Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.2 ล.1

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.2 ล.1

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-22 08:41:58

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.2 ล.1

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
เล่ม 1
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.2 ล.1,คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

คูมือครรู ายวชิ าพื้นฐาน ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ ๒ วเลทิม ย๑าศาสตร ตามมาตรฐานการเรียนรูและตวั ชว้ี ดั กลุม สาระการเรียนรูว ิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

คมู่ ือครู รายวชิ าพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒ เลม่ ๑ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ัด กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ จดั ทาโดย สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คาชีแ้ จง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทาตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพ่ือต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเช่ือมโยงความร้กู ับกระบวนการ ใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย มีการทากิจกรรมด้วยการ ลงมือปฏิบตั เิ พ่อื ใหผ้ เู้ รยี นได้ใช้ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซง่ึ ในปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปน้ี โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. จึงได้จัดทา คู่มอื ครปู ระกอบหนงั สือเรียนท่เี ปน็ ไปตามมาตรฐานหลักสตู รเพื่อใหโ้ รงเรยี นได้ใช้สาหรบั จัดการเรียนการสอนในชนั้ เรียน คูม่ ือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ เล่ม ๑ นี้ สสวท. ได้พัฒนาข้ึนเพ่ือนาไปใช้เป็นคู่มือครู คู่กับหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เล่ม ๑ ตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ภายในคู่มอื ครูประกอบด้วยโครงสรา้ งหลักสตู ร แนวความคดิ ตอ่ เนอื่ ง แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่สอดคล้อง กับเน้ือหาในหนงั สือเรียน ซึง่ เป็นตวั อย่างการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ทหี่ ลากหลายโดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ เช่ือมโยงกับชีวิตจริง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปญั หา และการนาไปใช้ ในการจัดทาคู่มอื ครรู ายวิชา พื้นฐานวิทยาศาสตร์เลม่ น้ี ไดร้ บั ความรว่ มมืออยา่ งดียิ่งจากคณาจารย์ ผูท้ รงคณุ วุฒิ นกั วชิ าการ ครูผสู้ อนจากสถาบันต่าง ๆ ทง้ั ภาครัฐและเอกชน จงึ ขอขอบคณุ ไว้ ณ ทนี่ ี้ สสวท. หวงั เป็นอย่างยงิ่ วา่ ค่มู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรเ์ ล่มนจ้ี ะเปน็ ประโยชนแ์ ก่ครแู ละผ้เู กีย่ วข้องทกุ ฝ่าย ท่ีจะช่วยให้การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์มีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล หากมีข้อเสนอแนะใดท่ีจะทาให้คู่มือครสู มบูรณ์ ย่ิงข้ึน โปรดแจง้ สสวท. ทราบด้วย จักขอบคณุ ยิ่ง (ศาสตราจารย์ชกู ิจ ลิมปจิ านงค)์ ผู้อานวยการสถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

สารบญั สว่ นหนา้ เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ก สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ค หนว่ ยการเรียนรู้ ป ความสอดคล้องของบทเรียน กิจกรรมและตวั ชวี้ ดั ฝ รายการวสั ดอุ ุปกรณ์ ร แนะนาการใชค้ ู่มือครู ษ หน่วยท่ี 1 ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ 1 หน่วยท่ี 2 สารละลาย 21 22 บทท่ี 1 องค์ประกอบของสารละลายและปจั จัยที่มผี ลตอ่ สภาพละลายได้ 66 บทท่ี 2 ความเข้มข้นของสารละลาย 95 หน่วยที่ 3 ร่างกายมนษุ ย์ 96 บทที่ 1 ระบบอวัยวะในร่างกายของเรา 199 หน่วยท่ี 4 การเคลอื่ นทีแ่ ละแรง (กาลงั ดาเนนิ การ) 200 บทที่ 1 การเคล่ือนที่ 255 บทที่ 2 แรงในชีวติ ประจาวนั 390 ภาคผนวก บรรณานุกรม 393 คณะผ้จู ัดทา สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ค่มู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ก เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพ่ือให้ได้กระบวนการและ ความร้จู ากการสงั เกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนาผลทีไ่ ด้มาจดั ระบบเปน็ หลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรม์ ีเป้าหมายทส่ี าคญั ดังนี้ 1. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทเี่ ปน็ พื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพ่ือใหเ้ ข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวชิ าวิทยาศาสตร์และข้อจากัดในการศกึ ษาวิชาวิทยาศาสตร์ 3. เพอ่ื ให้มีทักษะท่ีสาคัญในการศกึ ษาคน้ ควา้ และคดิ คน้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อมในเชิงท่ี มี อิทธิพลและผลกระทบซ่ึงกันและกนั 5. เพอื่ นาความรู้ ความเขา้ ใจในวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สงั คมและการดารงชีวติ 6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะในการส่ือสาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ 7. เพ่ือให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง สรา้ งสรรค์ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ข คมู่ ือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ทั้งด้านความรู้ในเน้ือหาและกระบวนการใน การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการต่าง ๆ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและ สร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทกุ ขั้นตอน มกี ารลงมือปฏบิ ัติอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับวยั และระดบั ชน้ั ของผู้เรยี น โดยกาหนดสาระสาคัญดงั นี้ ▪ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดารงชวี ิตของมนุษยแ์ ละสตั ว์ การดารงชวี ติ ของพชื พนั ธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการของสิง่ มชี วี ติ ▪ วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่ือนท่ี พลงั งาน และคล่ืน ▪ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) เรียนรู้เกี่ยวกับโลกและกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทางธรณีวิทยา ข้อมูลทางธรณีวิทยา และการนาไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลก การเปลี่ยนแปลง ลกั ษณะลมฟ้าอากาศ และการดารงชีวิตของมนษุ ย์โลกในเอกภพ และดาราศาสตรก์ ับมนษุ ย์ ▪ เทคโนโลยี (Technology) • การออกแบบและเทคโนโลยี (Designing and Technology) เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อดารงชีวิตใน สังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม • วิทยาการคานวณ (Computing Science) เรียนรู้เกยี่ วกับการคดิ เชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปญั หาเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการ แกป้ ญั หาท่ีพบในชวี ติ จรงิ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คูม่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ค สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งไมม่ ชี ีวติ กบั ส่ิงมชี ีวิตและความสัมพันธ์ ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนท่ีใน ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนา ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนา ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ ส่งิ มีชีวติ รวมทั้งนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสรา้ งและ แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคล่ือนท่ี แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมท้งั นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ง คมู่ ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อ สง่ิ มีชวี ิตและสง่ิ แวดลอ้ ม สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสิง่ แวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ จ คณุ ภาพผู้เรยี นเมอ่ื จบช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 • เขา้ ใจลกั ษณะและองค์ประกอบที่สาคญั ของเซลล์ส่ิงมีชวี ิต ความสมั พันธข์ องการทางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดารงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิด จากการเปลี่ยนแปลงทางพันธกุ รรม ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมชี วี ติ ดดั แปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ และการถ่ายทอดพลงั งานในสิง่ มีชวี ิต • เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การเปล่ียนแปลงของสาร ในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพ และการใช้ ประโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม • เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงท่ีปรากฏในชีวิตประจาวัน สนาม ของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุล ความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงานไฟฟ้า และหลักการเบ้ืองต้นของ วงจรอิเล็กทรอนกิ ส์ • เข้าใจสมบัตขิ องคลน่ื และลักษณะของคลน่ื แบบตา่ ง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสงและทศั นอปุ กรณ์ • เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนท่ีปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างข้ึนข้างแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกดิ นา้ ขน้ึ น้าลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และความกา้ วหน้าของโครงการสารวจ อวกาศ • เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและผลกระทบของพายุฟ้า คะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิง ซากดึกดาบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะและโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้าผิวดิน แหล่งน้า ใตด้ นิ กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณีพิบตั ภิ ัย • เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ ระหว่าง เทคโนโลยีกับศาสตรอ์ ่นื โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสนิ ใจเพอื่ เลอื กใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้าง ผลงานสาหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ัง เลือกใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภยั รวมท้งั คานงึ ถงึ ทรพั ยส์ ินทางปญั ญา สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฉ คูม่ อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ • นาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศไดต้ ามวตั ถุประสงค์ ใช้ทักษะ การคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สารอย่างรเู้ ท่าทันและรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม • ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาท่ีเช่ือมโยงกับพยานหลักฐานหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการกาหนดและควบคุม ตัวแปร คิดคาดคะแนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนาไปสู่การสารวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือ สารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเคร่ืองมือที่เหมาะสม เลือกใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บ รวบรวมข้อมูลท้งั ในเชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพที่ไดผ้ ลเทีย่ งตรงและปลอดภัย • วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสารวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และ หลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงข้อสรุป และสื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ หลากหลายรปู แบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื ใหผ้ ูอ้ นื่ เข้าใจไดอ้ ย่างเหมาะสม • แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสิ่งท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะ ศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่ง ความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ที่ค้นพบเม่ือมี ขอ้ มลู และประจกั ษพ์ ยานใหมเ่ พิม่ ข้ึนหรือโต้แย้งจากเดิม • ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้เพ่มิ เตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งชิน้ งานตามความสนใจ • แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากหลายทาง ชวี ภาพ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ช ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ จมูก ท่อลม ปอด กะบังลม และกระดูกซีโ่ ครง อวยั วะทเี่ กี่ยวข้องในระบบหายใจ 2. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและ • มนุษย์หายใจเข้า เพ่ือนาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อ นาไปใช้ในเซลล์ และหายใจออกเพื่อกาจัดแก๊ ส ออก โดยใช้แบบจาลอง รวมทั้ง คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากรา่ งกาย อธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยน แกส๊ • อากาศเคลื่อนที่เข้าและออกจากปอดได้ เน่ืองจากการ 3. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ เปลี่ยนแปลงปริมาตรและความดันของอากาศภายใน หายใจโดยการบอกแนวทางในการ ช่องอกซ่ึงเกี่ยวกับการทางานของกะบังลม และกระดูก ดูแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ ซีโ่ ครง ทางานเป็นปกติ • การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 4. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของ ในร่างกาย เกิดข้ึนบริเวณถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอย อวัยวะในระบบขบั ถา่ ยในการกาจัด ทีถ่ งุ ลม และระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกบั เนอ้ื เยอ่ื ของเสยี ทางไต • การสูบบุหร่ี การสูดอากาศที่มีสารปนเป้ือน และการเป็น 5. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ โรคเกี่ยวกับระบบหายใจบางโรค อาจทาให้เกิดโรคถุงลม ขับถ่ายในการกาจัดของเสียทางไต โป่งพอง ซ่ึงมีผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง ดังน้ันจึง โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัติ ควรดแู ลรักษาระบบหายใจ ใหท้ าหน้าทีป่ กติ ตนที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทาหน้าที่ ได้อย่างปกติ • ระบบอวัยวะขับถ่ายมีอวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมีไตทาหน้าทีก่ าจดั ของเสีย เช่น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก รวมทั้งสารที่ ร่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด และควบคุมสารที่มีมาก หรือนอ้ ยเกนิ ไป เช่น น้า โดยขบั ออกมาในรปู ของปสั สาวะ • การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น รับประทาน อาหารท่ีไม่มีรสเค็มจัด การด่ืมน้าสะอาดให้เพียงพอ เป็น แนวทางหนึ่งทีช่ ว่ ยให้ระบบขบั ถา่ ยทาหนา้ ท่ีไดอ้ ยา่ งปกติ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ซ คู่มือครูรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้ 6. บรรยายโครงสร้างและหน้าท่ีของ • ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และ หวั ใจ หลอดเลอื ด และเลือด เลือด 7. อธิ บายการท างานของระบ บ • หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ หัวใจห้องบน 2 ห้อง หมนุ เวยี นเลือดโดยใช้แบบจาลอง และห้องล่าง 2 ห้อง ระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจ ห้องลา่ งมีลน้ิ หัวใจกั้น 8. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้น • หลอดเลือด แบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรี หลอดเลือดเวน ของหัวใจ ขณะปกติและหลังทา หลอดเลือดฝอย ซงึ่ มโี ครงสร้างต่างกนั กิจกรรม • เลือด ประกอบดว้ ย เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลต และพลาสมา 9. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ • การบีบและคลายตัวของหัวใจทาให้เลือดหมุนเวียนและ หมุนเวียนเลือด โดยการบอก แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะใน ลาเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอื่น ๆ ไปยัง ระบบหมุนเวียนเลือดใหท้ างานเป็น อวยั วะและเซลล์ตา่ ง ๆ ทวั่ รา่ งกาย ปกติ • เลอื ดท่ีมีปริมาณแกส๊ ออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจไปยังเซลล์ ต่าง ๆ ทั่วรา่ งกาย ขณะเดียวกัน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์จาก เซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและลาเลียงกลับเข้าสู่หัวใจและถูก สง่ ไปแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด • ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นหัวใจ ซึ่งอัตราการเต้นของ หัวใจในขณะปกติและหลังจากทากิจกรรมต่าง ๆ จะ แตกต่างกัน ส่วนความดันเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดเกิด จากการทางานของหวั ใจและหลอดเลอื ด • อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะส่งผลทาให้หัวใจสูบ ฉีดเลอื ดไมเ่ ป็นปกติ • การออกกาลังกาย การเลอื กรับประทานอาหาร การพกั ผ่อน และการรักษาภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ จึงเป็นทางเลือก หนึ่งในการดูแลรกั ษาระบบหมนุ เวียนเลือดใหเ้ ปน็ ปกติ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ฌ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้ 10.ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ • ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง อวัยวะในระบบประสาทส่วนกลาง จะทาหน้าท่ีร่วมกับเส้นประสาท ซ่ึงเป็นระบบประสาทรอบ ในการควบคุมการทางานต่าง ๆ นอกในการควบคุมการทางานอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแสดง ของร่างกาย พฤติกรรม เพ่อื การตอบสนองต่อสิ่งเร้า 11.ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ ประสาทโดยการบอกแนวทางใน • เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึก จะเกิดกระแส การดูแลรักษา รวมถึงการป้องกัน ประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบ การกระทบกระเทือนและอันตราย ประสาทส่วนกลาง แล้วส่งกระแสประสาทมาตามเซลล์ ต่อสมองและไขสนั หลัง ประสาทสงั่ การ ไปยังหนว่ ยปฏบิ ัตกิ าร เช่น กลา้ มเนอ้ื 12.ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ • ระบบประสาทเป็นระบบทมี่ ีความซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุของเพศชาย กับทุกระบบในร่างกาย ดังนั้นจึงควรป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และเพศหญิงโดยใชแ้ บบจาลอง ที่กระทบกระเทือนต่อสมอง หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด หลีกเล่ียงภาวะเครียด และรับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ 13.อธบิ ายผลของฮอร์โมนเพศชายและ เพื่อดแู ลรักษาระบบประสาทให้ทางานเปน็ ปกติ เพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลง ของรา่ งกาย เม่ือเขา้ สวู่ ยั หน่มุ สาว • มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ท่ีประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ท่ีทา หน้าที่เฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญิงจะทาหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่ 14.ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของ สว่ นอัณฑะในเพศชายจะทาหน้าที่สร้างเซลล์อสจุ ิ ร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดย การดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของ • ฮอร์โมนเพศทาหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของลักษณะ ตนเองในช่วงทีม่ ีการเปลยี่ นแปลง ทางเพศท่ีแตกต่างกัน เม่ือเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จะมีการสร้าง เซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ การตกไข่ การมีรอบเดือน และถ้ามี การปฏิสนธิของเซลล์ไข่ และเซลล์อสุจิจะทาให้เกิดการ ตั้งครรภ์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ญ คมู่ ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้ 15.อธิบายการตกไข่ การมีประจาเดือน • การมีประจาเดือน มีความสัมพันธ์กับการตกไข่โดยเป็นผล การปฏิสนธิ และการพัฒนาของ จากการเปล่ียนแปลงของระดบั ฮอรโ์ มนเพศหญิง ไซโกต จนคลอดเป็นทารก • เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับ 16.เลือกวิธีการคุมกาเนิดท่ีเหมาะสม กับสถานการณท์ ่ีกาหนด เซลล์อสุจิจะทาให้ได้ไซโกต ไซโกตจะเจริญเป็นเอ็มบริโอ 17.ตระหนักถึงผลกระทบของการ และฟีตัส จนกระท่ังคลอดเป็นทารก แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการ เซลล์ไข่จะสลายตัว ผนังด้านในมดลูกรวมทั้งหลอดเลือดจะ ประพฤตติ นให้เหมาะสม สลายตัวและหลดุ ลอกออก เรยี กว่า ประจาเดอื น • การคุมกาเนิดเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ โดย มาตรฐาน ว 2.1 ป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝังตัวของ 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ เอ็มบริโอ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การกินยา คุมกาเนดิ ระเหยแห้ง การตกผลึก การกล่ัน อย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบ • การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธ์ิทาได้หลายวิธีข้ึนอยู่กับ กระดาษ การสกัดด้วยตัวทาละลาย สมบัติของสารน้ัน ๆ การระเหยแห้งใช้แยกสารละลายซ่ึง โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ประกอบด้วยตัวละลายท่ีเป็นของแข็งในตัวทาละลายที่เป็น 2. แยกสารโ ดยการระเหยแ ห้ ง ของเหลว โดยใช้ความร้อนระเหยตัวทาละลายออกไปจนหมด การตกผลึก การกล่ันอย่างง่าย เหลือแต่ตัวละลาย การตกผลึกใช้แยกสารละลายที่ โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ ประกอบด้วยตัวละลายท่ีเป็นของแข็งในตัวทาละลายที่เป็น การสกัดดว้ ยตวั ทาละลาย ของเหลว โดยทาให้สารละลายอ่ิมตัว แล้วปล่อยให้ตัวทา ละลายระเหยออกไปบางสว่ น ตวั ละลายจะตกผลึกแยกออกมา สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การกล่ันอย่างง่ายใช้แยกสารละลายท่ีประกอบด้วยตัวละลาย และตัวทาละลายที่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือดต่างกันมาก วิธนี ้ี จะแยกของเหลวบริสุทธ์ิออกจากสารละลายโดยให้ความร้อน กับสารละลาย ของเหลวจะเดือดและกลายเป็นไอแยกจาก สารละลาย แล้วควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกครั้ง ขณะที่ ของเหลวเดือด อุณหภูมขิ องไอจะคงท่ี

ค่มู อื ครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ฎ ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้ 3. นาวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหา โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีมี ในชีวิตประจาวัน โดยบูรณาการ ปริมาณน้อยโดยใช้แยกสารที่มีสมบัติการละลายในตัวทา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ละลายและการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับแตกต่างกัน ทาให้สาร และวิศวกรรมศาสตร์ แต่ละชนิดเคลื่อนท่ีไปบนตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึงแยกออก จากกันได้ อัตราส่วนระหว่างระยะทางท่ีสารองค์ประกอบ แต่ละชนิดเคลื่อนที่ได้บนตัวดูดซับกับระยะทางท่ีตัวทา ละลายเคลื่อนท่ีได้ เป็นค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดในตัว ทาละลายและตวั ดูดซับหน่ึง ๆ การสกัดดว้ ยตัวทาละลายเป็น วิธีการแยกสารผสมท่ีมีสมบัติการละลายในตัวทาละลายที่ ต่างกัน โดยชนิดของตัวทาละลายมีผลต่อชนิดและปริมาณ ของสารท่ีสกัดได้ การสกัดโดยการกล่ันด้วยไอน้า ใช้แยกสาร ที่ระเหยง่าย ไม่ละลายน้า และไม่ทาปฏิกิริยากับน้าออกจาก สารทรี่ ะเหยยาก โดยใช้ไอน้าเป็นตวั พา • ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เก่ียวกับการแยกสาร บูรณาการกับ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรม สามารถนาไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือปัญหาที่พบ ในชมุ ชนหรอื สรา้ งนวัตกรรม โดยมขี ้ันตอน ดงั นี้ - ระบุปัญหาในชีวิตประจาวันที่เก่ียวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพ หรือนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนา โดย ใช้หลักการดังกล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเก่ียวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพท่ีสอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ หรือ นาไปสกู่ ารพัฒนานวตั กรรมนั้น - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรมทเ่ี ก่ียวกับ การแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติทางกายภาพ โดย เชอ่ื มโยงความรดู้ ้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฏ คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้ 4. ออกแบบการทดลองและทดลองใน และกระบวนการทางวิศวกรรม รวมทง้ั กาหนดและควบคุม การอธิบายผลของชนิดตัวละลาย ตัวแปรอย่างเหมาะสม ครอบคลุม ชนิดตัวทาละลาย อุณหภูมิที่มีต่อ - วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรม สภาพละลายได้ของสาร รวมท้ัง รวบรวมข้อมูล จัดกระทาข้อมูลและเลือกวิธีการสื่อ อ ธิ บ า ย ผ ล ข อ ง ค ว า ม ดั น ท่ี มี ต่ อ ความหมายที่เหมาะสมในการนาเสนอผล สภาพละลายได้ของสาร โดยใช้ - ทดลอง ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาหรือ สารสนเทศ นวัตกรรมท่ีพัฒนาข้ึน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ท่ี รวบรวมได้ - นาเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือผลของนวัตกรรมที่ พัฒนาข้ึน และผลท่ีได้ โดยใช้วิธีการส่ือสารที่เหมาะสม และน่าสนใจ • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สารละลายประกอบด้วยตัวทาละลายและตัวละลาย กรณี สารละลายเกิดจากสารท่ีมีสถานะเดียวกัน สารที่มีปริมาณ มากทีส่ ดุ จัดเป็นตัวทาละลาย กรณีสารละลายเกิดจากสารท่ีมี สถานะต่างกัน สารท่ีมีสถานะเดียวกันกับสารละลายจัดเป็น ตัวทาละลาย • สารละลายที่ตัวละลายไมส่ ามารถละลายในตวั ทาละลายได้อีก ทอ่ี ณุ หภมู หิ นง่ึ ๆ เรยี กว่า สารละลายอิ่มตวั • สภาพละลายได้ของสารในตัวทาละลาย เป็นค่าท่ีบอกปริมาณ ของสารทล่ี ะลายไดใ้ นตวั ทาละลาย 100 กรมั จนไดส้ ารละลาย อิ่มตัว ณ อุณหภูมิและความดันหนึ่ง ๆ สภาพละลายได้ของ สารบ่งบอกความสามารถในการละลายได้ของตัวละลายใน ตัวทาละลาย ซึ่งความสามารถในการละลายของสารข้ึนอยู่กับ ชนิดตวั ละลายและตวั ละลาย อุณหภูมิ และความดนั สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ฐ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้ 5. ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย • สารชนิดหน่ึง ๆ มีสภาพละลายได้แตกต่างกันในตัวทาละลาย ในหน่วยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ท่ีแตกต่างกัน และสารต่างชนิดกันมีสภาพละลายได้ในตัวทา ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล ละลายหน่ึง ๆ ไม่เทา่ กัน และมวลต่อปริมาตร • เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สารส่วนมาก สภาพละลายได้ของสารจะ 6. ตระหนักถึงความสาคัญของการนา เพิ่มขึ้น ยกเว้นแก๊สเม่ืออุณหภูมิสูงข้ึน สภาพละลายได้จะ ความรู้เร่ือง ความเข้มข้นของสารไป ลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดยเมื่อความดันเพ่ิมขึ้น ใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลาย สภาพละลายได้จะสงู ข้นึ ในชีวิตประจาวันอย่างถูกต้องและ ปลอดภยั • ความรเู้ กี่ยวกับสภาพละลายได้ของสาร เมื่อเปล่ียนแปลงชนิด ตัวละลาย ตัวทาละลาย และอุณหภูมิ สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวันเช่น การทาน้าเช่ือมเข้มข้น การ สกดั สารออกจากสมนุ ไพรให้ได้ปริมาณมากที่สุด • ความเข้มข้นของสารละลาย เป็นการระบปุ ริมาณตัวละลาย ในสารละลาย หน่วยความเข้มข้นมีหลายหน่วย ท่ีนิยมระบุ เป็นหน่วยเป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลตอ่ ปรมิ าตร • ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เป็นการระบุปริมาตรตัว ละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตรเดียวกัน นิยมใช้ กับสารละลายที่เป็นของเหลวหรอื แกส๊ • ร้อยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยมวลเดียวกัน นิยมใช้กับสารละลาย ท่ีมสี ถานะเปน็ ของแขง็ • ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยปริมาตร นิยมใช้กับสารละลายที่มี ตวั ละลายเปน็ ของแข็ง ในตัวทาละลายท่ีเป็นของเหลว สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฑ คมู่ อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้ • การใช้สารละลายในชวี ติ ประจาวนั ควรพิจารณาจากความ มาตรฐาน ว 2.2 1. พยากรณก์ ารเคล่ือนที่ของวัตถุท่ีเป็น เข้มข้นของสารละลาย ข้ึนอยูก่ ับจดุ ประสงค์ของการใช้งาน และผลกระทบต่อส่งิ มชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อม ผลของแรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงหลาย แรงท่ีกระทาต่อวัตถุในแนวเดียวกัน • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรงกระทาต่อ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ วัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่ 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ เปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ แต่ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุมี ท่ีเกิดจากแรงหลายแรงที่กระทาต่อ คา่ ไม่เปน็ ศนู ย์ วตั ถจุ ะเปลย่ี นแปลงการเคล่อื นที่ วตั ถุในแนวเดยี วกัน 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ีของเหลวกระทาต่อวัตถุ วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่ ในทุกทิศทาง โดยแรงท่ีของเหลวกระทาตั้งฉากกับผิววัตถุ มผี ลต่อความดันของของเหลว ต่อหนึ่งหนว่ ยพ้ืนที่ เรยี กวา่ ความดนั ของของเหลว 4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจมการลอย • ความดันของของเหลวมีความสัมพันธ์กับความลึกจาก ของวตั ถุในของเหลวจากหลักฐานเชิง ระดบั ผิวหน้าของของเหลว โดยบรเิ วณทีล่ กึ ลงไปจากระดับ ประจกั ษ์ ผิวหน้าของของเหลวมากข้ึน ความดันของของเหลวจะ เพิ่มขึ้น เน่ืองจากของเหลวที่อยู่ลึกกว่า จะมีน้าหนักของ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาต่อ ของเหลวด้านบนกระทามากกวา่ วัตถใุ นของเหลว • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเน่ืองจากของเหลว กระทาต่อวัตถุ โดยมีทิศขึ้นในแนวดิ่ง การจมหรือการลอย ของวตั ถุขนึ้ กับนา้ หนกั ของวัตถุและแรงพยุง ถ้าน้าหนกั ของ วัตถุและแรงพยุงของของเหลวมีค่าเท่ากัน วัตถุจะลอยนิ่ง อยใู่ นของเหลว แต่ถ้าน้าหนกั ของวัตถุมีค่ามากกวา่ แรงพยุง ของของเหลว วตั ถุจะจม สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ฒ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้ 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ • แรงเสียดทานเป็นแรงที่เกิดข้ึนระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐาน เพื่อต้านการเคลื่อนท่ีของวัตถุนั้น โดยถ้าออกแรงกระทาต่อ เชิงประจกั ษ์ วัตถุท่ีอยู่นิ่งบนพื้นผิวให้เคลื่อนท่ี แรงเสียดทานก็จะต้าน การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานท่ีเกิดขึ้นในขณะที่วัตถุยัง 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย ไม่เคล่ือนที่เรียก แรงเสียดทานสถิต แต่ถ้าวัตถุกาลังเคล่ือนท่ี วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ี แรงเสียดทานก็จะทาให้วัตถุน้ันเคลื่อนท่ีช้าลงหรือหยุดนิ่ง มีผลต่อขนาดของแรงเสยี ดทาน เรยี ก แรงเสยี ดทานจลน์ • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุข้ึนกับ 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน ลักษณะผิวสัมผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาต้ังฉากระหว่าง และแรงอ่นื ๆ ที่กระทาตอ่ วตั ถุ ผวิ สมั ผสั • กิจกรรมในชีวิตประจาวันบางกิจกรรมต้องการแรงเสียดทาน 9. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้า การใช้แผ่นกันลื่นในห้องน้า เรื่องแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์ บางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เช่น การลากวัตถุบน สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะ พ้ืน การใช้น้ามันหล่อลน่ื ในเคร่ืองยนต์ วิธีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่ • ความรู้เรื่องแรงเสียดทานสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน เป็นประโยชน์ต่อการทากิจกรรมใน ชวี ติ ประจาวนั ได้ ชีวิตประจาวัน • เมื่อมีแรงท่ีกระทาต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถุ 10.ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย จะเกดิ โมเมนต์ของแรง ทาให้วัตถหุ มุนรอบศูนย์กลางมวลของ วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ วัตถุน้ัน ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุล ต่อการหมุน และคานวณโดยใช้ • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคูณของแรงที่กระทาต่อวัตถุกับ สมการ M = Fl ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง เมื่อผลรวมของ โมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะอยู่ในสภาพสมดุลต่อ การหมุน โดยโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกาจะมีขนาด เทา่ กับโมเมนต์ของแรงในทิศตามเขม็ นาฬิกา สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ณ คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้ • ของเล่นหลายชนิดประกอบด้วยอุปกรณ์หลายส่วนที่ใช้ 11.เปรยี บเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง หลกั การโมเมนต์ของแรง ความรูเ้ รื่องโมเมนต์ของแรงสามารถ และทิศทางของแรงที่กระทาต่อวัตถุ นาไปใช้ออกแบบและประดิษฐ์ของเลน่ ได้ ท่ี อ ยู่ ใ น แ ต่ ล ะ ส น า ม จ า ก ข้ อ มู ล ท่ี • วัตถุที่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ แรงโน้มถ่วงท่ี รวบรวมได้ กระทาต่อวัตถุท่ีอยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีทิศพุ่งเข้าหาวัตถุที่ เป็นแหลง่ ของสนามโน้มถว่ ง 12.เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก • วัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบ แรงไฟฟ้าที่ แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงท่ีกระทา กระทาต่อวัตถุท่ีมีประจุจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจากวัตถุที่ ตอ่ วตั ถุ มปี ระจทุ ี่เป็นแหล่งของสนามไฟฟ้า • วตั ถทุ เ่ี ป็นแมเ่ หลก็ จะมีสนามแม่เหล็กอย่โู ดยรอบ แรงแม่เหลก็ 13.วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาด ท่ีกระทาต่อขั้วแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจาก ขั้วแม่เหล็กที่เป็นแหล่งของสนามแมเ่ หลก็ ของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และ • ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า และแรงแม่เหล็กที่กระทา ต่อวัตถุที่อยู่ในสนามนั้น ๆ จะมีค่าลดลง เม่ือวัตถุอยู่ห่างจาก แรงโน้มถ่วงท่ีกระทาต่อวัตถุท่ีอยู่ใน แหล่งของสนามนน้ั ๆ มากข้นึ สนามน้ัน ๆ กับระยะห่างจากแหล่ง • การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปล่ียนตาแหน่งของวัตถุเทียบ กับตาแหน่งอ้างอิง โดยมีปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนที่ ของสนามถึ งวั ตถุ จากข้ อมู ลท่ี ซ่ึงมีท้ังปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ เช่น ระยะทาง อัตราเร็ว การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์เป็นปริมาณที่ รวบรวมได้ มีขนาด เชน่ ระยะทาง อตั ราเร็ว ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปริมาณ ทมี่ ีท้งั ขนาดและทิศทาง เชน่ การกระจดั ความเรว็ 14.อธิบายและคานวณอัตราเร็วและ ความเร็วของการเคลื่อนท่ีของวัตถุ โดยใชส้ มการ v = s และ v⃑ = s⃑ t t จากหลักฐานเชิงประจักษ์ 15.เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและ ความเร็ว สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ด ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้ • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร โดย มาตรฐาน ว 2.3 ความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศรแสดงทิศทางของ 1. วิเคราะห์สถานการณ์และคานวณ เวกเตอรน์ ้นั • ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็นความยาวของ เกี่ยวกับงานและกาลังที่เกิดจาก เสน้ ทางท่ีเคล่ือนที่ได้ • การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัดมีทิศชี้จาก แรงทีก่ ระทาต่อวตั ถุ โดยใชส้ มการ ตาแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย และมีขนาดเท่ากับ ระยะทส่ี ัน้ ที่สดุ ระหว่างสองตาแหนง่ นั้น W = Fs และ P= W • อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็นอัตราส่วนของ t ระยะทางต่อเวลา จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ • ความเร็วปริมาณเวกเตอร์มีทิศเดียวกับทิศของการกระจัด โดยความเร็วเป็นอัตราส่วนของการกระจัดต่อเวลา 2. วิเคราะห์หลั กการทางานของ • เมอ่ื ออกแรงกระทาต่อวัตถุ แลว้ ทาใหว้ ตั ถเุ คลื่อนท่ี โดยแรง เครื่องกลอย่างง่าย จากข้อมูลที่ อยู่ในแนวเดียวกับการเคล่ือนท่ีจะเกิดงาน งานจะมีค่ามาก หรอื น้อยข้ึนกบั ขนาดของแรงและระยะทางในแนวเดียวกับ รวบรวมได้ แรง • งานที่ทาในหน่ึงหน่วยเวลาเรียกว่า กาลัง หลักการของงาน นาไปอธิบายการทางานของเคร่ืองกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน พ้ืนเอียง รอกเด่ียว ลิ่ม สกรู ล้อและเพลา ซึ่งนาไปใช้ ประโยชน์ดา้ นตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวนั 3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ของเคร่ืองกลอย่างง่าย โดยบอก ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจาวนั สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ต คมู่ ือครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้ 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีท่ี • พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุเคลื่อนท่ี พลงั งานจลน์จะมี เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ีมี ค่ามากหรือน้อยข้ึนกับมวลและอัตราเร็ว ส่วนพลังงาน ผลต่อพลังงานจลน์ และพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับตาแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือ ศักยโ์ น้มถว่ ง น้อยขึ้นกับมวลและตาแหน่งของวัตถุ เม่ือวัตถุอยู่ในสนาม โน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์และ 5. แปลความหมายข้อมูลและอธิบาย พลงั งานศกั ยโ์ น้มถ่วงเป็นพลังงานกล การเปล่ียนพลังงานระหว่างพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของ • ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์เป็น วัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่า พลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของวัตถุ คงตวั จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ หนึ่ง ๆ สามารถเปล่ียนกลับไปมาได้ โดยผลรวมของพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มีค่าคงตัว นั่นคือพลังงานกล 6. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบาย ของวัตถุมคี า่ คงตัว การเปล่ียนและการถ่ายโอนพลังงาน โดยใช้กฎการอนุรักษ์พลังงาน • พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซึ่งอาจเปลี่ยนจากพลังงาน หน่ึงเป็นอีกพลังงานหน่ึง เช่น พลังงานกลเปลี่ยนเป็น พลังงานไฟฟ้า พลังงานจลน์เปล่ียนเป็นพลังงานความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เนื่องมาจากแรงเสียดทาน พลงั งานเคมีในอาหารเปลี่ยนเป็นพลังงานท่ีไปใช้ในการทางาน ของส่งิ มีชีวิต • นอกจากนี้พลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีกระบบหนึ่งหรือ ได้รับพลังงานจากระบบอ่ืนได้ เช่น การถ่ายโอนความร้อน ระหว่างสสาร การถ่ายโอนพลังงานของการส่ันขอ ง แหล่งกาเนิดเสียงไปยังผู้ฟัง ท้ังการเปล่ียนพลังงานและการ ถ่ายโอนพลังงาน พลงั งานรวมทั้งหมดมีค่าเท่าเดิมตามกฎการ อนุรักษพ์ ลังงาน สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ถ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 3.2 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ • เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบาย ซากสิ่งมีชีวิตในอดีต โดยกระบวนการทางเคมีและธรณีวิทยา ผลกระทบจากการใช้เช้ือเพลิงซาก เชือ้ เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ ได้แก่ ถา่ นหิน หินน้ามนั ปโิ ตรเลียม ดึกดาบรรพ์ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ซ่ึงเกิดจากวัตถุต้นกาเนิด และสภาพแวดล้อมการเกิดที่ แตกต่างกัน ทาให้ได้ชนิดของเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ที่มี 2. แสดงความตระหนักถึงผลจากการ ลักษณะ สมบัติ และการนาไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ใช้เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ โดย สาหรับปิโตรเลียม จะต้องมีการผ่านการกลั่นลาดับส่วนก่อน นาเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิง การใช้งาน เพอื่ ให้ไดผ้ ลิตภัณฑท์ ่ีเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ซากดึกดาบรรพ์ เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เน่อื งจากต้องใชเ้ วลานานหลายล้านปี จงึ จะเกิดขนึ้ ใหม่ 3. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจากัดของ พลังงานทดแทนแต่ละประเภทจาก • การเผาไหมเ้ ช้อื เพลิงซากดึกดาบรรพใ์ นกิจกรรมตา่ ง ๆ ของ การรวบรวมข้อมูลและนาเสนอ มนุษย์จะทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ แนวทางการใช้พลังงานทดแทนท่ี สิ่งมีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม นอกจากน้ีแกส๊ บางชนิดทีเ่ กิดจาก เหมาะสมในทอ้ งถ่นิ ก า ร เ ผ า ไ ห ม้ เ ช้ื อ เ พ ลิ ง ซ า ก ดึ ก ด า บ ร ร พ์ เ ช่ น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ยังเป็น แก๊สเรือนกระจก ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศของโลกรุนแรงขึ้น ดังน้ันจึงควรใช้เช้ือเพลิงซาก ดึกดาบรรพ์ โดยคานึงถึงผลท่ีเกิดข้ึนต่อสิ่งมีชีวิตและ ส่ิงแวดล้อม เช่น เลือกใช้พลังงานทดแทน หรือเลือกใช้ เทคโนโลยีท่ลี ดการใช้เช้อื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ • เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นแหล่งพลังงานท่ีสาคัญใน กิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ เน่อื งจากเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ มีปริมาณจากัดและมักเพ่ิมมลภาวะในบรรยากาศมากข้ึน จึง มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลงั งานน้า พลังงานชวี มวล พลังงานคล่นื สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ท คมู่ ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้ 4. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายโครงสร้าง พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งพลังงาน ภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมี ทดแทนแต่ละชนิดจะมขี ้อดแี ละข้อจากัดท่ีแตกตา่ งกัน จากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ • โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นช้ันตามองค์ประกอบทาง 5. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ เคมี ได้แก่ เปลือกโลก ซึ่งอยู่นอกสุด ประกอบด้ว ย การกร่อนและการสะสมตัวของ สารประกอบซิลิกอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก เนื้อโลกคือ ตะกอนจากแบบจาลอง รวมทั้ง ส่วนที่อยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึงแก่นโลก มีองค์ประกอบ ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ หลักเป็นสารประกอบของซิลิกอน แมกนีเซียมและเหล็ก ดั ง ก ล่ า ว ท่ี ท า ใ ห้ ผิ ว โ ล ก เ กิ ด ก า ร และแก่นโลกคือส่วนท่ีอยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบ เปล่ยี นแปลง หลักเป็นเหล็กและนิกเกลิ ซง่ึ แต่ละชนั้ มีลกั ษณะแตกตา่ งกนั • การผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน เปน็ กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา ทีท่ าใหผ้ วิ โลก เกิดการเปลี่ยนแปลงเปน็ ภมู ิลักษณ์แบบต่าง ๆ โดยมีปัจจัย สาคัญ คอื นา้ ลม ธารนา้ แข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชวี ติ สภาพอากาศ และปฏิกริ ยิ าเคมี • การผพุ งั อยกู่ ับที่ คอื การท่ีหนิ ผพุ ังทาลายลงด้วยกระบวนการ ต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศกับน้าฝน และรวมท้ังการกระทา ของต้นไม้กับแบคทีเรีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ซึ่ง มีการเพ่มิ และลดอุณหภมู ิสลับกัน เป็นต้น • การกร่อน คือ กระบวนการหน่ึงหรือหลายกระบวนการท่ี ทาให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไป หรือกร่อนไปโดยมี ตัวนาพาธรรมชาตคิ ือ ลม นา้ และธารนา้ แข็ง ร่วมกบั ปจั จยั อื่น ๆ ไดแ้ ก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครดู ถู การนาพา ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพังทลายเป็นกลุ่มก้อน เช่น แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ อื ครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ธ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้ • การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการ 6. อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดิน และกระบวนการเกิดดิน จากแบบ นาพาของน้า ลม หรอื ธารน้าแข็ง จาลอง รวมท้ังระบุปัจจัยท่ีทาให้ดิน • ดินเกิดจากหินท่ีผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคล้ากับ มีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน อินทรียวัตถุที่ได้จากการเน่าเป่ือยของซากพืชซากสัตว์ 7. ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน ทับถมเป็นชั้น ๆ บนผิวโลก ช้ันดินแบ่งออกเป็นหลายช้ัน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและ ขนานหรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน แต่ละชั้นมีลักษณะ นาเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ แตกตา่ งกัน เนือ่ งจากสมบตั ิทางกายภาพ เคมี ชวี ภาพ และ ดนิ จากข้อมูลสมบัติของดนิ ลักษณะอื่น ๆ เช่น สี โครงสร้าง เน้ือดิน การยึดตัว ความ เป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการสารวจภาคสนาม 8. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิด การเรียกชื่อชั้นดินหลักจะใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ แหล่งน้าผิวดิน และแหล่งน้าใต้ดิน ไดแ้ ก่ O, A, E, B, C, R จากแบบจาลอง • ชั้นหน้าตัดดิน เป็นชั้นดินที่มีลักษณะปรากฏให้เห็น เรยี งลาดับเปน็ ชนั้ จากชัน้ บนสุดถึงชั้นลา่ งสุด • ปัจจยั ทท่ี าให้ดนิ แต่ละท้องถ่ินมีลักษณะและสมบัตแิ ตกต่าง กัน ได้แก่ วัตถุต้นกาเนิดดิน ภูมิอากาศ ส่ิงมีชีวิตในดิน สภาพภมู ิประเทศ และระยะเวลาในการเกดิ ดิน • สมบัติบางประการของดิน เช่น เน้อื ดนิ ความช้ืนดนิ ค่าความ เป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถนาไปใช้ในการ ตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ท่ีดิน โดยอาจนาไปใช้ ประโยชน์ทางการเกษตร เช่น ดินจืด ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และ ดินดาน อาจเกิดจากสภาพดินตามธรรมชาติ หรือการใช้ ประโยชน์จะต้องปรับปรุงให้มีสภาพเหมาะสม เพ่ือนาไปใช้ ประโยชน์ • แหล่งน้าผิวดินเกิดจากน้าฝนท่ีตกลงบนพื้นโลกไหลจาก ท่ีสูงลงสู่ท่ีต่าด้วยแรงโน้มถ่วง การไหลของน้าทาให้พ้ืนโลก เกิดการกัดเซาะเป็นร่องน้า เช่น ลาธาร คลอง และแมน่ ้า สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

น ค่มู ือครูรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้ 9. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการใชน้ า้ ซ่ึงร่องน้าจะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับปริมาณ และนาเสนอแนวทางการใช้น้า นา้ ฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิดดินและหิน และลักษณะ อย่างยั่งยนื ในทอ้ งถิ่นของตนเอง ภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูงต่าของพ้ืนที่ เมื่อน้า ไหลไปยังบริเวณท่ีเป็นแอ่งจะเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่ง เช่น บงึ ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร • แหล่งน้าใต้ดินเกิดจากการซึมของน้าผิวดินลงไปสะสมตัวใต้ พื้นโลก ซึ่งแบ่งเป็นน้าในดินและน้าบาดาล น้าในดินเป็นน้าท่ี อยู่ร่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน้าบาดาล เป็นน้าที่ไหลซึมลึกลงไปและถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินหรือชั้นดิน จนอิ่มตัวไปดว้ ยน้า • แหล่งน้าผิวดินและแหล่งน้าใต้ดินถูกนามาใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจัดการใช้ประโยชน์น้าและ คุณภาพของแหล่งน้า เนื่องจากการเพ่ิมขึ้นของจานวน ประชากร การใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีในด้านต่าง ๆ เช่น ภาค เกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลง ภูมอิ ากาศ ทาใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงปรมิ าณนา้ ฝนในพ้ืนท่ี ลุ่มน้าและแหล่งน้าผิวดินไม่เพียงพอสาหรับกิจกรรมของ มนษุ ย์ นา้ จากแหลง่ นา้ ใต้ดนิ จงึ ถกู นามาใชม้ ากขน้ึ ส่งผลให้ ปริมาณน้าใต้ดินลดลงมาก จึงต้องมีการจัดการการใช้น้า อย่างเหมาะสมและย่ังยืน ซึ่งอาจทาได้โดยการจัดหา แหล่งน้าเพ่ือให้มีแหล่งน้าเพียงพอสาหรับการดารงชีวิต การจัดสรรและการใช้น้าอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์ และฟ้ืนฟแู หล่งนา้ การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาคณุ ภาพน้า สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คูม่ ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ บ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้ 10. สร้ างแบบจ าลองที่อธิ บายกระบวน • น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด การเกดิ และผลกระทบของน้าทว่ ม การ มีกระบวนการเกิดและผลกระทบที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้าง กัดเซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม หลุมยุบ ความเสียหายร้ายแรงแก่ชีวติ และทรัพย์สิน แผน่ ดนิ ทรดุ • น้าท่วม เกิดจากพื้นท่ีหนึ่งได้รับปริมาณน้าเกินกว่าท่ีจะ กักเก็บได้ ทาให้แผ่นดินจมอยู่ใต้น้า โดยข้ึนอยู่กับปริมาณน้า และสภาพทางธรณวี ิทยาของพ้นื ที่ • การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝ่ัง ทะเลท่ีเกิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคล่ืนหรือลม ท าให้ ตะก อ น จ า ก ที่ ห นึ่ ง ไ ปต ก ทั บ ถ มใ น อี กบริ เว ณ ห นึ่ ง แนวของชายฝ่ังเดิมจึงเปล่ียนแปลงไป บริเวณที่มีตะกอน เคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ตะกอนเคลื่อนออกไปถือว่า เปน็ บรเิ วณทม่ี กี ารกัดเซาะชายฝั่ง • ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนท่ีของมวลดินหรือหินจานวนมากลง ตามลาดเขา เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นหลัก ซึ่งเกิด จากปัจจัยสาคัญ ได้แก่ ความลาดชนั ของพ้นื ท่ี สภาพธรณวี ิทยา ปรมิ าณน้าฝน พืชปกคลุมดนิ และการใช้ประโยชนพ์ ื้นที่ • หลุมยุบ คือ แอ่งหรือหลุมบนแผ่นดินขนาดต่าง ๆ ท่ีอาจเกิด จากการถล่มของโพรงถ้าหินปูน เกลือหินใต้ดิน หรือเกิดจาก น้าพดั พาตะกอนลงไปในโพรงถา้ หรือธารน้าใต้ดิน • แผ่นดินทรุดเกิดจากการยุบตัวของช้ันดิน หรือหินร่วน เมื่อ มวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมากที่รองรับอยู่ใต้ช้ันดิน บริเวณน้ันถูกเคล่ือนย้ายออกไปโดยธรรมชาติหรือโดยการ กระทาของมนุษย์ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ป เวลา 60 ชว่ั โมง เวลา (ชั่วโมง) คู่มอื ครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ 3 หนว่ ยการเรยี นรู้ 14 รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 21 หนว่ ยการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 1 ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ จติ วทิ ยาศาสตร์ หนว่ ยที่ 2 สารละลาย บทท่ี 1 องค์ประกอบของสารละลายและปจั จัยท่ีมผี ลต่อสภาพละลายได้ เรอื่ งที่ 1 องคป์ ระกอบของสารละลาย เรอ่ื งที่ 2 สภาพละลายได้และปัจจัยทม่ี ีผลต่อสภาพละลายได้ กิจกรรมท้ายบท การใช้ตัวทาละลายอย่างถูกต้องและปลอดภัยทาได้ อยา่ งไร บทท่ี 2 ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย เรอื่ งท่ี 1 ความเข้มขน้ ของสารละลายในหนว่ ยรอ้ ยละ กิจกรรมท้ายบท นาสารละลายทมี่ ีความเขม้ ขน้ ตา่ ง ๆ มาใชป้ ระโยชน์ได้ อยา่ งไร หน่วยท่ี 3 รา่ งกายมนษุ ย์ บทท่ี 1 ระบบอวยั วะในร่างกายของเรา เรือ่ งที่ 1 ระบบหมุนเวยี นเลือด เรอ่ื งที่ 2 ระบบหายใจ เร่ืองที่ 3 ระบบขับถ่าย เรื่องที่ 4 ระบบประสาท เรือ่ งท่ี 5 ระบบสบื พนั ธุ์ กิจกรรมทา้ ยบท ระบบอวัยวะของรา่ งกายมนษุ ย์ทางานได้อยา่ งไร สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ผ หน่วยการเรยี นรู้ เวลา 60 ชัว่ โมง เวลา (ช่ัวโมง) รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เล่ม 1 หน่วยการเรยี นรู้ 22 หน่วยท่ี 4 การเคลอ่ื นทแ่ี ละแรง บทที่ 1 การเคลื่อนที่ เร่ืองท่ี 1 ตาแหนง่ ระยะทางและการกระจดั เรอ่ื งที่ 2 อตั ราเร็วและความเรว็ กิจกรรมทา้ ยบท เดนิ ทางมาโรงเรียนไดเ้ ร็วหรอื ช้า บทที่ 2 แรงในชวี ิตประจาวัน เร่อื งที่ 1 แรงลพั ธ์ เรอ่ื งท่ี 2 แรงเสียดทาน เรื่องที่ 3 แรงและความดนั ของของเหลว เรื่องท่ี 4 แรงพยงุ ของของเหลว เร่อื งท่ี 5 โมเมนตข์ องแรง เรื่องที่ 6 แรงและสนามของแรง กิจกรรมทา้ ยบท สรา้ งรถไฟ Maglev ไดอ้ ย่างไร สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฝ คูม่ อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ความสอดคล้องของบทเรียน กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตัวชวี้ ดั ในหนงั สอื เรียนวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เลม่ 1 หน่วยการเรียนร/ู้ บทเรียน กิจกรรม ตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ว 2.1 • ระบอุ งค์ประกอบของสารละลายไดว้ ่า สารใดเปน็ ตัวละลายหรอื ตวั ทาละลาย หน่วยท่ี 2 สารละลาย กิจกรรมท่ี 2.1 ระบุตัวละลาย • อธบิ ายผลของชนิดตัวละลาย ชนดิ ตัวทา บทที่ 1 องค์ประกอบของสารละลาย และตวั ทาละลายได้อย่างไร ละลาย อณุ หภมู ิ และความดันทม่ี ตี ่อ สภาพละลายได้ของสาร และปัจจยั ทีม่ ผี ลต่อสภาพละลายได้ กจิ กรรมท่ี 2.2 สารละลายอมิ่ ตวั คืออะไร กิจกรรมที่ 2.3 ชนิดของตัว ละลายและตวั ทาละลายมีผลต่อ สภาพละลายได้ของสารอย่างไร กิจกรรมที่ 2.4 อณุ หภมู มิ ผี ลตอ่ สภาพละลายได้ของสารอยา่ งไร กจิ กรรมท้ายบท การใชต้ วั ทาละลายอยา่ งถูกต้อง และปลอดภัยทาได้อยา่ งไร หนว่ ยท่ี 2 สารละลาย กิจกรรม 2.5 ระบุความเข้มข้น • ระบปุ รมิ าณตัวละลายในสารละลายใน บทท่ี 2 ความเข้มข้นของสารละลาย ของสารละลายในหนว่ ยรอ้ ยละ หนว่ ยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตร ไดอ้ ยา่ งไร ต่อปริมาตร มวลตอ่ มวล และมวลต่อ ปริมาตร กิจกรรมท้ายบท นาสารละลายท่ี มีความเข้มขน้ ต่าง ๆ มาใช้ • ตระหนักถึงความสาคัญของการนา ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไร ความรูเ้ รือ่ งความเข้มขน้ ของสารไปใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายใน ชีวติ ประจาวันที่อยา่ งถูกต้องและ ปลอดภยั สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ค่มู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ พ ความสอดคล้องของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู้ และตวั ช้วี ดั ในหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนร/ู้ บทเรยี น กจิ กรรม ตัวช้ีวัด มาตรฐาน ว 1.2 หนว่ ยท่ี 3 ร่างกายมนุษย์ กิจกรรมท่ี 3.1 เซลล์เม็ดเลือดมี • บรรยายโครงสรา้ งและหน้าท่ีของหัวใจ บทที่ 1 ระบบอวัยวะในร่างกาย ลกั ษณะอย่างไร หลอดเลือด และเลือด ของเรา กจิ กรรม 3.2 หัวใจทางาน • อธบิ ายการทางานของระบบหมนุ เวียน อย่างไร เลอื ด โดยใช้แบบจาลอง กิจกรรม 3.3 กจิ กรรมใดมีผลต่อ • ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการ อตั ราการเต้นของหวั ใจมากกวา่ เปรยี บเทยี บอตั ราการเต้นของหัวใจขณะ กัน พักและหลังทากจิ กรรม • ตระหนกั ถึงความสาคญั ของระบบ หมนุ เวยี นเลอื ด โดยการบอกแนวทางใน การดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหมนุ เวยี น เลอื ดให้ทางานเป็นปกติ • ระบุอวยั วะและบรรยายหน้าท่ขี อง อวยั วะทเี่ กี่ยวข้องในระบบหายใจ กจิ กรรม 3.4 การหายใจเขา้ และ • อธบิ ายกลไกการหายใจเข้าและออก หายใจออกเกิดข้ึนไดอ้ ย่างไร โดยใช้แบบจาลอง รวมท้ังอธบิ าย กระบวนการแลกเปลย่ี นแก๊ส กิจกรรม 3.5 ปอดจุอากาศได้ • ตระหนักถึงความสาคญั ของระบบหายใจ เทา่ ใด โดยการบอกแนวทางและปฏบิ ตั ติ นใน กจิ กรรม 3.6 ทาอย่างไรเพ่ือให้ การดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบหายใจให้ ระบบหายใจทางานอย่างเปน็ ทางานเป็นปกติ ปกติ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฟ คูม่ อื ครูรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ความสอดคลอ้ งของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตวั ชว้ี ัด ในหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 เลม่ 1 หน่วยการเรียนร/ู้ บทเรยี น กจิ กรรม ตัวชวี้ ดั • ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทขี่ อง หน่วยท่ี 3 รา่ งกายมนษุ ย์ กิจกรรม 3.7 ดแู ลรกั ษาไต บทท่ี 1 ระบบอวยั วะในรา่ งกาย อย่างไร อวัยวะในระบบขบั ถ่ายในการกาจัดของ ของเรา เสยี กิจกรรมเสริม เราจาไดม้ ากแค่ • ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ ไหน ขบั ถา่ ย โดยการบอกแนวทางและปฏบิ ัติ กิจกรรม 3.8 รา่ งกายจะมี ตนในการดูแลรักษาอวยั วะในระบบ ปฏกิ ิริยาอย่างไรเมื่อถูกเคาะ ขบั ถ่ายให้ทางานเป็นปกติ บริเวณหัวเขา่ • ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทข่ี อง กิจกรรม 3.9 นักเรียนตอบสนอง อวยั วะในระบบประสาทส่วนกลาง ใน ได้ดีแค่ไหน การควบคุมการทางานตา่ ง ๆ ของ ร่างกาย และการแสดงพฤติกรรม กิจกรรม 3.10 การเปลยี่ นแปลง ของร่างกายเมื่อเขา้ สู่วัยหน่มุ สาว • ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ เปน็ อย่างไร ประสาท โดยการบอกแนวทางและ ปฏบิ ตั ิตนในการดูแลรักษาอวยั วะใน ระบบประสาทให้ทางานเปน็ ปกติ • ระบุอวยั วะและบรรยายหน้าทีข่ อง อวยั วะในระบบสืบพนั ธข์ุ องเพศชายและ เพศหญิง โดยใชแ้ บบจาลอง • อธบิ ายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศ หญงิ ทค่ี วบคุมการเปลี่ยนแปลงของ ร่างกายเมื่อเข้าสวู่ ยั หนมุ่ สาว สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ อื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ภ ความสอดคลอ้ งของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู้ และตวั ชว้ี ดั ในหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรยี นร้/ู บทเรยี น กิจกรรม ตวั ชว้ี ดั หนว่ ยที่ 3 รา่ งกายมนุษย์ • อธิบายการตกไข่ การมปี ระจาเดอื น บทที่ 1 ระบบอวัยวะในร่างกาย การปฏสิ นธิ และการพัฒนาของไซโกต ของเรา จนคลอดเป็นทารก กิจกรรม 3.11 เลือกวิธีการ • เลือกวิธีการคุมกาเนดิ ทเ่ี หมาะสมกบั คุมกาเนิดอยา่ งไรใหเ้ หมาะสม สถานการณ์ทีก่ าหนด กจิ กรรม 3.12 การตง้ั ครรภ์ก่อน • ตระหนกั ถึงผลกระทบของการต้งั ครรภ์ วัยอันควรส่งผลกระทบอยา่ งไร กอ่ นวยั อนั ควร โดยการประพฤติตนให้ บ้าง เหมาะสม กจิ กรรมท้ายบท ระบบรา่ งกาย มนุษยก์ บั สถานีอวกาศเหมือน หรอื ตา่ งกันอยา่ งไร มาตรฐาน ว 2.2 หนว่ ยที่ 4 การเคลอ่ื นทแ่ี ละแรง กจิ กรรมท่ี 4.1 ระบุตาแหนง่ • อธบิ ายวธิ ีการบอกตาแหน่งของวตั ถุ บทที่ 1 การเคล่อื นที่ ของวตั ถุในหอ้ งเรยี นได้อย่างไร กจิ กรรมที่ 4.2 ระยะทางและ • บอกความหมายและความแตกต่างของ ระยะห่างระหว่างสองตาแหน่ง ระยะทางและการกระจดั แตกตา่ งกนั อย่างไร • หาระยะทางและการกระจดั • บอกความหมายของปริมาณเวกเตอร์ และปริมาณสเกลาร์ กิจกรรมที่ 4.3 อัตราเรว็ และ • บอกความหมายและความแตกต่างของ ความเร็วแตกต่างกนั อยา่ งไร อตั ราเรว็ และความเร็ว กิจกรรมท้ายบท เดนิ ทางมา • คานวณอัตราเร็วและความเร็ว โรงเรียนได้เรว็ หรอื ชา้ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ม คมู่ ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ความสอดคลอ้ งของบทเรยี น กิจกรรมการเรยี นรู้ และตัวช้ีวัด ในหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนร/ู้ บทเรียน กจิ กรรม ตัวชวี้ ัด กิจกรรมที่ 4.4 การรวบรวมใน • เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลพั ธท์ ่ี หนว่ ยท่ี 4 การเคล่ือนทแ่ี ละแรง ระนาบเดยี วกนั ทาได้อยา่ งไร บทที่ 2 แรงในชวี ติ ประจาวัน เกดิ จากแรงหลายแรงที่กระทาตอ่ วัตถใุ น กจิ กรรมท่ี 4.5 แรงเสยี ดทาน ระนาบเดียวกัน เมอ่ื วตั ถุไมเ่ คลื่อนที่และวตั ถุ • พยากรณก์ ารเคลื่อนที่ของวัตถทุ ่เี ปน็ ผล เคลื่อนทีแ่ ตกตา่ งกันอยา่ งไร ของแรงลัพธท์ ี่เกดิ จากแรงหลายแรงท่ี กิจกรรมที่ 4.6 ปัจจัยใดบา้ งท่ีมี กระทาต่อวตั ถุในระนาบเดยี วกันจาก ผลต่อขนาดของแรงเสยี ดทาน หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ • อธบิ ายแรงเสียดทานสถิตและแรงเสียด ทานจลน์จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ • ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธี ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ ขนาดของแรงเสยี ดทาน • เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานที่ กระทาตอ่ วัตถุเม่ือวัตถหุ ยุดน่ิงและ เคล่ือนทีด่ ้วยความเรว็ คงตัว • ตระหนกั ถึงประโยชน์ของความรเู้ รอ่ื ง แรงเสยี ดทานโดยวเิ คราะหส์ ถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะวธิ กี ารลดหรือเพ่ิม แรงเสียดทานท่เี ปน็ ประโยชน์ต่อการทา กจิ กรรมในชวี ติ ประจาวนั สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มอื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ย ความสอดคลอ้ งของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตัวชว้ี ัด ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู/้ บทเรยี น กจิ กรรม ตัวชว้ี ัด หนว่ ยที่ 4 การเคลอ่ื นทแ่ี ละแรง กจิ กรรมที่ 4.7 • เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุ บทท่ี 2 แรงในชีวิตประจาวนั น้ามีแรงกระทาต่อวัตถหุ รือไม่ อย่างไร ในของเหลว กิจกรรมท่ี 4.8 • ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ี ปัจจัยใดบ้างที่มผี ลต่อความดันของ ทเี่ หมาะสมในการอธิบายปัจจัยทมี่ ผี ลต่อ ของเหลว ความดันของของเหลว กิจกรรมที่ 4.9 • วิเคราะห์ปัจจยั ทม่ี ีผลต่อแรงพยุงของ แรงพยุงของของเหลวเป็นอย่างไร ของเหลวและการจม การลอยของวัตถุ กจิ กรรมท่ี 4.10 ในของเหลวจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ปัจจัยใดบา้ งที่มีผลต่อขนาดของ แรงพยุงของของเหลว กจิ กรรมท่ี 4.11 • ออกแบบการทดลอง และทดลองด้วยวิธี โมเมนตข์ องแรงคอื อะไร ท่เี หมาะสมในการอธิบายโมเมนตข์ อง กิจกรรมท่ี 4.12 แรง เม่อื วัตถุอยใู่ นสภาพสมดุลตอ่ การ ทาอยา่ งไรให้ไม้เมตรอยนู่ งิ่ ในแนว หมนุ และคานวณโดยใชส้ มการ M = Fl ระดบั กิจกรรมที่ 4.13 • เปรยี บเทียบแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามแม่เหล็กเปน็ อยา่ งไร สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถว่ ง และ ทิศทางของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุทอ่ี ยู่ใน แตล่ ะสนามจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ กจิ กรรมที่ 4.14 ขนาดของ • เขยี นแผนภาพแสดงแรงแมเ่ หล็ก แรง แมเ่ หล็กขนึ้ อยูก่ ับอะไร ไฟฟา้ และแรงโน้มถว่ งท่ีกระทาต่อวตั ถุ กจิ กรรมท้ายบท สรา้ งรถไฟ Maglev ได้อย่างไร สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ร คมู่ ือครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ตารางรายการวัสดอุ ุปกรณป์ ระกอบหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 เลม่ 1 ที่ รายการ ปริมาณ/กลมุ่ หน่วยท่ี 1 1 กล่อง 1 ชดุ 1. กล่องปริศนา 2. เครอ่ื งมอื ทช่ี ว่ ยในการสงั เกต เช่น ไมบ้ รรทดั เครื่องชั่ง ดนิ สอ ฯลฯ 6.5 กรมั 42 กรมั หน่วยท่ี 2 7 กรัม 6 กรมั 1. โซเดยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต 10 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร 2. ดเี กลอื 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร 3. พมิ เสน 730 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร 4. จนุ สี 2 ใบ 5. เอทานอล 3 ใบ 6. เอทานอลผสมสี 1 ใบ 7. น้ากลนั่ 1 ใบ 8. บีกเกอร์ขนาด 250 cm3 4 หลอด 9. บกี เกอร์ขนาด 50 cm3 1 อนั 10. กระบอกตวงขนาด 25 cm3 2 อัน 11. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 4 อัน 12. หลอดทดลองขนาดใหญ่ 2 อัน 13. ช้อนตกั สารเบอร์หนึ่ง 1 อนั 14. ช้อนตักสารเบอรส์ อง 1 ชุด 15. แทง่ แกว้ คน 1 ชดุ 16. หลอดหยด 2–3 เคร่อื ง/หอ้ ง 17. เทอรม์ อมิเตอร์ 18. ขาตง้ั พร้อมท่จี ับ 19. ชุดตะเกยี งแอลกอฮอล์ 20. เครอ่ื งชง่ั สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ล ตารางรายการวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เล่ม 1 ที่ รายการ ปรมิ าณ/กล่มุ หน่วยท่ี 3 1 ลิตร 1 แผ่น 1. นา้ สี 1 อนั 2. สไลด์ถาวรเลือดของมนุษย์ 1 กล้อง 3. แบบจาลองการทางานของปอด 2 อัน 4. กลอ้ งจุลทรรศน์ใชแ้ สง 1 ชุด 5. ท่อปมั๊ นา้ 2 ใบ 6. ชุดอุปกรณว์ ัดความจุอากาศของปอด 2 ใบ 7. ภาชนะใสน่ ้าสี เช่น ขวดน้า 5 L 1 อัน 8. บกี เกอร์ ขนาด 2,000 cm3 1 อัน 9. นาฬิกาจับเวลา 1 เหรียญ 10. คอ้ นยางขนาดเล็ก 1 มว้ น 11. เหรียญบาท 1 เลม่ 12. เทปใส 2 แผ่น 13. กรรไกร 3 แท่ง 14. กระดาษปรฟู๊ 10 แผน่ 15. ปากกาเคมี คละสี 16. กระดาษแข็ง ขนาด 9 x 9 cm สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ว คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ตารางรายการวสั ดอุ ปุ กรณป์ ระกอบหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 เล่ม 1 ที่ รายการ ปริมาณ/กลมุ่ หน่วยท่ี 4 3 ถุง 600 มลิ ลลิ ิตร 1. เกลือแกง มวล 1 kg 2. ของเหลวชนดิ ต่าง ๆ เชน่ นา้ น้าสี นา้ เชื่อม นา้ เกลือ น้ามันพชื 3 ถงุ 3. ถงุ ทราย มวล 500 g 1 ขวด 4. ผงเหลก็ 1 แทง่ 5. แทง่ เหลก็ 2 แทง่ 6. แทง่ แม่เหล็ก (magnetic bar) 1 แผน่ 7. แผ่นไม้ 2 มว้ น 8. เชือก 2 ใบ 9. ถุงพลาสติก 1 แผน่ 10. กระดาษทราย 2 แผ่น 11. แผน่ โฟม 1 แผน่ 12. แผน่ กระดาษลูกฟกู 2 แผน่ 13. แผ่นพลาสตกิ ลกู ฟูก 1 แผ่น 14. แผน่ พลาสตกิ ใส 1 ใบ 15. ภาชนะใสน่ ้า 1 ใบ 16. ภาชนะใส่น้าก้นลึก 1 ใบ 17. ภาชนะรองรับนา้ ขนาดละ 1 ขวด 18. ขวดนา้ พลาสตกิ ขนาดตา่ ง ๆ 1 ลูก 19. ลกู แกว้ 1 อนั 20. จุกยางทีเ่ สียบหลอดแกว้ นาแกส๊ 1 ใบ 21. ลูกโป่ง 2 กอ้ น 22. ดนิ น้ามัน 1 เคร่อื ง 23. เครื่องชัง่ สปริง สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ศ ตารางรายการวสั ดอุ ุปกรณ์ประกอบหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 เลม่ 1 ที่ รายการ ปรมิ าณ/กลมุ่ หน่วยที่ 4 1 เรอื น 5 อัน 24. นาฬกิ าจับเวลา 1 อัน 25. เขม็ ทิศ 1 อัน 26. ไมเ้ มตร 1 อัน 27. ไมบ้ รรทัด 1 โปรแกรม 28. ไมบ้ รรทดั วดั มุม 1 วง 29. โปรแกรมแสดงแผนท่ี เช่น Google map 1 มว้ น 30. วงแหวน 1 แผน่ 31. เทปใส 1 แผ่น 32. กระดาษกราฟ 3 อนั 33. กระดาษ A4 34. เข็มหมดุ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ษ คมู่ ือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ แนะนาการใชค้ มู่ ือครู ช่อื หนว่ ยและจดุ มุ่งหมายของหน่วยการเรียนรู้ ชื่อบทเรียนและสาระสาคัญ แสดงสาระสาคัญที่ องค์ประกอบของหน่วย ซึ่งจัดเป็นบทเรียน เรื่องของ นักเรียนจะได้เรียนรู้ในบทเรยี น บทเรยี นนัน้ และกจิ กรรมท้ายบท รวมทง้ั แสดงเวลาทใ่ี ช้ จุดประสงค์ของบทเรียน แสดงเป้าหมายหรือสิ่งท่ี นกั เรยี นจะทาไดเ้ มื่อเรยี นจบบทเรยี น ภาพรวมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แสดงความ ทักษะท่ีนักเรียนควรจะได้รับหรือฝึกปฏิบัติ เมื่อ สอดคลอ้ งของจุดประสงค์ของบทเรยี น แนวความคิด เรียนจบในแต่ละเร่ือง ต่อเนอื่ ง และรายการประเมิน สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ค่มู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ส การนาเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ แสดงแนวทางการจัด ชอ่ื เรื่องและแนวการจดั การเรยี นรขู้ องเรื่อง การเรียนการสอนเมือ่ เริ่มตน้ บทเรยี น ภาพนาเร่ืองพร้อมคาอธิบายภาพ เพ่ือสร้างความสนใจ ภาพนาบทพร้อมคาอธิบายภาพ เพื่อสร้างความสนใจ ในการเรยี นในหน่วยน้ี ในการเรยี นในบทนี้ ทบทวนความรู้ก่อนเรียน เพื่อทบทวนความรู้ ขั้นพ้ืนฐานของนักเรียน ท่ีควรจะมีเพื่อเตรียมพร้อม ในการเรียนเรอ่ื งนี้ รู้อะไรบ้างก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมของ นักเรียน เกี่ยวกับเร่ืองที่กาลังจะเรียน โดยนักเรียน ไม่จาเป็นต้องตอบถูกต้องครบถ้วน ซึ่งครูสามารถ นาไปวางแผนในการจัดการเรียนการสอน ในเรื่อง นั้น ๆ ได้ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ห คู่มอื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เฉลยคาถามระหว่างเรียนแสดงแนวคาตอบของ คาถาม ข้อสรปุ ทน่ี กั เรยี นควรได้ เมื่ออภปิ ราย และสรุปส่ิงท่ี ไดเ้ รยี นรู้หลังขอ้ ความ เพือ่ ให้ไดข้ อ้ สรปุ กิจกรรมการเรียนรู้ของเร่ือง แสดงแนวการจัดการ เรียนรู้ กอ่ น ระหวา่ ง และหลงั ทากจิ กรรม กิจกรรมเสริม ตัวอย่างผลการทากิจกรรม และ ตัวอย่างองค์ความรู้หรือทักษะที่นักเรียนควรได้รับ จากการทากจิ กรรมเสรมิ แนวคดิ คลาดเคล่อื น แสดงแนวคิดคลาดเคลื่อนและแนวคิดท่ีถูกต้องในเร่ือง นั้น ๆ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ฬ สรุปกิจกรรมการเรียนรู้ของเรื่อง ความรู้เพิ่มเติมสาหรับครูท่ีเก่ียวข้องกับเนื้อหาในเรื่อง โดยแสดง แต่นอกเหนือผลการเรียนรู้ซึ่งไม่ควรนาไปใช้ในการ • จุดประสงค์ วัดผลประเมินผลนกั เรียน • เวลาท่ใี ช้ในการทากจิ กรรม • รายการวสั ดแุ ละอุปกรณ์ เฉลยแบบฝึกหัดท้ายหน่วยพร้อมแสดงระดับความยาก • การเตรียมตวั ลว่ งหน้าสาหรบั ครู (**) และง่าย (*) ของแบบฝึกหัด โดยแบบฝึกหัดท้าย • ข้อควรระวงั ในการทากจิ กรรม หน่วยสอดคล้องกับแบบทดสอบระดับชาติ (O-NET) • ขอ้ เสนอแนะนาในการทากิจกรรม และนานาชาติ (PISA) • สอื่ การเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ • ตวั อยา่ งผลการทากจิ กรรม • เฉลยคาถามทา้ ยกจิ กรรม เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท พร้อมแสดงระดับความยาก (**) และง่าย (*) ของแบบฝึกหัด สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

1 หน่วยที่ 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ คู่มอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ 1หน่วยที่ หน่วยการเรียนรู้นี้มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ เพื่อตระหนักถึงลักษณะสาคัญของ วิทยาศาสตร์และลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดทาง วทิ ยาศาสตร์ องคป์ ระกอบของหนว่ ย ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ เวลาทใ่ี ช้ 2 ชัว่ โมง จติ วิทยาศาสตร์ เวลาที่ใช้ 1 ช่ัวโมง รวมเวลาท่ใี ช้ 3 ชว่ั โมง สสถถาาบบันนั สสง่ง่ เเสสรริมมิ กกาารรสสออนนววทิิทยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยีี

หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ 012 คูม่ อื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ สาระสาคญั วิทยาศาสตร์มีลกั ษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากศาสตร์แขนงอื่น ๆ โดยธรรมชาติของวิทยาศาสตร์จะใหค้ วามสาคัญกบั การมองโลกในมุมมองแบบวทิ ยาศาสตร์ทีว่ ่า เราสามารถทาความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไดโ้ ดยอาศยั กระบวนการหาหลักฐาน ลงความคิดเห็น ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ในการสร้างแนวคิดและคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีความ น่าเช่ือถือ อย่างไรก็ตามองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีความคงทนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีหลักฐานเพ่ิมเติมที่มีความ น่าเชอ่ื ถอื มากกวา่ วทิ ยาศาสตรจ์ งึ เป็นวิถีทางแห่งการเรยี นรสู้ ่งิ รอบตัวอยา่ งที่ไม่มที ่ีสิน้ สดุ ของมนุษย์และไมใ่ ชแ่ นวคิดจากความ เชื่อฟังที่สืบต่อกันมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถให้คาตอบที่สมบูรณ์หรือตอบคาถามทุกคาถามได้ (AAAS, 1990; 1993; Lederman, 1992; McComas และ Olson, 1998; NGSS, 2013) การสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์เปน็ ส่วนสาคัญอีกส่วนหน่ึงของธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์ เป็นกระบวนการทม่ี นุษย์ ใช้แสวงหาคาตอบ สร้างแนวคิดและคาบรรยายเก่ียวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเรียกว่า ทฤษฎี (theory) และอธิบาย ความสัมพันธห์ รือรูปแบบของสิ่งต่าง ๆ ในปรากฏการณ์ ท่ีเรียกว่า กฎ (law) เพ่ือใช้อธิบายหรือทานายการเกิดปรากฏการณ์ใน ธรรมชาติ เป็นกระบวนการท่ีมีระบบแต่ไม่มีรูปแบบท่ีตายตัว มักเร่ิมต้นจากคาถาม มีการเก็บข้อมูลหลักฐานด้วยวิธีการต่าง ๆ วเิ คราะหข์ ้อมูลและสร้างคาอธิบายจากหลักฐานทไ่ี ด้ จากนน้ั เชอื่ มโยงคาอธบิ ายที่คน้ พบกับผู้อื่นและส่ือสารอย่างมีเหตุผล แมว้ ่า วิทยาศาสตร์จะมลี กั ษณะเฉพาะตัว แตก่ ถ็ อื ว่าเป็นกิจการทางสัมคมของมนุษยชาติทท่ี ุกคนสามารถทาได้ และมสี ว่ นร่วมได้ทงั้ ใน ระดับบุคคล สังคม และองค์กร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการจดั ระบบและแตกแขนงเป็นสาขาท่ีหลากหลาย โดยองค์กรต่าง ๆ และมหี ลักจริยธรรมในการดาเนินการร่วมกนั (AAAS, 1990; 1993; NGSS, 2013) ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า จิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงออกได้หลาย แนวทาง เช่น วิเคราะหแ์ ละใหเ้ หตผุ ลแต่ละข้อมูลกอ่ นการประเมินและตัดสินใจ ไม่แสดงความคิดเห็นตอ่ สถานการณ์ต่าง ๆ กอ่ น ลงมอื ทาหรอื ได้ขอ้ มลู เพยี งพอ สืบเสาะและใช้หลกั ฐานสนับสนุนคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ รายงานหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์อย่าง ครบถ้วน ไม่แอบอ้างผลงานผู้อื่น ยอมรับความเห็นหรือแนวคิดท่ีมีประจักษ์พยานและเหตุผล แม้ว่าความเห็นหรือแนวคิด ดงั กล่าวจะแตกตา่ งจากตนเอง รวมทั้งเหน็ คณุ ค่า ความสาคญั และความสนใจตอ่ วิทยาศาสตร์ จุดประสงคข์ องหนว่ ย เมื่อเรยี นจบบทนแ้ี ลว้ นักเรียนจะสามารถทาสง่ิ ต่อไปน้ไี ด้ 1. ยกตัวอยา่ งและอธบิ ายธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ 2. ยกตัวอย่างและอธบิ ายจิตวทิ ยาศาสตร์ สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

3 หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ภาพรวมการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ จุดประสงค์ แนวความคิดตอ่ เน่ือง กจิ กรรม รายการประเมนิ การเรยี นรู้ของบทเรียน 1. ยกตวั อย่างและอธบิ าย 1. วทิ ยาศาสตรม์ ลี ักษณะเฉพาะตวั ที่ กิจกรรม 1.1 1. ยกตัวอยา่ ง ธรรมชาติของ ธรรมชาตขิ อง วทิ ยาศาสตร์ แตกตา่ งจากศาสตร์ความรแู้ ขนง ความรูท้ าง วทิ ยาศาสตร์ อนื่ ๆ ซง่ึ เรยี กว่า ธรรมชาตขิ อง วทิ ยาศาสตร์ 2. อธบิ ายธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ พัฒนาได้อยา่ งไร 2. ในการมองปรากฏการณ์ตา่ งๆใน กิจกรรม 1.2 ธรรมชาตแิ บบวิทยาศาสตรน์ ั้นมี วัตถุอะไรอยู่ใน ลกั ษณะแตกตา่ งจากศาสตร์อ่ืน ๆ กลอ่ ง เช่น ในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ มองว่า สิ่งต่าง ๆ สามารถทาความ เข้าใจได้โดยอาศัยหลักฐาน สนับสนุน การแปลผล และสรุป เปน็ องค์ความรู้ดว้ ยสตปิ ญั ญาของ มนุษย์ แนวคิดทางวทิ ยาศาสตร์ เปลีย่ นแปลงได้ เมื่อมีหลักฐาน เพ่มิ เติมท่เี ชอ่ื ถอื ไดแ้ ละนามาสรา้ ง คาอธบิ ายใหม่ 3. การสบื เสาะหาความรทู้ าง วิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะเฉพาะ เช่นกัน โดยเป็นการรวบรวมข้อมลู หลกั ฐานเพ่ือนามาสร้างคาอธิบาย หรือตอบคาถามในสิ่งที่สงสัย โดยใช้ กระบวนการหรือวิธีการตา่ ง ๆ ที่เปน็ ระบบ แต่ไม่ตายตัว สสถถาาบบันนั สสง่่งเเสสรรมิมิ กกาารรสสออนนววทิิทยยาาศศาาสสตตรรแ์แ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยีี

หน่วยที่ 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ 014 คู่มือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ จดุ ประสงค์ แนวความคดิ ตอ่ เน่ือง กิจกรรม รายการประเมิน การเรยี นรูข้ องบทเรยี น 3. วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ กจิ กรรมของ 1. นกั เรยี นสามารถ 2. ยกตัวอย่างและอธบิ าย มนุษยชาติ มีหลายมติ ิทง้ั ในระดับ ยกตวั อยา่ งและ จติ วทิ ยาศาสตร์ บคุ คล สงั คม หรือองคก์ ร แตก อธิบาย แขนงเปน็ สาขาตา่ ง ๆ แต่หลักการ จิตวิทยาศาสตร์ หรือคาอธบิ ายทางวิทยาศาสตร์ไม่ มีขอบเขตแบ่งแยก 1. ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับความรู้สึกนึกคิดทางวิทยาศาสตร์ เรยี กว่า จิตวทิ ยาศาสตร์ 2. จิตวิทยาศาสตรม์ กี ารนกึ คิดและ แสดงออกไดห้ ลายแนวทาง เช่น การวิเคราะห์และใหเ้ หตผุ ลแตล่ ะ ขอ้ มูลกอ่ นการประเมินและ ตัดสนิ ใจ การไม่แสดงความคิดเหน็ ตอ่ สถานการณต์ ่าง ๆ กอ่ นลงมือ ทาหรอื ไดข้ ้อมลู เพยี งพอ 3. จิตวิทยาศาสตรย์ งั รวมทั้งการเหน็ คุณคา่ ความสาคญั ความชอบ ความสนใจต่อวิทยาศาสตร์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

5 หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ คู่มือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ท่คี วรจะไดจ้ ากบทเรียน ทักษะ เรยี นรวู้ ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ • การสังเกต • การวดั การจาแนกประเภท • การหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ • และสเปซกบั เวลา การใชจ้ านวน การจัดกระทาและส่ือความหมายขอ้ มูล การลงความเหน็ จากข้อมูล การพยากรณ์ การต้งั สมมติฐาน การกาหนดนิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร การกาหนดและควบคุมตวั แปร การทดลอง การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป การสร้างแบบจาลอง ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา ดา้ นการสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั ส่ือ ดา้ นความรว่ มมือ การทางานเป็นทมี และภาวะผู้นา ดา้ นการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสื่อสาร ดา้ นการทางาน การเรยี นรู้ และการพง่ึ ตนเอง สสถถาาบบันนั สสง่่งเเสสรริมมิ กกาารรสสออนนววทิทิ ยยาาศศาาสสตตรร์แ์แลละะเเททคคโโนนโโลลยยีี

หน่วยที่ 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ 016 ค่มู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ การนาเข้าสูห่ น่วยการเรียนรู้ ครูดาเนินการดังนี้ 1. กระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนาเข้าสู่ ความรู้เพ่มิ เติมสาหรบั ครู หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง ธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ โดยตั้งคาถามสรา้ งความสนใจว่า ภาพนาหน่วย คือ ข้อมูลบางส่วนของ การพัฒนาองค์ความรู้ นักเรียนคิดว่าวิทยาศาสตร์แตกต่างจากศาสตร์ เกี่ยวกับอะตอม ซึ่งมีแนวคิดเพิ่มเติมนอกเหนือจากท่ีปรากฏใน อนื่ ๆ อย่างไร หนังสือเรียนแทรกเป็นระยะ การค้นพบและต่อยอดองค์ความรู้ ของนักคิดนักวิทยาศาสตร์พัฒนามาเป็นความรู้เก่ียวกับ 2. ทบทวนความรู้พื้นฐานของนักเรียนเกี่ยวกับ โครงสรา้ งอะตอมในปัจจุบัน โครงสร้างอะตอมและวิทยาศาสตร์ โดยอาจตั้ง คาถามดังนี้ • วิทยาศาสตร์คืออะไร (วิทยาศาสตร์เป็น ความรู้เก่ียวกับธรรมชาติซ่ึงสามารถอธิบาย ได้ด้วยหลกั ฐานและความเปน็ เหตุเป็นผลทาง วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์มิใช่ความรู้ เกี่ยวกับความจริงของธรรมชาติเพียงอย่าง เดียวแต่ยังครอบคลุมไปถึงกระบวนการ เรียนร้แู ละทาความเข้าใจความร้นู ้ันอย่างเป็น ระบบและเป็นเหตุเปน็ ผล) • ความรู้เก่ียวกับอะตอมท่ีเรียนรู้ในช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นอย่างไร (อะตอมเป็น หน่วยย่อยของสสาร โดยโครงสร้างอะตอม ประกอบด้วย นิวเคลียสซึ่งมีโปรตอน นิวตรอนอยู่เป็นศูนย์กลาง และมีอิเล็กตรอน โคจรโดยรอบ) 3. นาเข้าสู่กิจกรรมท่ี 1.1 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พัฒนาได้อย่างไร โดยใช้คาถามว่า การพัฒนาองค์ความรู้ดังกล่าว เป็นตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงมีลักษณะสำคัญเฉพาะตัว องค์ความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์พัฒนาไดอ้ ย่างไร และมลี ักษณะสาคญั เฉพาะตัวอยา่ งไร สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

7 หนว่ ยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ คู่มอื ครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ก4ิจ.กรเร่ือมงทท่ี 1่ี 1.1 ควอางมคร์ปทู้ ราะงกวอทิ บยขาอศงาสสาตรรล์พะฒัลานยาไดอ้ ย่างไร แนวการจัดการเรียนรู้ ครูดาเนนิ การดังนี้ กอ่ นการทากิจกรรม (10 นาที) 1. ใหน้ ักเรียนอา่ นชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวธิ ีดาเนนิ กจิ กรรม และตรวจสอบความเข้าใจการอ่านโดยใช้คาถามดังต่อไปนี้ • กิจกรรมนเ้ี กยี่ วกับเร่ืองอะไร (การพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์) • กิจกรรมนีม้ ีจุดประสงค์อย่างไร (อ่าน วิเคราะห์ และสรุปแนวคิดเก่ียวกับธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์) • วิธีดาเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านบทความการพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์เก่ียวกับอะตอมและการ วิจยั ทางโบราณคดหี ญงิ สาวโบราณปลายยุคประวตั ิศาสตร์ จากนัน้ เขียนแผนผังเชื่อมโยงหลักฐานและข้อสรุปท่คี ้นพบ) • นกั เรยี นต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ข้อมูลเก่ียวกับการพฒั นาองค์ความรวู้ ิทยาศาสตร์เก่ียวกับอะตอมและ การวิจัยทางโบราณคดหี ญงิ สาวโบราณปลายยุคประวัติศาสตร์) ระหวา่ งการทากจิ กรรม (25 นาท)ี 2. ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุม่ เรม่ิ ทากจิ กรรม ครูสงั เกตการทางานของนกั เรียน และใหค้ าแนะนาเมอ่ื นักเรียนมีคาถาม 3. เน้นให้นักเรียนวิเคราะห์หาหลักฐานและขอ้ สรุปจากบทความ หลังการทากจิ กรรม (15 นาที) 4. ให้นักเรียนนาเสนอผลการทากิจกรรม ตอบคาถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกิจกรรมโดยใช้คาถามท้าย กิจกรรมเป็นแนวทาง เพ่ือให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า การสรุปองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยข้อมูล หลักฐานท่ีได้จากการศึกษาอย่างเป็นระบบ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้เม่ือมีหลักฐานท่ีน่าเชื่อถือมา สนับสนุนแนวคิดใหม่ และเม่ือมีหลักฐานใหม่เพิ่มข้ึนจะทาให้ความรู้เพ่ิมพูนชัดเจนขึ้น การสร้างองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ประกอบด้วย การต้ังคาถาม การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างคาอธิบายเช่ือมโยงจากข้อมูล และแนวคิดทางวทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื ตอบคาถาม และการสอื่ สารหรอื เผยแพร่องค์ความร้นู ้ัน 5. ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ จากนั้นตอบคาถามระหว่างเรียน และร่วมกัน อภิปรายเก่ียวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า วิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากศาสตร์ ความรู้แขนงอ่ืน ๆ ซึ่งเรียกว่า ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ การมองปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์มี ลักษณะเฉพาะตัว เช่น วิทยาศาสตร์มองว่า สิ่งต่าง ๆ สามารถทาความเข้าใจได้โดยอาศัยหลักฐานสนับสนุน การแปลผล และสรปุ เป็นองค์ความรู้ด้วยสตปิ ัญญาของมนุษย์ แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีหลักฐานเพ่ิมเติมทเี่ ชื่อถือ ได้และนามาสร้างคาอธิบายใหม่ การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะเฉพาะเช่นกัน โดยเป็นการรวบรวม ข้อมูลหลักฐานเพ่ือนามาสร้างคาอธิบาย หรือตอบคาถามในสิ่งท่ีสงสัย โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการต่าง ๆ ท่ีเป็นระบบ แต่มีลาดับขั้นตอนท่ีไม่ตายตัว วิทยาศาสตร์เป็นกิจการทางสัมคมที่ซับซ้อนของมนุษยชาติ มีหลายมิติท้ังในระดับ บุคคล สังคม หรือองค์กร แตกแขนงเป็นสาขาต่าง ๆ แต่หลักการหรือคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์มีความเป็นสากล เช่น สสถถาาบบนัันสสง่ง่ เเสสรรมิมิ กกาารรสสออนนววิทิทยยาาศศาาสสตตรรแ์แ์ ลละะเเททคคโโนนโโลลยยีี