประเสริฐ บัณฑิศักดิ์ พระอำนวย นนทฺ โก, ดร. ดร.ทองดี ศรีตระการ พระอธกิ ารบุญชว่ ย โชตวิ โํ ส, ดร. ผู้จดั ทำ พระมหาสมบตั ิ ธนปญฺโญ,ผศ.ดร., ผศ.ดร.เกษม แสงนนท,์ รศ.ดร.วรกฤต เถอ่ื นชา้ ง ดร.สนุ ทร สายคำ, ผศ.ดร.ธีรพงษ์ สมเขาใหญ,่ ผศ.ดร.ประสงค์ หัสรนิ ทร์ พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕๐๐ เลม่ จัดพมิ พ์โดย หลักสูตรบณั ฑติ ศกึ ษา ภาควชิ าบริหารการศกึ ษา (หอ้ งซี ๕๑๐) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๗๙ หมู่ ๑ ถนนพหลโยธนิ ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ๑๓๑๗๐ โทร. ๐๓๕-๒๔๘-๐๐๐ ต่อ ๘๒๘๔, ๐๙๓-๐๓๐-๕๐๓๘ e-Mail: [email protected] www.edmcu.net, www.facebook.com/meda2015 พิมพท์ ี่: นติ ิธรรมการพิมพ์ ๗๖/๒๕๑-๓ หมู่ ๑๕ ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี๑๑๑๔๐ โทร. ๐-๒๔๔๙-๒๕๒๕, ๐-๒๔๐๓-๔๕๖๗-๘, ๐๘-๑๓๐๙-๕๒๑๕ e-mail : [email protected], [email protected]

คานา หลักสูตรบัณฑิตศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลัย ไดเ้ ปดิ หลักสตู รพุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา คร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ปรับปรุงหลักสูตรในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และได้เปิดท่ีวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ และวิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้เปดิ ทีว่ ทิ ยาลยั สงฆน์ ครศรธี รรมราช มีการปรบั ปรงุ หลกั สตู ร พ.ศ.๒๕๖๐ ได้เปลยี่ นช่ือสาขาวิชา เปน็ “พทุ ธบริหารการศึกษา” ถึง พ.ศ.๒๕๖๑ มหาวิทยาลัยให้เปลย่ี นช่อื เปน็ หลักสตู ร “ครศุ าสตรมหาบัณฑิต” สาขาวิชาพทุ ธบริหารการศกึ ษา และปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ไดเ้ ปดิ หลกั สตู รเพิ่มอกี ๑ แห่ง ที่วิทยาลยั สงฆเ์ ลย พ.ศ.๒๕๕๔ ได้เปดิ หลักสตู รพทุ ธศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ สาขาวชิ าพุทธบรหิ ารการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๗ เปิด การเรียนการสอนที่วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ปรับปรุงหลักสูตร พ.ศ.๒๕๖๐ ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๖๑ สภา มหาวทิ ยาลัยให้เปลีย่ นชื่อเป็นหลักสตู ร “ครศุ าสตรดษุ ฎบี ัณฑติ ” และในปีนไี้ ด้เปิดการเรียนการสอนทว่ี ิทยาลัย สงฆข์ อนแกน่ หลักสูตรมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้ ๑) มีความรู้ ความเข้าใจ และมีวิสัยทัศน์ในการ บริหารการศึกษาระดับสากล สามารถบูรณาการเข้ากับหลักพระพุทธศาสนา และศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่าง กลมกลืน ๒) มีความเชี่ยวชาญด้านบริหารการศึกษา สามารถสังเคราะห์ วิเคราะห์ วิจัย จัดระบบ ประเมินผล ข้อมูล และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ได้ และ ๓) มีภาวะผู้นำ และเป็นแบบอย่างทีดี ฉลาดสามารถนำความรู้คู่ คุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านกายภาพ สังคม จิตใจ และปัญญา ต่อ ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ และการผลิตบณั ฑติ เป็นไปตามมาตรฐานวชิ าชีพของคุรุสภาอีกด้วย หลักสูตรมีความศรัทธาและเชื่อมั่นตามหลักการพระพุทธศาสนาที่ว่า มนุษย์เกิดมาประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ กายและใจ ในส่วน “กาย” ต้องพัฒนาด้วยอาหาร ออกกำลัง ให้สุขภาพดี และด้วยการแสดงออกที่ เหมาะสมต่อผู้อื่นตามกำหนดที่เรียก ศีล ส่วน “ใจ” ต้องพัฒนาให้มีความนิ่ง มั่นคง ไม่ย่อท้อ ที่เรียกว่า สมาธิ และอีกส่วนต้องพัฒนาใจให้มีปัญญา ฉลาดสามารถเห็นถูก คิดดี และหาวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ เรียกว่า ปัญญา รวมความว่า มนุษย์เกิดมามีทั้งกายและใจ ถ้าจะให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็ต้องพัฒนาด้วยศีล สมาธิ ปญั ญา หรอื ไตรสิกขา การสวดมนต์ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะขณะสวดมนต์ท่านย่อมเป็นผู้มีศีล คือไม่ประกอบกายและวจีทุจริต เป็นผู้มีสมาธิ คือจิตใจสงบ เป็นกุศลจิต มีกุศลธรรม เช่น สติ สมาธิ ปีติ ปราโมทย์ เป็นต้น และเป็นผู้มีปัญญา เนื่องจากบทสวดมนต์เป็นพุทธพจน์ที่เป็นอุดมธรรม เช่น ไตรลักษณ์ อริยสัจ มรรค ปฏิจจสมุปบาท ช่วยลดกามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ มานะ เป็นต้น จนอาจทำให้เกิดปัญญาสามารถ หลดุ พ้นจากกิเลสได้ ท้งั เปน็ การรกั ษาพทุ ธพจน์ (มขุ ปาฐะ) ให้คงอยู่ตลอดไป คู่มือสวดพระพุทธมนต์ ฉบับพุทธบริหารการศึกษา ได้เรียบเรียงเนื้อหาเป็นหมวดหมู่อย่างเหมาะสม พร้อมคำแปล ท่านจะได้รับทั้งความรู้ ความศักดิ์สิทธิ์ และแนวปฏิบัติ เรียกว่า ศึกษาก็ได้ สวดก็ดี ศาสนพิธี พร้อม น้อมสู่การปฏิบัติ จึงขอเชิญมาร่วมกันสวดมนต์เพือ่ เป็นศิริมงคลต่อตน ครอบครัว และสรรพสัตว์ผู้เปน็ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น และขออนุโมทนาบุญเจ้าภาพในการจัดพิมพ์หนังสือสวดพระ พทุ ธมนตท์ กุ ๆ ท่าน หลกั สตู รบัณฑติ ศกึ ษา ภาควชิ าบรหิ ารการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย

สารบัญ ภาคที่ ๑ บททำวัตรเช้า - เย็น (แปล) ทำวัตรเช้า ภาคที่ ๑ บททำวตั รเช้า-เย็น (แปล) ๖ สงั เวคปรกิ ิตตนปาฐะ ๑๓ คำบชู าพระรัตนตรัย ๗ ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ ๑๗ ปุพพภาคนมการะ ๘ ธาตปุ จั จเวกขณปาฐะ ๑๙ พทุ ธาภิถตุ ิ ๘ ปตั ตทิ านคาถา (กรวดน้ำตอนเชา้ -ยาเทวตา) ๒๒ ธมั มาภิถตุ ิ ๑๐ สพั พปตั ตทิ านคาถา ๒๔ สงั ฆาภิถตุ ิ ๑๐ บทปลงสังขาร ๒๕ รตนตั ตยปณามคาถา ๑๒ ทำวัตรเยน็ ๒๗ สังฆาภิคีติ ๓๓ คำบูชาพระรตั นตรยั ๒๘ สังฆานุสสติ ๓๒ ปพุ พภาคนมการะ พุทธานุสสติ ๒๘ อตตี ปจั จเวกขณปาฐะ ๓๕ พุทธาภิคตี ิ ธัมมานสุ สติ ๒๘ อุททสิ สนาธฏิ ฐานคาถา (อิมนิ า) ๓๘ ธัมมาภิคตี ิ ๓๐ คำแผ่สว่ นบุญกศุ ล และแผเ่ มตตา ของสมเด็จ ๓๑ พระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ๓๙ ภาคที่ ๒ บทสวดมนต์พเิ ศษ (แปล) ปพุ พภาคนมการะ ๔๑ คาถาโพธิบาท ๖๑ สรณคมนปาฐะ ๔๑ คาถามงคลจกั รวาฬแปดทศิ ๖๒ สัจจกิรยิ าคาถา ๔๒ คาถาหวา่ นทราย ๖๒ มงคลสูตร (มงคล ๓๘ ประการ) ๔๓ บารมี ๓๐ ทศั ๖๒ อริยมรรคมีองคแ์ ปด ๔๕ บทถวายพรพระ (อิตปิ ิ โสฯ) ๖๓ เขมาเขมสรณทีปิกคาถา ๕๑ พทุ ธชยั มงคลคาถา (บทสวดพาหงุ ) ๖๓ อริยธนคาถา ๕๒ ชัยปริตร (บทสวดมหากา) ๖๖ ติลกั ขณาทคิ าถา ๕๓ มหาสตปิ ัฏฐานสูตร ๖๘ ภารสุตตคาถา ๕๔ ชุมนุมเทวดา ๑๑๖ ภทั เทกรตั ตคาถา ๕๕ บทเจรญิ พระพทุ ธมนต์ ๑๑๖ โอวาทปาติโมกขคาถา ๕๖ บทขัดธัมมจักกปั ปวตั ตนสตู ร ๑๑๗ ปฐมพุทธภาษติ คาถา ๕๗ ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะ ๑๑๗ ปัจฉมิ พทุ โธวาทปาฐะ ๕๗ พระคาถาชนิ บัญชร (แปล) ๑๒๒ อภณิ หปจั จเวกขณปาฐะ ๕๘ พรหมวิหาระภาวนา (มหาเมตตาหลวง) ๑๒๕ บทพิจารณาสังขาร ๕๙ บทสวดจุลลชยั ยปกรณ์ ๑๓๖ ทว๎ ัตตงิ สาการะปาโฐ (อาการ ๓๒) ๖๐

ภาคท่ี ๓ ศาสนพธิ ี คำบชู าพระรตั นตรยั ๑๓๙ คำถวายสงั ฆทาน ๑๔๖ คำอาราธนาศีล ๕ ๑๓๙ คำถวายภัตตาหาร ๑๔๖ รบั ไตรสรณคมน์ ๑๔๐ คำถวายสงั ฆทานอุทิศ ๑๔๗ คำสมาทานศลี ๕ ๑๔๐ คำถวายผ้าป่า ๑๔๗ คำอาราธนาศลี ๘ ๑๔๑ คำพิจารณาผ้าป่า ๑๔๗ นะมะการะคาถา ๑๔๑ บทสวดมนต์หมู่ทำนองสรภญั ญะ ๑๔๘ คำสมาทานศีล ๘ ๑๔๒ บทสวดบชู าพระรัตนตรัย ๑๔๘ คำขอขมาพระรตั นตรัย ๑๔๓ บทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า ๑๔๘ คำขอขมาพระอาจารย์ ๑๔๓ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ๑๔๘ คำลากลบั บ้าน ๑๔๔ บทสรรเสรญิ พระธรรมคณุ ๑๔๙ คำอาราธนาธรรม ๑๔๔ บทสรรเสรญิ พระสังฆคณุ ๑๕๐ คำอาราธนาพระปริตร ๑๔๔ บทสวดชยสทิ ธิคาถา ๑๕๒ คำถวายข้าวพระพุทธ ๑๔๕ คาถาบูชาพระพทุ ธสหิ ิงค์ ๑๕๓ คำลาข้าวพระพุทธ ๑๔๕ นะมสั การพระอะระหันต์ ๘ ทิศ ๑๕๓ บทพิจารณากอ่ นรับประทานอาหาร ๑๔๕ สรภัญพทุ ธประวตั ิ ทำนองอสี าน ๑๕๔ คำถวายทานทวั่ ไป ๑๔๖ ภาคท่ี ๔ การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน วธิ ีการสมาทานกรรมฐาน ๑๕๗ สมถกรรมฐานคอื อะไร ๑๖๓ คำสมาทานกรรมฐาน (ยอ่ ) ๑๖๒ การปฏิบัตวิ ิปสั สนากัมมฏั ฐานตามแนว ๑๖๔ สมาธิภาวนาคอื อะไร ๑๖๒ สตปิ ัฏฐาน ๔ ภาคพเิ ศษ วนิ ัยชาวพทุ ธ ๑๙๓ ครู นกั เรียนดี วถิ ีพทุ ธ ๑๙๘ หมวด ๑ วางฐานชวี ิตให้ม่ัน เวน้ ชว่ั ๑๔ ประการ ๑๙๔ หลกั คุณธรรมสำหรบั ครู อาจารย์ ๑๙๘ เตรียมทนุ ชีวติ ๒ ด้าน รักษาความสัมพนั ธ์ ๖ ทศิ ๑๙๔ หลักคุณธรรมสำหรับนกั เรยี น นกั ศกึ ษา ๒๐๐ หมวด ๒ นำชวี ติ ให้ถึงจดุ หมาย ก. จุดหมาย ๓ ชนั้ ๑๙๔ ข. จดุ หมาย ๓ ดา้ น ค.. ชาวพุทธช้นั นำ ๑๙๕ บรรณานกุ รม ๒๐๓ ๑๙๗ ๑๙๗ ๑๙๗ ๑๙๗

ทะ๎ วาระตะเยน วิธอี า่ นภาษาบาลีในหนังสอื เลม่ น้ี กัต๎ะวา คะเหตะ๎ วา ¢0∫ อะพ๎รัหมะจะริยา อายสั ะ๎ มา อา่ นวา่ ทะวาระตะเยนะ ระหว่าง ทะ กบั  วา ต้องว่า ทะ ให้เร็ว ส๎ะวากขาโต อ่านวา่ กตั ตะวา แต่ ตะ ต้องว่าให้เรว็ พทุ ธว๎ าระ ฯ อ่านว่า คะเหดตะวา แต ่ ตะ ตอ้ งว่าให้เรว็ ...หสั ๎ม ิ อา่ นว่า อะพรัมมะจะริยา วฑั เฒยยัง อา่ นว่า อายดั สะหมา แต่ สะ ตอ้ งวา่ ให้เร็ว อาหุเนยโย อา่ นว่า สะหวากขาโต แต่ สะ ตอ้ งวา่ ให้เรว็ ทกั ขเิ ณยโย อา่ นวา่ พทุ ธะวาระ แต ่ ธะ ต้องว่าให้เรว็ อะสัมมฬุ โห อา่ นว่า หัสสะม ิ แต่ สะ ต้องว่าใหเ้ ร็ว ปเู รต๎วา อ่านวา่ วัดไทยงั ตสั ๎มา อ่านว่า อาหไุ นโย อะนปุ ะริเยยยงุ อ่านว่า ทักขิไนโย กัลย๎ าณงั อา่ นวา่ อะสัมมนุ ฬะโห แต ่ ฬะ ต้องวา่ ใหเ้ ร็ว ตัตร๎ ะ อ่านว่า ปูเรดตะวา แต ่ ตะ ตอ้ งว่าใหเ้ รว็ ฌิต๎วา อ่านวา่ ตดั สะหมา แต่ สะ ต้องวา่ ให้เรว็ อะวิชชายะ เตว๎ วะ อ่านวา่ อะนปุ ะรไิ ยยุง อมิ สั ม๎ ิง อ่านว่า กนั ละยาณัง แต่ ละ ต้องวา่ ใหเ้ ร็ว ท๎วาทะสัญจะ อ่านว่า ตัดตะระ แต่ ตะ ตอ้ งว่าใหเ้ รว็ ภะวัส๎มิง อา่ นว่า ชิดตะวา แต ่ ตะ ต้องว่าใหเ้ รว็ สพั พะโลกสั ะ๎ มิง อา่ นว่า อะวิดชายะ ตะเววะ แต่ ตะ ตอ้ งวา่ ใหเ้ ร็ว ฉัพะ๎ ยาปุตเตห ิ อา่ นว่า อิมัดสะหมิง แต่ สะ ต้องวา่ ใหเ้ ร็ว สกั ะ๎ ยะ อ่านวา่ ทะวาทะสันจะ แต ่ ทะ ตอ้ งวา่ ใหเ้ รว็ พ๎ะยามัปปะภายะ อา่ นวา่ ภะวดั สะหมงิ  แต่ สะ ต้องว่าใหเ้ รว็   เอกัสะ๎ มิง อ่านวา่ สัพพะโลกัดสะหมงิ  แต่ สะ ต้องว่าให้เร็ว ต๎ะวงั อ่านวา่ ฉพั พะยาปุดเตห ิ แต่ พะ ตอ้ งวา่ ใหเ้ ร็ว อะสตี ะ๎ ยา อา่ นว่า สักกะยะ แต่ กะ ตอ้ งวา่ ให้เรว็ หันต๎ะวา อ่านว่า พะยามับปะภายะ แต่ พะ ต้องว่าใหเ้ ร็ว อ่านว่า เอกัดสะหมงิ  แต่ สะ ต้องวา่ ใหเ้ ร็ว อ่านว่า ตะวัง แต่ ตะ ตอ้ งว่าให้เรว็ อา่ นว่า อะสีตะยา แต ่ ตะ ต้องวา่ ให้เรว็ อ่านวา่ หนั ตะวา แต ่ ตะ ต้องว่าใหเ้ รว็ ทุกแห่งท่ีมีเคร่ืองหมาย  ๎  อักษรตัวน้ันต้องว่าให้เร็ว  เพราะอักษรตัวนั้นเป็นตัวสะกดก่ึงหนึ่งออกเสียงก่ึง หนง่ึ  ตัวอยา่ ง ทัตว๎ า อกั ษรสะกดท่ี ท กง่ึ หน่ึง ฉะน้ัน ตะ ตอ้ งวา่ ใหเ้ ร็ว ถ้าช้าจะเปน็  ต ๒ ตวั  เปน็ การอา่ นผิด



๑ภาคท่ี บทท�าวัตรเช้า-เย็น (แปล) ท�าวัตรเชา้ โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ, พระผ้มู ีพระภาคเจ้าน้นั พระองค์ใด เป็นพระอรหนั ต์ ดบั เพลิงกเิ ลส เพลงิ ทุกข์ สิ้นเชงิ ตรัสรูช้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง, สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมอันพระผ้มู พี ระภาคเจ้าพระองค์ใด ตรัสไวด้ แี ล้ว สปุ ะฏปิ นั โน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคใ์ ด ปฏบิ ตั ิดแี ล้ว ตัมมะยงั ภะคะวนั ตัง สะธัมมัง สะสงั ฆงั อเิ มหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเิ ตหิ อะภิปชู ะยาม, ข้าพเจ้าท้งั หลาย ขอบชู าอย่างยิง่ ซึ่งพระผ้มู พี ระภาคเจ้าพระองคน์ น้ั พรอ้ มท้ัง พระธรรมและพระสงฆ์ ดว้ ยเครื่องสกั การะทั้งหลายเหล่านี้ อันยกขน้ึ ไว้ตาม สมควรแล้วอย่างไร, สาธุ โน ภนั เต ภะคะวา สุจริ ะปะรินพิ พุโตปิ, ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจา้ แม้ปรินิพพานนานแลว้ ทรงสรา้ งคณุ อนั สำเรจ็ ประโยชนไ์ ว้แกข่ ้าพเจา้ ท้งั หลาย ปจั ฉมิ าชะนะตานกุ มั ปะมานะสา, ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์แกพ่ วกข้าพเจา้ อันเป็นชนรุ่นหลงั อิเม สักกาเร ทคุ คะตะปัณณาการะภเู ต ปะฏคิ คณั หาตุ, ขอพระผมู้ ีพระภาคเจา้ จงรบั เครอื่ งสักการะ อนั เปน็ บรรณาธกิ ารของคนยาก ทัง้ หลายเหลา่ นี้ อัมหากัง ทฆี ะรัตตัง หิตายะ สุขายะ ฯ เพอื่ ประโยชนแ์ ละความสุขแก่ข้าพเจ้าทัง้ ลาย ตลอดกาลนานเทอญ

๗ ค�ำบชู าพระรตั นตรยั ¢0∫ อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหนั ต,์ ดับเพลงิ กิเลสเพลงิ ทุกขส์ ้นิ เชงิ ,  ตรัสรู้ชอบไดโ้ ดยพระองค์เอง, พทุ ธงั  ภะคะวนั ตงั  อะภิวาเทม.ิ ข้าพเจา้ อภิวาทพระผูม้ ีพระภาคเจ้า, ผ้รู ู้ ผตู้ นื่  ผเู้ บิกบาน. (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรม เป็นธรรมท่พี ระผูม้ พี ระภาคเจ้า, ตรสั ไว้ดแี ล้ว,  ธมั มงั  นะมสั สาม.ิ ข้าพเจ้านมสั การพระธรรม. (กราบ) สุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ปฏบิ ัติดีแลว้ ,  สงั ฆงั  นะมาม.ิ ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์.  (กราบ)

8 ปพุ พภาคนมการะ ¢0∫ (น�ำ)  หนั ทะ มะยัง พทุ ธสั สะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส. (รบั )  นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, ขอนอบน้อมแดพ่ ระผ้มู พี ระภาคเจ้า พระองคน์ ้ัน, อะระหะโต, สมั มาสมั พุทธสั สะ, ซงึ่ เป็นผ้ไู กลจากกิเลส, ตรสั รชู้ อบได้โดยพระองค์เอง.  (๓ ครัง้ ) พุทธาภถิ ุติ ¢0∫ (น�ำ)  หนั ทะ มะยงั  พทุ ธาภิถุติง กะโรมะ เส. (รับ)  โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจ้าน้นั พระองค์ใด, อะระหงั , สมั มาสัมพทุ โธ, เป็นผไู้ กลจากกเิ ลส, วชิ ชาจะระณะสัมปันโน, เปน็ ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง, สคุ ะโต, เป็นผู้ถึงพรอ้ มด้วยวิชชาและจรณะ, โลกะวิทู, เป็นผู้ไปแลว้ ด้วยด,ี เปน็ ผรู้ โู้ ลกอย่างแจม่ แจ้ง, อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทมั มะสาระถ,ิ เป็นผสู้ ามารถฝึกบุรุษทีส่ มควรฝกึ ได้ อยา่ งไมม่ ใี ครยง่ิ กว่า, สัตถา เทวะมะนสุ สานงั , เป็นครูผสู้ อน ของเทวดาและมนุษย์ ทัง้ หลาย,

9 พทุ โธ, เป็นผู้ร ู้ ผ้ตู ่นื  ผู้เบกิ บานด้วยธรรม, ภะคะวา, เปน็ ผู้มคี วามจำ� เริญ จ�ำแนกธรรม ส่งั สอนสตั ว,์ โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง, สะพ๎รัหมะกัง สัสสะมะณะพ๎ราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสงั  สะยัง, อะภญิ ญา สัจฉิกตั ๎วา ปะเวเทสิ, พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด,  ได้ทรงท�ำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วย พระปัญญาอันย่ิงเองแล้ว,  ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา,  มาร,  พรหม, และหม่สู ัตว์ พร้อมท้ังสมณพราหมณ,์  พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รตู้ าม, โย ธมั มงั  เทเสสิ, พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองคใ์ ด ทรงแสดงธรรมแลว้ , อาทิกัล๎ยาณัง, มัชเฌกลั ๎ยาณัง, ไพเราะในเบอื้ งต้น,  ปะรโิ ยสานะกัลย๎ าณัง, ไพเราะในท่ามกลาง,  ไพเราะในทส่ี ดุ ,  สาตถัง สะพ๎ยญั ชะนงั  เกวะละปะรปิ ุณณัง ปะริสทุ ธงั  พรหั มะจะริยงั  ปะกาเสสิ,  ทรงประกาศพรหมจรรย์  คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ  บริสุทธ์ิ บริบรู ณ์สิน้ เชงิ , พรอ้ มทั้งอรรถะ(ค�ำอธิบาย) พรอ้ มทั้งพยัญชนะ(หัวข้อ), ตะมะหัง ภะคะวนั ตัง อภปิ ชู ะยามิ, ขา้ พเจา้ บชู าอยา่ งยง่ิ , เฉพาะพระผูม้ ีพระภาคเจา้ พระองค์นั้น, ตะมะหงั  ภะคะวนั ตัง สริ ะสา, นะมามิ.  ข้าพเจ้านอบน้อมพระผ้มู ีพระภาคเจ้า พระองค์น้ัน ด้วยเศียรเกลา้ . (กราบระลกึ พระพทุ ธคณุ )

10 ธัมมาภิถตุ ิ ¢0∫ (นำ� )  หนั ทะ, มะยัง ธัมมาภถิ ตุ ิง กะโรมะ เส. (รับ)  โย โส สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม,  พระธรรมน้ันใด, เปน็ สิง่ ทพี่ ระผู้มีพระภาคเจา้ ,  สันทฏิ ฐิโก, ตรสั ไว้ดแี ลว้ , เปน็ สงิ่ ทผี่ ้ศู กึ ษาและปฏบิ ตั  ิ พงึ เหน็ ได้ด้วย อะกาลิโก, ตนเอง, เอหิปัสสิโก, เป็นสง่ิ ทีป่ ฏิบตั ไิ ด ้ และใหผ้ ลได้ ไมจ่ ำ� กัดกาล, โอปะนะยโิ ก, เป็นสิง่ ทคี่ วรกล่าวกะผู้อนื่ วา่ ท่านจงมาดเู ถดิ , เปน็ ส่งิ ที่ควรน้อมเข้ามาใสต่ วั , ปัจจตั ตัง เวทติ ัพโพ วิญญูหิ, เปน็ สง่ิ ทีผ่ ู้รู้กร็ ้ไู ด้เฉพาะตน, ตะมะหงั  ธัมมัง อะภปิ ชู ะยาม,ิ ข้าพเจา้ บูชาอยา่ งย่งิ  เฉพาะพระธรรมนัน้ , ตะมะหัง ธมั มัง สิระสา นะมาม.ิ ข้าพเจ้านอบนอ้ มพระธรรมนั้น ด้วยเศียรเกลา้ . (กราบระลกึ พระธรรมคณุ ) สังฆาภถิ ตุ ิ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยงั  สังฆาภิถตุ งิ  กะโรมะ เส. (รับ)  โย โส สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ นน้ั หมใู่ ด, ปฏบิ ตั ิดแี ล้ว, อชุ ุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ หมูใ่ ด, ปฏบิ ตั ติ รงแล้ว,

11 ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,  สงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ หมู่ใด, ปฏบิ ตั ิเพือ่ รู้ธรรมเปน็ เครือ่ งออก จากทกุ ข์แลว้ ; สามจี ิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,  สงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ หมใู่ ด, ปฏบิ ตั สิ มควรแลว้ , ยะททิ งั ,  ไดแ้ กบ่ คุ คลเหลา่ นี ้ คอื :- จัตตาริ ปุริสะยุคาน ิ อฏั ฐะ ปรุ ิสะปคุ คะลา,  คู่แหง่ บรุ ษุ  ๔ ค,ู่  นบั เรยี งตวั บรุ ษุ ได ้ ๘ บุรุษ๑, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, นนั่ แหละ สงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า, อาหเุ นยโย๒, เปน็ สงฆค์ วรแก่สกั การะที่เขานำ� มาบูชา, ปาหเุ นยโย๓, ทักขเิ ณยโย๔, เปน็ สงฆ์ควรแกส่ กั การะที่เขาจัดไวต้ ้อนรับ, อญั ชะลีกะระณีโย เป็นผคู้ วรรบั ทกั ษณิ าทาน, เป็นผู้ท่บี คุ คลท่ัวไปควรทำ� อัญชล,ี อะนุตตะรงั  ปญุ ญักเขตตงั  โลกัสสะ, เปน็ เนอื้ นาบญุ ของโลก,  ไม่มีนาบุญอ่นื ย่งิ กวา่ , ตะมะหงั  สังฆัง อะภิปูชะยามิ, ขา้ พเจา้ บูชาอยา่ งย่ิง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นนั้ , ตะมะหัง สงั ฆัง สิระสา นะมาม.ิ ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระสงฆห์ ม่นู ้ัน ดว้ ยเศียรเกล้า. (กราบระลกึ พระสงั ฆคณุ ) ๑ ๔ ค ู่ คือ โสดาปตั ติมรรค-โสดาปตั ติผล, สกทาคามมิ รรค-สกทาคามิผล, อนาคามิมรรค-อนาคามิผล, อรหตั ตมรรค-อรหัตตผล. ๒ อ่านว่า  อา-หุ-ไน-โย ๓ อ่านว่า ปา-ห-ุ ไน-โย ๔ อา่ นวา่  ทกั -ขิ-ไน-โย

12 รตนัตตยปณามคาถา ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยปั ปะณามะคาถาโย เจวะ สงั เวคะปะริกติ ตะนะ ปาฐญั จะ ภะณามะ เส. (รับ)  พทุ โธ สสุ ทุ โธ กรุณามะหณั ณะโว,  พระพทุ ธเจา้ ผบู้ รสิ ุทธ์ิ มพี ระกรุณาดุจหว้ งมหรรณพ, โยจจนั ตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, พระองค์ใด  มีตาคือญาณอันประเสริฐ หมดจดถึงที่สุด, โลกัสสะ ปาปปู ะกเิ ลสะฆาตะโก, เปน็ ผู้ฆ่าเสยี ซ่งึ บาป และอุปกิเลสของโลก, วนั ทามิ พุทธงั  อะหะมาทะเรนะ ตงั ,  ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระพุทธเจา้ พระองค์นั้น โดยใจเคารพเออ้ื เฟ้ือ, ธมั โม ปะทีโป วยิ ะ ตสั สะ สัตถุโน,  พระธรรมของพระศาสดา สว่างรงุ่ เรืองเปรยี บดวงประทีป, โย มัคคะปากามะตะเภทะภนิ นะโก,  จ�ำแนกประเภท  คือ  มรรค,  ผล,  นิพพาน, ส่วนใด, โลกตุ ตะโร โย จะ ตะทตั ถะทีปะโน, ซ่ึงเป็นตัวโลกุตตระ,  และส่วนใดที่ช้ีแนว แหง่ โลกตุ ตระนน้ั , วันทามิ ธมั มัง อะหะมาทะเรนะ ตงั , ขา้ พเจ้าไหวพ้ ระธรรมนน้ั โดยใจเคารพเอ้ือเฟือ้ , สงั โฆ สุเขตตาภ�ยะตเิ ขตตะสัญญิโต, พระสงฆ์เปน็ นาบุญอันยิง่ ใหญก่ ว่า นาบุญอันดีท้ังหลาย, โย ทฏิ ฐะสนั โต สุคะตานุโพธะโก, เป็นผู้เหน็ พระนิพพาน, ตรสั ร้ตู ามพระสคุ ต, หมู่ใด, โลลปั ปะหโี น อะริโย สเุ มธะโส, เป็นผู้ละกเิ ลสเคร่อื งโลเล เป็นพระอรยิ ะเจา้  มปี ญั ญาดี, วนั ทามิ สงั ฆงั  อะหะมาทะเรนะ ตงั , ข้าพเจา้ ไหวพ้ ระสงฆห์ มู่นั้น โดยใจเคารพเอือ้ เฟื้อ,

13 อิจเจวะเมกนั ตะภปิ ูชะเนยยะกงั ,  วัตถุตตะยัง วนั ทะยะตาภสิ ังขะตงั ,  ปญุ ญงั มะยา ยงั  มะมะ สพั พุปทั ทะวา,  มา โหนต ุ เว ตสั สะ ปะภาวะสทิ ธิยา. บญุ ใด ทขี่ า้ พเจา้ ผไู้ หวอ้ ยซู่ งึ่ วัตถสุ าม, คือพระรัตนตรัย อันควรบชู าย่งิ โดย ส่วนเดียว,  ได้กระท�ำแล้วเป็นอย่างย่ิงเช่นน้ีนี้,  ขออุปัททวะ  (ความช่ัว) ท้ังหลาย,  จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย,  ด้วยอ�ำนาจความส�ำเร็จอันเกิดจาก บุญนัน้ . สังเวคปริกิตตนปาฐะ ¢0∫ อธิ ะ ตะถาคะโต โลเก อปุ ปนั โน, พระตถาคตเจา้ เกดิ ขึ้นแล้ว ในโลกน้ี, อะระหงั  สมั มาสัมพุทโธ, เปน็ ผไู้ กลจากกิเลส, ตรสั รู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง, ธัมโม จะ เทสโิ ต นิยยานิโก, และพระธรรมท่ที รงแสดง เป็นธรรมเครอ่ื งออกจากทกุ ข,์ อุปะสะมิโก ปรินิพพานโิ ก, เป็นเครือ่ งสงบกเิ ลส, เปน็ ไปเพอ่ื ปรินพิ พาน, สมั โพธะคามี สุคะตปั ปะเวทิโต, เปน็ ไปเพือ่ ความร้พู ร้อม, เป็นธรรมที่พระสคุ ตประกาศ, มะยนั ตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ :- พวกเราเมอ่ื ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จงึ ไดร้ ู้อย่างนี้ ว่า :- ชาตปิ ิ ทกุ ขา, แมค้ วามเกดิ กเ็ ปน็ ทกุ ข,์ ชะราปิ ทกุ ขา, แมค้ วามแก่ กเ็ ป็นทกุ ข์, มะระณมั ปิ ทกุ ขัง, แม้ความตาย กเ็ ป็นทุกข์,

14 โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนสั สุปายาสาปิ ทุกขา, แม้ความโศก ความร่�ำไรรำ� พนั , ความไมส่ บายกาย, ความไมส่ บายใจ ความคับแคน้ ใจ กเ็ ป็นทกุ ข์, อัปปเิ ยหิ สมั ปะโยโค ทุกโข, ความประสบกบั สิ่งไมเ่ ป็นที่รกั ท่ีพอใจ, กเ็ ป็นทุกข์, ปเิ ยห ิ วปิ ปะโยโค ทุกโข, ความพลดั พรากจากส่ิงเปน็ ท่รี กั ท่พี อใจ ก็เป็นทกุ ข์, ยัมปจิ ฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทกุ ขงั ,  มีความปรารถนาส่งิ ใด ไมไ่ ดส้ ิง่ นัน้ น่ันกเ็ ป็นทุกข์, สังขิตเตนะ ปญั จุปาทานกั ขันธา ทุกขา,  ว่าโดยยอ่  อปุ าทานขันธ์ทง้ั  ๕   เป็นตัวทุกข,์ เสยยะถที ัง, ไดแ้ ก่สิ่งเหลา่ น้ี คือ :- รปู ปู าทานกั ขันโธ, ขนั ธ ์ อันเปน็ ทีต่ ้ังแห่งความยึดมนั่  คือรปู , เวทะนปู าทานักขันโธ, ขันธ์ อนั เป็นท่ีตั้งแหง่ ความยึดมั่น คือเวทนา, สัญญูปาทานักขันโธ, ขนั ธ์ อันเป็นท่ีตง้ั แหง่ ความยึดม่ัน คือสญั ญา, สงั ขารปู าทานักขันโธ, ขันธ ์ อนั เป็นที่ตง้ั แหง่ ความยึดม่นั คอื สงั ขาร, วญิ ญาณูปาทานกั ขันโธ, ขนั ธ ์ อนั เปน็ ทตี่ ้ังแหง่ ความยดึ มั่น คือวิญญาณ, เยสงั  ปะริญญายะ, เพ่อื ใหส้ าวกก�ำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์ เหล่านเี้ อง, ธะระมาโน โส ภะคะวา, จงึ พระผู้มีพระภาคเจ้าน้นั เมอื่ ยังทรงพระชนมอ์ ยู่, เอวงั  พะหุลัง สาวะเก วเิ นติ, ยอ่ มทรงแนะน�ำสาวกทัง้ หลาย เชน่ นี้ เป็นสว่ นมาก,

15 เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต, สาวะเกสุ อะนสุ าสะนี พะหุลา ปะวตั ตะติ,  อนึ่ง  ค�ำส่ังสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น,  ย่อมเป็นไปในสาวกท้ังหลาย, ส่วนมาก, มีสว่ นคือการจ�ำแนกอย่างนี้ วา่ :- รูปัง อนจิ จงั , รูปไมเ่ ทีย่ ง, เวทะนา อะนจิ จา, เวทนาไมเ่ ทย่ี ง, สัญญา อะนจิ จา, สญั ญาไมเ่ ท่ยี ง, สังขารา อะนจิ จา, สงั ขารไม่เท่ียง, วญิ ญาณัง อะนจิ จงั วิญญาณไม่เทีย่ ง, รปู งั  อะนตั ตา, รูปไมใ่ ชต่ ัวตน, เวทะนา อะนตั ตา, เวทนาไมใ่ ช่ตัวตน, สัญญา อะนัตตา, สัญญาไม่ใชต่ ัวตน, สังขารา อะนตั ตา, สงั ขารไมใ่ ชต่ ัวตน, วญิ ญาณงั  อะนัตตา, วิญญาณไม่ใชต่ ัวตน, สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จา, สงั ขารทง้ั หลายท้งั ปวง ไมเ่ ที่ยง, สัพเพ ธมั มา อะนัตตาต,ิ ธรรมท้ังหลายทง้ั ปวง ไม่ใชต่ วั ตน ดังนี,้ เต (ตา)๑ มะยงั  โอตณิ ณาม๎หะ, พวกเราทั้งหลาย เป็นผูถ้ ูกครอบง�ำแลว้ , ชาติยา, โดยความเกิด, ชะรามะระเณนะ, โดยความแก ่ และความตาย, โสเกห ิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนสั เสหิ, อุปายาเสห,ิ โดยความโศกความร่�ำไร ร�ำพนั  ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคบั แคน้ ใจทง้ั หลาย, ทกุ โขติณณา, เปน็ ผถู้ กู ความทกุ ข์ หยงั่ เอาแลว้ ,  ทุกขะปะเรตา, เปน็ ผมู้ คี วามทุกข์ เป็นเบ้ืองหน้าแล้ว, อปั เปวะนามิมสั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขักขันธสั สะ อันตะกริ ิยา ปญั ญาเยถาติ. ท�ำไฉนการท�ำท่สี ดุ แหง่ กองทกุ ข์ทัง้ สนิ้ น,้ี  จะพึงปรากฏชดั แก่เราได.้ ๑ หญงิ วา่  ตา มะยงั

16 จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา,  เราท้ังหลายผู้ถึงแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า,  แม้ปรินิพพานนาน แล้วพระองค์นั้น เปน็ สรณะ, ธมั มัญจะ สังฆญั จะ* ถงึ พระธรรมดว้ ย, ถงึ พระสงฆ์ด้วย, ตสั สะ ภะคะวะโต สาสะนงั , ยะถาสะต ิ ยะถาพะลงั  มะนะสกิ ะโรมะ อะนปุ ะฏปิ ชั ชามะ, จักท�ำในใจอยู่ ปฏบิ ัติตามอยู่,  ซงึ่ คำ� สง่ั สอนของพระผ้มู ีพระภาคเจ้านน้ั ตามสติก�ำลงั , สา สา โน ปะฏิปัตติ, ขอให้ความปฏิบตั นิ ้นั ๆ ของเราท้งั หลาย,  อมิ ัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขกั ขันธัสสะ อันตะกริ ิยายะ สังวัตตะตุ. จงเปน็ ไปเพ่ือการท�ำทสี่ ดุ แหง่ กองทุกข์ทงั้ สิ้นน้ ี เทอญ. (จบท�ำวตั รเช้า) (ส�ำหรับภกิ ษุสามเณรสวด) จริ ะปะรนิ พิ พตุ ัมปิ ตัง ภะคะวันตัง อุทสิ สะ อะระหนั ตงั  สมั มาสัมพุทธัง,  เราท้ังหลาย  อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า,  ผู้ไกลจากกิเลส,  ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง, แม้ปรินพิ พานนานแลว้ พระองค์นั้น, สัทธา อะคารสั ๎มา อะนะคาริยัง ปัพพะชิตา,  เปน็ ผมู้ ศี รัทธา ออกบวชจากเรือน ไมเ่ กยี่ วข้องดว้ ยเรอื นแล้ว, ตัสม๎ ิง ภะคะวะติ พ�รหม� ะจะริยงั  จะรามะ,  ประพฤตอิ ยูซ่ งึ่ พรหมจรรย ์ ในพระผูม้ พี ระภาคเจ้า พระองคน์ ้ัน, ภิกขูนงั  สิกขาสาชวี ะสะมาปนั นา,  ถงึ พร้อมด้วยสกิ ขาและธรรมเป็นเครอ่ื งเลย้ี งชวี ิต ของภกิ ษุทง้ั หลาย,  ตงั  โน พ�รห�มะจะรยิ งั  อมิ สั สะ เกวะลสั สะ ทุกขักขนั ธัสสะ อนั ตะกริ ิยายะ สงั วตั ตะตุ. ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น,  จงเป็นไปเพ่ือการท�ำที่สุดแห่งกองทุกข์ ทงั้ สนิ้ นี้ เทอญ. * ที่เคยสวดเดมิ ใช ้ ธมั มัญจะ สงั ฆัญจะ เมอื่ ตรวจทานกับพระไตรปฎิ ก ใช้ ธมั มญั จะ ภิกขุสงั ฆัญจะ ในบทน้ีจึงแปลวา่  ถึงภิกษสุ งฆด์ ้วย

17 ตงั ขณกิ ปจั จเวกขณปาฐะ ¢0∫ (นำ� )  หันทะ มะยัง ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐัง ภะณามะ เส. ขอ้ วา่ ดว้ ยจวี ร (รับ)  ปะฏิสงั ขา โยนิโส จวี ะรงั  ปะฏเิ สวามิ,  เรายอ่ มพจิ ารณาโดยแยบคายแล้ว, จึงนุ่งหม่ จวี ร ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏฆิ าตายะ, เพียงเพ่ือบ�ำบดั ความหนาว. อณุ ห๎ ัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพือ่ บ�ำบัดความร้อน. ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสริ งิ สะปะสัมผสั สานัง ปะฏฆิ าตายะ. เพือ่ บ�ำบัดสมั ผสั อันเกดิ จาก,  เหลอื บ ยุง ลม แดด,  และสัตวเ์ ลอ้ื ยคลานท้ังหลาย. ยาวะเทวะ หริ ิโกปิ นะปะฏิจฉาทะนัตถัง, และเพยี งเพื่อปกปิดอวยั วะ, อันใหเ้ กิดความละอาย. ข้อว่าดว้ ยบิณฑบาต ปะฏิสงั ขา โยนิโส ปณิ ฑะปาตงั  ปะฏิเสวามิ, เราย่อมพจิ ารณา โดยแยบคายแลว้ , จงึ ฉันบณิ ฑบาต. เนวะ ทะวายะ, ไมใ่ หเ้ ป็นไปเพ่ือความเพลิดเพลนิ สนุกสนาน. นะ มะทายะ, ไม่ให้เป็นไปเพ่ือความเมามนั , เกิดก�ำลงั พลังทางกาย. นะ มัณฑะนายะ, ไมใ่ ห้เปน็ ไปเพอ่ื ประดบั . นะ วภิ ูสะนายะ, ไม่ให้เปน็ ไปเพ่อื ตกแต่ง. ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายสั สะ ฐติ ิยา, แตใ่ ห้เปน็ ไปเพยี งเพ่ือความตั้งอย่ไู ด้ แห่งกายน้ี.

18 ยาปะนายะ, เพอ่ื ความเป็นไปได้ของอัตภาพ,  วหิ ิงสปุ ะระติยา, เพ่ือความสิ้นไปแหง่ ความล�ำบากทางกาย,  พรัหมะจะริยานคุ คะหายะ, เพอื่ อนเุ คราะหแ์ กก่ ารประพฤตพิ รหมจรรย,์ อติ  ิ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขาม,ิ ด้วยการทำ� อยา่ งน้ี เราย่อมระงบั เสยี ได้ ซึ่งทกุ ขเวทนาเกา่  คือความหวิ นะ วัญจะเวทะนงั  นะ อปุ ปาเทสาม,ิ และไม่ทำ� ทุกขเวทนาใหมใ่ ห้เกดิ ขึ้น,  ยาตร๎ า จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวหิ าโร จาต.ิ อนึ่ง  ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ ดว้ ย ความเปน็ ผหู้ าโทษมไิ ดด้ ว้ ย และความ เปน็ อยู่โดยผาสุกด้วย จักมแี กเ่ รา ดังน.้ี ข้อทวี่ ่าดว้ ยเสนาสนะ ปะฏสิ งั ขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวาม,ิ   เรายอ่ มพิจารณาโดยแยบคายแล้ว, จึงใชส้ อยเสนาสนะ,  ยาวะเทวะ สตี สั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพยี งเพอื่ บ�ำบัดความหนาว,  อณุ ห๎ สั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบำ� บดั ความร้อน,  ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสริ งิ สะปะสัมผสั สานัง ปะฏฆิ าตายะ,  เพอื่ บำ� บดั สมั ผสั อนั เกดิ จาก, เหลอื บ ยงุ  ลม แดด, และสัตวเ์ ลอ้ื ยคลานท้ังหลาย,  ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะวิโนทะนงั , ปะฏสิ ัลลานารามัตถัง. เพียงเพื่อบรรเทาอันตราย,  อันพึงมีจากดิน ฟ้าอากาศ,  และเพื่อความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้, ในที่หลีกเรน้ สำ� หรบั ภาวนา. ข้อวา่ ดว้ ยคลิ านเภสชั ปะฏสิ ังขา โยนโิ ส คลิ านะปัจจะยะเภสัชชะปะรกิ ขารัง ปะฏเิ สวาม,ิ   เรายอ่ มพิจารณาโดยแยบคายแลว้ , จงึ บรโิ ภคเภสัชบรขิ าร, อนั เกื้อกูลแก่คนไข้,

19 ยาวะเทวะ อุปปนั นานัง เวยยาพาธกิ านัง๑ เวทะนานัง ปะฏฆิ าตายะ,  เพยี งเพอ่ื บ�ำบัดทกุ ขเวทนา,  อันบังเกิดข้นึ แล้ว, มีอาพาธตา่ งๆ เปน็ มลู ,  อัพ๎ยาปชั ฌะปะระมะตายาต,ิ เพื่อความเปน็ ผไู้ มม่ ีโรคเบยี ดเบยี น เปน็ อยา่ งย่งิ , ดงั นี.้ ธาตปุ จั จเวกขณปาฐะ ¢0∫ (นำ� )  หนั ทะ มะยงั  ธาตุปะฏกิ ูละปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส. ขอ้ ว่าดว้ ยจวี ร (รับ)  ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,  สิ่งเหล่าน้ี,  นี่เป็นสักว่า ธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น,  ก�ำลังเป็นไป ตามเหตตุ ามปจั จัยอย่อู ยา่ งเนอื งนิจ,  ยะทิทัง จีวะรัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,  สิ่งเหล่านี้คือ จีวร, และบุคคล ผูท้ ี่ใช้สอยจวี รนั้น,  ธาตมุ ตั ตะโก, เป็นสกั ว่าธาตตุ ามธรรมชาติ,  นสิ สัตโต, มไิ ด้เป็นสตั วะอนั ย่งั ยืน,  นิชชีโว, มิได้เปน็ ชวี ะอนั เป็นบรุ ษุ บคุ คล,  สญุ โญ, วา่ งเปล่าจากความหมายแหง่ ความเปน็ ตวั ตน, สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคุจฉะนียานิ,  ก็จีวรทั้งหมดนี้, ไม่เป็นของ น่าเกลียดมาแตเ่ ดมิ อิมัง ปตู ิกายงั  ปตั ว๎ า, ครนั้ มาถกู เขา้ กบั กายอนั เนา่ อยเู่ ปน็ นจิ นแ้ี ลว้ , อะตวิ ยิ ะ ชิคจุ ฉะนียาน ิ ชายนั ติ, ยอ่ มกลายเปน็ ของน่าเกลียดอย่างย่ิงไป ด้วยกัน. ๑ อา่ นวา่  ไว-ยา-พา-ทิ-กา-นงั

20 ข้อวา่ ดว้ ยบิณฑบาต ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,  สิ่งเหล่าน้ี,  นี่เป็นสักว่าธาตุ ตามธรรมชาติเท่านั้น,  ก�ำลังเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจยั อย่เู นอื งนจิ ,  ยะทิทัง ปิณฑะปาโต ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,  สิ่งเหล่าน้ีคือบิณฑบาต, และบุคคลผบู้ รโิ ภคบิณฑบาตนั้น,  ธาตมุ ัตตะโก, นิสสัตโต, เป็นสกั วา่ ธาตุตามธรรมชาติ,  นชิ ชีโว, มิไดเ้ ปน็ สัตวะอนั ยัง่ ยนื ,  สุญโญ, มิได้เป็นชีวะอันเป็นบรุ ษุ บคุ คล,  วา่ งเปลา่ จากความหมายแหง่ ความเปน็ ตวั ตน, สพั โพ ปะนายงั  ปิณฑะปาโต อะชิคุจฉะนโี ย,  ก็บิณฑบาตทงั้ หมดน้ี, ไม่เป็นของนา่ เกลยี ดมาแตเ่ ดมิ ,  อมิ งั  ปตู กิ ายัง ปตั ว๎ า, ครนั้ มาถกู เขา้ กบั กายอนั เนา่ อยเู่ ปน็ นจิ นแี้ ลว้ , อะตวิ ิยะ ชิคจุ ฉะนโี ย ชายะติ, ย่อมกลายเป็นของนา่ เกลยี ดอย่างย่งิ ไปดว้ ยกัน. ขอ้ ว่าดว้ ยเสนาสนะ ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,  ส่ิงเหล่าน้ี,  นี่เป็นสักว่าธาตุ ตามธรรมชาติเท่าน้ัน,  ก�ำลังเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจยั อยู่เนอื งนจิ ,  ยะทิทัง เสนาสะนัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปคุ คะโล,  สง่ิ เหล่านค้ี ือ เสนาสนะ, และบุคคลผู้ใช้สอยเสนาสนะนนั้ ,  ธาตุมตั ตะโก, นสิ สตั โต, เปน็ สกั วา่ ธาตตุ ามธรรมชาติ,  นิชชีโว, มิไดเ้ ป็นสตั วะอันยง่ั ยืน,  มไิ ดเ้ ป็นชีวะอนั เป็นบรุ ษุ บุคคล, 

21 สญุ โญ, ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเปน็ ตวั ตน, สพั พาน ิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคจุ ฉะนยี านิ,  ก็เสนาสนะทง้ั หมดนี้, ไม่เป็นของนา่ เกลียดมาแต่เดิม,  อิมัง ปตู กิ ายงั  ปตั ๎วา, คร้ันมาถกู เข้ากับกายอนั เน่าอย่เู ปน็ นิจนแ้ี ล้ว, อะตวิ ยิ ะ ชคิ ุจฉะนียาน ิ ชายนั ต.ิ ยอ่ มกลายเปน็ ของนา่ เกลยี ดอยา่ งยง่ิ ไปดว้ ยกนั ขอ้ วา่ ดว้ ยคลิ านเภสัช ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,  ส่ิงเหล่านี้,  น่ีเป็นสักว่าธาตุ ตามธรรมชาติเท่าน้ัน,  ก�ำลังเป็นไปตามเหตุ ตามปจั จัยอยเู่ นืองนิจ ยะททิ งั  คิลานะปจั จะยะ เภสชั ชะปะริกขาโร, ตะทุปะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล,  สง่ิ เหลา่ น้ีคอื  เภสชั บรขิ ารอันเกอื้ กูลแกค่ นไข,้ และบุคคลผูบ้ รโิ ภคเภสัชบริขารนั้น,  ธาตมุ ตั ตะโก, เป็นสักว่าธาตตุ ามธรรมชาต,ิ   นสิ สัตโต, นชิ ชโี ว, มิไดเ้ ปน็ สตั วะอนั ย่งั ยืน,  สุญโญ, มไิ ด้เป็นชีวะอันเป็นบรุ ษุ บคุ คล,  วา่ งเปล่าจากความหมายแห่งความเปน็ ตวั ตน, สพั โพ ปะนายัง คลิ านะปัจจะยะเภสชั ชะ ปะรกิ ขาโร อะชคิ จุ ฉะนโี ย,  กค็ ิลานะเภสชั บรขิ ารทงั้ หมดนี,้ ไมเ่ ป็นของน่าเกลยี ดมาแต่เดมิ ,  อิมงั  ปูติกายงั  ปัตว๎ า, ครน้ั มาถกู เขา้ กบั กายอันเนา่ อยเู่ ปน็ นิจนี้แล้ว, อะตวิ ิยะ ชิคจุ ฉะนโี ย ชายะต,ิ ยอ่ มกลายเปน็ ของนา่ เกลียดอยา่ งย่ิง ไปด้วยกนั , ดงั นี้.

22 ปัตติทานคาถา (กรวดน้�ำตอนเช้า - ยา เทวะตา) ¢0∫ (น�ำ) หันทะ มะยงั  ปตั ติทานะคาถาโย ภะณามะ เส. (รับ) ยา เทวะตา สันต ิ วหิ าระ วาสิน,ี   เทวดาทง้ั หลายเหลา่ ใด, มปี กติอยใู่ นวหิ าร,  ถเู ป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหงิ  ตะหงิ สิงสถติ ยท์ ่เี รือนพระสถูป ท่ีเรือนโพธ ์ิ ในทนี่ น้ั ๆ,  ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวนั ต ุ ปูชิตา,  เทวดาทง้ั หลายเหลา่ นน้ั , เปน็ ผู้อันเราท้งั หลาย, บชู าแล้วดว้ ยธรรมทาน, โสตถงิ  กะโรนเตธะ วหิ าระมณั ฑะเล, ขอจงทำ� ซึ่งความสวสั ด ี ในมณฑลวิหารน,้ี   เถรา จะ มชั ฌา นะวะกา จะ ภกิ ขะโว,  พระภิกษุท้ังหลาย ทีเ่ ปน็ พระเถระก็ด,ี  ที่เป็นกลางก็ด,ี  ท่เี ป็นผู้บวชใหมก่ ด็ ี, สารามกิ า ทานะปะตี อุปาสะกา,  อบุ าสกอบุ าสิกาทัง้ หลาย, ทเี่ ป็นทานาบด ี พร้อมด้วยอารามิกชนก็ด,ี   คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา,  ชนท้งั หลายเหลา่ ใด, ทีเ่ ป็นชาวบา้ นกด็ ี, ทีเ่ ปน็ ชาวตา่ งประเทศกด็ ี, ทีเ่ ปน็ ชาวนิคมกด็ ,ี  ทเี่ ปน็ อสิ ระเป็นใหญ่กด็ ,ี   สัปปาณะภตู า สขุ ติ า ภะวนั ตุ เต, ขอชนทง้ั หลายเหล่านน้ั , จงเป็นผมู้ คี วามสุขเถิด ชะลาพชุ า เยปิ จะ อณั ฑะสมั ภะวา,  สตั วท์ งั้ หลายท่ีเกิดจากครรภก์ ็ดี, เกิดจากฟองไขก่ ด็ ,ี สังเสทะชาตา อะถะ โวปะปาตกิ า, ทเี่ กดิ ในเถ้าไคลก็ด,ี  ทีเ่ กดิ ข้ึนโตทเี ดยี วก็ดี 

23 นิยยานิกงั  ธัมมะวะรัง ปะฏจิ จะ เต,  สัตวท์ ัง้ หลายทง้ั ปวงเหลา่ นัน้ , ได้อาศัยซึ่งธรรมอันประเสรฐิ ,  อนั นำ� ผ้ปู ฏิบัติใหอ้ อกจากสงั สารทกุ ข์ สัพเพป ิ ทุกขสั สะ กะโรนต ุ สงั ขะยงั ,  จงกระท�ำซึ่งความสนิ้ ไปพร้อมแห่งทกุ ขเ์ ถิด,  ฐาต ุ จิรงั  สะตัง ธัมโม ธมั มัทธะรา จะ ปคุ คะลา,  ขอธรรมของสัตบุรษทั้งหลาย, จงตั้งอยนู่ าน, อน่งึ , ขอบคุ คลท้งั หลาย ผ้ทู รงไวซ้ งึ่ ธรรมจงดำ� รงอยู่นาน,  สงั โฆ โหนต ุ สะมัคโค วะ อัตถายะ จะ หติ ายะ จะ,  ขอพระสงฆจ์ งมีความสามัคคี พร้อมเพรียงกัน ในอนั ท�ำประโยชน,์  และสิ่งเกื้อกลู เถดิ อัมเห รกั ขะต ุ สัทธัมโม, สพั เพป ิ ธัมมะจารโิ น,  ขอพระสทั ธรรมจงรักษาไว้ ซงึ่ เราท้งั หลาย, และจงรกั ษาไว้ซึ่งบุคคล ทั้งหลายผู้ประพฤตซิ งึ่ ธรรมแม้ทง้ั ปวง วุฑฒิง สัมปาปเุ ณยยามะ ธมั เม อะรยิ ปั ปะเวทเิ ต,  ขอเราทงั้ หลาย พึงถึงพร้อมซึ่งความเจรญิ ในธรรม, ท่พี ระอริยเจ้าประกาศไว้แล้วเถิด,  ปะสันนา โหนตุ สพั เพปิ ปาณโิ น พุทธะสาสะเน,  ขอสรรพสตั ว์ทงั้ หลายแมท้ งั้ ปวง, จงเป็นผู้เล่ือมใส ในพระพทุ ธศาสนา,  สัมมา ธารงั  ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ,  ขอฝนจงเพิ่มใหอ้ ทุ กธาร, ตกต้องในกาลโดยชอบเถดิ   วุฑฒิภาวายะ สตั ตานัง สะมทิ ธัง เนตุ เมทะนิง,  ขอฝนจงนำ� ความส�ำเรจ็ มาสู่พ้นื ปฐพ,ี  เพื่อความเจรญิ แกส่ ัตวท์ ั้งหลาย, มาตา ปติ า จะ อัตร๎ ะชงั  นิจจัง รักขนั ติ ปุตตะกงั ,  มารดาและบิดา, ยอ่ มถนอมบตุ รนอ้ ย, ผบู้ ังเกิดในตนเป็นนิตย ์ ฉันใด

24 เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ปะชงั  รักขันตุ สพั พะทา. ขอพระราชาทั้งหลายจงปกครองประชาราษฎร์,  โดยชอบธรรมในกาลทุกเม่ือ ฉันน้นั เทอญ สัพพปตั ตทิ านคาถา ¢0∫ (น�ำ)  หนั ทะ มะยงั  สัพพะปัตตทิ านะคาถาโย ภะณามะ เส. (รบั )  ปญุ ญสั สทิ านิ กะตสั สะ ยานญั ญานิ กะตานิ เม,  เตสญั จะ ภาคิโน โหนต ุ สัตตานันตาปปะมาณะกา,  สัตว์ท้ังหลาย  ไม่มีท่ีสุด  ไม่มีประมาณ,  จงมีส่วนแห่งบุญท่ีข้าพเจ้าได้ท�ำใน บดั น้ี, และแหง่ บุญอืน่ ท่ีได้ท�ำไวก้ ่อนแลว้ ,  เย ปยิ า คณุ ะวันตา จะ มัยหงั  มาตาปิตาทะโย,  ทิฏฐา เม จาป๎ยะทฏิ ฐา วา อัญเญ มชั ฌัตตะเวรโิ น,  คือจะเป็นสัตว์เหล่าใด,  ซ่ึงเป็นท่ีรักใคร่และมีบุญคุณ,  เช่นมารดาบิดาของ ข้าพเจ้า  เป็นต้น  ก็ดี,  ที่ข้าพเจ้าเห็นแล้ว  หรือไม่เห็นก็ดี,  สัตว์เหล่าอื่นท่ีเป็นกลางๆ, หรอื เปน็ ค่เู วรกนั  กด็ ี,  สตั ตา ตฏิ ฐันติ โลกัสม๎ งิ เต ภมุ มา จะตุโยนิกา,  ปญั เจกะจะตโุ วการา สงั สะรันตา ภะวาภะเว,  สัตว์ทั้งหลาย  ต้ังอยู่ในโลก,  อยู่ในภูมิทั้งสาม,  อยู่ในก�ำเนิดทั้งสี่,  มีขันธ์ห้า ขันธ,์  มขี นั ธ์ขนั ธเ์ ดยี ว, มขี นั ธ์สขี่ ันธ์, กำ� ลงั ท่องเทย่ี วอยูใ่ นภพนอ้ ยภพใหญ่ก็ด,ี   ญาตัง เย ปัตติทานัมเม อะนโุ มทนั ตุ เต สะยัง,  เย จมิ งั  นปั ปะชานันติ เทวา เตสัง นเิ วทะยุง,  สตั วเ์ หลา่ ใด, รสู้ ว่ นบญุ ทข่ี า้ พเจา้ แผใ่ หแ้ ลว้ , สตั วเ์ หลา่ นนั้ จงอนโุ มทนาเองเถดิ , ส่วนสตั ว์เหลา่ ใดยงั ไมร่ สู้ ว่ นบญุ น,้ี  ขอเทวดาทง้ั หลาย, จงบอกสัตวเ์ หลา่ นน้ั ใหร้ ,ู้

25 มะยา ทินนานะ ปญุ ญานงั อะนโุ มทะนะเหตุนา,  สพั เพ สตั ตา สะทา โหนตุ อะเวรา สขุ ะชวี ิโน,  เขมปั ปะทัญจะ ปัปโปนตุ เตสาสา สิชฌะตงั  สภุ า. เพราะเหตุที่ได้อนุโมทนาส่วนบุญ,  ท่ีข้าพเจ้าแผ่ให้แล้ว,  สัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง,  จงเป็นผู้ไม่มีเวร  อยู่เป็นสุขทุกเม่ือ,  จนถึงบทอันเกษม,  กล่าวคือ พระนพิ พาน, ความปรารถนาทีด่ ีงามของสัตว์เหล่านน้ั , จงส�ำเรจ็ เถดิ . มนุษยเ์ ราเอย๋ บทปลงสงั ขาร นิพพานมสี ุข อยูไ่ ยมไิ ป หนว่ งชักหน่วงไว้ ฉนั ไปมไิ ด ้ ¢0∫ ห่วงน้ันพันผกู หว่ งลูกหว่ งหลาน จงสละเสียเถิด จะไดไ้ ปนิพพาน เกิดมาทำ� ไม ยามหนุ่มสาวนอ้ ย หนา้ ตาแช่มช้อย ตัณหาหนว่ งหนัก แกเ่ ฒ่าหนังยาน แตล่ ว้ นเคร่อื งเหมน็ ตัณหาผูกพนั เอ็นนอ้ ยเก้าพนั มันมาท�ำเขญ็ ห่วงทรพั ย์ศฤงคาร เมอื่ ยขบท้งั ตวั ขนควิ้ กข็ าว ข้ามพน้ ภพสาม เส้นผมบนหัว ดำ� แล้วกลบั หงอก งามแลว้ ทกุ ประการ ดนู ่าบดั สี จะลุกกโ็ อย เอ็นใหญเ่ กา้ ร้อย เหมอื นดอกไมโ้ รย ไม่มเี กสร ใหร้ ้อนใหเ้ ยน็ พึงสอนภาวนา พระอนิจจงั นยั นต์ ากม็ วั เราทา่ นเกิดมา รงั แตจ่ ะตาย หน้าตาเวา้ วอก กต็ ายเหมือนกนั เงนิ ทองทงั้ นั้น จะนงั่ ก็โอย ตายไปเปน็ ผี จะเขา้ ทน่ี อน พระอนัตตา ผดู้ ีเข็ญใจ มิตดิ ตัวไป

26 ลูกเมยี ผวั รกั เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี เปอื่ ยเน่าพุพอง หมู่ญาตพิ นี่ อ้ ง เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้ เขานัง่ ร้องไห ้ แล้วกลับคืนมา อยแู่ ต่ผเู้ ดียว ปา่ ไมช้ ายเขยี ว เหลียวไมเ่ หน็ ใคร เห็นแตฝ่ งู แรง้ เห็นแตฝ่ ูงกา เห็นแต่ฝงู หมา ยื้อแย่งกันกนิ ดูน่าสมเพช กระดูกกเู อย๋ เร่ียรายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร เทยี่ งคนื สงดั ตนื่ ขน้ึ มินาน ไมเ่ ห็นลูกหลาน พ่นี ้องเผ่าพันธ ุ์ เหน็ แตน่ กเคา้ จบั เจ่าเรยี งกัน เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวญั เห็นแต่ฝูงผี รอ้ งไหห้ ากัน มนุษย์เราเอ๋ย อยา่ หลงนกั เลย ไม่มแี ก่นสาร อุตสา่ หท์ �ำบุญ คำ้� จุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค ์ จะได้ทันพระพทุ ธเจ้า จะไดเ้ ข้านิพพาน อะหงั  วันทาม ิ สพั พะโส อะหัง  วันทามิ นพิ พานะปัจจะโย โหตุ ¥dµ

ท�าวัตรเยน็ โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสมั พทุ โธ, พระผูม พี ระภาคเจา น้นั พระองคใด เปน พระ อรหนั ต ดับเพลิงกเิ ลส เพลิงทกุ ขสิน้ เชิง ตรัสรชู อบไดโดยพระองคเ อง สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมอันพระผูมพี ระภาคเจาพระองคใด ตรัสไวด ีแลว สปุ ะฏิปน โน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆส าวกของพระผูมพี ระภาคเจา พระองคใ ด ปฏบิ ัติดีแลว ตมั มะยงั ภะคะวันตงั สะธัมมัง สะสังฆงั อิเมหิ สกั กาเรหิ ยะถาระหงั อาโรปเ ตหิ อะภิปชู ะยาม, ขา พเจา ทั้งหลาย ขอบูชาอยางยิ่งซง่ึ พระผูม ีพระภาคเจาพระองคน ้ัน พรอ มทั้ง พระธรรมและพระสงฆ ดวยเครื่องสกั การะทง้ั หลายเหลานี้ อันยกข้ึนไวตามสมควร แลวอยา งไร, สาธุ โน ภนั เต ภะคะวา สุจริ ะปะรนิ ิพพโุ ตป, ขา แตพ ระองคผเู จรญิ พระผูมพี ระภาคเจา แมปรินพิ พานนานแลว ทรงสรางคุณอนั สาํ เร็จประโยชนไวแ กขาพเจาทัง้ หลาย ปจ ฉิมาชะนะตานุกมั ปะมานะสา, ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะหแกพวกขา พเจา อนั เปนชนรนุ หลงั อเิ ม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏคิ คัณหาต,ุ ขอพระผมู พี ระภาคเจาจงรับ เครือ่ งสักการะ อนั เปนบรรณาธิการของคนยาก ท้ังหลายเหลา นี้ อมั หากงั ทีฆะรตั ตงั หติ ายะ สุขายะ ฯ เพอ่ื ประโยชนแ ละความสขุ แกขาพเจา ทั้งลาย ตลอดกาลนานเทอญ ค�าบูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พระผมู พี ระภาคเจา , เปนพระอรหนั ต, ดับเพลงิ กิเลส เพลิงทุกขส น้ิ เชิง, ตรสั รชู อบไดโ ดยพระองคเอง, พทุ ธัง ภะคะวนั ตัง อะภิวาเทม.ิ ขา พเจา อภวิ าทพระผูมีพระภาคเจา, ผรู ,ู ผตู น่ื ผเู บิกบาน. (กราบ) สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนธรรมทีพ่ ระผูมพี ระภาคเจา ตรัสรูช อบ ไดโ ดยพระองคเ อง, ตรสั ไวด แี ลว ธมั มงั นะมัสสามิ. ขา พเจานมสั การพระธรรม. (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆส าวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏบิ ัตดิ แี ลว , สังฆัง นะมาม.ิ ขาพเจา นอบนอมพระสงฆ. (กราบ)

28 ปพุ พภาคนมการะ (น�า) หันทะ มะยงั พทุ ธสั สะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส. (รับ) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, ขอนอบน้อมแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ นั� อะระหะโต, ซงึ่ เป็นผไู้ กลจากกเิ ลส, สมั มาสมั พทุ ธสั สะ, ตรัสรชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง. (๓ ครงั้ ) พทุ ธานุสสติ   ก็กิตติศัพทอ์ ันงามของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ น้นั , ได้ฟุ้งไปแล้วอยา่ งน้วี ่า :-  อิตปิ ิ โส ภะคะวา, เพราะเหตุอยา่ งนี้ๆ พระผ้มู ีพระภาคเจ้านน้ั , อะระหงั , เป็นผไู้ กลจากกิเลส, สมั มาสัมพทุ โธ, เปน็ ผตู้ รสั รูช้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง, วิชชาจะระณะสัมปันโน, เปน็ ผูถ้ งึ พรอ้ มดว้ ยวิชชาและจรณะ, สคุ ะโต, เป็นผู้ไปแลว้ ด้วยดี, โลกะวิทู, เปน็ ผู้รโู้ ลกอย่างแจ่มแจง้ , อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทัมมะสาระถิ, เปน็ ผ้สู ามารถฝึกบรุ ุษท่ีสมควรฝึกไดอ้ ยา่ งไมม่ ใี ครยิ�งกวา่ สตั ถา เทวะมะนุสสานัง, เป็นครผู สู้ อน ของเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย, เป็นผูร้ ู ้ ผ้ตู ่ืน ผเู้ บิกบานดว้ ยธรรม, เป็นผู้มคี วามจ�าเรญิ จ�าแนกธรรมสง�ั สอนสตั ว์ ดงั น�ี. พุทธาภคิ ตี ิ (น�า) หันทะ มะยัง พทุ ธาภิคตี ิง กะโรมะ เส. (รับ) พทุ ธว๎ าระหนั ตะวะระตาทิคณุ าภิยตุ โต, พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ มคี วามประเสรฐิ แหง่ อรหันตคุณ เปน็ ตน้ , สุทธาภิญาณะกรณุ าหิ สะมาคะตตั โต,  มีพระองค์อนั ประกอบด้วยพระญาณ และพระกรุณาอันบริสุทธ์,ิ

29 โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร,  พระองค์ใด ทรงกระท�ำชนทดี่ ีใหเ้ บกิ บาน ดจุ อาทติ ย์ท�ำบวั ใหบ้ าน, วนั ทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง,  ข้าพเจา้ ไหว้พระชินสหี ์ ผไู้ ม่มีกเิ ลส พระองค์น้นั  ด้วยเศยี รเกลา้ , พทุ โธ โย สัพพะปาณีนงั สะระณงั  เขมะมุตตะมงั , พระพทุ ธเจ้าพระองค์ใด เปน็ สรณะอันเกษมสูงสุด ของสตั วท์ ้งั หลาย, ปะฐะมานสุ สะติฏฐานงั วันทามิ ตัง สิเรนะหงั ,  ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระพุทธเจ้าพระองคน์ ้นั  อันเป็นท่ตี ง้ั แห่งความระลกึ องคท์ ่หี นึง่ ด้วยเศียรเกล้า, พทุ ธัสสาหสั ม๎ ิ ทาโส (ทาส)ี ๑วะ พทุ โธ เม สามกิ สิ สะโร,  ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจา้ , พระพทุ ธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจา้ , พทุ โธ ทกุ ขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม,  พระพุทธเจ้าเปน็ เครอ่ื งก�ำจดั ทกุ ข ์ และทรงไวซ้ ่งึ ประโยชนแ์ ก่ข้าพเจา้ , พุทธสั สาหัง นยิ ยาเทมิ สะรีรัญชวี ติ ัญจทิ งั ,  ขา้ พเจ้ามอบกายถวายชวี ติ น้ี แดพ่ ระพทุ ธเจา้ , วนั ทันโตหัง (วันทันตีหัง)๒ จะรสิ สามิ, พุทธัสเสวะ สโุ พธิตัง,  ขา้ พเจา้ ผูไ้ หวอ้ ยจู่ กั ประพฤตติ าม ซ่งึ ความตรสั รดู้ ขี องพระพุทธเจ้า, นัตถิ เม สะระณัง อัญญงั , พุทโธ เม สะระณัง วะรัง,  สรณะอ่ืนของขา้ พเจ้าไมม่ ,ี  พระพทุ ธเจา้ เปน็ สรณะอันประเสรฐิ ของข้าพเจา้ , เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ, วัฑเฒยยัง สัตถสุ าสะเน,  ดว้ ยการกลา่ วคำ� สจั จน์ ี,้  ข้าพเจา้ พงึ เจริญในพระศาสนา ของพระศาสดา,  พุทธงั  เม วนั ทะมาเนนะ, (วนั ทะมานายะ)๓ ยัง ปญุ ญงั  ปะสตุ งั  อธิ ะ, ข้าพเจา้ ผไู้ หวอ้ ยู่ซง่ึ พระพุทธเจ้า ได้ขวนขวายบญุ ใด ในบดั น,ี้   ๑ ผ้หู ญงิ ว่า  ทาสี ๒ วนั ทนั ตหี งั ๓ วนั ทะมานายะ

30 สัพเพป ิ อันตะรายา เม, มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อนั ตรายทั้งปวง อยา่ ได้มแี ก่ข้าพเจา้  ดว้ ยเดชแหง่ บญุ นัน้ .  (หมอบกราบว่า) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,  ดว้ ยกายก็ด ี ดว้ ยวาจาก็ด ี ด้วยใจก็ด,ี พุทเธ กุกัมมงั  ปะกะตงั  มะยา ยงั ,  กรรมนา่ ตเิ ตียนอนั ใด ท่ขี า้ พเจา้ กระทำ� แล้ว ในพระพุทธเจ้า, พุทโธ ปะฏิคคัณ�หะต ุ อจั จะยนั ตัง,  ขอพระพุทธเจ้า จงงดซง่ึ โทษล่วงเกินอันนัน้ , กาลันตะเร สงั วะริตงุ  วะ พุทเธ. เพือ่ การส�ำรวมระวงั  ในพระพทุ ธเจ้า, ในกาลต่อไป๔. ธัมมานุสสติ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยัง ธมั มานสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส. (รบั )  สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เป็นสิง่ ท่พี ระผมู้ พี ระภาคเจ้า ไดต้ รสั ไวด้ แี ลว้ , สันทิฏฐโิ ก, เป็นสิง่ ทีผ่ ้ศู ึกษาและปฏบิ ตั ิ พึงเห็นได้ดว้ ยตนเอง, อะกาลิโก, เป็นสงิ่ ท่ปี ฏบิ ตั ไิ ด้ และใหผ้ ลได้ ไมจ่ �ำกัดกาล, เอหิปัสสิโก, เปน็ สง่ิ ท่คี วรกลา่ วกะผอู้ ่ืนวา่ ท่านจงมาดเู ถิด, โอปะนะยโิ ก, เปน็ สิ่งทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ ัว, ปัจจตั ตัง เวทิตัพโพ วญิ ญูหี ต.ิ   เป็นส่งิ ทผี่ ้รู ูก้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน ดังน้.ี ๔ บทขอให้งดโทษนี้  มิได้เป็นการขอล้างบาป,  เป็นเพียงการเปิดเผยตัวเอง;  และคำ�ว่าโทษในท่ีน้ีมิได้หมายถึงกรรม  :  หมายถึง โทษเพียงเล็กน้อย  ”ส่วนตัว„  ระหว่างกันที่พึงอโหสิได้.  การขอขมาน้ี  สำ�เร็จผลได้เม่ือผู้ขอตั้งใจทำ�จริงๆ,  และเป็นเพียงศีลธรรม และสิง่ ท่ีควรประพฤติ

31 ธัมมาภคิ ตี ิ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยงั  ธมั มาภิคตี งิ  กะโรมะ เส. (รบั )  ส๎วากขาตะตาทิคณุ ะโยคะวะเสนะ เสยโย,  พระธรรม  เป็นส่ิงท่ีประเสริฐเพราะประกอบด้วยคุณ  คือความท่ีพระผู้มี พระภาคเจ้า ตรสั ไวด้ แี ลว้  เปน็ ต้น, โย มัคคะปากะปะริยตั ตวิ ิโมกขะเภโท,  เปน็ ธรรมอนั จ�ำแนกเปน็  มรรค ผล ปรยิ ตั  ิ และนพิ พาน, ธมั โม กโุ ลกะปะตะนา ตะทะธารธิ ารี,  เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผ้ทู รงธรรม จากการตกไปสู่โลกท่ีชว่ั , วนั ทามะหงั  ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตงั ,  ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระธรรมอันประเสริฐน้นั  อนั เปน็ เครอื่ งขจดั เสยี ซง่ึ ความมดื , ธมั โม โย สพั พะปาณีนัง สะระณงั  เขมะมตุ ตะมงั ,  พระธรรมใด เป็นสรณะอนั เกษมสูงสดุ  ของสัตวท์ ้งั หลาย,  ทุติยานุสสะตฏิ ฐานัง วนั ทามิ ตัง สเิ รนะหัง,  ขา้ พเจา้ ไหวพ้ ระธรรมนั้น อนั เปน็ ทตี่ ้ังแหง่ ความระลกึ องคท์ ส่ี องด้วยเศียร เกลา้ , ธมั มัสสาหสั ม๎ ิทาโส (ทาส)ี ๑ วะ ธัมโม เม สามิกสิ สะโร,  ขา้ พเจา้ เป็นทาสของพระธรรม, พระธรรมเปน็ นาย มีอสิ ระเหนอื ขา้ พเจา้ , ธมั โม ทกุ ขัสสะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ สั สะ เม,  พระธรรมเป็นเคร่ืองก�ำจัดทกุ ข ์ และทรงไวซ้ งึ่ ประโยชน์แกข่ ้าพเจา้ , ธัมมสั สาหงั  นยิ ยาเทมิ สะรีรญั ชวี ติ ัญจทิ งั ,  ข้าพเจ้ามอบกายถวายชวี ติ นี้ แด่พระธรรม, วนั ทนั โตหงั  (วันทนั ตหี ัง)๒ จะรสิ สามิ ธมั มัสเสวะ สุธมั มะตงั ,  3 ข้าพเจ้าผู้ไหวอ้ ย่จู ักประพฤตติ าม, ซ่ึงความเป็นธรรมดขี องพระธรรม, ๑ ผู้หญงิ วา่  ทาสี ๒ วนั ทันตหี งั

32 นตั ถิ เม สะระณงั  อัญญัง ธมั โม เม สะระณัง วะรัง,  สรณะอ่นื ของขา้ พเจ้าไมม่ ,ี  พระธรรมเป็นสรณะอนั ประเสรฐิ ของข้าพเจา้ , เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วฑั เฒยยงั  สตั ถุสาสะเน,  ด้วยการกลา่ วค�ำสัจจ์น้ี, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนา ของพระศาสดา, ธัมมงั  เม วนั ทะมาเนนะ (วันทะมานายะ)๓ ยัง ปญุ ญัง ปะสตุ ัง อิธะ,  ขา้ พเจ้าผู้ไหวอ้ ยูซ่ ่งึ พระธรรม ได้ขวนขวายบุญใด ในบดั นี้, สพั เพป ิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตสั สะ เตชะสา.  อันตรายทัง้ ปวง อยา่ ไดม้ แี กข่ า้ พเจา้  ด้วยเดชแห่งบญุ นน้ั .  (หมอบกราบว่า) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,  ดว้ ยกายกด็  ี ด้วยวาจากด็  ี ดว้ ยใจกด็ ,ี ธมั เม กุกมั มัง ปะกะตงั  มะยา ยงั กรรมน่าตเิ ตียนอันใด ที่ขา้ พเจา้ กระทำ� แลว้  ในพระธรรม, ธัมโม ปะฏคิ คัณห� ะต ุ อัจจะยนั ตัง,  ขอพระธรรม จงงดซ่งึ โทษลว่ งเกินอันนนั้ , กาลนั ตะเร สงั วะริตุง วะ ธัมเม. เพอ่ื การส�ำรวมระวัง ในพระธรรม ในกาลตอ่ ไป.  สังฆานสุ สติ ¢0∫ (น�ำ)  หนั ทะ มะยัง สงั ฆานสุ สะตนิ ะยงั  กะโรมะ เส. (รับ)  สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆส์ าวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า หม่ใู ด, ปฏบิ ตั ิดแี ลว้ , อชุ ุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,  สงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏบิ ัตติ รงแล้ว, ๓ วันทะมานายะ

33 ญายะปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆส์ าวกของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติเพ่อื รู้ธรรมเปน็ เคร่ืองออก จากทกุ ขแ์ ลว้ , สามจี ิปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,  สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบตั สิ มควรแลว้ , ยะททิ ัง, ไดแ้ กบ่ คุ คลเหลา่ น้ ี คอื : จัตตาริ ปุรสิ ะยุคาน ิ อฏั ฐะ ปุริสะปคุ คะลา,  คูแ่ ห่งบุรุษ ๔ ค,ู่  นบั เรยี งตวั บุรษุ  ได ้ ๘ บรุ ุษ๑, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ,  นั่นแหละ สงฆส์ าวกของพระผ้มู พี ระภาคเจ้า, อาหุเนยโย๒, เปน็ สงฆค์ วรแก่สักการะท่ีเขานำ� มาบชู า, ปาหุเนยโย๓,  เปน็ สงฆค์ วรแกส่ กั การะทเ่ี ขาจัดไว้ต้อนรับ, ทกั ขเิ ณยโย๔,  เป็นผ้คู วรรบั ทกั ษิณาทาน, อญั ชะลีกะระณีโย, เป็นผทู้ ่ีบุคคลทัว่ ไปควรทำ� อญั ชล,ี อะนตุ ตะรงั  ปุญญกั เขตตงั  โลกสั สา ต.ิ   เปน็ เนอ้ื นาบญุ ของโลก, ไม่มนี าบุญอื่นยิ่งกว่า ดงั น.้ี สงั ฆาภิคตี ิ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยัง สงั ฆาภิคีติง กะโรมะ เส. (รบั )  สัทธัมมะโช สุปะฏิปตั ตคิ ุณาทิยตุ โต,  พระสงฆท์ ี่เกิดโดยพระสัทธรรม ประกอบดว้ ยคณุ มคี วามปฏบิ ัติดี เปน็ ตน้ , โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสงั ฆะเสฏโฐ,  เป็นหม่แู หง่ พระอรยิ บคุ คลอนั ประเสริฐ แปดจ�ำพวก, ๑ ๔ คู่ คอื  โสดาปตั ตมิ รรค โสดาปตั ตผิ ล, สกทาคามมิ รรค สกทาคามผิ ล, อนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล, อรหตั ตมรรค อรหตั ตผล. ๒ อ่านวา่  อา – หุ – ไน – โย  ๓ อา่ นวา่  ปา – หุ – ไน – โย  ๔ อ่านว่า  ทัก  –  ขิ  –  ไน  –  โย 

34 สลี าทธิ ัมมะปะวะราสะยะกายะจติ โต,  มีกายและจิต อันอาศยั ธรรมมศี ลี เป็นตน้  อันบวร, วนั ทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสทุ ธงั ,  ขา้ พเจา้ ไหวห้ มู่แหง่ พระอรยิ เจา้ เหลา่ นั้น อันบริสุทธด์ิ ว้ ยด,ี สังโฆ โย สัพพะปาณณี ัง สะระณงั  เขมะมตุ ตะมงั ,  พระสงฆห์ มู่ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวท์ ัง้ หลาย, ตะติยานสุ สะตฏิ ฐานัง วันทามติ ัง สเิ รนะหัง,  ขา้ พเจ้าไหว้พระสงฆ์หมูน่ นั้  อนั เป็นท่ีต้งั แห่งความระลกึ องค์ท่สี ามดว้ ย เศยี รเกลา้ , สังฆสั สาหสั ม๎ ิ ทาโส (ทาส)ี ๑ วะ สังโฆ เม สามิกิสสะโร,  ข้าพเจา้ เป็นทาสของพระสงฆ์, พระสงฆเ์ ปน็ นาย มีอิสระเหนือขา้ พเจ้า, สงั โฆ ทกุ ขสั สะ ฆาตา จะ วธิ าตา จะ หติ ัสสะ เม,  พระสงฆ์เป็นผกู้ ำ� จัดทกุ ข์ และทรงไวซ้ ึ่งประโยชน์แก่ขา้ พเจา้ , สงั ฆัสสาหงั  นิยยาเทมิ สะรีรัญชวี ิตัญจิทัง,  ขา้ พเจ้ามอบกายถวายชวี ติ นี้ แดพ่ ระสงฆ,์ วนั ทนั โตหัง (วนั ทันตีหงั )๒ จะริสสามิ, สังฆสั โส ปะฏิปันนะตงั ,  ข้าพเจา้ ผ้ไู หวอ้ ยจู่ กั ประพฤตติ าม ซ่งึ ความปฏิบตั ิดีของพระสงฆ์, นตั ถ ิ เม สะระณงั  อญั ญงั สงั โฆ เม สะระณงั  วะรงั ,  สรณะอื่นของข้าพเจา้ ไมม่ ี, พระสงฆเ์ ป็นสรณะอนั ประเสริฐของข้าพเจา้ ,  เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ วฑั เฒยยงั  สตั ถสุ าสะเน,  ดว้ ยการกล่าวค�ำสจั จ์น,้ี  ข้าพเจ้าพงึ เจรญิ ในพระศาสนา ของพระศาสดา, สงั ฆัง เม วนั ทะมาเนนะ (วันทะมานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสตุ ัง อิธะ,  ขา้ พเจา้ ผู้ไหวอ้ ยซู่ ่ึงพระสงฆ ์ ได้ขวนขวายบุญใด ในบดั น,ี้ ๑ ผหู้ ญงิ วา่  ทาสี ๒ วันทันตีหัง ๓ วันทะมานายะ

35 สัพเพป ิ อนั ตะรายา เม มาเหสงุ  ตสั สะ เตชะสา, อันตรายทงั้ ปวง อย่าได้มแี ก่ขา้ พเจา้  ดว้ ยเดชแหง่ บญุ นั้น.  (หมอบกราบวา่ ) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,  ดว้ ยกายกด็  ี ด้วยวาจาก็ด ี ดว้ ยใจกด็ ,ี สงั เฆ กกุ ัมมงั  ปะกะตัง มะยา ยัง,  กรรมน่าติเตยี นอันใด ที่ขา้ พเจา้ กระทำ� แล้ว, ในพระสงฆ์, สังโฆ ปะฏิคคณั หะตุ อจั จะยนั ตัง,  ขอพระสงฆ ์ จงงดซึ่งโทษลว่ งเกนิ อนั น้นั , กาลนั ตะเร สังวะริตงุ  วะ สงั เฆ.  เพ่ือการสำ� รวมระวงั  ในพระสงฆ,์  ในกาลต่อไป.  (จบทำ� วัตรเยน็ ) อตีตปจั จเวกขณปาฐะ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยงั  อตีตะปัจจะเวกขะณะปาฐงั  ภะณามะ เส. ขอ้ ทวี่ ่าด้วยจีวร (รบั )  อชั ชะ มะยา อะปัจจะเวกขติ ตะวา ยัง จีวะรัง ปะริภุตตัง,  จีวรใดอันเรานุ่งหม่ แล้ว, ไม่ทันพจิ ารณาในวนั นี้,  ตงั  ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ,  จีวรนน้ั เรานงุ่ ห่มแล้ว, เพียงเพือ่ บ�ำบดั ความหนาว,  อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ,  เพือ่ บำ� บดั ความรอ้ น ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผสั สานงั  ปะฏิฆาตายะ,  เพอื่ บำ� บดั สมั ผสั อนั เกดิ จาก, เหลอื บยงุ ลมแดดและสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานทง้ั หลาย, 

36 ยาวะเทวะ หิรโิ กปิ นะปะฏิจฉาทะนัตถัง,  และเพยี งเพ่อื ปกปดิ อวัยวะ, อนั ใหเ้ กิดความละอาย. ข้อว่าดว้ ยบิณฑบาต อชั ชะ มะยา อะปจั จะเวกขติ ตะวา โย ปณิ ฑะปาโต ปะริภุตโต,  บณิ ฑบาตใด อนั เราฉันแลว้ , ไม่ทนั พิจารณาในวนั น,้ี   โส เนวะ ทะวายะ, บิณฑบาตน้ันเราฉันแล้ว,  ไม่ใช่เป็นไปเพ่ือ นะ มะทายะ, ความเพลิดเพลินสนุกสนาน,  ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดก�ำลังพลัง นะ มันฑะนายะ, ทางกาย,  นะ วภิ สู ะนายะ, ไมใ่ ชเ่ ป็นไปเพ่ือประดับ ไม่ใช่เปน็ ไปเพือ่ ตกแต่ง ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายสั สะ ฐติ ยิ า, แต่ให้เปน็ ไปเพียงเพ่อื ความตงั้ อยูไ่ ด้ แห่งกายน้ี,  ยาปะนายะ, วหิ งิ สปุ ะระติยา, เพื่อความเปน็ ไปได้ของอตั ภาพ,  พ๎รัหมะจะริยานคุ คะหายะ, เพื่อความส้ินไปแหง่ ความล�ำบากทางกาย,  เพอื่ อนเุ คราะหแ์ กก่ ารประพฤตพิ รหมจรรย,์ อติ ิ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏหิ งั ขาม,ิ ด้วยการท�ำอยา่ งน,้ี  เราย่อมระงับเสยี ได้ ซงึ่ ทกุ ขเวทนาเก่า, คือความหิว,  นะวัญจะ เวทะนงั  นะ อุปปาเทสสามิ, และไมท่ ำ� ทกุ ขเวทนาใหมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ , ยาต๎รา จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสวุ หิ าโร จาติ. อนึ่ง,  ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพน้ีด้วย,  ความเป็นผู้หาโทษมิได้ ดว้ ย, และความเป็นอยโู่ ดยผาสุกดว้ ย, จักมแี กเ่ รา, ดังนี.้

37 ขอ้ วา่ ดว้ ยเสนาสนะ อัชชะ มะยา อะปจั จะเวกขติ ตะวา ยัง เสนาสะนงั  ปะริภตุ ตงั ,  เสนาสนะใดอันเราใชส้ อยแล้ว, ไมท่ นั พิจารณาในวันน,ี้   ตงั  ยาวะเทวะ สตี ัสสะ ปะฏฆิ าตายะ,  เสนาสนะนนั้ เราใช้สอยแล้ว, เพยี งเพื่อบำ� บดั ความหนาว,  อณุ ห๎ ัสสะ ปะฏิฆาตายะ,  เพอื่ บำ� บดั ความร้อน,  ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสมั ผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ,  เพื่อบ�ำบัดสัมผัสอันเกิดจาก,  เหลือบ  ยุง  ลม  แดด,  และสัตว์เล้ือยคลาน ท้งั หลาย,  ยาวะเทวะ อุตปุ ะรสิ สะยะวิโนทะนัง, ปะฏิสลั ลานารามตั ถัง. เพียงเพ่ือบรรเทาอันตราย,  อันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ,  และเพื่อความเป็น ผยู้ นิ ดอี ยู่ได้, ในท่ีหลกี เร้นสำ� หรบั ภาวนา. ข้อว่าด้วยคิลานเภสัช อัชชะ มะยา อะปจั จะเวกขิตตะวา โย คลิ านะปัจจะยะเภสชั ชะ ปะริกขาโร  ปะริภุตโต, คลิ านเภสัชบริขารใด, อันเราบริโภคแลว้ , ไม่ทันพิจารณาในวนั นี้,  โส ยาวะเทวะ อุปปันนานงั  เวยยาพาธิกานงั  เวทะนานัง ปะฏฆิ าตายะ,  คิลานเภสัชบริขารน้ัน, เราบรโิ ภคแลว้ , เพียงเพือ่ บ�ำบัดทุกขเวทนา,  อันบงั เกดิ ขนึ้ แลว้ , มีอาพาธต่างๆ เปน็ มูล,  อพั ย๎ าปัชฌะปะระมะตายาต,ิ   เพ่อื ความเปน็ ผไู้ มม่ โี รคเบียดเบยี นเปน็ อย่างย่งิ , ดังน้ี.

38 อุททสิ สนาธฏิ ฐานคาถา (กรวดนำ้� ตอนเยน็ --อมิ นิ า) ¢0∫ (น�ำ)  หนั ทะ มะยงั  อุททิสสนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส. (รับ)  อมิ ินา ปุญญะกัมเมนะ ด้วยบุญนี้ อุทศิ ให้ อุปชั ฌายา คุณตุ ตะรา อุปัชฌาย ์ ผเู้ ลิศคณุ อาจะรยิ ปู ะการา จะ แลอาจารย ์ ผู้เก้ือหนนุ มาตา ปติ า จะ ญาตะกา ทัง้ พอ่ แม ่ แลปวงญาติ สุรโิ ย จันทมิ า ราชา สรู ยจ์ ันทร ์ แลราชา คณุ ะวนั ตา นะราป ิ จะ ผูท้ รงคณุ  หรือสงู ชาติ พ๎รัหมะมารา จะ อินทา จะ พรหมมาร และอนิ ทราช โลกะปาลา จะ เทวตา ทงั้ ทวยเทพ และโลกบาล ยะโม มติ ตา มะนุสสา จะ ยมราช มนษุ ย์มิตร มัชฌตั ตา เวริกาปิ จะ ผ้เู ป็นกลาง ผู้จ้องผลาญ  สพั เพ สัตตา สุขี, โหนตุ ขอให้เปน็ สขุ ศานต ิ์ ทกุ ท่ัวหน้าอย่าทกุ ข์ทน ปญุ ญานิ ปะกะตานิ เม บญุ ผองท่ีขา้ ทำ�  จงชว่ ยอ�ำนวยศภุ ผล สขุ งั  จะ ตวิ ธิ ัง เทนต ุ ให้สขุ สามอย่างล้น ขิปปงั  ปาเปถะ โวมะตัง ให้ลุถงึ นิพพานพลัน๑ 19 อมิ ินา ปญุ ญะกมั เมนะ ด้วยบุญนี้ ทเ่ี ราทำ� อมิ ินา อุททเิ สนะ จะ แลอุทศิ  ให้ปวงสัตว์ ขปิ ปาหัง สลุ ะเภ เจวะ เราพลนั ได้ ซึ่งการตดั ตณั หปุ าทานะเฉทะนงั ตัวตณั หา อุปาทาน เย สันตาเน หินา ธัมมา สิ่งชว่ั  ในดวงใจ ยาวะ นพิ พานะโต มะมงั กว่าเราจะ ถึงนิพพาน นัสสันตุ สัพพะทาเยวะ มลายสิ้น จากสนั ดาน ๑  ถ้าจะว่าเพียงเทา่ นไ้ี มว่ า่ ต่อไปอีกใหเ้ ปลยี่ น ”นิพพานพลนั „ เป็น ”นิพพานเทอญ„

39 ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว ทกุ ๆ ภพ ท่ีเราเกิด อชุ ุจติ ตัง สะติปัญญา มจี ิตตรงและสต ิ ทั้งปัญญา อันประเสรฐิ สลั เลโข วริ ิยมั หินา พรอ้ มทั้งความเพยี รเลศิ  เป็นเครือ่ งขดู กเิ ลสหาย มารา ละภนั ตุ โนกาสัง โอกาสอยา่ พงึ มี แกห่ ม่มู ารสิน้ ทงั้ หลาย กาตญุ จะ วิรเิ ยสุ เม เปน็ ชอ่ งประทษุ รา้ ย ท�ำลายล้างความเพยี รจม พทุ ธาทิปะวะโร นาโถ พระพทุ ธ ผบู้ วรนารถ ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม พระธรรมท ่ี พง่ึ อดุ ม นาโถ ปัจเจกะพทุ โธ จะ พระปจั เจกะ พทุ ธสม- สงั โฆ นาโถตตะโร มะมงั ทบพระสงฆ์ ทพี่ ง่ึ ผยอง๒ เตโสตตะมานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพน้ัน มาโรกาสงั  ละภันตุ มา ขอหมู่มาร อยา่ ได้ชอ่ ง ทะสะปญุ ญานุภาเวนะ ดว้ ยเดชบญุ  ทง้ั สิบปอ้ ง มาโรกาสัง ละภนั ตุ มา อย่าเปิดโอกาส แกม่ ารเทอญ คำ� แผส่ ว่ นบญุ กุศล และแผ่เมตตา ของ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ¢0∫ อทิ ัง เม ปุญญงั  นพิ พานสั สะ ปจั จะโย โหต ุ ขอผลบญุ นี้ จงเป็นปจั จัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อิทัง เม ปุญญะภาคงั , ราชาทีนัญเจวะ, มาตาปติ  ุ อาทีนญั จะ,  ปยิ ะชะนานงั , สพั พะสัตตานญั จะ, นยิ ยาเทมะ ฯ ข้าพเจ้าทั้งหลาย,  ขอน้อมถวายส่วนบุญน้ี,  แด่อิสระชน,  คือชนผู้เป็น ใหญ่ท้ังหลาย, มอี งคพ์ ระมหากษัตรยิ ์, ผู้เป็นพระประมุขของชาต,ิ องค์สมเดจ็ พระสังฆราช, ผู้เป็นประมุขของศาสนา, และคณะรัฐบาล, ผู้บริหารประเทศ เปน็ ต้น ๒  บางแห่งว่าทพี่ ง่ึ ทง้ั ผองใหเ้ ลือกใช้ตามผูน้ ำ�ว่า

40 ขอแผ่ส่วนกุศลนี้,  ให้แก่ปิยชน,  คนที่รักท้ังหลาย,  มีบิดามารดา ปู่ ยา่  ตา ยาย, และคร ู อปุ ัชฌาย์อาจารยท์ ้ังหลาย เป็นตน้ ,  และขอแผ่ส่วนกุศลนี้,  ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย,  ทุกชาติช้ันวรรณะ, ทกุ ศาสนา ทุกภาษา, ทอี่ ยทู่ ว่ั ทกุ มุมแห่งโลก,  สัพเพ สตั ตา อันว่าสัตว์ท้ังหลาย,  ทุกชาติทุกภาษา  และทุกหนทุกแห่ง  ท่ีอยู่ทางทิศบูรพา ก็ดี  ที่อยู่ทางทิศประจิมก็ดี  ท่ีอยู่ทางทิศอุดรก็ดี  ที่อยู่ทางทิศทักษิณก็ดี ท่ีอยู่ทางทิศอาคเนย์ก็ดี  ที่อยู่ทางทิศพายัพก็ดี  ท่ีอยู่ทางทิศอีสานก็ดี ที่อยู่ ทางทิศหรดีก็ดี  ที่อยู่ทางทิศเบ้ืองล่าง  ตั้งแต่โลกันต์มหานรกขึ้นมาก็ดี  ที่อยู่ ทางทศิ เบ้อื งบนตั้งแต่ภวัคคะพรหมลงมาก็ดี  อเวรา โหนต ุ ขอจงอยา่ ไดส้ รา้ งกรรมท�ำเวร และรบรา ฆา่ ฟนั ซึ่งกันและกนั เลย อัพ๎ยาปชั ฌา โหนตุ ขอจงอย่าได้เบียดเบยี น ข่มเหงคะเนงร้าย และป้ายสใี ห้แกก่ นั และกันเลย อนฆี า โหนต ุ ขอจงอย่าไดม้ ีความทกุ ข์กาย ทกุ ข์ใจเลย สุขี อตั ตานงั  ปะรหิ ะรันต ุ ขอจงมีความสุขกาย  สุขใจ  รักษาตนให้ รอดพ้นจากทกุ ข์ภยั ทุกๆ คนเทอญ [2\\

๒ภาคท่ี บทสวดมนต์พิเศษ (แปล) ปพุ พภาคนมการะ ¢0∫ (น�ำ)  หันทะ มะยัง พุทธสั สะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะนะมะการงั  กะโรมะ เส. (รับ)  นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, ขอนอบน้อมแด่พระผมู้ พี ระภาคเจ้า  พระองค์นน้ั ,  อะระหะโต, ซง่ึ เป็นผู้ไกลจากกิเลส,  สมั มาสัมพุทธสั สะ ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองคเ์ อง. (๓ คร้งั ) สรณคมนปาฐะ ¢0∫ (นำ� )  หันทะ มะยัง ติสะระณะคะมะนะปาฐงั  ภะณามะ เส. (รับ)  พุทธัง สะระณงั  คัจฉามิ, ขา้ พเจ้าถือเอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ สรณะ,  ธัมมงั  สะระณัง คจั ฉามิ, ขา้ พเจ้าถือเอาพระธรรมเปน็ สรณะ,  สังฆัง สะระณัง คัจฉาม,ิ ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระสงฆ์เป็นสรณะ,  ทุติยมั ปิ พุทธงั  สะระณัง คัจฉามิ, แม้ครงั้ ทส่ี อง ขา้ พเจา้ ถือเอา พระพุทธเจา้ เปน็ สรณะ ทุตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณงั  คจั ฉามิ, แมค้ รงั้ ทส่ี อง ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระธรรม เปน็ สรณะ,  ทตุ ิยมั ปิ สงั ฆัง สะระณงั  คัจฉามิ, แม้ครงั้ ทส่ี อง ขา้ พเจ้าถือเอาพระสงฆ์ เป็นสรณะ, 

42 ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิ, แม้คร้ังทสี่ าม ข้าพเจ้าถือเอา พระพุทธเจ้าเปน็ สรณะ,  ตะติยมั ปิ ธัมมงั  สะระณัง คัจฉามิ, แม้ครัง้ ทส่ี าม ข้าพเจ้าถอื เอาพระธรรม เปน็ สรณะ,  ตะติยัมปิ สังฆงั  สะระณงั  คจั ฉามิ, แม้ครงั้ ท่ีสาม ขา้ พเจ้าถอื เอาพระสงฆ์ เป็นสรณะ,  สัจจกริ ิยาคาถา ¢0∫ (น�ำ) หันทะ มะยงั  สจั จะกริ ยิ ะคาถาโย ภะณามะ เส. (รับ) นตั ถิ เม สะระณงั  อัญญงั พุทโธ เม สะระณงั  วะรงั ที่พึ่งอื่นของขา้ พเจา้ ไม่ม,ี  พระพทุ ธเจา้ เป็นที่พง่ึ อันประเสรฐิ ของข้าพเจา้ เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เม* โหนตุ สพั พะทา 1 ด้วยการกลา่ วคำ� สตั ยน์ ้ี, ขอความเจรญิ สุขสวสั ดี จงมีแกข่ ้าพเจ้าในกาลทกุ เมอื่ นัตถิ เม สะระณงั  อญั ญงั ธมั โม เม สะระณัง วะรงั ที่พง่ึ อืน่ ของข้าพเจ้าไม่มี, พระธรรมเปน็ ทพ่ี งึ่ อันประเสริฐของขา้ พเจา้ เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เม โหนต ุ สพั พะทา ด้วยการกลา่ วค�ำสัตย์น,ี้  ขอความเจริญสุขสวสั ดี จงมแี กข่ ้าพเจ้าในกาลทกุ เม่อื นตั ถ ิ เม สะระณัง อญั ญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง ท่พี ง่ึ อ่ืนของขา้ พเจา้ ไม่ม,ี  พระสงฆเ์ ปน็ ทพ่ี ึ่งอันประเสรฐิ ของข้าพเจ้า เอเตนะ สจั จะ วชั เชนะ โสตถิ เม โหนตุ สพั พะทา ดว้ ยการกลา่ วคำ� สตั ยน์ ี,้  ขอความเจรญิ สขุ สวสั ด ี จงมีแกข่ า้ พเจ้าในกาลทุกเมอ่ื * ถ้าสวดอวยพรใหผ้ ูอ้ นื่  คำ�ว่า เม ใหเ้ ปลย่ี นเป็น เต (แปลว่า ทา่ น, โสตถิ เต แปลว่า จงมแี กท่ ่าน)

43 มงคลสตู ร (มงคล ๓๘ ประการ) ¢0∫ (นำ� ) หนั ทะ มะยงั  มังคะละสตุ ตะปาฐงั  ภะณามะ เส. (รับ) อะเสวะนา จะ พาลานัง การไม่คบคนพาล ปณั ฑติ านัญจะ เสวะนา การคบหาสมาคมกับบัณฑติ ปชู า จะ ปูชะนยี านัง เอตมั มงั คะละมุตตะมัง การบูชาบุคคลท่คี วรบูชา ปะฏริ ปู ะเทสะวาโส จะ นเ้ี ปน็ อดุ มมงคล คือเหตุใหถ้ งึ ความเจริญ ปพุ เพ จะ กะตะปุญญะตา การอยู่ในประเทศถิน่ ฐานอันสมควร อัตตะสัมมาปะณธิ ิ จะ การท่ีได้กระทำ� บุญไว้ในกาลก่อน เอตัมมังคะละมุตตะมัง การต้งั ตนไว้โดยชอบธรรม พาหุสจั จัญจะ สปิ ปัญจะ นเ้ี ป็นอดุ มมงคล คอื เหตใุ หถ้ งึ ความเจริญ วนิ ะโย จะ สสุ กิ ขโิ ต ความเปน็ ผไู้ ดส้ ดับรบั ฟังมาก สุภาสิตา จะ ยา วาจา การมศี ลิ ปะ, การมวี นิ ยั ที่ได้ศึกษาดีแลว้ เอตัมมังคะละมตุ ตะมงั การมวี าจาท่ีกลา่ วดีแลว้ มาตาปติ อุ ปุ ฏั ฐานัง นเ้ี ปน็ อดุ มมงคล คอื เหตุให้ถึงความเจรญิ ปตุ ตะทารัสสะ สังคะโห การบำ� รุงเลย้ี งดูบิดามารดา อะนากุลา จะ กัมมันตา การสงเคราะหบ์ ุตรและภรยิ า เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง การเป็นผูท้ �ำการงานไมค่ ่ังคา้ ง ทานญั จะ ธมั มะจะริยา จะ นเี้ ปน็ อุดมมงคล คือเหตใุ หถ้ ึงความเจริญ ญาตะกานัญจะ สงั คะโห การให้ทาน, การประพฤตธิ รรม อะนะวชั ชานิ กัมมาน ิ การสงเคราะหว์ งศ์ญาตดิ ้วยความเออื้ เฟอ้ื เอตมั มงั คะละมตุ ตะมงั การทำ� งานท้ังหลายท่ไี ม่มโี ทษ อาระต ี วิระตี ปาปา นเ้ี ปน็ อุดมมงคล คอื เหตใุ หถ้ งึ ความเจริญ มัชชะปานา จะ สญั ญะโม การงดเว้นจากบาป การส�ำรวมจากการด่ืมสุราและเมรัย

44 อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย เอตมั มังคะละมุตตะมงั นเี้ ป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถึงความเจรญิ คาระโว จะ นวิ าโต จะ การมคี วามเคารพ, การไม่เย่อหยงิ่ จองหอง สันตฏุ ฐ ี จะ ความยินดีในของท่ตี นมอี ย,ู่ กะตญั ญุตา การเป็นคนมีความกตญั ญกู ตเวทติ า กาเลนะ ธมั มสั สะวะนัง การฟงั ธรรมตามกาลเวลา เอตัมมงั คะละมุตตะมงั นเ้ี ป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถงึ ความเจรญิ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา การเป็นคนมีความอดทน, เป็นคนว่างา่ ย สะมะณานญั จะ ทัสสะนัง การได้เหน็ สมณะ กาเลนะ ธมั มะสากัจฉา การสนทนาธรรมตามกาลเวลา เอตมั มังคะละมุตตะมงั น้ีเป็นอดุ มมงคล คือเหตใุ ห้ถงึ ความเจริญ ตะโป จะ พรหั มะจะริยญั จะ การมคี วามเพียรเคร่ืองเผากเิ ลส อะรยิ ะสัจจานะ ทสั สะนงั การประพฤติธรรมอันประเสริฐ การเห็นอรยิ สัจ ๔ นพิ พานะสจั ฉกิ ิรยิ า จะ การกระทำ� ใหแ้ จ้งซ่ึงพระนพิ พาน เอตมั มังคะละมุตตะมัง น้เี ป็นอดุ มมงคล คอื เหตุให้ถงึ ความเจรญิ ผฏุ ฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยสั สะ นะ กมั ปะต ิ จิตของผู้ใดถูกโลกธรรม  (โลก ธรรม ๘) ถูกตอ้ งแล้วไม่หว่นั ไหว,  อะโสกงั  วิระชงั  เขมงั มีจิตไม่เศร้าโศก  มีจิตปราศจากกิเลสเพียง ดงั ธุล ี (ฝนุ่ ) มจี ิตอนั เกษมส�ำราญ, เอตมั มัง คะละมตุ ตะมงั นี้เปน็ อดุ มมงคล คือเหตุให้ถึงความเจริญ เอตาทสิ าน ิ กัต๎วานะ สัพพตั ถะมะปะราชติ า เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากนั กระทำ� มงคล, เครอ่ื งใหถ้ งึ ความเจรญิ เชน่ น้ีแลว้ ,  สัพพตั ถะ โสตถงิ  คัจฉนั ต ิ ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ข้าศึก  ทุกหมู่เหล่า, ยอ่ มถงึ ความสขุ สวสั ดใ์ิ นทที่ กุ สถาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook