Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

Description: สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

Keywords: สารานุกรมไทย,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม ๔๑

Search

Read the Text Version

50 การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “สองกรวรวกิ ” ไปจดั แสดง และไมป่ รากฏวา่ เคยมกี ารแสดงละคร ดึกดำ� บรรพเ์ รื่องน้ีมาก่อน ผปู้ ระพนั ธอ์ าจเจตนา มาพมิ พแ์ จกในงานพระราชกศุ ลปัญญาสมวารของ ใหอ้ า่ นมากกวา่ ใหน้ ำ� ไปใชใ้ นการแสดงละคร สมเดจ็ ฯเจา้ ฟ้าจฑุ าธุชธราดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณ์ อนิ ทราชยั ในพ.ศ.๒๔๖๖ หมอ่ มเจา้ หญงิ บญุ จริ าธร รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้า ไดก้ ราบบงั คมทลู ขอใหร้ ชั กาลท่ี ๖ ทรงแกไ้ ขและ อย่หู วั (พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗) เพิ่มเติมบางตอน ซ่ึงทรงพระราชนิพนธ์เพิ่มเติม ฉากท่ี ๓ ในองกท์ ี่ ๓ ยคุ น้ียงั คงมกี ารจดั แสดงละครดกึ ดำ� บรรพอ์ ยู่ บา้ ง คณะละครท่ีจดั แสดงละครดึกดำ� บรรพม์ ีอยู่ ๒. สองกรวรวกิ ทรงพระนิพนธเ์ มื่อ พ.ศ. ๒ คณะ คอื ๒๔๖๒ สำ� หรับใชแ้ สดงละครเบิกโรง โดยทรง ดดั แปลงจากบทละครพระนิพนธใ์ นพระเจา้ บรม- ๑. คณะละครของหลวง วงศเ์ ธอ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดิพลเสพ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระ บรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯใหเ้ สนาบดกี ระทรวง ๓. จนั ทกนิ รี ทรงพระนิพนธ์เป็นเรื่องสุด วงั เรียกตวั ครูละครที่ถกู ปลดออกจากกรมมหรสพ ทา้ ย เพอ่ื ใชแ้ สดงเบิกโรงแทนเรื่อง สองกรวรวกิ เมอื่ ตน้ รชั กาล กลบั เขา้ รบั ราชการใหมใ่ นตำ� แหนง่ ผู้ โดยทรงนำ� เคา้ เรื่องมาจาก จนั ทกินรีคำ� ฉนั ท์ จดั ฝึกหดั ละครหลวง เมอ่ื วนั ท่ี๑มกราคมพ.ศ.๒๔๖๙ แสดง ณ โรงละครวงั สวนกหุ ลาบ และยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหฟ้ ้ื นฟลู ะครดึกดำ� บรรพอ์ ีก คร้ังตามแบบท่ีสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรา- ๓. มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา นุวดั ติวงศท์ รงวางไว้ ทรงมอบหมายใหเ้ จา้ พระยา (พ.ศ. ๒๔๐๔-๒๔๖๐) วรพงษพ์ ิพฒั น์ (หม่อมราชวงศเ์ ยน็ อิศรเสนา) เสนาบดีกระทรวงวงั เป็นผคู้ วบคมุ การซอ้ ม และ พระยาศรีภรู ิปรีชา (กมล สาลกั ษณ)์ แตง่ บท การจดั แสดงในโอกาสตา่ ง ๆ เช่น การตอ้ นรับ ละครดึกดำ� บรรพเ์ พยี งเรื่องเดียวคือเร่ือง สิทธิธนู พระราชอาคนั ตกุ ะในงานข้นึ พระตำ� หนกั ไกลกงั วล แตบ่ ทละครเร่ืองน้ีไมม่ เี พลงร้องบรรจไุ ว้ บทร้อง หวั หิน หรือถวายทอดพระเนตรส่วนพระองค์ ณ แตล่ ะบทมคี วามยาวหลายคำ� กลอน ยากแกก่ ารนำ� โรงละครทา้ ยพระทน่ี งั่ อมั พรสถาน และโรงละคร สวนมิสกวนั ครูละครสำ� คญั ที่เป็นผฝู้ ึกซอ้ ม คือ พระยานฏั กานุรกั ษ์คณุ หญงิ เทศ นฏั กานุรกั ษ์และ หมอ่ มตว่ น (ศภุ ลกั ษณ์ ภทั รนาวกิ ) ในเจา้ พระยา เทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ท้งั น้ี สมเดจ็ ฯเจา้ ฟ้ากรมพระยา นริศรานุวดั ติวงศ์ เสดจ็ มาทอดพระเนตรการฝึก ซอ้ มเป็นประจำ� ๒. คณะละครเจ้าคณุ พระประยรุ วงศ์ คณะละครเจา้ คณุ พระประยรุ วงศ์ ในความ

51 ควบคุมของพระยาอนิรุทธเทวา (หมอ่ มหลวงฟ้ื น กรมศลิ ปากรไดน้ ำ� บทละครดกึ ดำ� บรรพพ์ ระนิพนธ์ พ่ึงบุญ) อธิบดีกรมมหาดเล็ก จัดแสดงละคร สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ มาจดั ดกึ ดำ� บรรพ์ณโรงละครศรีอยธุ ยา(ส่ีกกั๊ พระยาศรี) แสดงคร้ังแรก เม่ือเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. และบา้ นเกษยี รสมทุ ร ประจวบครี ีขนั ธ์ ตอ่ มาภาย ๒๔๙๐ ณ โรงละครศิลปากร (โรงละครเก่า ขา้ ง หลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ พระทนี่ งั่ ศวิ โมกขพมิ านในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ การแสดงละครดึกดำ� บรรพก์ ซ็ บเซาลง พระนคร) เรื่อง “กรุงพาณชมทวปี ” คร้งั ที่ ๒ เดือน พฤศจกิ ายนปีเดยี วกนั เรื่อง“อเิ หนา”ตอนตดั ดอกไม้ รั ช ส มั ย พ ร ะ บา ท สม เ ด็จ พ ร ะ เ จ้ า อ ย่ ูหั ว ฉายกริชและตอนไหวพ้ ระ ตอ่ มาเมอ่ื จดั งานฉลอง อานนั ทมหดิ ล (พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๙) พระชนมายคุ รบ๑๐๐ปี สมเดจ็ ฯเจา้ ฟ้ากรมพระยา นริศรานุวดั ติวงศ์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๖ กรมศลิ ปากร ในยคุ น้ียงั คงมีคณะละครที่จดั แสดงละคร ไดจ้ ดั แสดงละครดึกดำ� บรรพบ์ ทพระนิพนธห์ ลาย ดึกดำ� บรรพอ์ ยู่ ๒ คณะ คือ คณะบรรทมสินธุ์ เร่ือง เช่น เร่ือง “คาว”ี และ “รามเกียรต์ิ” ตอน นาง และคณะละครพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ศรู ปนขา ตสี ีดา ณ สงั คตี ศาลา ผแู้ สดงส่วนใหญ่ อาทิตยท์ ิพอาภา เป็ นเช้ือสายของนักแสดงคณะละครเจา้ พระยา เทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ซ่ึงกรมศิลปากรไดส้ ืบสานการ ๑.คณะบรรทมสินธ์ุ (เดมิ คอื คณะละครของ เจา้ คณุ พระประยรุ วงศ์ ในความควบคมุ ของพระยา การแสดงละครดึกดำ� บรรพ์ เรื่อง “กรุงพาณชมทวปี ” อนิรุทธเทวา) ณ โรงละครศิลปากร โดยศิลปิ นกรมศิลปากร การแสดงละครดึกดำ� บรรพ์ เร่ือง “คาวี” ณ สังคีตศาลา โดย ผแู้ สดงของคณะบรรทมสินธเุ์ ป็นผแู้ สดงแบบ ศิลปิ นกรมศิลปากร เพอื่ ถา่ ยภาพประกอบบทละครดกึ ดำ� บรรพเ์รื่องตา่ งๆ สำ� หรบั พมิ พใ์ นหนงั สืออนุสรณง์ านศพเจา้ คณุ พระ ประยรุ วงศ์ ๒. คณะละครพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อาทติ ย์ทพิ อาภา คณะละครน้ีเกิดข้นึ จากพระดำ� ริของพระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ อาทิตยท์ ิพอาภา ท่ีทรง พระประสงคใ์ หเ้ ดก็ นกั เรียนท่ีทรงอุปการะไวใ้ น พระอุปถมั ภไ์ ดฝ้ ึ กหัดร�ำละคร และทรงแต่งบท ละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง วาสนั ตี แสดง ณ โรงละคร ศรีอยธุ ยา เมอ่ื วนั ที่ ๓๐ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๘๖ และ แสดงตอ่ อกี ๒ รอบ ๒.๓ ละครดกึ ดำ� บรรพ์ในยคุ ที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๘๙-ปัจจบุ นั ในรัชกาลปัจจุบนั (พ.ศ. ๒๔๘๙-ปัจจุบนั )

52 แสดงละครดกึ ดำ� บรรพ์โดยการจดั แสดงและสาธิต จดั แสดงเป็นตอนส้นั ๆและตวั ละครมไิ ดข้ บั รอ้ งเอง ข้นึ เป็นคร้งั คราว นอกจากน้ี สถาบนั การศกึ ษาบาง นอกจากน้ียงั จดั การเรียนการสอนดา้ นนาฏยศิลป์ แห่งไดส้ ืบทอดการแสดงละครดึกดำ� บรรพ์ เช่น ข้นึ อยา่ งเป็นระบบ มผี ปู้ กครองนิยมส่งบตุ รหลาน โรงเรียนฝึกหดั ครูสวนสุนนั ทา หรือมหาวทิ ยาลยั ไปเรียนกนั มาก คณะละครสมคั รเล่นแห่งบา้ น ราชภฏั สวนสุนนั ทาในปัจจบุ นั ไดจ้ ดั แสดงละคร ปลายเนินไดพ้ ฒั นาใหผ้ แู้ สดงร้องเองดว้ ย ต้งั แต่ ดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “พระยศเกต”ุ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๕ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นตน้ มา การแสดงละครดกึ ดำ� บรรพย์ งั คงมอี กี หลายคร้งั ท้งั ทางสถานีโทรทศั นไ์ ทยทีวชี ่อง ๔ บางขนุ พรหม ๒. คณะละครฉัตรแก้ว และโรงละครต่าง ๆ จนกระทง่ั ไดเ้ กิดคณะละคร คณะละครฉัตรแกว้ ก่อต้งั ข้ึนโดย สมภพ ๒คณะทสี่ ่งผลตอ่ ความเคลอ่ื นไหวของการแสดง จนั ทรประภา เร่ิมตน้ จากจอมพล ถนอม กิตติขจร ละครดึกดำ� บรรพต์ ่อมาคือ คณะละครสมคั รเลน่ ไดม้ ีคำ� สงั่ ใหส้ มภพ จนั ทรประภา แตง่ บทละคร แห่งบา้ นปลายเนิน และคณะละครฉตั รแกว้ เพอ่ื จดั แสดงเนื่องในโอกาสเฉลมิ พระชนมพรรษา สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ครบ ๑. คณะละครสมคั รเล่นแห่งบ้านปลายเนนิ ๓๖พรรษาในพ.ศ.๒๕๑๑ณโรงละครแหง่ ชาติ ใน เร่ิมโดยทายาทราชสกลุ จิตรพงศ์ รวมตวั กนั คร้งั น้นั สมภพ จนั ทรประภาไดแ้ ตง่ บทละครเรื่อง ก่อต้งั เป็นคณะละครสมคั รเลน่ แห่งบา้ นปลายเนิน “นางเสือง” มเหสีของพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ แห่ง แสดงละครดกึ ดำ� บรรพพ์ ระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ ฯเจา้ ฟา้ กรุงสุโขทยั โดยใหม้ ีบทละครและการแสดงเป็น กรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ ตน้ ราชสกลุ จติ รพงศ์ รูปแบบละครดึกดำ� บรรพ์ แสดงโดยนิสิตเกา่ และ ข้นึ ณบา้ นปลายเนินโดยเริ่มแสดงเป็นคร้งั แรกใน นิสิตปัจจบุ นั ของจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และมี วนั ท่ี ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๑ เพอ่ื เป็นการนอ้ ม ทายาทเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั นค์ อื หมอ่ มหลวง รำ� ลึกถึงวนั คลา้ ยวนั ประสูติของพระองค์ และจดั บุญเหลือ เทพยสุวรรณ หม่อมหลวงสำ� ลีและ การแสดงติดตอ่ กนั มาทกุ ปี การแสดงใชบ้ ทพระ หม่อมหลวงสารี กุญชร เป็ นท่ีปรึกษา อาจารย์ นิพนธ์ แตไ่ มไ่ ดด้ ำ� เนินเตม็ ตามรูปแบบเดิม เช่น ศวิ วงศ์ กญุ ชร เป็นผอู้ อกแบบฉาก ละครไดร้ ับ การฝึกซอ้ มโขนละครระบำ� ของนกั เรียนโรงเรียน การแสดงละครเรื่อง “นางเสือง” ซ่ึงบทละครและการแสดงมีรูปแบบ บา้ นปลายเนิน ของละครดึกดำ� บรรพ์

53 ความนิยมมาก หลงั จากน้ัน ในเดือนธันวาคม สมภพ จนั ทรประภา พ.ศ. ๒๕๑๑ ไดแ้ ตง่ บทละครดึกดำ� บรรพ์ เร่ือง “พอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราช”ใหน้ กั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ๔. การแสดงเป็นแบบตอนเดียวจบ ไมม่ พี กั เชยี งใหมแ่ สดง แตม่ เี พยี งการฝึกซอ้ มไมไ่ ดจ้ ดั แสดง การแสดง และจบการแสดงภายในเวลาประมาณ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๕๑๒ เร่ิมแตง่ บทละครดึกดำ� บรรพ์ ๒ ชว่ั โมงคร่ึง นำ� ออกแสดงทางสถานีโทรทศั น์ไทยทีวีช่อง ๔ บางขนุ พรหม ผแู้ สดงเป็นนกั แสดงสมคั รเลน่ จดั ๕. มีการแบ่งเน้ือเรื่องเป็นฉากอยา่ งชดั เจน แสดง ๒ เดือนตอ่ คร้งั โดยใชช้ ่ือวา่ คณะฉตั รแกว้ เร่ิมดว้ ยการเกริ่นแนะนำ� ตวั ละครสำ� คญั พร้อมจดั ภาพคนนงิ่ แบบตาโบลววิ งั ต์ ระหวา่ งปิดมา่ นเปลยี่ น สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ์ฯิ พระบรมราชนิ นี าถ ฉากกจ็ ดั การแสดงใหด้ ำ� เนินเร่ืองตอ่ เน่ืองเป็นฉาก ในรชั กาลท่ี ๙ โปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ณะละครฉตั รแกว้ ส้นั ๆ ท่ีหนา้ มา่ น ของสมภพ จนั ทรประภา เป็น “คณะละครอาสา สมคั ร ในพระบรมราชินูปถมั ภ”์ ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ๖. ฉากเป็นฉากที่ก่อสร้างแบบ ๓ มิติแบบ โดยรบั หนา้ ทแี่ สดงละครดกึ ดำ� บรรพร์ ะหวา่ งทท่ี รง สมจริง แปรพระราชฐาน ณ จงั หวดั ตา่ ง ๆ เรื่องท่ีแสดง เช่น เร่ือง “สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช” สมภพ ๗.การฟอ้ นรำ� นอกจากการรำ� แบบมาตรฐาน จนั ทรประภายงั แตง่ บทละครดกึ ดำ� บรรพใ์ หส้ ถาบนั ละครไทยแลว้ ไดค้ ดิ นำ� ภาพศลิ าจารึกและนาฏย- การศกึ ษาตา่ ง ๆ นำ� ไปจดั แสดง ท้งั การแสดงทาง ศิลป์ ต่างชาติมาดดั แปลงใชใ้ นการแสดงเพื่อใหด้ ู โทรทศั น์ การแสดงบนเวที และการแสดงกลาง แปลกตาดว้ ย แจง้ เช่น เร่ือง“ศรีธรรมาโศกราช”(พ.ศ.๒๕๑๓) และเร่ือง “ชีสิน” (พ.ศ. ๒๕๑๗) ซ่ึงจดั การแสดง ๘. มรี ะบำ� ชุดใหญ่ ๆ แทรกในบางฉากโดย โดยนสิ ิตคณะนเิ ทศศาสตร์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เฉพาะฉากสุดทา้ ย และดว้ ยเหตทุ เ่ี น้ือเรื่องของละคร การแสดงละครดกึ ดำ� บรรพข์ องสมภพ จนั ทรประภา มกั เกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์ ดงั น้นั จึงสร้างความ ไดร้ บั ความสนใจจากประชาชนอยา่ งกวา้ งขวาง แต่ ตระการตาดว้ ยการยกทพั ท่ีออกแบบท่าทางใหม่ ผชู้ มเรียกขานกนั โดยทว่ั ไปวา่ “ละครคณุ สมภพ” ใหแ้ ปลกตาและยง่ิ ใหญ่ มฉี ากรบที่นกั ดาบอาชีพ ตอ่ สูก้ นั อยา่ งจริงจงั และใชอ้ าวธุ จริง สมภพ จนั ทรประภา ไดแ้ ต่งบทละคร ดึกดำ� บรรพก์ วา่ ๓๐ เรื่อง โดยมลี กั ษณะสำ� คญั คอื ๑. ตวั ละครร้องเอง รำ� เอง และเจรจาเอง ๒.บทละครเป็นรอ้ ยกรองท้งั บทรอ้ งและบท เจรจา ในรูปของกลอนและฉนั ทลกั ษณอ์ นื่ ๆ ๓. เน้ือเร่ืองส่วนใหญ่เป็นเร่ืองอิงประวตั ิ- ศาสตร์ หรือพงศาวดารไทยและตา่ งชาติ

54 ๙. เคร่ืองแต่งกายออกแบบใหม่โดยศึกษา ดึกดำ� บรรพ”์ ในเดือนตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยมี ตน้ แบบจากเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ อาจกลา่ ว วตั ถุประสงคส์ ำ� คญั เพอื่ อนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟปู ่ี พาทย์ ไดว้ า่ เป็นเคร่ืองแต่งกายท่ีเนน้ เร่ืองความถูกตอ้ ง ดึกดำ� บรรพท์ ้งั ดา้ นขอ้ มลู ทางประวตั ิศาสตร์ หลกั ทางประวตั ิศาสตร์มากกวา่ เป็นเครื่องแตง่ กายตาม การบรรเลง การขบั ร้อง โนต้ เพลง ตลอดจนจดั แบบแผนละคร สร้างเคร่ืองดนตรี ต่อมาในวนั ท่ี ๑๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ไดจ้ ดั แสดงป่ี พาทยด์ ึกดำ� บรรพข์ ้ึน ๑๐. วงดนตรีใชว้ งป่ี พาทยไ์ มน้ วมบรรเลง เป็นคร้งั แรกณหอประชมุ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เพลงไทยและเพลงออกภาษาตามธรรมเนียมละคร โดยนำ� บทพระนิพนธใ์ นสมเดจ็ ฯเจา้ ฟ้ากรมพระยา ไทย นริศรานุวดั ติวงศ์ มาขบั ร้องและบรรเลงโดยนิสิต สาขาดุริยางคไ์ ทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ และ ๑๑. ผแู้ สดงเป็นชายจริงหญงิ แท้ สาขาดนตรีไทย คณะครุศาสตร์ พร้อมกบั จดั การ ๑๒. บทบริภาษเป็นบทเดน่ แสดง“ตาโบลววิ งั ต”์ โดยนิสิตสาขานาฏยศลิ ป์ ไทย ๑๓.บทปลกุ ใจใหร้ กั ชาตแิ ละรกั สามคั คเี ป็น ภาควชิ านาฏยศลิ ป์ คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ หลงั หวั ใจของ “ละครคณุ สมภพ” จากน้นั ศูนยส์ ่งเสริมวฒั นธรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ไดจ้ ดั แสดงในวนั ที่ ๒๖ มนี าคม อนั ๓. ดนตรีไทย-ป่ี พาทย์ดึกด�ำบรรพ์ เป็นวนั สถาปนามหาวทิ ยาลยั ทกุ ปีตอ่ เนื่องมาจนถงึ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปัจจุบนั โครงการดนตรีไทย-ป่ี พาทยด์ ึกดำ� บรรพ์ ทำ� ใหภ้ าควชิ านาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ศูนยส์ ่งเสริมวฒั นธรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั มีการเปิ ดสอนวชิ าเอก มหาวทิ ยาลยั ไดจ้ ดั ต้งั “โครงการดนตรีไทย-ปี่พาทย์ บงั คบั คอื วชิ าทกั ษะการแสดงละครดกึ ดำ� บรรพ์ใน หลกั สูตรปริญญาตรีศลิ ปกรรมศาสตรบณั ฑติ สาขา นาฏยศลิ ป์ ไทย การแสดงละครภาพนิ่ง (ตาโบลววิ งั ต)์ เรื่อง “นางซินเดอเรลลา” การแสดงละครภาพน่ิง (ตาโบลววิ งั ต)์ เรื่อง “พระลอ” ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐

๔. เนือ้ เร่ืองย่อของละครดกึ ดำ� บรรพ์ 55 เรื่องยอ่ ของบทละครดึกดำ� บรรพต์ ามลำ� ดบั การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “อิเหนา” ตอนไหวพ้ ระ ของพฒั นาการ กลา่ วโดยสงั เขป ดงั น้ี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เมื่อวนั ท่ี ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ บทพระนิพนธ์ในสมเดจ็ พระเจ้าบรม- วงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ดั ตวิ งศ์ ๓. อเิ หนา ตอน ตดั ดอกไมฉ้ ายกริช ไหว้ พระ บวงสรวง ๑.สังข์ทอง ตอนทงิ้ พวงมาลยั ตคี ลี ถอดรูป ทา้ วสามลโปรดใหพ้ ระธิดาท้งั ๗ องคเ์ ลอื ก ทา้ วดาหาเดินทางมาแกบ้ นที่เขาวลิ ิศมาหรา คคู่ รอง แตพ่ ระธิดาองคส์ ุดทอ้ งคอื นางรจนายงั ขณะที่อิเหนาและเหล่าพ่ีเล้ียงกำ� ลงั ชมป่ าอยนู่ ้นั ไมส่ ามารถเลอื กคคู่ รองได้ ทา้ วสามลจึงโปรดให้ ไดเ้ จอนางยบุ ลคอ่ มซ่ึงหลงทาง เพราะมาหาดอก เกณฑช์ าวบา้ นมาใหน้ างเลอื ก นางรจนาเส่ียงพวง ปะหนนั ใหน้ างบุษบา อิเหนาจึงอาสาจะหาดอก มาลยั เลือกเจา้ เงาะเป็ นคู่ครอง ทำ� ให้ทา้ วสามล ปะหนนั และพานางยบุ ลคอ่ มไปส่ง โดยมเี งื่อนไข โกรธ ขบั ไลน่ างรจนาใหไ้ ปอยกู่ ระทอ่ มปลายนา วา่ นางยบุ ลคอ่ มตอ้ งเอาดอกไมท้ อี่ เิ หนาสลกั สาสน์ รอ้ นถงึ พระอนิ ทร์สงสารนางรจนาจึงลงมาทา้ ตคี ลี ไวไ้ ปใหน้ างบษุ บา ส่วนนางมะเดหวพี านางบษุ บา พนนั เอาบา้ นเมือง ทา้ วสามลขอใหเ้ จา้ เงาะช่วย มาเส่ียงทายเรื่องคูค่ รองระหวา่ งอิเหนากบั จรกาท่ี นางรจนาขอร้องใหเ้ จา้ เงาะช่วยทา้ วสามล เจา้ เงาะ วหิ าร เมื่ออิเหนาทราบจึงแอบอยหู่ ลงั พระปฏิมา ยนิ ยอมทำ� ตามที่นางรจนาขอร้อง จึงถอดรูปเป็น และตอบคำ� ถามการเส่ียงทายของนางบุษบาจน พระสงั ขเ์ พอื่ ตคี ลปี ้องกนั บา้ นเมอื งแทนทา้ วสามล กระทง่ั นางมะเดหวจี บั พริ ุธได้ อิเหนาจึงคาดค้นั และสามารถป้องกนั บา้ นเมอื งไวไ้ ด้ ทา้ วสามลจึง นางมะเดหวใี หช้ ่วยเหลอื ตน ใหน้ างรจนาและเจา้ เงาะกลบั เขา้ วงั ๒. คาวี ตอน เผาพระขรรค์ ชุบตวั หึง ๔. สังข์ศิลป์ ชัย (ภาคตน้ ) ตอน ตกเหว นางจนั ทร์สุดาภรรยาของคาวอี าบน้ำ� แลว้ นำ� ตามหา เห็นนิมติ เสน้ ผมของตนซ่ึงมกี ลิน่ หอมใส่ในผอบลอยน้ำ� ไป ทา้ วสนั นุราชเกบ็ ได้ เกิดหลงใหล จึงใหน้ างเฒา่ สังขศ์ ิลป์ ชยั และสิงหราสามารถนำ� ตวั นาง ทศั ประสาทมาลวงฆา่ คาวี โดยการเผาพระขรรคท์ ่ี เกสรสุมณฑา และนางศรีสุพรรณ ธิดาของนาง คาวฝี ากดวงใจเอาไว้ เพอื่ ชิงนางไป แตห่ ลวชิ ยั มา เกสรสุมณฑาคนื มาได้ ขณะอยกู่ ลางป่ า กมุ ารท้งั ชว่ ยคาวไี วไ้ ด้ หลวชิ ยั ปลอมเป็นฤษี เสกใหค้ าวตี วั เลก็ ใส่ในยา่ มแลว้ ตามไปที่เมอื ง ไดจ้ งั หวะท่ีทา้ ว สนั นุราชอยากชบุ ตวั ใหห้ น่มุ จงึ อาสาทำ� พธิ ีใหแ้ ลว้ ฆา่ ทา้ วสนั นุราช คาวสี วมรอยเป็นร่างทชี่ ุบตวั แลว้ ไปหานางจนั ทร์สุดา นางคนั ธมาลเี หน็ ดงั น้นั กเ็ กิด อาการหึงหวง เพราะคดิ วา่ เป็นสามีตนท่ีชุบตวั มา

56 หกคิดริษยาเกรงพระราชบิดาจะยกราชสมบตั ิให้ ๖.กรุงพาณชมทวปี ตอนกำ� เริบฤทธ์ิ อวตาร สงั ขศ์ ิลป์ ชยั จึงออกอบุ ายผลกั สงั ขศ์ ิลป์ ชยั ตกเหว เจา้ กรุงพาณยกกำ� ลงั พลไปชมทวีป ไดพ้ บ นางเกสรสุมณฑาและนางศรีสุพรรณคร่ำ� ครวญถงึ เทวดาและนางฟ้าในอทุ ยานบนสวรรค์ จึงสำ� แดง สงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั เอาสไบทรงและชอ้ งผมปักไวช้ ายน้ำ� กิริยาหยาบหยอกนางฟ้า เหล่าเทวดาพากนั หา้ มก็ เพอ่ื เป็นของเส่ียงทายวา่ ถา้ สงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั ยงั มชี ีวติ อยู่ ไมฟ่ ัง เกิดตอ่ สูก้ นั เทวดาสูไ้ มไ่ ดจ้ ึงไปร้องเรียน ขอใหน้ างไดส้ ่ิงของคืนมาภายหลงั กมุ ารท้งั หก พระอนิ ทร์ พระอนิ ทร์พาเหลา่ เทวดาไปร้องทกุ ข์ พานางเกสรสุมณฑาและนางศรีสุพรรณกลบั มาถงึ ตอ่ พระนารายณ์ พระนารายณเ์ ห็นวา่ เจา้ กรุงพาณ นครปัญจาล เป็นคนโปรดของพระอศิ วร จงึ ไปเลา่ ใหพ้ ระอศิ วร ฟัง พระอิศวรจึงใหพ้ ระนารายณ์อวตารลงมาเป็น ๕. สังข์ศิลป์ ชัย (ภาคปลาย) ตอน คนื ลำ� เนา กฤษณกมุ ารและประทานแหวนวเิ ศษ เพอ่ื ใชป้ ราบ เขา้ เมอื ง ตอ้ นรับ เจา้ กรุงพาณ ๗. รามเกยี รต์ิ ตอน ศรู ปนขา ตสี ีดา เมอ่ื ถงึ นครปัญจาล ศรีสนั ทผ์ เู้ ป็นพใ่ี หญช่ ิง นางศรู ปนขากำ� ลงั เท่ียวชมป่ า ระหวา่ งน้นั กราบทลู เป็นความเทจ็ ถงึ ความสามารถของตนตอ่ ไดพ้ บกบั พระราม พระลกั ษมณ์ และนางสีดานาง ทา้ วเสนากฏุ วา่ สามารถพาพระเจา้ อาและพระธิดา ศรู ปนขาหลงรกั พระราม จงึ แปลงกายเป็นหญงิ งาม กลบั มาได้ นายสำ� เภาจีนนำ� สไบทรงและชอ้ งผม ไปแนะนำ� ตวั แตพ่ ระรามไมส่ นใจ เพราะพระราม เสี่ยงทายท่ีเกบ็ ไดม้ าถวาย นางเกสรสุมณฑาและ มนี างสีดาเป็นคคู่ รองอยแู่ ลว้ จงึ แนะนำ� พระลกั ษมณ์ นางศรีสุพรรณทรงโศกเศร้าถึงสงั ขศ์ ิลป์ ชยั ทา้ ว ใหน้ าง แตพ่ ระลกั ษมณก์ ค็ นื กลบั ไปใหพ้ ระรามอกี เสนากฏุ ทราบความจริงยงั ไมท่ รงเช่ือ แตย่ อมเสดจ็ นางศรู ปนขาคดิ วา่ เหตเุ กิดจากนางสีดาเพยี งผเู้ดียว กรีธาทพั ออกติดตามสงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั ฝ่ายสงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั จงึ เขา้ ไปทำ� รา้ ยนางสีดา พระรามสง่ั ใหพ้ ระลกั ษมณ์ น้นั พระอนิ ทร์ชว่ ยใหพ้ น้ จากเหวไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ทำ� ลายโฉมของนางศรู ปนขา พระลกั ษมณจ์ ึงตดั หู และจมกู ของนาง การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “สังขศ์ ิลป์ ชยั ” ตอนตกเหว ๘. อณุ รุท จากหนงั สือ พระประวัติและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ เหลา่ เทวดารีบมาแจง้ เหตตุ อ่ พระจกั รกฤษณ์ กรมศิลปากร วา่ เจา้ กรุงพาณจบั พระอุณรุทมดั ประจานไวท้ ี่ ยอดปราสาท พระจกั รกฤษณ์จึงทรงครุฑมาช่วย และมอบแหวนวเิ ศษไวใ้ หพ้ ระอณุ รุทเพอ่ื ปราบเจา้ กรุงพาณ ท้งั สองไดไ้ ปตอ่ สูก้ นั ที่เขาอญั ชนั พระ อณุ รุทกป็ ราบเจา้ กรุงพาณไดส้ ำ� เร็จ ๙. มณพี ชิ ัย พราหมณย์ อพระกลนิ่ ไดข้ า่ ววา่ ทา้ วพชิ ยั นรุ าช

57 ประกาศหาคนมารักษานางจนั ทรซ่ึงถูกงูกดั หมด อษุ าต้งั ครรภ์ ตอ่ มาแสนปมทราบขา่ ววา่ พระบิดา สติไป พราหมณจ์ ึงรบั อาสารักษานางจนั ทร และ ประชวรหนกั จึงเดินทางกลบั บา้ นเมอื ง โดยไม่ ทำ� อบุ ายใหน้ างจนั ทรยอมเผยความชว่ั ร้ายของนาง ทราบวา่ นางอษุ าต้งั ครรภ์ เมอ่ื นางใหก้ ำ� เนิดกมุ าร ท่ีเคยใส่ร้ายตนไว้ แลว้ ขอตวั มณีพิชยั ไปตามคำ� กไ็ มย่ อมบอกวา่ ใครเป็นบดิ าของเดก็ ทา้ วไตรตรึงษ์ สญั ญากอ่ นการรักษา เมอ่ื มาอยดู่ ว้ ยกนั พราหมณ์ จึงคดิ วธิ ีหาบิดาใหก้ มุ าร โดยการป่ าวประกาศให้ พยายามทดลองใจมณีพชิ ยั ตา่ ง ๆ เช่น แปลงกาย เจา้ เมืองตา่ ง ๆ รวมท้งั ราษฎรนำ� ขนมมาถวาย ถา้ เป็ นสาวงามมาใกลช้ ิด แต่มณีพิชยั ก็ยงั คงมีใจ กมุ ารกินขนมของผใู้ ด กถ็ ือวา่ ผนู้ ้นั เป็นบิดาของ ซื่อสตั ยต์ อ่ ยอพระกลนิ่ กมุ ารและจะไดอ้ ภเิ ษกกบั นางอษุ า กมุ ารกินขนม ของแสนปม ทำ� ใหท้ า้ วไตรตรึงษอ์ บั อายและขบั ไล่ บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ นางอุษาออกจากเมือง แสนปมจึงแสดงตนเป็น พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู วั เจา้ ชายชินเสน ทา้ วไตรตรึงษจ์ ึงยกนางอษุ าให้ ๑. ศกนุ ตลา สาสน์ รกั ทน่ี างอษุ าเขยี นตอบทา้ วแสนปมซ่ึง ทา้ วทุษยนั ตเ์ สดจ็ ประพาสป่ าลา่ สตั ว์ แลว้ มคี วามไพเราะ เอ้อื สุนทรสนานหวั หนา้ วงดนตรี ตามกวางมาถงึ อาศรมกณั วะฤษี จึงเขา้ ไปนมสั การ คณะสุนทราภรณ์ไดน้ ำ� ตอนหน่ึงมาเป็นคำ� ร้องใน พบแตเ่ พยี งนางศกนุ ตลา และไดน้ างเป็นชายา ทา้ ว ทำ� นองเพลงไทยสากลที่แตง่ ข้นึ ใหมม่ วี า่ ทษุ ยนั ตไ์ ดม้ อบแหวนใหน้ างแลว้ เดนิ ทางกลบั พระ นคร วนั หน่ึงฤษที รุ วาสมาเรียกที่หนา้ อาศรม แต่ ในลกั ษณน์ นั้ หนานา่ ประหลาด นางเศรา้ โศกจงึ ไมไ่ ดอ้ อกไปตอ้ นรบั ฤษโี กรธและ เปน็ เชอ้ื ชาตนิ กั รบกลนั่ กลา้ สาปใหค้ นรักจำ� นางไมไ่ ด้ คร้ันฤษรี ู้วา่ นางไมไ่ ด้ เหตไุ ฉนยอ่ ทอ้ รอรา ต้งั ใจ จงึ แกค้ ำ� สาปวา่ หากทา้ วทษุ ยนั ตเ์หน็ แหวนให้ หรอื จะกลา้ แตเ่ พยี งวาที จำ� นางได้ เมอื่ กณั วะฤษที ราบเรื่องกส็ ่งนางไปถวาย เหน็ แกว้ แวววบั ทจี่ บั จติ ทา้ วทษุ ยนั ต์ ระหวา่ งทางนางทำ� แหวนตกหายไปใน ไยไมค่ ดิ อาจเออ้ื มใหเ้ ตม็ ที่ แมน่ ้ำ� ทา้ วทษุ ยนั ตจ์ ึงจำ� นางไมไ่ ด้ จนกระทง่ั ชาว เมอ่ื ไมเ่ ออื้ มจะไดอ้ ยา่ งไรมี ประมงจบั ปลาทก่ี ลนื แหวนได้ แลว้ นำ� ไปถวายทา้ ว อนั มณหี รอื จะโลดไปถงึ มอื ทษุ ยนั ต์ พระองคเ์ ห็นแหวนกจ็ ำ� นางศกนุ ตลาได้ อนั ของสงู แมป้ องตอ้ งจติ ๒. ท้าวแสนปม ถา้ ไมค่ ดิ ปนี ปา่ ยจะไดห้ รอื เจา้ ชายชินเสนแห่งศิริชยั เชียงแสนไดย้ ิน ไมใ่ ชข่ องตลาดทอ่ี าจซอ้ื เสียงร่ำ� ลือถึงความงามของนางอษุ า ธิดาเจา้ เมือง ฤาแยง่ ยอ้ื ถอื ไดโ้ ดยไมย่ อม ไตรตรึงษ์ กป็ ลอมตวั เป็นชายอปั ลกั ษณม์ แี ตป่ ่มุ ปม ไมค่ ดิ สอยมวั คอยดอกไมร้ ว่ ง เตม็ ตวั จึงไดช้ ่ือวา่ แสนปม และไปขออาศยั อยใู่ น คงชวดดวงบปุ ผชาตสิ ะอาดหอม ราชอทุ ยานเมอื งไตรตรึงษ์ วนั หน่ึงนางอษุ ามาชม ดแู ตภ่ มุ รนิ เทยี่ วบนิ ดอม สวนและไดพ้ บแสนปมกผ็ กู สมคั รรักใคร่จนนาง จงึ ไดอ้ อมอบกลน่ิ สมุ าลี

58 ๓. พระเกยี รตริ ถ การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ รื่อง “จนั ทกินรี” ทา้ วเกียรตริ าชเสดจ็ ตามกวางทองทพี่ ระนาง อินทิราพระมเหสีฝันเห็น แลว้ หลงทางเขา้ ไปใน ดวงดาวใหเ้ ป็นนางฟ้าเพอื่ ไปทำ� ลายพธิ ี คร้นั สอง ดินแดนของยกั ษช์ ่ือวา่ ภมี าสูร จึงถกู จบั แตร่ อด พน่ี อ้ งไดเ้ หน็ กเ็ กิดความหลงใหล เกิดการทะเลาะ ชีวิตมาไดโ้ ดยสญั ญากบั ยกั ษว์ า่ จะมอบของท่ีมีผู้ แยง่ ชิงกนั จนฆา่ กนั ตายท้งั คู่ พระอนิ ทร์จึงชุบชีวติ ถวายใหต้ นเองน้นั แก่ยกั ษ์ เม่ือพระมเหสีประสูติ ยกั ษส์ องพนี่ อ้ งและสง่ั สอน เมอ่ื สองพนี่ อ้ งสำ� นึก พระโอรสชื่อวา่ พระเกียรติรถ กน็ ำ� มาถวายทา้ ว ผดิ พระอนิ ทร์จึงพานางฟ้าดวงดาวกลบั ไป เกียรติราช ทา้ วเกียรติราชขอผดั ใหพ้ ระเกียรติรถ อายคุ รบ ๒๐ ปี จึงจะยกใหแ้ กย่ กั ษ์ แตเ่ มื่อครบ ๓. จนั ทกนิ รี กำ� หนดเวลากป็ ระชวรหนกั พระเกยี รตริ ถไดท้ ราบ ทา้ วพรหมทตั เสดจ็ ประพาสป่ า เห็นกินรา วา่ เพราะพระบดิ าเสียดายพระโอรส พระเกียรตริ ถ กนิ รีคหู่ น่ึง กเ็ กิดหลงรกั นางกินรี อยากไดน้ างเป็น จึงตกลงมอบพระองคเ์ องแกย่ กั ษต์ ามสญั ญา ชายา เหลา่ อำ� มาตยย์ ยุ งใหฆ้ า่ กินรา ทา้ วพรหมทตั สงั หารกินราและเจรจากบั นางกินรีเพอื่ ใหน้ างมา บทพระนิพนธ์ในสมเดจ็ พระเจ้าบรม- เป็นชายา แตน่ างไมย่ อม บินหนีข้นึ ไปบนตน้ ไม้ วงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุน ทา้ วพรหมทตั จึงเสดจ็ กลบั เมอื ง นางกินรีเสียใจท่ี เพช็ รบรู ณ์อนิ ทราชัย สามตี ายจงึ รอ้ งขอใหเ้ ทวดาชว่ ย รุกขเทวดาเหน็ ใจ ในความรกั ทนี่ างมตี อ่ สามี จงึ ชว่ ยชบุ ชีวติ กนิ ราให้ ๑. พระยศเกตุ ฟ้ืนคนื มาอกี คร้งั พระยศเกตุไดท้ ราบถึงความงามของนาง เมธาวดีตามคำ� ทลู ของอำ� มาตย์ กอ็ ยากพบนาง จึง บทพระนิพนธ์ ในพระเจ้ าวรวงศ์ เธอ ทรงฝากบา้ นเมอื งใหอ้ ำ� มาตยด์ แู ลแลว้ ใหพ้ อ่ คา้ ชื่อ พระองค์เจ้าอาทติ ย์ทพิ อาภา วา่ นิธิชยั พาไปพบนางท่ีทะเลสาบ เมอ่ื พบนางก็ อยากไดน้ างเป็นชายา จึงกระโดดน้ำ� ตามไป และ วาสันตี ไดเ้ จอกบั นางตามประสงค์ จึงขอนางเมธาวดีเป็น ทา้ วรนชิตตอ้ งการไดเ้ มืองอโยธยา จึงออก ชายา โดยนางมขี อ้ แมว้ า่ หา้ มถามและทดั ทานการ อบุ ายใหท้ รุ มขุ แปลงเป็นฤษี และวริ ูปักษแ์ ปลงเป็น ไปธุระเดด็ ขาด เมอ่ื นางไปธุระ พระยศเกตกุ แ็ อบ ตามไป เห็นยกั ษก์ ำ� ลงั อมนางอยู่ กโ็ กรธและฆา่ ยกั ษต์ าย จึงทำ� ใหน้ างพน้ จากคำ� สาป และพานาง กลบั บา้ นเมอื งในท่ีสุด ๒. สองกรวรวกิ สองกรและวรวกิ ยกั ษส์ องพี่นอ้ งแคน้ ใจที่ บดิ าตายเพราะเหลา่ เทวดา จงึ ไดท้ ำ� พธิ ีกอ่ กวนเทวดา บนสวรรค์ เม่ือพระอินทร์ทราบเรื่อง จึงเนรมิต

59 หญงิ งามนามวา่ วาสนั ตี เขา้ ไปในเมอื งอโยธยาเพอื่ อาณาจกั รมอญทเี่ มอื งหริภญุ ชยั หรือลำ� พนู พอ่ ขนุ ทำ� ลายความสามคั คใี นบา้ นเมอื ง ทา้ วสุเมธเหน็ นาง เมง็ รายปรารถนาจะปลดแอกจากการปกครองทก่ี ดข่ี วาสนั ตีจึงขอรับนางไปเล้ียงดูในวงั เป็นธิดา เม่ือ ทารุณของมอญ จึงวางอบุ ายใหอ้ า้ ยฟ้าผเู้ ป็นนาย นางเขา้ วงั มา กท็ ำ� ใหบ้ รรดาพ่นี อ้ งบาดหมางกนั ทหารคนสนิทคดั คา้ นแผนการของพระองค์ แลว้ เมื่อยกั ษย์ กทพั มา ทา้ วสุเมธจึงจดั พิธีบวงสรวง ใหโ้ บยและเนรเทศ อา้ ยฟ้าจึงล้ีภยั ไปอาศยั บารมี เทวดา พระเทพบิดรมาปรากฏตวั และขบั ไลน่ าง ของพญายบี า จากน้นั กย็ ใุ หม้ อญแตกแยกกนั ใน วาสนั ตี เม่ือทุกคนรู้วา่ นางวาสนั ตีเป็นยกั ษ์ จึง ทส่ี ุดพอ่ ขนุ เมง็ รายกต็ เี มอื งหริภญุ ชยั ไดส้ ำ� เร็จ และ กลบั มาสามคั คกี นั และรบชนะยกั ษใ์ นท่ีสุด ต้งั อาณาจกั รลา้ นนาเป็นปึกแผน่ ตอ่ มาส่วนพระราช- ธิดาของพญายบี าทรี่ กั ใคร่ชอบพอกบั พอ่ ขนุ เมง็ ราย บทประพนั ธ์ของสมภพ จนั ทรประภา กโ็ กรธและเสียใจ จึงเดินทางกลบั ไปหงสาวดี บทประพนั ธข์ องสมภพ จนั ทรประภาทน่ี ำ� มา ๓. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช แสดงเป็นบทละครเวทีมีหลายเร่ืองคือ นางเสือง สมเดจ็ พระนเรศวรเสดจ็ ไปเป็นตวั ประกนั ที่ พอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราช สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เมืองหงสาวดีต้งั แต่ยงั ทรงพระเยาว์ ต่อมาเมื่อ ศรีธรรมาโศกราช และชีสิน พระชนั ษาไดป้ ระมาณ ๑๕ ปี พระมหาธรรมราชา พระราชบดิ าผคู้ รองกรุงศรีอยธุ ยานำ� พระพน่ี างของ ๑. นางเสือง สมเดจ็ พระนเรศวรคอื พระสุพรรณกลั ยา ไปแลก พอ่ ขนุ บางกลางท่าวซ่ึงเป็นเจา้ เมืองบางยาง สมเดจ็ พระนเรศวรทรงแสดงความสามารถทางการ และชายาคอื นางเสือง เดินทางมาท่ีเมืองฉอดเพอื่ รบใหพ้ ม่าเห็นหลายคร้ัง พระเจา้ นนั ทบุเรงแห่ง เยยี่ มเยยี นพอ่ ขนุ ผาเมืองกบั ชายาคือนางสิขรเทวี โขลญลำ� พง อปุ ราชขอมซ่งึ เป็นผปู้ กครองหวั เมอื งไทย การแสดงละครเวทีเร่ือง “สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช” เรียกเกณฑค์ นไทยใหไ้ ปสร้างปราสาท แตพ่ อ่ ขนุ บางกลางทา่ วและนางเสืองคดั คา้ น ทำ� ใหโ้ ขลญลำ� พง ไมพ่ อใจ พอ่ ขนุ บางกลางทา่ วชวนพอ่ ขนุ เมอื งตา่ งๆ พร้อมนางเสืองไปเจรจากบั พอ่ ขนุ ผาเมืองใหช้ ่วย นำ� ทพั สูข้ อมเพอ่ื ความเป็นไท กองทพั ไทยร่วมมอื กนั โจมตีสุโขทยั สำ� เร็จ พอ่ ขนุ ผาเมอื งเขา้ ยดึ เมอื ง ได้ และยกเมอื งสุโขทยั ใหแ้ กพ่ อ่ ขนุ บางกลางทา่ ว พร้อมกบั สถาปนาใหเ้ ป็น พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ นางเสืองจึงเป็นแมเ่ มอื งสุโขทยั นบั เป็นพระราชินี พระองคแ์ รกของไทย ๒. พ่อขนุ เมง็ รายมหาราช พ่อขุนเม็งรายปกครองคนไทยอยู่ที่เมือง เชียงแสน ซ่ึงเป็นเมอื งข้นึ ของพญายบี า ผปู้ กครอง

60 ๕. บทสรุป พมา่ จึงคดิ กำ� จดั แตไ่ มส่ ามารถทำ� สำ� เร็จ สมเดจ็ ละครดึกดำ� บรรพเ์ ป็นละครท่ีพฒั นามาจาก พระนเรศวรจึงทรงประกาศอสิ รภาพ และกระทำ� ละครรำ� รูปแบบละครในและละครนอกของหลวง ยทุ ธหตั ถีกบั พระมหาอุปราชามงั รายกะยอฉะวา โดยปรับปรุงการแสดงให้เหมาะสมกบั ยุคสมยั จนขาดคอชา้ ง กลา่ วคือ มีการสร้างสรรคใ์ หด้ ูสมจริงมากข้ึน ตวั ละครร้องและเจรจาดว้ ยตนเอง ใชฉ้ ากซ่ึงสร้าง ๔. ศรีธรรมาโศกราช ใหเ้ หมือนสถานท่ีจริงตามทอ้ งเร่ืองแทนการร้อง พระเจา้ ศรีธรรมาโศกราช ผคู้ รองเมืองนคร บรรยายฉาก การแตง่ หนา้ และการแตง่ กายกแ็ ตง่ ศรีธรรมราช รับสง่ั ใหศ้ รีธรรมา ซ่ึงเป็นราชโอรส และออกแบบใหด้ ูสมจริงกวา่ เดิม เพิ่มอรรถรส อญั เชญิ ราชสาสน์ ไปเชอื่ มสมั พนั ธไมตรีกบั พระเจา้ ของเพลงใหห้ ลากหลายท้งั ทำ� นองและการขบั ร้อง กรุงศรีวชิ ยั ณ เมอื งปาเลม็ บงั ศรีธรรมากบั กสุ ุมา เพอ่ื ใหส้ ่ืออารมณล์ ะครมากข้นึ พระราชธิดาแห่งศรีวชิ ยั เกิดรกั ใคร่ชอบพอกนั แต่ นางเป็นคู่หม้นั หมายของอศั มาหรา พระญาติผพู้ ่ี ละครดึกดำ� บรรพร์ ะยะแรกเป็ นการนำ� บท ศรีธรรมาจำ� ลากลบั มายงั นครศรีธรรมราชและได้ ละครในและบทละครนอกมาดดั แปลง ต่อมามี พบโนรีท่ีหลงรักพระองคเ์ พียงขา้ งเดียว ต่อมา การแตง่ ข้นึ ใหมอ่ กี มาก และแนวทางการแสดงก็ พระเจา้ กโุ ลตนแห่งอินเดียใตย้ กกองทพั มาโจมตี มีการปรับเปล่ียนไปตามสมยั ละครดึกดำ� บรรพ์ นครศรีธรรมราช พระเจา้ ศรีวชิ ยั ส่งอศั มาหรามา ไดร้ ับการอนุรักษแ์ ละพฒั นาตอ่ มาต้งั แตก่ ารริเร่ิม ช่วยรบ ส่วนกสุ ุมาปลอมเป็นชายติดตามมาดว้ ย ในรชั กาลที่ ๕ จนถงึ ปัจจบุ นั อยา่ งตอ่ เน่ือง ฝ่ายนครศรีธรรมราชมชี ยั แตอ่ ศั มาหราตายในทรี่ บ ศรีธรรมากบั กสุ ุมาจึงไดค้ รองคกู่ นั สืบมา การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ป็นการแสดงท่ี ๕. ชีสิน ยาก เพราะผแู้ สดงตอ้ งมคี วามสามารถท้งั การร้อง พลี อ่ โกะ๊ ผคู้ รองเมืองน่านเจา้ และเป็นใหญ่ การร�ำ และการแสดงอารมณ์ของตวั ละคร จึง เหนือเมืองอื่น ๆ เรียกประชุมเพอื่ ทำ� พธิ ีเซ่นไหว้ จดั แสดงไดเ้ ป็ นคร้ังคราว และจดั การเรียนการ บรรพชนประจำ� ปี หลงั เสร็จพธิ ีมกี ารปรึกษาหารือ สอนเป็นวชิ าในหลกั สูตรนาฏยศิลป์ ช้นั สูงเทา่ น้นั ขอ้ ราชการ เจา้ เมอื งหลายคนกลา่ วหาพลี อ่ โกะ๊ วา่ ละครดึกดำ� บรรพจ์ ึงเป็นนาฏศิลป์ ท่ีประณีต ทรง คดิ รวบอำ� นาจ ทำ� ใหข้ นุ นางผใู้ หญไ่ มพ่ อใจในงาน คุณคา่ ทางศิลปะและวฒั นธรรมของชาติท่ีสมควร เล้ียงจึงจุดไฟคลอกเจา้ เมืองตาย แต่ช่วยพลี ่อโก๊ะ ไดร้ บั การอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาใหย้ ง่ั ยนื สืบไป ใหร้ อดมาได้ เมอ่ื นางชสี ินและบรรดาภริยาเจา้ เมอื ง ดเู พม่ิ เตมิ เรื่อง วฒั นธรรมทางละครไทย(ละครรำ� ) อื่น ๆ พากนั มารับศพสามีกลบั เมือง พลี อ่ โกะ๊ ได้ เลม่ ๒๓ พบนางชีสินกห็ ลงรัก แตน่ างปฏเิ สธ จึงยกทพั ไป หมายชิงนาง แตน่ างชีสินบญั ชาการรบเมอ่ื พา่ ยแพ้ จึงฆา่ ตวั ตาย

61 บรรณานุกรม จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .รายงานการรวบรวมข้อมลู ทางประวตั ศิ าสตร์ หลกั การบรรเลงการขบั ร้องและ โน๊ตเพลง โครงการดนตรีไทย-ปี่ พาทย์ดกึ ดำ� บรรพ์ พ.ศ. ๒๕๓๐. พระนคร: สำ� นกั พมิ พแ์ ห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๐. ดำ� รงราชานุภาพ,สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยา. “ตำ� นานละคอนดึกดำ� บรรพ.์ ” ประชุมบทละคร ดกึ ดำ� บรรพ์ฉบบั สมบรู ณ์. พระนคร: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร์, ๒๔๘๖. นริศรานุวดั ติวงศ,์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้า กรมพระยา และพระยาอนุมานราชธน. ชุมนุมบท ละคอนและบทคอนเสิต. พระนคร: ศวิ พร, ๒๕๐๖. บทลครดกึ ดำ� บรรพ์ของสมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเทอ เจ้าฟ้าจฑุ าธุชธราดลิ ก กรมขนุ เพชรบูรณอนิ ทราชัย ทรงพระนพิ นธ์.หมอ่ มเจา้ หญงิ บญุ จริ าทรใหพ้ มิ พข์ ้นึ แจกในงานพระราชกศุ ลปัญญาสมวาร แห่งพระศพสมเดจ็ พระเจา้ ยาเธอพระองคน์ ้นั ณ วนั ท่ี ๒๖ สิงหาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๖, ม.ป.ท.: ม.ป.ป. ปิ่นมาลากลุ ,หมอ่ มหลวง. งานละครของพระบาทสมเดจ็ พระรามาธบิ ดศี รีสินทรมหาวชิราวธุ พระมงกฎุ เกล้าแผ่นดนิ สยาม. พระนคร: ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๗. วาสันตี พระนพิ นธ์ พระเจ้าวรวงศ์เทอ พระองค์เจ้าอาทติ ย์ทพิ อาภา. พมิ พแ์ จกในงานฉลองชนมายคุ รบ ๓ รอบ หมอ่ มกอบแกว้ อาภากร นะ อยธุ ยา ๕ เมสายน ๒๔๘๗, พระนคร: โรงพมิ พก์ รม รถไฟ, ๒๔๘๗. สุรพล วริ ุฬหร์ กั ษ.์ นาฏยศิลป์ รัชกาลท่ี ๕. พระนคร: กรมศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม, ๒๕๕๓. . นาฏยศิลป์ รัชกาลที่ ๙. พระนคร: สำ� นกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙. . ววิ ฒั นาการนาฏยศิลป์ ไทยในกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๗๗. พระนคร: สำ� นกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓.

2

ฉ14: 17(เร่ิมหนา้ 5), 26, 25, 17 พ.ค. / 30, 29, 21, 11 ม.ี ค. / 19 ธ.ค. / 21 / 20 / 15 ม.ค. / 28 ธ.ค. /9 ต.ค. / 2 ก.ย. 3 ศ1: 7 มิ.ย. 10 ม.ี ค. รอเด่ียวจัดภาพ (19 ธ.ค-10 มคี .) 3 พ.ย. 58 รบั 25 ธ.ค. โนรา พทิ ยา บษุ รารตั น์ ผู้เขยี น ส่วนเด็กเลก็ พสิ มยั จันทวิมล ผเู้ รียบเรียง เสียงรอ้ งสำ� เนยี งภาคใต้ “ออ ออ ออ แอออ อา รกั ออ งาม” …ก่อน เสียงร้องพร้อมเสียงดนตรีลอยมาพร้อมกับเครื่องดนตรีให้จังหวะเร้าใจ ท้ัง เสียงโทน กลอง ฉิ่ง ปี่ และฆ้อง ท่ีดังมาในยามค�่ำคืน ในชนบทภาคใต้ บ่งบอกวา่ ได้เรมิ่ การแสดงมหรสพพนื้ บ้าน “โนรา” ขึ้นแล้ว โนราเปน็ ศลิ ปะการรา่ ยรำ� พน้ื บา้ นทสี่ บื ทอดกนั มาชา้ นานในพน้ื ทภี่ าคใต้ จากบรรพบรุ ุษโนราสรู่ ุ่นลกู รนุ่ หลาน จนถงึ ปจั จุบัน ไดร้ บั ความนยิ มอย่าง แพรห่ ลายในภาคใตต้ อนบนและตอนกลาง ตงั้ แตจ่ งั หวดั ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรีธรรมราช ระนอง พงั งา กระบ่ี ตรงั พัทลงุ และสงขลา มที ้ังการ

4 แสดงในพิธีกรรมไหว้ครูหมอโนรา การแก้บน รวมท้ังการแสดงเพ่ือความ บันเทงิ ในเทศกาลตา่ ง ๆ ศลิ ปะการแสดงทสี่ บื ทอดกนั มาจากครหู มอโนราในอดตี มที ง้ั ทา่ รำ� การท�ำบทร้องเป็นกลอนสด และการฝึกฝนความสามารถในการแก้ค�ำและ ร้องโตต้ อบได้อยา่ งทนั ควัน ตวั แสดงแตเ่ ดิมมีแต่ผู้ชายเป็นผเู้ ล่นหลกั เพยี ง ๓ ตวั ไดแ้ ก่ นายโรง หรือตวั ยนื เครอ่ื ง ๑ ตัว ตวั นาง ๑ ตวั และตวั ตลกหรอื จำ� อวด ๑ ตวั เครอื่ ง แตง่ กายโนรามสี สี นั สดใสงดงาม เรอ่ื งทน่ี ยิ มนำ� มาแสดง ไดแ้ ก่ เรอ่ื ง พระสธุ น -นางมโนหร์ า ซงึ่ ตวั นายโรงเลน่ เปน็ พระสธุ น ตวั นางเปน็ มโนหร์ า ตวั จำ� อวด เปน็ พรานบุญ นอกจากนี้ก็มเี รื่อง สังข์ทอง ไกรทอง เป็นต้น

5 ปจั จบุ นั มคี ณะโนรา หลายคณะที่มผี หู้ ญงิ เล่นเปน็ ตวั นาง และมตี วั แสดงจำ� นวน มากขน้ึ กวา่ เดมิ บางคณะอาจ มถี งึ ๑๕-๒๐ คน นอกจากนี้ ยงั มกี ารนำ� เครอ่ื งดนตรสี ากล เขา้ มาประกอบการแสดง เชน่ กลองชดุ กตี าร์ ออรแ์ กนไฟฟา้ เชอื่ กนั วา่ คงไดร้ บั อทิ ธพิ ลมา จากวงดนตรลี กู ทงุ่ ซง่ึ เปน็ ทน่ี ยิ ม ในชนบท การสอนฝกึ ร�ำโนราในท่าตา่ ง ๆ

6 สว่ นเดก็ กลาง พสิ มยั จนั ทวมิ ล ผูเ้ รยี บเรยี ง โนรา หรอื มโนราห์ (อาจเขยี นเปน็ มโนหร์ า) เปน็ ศลิ ปะการแสดงพนื้ บา้ นซง่ึ เปน็ ที่นิยมของคนภาคใตม้ าแตโ่ บราณ จากคำ� บอกเลา่ ของครโู นรา ผรู้ ู้ในทอ้ งถ่ิน ข้อเขยี นและ ต�ำนานท้องถนิ่ ทบ่ี นั ทึกข้อคิดเห็นของนักวชิ าการ สรปุ ได้ ๓ แนวทาง แนวทางแรกอธบิ าย ว่า โนรามีแหลง่ กำ� เนดิ ในกรุงศรีอยธุ ยาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๖๕ แนวทางที่ ๒ อธิบายวา่ โนรา เกิดขน้ึ ในพืน้ ทีภ่ าคใต้ โดยได้รบั อทิ ธพิ ลของรูปแบบการแสดงมาจากอินเดียและชวา สว่ น แนวทางที่ ๓ อธบิ ายวา่ โนราเกดิ ขน้ึ เองในพนื้ ทภี่ าคใต้ โดยมจี งั หวดั พทั ลงุ เปน็ แหลง่ กำ� เนดิ เปน็ ศลิ ปะการฟอ้ นรำ� ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องภาคใตท้ ไี่ ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งกวา้ งขวางในจงั หวดั ตา่ งๆ ทง้ั ภาคใตต้ อนบนและตอนกลาง นบั ตงั้ แตจ่ งั หวดั ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช ระนอง พงั งา กระบ่ี ตรัง พัทลุง และสงขลา โนราเป็นการแสดงที่มีท้ังการร่ายร�ำและการร้อง มีบทร้องเป็นกลอนสดที่ผู้เล่น ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ สรรหาค�ำที่สัมผัสกันได้อย่างฉับไวไพเราะ มีความหมายลึกซึ้ง กลมกลนื กนั ทงั้ บทรอ้ งและทา่ รำ� ทงั้ ยงั ตอ้ งมคี วามสามารถในการรอ้ งโตต้ อบ แกค้ ำ� ไดอ้ ยา่ ง ฉับพลันและคมคาย องค์ประกอบและวธิ ีการเล่นโนรา การแสดงโนรามีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ประการแรก เป็นการประกอบ พธิ กี รรมศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ เ่ี รยี กวา่ “โนราโรงคร”ู เพอ่ื นอ้ มรำ� ลกึ ถงึ คณุ ปู การของครหู มอโนรา หรอื บูรพาจารยท์ ีล่ ่วงลับไปแล้ว รวมท้ังพธิ ีกรรมอื่น ๆ เช่น การแกบ้ น การครอบเทริด (ออก เสียงว่า เซิด) คล้ายกับที่ศิลปินภาคกลางมีพิธีไหว้ครูและครอบครู โนราโรงครูจะมีการ ประกอบพิธกี รรมยาวนานถึง ๓ วัน ประการที่ ๒ คือ “โนราเดินโรง” หมายถงึ การแสดง โนราเพอื่ ความบนั เทงิ หรอื เปน็ มหรสพในเทศกาลตา่ งๆ ตามประเพณนี ยิ มพน้ื บา้ น นอกจาก

7 พธิ คี รอบเทริด มีความสำ� คัญทีส่ ดุ ของพธิ กี รรมโนรา เพ่อื เปน็ การสบื สานและสบื ทอดการรำ� โนราจากรุ่นสูร่ นุ่ ตอ่ ไป นยี้ งั มกี ารแสดงพเิ ศษทส่ี บื ทอดมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การร�ำถวายพระพรชัยมงคล หรือตอ้ นรบั อาคันตกุ ะสำ� คญั เครอ่ื งดนตรี เครอ่ื งดนตรที ใี่ ช้การแสดงโนรา ได้แก่ ทับคู่ (โทน หรอื ทับโนรา) กลอง (เปน็ กลองทัดขนาดเล็ก ใหญ่กว่ากลองหนังตะลุงเล็กน้อย) ปี่ เป็นเคร่ืองเป่าช้ินเดียวของวง โหมง่ คอื ฆ้องคู่ ให้เสยี งแหลมและเสยี งทุ้ม ฉิ่ง ๑ คู่ เป็นเครื่องตเี สรมิ แตง่ และเนน้ จงั หวะ แตระ หรือ กรบั มีท้งั กรับอนั เดียวที่ใชต้ กี ระทบรางโหม่ง หรอื กรบั คู่ กรบั พวงที่ใชเ้ รียวไม้ หรือลวดมดั เข้าด้วยกัน ตใี หป้ ลายกระทบกนั ปัจจบุ นั มกี ารพฒั นานำ� เคร่อื งดนตรีสากลเขา้ มาบรรเลงประกอบการแสดง เช่น กลองชุด กีตาร์ ออรแ์ กนไฟฟา้ ในแบบ “โนราสากล” ตวั แสดง เดมิ โนราจะมแี ต่ผชู้ ายเป็นผเู้ ล่นหลักเพียง ๓ ตัว ไดแ้ ก่ นายโรงหรือตัวยืนเครื่อง ๑ ตวั ตวั นางทำ� บทเปน็ ผหู้ ญงิ ๑ ตวั และตวั ตลกหรอื จำ� อวด ๑ ตวั อาจปรากฏในรปู ลกั ษณ์ ของนายพราน ฤษี ยักษ์ ตา ยาย มา้ หรือนก แลว้ แตเ่ น้ือเร่ือง เรอื่ งทน่ี �ำมาเลน่ และเป็นท่ี

8 นยิ มกนั อย่างกว้างขวาง ไดแ้ ก่ เรอ่ื ง รถเสน หรือ พระรถ-เมรี ซ่ึงตวั นายโรงเลน่ เปน็ พระ รถเสน ตัวนางเล่นเป็นนางเมรี ตัวจ�ำอวดเล่นเป็นม้าของพระรถเสน เรื่อง พระสุธน-นาง มโนหร์ า ซง่ึ ตวั นายโรงเลน่ เปน็ พระสธุ น ตวั นางเปน็ มโนหร์ า ตวั จำ� อวดเปน็ พรานบญุ และ ยังมีบทละครเร่ืองอื่น ๆ ท่ีคัดเลือกบางตอนที่มีตัวแสดงน้อยน�ำมาเล่นด้วย เช่น สังข์ทอง ไกรทอง ปจั จุบนั คณะโนราพฒั นาการแสดงอย่างกวา้ งขวาง มีผ้หู ญิงเลน่ เปน็ ตวั นาง และมี ตวั แสดงจำ� นวนมากขน้ึ กวา่ เดมิ บางคณะอาจมปี ระมาณ ๑๕-๒๐ คน เพอ่ื ประกอบพธิ กี รรม และใหค้ วามบนั เทิงแก่ผชู้ ม เครอ่ื งแตง่ กาย เครอ่ื งแตง่ กายโนรามสี สี นั สดใส ตกแตง่ ประดบั ประดาอยา่ งประณตี งดงามไมแ่ พ้ เครอ่ื งแตง่ กายของนาฏศลิ ปไ์ ทยทวั่ ไป แตแ่ ตกตา่ งกนั ตามรปู ลกั ษณจ์ ำ� เพาะของภาคใต้ เชน่ การใช้ “เทริด” เคร่ืองประดับศีรษะของตัวนายโรง ท�ำเป็นรูปมงกุฎอย่างเต้ีย มีกรอบหน้า และดา้ ยมงคลประกอบ อาจสังเกตจากภาพประกอบไดว้ า่ เสื้อผา้ เครอื่ งทรงของตวั แสดง ทั้งพระและนางเป็นเอกลกั ษณข์ องทางใต้มี “เครอ่ื งลกู ปัด” หรือลูกปัดสีตา่ ง ๆ รอ้ ยทับและ การแต่งกายของโนราในปัจจุบนั ตัวพระ (ซ้าย) และตวั นาง (ขวา)

9 รอ้ ยทาบเป็นลวดลายอันวิจิตรงดงาม โดยมี การแตง่ กายของนายพราน และทาสี (ภรรยานายพราน) เคร่ืองตกแต่งหลากชนิด ชิ้นส�ำคัญอาจฝัง เพชรพลอย หรือมีแผ่นเงิน แผ่นโลหะเป็น ส่วนประกอบ เชน่ ซับทรวงหรือทบั ทรวง ปกี นกแอน่ หรอื ปกี เหนง่ หางหงส์ สว่ นอาวธุ ที่ใช้ตามเน้ือเรื่อง เช่น พระขรรค์ คันศร หอก ธนู สำ� หรบั เครอื่ งประดบั ประกอบดว้ ย ก�ำไลทองเหลืองหรือเงิน สวมต้นแขนและ ปลายแขน รวมทง้ั ขอ้ เทา้ ซอ้ นกนั ตำ� แหนง่ ละ ๕-๑๐ วง เพอ่ื วา่ เมอื่ เปลย่ี นทา่ รำ� จะมเี สยี งดงั เปน็ จงั หวะเรา้ ใจ ทโ่ี ดดเดน่ คอื “เลบ็ ” หรอื เครื่องสวมน้ิวมือ ใช้ทองเหลืองหรือเงนิ ท�ำ เปน็ รว้ิ โคง้ งามยามจบั จบี คลา้ ยเลบ็ กนิ นรหรอื กินรี ใช้สวมมอื ละ ๔ นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มอื ) ตัว “พราน” ซึ่งเป็นตัวตลก จะ สวมหนา้ กากใชไ้ มแ้ กะเปน็ รปู ใบหนา้ มจี มกู ยน่ื ยาว ปลายจมกู งมุ้ เลก็ นอ้ ย ไมม่ สี ว่ นทเี่ ปน็ คาง เจาะรสู ว่ นทเ่ี ปน็ ตาดำ� ใหผ้ แู้ สดงสามารถ มองเหน็ ได้ หน้ากากทาสีแดงท้ังหมด เว้น แตส่ ว่ นทเี่ ปน็ ฟนั ทำ� ดว้ ยโลหะสขี าวหรอื ทาสี ขาว ส่วนหน้ากากของตัวตลกหญิงมักทาสี ขาวหรอื สเี นือ้ การเรยี กชอื่ คณะโนรามกั เรยี กกนั ตามชอื่ ของนายโรง เช่น โนราวัน (คณะทมี่ ี โนราวนั เปน็ นายโรง)กรณที น่ี ายโรงเปน็ พนี่ อ้ ง สองคนกจ็ ะนำ� ชอ่ื ทง้ั ๒คนมาตงั้ เปน็ ชอื่ คณะ เชน่ โนราหนวู นิ หนวู าด(พชี่ อ่ื หนวู นิ นอ้ งชอื่ หนวู าด) โนราพนิ พนั (พช่ี อื่ พนิ นอ้ งชอื่ พนั )

10 ความส�ำคัญของโนรา ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประพาสหวั เมอื ง มลายเู พอ่ื ปฏบิ ตั พิ ระราชกรณยี กจิ ตามเมอื งตา่ ง ๆ ขา้ ราชการประจำ� เมอื งพทั ลงุ เมอื งปตั ตานี และเมอื งนครศรธี รรมราชไดจ้ ดั การแสดงโนราถวายหนา้ พระทน่ี ง่ั และ พ.ศ. ๒๔๔๘ เสดจ็ ฯ ไปทรงประกอบพธิ สี มโภชพระมหาธาตุณวดั มหาธาตุ เมอื งนครศรธี รรมราช ทอดพระเนตร การแสดงโนราของคณะโนรา “คลา้ ยขหี้ นอน” (ชาวใตอ้ อกเสยี งกนิ นรวา่ ขห้ี นอน) ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๕๑ โปรดเกล้าฯ ให้โนราคณะนี้ไปแสดงในพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ เม่ือ แสดงเสร็จแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักด์ินายคล้ายเจ้าของโรง ซ่งึ เลน่ เป็นตวั พระใหเ้ ปน็ “หม่ืนระบำ� บรรเลง” หรือ “หมนื่ ระบ�ำบรรเลงชาตรี” ในวันที่ ๑๙-๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ มกี ารจัดงานมหกรรมโนราโรงครเู ต็ม รปู แบบทก่ี รงุ เทพฯ โดยกรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม สนบั สนนุ งบประมาณ ดา้ นการแสดงใหแ้ กก่ องทนุ โนราเตมิ เมอื งตรงั และสถาบนั ทกั ษณิ คดศี กึ ษาสนบั สนนุ การจดั นทิ รรศการเรอ่ื งโนรา ในวนั ท่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ กอ่ นวนั งาน ศลิ ปนิ พน้ื บา้ นภาคใต้ ระดบั นายโรงโนราไดม้ ารว่ มกนั ลงนามถวายพระพรพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พรอ้ มรำ� โนราถวายหน้าพระบรมฉายาลกั ษณ์ ณ อาคาร ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลศิรริ าช โนราเปน็ ศลิ ปะการแสดงพน้ื บา้ นภาคใตซ้ งึ่ ศลิ ปนิ โนราหลายชวั่ อายคุ นไดอ้ นรุ กั ษ์ สบื สาน และถา่ ยทอดมาเปน็ เวลานาน ดว้ ยความเชอื่ ถอื เคารพศรทั ธาในบรรพบรุ ษุ โนรา และ ช่ืนชอบในการแสดงท่ีแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมความเชื่อ ตลอดจนประเพณีปฏิบัติท่ีประสม กลมกลืนกับวถิ ชี วี ิตความเป็นอยูข่ องคนในภาคใต้ โดยมกี ารเผยแพรแ่ ละแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ไปยังภมู ภิ าคต่าง ๆ และผู้คนตา่ งวัฒนธรรม ทุกวันน้ี นานาอารยประเทศและกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ตา่ ง ๆ ลว้ นใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ ศลิ ปะการแสดงพนื้ บา้ นทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องตนเอง ถอื วา่ เปน็ สมบตั วิ ฒั นธรรมอนั ลำ้� คา่ อยา่ งเชน่ การแสดงโนรา ดงั นนั้ เยาวชนไทยทกุ คนจงึ พงึ ชว่ ยกนั รกั ษาไว้และสืบสานไปสู่คนร่นุ หลังต่อไปในอนาคต

11 สว่ นเดก็ โต พทิ ยา บุษรารัตน์ ผ้เู ขยี น ๑. ความน�ำและการเรยี กชอ่ื ตา่ ง ๆ ทงั้ ภาคใตต้ อนบนและตอนกลาง นบั ตง้ั แต่ จงั หวดั ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช ระนอง มโนราหห์ รอื โนรา (บางทกี เ็ ขยี นเปน็ มโนรา พงั งา กระบ่ี ตรงั พทั ลงุ และสงขลา โดยเฉพาะ หรอื มโนหร์ า) ซงึ่ ตอ่ ไปนจ้ี ะใชค้ ำ� เรยี กวา่ “โนรา” จงั หวดั พทั ลงุ และชมุ ชนบรเิ วณรอบลมุ่ ทะเลสาบ ตามการเรยี กของชาวภาคใต้ โนราเปน็ การละเลน่ สงขลามสี ว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ประวตั คิ วามเปน็ มาและ พนื้ บา้ นทสี่ บื ทอดกนั มายาวนาน มกี ารรอ้ งและการ ตำ� นานโนรา รวมทง้ั มคี ณะโนราทม่ี ชี อื่ เสยี งอยเู่ ปน็ รำ� บางสว่ นเลน่ เปน็ เรอื่ ง บางโอกาสแสดงตามคติ จำ� นวนมาก ความเชอ่ื ทเี่ ปน็ พธิ กี รรม ความเปน็ มาของโนรานนั้ ปรากฏตำ� นานเลา่ ขานกนั หลายกระแส รวมทง้ั มี การแสดงโนรา ก่อนที่โนราจะพัฒนามามี ประเพณแี ละความเชอื่ ทเี่ กยี่ วขอ้ งมากมาย ทส่ี ำ� คญั บทบาทเพอ่ื สรา้ งความบนั เทงิ แกช่ มุ ชน กลา่ วกนั วา่ คอื ประเพณคี วามเชอ่ื ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั บรุ พาจารยข์ อง โนราคงจะเปน็ การแสดงสำ� หรบั ประกอบพธิ กี รรม โนราทเ่ี รยี กวา่ “ครตู น้ ” และบรรพบรุ ษุ ทเี่ ปน็ โนรา ส�ำคัญ เช่น พิธีกรรมของกษัตริย์หรือเจ้าเมือง หรอื นบั ถอื วญิ ญาณครโู นราในชน้ั หลงั ทเ่ี รยี กรวม และชนชนั้ สงู ในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ หลกั ฐานในขอ้ น้ี วา่ “ครหู มอตายายโนรา” อาจเหน็ ไดจ้ ากเครอื่ งแตง่ กาย ซง่ึ มลี กั ษณะคลา้ ย ของกษตั รยิ ส์ มยั โบราณอยหู่ ลายสว่ น นอกจากนี้ ในแง่ศิลปะ โนรามีองค์ประกอบและวิธี พธิ กี รรมและคตนิ ยิ มหลายอยา่ งทโ่ี นราปฏบิ ตั กิ นั การเลน่ ทงั้ ดนตรี กระบวนรำ� กระบวนกลอน และ หรอื ยดึ ถอื กม็ สี ว่ นทที่ ำ� ใหส้ นั นษิ ฐานไดว้ า่ โนรานา่ การขบั รอ้ ง ตลอดจนการ “จบั บท” (แสดงเรอื่ ง) ทม่ี ี จะพฒั นามาจากการแสดงในพธิ กี รรมสำ� คญั หรอื ขนบนยิ มเปน็ แบบแผนเฉพาะและเปน็ เอกลกั ษณ์ พธิ กี รรมศกั ดส์ิ ทิ ธม์ิ ากอ่ น แมว้ า่ ปจั จบุ นั โนราจะ ของภาคใตท้ มี่ กี ารสบื ทอดจากอดตี มาจนถงึ ปจั จบุ นั ลดบทบาทในการแสดงสำ� หรบั ประกอบพธิ กี รรม โนราจงึ เปน็ มหรสพหรอื ศลิ ปะการฟอ้ นรำ� ของชาว สำ� คญั ๆ ลง และมงุ่ ไปแสดงเพอ่ื ความบนั เทงิ ให้ ภาคใตท้ ไ่ี ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งกวา้ งขวางในจงั หวดั

12 แก่ชุมชนมากข้ึน แต่พบว่าโนราที่แสดงส�ำหรับ คงจะเป็นช่ือท่ีเรียกกันในภายหลัง เพราะละคร การประกอบพธิ กี รรมทเ่ี รยี กวา่ “โนราโรงคร”ู หรอื ชาตรีที่แพร่หลายในภาคใต้นิยมแสดงเรื่องนาง “การรำ� โนราโรงคร”ู กลบั มคี วามเขม้ ขน้ และยงั คง มโนหร์ า (บางตอนของนทิ านเรอ่ื งพระสธุ น-นาง แพรก่ ระจายอยา่ งหนาแนน่ ในชมุ ชนบรเิ วณรอบลมุ่ มโนหร์ า) ชาวบา้ นจงึ ขานชอ่ื มโนหร์ า จนตดิ ปาก ทะเลสาบสงขลาในปจั จบุ นั แทนคำ� วา่ “ชาตร”ี ตอ่ มาคำ� วา่ “มโนหร์ า” กก็ ลาย เป็น “โนรา” ตามความนิยมตัดทอนพยางค์ของ การเรียกช่ือโนราว่า “ชาตรี” และค�ำว่า ภาษาถน่ิ ใต้ ในทส่ี ดุ คำ� วา่ “ชาตร”ี มผี เู้ รยี กนอ้ ยลง “ละครชาตร”ี หรอื “ละครโนหร์ าชาตร”ี นน้ั มที ม่ี า และสญู หายไปตามกาลเวลา อยา่ งไร มกี ลา่ วถงึ ในตำ� นานโนรา บทกาศครโู นรา บทรอ้ งกลอนโนรา ตา่ งขานชอ่ื โนราวา่ “ชาตร”ี ๒. กำ� เนิดและพฒั นาการของโนรา เชน่ “ก่อเกอื้ กำ� เนดิ คราเกดิ ชาตรี ปางหลังยงั มี เมื่อครั้งตั้งดิน” หรือ “นับต้ังแต่นั้นมา เรียกว่า กำ� เนดิ และพฒั นาการของโนราปรากฏเปน็ ชาตรี ประวัติว่ามี เทา่ นี้แหละหนา” หรอื “จะ ตำ� นานความเปน็ มาหลายกระแส ทงั้ จากคำ� บอกเลา่ ขึ้นข้อต่อต้ัง คร้ังเมื่อเกิดชาตรี ในทวีปชมพู ของชาวบา้ น บทกาศครู(บทไหวค้ ร)ู และบทขบั รอ้ ง ตรสั รถู้ ว้ นถ”ี่ เชน่ เดยี วกบั หลกั ฐานจากวรรณกรรม กลอนของโนรา หลกั ฐานเอกสาร ตำ� นานทอ้ งถน่ิ ท้องถ่ินและวรรณคดีภาคกลางก็เรียกว่า “ชาตรี” ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั โนรา และขอ้ วนิ จิ ฉยั ของผรู้ ทู้ อ้ งถนิ่ เชน่ บทพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งอเิ หนา ในรชั กาลท่ี ๒ ไดแ้ ก่ ตำ� นานของขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร(โนราพมุ่ เทวา) (ตอนอภเิ ษกอเิ หนาและราชบตุ รราชธดิ าสพี่ ระนคร) ปรากฏท้ังที่เป็นร้อยแก้วและค�ำกาพย์ ต�ำนาน ว่า “ชาตรีมีแต่ล้วนชาวตลุง ซัดกันนุงตามถนน โนราของโนราวดั จนั ทรเ์ รอื ง ตำ� บลพงั ยาง อำ� เภอ แห่งกรวดลาว” เม่ือชาตรีแพร่หลายสู่ภาคกลาง ระโนด จงั หวดั สงขลา ตำ� นานโนราจากนายซอ้ น ชาวภาคกลางเห็นว่ามีลักษณะใกล้ละครจึงเรียก ศิวายพราหมณ์ ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า “ละครชาตร”ี พ.ศ. ๒๕๐๘ ซง่ึ ปรากฏเปน็ กลอนสี่ ตำ� นานโนราท่ี ปรากฏในหนงั สอื ตำ� นานละครอเิ หนา ของสมเดจ็ นอกจากนี้พบหลกั ฐานเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ วา่ มกี ารเรยี กโนราเปน็ “มโนหร์ าชาตร”ี ในวรรณกรรม ตำ� นานโนราทเ่ีปน็ ตำ� นานละครชาตรขี องกรมศลิ ปากร ท้องถ่ินเรื่อง มโนห์รานิบาตค�ำกาพย์ ฉบับวัด ปรากฏในหนงั สอื การละเลน่ ของไทย ตำ� นานโนรา มชั ฌมิ าวาสวรวหิ าร จงั หวดั สงขลา ในตอนทกี่ ลา่ ว ทเี่ ลา่ โดยนายพนู เรอื งนนท์ ปรากฏในหนงั สอื การ ถงึ การมหรสพในพธิ สี มโภชพระสธุ น-นางมโนหร์ า ละเลน่ ของไทย ของอาจารยม์ นตรี ตราโมท และ มวี า่ “มโนราชาตรี รอ้ งบทเมรี ชมสวนชวนสมร บทกาศครขู องโนรา ซงึ่ จะไดน้ ำ� ตำ� นานโนราบาง ร�ำเม่ือกินเหล้า เคล้าคลอชวนนอน ลักยาพาจร กระแสทร่ี จู้ กั กนั แพรห่ ลายมากลา่ วไวเ้ ปน็ ตวั อยา่ ง เมรีมัวเมา” ซึ่งบ่งชัดว่า แม้จะแสดงเร่ืองอ่ืนที่ ดงั น้ี ไมเ่ กยี่ วกบั เรอื่ งนางมโนหร์ ากเ็ รยี กการแสดงชนดิ นวี้ า่ มโนราชาตรี สว่ นคำ� วา่ “มโนหร์ า”หรอื “โนรา” ๑.ตำ� นานโนราขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร (โนราพมุ่

13 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทอดพระเนตรการรำ� โนราของ หนง่ึ นางนวลทองสำ� ลสี บุ นิ วา่ มเี ทพธดิ ามารา่ ยรำ� ให้ โนราพมุ่ เทวาถวายหน้าพระทน่ี ั่งเมือ่ พ.ศ. ๒๕๔๑ ดู ทา่ รำ� มี ๑๒ ทา่ มดี นตรปี ระโคม ไดแ้ ก่ กลอง ทับ โหม่ง ฉ่ิง ปี่ และแตระ นางให้ท�ำเคร่ือง เทวา) เปน็ ความเรยี งรอ้ ยแกว้ ความวา่ “พระยา ดนตรีและหัดร�ำตามที่สุบิน เป็นที่ครึกคร้ืนใน สายฟา้ ฟาดเปน็ กษตั รยิ ค์ รองเมอื งเมอื งหนง่ึ มชี ายา ปราสาท ชอ่ื นางศรมี าลา มธี ดิ าชอื่ นางนวลทองสำ� ลี วนั วนั หนงึ่ นางอยากเสวยเกสรบวั ในสระหนา้ วงั โนราขนุ อปุ ภัมภน์ รากร (โนราพุ่มเทวา) ครนั้ นางกำ� นลั เกบ็ ถวายใหเ้ สวยนางกท็ รงตง้ั ครรภ์ แตก่ ย็ งั คงเลน่ รำ� ตามปกติ วนั หนงึ่ พระยาสายฟา้ ฟาด เสดจ็ มาทอดพระเนตรการรำ� ของธดิ า เหน็ นางทรง ครรภก์ ซ็ กั ไซเ้ อาความจรงิ ไดค้ วามวา่ เหตเุ พราะ เสวยเกสรบัว พระยาสายฟ้าฟาดไม่ทรงเชื่อและ ทรงเหน็ วา่ นางทำ� เรอ่ื งอปั ยศ จงึ รบั สง่ั ใหเ้ อานาง ไปลอยแพพรอ้ มดว้ ยสนมกำ� นลั ๓๐ คน แพไป ตดิ เกาะกะชงั นางจงึ เอาเกาะกะชงั เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ตอ่ มาไดป้ ระสตู โิ อรส ทรงสอนใหโ้ อรสรำ� โนราได้ ชำ� นาญและเลา่ เรอื่ งแตห่ นหลงั ใหท้ ราบ ต่อมากุมารน้อยซึ่งเป็นโอรสนางนวลทอง สำ� ลี ไดโ้ ดยสารเรอื พอ่ คา้ ไปเทยี่ วรำ� โนรายงั เมอื ง พระอยั กา เรอ่ื งเลา่ ลอื ไปถงึ พระยาสายฟา้ ฟาด ๆ ทรงปลอมพระองคไ์ ปดโู นรา เหน็ กมุ ารนอ้ ยมหี นา้ ตาคลา้ ยพระธดิ า จงึ ทรงสอบถามจนไดค้ วามจรงิ ว่าเป็นพระราชนัดดา จึงรับส่ังให้เข้าวังและให้ อำ� มาตยไ์ ปรบั นางนวลทองสำ� ลจี ากเกาะกะชงั แต่ นางไมย่ อมกลบั พระยาสายฟา้ ฟาดจงึ กำ� ชบั ใหจ้ บั มดั ขน้ึ เรอื พามา ครนั้ เรอื มาถงึ ปากนำ�้ จะเขา้ เมอื งก็ มจี ระเขล้ อยขวางทางไว้ ลกู เรอื จงึ ตอ้ งปราบจระเข้ ครนั้ นางเขา้ เมอื งแลว้ พระยาสายฟา้ ฟาดไดท้ รงจดั พธิ รี บั ขวญั ขน้ึ และใหม้ กี ารรำ� โนราในงานนี้ โดย ประทานเครอื่ งตน้ อนั มี เทรดิ กำ� ไลแขน ปน้ั เหนง่ สงั วาล พาดเฉยี ง ๒ ขา้ ง ปกี นกแอน่ หางหงส์ สนบั เพลา ฯลฯ ซงึ่ เปน็ เครอื่ งทรงของกษตั รยิ ใ์ ห้

14 เปน็ เครอื่ งแตง่ ตวั โนราและพระราชทานบรรดาศกั ด์ิ (ขหี้ นอน = กนิ นร, งา่ = ถา่ ง, อา้ , เล = ทะเล, ใหแ้ กก่ มุ ารนอ้ ยราชนดั ดาเปน็ ขนุ ศรศี รทั ธา” เกาะกะชงั = เขา้ ใจวา่ เปน็ เกาะกะชงั ในทะเลสาบ สงขลา, ชบ = เนรมติ , โฟก = ฟกู ) ตำ� นานทข่ี นุ อปุ ถมั ภน์ รากร (โนราพมุ่ เทวา) เลา่ ไว้ ยงั ปรากฏเปน็ คำ� กาพยด์ ว้ ยใชร้ อ้ งในพธิ โี รง ๒. ตำ� นานโนราทป่ี รากฏในรปู ของกลอนส่ี ครู เพื่อเล่าความเป็นมาของโนรา โดยร้องตอน โดยนายซอ้ น ศวิ ายพราหมณ์ ศกึ ษาธกิ ารจงั หวดั เชญิ ครู ซง่ึ มขี อ้ ความวา่ ดงั น ้ี สรุ าษฎรธ์ านี (พ.ศ. ๒๕๐๘) ดงั คำ� กลอนวา่ “นางนวลทองสำ� ล ี เปน็ บตุ รเี จา้ พระยา “กอ่ เกอ้ื กำ� เนดิ คราเกดิ ชาตรี ปางหลงั ยงั มี เมอื่ ครง้ั ตง้ั ดนิ นรลกั ษณง์ ามหนกั หนา จะแจม่ ดงั อปั สร บดิ าของเจา้ ชอื่ ทา่ นทา้ วโกสนิ ทร์ มารดายพุ นิ ชอ่ื นางอนิ ทรกรณยี ์ เทวาเขา้ ไปดลจติ ใหเ้ นรมติ เทพสงิ หร ครองเมอื งพทั ลงุ เปน็ กรงุ ธานี บตุ รชายทา่ นมี ชอื่ ศรสี งิ หรณ์ รปู รา่ งอยา่ งขหี้ นอน (กนิ นร) รอ่ นรำ� งา่ ทา่ ตา่ งกนั ... ทกุ เชา้ ทกุ คำ�่ เทย่ี วรำ� เทยี่ วรอ่ น บดิ ามารดร อาวรณอ์ บั อาย ...วนั เมอ่ื จะเกดิ เหต ุ ใหอ้ าเพศกำ� มจ์ กั ไกล คดิ อา่ นไมถ่ กู เพราะลกู เปน็ ชาย หา้ มบตุ รสดุ สาย ไมฟ่ งั พอ่ แม่ ใหอ้ ยากดอกมาลยั อบุ ลชาตผิ ลพฤกษา คดิ อา่ นไมถ่ กู จงึ เอาลกู ลอยแพ สาวชาวชะแม่ พรอ้ มสบิ สองคน เทพบตุ รจตุ จิ ากสวรรค์ เขา้ ทรงครรภน์ างฉายา... มาดว้ ยหนา้ ใย ทใ่ี นกลางหน บงั เกดิ ลมฝน มดื มนเมฆงั ...เมอื่ ครรภถ์ ว้ นทศมาศ ประสตู ริ าชจากนาภี คลนื่ ซดั มงิ่ มติ ร ไปตดิ เกาะสชี งั จบั ระบำ� รำ� รอ่ น ทดี่ อนเกาะใหญ่ อกี องคเ์ อย่ี มเทยี มผชู้ าย เลน่ รำ� ไดด้ ว้ ยมารดา ขา้ วโพดสาลี มากมถี มไป เทวาเทพไท ตามไปรกั ษา เลน่ รำ� ตามภาษา ตามวชิ าแมส่ อนให้ รถู้ งึ พอ่ คา้ รบั พาเขา้ เมอื ง ฝา่ ยปติ รุ งค์ ประทานใหเ้ ครอื่ ง เลน่ รำ� พอจำ� ได้ เจา้ เขา้ ไปเมอื งอยั กา สำ� หรบั เจา้ เมอื ง เปลอื้ งใหท้ นั ที นบั แตน่ น้ั มา เรยี กวา่ ชาตรี เลน่ รำ� ตามภาษา ทา้ วพระยามาหลงใหล ประวตั วิ า่ มี เทา่ นแ้ี หละหนา” จนี พราหมณข์ า้ หลวง ไททง้ั ปวงออ่ นนำ�้ ใจ จนี จามพราหมณเ์ ทศไท ยอ่ มหลงใหลในวญิ ญาณ์ ทา้ วพระยาสายฟา้ ฟาด เหน็ ประหลาดใจหนกั หนา ดนู รลกั ษณแ์ ละพกั ตรา เหมอื นลกู ยานวลทองสำ� ลี แลว้ หามาถามไถ่ เจา้ เลา่ ความไปถว้ นถี่ รวู้ า่ บตุ รแมท่ องสำ� ลี พาตวั ไปในพระราชวงั แลว้ ใหร้ ำ� สนองบาท ไทธริ าชสมจติ หวงั สมพระทยั หตั ถยงั ทา้ วยลเนตรเหน็ ความดี แลว้ ประทานซงึ่ เครอื่ งทรง สำ� หรบั องคพ์ ระภมู ี กำ� ไลใสก่ รศรี สรอ้ ยทบั ทรวงแพรภษู า แลว้ ประทานซงึ่ เครอ่ื งทรง คลา้ ยขององคพ์ ระราชา แลว้ จดคำ� จำ� นรรจา ใหช้ อื่ วา่ ขนุ ศรศี รทั ธา”

15 ๓.ตำ� นานโนราทปี่ รากฏในบทกาศครโู นรา เหนอื หรอื ลมอตุ ตรา, หลาตนั = ลมสลาตนั , หลงิ ซึ่งประกอบด้วย บทขานเอ บทหน้าแตระ บท = ตลงิ่ ) รายแตระ บทเพลงโทน เรอื่ งราวทกี่ ลา่ วถงึ ในบท กาศครเู หลา่ นน้ั สว่ นหนง่ึ เปน็ การยนื ยนั เกย่ี วกบั นอกจากตำ� นานโนราทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ยงั มี ความเชอ่ื ของโนราและชาวบา้ นโดยทวั่ ไปในเรอ่ื ง ตำ� นานทอ้ งถนิ่ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั โนราหรอื ทชี่ าวบา้ น กำ� เนดิ ของโนรา และความสมั พนั ธข์ องตำ� นานโนรา เช่ือกันว่าเป็นต�ำนานของโนราเช่นเดียวกัน เชน่ กบั ชมุ ชนบรเิ วณรอบลมุ่ ทะเลสาบสงขลา ซงึ่ จะ ต�ำนานนางเลือดขาว (วัดเขียนบางแก้ว อ�ำเภอ กลา่ วยกตวั อยา่ งไวเ้ พยี งบางตอนในสว่ นทส่ี ะทอ้ น เขาชยั สน จงั หวดั พทั ลงุ ) ตำ� นานเจา้ แมอ่ ยหู่ วั หรอื ภาพดงั กลา่ ว เชน่ พระพทุ ธรปู เจา้ แมอ่ ยหู่ วั (วดั ทา่ ครุ ะ ตำ� บลคลองรี อำ� เภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา) อนั เปน็ ทม่ี าของ บทขานเอ การรำ� โนราโรงครวู ดั ทา่ ครุ ะหรอื “งานพธิ สี มโภช “รนื่ เอยรนื่ รนื่ จะไหวน้ างธรณผี งึ่ แผน และสรงนำ�้ เจ้าแมอ่ ย่หู ัว” หรอื ที่ชาวบา้ นเรยี กว่า “งานตายายยา่ น” ทจ่ี ดั ขน้ึ ในวนั แรม ๑ คำ่� เดอื น ๖ เอาหลงั มาพงิ เปน็ แทน่ รองตนี มนษุ ยท์ งั้ หลาย ของทุกปี เช่นเดียวกับต�ำนาน ตายายพราหมณ์ ตนี ซา้ ยรองหญงิ ยงั เลา่ ตนี ขวารองชาย จนั ทร์ ทก่ี ลา่ วถงึ บคุ คลทง้ั สองวา่ เปน็ ผทู้ อี่ ปุ การะ นาคเจา้ ฤาสาย ขานใหโ้ นเนโนไน นางนวลทองส�ำลีหรือเจ้าแม่อยู่หัวในขณะท่ีนาง ขานมาชาตอ้ ง ทำ� นองเหมอื นววั ชกั ไถ พลดั พรากหรอื ถกู ขบั ไลอ่ อกจากบา้ นเมอื งและไป เพลงครวญคดิ มา ทรหวนหวั ใจ อาศยั อยทู่ ่ี “เกาะกะชงั ” (อยใู่ นอำ� เภอกระแสสนิ ธ์ุ เพลงสำ� ลไี มล่ มื ใน พไี่ ปไมล่ มื นอ้ งหนา จงั หวดั สงขลา) อนั เปน็ ตำ� นานเดยี วกบั ประวตั เิ จา้ ลมเอยรวยรวย ยงั หอมแตร่ สแปง้ ทา แมอ่ ยหู่ วั วดั ทา่ ครุ ะ ตำ� บลครองรี อำ� เภอสทงิ พระ หอมรสครขู า้ สง่ กลน่ิ พอ่ มาไรไร จงั หวดั สงขลา หอมมาสาแค่ ลกู เหมยี วไปแลหอมไกล หอมฟงุ้ สรุ าลยั ไคลเขา้ ในโรงนอ้ งหนา ตำ� นานทเี่ กย่ี วกบั “ขนุ ศรศี รทั ธาทา่ แค”ทถ่ี อื ลมวา่ วดาหรา พดั โตด้ ว้ ยลมหลาตนั วา่ เปน็ ครตู น้ ของโนรา กลา่ วถงึ “โคกขนุ ทา” เปน็ ลกู กช็ กั ใบแลน่ กลางคนื มาเปน็ กลางวนั ชื่อเนินดินหรือโคกสูง เน้ือท่ีประมาณ ๑ ไร่เศษ ไกลหลงิ ไกลฝง่ั เอาเกาะกะชงั เปน็ เรอื น อยใู่ นหมทู่ ี่ ๕ ตำ� บลทา่ แค อำ� เภอเมอื งฯ จงั หวดั เพอื่ นบา้ นนบั ปี นวลทองสำ� ลนี บั เดอื น พทั ลงุ ชาวบา้ นเชอื่ กนั วา่ บรเิ วณโคกแหง่ นนั้ เปน็ เอาเกาะกะชงั เปน็ เรอื น เปน็ แทน่ ทนี่ อนนอ้ งหนา” สถานท่ีที่ขุนศรีศรัทธาใช้เป็นท่ีฝึกหัดศิษย์ให้ร�ำ โนรา หรอื เปน็ โรงรำ� โนราของขนุ ศรศี รทั ธา เชน่ (ชาตอ้ ง = ไดย้ นิ เสยี งขบั กลอ่ ม ชา หมายถงึ เดียวกับค�ำว่า “เข่ือนขุนทา” ที่ตั้งอยู่ในวัดท่าแค ขบั กลอ่ ม, ววั ชกั ไถ = เปน็ ไปดว้ ยความยากลำ� บาก ต�ำบลท่าแค อ�ำเภอเมืองฯ จังหวัดพัทลุง ค�ำว่า ทกุ ขเวทนา, ทรหวน = ปน่ั ปว่ น, สาแค่ = อยใู่ กล้ ๆ, “เขื่อน” หมายถึง สถานที่เก็บรักษาสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ไปแล = ไปด,ู ไคล = ครรไล ไป, ดาหรา = ลม หรือที่อยู่ของสิ่งศักด์ิสิทธ์ิอันเป็นท่ีบรรจุอัฐิหรือ เถา้ ถา่ นของบคุ คลสำ� คญั ซง่ึ ในทนี่ หี้ มายถงึ อฐั ขิ อง

16 ขนุ ศรศี รทั ธา ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ ผาสุข อินทราวุธ กล่าวอ้างถึงละครชาตรี พระองคเ์ จา้ เฉลมิ พลทฆิ มั พรทรงสรา้ งรปู ปน้ั ขนุ ศรี ตหน้รอืแโบนบหมร์าาจากมลใี จะคควรารมำ� วา่กถลาะกคลรี (โkนatหhaร์-kาaชlาi)ตขรไีอดง้ ศรทั ธาและพรานบญุ แลว้ สรา้ งศาลาบรเิ วณเขอ่ื น อนิ เดยี ใต้ โดยเขา้ มาทางคาบสมทุ ร (ภาคใต)้ ของ ขนุ ทา นำ� รปู ปน้ั ไปประดษิ ฐานไวเ้ ปน็ อนสุ รณห์ รอื ประเทศไทยในราวพทุ ธศตวรรษที่๑๓-๑๖ ซงึ่ เปน็ อนสุ าวรยี ข์ องขนุ ศรศี รทั ธา เปน็ สว่ นหนงึ่ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ชว่ งทอ่ี าณาจกั รศรวี ชิ ยั เจรญิ รงุ่ เรอื ง แตน่ ยิ มเลน่ ประเพณกี ารรำ� โนราโรงครใู หญว่ ดั ทา่ แคของชาวบา้ น เรอื่ งราวเกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายานคอื ตำ� บลทา่ แคและบรเิ วณใกลเ้ คยี งเปน็ ประจำ� ทกุ ปี เรอ่ื ง พระสธุ น-นางมโนหร์ า แทนเรอื่ ง มหากาพย์ รามายณะ และมหาภารตะ ของอินเดีย โดยรับ เรอ่ื งราวความเปน็ มาของโนราทงั้ ทป่ี รากฏ อิทธิพลมาจากนาลันทา (อินเดียภาคตะวันออก อยตู่ ามตำ� นานโนรา บทกาศครู และบทรอ้ งกลอน เฉยี งเหนอื ) สว่ นชอื่ ชาตรี ไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ นา่ ของโนรา หลกั ฐานเอกสาร และตำ� นานทอ้ งถน่ิ ที่ จะมาจากลกั ษณะละครทรี่ อ่ นเรไ่ ปแสดงตามทต่ี า่ ง ๆ เกยี่ วขอ้ งกบั โนรา บรรดานกั วชิ าการและผรู้ ทู้ อ้ งถนิ่ ชาวอินเดียท่ีตั้งถ่ินฐานอยู่ในดินแดนคาบสมุทร ไดส้ รปุ ไวว้ า่ โนราเปน็ การรา่ ยรำ� สำ� หรบั บชู าเทพเจา้ ของประเทศไทย (ภาคใตข้ องไทย) ทม่ี าจากแควน้ ในศาสนาพราหมณโ์ ดยเฉพาะพระอศิ วรหรอื พระ เบงกอล กค็ งเรยี กรปู แบบละครเรร่ อ่ นนว้ี า่ ยาตรา ศวิ ะมหาเทพผเู้ ปน็ ตน้ กำ� เนดิ แหง่ ศลิ ปะการรา่ ยรำ� หรอื ยาตรี (ภาษาสนั สกฤต) ซง่ึ สำ� เนยี งเบงกอลี ก็ และการบนั เทงิ ทงั้ ปวง เมอื่ พราหมณเ์ ขา้ สภู่ าคใต้ เรยี กวา่ ชาตรา หรอื ชาตรี ดงั กลา่ วแลว้ และบริเวณรอบลุ่มทะเลสาบสงขลารวมท้ังเมือง พทั ลงุ (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๔) กไ็ ดน้ ำ� พัฒนาการของโนราในภาคใต้และบริเวณ การละเลน่ ชนดิ นเี้ ขา้ มาดว้ ย ดงั นี้ รอบลุ่มทะเลสาบสงขลา ตามต�ำนานโนราและ ตำ� นานทอ้ งถนิ่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั โนราตา่ งกลา่ ววา่ การ วิเชียร ณ นคร กล่าวไว้ในบทความเรื่อง ฝกึ หดั รา่ ยรำ� โนราเกดิ ขน้ึ ในราชสำ� นกั ของพระยา ตำ� นานและความเปน็ มาของโนราหห์ รอื โนรา มี สายฟา้ ฟาดหรอื ทา้ วโกสนิ ทรแ์ ละนางอนิ ทรกรณยี ์ ใจความว่า โนราเป็นการร่ายร�ำกันในราชส�ำนัก หรอื นางอนิ ทริ าณี หรอื นางศรมี าลา บดิ ามารดา ของกษัตริย์ทางภาคใต้มาตั้งแต่คร้ังโบราณกาล ของนางนวลทองสำ� ลี ทค่ี รองเมืองพัทลงุ (เมอื ง และคงเปน็ อารยธรรมของอนิ เดยี ทเ่ี ขา้ มาทางแหลม พทั ลงุ บางแกว้ ชว่ งประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗- มลายแู ละภาคใตข้ องไทย ๑๙ ปจั จบุ นั อยใู่ นอำ� เภอเขาชยั สน จงั หวดั พทั ลงุ ) มเี รอ่ื งราวในราชสำ� นกั จนนางถกู ลงโทษลอยแพไป ธนติ อยโู่ พธิ์ กลา่ วไวว้ า่ ทา่ รำ� แมบ่ ทของ อยู่ ณ เกาะกะชงั จนมโี อรสคอื “เจา้ ชายนอ้ ย” ท่ี โนราชาตรีคล้ายกับ “ท่ากรณะ” ใน คัมภีร์ภรต- ภายหลงั ไดก้ ลบั สบู่ า้ นเมอื ง และไดร้ บั การแตง่ ตง้ั นาฏยศาสตร์ และคล้ายกันมากกับท่าร�ำในแผ่น จากพระอยั กาคอื พระยาสายฟา้ ฟาดใหเ้ ปน็ “ขนุ ศรี ศลิ าจำ� หลกั ทบี่ โุ รพทุ โธ ประเทศอนิ โดนเี ซยี สว่ น ศรทั ธา” ผเู้ ปน็ ครตู น้ ของโนรามาจนถงึ ปจั จบุ นั ละครชาตรียังคล้ายกับละครของอินเดียที่เรียกว่า “ยาตรา” ทเ่ี ลน่ อยตู่ ามแควน้ เบงกอลสมยั โบราณ คำ� วา่ “ชาตร”ี หรอื “ละครโนหร์ าชาตร”ี อาจมาจาก คำ� วา่ “ยาตรา”

17 สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ กล่าวถึงพัฒนาการ ชว่ ยเหลอื ปรนนบิ ตั ใิ นเรอื่ งตา่ งๆเรยี กวา่ “ตาเสอื ” ของโนราไวใ้ นสารานกุ รมวฒั นธรรมไทยภาคใตม้ ี บางคนชว่ ยทำ� หนา้ ทห่ี าบคอนเครอ่ื งใชโ้ ดยเฉพาะ ใจความวา่ สาระสำ� คญั ในตำ� นานชาตรแี ละบทไหว้ หบี ทใ่ี สเ่ ทรดิ โนราทเี่ รยี กวา่ “ซมุ ” จงึ เรยี กคนกลมุ่ ครูโนราที่สืบทอดต่อ ๆ กันมา ประกอบกับช่ือ นี้ว่า “คนคอนซุม” การท่ีมีโนราผู้หญิงส่งผลให้ สถานทแี่ ละชอ่ื บคุ คลทกี่ ลา่ วถงึ ในตำ� นานและบท เครอื่ งแตง่ กายของโนราเปลยี่ นแปลงไปดว้ ย ทงั้ นี้ ไหวค้ รเู หลา่ นน้ั ทำ� ใหเ้ ชอ่ื ไดว้ า่ “ชาตร”ี ของภาค ส่วนหนึ่งโนราก็รับรูปแบบการแต่งกายและการ ใต้ได้มีการพฒั นาเปน็ ศลิ ปะชน้ั สูง จนกลายเป็น แสดงของโขน ละคร ลเิ ก และ/หรอื ละครชาตรี นาฏกรรมของราชสำ� นกั และทา้ วพระยามหากษตั รยิ ์ ของภาคกลางมาปรบั ใชใ้ นการแสดงโนรา ในภาคใต้มาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย และจดุ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาเปน็ ศลิ ปะชนั้ สงู อยู่ การเรียกชื่อคณะโนรามักเรียกตามช่ือของ ที่บริเวณเมืองพัทลุงโบราณ ได้แก่ บริเวณลุ่ม นายโรง เชน่ โนราวนั (คณะของโนราทมี่ โี นราวนั ทะเลสาบสงขลา ทงั้ ฝง่ั ตะวนั ตก (อยใู่ นเขตจงั หวดั เปน็ นายโรง) บางครง้ั เอาชอื่ บา้ นทอ่ี ยมู่ าประกอบ พัทลุงปัจจุบัน) และฝั่งตะวันออก (เมืองพัทลุง เช่น โนราเติมเมืองตรัง โนราแปลกท่าแค ถ้า โบราณคอื เขตอำ� เภอสทงิ พระ อำ� เภอระโนด และ นายโรงเปน็ พนี่ อ้ งกนั ๒ คน มกั นำ� ชอ่ื ทง้ั ๒ คน อ�ำเภอกระแสสนิ ธ์ุ จังหวดั สงขลา) มาตงั้ เปน็ ชอ่ื คณะ เชน่ โนราพนิ พนั (พชี่ อ่ื พนิ นอ้ ง ชอ่ื พนั ) โนราหนวู นิ หนวู าด โนราประดบั สงั วาลย์ ๓. คณะโนรา บางคณะกไ็ ดร้ บั คำ� เตมิ สรอ้ ย เพราะมลี กั ษณะเดน่ เปน็ พเิ ศษ เชน่ โนราพมุ่ เทวา (นายโรงชอื่ พมุ่ ขณะ เดมิ ตวั แสดงโนรามแี ตผ่ ชู้ าย และมตี วั แสดง รา่ ยรำ� ออ่ นชอ้ ยราวกบั เทวดาเหาะลอยมา) และ/หรอื สำ� คญั เพยี ง ๓ ตวั คอื ตวั นายโรง ตวั นาง และ เติมสร้อยตามสมัยนิยม โดยเฉพาะค�ำว่า “น้อย” ตวั จำ� อวด ตอ่ มาคณะโนราพฒั นามาจนมอี ยา่ งนอ้ ย (ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากหนงั ตะลงุ “คณะพรอ้ มนอ้ ย คณะละ ๑๔ คน ประกอบด้วยผู้แสดงประมาณ ตะลงุ สากล”) เชน่ โนราสมพงษน์ อ้ ยดาวรงุ่ โนรา ๗-๑๐ คน หวั หนา้ คณะเรยี กวา่ “โนราใหญ”่ หรอื สายทพิ ยน์ อ้ ย เสนห่ ศ์ ลิ ป์ “นายโรง” สว่ นโนราคนอน่ื ๆ เปน็ ตวั รำ� เรยี กวา่ “นางรำ� ” และมกั เปน็ เดก็ อายตุ ง้ั แต่ ๘-๒๑ ปี นยิ ม การร้องกลอนโนรา ไวจ้ กุ เรยี กวา่ “หวั จกุ โนรา”ตวั ตลกเรยี กวา่ “พราน” มตี วั ตลกหญงิ เรยี กวา่ “ทาส”ี (มกั ใชผ้ ชู้ ายแสดง) ต่อมาเมื่อมีโนราผู้หญิง ตัวแสดงเป็นทาสี มัก เรยี กกนั วา่ “อแี ตน” นอกจากนี้ คณะโนราจะมี นักดนตรี หรือ “ลูกคู่” ประมาณ ๕-๗ คน มี หมอทางไสยศาสตร์ เรยี กวา่ “หมอกบโรง” และ อาจมผี สู้ งู อายทุ หี่ ลงใหลและชอบตดิ ตามคณะโนรา โดยเฉพาะเด็กผู้ชายท่ีมีอายุราว ๑๐-๑๕ ปี คอย

18 ๔. เครอ่ื งแตง่ กายและอปุ กรณเ์ บด็ เตลด็ ของตวั แสดงโนรา ตามต�ำนานโนรา เคร่ืองแต่งกายโนราเป็น ๓) ทบั ทรวง ซบั ทรวง หรอื ตาบ ใชส้ วม เครอื่ งตน้ หรอื เครอื่ งแตง่ ตวั อยา่ งกษตั รยิ ท์ พี่ ระยา หอ้ ยไวต้ รงทรวงอก นยิ มทำ� ดว้ ยแผน่ เงนิ เปน็ รปู สายฟา้ ฟาดประทานใหข้ นุ ศรศี รทั ธาผเู้ ปน็ หลานซง่ึ คลา้ ยขนมเปยี กปนู สลกั เปน็ ลวดลายสวยงาม เปน็ ครตู น้ ของโนรา แตเ่ ดมิ โนราจะไมส่ วมเสอื้ เพราะ ๔) ปกี นกแอน่ หรอื ปกี เหนง่ ทำ� ดว้ ยแผน่ ใชผ้ ชู้ ายแสดง ประกอบดว้ ยสงิ่ สำ� คญั ดงั ตอ่ ไปน้ี เงินมีรูปทรงคล้ายนกนางแอ่นก�ำลังกางปีก ใช้ ๔.๑ เครอื่ งแตง่ กาย สำ� หรบั โนราใหญห่ รอื ตวั ยนื เครอ่ื ง ๑) เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัว ๕) ปกี หรอื หางหงส์ นยิ มทำ� ดว้ ยเขาควาย นายโรงหรอื ตวั ยนื เครอ่ื ง (โบราณไมน่ ยิ มใหผ้ หู้ ญงิ หรือโลหะ มีรูปทรงคล้ายปีกนก ๑ คู่ ซ้าย-ขวา สวมเทรดิ นางรำ� หญงิ บางคนจะสวม “หนา้ นาง” ประกบกนั ปลายปกี เชดิ งอนขน้ึ และผกู รวมกนั ไว้ ทท่ี ำ� ดว้ ยกระดาษแทนเทรดิ ) มพี ทู่ ท่ี ำ� ดว้ ยดา้ ยสตี ดิ ไวเ้ หนอื ปลายปกี ใชล้ กู ปดั ๒) เครอื่ งลกู ปดั เปน็ เครอื่ งแตง่ ตวั ทรี่ อ้ ยดว้ ย รอ้ ยหอ้ ยเปน็ ดอกดวงรายตลอดทง้ั ขา้ งซา้ ยและขวา ลกู ปดั เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ ใชต้ กแตง่ ลำ� ตวั ทอ่ นบน ให้ดคู ลา้ ยขนนก ใชส้ ำ� หรบั สวมคาดทบั ผา้ นงุ่ ตรง ประกอบดว้ ย บา่ ปง้ิ คอ พานนอกหรอื พานโครง ระดบั สะเอว ปลอ่ ยปลายปกี ยน่ื ไปดา้ นหลงั คลา้ ย สงั วาลหรอื สายพาด สายคอ หางกนิ รี ๖) หนา้ เพลา เหนบ็ เพลา หรอื หนบั เพลา คอื สนบั เพลาสำ� หรบั สวมแลว้ นงุ่ ผา้ ทบั ปลายขา ใชล้ กู ปดั รอ้ ยทบั หรอื รอ้ ยแลว้ ทาบ ทำ� เปน็ ลวดลาย ดอกดวงตา่ ง ๆ บ่า เทริด ปกี ทับทรวง ป้ิงคอ ปีกนกแอ่น พานนอกหรอื พานโครง หน้าเพลา เคร่ืองแต่งกายและเครอ่ื งประดบั ของตัวแสดงโนรา

19 ๗) ผา้ นงุ่ เปน็ ผา้ ยาวสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ จะเปน็ ๑๔) เลบ็ เปน็ เครอื่ งสวมนว้ิ มอื ใหโ้ คง้ งาม ผา้ พน้ื หรอื ผา้ ลายดอกกไ็ ด้ ใชน้ งุ่ ทบั หนา้ เพลาให้ คลา้ ยเลบ็ กนิ นร กนิ รี ทำ� ดว้ ยทองเหลอื งหรอื เงนิ กระชับ ดึงชายผ้าไปเหน็บไว้ข้างหลัง คล้ายนุ่ง อาจตอ่ ปลายดว้ ยหวายทม่ี ลี กู ปดั รอ้ ยสอดสไี วพ้ อ โจงกระเบน แตร่ ง้ั ชายผา้ ใหห้ อ้ ยลง สว่ นนเ้ี รยี กวา่ งาม นยิ มสวมมอื ละ ๔ นว้ิ (ยกเวน้ หวั แมม่ อื ) “หางหงส”์ การนงุ่ ผา้ ของโนราจะรงั้ สงู และรดั รปู แนน่ กวา่ นงุ่ โจงกระเบน ๑๕) หวั พรานหรอื หนา้ พราน เปน็ หนา้ กาก สำ� หรบั ตวั ตลกผชู้ าย สว่ นของผหู้ ญงิ เรยี กวา่ “หวั ๘) สายรัด ทำ� ดว้ ยดา้ ยขาว ๓ เส้นฟ่นั เป็น ทาส”ี หรอื “หนา้ ทาส”ี นยิ มทำ� ดว้ ยไมพ้ ดู ไมร้ กั เกลยี ว ใชค้ าดสะเอวรดั ผา้ นงุ่ ใหแ้ นน่ ไมย้ อ โดยถอื เปน็ เคลด็ วา่ ทำ� ใหพ้ ดู เกง่ พดู ตลก มคี นรกั มคี นเยนิ ยอ ๙) หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้า เปน็ ของโนราใหญห่ รอื นายโรงโนรามกั ทำ� ดว้ ยผา้ ก�ำไล (มอื และเท้า) ป้นั เหนง่ เล็บ แล้วร้อยดว้ ยลกู ปดั ทาบเปน็ ลวดลาย หรือท�ำเปน็ ผา้ ๓ แถบ คลา้ ยชายไหวลอ้ มดว้ ยชายแครงกม็ ี ถา้ กำ� ไลตน้ แขน เปน็ นางรำ� อาจใชผ้ า้ พน้ื สตี า่ ง ๆ สำ� หรบั คาดหอ้ ย ผา้ นุ่ง เชน่ เดยี วกบั ชายไหว ประจำ� ยาม ๑๐) ผา้ หอ้ ย คอื ผา้ สตี า่ ง ๆ ทคี่ าดหอ้ ยคลา้ ย ชายแครง แตม่ มี ากกวา่ โดยปกตใิ ชผ้ า้ สที โี่ ปรง่ บาง ผา้ หอ้ ย สสี ด ผา้ แตล่ ะผนื จะเหนบ็ หอ้ ยลงทางดา้ นซา้ ยและ ดา้ นขวาของหนา้ ผา้ สรอ้ ยคอ สงั วาล ๑๑) ก�ำไล (ก�ำไลต้นแขนและปลายแขน) เคร่ืองแตง่ กายและเครือ่ งประดับของตัวแสดงโนรา นยิ มทำ� ดว้ ยเงนิ ใชส้ วมรดั ตน้ แขนและปลายแขน เพ่ือขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมง และเพ่ิม ความสงา่ งามยง่ิ ขนึ้ ๑๒) ปเิ หนง หรอื ปน้ั เหนง่ คอื เขม็ ขดั ทที่ ำ� ดว้ ยเงนิ หรอื ทองเหลอื งสลกั ลวดลายอยา่ งสวยงาม หรอื ทำ� เปน็ ถมเงนิ ๑๓) กำ� ไล (มอื และเทา้ ) มกั ทำ� ดว้ ยทองเหลอื ง เปน็ วงแหวน ใชส้ วมมอื และเทา้ ขา้ งละหลาย ๆ วง เชน่ แขนแตล่ ะขา้ งอาจสวม๕-๑๐วงซอ้ นกนั เมอ่ื เวลาปรบั เปลย่ี นทา่ จะไดม้ เี สยี งดงั เปน็ จงั หวะเรา้ ใจ ยง่ิ ขน้ึ

20 ๑) ทับ (โทน) เป็นเครื่องตีที่มีความส�ำคัญ ทส่ี ดุ เพราะทำ� หนา้ ทคี่ มุ จงั หวะและเปน็ ตวั นำ� ในการ ๔.๒ อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดหรือเครื่องใช้ เปลีย่ นจังหวะท�ำนองไปตามผู้รำ� และกระบวนร�ำ ต่าง ๆ ทบั มี๒ลกู เรยี กชอื่ ตามตำ� นานโนราวา่ “นำ�้ ตาตก” และ “นกเขาขนั ” อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดมีหลายอย่าง เช่น พระ ขรรค์ ใชใ้ นการจบั บทสบิ สองในพธิ โี นราโรงครู ๒) กลอง เปน็ เครอ่ื งกำ� กบั จงั หวะทค่ี อยรบั และการประกอบพิธีกรรม ไม้หวายเฆี่ยนพราย และขัดจังหวะทับที่เรียกว่า “ขัดลูกกลอง” ตาม หมอ้ นำ้� มนต์ และศร ใชต้ อนรำ� เฆย่ี นพราย(พธิ ตี ดั ต�ำนานโนราเรียกช่ือว่า “กลองสุวรรณเภรีโลก” ไมข้ ม่ นาม) หอก สำ� หรบั พธิ รี ำ� แทงเข้(จระเข)้ ซมุ โนราคณะหนงึ่ ๆ จะมกี ลอง ๑ ลกู และไมค้ อนซมุ สำ� หรบั ใสเ่ ทรดิ และเปน็ ไมห้ าบ คอน ธนูเป็นอาวุธส�ำหรับนายพราน แชงหรือ ๓)โหมง่ หรอื ฆอ้ งคู่ เปน็ เครอื่ งกำ� กบั จงั หวะ กระแชงเปน็ เครอื่ งกนั แดดฝนของนายพราน มี ๒ ลูก เสียงแหลมเรียกว่า “หน่วยจี้” เสียงทุ้ม เรยี กวา่ “หนว่ ยทมุ้ ” เดมิ โนราใชโ้ หมง่ ทมี่ รี างและ ๕. เครื่องดนตรี เหลก็ หรอื ไมแ้ กน่ ขงึ เรยี งกนั ๒ แผน่ คลา้ ยระนาด เรยี กวา่ “โหมง่ ราง” หรอื “โหมง่ ฟาก” แลว้ พฒั นา เครอื่ งดนตรที ใ่ี ชใ้ นการแสดงโนราสว่ นใหญ่ มาเปน็ การหลอ่ ดว้ ยทองเหลอื งเรยี กวา่ “โหมง่ หลอ่ ” เปน็ เครอื่ งตใี หจ้ งั หวะ มดี งั น้ี อยา่ งในปจั จบุ นั ทับ กลอง โหม่ง

21 ๖. โรงแสดง โนรารนุ่ เกา่ กลา่ วตรงกนั วา่ โรงโนราสมยั กอ่ น ปลูกในเน้ือที่ “ขนาดเท่าแผ่นดินอนุญาต” คือ แผ่นดนิ ทพี่ ระยาสายฟา้ ฟาดประทานใหแ้ กข่ นุ ศรี ศรทั ธาผเู้ ปน็ หลาน มขี นาดกวา้ ง ๙ ศอก ยาว ๑๑ ฉงิ่ ศอก ลกั ษณะโรงตา่ งกนั เปน็ ๒ แบบ ไดแ้ ก่ โรงรำ� หรอื โรงแสดงทวั่ ไป และโรงทใี่ ชใ้ นการประกอบ พธิ กี รรมโนราโรงครู ป่ี แตระ โรงทีใ่ ช้ประกอบพิธกี รรมโนราโรงครู ๔) ฉง่ิ มี ๑ คู่ เปน็ เครอ่ื งกำ� กบั จงั หวะ ใชค้ ู่ ๖.๑ โรงรำ� หรอื โรงแสดงทว่ั ไป กบั โหมง่ มมุ หนง่ึ ของรางโหมง่ จะผกู ฉง่ิ ฝาหนง่ึ ไว้ เมอ่ื ลกู คตู่ โี หมง่ จะใชม้ อื ขา้ งหนง่ึ ตฉี งิ่ ควบคไู่ ปดว้ ย ในสมยั กอ่ นไมย่ กพน้ื ปลกู เปน็ รปู สเี่ หลยี่ ม ขนาดกวา้ ง ๙ ศอก ยาว ๑๑ ศอก ใชเ้ สาไมห้ มาก ๕) ปี่ เป็นเครื่องเป่าชนิดเดียวของโนรา หรอื ไมไ้ ผ่ หลงั คาเปน็ รปู หนา้ จว่ั หลงั คามงุ ดว้ ย โดยมากจะใชป้ น่ี อกหรอื ปใ่ี น ปใ่ี ชเ้ ปา่ เดนิ ทำ� นอง จากหรอื กะแชง ดา้ นขา้ งเปดิ โลง่ ทงั้ ๔ ดา้ น พน้ื ทำ� ใหก้ ารบรรเลงดนตรมี คี วามไพเราะยง่ิ ขน้ึ โรงปเู สอ่ื มที นี่ งั่ รำ� เยอื้ งมาทางสว่ นหนา้ ของโรง ทำ� ดว้ ยไมไ้ ผส่ งู จากพนื้ ราว๑ศอกเรยี กวา่ “นกั ” หรอื ๖) แตระ หรอื แกระ คอื กรบั มที ง้ั กรบั อนั “พนกั ” โรงยงั ไมม่ มี า่ นกน้ั แตง่ ตวั กนั กลางโรง เดยี วทใี่ ชต้ กี ระทบกบั รางโหมง่ หรอื กรบั คู่ และมี เสรจ็ แลว้ ลกุ ขน้ึ รำ� ตอ่ มาพฒั นาเปน็ แบบมมี า่ นกนั้ ทรี่ อ้ ยเปน็ พวงอยา่ งกรบั คู่ หรอื ใชเ้ รยี วไมห้ รอื ลวด และยกพน้ื ทำ� เปน็ รปู เพงิ หมาแหงน หลงั คามงุ ดว้ ย เหลก็ หลาย ๆ อนั มดั เขา้ ดว้ ยกนั ตใี หป้ ลายกระทบ จากหรอื ผา้ ใบ ปจั จบุ นั โรงโนรามลี กั ษณะเหมอื น กนั กเ็ รยี กวา่ “แตระ” กบั เวทแี สดงทว่ั ๆไป และมกี ารสรา้ งโรงโนราแบบ ส�ำเร็จรูปเช่นเดียวกับเวทีวงดนตรีที่มีขนาดใหญ่ ตอ่ มาเมอ่ื คณะโนรานำ� วงดนตรลี กู ทงุ่ เขา้ มา สามารถถอดและเคลอ่ื นยา้ ยไปตดิ ตงั้ ในเวลาแสดง ประกอบในการแสดง จงึ ไดน้ ำ� ดนตรสี ากล เชน่ โดยมงุ่ เนน้ การแสดงวงดนตรแี บบลกู ทงุ่ เปน็ สำ� คญั กลองชดุ กตี าร์ ออรแ์ กนไฟฟา้ และดนตรอี นื่ ๆ เขา้ มาประสมวงทเ่ี รยี กกนั วา่ “โนราสากล” อยา่ ง ในปจั จบุ นั

22 ๖.๒ โรงร�ำหรือโรงแสดงเพื่อประกอบ หรือใบเตย เป็นนัยว่าเพ่ือระลึกถึงนางนวลทอง พิธีกรรม ส�ำลีตอนถูกลอยแพ พ้ืนโรงปูด้วย “สาดคล้า” (เสื่อท่ีสานด้วยคล้า) ปูทับด้วยเสื่อกระจูด เรียก โรงรำ� หรอื โรงแสดงเพอ่ื ประกอบพธิ กี รรม ท่ี วา่ “สาดจดู ” วางหมอนปผู า้ ขาวทบั เรยี กวา่ “สาด เรยี กวา่ โนราโรงครู นยิ มปลกู ทางทศิ ตะวนั ออก หมอน” บนหมอนวางไมแ้ ตระตดิ เทยี น เรียกว่า หรอื ทศิ ใตข้ องเรอื นเจา้ ภาพหรอื ผจู้ ดั พธิ ี มขี นาด “เทยี นคร”ู กวา้ ง ๙ ศอก ยาว ๑๑ ศอก เสา ๘ เสา ไม่ยกพืน้ หลงั คารปู จว่ั ปลกู ให้ “ลอยหวนั ” คอื หนั สว่ นยาว ๗.โอกาสและวตั ถปุ ระสงคใ์ นการแสดง ไปตามดวงอาทติ ย์ โดยตอ่ สว่ นของโรงดา้ นตะวนั ออกไปอีกราว ๓ ศอก ท�ำเป็นเพงิ ยกพนื้ เสมออก ๗.๑ การแสดงเพอื่ ความบนั เทงิ สำ� หรบั วางเครอ่ื งเซน่ ไหวแ้ ละเครอื่ งบชู าครู เรยี กวา่ “ศาล”หรอื “หอ้ งพระ” ดา้ นทศิ ใตข้ องโรงตอ่ เปน็ โนรามกั แสดงในงานวดั เพอื่ หารายไดบ้ ำ� รงุ ระเบยี งใชเ้ ปน็ ทพี่ กั และแตง่ ตวั ของโนรา เรยี กวา่ พระพทุ ธศาสนา งานประเพณสี ำ� คญั ตามนกั ขตั ฤกษ์ “พาไล” ผูกดาดเพดานท้องโรง โยงสายสิญจน์ งานพธิ เี ฉลมิ ฉลองตา่ งๆทชี่ าวบา้ น วดั หรอื หนว่ ย จากผ้าดาดเพดานให้ปลายข้างหน่ึงหอ้ ยลงกลาง งานราชการจดั ขนึ้ การแสดงโนราเพอื่ ความบนั เทงิ โรง ปลายอกี ขา้ งหนงึ่ โยงไปยงั หงิ้ ครหู มอตายาย อาจจดั แสดงเพยี งคณะเดยี วหรอื มากกว่า ๑ คณะ บนเรอื นเจา้ ภาพ อนง่ึ ตรงจว่ั จะครอบดว้ ยกะแชง ในรปู แบบการแขง่ ขนั ประชนั โรงทเี่ รยี กวา่ “โนรา แขง่ ”ใชช้ อื่ วา่ “งานมหกรรม”หรอื “งานสวนสนกุ ” การแสดงโนราเพอื่ ความบันเทิง (๒ ภาพบน) และการแสดงโนราเพือ่ ประกอบพธิ กี รรม (๒ ภาพลา่ ง)

23 ๗.๒ การแสดงเพอ่ื ประกอบพธิ กี รรม เข้าด้วยกันอย่างต่อเน่ืองกลมกลืน และแต่ละท่า มคี วามถกู ตอ้ งตามแบบฉบบั มคี วามคลอ่ งแคลว่ การแสดงโนราประกอบพธิ กี รรมทเ่ี รยี กวา่ ชำ� นาญทจี่ ะเปลยี่ นลลี าการรำ� ใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะดนตรี “โนราโรงคร”ู หรอื “โนราลงคร”ู มวี ตั ถปุ ระสงค์ และตอ้ งรำ� ใหส้ วยงามออ่ นชอ้ ยหรอื กระฉบั กระเฉง หลกั ๒ ประการ คอื เพอื่ ทำ� พธิ แี กบ้ น หรอื “แก้ เหมาะแกก่ รณี บางคนอาจอวดความสามารถใน เหมฺ รฺ ย” (อา่ นวา่ เหมรย ออกเสยี งควบกลำ้� อกั ษร เชิงร�ำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การร�ำท่า หม) และพธิ ี “ผกู ผา้ ใหญ”่ หรอื “พธิ คี รอบเทรดิ ” พลกิ แพลง การรำ� ทา่ ตวั ออ่ น การรำ� พดในถาด การแสดงหรอื การรำ� โนราในพธิ กี รรมทง้ั ๒อยา่ งนี้ โดยทว่ั ไปนยิ มจดั ในเดอื น ๖ ถงึ เดอื น ๙ ของทกุ ปี ๘.๒ การรอ้ ง ๘. องค์ประกอบหลักของการแสดง โนราแต่ละตัวจะต้องอวดลีลาการร้องขับ บทกลอนในลกั ษณะตา่ งๆเชน่ เสยี งไพเราะชดั เจน องคป์ ระกอบหลกั ของการแสดงโนรา ซง่ึ จงั หวะการรอ้ งขบั ถกู ตอ้ งเรา้ ใจ มปี ฏภิ าณในการคดิ เปน็ การแสดงเพอื่ ใหค้ วามบนั เทงิ โดยตรงมดี งั นี้ กลอนรวดเรว็ ไดเ้ นอ้ื หาดี สมั ผสั ดี มคี วามสามารถ ในการรอ้ งโตต้ อบ แกค้ ำ� อยา่ งฉบั พลนั และคมคาย ๘.๑ การรำ� ในอดตี มโี นราทม่ี ชี อ่ื เสยี งในการรอ้ งขบั บทกลอน โดยเฉพาะกลอนสดทเ่ี รยี กวา่ “กลอนมตุ โต” เชน่ โนราแตล่ ะตวั ตอ้ งรำ� อวดความชำ� นาญและ ความสามารถเฉพาะตน โดยตอ้ งรำ� ประสมทา่ ตา่ งๆ การรำ� ประสมท่า เพอ่ื แสดงความสามารถในเชงิ รำ� เฉพาะด้าน

24 ๙. การแสดงเป็นเรอ่ื ง โนราเตมิ จงั หวดั ตรงั โนราพนิ พนั จงั หวดั พทั ลงุ ๙.๑ เรอื่ งทน่ี ยิ มแสดง โนราฉลวย ประดษิ ฐศ์ ลิ ป์ จงั หวดั กระบี่ ในสมัยก่อนการแสดงโนรามีแต่ตัวละคร ๘.๓ การทำ� บท สำ� คญั ประมาณ ๓ ตวั คอื ตวั นายโรง ตวั นาง และ ตวั ตลกหรอื เรยี กวา่ “จำ� อวด” เรอ่ื งทน่ี ำ� มาแสดง เปน็ การอวดความสามารถของโนราในการ กม็ กั จบั ตอนจากวรรณคดี หรอื วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ตคี วามหมายของบทรอ้ งเปน็ ทา่ รำ� ใหค้ ำ� รอ้ งและ ทช่ี าวบา้ นรจู้ กั กนั แพรห่ ลาย เชน่ พระรถเสน พระ ทา่ รำ� สมั พนั ธก์ นั การรำ� ทำ� บทมี ๒ ทำ� นอง ไดแ้ ก่ สธุ น-นางมโนหร์ า สงั ขท์ องหรอื หอยสงั ข์ ในเวลา การรำ� “ทำ� นองเพลงกราว” หรอื ทเี่ รยี กวา่ “บทสี ตอ่ มาเรยี กวา่ “รำ� บทสบิ สอง”หรอื “จบั บทสบิ สอง” โตผนั หนา้ ” และการรำ� “ทำ� นองเพลงโทน” เปน็ ซงึ่ ยงั ปรากฏอยใู่ นการประกอบพธิ กี รรมโนราโรงครู การรอ้ งตอ่ จากการทำ� บทเพลงกราว โดยเปน็ การ มาจนถงึ ปจั จบุ นั ตอ่ มาไดพ้ ฒั นาแสดงเรอ่ื งทเ่ี ปน็ รำ� และรอ้ งเพอื่ ชมธรรมชาตเิ ปน็ สว่ นใหญ่ นทิ าน นยิ าย หรอื นวนยิ ายประกอบกบั การแสดง ดนตรลี กู ทงุ่ ในปจั จบุ นั ๘.๔ การรำ� เฉพาะอยา่ ง ๙.๒ ลำ� ดบั การแสดง โนราแตล่ ะตวั จะต้องฝกึ การร�ำเฉพาะอย่าง ให้เกิดความช�ำนาญเป็นพิเศษด้วย การร�ำเฉพาะ การแสดงโนราในสมยั กอ่ น หากไมเ่ ปน็ การ อยา่ งนอ้ี าจรำ� หรอื แสดงเฉพาะโอกาส เชน่ รำ� ใน แสดงเพอื่ ประกอบพธิ กี รรม ขนบนยิ มในการแสดง พธิ ไี หวค้ รหู รอื พธิ แี ตง่ พอกผกู ผา้ ใหญ่ บางอยา่ ง จะเรมิ่ ตงั้ แตก่ ารเบกิ โรง โหมโรง กาศครหู รอื เชญิ ครู ใชร้ ำ� เฉพาะเมอื่ มกี ารประชนั โรง บางอยา่ งรำ� ใน ขณะทกี่ าศครู ผทู้ จี่ ะออกรำ� ซงึ่ มกั จะเปน็ เดก็ ๆ ที่ พธิ โี นราโรงครหู รอื รำ� แกบ้ น เรยี กกนั วา่ “หวั จกุ โนรา” จะแตง่ ตวั กลางโรง จบบท กาศครูโนราจะขน้ึ นงั่ บนนกั (พนกั )วา่ บทรายแตระ การรำ� เฉพาะอยา่ งมดี งั นี้ ใสเ่ ลบ็ ไปพลางแลว้ จะออกรำ� อวดทา่ เชน่ เพลงครู ๑) รำ� บทครสู อน รำ� ทา่ แมล่ าย รำ� สาวทา่ รำ� คอนเหนิ รำ� ตวั ออ่ น รำ� ๒) รำ� บทสอนรำ� คละทา่ ตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั เรยี กวา่ “รำ� ประสมทา่ ” ๓) รำ� บทปฐมหรอื ประถม แลว้ ทำ� บทผนั หนา้ บทสโี ต หรอื บทเพลงทบั เพลง ๔) รำ� เพลงทบั เพลงโทน โทน เรยี กวา่ “รำ� ตบี ท” หรอื รำ� ประกอบบท ชาว ๕) รำ� เพลงป่ี ภาคใตเ้ รยี กวา่ “รำ� ทำ� บท” หลงั จากรำ� ทำ� บทแลว้ ผู้ ๖) รำ� เพลงโค รำ� จะอวดทา่ รำ� อกี ครง้ั เชน่ รำ� อวดทา่ ยว่ั ทบั ยวั่ ป่ี ๗) รำ� ขอเทรดิ และกลบั เขา้ โรง แลว้ ผูร้ �ำคนอื่น ๆ ออกมาร�ำต่อ ๘) รำ� เฆย่ี นพราย และเหยยี บลกู นาว(เหยยี บ ตามจำ� นวนทเี่ หน็ สมควร จากนน้ั เปน็ การรำ� ของ มะนาว) โนราใหญห่ รอื นายโรง โนราใหญจ่ ะรอ้ งบทรายแตระ ๙) รำ� คลอ้ งหงส์ รำ� ทำ� บท และจะอวดลลี าดว้ ยการรำ� ประสมทา่ แลว้ ๑ ๐) รำ� บทสบิ สองหรอื รำ� สบิ สองบท ๑๑) รำ� แทงเข้ (แทงจระเข)้ ๑๒) รำ� พรานหรอื ออกพราน

25 เลน่ กำ� พรดั (กลอนทแ่ี ตง่ ไวแ้ ลว้ ) ตา่ ง ๆ โดยเรยี ก บททเ่ี ลน่ เชน่ บทราหจู บั จนั ทร์ บทรามสรู เมขลา คนทรี่ ำ� ไปกอ่ นแลว้ มารว่ ม๑-๒คน กำ� พรดั ทนี่ ยิ ม บทนารผี ล ตอ่ มานยิ มเลน่ เรอ่ื งจกั ร ๆ วงศ์ ๆ โดย เลน่ เชน่ กำ� พรดั เกยี้ ว กำ� พรดั ชม กำ� พรดั ขห้ี ก เลือกนิยายเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งมาเล่นเป็นบางตอน จากน้ันเป็นการแสดงเรื่องหรือท่ีเรียกว่า “จับบท เรยี กกนั ตอ่ มาวา่ “จบั บทสบิ สอง” มที ง้ั บทขบั รอ้ ง ออกพราน” โดยตดั ตอนจากนยิ ายมาเล่น ผู้เล่นมี กลอนและบทเจรจา เชน่ พระสธุ น-นางมโนหร์ า โนราใหญเ่ ปน็ หลกั หรอื โนราอนื่ ประกอบ๑-๒คน พระรถเสน ลกั ษณวงศ์ ตวั อยา่ งบทแสดงทเี่ รยี กวา่ “จบั บทสบิ สอง” พระสธุ น-นางมโนหร์ า ครบกำ� หนดสบิ สองทำ� นองสาร “ขอแสดงแจง้ เรอื่ งในเบอ้ื งบท พฤฒาจารยจ์ ะเอาไปเผาไฟ กลา่ วถงึ มโนหร์ าปรชี าชาญ จำ� จะไปหลอกลอ่ ตอ่ แมผ่ วั เปน็ บญุ ตวั ไมว่ บิ ตั ติ กั ษยั ไดห้ างปกี หลกี หนแี มผ่ วั ไป สเู่ วยี งชยั ไกรลาศปราสาททอง” พระรถเสน ไดถ้ ามไถเ่ มรมี เิ หนิ หา่ ง “ฝา่ ยพระรถบถ (สบถ) ซำ�้ ทำ� ลกู ไม ้ ถามตา่ งตา่ งนางแจง้ ไมแ่ พรง่ พราย ลวงใหก้ นิ สรุ าพดู จาพลาง แลว้ ขนึ้ ทรงพาชเี หาะหนหี าย” ไดด้ วงเนตรแมป่ า้ หอ่ ยาผง สว่ นลำ� ดบั การแสดงในปจั จบุ นั ทมี่ กั เปน็ การ ๑๐. ทา่ ร�ำและบทรอ้ ง แสดงเพอื่ ความบนั เทงิ กป็ รบั เปลยี่ นไปตามยคุ สมยั ตงั้ แตเ่ บกิ โรง โหมโรง กาศครู ปลอ่ ยตวั นางรำ� ๑๐.๑ ทา่ รำ� รายรำ� แสดงความชำ� นาญเฉพาะตวั นง่ั พนกั วา่ บท รา่ ยแตระ แลว้ ทำ� บท (รอ้ งบทและตที า่ รำ� ตามบท ทา่ รำ� และกระบวนรำ� ของโนราไมม่ แี บบฉบบั นน้ั ๆ) วา่ บทกลอน รำ� อวดมอื แลว้ เขา้ โรง ออก ตายตวั มกั ขนึ้ อยกู่ บั สายของโนรา เชน่ สายขนุ พราน ออกตวั นายโรง แสดงเรอื่ ง แลว้ พฒั นามา อปุ ถมั ภน์ รากร (พมุ่ เทวา) สายโนราแปลกทา่ แค เปน็ โนราสมยั ใหมท่ เี่ นน้ การแสดงดนตรี (ลกู ทงุ่ ) (แปลก ชนะบาล) แตท่ า่ รำ� สว่ นใหญก่ จ็ ะมลี กั ษณะ มากกว่าการแสดงแบบดั้งเดิม โดยปรับรูปแบบ ผสมผสานกัน ดังเช่นท่ีสมเด็จฯ กรมพระยา ใหม่ เริ่มต้ังแต่กาศครู ปล่อยนางร�ำเป็นชุด ร�ำ ดำ� รงราชานภุ าพทรงรวบรวมทา่ รำ� ๑๒ ทา่ ไวจ้ าก แบบโบราณแสดงเรอื่ ง แลว้ แสดงดนตรี เปน็ ตน้ คำ� ชแี้ จงของนายจงภกั ดี(ขาว) ผเู้ คยเลน่ ละครชาตรี บทพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งอเิ หนาทเ่ี มอื งตรงั ดงั น้ี

26 ท่าแม่ลาย ทา่ ราหูจับจันทร์ หรอื ท่าเขาควาย ทา่ กินนร ทา่ ฉากนอ้ ย ท่าผาลา ท่าบัวตมู

27 ท่าบัวบาน ทา่ บวั คลี่ ท่าบัวแยม้ ท่าแมงมุมชักใย ๕) ทา่ ลงฉาก ๖) ทา่ ฉากนอ้ ย ๑) ทา่ แมล่ าย หรอื ทา่ แมล่ ายกนก ๗) ทา่ ผาลา (ผาหลา) ๒) ทา่ ราหจู บั จนั ทร์ หรอื ทา่ เขาควาย ๘) ทา่ บวั ตมู ๓) ทา่ กนิ นร หรอื กนิ นรรำ� (ทา่ ขหี้ นอน) ๙) ทา่ บวั บาน ๔) ทา่ จบั ระบำ� ๑๐) ทา่ บวั คล่ี ๑๑) ทา่ บวั แยม้ ๑๒) ทา่ แมงมมุ ชกั ใย ทา่ รำ� เหลา่ นอ้ี าจเรยี กตา่ งกนั ออกไป เชน่ ทา่ แม่ลาย บางต�ำราเรียกว่า ท่าเทพนม (คือแม่ลาย ของไทย) และแตกตอ่ เปน็ ทา่ เครอื วลั ย์ ทา่ พรหม สหี่ นา้ หรอื ทา่ ลงฉาก ทา่ สอดสรอ้ ย ตอ่ มาโนรา ได้คิดท่าร�ำเพิ่มเติมและแตกต่างกันออกไป เช่น ทา่ รำ� ทป่ี รากฏในบทครสู อน บทสอนรำ� และบท ประถม ซง่ึ เปน็ การรำ� ขนั้ พน้ื ฐานสำ� หรบั ผเู้รมิ่ ฝกึ หดั รำ� โนรา มบี ทรอ้ งดงั น้ี

28 ๑) บทครสู อน ๓) บทประถม “ครเู อยครสู อน เสดอ้ื งกรตอ่ งา “ตง้ั ตน้ ใหเ้ ปน็ ประถม ถดั มาพระพรหม...สหี่ นา้ รำ� เปน็ ทา่ สอดสรอ้ ย หอ้ ยเปน็ พวงมาลา ครสู อนใหผ้ กู ผา้ สอนขา้ ใหท้ รงกำ� ไล สอนใหค้ รอบเทรดิ นอ้ ย แลว้ จบั สรอ้ ยพวงมาลยั เวโหนโยนชา้ ... ใหน้ อ้ งนอน สอนใหท้ รงกำ� ไล สอดใสซ่ า้ ยใสข่ วา รำ� เปน็ ทา่ ผาหลา ซดั ลงมาเพยี งไหล่ ครใู หเ้ สดอื้ งเยอื้ งขา้ งซา้ ย ตคี า่ ไดห้ า้ พารา พสิ มยั รว่ มเรยี ง... เขา้ มาเคยี งหมอน ครใู หเ้ สดอื้ งเยอ้ื งขา้ งขวา ตคี า่ ไดห้ า้ ตำ� ลงึ ทอง รำ� เปน็ ทา่ ตา่ งกนั หนั ใหเ้ ปน็ มอน ตนี ถบี พนกั สว่ นมอื ชกั เอาแสงทอง มรคาแขกเตา้ ... บนิ เขา้ รงั หาไหนจะไดเ้ สมอื นนอ้ ง ทำ� นองพระเทวดา” รำ� ทา่ กระตา่ ยชมจนั ทร์ พระจนั ทรเ์ ขา้ มาทรงกลด รำ� ทา่ พระรถโยนสาร มารกลบั หลงั ๒) บทสอนทา่ รำ� รำ� ทา่ ชชู าย นาดกรายเขา้ วงั แลว้ มานงั่ หมอบเฝา้ ... เจา้ นครนิ ทร์ “สอนเอยสอนรำ� ครขู า้ ใหร้ ำ� เทยี มบา่ รำ� ทา่ ขหี้ นอนรอ่ นรำ� แลว้ เขา้ มาเปรยี บทา่ ปลดปลงลงมา ครขู า้ ใหร้ ำ� เทยี มพก รำ� ทา่ พระรามรามา... ทา้ วนา้ วศลิ ป์ วาดไวป้ ลาย(ฉาย)อก ยกใหเ้ ปน็ แพนผาหลา ทำ� ฝงู มจั ฉาสาคร คอ่ ยลอ่ งมาในวารนิ ซดั สงู ขน้ึ เสมอหนา้ เรยี กชอ่ ระยา้ พวงดอกไม้ หลงใหลไปสนิ้ ... งามโสภา ปลดปลดลงมาใต้ ครใู หข้ า้ รำ� โคมเวยี น รำ� ทา่ โตเลน่ หาง ถดั มาทา่ กวางโยนตวั รำ� ทา่ กนกรปู วาด วาดไวใ้ หเ้ หมอื นรปู เขยี น รำ� ยวั่ เอาแปง้ ... มาผดั หนา้ รำ� ทา่ กนกโคมเวยี น รำ� ทา่ กะเชยี นปาดตาล รำ� ทา่ หงสท์ อง ลอยลอ่ งนำ้� มา ตวั ฉนั นเ้ี หวอนชุ พระพทุ ธเจา้ หา้ มมาร เหราเลน่ นำ�้ ... สำ� ราญนกั ตวั ฉนั นนี้ งคราญ พระรามจะขา้ มสมทุ ร รำ� ทา่ โตเลน่ หาง รำ� ทา่ กวางเดนิ ดง ยกขน้ึ สงู สดุ รำ� ทา่ พระยาครฑุ รอ่ นมา รำ� ทา่ พระสรุ ยิ วงศ.์ .. ผทู้ รงศกั ด์ิ ครฑุ เฉย่ี วนาคได้ รอ่ นกลบั ไปในเวหา รำ� ทา่ ชา้ งสารหวา่ นหญา้ แลดนู า่ รกั รำ� ทา่ พระลกั ษณแ์ ผลงศร... จรลี ทำ� ทา่ หนมุ าน เหาะทยานไปเผาลงกา รำ� ทา่ ขหี้ นอนฟอ้ นฝงู ยงู ฟอ้ นหาง รำ� ทา่ เทวา สารถขี ม่ี า้ ชกั รถ ขดั จางหยางใหน้ างรำ� ... ทงั้ สองศรี ทา่ นางมทั รี จรลหี วา่ งเขาวงกต ซดั ขน้ึ ใหเ้ ปน็ วง มานงั่ ลงใหไ้ ดท้ ี่ รำ� ทา่ พระดาบส ลลี าจะเขา้ อาศรม สซี อสามสาย... ยา้ ยเพลงรำ� สม่ี มุ ปราสาท วาดไวใ้ หเ้หมอื นกบั หนา้ พรหม รำ� ทา่ กระบตี่ ที า่ จนี มาสาวไส้ ทา่ นเ้ี อวกลม เรยี กพระนารายณน์ า้ วศร รำ� ทา่ ชะนรี า่ ยไม.้ .. อยเู่ ฉอื่ ยฉำ่� ฉนั นบ้ี วร พระรามเธอวางศรไป” เมขลาลอ่ แกว้ แลว้ ชกั ลำ� นำ� ตามเพลงรำ� แตก่ อ่ น... ครสู อนมา”

29 ๑๐.๒ บทรอ้ ง บทรอ้ งกลอนโนรามี ๒ ลกั ษณะ คอื บทรอ้ งทม่ี ที า่ รำ� ประกอบ และบทรอ้ งทไ่ี มม่ ที า่ รำ� ประกอบ บทรอ้ งทม่ี ที า่ รำ� ประกอบ ไดแ้ ก่ บทครสู อน บทสอนรำ� บทประถม บทสโี ตผนั หนา้ บทเพลงทบั เพลง โทน และบททใี่ ชเ้ ลน่ จบั บท สว่ นบทรอ้ งทไี่ มม่ ที า่ รำ� ประกอบ ไดแ้ ก่ ๑) บทกาศครู ประกอบดว้ ย บทขานเอ บทหนา้ แตระ บทรายแตระ บทเพลงโทน ตวั อยา่ งเชน่ บทขานเอ “รนื่ เอยรน่ื รนื่ จะไหวน้ างธรณผี งึ่ แผน เอาหลงั มาพงิ เปน็ แทน่ รองตนี มนษุ ยท์ งั้ หลาย ตนี ซา้ ยรองหญงิ ยงั เลน่ ตนี ขวารองชาย นาคเจา้ ฤาสาย ขานใหโ้ นเนโนไน ขานมาชาตอ้ ง ทำ� นองเหมอื นววั ชกั ไถ เพลงครวญคดิ มา ทรหวนหวั ใจ เพลงสำ� ลไี มล่ มื ใน พไี่ ปไมล่ มื นอ้ งหนา ลมเอยรวยรวย ยงั หอมแตร่ สแปง้ ทา หอมรสครขู า้ สง่ กลนิ่ พอ่ มาไรไร” ฯลฯ ๒) บทสรรเสรญิ ครู (ทำ� นองรายแตระ) ตวั อยา่ งเชน่ “คณุ เอยคณุ ครู เหมอื นฝง่ั แมน่ ำ�้ พระคงคา คนิ่ คน่ิ จะแหง้ ไหลมา ยงั ไมร่ สู้ นิ้ รสู้ ดุ สบิ นว้ิ ลกู ยกขนึ้ ดำ� เหนนิ สอเสรญิ ถงึ คณุ พระพทุ ธ ลกู จำ� ศลี อยแู่ ลว้ ยงั ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ ไหวพ้ ระเสยี กอ่ นตอ่ สวดมนต์ ไหวพ้ ระพทุ ธพระธรรมเจา้ พระสงฆเ์ จา้ ยกไวใ้ สเ่ กลา้ ใสผ่ ม เลน่ ไหนใหด้ มี คี นรกั หยดุ พกั ใหด้ มี คี นชม ยกไวใ้ สเ่ กลา้ ใสผ่ ม ยอไหวบ้ งั คมทกุ ราตร”ี ฯลฯ ๓) บทสรรเสรญิ คณุ มารดา (ทำ� นองเพลงหนา้ แตระ) ตวั อยา่ งเชน่ “ไหวบ้ ญุ คณุ ครเู สยี แลว้ ไหวบ้ ญุ คณุ แกว้ คณุ ครสู อน ไหวค้ ณุ อาจารยท์ า่ นเสยี กอ่ น ทา่ นไดส้ งั่ สอนขา้ พเจา้ มา ไหวค้ ณุ อาจารยท์ า่ นเสรจ็ สรรพ กลายกลบั ไปไหวค้ ณุ มารดา พระแมข่ า้ เหอเลยี้ งลกู มา แมพ่ ทิ กั ษร์ กั ษาจนไดร้ อดตวั

30 เลย้ี งลกู แตน่ อ้ ยจนคมุ้ ใหญ่ นำ้� ใจแมไ่ มใ่ หล้ กู ชว่ั ระหวา่ งลกู จะรอดขน้ึ มาเปน็ ตวั หลบั ตาจะนอนไมห่ อนไดร้ งุ่ คณุ แมอ่ ยหู่ วั จนผา่ ยผอม ยามคำ่� ยามเชา้ แมเ่ ฝา้ ถนอม ผกู เปลเวชา้ เอาผา้ มาวง กลวั รน้ิ กลวั ยงุ จะไตต่ อม จนรงุ่ แมน่ อนไมห่ อ่ นหลบั คำ�่ เชา้ แมก่ ลอ่ มใหล้ กู หลบั ฯลฯ กลวั ละอองผงจะลงทบั ตรบั หอู ยฟู่ งั เสยี งลกู รอ้ ง” ๔) บทเชอ้ื ครหู มอ (บทเชญิ ครหู มอตายาย ๖) กลอนมุตโต เป็นกลอนสดหรือกลอน โนรา) ใชเ้ ฉพาะในพธิ กี รรมโนราโรงครเู ทา่ นนั้ ซง่ึ ทใ่ี ชป้ ฏภิ านไหวพรบิ ขบั รอ้ งออกไปตามเหตกุ ารณ์ บทเชญิ ครหู รอื บทชมุ นมุ ครอู าจแตกตา่ งกนั ไปตาม เชน่ กลา่ วชมผดู้ ผู ฟู้ งั หรอื ยกเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ มา ชนดิ ของโรงครู การเชญิ แตล่ ะวนั อาจแตกตา่ งกนั เปน็ กลอนสด มี ๔ ชนดิ คอื กลอนส่ี กลอนหก ไป เชน่ วนั ท่ี ๒ คอื วนั พฤหสั บดี จะกลา่ วเชญิ กลอนหนัง (กลอนแปดหรือกลอนสุภาพ) และ ครูมาชุมนุมและรับการเซ่นสังเวยจากเคร่ืองบูชา กลอนคหู่ รอื กลอนทอย ตวั อยา่ งเชน่ ๑๑. ความเชอ่ื และพธิ กี รรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง “ศรศี รสี ดั ดขี องขา้ เหย เชญิ ทา่ นมาสงิ ตวั ขา้ หรา กบั โนรา และการรำ� โนราโรงครู ลกู นอ้ ยขอเรยี นอรรถ ขอเรยี นตรสั ทง้ั คาถา ๑๑.๑ ความเชอ่ื และพธิ กี รรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ออกชอื่ ศตั รอู ยา่ มมี า ขอจงวนิ าศวนิ ายสาย กบั โนรา ศรศี รจี ำ� เรญิ สขุ ออกชอ่ื ภยั กบั ทกุ ขข์ อใหม้ นั เหอื ดหาย ๑)ความเชอื่ เรอื่ งครหู มอโนรา ครหู มอโนรา คอื บรุ พาจารยห์ รอื ครตู น้ โนรา และบรรพบรุ ษุ ลาภมาอยา่ ขาดสาย ขอใหม้ ชี ยั สทิ ธเิ ม โนราที่ล่วงลับไปแล้ว บางแห่งเรียกว่า “ตายาย โนรา” หรอื “ครหู มอตายาย” ครหู มอโนรามหี ลาย มอื ขา้ ทงั้ สบิ นวิ้ สอดขน้ึ หวา่ งควิ้ ไมไ่ ดเ้ อ องคด์ งั ปรากฏอยใู่ นตำ� นานโนรา บทกาศครู และ บทร้องกลอนของโนรา เช่น ตาหลวงคง จอม ตง้ั นะโมพทุ ธาเย ขา้ ขอยกยอพระศรอี ารยิ ์ เฒ่าหน้าทอง แม่ศรีมาลา พระเทพสิงหร แต่มี ครูหมอโนราที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบุคคลส�ำคัญท่ี ลกู ยกมอื ไหวพ้ ระศรสี งฆ์ ตง้ั ใจจำ� นงองคน์ ริ พาน เรียกว่า “พระราชครู” นั้นมี ๑๒ องค์ แบ่งเป็น ฝ่ายชาย ๖ องค์ ฝ่ายหญิง ๖ องค์ ได้แก่ พระ คณุ ครคู ณุ อาจารย์ ทา่ นไดส้ อนขา้ พเจา้ มา” เทพสิงหร ขุนศรีศรัทธา พระม่วงทอง หม่อม ฯลฯ รอง พระยาสายฟ้าฟาด พรานบุญ แม่ศรีมาลา ๕) บทกำ� พรดั คอื บทกลอนทแี่ ตง่ ไวก้ อ่ น ใชร้ อ้ งตอนอยใู่ นมา่ นกอ่ นออกรำ� เรยี กวา่ “กำ� พรดั เกี้ยวม่าน” และใช้ร้องตอนออกร�ำ แต่ไม่ต้องมี ทา่ รำ� แบบทำ� บท บทกำ� พรดั ตอนออกรำ� มเี นอื้ หา ตา่ งกนั ออกไป เชน่ บทชม บทสอนใจ บทเกย้ี ว บทตลก

31 แม่นวลทองส�ำลี แม่แขนอ่อนฝ่ายขวา แม่แขน เสนยี ดจญั ไร ปอ้ งกนั วญิ ญาณรา้ ยทจ่ี ะเขา้ มาในพธิ ี ออ่ นฝา่ ยซา้ ย แมศ่ รดี อกไม้ และแมค่ วิ้ เหนิ โนราโรงครู ปอ้ งกนั คณุ ไสยทจี่ ะไดร้ บั จากบคุ คล อน่ื การประกอบพธิ กี รรมโนราโรงครบู างอยา่ งจะ คณะโนราและชาวบ้านต่างมีความเชื่อว่า ตอ้ งใชเ้ วทมนตรค์ าถาประกอบ เชน่ การเบกิ โรง ครหู มอโนราเหลา่ นย้ี งั มคี วามผกู พนั กบั ลกู หลาน การผกู ขผ้ี กู เยยี่ ว (หมายถงึ การควบคมุ ตนเองไม่ ทม่ี เี ชอื้ สายโนรา หากลกู หลานเพกิ เฉยไมเ่ คารพ ใหป้ วดปสั สาวะหรอื อจุ จาระขณะรำ� หรอื ประกอบ บชู า ไมเ่ซน่ ไหว้ ครหู มอโนราอาจใหโ้ ทษหรอื ลงโทษ พธิ กี รรม ดว้ ยการวา่ คาถาหรอื ทอ่ งคาถากำ� กบั ) การ ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เชน่ เจบ็ ปว่ ยกระเสาะกระแสะ แตง่ ตวั การสวมเทรดิ การแทงเข้ (จระเข)้ การ มอี าการผอมแหง้ แรงนอ้ ยรบั ประทานอาหารไมไ่ ด้ เหยยี บเสน การชกั เสยี งใหไ้ พเราะ (หมายถงึ การ เรียกอาการเช่นน้ีว่า “ครูหมอย่าง” หรือ “ตายาย ทำ� ใหเ้ สยี งตนเองดงั และมคี วามไพเราะตดิ ใจคนฟงั ยา่ ง” ตอ้ งมกี ารบน เมอื่ หายปว่ ยกแ็ กบ้ นดว้ ยการ ดว้ ยการวา่ คาถาหรอื ทอ่ งคาถากำ� กบั ) เซน่ ไหวย้ อมรบั นบั ถอื ครหู มอโนรา หรอื จดั โนรา โรงครูร�ำถวาย ก็จะส่งผลให้ชีวิตและครอบครัว ๓) ความเชื่อเร่ืองการแก้บน การแก้บน เจรญิ มนั่ คง หมายถงึ การทำ� อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดใหข้ าดจากพนั ธ- สัญญาที่บุคคลใดบุคคลหน่ึงได้ให้ไว้กับเทพเจ้า ๒)ความเชอ่ื เรอื่ งไสยศาสตร์ ความเชอื่ เรอ่ื ง สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ครหู มอโนรา เปน็ ตน้ ชาวบา้ นและ ไสยศาสตรท์ ี่เก่ียวขอ้ งกับโนรา ไดแ้ ก่ ความเชอ่ื คณะโนราเชอ่ื วา่ สามารถบนบานขอความชว่ ยเหลอื เกย่ี วกบั โชคลาง ความเชอ่ื เกย่ี วกบั เวทมนตรค์ าถา จากครหู มอโนราไดใ้ น๒ลกั ษณะ คอื การบนและ โดยเฉพาะการรำ� โนราโรงครู ผทู้ เี่ ปน็ โนราใหญห่ รอื การแกบ้ นเพอื่ ขอความชว่ ยเหลอื เชน่ บนใหห้ าย หัวหน้าคณะจะต้องมีเวทมนตร์คาถาเพื่อป้องกัน การประกอบพธิ กี รรมตามความเชอื่ และการแก้บนดว้ ยการรำ� โนราโรงครู

32 จากอาการปว่ ยไข้ บนใหร้ อดพน้ จากการถกู เกณฑ์ ทางผีโอกะแชง เสนไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทหาร บนใหข้ องทหี่ ายไปไดค้ นื บนใหส้ อบเขา้ นอกจากใหโ้ นราทำ� พธิ เี หยยี บเสนใหใ้ นวนั โนรา ทำ� งานหรอื ไดง้ านทำ� อกี ลกั ษณะหนง่ึ คอื การบน เขา้ โรงครู และแก้บนจากการท่ีลูกหลานตายายโนราถูกครู หมอโนราลงโทษดว้ ยสาเหตตุ า่ ง ๆ เชน่ ลกู หลาน ๕) ความเช่ือเร่ืองการรักษาอาการป่วยไข้ เพกิ เฉยไมเ่ ซน่ ไหวต้ ายายโนรา ไมต่ ง้ั หงิ้ บชู าตายาย เปน็ ความเชอื่ ทเ่ี กย่ี วเนอื่ งกบั ความเชอ่ื เรอื่ งครหู มอ โนรา ครหู มอโนราตอ้ งการใหส้ บื ทอดการรำ� โนรา โนรา ชาวบา้ นและคณะโนราเชอื่ วา่ ครหู มอโนรา หรอื เปน็ รา่ งทรงครหู มอโนรา และการทำ� พธิ กี รรมในวนั โนราโรงครสู ามารถรกั ษา อาการปว่ ยไขบ้ างอยา่ งได้ อาการปว่ ยไขน้ น้ั มาจาก ๔) ความเชอื่ เร่อื งการเหยียบเสน เสนเป็น สาเหตุ ๒ ประการ คอื อาการปว่ ยไขอ้ นั เกดิ จาก เนอื้ ทงี่ อกนนู จากระดบั ผวิ หนงั เปน็ แผน่ ถา้ มสี แี ดง ความผิดปกติของร่างกายและโรคภัยต่าง ๆ การ เรยี กวา่ “เสนทอง” ถา้ มสี ดี ำ� เรยี กวา่ “เสนดำ� ” ไม่ รกั ษาเบอื้ งตน้ กค็ อื การบนบานขอความชว่ ยเหลอื เจบ็ ปวดและไมเ่ ปน็ อนั ตราย แตถ่ า้ งอกบนบางสว่ น จากครหู มอโนราทตี่ นเคารพนบั ถอื ใหห้ ายปว่ ยจาก ของรา่ งกายจะดนู า่ เกลยี ด เชน่ บนใบหนา้ ถา้ เปน็ โรคนั้น ๆ แล้วจะแก้บนเม่ือหายเป็นปกติ และ กบั เดก็ ๆ เสนจะโตขนึ้ ตามอายุ ชาวบา้ นและคณะ อาการปว่ ยไขอ้ กี อยา่ ง เชน่ การเสยี สติ ถกู คณุ ไสย โนราเชอื่ วา่ เสนเกดิ จากการกระทำ� ของผที เี่ รยี กวา่ ถูกวญิ ญาณผรี า้ ยเขา้ สงิ รา่ งหรอื ผีเขา้ ญาติพีน่ ้อง “ผโี อกะแชง” ซงึ่ ทำ� หนา้ ทเี่ ฝา้ เสาโรงโนรา หรอื ตอ้ งพาไปรกั ษากบั ครหู มอโนรา โดยผา่ นศลิ ปนิ สว่ นหนง่ึ เปน็ เพราะการทำ� เครอ่ื งหมายของครหู มอ โนราหรอื คนทรงครหู มอโนรา โดยใชท้ ง้ั การบน โนรา เพอ่ื ตอ้ งการเอาเดก็ คนนน้ั เปน็ โนราโดยผา่ น การรดนำ�้ มนต์ การตม้ ยา การปดั เปา่ ดว้ ยเวทมนตร์ การเตรียมพิธเี หยียบเสน พิธเี หยียบเสน

33 คาถา อาการป่วยไข้อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากการ พิธกี รรมแก้บน หรอื การแก้เหฺมรฺ ย กระทำ� ของครหู มอโนราทตี่ อ้ งการใหล้ กู หลานตายาย โนราเป็นผู้สืบทอดการร�ำโนรา เป็นคนทรงครู แกบ้ นคำ้� คร”ู ซงึ่ หมายถงึ คำ�้ ประกนั เพอื่ ยนื ยนั วา่ หมอโนรา หรอื เกดิ จากลกู หลานไมเ่ คารพนบั ถอื ตนเองเปน็ เชอื้ สายโนราและยงั ไมล่ มื เคารพนบั ถอื ไมเ่ ซน่ ไหวค้ รหู มอโนรา ทำ� ใหเ้ กดิ อาการปว่ ยไข้ ครหู มอโนรา การรำ� โนราโรงครมู อี งคป์ ระกอบและ ต่าง ๆ ที่เรียกว่า “ตายายย่าง” อาการป่วยไข้ท่ีมี ขนั้ ตอนในการทำ� พธิ ซี งึ่ จะนำ� มากลา่ วโดยสรปุ ดงั น้ี สาเหตมุ าจากการกระทำ� ของครหู มอโนราจะตอ้ ง ไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยวธิ กี ารของโนราเทา่ นนั้ จงึ จะ ๑) องคป์ ระกอบในการรำ� โนราโรงครู หาย เม่ือผู้ป่วยหายแล้ว ก็จะต้องท�ำตามความ โนราใหญ่ คอื หวั หนา้ คณะหรอื นายโรงโนรา ตอ้ งการของครหู มอโนราดงั กลา่ วแลว้ เปน็ ผนู้ ำ� ในการประกอบพธิ กี รรมตา่ งๆในโรงโนรา คณะโนรา มปี ระมาณ ๑๕-๒๐ คน เพอื่ ๑๑.๒ การรำ� โนราโรงครู ประกอบพธิ กี รรมและรำ� ใหค้ วามบนั เทงิ แกผ่ ชู้ ม คนทรง หรอื รา่ งทรงครหู มอโนรา ซง่ึ อาจ โนราโรงครู หมายถงึ โนราทแ่ี สดงสำ� หรบั เปน็ รา่ งทรงประจำ� ครหู มอโนราองคน์ นั้ ๆหรอื อาจ ประกอบพธิ เี ชญิ ครหู รอื บรรพบรุ ษุ ของโนรามายงั จะเปน็ ผมู้ เี ชอ้ื สายโนรา ลกู หลานตายายโนราทคี่ รู โรงพธิ เี พอื่ รบั การเซน่ สงั เวย รบั การแกบ้ น และ หมอโนราจะเขา้ ทรง ครอบเทรดิ หรอื “ผกู ผา้ ใหญ”่ ใหแ้ กผ่ แู้ สดงโนรา ระยะเวลาและวันท�ำพิธี นิยมท�ำกันในฤดู รนุ่ ใหม่ และสำ� หรบั ประกอบพธิ กี รรมอนื่ ๆทส่ี ำ� คญั แลง้ มกั ทำ� ในเดอื นหกถงึ เดอื นเกา้ และเรม่ิ ทำ� พธิ ี คอื ไหวค้ รหู รอื ไหวต้ ายายโนราอนั เปน็ การแสดง เขา้ โรงครวู นั แรกในวนั พธุ ไปสนิ้ สดุ ในวนั ศกุ ร์ กตเวทติ าคณุ ตอ่ ครขู องตน เพอ่ื ทำ� พธิ แี กบ้ น หรอื โรงพธิ หี รอื โรงครู สรา้ งแบบโรงโนรารนุ่ “แกเ้ หมฺ รฺ ย” และพธิ อี นื่ ๆ เชน่ เหยยี บเสน ตดั จกุ เกา่ เปน็ รปู สเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ ขนาดกวา้ ง ๙ ศอก ยาว ตัดผมผีช่อ นอกจากนี้เป็นโนราโรงครูท่ีแสดง ๑๑ ศอก มเี สา ๘ เสา ไมย่ กพนื้ ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ สำ� หรบั ทำ� พธิ คี รอบเทรดิ หรอื ทเี่ รยี กวา่ “พธิ ผี กู ผา้ ในโรงโนราเพอ่ื ประกอบพธิ กี รรม ใหญ”่ หรอื “พธิ แี ตง่ พอก” อปุ กรณใ์ นการประกอบพธิ ี ทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ ผา้ เพดานบนศาลหรอื พาไล ผา้ เพดานใหญใ่ นโรง โนราโรงครแู บง่ ออกเปน็ ๒ ชนดิ คอื โนรา โรงครใู หญ่ หมายถงึ โนราโรงครเู ตม็ รปู การรำ� โนราโรงครใู หญป่ กตทิ ำ� กนั ๓ วนั จงึ จบพธิ ี เรม่ิ ตงั้ แตว่ นั พธุ ไปสนิ้ สดุ ในวนั ศกุ ร์ และจะตอ้ งทำ� กนั เปน็ ประจำ� เชน่ ทกุ ปี ทกุ ๓ ปี ทกุ ๕ ปี แลว้ แต่ กำ� หนด สว่ นโนราโรงครเู ลก็ หมายถงึ การรำ� โรง ครอู ยา่ งยน่ ยอ่ ใชเ้ วลารำ� เพยี ง ๑ คนื กบั ๑ วนั โดย ทำ� พธิ เี ขา้ โรงครใู นตอนเยน็ ของวนั พธุ ไปสนิ้ สดุ ใน วันพฤหัสบดี และท�ำพิธีอย่างย่นย่อจึงเรียกว่า “การรำ� โรงครเู ลก็ ” หรอื “การคำ้� คร”ู หรอื “โรง

34 พิธี ที่วางเทริด เส่ือ หมอน เคร่ืองเช่ียนพิธี น�้ำมนต์ เทริด บายศรี และเคร่ืองสังเวยที่เป็น หม้อน้�ำมนต์ ไม้หวาย มดี หมอ บายศรปี ากชาม ของแห้งใส่ส�ำรับวางไว้ตลอด ๓ วัน เคร่ืองคาว บายศรใี หญห่ รอื บายศรที อ้ งโรง ดอกไม้ ธปู เทยี น หวานหรอื ที่ ๑๒ ตอ้ งเปลย่ี นทกุ วนั และทกุ สำ� รบั หอกแทงจระเข้ หยวกกล้วยท�ำรูปจระเข้ ใบชิง ตอ้ งปกั เทยี น นอกจากนยี้ งั มี “ราด” คอื เงนิ กำ� นล หรอื กะแชง ขนั ลงหนิ หนา้ พรานชายหญงิ เทรดิ มี ๓ บาท หรอื ๑๒ บาท สว่ นเครอื่ งบชู าทที่ อ้ งโรง ย่าม ธนู เชือกคล้องหงส์ เคร่ืองแต่งตัวโนรา มีธูปเทียน ๙ ชุด ติดไม้เป็นแพวางบนหมอนซึ่ง หญา้ คา หญา้ ครุน ใบเฉยี งพร้า ใบหมากผู้ เงนิ วางไวก้ ลางโรง และบายศรที อ้ งโรง ๑ สำ� รบั เหรียญ รวงขา้ ว มีดโกน หินลบั มีด พระขรรค์ หนงั เสอื หนงั หมี เครอ่ื งดนตรแี ละลกู คู่ คอื ทบั ๑ คู่ กลอง ๑ ใบ ปนี่ อก ๑ เลา โหมง่ ๑ คู่ ฉงิ่ ๑ คู่ ทข่ี าดไมไ่ ด้ เครอ่ื งบชู าประกอบพธิ ี จะจดั เครอ่ื งบชู าครู สำ� หรบั โรงครคู อื แตระหรอื ไมแ้ ตระ เปน็ ๒ สว่ น คอื เครอ่ื งบชู าถวายครบู นศาลหรอื พาไล และเครอ่ื งบชู าทที่ อ้ งโรง (ทพี่ นื้ กลางโรง) บทประกอบทา่ รำ� และบทรอ้ ง มแี ตกตา่ งกนั เครอื่ งบชู าบนศาลหรอื พาไลประกอบดว้ ย หมาก ออกไปบา้ งตามชนดิ ของโรงครู บทประกอบทา่ รำ� ๙ ค�ำ เทียน ๙ เล่ม เคร่ืองเช่ียน ๑ ส�ำรับ กล้วย หมายถงึ บทรอ้ งกลอนของโนราทม่ี ที า่ รำ� ประกอบ ๓ หวี ออ้ ย ๓ ทอ่ น ขนมในพธิ วี นั สารทเดอื น ๑๐ และใชใ้ นพธิ กี รรมโนราโรงครู เช่น บทครูสอน หรอื วนั ชงิ เปรต ไดแ้ ก่ พอง ลา ขนมบา้ ขนมเบซำ� บทประถม บทพลายงามตามโขลง บทฝนตกขา้ ง ขนมเทยี น ๓ สำ� รบั ขา้ วสารพรอ้ มหมากพลเู ทยี น เหนอื สว่ นบทรอ้ งหมายถงึ บทรอ้ งกลอนของโนรา จดั ลงในภาชนะทส่ี านดว้ ยกระจดู หรอื เตยขนาดเลก็ ทไ่ี มม่ ที า่ รำ� ประกอบ เชน่ บทกาศครู บทชมุ นมุ เรยี กวา่ “สอบนง่ั ”หรอื “สอบราด”๓สำ� รบั มะพรา้ ว ครู บทบชู าครหู มอ บทสง่ ครู ๓ ลูก เคร่ืองคาวหวานหรือท่ี ๑๒ จ�ำนวน ๑๒ ส�ำรับ หรือ ๑๒ ชนิด เส่ือ ๑ ผืน หมอน ๑ ใบ ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมโนราโรงครู นอกจาก ผา้ ขาว ๑ ผนื ผา้ นงุ่ หม่ ชาย ๑ ชดุ บายศรปี ากชาม โนราใหญ่และคณะโนราแล้ว ก็มีเจ้าภาพ ผู้มา ๑ ชุด หน้าพรานชายหญิงที่เรียกวา่ “หัวอที าส”ี แกบ้ น ครอบเทรดิ เหยยี บเสน ตดั ผมผชี อ่ และ อยา่ งละหนา้ เปน็ อย่างน้อย เทรดิ ตามจ�ำนวนปที ี่ ชาวบา้ นทวั่ ไป กำ� หนดวา่ ใหท้ ำ� พธิ คี รงั้ หนง่ึ เชน่ ถา้ ทำ� พธิ ี ๗ ปี ตอ่ ครง้ั กใ็ ชเ้ ทรดิ ๗ หวั ถา้ หาเทรดิ ไดไ้ มค่ รบก็ ขนั้ ตอนการจดั พธิ กี รรมโนราโรงครู ใชใ้ บเตยทำ� เปน็ รปู เทรดิ แทนได้ ทเ่ี พดานศาลหรอื พาไลผกู ผา้ ดาดเพดาน ใสห่ มากพลู ๑ คำ� ดอกไม้ โนราโรงครมู ี ๒ชนดิ คอื โนราโรงครใู หญ่ ๓ ดอก เทยี น ๑ เลม่ และขา้ วตอก ๓ เมด็ บนศาล และโนราโรงครเู ลก็ แตร่ ายละเอยี ดของพธิ กี รรม หรอื พาไลใตด้ าดเพดานปผู า้ ขาวบนหมอนสำ� หรบั บางอย่าง เช่น ร�ำคล้องหงส์ ร�ำแทงเข้ (จระเข้) วางหวั พรานและหวั ทาสี ปกั เทยี นไวท้ หี่ นา้ พราน รวมทง้ั ครอบเทรดิ จะทำ� กนั เฉพาะโนราโรงครใู หญ่ มไี มแ้ ตระวางไวห้ นา้ เทยี น วางเครอื่ งเชย่ี น หมอ้ เทา่ นนั้ โนราโรงครแู ตล่ ะพนื้ ทอ่ี าจมขี อ้ แตกตา่ ง กนั ขน้ึ อยกู่ บั ความตอ้ งการของเจา้ ภาพเปน็ สำ� คญั พธิ กี รรมในวนั แรก พธิ กี รรมเรมิ่ ในวนั พธุ ตอนเยน็ โดยมกี ารไหวพ้ ระภมู แิ ละตงั้ ศาลพระภมู ิ โรงโนรามากอ่ นแลว้ คณะโนราจะเขา้ โรงในเวลา

35 ย่�ำค่�ำที่ชาวบ้านภาคใต้เรียกว่า “เวลานกชุมรัง” การจดั พิธกี รรมโนราโรงครู พรอ้ มดว้ ยอปุ กรณต์ า่ งๆวางไวท้ กี่ ลางทอ้ งโรงเรยี ก วา่ “ตง้ั เครอ่ื ง”เมอื่ ไดเ้ วลาจงึ ทำ� พธิ ี“เบกิ โรง” เพอ่ื การจบั บทรำ� ในพธิ กี รรมโนราโรงครู เชิญครูหมอโนรามายังโรงพิธี และเริ่ม “ลงโรง” คอื การประโคมดนตรลี ว้ น ๆ ประมาณ ๑๒ เพลง การรำ� “สิบสองบทสิบสองเพลง” ในพธิ ีกรรมโนราโรงครู จบแลว้ ทำ� พธิ รี อ้ ง “กาศคร”ู ดว้ ยบทรอ้ งทเ่ี รยี กวา่ บทขานเอ บทหนา้ แตระ บทรายแตระ และบท พธิ กี รรมในวนั ที่ ๓ คอื วนั ศกุ ร์ อนั เปน็ วนั เพลงโทน แลว้ กลา่ วบทเชญิ ครู รว่ มกนั กราบครู สดุ ทา้ ยของพธิ กี รรมโนราโรงครใู หญ่ เรม่ิ ตง้ั แต่ จำ� นวน ๙ ครง้ั โนราใหญร่ ำ� “ถวายคร”ู และ “จบั ลงโรง กาศครู เชญิ ครู และรำ� ทว่ั ไปเพอ่ื ถวายครู บทตงั้ เมอื ง” (บางพน้ื ทจ่ี ะจบั บทตงั้ เมอื งในเชา้ วนั จากนั้นโนราจะร�ำบทที่เรียกว่า “สิบสองบทสิบ พฤหสั บด)ี บทตงั้ เมอื ง หมายถงึ บทรอ้ งเพอ่ื การ สองเพลง” เชน่ บทสอนรำ� บทประถม บทนาง จบั จองพนื้ ทโ่ี รงโนราเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องตน แลว้ นกจอก บทพระสธุ น-นางมโนหร์ า บทไกรทอง จงึ รำ� ทว่ั ไปเพอ่ื ใหค้ วามบนั เทงิ แกช่ าวบา้ นและผมู้ า ตอ่ มาจงึ ประกอบพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ดงั น้ี รว่ มพธิ โี ดยทวั่ ไป พธิ กี รรมวนั ท่ี๒ คอื วนั พฤหสั บดี ถอื วา่ เปน็ วนั ครู เปน็ วนั ประกอบพธิ ใี หญท่ งั้ เพอ่ื การเซน่ ไหว้ แกบ้ น และพธิ กี รรมอนื่ ๆ เรม่ิ ตงั้ แตล่ งโรง กาศ ครู เชญิ ครใู หม้ ารบั การเซน่ ไหวแ้ ละแกบ้ น เมอ่ื ครหู มอโนราลงมายงั โรงพธิ หี รอื เขา้ ทรง “จบั ลง” ในรา่ งทรงแล้ว เจ้าภาพและลกู หลานก็จะเข้าไป กราบไหวข้ อลาภขอพรและนดั วนั เวลาทจี่ ะรำ� โรง ครใู นโอกาสตอ่ ไป แลว้ ทำ� พธิ แี กบ้ น รำ� สอดเครอ่ื ง สอดก�ำไล (เป็นพิธีกรรมเพื่อรับศิษย์เข้าฝึกหรือ ยอมรบั การเปน็ โนรา)และทำ� พธิ ตี ดั จกุ ครอบเทรดิ หรอื ผกู ผา้ ใหญซ่ งึ่ เปน็ พธิ ที ค่ี รโู นราครอบใหแ้ กศ่ ษิ ย์ เพอื่ รบั รองความเปน็ โนราโดยสมบรู ณ์ สามารถ เปน็ นายโรงหรอื โนราใหญใ่ นการทำ� พธิ โี นราโรงครู ตอ่ ไปได้ จากนน้ั โนราหรอื ชาวบา้ นทบี่ นขอความ ช่วยเหลือครูหมอโนราเอาไว้ก็จะเข้ามาร�ำแก้บน ทง้ั รำ� โนราถวาย รำ� ออกพรานหรอื ทเี่ รยี กวา่ “จบั บทออกพราน” เปน็ อนั เสรจ็ พธิ ี

36 การเหยียบเสน เป็นพิธีกรรมที่ท�ำในวัน การร�ำคล้องหงส์ สดุ ทา้ ยของการจดั พธิ กี รรมโนราโรงครู ชาวบา้ น เชอ่ื วา่ เสนจะหายไดโ้ ดยการนำ� เดก็ ทเ่ี ปน็ เสนมาให้ การรำ� แทงเข้ โนราใหญท่ ำ� พธิ ใี นวนั ดงั กลา่ วทเ่ี รยี กวา่ “เหยยี บ เสน” และอาจทำ� ซำ้� อกี ๓ ครงั้ เสนก็จะหายไป หอก๗เลม่ แลว้ จบั บทไกรทอง จนกระทงั่ สามารถ ในทสี่ ดุ ฆา่ ชาละวนั (แทงเข)้ เปน็ การจบกระบวนรำ� จากนน้ั โนราใหญร่ อ้ งบท“ชาครหู มอตายาย”(บชู าครหู มอ การตดั ผมผชี อ่ ผมผชี อ่ คอื ผมทจี่ บั ตวั เปน็ หรอื บชู าตายาย) เพอ่ื เปน็ การบชู าครหู มอหรอื ตา กระจกุ โดยธรรมชาตเิ หมอื นผกู มดั เอาไวต้ งั้ แตแ่ รก ยายโนรา โดยเจา้ ภาพ ลกู หลานตายายโนรา จะนำ� คลอด (ปจั จบุ นั พบนอ้ ยมาก) ชาวบา้ นเชอื่ วา่ ผม เงนิ มาบชู าตามกำ� ลงั ศรทั ธาเรยี กวา่ “เงนิ บชู าครหู มอ ผชี อ่ เกดิ จากความตอ้ งการของครหู มอโนราหรอื ตา ตายาย” เพื่อท�ำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ครูหมอ ยายโนราทจ่ี ะใหบ้ คุ คลบางคนเปน็ โนราหรอื เปน็ คนทรงครหู มอโนรา จงึ ผกู ผมเปน็ เครอ่ื งหมายเอา ไว้ เช่ือว่าถ้าใครตัดผมนี้ออกด้วยตนเองจะเกิด โทษภยั แตส่ ามารถแกไ้ ดโ้ ดยใหโ้ นราใหญต่ ดั ออก ใหใ้ นพธิ กี รรมโนราโรงครู ผมทตี่ ดั ออกใหเ้ กบ็ ไว้ กบั ตวั ผทู้ เ่ี ปน็ เจา้ ของ เชอ่ื วา่ เปน็ ของขลงั สามารถ ปอ้ งกนั อนั ตรายใหก้ บั ตนเองได้ การร�ำคล้องหงส์ ใช้ร�ำเฉพาะในพิธีกรรม ครอบเทรดิ หรอื ผกู ผา้ ใหญ่ และพธิ เี ขา้ โรงครใู หญ่ เทา่ นน้ั เพอ่ื ใหพ้ ธิ สี มบรู ณ์ ในการรำ� ใชผ้ รู้ ำ� ๘ คน โดยโนราใหญเ่ ปน็ “พญาหงส”์ โนราคนอนื่ ๆ อกี ๖ คนเปน็ หงส์ และเปน็ นายพราน ๑ คน วธิ รี ำ� โดย การสมมตทิ อ้ งโรงเปน็ สระอโนดาต หงสท์ ง้ั เจด็ ลง เลน่ นำ�้ นายพรานไลค่ ลอ้ งไดพ้ ญาหงส์ พญาหงส์ ใชส้ ตปิ ญั ญาจนสามารถหลดุ จากบว่ ง เปน็ การจบ กระบวนรำ� การรำ� แทงเข้(จระเข)้ จะรำ� เฉพาะในพธิ กี รรม โนราโรงครใู หญเ่ ทา่ นน้ั โดยรำ� หลงั จากรำ� คลอ้ งหงส์ แลว้ ผรู้ ำ� มี ๗ คน โนราใหญร่ ำ� เปน็ “นายไกร” ทเ่ี หลอื อกี ๖ คนเปน็ สหายของนายไกร อปุ กรณม์ ี เข้ (จระเข)้ ๑ ตวั ทำ� จากตน้ กลว้ ยพงั ลา (กลว้ ยตาน)ี

37 หรือตายายโนรา เสร็จแล้วโนราใหญ่จะร้องบท “สง่ คร”ู เพอ่ื สง่ ครหู มอโนราหรอื ตายายโนรากลบั จากนนั้ ทำ� พธิ ี “ตดั เหมฺ รฺ ย” (ตดั ทานบน) เพอื่ เปน็ เคล็ดว่าพันธสัญญาที่เคยให้ไว้กับครูหมอโนรา หรอื ตายายโนราไดข้ าดกนั แลว้ โดยวา่ คาถากำ� กบั แลว้ เกบ็ เครอื่ งบนศาลหรอื พาไลไปวางไวน้ อกโรง ทำ� พธิ พี ลกิ สาดพลกิ หมอน รำ� บนสาด (เสอื่ ) ถอด เทรดิ ออก เปน็ อนั เสรจ็ พธิ กี ารรำ� โนราโรงครู ๑๒. สถานภาพของโนราในปจั จุบนั ปจั จบุ นั โนรายงั คงไดร้ บั ความนยิ มจากชาว ภาคใต้ ในฐานะมหรสพทสี่ รา้ งความบนั เทงิ ใหแ้ ก่ ชุมชนในระดับหน่ึง โดยที่คณะโนราได้มีการ ปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลง รวมทงั้ พฒั นารปู แบบและ เน้ือหาในการแสดงให้มีความทันสมัย เพื่อตอบ สนองความตอ้ งการและคา่ นยิ มของคนในปจั จบุ นั การสาธิตการรำ� โนราในงานประเพณตี ่าง ๆ

38 การแสดงเพื่อเผยแพร่การรำ� โนรา ใหเ้ ยาวชนไดฝ้ กึ หดั การรำ� โนรามากยง่ิ ขน้ึ จงึ เปน็ อกี แนวทางหนง่ึ ของการดำ� รงอยขู่ องโนราในดา้ น เยาวชนท่สี ืบทอดการรำ� โนรา วิถีความเช่ือ ประเพณี พิธีกรรมที่เก่ียวเนื่องกับ ศลิ ปนิ และชมุ ชน โดยบทบาทของโนรายงั คงเขม้ ขน้ ไมว่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งของดนตรที นี่ ำ� เอาดนตรสี ากลมา ในการประกอบพธิ กี รรมทเ่ี รยี กวา่ “โนราโรงคร”ู ผสมผสานในลกั ษณะของวงดนตรลี กู ทงุ่ เรอื่ งท่ี ทมี่ ผี ลกระทบโดยตรงตอ่ ศลิ ปนิ ผมู้ เี ชอื้ สายโนรา นำ� มาแสดงจะเปน็ ในรปู ของนวนยิ ายหรอื บทละคร ลกู หลานตายายโนรา และชาวบา้ นทวั่ ไป อนั เปน็ ผล โทรทัศน์ มีการปรับกระบวนร�ำให้เป็นชุดเพ่ือ มาจากความเชอ่ื ในเรอื่ ง “ครหู มอ” “สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ”์ิ สรา้ งความยงิ่ ใหญต่ ระการตา ในขณะเดยี วกนั การ และ “วญิ ญาณบรรพบรุ ุษ” ทส่ี ามารถให้คุณและ สบื ทอดการรำ� โนรานอกจากการสบื ทอดโดยสาย โทษได้ นอกจากน้ี โนรายังมีส่วนในการสร้าง เลอื ดและจารตี ประเพณแี ลว้ ชมุ ชนและสถาบนั การ เอกภาพและสมั พนั ธภาพในสงั คม รวมทง้ั ปลกู ฝงั ศกึ ษาในทกุ ระดบั ของภาคใตไ้ ดส้ ง่ เสรมิ สนบั สนนุ คณุ ธรรมรกั ษาบรรทดั ฐานของสงั คม ปกปอ้ งสทิ ธิ อนั ชอบธรรม และเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมของชาว บา้ นทอ่ี ยทู่ า่ มกลางกระแสการเปลยี่ นผา่ นทางสงั คม และวฒั นธรรมในปจั จบุ นั ใหม้ คี วามมน่ั คงยงิ่ ขนึ้ ดเู พม่ิ เตมิ เรอ่ื ง วฒั นธรรมทางละครไทย(ละครรำ� ) เลม่ ๒๓ และบายศรี เลม่ ๓๙

39 บรรณานกุ รม คณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ สำ� นกั งาน. พมุ่ เทวา-ทรี่ ะลกึ งานเชดิ ชเู กยี รตศิ ลิ ปนิ ภาคใต้ : ขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๒๓. ฉตั รชยั ศกุ ระกาญจน.์ “พธิ กี รรมทนี่ า่ ศกึ ษาในโนราโรงคร.ู ” ใน พมุ่ เทวา-ทรี่ ะลกึ งานเชดิ ชเู กยี รตศิ ลิ ปนิ ภาคใต้ : ขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร. หนา้ ๑๑๑-๑๒๕. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๒๓. ชยั วฒุ ิ พยิ ะกลู . การศกึ ษา“เพลานางเลอื ดขาว”ฉบบั วดั เขยี นบางแกว้ อำ� เภอเขาชยั สน จงั หวดั พทั ลงุ . ปรญิ ญานพิ นธ์ ศศ.ม. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สงขลา, ๒๕๓๘. (ถา่ ยเอกสาร) .ความรเู้ รอ่ื งโบราณวทิ ยาเมอื งพทั ลงุ .กรงุ เทพฯ:สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๒๗. ดำ� รงราชานภุ าพ, สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ. ตำ� นานละครอเิ หนา. พระนคร : คลงั วทิ ยา, ๒๕๐๗. ผาสขุ อนิ ทราวธุ . “ละครชาตรหี รอื มโนหร์ า.” ใน ประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดนี ครศรธี รรมราช ชดุ ท่ี ๔ เอกสาร การประกอบสัมมนาทางวิชาการประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งท่ี ๔. หน้า ๙๘-๑๐๕. นคร ศรธี รรมราช : วทิ ยาลยั ครนู ครศรธี รรมราช, ๒๕๒๙. พทิ ยา บษุ รารตั น.์ การแสดงพนื้ บา้ น:การเปลย่ี นแปลงและความสมั พนั ธก์ บั สงั คมและวฒั นธรรม บรเิ วณลมุ่ ทะเลสาบ สงขลา กรณศี กึ ษาหนงั ตะลงุ และโนราชว่ งการปฏริ ปู การปกครองสมยั รชั กาลที่๕ ถงึ ปจั จบุ นั . กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.), ๒๕๔๔. . โนราโรงครตู ำ� บลทา่ แค อำ� เภอเมอื งพทั ลงุ จงั หวดั พทั ลงุ . ปรญิ ญานพิ นธ์ ศศ.ม. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สงขลา, ๒๕๓๕. (ถา่ ยเอกสาร) . รายงานการวจิ ัยโนราโรงครวู ดั ท่าครุ ะ ต�ำบลคลองรี อ�ำเภอสทิงพระ จงั หวัดสงขลา. กรุงเทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๓๗. (ถา่ ยเอกสาร) . การวจิ ยั ตำ� นานโนรา : ความสมั พนั ธท์ างสงั คมและวฒั นธรรมบรเิ วณลมุ่ ทะเลสาบสงขลา. สงขลา : สถาบนั ทกั ษณิ คดศี กึ ษา มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ , ๒๕๔๐. (ถา่ ยเอกสาร) ภญิ โญ จติ ตธ์ รรม. โนรา. สงขลา : โรงเรยี นฝกึ หดั ครสู งขลา, ๒๕๐๘. วเิ ชยี ร ณ นคร. “ตำ� นานและความเปน็ มาของโนราหห์ รอื โนรา.” ใน พมุ่ เทวา-ทรี่ ะลกึ งานเชดิ ชเู กยี รตศิ ลิ ปนิ ภาคใต้ : ขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร. หนา้ ๗๓-๙๙. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๒๓. สาโรช นาคะวโิ รจน.์ โนรา. สงขลา : ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ วทิ ยาลยั ครสู งขลา, ม.ป.ป. สธุ วิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย.์ “โนรา.” ใน สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้ เลม่ ๘. หนา้ ๓๘๗๑-๓๘๙๖. กรงุ เทพฯ : มลู นธิ ิ สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพาณชิ ย,์ ๒๕๔๒. อดุ ม หนทู อง. ดนตรแี ละการละเลน่ พน้ื เมอื งภาคใต.้ สงขลา : คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สงขลา, ๒๕๓๑. (ถา่ ยเอกสาร) . โนรา. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ภาคใต,้ ๒๕๓๖. (ถา่ ยเอกสาร)


สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 41 (รวมเล่ม)

The book owner has disabled this books.

Explore Others