100
ภมู ลิ กั ษณเ์ ดน่ ในประเทศไทย101 ยุทธ ศรทตั ต์ ผู้เขยี น ส่วนเดก็ เลก็ รองศาสตราจารย์ ดร.ทศิ นา แขมมณี ผู้เรียบเรียง โลกที่เราอาศยั อยมู่ ีพ้ืนผวิ โลกท่ีมีลกั ษณะแตกต่างกนั บางแห่งเป็น ทร่ี าบลมุ่ มหี ว้ ย หนอง คลอง บงึ อยทู่ ว่ั ไป บางแห่งเป็นทร่ี าบสูง มภี เู ขาหินปนู ทิวเขา สวนหิน และถ้ำ� กระจายอยตู่ ามเชิงเขาต่าง ๆ บางพ้ืนที่เป็นท่ีราบติด ทะเล มีทะเลสาบ อ่าว และเกาะแก่งจำ� นวนมาก นอกจากน้นั ยงั มีพ้ืนท่ีบาง แห่งเป็นเทือกเขาสูงชนั เตม็ ไปดว้ ยภูเขาสูง ๆ ต่ำ� ๆ มีหุบเขา น้ำ� ตก ลำ� ธาร นอ้ ยใหญม่ ากมาย พ้นื ท่ีแต่ละแห่งลว้ นมีความสวยงามและแปลกแตกตา่ งกนั ผคู้ นจึงนิยมไปท่องเที่ยวเพื่อชมทศั นียภาพที่สวยงามเหล่าน้นั
102 ลกั ษณะของพ้นื ผวิ โลกท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติน้ี เรียกวา่ ภูมิลกั ษณ์ สาเหตสุ ำ� คญั ท่ีทำ� ใหโ้ ลกมีภมู ิลกั ษณ์แตกตา่ งกนั หลากหลายลกั ษณะกค็ อื การ เคลอ่ื นทข่ี องแผน่ เปลอื กโลก เน่ืองจากโลกประกอบดว้ ยแผน่ เปลอื กโลกจำ� นวน มาก เมอื่ แผน่ เปลอื กโลกเกิดการเคลอื่ นท่ีชนกนั อาจทำ� ใหเ้ ปลอื กโลกถกู ดนั สูงข้ึนกลายเป็นภูเขานอ้ ยใหญ่ หรืออาจเกิดการยบุ ตวั ลงเป็นหุบเหว ร่องลกึ ต่าง ๆ นอกจากน้ี กระบวนการทางธรรมชาติ ซ่ึงไดแ้ ก่ แสงแดด ลม ฝน ความช้ืน ยงั สามารถกดั กร่อนดิน หิน แร่ตา่ ง ๆ ที่มอี ยใู่ นโลกใหค้ อ่ ย ๆ ผพุ งั แตกสลายไป รวมท้งั น้ำ� ซ่ึงตกจากภูเขาและไหลลงมายงั เบ้ืองล่างทำ� ใหเ้ กิด ลำ� ธารนอ้ ยใหญ่ที่ไหลไปรวมกนั กลายเป็นแม่น้ำ� ลำ� คลองต่าง ๆ ตลอดจน ดินและหินท่ีถกู น้ำ� กดั เซาะ กจ็ ะไหลลงมาสะสมทบั ถมกนั จนเกิดเป็นที่ราบได้ พ้นื ท่ีหุบเขามีแม่น้ำ� ไหลผา่ น มีการทำ� นาแบบข้นั บนั ได พบมากทางภาคเหนือ ประเทศไทยมีภูมิลกั ษณ์เด่นที่แตกต่างกนั ในแต่ละภาค ดงั น้ี ภาคเหนือ มีภูมิลกั ษณ์เป็นเทือกเขาสูงชนั สลบั ซบั ซอ้ น พ้นื แผน่ ดิน มรี อยแตกรอยเลอื่ นทำ� ใหน้ ้ำ� ร้อนใตด้ ินไหลข้นึ มาเกิดเป็นพนุ ้ำ� รอ้ น ส่วนน้ำ� ตก จากเทือกเขากไ็ หลสู่เบ้ืองลา่ งเกิดเป็นลำ� ธาร แมน่ ้ำ� หลอ่ เล้ยี งชีวติ ผคู้ นท่ีอาศยั อยใู่ นบริเวณน้นั
103 ภาคกลาง มีภูมิลกั ษณ์เป็ นที่ราบลุ่มซ่ึงเกิดจากการสะสมตะกอนท่ี แม่น้ำ� สำ� คญั หลายสายพดั พามาจากภูเขาสูง ภาคตะวนั ออก มีภูมิลกั ษณ์เป็นท่ีราบเนินเต้ีย ๆ ระหวา่ งทิวเขา และ ทิวเขาสูงสลบั กบั ท่ีราบ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน มีภูมิลกั ษณ์เป็นที่ราบสูง ซ่ึงเกิดจากการชนกนั ของแผน่ เปลอื กโลก ทำ� ใหพ้ ้นื ทซี่ ่ึงเคยเป็นทรี่ าบถกู ยกสูง ข้นึ กลายเป็นท่ีราบสูง การคดโคง้ ของช้นั หินและรอยแตกในช้นั หินทำ� ใหเ้ กิด ภเู ขาหินปนู ยอดแหลม ถ้ำ� และโพรงตา่ ง ๆ ภาคใต้ มีภูมิลกั ษณ์เป็ นคาบสมุทร มีทะเลลอ้ มรอบ ๒ ดา้ น มี ทะเลสาบ อ่าว และเกาะแก่งจำ� นวนมาก ประเทศไทยเป็นประเทศทมี่ ภี มู ลิ กั ษณส์ วยงามแตกตา่ งกนั หลากหลาย ชาวตา่ งประเทศจงึ นิยมเขา้ มาทอ่ งเทย่ี วเพอ่ื ชมทศั นียภาพทสี่ วยงามแปลกตาและ แตกต่างจากที่เคยเห็น คนไทยจึงควรภูมิใจในทอ้ งถิ่นไทย และช่วยกนั ดูแล รักษาภูมิลกั ษณ์ของประเทศใหอ้ ยใู่ นสภาพที่ดีตลอดไป เกาะแก่งท่ีมีจำ� นวนมากในภาคใต้
104 ส่วนเดก็ กลาง รองศาสตราจารย์ ดร.ทศิ นา แขมมณี ผู้เรียบเรียง โลกท่ีเราอาศยั อยนู่ ้ีเป็นโลกท่ีมีบริเวณกวา้ งขวางมาก พ้นื ท่ีแต่ละแห่งมีลกั ษณะที่ เหมือนกนั บา้ ง แตกต่างกนั บา้ ง นกั ธรณีวิทยาคือผทู้ ่ีศึกษาพ้ืนผิวโลกตามโครงสร้างทาง ธรณีวทิ ยา ไดจ้ ดั จำ� แนกพ้นื ผวิ โลกออกเป็นลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น เป็นท่ีราบ ที่ราบสูง ภเู ขา หุบเขา ทะเลสาบ ทะเล อา่ ว แหลม มหาสมทุ ร การศกึ ษาของนกั ธรณีวทิ ยาช่วยใหเ้ รามี ความรู้ความเขา้ ใจในภมู ลิ กั ษณห์ รือลกั ษณะของพ้นื ผวิ โลกท่ีเกิดข้นึ ตามธรรมชาติ การไดเ้ หน็ โลกกวา้ งจากประสบการณต์ รงคอื ไดไ้ ปพบไปเหน็ ภมู ลิ กั ษณต์ า่ งๆดว้ ย ตนเอง หรือการไดช้ มภมู ลิ กั ษณท์ ี่แปลกตาของประเทศตา่ ง ๆ ผา่ นทางส่ือและเทคโนโลยี ได้ ชมภาพถา่ ยทมี่ ที ศั นียภาพทส่ี วยงาม น่าตน่ื ตาตนื่ ใจ ยอ่ มชวนใหน้ ่าสงสยั วา่ ภมู ลิ กั ษณเ์ หลา่ น้นั เกิดข้นึ มาไดอ้ ยา่ งไร นกั ธรณีวทิ ยาสามารถอธิบายไดว้ า่ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ของพ้นื ผวิ โลกน้นั เกิด ข้นึ จากเหตหุ รือปัจจยั สำ� คญั ๔ ประการ คอื ๑. การเคล่ือนทข่ี องแผ่นเปลือกโลก โลกประกอบดว้ ยแผน่ เปลือกโลกจำ� นวนมาก เม่ือแผน่ เปลือกโลกแผน่ หน่ึงหรือหลายแผน่ เกิดการเคล่ือนท่ีไปชนกนั หรือแยกออกจากกนั อาจทำ� ใหเ้ กิดแผน่ ดินไหว รวมท้งั เปลือกโลกบางส่วนถกู ดนั ใหส้ ูงข้ึนเกิดเป็นเทือกเขา หรือ แผน่ เปลอื กโลกบางส่วนอาจยบุ ตวั ลงไป ทำ� ใหเ้ กิดหุบเหว หนา้ ผาสูงชนั และท่ีราบระหวา่ ง ภเู ขา นอกจากน้นั การชนกนั ของแผน่ เปลอื กโลกยงั ทำ� ใหเ้ กิดรอยเลอ่ื น รอยคดโคง้ รอยแตก และรอยแยก รวมท้งั การยกตวั ข้นึ และการจมตวั ลงของเปลอื กโลกดว้ ย ๒. การผพุ งั อย่กู บั ท่ี หินเปลือกโลกเม่ือถูกแดด ฝน ความช้ืน และอณุ หภมู ิท่ี สูงข้นึ หรือต่ำ� ลง รวมท้งั ส่ิงมชี ีวติ จำ� พวกเช้ือราและมอสส์เป็นเวลานาน กจ็ ะคอ่ ย ๆ ผสุ ลายไป หรื อเกิดเป็ นรอยแตกและรอยแยกข้นึ
105 ๓. การกร่อน พ้นื ผวิ โลกซ่ึงไดแ้ ก่ ดิน หิน และแร่ตา่ ง ๆ เกิดการกร่อนและผพุ งั สลายไปไดโ้ ดยแมน่ ้ำ� ลำ� ธาร ลม คลนื่ กระแสน้ำ� ธารน้ำ� แขง็ ๔. การทบั ถม ดิน หิน แร่ และตะกอนตา่ ง ๆ ที่ถกู น้ำ� พดั พามาอาจมาทบั ถมสะสม กนั ในท่ีใดที่หน่ึง ทำ� ใหเ้ กิดช้นั หินตะกอนท่ีมภี มู ลิ กั ษณต์ า่ ง ๆ กระบวนการทางธรรมชาติท้งั ๔ ประการที่เกิดข้ึนอยา่ งต่อเน่ืองยาวนานนบั เป็น หลายรอ้ ยลา้ นปีดงั กลา่ ว เป็นสาเหตสุ ำ� คญั ทที่ ำ� ใหโ้ ลกเกดิ ภมู ลิ กั ษณต์ า่ งๆดงั ทเ่ี หน็ อยใู่ นปัจจบุ นั ตามโครงสร้างทางธรณีวทิ ยา ประเทศไทยมีภมู ิลกั ษณ์เด่นกระจายอยตู่ ามภมู ิภาค ตา่ ง ๆ ดงั น้ี ๑. ภาคเหนือ บริเวณน้ีมีภูมิลกั ษณ์เป็นเทือกเขาสูงชนั สลบั ซบั ซอ้ น วางตวั ในแนวทิศเหนือ-ใต้ และตะวนั ออกเฉียงเหนือ-ตะวนั ตกเฉียงใต้ เป็นบริเวณท่ีเกิดข้นึ จากการยกตวั ของแผน่ เปลอื ก โลก พ้นื แผน่ ดินมรี อยแตก รอยเลอื่ น ทำ� ใหน้ ้ำ� ร้อนใตด้ ินไหลหรือพงุ่ ข้นึ มา เกิดเป็นพนุ ้ำ� ร้อน หรือท่ีคนทว่ั ไปเรียกกนั วา่ น้ำ� พรุ ้อน ส่วนน้ำ� ที่ตกลงมาจากเทือกเขาจะไหลมารวมกนั เกิดเป็น ลำ� ธาร แมน่ ้ำ� ลำ� คลอง หลอ่ เล้ยี งผคู้ นที่อาศยั อยใู่ นบริเวณน้นั พนุ ้ำ� ร้อนโป่ งเดือดป่ าแป๋ ในอทุ ยานแห่งชาตหิ ว้ ยน้ำ� ดงั บา้ นแมแ่ สะ อำ� เภอแมแ่ ตง จงั หวดั เชียงใหม่
106 ๒. ภาคกลาง บริเวณพ้ืนท่ีภาคกลางมีภูมิลกั ษณ์เป็นที่ราบลุ่ม เกิดจากการสะสมของตะกอนที่ แมน่ ้ำ� ปิ ง วงั ยม น่าน และอน่ื ๆ พดั พาจากภเู ขาสูงทางตอนเหนือและภาคอน่ื ๆ ของประเทศ มาสะสมกนั ในพ้นื ที่ตอนลา่ ง จนกลายเป็นที่ราบกวา้ งใหญเ่ ป็นผนื เดียวกนั ที่ราบภาคกลางเหมาะสำ� หรับทำ� นา และเพาะปลูกพชื สวนพืชไร่ ๓. ภาคตะวนั ออก ตอนบนมีลกั ษณะเป็นที่ราบและพ้ืนท่ีลอนลาดระหวา่ งทิวเขาท่ีเป็นขอบท่ีราบสูง โคราชกบั ทิวเขาตอนกลางของภาคตะวนั ออก ตอนกลางมีลกั ษณะเป็ นทิวเขาสูงสลบั กบั ที่ราบและพ้ืนที่ลอนลาดท่ีวางตวั ในแนวเหนือ-ใต้ ซ่ึงมีภูมิลกั ษณ์ที่แปลกตาอนั เกิดจากการ กดั กร่อนของหินทรายและหินแกรนิต ที่ราบและพ้ืนท่ีลอนลาดในภาคตะวนั ออก
๔. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 107 บริเวณน้เี รียกวา่ ทร่ี าบสงู โคราช เดมิ เป็นแอง่ สะสมตะกอนทรายหนาราว ๔,๐๐๐ ภเู ขาหินทราย ท่ีอทุ ยานแห่งชาติผาแตม้ อำ� เภอโขงเจียม จงั หวดั อบุ ลราชธานี เมตร ตอ่ มาแผน่ เปลอื กโลกเกิดการชนกนั ทำ� อา่ วเมาะและ ที่อทุ ยานแห่งชาติตะรุเตา อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั สตลู ใหแ้ อง่ น้นั ถกู ยกตวั ข้นึ เป็นที่ราบสูง ช้นั หิน ถกู กดั กร่อน เกิดการคดโคง้ เอยี งเท เกิดรอย แตกและรอยแยก โดยขอบของที่ราบสูง ทางตะวนั ตกซ่ึงเป็นหินปนู เกดิ การคดโคง้ เป็น ภูเขามียอดแหลม รวมท้งั เกิดแตกรอยแยก และเกิดถ้ำ� และโพรง ๕. ภาคใต้ บริเวณน้ีมลี กั ษณะเป็นคาบสมทุ ร มที ะเลลอ้ มรอบ๒ดา้ น ประกอบดว้ ย ทวิ เขา หุบเขา และทรี่ าบระหวา่ งหุบเขา โดยมแี มน่ ้ำ� สายส้นั ๆไหลผา่ น ตอนกลางของคาบสมทุ ร มคี วามสูงทคี่ อ่ ยๆลดลงและลาดตำ่� ลงสู่ทะเล และยงั มีที่ราบชายฝ่ังทะเลท่ีมีความแตกต่าง กนั คอื ชายฝงั่ ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของคาบสมทุ ร เป็นแนวชายฝ่ังยกตวั ทมี่ ลี กั ษณะราบเรียบตอ่ เน่ืองกนั แตช่ ายฝั่งทะเลทางทิศตะวนั ตกเป็น ชายฝ่ังแบบจมตวั ลง มลี กั ษณะแคบ มคี วาม ชนั และเวา้ แหวง่ ประกอบดว้ ยอ่าวและเกาะ จำ� นวนมาก การศกึ ษาทางธรณีวทิ ยาชว่ ยใหเ้ รา เขา้ ใจความแตกตา่ งของภมู ลิ กั ษณข์ องพ้นื ทท่ี ี่ เราอาศยั อยแู่ ละปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ข้นึ รวมท้งั ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจธรรมชาติ และเรียนรูท้ จ่ี ะอยรู่ ่วม กบั ธรรมชาติอยา่ งสอดคลอ้ งและเก้ือกลู กนั
108 ส่วนเดก็ โต ยุทธ ศรทตั ต์ ผู้เขยี น ๑. ความหมายของภมู ลิ กั ษณ์ ๒.๑ การเคลื่อนท่ีของแผ่นเปลือกโลก (Plate tectonics) “ภูมิลกั ษณ์” มีความหมายตรงกบั คำ� ภาษา องั กฤษว่า landform หมายถึง แบบรูปหรือ เป็นการเคลอื่ นตวั ของธรณีภาค(lithosphere) ลกั ษณะของพ้ืนผิวโลกที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ ซ่ึงประกอบดว้ ยเปลอื กโลก(crust) และช้นั นอกสุด ประกอบดว้ ยหน่วยธรณีสณั ฐาน (geomorpholo- ของเน้ือโลก(mantle) ซ่ึงมลี กั ษณะแขง็ ไมย่ ดื หยนุ่ gical unit) ตา่ ง ๆ กนั เช่น เนิน ภเู ขา ท่ีราบสูง รองรบั อยู่ เนื่องมาจากกระแสไหลวน(convection ท่ีราบ หุบเขา ทะเลสาบ ทะเล มหาสมทุ ร อา่ ว current)ภายในโลก ทำ� ใหแ้ ผน่ เปลอื กโลกเคลอื่ นที่ แหลม คาบสมทุ ร สนั กลางมหาสมทุ ร ภเู ขาไฟ เปลยี่ นรูปร่าง การเคลอื่ นท่ีของแผน่ เปลอื กโลกมี หรืออาจกลา่ วไดว้ า่ เป็นลกั ษณะทางกายภาพของ ๓ ลกั ษณะ คือ เคล่ือนท่ีออกจากกนั เคล่ือนท่ี พ้นื ผวิ โลกที่เกิดข้นึ ตามธรรมชาติ เขา้ หากนั และเคลอ่ื นท่ีผา่ นกนั ๒. ปัจจยั การเกดิ ภมู ลิ กั ษณ์ การเคลื่อนท่ีดงั กล่าวก่อใหเ้ กิดการเปล่ียน- แปลงของเปลอื กโลก ดงั น้ี การเกิดภูมิลกั ษณ์เป็ นผลจากปัจจยั ต่าง ๆ ดงั น้ี ๑)แผน่ เปลอื กโลกภาคพ้นื ทวปี ชนกนั กอ่ ให้ เกิดเทือกเขา ตวั อยา่ งเช่น เทือกเขาหิมาลยั ท่ีเกิด จากการชนกนั ของแผน่ เปลอื กโลกอนิ เดยี และยเูรเชยี เมอ่ื ประมาณ ๕๐ ลา้ นปี ที่แลว้ ขอบแผน่ ธรณีภาคเคล่ือนที่ออกจากกนั ขอบแผน่ ธรณีภาคเคล่ือนท่ีเขา้ หากนั ขอบแผน่ ธรณีภาคเคล่ือนท่ีผา่ นกนั ลกั ษณะการเคล่ือนทข่ี องแผ่นเปลือกโลก
๒) แผน่ เปลอื กโลกภาคพ้นื ทวปี ชนกบั แผน่ 109 เปลอื กโลกภาคพน้ื มหาสมทุ รโดยแผน่ เปลอื กโลก ภาคพน้ื มหาสมทุ รทม่ี คี วามหนาแนน่ มากกวา่ มดุ ลง ๒.๓ การกร่อน (Erosion) ใตแ้ ผน่ เปลอื กโลกภาคพ้นื ทวปี ตวั อยา่ งเช่น แนว ชายฝ่ังประเทศเปรูและชิลี ซ่ึงเป็นแนวของร่องลกึ การกร่ อนเป็ นกระบวนการธรรมชาติที่ผิว ใตส้ มุทร (trench) ท่ีเกิดจากแผน่ เปลือกโลกภาค โลก ไดแ้ ก่ ดิน หิน และแร่เกิดการกร่อนและผุ พ้นื มหาสมทุ รนาสกา (Nazca plate) มดุ ลงใตแ้ ผน่ พงั ทำ� ลาย โดยแมน่ ้ำ� ลำ� ธาร น้ำ� ใตด้ ิน ลม คลน่ื เปลอื กโลกภาคพ้นื ทวปี ท่ีเป็นทวปี อเมริกาใต้และ กระแสน้ำ� ธารน้ำ� แขง็ ฯลฯ เทอื กเขาแอนดีสทเ่ี กิดจากแผน่ เปลอื กโลกภาคพ้นื ทวปี ถกู ดนั ใหส้ ูงข้นึ ๒.๔ การทบั ถม (Deposition) ๓)แผน่ เปลอื กโลกภาคพน้ื มหาสมทุ รชนกนั การสะสมตวั เป็นกระบวนการธรรมชาตทิ ผี่ วิ โดยแผน่ เปลือกโลกภาคพ้ืนมหาสมุทรท่ีมีความ โลก ไดแ้ ก่ ดิน หิน แร่ และตะกอนตา่ ง ๆ ถกู หนาแน่นมากกวา่ มดุ ลงใตแ้ ผน่ เปลอื กโลกภาคพ้นื เคลอื่ นยา้ ยมาสะสมตวั ในที่แห่งใหม่ มหาสมทุ รทมี่ คี วามหนาแน่นนอ้ ยกวา่ ตวั อยา่ งเชน่ แผน่ เปลอื กโลกภาคพน้ื มหาสมทุ รแปซฟิ ิกทเ่ี คลอ่ื นที่ ประเทศไทยประกอบดว้ ยแผน่ เปลือกโลก เร็วกวา่ เขา้ ชนกบั แผน่ เปลอื กโลกภาคพน้ื มหาสมทุ ร ภาคพ้ืนทวีป (continental plate) ๒ แผ่น คือ ของหมเู่ กาะฟิ ลิปปิ นส์ ทำ� ใหเ้ กิดร่องลึกใตส้ มทุ ร จุลทวีปชาน-ไทย (Shan-Thai microcontinent) มาเรียนา (Mariana trench) ทางตะวนั ตก และจุลทวปี อินโดจีน (Indochina microcontinent) ทางตะวนั ออก ท่ีเคลื่อนท่ีมา การเคลื่อนท่ีดงั กล่าวยงั ก่อใหเ้ กิดรอยเลื่อน ประชิดติดกนั และเกิดการชนแบบทวปี ต่อทวปี (fault) รอยคดโคง้ (fold) การยกตวั ของเปลอื กโลก (uplift) การจมตวั ลงของเปลอื กโลก (subsidence) แผน่ เปลือก แผน่ เปลือกโลก จีน การปะทขุ องภเู ขาไฟ (volcanic eruption) เป็นตน้ โลกเมียนมา ชาน-ไทย แผน่ เปลือกโลก ตะวนั ตก ๒.๒ การผพุ งั อย่กู บั ที่ (Weathering) จีนใต้ เมียนมา การผพุ งั อยกู่ บั ที่เป็นกระบวนการธรรมชาติ ที่ผวิ โลกซ่ึงประกอบดว้ ยดิน หิน แร่ ถกู ยอ่ ยสลาย เลย โดยการกระทำ� ของสภาพบรรยากาศและส่ิงมีชีวติ การกระทำ� ของสภาพบรรยากาศ ไดแ้ ก่ อณุ หภมู ทิ ี่ แผน่ เปลือกโลก เปลี่ยนแปลงและความช้ืนของอากาศ สิ่งมีชีวิต ไทย อินโดจีน เช่น พวกเช้ือรา มอสส์ (moss) ส่วนหินเปลอื ก โลกเมอื่ สมั ผสั กบั แดดฝนเป็นเวลานานจะคอ่ ยๆผุ กรุงเทพมหานคร กมั พชู า สลายลง เกิดเป็นรอยแตกรอยแยกข้นึ ในเน้ือหิน แผน่ เปลือกโลก เวยี ดนาม ชาน-ไทย สุราษฎร์ธานี ภูเกต็ สตูล เกาะสุมาตรา มาเลเซีย อินโดนีเซีย แผนท่ีแสดงขอบเขตแผน่ เปลือกโลกของประเทศไทยและ ภูมิภาคใกลเ้ คียง
110 ๓.๑ บริเวณภาคเหนือ (continent-continent collision) เมื่อราว ๒๒๐ บริเวณน้ีส่วนใหญม่ ีภมู ิลกั ษณ์เป็นเทือกเขา ลา้ นปี มาแลว้ แผน่ เปลือกโลกจุลทวปี ชาน-ไทย (mountain range) สูงชนั ที่สลบั ซบั ซ้อนวางตวั ไดแ้ ก่ พ้นื ทด่ี า้ นตะวนั ตกท้งั หมดของประเทศไทย ในแนวทิศหนือ-ใต้ และทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือ- ปัจจบุ นั และซีกตะวนั ตกของชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออก ตะวนั ตกเฉียงใต้ ต่อเน่ืองมาจากเทือกเขาหิมาลยั ส่วนตำ� แหน่งของแผน่ เปลอื กโลกจลุ ทวปี อนิ โดจนี และเทือกเขาในท่ีราบสูงชานและหยนุ หนานหรือ ในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ พ้นื ที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ยนุ นาน ซ่ึงถอื เป็นตน้ กำ� เนิดของทางน้ำ� สายสำ� คญั ท้งั หมดบริเวณท่ีอยรู่ ะหวา่ งแผน่ เปลอื กโลกท้งั ๒ หลายสายทไ่ี หลลงสู่ตอนใตผ้ า่ นบริเวณทอี่ ยรู่ ะหวา่ ง แผน่ เป็นแนวคดโคง้ สุโขทยั และเลย (Sukhothai- หุบเขาทเี่ รียกวา่ ทร่ี าบลมุ่ ระหวา่ งหุบเขา เกดิ จากการ Loei foldbelt) เช่ือวา่ เป็นบริเวณขอบทวปี ท่ีเป็น ยกตวั ของแผน่ เปลอื กโลกเมอื่ ประมาณ๒๒๐-๖๕ ระบบหมเู่ กาะภเู ขาไฟรูปโคง้ (volcanic arc) เกาะ ลา้ นปี มาแลว้ ผนื แผน่ ดินมีรอยแตกรอยเลื่อนเป็น รูปโคง้ และร่องลึกกน้ สมุทร (arc-trench system) ชอ่ งทางใหน้ ้ำ� รอ้ นใตด้ นิ ไหลข้นึ มาเกดิ เป็นพนุ ้ำ� รอ้ น ท่ีเกิดจากการชนกนั ของแผน่ เปลือกโลกดงั กล่าว มรี อยเลอ่ื นทย่ี งั มพี ลงั อยกู่ อ่ ใหเ้ กดิ แผน่ ดนิ ไหว เชน่ การเคลอ่ื นทขี่ องแผน่ เปลอื กโลกทำ� ใหแ้ ผน่ เปลอื ก รอยเล่ือนแมจ่ นั มีทางน้ำ� ไหลแรงตลอดปี มีถ้ำ� มี โลกเกิดโครงสร้างธรณีวทิ ยาตา่ ง ๆ เช่น แนวคด น้ำ� ตกท่ีตกจากเทือกเขาสูงและหนา้ ผาสูงชนั ขอบ โคง้ แนวแตก รอยเลอ่ื นตา่ ง ๆ การแทรกซอนของ เขตทางดา้ นตะวนั ออกติดประเทศลาวมีทิวเขา หินอคั นี การปะทขุ องภเู ขาไฟ การแปรสภาพของ หลวงพระบางก้นั พรมแดนทอดตวั ลงมาทางทศิ ใต้ หิน (metamorphism) ชนิดตา่ ง ๆ การยบุ ตวั และ ยาวประมาณ๕๙๐กิโลเมตรเป็นทวิ เขาทปี่ ันน้ำ� ลง การยกตวั ของแผ่นดิน (land subsidence and สู่แมน่ ้ำ� โขงทางตะวนั ออก และลงสู่แมน่ ้ำ� ยมและ uplift) ทำ� ใหเ้ กดิ ภเู ขา หุบเขา หว้ ย ทร่ี าบ และแอง่ แม่น้ำ� น่านทางตะวนั ตก ส่วนทางเหนือและทาง ตอ่ มากระบวนการผพุ งั อยกู่ บั ที่ การกร่อน และการ ตะวนั ตกของบริเวณน้ีตดิ ประเทศเมยี นมา มที วิ เขา สะสมตวั ทำ� ใหเ้ กิดช้นั หินตะกอน และการขดั เกลา แดนลาวและทวิ เขาถนนธงชยั ก้นั พรมแดน ทวิ เขา จนเกดิ เป็นภมู ลิ กั ษณต์ า่ ง ๆ ทเี่ หน็ อยใู่ นปัจจบุ นั แดนลาวมคี วามยาวประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตรและ มีความยาวต่อเนื่องมาจากเทือกเขาสูงในประเทศ ๓. ภมู ลิ กั ษณ์เด่นในประเทศไทย เมยี นมาทอดตวั ลงมาทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตบ้ รรจบ กบั ทิวเขาถนนธงชยั ซ่ึงประกอบดว้ ยทิวเขาท่ีสลบั ปัจจยั การเกดิ ภมู ลิ กั ษณด์ งั กลา่ วทำ� ใหป้ ระเทศ ซบั ซอ้ นวางตวั ในแนวทิศเหนือ-ใตร้ วมความยาว ไทยมีภูมิลกั ษณ์เด่นกระจายอยตู่ ามภูมิภาคต่าง ๆ ประมาณ ๘๘๐ กิโลเมตร ตอนกลางของบริเวณน้ี และโดยการอาศยั ลกั ษณะภูมิสัณฐาน (geomor- ประกอบดว้ ยทิวเขาซบั ซอ้ นที่วางตวั ในแนวทิศ phology)ระดบั ความสูง โครงสร้างทางธรณีวทิ ยา ตะวนั ออกเฉียงเหนือ-ตะวนั ตกเฉียงใตย้ าวประมาณ ตลอดจนชนิดและการเรียงลำ� ดบั ของช้นั หินเป็น ๔๑๒ กิโลเมตร โดยทวั่ ไปเรียกวา่ ทิวเขาผปี ันน้ำ� เกณฑท์ ำ� ใหป้ ระเทศไทยมภี มู ลิ กั ษณเ์ ดน่ ในภมู ภิ าค ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
111 แพะเมืองผี ตำ� บลน้ำ� ซำ� อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั แพร่ แสดงถึง ภูช้ีฟ้า ในพ้ืนท่ีวนอุทยานภูช้ีฟ้า ตำ� บลตบั เต่า อำ� เภอเทิง จงั หวดั เชียงราย อตั ราการกร่อนและผพุ งั อยกู่ บั ที่ของช้นั ตะกอนที่สะสมตวั ใหม่ บริเวณชายแดนดา้ นตะวนั ออกติดกบั ประเทศลาว มีลกั ษณะเป็ นหนา้ ผาสูง และยงั ไม่แขง็ ตวั ๒ ช้นั ที่มีส่วนประกอบและความละเอียด มียอดแหลมหนั ปลายช้ีข้ึนไปบนทอ้ งฟ้า เป็นจุดชมทศั นียภาพ สามารถมอง แตกต่างกนั เห็นแมน่ ้ำ� โขงและประเทศลาว ท่ีราบลุ่มระหวา่ งหุบเขา ริมฝั่งซา้ ยของแม่น้ำ� ปิ ง บริเวณ ออบหลวงบริเวณแม่น้ำ� แม่แจ่ม ตำ� บลหางดง อำ� เภอฮอด จงั หวดั เชียงใหม่ บา้ นดงดำ� ตำ� บลฮอด อำ� เภอฮอด จงั หวดั เชียงใหม่ เป็ นพ้ืนที่ภูเขาสูงที่มีหินแปรเกรดสูงอนั เนื่องมาจากการเกิดธรณีแปรสัณฐาน ในช่วงยคุ ไทรแอสซิก ตามดว้ ยกระบวนการกร่อนโดยธารน้ำ� ซ่ึงเป็นสาขาของ หรือแปลวา่ ทิวเขาที่เทวดาปันน้ำ� ให้ เนื่องจาก แม่น้ำ� ปิ ง เกิดเป็นร่องลึก ช่องแคบและหนา้ ผาชนั ปันน้ำ� ใหไ้ หลไปทางทิศเหนือ ไดแ้ ก่ แมน่ ้ำ� ฝาง น้ำ� แมก่ ก น้ำ� แมจ่ นั และน้ำ� แมอ่ ิง แมน่ ้ำ� เหลา่ น้ี ลว้ นไหลลงสู่แมน่ ้ำ� โขง ส่วนน้ำ� ที่ทิวเขาน้ีปันลง ไปทางทิศใต้ ไดแ้ ก่ แมน่ ้ำ� ปิ ง วงั ยม น่าน
112 อตุ รดิตถ์ สุโขทยั พษิ ณุโลก พจิ ิตร กำ� แพงเพชร และต่อเน่ืองลงมาถึงบริเวณปากน้ำ� โพ จงั หวดั ๓.๒ บริเวณภาคกลาง นครสวรรค์ทแี่ มน่ ้ำ� ปิง วงั ยม น่านไหลมาบรรจบ กนั เป็นแม่น้ำ� เจา้ พระยา โดยมีลกั ษณะเป็นพ้ืนที่ เป็นแอง่ สะสมตะกอนมภี มู ลิ กั ษณเ์ ป็นทร่ี าบ ลอนลาด (undulating terrain) ประกอบดว้ ยที่ราบ กวา้ งใหญ่อยตู่ อนกลางของประเทศ ครอบคลุม น้ำ� ทว่ มถงึ (flood plain) ตะพกั ลมุ่ น้ำ� (terrace) และ พ้นื ท่ีราบลมุ่ เจา้ พระยาท้งั หมด ที่ราบลมุ่ น้ีเป็นผล ท่ีลุ่มน้ำ� ขงั (swamp) ส่วนตอนล่างต้งั แต่บริเวณ จากการสะสมตะกอนโดยแมน่ ้ำ� สายสำ� คญั ๆ ไดแ้ ก่ ปากน้ำ� โพลงมาจนถงึ ปากแมน่ ้ำ� เจา้ พระยาทจี่ งั หวดั แมน่ ้ำ� ปิ ง แมน่ ้ำ� วงั แมน่ ้ำ� ยม และแมน่ ้ำ� น่าน ซ่ึง สมทุ รปราการ บริเวณขอบทางตะวนั ตกของทร่ี าบลมุ่ เป็นระบบทางน้ำ� ท่ีพดั พาตะกอนจากภูเขาสูงทาง ภาคกลางมภี มู ลิ กั ษณเ์ ดน่ ชดั ของลานตะกอนรูปพดั ตอนเหนือของประเทศไทย แมน่ ้ำ� แมก่ ลอง แมน่ ้ำ� (alluvial fan) ๓ บริเวณ ไดแ้ ก่ พ้ืนท่ีบางส่วน สะแกกรัง และแมน่ ้ำ� ป่ าสกั รวมท้งั แมน่ ้ำ� ลพบรุ ี ของจงั หวดั กำ� แพงเพชร พิจิตร และพิษณุโลก และแมน่ ้ำ� บางปะกง ซ่ึงเป็นระบบทางน้ำ� ที่พดั พา พน้ื ทบ่ี างส่วนของจงั หวดั อทุ ยั ธานี นครสวรรค์ และ ตะกอนจากท่ีสูงทางตะวนั ตกและตะวนั ออกของ ชยั นาท และพ้นื ท่ีบางส่วนของจงั หวดั สุพรรณบรุ ี ประเทศไทยตามลำ� ดบั มาสะสมในพ้นื ทตี่ อนลา่ ง ของประเทศที่เคยอยใู่ ตร้ ะดบั น้ำ� ทะเลมาก่อน จน บริเวณทวิ เขาเลย-เพชรบรู ณค์ รอบคลมุ พ้นื ท่ี กลายเป็นที่ราบกวา้ งใหญเ่ ป็นผนื เดียวกนั โผลพ่ น้ จงั หวดั เลย เพชรบรู ณ์ และบางส่วนของจงั หวดั ระดบั น้ำ� ทะเล เป็นทร่ี าบกวา้ งใหญท่ ส่ี ุดในประเทศ พษิ ณุโลก พจิ ิตร นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ซ่ึงแผท่ อดยาวลงมาจนถึงอา่ วไทย มีเนินเขาและ และนครนายก ดา้ นตะวนั ตกติดต่อกบั ท่ีราบลุ่ม เขาโดด (monadnoch) ปรากฏใหเ้ ห็นเป็นหยอ่ ม ๆ ภาคกลาง ส่วนดา้ นตะวนั ออกติดตอ่ กบั ท่ีราบสูง ในเขตจงั หวดั นครสวรรค์ และตอนบนของทรี่ าบลมุ่ ภาคกลางที่ครอบคลุมพ้ืนที่บางส่วนของจงั หวดั ลกั ษณะพ้ืนท่ีทิวเขาสลบั ซบั ซอ้ น พ้ืนท่ีเกือบราบ และพ้ืนท่ีลอนลาดบริเวณอำ� เภอหล่มเก่า และอำ� เภอหล่มสกั จงั หวดั เพชรบูรณ์ ทางตอนเหนือของบริเวณทิวเขาเลย-เพชรบูรณ์
113 โคราช โดยมที วิ เขาเพชรบรู ณแ์ ละดงพญาเยน็ เป็น หินเทิน ท่ีตำ� บลพลวง อำ� เภอเขาคิชฌกูฏ จงั หวดั จนั ทบุรี เกิดจากหินแกรนิต แนวเขตแดน ทางทศิ เหนือตดิ ตอ่ ประเทศลาว และ มวลไพศาลที่แทรกซอนข้ึนมาบนผวิ โลกแลว้ แขง็ ตวั เม่ือประมาณ ๑๙๐ ลา้ นปี ทิศใตต้ ิดต่อกบั ทิวเขาสันกำ� แพง ลกั ษณะพ้ืนท่ี มาแลว้ หลงั จากน้นั มวลหินถูกยกตวั ข้ึน ช้นั หินที่ปกคลุมมวลหินถูกทำ� ลาย ประกอบดว้ ยทวิ เขาสลบั ซบั ซอ้ นยาวตอ่ เน่ืองวางตวั หมดไป ทำ� ใหม้ วลหินแกรนิตโผล่และเกิดการผกุ ร่อนตามรอยแตกหลุดออก ในแนวเหนือ-ใตเ้ ป็นส่วนใหญ่ และพน้ื ทเี่ กอื บราบ ไป ส่วนมวลหินท่ีมีเน้ือแน่นไม่มีรอยแตก การผกุ ร่อนจึงเกิดในลกั ษณะลอก (peneplain) ซ่ึงเกิดจากทวิ เขาถกู กดั กร่อนจนเกือบ ออกเป็นกาบ เหลือเป็นกอ้ นโคง้ มน ราบเป็นแนวขนานกนั ลงมาทางใต้ พบอยตู่ อนเหนอื หินเจดียส์ มอง ในอุทยานแห่งชาติปางสีดา บา้ นวงั ทะลุ ตำ� บลแก่งดินสอ อำ� เภอ ของพ้นื ที่ และพ้นื ที่ลอนลาดตอนกลางของพ้นื ที่ นาดี จงั หวดั ปราจีนบุรี เป็นกอ้ นหินทรายขนาดโดยประมาณ ๔x๓ เมตร เกิด ทวิ เขาเพชรบรู ณเ์ ป็นตน้ กำ� เนิดของแมน่ ้ำ� ป่ าสกั ซ่ึง การกร่อนและผพุ งั เน่ืองจากการหดและขยายตวั ของหินที่มีอุณหภูมิแตกต่าง ไหลเป็นแนวค่อนขา้ งตรงจากทิศเหนือลงทิศใต้ กนั อยา่ งมากระหวา่ งเวลากลางวนั และกลางคืน บริเวณสองฝั่งของแมน่ ้ำ� เกิดเป็นพ้นื ทต่ี ะพกั ลมุ่ น้ำ� กวา้ งและขนานกนั ไป บริเวณชายฝั่งทะเลมลี กั ษณะเป็นทรี่ าบอยรู่ ะหวา่ ง พ้นื ที่เชิงเขาหรือพ้นื ที่ลอนลาดท่ีขนานกบั ชายฝั่ง ๓.๓ บริเวณภาคตะวนั ออก ทะเลกวา้ งประมาณ ๕-๑๐ กิโลเมตร ซ่ึงเกิดจาก ครอบคลุมพ้ืนที่ต้งั แต่ตอนใตข้ องทิวเขา เพชรบรู ณ์และขอบดา้ นใตข้ องท่ีราบสูงโคราชตอ่ เนื่องลงมาถงึ ขอบอา่ วไทยตอนบน ซ่ึงอยใู่ นพ้นื ที่ จงั หวดั ชลบรุ ี ระยอง จนั ทบรุ ี ตราด และบาง ส่วนของจงั หวดั ฉะเชิงเทรา ปราจีนบรุ ี นครนายก และสระแกว้ โดยมีทิวเขาบรรทดั ซ่ึงมีความยาว ๑๔๔ กิโลเมตร เป็นแนวพรมแดนทางทิศตะวนั ออกระหวา่ งประเทศไทยและกมั พชู า ตอนบนมี ลกั ษณะเป็นทร่ี าบและพน้ื ทล่ี อนลาดระหวา่ งทวิ เขา ทเ่ี ป็นขอบทรี่ าบสูงโคราชกบั ทวิ เขาตอนกลางของ ภาคตะวนั ออก ตอนกลางมีลกั ษณะเป็นทิวเขาสูง สลบั กบั ท่ีราบและพ้นื ที่ลอนลาดที่วางตวั ในแนว เหนือ-ใต้ ซ่ึงมีภูมิลกั ษณ์แปลกตาท่ีเกิดจากการ กดั กร่อนของหินทรายและหินแกรนิต ในส่วนทร่ี าบประกอบดว้ ยตะกอนน้ำ� พาและ ลานตะพกั ถดั ลงมาตอนล่างมีลกั ษณะเป็นพ้ืนท่ี ลอนลาดสลบั กบั ที่ราบแคบ ๆ ซ่ึงตอ่ เนื่องมาจาก บริเวณที่เป็นภเู ขาขนานไปกบั ชายฝ่ังทะเล ต้งั แต่ จงั หวดั ชลบรุ ี ระยอง จนั ทบรุ ี จนถงึ จงั หวดั ตราด
114 ชะวากทะเลบริเวณปากแม่น้ำ� บางปะกง ตำ� บลท่าขา้ ม อำ� เภอ เมื่อราว ๒๒๐ ลา้ นปี มาแลว้ ภายหลงั จาก บางปะกง จงั หวดั ฉะเชิงเทรา การเชื่อมต่อของจุลทวีปชาน-ไทยและอินโดจีน แรงจากการเชอื่ มตอ่ ทำ� ใหแ้ ผน่ ทวปี ท้งั หมดโผลพ่ น้ การสะสมของตะกอนท่ีรุกล้ำ� เขา้ มาในผนื แผน่ ดิน ระดบั น้ำ� ทะเล เกิดการสะสมของตะกอนแมน่ ้ำ� ใน นอกจากน้ียงั ประกอบดว้ ยสนั ทราย (sand ridge) แอง่ ตามทร่ี าบกวา้ งใหญ่ ซ่ึงดำ� เนินมาอยา่ งตอ่ เนื่อง ชะวากทะเล (estuary) ลากนู (lagoon) ดินดอน จนมาถงึ เมอื่ ๖๕ ลา้ นปี ที่แลว้ หลงั จากน้นั เปลอื ก สามเหลย่ี ม และลานตะพกั ทะเล (marine terrace) โลกเกิดการเปล่ียนแปลงเนื่องจากการชนกนั ของ สำ� หรับในบริเวณท่ีเป็นชะวากทะเลและดินดอน แผน่ เปลือกโลกอินเดียและยเู รเชีย ทำ� ใหท้ ่ีราบสูง สามเหล่ียมพบอยบู่ ริเวณปากแมน่ ้ำ� ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ โคราชซ่ึงเดิมเคยเป็ นแอ่งสะสมตะกอนถูกยกข้ ึน ปากแมน่ ้ำ� บางปะกง ปากแมน่ ้ำ� ประแส ปากแมน่ ้ำ� เป็นทร่ี าบสูงและเกดิ การคดโคง้ ของช้นั หินเกดิ เป็น จนั ทบุรี และปากแม่น้ำ� เวฬุ บริเวณเหล่าน้ีเป็น ภูเขา ตามดว้ ยการเกิดแนวรอยแยกและรอยแตก บริเวณทนี่ ้ำ� ทะเลทว่ มถงึ ตลอดเวลาหรือชว่ งใดชว่ ง โดยทว่ั ไปในช้นั หิน หลงั จากน้นั ช้นั หินตา่ งๆจงึ ถกู หน่ึงในแตล่ ะวนั กระบวนการผพุ งั อยกู่ บั ที่ และกร่อนต่อเน่ืองมา จนถึงปัจจุบนั การเปลี่ยนแปลงของแผน่ เปลือก ๓.๔ บริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ โลกดงั กลา่ วมผี ลตอ่ ภมู ลิ กั ษณข์ องทรี่ าบสูงโคราช ในปัจจบุ นั ครอบคลุมพ้ืนที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ท้งั หมด มเี น้ือท่ี ๑๖๘,๘๕๔ ตารางกิโลเมตร หรือ พ้นื ท่ีส่วนใหญเ่ ป็นแอง่ ขนาดใหญ่ มที ่ีราบ ประมาณ๑ใน๓ของพน้ื ทท่ี ้งั หมดของประเทศไทย อยตู่ อนกลางของแอง่ เอียงเทไปทางทิศตะวนั ออก ประกอบดว้ ย๑๗จงั หวดั คอื หนองคาย นครพนม มีทิวเขาก้นั เป็นขอบอยทู่ างดา้ นทิศตะวนั ตกและ มุกดาหาร สกลนคร อุดรธานี เลย ขอนแก่น ทิศใต้ มคี วามสูงประมาณ ๑๓๐-๒๕๐ เมตรเหนือ ชยั ภมู ิ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอด็ ยโสธร ระดบั น้ำ� ทะเลปานกลาง ส่วนใหญ่ปกคลุมดว้ ย อบุ ลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บรุ ีรมั ย์ และ หินทราย และมชี ้นั ของหินกรวดมน หินดินดาน นครราชสีมา และเกลือหินแทรกอยตู่ ามช้นั ตา่ ง ๆ ของกลมุ่ หิน ซ่ึงมอี ายรุ าว๒๕๑-๖๕ลา้ นปี ทวิ เขาทกี่ ้นั ขอบทาง ทิศตะวนั ตก ไดแ้ ก่ ทิวเขาเพชรบรู ณ์ และทิวเขา ดงพญาเยน็ ที่เริ่มจากจดุ เหนือสุดที่ผามอง อำ� เภอ เชียงคาน จงั หวดั เลย ทอดยาวต่อลงมาทางทิศใต้ ตามแนวภูยาอู่ ที่อำ� เภอบา้ นผอื จงั หวดั อุดรธานี ภูพานคำ� ท่ีอำ� เภอโนนสัง จงั หวดั หนองบวั ลำ� ภู ภแู ลนคา ท่ีอำ� เภอบา้ นเขวา้ และภพู งั เหย ท่ีอำ� เภอ หนองบวั ระเหว จงั หวดั ชยั ภมู ิ เร่ือยมาจนถงึ เขอ่ื น
115 ลำ� ตะคอง อำ� เภอสีควิ้ จงั หวดั นครราชสีมา บริเวณ สวนหินผางาม อำ� เภอหนองหิน จงั หวดั เลย น้ีนอกจากหินทรายท่ีพบมีลกั ษณะเป็นภูเขายอด เสาเฉลียงยกั ษ์ อำ� เภอโขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี ราบ (mesa) ลานหินกวา้ ง เพงิ หิน เสาหิน และถ้ำ� หินบะซอลตแ์ สดงลกั ษณะของแนวแตกรูปเสาหินเหลี่ยม ที่กระจายอยทู่ ว่ั ไปแลว้ ยงั ประกอบดว้ ยทิวเขา ภูพระองั คาร อำ� เภอเฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั บุรีรัมย์ หินปูนอายกุ วา่ ๒๕๐ ลา้ นปี ท่ีแสดงลกั ษณะภูมิ- ประเทศแบบคาสต์ (karst topography) ประกอบ ดว้ ย ภเู ขาหินปูนที่มียอดแหลมขรุขระ ถ้ำ� และ โพรง แหลง่ ที่เดน่ และมชี ื่อเสียง ไดแ้ ก่ สวนหิน ผางาม อำ� เภอหนองหิน จงั หวดั เลย ส่วนขอบทรี่ าบสูงโคราชทางทศิ ใตป้ ระกอบ ดว้ ยทวิ เขาสนั กำ� แพงและพนมดงรกั ซ่ึงเอยี งเทไป ทางทิศเหนือ ดา้ นขอบแอง่ ทางดา้ นทิศเหนือและ ทิศตะวนั ออกเป็นทิวเขาในประเทศลาว ซ่ึงท้งั ๒ ส่วนน้ีมลี กั ษณะเป็นลานหิน เพงิ หิน เสาหิน และ กมุ ภลกั ษณ์ (pothole) หมายถงึ บอ่ กลม ๆ รูปหมอ้ มกั มกี รวดและทรายหยาบอยทู่ ี่กน้ บอ่ เกิดข้นึ จาก น้ำ� ในธารพดั เอากรวดทรายมาหมนุ วนในแอง่ เลก็ ๆ บนหนา้ หิน เกิดการครูดถขู ดั สีทำ� ใหแ้ อง่ ลึกและ กวา้ งข้นึ จนเป็นครุหมอ้ กระจายอยทู่ ว่ั ไป ส่วนขอบ ท่ีราบสูงทางทิศใตย้ งั มีเนินเขาหินภูเขาไฟชนิด บะซอลตก์ ระจายในพ้นื ทข่ี องจงั หวดั นครราชสีมา บรุ ีรมั ย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยเฉพาะท่ีเขา กระโดง อำ� เภอเมอื งฯ และอำ� เภอเฉลมิ พระเกียรติ จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ เป็นเนินเขาที่เป็นร่องรอยการปะทุ ของหินภเู ขาไฟชนิดบะซอลต์ และแสดงโครงสรา้ ง แนวแตกรูปเสาหินเหลยี่ ม (columnar joint) ท่ีราบสูงโคราชถูกแบ่งดว้ ยทิวเขาภูพานที่ เกิดจากโครงสร้างช้นั หินโคง้ รูปประทุนลูกฟูก (anticlinorium)ทมี่ แี นวแกนอยใู่ นทศิ ทางตะวนั ตก เฉียงเหนือ-ตะวนั ออกเฉียงใต้ เน่ืองจากการยกตวั ของทร่ี าบสูงโคราชดงั กลา่ วทำ� ใหเ้ กิดแอง่ ยอ่ ยทาง
116 ภูทอกนอ้ ย ตำ� บลนาแสง อำ� เภอศรีวไิ ล จงั หวดั บึงกาฬ แสดง ทว่ั ไป ที่สำ� คญั ไดแ้ ก่ หนองหาน อำ� เภอกมุ ภวาปี อตั ราการกดั เซาะและผพุ งั ของช้นั หินทรายท่ีมีความคงทนต่าง จงั หวดั อุดรธานี หนองญาติ จงั หวดั นครพนม กนั จึงเกิดเป็นลกั ษณะช้นั หินทรายที่เวา้ และหนองหาร จงั หวดั สกลนคร และแอ่งยอ่ ย ทางดา้ นใตค้ อื แอง่ โคราช-อบุ ล ทค่ี รอบคลมุ พ้นื ที่ สามพนั โบก อำ� เภอโพธ์ิไทร จงั หวดั อบุ ลราชธานี ลกั ษณะเป็น ของบริเวณจงั หวดั นครราชสีมา ชยั ภมู ิ ขอนแก่น บ่อกลม ๆ ท่ีเรียกวา่ กมุ ภลกั ษณ์ มหาสารคาม ร้อยเอด็ บรุ ีรัมย์ กาฬสินธุ์ ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ อบุ ลราชธานี และอำ� นาจเจริญ ดา้ นเหนือ คอื แอง่ ยอ่ ยอดุ ร-สกลนคร ครอบคลมุ มเี น้ือที่ประมาณ ๓๓,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร แมน่ ้ำ� พ้นื ท่ีบริเวณจงั หวดั หนองคาย อดุ รธานี สกลนคร ภายในแอ่งส่วนใหญ่มีตน้ กำ� เนิดจากทิวเขาท่ีเป็น นครพนมมกุ ดาหารและบางส่วนของประเทศลาว ขอบแอง่ ทางทิศเหนือและทิศตะวนั ตก แมน่ ้ำ� สาย มเี น้ือท่ีประมาณ ๑๗,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ภายใน สำ� คญั ไดแ้ ก่ แมน่ ้ำ� มลู ท่ีมตี น้ กำ� เนิดจากเขาวง แอง่ ประกอบดว้ ยแมน่ ้ำ� สายส้นั ๆ ที่เกิดจากทิวเขา และเขาสมิงของทิวเขาสันกำ� แพง บริเวณอำ� เภอ ภพู าน เช่น แมน่ ้ำ� สงคราม แมน่ ้ำ� พงุ ซ่ึงจะไหล ปักธงชยั จงั หวดั นครราชสีมา และแมน่ ้ำ� ชี ที่มี ลงสู่แมน่ ้ำ� โขงทางทศิ ตะวนั ออก รวมท้งั พ้นื ท่ีลมุ่ ตน้ กำ� เนิดจากสนั ปันน้ำ� ของทวิ เขาเพชรบรู ณใ์ นเขต มนี ้ำ� ขงั ตลอดปี และกลายเป็นหนองบงึ กระจายอยู่ จงั หวดั ชยั ภมู ิ แมน่ ้ำ� ท้งั ๒สายไหลผา่ นทรี่ าบตอน กลางของแอง่ และบรรจบกนั เป็นแมน่ ้ำ� ขนาดใหญ่ ไหลลงสู่แมน่ ้ำ� โขงทางทศิ ตะวนั ออกบริเวณอำ� เภอ โขงเจียม จงั หวดั อบุ ลราชธานี แอง่ ท้งั ๒ แห่งตา่ ง เอียงเทไปทางทิศตะวนั ออกและมีพ้นื ที่ราบเรียบ ประกอบดว้ ย ท่ีราบน้ำ� ทว่ มถงึ และท่ีราบน้ำ� ทว่ ม ไมถ่ ึง (non-flood plain) อยกู่ ลางแอง่ นอกจากน้ี บริเวณกลางแอ่งยงั มีโดมเกลือแทรกดนั กระจาย อยทู่ ว่ั ไป ซ่ึงเป็นสาเหตใุ หเ้ กิดพ้นื ทดี่ ินเคม็ และน้ำ� เคม็ ในบริเวณที่ราบสูงโคราช ๓.๕ บริเวณภาคใต้ บริเวณภาคตะวนั ตกตอนล่างและภาคใตม้ ี ลกั ษณะเป็ นคาบสมุทรมีทะเลลอ้ มรอบ ๒ ดา้ น ต้งั แตจ่ งั หวดั ระนองถึงสตลู ประกอบดว้ ย ทิวเขา หุบเขา ที่ราบระหวา่ งหุบเขา ท่ีราบลอนลาด และ ที่ราบชายฝ่ัง ทางดา้ นทิศเหนือมีรอยเล่ือนเจดีย์ สามองคเ์ ป็นขอบเขต
117 ทิวเขาในบริเวณน้ีประกอบดว้ ยทิวเขา ๓ ลานตะพกั ทะเล บา้ นอู่ตะเภา-บา้ นปากแตระ อำ� เภอระโนด ทวิ เขาคอื ทวิ เขาตะนาวศรีอยตู่ อนบน ทวิ เขาภเู กต็ จงั หวดั สงขลา อยตู่ อนกลาง และทิวเขาสนั กาลาคีรีอยตู่ อนล่าง ทวิ เขาตะนาวศรีเป็นพรมแดนระหวา่ งประเทศไทย บริเวณท่ีราบชายฝั่งมคี วามแตกตา่ งกนั โดย และเมยี นมาทางทิศตะวนั ตก ทิวเขาน้ีทอดตวั ยาว ทางทิศตะวนั ออกของคาบสมุทรเป็นแนวชายฝ่ัง ลงมาจากทางตะวนั ตกของจงั หวดั กาญจนบรุ ีจนถงึ ยกตวั (emergent shoreline) ซ่ึงมลี กั ษณะราบเรียบ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ซ่ึงเป็นส่วนที่แคบที่สุด ตอ่ เน่ืองกนั ไป บริเวณที่อยถู่ ดั เขา้ ไปในแผน่ ดินมี ของประเทศไทยกวา้ งประมาณ๑๑กิโลเมตร โดย ร่องรอยของลานตะพกั ทะเลระดบั ต่ำ� (low marine วดั จากสนั เขาตะนาวศรีที่บา้ นหุบผ้งึ อำ� เภอเมอื งฯ terrace) ชายหาดเดิม ท่ีลุ่มหลงั หาด และท่ีลุ่ม จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ถึงอา่ วไทยและตอ่ เนื่อง ช้ืนแฉะแผก่ ระจายอยเู่ ป็นบริเวณกวา้ งขวางเหน็ ได้ ลงไปทางทิศใต้ มลี กั ษณะการวางตวั ในแนวเดียว ชดั เจน โดยเฉพาะบริเวณจงั หวดั นครศรีธรรมราช กบั รอยเลอื่ นระนอง แลว้ แยกเป็น ๒ แนว แนว ต้งั แตแ่ หลมตะลมุ พกุ ลงไปจนถงึ จงั หวดั นราธิวาส ตะวนั ตกอยใู่ นประเทศเมียนมา แนวตะวนั ออก ส่วนท่ีเกิดเป็ นแอ่งมีน้ำ� ขงั อยู่ระหว่างเนินทราย คอื ทวิ เขาภเู กต็ อยใู่ นแนวเหนือ-ใตค้ รอบคลมุ พ้นื ที่ ชาวบา้ นเรียกวา่ พรุ (quakingbog) บริเวณริมทะเล จงั หวดั ชุมพร ระนอง พงั งา ภเู กต็ สุราษฎร์ธานี จงั หวดั พทั ลุงต่อกบั จงั หวดั สงขลามีลกั ษณะเป็น นครศรีธรรมราช กระบ่ี และตรัง สำ� หรบั ทิวเขา นครศรีธรรมราชวางตวั ในแนวเหนือ-ใต้ เร่ิมตน้ ป่ าพรุโตะ๊ แดงหรือพรุสิรินธร ครอบคลุมพ้ืนท่ีอำ� เภอตากใบ จากบริเวณอา่ วบา้ นดอนจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ผา่ น อำ� เภอสุไหงโก-ลก และอำ� เภอสุไหงปาดี จงั หวดั นราธิวาส จงั หวดั นครศรีธรรมราชและตรังลงไปถึงจงั หวดั สตลู ไปจรดกบั ทวิ เขาสนั กาลาครี ีซ่ึงวางตวั ในแนว เกือบตะวนั ออก-ตะวนั ตก เป็นพรมแดนระหวา่ ง ประเทศไทยกบั ประเทศมาเลเซีย พ้ืนท่ีบริเวณทิวเขาเหล่าน้ีมีลกั ษณะเป็ น หุบเขา มแี มน่ ้ำ� สายส้นั ๆไหลผา่ นแลว้ ออกสู่ทะเล อ่าวไทยที่อยทู่ างตะวนั ออกของคาบสมุทร เช่น แมน่ ้ำ� ปัตตานี แมน่ ้ำ� สายบรุ ี ท่ีราบระหวา่ งหุบเขา และท่ีราบลอนลาด ซ่ึงเป็นท่ีราบท่ีเป็นลอนเลก็ ๆ พบอยทู่ ว่ั ไป โดยเฉพาะตอนกลางของคาบสมทุ ร ซ่ึงระดบั ความสูงจะคอ่ ย ๆ ลดลงและลาดต่ำ� ลงสู่ ทะเล
118 ทะเลสาบ เช่น ทะเลสาบลำ� ป� ำ ทะเลสาบสงขลา ติดต่อกบั ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ส่วนทิศตะวนั ออก นอกจากน้ียงั พบภูมิลกั ษณ์ที่แสดงถึงการกร่อน และทิศใตต้ ิดต่อกบั น่านน้ำ� ของประเทศกมั พูชา และผพุ งั อยกู่ บั ท่ี ภมู ลิ กั ษณต์ า่ ง ๆ เหลา่ น้ีเกิดจาก เวยี ดนาม และมาเลเซีย โดยมีเขตน่านน้ำ� ห่างจาก การกระทำ� ของน้ำ� ทะเลทเ่ี คยไหลเขา้ มาทว่ มบริเวณ ฝ่ังทะเลของแตล่ ะประเทศ ๑๒ ไมลท์ ะเล น้ีแลว้ ถดถอยออกไปในเวลาต่อมา ส่วนชายฝ่ัง ทะเลทางทศิ ตะวนั ตกเป็นแนวชายฝง่ั แบบจมตวั ลง จากการสำ� รวจหาแหลง่ ปิ โตรเลยี มและแกส๊ (submergent shoreline) ซ่ึงชายฝั่งมีลกั ษณะแคบ ธรรมชาติในอา่ วไทยทำ� ใหท้ ราบวา่ ลกั ษณะภมู ิ- มีความชนั และเวา้ แหวง่ ประกอบดว้ ยอา่ วและ ประเทศของทอ้ งทะเลในอา่ วไทยไมร่ าบเรียบ แต่ เกาะจำ� นวนมากกวา่ ๓,๐๐๐ เกาะ ท่ีสำ� คญั ไดแ้ ก่ ประกอบดว้ ยสนั (ridge) และแอง่ (basin) มากมาย เกาะภเู กต็ เกาะพระทอง เกาะยาวใหญ่ เกาะอาดงั สนั และแอ่งเหล่าน้ีวางตวั ขนานกนั ไปในแนวทิศ นอกจากน้ียงั มีลกั ษณะของชายฝั่งท่ีเวา้ เขา้ ไปยงั ทางเหนือ-ใต้ ในลกั ษณะของฮอสต์ (horst) และ ปากแมน่ ้ำ� พบไดต้ ้งั แตจ่ งั หวดั ระนองเรื่อยลงไป กราเบน (graben) สันบริเวณเกาะกระ จงั หวดั จนถงึ จงั หวดั สตลู นครศรีธรรมราชและนราธิวาสเป็นแนวแบ่งทอ้ ง ทะเลอา่ วไทยออกเป็น ๒ ส่วน คอื ดา้ นตะวนั ออก บริเวณอา่ วไทยมอี าณาบริเวณต้งั แตด่ ินดอน และดา้ นตะวนั ตก สามเหล่ียมปากแมน่ ้ำ� เจา้ พระยาของท่ีราบลุม่ ภาค กลางและชายฝั่งทะเลภาคตะวนั ออก ทิศตะวนั ตก ดา้ นตะวนั ออกประกอบดว้ ยแอ่งสำ� คญั ๒ แอ่ง คือ แอ่งปัตตานี และแอ่งมาเลย์ ตะกอนใน เขาตะปู ในเขตอทุ ยานแห่งชาติอา่ วพงั งา ตำ� บลกะไหล อำ� เภอตะกว่ั ทงุ่ จงั หวดั พงั งา เป็นแทง่ หินปนู อายกุ วา่ ๒๕๐ ลา้ นปี ที่เหลอื อยู่ มีสาเหตุจากหินปูนช้นั หนาเกิดรอยเล่ือน รอยแตก ถูกยกตวั ยบุ ตวั และกดั เซาะโดยน้ำ� ทะเลและคลื่นลม
119 เขาพิงกนั ท่ีเกาะเขาพิงกนั ตะวนั ตก ในเขตอุทยานแห่งชาติ ตอ่ เน่ืองมาจากดินดอนสามเหลยี่ มของแมน่ ้ำ� อริ วดี อ่าวพงั งา ตำ� บลกะไหล อำ� เภอตะกวั่ ทุ่ง จงั หวดั พงั งา เป็นเขา ในประเทศเมยี นมา แผก่ วา้ งออกไปประมาณ๑,๒๐๐ หินปูนอายกุ วา่ ๒๕๐ ลา้ นปี การพงิ กนั เกิดจากรอยเล่ือนปกติ กิโลเมตร ลงไปทางทิศใตถ้ ึงตอนเหนือของเกาะ (normal fault) ในหิน แลว้ ภายหลงั ฐานของมวลหินถูกน้ำ� กดั สุมาตรา และช่องแคบมะละกา ความกวา้ งของ เซาะจนกระทง่ั ขาดถึงระนาบรอยเล่ือน ทำ� ใหม้ วลหินหกั และ ทอ้ งทะเลจากฝ่ังตะวนั ตกของแหลมไทยไปจนถึง เคล่ือนตวั ลงบิดเฉไปจากแนวรอยเล่ือน หมเู่ กาะอนั ดามนั และหมเู่ กาะนิโคบาร์ (Nicobar) ประมาณ ๖๕๐ กิโลเมตร หมเู่ กาะเหลา่ น้ีเป็นส่วน แอง่ เป็นตะกอนพ้นื ทวปี ในยคุ พาลีโอจีน-นีโอจีน หน่ึงของสนั ใตน้ ้ำ� ทเ่ี ป็นแนวแบง่ เขตแอง่ อนั ดามนั (Paleogene-Neogene) มีความหนาประมาณ ๔ ออกจากอา่ วเบงกอล กิโลเมตร ส่วนใหญเ่ ป็นแหลง่ แกส๊ ธรรมชาติ (gas field) เชน่ แหลง่ บงกช แหลง่ จกั รวาล แหลง่ ฟนู นั ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทส่ี ำ� คญั ในทะเลอนั ดามนั ส่วนดา้ นตะวนั ตกประกอบดว้ ยแอ่งขนาดเล็ก คอื ลาดทวปี (continental slope) ท่ีอยนู่ อกชายฝั่ง ประมาณ๑๐แอง่ ทม่ี ตี ะกอนยคุ พาลโี อจนี -นีโอจนี แหลมไทย-มาเลเซีย ลาดทวีปเอียงไปทางทิศ สะสมตวั ในระดบั ต้นื มคี วามหนาประมาณ ๓๐๐ ตะวนั ตกต่อเนื่องไปต่อกบั ตะพกั ลุ่มน้ำ� ที่ระดบั เมตร แอง่ ที่สำ� คญั และพบปิ โตรเลยี ม เช่น แอง่ ความลกึ ประมาณ ๒,๔๓๕ เมตร ตะพกั ลมุ่ น้ำ� น้ีก็ ชุมพร แอง่ สงขลา เอียงไปทางทิศตะวนั ตกเช่นเดียวกนั โดยความ ลาดเอียงจะคอ่ ย ๆ ลดลงไปจนกระทง่ั ถึงท่ีระดบั บริเวณทะเลอนั ดามนั เป็นแอ่งท่ีเกิดมาจาก ความลกึ ประมาณ๒,๖๗๐เมตร ตอ่ จากน้นั จึงเป็น การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก (tectonic basin) แอง่ ทช่ี นั ในระดบั ความลกึ ประมาณ๓,๐๓๕เมตร ซ่ึงน่าจะเป็นทอ้ งแอง่ ทะเลอนั ดามนั กลาง(Central Andaman Trough) ซุม้ หินชายฝั่ง แหลมจมูกควาย อำ� เภออ่าวลึก จงั หวดั กระบ่ี
120 ถ้ำ� ไวกิ้ง เกาะพีพีเล อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตนธ์ ารา-หมู่เกาะพพี ี อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั กระบี่ (Ranong Fault Zone) และแอ่งเมอร์กยุ (Mergui Basin)ท่ีมนี ้ำ� ทะเลลกึ มากกวา่ ๒๐๐เมตรเป็นแอง่ ชนิด trantensional back-arc basin ที่เกิดจากการ มุดตวั ของเปลือกโลก แนวแอ่งน้ีจะเชื่อมต่อกบั แอง่ สุมาตราของประเทศอนิ โดนีเซีย ถ้ำ� ทะเล ท่ีอุทยานแห่งชาติตะรุเตา อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั สตูล ๔. บทสรุป เกิดจากการกดั เซาะของหินปูนอายกุ ว่า ๔๐๐ ลา้ นปี โดยการ กระทำ� ของคล่ืนและลม กระบวนการทางธรณีวทิ ยาที่สำ� คญั ที่ก่อให้ เกดิ ภมู ลิ กั ษณท์ หี่ ลากหลายในพน้ื ทต่ี า่ งๆในประเทศ ผลจากการสำ� รวจปิ โตรเลียมทำ� ใหท้ ราบวา่ ไทยตลอดจนพ้นื ที่ตา่ ง ๆ ทว่ั โลก ไดแ้ ก่ กระบวน ในแอ่งอนั ดามนั ประกอบดว้ ยแอ่งยคุ พาลีโอจีน- การภายในโลกท่ีทำ� ใหเ้ กิดการเคลื่อนที่ของแผน่ นีโอจนี วางตวั ในแนวทศิ ทางประมาณเหนือ-ใตใ้ น เปลอื กโลก และกระบวนการทผี่ วิ โลก คอื การผพุ งั ลกั ษณะของhalfgrabenตะกอนทท่ี บั ถมอยใู่ นแอง่ อยกู่ บั ที่ การกร่อน และทบั ถม ความเขา้ ใจใน เป็นตะกอนจากทะเลทมี่ คี วามหนาถงึ ๘,๐๐๐เมตร กระบวนการเหลา่ น้ีจงึ มปี ระโยชนไ์ มเ่ ฉพาะแตก่ าร บริเวณใจกลางแอง่ ประกอบดว้ ยแอง่ ที่สำ� คญั ๒ ท่องเท่ียวเชิงวชิ าการ แต่ยงั ช่วยในการคน้ หาและ แอง่ คอื แอง่ ระนอง ท่ีมนี ้ำ� ทะเลลกึ นอ้ ยกวา่ ๒๐๐ อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติอยา่ งยง่ั ยนื เมตรซ่ึงเกดิ จากการเคลอ่ื นตวั แบบทวนเขม็ นาฬกิ า ดูเพมิ่ เติมเรื่อง ซากดึกดำ� บรรพใ์ นประเทศไทย (sinistral movement) ของเขตรอยเลื่อนระนอง เลม่ ๓๑ และเปลอื กโลกและหิน เลม่ ๓๓
121 บรรณานุกรม กรมทรพั ยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม. ธรณวี ทิ ยา ประเทศไทย (Geology of Thailand), ๒๕๕๐. . เอกสารประกอบภาพ ชุดที่ ๒, แหล่งท่องเทยี่ วทางธรณวี ทิ ยา, ๒๕๔๗. กรมทรพั ยากรธรณี. มรดกธรรมชาตทิ างธรณวี ทิ ยาประเทศไทย. (ม.ป.ท.), ๒๕๔๔. สำ� นกั ธรณีวทิ ยากรมทรพั ยากรธรณี,มรดกทางธรรมชาตอิ นั ทรงคณุ คา่ แหลง่ ธรณีวทิ ยาของไทย,๒๕๕๖. Bunopas, S. Paleogegraphic history of Western Thailand and adjacent parts of Southeast Asia-A plate tectonics interpretation, Ph.D. thesis, Victoria University of Wellington, New Zealand., 810 p.; reprinted 1982 as Geological Survey Paper no.5, Geological Survey Division, Department of Mineral Resources, Thailand, 1981.
2
ฉ18: 14, 13, 7 มยิ . / 23, 16 พ.ค. / 7, 5, 4 เม.ย. / 31, 10, 3 ม.ี ค. /21, 20, 14, 8 ม.ค. /17 ก.ย./31 ส.ค. 583 ทะเลไทยศ4: 18 พ.ค. รอฝ่ายศิลป์ (13 ม.ิ ย. / 3-31 มี.ค.)19, 14 ม.ค. / 3 พ.ย. 58 รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐพงษ์ เมฆสมั พันธ์ และรองศาสตราจารย์ ดร.กังวาลย์ จนั ทรโชติ ผเู้ ขียน สว่ นเด็กเลก็ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กติ ยิ วดี บุญซือ่ ผูเ้ รยี บเรยี ง ทะเลกว้างใหญ ่ มองไปสดุ ตา มองซา้ ย มองขวา หาฝ่ังไมเ่ หน็ เรือลอยไกลลิบ น่าหยิบมาเล่น คลื่นซดั กระเซน็ เป็นฟองกระจาย ทะเลของไทย กวา้ งใหญ่ไพศาล โขดเขาตระการ เกาะแก่งมากมาย เห็นเหลา่ ฝงู ปลา พากันแหวกว่าย ยามอาทติ ยฉ์ าย สวยงามยิ่งนัก ทะเลไทย อ่าวไทย เป็นของคนไทย ถนอมรักษาไว ้ คนไทยตระหนกั ช่วยกันทง้ั ผอง คมุ้ ครองป้องปกั ผืนน้�ำทีร่ ัก ใหอ้ ยยู่ นื ยง เมอื่ เดก็ ๆนกึ ถงึ ทะเล จะเหน็ ภาพผนื นำ้� ทก่ี วา้ งใหญส่ ดุ สายตา กระนนั้ ทะเลกย็ งั เลก็ กวา่ มหาสมทุ รซงึ่ ทง้ั ลกึ และกวา้ งใหญก่ วา่ ถา้ เดก็ ๆ ดแู ผนทโี่ ลก จะเห็นวา่ สว่ นท่ีเป็นทะเลและมหาสมทุ รมมี ากมายและใหญก่ ว่าผืนแผ่นดิน ประเทศไทยมผี นื แผน่ ดนิ ทตี่ ดิ ทะเล ทะเลดงั กลา่ วเรยี กวา่ ทะเลไทย และอ่าวทเี่ ว้าเขา้ มาเรยี กว่า อ่าวไทย และมีผนื นำ�้ ขนาบดา้ มขวานท้งั ๒ ดา้ น
4 บรรพบรุ ษุ ของไทยมสี ายตายาวไกล จงึ ไดเ้ ลอื กผนื แผน่ ดนิ บรเิ วณนเ้ี ปน็ ทตี่ ง้ั บา้ นเรอื นและถ่ินฐานท�ำมาหากนิ ซึง่ คนไทยไดอ้ าศยั อยตู่ ลอดมาจนชวั่ ลกู ชวั่ หลาน ประเทศไทยเปน็ ประเทศทม่ี คี วามอดุ มสมบรู ณ์ แผน่ ดนิ เปน็ รปู ขวานอนั สวยงาม โดดเดน่ สะดดุ ตา รปู แผนทขี่ องประเทศไทยจงึ สวยงามไมเ่ หมอื นใคร ถ้าเด็ก ๆ มีโอกาสไดไ้ ปเท่ียวทะเล หรือมีบ้านอยูร่ มิ ทะเล ลองวกั น้ำ� ทะเลมาชิม จะรูส้ กึ ว่ามีรสเคม็ ซงึ่ สิ่งมีชีวิตไม่นา่ จะอยไู่ ด้ แตต่ รงกันข้าม มีสัตวน์ ้�ำหลายชนิดอาศยั อย่ใู นทะเล ตัง้ แตส่ ตั ว์เล็ก เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ทีม่ ีหลายชนดิ และมขี นาดตา่ ง ๆ แมงกะพรนุ รวมทง้ั ปะการงั ไปจนถงึ สตั ว์ ใหญ่ เช่น สงิ โตทะเล โลมา วาฬ เราเรียกสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในน�้ำเค็มจ�ำพวกนวี้ า่ สตั วน์ ำ้� เคม็ ถา้ เราเอา สัตว์น้�ำเค็มมาปล่อยในแม่น้�ำลำ� คลองซ่งึ เป็นนำ�้ จืด มันจะอยู่ไมไ่ ด้ และต้อง ตายหมด อยา่ งไรกต็ าม ยงั มสี ตั วบ์ าง ชนิดท่ีอาศัยอยู่ในน�้ำกร่อยซ่ึงเป็นน้�ำ ที่ผสมกันระหว่างน�้ำเค็มและน้�ำจืด นำ�้ กรอ่ ยจะอยู่ใกล้แผ่นดิน มีต้นไม้ บางชนดิ ขนึ้ ในนำ�้ กรอ่ ย เชน่ โกงกาง ซึ่งไม่ชอบท้งั นำ�้ ทะเลและน�้ำจดื แต่ กลับชอบน้�ำกร่อย ผืนแผ่นดินท่ีต่อ กับน้�ำในลักษณะนี้เป็นแหล่งอาหาร ทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ เปน็ แหลง่ วางไข่ และ อนบุ าลตวั ออ่ นของสตั วน์ ำ�้ เศรษฐกจิ และปลาหลายชนดิ เชน่ ลูกกุ้ง ลูก หอย ลูกปู ลูกปลา ทะเลไทยจึงมี ความอุดมสมบรู ณแ์ ละงดงาม
5 สว่ นเด็กกลาง รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐพงษ์ เมฆสัมพนั ธ์ และรองศาสตราจารย์ ดร.กงั วาลย์ จนั ทรโชติ ผเู้ รียบเรียง มนษุ ยผ์ กู พนั กบั ทะเลอยา่ งแนบแนน่ มาตงั้ แตส่ มยั ดกึ ดำ� บรรพ์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ชุมชนท่ีอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง เน่ืองจากทะเลเป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรที่มนุษย์ สามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งไมม่ วี นั หมดหากรจู้ กั ใชอ้ ยา่ งชาญฉลาด ทะเลไมไ่ ดเ้ ปน็ เพยี งทอี่ ยขู่ องกงุ้ หอย ปู ปลา และสตั ว์ทะเลหายากชนดิ อ่นื ๆ หรือไม่ไดเ้ ป็นเพยี งแหลง่ ทีส่ าหรา่ ยทะเลหรอื หญา้ ทะเลใชอ้ ยอู่ าศยั เทา่ นน้ั ทะเลยงั เปน็ แหลง่ ทรพั ยากรไมม่ ชี วี ติ ทมี่ คี ณุ คา่ จำ� นวนมหาศาล เช่น แร่ธาตุ แหลง่ นำ้� มนั ที่มวลมนษุ ย์ได้น�ำข้ึนมาใชป้ ระโยชน์ในการด�ำเนนิ ชวี ติ ระบบนเิ วศทางนำ�้ สามารถแบง่ เปน็ ระบบใหญ่ ๆ ๓ ระบบ คอื ระบบนเิ วศน้�ำจืด ระบบนเิ วศนำ�้ กรอ่ ย และระบบนเิ วศนำ้� เคม็ หรอื ระบบนเิ วศทางทะเล เราสามารถแยกระบบ นิเวศน�้ำจืดออกจากระบบนิเวศน�้ำกร่อยได้ไม่ยากนัก แต่ก็ไม่ใช่เร่ืองง่ายท่ีจะแบ่งขอบเขต ของระบบนเิ วศนำ้� กรอ่ ยกบั ระบบนเิ วศนำ�้ เคม็ หรอื ระบบนเิ วศทางทะเลออกจากกัน ปจั จบุ นั นกั วชิ าการยงั ไมส่ ามารถหาขอ้ สรปุ ทแ่ี นน่ อนไดว้ า่ ขอบเขตของทะเลตอ้ ง เร่ิมต้นท่ีความเค็มเฉล่ียตลอดท้ังปีเท่าใด ตอ้ งพจิ ารณาถงึ องคป์ ระกอบอน่ื ๆ รว่ มด้วย เช่น หากสตั วแ์ ละพชื นำ้� ประจำ� ถน่ิ ในบรเิ วณนนั้ ๆ เปน็ พชื ทะเลหรอื สตั วท์ ะเล อยา่ งเชน่ ปะการงั ก็เป็นสง่ิ มีชีวิตที่บง่ ช้ีความเป็นทะเลได้เปน็ อย่างดี
6 ก�ำเนดิ ทะเลไทย โลกเรามพี นื้ ทท่ี เี่ ปน็ นำ้� ถงึ รอ้ ยละ ๗๐ โดยพนื้ ทส่ี ว่ นใหญเ่ ปน็ ทะเลและมหาสมทุ ร ทะเลไทยมคี วามเปน็ มายาวนาน คงตอ้ งยอ้ นกลบั ไปตงั้ แตส่ มยั ทโ่ี ลกเรามแี ผน่ ดนิ เพยี งผนื เดยี ว ทเี่ รยี กวา่ พนั เจยี (Pangaea) จากนนั้ จึงเรมิ่ แยกออกเป็น ๒ ทวีป คือ ลอเรเซีย (Laurasia) ทอ่ี ยู่ ทางเหนอื และกอนด์วานาแลนด์ (Gondwanaland) ทอ่ี ยทู่ างใต้ แลว้ จงึ คอ่ ย ๆ แยกตวั ไป เกดิ เปน็ ประเทศตา่ งๆ ปจั จบุ นั การเคลอื่ นตวั ของเปลอื กโลกกย็ งั คงดำ� เนนิ ไปอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ทะเล ทเี่ หน็ อยทู่ กุ วนั นไ้ี ดผ้ า่ นกระบวนการทางธรรมชาตมิ าเปน็ เวลายาวนาน แนวชายฝง่ั ทป่ี รากฏ ผืนแผน่ ดนิ ที่เรียกว่า พันเจยี
7 แผน่ ดินทม่ี ีการแยกตัวออกจากกนั ไดผ้ า่ นกระบวนการตา่ ง ๆ ทแี่ ตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะพนื้ ที่ มที ง้ั เกดิ จากชายฝง่ั ทะเลทย่ี บุ ตวั (submerged shoreline) เน่ืองจากเปลือกโลกบริเวณดังกล่าวจมลงใต้ทะเล ทำ� ให้เกิดเป็น หน้าผาชัน มีท่ีราบชายฝั่งน้อย เมื่อเกิดการกัดเซาะของน�้ำทะเลมากจึงมีพ้ืนที่เป็นลักษณะ เว้าแหว่งมาก เกิดเป็นอ่าวต่าง ๆ หากบริเวณท่ีเกิดการยุบตัวลงนั้นเดิมเป็นแนวเขาก็จะ ท�ำให้เกิดเป็นเกาะต่าง ๆ การเกิดลักษณะน้ีสามารถพบได้ในบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ของไทย ตลอดแนวชายฝั่งของจงั หวดั ระนอง พังงา ภูเกต็ กระบ่ี ตรงั และสตลู ชายฝั่งอา่ วไทยเกดิ จากชายฝง่ั ทะเลทยี่ กตัว (emerged shoreline) เน่อื งจากมีการ ยกตัวของเปลือกโลก จึงท�ำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่เคยเป็นทะเลยกตัวขึ้น มาเหนือระดับน�้ำทะเลในปัจจุบัน บริเวณแนวชายฝั่งจังหวัดชลบุรี ไม่ว่าจะเป็นศรีราชา พทั ยา หรือสตั หีบ ซึง่ เดมิ เป็นพ้นื ทท่ี ่ีมีความลาดชันสูง เม่ือถูกยกตวั ขน้ึ มาจงึ ทำ� ใหช้ ายหาด ชนั มาก ในขณะท่แี นวชายฝั่งตั้งแตจ่ งั หวดั ชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาสจะเป็นชายหาดที่ราบ มีความชนั นอ้ ย ชายหาดเรยี บตรงและกวา้ ง ไม่เว้าแหวง่ มาก อย่างไรก็ตาม ทะเลไทยและ แนวชายฝั่งก็ยงั คงตอ้ งเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลาโดยไม่มีทีส่ ิน้ สดุ
8 ระบบนเิ วศของทะเลไทย ระบบนเิ วศทางทะเลเปน็ ระบบนเิ วศทมี่ ขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ ในระบบนเิ วศทางนำ้� และ ยังมีความซบั ซ้อนมากทส่ี ุด มีระบบนิเวศยอ่ ย ๆ ภายในอีกมากมาย โดยปกติสามารถแบ่ง ระบบนิเวศทางทะเลออกเปน็ ระบบใหญ่ ๆ เชน่ ระบบนเิ วศมหาสมุทร ระบบนิเวศชายฝง่ั ระบบนิเวศนำ้� กรอ่ ย ระบบนิเวศแนวปะการัง นอกจากนี้ยงั มรี ะบบนิเวศยอ่ ย ๆ อกี มากมาย เชน่ ระบบนิเวศหาดทราย ระบบนิเวศหาดหนิ ระบบนิเวศหาดโคลน ทะเลไทยมรี ะบบ นิเวศทโ่ี ดดเด่นและมคี วามสวยงามติดอันดบั ๑ ใน ๑๐ ของโลก คือ ระบบนเิ วศแนวปะการัง เปน็ ระบบนเิ วศทมี่ คี วามซบั ซอ้ นและมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสงู ทสี่ ดุ เมอ่ื เปรยี บเทยี บ กับระบบนิเวศอื่น ๆ ในแนวปะการังของไทยยังมีส่ิงมีชีวิตอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ ปจั จุบันยงั มีรายงานการค้นพบสิ่งมีชวี ติ ชนิดใหม่ ๆ ในแนวปะการังของไทยอย่างตอ่ เนอ่ื ง บรเิ วณท่ีเป็นระบบนเิ วศหาดโคลนเปน็ แหล่งทม่ี ีสัตว์นำ้� เศรษฐกิจชกุ ชมุ ในชว่ ง ๑๐ ปที ่ีผา่ นมานับจาก พ.ศ. ๒๕๔๙ การทอ่ งเทีย่ วชมแนวปะการงั ได้รบั ความนยิ มอยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยเฉพาะการดำ� นำ้� แบบสคบู า (SCUBA:Self-contained Underwater Breathing Apparatus) บริเวณแนวปะการงั ท�ำให้พบสง่ิ มชี ีวติ แปลก ๆ ทีม่ ีสีสันสวยงาม เช่น ทากทะเล ปลากบ ฟองนำ�้ ทะเล นอกจากนปี้ ระเทศไทยยงั มรี ะบบนเิ วศหาดทรายทสี่ วยงาม ทีเ่ ปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วทน่ี ำ� รายไดเ้ ข้าสู่ประเทศมูลค่ามหาศาล ทะเลทสี่ วยงามและหาดทรายสะอาดนอกจากเหมาะสำ� หรบั การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ แล้ว ในด้านระบบนิเวศหรือชีววิทยา หาดทรายที่ขาวสะอาดก็ยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ ทะเลท่มี มี ูลคา่ ทางเศรษฐกิจ ถึงแมว้ ่าใน ระบบนเิ วศหาดหิน และ ระบบนิเวศหาดโคลน จะ
9 ฟองนำ�้ ทะเล ทากทะเล ไม่มแี หลง่ ทอ่ งเที่ยวทีท่ ำ� รายไดเ้ ขา้ สปู่ ระเทศมากนัก แต่ก็มหี น้าทส่ี ำ� คญั ทางนเิ วศวทิ ยาและ ส่ิงแวดลอ้ มอยา่ งมาก ระบบนเิ วศหาดหนิ เนอื่ งจากมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพค่อนขา้ งสงู เปน็ ทัง้ แหลง่ หลบภยั และแหลง่ อนบุ าลสตั วน์ ำ้� วยั ออ่ นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สว่ นใหญเ่ ปน็ พนื้ ทที่ ชี่ าวประมง ไม่สามารถท�ำการประมงได้อย่างสะดวก สัตว์น้�ำเศรษฐกิจหลายชนิดจึงสามารถด�ำรงชีวิต และขยายพนั ธุต์ อ่ ไปได้ ระบบนเิ วศหาดโคลน สว่ นใหญ่เป็นพน้ื ทที่ ่มี ีตะกอนมาทบั ถมกนั และมกั โผลพ่ น้ นำ�้ เมอ่ื นำ�้ ลง นอกจากเปน็ แหลง่ อาศยั ของสตั วน์ ำ�้ เศรษฐกจิ หลายชนิด เช่น หอยแครง หอย ลาย หอยหลอด หอยกระปุก หอยพิมพ์ ยังมีหน้าที่ส�ำคัญคือ การบ�ำบัดของเสียท่ีเป็น อินทรียสารท่ีไหลลงมาจากแม่น�ำ้ เน่อื งจากบรเิ วณหาดโคลนจะแหง้ เวลาทีน่ ำ้� ลง ผิวดนิ จึง มีโอกาสได้รับออกซิเจนที่ท�ำให้แบคทีเรียสามารถท�ำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียสารได้อย่างมี ประสิทธภิ าพมากขน้ึ ดงั จะเห็นได้จากปากแม่น�้ำของประเทศไทย เช่น ปากแม่น้�ำท่าจีน หากไมม่ ดี อนท่าจีนทีถ่ ือว่าเป็นระบบนเิ วศหาดโคลนท่ีใหญ่แหง่ หนงึ่ น�้ำบริเวณนั้นอาจเนา่ เสียจนไมม่ สี ัตว์นำ�้ เศรษฐกิจหลงเหลืออยู่กไ็ ด้ ประเทศไทยถอื ไดว้ า่ มที ะเลทส่ี วยงามตดิ อนั ดบั โลก ถงึ แมว้ า่ ในปหี นงึ่ ๆ การทอ่ ง เที่ยวทะเลไทยสามารถน�ำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจ�ำนวนเงินมหาศาล แต่ก็ท�ำให้คุณภาพ น�้ำทะเลไทยเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน คนไทยทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่จึงต้องร่วมแรงร่วมใจ กันท�ำให้ทะเลไทยยังคงความสวยงามและมีคุณค่าต่อไปชั่วลูกช่ัวหลาน อย่าให้ทะเลไทย เป็นเพยี งเส้นทางสญั จรทางนำ�้ เท่านน้ั
10 สว่ นเด็กโต รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ และรองศาสตราจารย์ ดร.กังวาลย์ จนั ทรโชติ ผูเ้ ขียน ๑. ทรัพยากรมีชีวิตและไมม่ ชี ีวิตในทะเลไทย ทะเลและมหาสมทุ รครอบคลมุ พน้ื ทผี่ วิ โลก อาศยั ทรพั ยากรเหลา่ นใ้ี นการดำ� รงชวี ติ และในการ ประมาณร้อยละ ๗๐ อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศ พฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ มาจนถงึ ทกุ วนั นี้ มสี ทิ ธใิ นการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไดใ้ นแตล่ ะเขต แต่อาจเป็นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือความ ตามทก่ี ำ� หนดไวใ้ นอนสุ ญั ญาองคก์ ารสหประชาชาติ โลภทเ่ี ขา้ ครอบงำ� สงั คมไทย ทำ� ใหท้ รพั ยากรเหลา่ วา่ ดว้ ยกฏหมายทะเลค.ศ.๑๙๘๒ ซงึ่ โดยภาพรวม นถ้ี กู นำ� มาใชโ้ ดยขาดความระมดั ระวงั ทรพั ยากร แตล่ ะประเทศมอี ำ� นาจอธปิ ไตยใน๔เขต คอื นา่ น หลายประเภทจงึ เกดิ การเสอ่ื มโทรม ทรพั ยากรใน นำ�้ ภายใน (พนื้ ทด่ี า้ นในถดั จากเสน้ ฐานเขา้ ถงึ ฝง่ั ) ทะเลไทยทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ สงั คมไทย ไดแ้ ก่ ทะเลอาณาเขต (จากเส้นฐานออกไปไม่เกิน ๑๒ ๑.๑ สัตว์นำ้� ไมลท์ ะเล) เขตตอ่ เนอ่ื ง (จากเสน้ ฐานไมเ่ กนิ ๒๔ ตามพระราชบญั ญตั กิ ารประมงพ.ศ.๒๔๙๐ ไมล์ทะเล) ส่วนพื้นที่จากเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ ไดใ้ หน้ ยิ ามของ “สตั วน์ ำ้� ” ไวว้ า่ “สตั วน์ ำ้� หมายถงึ ออกไปคอื ทะเลหลวง ทที่ กุ ประเทศมเี พยี งเสรภี าพ ปลา กงุ้ ปู แมงดาทะเล รวมทงั้ ไขข่ องสตั วน์ ำ�้ ในการเดนิ เรอื การบนิ และการทำ� ประมง ภายใต้ เหล่าน้ีทุกชนิด สัตว์น�้ำจ�ำพวกหอยและหอยมุก ขอ้ กำ� หนดรว่ มกนั สตั วน์ ำ้� จำ� พวกปลงิ ฟองนำ�้ และสตั วอ์ น่ื ทอ่ี าศยั อยู่ ท้องทะเลไทยนับเป็นขุมทรัพย์อันย่ิงใหญ่ ในนำ�้ และรวมถงึ พชื นำ้� เชน่ สาหรา่ ยทะเล และ ของประเทศไทย เป็นขุมทรัพย์ที่ประกอบด้วย พนั ธไ์ุ มน้ ำ�้ อนื่ ๆ ดว้ ย” โดยทว่ั ไปจะเขา้ ใจกนั วา่ ทรัพยากรทม่ี ชี วี ติ และไมม่ ชี วี ติ คนไทยไดพ้ งึ่ พา สัตวน์ ำ้� หมายถึง กุ้ง หอย ปู ปลา เปน็ สตั ว์นำ�้ ทีค่ น ไทยได้น�ำข้ึนมาใช้ประโยชน์เป็นเวลานานแล้ว จำ� แนกออกเปน็ ๓ กลมุ่ ด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มท่ี ๑ ปลาผวิ นำ้� (pelagic fish) เชน่ ปลาทู ปลาอนิ ทรี ปลากะตกั ปลาหลงั เขยี ว กลมุ่ ท่ี ๒ ปลาหนา้ ดนิ (demersal fish) เชน่ ปลาเกา๋ ปลาหมอทะเล ปลา จวด ปลาเหด็ โคน และ กลุ่มที่ ๓ สตั วน์ ำ้� ไม่มี กระดกู สนั หลงั (invertebrate) เชน่ กงุ้ หอย ปู หมึก สัตว์น้�ำเหล่านี้ถูกจับข้ึนมาด้วยเครื่องมือ ทำ� การประมงทห่ี ลากหลาย ทง้ั ทม่ี ขี นาดเลก็ เชน่ ฝงู ปลาททู กี่ ำ� ลงั กรองกินแพลงก์ตอน เบ็ด ลอบ แห อวนลอย และขนาดใหญ่ซึ่งมี
11 การท�ำประมงพนื้ บา้ น การทำ� ประมงพาณิชย์ การท�ำประมงท่ผี ิดกฎหมาย การทอ่ งเท่ยี วตกปลาทะเล อาหารทะเลสดของไทยหลากหลายชนดิ ปลาทะเลตามฤดกู าล ประสทิ ธภิ าพในการจบั สตั วน์ ำ�้ สงู เชน่ อวนลาก สง่ ผลติ ภณั ฑส์ ตั วน์ ำ�้ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ สตั วน์ ำ�้ อวนรุน อวนล้อมจับ สัตว์น้�ำที่จับได้ก็น�ำมา แช่แข็งบรรจุกระป๋อง ไปจ�ำหน่ายในตลาดต่าง บรโิ ภคทงั้ ในรปู อาหารสดและอาหารแปรรปู เพอื่ ประเทศ สามารถนำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศปลี ะหลาย ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผบู้ รโิ ภค และ แสนล้านบาท ท่ีส�ำคัญอย่างย่ิงคือ สัตว์น�้ำเป็น สามารถเกบ็ ไวบ้ ริโภคในอนาคต สตั ว์น้�ำเหลา่ น้ี แหล่งอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ของคนไทยมา มีความสำ� คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศอย่างยง่ิ การ นานแลว้
12 ทะเลไทยเป็นทะเลท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ เปน็ อาหารได้ เชน่ สาหรา่ ยประเภทตา่ งๆ บางชนดิ สูงสุดแห่งหนึ่งของโลก เน่ืองจากมีความลึกไม่ ทำ� หนา้ ทใี่ นการขจดั มลพษิ ในทะเลไดใ้ นระดบั หนงึ่ มาก แสงแดดสามารถสอ่ งผ่านลงไปยังพน้ื ทอ้ ง บางชนดิ กเ็ ปน็ อาหารของสตั วน์ ำ้� และเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ทะเลได้ ทำ� ใหส้ ตั วแ์ ละพชื ขนาดเลก็ ทเี่ ปน็ อาหาร ของสัตว์น�้ำหลากหลายชนิด นอกจากน้ี พืชนำ�้ ของสตั วน์ ำ�้ ทม่ี ขี นาดใหญก่ วา่ สามารถเจรญิ เตบิ โต ยงั ทำ� หนา้ ทใ่ี นการชะลอความรนุ แรงของคลน่ื และ ไดด้ ี และแมน่ ำ้� หลายสายยงั ไดพ้ ดั พาอนิ ทรยี สาร กระแสน้�ำ ช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่ง พืชน้�ำที่ จากบนบกลงสทู่ ะเล ทำ� ใหท้ ะเลไทยอดุ มสมบรู ณ์ ส�ำคัญ ไดแ้ ก่ สาหรา่ ยและหญา้ ทะเล ไปดว้ ยสตั วน์ ำ�้ หลากหลายชนดิ ดาวทะเลในแหลง่ หญา้ ทะเล สถิติการประมงของกรมประมงรายงานว่า ประเทศไทยมผี ลผลติ สตั วน์ ำ�้ ทไ่ี ดจ้ ากการจบั สตั ว์ น้�ำเฉลี่ยประมาณปีละกว่า ๒ ล้านตัน แต่ได้รับ ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย เนื่องจากประมาณ รอ้ ยละ ๓๐ ของผลผลิตเป็นปลาเป็ด ทีป่ ระกอบ ดว้ ยลกู สตั วน์ ำ�้ เศรษฐกจิ และสตั วน์ ำ้� ขนาดเลก็ ซง่ึ ผลผลิตเหล่าน้ีไม่สามารถบริโภคได้ ต้องส่งเข้า โรงงานผลติ ปลาปน่ ถอื เปน็ การสญู เสยี ทรพั ยากร ประมงทม่ี มี ลู คา่ มหาศาล ปจั จบุ นั ในระดบั สากล ไดพ้ ยายามออกมาตรการตา่ ง ๆ มาบงั คบั ใหม้ กี าร จับปลาเป็ดให้น้อยท่ีสุด เพ่ืออนุรักษ์ทรัพยากร ประมงของมนษุ ยชาตไิ วส้ ำ� หรบั คนรนุ่ ตอ่ ไป ๑.๒ พืชน้ำ� ในทะเลไทยนอกจากมสี ตั วน์ ำ้� อาศยั อยแู่ ลว้ ยงั มพี ชื นำ�้ จำ� นวนมาก บางชนดิ สามารถนำ� มาบรโิ ภค หญ้าทะเลบริเวณแนวปะการงั สาหรา่ ยทะเล
13 การสำ� รวจแหล่งนำ�้ มัน เรือส�ำรวจแร่ ส.บลูดรากอน ๑ ๑.๓ แรธ่ าตุ น�ำ้ มนั แกส๊ ๒. กฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวข้อง ในทะเลไทยนอกจากมีทรัพยากรที่มีชีวิต กับทะเลไทย อดุ มสมบรู ณแ์ ลว้ ยงั มที รพั ยากรทไ่ี มม่ ชี วี ติ ซงึ่ มี มลู คา่ สงู อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก ไดแ้ ก่ แรธ่ าตตุ า่ ง ๆ เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากทะเลไทย นำ�้ มนั และแกส๊ ประเทศไทยนำ� ทรพั ยากรเหลา่ น้ี หลากหลายกจิ กรรม และผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ทเ่ี ขา้ มาใชป้ ระโยชนเ์ ปน็ ระยะเวลานานแลว้ โดยเรมิ่ ตน้ มาเกย่ี วขอ้ งมจี ำ� นวนมาก หากไมม่ กี ฎระเบยี บมา จากการท�ำเหมืองแร่ในทะเล ซึ่งส่วนใหญ่เป็น กำ� กบั การใชป้ ระโยชนข์ องบคุ คลกลมุ่ ตา่ ง ๆ แลว้ การทำ� เหมอื งแรด่ บี กุ หลงั จากนน้ั ไดม้ กี ารสำ� รวจ กจ็ ะทำ� ใหเ้ กดิ การขดั แยง้ ระหวา่ งผใู้ ชป้ ระโยชนก์ ลมุ่ แหลง่ นำ�้ มนั และแกส๊ ในทะเลไทยอยา่ งกวา้ งขวาง ตา่ ง ๆ ผทู้ ม่ี ศี กั ยภาพสงู ในการเขา้ ไปใชป้ ระโยชน์ อยา่ งไรกต็ ามการสำ� รวจแหลง่ แรธ่ าตุ นำ�้ มนั และ จากทะเลจะกอบโกยผลประโยชน์จากทะเลมาก แกส๊ ในทะเลนนั้ ตอ้ งใชว้ ทิ ยาการขน้ั สงู และเงนิ ทนุ กว่าผู้อ่ืน ท�ำให้ทรัพยากรในท้องทะเลถูกน�ำมา เปน็ จำ� นวนมาก ดงั นนั้ การสำ� รวจสว่ นใหญจ่ งึ เปน็ ใชป้ ระโยชนม์ ากเกนิ ไปจนเกดิ ความเสอ่ื มโทรมใน บรษิ ทั ตา่ งชาตทิ เี่ ขา้ มาดำ� เนนิ การ ระยะเวลาอนั สน้ั ทกุ ประเทศจงึ ไดอ้ อกกฎระเบยี บ
14 มาควบคุม เพ่ือให้การใช้ประโยชน์จากทะเลมี ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ทะเลในอาณาเขตของประเทศ ความย่ังยืน และสร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุก ใดประเทศหนงึ่ หรอื เปน็ เขตทะเลหลวง หากไมม่ ี คนในสงั คม นอกจากน้ีทะเลและมหาสมทุ รเชอ่ื ม ขอ้ ตกลงรว่ มกนั ของประเทศตา่ ง ๆ ทงั้ ในรปู ของ โยงตดิ ตอ่ กนั ประเทศตา่ งๆมกี ารใชป้ ระโยชนท์ าง สนธสิ ญั ญาและกฎหมายสากล ทรพั ยากรและสง่ิ ทะเลรว่ มกนั ซงึ่ จะสรา้ งผลกระทบตา่ งๆตอ่ ทะเล แวดลอ้ มทางทะเลกจ็ ะเสอ่ื มโทรมลงอยา่ งรวดเรว็ ได้ ดงั นน้ั จงึ ไดจ้ ดั ทำ� กฎระเบยี บสากลทเี่ กย่ี วขอ้ ง และกอ่ ใหเ้ กดิ หายนะทร่ี นุ แรงตอ่ มนษุ ยชาตทิ ง้ั หมด กบั การใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเล เพอ่ื ใหม้ นษุ ยชาตไิ ด้ นอกจากน้ี แตล่ ะประเทศตา่ งมศี กั ยภาพในการใช้ ใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลและมหาสมทุ รอยา่ งยง่ั ยนื ประโยชนจ์ ากทะเลไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ประเทศทพี่ ฒั นา แลว้ มโี อกาสแสวงหาผลประโยชนจ์ ากทะเลไดม้ าก ๒.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ กวา่ ประเทศกำ� ลงั พฒั นา ยง่ิ หากเปน็ ประเทศดอ้ ย ประโยชนจ์ ากทะเลของประเทศไทย พฒั นากแ็ ทบไมม่ โี อกาสทจี่ ะไดผ้ ลประโยชนจ์ าก ทะเลเลย การใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทยมหี ลากหลาย กจิ กรรม กจิ กรรมทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ การประมง ซง่ึ มี ข้อตกลงสากลท่ีมีบทบาทส�ำคัญในการ ทงั้ การจบั สตั วน์ ำ�้ และการเพาะเลย้ี งสตั วน์ ำ�้ การ จดั การการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลคอื กฎหมายทะเล เดนิ เรือขนส่งสินคา้ การทอ่ งเท่ยี ว การขดุ เจาะ (Law of the Sea) มกี ารกำ� หนดหลกั เกณฑส์ ำ� หรบั นำ� ปโิ ตรเลยี มขน้ึ มาใชป้ ระโยชน์ และการตงั้ นคิ ม การกำ� หนดขอบเขตทะเลของแตล่ ะประเทศ รวม อตุ สาหกรรมในบรเิ วณชายฝงั่ ทะเล ดงั นนั้ เพอ่ื ทง้ั กำ� หนดสทิ ธแิ ละหนา้ ทข่ี องประเทศตา่ ง ๆ ใน ใหก้ ารใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลเปน็ ไปอยา่ งถกู ตอ้ ง การดแู ลและใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเล และยง่ั ยนื รฐั บาลไทยจงึ ออกกฎระเบยี บมากำ� กบั การใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเล กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ๓. การใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทยและ กจิ กรรมในทะเลไทยแบง่ ออกเปน็ ดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้ ปญั หาที่ตามมา - กฎหมายเกย่ี วกบั สง่ิ แวดลอ้ ม ประเทศไทยมกี ารใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทย - กฎหมายเกย่ี วกบั การพาณชิ ยน์ าวี มาตั้งแต่ก่อนกรุงสุโขทัยแล้ว การใช้ประโยชน์ - กฎหมายเกยี่ วกบั ทรพั ยากรมชี วี ติ ในเชงิ เศรษฐกจิ ทส่ี �ำคญั ได้แก่ การประมง การ - กฎหมายเกย่ี วกบั ทรพั ยากรไมม่ ชี วี ติ ทอ่ งเทย่ี ว การเดนิ เรอื และการขดุ แรธ่ าตรุ วมทง้ั - กฎหมายเกยี่ วกบั สทิ ธใิ นเขตตอ่ เนอ่ื ง น้�ำมันและแก๊ส ซ่ึงมูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติ - กฎหมายเก่ียวกับความม่ันคงหรือความ ทางทะเลไทยโดยรวมทง้ั หมด ใน พ.ศ. ๒๕๕๒ มี สงบเรยี บรอ้ ยทางทะเล รายงานการประเมนิ ของสำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ - กฎหมายเกย่ี วกบั กจิ กรรมทางทะเลอน่ื ๆ การวจิ ยั (สกว.) วา่ มมี ลู คา่ สงู ถงึ ๖.๗ลา้ นลา้ นบาท อยา่ งไรกต็ าม การใชป้ ระโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ๒.๒ กฎหมายที่เก่ียวข้องกับการใช้ ก็มปี ัญหาบางอยา่ งติดตามมาด้วยเชน่ กนั ประโยชน์จากทะเลในระดับสากล การใชป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั จากทะเลในเรอ่ื งของ การเดนิ เรอื และการสำ� รวจหาทรพั ยากรโดยประเทศ
15 การเลีย้ งปลาบริเวณชายฝง่ั การเลีย้ งปลาในกระชังในอา่ ว การเลี้ยงปลาในกระชงั บรเิ วณปากแมน่ ำ้� การเลี้ยงปลาทะเล ๓.๑ การประมง สตั วน์ ำ้� ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ ในทกุ วนั โดยไมค่ ำ� นงึ วา่ จะ เปน็ สตั วน์ ำ�้ ทมี่ ไี ข่ หรอื เปน็ สตั วน์ ำ้� ขนาดเลก็ และ ในแต่ละปี ประเทศไทยได้จับสัตว์น้�ำจาก มกี ารทำ� ประมงมากเกนิ ไป (overfishing) ปญั หา ทะเลและมีผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้�ำใน ใหญท่ เี่ กดิ ขนึ้ ในปจั จบุ นั คอื มเี รอื ประมงมากกวา่ บรเิ วณชายฝง่ั รวมปรมิ าณเฉลยี่ ปลี ะเกอื บ ๓ ลา้ น ทรัพยากรสัตว์น�้ำที่มีอยู่ ผลท่ีตามมาก็คือ ชาว ตนั โดยมมี ลู คา่ หลายแสนลา้ นบาท และกอ่ ใหเ้ กดิ ประมงแยง่ กนั จบั สตั วน์ ำ�้ ทำ� ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ อุตสาหกรรมต้นน้�ำ (Up-stream Industry) และ กนั ในระหวา่ งชาวประมงกลมุ่ ตา่ ง ๆ ดงั นน้ั หาก อตุ สาหกรรมปลายนำ�้ (Down-streamIndustry)อกี เปน็ จำ� นวนมาก ผลผลติ สตั วน์ ำ�้ นอกจากจะนำ� ไปใช้ การเลยี้ งหอยแบบแขวน สำ� หรบั การบรโิ ภคภายในประเทศแลว้ ยงั เหลอื พอ สำ� หรบั การสง่ ออกไปจำ� หนา่ ยในตลาดโลก สามารถ นำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศปลี ะหลายแสนลา้ นบาท ทรัพยากรประมงเป็นทรัพยากรท่ีคนไทย ทกุ คนเปน็ เจา้ ของรว่ มกนั และการทำ� ประมงเปน็ แบบเสรี (Open Access Fishery) จึงมีการท�ำ ประมงอยา่ งไมร่ บั ผดิ ชอบ ชาวประมงพยายามจบั
16 การทำ� ประมง การเพาะเลยี้ งสัตวน์ ้�ำ ตอ้ งการรกั ษาการทำ� ประมงทะเลใหย้ ง่ั ยนื จำ� เปน็ ในตลาดโลก สว่ นหอยและปลาสว่ นใหญใ่ ชบ้ รโิ ภค จะต้องมีการจัดระเบียบการท�ำประมงใหม่และมี ภายในประเทศ นับได้ว่ากิจกรรมด้านการเพาะ มาตรการบรหิ ารจดั การประมง (fishery manage- เลย้ี งสตั วน์ ำ�้ สรา้ งรายไดจ้ ำ� นวนมากใหแ้ กป่ ระเทศ mentmeasures)ทส่ี อดคลอ้ งกบั สถานการณข์ องการ อยา่ งไรกต็ าม การเพาะเลยี้ งสตั วน์ ำ�้ ชายฝง่ั กส็ รา้ ง ประมงทะเลท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปญั หาบางประการตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มทางทะเล เชน่ ปจั จบุ นั กรมประมงไดพ้ ยายามทกุ วถิ ที างเพอ่ื จงู ใจ ปา่ ชายเลนจำ� นวนมากถกู ทำ� ลายเพอ่ื นำ� พน้ื ทม่ี าใช้ ใหช้ าวประมงไทยทำ� ประมงภายใตจ้ รรยาบรรณวา่ ในกิจกรรมน้ี ของเสียและสารเคมีจากการเพาะ ดว้ ยการประมงอยา่ งรบั ผดิ ชอบ (code of conducts เลย้ี งสตั วน์ ำ�้ ถกู ปลอ่ ยทงิ้ ลงสแู่ หลง่ นำ�้ แลว้ ไหลลง for responsible fisheries) ซง่ึ เปน็ ขอ้ ตกลงรว่ มกนั สทู่ ะเลในทสี่ ดุ การตกตะกอนในบรเิ วณกระชงั เลย้ี ง ในระดบั สากล ปลา ตลอดจนการกดี ขวางทางเดนิ เรอื ของแปลง เลยี้ งหอย หากไมม่ กี ารแกไ้ ขในเรอื่ งนอ้ี ยา่ งจรงิ จงั ในดา้ นการเพาะเลยี้ งสตั วน์ ำ้� ชายฝง่ั สตั วน์ ำ้� แล้ว ทะเลไทยจะเสื่อมโทรมจากผลกระทบนี้ ทเี่ ลย้ี ง ไดแ้ ก่ กงุ้ หอย ปลา กงุ้ มบี ทบาททาง ทำ� ใหก้ ารเพาะเลยี้ งสตั วน์ ำ้� ชายฝง่ั คงลดนอ้ ยลงใน เศรษฐกจิ มากทสี่ ดุ ทง้ั ในดา้ นมลู คา่ และการสง่ ออก อนาคต กงุ้ ทเี่ ลย้ี งประมาณรอ้ ยละ ๙๐ สง่ ออกไปจำ� หนา่ ย
๓.๒ การทอ่ งเท่ยี ว 17 ประเทศไทยเป็นหน่ึงในไม่กี่ประเทศท่ีมี อทุ ยานแหง่ ชาตหิ มเู่กาะอา่ งทอง อำ� เภอเมอื งฯ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ชายหาดสวยงาม และน�้ำทะเลใสสะอาดอยู่เป็น นำ้� ทะเลใสสะอาดและชายหาดทส่ี วยงามเปน็ สงิ่ ดงึ ดดู นกั ทอ่ งเทยี่ ว จำ� นวนมากทง้ั ฝง่ั ทะเลอา่ วไทยและทะเลอนั ดามนั การด�ำน้ำ� ต้ืนชมปะการัง บรเิ วณชายฝง่ั ยงั มปี า่ ชายเลนทอ่ี ดุ มสมบรู ณห์ ลาย การดำ� น้�ำลกึ ชมปะการงั พนื้ ที่ ในทอ้ งทะเลกม็ แี นวปะการงั นำ้� ตน้ื และนำ�้ ลกึ ทสี่ วยงาม เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ ทรพั ยากรการทอ่ งเทย่ี ว ทสี่ ำ� คญั เปน็ สง่ิ ดงึ ดดู ใหน้ กั ทอ่ งเทยี่ วทงั้ ชาวไทย และชาวต่างชาติเข้ามาท่องเท่ียวทะเลไทย จาก ขอ้ มูลของการทอ่ งเท่ียวแหง่ ประเทศไทย พบว่า นักท่องเท่ียวมาพักผ่อนและท่องเท่ียวทะเลไทย มากกวา่ การทอ่ งเทย่ี วบนบก อนั แสดงถงึ ความมี เสนห่ ข์ องทะเลไทย โดยเฉพาะนกั ทอ่ งเทยี่ วจาก ประเทศในยโุ รปทน่ี ยิ มมาพกั ผอ่ นระยะยาวบรเิ วณ ทะเลไทยท้ังสองชายฝง่ั สร้างรายได้จำ� นวนมาก ให้แกท่ อ้ งถนิ่ และประเทศ อย่างไรก็ตาม การท่องเท่ียวทางทะเลของ ประเทศไทยยงั ขาดการบรหิ ารจดั การทเี่ ปน็ ระบบ ไมม่ กี ารกำ� หนดจำ� นวนนกั ทอ่ งเทยี่ วใหส้ อดคลอ้ ง กบั ศกั ยภาพในการรองรบั ของพน้ื ที่ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ทสี่ วยงามหลายแหง่ ถกู ทำ� ลายจากการเตบิ โตอยา่ ง รวดเรว็ ของอตุ สาหกรรมการทอ่ งเทย่ี ว ในบางครง้ั เกิดความขัดแย้งกันหลายพื้นท่ี เมื่อเอกชนหรือ โรงแรมบางแหง่ ไดท้ ำ� การปดิ กน้ั พนื้ ทชี่ ายหาดไมใ่ ห้ บคุ คลอนื่ เขา้ ไปใชป้ ระโยชน์ ซงึ่ โดยขอ้ กฎหมาย แลว้ ไมส่ ามารถกระทำ� ได้ เนอื่ งจากชายหาดทกุ แหง่ เปน็ พนื้ ทส่ี าธารณะ ทกุ คนมสี ทิ ธเิ ขา้ ไปใชป้ ระโยชน์ ไดอ้ ยา่ งเสรี หากไมม่ กี ารบรหิ ารจดั การใหถ้ กู ตอ้ ง และเหมาะสม ปญั หานจ้ี ะทวคี วามรนุ แรงยงิ่ ขน้ึ ใน อนาคต
18 แหลง่ แรใ่ นสมยั กอ่ น นานาชนดิ การคน้ หาตวั ยารกั ษาโรคจากทะเลนน้ั จะตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยขี น้ั สงู และใชง้ บประมาณสงู ๓.๓ การทำ� เหมืองแร่ในทะเล มาก ประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถ ทำ� การวจิ ยั คน้ ควา้ ดา้ นนไ้ี ด้ สำ� หรบั ประเทศไทย ประเทศไทยเคยมีการท�ำเหมืองแร่ในทะเล การคน้ ควา้ วจิ ยั ในเรอื่ งนย้ี งั มคี อ่ นขา้ งนอ้ ย เพราะ อยา่ งกวา้ งขวางในฝง่ั ทะเลอนั ดามนั ซง่ึ มแี รด่ บี กุ อยู่ มขี อ้ จำ� กดั ในดา้ นเทคโนโลยแี ละงบประมาณ การ เปน็ จำ� นวนมาก มที ง้ั บรษิ ทั ทมี่ กี ารใชเ้ รอื ขดุ แรซ่ ง่ึ วิจัยมักเกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้านในรูปของยา เปน็ เครอ่ื งจกั รขนาดใหญ่ และการใชเ้ ครอ่ื งดดู แร่ รกั ษาโรคแบบพน้ื บา้ น โดยเกบ็ สมนุ ไพรจากปา่ ขนาดเล็กโดยเอกชนรายย่อย แม้จะสร้างรายได้ ชายเลนและบรเิ วณชายหาดมาปรงุ แตง่ เปน็ ยารกั ษา มหาศาลใหแ้ กป่ ระเทศ แตก่ ส็ รา้ งความเสยี หายอยา่ ง โรคตา่ งๆ สมนุ ไพรบางชนดิ สามารถนำ� มารกั ษาโรค รนุ แรงแกท่ ะเลไทยเชน่ กนั พนื้ ทอ้ งทะเลเกดิ ความ ได้โดยตรง อย่างไรตาม ยังไม่มีการสกัดสารท่ี เสยี หาย ทำ� ใหส้ ตั วน์ ำ�้ และพชื นำ้� ไมส่ ามารถอาศยั อยู่ สามารถรกั ษาโรคออกมาไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั ตอ่ ไปได้ ตะกอนดนิ ทเ่ี กดิ จากกระบวนการขดุ และ ลา้ งแรด่ บี กุ แพรก่ ระจายออกเปน็ วงกวา้ ง เกดิ ผล ในต่างประเทศมีการศึกษาค้นคว้ากันอย่าง กระทบต่อส่ิงแวดล้อมทางทะเลและส่ิงมีชีวิตใน กวา้ งขวาง เพอื่ แสวงหายารกั ษาโรคทใี่ นปจั จบุ นั ยงั ทะเลอยา่ งรา้ ยแรง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ แนวปะการงั ไมม่ ยี ารกั ษา เชน่ โรคมะเรง็ โดยมกี ารสกดั หาสาร และแหล่งหญ้าทะเล ต่อมาการท�ำเหมืองแร่ใน ทสี่ ามารถเปน็ ยารกั ษาโรคไดจ้ ากพชื และสตั วท์ อ่ี ยู่ ทะเลไมค่ มุ้ คา่ กบั การลงทนุ และมกี ารคดั คา้ นจาก ในทะเล สตั วบ์ างชนดิ ถกู นำ� ขนึ้ มาจากทอ้ งทะเลลกึ ชมุ ชนชายฝง่ั ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบ การทำ� เหมอื งแรใ่ น หนงั สอื World Ocean Review 2010 รายงานวา่ ทะเลจงึ ยตุ ลิ ง แตธ่ รรมชาตทิ ถ่ี กู ทำ� ลายตอ้ งใชเ้ วลา มกี ารสกดั เพปไทดไ์ ซโคโนไทป์(peptidecycono- นบั สบิ ปเี พอื่ ฟน้ื ฟใู หก้ ลบั มาอยใู่ นสภาพดดี งั เดมิ type) จากพษิ ของหอยเตา้ ปนู ทะเลสายพนั ธต์ุ า่ ง ๆ สว่ นผสมของสารพษิ รปู แบบทป่ี รบั แตง่ แลว้ นำ� มา ๓.๔ การคน้ หาตวั ยารกั ษาโรคจากทะเล ใชร้ กั ษาอาการปวดเรอ้ื รงั ขนั้ รนุ แรง ซง่ึ การรกั ษาดว้ ย ทะเลนับเป็นแหล่งก�ำเนิดของยารักษาโรค หอยเต้าปนู ทะเล
19 มอรฟ์ นี ไมส่ ามารถระงบั ความเจบ็ ปวดได้ หรอื ใช้ ในผทู้ แี่ พม้ อรฟ์ นี ใน พ.ศ. ๒๕๑๒ มกี ารพสิ จู นว์ า่ เพล็กโซราโฮโมมอลลา (Plexaura homomalla) ซง่ึ เปน็ ปะการงั ทพี่ บทว่ั ไปในทะเลแครบิ เบยี นและ มหาสมทุ รแอตแลนตกิ ตะวนั ตก เปน็ แหลง่ กำ� เนดิ ตามธรรมชาตทิ มี่ พี รอสทาแกลนดนิ (prostaglan- din) อย่างอุดมสมบูรณ์ พรอสทาแกลนดินเป็น ฮอร์โมนที่ผลิตจากเนื้อเยื่อซึ่งควบคุมระบบการ ทำ� งานสำ� คญั ของรา่ งกาย เชน่ การจบั ตวั เปน็ ลม่ิ ของเลือดและการตอบสนองต่อการอักเสบแบบ ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี ซ่ึงในประเทศไทยยังไม่ สามารถด�ำเนินการสกดั สารเหลา่ น้ไี ด้ ๔. ภัยคุกคามของทะเลไทย นำ�้ ทะเลกดั เซาะชายฝง่ั เกดิ จากการเปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศ ความตอ้ งการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทยเพม่ิ ประกอบการพจิ ารณาในหลาย ๆ ดา้ น อยา่ งไรกด็ ี ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง คงปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ การขยายตวั การเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศของโลกไดส้ ง่ ผลกระทบ ทางเศรษฐกิจและชุมชนเป็นสาเหตุหลักท่ีท�ำให้ ตอ่ ทะเลไทยแลว้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง นอกจากปญั หาการ เกดิ การคกุ คามทะเลไทยทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม กดั เซาะชายฝง่ั ทวคี วามรนุ แรงขนึ้ เรอื่ ย ๆ ปญั หา เนอื่ งจากความตอ้ งการใชป้ ระโยชนม์ เี พม่ิ ขนึ้ ทกุ วนั ปะการงั ฟอกขาวกเ็ ปน็ อกี ปญั หาทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ ในขณะทพ่ี น้ื ทบี่ รเิ วณชายฝง่ั มอี ยอู่ ยา่ งจำ� กดั ภยั แนวปะการงั ของไทยอยา่ งรนุ แรง นกั วทิ ยาศาสตร์ คกุ คามทเี่ กดิ ขน้ึ กบั ทะเลไทยสว่ นมากเกดิ จากการ ทางทะเลหลายคนไดท้ ำ� การศกึ ษาเกย่ี วกบั การเกดิ กระทำ� ของมนษุ ย์ มเี พยี งบางอยา่ งเทา่ นน้ั ทเ่ี กดิ จาก ปรากฏการณป์ ะการงั ฟอกขาวอยา่ งตอ่ เนอ่ื งมาเปน็ กระบวนการทางธรรมชาติ สว่ นหนง่ึ กม็ าจากการก เวลานานมากแลว้ มขี อ้ สรปุ กวา้ ง ๆ วา่ ถา้ อณุ หภมู ิ ระตนุ้ โดยฝมี อื มนษุ ยท์ งั้ สน้ิ สามารถแบง่ ภยั คกุ คาม ของนำ้� ทะเลสงู เกนิ กวา่ ๓๐.๑ องศาเซลเซยี ส เปน็ ทะเลไทยไดด้ งั นี้ เวลานานเกนิ ๑เดอื นจะทำ� ใหป้ ะการงั เกดิ การฟอก ขาวได้ ตอ่ มาภายหลงั มกี ารตง้ั ขอ้ สังเกตวา่ ความ ๔.๑ การเปลีย่ นแปลงของภมู ิอากาศ ขา่ วสารเกย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู -ิ อากาศ เชน่ นำ้� จะทว่ มโลกและกรงุ เทพฯ จะตอ้ ง จมนำ้� ในอกี ไมน่ านนี้ อณุ หภมู ขิ องอากาศจะรอ้ นขนึ้ อกี มาก หรอื พายจุ ะพดั มาประเทศไทยบอ่ ยครง้ั ขน้ึ เหลา่ นอี้ าจเกดิ ขนึ้ ไดจ้ รงิ หรอื ไม่ จำ� เปน็ ตอ้ งใชข้ อ้ มลู
20 การเกดิ ปะการงั ฟอกขาว ๔.๒ การประมง เขม้ ของแสงทสี่ อ่ งลงไปตอ้ งมากกวา่ ปกตดิ ว้ ย จงึ การทำ� ประมงในทะเลไทยในอดตี นนั้ ทำ� ให้ จะทำ� ใหเ้ กดิ เหตกุ ารณน์ ข้ี น้ึ ได้ สญู เสยี ทรพั ยากรจำ� นวนมหาศาล เพราะเปน็ การทำ� ประมงจนเกินขีดจ�ำกัดท่ีทรัพยากรจะรองรับได้ ในชว่ ง ๓๐ ปที ผ่ี า่ นมาทะเลไทยเกดิ ปะการงั การทำ� ประมงอวนรนุ หรอื อวนลากในอาณาบรเิ วณ ฟอกขาวทุกปี แต่มีความรุนแรงแตกต่างกันใน ๓,๐๐๐ เมตรจากชายฝง่ั ไดท้ ำ� ลายแหลง่ อนบุ าล แตล่ ะปี เนอ่ื งจากในชว่ งฤดรู อ้ น อณุ หภมู เิ ฉลย่ี สตั วน์ ำ้� วยั ออ่ นในหลาย ๆ พน้ื ท่ี ประเดน็ ปญั หา ของนำ�้ ทะเลสงู เกินกว่า ๓๐.๑ องศาเซลเซียสไป ของการใชท้ รพั ยากรชวี ภาพอยา่ งไมค่ มุ้ คา่ เชน่ การ มากแล้ว บางแห่งมีอุณหภูมิสูงถึง ๓๑.๕ หรือ จบั ปลาทู ปลาเปด็ หลงั การเปดิ อา่ ว โดยจบั ขน้ึ มา ๓๒.๐ องศาเซลเซียส จึงไม่น่าแปลกใจที่แนว ในปรมิ าณมหาศาล แตม่ ลู คา่ ของทรพั ยากรนอ้ ย ปะการงั ของทะเลไทยจะเกดิ ปรากฏการณป์ ะการงั มาก เพราะปลาทยู งั มขี นาดเลก็ และมปี รมิ าณลน้ ฟอกขาวขน้ึ ในทกุ ๆ ปี ทร่ี นุ แรงทส่ี ดุ คอื ในชว่ ง ตลาด หากมกี ารบรหิ ารจดั การอยา่ งเปน็ ระบบและ พ.ศ. ๒๕๔๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ หากไมช่ ว่ ยกนั มปี ระสทิ ธภิ าพคงไมต่ อ้ งสญู เสยี ทรพั ยากรประมง ชะลอความเสยี หาย โดยการปอ้ งกนั การเกดิ ปญั หา ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ โลกรอ้ นในทกุ วถิ ที าง หายนะเหลา่ นจ้ี ะเกดิ ขนึ้ มา ในระยะเวลาไมน่ านหลงั จากน้ี
21 การจบั ปลาโดยการใช้อวนและตาขา่ ย การสร้างสิง่ ปลกู สรา้ งในทะเล นอกจากน้ียังมีการท�ำประมงแบบบังเอิญ มากขนึ้ อกี ดว้ ย สง่ิ ทต่ี ามมาหลงั การสรา้ งสงิ่ ปลกู หรอื ไมไ่ ดต้ ง้ั ใจทเี่ รยี กวา่ การทำ� ประมงผี (Ghost สรา้ งลงไปในทะเลคอื การปลอ่ ยของเสยี หรอื สาร Fishing) การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นการท�ำลาย มลพษิ ลงสทู่ ะเล เพราะเมอื่ มสี ง่ิ กอ่ สรา้ งกย็ อ่ มมี ทรัพยากรประมงแบบสูญเปล่า สาเหตุเกิดจาก การใชป้ ระโยชนโ์ ดยมนษุ ยอ์ ยา่ งแนน่ อน ตวั อยา่ ง เครอ่ื งมอื ประมงทช่ี าวประมงทง้ิ ไวใ้ นทะเล จะโดย ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนคอื การสรา้ งบา้ นพกั รสี อรต์ หรอื ตงั้ ใจหรอื ไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ เชน่ ลอบ ตาขา่ ย หรอื แม้ แมแ้ ตโ่ รงแรมทม่ี ที งั้ ขนาดเลก็ และขนาดใหญเ่ พอ่ื แตเ่ ศษอวน ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ ภยั คกุ คามทรพั ยากร รองรบั นกั ทอ่ งเทยี่ ว นอกจากการขยายตวั ของการ ชวี ภาพในทะเลไทยทง้ั สน้ิ ทอ่ งเทย่ี วแลว้ การขยายตวั ของอตุ สาหกรรมและ ชมุ ชนตามแนวชายฝง่ั กเ็ ปน็ อกี ปจั จยั หนง่ึ ทที่ ำ� ให้ ๔.๓ การสรา้ งสง่ิ ก่อสรา้ งในทะเล มกี ารสร้างสง่ิ ปลูกสรา้ งลงทะเล เชน่ การสร้าง บ้านเพื่ออยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม ท่าเรือ ทะเลไทยมีภัยคุกคามอีกรูปแบบหนึ่งโดย น�้ำลึก ทา่ เทียบเรือ แท่นขดุ เจาะแก๊สธรรมชาติ เฉพาะตามแนวชายฝง่ั คอื การสรา้ งสง่ิ ปลกู สรา้ ง หรอื นำ้� มนั ดบิ สง่ิ เหลา่ นลี้ ว้ นแตเ่ ปน็ ภยั คกุ คามของ ในทะเล นอกจากจะกดี ขวางและชะลอการไหลของ ทะเลไทยทงั้ สนิ้ ผทู้ มี่ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งควรไตรต่ รอง กระแสนำ้� ทำ� ใหเ้ กดิ การตกตะกอนทบั ถมมากกวา่ อยา่ งถถ่ี ว้ นระหวา่ งผลดแี ละผลเสยี ตลอดจนมกี าร ทเ่ี คยเปน็ และเกดิ การเนา่ เสยี ของพนื้ ทอ้ งทะเลแลว้ ยังท�ำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งในพ้ืนที่ใกล้เคียง
22 วางแผนบริหารจัดการให้ถูกต้องและเหมาะสม ปจั จบุ นั ยงั คงมกี ารทง้ิ ขยะลงสแู่ มน่ ำ�้ บรเิ วณสองฝง่ั ภายใตข้ อ้ มลู ทางวชิ าการทม่ี คี วามถกู ตอ้ งและทนั แม่น้�ำสายหลักของประเทศไทย ขยะเหล่านี้ย่อย ต่อเหตุการณ์ ก็จะท�ำให้ทะเลไทยยังคงสามารถ สลายชา้ มาก และจะจมลงสพู่ น้ื ทะเล กอ่ ใหเ้ กดิ ใชป้ ระโยชนใ์ นทกุ ๆดา้ นไดช้ วั่ ลกู ชวั่ หลานตอ่ ไป ปญั หาตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มบรเิ วณพน้ื ทอ้ งนำ้� เนอื่ งจาก การไหลของนำ้� ทะเลในอา่ วไทยเกดิ จากลมมรสมุ ๔.๔ การทง้ิ ขยะลงสทู่ ะเล ในชว่ งฤดฝู น นำ�้ จากทางฝง่ั ตะวนั ตกจะไหลไปฝง่ั ตะวนั ออก สว่ นในชว่ งฤดหู นาว นำ�้ จากฝง่ั ตะวนั ออก คนไทยสว่ นใหญม่ กั มพี ฤตกิ รรมการทง้ิ ขยะ จะไหลมายงั ฝง่ั ตะวนั ตก ดว้ ยเหตนุ ขี้ ยะทถี่ กู ทง้ิ ลง ลงทะเล ทม่ี กั เหน็ จนชนิ ตา ไดแ้ ก่ ถงุ พลาสตกิ ทะเลจงั หวดั ระยองจงึ สามารถไปเกยอยบู่ นหาดทราย ขวดนำ�้ พลาสตกิ กลอ่ งพลาสตกิ ทเี่ บาและลอยอยู่ ของจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธไ์ ด้ ขยะเหลา่ นน้ี อกจาก เหนอื นำ�้ นอกจากนย้ี งั มขี ยะทจี่ มอยใู่ ตน้ ำ�้ ไมว่ า่ จะ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มทางทะเลและ เปน็ กระปอ๋ งเบยี ร์ ขวดแกว้ และวสั ดทุ ที่ ำ� จากยาง สง่ิ มชี วี ติ ในทะเลแลว้ ยงั มผี ลกระทบตอ่ นกทะเล และโลหะ ในแตล่ ะปมี กี ารรณรงคใ์ หม้ กี ารเกบ็ ขยะ ดว้ ย โดยนกทะเลอาจโฉบกนิ ขยะพลาสตกิ ทล่ี อย ขน้ึ มาจากทะเลเปน็ จำ� นวนมาก โดยเฉพาะขยะที่ อยบู่ นผวิ นำ�้ เพราะคดิ วา่ เปน็ อาหาร มรี ายงานวา่ อยู่ตามแนวปะการัง มีอาสาสมัครจ�ำนวนมากท่ี นกทอ่ี าศยั อยทู่ เ่ี กาะกลางมหาสมทุ รแปซฟิ กิ ซง่ึ ต้องด�ำน�้ำเสี่ยงอันตรายเพ่ือเก็บขยะเหล่านี้ แม้ แต่การท้ิงขยะลงสู่แม่น้�ำก็ไหลลงสู่ทะเลในท่ีสุด ขยะจ�ำนวนมหาศาลท่ไี หลจากแมน่ ำ�้ ล�ำคลองลงสู่ทะเล
ไมม่ คี นอาศยั และอยหู่ า่ งจากเกาะทมี่ คี นอาศยั หลาย 23 รอ้ ยไมล์ ไดต้ ายลงเปน็ จำ� นวนมากจากการกนิ เศษ ขยะพลาสตกิ ทล่ี อยตามนำ�้ มาจากทอ่ี น่ื ๔.๖ อบุ ตั ิภยั นำ�้ มันร่วั ไหลลงทะเล ๔.๕ การระบายน�้ำเสียลงส่ทู ะเล การรวั่ ไหลของนำ�้ มนั ลงสทู่ ะเลไทยสามารถ สง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสงั คม การขยายตวั ของชมุ ชน การทอ่ งเทย่ี ว และ ไดโ้ ดยไมอ่ าจหลกี เลยี่ ง แตผ่ ลกระทบจะรนุ แรง อตุ สาหกรรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื งในหลายสบิ ปที ผี่ า่ นมา และยาวนานเพยี งใดกข็ นึ้ อยกู่ บั ปรมิ าณนำ�้ มนั ทร่ี วั่ ทำ� ใหม้ กี ารใชป้ ระโยชนจ์ ากนำ้� เพมิ่ ขนึ้ สง่ ผลใหม้ ี ไหล ลกั ษณะของพน้ื ทท่ี ไ่ี ดร้ บั ผลกระทบ และ การระบายน�้ำเสียลงสู่ทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบรหิ ารจดั การหลงั เกดิ การรว่ั ไหล ถงึ แมป้ รมิ าณ เมอื่ กลา่ วถงึ นำ้� เสยี ทป่ี ลอ่ ยลงสทู่ ะเล คนสว่ นใหญ่ การร่ัวไหลของน้�ำมันในทะเลไทยเมื่อเทียบกับ มักนึกถึงการปล่อยน้�ำเสียของโรงแรม บ้านพัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศถือว่าเล็กน้อย หรอื ชมุ ชนทอ่ี ยตู่ ดิ ทะเลตามแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วตา่ ง ๆ แตก่ เ็ กดิ ขนึ้ บอ่ ยครง้ั ในชว่ งระหวา่ งพ.ศ.๒๕๑๖- แตภ่ ยั ทคี่ กุ คามทะเลไทยอยา่ งมากมาจากการปลอ่ ย ๒๕๕๔มกี ารรว่ั ไหลของนำ้� มนั เกดิ ขน้ึ ในทะเลไทย นำ้� เสยี ทไี่ หลออกมาจากแมน่ ำ�้ ลำ� คลองสายตา่ ง ๆ มากกวา่ ๒๓๐ครงั้ โดยทว่ั ไปการรวั่ ไหลของนำ�้ มนั มากกวา่ นำ้� เสยี ทไ่ี หลลงสทู่ ะเลไทยนบั วนั ยง่ิ เพมิ่ ที่เกิดจากการกระท�ำของมนุษย์มักมีสาเหตุหลัก ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ปญั หาของปรากฏการณน์ ำ้� ทะเล จากการขุดเจาะส�ำรวจและสูบน�้ำมันดิบขึ้นมาใช้ เปลยี่ นสี หรอื ขปี้ ลาวาฬ (red tide) ทเี่ กดิ จากการ ตลอดจนเกดิ อบุ ตั เิ หตจุ ากการผลติ และการขนสง่ สะพรง่ั ของแพลงกต์ อนพชื (algal bloom) ซง่ึ ใน อดีตไม่ค่อยเกิดข้ึน แต่ปัจจุบันปรากฏการณ์ดัง คราบน้�ำมันท่ีร่ัวจากท่อส่งน�้ำมันดิบบริเวณชายหาดอ่าวพร้าว กลา่ วเกดิ ขนึ้ ในทะเลไทยไดต้ ลอดทงั้ ปี เพยี งแต่ เกาะเสมด็ จังหวดั ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ยา้ ยตำ� แหนง่ ทเ่ี กดิ หมนุ เวยี นกนั นำ�้ เสยี ทร่ี ะบายลง สทู่ ะเลนอกจากจะเปน็ สาเหตขุ องการสะพรงั่ ของ แพลงกต์ อนพชื เพราะมสี ารอาหารทแ่ี พลงกต์ อน พชื สามารถนำ� ไปใชใ้ นการเตบิ โตได้ ยงั มสี ารมลพษิ อน่ื ๆ ปนอยใู่ นนำ้� เสยี บรเิ วณปากแมน่ ำ้� บางแหง่ มโี ลหะหนกั ปนเปอ้ื นอยใู่ นนำ�้ สงู เกนิ คา่ มาตรฐาน ที่กรมควบคุมมลพิษก�ำหนด สิ่งที่ต้องระวังคือ การปนเปอ้ื นของสารมลพษิ เหลา่ นใี้ นสตั วท์ ะเลท่ี เปน็ อาหารของมนษุ ย์ ดงั นนั้ ตอ้ งเรง่ สรา้ งความรู้ และความเขา้ ใจในเรอ่ื งความปลอดภยั ในการบรโิ ภค ตลอดจนรณรงค์เร่ืองการใช้น้�ำ และการบ�ำบัด นำ�้ เสียกอ่ นระบายลงสู่ทะเลใหม้ ากยง่ิ ขน้ึ
24 การจัดการกับน�ำ้ มันทร่ี วั่ ไหลลงส่ทู ะเลโดยวธิ ีการตักหรอื ใช้ ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะสั้น และ วสั ดุซบั ออก (บน) และวธิ กี ำ� จัดคราบน�ำ้ มันโดยการเผา (ลา่ ง) สามารถประเมนิ ถงึ ผลกระทบไดใ้ นระยะเวลาอนั รวดเรว็ แตผ่ ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ เรอ่ื งที่ ในชว่ งปลายเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ละเอยี ดออ่ นและสามารถสง่ ผลเปน็ เวลายาวนาน มกี ารรว่ั ไหลของนำ�้ มนั จากทอ่ สง่ นำ้� มนั ดบิ กลางทะเล ในบางกรณอี าจเกดิ เพยี ง๒-๑๐ปี แตใ่ นหลายกรณี สง่ ผลใหน้ ำ�้ มนั ดบิ ไหลลงสทู่ ะเลและเกดิ การแพร่ กเ็ กดิ ไดห้ ลายทศวรรษ เชน่ กรณกี ารรวั่ ไหลของ กระจายปนเปอ้ื นบนผวิ นำ้� เปน็ วงกวา้ ง คราบนำ้� มนั นำ้� มนั บรเิ วณชายฝง่ั อะแลสกา สหรฐั อเมรกิ า ท่ี เคลอื่ นตวั เขา้ สบู่ รเิ วณชายหาดอา่ วพรา้ ว เกาะเสมด็ เกดิ ขนึ้ ในพ.ศ.๒๕๓๒ แมเ้ วลาจะผา่ นไปถงึ ๒๗ จงั หวดั ระยอง หลังจากเกิดอบุ ัตเิ หตดุ ังกลา่ ว ทุก ปแี ลว้ กต็ าม ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มกย็ งั คงอยู่ ภาคสว่ นไดร้ ว่ มกนั หาทางแกไ้ ขปญั หาและควบคมุ ถงึ แมว้ า่ ลกั ษณะทว่ั ไปของพน้ื ทที่ ส่ี ามารถมองเหน็ ดแู ลผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ จากคราบนำ�้ มนั ทลี่ อยมา ดว้ ยตาเปลา่ นน้ั จะดเู หมอื นกลบั สสู่ ภาวะปกตแิ ลว้ ในทะเล เปน็ ทที่ ราบกนั ดวี า่ การรว่ั ไหลของนำ�้ มนั แตส่ ารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทฝ่ี งั ลกึ อยใู่ นชน้ั ดนิ ณ ชายฝง่ั จงั หวดั ระยองไมใ่ ชค่ รง้ั แรกทเี่ กดิ ขน้ึ ใน ตะกอนยงั คงหลงเหลอื อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก ทงั้ นเี้ พราะ ประเทศไทย แตก่ ไ็ มไ่ ดม้ กี ารศกึ ษาถงึ ผลกระทบ นำ้� มนั ทร่ี ว่ั ไหลมมี หาศาลเมอื่ เทยี บกบั เหตกุ ารณท์ ี่ อยา่ งจรงิ จงั แมว้ า่ การรว่ั ไหลของนำ�้ มนั ในทะเลอาจ เกดิ ขนึ้ ในประเทศไทย การรว่ั ไหลของนำ้� มนั ไมว่ า่ จะมปี รมิ าณมาก หรอื นอ้ ยกล็ ว้ นแตส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ทรพั ยากรและ สง่ิ แวดลอ้ ม เหน็ ไดจ้ ากกรณกี ารรว่ั ไหลของนำ้� มนั ในตา่ งประเทศปรากฏวา่ มสี ตั วท์ ะเลหรอื นกทะเล จมอยใู่ นคราบนำ้� มนั สำ� หรบั ทะเลไทยซง่ึ ไมไ่ ดม้ ี ความลกึ เหมอื นในตา่ งประเทศ แตส่ ง่ิ มชี วี ติ ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบอยา่ งรนุ แรงโดยคาดไมถ่ งึ คอื “ปะการงั ” ซง่ึ จากเหตกุ ารณน์ ำ�้ มนั รว่ั แลว้ ไหลไปทอี่ า่ วพรา้ ว เกาะเสมด็ จงั หวดั ระยอง ใน พ.ศ. ๒๕๕๖ ท�ำให้ ปะการงั นำ�้ ตน้ื ในบรเิ วณนต้ี ายอยา่ งเฉยี บพลนั ถอื เปน็ ความสญู เสยี ทรพั ยากรอนั มคี า่ ของทะเลไทย การกำ� จดั นำ�้ มนั ทร่ี ว่ั ไหลลงสทู่ ะเลสามารถ ทำ� ไดห้ ลายวธิ ีไมว่ า่ จะเปน็ การดดู ออก การใชว้ สั ดุ ดดู ซบั ออก การตกั ออก การเผาทำ� ลาย หรอื การ ใชส้ ารเคมชี ว่ ย สามารถใชห้ ลาย ๆ วธิ ไี ดใ้ นเวลา เดียวกัน แต่ต้องค�ำนึงถึงผลเสียท่ีจะตามมาด้วย
25 โดยเฉพาะวธิ กี ารใชส้ ารเคมที ช่ี ว่ ยใหน้ ำ�้ มนั แตกตวั นำ้� ทะเลทใ่ี สสะอาดแลว้ การชมปะการงั กเ็ ปน็ อกี และมขี นาดเลก็ ลง หากใชม้ ากเกินไปยอ่ มสง่ ผล กจิ กรรมทด่ี งึ ดดู ความสนใจจากนกั ทอ่ งเทยี่ วไดเ้ ปน็ เสยี ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ โดยปกติ อยา่ งดี การวา่ ยนำ้� ชมแนวปะการงั แบบดำ� ผวิ น้�ำ การใชส้ ารเคมปี ระเภทนจี้ ะมปี ระสทิ ธภิ าพในกรณี (snorkeling) ซงึ่ ไมน่ า่ จะเปน็ ภยั คกุ คามตอ่ ทรพั ยากร นำ้� มนั ทรี่ วั่ เปน็ แผน่ ฟลิ ม์ บาง ๆ ลอยอยทู่ ผี่ วิ นำ้� ใน ปะการงั ในทะเล แตท่ ำ� ใหแ้ นวปะการงั เกดิ ความ อดตี มกี ารใชส้ ารเคมที ช่ี ว่ ยใหน้ ำ้� มนั แตกตวั เรว็ ขนึ้ สูญเสียเป็นอย่างมากหากบริเวณนั้นมีระดับน้�ำที่ อย่างไม่เหมาะสม จึงส่งผลกระทบท่ีคาดไม่ถึง ตน้ื ๆ สามารถเหยยี บพน้ื ได้ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วตาม ในระยะต่อมา การจัดการน�ำ้ มนั ทร่ี ัว่ ไหลจึงเปน็ เกาะตา่ ง ๆ เชน่ เกาะชา้ ง จงั หวดั ตราด เกาะลา้ น เรอื่ งทต่ี อ้ งพถิ พี ถิ นั และควรศกึ ษาอยา่ งจรงิ จงั เพอื่ จงั หวดั ชลบรุ ี หรอื เกาะราชา เกาะพพี ี จงั หวดั ลดการสญู เสยี ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม กระบ่ี มีแนวปะการังน้�ำตื้นที่สามารถว่ายน�้ำชม ของทะเลไทยใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้ ปะการงั ไดถ้ กู ทำ� ลายโดยนกั ทอ่ งเทย่ี วจนแทบจะ ไมห่ ลงเหลอื ปะการงั ใหช้ นื่ ชมอกี แลว้ ๔.๗ การทอ่ งเทย่ี ว นอกจากการด�ำน้�ำชมปะการังน�้ำต้ืนแล้ว ในแตล่ ะปกี ารทอ่ งเทย่ี วสามารถสรา้ งรายได้ การชมปะการงั แบบการดำ� นำ�้ ลกึ (scuba diving) ก็ ใหแ้ กป่ ระเทศเปน็ มลู คา่ มหาศาล แตส่ ง่ิ ทไ่ี ดร้ บั คอื เปน็ กจิ กรรมการทอ่ งเทยี่ วอกี รปู แบบหนง่ึ ทก่ี ำ� ลงั ภยั คกุ คามทมี่ ตี อ่ ทะเลไทย การทอ่ งเทย่ี วทางทะเล ไดร้ บั ความนยิ มและมกี ารขยายตวั ทางธรุ กจิ อยา่ ง นอกจากเพ่ือด่ืมด�่ำบรรยากาศท้องฟ้าสีครามและ แหล่งทอ่ งเท่ยี วตามเกาะต่าง ๆ มกั มกี ิจกรรมให้นกั ท่องเทย่ี วดำ� นำ้� ชมปะการงั
26 การทอ่ งเทีย่ วชมปะการังแบบด�ำน�้ำลกึ ปจั จบุ นั นอกจากการทอ่ งเทย่ี วทเ่ี กดิ ผลกระทบตอ่ ทรพั ยากรทางทะเลโดยตรงแลว้ ผลกระทบทาง ตอ่ เนอ่ื ง โดยเฉพาะในกลมุ่ วยั รนุ่ ทถี่ อื วา่ การดำ� นำ�้ ออ้ มดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ กเ็ ปน็ ภยั คกุ คามตอ่ ทะเล ลกึ เปน็ กจิ กรรมทท่ี า้ ทายความสามารถ แตอ่ าจเปน็ ไทยเชน่ กนั นอกจากน้ี การขยายตวั ของการทอ่ ง เพราะประสบการณใ์ นการดำ� นำ้� ลกึ ทยี่ งั ไมม่ ากพอ เที่ยวจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสถานท่ีรองรับนัก ทำ� ใหแ้ นวปะการงั นำ�้ ลกึ ของไทยบรเิ วณเกาะหลาย ทอ่ งเทยี่ ว ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งทพี่ กั อาหาร เครอ่ื ง แห่งต้องสูญเสียไปจากการเหยียบย่�ำหรือสัมผัส อ�ำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ปะการงั โดยทต่ี งั้ ใจและไมต่ ง้ั ใจ อยา่ งไรกด็ ี การ ตน้ ตอของภยั คกุ คามทะเลไทยทง้ั สน้ิ เชน่ การ สูญเสียแนวปะการังไม่ได้เกิดจากนักท่องเที่ยว สรา้ งสงิ่ กอ่ สรา้ งรกุ ลำ�้ ทะเล การระบายนำ�้ เสยี หรอื เทา่ นน้ั ผปู้ ระกอบการทอ่ งเทย่ี วกม็ สี ว่ นทำ� ใหเ้ กดิ ทง้ิ ขยะลงทะเล แมแ้ ตก่ ารนำ� ทรพั ยากรทางทะเล ความเสยี หายดว้ ยเชน่ กนั ถงึ แมว้ า่ หนว่ ยราชการ ขึน้ มาเพ่อื รองรบั การท่องเทย่ี วก็ตาม ดงั น้นั การ พยายามท่ีจะรักษาแนวปะการังไว้ แต่ก็ยังมีการ บรหิ ารจดั การเรอ่ื งการทอ่ งเทย่ี วจงึ เปน็ หวั ใจสำ� คญั ฝ่าฝืนจากผู้ประกอบการ ส่ิงที่มักพบเห็นได้อยู่ ท่ีจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของภัยคุกคามทาง เสมอคอื การทง้ิ สมอเรอื ลงในแนวปะการงั ทง้ั ๆ ทะเลลงได้ เพอื่ ใหส้ ามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเล ที่มีการเตรียมทุ่นลอยไว้ให้ผูกเรือ กิจกรรมการ ไทยไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นใดกต็ ามไดต้ ราบชวั่ ลกู ชว่ั หลาน ท่องเที่ยวทางทะเลดังกล่าวหากไม่มีการควบคุม การด�ำเนินกิจการอย่างเข้มงวดจริงจัง จะมีการ การเหยยี บยำ่� แนวปะการงั ทอ่ี ย่ใู นระดับนำ้� ต้ืน สูญเสียทรัพยากรปะการังมากข้ึนอย่างต่อเน่ือง การท้ิงสมอเรือในแนวปะการงั
๕. มหัศจรรยท์ ะเลไทย 27 ทะเลเปน็ ดนิ แดนทเ่ี รน้ ลบั มสี งิ่ มหศั จรรยใ์ น อทุ ยานแหง่ ชาติหมูเ่ กาะสรุ ินทร์ อำ� เภอคุระบุรี จงั หวัดพงั งา ทะเลไทยทย่ี ังไมถ่ ูกคน้ พบมากมาย ท่ถี กู ค้นพบ เป็นสถานทีท่ อ่ งเท่ียวทไ่ี ด้รบั ความนยิ ามจากนักทอ่ งเที่ยวมาก แลว้ และมคี วามมหศั จรรยเ์ ปน็ ทย่ี อมรบั กนั ทว่ั โลก จนไดร้ บั การขนานนามวา่ เปน็ ไขม่ กุ แหง่ อนั ดามนั และพบกับความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ ในแนว คอื หมเู่ กาะสรุ นิ ทรแ์ ละหมเู่ กาะสมิ ลิ นั ปะการงั จากหมเู่ กาะสรุ นิ ทรล์ งมาทางใตอ้ กี ไมไ่ กล นกั จะพบกบั ทอ้ งนำ้� สคี รามทแี่ ผค่ ลมุ แนวปะการงั ๕.๑ หมเู่ กาะสรุ นิ ทรแ์ ละหมเู่ กาะสมิ ลิ นั นำ้� ลกึ หลากสสี นั บนพน้ื ทก่ี วา้ งใหญร่ าวกบั สนาม ฟตุ บอลระดบั ชาตริ วมกนั กวา่ ๑,๕๐๐แหง่ นนั่ คอื ตลอดความยาวของชายฝั่งทะเลอันดามัน หมเู่ กาะสมิ ลิ นั ๘๙๔ กโิ ลเมตร คงไมม่ นี กั ทอ่ งเทย่ี วทางทะเลคน ใดไม่รู้จักหมู่เกาะที่ได้รับการยอมรับว่าสวยงาม ตระการตาทส่ี ดุ ในประเทศไทยดว้ ยสงิ่ มหศั จรรยใ์ น ทอ้ งทะเล หมเู่ กาะนคี้ อื หมเู่ กาะสรุ นิ ทรแ์ ละหมู่ เกาะสิมิลัน ที่อยู่ในเขตการปกครองของอ�ำเภอ ครุ ะบรุ ี จงั หวดั พงั งา หมเู่ กาะทงั้ ๒ แหง่ นมี้ กั เปน็ จดุ หมายปลายทางหลกั ของนกั ทอ่ งเทยี่ วทางทะเล หมู่เกาะสุรินทร์ เป็นหมู่เกาะท่ียังคงหลง เหลอื เสนห่ ท์ างวฒั นธรรมของชาวเลในแบบดงั้ เดมิ มากทส่ี ดุ นกั ทอ่ งเทยี่ วสามารถพบ “ชาวมอแกน” ซงึ่ ไดร้ บั การขนานนามวา่ “ยปิ ซแี หง่ ทอ้ งทะเล”ได้ ทห่ี มเู่ กาะนี้ ในอดตี กอ่ นทค่ี ลนื่ ยกั ษส์ นึ ามจิ ะพดั ถล่มหมู่เกาะสุรินทร์ มีชาวมอแกนมากกว่าสอง รอ้ ยชวี ติ อาศยั อยู่ ชาวมอแกนสว่ นใหญป่ ระกอบ อาชพี ประมง แตก่ ม็ บี างสว่ นทไ่ี ดเ้ ปลยี่ นอาชพี มา เป็นคนขับเรอื หรอื เปน็ มคั คเุ ทศกน์ �ำเทยี่ ว รวม ทงั้ เปน็ ผจู้ ำ� หนา่ ยของทรี่ ะลกึ ใหแ้ กน่ กั ทอ่ งเทย่ี วท่ี เขา้ มาทอ่ งเทย่ี วใน ๕ เกาะ คอื เกาะสรุ นิ ทรเ์ หนอื เกาะสุรินทรใ์ ต้ เกาะไข่ เกาะกลาง และเกาะรี ชื่อหมู่เกาะสุรินทร์ตามประวัติได้ต้ังตามช่ือของ ผู้พบเกาะคือ พระยาสรุ นิ ทราชา (นกยูง วเิ ศษกลุ ) เทศาเมืองภูเก็ต ในหมู่เกาะสุรินทร์แตล่ ะเกาะจะ พบแนวปะการังน้�ำต้ืนที่สวยงามติดอันดับโลก
28 หมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลันต่างมี ความสมบรู ณท์ างธรรมชาติ นบั ตง้ั แต่ ปา่ ดบิ บน หมู่เกาะสิมิลัน เป็นหมู่เกาะท่ีห่างไกลจาก ภูเขาจรดผืนทรายของชายหาดแต่ละเกาะ ความ ความวุ่นวายของชุมชนเมือง โดยอยู่ห่างจากฝั่ง สมบูรณ์ของธาตุอาหารส่งผลให้พันธุ์ไม้ชายเลน ประมาณ ๗๐ กโิ ลเมตร ประกอบดว้ ยเกาะใหญ่ จากฝักและเมล็ดกลายเป็น ป่าชายเลน ท�ำหน้าที่ นอ้ ยจำ� นวน ๙ เกาะ อนั เปน็ ทม่ี าของชอื่ “สมิ ลิ นั ” กรองตะกอนสว่ นใหญจ่ ากบกไมใ่ หก้ ระจายสู่ หาด ซงึ่ ในภาษามลายเู ขยี นดว้ ยอกั ษรยาวแี ปลวา่ “เกา้ ” ทรายทข่ี าวสะอาด โดยมีปา่ ชายหาดตง้ั ตระหงา่ น เกาะเหล่านี้ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะ ราวมา่ นธรรมชาตสิ เี ขยี วเปน็ ทางยาวดา้ นหลงั อกี ปาหยัน เกาะเม่ียง ๒ เกาะ เกาะปายู เกาะ ชน้ั หนง่ึ ทงั้ ปา่ ชายเลนและปา่ ชายหาดตา่ งชว่ ยลด หวั กะโหลก เกาะสมิ ลิ นั และเกาะบางู กระจาย ตะกอนจากแผน่ ดนิ บนเกาะไมใ่ หไ้ หลลงสทู่ ะเลใน เรยี งตวั จากเหนอื ลงใต้ เกาะสมิ ลิ นั มชี อ่ื เสยี งเรอื่ ง ปรมิ าณทมี่ ากเกนิ ไปจนบดบงั แสงทจ่ี ะสอ่ งไปยงั ความสวยงามตดิ อนั ดบั ๑ ของโลก นกั ทอ่ งเทยี่ ว แนวปะการงั จากความอดุ มสมบรู ณข์ องปา่ ธรรมชาติ ทชี่ อบดำ� นำ้� สว่ นใหญจ่ ะมเี ปา้ หมายวา่ ครงั้ หนงึ่ ใน และสภาพแวดลอ้ มจงึ เปน็ แหลง่ อาหารและทอ่ี ยอู่ าศยั ชีวิตจะไปดูปะการังน�ำ้ ลึกท่หี มเู่ กาะสมิ ลิ ัน โดย ของสัตว์หายาก เช่น นกขนุ ทอง นกลุมพขู าว เฉพาะปะการงั ออ่ น นกแซงแซวหางบว่ งใหญ่ นกชาปไ่ี หน นอกจาก นย้ี งั มลี งิ กงั กระรอก กระจง ตะกวด งหู ลาม จุดชมทศั นยี ภาพ (บน) และการดำ� นำ�้ ชมปะการัง (ล่าง) คา้ งคาวแมไ่ ก่ และคา้ งคาวหนผู ี ซง่ึ เปน็ สตั วท์ พี่ บ ที่หมูเ่ กาะสมิ ลิ นั อ�ำเภอคุระบุรี จังหวดั พงั งา ไดท้ ว่ั ไปในปา่ ดบิ บนภเู ขา ดา้ นปา่ ชายเลนจะพบ ปแู สมกา้ มสม้ และปแู สมกา้ มมว่ ง สว่ นปกู า้ มดาบ ปูทหาร และปูเสฉวนจะออกหากินซากพืชซาก สตั วท์ ตี่ กคา้ งอยตู่ ามตะกอนเลนตอนพนื้ เลนหมาด ในยามทน่ี ำ้� ลง หากดำ� นำ้� ลงไปใตผ้ นื นำ้� สคี รามอนั เปน็ แนว ปะการังขนาดมหึมาจะพบความหลากหลายของ สง่ิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ เชน่ ปะการงั ดอกกะหลำ่� ปะการังเขากวาง ปะการังดอกเห็ด ปะการัง กาแล็กซี ปะการังแผ่นเปลวไฟ ปะการังสมอง ปะการงั จาน ปะการงั ไฟ ทป่ี ระดบั ประดาไปดว้ ย ดอกไมท้ ะเล ปะการงั ออ่ น กลั ปงั หา และปากกา ทะเล สว่ นสตั วท์ ะเลทพ่ี บ เชน่ ปลาฉลาม ปลา กระโทงเทง ปลากระเบน ปลาบนิ ปกั เปา้ ทะเล
29 ปลาผเี สอ้ื ปลานางฟา้ ปลาไหลมอเรย์ เตา่ ทะเล การจับเชอื กเพือ่ เขา้ ชมความงามของถำ�้ มรกต โลมา แมก้ ระทงั่ ฉลามวาฬทถ่ี อื วา่ เปน็ สตั วท์ ะเล ขนาดใหญท่ สี่ ดุ ในประเทศไทย ถำ�้ เขา้ มาจะพบกบั ความมดื มดิ ภายในตวั ถำ้� ผา่ น เสน้ ทางอนั คดเคย้ี วและนา่ ตนื่ เตน้ รวมระยะทาง ๕.๒ ถ�้ำมหัศจรรย์กลางทะเล ประมาณ ๘๐ เมตร เมื่อผ่านพ้นปากถ้�ำออกมา สถานท่ีท่องเท่ียวที่มีความส�ำคัญและมีช่ือ เสยี งมากทสี่ ดุ ของจงั หวดั ตรงั คอื ถำ้� มรกต เปน็ ถำ�้ ทอ่ี ยกู่ ลางทะเล และมคี วามมหศั จรรยท์ ส่ี วยงาม ของธรรมชาติ ถำ�้ มรกตตง้ั อยบู่ นเกาะมกุ อยใู่ น ความดแู ลของอทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม อำ� เภอ กนั ตงั จงั หวดั ตรงั เกาะมกุ เปน็ เกาะใหญอ่ กี เกาะหนง่ึ ของนา่ น นำ�้ จงั หวดั ตรงั นกั ทอ่ งเทย่ี วทเ่ี ดนิ ทางไปเทย่ี วทะเล ตรงั มกั ไมพ่ ลาดการวา่ ยนำ้� เขา้ ไปชมถำ�้ มรกต ซง่ึ ถือว่าเป็น Unseen Thailand โดยเริ่มว่ายน้�ำจาก ปากทางเขา้ ถำ�้ ซง่ึ เปน็ โพรงเลก็ ๆ สงู พน้ ระดบั นำ�้ พอเรือลอดได้ แต่หากระดับนำ้� ขึ้นสูง ก็ต้องจับ เชอื กแลว้ ลอยคอในนำ้� ลอดถำ�้ เขา้ ไป เมอ่ื ผา่ นปาก ถำ�้ มรกต บนเกาะมกุ อำ� เภอกันตงั จังหวัดตรงั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298