Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

Description: สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

Keywords: สารานุกรมไทย,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม ๔๑

Search

Read the Text Version

30 ภายในจะพบกบั หาดทรายสขี าว เมด็ ทรายละเอยี ด อดุ มสมบรู ณข์ องทรพั ยากรทางธรรมชาตนิ านาชนดิ ราวกบั ผงแปง้ ลอ้ มรอบดว้ ยหนา้ ผาสงู ชนั ทมี่ ที อ้ งฟา้ เอกลักษณ์ประจ�ำท้องถิ่นก็คือ “หอยหลอด” ซ่ึง สคี รามเปน็ หลงั คา เหมอื นอยใู่ นปลอ่ งภเู ขาไฟที่ เปน็ หอยสองฝาชนดิ หนง่ึ มรี ปู รา่ งคลา้ ยหลอดกาแฟ แตง่ แตม้ ผนงั ดว้ ยสเี ขยี วของตน้ ไมใ้ บไมเ้ ลก็ ใหญ่ มชี อื่ สามัญว่า razor clam และมชี ือ่ วทิ ยาศาสตร์ สลบั กนั ไป ดอกไมป้ า่ กม็ ใี หเ้ หน็ เปน็ ระยะๆ ทำ� ให้ ว่า Solen strictus Gould 1861 หอยหลอดเป็น รสู้ กึ สดชน่ื สบายตา ปากทางเข้าถำ้� มรกตอยูท่ าง หอยสองฝาท่ีมีตัวอาศัยอยู่ในฝาที่ประกบท้ัง ๒ ทิศตะวันตกของตัวเกาะ ยามท่ีแสงอาทิตย์ส่อง ขา้ ง ลักษณะกลมยาวประมาณ ๗-๘ เซนตเิ มตร ทำ� มมุ พอเหมาะตกกระทบผนื นำ้� กจ็ ะสะทอ้ นแสง สีนำ�้ ตาลออ่ น ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ เปน็ สเี ขยี วราวกบั มรกต เวง้ิ ถำ�้ กจ็ ะกลายเปน็ สเี ขยี ว ๑เซนตเิ มตร ซง่ึ เปน็ ขนาดของหอยทโี่ ตเตม็ ทแี่ ลว้ มรกตอนั งดงาม นบั เปน็ ความมหศั จรรยข์ องธรรมชาติ มีสภาพความเป็นอยู่โดยการฝังตัวตั้งเป็นแนวดิ่ง อกี รปู แบบหนงึ่ นกั ทอ่ งเทยี่ วทต่ี อ้ งการไปสมั ผสั อยใู่ ตพ้ น้ื ทราย ยามนำ�้ แหง้ ซง่ึ เปน็ ชว่ งทชี่ าวประมง กบั ความมหศั จรรยข์ องถำ้� มรกต สามารถไปไดใ้ น สามารถจบั หอยหลอดได้ หอยจะเปดิ ฝาอยเู่ รย่ี พนื้ ชว่ งเดอื นธนั วาคมถงึ ตน้ เดอื นพฤษภาคม ซงึ่ เปน็ และยดึ ตวั ยน่ื ออกมาจบั แพลงกต์ อนเปน็ อาหาร หรอื ชว่ งทเ่ี มอื่ เวลานำ�้ ลงแลว้ สามารถลอดเขา้ ถำ้� มรกต เคลอ่ื นตวั ออกไปหาทอ่ี ยใู่ หม่ ได้ นอกจากน้ี ช่วงเวลาท่ีดีที่สุดในการเท่ียวถ�้ำ มรกต คอื เวลา ๑๐.๐๐-๑๔.๐๐ น. ท้งั น้ี ถ้�ำมรกต ดอนหอยหลอดและทรพั ยากรหอยหลอดใน ไมไ่ ดม้ เี พยี งความสวยงามและความมหศั จรรยเ์ ทา่ นน้ั ปจั จบุ นั แตย่ งั เปน็ สถานทที่ สี่ ามารถสรา้ งความสนกุ สนาน ทา้ ทาย และแสดงถงึ ความสามคั คขี องผมู้ าเยอื น การหยอดปนู ขาวเพือ่ จับหอยหลอด ในการรว่ มมอื รว่ มใจกนั วา่ ยนำ�้ ลอดปากถำ้� เขา้ ไป ลักษณะรูปรา่ งของหอยหลอด ภายในถำ้� ใหส้ ำ� เรจ็ ๕.๓ ดอนหอยหลอด ดอนหอยหลอดเปน็ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทสี่ ำ� คญั แหง่ หนง่ึ ของจงั หวดั สมทุ รสงครามทยี่ ง่ิ ไปกวา่ นนั้ กค็ อื เปน็ พน้ื ทช่ี มุ่ นำ้� (wetland) ทม่ี คี วามสำ� คญั ระดบั นานาชาติ ตามอนสุ ญั ญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ดอนหอยหลอดเป็นสันดอนปาก แมน่ ำ้� แมก่ ลองทเ่ี กดิ จากการตกตะกอนและทบั ถม กนั ของดนิ ปนทราย มอี าณาเขตพน้ื ทกี่ วา้ งประมาณ ๕ กโิ ลเมตร และยาวประมาณ ๑๕ กโิ ลเมตร เปน็ สถานทพ่ี กั ผอ่ นหยอ่ นใจ และเปน็ แหลง่ ทมี่ คี วาม

ดอนหอยหลอดเปน็ แหลง่ ผลติ หอยหลอดที่ 31 มขี นาดใหญท่ สี่ ดุ ในชว่ งนำ้� ลงของทกุ วนั จะมองเหน็ สนั ดอนทรายและสตั วน์ ำ้� หลากหลายชนดิ ทงั้ ชาว ขนั้ วกิ ฤต เนอ่ื งจากการใชแ้ บบสนิ้ เปลอื งอยา่ งตอ่ ประมงและนกั ทอ่ งเทยี่ วเดนิ ลงไปเกบ็ หอยหลอด เนอื่ งมาโดยตลอด จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งอนรุ กั ษท์ ะเลไทย เพอื่ นำ� มาขาย บรโิ ภค หรอื เพอ่ื ความสนกุ สนาน ให้อยู่ในสภาพท่ีสมบูรณ์และต้องร่วมมือกันแก้ วธิ กี ารเกบ็ หอยหลอดคอื การนำ� ปนู ขาวไปหยอด ปญั หาอยา่ งจรงิ จงั ปญั หาหลกั ของการเสอื่ มโทรม บรเิ วณรขู องหอยหลอด หอยหลอดจะพงุ่ ตวั ออก ของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มของทะเล จากรโู ผลข่ นึ้ มาใหจ้ บั ตอ้ งรบี เกบ็ ใสใ่ นภาชนะไว้ ไทยคอื การใชป้ ระโยชนท์ มี่ ากเกนิ ขดี ความสามารถ มฉิ ะนน้ั หอยหลอดจะมดุ ดนิ หนลี งไปอยลู่ กึ กวา่ เดมิ ทท่ี ะเลจะรองรบั ได้ ปญั หาคอื “ขดี ความสามารถ สงิ่ ทค่ี วรระวงั คอื ไมค่ วรสาดปนู ขาวลงบนสนั ดอน ในการรองรบั การใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทยมปี รมิ าณ เพราะจะทำ� ใหห้ อยทอี่ าศยั อยใู่ นบรเิ วณนนั้ ตายหมด อยทู่ เ่ี ทา่ ไร” สง่ิ แรกทตี่ อ้ งทำ� เพอ่ื รกั ษาความอดุ ม สมบูรณ์ของทะเลไทยก็คือ การรวบรวมข้อมูล ทรพั ยากรสตั วน์ ำ�้ อกี ชนดิ หนง่ึ ทมี่ มี ากพอ ๆ การทำ� วจิ ยั และการประเมนิ ผล เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ กบั หอยหลอด คอื หอยกระปุก และหอยตลับ ปรมิ าณขดี ความสามารถทที่ ะเลจะรองรบั ได้ เมอ่ื วธิ กี ารจบั โดยใชม้ อื ขดุ ดนิ หรอื ใชช้ อ้ นขดุ กจ็ ะพบ ทราบแลว้ ตอ้ งมกี ารควบคมุ ใหม้ กี ารใชป้ ระโยชน์ กบั หอยตลบั ดงั กลา่ ว ชว่ งเวลาเหมาะสมทจ่ี ะทอ่ ง จากทะเลในระดับท่ีได้ท�ำการศึกษาวิจัยมา ซึ่ง เทย่ี วดอนหอยหลอดคอื ประมาณเดอื นมนี าคมถงึ สามารถทำ� ไดห้ ากรว่ มมอื กนั เรอ่ื งตา่ ง ๆ ทจ่ี ำ� เปน็ พฤษภาคม เพราะนำ�้ ทะเลจะลดลงนานกวา่ ชว่ งเวลา ตอ้ งดำ� เนนิ การ มดี งั น้ี อนื่ ๆ และสามารถมองเหน็ สนั ดอนโผลข่ นึ้ มา ๖.๑ การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ๖. การรักษาทะเลไทยใหอ้ ย่ใู นสภาพ ท่ีสมบรู ณ์ การบังคับใช้กฎหมายของไทยไม่สามารถ ทำ� ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สาเหตหุ ลกั คอื การขาด ทะเลไทยนับได้ว่าเป็นทะเลท่ีมีความอุดม ความเขม้ งวดและความตอ่ เนอื่ งของการบงั คบั ใช้ สมบรู ณข์ องทรพั ยากรสตั วน์ ำ้� มากทสี่ ดุ แหง่ หนง่ึ การเลือกปฏบิ ตั ิ การขาดกำ� ลงั คน และการขาด ของโลก ในอดตี การประมงของไทยสามารถจบั งบประมาณ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นข้อจ�ำกัดท่ีท�ำให้ไม่ สตั วน์ ำ้� ขน้ึ มาใชป้ ระโยชนม์ ากกวา่ ๒ลา้ นตนั ตอ่ ปี สามารถรกั ษาความอดุ มสมบรู ณข์ องทะเลไทยไว้ ประเทศไทยสง่ ออกสนิ คา้ สตั วน์ ำ�้ ทง้ั ทเ่ี ปน็ อาหาร ได้ หากตอ้ งการใหก้ ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายเปน็ ไป สดและแปรรปู จำ� นวนมากไปจำ� หนา่ ยในตลาดโลก อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ จำ� เปน็ ตอ้ งแกป้ ญั หาทก่ี ลา่ ว จนประเทศไทยไดร้ บั การจดั อนั ดบั อยใู่ นระดบั ตน้ ๆ มาแลว้ ขา้ งตน้ ใหห้ มดไปกอ่ น ของประเทศผู้ส่งออกสินค้าสัตว์น�้ำของโลก แต่ เปน็ เพยี งขอ้ มลู ในอดตี เทา่ นนั้ จนมาถงึ ใน พ.ศ. ๖.๒ การกำ� หนดโควตาการใชป้ ระโยชน์ ๒๕๕๙ทรพั ยากรประมงในทะเลไทยลดลงจนใกล้ จากทะเล เป็นอีกวิธีการหน่ึงในการรักษาความอุดม สมบรู ณข์ องทะเล ในตา่ งประเทศใชเ้ ปน็ แนวทาง

32 ๖.๔ การไมซ่ อ้ื สนิ คา้ ทะเลผดิ กฎหมาย ปฏบิ ตั มิ านานแลว้ แตส่ ำ� หรบั ประเทศไทยทำ� ได้ วิธีช่วยอนุรักษ์ทะเลไทยอีกทางหน่ึง คือ คอ่ นขา้ งยาก ดว้ ยเหตทุ ที่ รพั ยากรในทะเลสว่ นใหญ่ การไมซ่ อื้ สนิ คา้ ทะเลผดิ กฎหมาย ซงึ่ เปน็ ไปตาม เปน็ สมบตั ขิ องสว่ นรวม แตล่ ะคนจงึ ตอ้ งการใช้ กลไกการตลาด เมอ่ื ไมม่ ผี ซู้ อ้ื กย็ อ่ มจะไมม่ ผี ขู้ าย ประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ทโ่ี ดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ อนาคต ทำ� สตั วท์ ะเลเศรษฐกจิ หลายชนดิ ทวี่ างจำ� หนา่ ยในทอ้ ง ใหก้ ารกำ� หนดโควตาไมส่ ามารถดำ� เนนิ การไดอ้ ยา่ ง ตลาด ผซู้ อ้ื สามารถใชว้ จิ ารณญาณในการตดั สนิ ใจ เต็มรูปแบบเหมือนกับประเทศท่ีพัฒนาแล้ว อีก ไดว้ า่ เปน็ สนิ คา้ ทผ่ี ดิ กฎหมาย หรอื สง่ ผลกระทบ ประเดน็ หนง่ึ คอื ความโปรง่ ใสในการใหโ้ ควตา ซงึ่ ต่อความสมบูรณ์ของทรัพยากรในทะเล เช่น ต้องยอมรับว่า ในสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความ หอยลายท่มี ีขนาดตัวกว้างน้อยกว่า ๑ เซนติเมตร โปรง่ ใส ยอ่ มไดม้ าจากการทำ� ประมงคราดหอยทใ่ี ชต้ ะแกรง คราดขนาดเลก็ กวา่ ทีก่ ฎหมายก�ำหนดไว้ สาเหตุ ๖.๓ การร่วมมือกันเป็นเครือข่ายเพ่ือ ทยี่ งั คงซอ้ื ขายในทอ้ งตลาดทวั่ ไปอาจเกดิ จากการไม่ ช่วยกันเฝ้าระวัง ไดร้ ับรูข้ ้อมลู ข่าวสาร ดงั นน้ั การประชาสมั พนั ธ์ ใหไ้ ดร้ บั รขู้ อ้ มลู เหลา่ นก้ี จ็ ะเปน็ อกี หนทางหนง่ึ ใน การสร้างเครือข่ายเพ่ือชว่ ยกนั เฝ้าระวังเปน็ การปลกุ จติ สำ� นกึ ใหต้ ระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของ กลไกหนึ่งท่ีสามารถรักษาทะเลไทยให้คงความ การชว่ ยกนั ดแู ลทะเลไทยใหค้ งความอดุ มสมบรู ณ์ อดุ มสมบรู ณไ์ ด้ ในประเทศไทยมตี วั อยา่ งใหเ้ หน็ ของทรพั ยากรต่อไปได้ในอนาคต ในหลายพน้ื ที่ ทง้ั น้ี ขนึ้ อยกู่ บั ความสามารถของ แกนนำ� และความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนในแตล่ ะพนื้ ท่ี ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การสรา้ งเครอื ขา่ ยในลกั ษณะนเ้ี ปน็ การแกป้ ญั หา ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากทะเลไทยอย่าง ในเรอื่ งกำ� ลงั คนของเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั และเปน็ การปลกุ มากมายในหลากหลายกจิ กรรม แตไ่ มเ่ คยคำ� นงึ ถงึ จติ สำ� นกึ ของสมาชกิ ในชมุ ชน รวมทงั้ เจา้ หนา้ ท่ี ความเสอื่ มโทรม เพราะมงุ่ แตจ่ ะหาประโยชนใ์ หไ้ ด้ ของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องต่อการรักษาความอุดม มากทสี่ ดุ ในเวลาอนั สน้ั ทะเลไทยในปจั จบุ นั จงึ อยู่ สมบรู ณข์ องทะเลไทยอกี ทางหนงึ่ ดว้ ย ในภาวะทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารฟน้ื ฟโู ดยเรง่ ดว่ น ทงั้ นี้ สงั คมไทยตอ้ งใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลโดยยดึ หลกั เจ้าหนา้ ทศ่ี ูนยอ์ นุรักษ์พนั ธ์ุเต่าทะเล กองทัพเรือ อำ� เภอสัตหบี เศรษฐกิจพอเพียงอย่างมั่นคง ตลอดจนต้องใช้ จงั หวดั ชลบรุ ี เกบ็ ไขเ่ ตา่ ทะเลตามแนวชายหาด เพอื่ นำ� ไปเพาะ ประโยชนจ์ ากทะเลดว้ ยความตระหนกั และรคู้ ณุ คา่ เป็นตวั และอนบุ าลต่อไป ทะเลไทยจึงจะอยคู่ ่กู ับสังคมไทยตลอดไป และ สามารถตอบสนองความตอ้ งการรปู แบบตา่ งๆของ สงั คมไทยไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื ดเู พม่ิ เตมิ เรอื่ ง การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาทรพั ยากร ธรรมชาติ เลม่ ๒๑

33 บรรณานกุ รม คณะประมง.โครงการสนบั สนนุ การจดั ทำ� แผนยทุ ธศาสตรส์ ง่ิ แวดลอ้ มชายฝง่ั ทะเลอนั ดามนั .กรงุ เทพฯ: สำ� นกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม, ๒๕๔๙. . รายงานฉบบั สมบรู ณแ์ ผนงานวจิ ยั การพฒั นาศกั ยก์ ารผลติ ทรพั ยากรประมงของดอนหอย หลอดและการพฒั นาศกั ยภาพการใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรนำ�้ แมน่ ำ้� แมก่ ลอง.กรงุ เทพฯ:คณะ ประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๑. จารมุ าศ เมฆสมั พนั ธ,์ เชษฐพงษ์ เมฆสมั พนั ธ์ และแสงเทยี น อจั จมิ างกรู .รายงานฉบบั สมบรู ณโ์ ครงการ วจิ ยั เรอ่ื ง แผนงานวจิ ยั ศกั ยก์ ารผลติ และการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทางนำ้� เพอื่ พฒั นาเขตการใช้ ประโยชนใ์ นบรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ ทา่ จนี . กรงุ เทพฯ : สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาแหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๖. เชษฐพงษ์ เมฆสมั พนั ธ.์ “อนาคตอนั ไมแ่ นน่ อนของชายฝง่ั ทะเล.” ใน บทวจิ ารณม์ หาสมทุ รโลก. หนา้ ๖๔-๘๙. กรงุ เทพฯ : กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สงิ่ แวดลอ้ ม, ๒๕๕๕. เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ และคณะ. โอกาสหรืออวสานของหมู่เกาะช้าง. กรุงเทพฯ : คณะประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๘. เชษฐพงษ์ เมฆสมั พนั ธ์ แสงเทยี น อจั จมิ างกรู อไุ รรตั น์ เนตรหาญ จนั ทรา ศรสี มวงศ์ และศนั สนยี ์ หวงั วรลกั ษณ.์ “การจดั การทรพั ยากรประมง ภายใตค้ วามแปรปรวนสภาพภมู อิ ากาศ.” ใน การจัดการทรัพยากรภายใต้ความแปรปรวนสภาพภูมิอากาศ. กรุงเทพฯ : โครงการสห วทิ ยาการระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา สาขาการจดั การทรพั ยากร ภาควชิ าเศรษฐศาสตรเ์ กษตรและ ทรพั ยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๗. สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาแหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ และคณะประมง. รายงานฉบบั สมบรู ณก์ ารศกึ ษา ผลกระทบของการรวั่ ไหลของนำ้� มนั ตอ่ ทรพั ยากรชวี ภาพ และสง่ิ แวดลอ้ ม บรเิ วณชายฝง่ั จงั หวดั ระยอง. กรงุ เทพฯ : คณะประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๗.

2

ฉ14: 7(2 เฉพาะหนา้ ), 2 มยิ ., 31, 13, 12 พ.ค. 20 เม.ย. 22, 21 ม.ี ค.(2) / 1 กพ. 11 ม.ค. / 24, 3 ธ.ค. 58 ชา3 ศ3: (รอภาพ 4-11 พ.ค.) (รอภาพ 1 ก.พ.-21ม.ี ค.)24 ธ.ค. 58 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธรี พงษ์ เทพกรณ์ ผู้เขยี น ส่วนเดก็ เลก็ รองศาสตราจารย์โชษติ า มณใี ส ผูเ้ รยี บเรยี ง เดก็ ๆ รู้จัก ชา หรอื ไม่ ใช่แล้ว ก็ชาเขียวในขวดพลาสติกท่ีพี่ ๆ ชอบ ชาเขียวร้อนในร้าน อาหารญี่ปุ่น หรอื ไม่ก็ชาจีนรอ้ น ๆ ทีผ่ ู้ใหญ่ชอบ ชาวจีนเป็นชาติแรกท่ีรู้จักชาและนิยมด่ืมกันแพร่หลายมาจนทุกวัน น้ี ชาวตะวนั ตกทม่ี าตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั จนี ในสมยั กอ่ นกน็ ำ� ชากลบั ไปขายทบี่ า้ นเมอื ง ของตนดว้ ย ชาจึงเปน็ สนิ ค้าท่สี ำ� คญั มาตง้ั แตอ่ ดีต เด็ก ๆ ทราบหรอื ไม่วา่ ประเทศไทยกเ็ ปน็ แหลง่ ผลติ ชาด้วยเหมอื น กัน เพราะทางภาคเหนือของประเทศเป็นที่สูง เป็นภูเขา อากาศเย็น มีฝน พอสมควร เหมาะทจี่ ะปลูกชา ชาที่ปลูกมอี ยู่ ๒ กลุม่ พนั ธุ์ คอื กลุ่มพนั ธ์ุ ชาอัสสัม และกลุ่มพันธุ์ชาจีน ชาพวกน้ีจะน�ำไปท�ำเป็นชาเขียว ชาอู่หลง ชาด�ำ ชาชัก ชาเขียวนม และเม่ียงก็ได้ ข้ึนอยู่กับวิธีการท�ำหรือท่ีเรียกว่า กระบวนการผลิตชาแตล่ ะชนิด

4 การเก็บใบชาให้ได้คณุ ภาพดีจะใช้แรงงานคนในการเกบ็ โดยเลือกเก็บเฉพาะยอดชาที่ตมู และใบทถี่ ัดจากยอดตมู ลงมา ๒-๓ ใบ ข้นั ตอนแรกคือ เก็บใบชาใสต่ ะกร้า โดยจะเกบ็ ตรงยอดตูมและใบ ท่ถี ดั จากยอดตมู ลงมา ๒-๓ ใบ แต่ถา้ จะทำ� ชาชัก ชาเขยี วนม หรอื เมยี่ งจะ เก็บทั้งยอดอ่อนและใบแก่ เม่ือได้ใบชามาแล้ว ก็ใส่กระด้งน�ำไปผ่ึงแดดผ่ึง ลมใหใ้ บคายน�้ำ การท�ำชาบางชนิดตอ้ งนำ� ไปใส่เคร่อื งเขย่าและผ่ึงในห้องที่ ควบคุมอุณหภูมแิ ละความช้ืน ขั้นตอนนเี้ รียกวา่ การหมกั ชา เพอื่ ใหส้ ารใน ใบชาเกิดการเปลี่ยนแปลง ท�ำให้ชามีกลิ่นและรสชาตติ ามตอ้ งการ ถา้ หมกั บางสว่ นจะเปน็ ชาอหู่ ลง ถา้ หมกั อยา่ งสมบรู ณก์ เ็ ปน็ ชาดำ� เมอ่ื หมกั ตามกรรมวธิ ี แลว้ จงึ นำ� ชาไปเขา้ เครอ่ื งควั่ ใหค้ วามรอ้ นเพอื่ หยดุ การหมกั จากนน้ั นำ� ไปนวด ใหช้ ามีกล่นิ หอมยง่ิ ขนึ้ ในขน้ั ตอนการนวดนี้อาจท�ำชาเป็นเสน้ หรือเป็นเมด็ กไ็ ด้ เมอื่ นวดไดพ้ อเหมาะตอ้ งนำ� ไปอบใหแ้ หง้ เพอ่ื ใหเ้ กบ็ ไวไ้ ดน้ าน ตอ่ มาก็ เลอื กเอาเศษกา้ นทงิ้ แลว้ จงึ บรรจชุ าในถงุ สญุ ญากาศ สามารถสง่ ไปขายไดไ้ กลๆ กระบวนการผลิตใบชาอาจมีบางอย่างแตกต่างไป เช่น ถ้าเป็นชา ชัก หรือชาเขียวนมต้องน�ำไปบดและใส่สีเติมกล่ิน ชาชนิดน้ีใช้ชงด้วยน้�ำ ร้อนใส่นมและน�ำ้ ตาลแบบเดียวกับกาแฟ สว่ นเมี่ยงท่ีคนทางภาคเหนือนิยม

5 อาหารและเครอ่ื งดื่มจากชา รับประทานนั้นต้องน�ำใบชาไปนึง่ ก่อน เมอ่ื นึ่งเสรจ็ แล้วมัดใหเ้ ป็นก้อน นำ� ไปหมกั ในถงั ประมาณ ๑ ปี จงึ นำ� มาอมหรอื เค้ียวได้ ปจั จุบันการด่ืมชาโดยเฉพาะชาเขียวได้รับความนยิ มมากขนึ้ เพราะ ชาเขยี วมกี ลนิ่ หอมและรสชาตอิ รอ่ ย มสี ารอาหารทใี่ หป้ ระโยชนต์ อ่ สขุ ภาพของ ผู้ด่มื เช่น ชว่ ยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคมะเรง็ ปอด โรคเบาหวาน เสรมิ สรา้ งสขุ ภาพช่องปาก อีกท้งั ยงั ช่วยลดการเป็นโรคอ้วนไดอ้ ีกดว้ ย การ ด่มื ชาทำ� ให้ผู้ดืม่ รู้สกึ สดชน่ื กระชมุ่ กระชวย เพราะในใบชามีสารคาเฟอนี แม้ว่าชาจะมีประโยชน์มากแต่เราควรบริโภคชาแต่พอดี หากด่ืมมากไปจะ ทำ� ให้ใจส่ัน และหวั ใจเตน้ เรว็ กว่าปกติเพราะสารคาเฟอีน ดงั น้ัน ชาจดั เปน็ เครื่องดม่ื ท่ีไม่เหมาะสำ� หรบั เด็ก เดก็ จึงไมค่ วรดืม่ ชา ส่วนผใู้ หญค่ วรดม่ื ชา แต่พอดี ไม่มากหรือนอ้ ยไป เพราะชามที ้งั คณุ และโทษ

6 ส่วนเดก็ กลาง รองศาสตราจารยโ์ ชษติ า มณใี ส ผูเ้ รียบเรยี ง ความเป็นมาของชา ชาเปน็ พชื กง่ึ รอ้ นทเ่ี จรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นเขตอบอนุ่ และมฝี น ทรี่ ะดบั ความสงู ๒๐๐- ๒,๐๐๐ เมตร บนภเู ขาทางภาคเหนอื ของไทยจงึ ปลกู ชาไดด้ ี ชาในธรรมชาตเิ ปน็ ตน้ ไมส้ งู แต่ เมอื่ ปลกู ในไรจ่ ะตดั แตง่ กงิ่ ใหเ้ ปน็ พมุ่ สงู ไมเ่ กนิ ๑ เมตร เพอื่ ใหส้ ะดวกเมอื่ ถงึ เวลาทจี่ ะเกบ็ ยอดชา เราเช่ือกนั ว่า ชามีกำ� เนิดจากประเทศจีน ภาษาจีนกลางเรยี กชาว่า “ฉา” แต่เมอ่ื ชา เผยแพรไ่ ปสูโ่ ลกตะวนั ตก ชาวตะวันตกเรียกชาวา่ tea ตามภาษาฮกเกีย้ นซ่ึงเรยี กชาว่า “เต”๋ สว่ นกำ� เนิดของชามีกล่าวไว้หลายตำ� นาน ตำ� นานหนง่ึ กลา่ ววา่ จักรพรรดเิ สนิ -หนงของจีน เป็นผพู้ บชาเม่ือเกือบ ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ อีกต�ำนานหนึ่งกล่าวว่า ต้นชาเกิดจากหนงั ตาภิกษุ รปู หน่งึ ซึง่ เดนิ ทางมาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในสมยั จกั รพรรดถิ ตู ่ี เมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปี

7 ลว่ งมาแลว้ และอกี ตำ� นานหนงึ่ กลา่ ววา่ สมยั หนง่ึ ประเทศจนี เกดิ โรคทอ้ งรว่ งระบาด เกย้ี อยุ ซนิ แสจงึ แนะนำ� ใหช้ าวบา้ นดม่ื ชารกั ษาโรค นอกจากนปี้ ระมาณ ๑,๓๐๐ ปที แ่ี ลว้ มกี ารบนั ทกึ ขอ้ มลู ความรเู้ กย่ี วกบั ชาในประเดน็ สำ� คญั ตา่ ง ๆ โดยชาวจนี ชอ่ื ลอู ว้ี บนั ทกึ นถี้ อื วา่ เปน็ ตำ� รา ชาเลม่ แรกของโลก ชามหี ลายสายพันธ์ุและมมี ากกวา่ ๓๐๐ ชนิด แตท่ ่ีนยิ มปลกู ในประเทศไทยมี ๒ กลมุ่ พนั ธ์ุ คอื กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั และกลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั มชี อ่ื เรยี กหลายชอ่ื เชน่ ชาอสั สมั ชาพน้ื เมอื ง ชาปา่ ชาเมย่ี ง สว่ นกลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี เมอ่ื นำ� เขา้ มาไดม้ กี ารปรบั ปรงุ พนั ธมุ์ าแล้ว ได้แก่ พนั ธอ์ุ หู่ ลงเบอร์ ๑๒ พนั ธ์อุ หู่ ลงเบอร์ ๑๗ พันธ์ุ ๔ ฤดู พันธถุ์ ิกวนอมิ การท่ชี าแตกตา่ งกนั ในแงส่ ี กล่นิ รสชาติ และคณุ ภาพ ไมใ่ ช่เพียงเพราะพันธุ์ชา ที่นำ� มาใช้แตกต่างกัน ชามคี ุณสมบตั แิ ละคุณภาพตา่ งกนั ขน้ึ อยู่กบั ปจั จัย ๒ ประการ ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบทางเคมีของใบชาสด และกระบวนการผลติ องค์ประกอบทางเคมีของใบชาสดนั้นก็ยังแตกต่างกันไปอีก ขึ้นอยู่กับพันธุ์ชา สภาพภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ นำ้� ตลอดจนการดแู ล องคป์ ระกอบ ของใบชาสดท่ีแตกต่างกันจะส่งผลต่อปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต ท�ำใหผ้ ลติ ภัณฑช์ ามีคณุ สมบัติและคุณภาพแตกตา่ งกนั ประเภทของชา โดยทวั่ ไปชาแบง่ ประเภทตามกระบวนการผลติ โดยอาศยั ระดบั ของการหมกั เปน็ เกณฑ์ โดยแบง่ ได้ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ชาเขยี ว ชาอ่หู ลง และชาด�ำ นอกจากนป้ี ระเทศ ไทยยังมีชาอ่ืน ๆ ที่ผ่านการหมักด้วยวิธีการท่ีแตกต่างไป ชาอื่น ๆ เหล่านี้ ได้แก่ ชาผง ปรงุ แตง่ (ชาชกั ) และเมี่ยง ประเภทของชา พันธุ์ชาทน่ี ิยมใช้ และการหมกั แสดงดงั นี้ ประเภท พนั ธ์ชุ าที่ใช้ กระบวนการผลติ ๑. ชาเขยี ว ชาอสั สมั ชาจนี ไม่หมกั ๒. ชาอู่หลง ชาจนี กึ่งหมกั ๓. ชาดำ� ชาอัสสัม หมกั อยา่ งสมบูรณ์ ๔. ชาอนื่ ๆ ชาอัสสัม ชาจนี หมกั (ใชก้ ารหมกั ท่ีตา่ งไป) - ชาผงปรงุ แตง่ ชาอสั สัม - เมย่ี ง

8 กระบวนการผลิตชา ขัน้ แรก การเกบ็ ใบชา การเก็บใบชามักใช้แรงงานคนเก็บใส่ตะกร้าโปร่ง ถ้าจะผลิตชาเขียว ชาด�ำ และชาอู่หลงจะเก็บยอดบนท่ียังตูมอยู่ กับอีก ๒-๓ ใบถัดลงมา ส่วนชาผงปรุงแต่งอย่าง ชาชักจะใช้ใบชาอัสสัมสดใบแก่ต้ังแต่ใบที่ ๓-๕ นับจากยอดลงมาโดยไม่เอายอด ส่วน ชาเขยี วนมจะใช้ตง้ั แต่ยอดใบสดจนถงึ ใบที่ ๔ ข้นั ท่ี ๒ การผึ่ง และการหมักใบชา การผง่ึ ชาเปน็ ขัน้ ตอนท่ที �ำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงทง้ั ทางกายภาพและทางเคมี ทางกายภาพคอื น�้ำในใบจะระเหย สารในใบชาจะซึมผา่ นเซลลอ์ อกมาให้กลิ่นหอม และ เอนไซมบ์ างชนิดในชาจะเกิดปฏิกริ ิยาทางเคมี ทำ� ให้ชามีกล่ินและรสต่างออกไป การผลติ ชาอหู่ ลงและชาดำ� จะผง่ึ ใบชาทงั้ กลางแจง้ และในรม่ การผงึ่ ในรม่ จะ น�ำใบชาไปผ่ึงในห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้น มีการเขย่าด้วยเคร่ืองเขย่าเพื่อให้ใบชา ช�้ำ ระหวา่ งนเี้ อนไซมใ์ นใบชาจะเรง่ ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมเี กดิ เปน็ สารประกอบใหมท่ ท่ี ำ� ใหช้ ามี คณุ สมบตั เิ ฉพาะตวั ดา้ นกลนิ่ และรส การปลอ่ ยใหเ้ อนไซมท์ ำ� งานดงั กลา่ วเรยี กวา่ การหมกั ชา ขน้ั ท่ี ๓ การค่ัวใบชา การคว่ั ชาโดยนำ� ใบชาไปควั่ ในเครอ่ื งควั่ เพอื่ ใหค้ วามรอ้ นหยดุ ปฏกิ ริ ยิ าการหมกั ข้นั ท่ี ๔ การนวดใบชา การนวดชาโดยใช้น้�ำหนักกดทับและขยี้ใบชาให้เซลล์แตก สารประกอบใน เซลล์จะออกมาเคลือบใบชา การนวดนี้อาจน�ำชาไปห่อผา้ แล้วอดั ผา้ ด้วยเครือ่ ง และทำ� การ นวดเพ่อื ขน้ึ รูปใหเ้ ปน็ เม็ด ขนั้ ที่ ๕ การอบแห้ง ใบชาทผ่ี า่ นการผ่งึ ควั่ และนวดแล้ว ตอ้ งนำ� เขา้ เครื่องอบแห้งเพื่อลดความช้นื ให้สามารถเกบ็ ไวไ้ ด้นาน ข้ันที่ ๖ การคดั บรรจุ ชาทผี่ า่ นการอบแลว้ จงึ มาสขู่ นั้ ตอนการคดั เลอื กเศษกงิ่ กา้ นออก ผา่ นเขา้ เครอ่ื ง คัดเกรด และเครอื่ งบรรจุปดิ ผนึกสุญญากาศตามลำ� ดับ ถอื ว่าสิน้ สุดกระบวนการผลิตชา ชาผงปรงุ แตง่ กระบวนการผลติ ทำ� นองเดยี วกบั ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ แตเ่ พมิ่ ขนั้ ตอน การบดเป็นผงละเอยี ด และปรุงแต่งสีเติมกล่ิน บางคนอาจเคยเห็นชาชกั ทีม่ สี ีสม้ หอมกลิน่ วานิลลา คนขายใช้แกว้ ๒ ใบเทกลับไปกลับมา ชาเขยี วนมกม็ ีวธิ ีการชงแบบเดียวกนั

9 ชาด�ำ ชาอหู่ ลง สว่ น เมยี่ ง นนั้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ในวฒั นธรรมภาคเหนอื วธิ ที ำ� ตา่ งออกไปคอื นำ� ใบชา มานงึ่ มดั เป็นกอ้ น แลว้ นำ� ไปหมกั ในถงั ประมาณ ๑ ปจี ึงน�ำมาอมหรอื เค้ียวได้ เราเห็นแล้วใช่ไหมว่า ชามีความน่าสนใจท้ังความเป็นมาและกระบวนการผลิต ขอ้ มลู ในประวตั ศิ าสตรบ์ ง่ บอกวา่ ชาเปน็ สนิ คา้ ทส่ี ำ� คญั เปน็ ทตี่ อ้ งการมากของตลาดในยโุ รป จึงมีการขยายพื้นทเ่ี พาะปลกู ท�ำให้ชาแพร่หลายไปในประเทศตา่ ง ๆ เช่น อินเดีย ศรีลงั กา อินโดนีเซีย แม้ชาจะได้รับความนิยมอย่างสูงมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังถือว่าชาไม่ใช่ เคร่ืองดื่มที่เหมาะส�ำหรับเด็ก เพราะในใบชามีสารคาเฟอีนท่ีกระตุ้นการท�ำงานของระบบ ประสาท หากบริโภคมากเกินไปจะท�ำให้ใจส่ัน หัวใจเต้นเร็ว และนอนไม่หลับ อีกท้ัง ยังมีสารทีส่ ามารถรวมตัวกับธาตเุ หล็ก ซึง่ อาจท�ำใหเ้ ดก็ มีอาการขาดธาตุเหล็กและเปน็ โรค โลหิตจางได้ สว่ นผู้ใหญแ่ ม้วา่ การด่ืมชาจะท�ำใหร้ ้สู ึกสดชน่ื กระชมุ่ กระชวย แต่ควรดืม่ แต่ พอดี ไม่มากจนเกินไป

10 ส่วนเด็กโต ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธีรพงษ์ เทพกรณ์ ผู้เขียน ๑. เร่ืองเล่าตน้ กำ� เนดิ ชา ตำ� นานที่๑สนั นษิ ฐานวา่ ชามตี น้ กำ� เนดิ ในยคุ จกั รพรรดเิ สนิ -หนงของจนี เมอื่ ประมาณ๒,๗๓๗ปี เชอ่ื กนั วา่ ตน้ กำ� เนดิ ของชามาจากประเทศ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ในตำ� นานกลา่ ววา่ ในระหวา่ งที่ จนี คำ� วา่ “ชา” สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมาจากภาษาจนี จกั รพรรดเิ สนิ -หนง (Shen-Nung) ทรงตม้ นำ้� อยใู่ ต้ กลางคอื คำ� วา่ “ฉา” (Cha) ซงึ่ ไดม้ กี ารบญั ญตั ไิ ว้ ตน้ ชา มใี บชาปลวิ ตกลงมาในหมอ้ ตม้ นำ้� รอ้ น เมอ่ื ตง้ั แตเ่ รมิ่ แรกเมอื่ มกี ารคน้ พบชา สว่ นคำ� วา่ Tea ใน ไดท้ รงลองชมิ ดูพบวา่ นำ้� นน้ั มรี สชาตหิ อมดี ดม่ื แลว้ ภาษาองั กฤษมาจากคำ� ในภาษาฮกเกยี้ น ในมณฑล รสู้ กึ กระชมุ่ กระชวย พระองคจ์ งึ ไดเ้ ผยแพรก่ ารดมื่ ฟเู จย้ี นซง่ึ เรยี กชาวา่ “เต”๋ โดยพอ่ คา้ ชาวเนเธอรแ์ ลนด์ ชา ตอ่ มาชาไดม้ กี ารดม่ื กนั อยา่ งแพรห่ ลายเรอ่ื ยมา ทตี่ ดิ ตอ่ คา้ ขายกบั ชาวจนี ไดส้ ง่ ชาไปยโุ รป จงึ มกี าร ใชค้ ำ� นก้ี นั แพรห่ ลายในยโุ รป จากตน้ กำ� เนดิ ชาใน ตำ� นานท่ี ๒ สนั นษิ ฐานวา่ ชามตี น้ กำ� เนดิ ใน จนี ชาไดแ้ พรห่ ลายและไดร้ บั ความนยิ มบรโิ ภคใน ยคุ จกั รพรรดถิ ตู ่ี (ประมาณ ค.ศ. ๕๑๙) ตำ� นานเลา่ หลายประเทศ สำ� หรบั เรอื่ งเลา่ เกย่ี วกบั ตำ� นานชา วา่ มภี กิ ษซุ งึ่ เปน็ โอรสของกษตั รยิ อ์ นิ เดยี เดนิ ทาง มแี ตกตา่ งกนั ไปพอสรปุ ได้ ๓ ตำ� นาน ดงั น้ี มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในจีน จักรพรรดิถูตี่ (Tsu-te) ไดเ้ ลอื่ มใสในภกิ ษรุ ปู น้ี จงึ ไดน้ มิ นตใ์ ห้ จกั รพรรดเิ สนิ -หนง (ทมี่ า: http://www.china.org.cn/learning_ บำ� เพญ็ เพยี รอยทู่ ถ่ี ำ้� แหง่ หนงึ่ ในเมอื งนานกงิ วนั chinese/Chinese_tea/2011-07/15/content_22999489.htm หนงึ่ ขณะทที่ า่ นกำ� ลงั สวดมนตภ์ าวนาอยู่ ไดเ้ ผลอ หลบั ไปเมอ่ื ชาวบา้ นมาเหน็ กแ็ สดงอาการดถู กู และ เยาะเยย้ ทา่ นจงึ ลงโทษตวั เองโดยการตดั หนงั ตา ของท่านออก เมื่อหนังตาตกถึงพื้นก็เกิดงอก เปน็ ตน้ ชา ชาวจนี ทร่ี ตู้ า่ งพากนั มาเกบ็ ใบชาชงดม่ื เพอื่ รกั ษาโรค ตำ� นานท่ี ๓ สนั นษิ ฐานวา่ ชามตี น้ กำ� เนดิ ใน ยคุ ทจ่ี นี เกดิ โรคระบาดทำ� ใหม้ ผี คู้ นลม้ ตายจำ� นวน มาก โดยเกย้ี อยุ (Kia-Oui) ซนิ แสพบวา่ สาเหตทุ ี่

11 ทำ� ใหเ้ กดิ โรคระบาดเนอื่ งจากผคู้ นดมื่ นำ�้ ตามลำ� ธาร ต�ำราบรรยายถึงแหลง่ กำ� เนดิ ของชา การปลกู ชา และแมน่ ำ�้ ทไี่ มส่ ะอาด ทา่ นจงึ ไดแ้ นะนำ� ใหช้ าว การผลิตชา คุณภาพของชา วิธีการดื่มชา และ บา้ นตม้ นำ้� ดมื่ เมอ่ื ทา่ นไดเ้ ขา้ ไปในปา่ พบวา่ มพี ชื ขนบธรรมเนียมประเพณเี ก่ียวกบั ชา ต�ำราชาเลม่ ชนดิ หนงึ่ ทใ่ี หก้ ลนิ่ หอมเปน็ พเิ ศษและสามารถแก้ น้ีเป็นหลักฐานส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ของชา อาการทอ้ งรว่ งได้ จงึ บอกกลา่ วใหช้ าวบา้ นตม้ ดม่ื เล่มแรกของโลกทีส่ ืบทอดมาจนถึงปจั จุบนั ตาม พชื ทคี่ น้ พบนก้ี ค็ อื “ชา” นน่ั เอง ๒. ความเป็นมาของชาในประเทศ เรอื่ งเลา่ ของชาทสี่ บื ตอ่ กนั มา แมว้ า่ จะเปน็ ตา่ ง ๆ เพียงต�ำนาน แต่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ สำ� คญั ซง่ึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ทสี่ ามารถบอกถงึ ชาได้แพร่หลายจากประเทศจีนซึ่งถือเป็น ประวัติความเป็นมาของชาได้อย่างชัดเจนในราว ตน้ กำ� เนดิ ของชาไปยงั ประเทศตา่ ง ๆ โดยในราว ค.ศ. ๗๕๐-๘๐๐ หลักฐานดังกล่าวคือ หนังสือ ค.ศ. ๕๙๓ วฒั นธรรมการดม่ื ชาของจนี ไดเ้ ขา้ ไปสู่ ตำ� ราชา (Cha Jing) ทบ่ี นั ทกึ โดย ลอู วี้ (Lu Yu) ใน ประเทศญปี่ นุ่ เปน็ ครงั้ แรก จนมกี ารนำ� เมลด็ ชาไป ปลกู ในประเทศญป่ี นุ่ โดยภกิ ษชุ าวญปี่ นุ่ รปู หนง่ึ ใน ภาพเขียนลอู ว้ี ผ้ทู ี่เขียนหนงั สอื ต�ำราชาเล่มแรกของโลก ค.ศ. ๘๐๓-๘๐๔ ตอ่ มาใน ค.ศ. ๑๑๖๙ ภกิ ษชุ าว (ท่มี า: http://www.luyutea.cz/en/) ญปี่ ุ่นช่ือ เอไซ (Eisai) ท่ีเดนิ ทางมาศึกษาค�ำสอน หนังสือ “ต�ำราชา” ของลูอว้ี (ท่ีมา : http://kaleidoscope. ทางพระพทุ ธศาสนาในประเทศจนี ไดน้ ำ� เมลด็ ชา cultural-china.com/en/8Kaleidoscope3091.html) และวัฒนธรรมการดื่มชาซึ่งได้รับความนิยมใน ญป่ี นุ่ มาเผยแพร่ และใน ค.ศ. ๑๑๙๒ ทา่ นไดเ้ ขยี น หนงั สอื เกย่ี วกบั การรกั ษาสขุ ภาพโดยการดมื่ ชา ซงึ่ เปน็ หนงั สอื เกยี่ วกบั ชาเลม่ แรกของญปี่ นุ่ จากนนั้ ไดพ้ ฒั นาขน้ึ เปน็ ประเพณกี ารชงชาของญป่ี นุ่ พธิ ี ชงชาได้พัฒนารูปแบบมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ที่เรยี กว่า ชาโด (Chado) โปรตเุ กสเปน็ ชาตแิ รกทเ่ี รม่ิ คา้ ขายชากบั จนี ในราว ค.ศ. ๑๕๖๐ ชาวโปรตุเกสได้น�ำเข้าชา จากจีนและส่งไปขายต่อท่ีประเทศฝร่ังเศสและ เนเธอร์แลนด์ ใน ค.ศ. ๑๖๐๒ โปรตุเกสและ เนเธอรแ์ ลนดเ์ กดิ ปญั หากนั เนเธอรแ์ ลนดจ์ งึ เรมิ่ ทำ� การคา้ ชากบั จนี โดยตรง ใน ค.ศ. ๑๖๕๐ ชาได้ เขา้ สสู่ หรฐั อเมรกิ า และเขา้ สเู่ กาะองั กฤษในราว ค.ศ. ๑๖๕๒-๑๖๕๔ ตอ่ มา ค.ศ. ๑๖๕๗-๑๘๓๓

12 บรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ขององั กฤษ ไดผ้ กู ขาดการนำ� เขา้ การลักลอบน�ำเข้าฝิ่นจากบริษัทอีสต์อินเดียของ ชาจากจนี สเู่ กาะองั กฤษ ใน ค.ศ. ๑๖๖๒ พระเจา้ องั กฤษ ทำ� ใหอ้ งั กฤษเกรงวา่ อาจเกดิ ปญั หากบั จนี ชาร์ลท่ี ๒ ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่ง ดงั นนั้ บรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี ขององั กฤษจงึ ไดไ้ ปปลกู โปรตุเกส เจ้าหญิงทรงเสิร์ฟชาแก่พระราชวงศ์ ชาขึ้นที่รัฐอสั สัม (Assam) ใน ค.ศ. ๑๘๓๕ เพื่อ และเพอ่ื น ๆ ทำ� ใหช้ าเปน็ ทร่ี จู้ กั ในวงสงั คมชน้ั สงู เปน็ แหลง่ ปลกู ทดแทน และขยายไปยงั เมอื งดารจ์ ลี งิ การดม่ื ชาแพรห่ ลายมากขน้ึ จนพฒั นาเปน็ ประเพณี (Darjeeling)รวมทง้ั เขตอน่ื ๆ ทางตอนเหนอื และใต้ การดมื่ ชาตอนบา่ ย ความตอ้ งการบรโิ ภคชาจงึ เพม่ิ ของประเทศอนิ เดยี ใน ค.ศ. ๑๘๓๙ องั กฤษและจนี มากข้ึน ส่งผลให้มีการน�ำเข้าชาจากจีนมากขึ้น เกดิ ปญั หาจนประกาศสงครามกนั เรยี กวา่ สงคราม ทำ� ใหช้ าเปน็ สนิ ค้าที่มีราคาสงู มาก องั กฤษจึงแก้ ฝิ่น (Opium war) ทำ� ให้อังกฤษไมม่ กี ารคา้ ขายชา ปัญหานี้โดยการส่งฝิ่นที่ปลูกในอินเดียซึ่งเป็น กบั จนี แตเ่ ปน็ ชาทน่ี ำ� มาจากแหลง่ ทปี่ ลกู ทดแทน อาณานคิ มขององั กฤษไปขายใหแ้ กจ่ นี แลว้ นำ� เงนิ ทไี่ ดจ้ ากการขายฝน่ิ มาซอ้ื ชาจากจนี แมว้ า่ รฐั บาล ใน ค.ศ. ๑๘๕๗ มกี ารปลกู ชาในประเทศ จีนจะออกกฎหมายห้ามการน�ำเข้าฝิ่นแต่ก็ยังมี ศรลี งั กาจนเรม่ิ สง่ ออกไดใ้ น ค.ศ. ๑๘๗๐ และใน ค.ศ. ๑๘๗๒ องั กฤษไดท้ ดลองปลกู ชาในประเทศ ภาพเขยี นแสดงการคา้ ชาในสมยั โบราณ (ทม่ี า : http://ocw.mit. อนิ โดนเี ซยี โดยนำ� กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั จากประเทศ edu/ans7870/21f/21f.027/opium_wars_01/ow1_essay01.html อินเดียมาปลูก ส่วนในประเทศเวียดนาม ชาว ภาพเขียนแสดงสงครามฝ่นิ (ท่ีมา: https://en.wikipedia.org/ ฝรั่งเศสได้เร่ิมท�ำสวนชาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้ wiki/First_Opium_War พฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพราะเกดิ ปญั หาปญั หาความ ขดั แยง้ ภายในประเทศ หลงั สงครามเวยี ดนามจงึ มี การฟน้ื ฟแู ละสง่ เสรมิ การปลกู ชามากยงิ่ ขน้ึ ในประเทศแถบแอฟริกา ชาได้แพร่หลาย เขา้ ไปครงั้ แรกในประเทศมาลาวใี น ค.ศ. ๑๘๗๘ ตอ่ มาไดม้ กี ารนำ� พนั ธช์ุ ามาปลกู ทป่ี ระเทศเคนยา ใน ค.ศ. ๑๙๐๓ และได้พัฒนาการผลิตชาในเชิง อตุ สาหกรรม จากนน้ั ชาเรม่ิ แพรห่ ลายและปลกู กนั ในประเทศแถบแอฟรกิ า ตามสดั สว่ นการผลติ และบรโิ ภคชาทวั่ โลก ชาด�ำมีปริมาณการผลิตและบริโภคมากท่ีสุด คิด เปน็ รอ้ ยละ ๗๘ ของชาทง้ั หมด นยิ มบรโิ ภคใน ประเทศแถบตะวันตก รวมท้ังอินเดีย ศรีลังกา แอฟริกา และอินโดนีเซยี สว่ นการผลิตชาเขียว คดิ เปน็ ร้อยละ ๒๐ นิยมผลติ และบรโิ ภคกนั มาก

13 ในประเทศญป่ี นุ่ และจนี อกี รอ้ ยละ๒ทเี่ หลอื เปน็ จนี รอ้ ยละ ๓๐.๔ อน่ื ๆ รอ้ ยละ ๑๔.๔ ชาอหู่ ลงซงึ่ ผลติ และบรโิ ภคกนั มากในจนี ตอนใต้ ตรุ กี รอ้ ยละ ๕.๓ และไตห้ วนั ประเทศทผ่ี ลติ ชามากทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ จนี อนิ เดยี เคนยา ศรลี งั กา ตรุ กี เวยี ดนาม และ อนิ เดยี รอ้ ยละ ๒๔.๔ เวยี ดนาม รอ้ ยละ ๔.๒ อนิ โดนเี ซยี อนิ โดนเี ซยี รอ้ ยละ ๓.๙ ๓.ความเปน็ มาของชาในประเทศไทย ศรลี งั กา รอ้ ยละ ๗.๙ ชาเปน็ พชื พน้ื เมอื งดงั้ เดมิ ของไทย สามารถ เคนยา่ รอ้ ยละ ๙.๕ พบกระจายทั่วไปตามภูเขาในภาคเหนือ ได้แก่ ประเทศทม่ี กี ารผลิตชาที่ส�ำคัญของโลก เชยี งใหม่ เชยี งราย ลำ� ปาง แมฮ่ อ่ งสอน แพร่ และ นา่ น การปลกู และผลติ ชาของไทยเรม่ิ ครงั้ แรกใน มอบพันธุ์ชาจากไตห้ วนั แกน่ ายพล ต้วน ซี เหวิน พ.ศ. ๒๔๘๐ โดยนายประสทิ ธิ์ พมุ่ ชศู รี รว่ มกบั อดตี ผู้น�ำกองพล ๙๓ ซ่ึงนำ� มาปลูกทดลองที่ดอย นายประธาน พมุ่ ชศู รี จดั ตง้ั โรงงานชาขนาดเลก็ แมส่ ลอง จงั หวดั เชยี งราย ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะ ที่ อ�ำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และรับซ้ือ กรรมการหมบู่ า้ นโดยนายพลตว้ นซีเหวนิ ไดร้ วม ใบชาสดจากชาวบา้ นทป่ี ลกู และทำ� เมยี่ งอยแู่ ลว้ ใน หุ้นจัดต้ังเป็นสหกรณ์หมู่บ้าน มีการส่งเสริมการ พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้เริ่มท�ำสวนชาเป็นของตนเอง ปลูกชาอย่างจริงจัง โดยขยายพันธุ์และน�ำชาจีน และขยายพน้ื ทปี่ ลกู เพมิ่ ขน้ึ ตอ่ มาในพ.ศ.๒๔๘๓ หลากหลายพนั ธไ์ุ ปปลกู ในพน้ื ทตี่ า่ งๆของจงั หวดั กระทรวงเกษตรไดเ้ รม่ิ มกี ารสง่ เสรมิ และพฒั นาชา เชยี งราย นอกจากนย้ี งั นำ� ชาพนั ธต์ุ า่ ง ๆ ทไ่ี ดว้ จิ ยั โดยสำ� รวจหาแหลง่ ทจี่ ะทำ� การปลกู และปรบั ปรงุ และปรบั ปรงุ พนั ธจ์ุ ากประเทศไตห้ วนั มาปลกู เพมิ่ ชาทอี่ ำ� เภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม่ โดยจดั ตง้ั เปน็ มากขน้ึ โดยไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากหนว่ ยงาน สถานที ดลองพชื สวนฝาง ในระยะแรกเมลด็ พนั ธ์ุ ตา่ งๆของราชการ ทำ� ใหก้ ารปลกู ชาขยายตวั มากขน้ึ ชาทน่ี ำ� มาทดลองปลกู ไดจ้ ากทอ้ งทต่ี ำ� บลมอ่ นบนิ และดอยขุนสรวย ต่อมาได้ท�ำการศึกษาค้นคว้า ชาถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยอย่าง วจิ ยั และทดลองปลกู ชาทส่ี ถานที ดลองหลายแหง่ หนง่ึ มกี ารปลกู และผลติ ชาเพม่ิ มากขน้ึ ใน พ.ศ. เชน่ สถานที ดลองพชื สวนดอยมเู ซอ จงั หวดั ตาก ๒๕๔๑ประเทศไทยมพี นื้ ทป่ี ลกู ชาทง้ั สนิ้ ๗๗,๐๖๗ สถานที ดลองเกษตรทส่ี งู วาวี จงั หวดั เชยี งราย และ ไร่ ใหผ้ ลผลติ ใบชาสด ๒๗,๒๘๒ ตนั จากการสง่ สถานีทดลองเกษตรท่ีสูงแม่จอนหลวง จังหวัด เสรมิ ใหม้ กี ารปลกู ชาเพมิ่ มากขนึ้ ทำ� ใหใ้ น พ.ศ. เชยี งใหม่ ๒๕๕๔ไทยมพี น้ื ทป่ี ลกู ชาเพม่ิ ขนึ้ เปน็ ๑๒๓,๒๑๑ ไร่ มผี ลผลติ ใบชาสดรวม ๖๘,๘๙๒ ตนั แหลง่ ใน พ.ศ. ๒๕๑๗ ฝา่ ยรกั ษาความมน่ั คงแหง่ ปลูกชาท่ีส�ำคัญอยู่ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ชาตไิ ดเ้ รมิ่ โครงการปลกู ชาในแปลงสาธติ และใน นา่ น ลำ� ปาง แมฮ่ อ่ งสอน และแพร่ โดยจงั หวดั พ.ศ. ๒๕๑๘ พลเอก เกรยี งศักด์ิ ชมะนนั ทน์ ได้

14 เชียงรายและเชียงใหม่มีการปลูกและผลิตชามาก การดแู ลรกั ษาและเกบ็ ใบชา ชาเปน็ พชื กงึ่ รอ้ นที่ ทส่ี ดุ ของประเทศ คดิ เปน็ ประมาณรอ้ ยละ ๘๐-๙๐ เจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นเขตอบอนุ่ และมฝี น ปลกู ไดด้ ี ของพน้ื ทปี่ ลกู และผลติ ชาทงั้ ประเทศ ทค่ี วามสงู จากระดบั ทะเลปานกลาง ๒๐๐-๒,๐๐๐ เมตร ๔. ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ การจัดหมวดหมู่อนุกรมวิธานของชาใน ชาเปน็ พชื ในวงศ์ Theaceae สกลุ Camellia ประเทศไทยแบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กลมุ่ พนั ธใ์ุ หญ่ ๆ คอื ทมี่ มี ากกวา่ ๓๐๐ชนดิ เมอ่ื เจรญิ ตามธรรมชาตอิ าจ กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั (Camellia sinensis var. assam- มคี วามสงู ถงึ ๑๐-๑๕เมตรแตม่ กั ตดั แตง่ กงิ่ ใหเ้ ปน็ ica) และกลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี (Camellia sinensis var. พมุ่ ประมาณ ๐.๖-๑.๐ เมตร เพอ่ื ความสะดวกใน sinensis) การจำ� แนกสายพนั ธช์ุ านอกจาก ๒ กลมุ่ หลกั ทก่ี ลา่ วแลว้ ยงั พบสายพนั ธล์ุ กู ผสม ทเี่ กดิ จาก จงั หวดั ทม่ี กี ารปลกู ชา ๑. กรงุ เทพมหานคร ๒. นนทบรุ ี ๓. ปทมุ ธานี ๔. นครปฐม ๕. สมทุ รปราการ ๖. สมทุ รสาคร ๗. สมทุ รสงคราม ๘. อยธุ ยา ๙. อา่ งทอง ๑๐. สงิ หบ์ รุ ี พนื้ ท่ีปลูกและปริมาณผลผลิตใบชาสดของประเทศไทย

15 การผสมขา้ มระหวา่ งสายพนั ธ์ุ ทำ� ใหไ้ ดช้ าลกู ผสม ใบชา ทมี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั การปรบั ปรงุ พนั ธช์ุ าทำ� ให้ ดอกชา ได้พันธุ์ชาซึ่งมีลักษณะทางกายภาพ ขนาด และ ผลชา ลกั ษณะใบทแี่ ตกตา่ งกนั ไป รวมทงั้ ใหร้ สชาตขิ อง เมล็ดชา นำ�้ ชาทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณแ์ ตกตา่ งกนั ตน้ ชาประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ทส่ี ำ� คญั ดงั นี้ ๑. ราก ชาเปน็ พชื ทมี่ รี ากแกว้ และรากฝอย แตไ่ มม่ รี ากขน ตน้ ชาทไ่ี ดจ้ ากการขยายพนั ธโ์ุ ดย การปกั ชำ� จะไมม่ รี ากแกว้ รากชามกี ารสะสมของ คาร์โบไฮเดรตในรปู ของแป้ง การแตกยอดของ ตน้ ชาขนึ้ อยกู่ บั อาหารสำ� รองคารโ์ บไฮเดรตในราก ๒. ใบ เปน็ ใบเดย่ี ว การจดั เรยี งของใบเปน็ แบบเรยี งสลบั ๑ ใบต่อ ๑ ข้อ ขอบใบหยกั แบบ ฟันเลือ่ ย ปลายใบแหลม หน้าใบมัน และใต้ใบมี ขนอ่อนปกคลุม กลุ่มพันธุ์ชาจีนมีขนาดใบเล็ก ประมาณ๕-๑๐เซนตเิ มตร และหนากวา่ กลมุ่ พนั ธ์ุ ชาอสั สมั ซง่ึ มขี นาดใบ ๗-๑๖ เซนตเิ มตร ๓. ดอก ดอกชาเกดิ ระหวา่ งลำ� ตน้ และใบ มี ทง้ั ดอกเดย่ี วและดอกชอ่ (๒-๔ดอก) กา้ นดอกสนั้ กลีบเล้ียงสีเขียวเข้ม กลีบดอกมีสีขาว เป็นดอก สมบรู ณเ์ พศทมี่ ที งั้ เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี ใน ดอกเดยี วกนั กลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ดอก ๒-๔ เซนตเิ มตร ชาอสั สมั ๓-๔ เซนตเิ มตร ดอกมกี ลน่ิ หอม ๔. ผล มลี กั ษณะกลม เปลอื กหนา มสี เี ขยี ว อมนำ้� ตาล ภายในแบง่ เปน็ ๓ ชอ่ ง หลงั จากผสม เกสรแลว้ กลบี ดอกและเกสรเพศผจู้ ะรว่ ง เรมิ่ ตดิ เปน็ ผล ผลชาจะแกเ่ ตม็ ทเ่ี มอ่ื อายปุ ระมาณ ๙-๑๒ เดอื น เมอ่ื ผลแกเ่ ตม็ ท่ี ผลจะแตก และรว่ งลงดนิ ๕. เมลด็ พบในผลชาประมาณ ๑-๓ เมลด็ ตอ่ ผล มรี ปู รา่ งกลม มใี บเลย้ี ง ๒ ใบอวบหนา มี นำ�้ มนั หอ่ หมุ้ ตน้ ออ่ น

16 ๕. สายพนั ธช์ุ า ลักษณะของใบชากล่มุ พันธุ์ชาจนี โดยทว่ั ไป กลมุ่ พนั ธช์ุ าของไทยทป่ี ลกู เปน็ เหนอื ตอนบนในจังหวัดเชียงราย เชยี งใหม่ และ การคา้ แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กลมุ่ พนั ธใ์ุ หญ่ ๆ ไดแ้ ก่ แมฮ่ ่องสอน โดยจะปลูกเปน็ แถวแบบขัน้ บนั ได มกี ารจดั การแปลงปลกู อยา่ งเปน็ ระบบ และตดั แตง่ ๑. กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั (Assam Tea) กิ่งอย่างสม�่ำเสมอ เพื่อให้ชาแตกยอดใหม่ และ สะดวกตอ่ การเก็บเกี่ยวผลผลติ กลมุ่ นม้ี ชี อ่ื วทิ ยาศาสตรว์ า่ Camelliasinensis var. assamica มชี อ่ื เรยี กหลายชอื่ เชน่ ชาอสั สมั ๖. เครอื่ งจกั รอปุ กรณแ์ ละกระบวนการ ชาพื้นเมือง ชาป่า หรือชาเมี่ยง กลุ่มพันธ์ุชา ผลติ ชาของไทย อสั สมั เปน็ กลมุ่ พนั ธช์ุ าทใี่ บใหญก่ วา่ กลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี กลมุ่ พนั ธช์ุ าอสั สมั เจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นปา่ เขตรอ้ น ใบชาสดที่นิยมน�ำมาผลิตเพ่ือให้ได้ชาท่ีมี ชื้นที่มรี ม่ ไมแ้ ละแสงแดดพอประมาณ ชาอสั สมั คณุ ภาพดจี ะใชย้ อดชาทปี่ ระกอบดว้ ยยอดตมู และ ปลกู มากในเขตพนื้ ทส่ี งู แถบภาคเหนอื ของไทยใน ใบทอ่ี ยถู่ ดั ลงมา ๒-๓ ใบ นำ� มาเขา้ กระบวนการ จงั หวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย นา่ น ลำ� ปาง และแพร่ ผง่ึ ควั่ นวด และอบทแี่ ตกตา่ งกนั ทำ� ใหไ้ ดช้ าท่ี มสี ี กลนิ่ และรสชาตขิ องนำ�้ ชาทแี่ ตกตา่ งกนั ไป ๒. กลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี (Chinese Tea) ตวั กำ� หนดคณุ ภาพและลกั ษณะของชาประเภทตา่ ง ๆ ขนึ้ อยกู่ บั ขนั้ ตอนการผลติ ทหี่ ลากหลายและซบั ซอ้ น กลมุ่ นมี้ ชี อ่ื วทิ ยาศาสตรว์ า่ Camelliasinensis ประกอบกับความช�ำนาญของผู้ผลิตชา รวมทั้ง var. sinensis นำ� เขา้ มาจากประเทศไตห้ วนั และจนี ชนดิ ของพนั ธช์ุ าและความอดุ มสมบรู ณข์ องพน้ื ที่ เปน็ กลมุ่ พนั ธท์ุ ไ่ี ดจ้ ากการปรบั ปรงุ พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ พนั ธ์ุ ปลกู เมอ่ื จดั แบง่ ประเภทชาตามระดบั ของการหมกั อหู่ ลงเบอร์๑๗ หรอื พนั ธอ์ุ หู่ ลงกา้ นออ่ น(chinshin สามารถแบง่ ชาได้ ๓ ประเภท คอื ชาเขยี ว (ชาไม่ Oolong no.17) พนั ธอ์ุ หู่ ลงเบอร์ ๑๒ (chin hsuan หมกั ) ชาอหู่ ลง (ชากง่ึ หมกั ) และชาดำ� (ชาหมกั ) Oolongno.12) พนั ธส์ุ ฤี่ ดู(fourseasons) และพนั ธ์ุ นอกจากน้ีในประเทศไทยยงั มชี าชนดิ อน่ื ๆ ไดแ้ ก่ ถิกวนอิม กลุ่มพันธุ์ชาจีนเป็นกลุ่มพันธุ์ที่นิยม ชาผงปรงุ แตง่ และเมย่ี ง ปลกู กนั มากเนอ่ื งจากใหผ้ ลผลติ สงู ราคาแพง และ เปน็ ที่ต้องการของตลาด ปลูกมากในพ้ืนที่ภาค ลักษณะของใบชากลุ่มพนั ธช์ุ าอัสสมั

ชาในแตล่ ะสายพนั ธน์ุ ยิ มนำ� มาแปรรปู เปน็ 17 ผลติ ภณั ฑ์ชาทไ่ี มเ่ หมือนกัน โดยชาพนั ธุอ์ ัสสมั ส่วนใหญ่นิยมน�ำมาแปรรูปเป็นชาด�ำ (ชาหมัก) เมี่ยง สว่ นชาจีนนยิ มน�ำมาผลิตเปน็ ชาอู่หลง (ชา หรอื บางแห่งเรียกว่า ชาแดง ชาผงปรุงแต่ง (ชา ก่ึงหมัก) และชาเขียว โดยท่ัวไปชาท่ีผลิตจาก ไทยและชาเขยี วนม) ชาเขยี ว (ชาไมห่ มกั ) และ กลุ่มพันธุ์ชาจีนมีราคาสูงกว่ากลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม โดยกระบวนการผลติ ชาแตล่ ะประเภทเปน็ ไปตาม ขน้ั ตอนการผลติ ใบชาสด ใบชาสด ใบชาสด ใบชาอสั สมั แก่ ใบเมย่ี งสด ควั่ ชา ผง่ึ แดด ผงึ่ ชา ตากแหง้ รวบมดั เปน็ กำ� นวดชา ผงึ่ ในรม่ นวดชา นวดชา นง่ึ อบแหง้ คว่ั ชา หมกั ชา ปน่ เมยี่ งนงึ่ คดั บรรจุ นวดชา อบแหง้ หมกั ชา มดั เปน็ กอ้ น ชาเขยี ว อบแหง้ คดั บรรจุ อบแหง้ หมกั คดั บรรจุ ชาดำ� เตมิ สี กลน่ิ เมย่ี งหมกั ชาอหู่ ลง คดั บรรจุ ชาผงปรงุ แตง่ กระบวนการผลติ ชาแตล่ ะประเภทในประเทศไทย

18 ชาเขยี ว ชาอหู่ ลง และชาดำ� มสี ี กลนิ่ และ การเก็บใบชาโดยใช้แรงงานคน รสชาตทิ แ่ี ตกตา่ งกนั ไปตามปจั จยั หลกั ๆ ซง่ึ มอี ยู่ ๒ ปจั จยั ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบทางเคมขี องใบชาสด และกระบวนการผลติ ชา โดยองคป์ ระกอบทางเคมี ของใบชาทแี่ ตกตา่ งกนั เปน็ ผลมาจากสายพนั ธช์ุ า สภาพพนื้ ทปี่ ลกู ภมู อิ ากาศ ความอดุ มสมบรู ณข์ อง ดนิ นำ้� และการดแู ลรกั ษา องคป์ ระกอบทางเคมี ที่แตกต่างกันนี้จะส่งผลต่อปฏิกิริยาเคมีที่เกิดข้ึน ระหวา่ งกระบวนการผลติ ทำ� ใหไ้ ดช้ าทม่ี กี ลน่ิ และ รสชาตทิ แ่ี ตกตา่ งกนั ไป สว่ นในกระบวนการผลติ ชา แตล่ ะประเภทจะมขี นั้ ตอนการผลติ ดงั น้ี ๑. การเก็บใบชา (Tea plucking) เป็น ข้ันตอนที่สำ� คญั เนอื่ งจากตอ้ งอาศัยความละเอียด การเก็บใบชา การเกบ็ ใบชาโดยใช้เคร่ืองจกั ร ยอดชาออ่ นมสี ารพอลฟิ นี อล ในการเกบ็ การเกบ็ ใบชาใหไ้ ดใ้ บชาทม่ี คี ณุ ภาพดี ตอ้ งใชแ้ รงงานคนในการเกบ็ เมอื่ นำ� ไปผลติ จะได้ ชาแหง้ ทมี่ คี ณุ ภาพดี สวนชาบางแหง่ มกี ารใชเ้ ครอื่ ง เกบ็ ใบชา ซงึ่ มกั เปน็ สวนชาขนาดใหญ่ การเกบ็ จะ ต้องเลือกเก็บเฉพาะยอดชาท่ีตูมและใบท่ีต่�ำจาก ยอดตมู ลงมา ๒-๓ ใบ (เกบ็ ๑ ยอดตมู และ ๒-๓ ใบ) เนอ่ื งจากสารประกอบพอลฟิ นี อลซง่ึ เปน็ สาร สำ� คญั ทสี่ ง่ ผลตอ่ สีกลนิ่ และรสชาตขิ องชาจะมอี ยู่ มากเฉพาะในยอดชาเทา่ นนั้

19 ๒.การผงึ่ ชา(Withering)เปน็ ขนั้ ตอนทเี่ กดิ การผง่ึ ชาดว้ ยกระดง้ ไมไ้ ผใ่ นหอ้ งทค่ี วบคมุ อณุ หภมู แิ ละความชนื้ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพและเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ของสารตา่ ง ๆ ในใบชา การผงึ่ ชาจะทำ� ใหน้ ำ�้ ใน ใบชาระเหยไปใบชาจงึ เหย่ี วและมกี ารซมึ ผา่ นของ สารตา่ งๆภายในและภายนอกเซลล์ ทำ� ใหเ้ กดิ กลนิ่ หอมทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะตวั ในขน้ั ตอนนเ้ี รยี กไดว้ า่ เปน็ การหมกั บางสว่ น ทำ� ใหช้ ามกี ลน่ิ หอม การผงึ่ ชามที งั้ การผง่ึ ภายนอกหรอื ผง่ึ กลางแจง้ และการ ผงึ่ ในรม่ โดยนำ� ใบชาทเ่ี กบ็ ไดม้ าผง่ึ ในกระดง้ ไมไ้ ผ่ โรงงานขนาดใหญจ่ ะผงึ่ ชาในถาดใหญท่ ร่ี องดว้ ย วสั ดโุ ปรง่ สลบั กบั นำ� ใบชาเขา้ เครอ่ื งเขยา่ ในการ ผลติ ชาอหู่ ลง มกี ารผง่ึ ชาในหอ้ งทม่ี กี ารควบคมุ อณุ หภมู แิ ละความชนื้ เพอื่ เปน็ การหมกั ชา การผงึ่ การผ่ึงใบชาภายนอก (ผง่ึ กลางแจง้ ) การผง่ึ ใบชาดว้ ยถาดผงึ่ ชาในหอ้ งทค่ี วบคมุ อณุ หภมู แิ ละความชน้ื การผึง่ ใบชาในทีร่ ่ม เคร่อื งเขยา่ ชา

20 ชาทำ� ใหเ้ อนไซมพ์ อลฟิ นี อลออกซเิ ดส(polyphenol เครื่องค่วั ชา oxidase:PPO)เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั (oxidation) ทำ� ใหส้ ารพอลฟิ นี อลเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ดเ้ ปน็ องค์ สว่ นใหญจ่ ะใชว้ ธิ กี ารควั่ ชา เครอื่ งควั่ ชาจะใชแ้ กส๊ ประกอบใหม่ท่ีท�ำให้ชามีสี กลิ่น และรสชาติท่ี หงุ ตม้ เปน็ แหลง่ พลงั งานความรอ้ น แตกต่างกันไป ๔. การนวดชา (Rolling) เปน็ ขน้ั ตอนทใี่ ช้ ๓. การคว่ั ชาโดยใชเ้ ครอื่ งควั่ (Pan firing) นำ้� หนกั กดทบั บนใบชาเปน็ การขยใี้ บชาเพอ่ื ใหเ้ ซลล์ เป็นขั้นตอนท่ีให้ความร้อนกับใบชาเพ่ือท�ำลาย แตกเมอ่ื เซลลแ์ ตกจะทำ� ใหส้ ารประกอบตา่ งๆทอ่ี ยู่ เอนไซมพ์ อลฟิ นี อลออกซเิ ดส ทำ� ใหห้ ยดุ ปฏกิ ริ ยิ า ในเซลล์ไหลออกมานอกเซลล์และเคลือบอยู่บน การหมกั ในการผลติ ชาญป่ี นุ่ สว่ นใหญจ่ ะใชว้ ธิ กี าร สว่ นตา่ ง ๆ ของใบชา วธิ นี วดชาจะแบง่ ออกเปน็ นงึ่ ชา สว่ นการผลติ ชาในจนี ไตห้ วนั และไทย ๒ แบบตามชนดิ ของชาทผ่ี ลติ กลา่ วคอื ชาแบบ เสน้ จะใชเ้ ครอ่ื งนวดชาแบบเสน้ โดยมากจะใช้ การควั่ ชาในเครอื่ งควั่ ชา ในการผลติ ชาเขยี ว การนวดชาแบบเสน้ นจี้ ะขน้ึ ชาทผ่ี ่านการควั่ แลว้ การนวดชา

21 เครือ่ งนวดชาแบบเสน้ เคร่อื งนวดชาแบบเม็ด อยกู่ บั เทคนคิ ของผเู้ ชยี่ วชาญแตล่ ะโรงงาน มที งั้ ๕. การหมักชา (Fermentation) เป็น แบบที่ห่อผ้าแล้วน�ำไปนวด และแบบท่ีไม่ห่อผ้า กระบวนการทเ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยเรมิ่ ตงั้ แต่ สว่ น ชาแบบเมด็ จะเปน็ การนวดชาเพอื่ ขนึ้ รปู ให้ การผ่ึงชา และนวดชา ก่อนถึงข้ันตอนการหยุด เปน็ เมด็ ใบชาท่ผี า่ นการคว่ั จะถูกน�ำมาใสห่ อ่ ผา้ ปฏกิ ริ ยิ าเอนไซมพ์ อลฟิ นี อลออกซเิ ดสดว้ ยการควั่ ดว้ ยเครอื่ งหอ่ ผา้ ซง่ึ จะออกมาเปน็ หอ่ ผา้ กลม แลว้ ชา ในกระบวนการนี้ พอลฟิ นี อลออกซเิ ดสจะเรง่ จงึ นำ� ไปนวดดว้ ยเครอ่ื งนวดชาแบบเมด็ เมอื่ นวด ชาครบตามเวลาในแตล่ ะครงั้ จะแกะหอ่ ชาออกมา ชาที่นำ� ไปหมกั ใสเ่ ครอ่ื งสางใบชาแลว้ นำ� ไปหอ่ ผา้ และนวดสลบั กนั จนกระทง่ั ใบชาเปน็ เมด็ กลม นอกจากนจี้ ะอดั หอ่ ผา้ ใบชาดว้ ยเครอื่ งอดั กลบี บวั เพอ่ื อดั และขน้ึ รปู เมด็ ชาใหก้ ลมและสวยงาม การนวดอาจนวดให้ ชาเปน็ เสน้ หรอื นวดขนึ้ รปู ใหช้ าเปน็ เมด็ สว่ นใหญ่ การผลิตชาเขียวจะนวดเป็นเส้น แต่การผลิตชา อหู่ ลงจะนวดขน้ึ รปู ใหเ้ ปน็ เมด็

22 การหมกั ชา การอบแหง้ การคัดขนาดชา ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั ทำ� ใหไ้ ดเ้ ปน็ สารประกอบเชงิ ซ้อนท่ีมีโมเลกุลใหญ่ข้ึน ซ่ึงท�ำให้ชาเกิดกล่ิน สี และรสชาตทิ แี่ ตกตา่ งกนั ไปตามองคป์ ระกอบทาง เคมที อี่ ยใู่ นชาและตามกรรมวธิ กี ารผลติ ๖. การอบแหง้ (Drying) เปน็ ขนั้ ตอนการ อบแหง้ ดว้ ยเครอ่ื งอบแหง้ เพอ่ื ลดความชนื้ ในใบชา ให้เหลอื ประมาณร้อยละ ๕ เพื่อให้สามารถเกบ็ ใบชาไว้ได้นาน เคร่ืองอบแหง้ ชา เครอื่ งอัดใบชาในหอ่ ผา้ เพ่อื นวดข้ึนรปู ใหเ้ ป็นเม็ด ๗. การคดั บรรจุ (Sorting and Packing) หลังการอบแห้งจะเป็นการคัดเศษกิ่งก้าน และสงิ่ เจอื ปนตา่ ง ๆ ออกจากใบชา การคดั ชาอาจ ทำ� โดยเครอ่ื งคดั คณุ ภาพ หรอื อาจใชแ้ รงงานคน

23 ในการคัดใบชา กรณีที่เก็บใบชาไว้ในห้องเย็น อยใู่ นเซลลไ์ หลออกมานอกเซลลแ์ ละเคลอื บอยบู่ น กอ่ นนำ� ออกมาคดั บรรจจุ ะมกี ารนำ� ใบชาไปอบแหง้ สว่ นตา่ ง ๆ ของใบชา ขน้ั ตอนตอ่ ไปจงึ นำ� ไปอบ เพื่อลดความชื้นอีกคร้ัง แล้วจึงน�ำมาช่ังน�้ำหนัก แหง้ ดว้ ยเครอ่ื งอบแหง้ ตามดว้ ยการคดั ขนาด คดั และบรรจใุ สถ่ งุ ดว้ ยเครอ่ื งปดิ ผนกึ แบบสญุ ญากาศ คณุ ภาพ และบรรจุ ผลติ ภณั ฑช์ าเขยี วของไทยจะ (vacuum packaging machine) เพอ่ื รอขนสง่ และ มลี กั ษณะเปน็ เสน้ มสี เี ขยี วเขม้ อมนำ้� ตาล เมอ่ื ชง จำ� หนา่ ยตอ่ ไป ชาเขยี ว สขี องนำ�้ ชาเขยี วจะมสี เี ขยี วออ่ น ๆ จนถงึ สเี ขยี วอมเหลอื ง ชาเขยี วของไทยทผ่ี ลติ เพอื่ การคา้ ๗. กรรมวธิ กี ารผลติ จะเรยี กชอ่ื ตามกลมุ่ พนั ธช์ุ า ไดแ้ ก่ ชาเขยี วอสั สมั และชาเขยี วอหู่ ลง ชาเขยี วอสั สมั หมายถงึ ผลติ ภณั ฑ์ ๗.๑ ชาเขยี ว (Green tea) ชาเขยี วทผ่ี ลติ จากชากลมุ่ พนั ธอ์ุ สั สมั สว่ นชาเขยี ว อหู่ ลงหมายถงึ ผลติ ภณั ฑช์ าเขยี วทผ่ี ลติ จากชากลมุ่ ชาเขียวเป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก พันธุ์จีนสายพันธุ์อู่หลงเบอร์ ๑๒ แม้ว่าชาเขียว ชาเขียวของไทยนิยมผลิตจากกลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม อสั สมั และชาเขยี วอหู่ ลงจะเปน็ ชาเขยี วเหมอื นกนั และกลมุ่ พนั ธช์ุ าจนี จากพนั ธอ์ุ หู่ ลงเบอร์ ๑๒ แตก่ ลน่ิ และรสของนำ้� ชาเขยี วทงั้ ๒ ชนดิ จะแตก ตา่ งกันอยา่ งชัดเจน กรรมวิธีการผลติ เร่มิ จากการเก็บใบชาสด ๑ ยอดตูมและใบชาทบี่ านแลว้ ๒-๓ ใบ จากนน้ั ๗.๒ ชาอหู่ ลง (Oolong tea) ล�ำเลียงใบชาเข้าโรงงาน อาจผึ่งก่อนในกรณีท่ี ใบชามคี วามชนื้ สงู แลว้ นำ� ไปควั่ ดว้ ยเครอ่ื งคว่ั เพอ่ื ชาอหู่ ลงเปน็ ชาทผ่ี า่ นกระบวนการหมกั บาง หยดุ การทำ� งานของเอนไซมพ์ อลฟิ นี อลออกซเิ ดส สว่ น หรอื เรยี กวา่ ชากง่ึ หมกั การผลติ ชาอหู่ ลง โดยคั่วท่ีอุณหภูมิประมาณ ๒๕๐-๓๐๐ องศา ของไทยนิยมผลิตจากชากลุ่มพันธุ์จีน เช่น พันธุ์ เซลเซยี ส เปน็ เวลาประมาณ ๓-๕ นาที และนำ� ไป อหู่ ลงเบอร์ ๑๒ และอหู่ ลงเบอร์ ๑๗ (อหู่ ลงกา้ น นวดให้เปน็ เสน้ ดว้ ยเครอื่ งนวด การนวดเปน็ การ ออ่ น) ทำ� ใหเ้ ซลลแ์ ตก ซง่ึ จะทำ� ใหส้ ารประกอบตา่ ง ๆ ท่ี ชาเขียว ชาอหู่ ลง

24 กรรมวธิ กี ารผลติ เรม่ิ จากการเกบ็ ยอดชาสด กรรมวิธีการผลิต เร่ิมจากการเก็บยอดชา ๑ ยอดตมู และ ๒-๓ ใบบาน จากนนั้ จะลำ� เลยี งใบ สด ๑ ยอดและใบท่บี าน ๒-๓ ใบ จากน้นั ลำ� เลยี ง ชาเขา้ โรงงานเพอื่ ผงึ่ กลางแจง้ ใหใ้ บชาเกดิ การคาย ยอดชาเขา้ โรงงานเพอื่ ผง่ึ กลางแจง้ ผงึ่ ในรม่ หรอื นำ�้ ทำ� ใหล้ ดปรมิ าณนำ้� ในใบสดเลก็ นอ้ ย ขน้ั ตอน ผงึ่ ดว้ ยลมรอ้ น แลว้ แตก่ รรมวธิ กี ารผลติ ของแตล่ ะ ต่อไปน�ำใบชาไปผึ่งในร่ม คือในห้องที่ควบคุม โรงงาน การผง่ึ เปน็ การทำ� ใหใ้ บชาเกดิ การคายนำ้� อณุ หภมู แิ ละความชนื้ สมั พทั ธ์ ในระหวา่ งน้ียอดชา หลงั จากนน้ั อาจนวดยอดชาใหเ้ ปน็ เกลยี วหรอื บด จะถูกเขย่ากระตุ้นให้ช�้ำ ท�ำให้เกิดการหมักบาง ใหเ้ ปน็ ผง ขน้ั ตอนตอ่ ไปจงึ เปน็ การหมกั เปน็ การ สว่ น ภายหลงั การผง่ึ ในรม่ จะนำ� ไปคว่ั ดว้ ยเครอื่ ง ปลอ่ ยใหเ้ อนไซมพ์ อลฟิ นี อลออกซเิ ดสเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ควั่ ตามดว้ ยนวดใหเ้ ปน็ เสน้ หรอื ขนึ้ รปู ใหเ้ ปน็ เมด็ ออกซิเดชันของพอลิฟีนอล (polyphenol) อย่าง แลว้ แตโ่ รงงานผลติ แตล่ ะแหง่ และนำ� ไปอบแหง้ สมบรู ณ์ และรวมตวั กนั เปน็ สารประกอบใหมท่ ่ี ตามดว้ ยการคดั คณุ ภาพ และบรรจุ ผลติ ภณั ฑช์ า มสี เี ขม้ ขนึ้ กวา่ ชาอหู่ ลงและชาเขยี ว จากนนั้ ทำ� ให้ อู่หลงของไทยจะมีลักษณะเป็นเส้น หรือเม็ดสี แหง้ โดยใชเ้ ตาอบ ในโรงงานผลติ บางแหง่ อาจนำ� เขียวเขม้ อมนำ้� ตาล เมอ่ื ชงชาอหู่ ลง สขี องนำ้� ชาจะ ไปตากแดดรว่ มดว้ ย ตามดว้ ยการคดั คณุ ภาพ และ มสี เี หลอื งออ่ น ๆ สเี ขยี วอมเหลอื ง หรอื สเี หลอื ง บรรจุ เม่ือชงชาดำ� สขี องนำ้� ชาจะมสี นี ำ้� ตาลแดง ทอง ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั ระดบั การหมกั ของโรงงานผลติ แตล่ ะแหง่ ชาอหู่ ลงของไทยทผี่ ลติ ทางการคา้ จะ ๗.๔ ชาผงปรงุ แตง่ เรยี กชอื่ ตามสายพนั ธ์ชุ า เชน่ ชาอู่หลงเบอร์ ๑๒ ชาอ่หู ลงกา้ นอ่อน (ชาอ่หู ลงเบอร์ ๑๗) ชาปรุงแต่งเป็นชาด้ังเดิมที่ผลิตในไทยมา นานกวา่ ๔๐-๕๐ ปี ชาผงปรงุ แตง่ สว่ นใหญผ่ ลติ ๗.๓ ชาดำ� (Black tea) จากชากลุ่มพันธุ์อัสสัมใบแก่ เป็นชาอัสสัมแห้ง ปน่ ทม่ี กี ารเตมิ สแี ละแตง่ กลน่ิ ลงไปเพอื่ ใหม้ สี แี ละ ชาด�ำเป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่าง กลน่ิ ทน่ี า่ ดมื่ มากยง่ิ ขนึ้ การดม่ื ชาประเภทนจี้ ะตอ้ ง สมบรู ณ์ นำ� มาชงกบั นำ�้ รอ้ น พรอ้ มทงั้ ผสมนมและนำ้� ตาล จงึ จะบรโิ ภคได้ ปจั จบุ นั ชาผงปรงุ แตง่ ทางการคา้ ชาดำ� มี ๒ ชนดิ คอื ชาไทย (ชาสสี ม้ หรอื ชาชกั ) และชา เขยี วนม (ชาสเี ขยี ว) โดยชาไทยและชาเขยี วนมมี การผลติ คดิ เปน็ รอ้ ยละ๗๐และรอ้ ยละ๓๐ของชา ผงปรงุ แตง่ ทัง้ หมด ตามลำ� ดับ กรรมวธิ กี ารผลติ ชาไทย(ชาสสี ม้ หรอื ชาชกั ) เรมิ่ จากการเกบ็ ใบชาอสั สมั สดใบแก่ โดยจะใชใ้ บ ชาตงั้ แตใ่ บที่ ๓-๕ นบั จากยอดลงมา (ไมเ่ กบ็ ยอด) ลำ� เลยี งเขา้ โรงงานและนำ� ไปตากแหง้ ขน้ั ตอนตอ่ ไปคอื การนวด การตดั การบดขยเ้ี พอื่ ใหม้ ขี นาด

เลก็ ลง แลว้ นำ� ไปตปี น่ ใหเ้ ปน็ ผงละเอยี ด จากนน้ั 25 นำ� ไปหมกั ดว้ ยแปง้ ขา้ วเจา้ หรอื แปง้ ขา้ วเหนยี วแลว้ แตโ่ รงงานผลติ แตล่ ะแหง่ พรอ้ มทง้ั พรมนำ้� ใหม้ ี เชยี งใหม่ นา่ น ลำ� ปาง แพร่ เชยี งราย และแมฮ่ อ่ งสอน ความชน้ื และหมกั ทง้ิ ไวป้ ระมาณ ๑ คนื ตามดว้ ย ผลติ ภณั ฑเ์ มย่ี งมรี สชาตฝิ าดถงึ เปรย้ี ว นยิ ม การควั่ ชา ปรงุ แตง่ ดว้ ยสสี ม้ และกลนิ่ วานลิ ลา ก็ จะไดช้ าไทยทเี่ มอื่ ชงแลว้ จะมสี สี ม้ ออกนำ้� ตาล รบั ประทานยามวา่ งหรอื ในขณะทำ� งานเพอ่ื ความ กระชุ่มกระชวย ลดอาการง่วงนอน วิธีการ กรรมวิธีการผลิตชาเขียวนม เร่ิมจากการ บรโิ ภคเมย่ี งขน้ึ อยกู่ บั วฒั นธรรมการบรโิ ภคในแตล่ ะ เกบ็ ยอดใบชาอสั สมั สดจนถงึ ใบท่ี ๔ ลำ� เลยี งเขา้ ทอ้ งถนิ่ อาจเพมิ่ รสชาตโิ ดยการเตมิ เกลอื นำ�้ ตาล โรงงาน และน�ำมาผึ่ง จากนัน้ ค่วั ชา นำ� ไปนวด หรือขิง บางท้องถ่ินใส่มะพร้าวค่ัว นอกจากน้ี และอบแหง้ จะได้ชาเขยี วอัสสัมที่มีลักษณะเปน็ เมย่ี งยงั เกยี่ วขอ้ งกบั ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละ เสน้ จากนน้ั นำ� ไปปน่ ใหเ้ ปน็ ผงละเอยี ด ตามดว้ ย ความเชอ่ื ทห่ี ลากหลายของคนในบางทอ้ งถน่ิ คอื การปรงุ แตง่ ดว้ ยสเี ขยี วและกลนิ่ จะไดช้ าเขยี วนม มักใช้เม่ียงเป็นส่วนประกอบในการบวงสรวง ซึ่งเม่อื ชงแล้วจะมสี เี ขยี วสด การจัดเลย้ี งรับรอง ตลอดจนพิธกี รรมตา่ ง ๆ ใน ท้องถน่ิ ทางภาคเหนือของไทย ๗.๕ เมย่ี ง กรรมวิธีการผลิตเมี่ยง เร่ิมจากการเก็บใบ เมี่ยงเป็นช่ือท่ีคนทางภาคเหนือใช้เรียกชา เมยี่ งสดมดั เปน็ กำ� แลว้ ใชต้ อกมดั รวมกนั นำ� มานง่ึ กลมุ่ พนั ธอ์ุ สั สมั มาตง้ั แตใ่ นอดตี นอกจากน้ี เมยี่ ง ประมาณ๑-๓ชวั่ โมง(แลว้ แตป่ รมิ าณใบเมยี่ งและ ยงั หมายถงึ ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดจ้ ากการนำ� ใบชาอสั สมั การนง่ึ ของแตล่ ะแหง่ ) จากนน้ั ใชม้ ดั รวบเปน็ กอ้ น มาผา่ นกระบวนการนง่ึ และมดั เปน็ กอ้ น กอ่ นจะนำ� อีกครงั้ เม่ียงทไ่ี ด้น้ีเรียกว่า “เม่ียงน่งึ ” เม่ียงนง่ึ มี ไปหมกั ในถงั เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลติ ภณั ฑท์ ม่ี ลี กั ษณะคลา้ ย กบั การดองใบชาพบวา่ มกี ารผลติ และบรโิ ภคเมยี่ ง ในเขตจงั หวดั ทางภาคเหนอื ของประเทศไทยไดแ้ ก่ ใบเมย่ี งสดมดั เปน็ กำ� การนง่ึ ใบเมยี่ ง

26 รสฝาด อาจมกี ารนำ� เมยี่ งนงึ่ ไปหมกั ในสภาวะไร้ ออกซเิ จนเปน็ เวลาประมาณ ๑ ปี ไดผ้ ลติ ภณั ฑท์ ี่ เมยี่ งทผ่ี า่ นการนง่ึ (เมยี่ งนง่ึ ) เรยี กวา่ “เมย่ี งหมกั ” ซง่ึ มรี สเปรย้ี ว การหมกั เมย่ี ง เมยี่ งทหี่ มกั แลว้ (เมยี่ งหมกั ) ๑๑. บทสรุป ชาเปน็ เครอ่ื งดม่ื ทน่ี ยิ มดมื่ กนั อยา่ งแพรห่ ลาย ไปทั่วโลก ในอนาคตมีแนวโนม้ ว่าจะมีผบู้ ริโภค ชาเพม่ิ ขน้ึ นอกจากกลน่ิ และรสชาตขิ องชาทท่ี ำ� ให้ ได้รับความนิยมแล้ว ชายังมีสารพอลิฟีนอลที่มี ประโยชนต์ ่อสขุ ภาพ ปจั จุบันมรี ายงานวิจัยทช่ี ้ี ใหเ้ หน็ ถงึ ประโยชนข์ องสารพอลฟิ นี อลตอ่ สขุ ภาพ ของผู้ด่ืมชาหลายอย่าง เช่น ช่วยลดความเส่ียง ในการเกิดมะเร็ง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค หวั ใจและหลอดเลือด ชว่ ยควบคุมระดับนำ�้ ตาล ในเลือดในผ้ปู ่วยโรคเบาหวาน ช่วยลดไขมนั ใน เสน้ เลอื ด ชว่ ยปอ้ งกนั แบคทเี รยี ในชอ่ งปากทเ่ี ปน็ ต้นเหตขุ องฟนั ผุ อย่างไรก็ตาม สารพอลิฟนี อล แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็มี ผลยบั ยง้ั การดดู ซมึ ธาตเุ หลก็ ในรา่ งกาย นอกจาก น้ี ชายังมีสารคาเฟอีนที่ออกฤทธ์ิกระตุ้นระบบ ประสาท ซง่ึ อาจสง่ ผลตอ่ ผทู้ แี่ พห้ รอื ไวตอ่ คาเฟอนี ได้ ดังนัน้ ผู้บรโิ ภคชาจงึ ควรบรโิ ภคในปริมาณ ที่เหมาะสม ดเู พม่ิ เตมิ การจดั การภายหลงั การเกบ็ เกย่ี วผกั และ ผลไม้ เลม่ ๒๖

27 บรรณานกุ รม ธรี พงษ์ เทพกรณ.์ “การศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงชนดิ และปรมิ าณสารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ (โพลฟิ นี อล) ใน ระหวา่ งกระบวนการผลติ ชาเขยี วและชาอหู่ ลงของจงั หวดั เชยี งราย.” รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง, ๒๕๕๐. . การสำ� รวจขอ้ มลู โดยตรงจากโรงงานผลติ และสมั ภาษณผ์ ปู้ ระกอบการ, ๒๕๕๓. ประวตั กิ ารปลกู ชาในประเทศไทย.[ออนไลน]์ .แหลง่ ทม่ี า:http://www.icontea.com/article-๔๒.html[๑๑ พ.ค. ๕๓] ประวตั ชิ า. [ออนไลน]์ . แหลง่ ทมี่ า : http://www.refresherthai.com/Article/teaHistory.php [๑๑ พ.ค. ๕๓] ศุภนารถ เกตุเจรญิ . ชา นานาสาระนา่ รู้. กรงุ เทพฯ : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ,์ ม.ป.ป. Hara, Y. Green Tea: Health Benefits and Application, Marcel Dekker, 2001. History of Tea. [Online]. Available from: http://www.stashtea.com/from+2737+b_c_+through+ today.aspx [2010, May 15] Market Analysis and Research, International Trade Centre (ITC). [Online]. Available from: http:// www.trademap.org/Index.aspx [2010, September 28] The History of Tea. [Online]. Available from: http://www.askandyaboutclothes.com/Lifestyle/Histo- ry%20of%20Tea.htm [2010, May 15]

2

ฉ10: 16, 12,11 / 4 พ.ค. /14 มี.ค. / 21 / 20 / 12 ม.ค. / 14 ต.ค. / 2 ก.ย. 583 วสั ดทุ ากงบัวศิกาวรกกรฬีรมาศ2:รอเด่ยี ว(14ม.ีค.-2พ.ค.)19ธ.ค.3พ.ย.58 ศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบตั ิสมภพ และ รองศาสตราจารย์ ดร.เชาวลิต ลม้ิ มณวี ิจิต ผ้เู ขยี น สว่ นเด็กเลก็ รองศาสตราจารย์อัจฉรา ปรีชาวฒุ ิ ผูเ้ รยี บเรยี ง ในชวี ติ ประจำ� วนั กจิ กรรมอยา่ งหนง่ึ ของเดก็ คอื การเลน่ ซง่ึ นอกจาก จะท�ำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยในการเจริญเติบโตทั้ง ทางรา่ งกายและสมอง เรมิ่ จากเดก็ เลก็ จะเลน่ กบั พอ่ แม่ และคนใกลช้ ดิ เชน่ เล่นตบมือ วิ่งไลจ่ บั โตขึ้นเมื่อไปโรงเรียน กจ็ ะเล่นกับเพ่ือน โดยมีครูคอย ดแู ล การเลน่ บางอย่างมเี พ่อื นเล่นหลายคน และมกี ตกิ าในการเล่น การเลน่ ทม่ี ีกติกา เรียกว่า กฬี า การเลน่ กฬี าเปน็ การออกกำ� ลงั ทำ� ใหส้ ขุ ภาพสมบรู ณแ์ ขง็ แรง ถอื เปน็ ยาวเิ ศษ สามารถปอ้ งกนั และรกั ษาโรคบางชนดิ ได้ จงึ มกี ารสง่ เสรมิ ใหท้ กุ คน ไดเ้ ลน่ กฬี าซงึ่ มหี ลายประเภท อาจเลน่ คนเดยี ว เชน่ การเดนิ การวง่ิ หรอื เล่นเป็นทมี เช่น ฟตุ บอล วอลเลย์บอล เล่นโดยใช้อปุ กรณ์ เช่น แบดมนิ ตัน เทนนิส

4 การแขง่ ขันกฬี าของเด็กหรอื เยาวชนตอ้ งใช้อปุ กรณท์ ี่เหมาะสม เพอื่ ไม่ใหเ้ กิดการบาดเจบ็ และเปน็ อนั ตรายตอ่ เดก็ กีฬานอกจากมีผลดตี อ่ สขุ ภาพแล้ว กีฬาหลายชนิดมีการแขง่ ขันกัน ด้วย ผู้เล่นกีฬาเก่งได้รับรางวัลจะเป็นผู้มีชื่อเสียงเทียบเท่าดารานักแสดง สามารถเล่นกีฬาเป็นอาชีพ ท�ำให้มีรายได้ดี ผู้เล่นจึงต้องหมั่นฝึกซ้อมและ เรียนรู้วิธีการเล่นให้ได้ผลดี รวมท้ังต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อ ให้การเล่นกีฬานั้น ๆ ไดผ้ ลดจี นไดร้ บั ชยั ชนะ การศกึ ษาคน้ ควา้ ทางวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื ใชว้ สั ดใุ หเ้ หมาะสมกบั การผลติ อปุ กรณก์ ฬี าแต่ละประเภท ปัจจุบนั มีการพฒั นากา้ วหนา้ อยา่ งมาก ท�ำให้ได้ อปุ กรณก์ ฬี าทม่ี คี ณุ ภาพสงู เชน่ มหี นงั เทยี มทใี่ ชผ้ ลติ ลกู ฟตุ บอล มพี ลาสตกิ ผิวนมุ่ ท่ีท�ำลกู ตะกรอ้ นับเป็นการพัฒนาการกฬี าและเพ่ิมประสทิ ธภิ าพของ นักกฬี าดว้ ย

5 สว่ นเดก็ กลาง รองศาสตราจารย์อจั ฉรา ปรีชาวฒุ ิ ผเู้ รยี บเรยี ง เปน็ ทท่ี ราบกนั โดยทว่ั ไปวา่ การเลน่ กฬี าเปน็ การออกกำ� ลงั ทม่ี กี ฎกตกิ า นอกจาก ท�ำให้เพลิดเพลนิ และมีผลดตี อ่ สขุ ภาพแลว้ กีฬาบางชนิดยังมุง่ ไปทกี่ ารแข่งขนั จึงเปน็ การ ผลักดันให้มีการพัฒนา การพัฒนากีฬานอกจากพัฒนาด้านทักษะและความสามารถของ นกั กฬี าแลว้ ยงั ตอ้ งพฒั นาอปุ กรณก์ ฬี าควบคไู่ ปดว้ ย สง่ ผลใหม้ คี วามกา้ วหนา้ ของวสั ดทุ ใี่ ช้ ผลติ อุปกรณก์ ฬี าตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้การเล่นกีฬาน้นั ๆ มปี ระสทิ ธิภาพและความปลอดภยั สูง วสั ดทุ างวศิ วกรรม แบ่งเปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ ๆ ได้แก่ ๑. กลุม่ โลหะ เชน่ เหลก็ ทองแดง อะลมู ิเนียม โลหะเป็นตวั นำ� ความร้อน และ ตวั น�ำไฟฟ้าทีด่ ี มีความแขง็ แรง ๒. กลุ่มพอลเิ มอร์ เปน็ ตวั น�ำไฟฟ้าที่ไม่ดี บางชนดิ เป็นฉนวน มีความหนาแน่น ต�ำ่ มจี ดุ อ่อนตัวและการสลายตวั ค่อนข้างต่ำ� เช่น พลาสตกิ โฟม ยาง อะลูมเิ นยี ม ยาง โฟม พลาสติก

6 ๓. กลุ่มเซรามิก ด้ังเดิมหมายถงึ สิ่งท่ีถกู เผาซึ่งทำ� มาจากวัสดุหลักคือดนิ เหนียว ปจั จบุ นั พฒั นารวมไปถงึ วตั ถดุ บิ ทไี่ มม่ คี วามเหนยี วดว้ ย สว่ นใหญม่ คี วามแขง็ แรงสงู แตม่ กั จะแขง็ เปราะ ขอ้ ไดเ้ ปรยี บคือ มีน้�ำหนกั เบา ทนต่อความรอ้ นและการขัดสไี ด้ดี รวมทง้ั เปน็ ฉนวน จึงนำ� มาใช้เปน็ วัสดุทนไฟ ผลิตเปน็ ผลติ ภณั ฑไ์ ด้หลากหลาย เช่น อิฐ กระเบอื้ ง เคลอื บ เครื่องครัว เครอ่ื งสขุ ภณั ฑ์ ของเด็กเลน่ อปุ กรณก์ ฬี าตา่ ง ๆ เซรามิก อิฐ ๔. กลุ่มวัสดุผสม มีองค์ประกอบของวัสดุมากกว่า ๑ กลุ่ม โดยน�ำสมบัติของ แต่ละกลุม่ มาศึกษารวมกันใหไ้ ดว้ ัสดุที่ดที ี่สุดตามความตอ้ งการของผลิตภัณฑแ์ ตล่ ะชนิด การเลอื กวสั ดเุ พอื่ นำ� มาใชผ้ ลติ อปุ กรณก์ ฬี าตอ้ งพจิ ารณาถงึ สมบตั ทิ งั้ ทางเคมแี ละ ทางฟสิ ิกส์ ทางด้านเคมเี ป็นสมบัติของโครงสร้างและองคป์ ระกอบของธาตุต่าง ๆ ไดจ้ าก การทดลองทางห้องปฏิบตั ิการ สว่ นทางด้านฟิสกิ สไ์ ด้จากรปู ทรงภายนอก เช่น ขนาด สี ผิว ความแข็ง ออ่ น ความหนาแนน่ ความคงทนต่อแรงกระแทก ความทนทานตอ่ อณุ หภมู ิ ทเี่ ปลย่ี นแปลง การหลอมเหลว การเปล่ียนแปลงทเ่ี ก่ียวกับสนามแม่เหลก็ และสนามไฟฟา้ นอกจากนีย้ งั ตอ้ งค�ำนงึ ถึงวธิ กี ารผลิตและค่าใชจ้ า่ ยทีพ่ อเหมาะดว้ ย วัสดุทางวิศวกรรมที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์กีฬาแต่ละประเภท ย่อมแตกต่างไป ตามการใชง้ าน มกี ารพฒั นามาตามลำ� ดบั ขนั้ ตอน ซง่ึ จะเหน็ ความกา้ วหนา้ ไดจ้ ากประวตั กิ าร ผลติ อุปกรณ์กฬี าประเภทต่าง ๆ เช่น กีฬาตะกรอ้ มอี ุปกรณค์ อื ลูกตะกรอ้ เร่ิมตน้ จากการ ใชผ้ า้ ถกั ทอ แลว้ พฒั นาเปน็ หนงั สตั ว์ หวาย และพลาสตกิ จนเปน็ พลาสตกิ ผวิ นมุ่ ในปจั จบุ นั ซงึ่ จะชว่ ยลดการบาดเจบ็ ของผเู้ ลน่ ได้ กฬี าวา่ ยนำ้� จำ� เปน็ ตอ้ งมอี ปุ กรณเ์ พอื่ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ เช่น หมวก แว่นตา ที่สำ� คญั คือ ชุดว่ายน�ำ้ ตอ้ งให้มีแรงเสียดทานกับนำ้� น้อยท่ีสุด ซง่ึ ข้ึน อยกู่ บั วสั ดแุ ละการออกแบบ อนั จะทำ� ใหน้ กั กฬี าสามารถว่ายน�ำ้ ไดเ้ ร็วขน้ึ กฬี าเทนนสิ เป็น

7 การแข่งขนั กีฬาว่ายนำ้� อุปกรณท์ ส่ี ำ� คัญ คอื ชุดวา่ ยน�้ำ การแขง่ ขนั จักรยานทางไกล ตอ้ งใชจ้ ักรยานทีแ่ ข็งแรง คงทน นำ้� หนกั เบา ทน่ี ยิ มมาก นอกจากการฝกึ ซอ้ มแลว้ ทสี่ ำ� คญั คอื ไมเ้ ทนนสิ ตอ้ งพฒั นาทง้ั ดา้ นวสั ดแุ ละการ ออกแบบใหส้ ามารถตลี กู ไดแ้ รงและเรว็ ขนึ้ ในขณะทอี่ อกแรงตนี อ้ ยลง สำ� หรบั กฬี าจกั รยาน อุปกรณส์ �ำคญั คอื จกั รยาน วัสดุที่ใช้ตอ้ งมีความแข็งแรง คงทน น�ำ้ หนกั เบา เพอ่ื จะได้ เคลื่อนท่ีไปได้เรว็ โดยไม่เกิดความเสยี หายต่อตัวจักรยาน เหลา่ นเ้ี ปน็ ตวั อยา่ งของกฬี าทไี่ ดร้ บั การพฒั นา รวมถงึ กฬี าอน่ื ๆ ทกุ ประเภทลว้ นไดร้ บั การพฒั นาขน้ึ จากความกา้ วหนา้ ของวสั ดทุ างวศิ วกรรมกบั การกฬี าทง้ั สน้ิ

8 ส่วนเด็กโต ศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ฤทธ์ิ สมบัติสมภพ และ รองศาสตราจารย์ ดร.เชาวลติ ลม้ิ มณวี จิ ติ ร ผู้เขยี น ๑. บทน�ำ ของนกั กฬี า และยงั ทำ� ใหน้ กั กฬี ามคี วามปลอดภยั มากขนึ้ ไมว่ า่ จะเปน็ นกั เทนนสิ ทเ่ี สริ ฟ์ ลกู ไดอ้ ยา่ ง โลกของการกฬี าในปจั จบุ นั มกี ารพฒั นาขนึ้ รนุ แรงและแมน่ ยำ� นกั กฬี าวา่ ยนำ้� ทใี่ สช่ ดุ วา่ ยนำ�้ ท่ี อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จะเหน็ ไดจ้ ากการทำ� ลายสถติ ขิ อง ออกแบบมาเปน็ พเิ ศษโดยมกี ารเลยี นแบบจากผวิ นกั กฬี าในหลายประเภทกฬี า แมต้ วั นกั กฬี าสมคั ร ของปลาฉลามเพอ่ื ใหส้ ามารถวา่ ยนำ้� ไดเ้ รว็ ขน้ึ หรอื เลน่ เองกต็ อ้ งพฒั นาความสามารถใหอ้ ยใู่ นระดบั ที่ จกั รยานสมยั ใหมท่ มี่ นี ำ้� หนกั เบาและลลู่ ม รวมทงั้ สงู ขนึ้ และใหก้ ารเลน่ กฬี านน้ั เปน็ ไปอยา่ งปลอดภยั วธิ กี ารตา่ ง ๆ เพอื่ ทำ� ลายสถติ เิ ดมิ ของนกั กฬี า สง่ิ การเลน่ กฬี าใหป้ ระโยชนต์ อ่ ผเู้ ลน่ ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ เหลา่ นลี้ ว้ นไดร้ บั ผลมาจากพฒั นาการของอปุ กรณ์ ทำ� ใหส้ ขุ ภาพแขง็ แรง เปน็ การสรา้ งความบนั เทงิ ให้ กฬี าอยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ ดงั นน้ั การพฒั นาอปุ กรณ์ แกผ่ เู้ ลน่ การพฒั นาทกั ษะและความสามารถดา้ น กฬี าจงึ มบี ทบาทสำ� คญั ในการพฒั นาการกฬี า การกฬี าใหอ้ ยใู่ นระดบั ทสี่ งู ขน้ึ นอกจากตอ้ งการ การฝกึ ฝนทด่ี แี ลว้ อปุ กรณก์ ฬี าทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพยงั แนวทางการพฒั นาอปุ กรณก์ ฬี าเกยี่ วขอ้ งกบั ชว่ ยใหเ้ กดิ การพฒั นาทรี่ วดเรว็ ชว่ ยเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ การออกแบบรปู ทรงของอปุ กรณ์ และการพฒั นา

9 วสั ดทุ ส่ี ามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการปจั จบุ นั แขง็ แรงสงู แตโ่ ลหะมคี วามถว่ งจำ� เพาะทสี่ งู เชน่ การพฒั นาวสั ดทุ างวศิ วกรรมทงั้ ๔ กลมุ่ คอื กลมุ่ เหลก็ เมอื่ นำ� มาผลติ เปน็ ชนิ้ สว่ นของอปุ กรณก์ ฬี า โลหะ พอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม มคี วาม จะมนี ำ้� หนกั มากกวา่ นอกจากนี้ หากเปรยี บเทยี บ สำ� คญั ตอ่ การกฬี ามากกวา่ การออกแบบรปู ลกั ษณ์ เซรามกิ กบั โลหะ พบวา่ เซรามกิ มคี วามแขง็ ทส่ี งู ท่ีสวยงามและทันสมัย เพื่อให้ได้อุปกรณ์ท่ีมี แต่เปราะ วัสดุแต่ละกลุ่มจึงมีท้ังข้อดีและข้อเสีย น้�ำหนักเบา ลดแรงกระแทก ลดแรงเสียดทาน ดงั นนั้ หากตอ้ งการเลอื กใชว้ สั ดทุ มี่ กี ารรวมจดุ เดน่ และเพมิ่ ความทนทาน ความกา้ วหนา้ ของวสั ดทุ าง หลายประการเขา้ ดว้ ยกนั อาจเลอื กใชว้ สั ดผุ สมท่ี วศิ วกรรมชว่ ยใหน้ กั กฬี าทง้ั ระดบั อาชพี และสมคั ร มอี งคป์ ระกอบของวสั ดมุ ากกวา่ หนงึ่ กลมุ่ อยา่ งไร เลน่ ไดม้ โี อกาสใชศ้ กั ยภาพทม่ี อี ยไู่ ดเ้ ตม็ ที่ และ กต็ าม วสั ดผุ สมยงั มตี น้ ทนุ การผลติ ทส่ี งู นอกจาก สามารถลดโอกาสการบาดเจ็บ ดังนั้น ธุรกิจท่ี นนั้ การเลอื กใชว้ สั ดคุ วรตอ้ งพจิ ารณาเลอื กประเภท เกย่ี วขอ้ งกบั อปุ กรณก์ ฬี าจงึ เตบิ โตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง มี ของวสั ดคุ วบคกู่ บั การออกแบบ และกระบวนการ นกั กฬี าอาชพี และสมคั รเลน่ จำ� นวนมากทใี่ หค้ วาม ผลติ ทเี่ หมาะสมดว้ ย สนใจและยอมเสียค่าใช้จ่ายที่สูงข้ึนเพื่อให้ได้ อปุ กรณก์ ฬี าทดี่ ที สี่ ดุ ๑. วสั ดกุ ลมุ่ โลหะ (Metallic materials) โลหะเปน็ สารอนนิ ทรยี ์(inorganicsubstance) ๒. วสั ดศุ าสตร์ (Material Science) ทปี่ ระกอบดว้ ยโลหะเพยี งชนดิ เดยี วหรอื หลายชนดิ ตวั อยา่ งโลหะ เชน่ เหลก็ ทองแดง อะลมู เิ นยี ม วสั ดศุ าสตรเ์ ปน็ ศาสตรเ์ กย่ี วกบั พนื้ ฐานของ นกิ เกลิ ไทเทเนยี ม โครงสรา้ งของวสั ดกุ ลมุ่ โลหะ วัสดุชนิดต่าง ๆ โดยศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง เปน็ ผลกึ ทมี่ อี ะตอมจดั เรยี งตวั กนั อยา่ งเปน็ ระเบยี บ และสมบตั ขิ องวสั ดดุ ว้ ยกระบวนการพน้ื ฐานทาง โดยทวั่ ไปโลหะเปน็ ตวั นำ� ความรอ้ นและนำ� ไฟฟา้ วทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ เมอื่ นำ� ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากวสั ดศุ าสตร์ ทด่ี ี โลหะบางชนดิ มคี วามแขง็ แรงทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ ง มาประยุกต์ใช้เพ่ือตอบสนองความต้องการของ แตบ่ างชนดิ ออ่ นนมุ่ ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ ง ในขณะทโ่ี ลหะ สงั คมโดยผา่ นกระบวนการผลติ สามารถเรยี กวสั ดุ อกี หลายชนดิ มคี วามแขง็ แรงดที อี่ ณุ หภมู สิ งู วสั ดุ ทเี่ กดิ ขน้ึ นว้ี า่ วสั ดทุ างวศิ วกรรม นิกเกลิ ๒.๑ ประเภทของวสั ดทุ างวศิ วกรรม วสั ดทุ างวศิ วกรรมสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ คอื กลมุ่ โลหะ พอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม โดยวสั ดแุ ตล่ ะประเภทมสี มบตั ทิ ี่ โดดเดน่ แตกตา่ งกนั เชน่ ความแขง็ แรง ความ หนาแนน่ ความเหนยี ว ความทนตอ่ แรงกระแทก การรบั แรงสนั่ สะเทอื น เมอื่ เปรยี บเทยี บโลหะกบั พอลเิ มอรเ์ หน็ ไดว้ า่ แมว้ า่ โลหะสว่ นใหญม่ คี วาม

10 โลหะโดยทว่ั ไปแบง่ เปน็ ๒ กลมุ่ คอื โลหะกลมุ่ การนำ� เซรามกิ หลายชนดิ มาเปน็ วสั ดทุ นไฟ และ เหลก็ (Ferrous metals and alloys) เชน่ เหลก็ กลา้ ยงั นำ� เซรามกิ มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานทางอวกาศ โดย เหลก็ กลา้ ไรส้ นมิ เหลก็ หลอ่ โลหะนอกกลมุ่ เหลก็ ใชบ้ ผุ นงั กระสวยอวกาศ เพอื่ ปอ้ งกนั ความรอ้ นไม่ (Nonferrous metals and alloys) เชน่ อะลมู เิ นยี ม ใหผ้ า่ นเขา้ ไปถงึ โครงสรา้ งภายในทเี่ ปน็ โลหะกลมุ่ ทองแดง สงั กะสี ไทเทเนยี ม นกิ เกลิ อะลูมิเนียม ในขณะที่กระสวยอวกาศถูกส่งออก และกลบั เขา้ สบู่ รรยากาศของโลก ๒. วสั ดกุ ลมุ่ พอลเิ มอร์ (Polymeric mate- rials) ๔. วสั ดผุ สม (Composite materials) วสั ดผุ สมมอี งคป์ ระกอบของวสั ดมุ ากกวา่ ๑ พอลเิมอรป์ ระกอบดว้ ยสารอนิ ทรยี ท์ ม่ี คี ารบ์ อน กลมุ่ มาผสมกนั สว่ นมากวสั ดผุ สมประกอบดว้ ย เปน็ องคป์ ระกอบ สว่ นโครงสรา้ งเปน็ แบบโมเลกลุ สารเตมิ แตง่ (additive) หรอื วสั ดปุ ระสานจำ� พวก สายโซย่ าวหรอื โครงรา่ งตาขา่ ย โดยวสั ดพุ อลเิ มอร์ เรซนิ เพอ่ื ใหไ้ ดว้ สั ดผุ สมทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะและมี สว่ นใหญม่ สี ว่ นประกอบดงั น้ี ก) โครงสรา้ งผลกึ สมบตั ติ ามตอ้ งการ วสั ดผุ สมสามารถจำ� แนกได้ (crystalline) ท่ีมีการจัดเรียงตัวของโครงสร้าง หลายประเภท เช่น วัสดุผสมท่ีเสริมแรงด้วย โมเลกลุ อยา่ งเปน็ ระเบยี บ ข) โครงสรา้ งอสณั ฐาน อนภุ าค (Particle-reinforced) วสั ดผุ สมทเี่ สรมิ แรง amorphous)มกี ารจดั เรยี งตวั ของโครงสรา้ งภายใน ดว้ ยเสน้ ใย(Fiber-reinforced) วสั ดเุ สรมิ แรงทนี่ ยิ ม ซงึ่ มแี บบสมุ่ ค) สว่ นของชอ่ งวา่ ง (free volume) ใชก้ นั มาก คอื วสั ดเุ สรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใยแกว้ และ ภายในโครงสรา้ ง สมบตั ดิ ้านความแขง็ แรงและ วสั ดเุ สรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใยคารบ์ อน เชน่ วสั ดเุ สรมิ ความเหนยี วของวสั ดพุ อลเิ มอรค์ อ่ นขา้ งหลากหลาย แรงระหวา่ งเสน้ ใยแกว้ กบั พอลโิ พรพลิ นี ทง้ั นี้เมอ่ื เนอ่ื งจากลกั ษณะโครงสรา้ งภายในจงึ สง่ ผลใหว้ สั ดุ มกี ารผสมเสน้ ใยแกว้ ลงในพอลโิ พรพลิ นี สง่ ผล พอลเิ มอรส์ ว่ นมากเปน็ ตวั นำ� ไฟฟา้ ทไ่ี มด่ ี บางชนดิ ใหใ้ หส้ มบตั ขิ องพอลโิ พรพลิ นี มคี วามเหนยี วและ เปน็ ฉนวนไฟฟา้ ทด่ี มี าก โดยทว่ั ไปวสั ดพุ อลเิ มอร์ แข็งแรงมากข้ึน และสามารถใช้เป็นวัสดุใน มคี วามหนาแนน่ ตำ�่ และมจี ดุ ออ่ นตวั หรอื อณุ หภมู ิ กระบวนการผลติ ชน้ิ สว่ นยานยนตไ์ ด้ การสลายตวั คอ่ นขา้ งตำ่� ในการเลือกประเภทของวัสดุเพื่อน�ำมาใช้ ผลติ อปุ กรณก์ ฬี า จำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาหลายปจั จยั ๓. วสั ดกุ ลมุ่ เซรามกิ (Ceramic materials) เชน่ กระบวนการผลติ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ตน้ ทนุ ทเี่ กดิ ขนึ้ เซรามิกประกอบด้วยสารอินทรีย์และสาร ทง้ั จากวสั ดแุ ละกระบวนการผลติ ดว้ ยเหตนุ ้ีจำ� เปน็ อนนิ ทรยี ์ ทมี่ ธี าตโุ ลหะและอโลหะรวมตวั กนั มี ตอ้ งออกแบบและใชเ้ ทคนคิ การผลติ ใหเ้ หมาะสม โครงสรา้ งทงั้ แบบผลกึ และไมม่ ผี ลกึ วสั ดเุ ซรามกิ สามารถแขง่ ขนั ในดา้ นของราคาได้ อกี ประเดน็ ที่ สว่ นใหญม่ คี วามแขง็ แรงสงู และสามารถคงความ มคี วามสำ� คญั เปน็ อยา่ งมากคอื ความพงึ พอใจใน แขง็ แรงไดด้ ที อ่ี ณุ หภมู สิ งู แตม่ กั แขง็ เปราะ ปจั จบุ นั การออกแบบ ทสี่ ามารถสรา้ งความประทบั ใจและ มกี ารพฒั นานำ� วสั ดเุ ซรามกิ มาใชใ้ นอตุ สาหกรรม สรา้ งความเชอื่ มน่ั ใหแ้ กผ่ ใู้ ชอ้ ปุ กรณไ์ ดด้ ี ทงั้ ทใี่ ช้ ทหี่ ลากหลาย เพราะมขี อ้ ไดเ้ ปรยี บ คอื มนี ำ้� หนกั เพอ่ื การแขง่ ขนั หรอื เพอื่ ประโยชนอ์ นื่ ๆ เบา มคี วามแขง็ แรงสงู ทนตอ่ ความรอ้ น ทนตอ่ การขดั สไี ดด้ ี และมสี มบตั เิ ปน็ ฉนวน สง่ ผลใหม้ ี

11 ๒.๒ สมบตั แิ ละการเลอื กใชว้ สั ดุ บางประเภทมคี า่ ความแขง็ แกรง่ และความหนาแนน่ ต่�ำ ซึ่งหากเปรียบเทียบชนิดของวัสดุ สามารถ การเลอื กใชว้ สั ดใุ หเ้ หมาะสมกบั การใชง้ าน พจิ ารณาไดว้ า่ เซรามกิ และโลหะมคี า่ ความแกรง่ จำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาสมบตั ิ ดงั ตอ่ ไปน้ี และความหนาแน่นสูง ในขณะท่ีพอลิเมอร์มีค่า ความแกรง่ ทไี่ มส่ งู มากแตม่ นี ำ�้ หนกั เบา ถา้ ใหแ้ รง ๑. สมบตั ทิ างเคมี (Chemical properties) เทา่ กนั กระทำ� บนวสั ดพุ อลเิ มอรแ์ ละเหลก็ พบวา่ เปน็ สมบตั ขิ องวสั ดทุ บี่ อกถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั เหลก็ เกดิ การเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งไดน้ อ้ ยกวา่ พอลิ เกย่ี วกบั โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของธาตตุ า่ ง ๆ เมอร์ ดงั นน้ั หากวสั ดทุ ใี่ ชใ้ นการผลติ อปุ กรณก์ ฬี า โดยปกติสมบัติทางเคมีสามารถทราบได้จากการ ตอ้ งการความแกรง่ สงู และมนี ำ้� หนกั เบาจำ� เปน็ ตอ้ ง ทดลองในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร พจิ ารณาโดยนำ� คา่ ความแกรง่ หารดว้ ยคา่ ความหนา ๒. สมบตั ทิ างฟสิ กิ ส์ (Physical properties) แนน่ หากอตั ราสว่ นทไ่ี ดด้ งั กลา่ วมคี า่ สงู แสดงวา่ เปน็ สมบตั เิ ฉพาะของวสั ดุ เชน่ ลกั ษณะของ วัสดุชนิดน้ันมีความเหมาะสมและตรงตามความ สี ความหนาแนน่ การหลอมเหลว ปรากฏการณ์ ตอ้ งการมากทส่ี ดุ ดงั นน้ั ปจั จบุ นั วสั ดเุ ชงิ ประกอบ ทเี่ กดิ เกย่ี วกบั สนามแมเ่ หลก็ หรอื สนามไฟฟา้ ซ่ึงสามารถปรับเปลี่ยนความแข็งแกร่งและความ ๓. สมบตั เิ ชงิ กล (Mechanical properties) หนาแนน่ ของวสั ดไุ ดห้ ลากหลาย จงึ เหมาะสมทจี่ ะ เป็นสมบัติเฉพาะของวัสดุแสดงถึงความ ใชพ้ จิ ารณาในการนำ� มาผลติ เปน็ อปุ กรณก์ ฬี า คงทนและทนทานตอ่ การถกู กระทำ� ดว้ ยแรงความ แขง็ ของวสั ดุ และความสามารถในการรบั นำ้� หนกั ๓. การใชเ้ ทคโนโลยดี า้ นวสั ดสุ ำ� หรบั ๔. สมบตั เิ ชงิ มติ ิ (Dimensional properties) กฬี า เปน็ สมบตั สิ ำ� คญั ทต่ี อ้ งพจิ ารณาในการเลอื ก ใชว้ สั ดุ เชน่ ขนาด รปู รา่ ง ความคงทน ตลอดจน การนำ� เทคโนโลยดี า้ นวสั ดมุ าใชใ้ นการผลติ ลกั ษณะของผวิ วา่ หยาบ ละเอยี ด หรอื เรยี บ ซง่ึ อปุ กรณก์ ฬี า เพอื่ ใหก้ ารเลน่ กฬี ามปี ระสทิ ธภิ าพ สมบัติเหล่าน้ีอาจไม่มีก�ำหนดไว้ในหนังสือคู่มือ และความปลอดภยั สงู จำ� เปน็ ตอ้ งออกแบบและ หรอื ในมาตรฐานการผลติ แตเ่ ปน็ ปจั จยั หนงึ่ ทใ่ี ช้ ใชเ้ ทคนคิ การผลติ ใหเ้ หมาะสม โดยขอยกกฬี าบาง เปน็ ขอ้ มลู ในการตดั สนิ ใจเลอื กใชว้ สั ดนุ นั้ ๆ ประเภทเปน็ กรณศี กึ ษา ดงั น้ี ๕.สมบตั ทิ างความรอ้ น(Thermalproperties) เปน็ สมบตั ทิ แ่ี สดงถงึ ความสามารถของวสั ดุ ๑. กฬี าตะกรอ้ ที่จะคงสภาพและสมบัติเดิมไว้แม้อุณหภูมิมีการ เปลย่ี นแปลง ในปัจจุบันวงการกีฬาตะกร้อจ�ำเป็นต้องมี สมบตั เิ หลา่ นจ้ี ำ� เปน็ ตอ่ การเลอื กประเภทของ การพฒั นาศกั ยภาพของนกั กฬี าและอปุ กรณก์ ฬี าไป วัสดุที่จะน�ำมาใช้ผลิตอุปกรณ์กีฬา เมื่อพิจารณา พรอ้ มๆกนั โดยทอี่ ปุ กรณก์ ฬี าควรเพมิ่ ความคลอ่ ง สมบตั เิ ฉพาะของวสั ดุ พบวา่ วสั ดบุ างประเภทมคี า่ ตวั ลดการบาดเจบ็ และสง่ เสรมิ ใหน้ กั กฬี าสามารถ ความแข็งแกร่งและความหนาแน่นสูง ในขณะที่ เลน่ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

12 ๑.๑ประวตั คิ วามเปน็ มาของกฬี าตะกรอ้ และ สดั สว่ น ฝกึ ความวอ่ งไว การสงั เกต มไี หวพรบิ ลกู ตะกรอ้ ซงึ่ ทำ� ใหม้ บี คุ ลกิ ภาพดี ตะกรอ้ เปน็ การละเลน่ ของไทยมาแตโ่ บราณ ๑.๒ สมบตั พิ นื้ ฐานของวสั ดทุ ใ่ี ชใ้ นการผลติ ไมม่ หี ลกั ฐานแนน่ อนวา่ มมี าตง้ั แตส่ มยั ใด แตค่ าด ตะกรอ้ กนั วา่ ราว ๆ ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทรม์ กี ฎหมายและ วธิ กี ารลงโทษผกู้ ระทำ� ความผดิ โดยการนำ� นกั โทษ หวายเปน็ พชื ทมี่ ลี ำ� ตน้ ยาวมลี กั ษณะเปน็ เถา ใส่ลงไปในวัตถุทรงกลมท่ีสานด้วยหวายแล้วให้ เลอ้ื ย และมอี งคป์ ระกอบหลกั เปน็ เซลลโู ลส (cel- ชา้ งเตะ สง่ิ ทชี่ ว่ ยสนบั สนนุ ประวตั ขิ องตะกรอ้ ได้ lulose)มสี มบตั พิ เิ ศษคอื สามารถดดั ไดง้ า่ ยมคี วาม ดคี อื พระราชนพิ นธเ์ รอื่ งอเิ หนาในพระบาทสมเดจ็ เหนยี วเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั นอกจากนี้ หวาย พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั มตี อนหนง่ึ กลา่ วถงึ การ ยงั มนี ำ้� หนกั เบา ทนทาน และมคี วามยดื หยนุ่ สงู เลน่ ตะกรอ้ นอกจากนี้ ทร่ี ะเบยี งรอบพระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดารามมีจิตรกรรมฝาผนังเร่ือง หวายซึ่งในอดตี นำ� มาผลิตตะกร้อ “รามเกียรติ์” ท่ีมีภาพการเล่นตะกร้อแสดงไว้ให้ อนชุ นรนุ่ หลงั ไดศ้ กึ ษา ประกอบกบั เมอ่ื พจิ ารณา พลาสตกิ เปน็ สารประกอบอนิ ทรยี ท์ สี่ งั เคราะห์ สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทยซึ่งอุดมไปด้วย ขนึ้ เพอื่ ใชแ้ ทนวสั ดทุ างธรรมชาติ มลี กั ษณะแขง็ ไม้ไผ่และหวาย คนไทยจึงนิยมน�ำเอาหวายมา เมอ่ื เยน็ ตวั และออ่ นตวั เมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ น ใน สานเปน็ สง่ิ ของเครอื่ งใชแ้ ละอปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการ ขณะทบี่ างชนดิ สามารถแขง็ ตวั ถาวรเมอ่ื มกี ารให้ ละเลน่ พน้ื บา้ น กฬี าตะกรอ้ ในประเทศไทยมหี ลาย ความรอ้ น พลาสตกิ แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ประเภท เชน่ ตะกรอ้ วง ตะกรอ้ ลอดหว่ ง ตะกรอ้ ประเภทแรก เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) ชงิ ธง รวมทงั้ การแสดงตะกรอ้ พลกิ แพลงตา่ ง ๆ เปน็ พลาสตกิ ทสี่ ามารถไหลและเปลยี่ นรปู เมอ่ื ไดร้ บั โดยกฬี าตะกรอ้ เปน็ กฬี าทผ่ี เู้ ลน่ ไดอ้ อกกำ� ลงั กายทกุ ความรอ้ น และแขง็ ตวั เมอ่ื ไดร้ บั ความเยน็ โครงสรา้ ง ของสารทไ่ี ดจ้ ะเปน็ สารโมเลกลุ เดมิ ทม่ี ขี นาดใหญ่ จติ รกรรมฝาผนงั เร่อื ง “รามเกยี รต)์ิ บรเิ วณระเบียงพระอุโบสถ ขนึ้ ซงึ่ สว่ นใหญส่ ามารถหลอมและนำ� กลบั มาใช้ วัดพระศรีรตั นศาสดาราม มภี าพการเล่นตะกร้อ

13 เม็ดพลาสติก ยางพารา ใหม่ได้ เช่น พอลิเอทิลีน (Polyethylene: PE) ความรอ้ น ทนนำ้� แตไ่ มท่ นตอ่ นำ้� มนั เบนซนิ และ พอลโิ พรพลิ นี (Polypropylene: PP) พอลสิ ไตรนี ตวั ทำ� ละลายอนิ ทรยี ์ มคี วามยดื หยนุ่ แตจ่ ะเปราะที่ (Polystyrene: PS) และพอลไิ วนลิ คลอไรด์ (Poly- อณุ หภมู ติ ำ่� กวา่ อณุ หภมู หิ อ้ ง สว่ น ยางสงั เคราะห์ vinylchloride: PVC) ประเภทท่ี ๒ พลาสตกิ เทอร์ (Synthetic rubber) เปน็ ยางทส่ี รา้ งขน้ึ จากปฏกิ ริ ยิ า โมเซต (Thermoset) เปน็ พลาสตกิ ทเี่ กดิ จากการทำ� เคมเี พอ่ื ใหไ้ ดย้ างทม่ี คี ณุ สมบตั ติ ามตอ้ งการ เชน่ ปฏกิ ริ ยิ าของสาร๒ชนดิ ขน้ึ ไป โดยจะคงรปู ถาวร การทนตอ่ นำ้� มนั ความรอ้ น ความเยน็ หลงั ผา่ นการใหค้ วามรอ้ นและเกดิ เปน็ สารโครงสรา้ ง โมเลกลุ ใหมท่ มี่ คี วามแขง็ มาก ไมอ่ อ่ นตวั ทำ� ให้ ในอดตี ลกู ตะกรอ้ ทใ่ี ชเ้ ลน่ ถกู ถกั ทอดว้ ยวสั ดุ เปลยี่ นรปู รา่ งไมไ่ ด้พลาสตกิ ประเภทนจี้ งึ สามารถ ทเี่ ปน็ ผา้ และมวี วิ ฒั นาการมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งทง้ั ใน หลอมเหลวเพอื่ นำ� กลบั มาใชใ้ หมไ่ ดย้ าก เชน่ พอ ดา้ นรปู แบบและวสั ดทุ ที่ ำ� ซงึ่ เปลยี่ นจากผา้ เปน็ หนงั ลเิ อสเตอร์ (Polyester) อพี อกซี (Epoxy) และพอ สตั ว์ หวาย และวสั ดสุ งั เคราะหป์ ระเภทพลาสตกิ ลยิ รู เี ทน (Polyurethane) ทนี่ ำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นปจั จบุ นั ยางเปน็ วสั ดทุ มี่ คี วามยดื หยนุ่ สงู มโี ครงสรา้ ง ลกู ตะกรอ้ ไมไ่ ดม้ อี ยเู่ ฉพาะในประเทศไทย โมเลกลุ มว้ นขดไปมา โดยมแี รงแวนเดอรว์ าลสย์ ดึ เทา่ นน้ั ซงึ่ จากหลกั ฐานของประเทศมาเลเซยี และ เหนย่ี วระหวา่ งโซโ่ มเลกลุ เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั แบง่ ออก เมยี นมา พบวา่ มลี กู ตะกรอ้ สานดว้ ยหวายเหมอื นกนั เปน็ ๒ ชนดิ คอื ยางธรรมชาติ (Natural rubber) แตม่ ที แ่ี ตกตา่ งกนั คอื รปู รา่ งและลกั ษณะของตะกรอ้ เปน็ ยางทไ่ี ดจ้ ากนำ�้ ยางพารา หากนำ� นำ้� ยางพารามา หวายของประเทศไทยจะสานดว้ ยหวาย๙-๑๑เสน้ ผา่ นกระบวนการใหเ้ ปน็ ยางแผน่ หรอื ยางกอ้ นจะ ประกอบดว้ ยรู ๑๒ รู จดุ ตดั ไขว้ ๒๐ จดุ เสน้ สามารถนำ� ไปคงรปู ตอ่ ได้ โดยยางคงรปู จะมคี วาม รอบวงขนาด ๔๑-๔๓ เซนตเิ มตร สำ� หรบั ผชู้ าย ตา้ นทานตอ่ แรงดงึ ทนตอ่ การขดั ถู เปน็ ฉนวนกนั และ๔๒-๔๔เซนตเิ มตร สำ� หรบั ผหู้ ญงิ มนี ำ้� หนกั อยรู่ ะหวา่ ง ๑๗๐-๑๘๐ กรมั สำ� หรบั ผชู้ าย และ

14 ๑๕๐-๑๖๐ กรมั สำ� หรบั ผหู้ ญงิ ในขณะทต่ี ะกรอ้ ตอ้ งการเหน็ ตะกรอ้ หวายไดร้ บั การพฒั นาใหเ้ หมาะ ของมาเลเซยี ใชห้ วาย ๔-๕ เสน้ สานเปน็ ๓-๔ ชน้ั สมกับการเล่นกีฬาตะกร้อในปัจจุบัน เนื่องจาก จากลกู เลก็ ทบั กนั เรอื่ ย ๆ จนถงึ ชน้ั นอก มเี สน้ รอบ การเลน่ ตะกรอ้ หวายในอดตี มกั ทำ� ใหผ้ เู้ ลน่ ไดร้ บั วง ๑๔-๑๕ นวิ้ และมนี ำ�้ หนกั ประมาณ ๑๕๐ กรมั บาดเจบ็ และเลกิ เลน่ จนทำ� ใหก้ ฬี าตะกรอ้ ไมเ่ ปน็ ที่ ส่วนตะกร้อของเมียนมาใช้หวาย ๕-๖ เส้น วิธี นยิ ม ประการที่ ๒ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาวสั ดทุ ่ี สานคลา้ ยหรอื ใกลเ้ คยี งกบั ตะกรอ้ ของไทย มเี สน้ ใชใ้ นการทำ� ตะกรอ้ แทนหวายซง่ึ หายากและสมบตั ิ รอบวงประมาณ๒๐นวิ้ นำ�้ หนกั ไมแ่ นน่ อน แตเ่ บา ของตะกรอ้ หวายมคี วามไมส่ มำ่� เสมอ โดยมกี าร กวา่ ตะกรอ้ ของไทยเนอ่ื งจากสานดว้ ยเปลอื กหวาย พฒั นาตอ่ ยอดจนเปน็ “ตะกรอ้ พลาสตกิ ชนดิ ผวิ นมุ่ ” ทม่ี ลี กั ษณะบาง ทใี่ ชอ้ ยใู่ นปจั บุ นั การใชพ้ ลาสตกิ มาเปน็ วสั ดหุ ลกั ในการผลติ ตะกรอ้ พลาสตกิ ชนดิ ผวิ นมุ่ เปน็ นวตั กรรม ตะกร้อส่งผลให้ปัจจุบันตะกร้อท่ีท�ำจากหวาย ดา้ นผลติ ภณั ฑท์ อ่ี อกแบบและพฒั นาตน้ แบบการ สญู หายไป ตะกรอ้ อาจทำ� ดว้ ยวสั ดสุ งั เคราะหห์ รอื ผลติ โดยการใชเ้ ทคโนโลยดี า้ นตา่ ง ๆ เชน่ การ เคลือบด้วยวัสดุอ่อนนุ่มที่มีความคงทน เพื่อให้ ฉดี พลาสตกิ (PlasticInjectionMolding) ระบบทาง เกิดผลกระทบต่อผู้เล่นน้อยที่สุด ทั้งนี้ ก่อนใช้ วิ่งแบบร้อน (Hot runner) และเทคโนโลยีด้าน ในการแขง่ ขนั เซปกั ตะกรอ้ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การ วสั ดศุ าสตรใ์ นกระบวนการยดึ ตดิ วสั ดตุ า่ งชนดิ กนั รบั รองมาตรฐานจากสหพนั ธเ์ ซปกั ตะกรอ้ นานาชาติ ตะกรอ้ พลาสตกิ ชนดิ ผวิ นมุ่ ใชว้ สั ดปุ ระเภทเทอรโ์ ม (International Sepak Takraw Federation: ISTAF) พลาสตกิ อลี าสโทเมอร์(Thermoplasticelastomer) ทมี่ สี มบตั อิ อ่ นนมุ่ เหมอื นยาง และสามารถขน้ึ รปู ๑.๓ ชนดิ ของตะกรอ้ แบง่ เปน็ ไดเ้ หมอื นพลาสติก มาประกอบเป็นลกู ตะกรอ้ ท่ี ตะกรอ้ ใยสงั เคราะหพ์ ลาสตกิ เปน็ ตะกรอ้ ที่ ไดม้ าตรฐาน จนไดร้ บั การคดั เลอื กเปน็ ๑ ใน ๑๐ ได้รับการคิดค้นและพัฒนาข้ึนเป็นชนิดแรกของ สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมไทย ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ โลกเมอื่ พ.ศ....... เกดิ จากแรงบนั ดาลใจ๒ประการ จากการใชน้ วตั กรรมใหมใ่ นการผลติ สง่ ผลใหร้ าคา คือ ประการแรก นักตะกร้ออาวุโสกลุ่มหน่ึง ตะกรอ้ ชนดิ พลาสตกิ ตะกรอ้ ชนดิ ยาง ตะกรอ้ ชนดิ หวาย

15 ตะกร้อพลาสติกชนิดผิวนุ่มมีราคาสูงกว่าตะกร้อ การแข่งขนั กฬี าว่ายน้ำ� อุปกรณ์ทส่ี �ำคัญคือ ชุดวา่ ยน�้ำ หมวก พลาสติกทวั่ ไปประมาณรอ้ ยละ ๒๐ ในอนาคต ว่ายน�้ำ แวน่ ตาวา่ ยนำ้� เชอื่ วา่ ตะกรอ้ พลาสตกิ ชนดิ ผวิ นมุ่ สามารถทดแทน ตะกรอ้ พลาสตกิ ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั ทตี่ ะกรอ้ พลาสตกิ ตอ้ งมกี ารลดแรงฉดุ (drag force) โดยทวั่ ไปการลด เขา้ มาทดแทนตะกรอ้ หวาย เหน็ ไดว้ า่ การพฒั นา แรงฉดุ ขน้ึ กบั ๒ ปจั จยั ดว้ ยกนั คอื วสั ดทุ น่ี ำ� มาใช้ ดา้ นวสั ดเุ ปน็ สว่ นหนง่ึ ในการสง่ เสรมิ ใหก้ ฬี าตะกรอ้ ทำ� ชดุ วา่ ยนำ้� และการออกแบบชดุ วา่ ยนำ�้ ซง่ึ จะ ของไทยแพรห่ ลายมากขน้ึ ในตา่ งประเทศ เนอื่ งจาก ทำ� ใหน้ กั กฬี าสามารถวา่ ยนำ้� ไดเ้ รว็ ขน้ึ ไดต้ ะกรอ้ ทท่ี ำ� ใหส้ ามารถเลน่ ไดง้ า่ ยขนึ้ และลด โอกาสเกดิ การบาดเจบ็ ไดอ้ กี ดว้ ย ๒.๑ วสั ดุ (Materials) วสั ดหุ รอื เสน้ ใยทใี่ ชท้ ำ� ชดุ วา่ ยนำ�้ จำ� เปน็ ตอ้ ง ในอนาคตสำ� นกั งานนวตั กรรมแหง่ ชาติ(สนช.) มสี มบตั คิ อื นำ�้ หนกั เบา มคี วามแขง็ แรง ยดื หยนุ่ มแี ผนทจี่ ะคดิ คน้ และผลกั ดนั ใหม้ กี ารนำ� ยางพารา แนบกบั รา่ งกายไดด้ ี ดดู ซบั นำ้� ไดน้ อ้ ย และตอ้ ง มาใชผ้ ลติ ลูกตะกร้อ เพือ่ เปน็ การเพิ่มตลาดให้ผู้ สามารถทนตอ่ คลอรนี ทเ่ี ตมิ ลงไปเพอ่ื ฆ่าเชอ้ื โรค ผลติ ยางพาราการคดิ คน้ กอ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาธรุ กจิ ซง่ึ อาจพบอยใู่ นนำ้� ดา้ นอตุ สาหกรรมเครอื่ งกฬี าและเทคโนโลยกี ารผลติ เสน้ ใยทน่ี ำ� มาทำ� ชดุ วา่ ยนำ้� นนั้ สว่ นใหญเ่ ปน็ ใหม่ ๆ ในประเทศไทย พอลเิ มอรผ์ สม (polymer blend) เนอื่ งจากตอ้ งมี การนำ� สมบตั เิ ดน่ ของเสน้ ใยแตล่ ะประเภทมารวม ๒. กฬี าวา่ ยนำ้� กนั เสน้ ใยทนี่ ยิ มเปน็ เสน้ ใยผสมระหวา่ งเสน้ ใย ไนลอน (nylon) กบั เสน้ ใยสแปนเดก็ ซ์ (spandex) การว่ายน้�ำเป็นการออกก�ำลังกายท่ีต้องใช้ เนอ่ื งจากเสน้ ใยไนลอนเปน็ พอลเิ มอรส์ งั เคราะหใ์ น กลา้ มเนอื้ ทกุ สว่ นของรา่ งกาย เปน็ การบรหิ ารที่ กลมุ่ พอลเิ อไมด์ (polyamide) ซง่ึ มคี วามแขง็ แรงสงู เกดิ การบาดเจบ็ นอ้ ยทส่ี ดุ เนอื่ งจากไมท่ ำ� ใหข้ อ้ ตอ่ นำ�้ หนกั เบา และแนบกบั รา่ งกายไดด้ ี นอกจากน้ี ตา่ ง ๆ และโครงสรา้ งกระดกู รวมทง้ั กลา้ มเนอ้ื เกดิ ยงั ดดู ซบั นำ�้ ไดน้ อ้ ย และแหง้ ไดเ้ รว็ กวา่ เสน้ ใยชนดิ การกระทบกระแทกกนั ทำ� ใหก้ ฬี าประเภทนไี้ ด้ อนื่ ๆ แตไ่ นลอ่ นมคี วามตา้ นทานตอ่ แสงแดดตำ�่ รบั ความสนใจอยา่ งมาก การวา่ ยนำ�้ สามารถแบง่ ดงั นนั้ จงึ ทำ� ใหส้ ซี ดี จางและเสน้ ใยหลดุ ลยุ่ ไดง้ า่ ย ออกเป็น ๒ ประเภท คือ การว่ายน�้ำเพ่ือความ สนกุ สนาน และการวา่ ยนำ้� เพอ่ื การแขง่ ขนั การ ว่ายน้�ำเพอื่ การแข่งขนั จ�ำเปน็ ตอ้ งมอี ปุ กรณ์ เพ่อื เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพและความปลอดภยั ในการวา่ ยนำ�้ เชน่ หมวกวา่ ยนำ้� แวน่ ตากนั นำ้� อปุ กรณท์ ส่ี ำ� คญั ท่ีสุด คอื ชดุ ว่ายนำ้� ชดุ วา่ ยนำ้� ทใี่ ชส้ ำ� หรบั การแขง่ ขนั ตอ้ งเปน็ ชนดิ ทล่ี ดแรงเสยี ดทานกบั นำ้� ใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ ในขณะ ทน่ี กั กฬี ากำ� ลงั เคลอื่ นไหวอยใู่ นนำ�้ หรอื เรยี กวา่

16 สว่ นเสน้ ใยสแปนเดก็ ซท์ ม่ี ชี อ่ื ทางการคา้ วา่ ไลครา flow) และการไหลแบบปน่ั ปว่ น (turbulent flow) (lycra) เป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ที่มีพอลิยูรีเทน ซงึ่ เปน็ การเปรยี บเทยี บกบั การไหลของนำ้� บรเิ วณ (polyurethane)เปน็ องคป์ ระกอบสำ� คญั โดยมสี มบตั ิ รอบตัวนักว่ายน�้ำ กล่าวคือ วัตถุที่มีความเรียบ ดา้ นความยดื หยนุ่ ยดื ตวั และแนบกบั รา่ งกายไดด้ ี เปรยี บเสมอื นการใสช่ ดุ วา่ ยนำ้� ทแ่ี นบกบั รา่ งกายได้ แตไ่ มส่ ามารถใชเ้ สน้ ใยสแปนเดก็ ซเ์ พยี งอยา่ งเดยี ว ดีจงึ ทำ� ใหน้ ำ�้ บรเิ วณรอบๆมกี ารไหลแบบราบเรยี บ ไดเ้ พราะจะทำ� ใหร้ สู้ กึ คนั และอดึ อดั โดยทวั่ ไปจงึ ไมม่ กี ารสรา้ งแรงรอบ ๆ ตวั นกั วา่ ยนำ�้ สว่ นวตั ถทุ ่ี นำ� เสน้ ใยไนลอนและสแปนเดก็ ซม์ าผสมกนั เพอ่ื มคี วามนนู เปรยี บเสมอื นกบั การทใ่ี สช่ ดุ วา่ ยนำ้� ทไี่ ม่ ความเหมาะสมและสมบัติท่ีดีที่สุด ชุดว่ายน�้ำ แนบกบั รา่ งกาย จงึ ทำ� ใหน้ ำ�้ บรเิ วณรอบๆ มกี ารไหล ส�ำหรับนักกีฬาใช้เส้นใยสแปนเด็กซ์เพ่ิมมากข้ึน แบบปน่ั ปว่ น เกดิ แรงเหวยี่ งระหวา่ งการเคลอื่ นที่ และอาจมกี ารใชเ้ สน้ ใยอน่ื มาผสมเพอ่ื เพมิ่ สมบตั ทิ ่ี ทำ� ใหน้ กั วา่ ยนำ�้ ตอ้ งใชแ้ รงในการวา่ ยเพมิ่ ขนึ้ กวา่ ปกติ ดใี หแ้ กช่ ดุ วา่ ยนำ�้ เชน่ เสน้ ใยฝา้ ย (cotton fiber) เสน้ ใยพอลเิ อสเตอร์ (polyester fiber) ปจั จบุ นั บางบรษิ ทั ไดใ้ ชแ้ นวความคดิ ในการ ออกแบบชุดว่ายน�้ำโดยเลียนแบบธรรมชาติ มี ๒.๒ การออกแบบ (Design) การผลติ เนอื้ ผา้ ทม่ี คี ณุ สมบตั พิ เิ ศษคลา้ ยหนงั ปลา ในการออกแบบชุดว่ายนำ�้ จ�ำเป็นต้องอาศัย ฉลาม คอื มสี นั รปู ตวั วี (v-shape) บนผวิ หนงั ของ หลกั การในการลดแรงฉดุ ดงั นนั้ ชดุ วา่ ยนำ้� ตอ้ ง บนฉลาม ท�ำให้สามารถแหวกว่ายเคล่ือนตัวใน แนบเขา้ กบั รา่ งกายใหม้ ากทส่ี ดุ เพอ่ื ใหน้ ำ�้ ทไ่ี หลผา่ น นำ�้ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และยงั ลดแรงตา้ น(ลดการลาก) เกดิ การไหลแบบราบเรยี บ ทำ� ใหน้ กั วา่ ยนำ�้ ใชแ้ รง ขณะปลาฉลามเคลอ่ื นตวั การถกั ทอเสน้ ใยชดุ วา่ ย ในการวา่ ยนอ้ ยทส่ี ดุ หรอื ใหไ้ ดค้ วามเรว็ มากทสี่ ดุ นำ้� กเ็ ชน่ เดยี วกนั มลี กั ษณะเปน็ สนั รปู ตวั วี เพอื่ ลด ดังภาพท่ีแสดงการไหลแบบราบเรียบ (laminar การลาก เชน่ ชดุ วา่ ยนำ้� ทสี่ วมใสโ่ ดยไมเคลิ เฟลป์ (MichaelPhelps) นกั กฬี าวา่ ยนำ้� ชอ่ื ดงั ชาวอเมรกิ นั ท่ีได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก การไหลแบบราบเรยี บ การไหลแบบป่นั ป่วน ลักษณะการถักของเส้นใยชุดวา่ ยนำ�้ แผนผงั แสดงการไหลของน้�ำ

17 ๓. กฬี าเทนนสิ เทนนสิ เปน็ กฬี าประเภทหนง่ึ ทไ่ี ดร้ บั ความ นยิ มสำ� หรบั การออกกำ� ลงั กาย โดยเปา้ หมายของผู้ เลน่ กฬี านนั้ จำ� เปน็ ตอ้ งเลน่ ใหไ้ ดด้ ขี น้ึ เพอื่ กา้ วไป สเู่ ปา้ หมายดงั กลา่ วจะตอ้ งมกี ารฝกึ ซอ้ มเปน็ ประจำ� นอกเหนอื จากการฝกึ ซอ้ มแลว้ สงิ่ หนงึ่ ทข่ี าดไมไ่ ด้ ของการเล่นกีฬาเทนนิส คือ ไม้เทนนิส หรือ แรก็ เกต ในอดตี ไมเ้ ทนนสิ ทผ่ี ลติ ขนึ้ ครงั้ แรกทำ� จาก วสั ดทุ เ่ี ปน็ ไม้ ตอ่ มามกี ารพฒั นาในเรอื่ งของความ แขง็ แรง ดงั นน้ั จงึ นำ� โลหะมาเปน็ วสั ดแุ ทน และยงั พฒั นาการออกแบบไมเ้ ทนนสิ เพอ่ื ใหผ้ เู้ ลน่ สามารถ บงั คบั ไมไ้ ดร้ วดเรว็ และเลน่ งา่ ยขน้ึ โดยมกี ารพสิ จู น์ ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม้เทนนิสที่ผ่านการ พฒั นาทางดา้ นวสั ดแุ ละการออกแบบมผี ลใหผ้ เู้ ลน่ สามารถตลี กู ไดแ้ รงขนึ้ ในขณะทใ่ี ชแ้ รงในการตี ทน่ี อ้ ยกวา่ เดมิ กฬี าเทนนสิ ใหค้ วามสำ� คญั ในเรอ่ื งของพนื้ ท่ี สวตี สปอต(sweetsport)บนไมเ้ ทนนสิ สวตี สปอต เปน็ พน้ื ทบ่ี รเิ วณตรงกลางของหนา้ ไมท้ ม่ี กี ารซอ้ น ชดุ วา่ ยน้�ำท่ผี ลติ โดยใช้เนอ้ื ผ้าพิเศษคล้ายหนังปลาฉลาม ไม้เทนนิส และลูกเทนนิส มากท่ีสุดในโลก โดยใน “โอลิมปิกเกมส์ ค.ศ. ๒๐๐๘” ทก่ี รงุ ปกั กงิ่ สาธารณรฐั ประชาชนจนี ได้ เหรยี ญทอง ๘ เหรยี ญ จากการลงแขง่ ทง้ั หมด ๘ รายการ พรอ้ มทงั้ ทำ� ลายสถติ ทิ กุ รายการ นอกจากนี้องคป์ ระกอบสำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ใน การออกแบบชดุ วา่ ยนำ้� คอื การตดั เยบ็ ปจั จบุ นั มี การตดั เยบ็ และการเชื่อมต่อกันของเส้นใยโดยใช้ แสงเลเซอร์ เพอื่ ความเรยี บเนยี นไรร้ อยสะดดุ จงึ สามารถลดแรงเสยี ดทานเพม่ิ ขน้ึ ถงึ รอ้ ยละ ๖ รวม ถงึ การออกแบบซปิ ทใ่ี ชใ้ หม้ แี รงฉดุ กบั นำ้� นอ้ ยทส่ี ดุ

18 ทบั กนั ของเสน้ เอน็ ในแนวตรงและแนวขวาง โดย (stiffness) และมโี มดลู สั หนา้ ตดั (sectionmodulus) ทบ่ี รเิ วณนส้ี ามารถสวงิ (swing) และควบคมุ ลกู ทเี่ หมาะสม จะทำ� ใหร้ ะยะเวลาทล่ี กู เทนนสิ กระทบ เทนนสิ ไดด้ ที ส่ี ดุ ซงึ่ ตวั แปรตา่ งๆทส่ี ง่ ผลตอ่ พนื้ ท่ี กบั ไมเ้ ทนนสิ สนั้ ลง ลกู เทนนสิ จงึ ไดร้ บั พลงั งาน ของสวตี สปอตประกอบไปดว้ ย ชนดิ ของวสั ดทุ ี่ ท�ำให้ตีได้สูงขึ้นในขณะท่ี โครงไม้เทนนิสใน นำ� มาผลติ เปน็ โครงไมเ้ ทนนสิ และการออกแบบ ปจั จบุ นั ทำ� จากวสั ดหุ ลายๆชนดิ เพอ่ื ใหน้ กั เทนนสิ หนา้ ไมเ้ ทนนสิ ดงั นนั้ จงึ มกี ารตง้ั สหพนั ธเ์ ทนนสิ ระดบั โลกเชน่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์(RogerFederer) นานาชาติ (International Tennis Federation) เพอื่ ชาวองั กฤษและมาเรยี ซาราโปวา(MariaSharapo- ก�ำหนดกฎกติกาการเล่น และควบคุมเร่ืองของ va) ชาวรสั เซยี และนกั เทนนสิ ระดบั มอื สมคั รเลน่ ลกั ษณะไมเ้ ทนนสิ ใหเ้ ปน็ แบบสากล โดยกำ� หนด ทว่ั ไปไดร้ บั ประสทิ ธภิ าพและความปลอดภยั ทส่ี ดุ ใหไ้ มเ้ ทนนสิ ตอ้ งมคี วามยาวของกรอบและดา้ มจบั โครงสรา้ งของไมเ้ ทนนสิ มี ๒ ประเภท ประกอบ ไมเ่ กนิ ๘๑.๒๘เซนตเิ มตรและกรอบตอ้ งกวา้ งไม่ ดว้ ย ไมเ้ ทนนสิ ทม่ี โี ครงสรา้ งเปน็ เสน้ ใยแกว้ หมุ้ เกนิ ๓๑.๗๕ เซนตเิ มตร บรเิ วณพน้ื ทสี่ ำ� หรบั ขงึ เสน้ ใยเคฟลาร์(kevlar)โดยมชี นั้ แกนกลางเปน็ พอ เอน็ ตอ้ งมคี วามยาวไมเ่ กนิ ๓๙.๓๗เซนตเิ มตรและ ลยิ รู เี ทนโฟม เสน้ ใยเคฟลารเ์ ปน็ เสน้ ใยพอลเิ มอร์ กวา้ งไมเ่ กนิ ๒๙.๒๑ เซนตเิ มตร สังเคราะห์ มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กกล้า ๕ เทา่ มนี ำ�้ หนกั ทเี่ บา และมคี ณุ สมบตั ทิ นตอ่ แรง ๓.๑ การออกแบบไมเ้ ทนนสิ กระแทกไดด้ ี ดงั นน้ั เมอื่ เสน้ ใยเคฟลารถ์ กู หอ่ หมุ้ ในอดีตเช่ือกันว่าโครงไม้เทนนิสท่ีมีความ ดว้ ยเสน้ ใยแกว้ ชนดิ เอสกลาสส์(S-glass)ทมี่ คี วาม ยดื หยนุ่ สงู สามารถชว่ ยใหต้ ลี กู ไดเ้ รว็ มากขนึ้ แต่ แขง็ แรงสงู สง่ ผลใหไ้ มเ้ ทนนสิ โครงสรา้ งดงั กลา่ ว ในความเป็นจริงโครงไม้เทนนิสที่มีความแกร่ง ไม้เทนนิส

19 วัสดทุ ใี่ ชผ้ ลิตไม้เทนนิส เบาและแขง็ แรง จงึ สง่ ผลใหไ้ มเ้ ทนนสิ มนี ำ้� หนกั ทเ่ี บาลง นอกจากน้ี โฟมดงั กลา่ วยงั สามารถชว่ ย มคี วามแขง็ แรงและรับแรงกระแทกได้ดเี มื่อหน้า ในเรอ่ื งของการดดู ซบั แรงกระแทกอกี ดว้ ย ไมเ้ ทนนสิ สมั ผสั กบั ลกู เทนนสิ แรงกระแทกจะถกู ดดู ซบั อยภู่ ายในโครงสรา้ งของไม้ ทำ� ใหผ้ เู้ ลน่ ไม่ ดงั นนั้ การออกแบบไมเ้ ทนนสิ จำ� เปน็ ตอ้ งให้ เกดิ อาการเจบ็ ขอ้ ศอก มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผเู้ ลน่ กลา่ วคอื ไมเ้ ทนนสิ ของ นกั กฬี าสมคั รเลน่ ทใ่ี ชจ้ ำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามยดื หยนุ่ สงู ไมเ้ ทนนสิ อกี ประเภททเี่ หมาะกบั นกั กฬี ามอื มากกวา่ ความแขง็ แรง เพอ่ื ลดการบาดเจบ็ เนอื่ งจาก อาชพี ใชเ้ สน้ ใยโบรอนรว่ มกบั เสน้ ใยแกรไฟตใ์ น การสน่ั สะเทอื นในการตลี กู ในขณะทไี่ มเ้ ทนนสิ การผลติ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความแขง็ แรง เนอ่ื งจากเสน้ ใย ของนกั กฬี าอาชพี จำ� เปน็ ทตี่ อ้ งมคี วามแขง็ แรงทส่ี งู โบรอนและเสน้ ใยแกรไฟต์มคี า่ ความแข็งแรงสูง กวา่ ความยดื หยนุ่ เพอื่ สามารถตลี กู ใหไ้ ดแ้ รงทส่ี ดุ โดยเสน้ ใยโบรอนมคี า่ ความแขง็ แรงทส่ี งู กวา่ เสน้ ใย แกรไฟต์ แต่ที่ต้องน�ำเส้นใยแกรไฟต์เป็นส่วน ๔. กฬี าจกั รยาน ประกอบในชนั้ กลางเพอื่ ตอ้ งการลดตน้ ทนุ ในการ ผลติ ดงั นน้ั โครงสรา้ งของไมเ้ ทนนสิ ดงั กลา่ วจะ หากพดู ถงึ จกั รยานคนทว่ั ไปมกั ไมน่ ยิ มนำ� มา เนน้ ในดา้ นความแขง็ แรงของโครงไมเ้ ทนนสิ เปน็ ใชส้ ำ� หรบั เดนิ ทาง เพราะเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ยาน หลกั ทงั้ น้ีไมเ้ ทนนสิ ทงั้ ๒ประเภทมชี น้ั แกนกลาง พาหนะชนดิ อนื่ จกั รยานถอื เปน็ พาหนะทตี่ อ้ งใชแ้ รง เปน็ โฟมพอลยิ รู เี ทนเนอื่ งจากโฟมดงั กลา่ วมนี ำ้� หนกั มากกวา่ และเคลอ่ื นทไี่ ดช้ า้ อยา่ งไรกต็ าม ในยคุ เศรษฐกจิ ทน่ี ำ้� มนั มรี าคาแพง และกระแสการอนรุ กั ษ์ สง่ิ แวดลอ้ มและการดแู ลสขุ ภาพทก่ี ำ� ลงั ไดร้ บั ความ สนใจ จกั รยานจงึ เปน็ ทางเลอื กหนงึ่ ทคี่ นเลอื กใช้ มากขนึ้ เพอื่ ชว่ ยประหยดั พลงั งานและลดมลพษิ ใหส้ ง่ิ แวดลอ้ ม จกั รยานเปน็ ยานพาหนะชนดิ หนงึ่ โดยปกตมิ ี ๒ ลอ้ ถา้ มี ๓ ลอ้ กเ็ รยี กวา่ จกั รยาน สามลอ้ เคลอ่ื นทโี่ ดยการออกแรงถบี กลไกใหล้ อ้ หมนุ โดยทวั่ ไปเรยี กวา่ “รถจกั รยาน” หรอื “รถ ถบี ” การประดษิ ฐจ์ กั รยานไดเ้ กดิ ขนึ้ เปน็ เวลากวา่ ๑๐๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๑๒การแขง่ ขนั จกั รยานครง้ั แรก เปน็ การแขง่ ขนั จากกรงุ ปารสี ไปเมอื งรอู อง ประเทศ ฝรงั่ เศส ซง่ึ นกั ปน่ั จกั รยานชอ่ื เจมส์ มอร์ (James Moore)เปน็ ผชู้ นะเลศิ หลงั จากนนั้ จงึ มกี ารแขง่ ขนั จกั รยานมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนถงึ ปจั จบุ นั สำ� หรบั การ แขง่ ขนั จกั รยานทางไกลรอบประเทศฝรงั่ เศส ใน

20 การแข่งขันขจี่ กั รยานล้อโตใน ค.ศ. ๑๘๘๙ มกี ารปรบั ปรงุ เรอ่ื งคนั บงั คบั และรปู ทรง ของจักรยานเพ่ือเพ่ิมศักยภาพในการ รายการตรู เ์ ดอฟรองซ์ (Tour de France) โดยเรม่ิ แขง่ ขนั จดั ขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๐๓ ต่อมาใน ค.ศ. ๒๐๑๑ คาเดล อีแวนส์ (Cadel Evans) จากทีมบีเอ็มซี วสั ดทุ ใี่ ชใ้ นโครงสรา้ งของจกั รยาน (BMCRacingTeam) นกั ปน่ั จกั รยานชาวออสเตรเลยี ทเี่ ปน็ ปจั จยั สำ� คญั ซง่ึ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ อกี อยา่ ง ทส่ี ามารถชนะการแขง่ ขนั จกั รยานทางไกลตรู เ์ ดอ คือ การเพิ่มความแข็งแรง ความคงทน ฟรองซ์ ในปีเดียวกนั ซามเู อล ซานเชส (Samuel และไมท่ ำ� ใหจ้ กั รยานมนี ำ�้ หนกั เพม่ิ ขนึ้ หาก Sáánchez) ชาวสเปน จากทีม Euskaltel-Euskadi วสั ดทุ เี่ ลอื กใชส้ ำ� หรบั เปน็ โครงสร้างตวั กไ็ ดร้ บั รางวลั เจา้ แหง่ ภเู ขา ทำ� ใหเ้ หน็ ไดว้ า่ การเปน็ ถงั ของจกั รยานมคี วามเหมาะสม ตวั ถงั ผชู้ นะนนั้ จำ� เปน็ ตอ้ งมหี ลายอยา่ งเปน็ องคป์ ระกอบ จกั รยานจะไมเ่ กดิ การเสยี รปู หรอื แตกหกั เช่น ความสามารถ จิตใจของนักกีฬา สภาพ แต่ถ้าตัวถังและล้อจักรยานมีค่ามอดูลัส อากาศ และที่สำ� คัญคือ การใชร้ ถจักรยานทดี่ ี ของยงั (Young’sModulus:E) หรอื ความ แกรง่ ตำ่� จะสง่ ผลใหไ้ มส่ ามารถตา้ นทาน ๔๑ กลไกรถจกั รยาน แรงอันเน่ืองมาจากน้�ำหนักตัวของผู้ขี่ ปจั จบุ นั รปู แบบของจกั รยานมกี ารพฒั นาจน ท�ำให้ตัวถังจักรยานเกิดการโก่งงอไปตามแรงที่ เปลย่ี นไปจากเดมิ ทำ� ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสงู ขน้ึ โดย กระท�ำ ถ้าเป็นวัสดุที่ไม่มีความแข็งแรงและไม่ ใชแ้ นวคดิ ดา้ นวสั ดแุ ละความรดู้ า้ นอากาศพลศาสตร์ สามารถทนตอ่ แรงทมี่ ากระทำ� ได้ หรอื วสั ดมุ คี วาม เพอ่ื ใหน้ กั ปน่ั จกั รยานสามารถใชพ้ ลงั งานนอ้ ยลง เหนยี วไมเ่ พยี งพอกจ็ ะทำ� ใหต้ วั ถงั จกั รยานแตกหกั ในระยะทางทเ่ี ทา่ กนั เนอื่ งจากปญั หาใหญท่ สี่ ดุ ของ เมื่อออกแรงปั่น และไม่ทนต่อแรงกระแทกเม่ือ การปน่ั จกั รยานคอื การตา้ นแรงลม ดงั นนั้ จงึ ตอ้ ง ตกหลมุ นอกจากนี้ถา้ วสั ดทุ นี่ ำ� มาทำ� ตวั ถงั และลอ้ จกั รยานมคี วามหนาแนน่ สงู และมนี ำ�้ หนกั มาก จะ สง่ ผลใหจ้ กั รยานเคลอื่ นทไ่ี ปขา้ งหนา้ ไดช้ า้ ลง ๔.๒ ชน้ิ สว่ นของจกั รยาน ๑) โครงสรา้ งตวั ถงั ของจกั รยาน นบั ตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่๑๙ มกี ารใช้ไมไ้ ผ่มาทำ� เปน็ โครงสรา้ งตวั ถงั จักรยาน ต่อมาจึงมีการน�ำท่อเหล็กกล้ามาใช้แทนไม้ไผ่ เนื่องจากมีความแข็งแกร่งและน้�ำหนักท่ีเบากว่า ปจั จบุ นั มกี ารพฒั นาวสั ดเุ พอ่ื ใหม้ สี มบตั ติ า่ ง ๆ ที่ โครงสรา้ งตวั ถงั จกั รยานจำ� เปน็ ตอ้ งมี ดงั แสดงใน ตารางท่ี ๑

21 ตารางท่ี ๑ ตวั อยา่ งการเลอื กใชว้ สั ดตุ รงตามขอ้ กำ� หนดสมบตั ขิ องของโครงสรา้ งตวั ถงั รถจกั รยาน สมบตั ทิ จี่ ำ� เปน็ ชนดิ ของวสั ดทุ ค่ี วรเลอื กใช้ นำ�้ หนกั เบา (ความหนาแนน่ ตำ�่ ) เสน้ ใยคารบ์ อน ความทนตอ่ การดดั งอ อะลมู เิ นยี มอลั ลอยด์ ความทนตอ่ การเปลย่ี นรปู ไทเทเนยี มอลั ลอยด์ ความทนทาน แมกนเี ซยี มอลั ลอยด์ ความทนตอ่ การลา้ เหลก็ กลา้ ความตา้ นทานตอ่ การสกึ กรอ่ น สว่ นผสมหลกั เปน็ โลหะ ราคา เหลก็ กลา้ อตุ สาหกรรมการผลติ จกั รยานในปจั จบุ นั มี โครงสรา้ งจักรยาน การผลติ โครงสรา้ งตวั ถงั จกั รยานจากเสน้ ใยเซรามกิ ในเมทรกิ ซท์ เี่ ปน็ โลหะ นอกจากนยี้ งั มโี ครงสรา้ ง ๒) ลอ้ จกั รยาน กรอบ ๓ มติ ทิ ที่ ำ� จากเสน้ ใยเซรามกิ ชนดิ ซลิ คิ อน ในการผลติ ลอ้ จกั รยานวบิ ากใชว้ สั ดปุ ระเภท คารไ์ บด์ ซงึ่ โครงสรา้ งลกั ษณะนม้ี นี ำ้� หนกั ทเี่ บา ไนลอนเสรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใยแกว้ เพอ่ื เพมิ่ เสถยี รภาพ และแขง็ แรง เหมอื นกบั โครงสรา้ งทท่ี ำ� จากพอลเิ มอร์ และความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ มีการปรับปรุง เสรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใยคารบ์ อน และทผี่ า่ นมายงั มกี าร ด้านอากาศพลศาสตร์เพื่อให้จักรยานที่ใช้ในการ ผลติ จกั รยานทท่ี ำ� จากพอลเิ มอรท์ ง้ั คนั โดยมลี อ้ ท่ี แขง่ ขนั มนี ำ้� หนกั เบา โดยมกี ารออกแบบลอ้ แบบ ประกอบดว้ ยพอลเิ อไมดเ์ สรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใยแกว้ จาน ทม่ี ซี ล่ี อ้ ประมาณ ๓ หรอื ๕ ซ่ี และทำ� จาก โครงสร้างตัวถังเป็นพอลิเอสเตอร์เสริมแรงด้วย โลหะอะลมู เิ นยี มหรอื วสั ดปุ ระกอบเสรมิ แรงดว้ ย เสน้ ใยแกว้ จกั รยานทำ� จากพอลเิ มอรน์ เ้ี ทอะทะเกนิ เส้นใยคารบ์ อนแทนการใช้ซี่ล้อทเ่ี ป็นเหลก็ ไป ไมเ่ พรยี วลมจงึ ไมเ่ ปน็ ทน่ี ยิ ม การออกแบบ โครงสร้างตัวถังจักรยานใน ระยะแรกพบวา่ มนี ำ้� หนกั มากและไมแ่ ขง็ แรง จงึ มี การพฒั นาออกแบบโครงสรา้ งจกั รยานเปน็ โครงสรา้ ง กรอบ ๓ มติ ิ คอื มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ มคี วามกลวง นำ�้ หนกั เบา มคี วามทนทานตอ่ แรงดงึ ยดื แรงกด แรงดดั งอ และแรงบดิ เหมอื นกบั สะพานและเครน โครงสรา้ งนเ้ี รยี กวา่ “โครงสรา้ งรปู ทรงเพชร” ซงึ่ สามารถกระจายแรงต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งแรง ดดั งอถกู จำ� กดั ใหอ้ ยใู่ นสว่ นของตะเกยี บคหู่ นา้


สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

The book owner has disabled this books.

Explore Others