Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

Description: สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

Keywords: สารานุกรมไทย,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม ๔๐

Search

Read the Text Version

100

101 เห็ด รองศาสตราจารยพ์ ูนพิไล สุวรรณฤทธ์ิ และผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อุทยั วรรณ แสงวณชิ ผู้เขยี น ส่วนเดก็ เล็ก ทกุ คนคงเคยรบั ประทานเหด็ มาบา้ ง เหด็ คอื รากลมุ่ หนงึ่ ทส่ี ามารถ สรา้ ง ดอก ขน้ึ มาได้ มขี นาดมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ และมรี ปู รา่ งหลากหลาย การลองผดิ ลองถกู ของบรรพบุรษุ ทำให้ทราบว่า เห็ดบางชนดิ รับประทานได้ บางชนิดรับประทานไม่ได้ เห็ดชนิดใดมีรสชาติดีก็จะนำไปเพาะเล้ียงเพื่อ ประโยชนส์ ำหรบั บรโิ ภคและอตุ สาหกรรม เหด็ บางชนดิ ยงั เปน็ สมนุ ไพร เชน่ เห็ดหลินจือ เห็ดหัวลิง เห็ดจึงจัดเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก มีรายงานว่า เห็ดมีโปรตีนและธาตุอาหารสูงกว่าพืชทุกชนิด ยกเว้นผักโขม และถั่วเหลือง ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เกิดการเพาะเห็ดข้ึนมากมายทั้งใน ระดับชาวบ้านและระดับอตุ สาหกรรม

102 เห็ดบางชนิดมีความ สัมพันธ์กับพืชในแง่การพึ่งพา เหด็ มตั สตึ าเกะ อาศยั ซึ่งกนั และกนั โดยเสน้ ใย ของเหด็ จะไปเจริญหอ่ หมุ้ ปลาย รากของพืช โดยเฉพาะไม้ป่า ทำใหไ้ มป้ า่ นนั้ ดดู ธาตอุ าหารและ น้ำได้มากข้ึน จึงเติบโตเร็วกว่า ปกติ ขณะเดียวกันเส้นใยของ เห็ดก็ได้รับสารอาหารจากพืช เพื่อนำไปใช้ในการเจริญของ เหด็ เผาะ

103 เหด็ ไขห่ รอื เหด็ ระโงกขาว เหด็ โคนหรอื เหด็ ปลวก เสน้ ใย เมอื่ สภาพแวดลอ้ มเหมาะสม เสน้ ใยจะสรา้ งดอกเหด็ ขน้ึ มาบนดนิ เหด็ เหล่าน้ีมีรสชาติดีและราคาแพง เช่น เห็ดมัตสึตาเกะ ที่ขึ้นร่วมกับต้นสน ในประเทศญี่ปุ่น เห็ดเผาะ ท่ีขึ้นร่วมกับไม้ป่าหลาย ๆ ชนิดในประเทศไทย เห็ดไข่หรือเห็ดระโงกขาว ท่ีพบในป่าเต็งรัง เห็ดบางชนิดมีความสัมพันธ์ แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกนั กบั ปลวก ทเ่ี ราเรยี กวา่ เหด็ โคนหรอื เหด็ ปลวก เหด็ กลมุ่ นไี้ มส่ ามารถเพาะเลยี้ งในโรงเรอื นได้ จึงทำให้มรี าคาแพง เหด็ บางชนดิ สรา้ งสารพษิ ทำใหค้ นทร่ี บั ประทานเขา้ ไปมอี าการปวด ทอ้ ง ทอ้ งรว่ ง ทอ้ งเสยี อาเจยี น จนถงึ มผี ลตอ่ การทำงานของตบั และไต อาจ ถงึ ตายไดห้ ากรกั ษาไมท่ นั เหด็ บางชนดิ มผี ลตอ่ ระบบประสาท ทำใหม้ อี าการ เมาเหมอื นเสพยา นอกจากน้ี เห็ดบางชนดิ ยงั ทำให้เกิดโรคกับพชื ได้ด้วย

104 สว่ นเดก็ กลาง ลกั ษณะทวั่ ไปของเหด็ ทกุ คนคงเคยเหน็ อาหารขนึ้ ราทมี่ เี สน้ ใยฟู ๆ ลกั ษณะคลา้ ยสำลเี กาะอยบู่ นผวิ ของ อาหาร หรอื รจู้ กั เหด็ บางชนดิ กนั บา้ งแลว้ เสน้ ใยฟู ๆ และเหด็ เหลา่ นเ้ี ปน็ สงิ่ มชี วี ติ จำพวกรา แตเ่ ดมิ ราทกุ ชนดิ ถกู จดั ไวใ้ นอาณาจกั รฟงั ไจ (Fungi) ปจั จบุ นั ราในอาณาจกั รฟงั ไจเหลอื เพยี ง ๕ ไฟลัม (phylum) เห็ดก็จัดอยู่ในอาณาจักรฟังไจเช่นกัน โดยอยู่ในไฟลัมเบซิดิโอไมโคตา (Basidiomycota) ซงึ่ เปน็ กลมุ่ ราทภ่ี ายในเสน้ ใยมผี นงั กน้ั ตามขวาง และสรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศทมี่ ชี อื่ เรยี กวา่ เบซดิ โิ อสปอร์ (basidiospore) ราในกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันดีต้ังแต่ศตวรรษ ที่ ๑๘ เนอื่ งจากเปน็ กลมุ่ ราทส่ี รา้ งโครงสรา้ งขนาดใหญส่ ามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เชน่ เหด็ ชนดิ ตา่ ง ๆ ทข่ี นึ้ อยใู่ นปา่ เหด็ ทเี่ พาะเลยี้ งเพอ่ื นำมารบั ประทานเปน็ อาหาร เหด็ และราหลายชนดิ มบี ทบาทสำคญั มากในการยอ่ ยสลายอนิ ทรยี วตั ถุ ทำใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี นธาตคุ ารบ์ อนและแรธ่ าตอุ น่ื ๆ มกี ารประมาณวา่ สามารถหมนุ เวยี นสารอนิ ทรยี ์ ได้ถึงหน่ึงล้านตันต่อปี ในระบบนิเวศป่าไม้ เห็ดนอกจากจะช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุแล้ว ยงั มเี หด็ กลมุ่ ทอี่ ยรู่ ว่ มกบั รากของไมป้ า่ ทมี่ ชี วี ติ ในแบบพง่ึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั เรยี กวา่ เหด็ เอกโทไมคอรไ์ รซา (ectomycorrhizal mushroom) เมอ่ื สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมโดยเฉพาะใน ฤดฝู น เสน้ ใยของเหด็ ทอี่ ยใู่ นดนิ จะมกี ารพฒั นาเตบิ โตเปน็ ดอกเหด็ ชขู น้ึ มาเหนอื ดนิ ชาวบา้ น ทอี่ ยรู่ อบ ๆ ปา่ นยิ มเกบ็ เหด็ ปา่ มารบั ประทาน ดงั จะพบเหน็ การนำเหด็ ปา่ มาวางขายอยรู่ มิ ถนน และในตลาด แตก่ ารรบั ประทานเหด็ ปา่ เหลา่ นม้ี คี วามเสยี่ ง เพราะอาจไปเกบ็ เอาเหด็ พษิ ซงึ่ มี ลักษณะคล้ายกับเห็ดท่ีรับประทานได้ปะปนมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงมีรายงานข่าวตามส่ือ ตา่ ง ๆ เปน็ ประจำทกุ ปวี า่ มผี เู้ สยี ชวี ติ เนอ่ื งจากการรบั ประทานเหด็ พษิ ประโยชน์และโทษของเหด็ การศึกษาเห็ดในธรรมชาติเพื่อจำแนกชนิดตามหลักวิชาการมีผู้ศึกษากันมาก การถ่ายภาพเห็ดนอกจากในเชิงวิชาการแล้ว ยังมีผู้นิยมถ่ายภาพเห็ดเพ่ือความสวยงามและ เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการอยา่ งหนง่ึ มกี ารนำเหด็ ทรี่ บั ประทานไดแ้ ละมรี สชาตดิ มี าเพาะเลย้ี ง

105 จนเปน็ เหด็ เศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรม สรา้ งรายไดอ้ ยา่ งมากมายใหแ้ กเ่ กษตรกรผเู้ พาะเลย้ี ง เหด็ ราในอาณาจกั รฟงั ไจไฟลมั อน่ื ๆ กม็ บี ทบาทสำคญั อยา่ งมากเชน่ กนั เปน็ ตน้ วา่ การคน้ พบสารปฏชิ วี นะเพนซิ ลิ ลนิ (penicillin) จากราเพนซิ ลิ เลยี มโนเทตมั (Penicillium notatum) การศกึ ษาทางพนั ธกุ รรมโดยใชร้ านวิ โรสปอรา (Neurospora) เปน็ เชอ้ื ตวั อยา่ ง เนอ่ื งจากเปน็ ราที่มีการสืบพันธ์ุแบบสมบูรณ์เพศและมีวงจรชีวิตส้ัน การผลิตเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ ที่มี ประโยชนท์ างอตุ สาหกรรม และการผลติ สารทใี่ ชป้ ระโยชนท์ างการแพทยจ์ ากเหด็ และรา เหด็ และรานอกจากมปี ระโยชนแ์ ลว้ เหด็ และราอกี หลายชนดิ ทมี่ โี ทษ เชน่ ทำให้ อาหารเนา่ เสยี กอ่ ใหเ้ กดิ โรคทงั้ แกพ่ ชื และสตั ว์ โรคพชื ทเ่ี กดิ จากราทำใหเ้ กดิ การสญู เสยี อยา่ ง มหาศาล สามารถเขา้ ทำลายพชื ขณะทกี่ ำลงั เตบิ โตและทำลายผลติ ผลหลงั การเกบ็ เกยี่ ว เชน่ ราในเมลด็ พนั ธพ์ุ ชื ชนดิ ตา่ ง ๆ นนั้ นอกจากทำให้ผลผลิตเสียหายแล้ว ราบางชนดิ ยงั สรา้ งสารพษิ ทรี่ า้ ยแรง ซง่ึ เปน็ สารกอ่ มะเรง็ เชน่ อะฟลา- ท็อกซิน (aflatoxin) บางชนิดก่อ ใหเ้ กดิ โรคในคน ตง้ั แตโ่ รคผวิ หนงั ซงึ่ ไมร่ า้ ยแรง จนถงึ โรครา้ ยแรงทม่ี ี อนั ตรายถงึ ชวี ติ เชน่ ไขส้ มองอกั เสบ จาก Cryptococcus neoforman เหด็ ปา่ ทว่ี างขายอยรู่ มิ ถนนและในตลาด ขา้ วสารทเ่ี กดิ เชอ้ื รา ทำใหเ้ นา่ เสยี ภาพเปรยี บเทยี บเปลอื กสม้ ทเ่ี กดิ เชอื้ รา สม้ จะเนา่ เสยี (ซา้ ย) และสม้ ทไ่ี มเ่ กดิ เชอ้ื รา (ขวา)

106 สว่ นเดก็ โต ๑. ลกั ษณะทวั่ ไปของรา เซลลข์ องรามที ง้ั ชนดิ ทเ่ี ปน็ เซลลเ์ ดยี ว เชน่ ยสี ต์ และหลายเซลลซ์ ง่ึ เปน็ ราสว่ นใหญท่ พี่ บในโลก รา โครงสรา้ งรา่ งกาย (Somatic structure) ในกลมุ่ ทม่ี หี ลายเซลลน์ จี้ ะมเี ซลลร์ า่ งกายเปน็ เสน้ ใย ทม่ี ลี กั ษณะเปน็ เสน้ สายคลา้ ยทอ่ และมอี อรแ์ กเนลล์ โดยทั่วไปอาหารที่ขึ้นราจะมีลักษณะฟู ๆ (organelle) ตา่ ง ๆ อยภู่ ายในเสน้ ใย มกี ารเจรญิ ท่ี เหมอื นสำลเี กาะอยบู่ นผวิ อาหาร ลกั ษณะดงั กลา่ ว ปลายเส้นใยและแตกแขนงไปได้เรื่อย ๆ แขนงท่ี คอื ลกั ษณะเสน้ ใยทเ่ี ปน็ การเจรญิ ทางรา่ งกายของรา แตกมีอัตราการเจริญที่ปลายเส้นใยเท่ากับเส้นใย หลกั ราบางชนดิ มเี สน้ ใยทไี่ มม่ ผี นงั กนั้ ตามขวาง เสน้ ใยท่ไี ม่มผี นังก้ัน อยู่ภายในเส้นใย มีช่ือเรียกว่า ซีโนซิติกไฮฟา (coenocytic hypha) ซงึ่ จดั เปน็ กลมุ่ ราชน้ั ตำ่ เชน่ รา ในไฟลมั ไซโกไมโคตา (Zygomycota) แตก่ อ็ าจจะ พบผนงั กน้ั ไดเ้ มอ่ื รานนั้ จะสรา้ งโครงสรา้ งสบื พนั ธ์ุ หรอื เพอื่ กนั้ เซลลท์ เ่ี สยี หายหรอื ตายออกจากเซลล์ ทีย่ งั เจรญิ ส่วนราช้นั สูงในไฟลมั แอสโคไมโคตา (Ascomycota) และไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตา (Basi- diomycota) มีเส้นใยท่ีมีผนังกั้นตามขวาง มีชื่อ

107 เสน้ ใยท่ีมีผนงั ก้ัน ผนังก้ันชนิดพิเศษ พบเฉพาะราในไฟลมั เบซิดโิ อไมโคตา ผนงั ก้นั ของเสน้ ใยที่ปิดไมส่ นิท มรี อู ยตู่ รงกลาง แ บบไมโอซสิ (meiosis) ไดน้ วิ เคลยี ส ๔ อนั แตล่ ะ อนั มโี ครโมโซมเพยี งครงึ่ เดยี ว ราในไฟลมั เบซดิ โิ อ- เรียกว่า เซปเทตไฮฟา (septate hypha) โดยผนัง ไมโคตา เสน้ ใยสว่ นใหญจ่ ะมรี ะยะทใี่ น ๑ เซลลม์ ี กนั้ ของราทงั้ ๒ ไฟลมั นมี้ กั ปดิ ไมส่ นทิ จะมรี ซู งึ่ มี นวิ เคลยี ส ๒ อนั มาอยเู่ รยี งกนั เปน็ คเู่ ปน็ เวลานาน ขนาดใหญพ่ อทสี่ ารอาหารและออรแ์ กเนลลต์ า่ ง ๆ เสน้ ใยทม่ี นี วิ เคลยี ส ๒ อนั จะมกี ารเจรญิ ไประยะ จะเคลื่อนผ่านได้อยู่ตรงกลาง แม้แต่นิวเคลียสก็ หนง่ึ แลว้ จงึ สรา้ งโครงสรา้ งยดึ เกาะเชอื่ มโยงทเ่ี รยี ก ยงั สามารถเคลอ่ื นผา่ นไดใ้ นราบางชนดิ ในไฟลมั วา่ แคลมปค์ อนเนกชนั (clamp connection) เพอ่ื เบซดิ โิ อไมโคตาบางชนดิ จะมผี นงั กนั้ ชนดิ พเิ ศษท่ี ขยายเส้นใยท่ีมีนิวเคลียส ๒ อันไปเร่ือย ๆ การ สลบั ซบั ซอ้ น เรยี กวา่ โดลพิ อรเ์ ซปตมั (dolipore สรา้ งโครงสรา้ งยดึ เกาะเชอื่ มโยงนพ้ี บเฉพาะในรา septum) ปกตเิ สน้ ใยรา่ งกายของราชนั้ สงู ทมี่ ผี นงั กลมุ่ เหด็ เทา่ นนั้ ดงั นนั้ หากพบโครงสรา้ งน้ี แสดง กั้นจะกัน้ นวิ เคลียส ๑ อันซง่ึ มีจำนวนโครโมโซม วา่ เปน็ ราในไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตา แตไ่ มใ่ ชว่ า่ จะ เพยี งครง่ึ เดยี วใหอ้ ยใู่ น ๑ เซลล์ เมอื่ เกดิ การสบื พนั ธ์ุ พบในราในไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตาทกุ ชนดิ แบบอาศยั เพศมกี ารนำเอานวิ เคลยี สจาก ๒ เซลล์ เข้ามาอยู่ในเซลล์เดียวกัน นิวเคลียส ๒ อันรวม การเกดิ แคลมปค์ อนเนกชนั พบเฉพาะราในไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตา กนั ทำใหไ้ ดน้ วิ เคลยี สทม่ี โี ครโมโซมเปน็ ดพิ ลอยด์ (diploid) และตามมาดว้ ยการแบง่ ตวั ของนวิ เคลยี ส

108 ๒. การสืบพันธ์ุและโครงสร้าง ขวางและตามยาว สปอรบ์ างชนดิ มสี ใี สหรอื ไมม่ สี ี ท่ีเก่ียวกับการสืบพันธ ์ุ บางชนดิ มสี เี ขม้ มกี ำเนดิ จากเซลลท์ ใี่ หก้ ำเนดิ สปอร์ โดยสปอรอ์ าจเกดิ เดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ กลมุ่ หรอื เกดิ การสืบพันธุ์ของรามีเอกลักษณ์คือ มีการ ตอ่ ๆ กนั เปน็ ลกู โซ่ อาจเกดิ บนโครงสร้างพิเศษ สืบพันธุ์ท้ังแบบไม่อาศัยเพศและอาศัยเพศ การ สร้างดอกเห็ดเป็นตัวอย่างหนึ่งของการสืบพันธ์ุ สปอรท์ ี่เกดิ แบบไมอ่ าศัยเพศ มี ๔ เซลล ์ แบบอาศยั เพศ โครงสรา้ งสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ ราชนั้ สงู ในไฟลัมแอสโคไมโคตาและไฟลมั เบซิดิโอไมโคตามีการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ โดยการสรา้ งสปอรท์ เี่ รยี กวา่ คอนเิ ดยี ม (conidium) ซง่ึ เปน็ สปอรท์ เี่ กดิ อยภู่ ายนอกไมม่ ถี งุ หมุ้ สปอร์ อาจมี ๑ เซลล์ ๒ เซลล์ หรอื หลายเซลล์ สปอร ์ ทมี่ มี ากกวา่ ๑ เซลลเ์ กดิ จากการสรา้ งผนงั กนั้ อาจมี ผนังกั้นตามขวาง หรือบางชนิดมีผนังกั้นทั้งตาม สปอรท์ เ่ี กดิ แบบไม่อาศยั เพศ มี ๑ เซลล ์ สปอร์ที่เกิดแบบไม่อาศัยเพศ ที่มีผนังก้ันตามขวางและ มีรยางค์ (สว่ นท่ีย่ืนออกมา) ท่ดี ้านท้ายเซลล ์ สปอรท์ เ่ี กิดแบบไมอ่ าศยั เพศ มี ๒ เซลล ์ สปอรท์ เ่ี กดิ แบบไมอ่ าศยั เพศ ทมี่ ผี นงั กน้ั ตามขวางและตามยาว

สปอรท์ เี่ กดิ แบบไมอ่ าศยั เพศ อยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ 109 โครงสรา้ งสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ ราในไฟลัมเบซิดิโอไมโคตาจะสร้างเส้นใย ปฐมภมู ิ (primary mycelium) งอกมาจากเบซดิ โิ อ สปอร์ (basidiospore) ซง่ึ เปน็ เสน้ ใยทแี่ ตล่ ะเซลล์ มีนิวเคลียสอันเดียวท่ีมีโครโมโซมเพียงครึ่งเดียว มีกระบวนการที่นำนวิ เคลียสจาก ๒ เซลลเ์ ข้ามา อยู่ในเซลล์เดียวกัน เกิดเป็นกลุ่มเส้นใยทุติยภูมิ (secondary mycelium) เห็ดสร้างเสน้ ใยทุติยภูมิ ขนึ้ มามากมายสานกนั แนน่ เกดิ เปน็ เสน้ ใยตตยิ ภมู ิ (tertiary mycelium) และชขู นึ้ มาเปน็ ดอกเหด็ ทมี่ ี รปู รา่ งแตกตา่ งกนั การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศจะ เกดิ บนดอกเหด็ ดอกเหด็ สว่ นใหญม่ รี ปู รา่ งคลา้ ยรม่ และมี สว่ นประกอบดงั ภาพ ดา้ นลา่ งของหมวกทม่ี ลี กั ษณะ เปน็ ครบี มกี ารสรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศบนผวิ หนา้ ของแผน่ ครบี สปอรท์ เี่ กดิ แบบไมอ่ าศยั เพศ สรา้ งตอ่ กนั เปน็ ลกู โซ ่ สะเกด็ หมวก ครบี หรือมีโครงสร้างพิเศษห่อหุ้ม ท้ังนี้ ราในไฟลัม ถว้ ย วงแหวน แอสโคไมโคตามคี วามหลากหลายของรปู แบบสปอร์ เสน้ ใย กา้ น มากกวา่ ราในไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตา ดอกแก ่ เปลอื กหมุ้ ดอกออ่ น (ระยะกระดมุ ) สว่ นประกอบของดอกเหด็ ทม่ี รี ปู รา่ งคลา้ ยรม่

110 เหด็ หง้ิ ดอกเหด็ มลี กั ษณะแขง็ ดา้ นลา่ งของ หมวกเปน็ รู การสรา้ งเบซดิ โิ อสปอรจ์ ะเกดิ ภายใน รู สว่ นทเี่ ปน็ รตู ดิ แนน่ กบั เนอื้ หมวกไมส่ ามารถดงึ ใหห้ ลดุ ออกมาได้ ดอกเหด็ ท่ีด้านล่างของหมวกเป็นครบี เห็ดหิง้ ด้านล่างของหมวกเปน็ ร ู เหด็ ชนดิ อน่ื ๆ ทม่ี กั พบเสมอจะมโี ครงสรา้ ง ดา้ นล่างหมวกของเห็ดห้ิงมีลกั ษณะเป็นรู ของดอกทแ่ี ตกตา่ งกนั ดงั น ี้ เหด็ ฟนั สรา้ งเบซดิ โิ อสปอรบ์ นโครงสรา้ งท่ี เหด็ ผงึ้ ดอกเหด็ มลี กั ษณะออ่ นนมุ่ ดา้ นลา่ ง แหลมคลา้ ยซเ่ี ลอื่ ยหรอื ฟนั (teeth fungi) ของหมวกเปน็ รู คลา้ ยฟองนำ้ สว่ นทเี่ ปน็ รทู ง้ั หมด จะถกู ดงึ ใหห้ ลดุ ออกจากเนอื้ หมวกโดยงา่ ย เหด็ ผ้งึ ดา้ นล่างของหมวกเป็นรู เห็ดฟัน ดา้ นลา่ งของหมวกมรี ูปรา่ งคล้ายซ่ีเลื่อยหรอื ฟัน

111 เห็ดมันปู (chanterelle) มีส่วนที่ให้กำเนดิ เบซิดิโอสปอร์เป็นสันนูนท่ีแตกแขนงคล้ายส้อม แตล่ ะแขนงบางครง้ั มกี ารเชอ่ื มกนั คลา้ ยรา่ งแห เห็ดมนั ปู ดา้ นล่างของหมวกเป็นสนั นูน เห็ดร่างแหหรอื เหด็ เยื่อไผ ่ เห็ดมือเน่า เหด็ ลกู ฝนุ่ มรี ปู รา่ งเปน็ กอ้ นคอ่ นขา้ งกลม ไมว่ า่ เปลอื กนอกจะแตกหรอื ไมแ่ ตกกต็ าม เบซดิ โิ อ สปอรจ์ ะเกดิ ภายในเปลอื กหมุ้ เห็ดเขาเหม็น (stink horn) สร้างเบซิดิโอ สปอรท์ ม่ี กี ลน่ิ เหมน็ และลกั ษณะเปน็ เมอื กอยบู่ น หมวก เชน่ เหด็ รา่ งแหหรอื เหด็ เยอ่ื ไผ่ หรอื อยู่ ดา้ นในของสว่ นทแี่ ตกแขนงคลา้ ยมอื เชน่ เหด็ มอื เนา่ เหด็ ปะการงั (coral fungi) สรา้ งเบซดิ โิ อสปอร์ บนผวิ หนา้ ของปลายกง่ิ ทแี่ ตกแขนงคลา้ ยปะการงั เห็ดลูกฝุ่น มรี ูปรา่ งเปน็ กอ้ นกลม เหด็ ปะการัง

112 เหด็ รงั นก (bird’s nest fungi) สรา้ งเบซดิ โิ อ ก้านชู (sterigma) ยื่นออกไปจากเบซิเดียม แล้ว สปอร์อยู่ในโครงสรา้ งทคี่ ลา้ ยไขน่ ก วางเรยี งอยู่ สปอร์จึงเคล่ือนจากเบซิเดียม ผ่านก้านชูเข้าไปที่ ภายในดอกเหด็ ทมี่ รี ปู รา่ งคลา้ ยถว้ ย ปลายซึ่งโป่งออกและพัฒนาเป็นเบซิดิโอสปอร์ ปกติเบซิดิโอสปอร์จะมี ๔ อัน แต่อาจมีเห็ดบาง เหด็ รงั นก ชนดิ ทก่ี ารพฒั นาไมส่ มบรู ณจ์ งึ มสี ปอรเ์ พยี ง ๑, ๒ หรอื ๓ อนั รปู รา่ งลกั ษณะของสปอรจ์ ะแตกตา่ งไป สปอรท์ ีเ่ กิดจากการสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศ ตามชนดิ ของเหด็ เชน่ เปน็ รปู ทรงกลม ผวิ หนา้ เปน็ จะเกดิ บนเซลลพ์ เิ ศษทเี่ รยี กวา่ เบซเิ ดยี ม (basidium) ตาขา่ ย หรอื เปน็ รปู ไข่ ผวิ หนา้ เปน็ สนั ยนื่ ออกมา โดยเกดิ การรวมกนั ของนวิ เคลยี สทเ่ี ซลลน์ ี้ ไดเ้ ซลล์ จงึ ใชร้ ปู รา่ งลกั ษณะนชี้ ว่ ยในการจำแนกชนดิ ของรา ทม่ี โี ครโมโซมเปน็ ๒ เทา่ (2n) จากนน้ั นวิ เคลยี ส จะแบง่ ตวั แบบไมโอซสิ ตามมาทนั ที ไดน้ วิ เคลยี ส นอกจากรปู รา่ งลกั ษณะแลว้ เบซดิ โิ อสปอร์ ๔ อนั แตล่ ะอนั มโี ครโมโซมครง่ึ เดยี ว (n) มกี ารสรา้ ง ของเหด็ จะมสี ที แ่ี ตกตา่ งกนั สขี องสปอรส์ ามารถใช้ เปน็ ขอ้ มลู ในการจำแนกชนดิ ได้ ดงั นน้ั การจำแนก ชนดิ ของเหด็ จงึ นยิ มทำรอยพมิ พส์ ปอร์ (spore print) เพอ่ื ดสู สี ปอร์ และตรวจรปู รา่ งลกั ษณะของสปอร์ ดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน ์ S สปอร์รปู ไข่ ผิวหนา้ เปน็ สันยนื่ ออกมา St B ภาพตดั ขวางครีบของเห็ด แสดงเบซเิ ดียม (B) กา้ นชู (St) สปอรร์ ูปทรงกลม ผวิ หน้าเป็นตาขา่ ย (ที่มา : ชริดา ปุกหตุ ) และเบซิดโิ อสปอร์ (S)

113 เหด็ ไข่หรอื เหด็ ระโงกขาวทม่ี สี ปอรส์ ีขาว เหด็ กระดุมท่มี ีสปอร์สีนำ้ ตาลเข้มอมมว่ ง ๑ ๓ ๒ ๔ ขน้ั ตอนการทำรอยพิมพส์ ปอร์เห็ด ๑) ตดั ปลายกา้ นดอกเห็ดออกจากหมวก ๒) วางหมวกเหด็ ลงตรงกลางระหวา่ งกระดาษสขี าว และกระดาษสดี ำ ๓) ครอบดว้ ยจานแกว้ หรือถว้ ยแกว้ ทิ้งไวข้ ้ามคนื ๔) เปดิ ครอบแกว้ แลว้ เอาหมวกเห็ดออกไป จะเหน็ รอยพมิ พ์ สปอร์สขี าวชัดเจนบนกระดาษสีดำ

114 ๓. หนา้ ทขี่ องเหด็ ในระบบนเิ วศ ธาตุอาหารกลับคืนสู่ส่ิงแวดล้อม จึงมีช่ือเรียกว่า ผยู้ อ่ ยสลาย (decomposers) แบคทเี รยี และราชนดิ ระบบนเิ วศ (ecosystem) หมายถงึ หนว่ ย ต่าง ๆ จะปลอ่ ยนำ้ ยอ่ ยออกมาจากเซลล์เพื่อสลาย ของกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ และปจั จยั สงิ่ แวดลอ้ มบนพนื้ ท่ี เซลลูโลสหรือเน้ือเย่ืออินทรียสารอื่น ๆ ทำให้ได้ กวา้ งพนื้ ทใ่ี ดพนื้ ทหี่ นง่ึ ทม่ี คี วามผกู พนั กนั จนกอ่ พลงั งานและธาตอุ าหารออกมาใชใ้ นกลมุ่ ของผยู้ อ่ ย ให้เกิดเป็นระบบของการถ่ายทอดพลังงานและ สลายเองสว่ นหนงึ่ อกี สว่ นหนง่ึ กลบั คนื สสู่ ภาพ สารอาหาร แวดลอ้ มกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ไป ในระบบนิเวศน้ัน พืชทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต เนอ่ื งจากเหด็ คอื รากลมุ่ หนง่ึ ดงั นนั้ ในระบบ อนิ ทรยี วตั ถุ จงึ เรยี กวา่ ผผู้ ลติ (producer) สว่ นสตั ว์ นเิ วศ เหด็ จงึ ทำหนา้ ทเี่ ปน็ ผยู้ อ่ ยสลาย โดยผลลพั ธ์ ทำหนา้ ทใี่ ชป้ ระโยชนจ์ ากผลติ ผลของพชื จงึ เรยี กวา่ จากการยอ่ ยสลายมกั อยใู่ นรปู ธาตอุ าหารตา่ ง ๆ ท่ี ผบู้ รโิ ภค (consumer) ซงึ่ แยกยอ่ ยออกไปอกี หลาย เหด็ นำไปใชใ้ นการเตบิ โต ทงั้ น้ี เมอ่ื พจิ ารณาใหล้ กึ ระดบั ไดแ้ ก ่ สงิ่ มชี วี ติ กนิ พชื (herbivore) สงิ่ มชี วี ติ ลงไปถงึ การไดม้ าซงึ่ อาหารของเหด็ หรอื พจิ ารณา กินสัตว์ (carnivore) สิ่งมีชีวิตกินพืชและสัตว ์ จากสิ่งท่ีเห็ดขึ้นอยู่เป็นหลัก จะสามารถแบ่งเห็ด (omnivore) และสตั วก์ นิ ซากสตั ว์ (scavenger) ออกไดเ้ ปน็ ๓ กลมุ่ คอื เหด็ ปรสติ กบั สง่ิ มชี วี ติ อน่ื เห็ดแซปโพรไฟต ์ และเห็ดที่อยู่แบบพึ่งพาอาศยั ในสว่ นของจลุ นิ ทรยี ์ อนั ไดแ้ ก ่ แบคทเี รยี ซงึ่ กนั และกนั กบั สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ อนื่ แอกทโิ นไมซสิ (actinomyces) รา (fungi) และ ไส้เดือนฝอย (nematode) เป็นกลุ่มซ่ึงทำหน้าที่ ย่อยสลายอินทรียสารให้มีขนาดเล็กลงกลายเป็น เห็ดตนี ปลอก ทีท่ ำใหข้ อนไมเ้ กดิ การยอ่ ยสลายแบบไวตร์ อต

115 ๑. เหด็ ปรสติ กบั สง่ิ มชี วี ติ อนื่ (Parasitic เป็นโมเลกุลท่ีมีขนาดเล็ก ส่งผลให้เน้ือไม้ค่อย ๆ mushroom) เปลย่ี นรปู เกดิ การเนา่ เปอ่ื ยหรอื ผพุ งั (wood decay) จนในทสี่ ดุ กลายเปน็ แรธ่ าตซุ งึ่ บางสว่ นถกู เหด็ ดดู เหด็ กลมุ่ นสี้ ามารถเจรญิ บนส่งิ มีชวี ิตอ่นื ๆ ไปใชเ้ ปน็ อาหาร และบางสว่ นกลบั คนื สสู่ งิ่ แวดลอ้ ม และทำใหเ้ กดิ โรคกบั สง่ิ มชี วี ติ นน้ั ได้ เชน่ เหด็ ที่ พบอยบู่ นลำตน้ กงิ่ และกา้ นของพชื ทมี่ ชี วี ติ กอ่ การเนา่ เปอ่ื ยหรอื ผพุ งั ของเนอื้ ไมม้ ี ๒ แบบ ใหเ้ กดิ โรคลำตน้ เนา่ ไสเ้ นา่ หรอื แกน่ ไมผ้ ุ (heart rot) คอื ไวตร์ อต (white rot) และบราวนร์ อต (brown และรากเนา่ อาการของโรคอาจรนุ แรงจนทำใหพ้ ชื rot) โดยขนึ้ อยกู่ บั ความสามารถในการผลติ เอนไซม์ ตายทง้ั ตน้ ซง่ึ จะกลา่ วตอ่ ไปในหวั ขอ้ โทษของเหด็ ของเหด็ ดงั น้ี ๒. เห็ดแซปโพรไฟต์ (Saprophytic ๑) การผพุ งั แบบไวตร์ อต เหด็ สามารถผลติ mushroom) เหด็ Daedalea quercina ทำใหเ้ กดิ การยอ่ ยสลายแบบบราวนร์ อต เห็ดแซปโพรไฟต์หรือเห็ดกินซากสิง่ มีชีวติ คือ เห็ดที่ขึ้นอยู่บนเศษซากพืช ได้แก่ ซากใบไม้ เอนไซมท์ ยี่ อ่ ยสลายเซลลโู ลส เฮมเิ ซลลโู ลส และ กงิ่ ไม้ ขอนไม้ ฮวิ มสั มลู สตั ว์ (โดยเฉพาะสตั วท์ ่ี ลกิ นนิ ในเนอ้ื ไมไ้ ดท้ ง้ั หมด ทำใหเ้ นอ้ื ไมท้ เ่ี หลอื อยู่ กินพืชเป็นอาหาร) ซากแมลงและซากส่ิงมีชีวิต ออ่ นนมิ่ เปน็ สขี าว สามารถจบั ฉกี แยกออกจากกนั เปน็ อน่ื ๆ เชน่ ขนสตั ว์ ขนนก เขาสตั ว์ กบี ตนี สตั ว์ เหด็ สว่ นใหญจ่ ดั อยใู่ นกลมุ่ น้ี เหด็ จะผลติ เอนไซม์ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในการยอ่ ยสลายเซลลโู ลส เฮม-ิ เซลลโู ลส และลกิ นนิ ออกมา เพอื่ ยอ่ ยผนงั เซลล์ พืชท่ีมีเซลลูโลสร้อยละ ๕๐-๗๐ เฮมิเซลลูโลส รอ้ ยละ ๑๐-๒๐ และลกิ นนิ รอ้ ยละ ๑๐-๒๐ ของ เนอื้ ไมโ้ ดยนำ้ หนกั ทำใหส้ ารประกอบทไี่ ดก้ ลา่ ว มาแลว้ นนั้ บางอยา่ งหรอื ทง้ั หมดเกดิ การยอ่ ยสลาย ขอนไมท้ ถ่ี กู ยอ่ ยสลายแบบบราวนร์ อต เหด็ ขอนสสี ม้ ทำใหเ้ กดิ ไวตร์ อตกบั ทอ่ นไม ้

116 เสน้ ไดโ้ ดยงา่ ยคลา้ ยกบั ชานออ้ ย ตวั อยา่ งของเหด็ วงแหวนนางฟา้ (fairy ring) ไวตร์ อต ไดแ้ ก่ เหด็ หหู นู เหด็ ตนี ปลอก (Lentinus เปน็ เหด็ ในกลมุ่ ของเหด็ กนิ ซากสง่ิ มชี วี ติ จะ sajor-caju) เหด็ บดหรอื เหด็ ลม เหด็ หอม และเหด็ พบปรากฏการณพ์ เิ ศษทมี่ กั มผี กู้ ลา่ วถงึ คอื การเกดิ ขอนสสี ม้ (Pycnoporus sanguineus) วงแหวนนางฟา้ บนพน้ื ดนิ ทมี่ สี ารอาหารอดุ มสมบรู ณ์ และมีการกระจายของสารอาหารอย่างสม่ำเสมอ ๒) การผพุ งั แบบบราวนร์ อต เหด็ จะสรา้ ง เช่น สนามหญ้า เริ่มจากมีสปอร์ของเห็ด ๑ อัน เอนไซม์ท่ีย่อยสลายได้เฉพาะเซลลูโลสและเฮมิ- มาตกบนดนิ บรเิ วณนน้ั แลว้ สปอรจ์ ะงอกออกมา เซลลโู ลสเทา่ นนั้ แตจ่ ะเหลอื ลกิ นนิ ไว้ จงึ ทำให้ เปน็ เสน้ ใย จากนน้ั เสน้ ใยกจ็ ะเตบิ โตยดื ยาวพรอ้ ม เนอ้ื ไมท้ ีผ่ เุ ปลีย่ นเป็นสนี ำ้ ตาลแดงและมรี อยแตก กับแตกแขนงแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางด้วย ในเนอื้ ไมท้ งั้ ตามขวางและตามยาว ซงึ่ จะหลดุ ออก อัตราเร็วที่เท่ากันจนมีลักษณะเป็นวงกลม การ จากกนั เปน็ กอ้ นสเ่ี หลยี่ มเลก็ ๆ ไดโ้ ดยงา่ ย ถา้ บบี เติบโตของเส้นใยเห็ดในดินที่มองไม่เห็นน้ีอาจใช้ เนอ้ื ไมท้ ผ่ี ดุ ว้ ยปลายนวิ้ จะละเอยี ดเปน็ ผง เปรยี บ ระยะเวลานานเกอื บปี แตเ่ มอ่ื ถงึ เวลาและภาวะท่ี คล้ายกับก้อนถ่าน ตัวอย่างของเห็ดบราวน์รอต เหมาะสม เสน้ ใยเหด็ จะใชเ้ วลาเพยี งสนั้ ๆ ในการ ไดแ้ ก่ Daedalea quercina, Gloeophyllum sp. และ เติบโตเต็มที่และสร้างดอกเห็ดเรียงกันเป็นวงบน Fomitopsis sp. พนื้ ดนิ มองเหน็ เปน็ วงแหวนดอกเหด็ หรอื เรยี กวา่ วงแหวนนางฟา้ ในจำนวนเหด็ ทกี่ นิ ซากสง่ิ มชี วี ติ ทรี่ จู้ กั กนั ใน เห็ดท่ีสามารถสร้างวงแหวนนางฟ้าได้มีอยู่ โลกนี้ เหด็ ทจี่ ดั วา่ เปน็ ไวต์รอตมปี ระมาณรอ้ ยละ ประมาณ ๖๐ ชนดิ เชน่ Marasmius oreades ทม่ี ชี อื่ ๙๘ ทเี่ หลอื คอื เหด็ บราวนร์ อต ซงึ่ สว่ นใหญท่ ำให้ เกดิ การผพุ งั ของเนอื้ ไมส้ น (conifer) วงแหวนนางฟา้ ของเหด็ กระโดง

117 สามญั วา่ เหด็ วงแหวนนางฟา้ (fairy ring mushroom) รากเอกโทไมคอรไ์ รซาท่ีมีการแตกแขนงมาก สขี าว พบขึ้นอยู่ตามสนามหญ้า ในประเทศไทยมีเห็ด และมคี วามมันวาว กนิ ซากสง่ิ มชี วี ติ และเปน็ เหด็ พษิ ชอื่ เหด็ หวั กรวด ครีบเขียวอ่อน หรือเห็ดกระโดงตีนต่ำครีบเขียว ถูกเส้นใยเห็ดดูดไปใช้เพ่ือการเติบโตอีกต่อหนึ่ง (Chlorophyllum molybdites) ซ่ึงสามารถสร้าง เมอ่ื มคี วามชนื้ อณุ หภมู ิ แสงแดด และสภาพแวด วงแหวนนางฟา้ ได้ ลอ้ มทเ่ี หมาะสม เสน้ ใยเหด็ ทอ่ี ยใู่ ตด้ นิ จะรวมตวั กนั เกดิ เปน็ ดอกเหด็ โผลข่ น้ึ มาเหนอื ดนิ หรอื อาจ ๓. เหด็ ทอี่ ยแู่ บบพงึ่ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ฝงั อยใู่ นดนิ ทง้ั ดอก หรอื โผลข่ น้ึ มาเหนอื ดนิ เพยี ง กบั สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ อน่ื (Symbiotic mushroom) บางสว่ นกไ็ ด้ โดยดอกเหด็ จะเกดิ อยใู่ กล้ ๆ กบั ตน้ พชื ทเ่ี ปน็ แหลง่ อาศยั เสมอ ทำใหพ้ อคาดเดาไดว้ า่ เหด็ เหด็ ในกลมุ่ นแ้ี บง่ ยอ่ ยออกเปน็ ๓ พวก คอื เอกโทไมคอรไ์ รซาทเี่ หน็ เขา้ คอู่ ยกู่ บั ตน้ พชื ชนดิ ใด เห็ดเอกโทไมคอร์ไรซา เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก และเหด็ ไลเคน M ๑. เหด็ เอกโทไมคอรไ์ รซา (Ectomycorrhizal mushroom) H คือ เห็ดท่ีอยู่ร่วมกับรากแขนงเล็ก ๆ ของ พืชในแบบพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน โดยเส้นใย C เหด็ สว่ นหนงึ่ จะพนั อยรู่ อบ ๆ รากแขนง ซง่ึ เหน็ ภาพตดั ตามขวางของรากพชื ทม่ี เี สน้ ใยของเหด็ เอกโทไมคอรไ์ รซา เปน็ ชน้ั หรอื เปน็ แผน่ บางหอ่ หมุ้ ราก เรยี กวา่ แผน่ พันอยู่รอบราก และแทรกเข้าไปเจรญิ ในระหวา่ งเซลล์ผวิ ราก แมนเทลิ (mantle sheath) และอกี สว่ นหนงึ่ แทง (M = Mantle sheath H = Hartig net C = Cortex) ผา่ นรากเขา้ ไปเจรญิ อยใู่ นชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลลข์ อง เซลลผ์ วิ (epidermis) และเซลลค์ อรเ์ ทก็ ซ์ (cortex) มลี กั ษณะคลา้ ยรา่ งแห จงึ มชี อ่ื เรยี กวา่ Hartig net ซง่ึ ตงั้ ตามชอ่ื ของ โรแบรท์ ฮารท์ ชิ (Robert Hartig) นกั โรคพชื ชาวเยอรมนั ทเี่ ชยี่ วชาญโรคของไมย้ นื ตน้ เสน้ ใยเหด็ จะไมผ่ า่ นเขา้ ไปในสว่ นของเอนโดเดอรม์ สิ (endodermis) เสน้ ใยทพ่ี นั อยรู่ อบ ๆ รากนมี้ สี ว่ นทแ่ี ผ ่ กระจายออกไปในดนิ ดว้ ย เพอื่ ทำหนา้ ทดี่ ดู นำ้ และ แรธ่ าตแุ ลว้ สง่ ผา่ นรากมาใหต้ น้ พชื พชื จงึ สามารถ สงั เคราะหอ์ าหารไดม้ ากขนึ้ สง่ ผลใหม้ กี ารเตบิ โต ดีข้ึน อาหารท่ีพืชสังเคราะห์ได้นอกจากจะถูกส่ง ไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของพืชแล้ว ยังมีเหลือส่งไป เกบ็ สะสมไวท้ ร่ี ากดว้ ย ซง่ึ อาหารสะสมทรี่ ากนจ้ี ะ

118 สำหรบั รากพชื ทใ่ี หแ้ หลง่ อาศยั แกเ่ หด็ มชี อื่ เรยี กวา่ เห็ดแดง รากเอกโทไมคอร์ไรซา จะมีการแตกแขนงมาก และมขี นาดใหญก่ วา่ รากปกติ สจี ะเปลย่ี นไปตาม สขี องเสน้ ใยทพี่ นั อยรู่ อบ ๆ ราก ผวิ รากอาจเรยี บ หรอื ขรขุ ระ หรอื มเี สน้ ใยสานกนั ไปมาคลา้ ยตาขา่ ย อาจมคี วามมนั วาวหรอื ไมม่ กี ไ็ ด้ ในประเทศไทยมเี หด็ เอกโทไมคอรไ์ รซาหลาย ชนดิ เชน่ เหด็ เผาะ (Astraeus spp.) เหด็ ไขห่ า่ นเหลอื ง หรอื เหด็ ระโงกเหลอื ง (Amanita hemibapha subsp. javanica)เหด็ หลายหนา้ หรอื เหด็ แสงสม้ แดง(Laccaria laccata) เหด็ แดง (Russula emetica) เห็ดปะการัง สมี ว่ ง (Clavaria zollingeri) และเหด็ ขมนิ้ นอ้ ยสาย เหด็ ปะการังสีม่วง เหด็ ไข่ห่านเหลืองหรือเห็ดระโงกเหลือง เห็ดหลายหน้าหรอื เหด็ แสงสม้ แดง เหด็ ขมน้ิ นอ้ ยสายพนั ธช์ุ มพหู รือเหด็ มนั กุ้ง พนั ธช์ุ มพหู รอื เหด็ มนั กงุ้ (Cantharellus cinnabarinus var. australiensis) สำหรบั พชื ทม่ี เี อกโทไมคอรไ์ รซา เกือบท้ังหมดเป็นไม้ต้น โดยเฉพาะไม้ต้นในวงศ์

119 ยาง วงศก์ ำลงั เสอื โครง่ วงศก์ อ่ และวงศส์ นเขา กบั รงั ปลวกหรอื จอมปลวกเสมอ และมโี คนกา้ นดอก และพบกบั ไมบ้ า้ นบางชนดิ ในวงศม์ ะมว่ ง วงศถ์ วั่ ซง่ึ จะมรี ปู รา่ งยาวเรยี วจากผวิ ดนิ ลงไปเชอ่ื มตอ่ กบั วงศย์ อ่ ยนนทรี วงศย์ อ่ ยไมยราบ วงศไ์ มย้ างพารา สวนเหด็ (fungus garden) ทอ่ี ยใู่ ตด้ นิ ภายในรงั ปลวก และวงศห์ วา้ ปลวกทอี่ ยรู่ ว่ มกบั เหด็ โคนมชี อื่ เรยี กวา่ ปลวกเลย้ี งรา (fungus growing termites) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ตามธรรมชาติเห็ดเอกโทไมคอร์ไรซาจะไม่ เหด็ โคนกม็ หี ลายชนดิ เชน่ กนั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง สามารถเจรญิ ไดห้ ากปราศจากพชื อาศยั จากการ ชนดิ ของเหด็ โคนกบั ชนดิ ของปลวกไมม่ คี วามเฉพาะ ศกึ ษาพบวา่ ไมป้ า่ ทไ่ี มม่ เี หด็ เอกโทไมคอรไ์ รซาทรี่ าก เจาะจง กลา่ วคอื มเี หด็ โคนหลายชนดิ อยรู่ ว่ มกบั จะเตบิ โตไดไ้ มด่ เี ทา่ ไมป้ า่ ทมี่ เี หด็ เอกโทไมคอรไ์ รซา ปลวกชนดิ หนง่ึ ในทางกลบั กนั กม็ ปี ลวกหลายชนดิ สง่ิ นเ้ี หน็ ไดช้ ดั เจนในดนิ ทไี่ มอ่ ดุ มสมบรู ณห์ รอื ดนิ ท่ีมีความสัมพันธ์กับเห็ดโคนชนิดเดียว และยังมี ทไี่ มม่ สี งิ่ ปกคลมุ มาเปน็ ระยะเวลานาน ดว้ ยเหตนุ ้ี เหด็ โคนอกี ชนดิ หนงึ่ ทไ่ี มม่ กี า้ นยาวเรยี วไปเชอ่ื มตอ่ นกั วชิ าการปา่ ไมจ้ งึ นำความรเู้ รอ่ื งเอกโทไมคอรไ์ รซา กบั สวนเหด็ ทอี่ ยใู่ ตด้ นิ เหด็ โคนชนดิ นมี้ ขี นาดเลก็ มาประยกุ ตใ์ ช้ โดยนำเชอ้ื เหด็ เอกโทไมคอรไ์ รซา คอื มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของหมวก ๑-๒ เซนตเิ มตร มาใสล่ งในดนิ ทใ่ี ชเ้ พาะกลา้ ไม้ เพอ่ื ใหไ้ ดก้ ลา้ ไมท้ ่ี เสน้ ใยของเหด็ ชนดิ นเ้ี ตบิ โตอยใู่ นรงั ปลวก เมอื่ ถงึ มีเห็ดเอกโทไมคอร์ไรซาอยู่ท่ีราก ก่อนที่จะย้าย ฤดฝู น ปลวกจะขนชน้ิ สว่ นของสวนเหด็ ขนึ้ มาจาก กลา้ ไมไ้ ปปลกู ในสวนปา่ ทด่ี นิ ไมอ่ ดุ มสมบรู ณแ์ ละ มคี วามแหง้ แลง้ ซงึ่ สามารถชว่ ยใหก้ ารปลกู สรา้ ง เหด็ โคนมีโคนก้านดอกรปู ร่างยาวเรยี วจากผิวดินลงไปเชื่อมต่อ สวนปา่ ประสบความสำเรจ็ มากขน้ึ กับสวนเห็ดภายในรังปลวก ๒. เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก (Termite mushroom) ชอ่ื วทิ ยาศาสตรค์ อื Termitomyces spp. เปน็ เหด็ ทอี่ ยรู่ ว่ มกบั ปลวก ในลกั ษณะพง่ึ พาอาศยั กนั เสน้ ใยของเหด็ โคนทเี่ จรญิ อยใู่ นรงั ปลวกจะปลอ่ ย น้ำย่อยออกมาย่อยสลายรังปลวกเป็นอาหาร ใน ธรรมชาตปิ ลวกสรา้ งรงั จากสง่ิ ขบั ถา่ ยของมนั ซงึ่ ประกอบดว้ ยสว่ นทเี่ ปน็ ของเหลวและกากเนอ้ื ไม้ ทยี่ งั ยอ่ ยไมส่ มบรู ณ์ ขณะทปี่ ลวกซง่ึ อาศยั อยใู่ นรงั จะได้ประโยชน์จากการได้กินเส้นใยของเห็ดโคน เปน็ อาหาร จนถงึ ระยะหนงึ่ ทปี่ ลวกกนิ เสน้ ใยของ เหด็ โคนนอ้ ยลง ทำใหเ้ สน้ ใยมมี ากขนึ้ และสมบรู ณ์ พอทจี่ ะรวมตวั กนั เจรญิ เปน็ ดอกเหด็ โผลข่ นึ้ มาเหนอื ดนิ ดงั นน้ั จงึ มกั เหน็ เหด็ โคนขนึ้ อยเู่ หนอื ดนิ ใกล้ ๆ

120 รัง และนำมาวางไว้เหนือดิน ภายในระยะเวลา ระหวา่ งราและสาหรา่ ย ในแบบพง่ึ พาอาศยั ซง่ึ กนั เพยี ง ๒ วนั จะเกดิ ดอกเหด็ ขนาดเลก็ สขี าวขนึ้ มา และกนั โดยสาหรา่ ยสว่ นใหญเ่ ปน็ สาหรา่ ยสเี ขยี ว บนช้ินส่วนน้ันเต็มไปหมด เห็ดโคนกลุ่มน้ีมีชื่อ (green algae) ในโลกมไี ลเคนอยปู่ ระมาณ ๒๐,๐๐๐ เรยี กวา่ เหด็ โคนขา้ วตอก ชนดิ โดยมากกวา่ รอ้ ยละ ๙๙ เกดิ จากราในไฟลมั แอสโคไมโคตา ไลเคนส่วนที่เหลือเกิดจากราใน ไฟลัมเบซิดิโอไมโคตา ในกลุ่มเห็ดท่ีมีเบซิเดียม แบบเซลลเ์ ดยี วและมรี ปู รา่ งคลา้ ยกระบอง เหด็ ท่ี อยรู่ ว่ มกับสาหร่ายแบบไลเคนเหล่าน้ีเรียกรวม ๆ กันว่า เห็ดไลเคน ตัวอย่างท่ีพบบ่อยที่สุดในต่าง ประเทศคือ ไลเคนชื่อ Botrydina ที่เกิดจาก เห็ดขนาดเล็กช่ือ Omphalina ericetorum (วงศ์ Tricholomataceae) อยู่รว่ มกบั สาหรา่ ยสเี ขยี วทช่ี อื่ Coccomyxa อกี ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ เหด็ Multiclavula เหด็ โคนข้าวตอก ไลเคนท่ีเกิดจากเห็ด Multiclavula อยู่ร่วมกับสาหร่ายสีเขียว พบที่อทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ท่ีมา : กวนิ นาถ บัวเรือง) เห็ดโคนเป็นที่นิยมของผู้ชอบบริโภคเห็ด เพราะมีรสชาติอร่อยและมีกล่ินหอม ราคาของ เหด็ โคนคอ่ นขา้ งสงู เพราะเปน็ เหด็ ทตี่ อ้ งเกบ็ จาก ธรรมชาติ มปี รมิ าณจำกดั และพบในบางชว่ งของ ฤดฝู นเทา่ นนั้ เสน้ ใยเหด็ โคนแมจ้ ะสามารถเพาะ เลย้ี งให้เติบโตไดอ้ ยา่ งช้า ๆ บนอาหารสังเคราะห์ แตย่ งั ไมม่ ผี ใู้ ดสามารถชกั นำเสน้ ใยของเหด็ ใหเ้ กดิ เปน็ ดอกเหด็ ในโรงเรอื นได้ ทง้ั นี้ อาจเนอื่ งมาจาก เหด็ โคนมคี วามตอ้ งการปจั จยั ในการเตบิ โตทเี่ ฉพาะ เจาะจงมาก ซ่ึงหากทำการศึกษาวิจัยจนสามารถ เพาะเหด็ โคนได้ กจ็ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ยา่ งมาก ตอ่ การเพาะเลยี้ งเพอ่ื การคา้ ๓. เหด็ ไลเคน (Basidiolichen) ไลเคนเปน็ สงิ่ มชี วี ติ ทเ่ี กดิ จากการอยรู่ ว่ มกนั

121 (วงศ์ Clavariaceae) รปู รา่ งคลา้ ยปะการงั สขี าวหรอื มีรสชาติดีมีการศึกษาวิจัยเพ่ือนำมาเพาะเลี้ยงใน สชี มพู เกดิ กระจายอยบู่ นแผน่ ของสาหรา่ ยสเี ขยี ว โรงเรอื น ทง้ั เพอ่ื การบรโิ ภคและเพอื่ การคา้ ชอ่ื Coccomyxa ทขี่ น้ึ อยบู่ นทอ่ นไมผ้ หุ รอื บนดนิ ทชี่ นื้ โดยพบเซลลข์ องสาหรา่ ยสเี ขยี วอยทู่ วั่ ไปตามสว่ น เหด็ ทร่ี บั ประทานไดแ้ ละเปน็ เหด็ ทอ้ งถนิ่ คอื ตา่ ง ๆ ของดอกเหด็ Multiclavula และพบหนาแนน่ เหด็ ฟาง ซง่ึ เปน็ เหด็ ทพ่ี บเจรญิ และสรา้ งดอกเหด็ ทสี่ ว่ นในของฐานกา้ นดอก แตก่ ย็ งั มไี มม่ ากพอทจ่ี ะ ในกองฟาง มรี สชาตดิ แี ละเปน็ ทน่ี ยิ ม ภายหลงั มี ทำให้ดอกเห็ดออกสีเขียว ในประเทศไทยมีการ การศึกษาค้นควา้ วิจยั และพัฒนาวธิ ีการเพาะเล้ยี ง สำรวจพบเห็ดไลเคนหน่ึงชนิดที่อุทยานแห่งชาติ ในโรงเรอื น จงึ ไดว้ ธิ เี พาะเหด็ ฟางกองเตยี้ เชงิ ธรุ กจิ เขาใหญ่ เปน็ เหด็ ในสกลุ Multiclavula เชน่ เดยี วกนั ราคาของเหด็ ฟางอยรู่ ะหวา่ ง ๑๐๐-๑๒๐ บาทตอ่ ๑ กโิ ลกรมั แตเ่ หด็ ฟางมกั เนา่ เสยี งา่ ย เนอื่ งจาก ราทอี่ ยใู่ นไลเคน ทเ่ี รยี กกนั วา่ ไมโคไบออนต์ มกี ระบวนการยอ่ ยสลายตวั เอง จำเปน็ ตอ้ งมกี าร (mycobiont) ตามปกตแิ ลว้ มบี ทบาทเปน็ ตวั จบั นำ้ ขนสง่ ทด่ี ี และมกี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑห์ รอื แปรรปู และธาตอุ าหารจากสง่ิ แวดลอ้ มโดยรอบ แลว้ สง่ ไป เพ่ือเพ่ิมมูลค่า เช่น การต้มในน้ำเกลือและเก็บ ใหส้ ว่ นของสาหรา่ ยทอี่ ยรู่ ว่ มกนั ซงึ่ เรยี กวา่ ไฟโต- รกั ษาไวใ้ นทท่ี มี่ อี ณุ หภมู ติ ำ่ การทำเหด็ ฟางกระปอ๋ ง ไบออนต์ (phytobiont) เพอื่ แลกกบั นำ้ ตาลทส่ี รา้ ง และการปรงุ รสเปน็ เหด็ ฟางสามรสบรรจกุ ระปอ๋ ง ข้ึนด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงโดยสาหร่าย จากนนั้ ราจะเปลยี่ นนำ้ ตาลทไ่ี ดร้ บั มาใหเ้ ปน็ พลงั งาน เหด็ ทร่ี บั ประทานได้ นอกจากมเี หด็ ฟางแลว้ เพอ่ื การเตบิ โต และสรา้ งแผน่ เสน้ ใยทม่ี สี เี ขม้ เพอ่ื ยงั มเี หด็ หหู นู (Auricularia polytricha) เหด็ ขอน ปกปอ้ งสาหรา่ ยจากสภาพแวดลอ้ มทไี่ มเ่ หมาะสม ขาว (Lentinus squarrosulus) และเหด็ บด (Lentinus และรงั สจี ากดวงอาทติ ยท์ มี่ ากเกนิ ไป การทรี่ าและ สาหรา่ ยมาอยดู่ ว้ ยกนั และทำงานรว่ มกนั ได้ สง่ ผล ใหไ้ ลเคนสามารถอยรู่ อดไดภ้ ายใตส้ ภาพแวดลอ้ ม ทหี่ ากสงิ่ มชี วี ติ ๒ ชนดิ นแ้ี ยกกนั อยู่ จะไมส่ ามารถ อยรู่ อดไดเ้ ลย เชน่ ในทที่ ม่ี ธี าตอุ าหารและนำ้ นอ้ ย มาก มอี ณุ หภมู ทิ สี่ งู มากหรอื ตำ่ มาก ๔. ประโยชนข์ องเหด็ เหด็ ฟาง (ท่ีมา : อัจฉรา พยพั พานนท์) ๔.๑ เหด็ เปน็ อาหาร มนษุ ยร์ จู้ กั นำเหด็ มารบั ประทานเปน็ อาหาร ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มีการลองรับประทาน บันทึก รสชาตชิ นดิ ของเหด็ ทรี่ บั ประทานได้ หรอื รบั ประทาน แลว้ มพี ษิ อยา่ งมากมาย เหด็ ทรี่ บั ประทานไดแ้ ละ

122 polychrous) รวมท้งั เหด็ จากตา่ งประเทศท่ีนำมา ทดลองเพาะเลย้ี ง จนหลายชนดิ สามารถพฒั นาเปน็ เหด็ เศรษฐกจิ เชน่ เหด็ หหู นชู นดิ ตา่ ง ๆ (Auricularia auricular, Auricularia polytricha และ Auricularia fuscosuccinea) เห็ดกระดุมสีน้ำตาล (Agaricus blazei) เห็ดหอม (Lentinula edodes) เห็ดสกุล นางรม (Pleurotus spp.) เหด็ เขม็ เงนิ (Flammulina velutipes) เห็ดยานางิ (Agrocybe cylindracea) เห็ดโคนน้อยหรือเห็ดถ่ัว (Coprinus cinereus) เหด็ ชเิ มจิ (Hypsizygus marmoreus) นอกจากนยี้ งั เห็ดบด (ท่ีมา : อจั ฉรา พยพั พานนท์) เห็ดหูหนู (ท่มี า : อัจฉรา พยพั พานนท์) เหด็ กระดมุ สีน้ำตาล เหด็ ขอนขาว (ทมี่ า : อจั ฉรา พยพั พานนท)์ เห็ดหอม (ทีม่ า : อัจฉรา พยัพพานนท์)

123 เห็ดยานางิ (ท่ีมา : อจั ฉรา พยัพพานนท)์ เห็ดนางรม เห็ดนางรมสีชมพู (ท่มี า : อัจฉรา พยพั พานนท์) เห็ดโคนน้อยหรือเห็ดถ่วั (ท่มี า : อจั ฉรา พยพั พานนท)์ เหด็ นางรมภูฏาน (ท่มี า : อจั ฉรา พยัพพานนท์) เห็ดหัวลิง

124 มเี หด็ หวั ลงิ (Hericium erinaceus) และเหด็ เออรนิ จิ เห็ดเออรนิ จิ (ที่มา : อจั ฉรา พยพั พานนท)์ (Pleurotus eringii) มกี ารเพาะเลย้ี งในประเทศเพอ่ื จำหนา่ ยสำหรบั การบรโิ ภคสด นอกจากเห็ดที่สามารถเพาะเลี้ยงได้และนำ มาใชใ้ นทางอตุ สาหกรรมแลว้ ยงั มเี หด็ ทม่ี รี สชาตดิ ี แตย่ งั ไมส่ ามารถเพาะเลย้ี งไดแ้ ละมรี าคาแพง เชน่ เหด็ โคน เหด็ เผาะ เหด็ เสมด็ เหด็ ไขไ่ กห่ รอื เหด็ ระโงกแดง เห็ดหล่ม และเห็ดฟาน (Lactarius piperatus) เหด็ เสมด็ เห็ดโคนทีเ่ กิดตามธรรมชาติ เหด็ เผาะ (ทีม่ า : อจั ฉรา พยพั พานนท)์ เห็ดไข่ไก่หรือเหด็ ระโงกแดง

125 ๔.๒ เหด็ เปน็ สมนุ ไพร ประเทศในแถบเอเชียตะวันออก ได้แก่ ประเทศจนี เกาหลใี ต้ และญป่ี นุ่ มกี ารนำเหด็ มา ใชเ้ ปน็ ยาพนื้ บา้ นรกั ษาโรคตา่ ง ๆ มาแตโ่ บราณกาล เชน่ เหด็ Ganoderma lucidum หรอื ในภาษาไทย เรยี กวา่ เหด็ หลนิ จอื ซงึ่ มชี อื่ สามญั ภาษาองั กฤษ วา่ Lacquered Bracket หรอื Ling zhi ในภาษาจนี หรอื Reishi ในภาษาญปี่ นุ่ เหด็ ชนดิ นย้ี งั ใชร้ กั ษา โรคได้อย่างดีจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ชาวจีน เหด็ หล่ม ยกย่องเห็ดสมุนไพรท่ีด้านล่างของหมวกเป็นรู และมลี กั ษณะแขง็ (polypores) อกี หลายชนดิ วา่ มี คุณค่าทางยาเช่นเดียวกับเห็ดหลินจือในด้านช่วย ให้สุขภาพดี ท้ังนี้ อาจเป็นเพราะในเห็ดมีสารที่ ช่วยกระตุ้นภมู คิ มุ้ กนั ในรา่ งกาย ชาวญป่ี นุ่ ยกยอ่ ง เหด็ หอมหรอื ชติ าเกะวา่ มสี รรพคณุ ชว่ ยใหส้ ขุ ภาพ รา่ งกายดี นำไปผลติ ยารักษาโรคชื่อ เลนทิแนน (Lentinan) ทมี่ สี รรพคณุ ในการรกั ษาโรคมะเรง็ ใน เหด็ ฟาน กระเพาะอาหาร รกั ษาโรคหดื หอบ (antihistamine) เหด็ หลนิ จอื

126 และรกั ษาอาการแพอ้ ากาศ (hay fever) ในตำรายา เห็ดแครง ของรสั เซยี สารสกดั ทไ่ี ดจ้ ากเหด็ Inonotus obliguus หรอื Chaga ใชร้ กั ษาโรคเนอ้ื งอกและขบั ปสั สาวะได้ ช่วงระยะเวลา ๔๐ ปีที่ผ่านมา มีการศึกษา เหด็ สมนุ ไพรอยา่ งจรงิ จงั เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ ผลทางยา ยาที่พัฒนามาจากเห็ดสมุนไพรกลุ่มท่ีด้าน และไดพ้ บพอลแิ ซก็ คาไรดช์ นดิ ใหม่ ๆ ทม่ี คี ณุ สมบตั ิ ล่างของหมวกเป็นรูและมีลักษณะแข็งที่ใช้รักษา ตอ่ ตา้ นเนอื้ งอกและขบั เคลอ่ื นภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย โรคมะเร็ง มีส่วนประกอบของพอลิแซ็กคาไรด ์ พอลแิ ซก็ คาไรดท์ ม่ี ผี ลในการรกั ษาโรคผลติ ขนึ้ โดย (polysaccharide) โดยเฉพาะบตี ากลแู คน (ß-glucans) เหด็ ในชนั้ เบซดิ โิ อไมซติ สิ หลายชนดิ ทม่ี โี ครงสรา้ ง ตวั อยา่ งเชน่ ยาเครสทนิ (Krestin) ซง่ึ ทำมาจาก ทแ่ี ตกตา่ งกนั ในเหด็ แตล่ ะชนดิ ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั แตล่ ะ เสน้ ใยของ Trametes versicolor ทเี่ พาะบนอาหาร สายพนั ธข์ุ องเหด็ สามารถผลติ พอลแิ ซก็ คาไรดท์ มี่ ี เลย้ี งเชอื้ ชอื่ สามญั ภาษาองั กฤษของเหด็ ชนดิ นคี้ อื คณุ สมบตั ติ า่ งกนั เชน่ โพรทโี อกลแู คนเครสทนิ Turkey tail หรอื Kawaratake ในภาษาญป่ี นุ่ หรอื (proteoglucan krestin) ผลติ ในประเทศญปี่ นุ่ จาก Yun-shi ในภาษาจีน ยาเลนทิแนนจากเห็ดหอม Trametes versicolor strain CM-101 ในขณะท ี่ และยาชิสโซฟิลแลน (Schizophyllan) ที่ทำจาก พอลแิ ซก็ คาไรด-์ เพปไทด์ (polysaccharide-peptide) อาหารเหลวทใี่ ชเ้ พาะเลย้ี งเหด็ แครง (Schizophyllum ผลติ ในประเทศจนี ไดจ้ ากการเพาะเลย้ี ง Trametes commune) ช่ือสามัญภาษาอังกฤษคือ split gill versicolor strain Cov-1 ในอาหารเหลว สารทง้ั ๒ mushroom หรอื ชอื่ ในภาษาญป่ี นุ่ วา่ Suehirotake ชนิดน้ีเป็นโพรทีโอกลูแคน (proteoglucan) ที่มี องคป์ ระกอบของพอลแิ ซก็ คาไรด์เหมือนกัน แต่มี เห็ด Turkey tail (ท่มี า : บารมี สกลรกั ษ)์ ความแตกต่างที่โมเลกุลโปรตีนท่ีจับอยู่กับพอลิ- แซก็ คาไรด์ สารพอลแิ ซก็ คาไรดจ์ ากเห็ดไม่ได้เข้า ทำลายเซลลม์ ะเรง็ โดยตรง แตม่ ผี ลในการตอ่ ตา้ น

127 เซลลม์ ะเรง็ ดว้ ยการไปกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ภมู คิ มุ้ กนั ใน นางรมหลากหลายชนดิ เหด็ หหู นู เหด็ ขอนขาว รา่ งกายมนษุ ย์ ดงั นน้ั จงึ เกดิ ผลดใี นการใชเ้ หด็ รกั ษา เหด็ หอม เหด็ หลนิ จอื มกี ารทำเปน็ อตุ สาหกรรม โรคมะเรง็ รว่ มกบั การรกั ษาทางเคมี (chemotherapy) ในครวั เรอื น สำหรบั การผลติ เหด็ ทใ่ี ชห้ อ้ งควบคมุ ของแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั อณุ หภมู เิ พอื่ การออกดอก มกั มนี กั ลงทนุ จากตา่ ง ประเทศมาร่วมลงทุน เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ด มีรายงานว่า เห็ดกินได้ที่อยู่ในชั้นเบซิดิโอ- เขม็ เงนิ เหด็ ยานางิ เหด็ กระดมุ สว่ นเหด็ กระดมุ ไมซติ สิ มากกวา่ ๗๐๐ ชนดิ สามารถหยดุ ยงั้ การ สีน้ำตาลได้มีการนำมาทดลองผลิตที่ศูนย์พัฒนา ขยายตวั ของเนอ้ื งอกตา่ ง ๆ ได้ ดงั นนั้ จงึ มผี สู้ นใจ โครงการหลวงอา่ งขาง อำเภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม่ ศกึ ษาหาสารออกฤทธท์ิ ยี่ บั ยง้ั การเกดิ ของเนอ้ื งอก ทม่ี อี ากาศเยน็ สามารถเพาะเลย้ี งไดแ้ ละมรี าคาดี และให้คุณค่าทางยาและทางอาหารจากเห็ดเหล่า อุตสาหกรรมเก่ียวเนื่องกับการเพาะเห็ดอีกอย่าง นน้ั และพบวา่ สารประกอบทไ่ี ดจ้ ากเหด็ ทง้ั ทเี่ ปน็ หนง่ึ คอื การทำถงุ เชอื้ ทมี่ เี ชอ้ื เหด็ เจรญิ และพรอ้ ม องคป์ ระกอบของเซลลแ์ ละเปน็ สารประกอบทเ่ี ซลล์ ทจ่ี ะนำไปเปดิ ใหอ้ อกดอก เปน็ อตุ สาหกรรมทม่ี ี สร้างขึ้น (secondary metabolite) มีผลต่อระบบ มลู คา่ ไมน่ อ้ ย เพราะผเู้ พาะเลยี้ งเหด็ ทยี่ งั ไมม่ คี วาม ภมู คิ มุ้ กนั และใชร้ กั ษาโรคไดห้ ลายโรค เชน่ โรค ชำนาญหรอื ไม่ตอ้ งการลงทุนซือ้ เครือ่ งมอื ในการ มะเรง็ โรคภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ งซงึ่ รวมถงึ โรคเอดส์ เพาะเลย้ี งหวั เชอ้ื สามารถลงทนุ ซอื้ ถงุ เชอ้ื สำเรจ็ รปู โรคทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สมองและหวั ใจ และมกี ารยนื ยนั ไปเลย้ี งโดยการเปดิ ถงุ ใหอ้ อกดอกเหด็ ไดเ้ ลย ด้วยว่า สารที่ได้จากเห็ดสามารถลดระดับไขมัน ในเลอื ดและลดความดนั โลหติ ดอกเห็ดนอกจากจะใช้รับประทานสดแล้ว เม่ือเห็ดมีมากจนล้นตลาดก็มีการนำไปแปรรูป ๔.๓ เหด็ เปน็ เครอ่ื งสำอาง เพื่อยืดอายุและเพ่ิมคุณค่าทางอาหาร ท่ีนิยมทำ ในประเทศจนี และญป่ี นุ่ มกี ารทดลองนำเหด็ เหด็ กระดมุ สนี ้ำตาล บางชนิดมาใส่เป็นส่วนประกอบในเคร่ืองสำอาง ปรบั ผวิ ใหข้ าว เชน่ เหด็ หอม เหด็ หหู นขู าว เหด็ หลนิ จอื โดยการนำนำ้ สกดั จากเหด็ มาใสใ่ นเครอื่ ง สำอางเพอ่ื ชว่ ยชะลอรวิ้ รอยของผวิ หนงั รวมทงั้ ยงั ม ี การสกดั สารจำพวกบตี ากลแู คนจากเหด็ มาใสเ่ ปน็ สว่ นประกอบของเครอ่ื งสำอางเพอื่ ชว่ ยใหผ้ วิ หนา้ เตง่ ตงึ อกี ดว้ ย ๔.๔ เหด็ เพอ่ื การอตุ สาหกรรม ปจั จบุ นั การเพาะเลย้ี งเหด็ ไดพ้ ฒั นาจนอยใู่ น ระดบั อตุ สาหกรรม มผี ลู้ งทนุ ทงั้ ในระดบั ชาวบา้ น เปน็ อตุ สาหกรรมทอ้ งถนิ่ จนถงึ ระดบั อตุ สาหกรรม ขนาดใหญ่ เหด็ ทเ่ี พาะเลยี้ งงา่ ย เชน่ เหด็ ฟาง เหด็

128 กนั มาก ไดแ้ ก่ การอบแหง้ เชน่ เหด็ หหู นู เหด็ ได้เอนไซม์แลกเคสชนิดใหม่ท่ีทนต่ออุณหภูมิสูง หหู นขู าว เหด็ หอม เหด็ รา่ งแห (เหด็ เยอ่ื ไผ)่ เหด็ และทำงานไดด้ ที อ่ี ณุ หภมู ิ ๙๐ องศาเซลเซยี ส และ หลนิ จอื เหด็ บด เหด็ ขอนขาว การบรรจกุ ระปอ๋ ง จากการศกึ ษาเอนไซมส์ ลายไฟบรนิ จากเสน้ ใยเหด็ เชน่ เหด็ มตั สตึ าเกะผง เหด็ โคน เหด็ เผาะใสใ่ น ไดน้ ำมาใชป้ ระโยชนท์ างการแพทย์ เปน็ การผลติ นำ้ เกลอื บรรจกุ ระปอ๋ ง หรอื อาจนำมาปรงุ รสเพอื่ เอนไซมค์ ลอโรเพอรอกซเิ ดส (chloroperoxidase) เพมิ่ รสชาตแิ ละยดื อายุ เชน่ เหด็ ฟางสามรส เหด็ ซง่ึ เปน็ เอนไซมท์ มี่ รี าคาแพง หอมสามรส เหด็ หอมสวรรค์ แหนมเหด็ นางรม หรอื ใสเ่ ขา้ ไปในนำ้ ซอสปรงุ รส เชน่ ซอี ว๊ิ เหด็ หอม ๔.๖ สยี อ้ มจากเหด็ ๔.๕ เหด็ เพอื่ การผลติ สารทตุ ยิ ภมู ิ มนุษย์รู้จักใช้สีจากธรรมชาติมานานกว่า ๑๕,๐๐๐ ปี โดยการใช้สีที่ได้จากธรรมชาติมา เห็ดสามารถผลิตเอนไซม์ได้ จากผลงาน วาดเป็นภาพต่าง ๆ ซึ่งเปน็ สว่ นหน่งึ ของบนั ทกึ การวจิ ยั เทคโนโลยเี อนไซมก์ บั เหด็ Ganoderma sp. ประวตั ศิ าสตรท์ บ่ี ง่ บอกอารยธรรม ดงั ภาพเขยี น ท่ีปรากฏอยู่ตามฝาผนังของถ้ำ และลวดลายบน เห็ดมตั สตึ าเกะผง ภาชนะตา่ ง ๆ หลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การยอ้ มผา้ เห็ดโคนบรรจกุ ระป๋อง ในประเทศอนิ เดยี จนี และในแถบอเมรกิ าใต้ ใน ราว ๔,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช โดยพบ การใชส้ ยี อ้ มธรรมชาตทิ สี่ กดั ไดจ้ ากพชื พรรณจาก ส่วนของใบ ลำต้น เนื้อไม้ เปลือกไม้ ยางไม้ รากไม้ ดอก เมลด็ และผล สจี ากแรธ่ าตทุ ไ่ี ดจ้ าก ดนิ และหนิ ตา่ ง ๆ และสจี ากสตั วซ์ งึ่ ไดม้ าจากสตั ว์ ไมม่ กี ระดกู สนั หลงั จำพวกกงุ้ หอย และแมลงบาง ชนดิ อยา่ งไรกด็ ี การใชส้ จี ากธรรมชาตมิ ายอ้ มผา้ มคี วามสำคญั ลดลงในครง่ึ หลงั ของศตวรรษท่ี ๑๙ เพราะมีการค้นพบสีสังเคราะห์ (synthetic dyes) ทผี่ ลติ ดว้ ยวธิ ที างเคมี เพราะสสี งั เคราะหม์ คี ณุ ภาพ ของสที ตี่ ดิ แนน่ และมรี าคาถกู กวา่ สจี ากธรรมชาต ิ การนำเห็ดมาทำเป็นสีย้อมเพ่ิงเกิดขึ้นเมื่อ ไมน่ านมานี้ ดงั มอี ยใู่ นตำราทเ่ี ขยี นโดยไรซแ์ ละบบี ี (Rice and Beebee) ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ ว่ามีเห็ด ไฟลมั เบซดิ โิ อไมโคตา ชนั้ เบซดิ โิ อไมซติ สิ รวมกนั ประมาณ ๑๒๐ ชนดิ สามารถใหส้ มี ากมายและใช้ ยอ้ มเสน้ ดา้ ยขนสตั วห์ รอื ไหมพรมและเสน้ ไหม ซงึ่ มี

129 ไหมพรมทยี่ ้อมดว้ ยสีย้อมจากดอกเหด็ นำ้ ทผ่ี สมสบอู่ อ่ น ๆ และลา้ งนำ้ เปลา่ อกี ครงั้ หนงึ่ เสรจ็ แลว้ วางบนผา้ ขนหนเู พอื่ ซบั ใหแ้ หง้ จากนน้ั สว่ นประกอบของโปรตนี เปน็ หลกั ไดด้ ี และยงั มี จงึ แขวนผง่ึ บนราวไมใ้ นทร่ี ม่ ซงึ่ แสงแดดสอ่ งไมถ่ งึ ขน้ั ตอนการยอ้ มทงี่ า่ ย กลา่ วคอื สามารถใชด้ อก โดยการถว่ งนำ้ หนกั ไวด้ า้ นลา่ ง เพอ่ื ใหเ้ สน้ ดา้ ยแหง้ เห็ดสดหรือดอกเห็ดแห้งท่ีปราศจากดินหรือเศษ เหยยี ดตรง และมสี ที สี่ มำ่ เสมอ เสน้ ดา้ ยขนสตั วท์ ี่ ซากพชื อน่ื ๆ นำมาตม้ ในนำ้ สะอาดจนไดส้ อี อกมา ยอ้ มดว้ ยสจี ากเหด็ ตา่ งชนดิ กนั จะมสี ตี า่ งกนั ใหส้ ี แลว้ ใชผ้ า้ กรองเอาชน้ิ สว่ นของดอกเหด็ ออกไป หรอื สวยงามและคงทน สไี มซ่ ดี จางงา่ ย จะไมก่ รองออกกไ็ ด้ จากนน้ั จงึ นำเสน้ ดา้ ยขนสตั ว์ หรือเส้นไหมซ่ึงผ่านการฟอกเพ่ือให้ไข (wax) ท่ี ๕. โทษของเหด็ เคลอื บเสน้ ดา้ ยอยตู่ ามธรรมชาตหิ ลดุ ออกไป และ ตอ้ งผา่ นการตม้ ในสารเคมบี างชนดิ ทช่ี ว่ ยใหส้ ตี ดิ เหด็ พษิ (Poisonous mushroom) ดขี นึ้ ทเ่ี รยี กวา่ สารชว่ ยสตี ดิ (mordant) มาแลว้ ใส่ เสน้ ดา้ ยขนสตั วล์ งในสยี อ้ ม แลว้ ตม้ ตอ่ จนไดส้ ที ่ี เหด็ ทพี่ บในประเทศไทยหลาย ๆ ชนดิ มกี าร คอ่ ย ๆ เขม้ ขน้ึ ตามทต่ี อ้ งการจงึ หยดุ ตม้ ปลอ่ ยให้ สร้างสารพิษท่ีเป็นอันตรายต่อมนุษย์ในระดับท่ี เส้นด้ายขนสัตว์หรือเส้นไหมแช่อยู่ในสีย้อมและ ตา่ งกนั ตง้ั แตว่ งิ เวยี นศรี ษะ ทอ้ งเสยี ปวดทอ้ ง เยน็ ลงพรอ้ ม ๆ กนั ตอ่ ไปจงึ นำขนึ้ มาบบี เบา ๆ เพอ่ื จนถงึ แกช่ วี ติ ซงึ่ สารพษิ จากเหด็ เปน็ สารพษิ ทม่ี ี ขจดั สยี อ้ มออกไป นำมาลา้ งในนำ้ เปลา่ ตามดว้ ย ความรา้ ยแรงไมน่ อ้ ยกวา่ จลุ นิ ทรยี ก์ ลมุ่ อนื่ ๆ โดย

130 เฉพาะอยา่ งยง่ิ เหด็ ทเ่ี กบ็ จากธรรมชาตทิ เี่ รยี กวา่ Gyromitra infula เห็ดป่า โดยสารพิษจากเห็ดและราแบ่งเป็นกลุ่ม ใหญ่ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี หลายอยา่ ง เชน่ เหงอื่ ออกมาก โคมา่ เคลบิ เคลม้ิ ชกั ตนื่ เตน้ สลดหดหู่ เปน็ กลมุ่ ทเ่ี รยี กวา่ เหด็ เมา ๑. Protoplasmic poisons เปน็ กลมุ่ สารพษิ เชน่ เหด็ ขค้ี วาย (Psilocybe cubensis) ทเ่ี ขา้ ทำลายเซลลแ์ ละตามมาดว้ ยการลม้ เหลวของ อวัยวะ สารพิษในกลุ่มน้ีมีความหลากหลายสูง ๓. Gastrointestinal irritants เปน็ สารพษิ เชน่ amatoxin เปน็ สารพษิ ทที่ ำใหต้ บั และไตวาย ออกฤทธเ์ิ รว็ แสดงอาการภายใน ๑๕ นาที ถงึ ๔ ถงึ ขน้ั เสยี ชวี ติ พบใน Amanita verna, Amanita ชวั่ โมง หลงั จากรบั ประทานเหด็ กอ่ ใหเ้ กดิ อาการ virosa สารพิษ Gyromitrins พบในราไฟลัม ตา่ ง ๆ เชน่ ทอ้ งเสยี คลน่ื เหยี น อาเจยี น เปน็ แอสโคไมโคตา Gyromitra และ Helvella เปน็ พษิ ตะครวิ ในชอ่ งทอ้ ง เหด็ พษิ สว่ นใหญส่ รา้ งสารพษิ เมอ่ื รบั ประทานดบิ ซง่ึ แตล่ ะคนอาจตอบสนองตอ่ สารพษิ มากนอ้ ยตา่ งกนั สารพษิ กลมุ่ Orellanine ทำใหไ้ ตวาย เสยี ชวี ติ ภายใน ๒-๓ สปั ดาห์ พบใน Cortinarius orellanus ๒. Neurotoxins เปน็ สารพษิ ทม่ี ผี ลและกอ่ ให้เกิดอาการต่อระบบประสาท มีอาการสำคัญ Amanita virosa เห็ดขีค้ วาย (ทมี่ า : สวนเห็ดอรญั ญกิ )

131 ในกลมุ่ นมี้ ากทส่ี ดุ ทท่ี ำใหม้ อี าการถงึ ตายมนี อ้ ย Scleroderma citrinum ชนดิ มาก เหด็ ทส่ี รา้ งสารพษิ ในกลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่ เหด็ ผึ้งท้องรุ (Suillus sublutius) เห็ดกระโดงตีนต่ำ ครบี เขยี ว (Chlorophyllum molybdites) Scleroderma citrinum, Russula emetica, Gymnopilus aeruginosa, Entoloma sp. ๔. สารพษิ กลมุ่ Coprine เปน็ กลมุ่ ทปี่ กติ จะไมเ่ ปน็ พษิ และไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ อาการใดๆ ยกเวน้ รบั ประทานกอ่ นหรอื หลงั ดม่ื แอลกอฮอล์ ๒๔-๗๒ ชวั่ โมง ซง่ึ กรณนี กี้ อ่ ใหเ้ กดิ พษิ อยา่ งรนุ แรง อาการ ของสารพษิ กลมุ่ นจี้ ะแสดงภายใน ๕-๑๐ นาที หรอื Russula emetica มีพิษเม่อื รับประทานดบิ เหด็ ผง้ึ ทอ้ งรุ Gymnopilus aeruginosa เหด็ กระโดงตีนต่ำครีบเขยี ว Entoloma sp.

132 อาจถงึ ๓๐ นาที หลงั จากรบั ประทานเหด็ ตวั อยา่ ง เชน่ Coprinus, Clitocybe ๖. เหด็ ปรสติ กบั สง่ิ มชี วี ติ อนื่ โรครากเน่าของหมาก (ท่มี า : ศรีสรุ างค์ ลิขิตเอกราช) เห็ดบางชนิดสามารถเจริญบนสิ่งมีชีวิตอ่ืน และกอ่ โรคได้ เชน่ เหด็ หลนิ จอื แมจ้ ะมปี ระวตั ิ การสรา้ งสารออกฤทธทิ์ ม่ี ปี ระโยชนม์ ากมาย แต่ กม็ รี ายงานการกอ่ ใหเ้ กดิ โรคกบั ยางพารา นอกจาก นี้ ยังมีโรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมันท่ีเกิดจาก Ganoderma boninense โรครากเนา่ ของมะพรา้ ว และโรครากเนา่ ของหมากจาก Ganoderma lucidum โรครากแดงของยางพาราจาก Ganoderma pseudo- ferreum โรคโคนเนา่ ของขา้ วโพด โรคราก กาบใบ และโคนเน่าของอ้อยจาก Marasmiellus paspali โรคผลเนา่ ของมะพรา้ วจาก Marasmius palmivorus โรครากขาวของยางพาราจาก Rigidoporus lignosus เปน็ ตน้ Ganoderma boninense

133 โรครากแดงของยางพารา (ท่มี า : ศรสี รุ างค์ ลขิ ติ เอกราช) โรคผลเน่าของมะพร้าวเกดิ จาก Marasmius palmivorus (ท่มี า : ศรีสุรางค์ ลิขิตเอกราช) ดูเพ่ิมเติมเร่ือง โรคพืชและ การจดั การดว้ ยวธิ ชี วี ภาพ เลม่ ๓๕ โรครากขาวของยางพารา (ทมี่ า : ศรีสรุ างค์ ลขิ ติ เอกราช)

134 บรรณานกุ รม กฤติกา ณ เชียงใหม่. ผลยับย้ังของสารสกัดจากเห็ดรับประทานได้ต่อเชื้อแบคทีเรียบางชนิด. วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๑. เขมาภรณ์ กำแพงเศรษฐ, สปุ รยี า ศขุ เกษม, จติ ตมิ า วรรณแกว้ , พจั นา สภุ าสรู ย์ และกลุ วไิ ล สทุ ธลิ กั ษณะ วณชิ ย.์ “การวจิ ยั และพฒั นาเหด็ ฟางสามรส.” วารสารเหด็ ไทย (๒๕๕๑) : ๑๐๒-๑๑๔. จารวุ รรณ สนมวฒั นะวงค.์ เอนไซมย์ อ่ ยสลายสารประกอบลกิ โนเซลลโู ลสในเหด็ นางรม Pleurotus ostreatus. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๘. ดอกรกั มารอด และอทุ ศิ กฏุ อนิ ทร.์ นเิ วศวทิ ยาปา่ ไม.้ กรงุ เทพฯ : อกั ษรสยามการพมิ พ,์ ๒๕๕๒. นดุ ี เปาทอง. การพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ หด็ หยองจากเหด็ นางฟา้ . วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๔. พชั ราภรณ์ ปานดี และเยาวลกั ษณ์ ดสิ ระ. “เอนไซมส์ ลายไฟบรนิ จากเสน้ ใยเหด็ .” วารสารเหด็ ไทย (๒๕๔๓) : ๔๘-๖๐. พนู พไิ ล สวุ รรณฤทธ.์ิ “เหด็ พษิ และสารพษิ จากเหด็ ” ใน เหด็ พษิ ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๔๙. หนา้ ๓๑-๔๑. สมาคม นกั วจิ ยั และเพาะเหด็ แหง่ ประเทศไทย, กรงุ เทพฯ : นวิ ธรรมดาการพมิ พ์ (ประเทศไทย), ๒๕๔๙. วรดา ลาภผลพนู ทว.ี การคดั เลอื กเชอื้ ราทนรอ้ นและศกึ ษาการผลติ เอน็ ไซมค์ ลอโรเปอรอ์ อกซเิ ดส. วทิ ยานพิ นธ์ ปรญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. วนั ทนยี ์ อวู่ าณชิ ย.์ โรคออ้ ยทสี่ ำคญั ทเ่ี กดิ จากเชอื้ รา. เอกสารวชิ าการ กลมุ่ วจิ ยั โรคพชื ไร,่ กองโรคพชื และ จลุ ชวี วทิ ยา, กรมวชิ าการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ,์ ๒๕๔๕. ศรสี รุ างค์ ลขิ ติ เอกราช. “โรคปาลม์ นำ้ มนั .” ใน คมู่ อื การปอ้ งกนั กำจดั ศตั รปู าลม์ นำ้ มนั โดยวธิ ผี สมผสาน. หนา้ ๑๕-๓๘. กองพฤกษศาสตรแ์ ละวชั พชื , กรมวชิ าการเกษตร, ๒๕๔๕. สมุ าลี พชิ ญางกรู . เหด็ โคนและลกู ผสมฟวิ แสนท.์ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ , ๒๕๔๑. โสภณ บญุ ลอื . “เอนไซมไ์ ซเลนเนสจากเหด็ ขอนขาวและเหด็ บด.” เหด็ ไทย (๒๕๕๐) : ๘๐-๙๒. โสภาวรรณ รตั นพนั ธ.์ุ การบำบดั และกำจดั สขี องนำ้ ทงิ้ จากโรงงานสกดั นำ้ มนั ปาลม์ โดยเสน้ ใยเหด็ Lentinus spp. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ,่ ๒๕๔๗. อนงค์ จนั ทรศ์ รกี ลุ , พนู พไิ ล สวุ รรณฤทธ,์ิ อทุ ยั วรรณ แสงวณชิ , T. Morinaga, Y. Nishizawa และ Y. Murakami. ความหลากหลายของเหด็ และราขนาดใหญใ่ นประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๑. อรพนิ ท์ บญุ ทอง. การคดั เลอื กเหด็ ราทสี่ ามารถยอ่ ยสลาย 2, 8-DICHLORODIBENZO-P-DIOXIN (2, 8- DCDD). วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, ๒๕๔๖.

135 อจั ฉรา พยพั พานนท.์ “ยานางเิ หด็ เศรษฐกจิ ชนดิ ใหม.่ ” นสพ. กสกิ ร (๒๕๓๕) ๒, ๖๕ : ๑๕๔-๑๕๗. อัจฉรา พยพั พานนท์ และชริดา ปกุ หุต. คดั เลอื กสายพนั ธ์เุ หด็ ขอนขาวเพอ่ื ใชใ้ นพนื้ ท่จี งั หวดั สกลนคร. เอกสารประกอบการประชมุ วชิ าการอารกั ขาพชื แหง่ ชาติ ครง้ั ท่ี ๘, วนั ท่ี ๒๐-๒๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐, โรงแรมอมั รนิ ทรล์ ากนู , อำเภอเมอื งฯ, จงั หวดั พษิ ณโุ ลก. หนา้ ๒๖๓-๒๖๓. Alexopoulos, C.J., C.R. Mims and M. Blackwell. Introductory Mycology. 4th Edition. John Wiley & Sons, 1996. Boddy, L. and M. Coleman. From Another Kingdom: The Amazing World of Fungi. Edinburgh: Royal Botanical Garden, 2010. Maldonado, M.C. and L.V. Ibarra. “Organic dyes from fungi and lichens.” In S.K. Deshmukh and M.K. Rai (eds.), pp.357-374. Biodiversity of Fungi: Their Role in Human Life. Enfield: Science Publishers, 2005. Moor-Landecker, E. Fundamentals of the Fungi. 4th Edition. New York: Prentice Hall International, 1996. Payapanon, A., P. Suwunarit and F. Kawai. Isolation and characterization of a thermotolerant Coprinus sp. which can produce peroxidase. The 3rd Joint Seminar on Development of Thermotolerant Microbial Resources and Their Application. Chiang Mai University, Thailand, 2002. . Screen of a thermotolerant Basidiomyces which can produce (Halo) peroxidase, pp. 97. The 2nd Joint Seminar on Development of Thermotolerant Microbial Resources and Their Application, 25-27 November 2000, Yamaguchi University, Yamaguchi, Japan. Pukahuta, Charida., Poonpilai Suwanarit, Emiko Shinagawa, Hisashi Hoshida and Yoshinori Nishizawa. Lignocellulose degradation by thermotolerant white rot mushrooms, Lentinus polychrous Lev. and L. squarrosulus Mont. 4th JSPS-NRCT Joint Seminar on Application of Thermotolerant Microbial Resources. Nov.7-10, 2004. Kyushu University, Japan. Rice, Miriam and Dorothy Beebee. Mushrooms for Color. Eureka: Mad River Press, 1980. Wasser, S.P. and M.Y. Didukh.“Mushroom polysaccharides in human health care.” In S.K. Deshmukh and M.K.Rai (eds.), Biodiversity of Fungi: Their Role in Human Life. pp. 289-328. Enfield: Science Publishers, 2005.

136

การโคลนนง่ิ สตั 1ว37 ์ รองศาสตราจารย์ ดร.รงั สรรค์ พาลพา่ ย ผเู้ ขยี น ส่วนเด็กเล็ก รองศาสตราจารย์ ดร. วา่ ที่ร้อยตรี เจษฎา เดน่ ดวงบรพิ นั ธ์ ผ้เู รยี บเรยี ง ถ้าถามว่า แกะตัวไหนที่มีผู้คนรู้จักมากท่ีสุดในโลก แกะตัวน้ันก็ คงจะไม่พ้น “ดอลลี่” ซึ่งเป็นแกะในชนบทของสหราชอาณาจักร สัญชาติ สกอตแลนด์ ดอลล่ีไมไ่ ด้มชี ื่อเสียงโดง่ ดังเพราะว่ามีรูปร่างหนา้ ตาดกี ว่าแกะ ตัวอื่น ๆ แต่ดอลลี่มีช่ือเสียงเพราะเป็นแกะท่ีเกิดจากการโคลนนิ่งได้เป็นตัว แรกของโลก การโคลนนงิ่ คอื การทนี่ กั วทิ ยาศาสตรไ์ ดอ้ าศยั ความรแู้ ละวธิ กี ารสมยั ใหมใ่ นการขยายพนั ธเุ์ พม่ิ จำนวนสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ พชื หรอื สตั ว ์ ไดส้ ำเรจ็ ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร โดยทไี่ มต่ อ้ งใชก้ ารผสมกนั ระหวา่ งไขข่ องแมก่ บั เชอื้ อสจุ ขิ องพอ่ ซงึ่ เปน็ กระบวนการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศตามปกติ

138 ดอลลแี่ ละแม่ตวั ที่ ๓ “ดอลล”่ี แกะโคลนนงิ่ ถอื เปน็ ความสำเรจ็ อยา่ งยงิ่ ใหญอ่ กี ครงั้ หนงึ่ ของ วงการวทิ ยาศาสตร์ ทน่ี กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถสรา้ งลกู แกะขน้ึ มาใหม้ หี นา้ ตา เหมอื นกบั แมต่ น้ แบบ โดยไมต่ อ้ งมกี ารผสมกนั ระหวา่ งไขข่ องแมแ่ กะกบั เชอื้ อสจุ ขิ องพอ่ แกะเหมอื นเชน่ ลกู แกะตวั อนื่ ๆ และทน่ี า่ ประหลาดใจกค็ อื ดอลล่ี นน้ั ไมม่ พี อ่ แตก่ ลบั มแี มถ่ งึ ๓ ตวั แม่ตัวที่ ๑ เป็นผู้ให้เซลล์เน้ือเย่ือร่างกายบริเวณต่อมน้ำนม เพ่ือนำ ไปผสมรวมกับไข่ของแม่ตัวท่ี ๒ จากนั้นไข่ที่ผสมแล้วถูกนำไปเลี้ยงต่อใน หลอดแก้วจนเป็นตัวอ่อน ก่อนท่ีจะนำตัวอ่อนไปฝากให้แม่ตัวท่ี ๓ เป็นตัว รบั ฝากตวั ออ่ นจากหลอดแกว้ ไปตงั้ ทอ้ ง จนเกดิ ดอลลอี่ อกมา ดอลลจ่ี งึ เกดิ มา อยา่ งนา่ อศั จรรย์ โดยไมต่ อ้ งมพี อ่ จากความสำเรจ็ ในการโคลนนง่ิ แกะดอลลขี่ น้ึ มา ทำใหน้ กั วทิ ยาศาสตร ์ ทั่วโลกได้นำเอาวิธีการน้ีไปใช้โคลนน่ิงสัตว์อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เลยี้ งอยา่ งสนุ ขั แมว หรอื หนถู บี จกั ร ไปจนถงึ สตั วใ์ หญท่ เี่ ลยี้ งไวบ้ รโิ ภคเนอ้ื เปน็ อาหารอยา่ งสกุ รหรอื โค

139 ตูมตาม ลกู โคโคลนนิง่ ทมี่ ชี ือ่ เสียงของประเทศไทย ประเทศไทยมนี กั วทิ ยาศาสตรท์ ส่ี ามารถโคลนนงิ่ สตั วไ์ ดเ้ ชน่ กนั โดย ไดส้ รา้ งลกู โคโคลนนงิ่ จำนวนหลายตวั จากโคสายพนั ธต์ุ า่ งประเทศ ตวั แรกชอ่ื วา่ “องิ ” เกดิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๓ สตั วโ์ คลนนง่ิ ทมี่ ชี อ่ื เสยี งของประเทศไทย คอื “ตมู ตาม” ลกู โคโคลนนง่ิ พนั ธบุ์ ราหม์ นั เทาเพศผู้ ซงึ่ เกดิ มาปลาย พ.ศ. ๒๕๔๖ ถงึ ตน้ พ.ศ. ๒๕๔๗ มกี ารนำเซลลผ์ วิ หนงั ใบหขู องตมู ตามไปทำโคลนนงิ่ ได้ ลกู ออกมา ๗ ตวั ในอนาคตขา้ งหนา้ นกั วทิ ยาศาสตรย์ งั คาดหวงั ทจี่ ะนำความร ู้ จากการโคลนนิ่งสัตว์น้ีไปใช้ในการรักษาคนไข้ การอนุรักษ์และขยายพันธ์ุ สตั วท์ ห่ี ายากและใกลส้ ญู พนั ธุ์ เชน่ กระทงิ หมแี พนดา้ เสอื กระทงิ หมแี พนด้า เสือ

140 ส่วนเด็กกลาง รองศาสตราจารย์ ดร. ว่าท่รี อ้ ยตรี เจษฎา เดน่ ดวงบรพิ นั ธ์ ผู้เรียบเรยี ง การโคลนนงิ่ (cloning) สตั ว์ คอื การทนี่ กั วทิ ยาศาสตรผ์ ลติ สตั วต์ วั ใหมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ มาไดโ้ ดยไมต่ อ้ งใชก้ ารผสมกนั ระหวา่ งตวั อสจุ แิ ละไข่ ซงึ่ เปน็ การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศตาม ปกติ แตจ่ ะเอานวิ เคลยี สจากเซลลร์ า่ งกาย (somatic cell) ของสตั วท์ เี่ ปน็ ตวั ตน้ แบบ (donor) ในการโคลนนง่ิ นำมาฉดี ผสมกบั เซลลไ์ ขท่ มี่ กี ารกำจดั นวิ เคลยี สออกไป ทำใหไ้ ดล้ กู สตั วท์ มี่ ี เพศ พนั ธกุ รรม และลกั ษณะรปู รา่ งเหมอื นกบั สตั วต์ วั ตน้ แบบเปน็ อยา่ งมาก นกั วทิ ยาศาสตรป์ ระสบความสำเรจ็ ในการโคลนนง่ิ สตั วม์ ามากกวา่ ๖๐ ปี คอื การใช ้ วธิ ถี า่ ยโอนนวิ เคลยี ส (nuclear transfer) ในกบ ซงึ่ เปน็ สตั วส์ ะเทนิ นำ้ สะเทนิ บก โดยการแยก นวิ เคลยี สออกจากเซลลต์ น้ แบบ (donor cell) ทม่ี าจากเนอื้ เยอื่ ของตวั ออ่ นกบทปี่ ฏสิ นธติ าม ธรรมชาติ แลว้ นำไปใสใ่ นไขก่ บทไี่ ดก้ ำจดั นวิ เคลยี สออกแลว้ วธิ ถี า่ ยโอนนวิ เคลยี สนไี้ ดน้ ำไป พฒั นาตอ่ ในสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนำ้ นมอกี หลายชนดิ แตก่ ารใชเ้ ซลลร์ า่ งกายมาเปน็ เซลลต์ น้ แบบ ในการโคลนนง่ิ ยงั ไมม่ ใี ครประสบความสำเรจ็ จนกระทง่ั พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ ดร.เอยี น วลิ มตุ (Ian Wilmut) และคณะนกั วจิ ยั ชาวสกอตแลนด์ ในสหราชอาณาจกั ร สามารถทำให้ “ดอลล”่ี (Dolly) ลกู แกะโคลนนง่ิ เกดิ มาเปน็ ครง้ั แรกของโลกจากการใชเ้ ซลลต์ อ่ มนำ้ นมของแกะทโ่ี ตเตม็ วยั ปจั จบุ นั มสี ตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนำ้ นมอกี มากมายหลายชนดิ ทโ่ี คลนนง่ิ ขน้ึ มา ไมว่ า่ จะ เป็นโค ม้า ล่อ กระทิง หนู กระต่าย แมว สุนัข ฯลฯ วิธีการโคลนนิ่งสัตว์มีเทคนิค รายละเอยี ดแตกตา่ งกนั ไปตามชนดิ ของสตั วห์ รอื ความชำนาญของผทู้ ดลอง แตม่ แี นวทางที่ คลา้ ยคลงึ กนั คอื เรม่ิ ดว้ ยการเตรยี มเซลลต์ น้ แบบจากเนอ้ื เยอื่ รา่ งกายของตวั ตน้ แบบ โดยนำ เนอ้ื เยอ่ื นไี้ ปเพาะเลย้ี งในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารดว้ ยนำ้ ยาเลยี้ งเซลลเ์ พอื่ เพมิ่ ปรมิ าณเซลลใ์ หม้ มี ากขนึ้ จากนนั้ แยกเซลลท์ ตี่ อ้ งการออกมาเปน็ เซลลเ์ ดยี่ ว ๆ ดว้ ยนำ้ ยายอ่ ยเซลล์ แลว้ คดั เลอื กเซลลท์ ม่ี ี ขนาดและลกั ษณะเหมาะสม รวมทง้ั ไมม่ กี ารตดิ เชอื้ ใด ๆ นำไปใชเ้ ปน็ เซลลต์ น้ แบบ

เกบ็ เซลลต์ น้ แบบ เซลลต์ ้นแบบ 141 จากตอ่ มน้ำนมแกะ แมแ่ กะตวั แรก เชอื่ มเซลล์ทั้ง ๒ เซลล์เข้าด้วยกัน นำไปเพาะเลีย้ ง ด้วยกระแสไฟฟ้า ในหอ้ งปฏิบัติการ แมแ่ กะตวั ที่ ๒ เซลล์ไข่ ดดู นิวเคลยี ส เก็บเซลลไ์ ข่จาก ของเซลลไ์ ข่ออก กระต้นุ ด้วยสารเคมี ทอ่ นำไข่ เพื่อใหเ้ กิดการแบ่งตวั แมแ่ กะตัวท่ี ๓ เกิดเปน็ แกะดอลล ่ี นำตวั อ่อน เลี้ยงให้ตัวออ่ นเจริญแบ่งตวั ไปไวใ้ นมดลกู ในตู้อบเล้ยี งเซลล์ ตัวออ่ นฝงั ตัว แกะตวั รับ ในมดลูกแกะตัวรบั ขั้นตอนการโคลนน่ิงแกะ “ดอลลี่” ขณะเดยี วกนั ไขอ่ อ่ นจากรงั ไขข่ องตวั ทเ่ี ปน็ ผรู้ บั (recipient) จะถกู เกบ็ มาเลย้ี งใน นำ้ ยาเพอื่ ใหไ้ ขส่ กุ จากนนั้ นกั วทิ ยาศาสตรจ์ ะใชเ้ ขม็ ทม่ี ขี นาดเลก็ มากกำจดั นวิ เคลยี สของไข่ ออกภายใต้กล้องจุลทรรศน์ แล้วฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไข่จำนวน ๑ เซลล์ต่อไข่ ๑ ใบ กอ่ นกระตนุ้ ดว้ ยกระแสไฟฟา้ ออ่ น ๆ เพอื่ ใหไ้ ขแ่ ละเซลลต์ น้ แบบทฉี่ ดี เขา้ ไปนนั้ ผสานรวมกนั เปน็ หนงึ่ เดยี ว ไขท่ ถี่ กู เชอ่ื มกบั เซลลต์ น้ แบบแลว้ จะถกู กระตนุ้ ดว้ ยสารเคมใี นตอู้ บเลย้ี งเซลล์ เพอื่ ใหเ้ กดิ การแบง่ ตวั เลยี นแบบการปฏสิ นธขิ องอสจุ แิ ละไขต่ ามธรรมชาติ เมอ่ื ไขเ่ รม่ิ แบง่ ตวั จะถกู นำไปเลยี้ งตอ่ ในหลอดแกว้ ดว้ ยนำ้ ยาเลยี้ งตวั ออ่ น จนพรอ้ มจะ ถา่ ยโอนตวั ออ่ นโคลนนง่ิ ไปสแู่ มต่ วั รบั โดยตวั ออ่ นจะถกู นำไปฝงั ตวั ในมดลกู ของแมต่ วั รบั ซง่ึ อยใู่ นวยั เจรญิ พนั ธแ์ุ ละมสี ขุ ภาพสมบรู ณด์ ี นกั วจิ ยั จะตรวจการตง้ั ทอ้ งและสขุ ภาพครรภข์ อง แมต่ วั รบั เปน็ ระยะ ๆ จนกวา่ จะครบกำหนด ซงึ่ โอกาสประสบผลสำเรจ็ ไดล้ กู สตั วโ์ คลนนง่ิ นน้ั ยงั มอี ยนู่ อ้ ยมากเมอ่ื เทยี บกบั การผสมเทยี มทวั่ ไป

142 ใ นดา้ นการกอานรรุ เกพั ษิม่ พ์จำนั นธวส์ุ นตั สวัตป์ วา่ ์ดท้วห่ี ยาวยิธากีการแโลคะลกนานรงิ่เพไดมิ่ ้นจำำนไปวในชปป้ ศรสุ ะตัโยวช์ นส์อตั ยวา่ ท์ งหดลลอากงหรลวามยทถงึั้ง สตั วเ์ ลยี้ ง ซงึ่ สามารถทำไดท้ ง้ั การโคลนนง่ิ ในสตั วช์ นดิ เดยี วกนั เชน่ การโคลนนง่ิ โค สกุ ร มา้ หนทู ดลอง หรอื แมแ้ ตส่ นุ ขั และแมวสายพนั ธตุ์ า่ ง ๆ ทมี่ ลี กั ษณะดี และการโคลนนง่ิ สตั วข์ า้ ม ชนดิ หรอื ขา้ มสกลุ เชน่ การโคลนนง่ิ กระทงิ โดยการใชไ้ ขข่ องโคเปน็ ตวั รบั การโคลนนง่ิ เสอื เกาหลีและแมวป่าแอฟริกาโดยใช้ไข่ของแมวบ้าน การใช้ไข่ของม้าเป็นตัวรับให้แก่เซลล์ ตน้ แบบของลอ่ ซงึ่ เปน็ หมนั เนอ่ื งจากเปน็ สตั วล์ กู ผสม รวมถงึ การใชไ้ ขข่ องแกะบา้ นหรอื แพะ บา้ นเปน็ ตวั รบั ใหแ้ กแ่ กะภเู ขาและแพะภเู ขาตามลำดบั การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพสมยั ใหม่ เชน่ การทำพนั ธวุ ศิ วกรรม (genetic engineering) ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถดัดแปรพันธุกรรมของเซลล์ต้นแบบที่จะนำมา โคลนนง่ิ โดยทำเซลลต์ น้ แบบใหม้ พี นั ธกุ รรมพเิ ศษสำหรบั การผลติ เอนไซมห์ รอื ฮอรโ์ มนตา่ ง ๆ เพม่ิ ขน้ึ สตั วโ์ คลนนง่ิ ทส่ี รา้ งจากเซลลต์ น้ แบบดดั แปรพนั ธกุ รรมนจ้ี ะสามารถผลติ โปรตนี ทม่ี ี ประโยชนแ์ ละมมี ลู คา่ สงู ได้ ตวั อยา่ งเชน่ โคโคลนนง่ิ ดดั แปรพนั ธกุ รรมทส่ี ามารถผลติ โปรตนี สำหรบั นำไปผลติ เปน็ ยารกั ษาโรคทไี่ ดจ้ ากนำ้ นมของโค แกะภูเขา มา้ สุกร โค แมวปา่ แอฟรกิ า

143 ผูป้ ่วย นำมาปลูกถ่าย เก็บเน้ือเย่ือ เลี้ยงเซลล์ ให้แกผ่ ูป้ ่วย จากผู้ป่วยเป็น นำเซลลไ์ ปทำโคลนนง่ิ เซลลต์ น้ แบบ เซลล์พรอ้ มใช ้ กระตนุ้ ให้เซลล์ตน้ กำเนิดตวั อ่อน เปลีย่ นไปเป็นเซลลเ์ ป้าหมาย เซลลต์ ้นกำเนดิ ตวั อ่อน เลีย้ งเซลลท์ แ่ี ยกจากตัวออ่ น ตัวออ่ นระยะบลาสโทซสี ต์ การโคลนนง่ิ เพอ่ื ผลติ เซลลต์ ้นกำเนดิ สำหรบั รักษาโรคในมนษุ ย์ วิธีการโคลนน่ิงยังนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการสร้างเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) สำหรบั รกั ษาโรคตา่ ง ๆ ทมี่ คี วามจำเพาะตอ่ ผปู้ ว่ ยสงู และไมเ่ กดิ การตอ่ ตา้ นจาก ระบบภมู คิ มุ้ กนั ในรา่ งกายผปู้ ว่ ย เนอื่ งจากเซลลต์ น้ กำเนดิ นผี้ ลติ ขนึ้ มาจากการนำเซลลร์ า่ งกาย ของผปู้ ว่ ยมาใชเ้ ปน็ เซลลต์ น้ แบบในการโคลนนง่ิ สรา้ งเปน็ ตวั ออ่ นระยะบลาสโทซสี ต์ (blastocyst) กอ่ นทจี่ ะผลติ เปน็ เซลลต์ น้ กำเนดิ ตวั ออ่ น (embryonic stem cell) เพอื่ นำไปพฒั นาเปน็ เซลล์ ชนดิ อน่ื ๆ ในการรกั ษาโรคตอ่ ไป อยา่ งไรกต็ าม การนำวธิ กี ารโคลนนง่ิ มาใชส้ รา้ งมนษุ ยข์ นึ้ มาใหม่ เชน่ สรา้ งอวยั วะ สำรองสำหรบั ปลกู ถา่ ยใหแ้ กผ่ ปู้ ว่ ยทอ่ี วยั วะเสยี หาย หรอื แมแ้ ตก่ ารชว่ ยเหลอื ผทู้ ม่ี บี ตุ รยากให้ มีบุตรได้ ยังเป็นส่ิงที่ผิดกฎหมายและมีการห้ามไม่ให้ดำเนินการทดลองในประเทศต่าง ๆ เนอ่ื งจากไมเ่ ปน็ ทยี่ อมรบั คอื ไมเ่ หมาะสมทงั้ ในดา้ นสงั คมและดา้ นจรยิ ธรรม ความพยายาม ศกึ ษาวจิ ยั ในปจั จบุ นั จงึ เปน็ การทดลองโคลนนงิ่ สตั วท์ ส่ี ามารถนำอวยั วะของสตั วเ์ หลา่ นนั้ มา ใชท้ ดแทนสำหรบั มนษุ ยไ์ ด้ เชน่ การโคลนนงิ่ สกุ รดดั แปรพนั ธกุ รรม ซงึ่ จะใหอ้ วยั วะสำหรบั การปลกู ถา่ ยทไี่ มเ่ กดิ การตอ่ ตา้ นจากภมู คิ มุ้ กนั ของมนษุ ย ์

144 ส่วนเด็กโต รองศาสตราจารย์ ดร.รงั สรรค ์ พาลพา่ ย ผเู้ ขยี น โคลนนง่ิ (cloning) หรอื การขยายพนั ธแุ์ บบ โคลนตวั ใหมท่ เ่ี กดิ มาจะมรี ปู รา่ ง เพศ และพนั ธุ์ ไม่ใช้เพศ เป็นวิธีการที่ส่ิงมีชีวิตหลายชนิดใช้ใน เหมือนตัวต้นแบบ (donor) ที่นำมาทำโคลนนิ่ง การเพิ่มจำนวน คำว่า “โคลน” (clone) มาจาก แตจ่ ะมสี ว่ นทแี่ ตกตา่ งกนั อยา่ งหนงึ่ คอื ปรมิ าณของ ภาษากรกี วา่ klon มคี วามหมายวา่ กงิ่ กา้ น แขนง ไมโทคอนเดรยี ลดเี อน็ เอ (mitochondrial DNA) ซ่ึง โดยทวั่ ไปสตั วแ์ ละพชื ชนั้ สงู จำเปน็ ตอ้ งขยายพนั ธุ์ เปน็ สงิ่ ทถี่ า่ ยทอดมากบั ไซโทพลาซมึ (cytoplasm) โดยวธิ ใี ชเ้ พศ แตส่ ตั วแ์ ละพชื ชน้ั ตำ่ สามารถขยาย ของผรู้ บั (recipient) พนั ธไุ์ ดท้ งั้ แบบใชเ้ พศและไมใ่ ชเ้ พศ สว่ นสง่ิ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี ว เชน่ แบคทเี รยี สามารถเพมิ่ จำนวน ๑. ประวตั ขิ องการโคลนนงิ่ โดยไมใ่ ชเ้ พศ ซง่ึ เรยี กวา่ การแบง่ ตวั สงิ่ มชี วี ติ พวก โพรโทซวั เชน่ พารามเี ซยี ม สามารถเพม่ิ จำนวนได ้ โดยปกติการสืบพันธุ์ของคนหรือสัตว์ต้อง ทงั้ แบบใชเ้ พศและไมใ่ ชเ้ พศ ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ า่ อาศยั การผสมกนั ระหวา่ งตวั อสจุ กิ บั ไข่ หลงั จาก วิวัฒนาการของพืชและสัตว์มีท้ังการขยายพันธ์ุ ผสมกันแล้วจะแบ่งตัวพัฒนาเป็นตัวอ่อน แล้ว แบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ ผลของการขยายพันธุ์ คลอดออกมาเป็นคนหรือสัตว์ ซ่ึงจะมีลักษณะ แบบไม่ใช้เพศทำให้ได้เซลล์หรือสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ทางพนั ธกุ รรมเหมอื นพอ่ และแมอ่ ยา่ งละครงึ่ แต่ มาใหม่ ทมี่ ลี กั ษณะทางพนั ธกุ รรมเหมอื นกนั หมด การโคลนนง่ิ จะตา่ งจากการสบื พนั ธตุ์ ามธรรมชาต ิ ซงึ่ เรยี กวา่ โคลน เพราะการโคลนนง่ิ เปน็ กระบวนการสรา้ งสงิ่ มชี วี ติ ใหม้ ลี กั ษณะทางกายภาพและพนั ธกุ รรมเหมอื นกนั โคลนมีความหมายหลายอย่าง เมื่อพดู ถงึ โดยไมต่ อ้ งใชเ้ ซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศผู้ (อสจุ )ิ และเซลล ์ การปลกู พชื แลว้ โคลนหมายถงึ ลกู หลานของพชื สบื พนั ธเ์ุ พศเมยี (ไข)่ มาผสมกนั แตจ่ ะนำเซลล์ ทเี่ กดิ จากการขยายพนั ธ์ุ โดยการตอน การปกั ชำ จากสตั วท์ ต่ี อ้ งการโคลนนง่ิ มาใชเ้ ปน็ เซลลต์ น้ แบบ การทาบกง่ิ การตดิ ตา และทกี่ ำลงั นยิ มในปจั จบุ นั (donor cell) แลว้ ฉดี เขา้ ไปในไขท่ ก่ี ำจดั นวิ เคลยี ส คอื การเพาะเลยี้ งเนอื้ เยอื่ ในวงการพนั ธวุ ศิ วกรรม ออกแลว้ ทำใหล้ กู ทไ่ี ดม้ เี พศและพนั ธกุ รรมเหมอื น (genetic engineering) การเพมิ่ จำนวนดเี อน็ เอหรอื กบั เซลลต์ น้ แบบ ยนี (gene) กต็ อ้ งอาศัยการโคลนยนี เชน่ เดียวกนั การโคลนน่ิงโดยใช้เซลล์ร่างกาย (somatic cell) การโคลนนง่ิ เรม่ิ มขี น้ึ ครง้ั แรกใน พ.ศ. ๒๔๙๕ เปน็ สงิ่ ทนี่ กั วทิ ยาศาสตรท์ ว่ั โลกสามารถทำสำเรจ็ โดยนกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอเมรกิ นั คอื ดร.ทอมสั คงิ แลว้ ในสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนำ้ นมหลายชนดิ โดยไม่ (Thomas King) และคณะ ซงึ่ ไดท้ ำการทดลอง ต้องมีการนำไข่และตัวอสุจิมาปฏิสนธิกัน สัตว์ โคลนนงิ่ กบ โดยการแยกนวิ เคลยี สของตวั ออ่ นกบ ออกมา และยา้ ยไปไวใ้ นไขก่ บทย่ี งั ไมป่ ฏสิ นธซิ งึ่

145 รา่ งกายในสตั วอ์ กี หลายชนดิ มาทำเปน็ เซลลต์ น้ แบบ จนไดล้ กู สตั วเ์ กดิ มา เชน่ โค กระบอื สกุ ร แมว มา้ ลอ่ กระทงิ หนขู าว หนถู บี จกั ร กระตา่ ย เฟอรเ์ รต็ * (ferret) ๒. การโคลนนงิ่ โดยใชเ้ ซลลร์ า่ งกาย วิธีการโคลนนิ่งสัตว์โดยใช้เซลล์ร่างกายมี ดร.เอยี น วลิ มตุ หวั หนา้ คณะวจิ ยั โคลนนง่ิ แกะ “ดอลล”ี่ ขนั้ ตอนดงั น ี้ กำจดั นวิ เคลยี สออกไปแลว้ ผลปรากฏวา่ ไขด่ งั กลา่ ว ๑. การเตรยี มเซลลต์ น้ แบบ สามารถเจรญิ เตบิ โตขน้ึ เปน็ ลกู ออ๊ ด ตอ่ มานกั วจิ ยั ๒. การเตรยี มไซโทพลาซมึ ผรู้ บั คณะนไ้ี ดพ้ ฒั นาเทคนคิ การโคลนนง่ิ ทเี่ รยี กวา่ การ ๓. การฉดี เซลลต์ น้ แบบเขา้ ไปในไซโทพลาซมึ ถา่ ยโอนนวิ เคลยี ส (nuclear transfer) ซง่ึ วธิ นี ยี้ งั ผรู้ บั คงเป็นท่ีนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งน้ี วิธีการ ๔. การเชื่อมเซลล์ต้นแบบให้ติดกับไซโท- โคลนนงิ่ ในชว่ งแรกนยิ มใชเ้ ซลลข์ องตวั ออ่ นทเี่ กดิ พลาซมึ ผรู้ บั จากการปฏิสนธิตามธรรมชาติเป็นเซลล์ต้นแบบ ๕. การกระตนุ้ ใหเ้ ซลลแ์ บง่ ตวั ตอ่ มานักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ทำการทดลอง ๖. การเลย้ี งตวั ออ่ นโคลนนงิ่ ในหลอดแกว้ โคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม โดยใช้เซลล์ตัว ๗. การถา่ ยโอนตวั ออ่ นโคลนนง่ิ สแู่ มต่ วั รบั ออ่ นของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ เปน็ เซลลต์ น้ แบบจนได้ ในทน่ี เ้ี พอื่ ใหเ้ หน็ รายละเอยี ดขนั้ ตอนชดั เจน ลกู สตั วโ์ คลนนงิ่ เกดิ มา ไดแ้ ก่ แกะ โค หนถู บี จกั ร จะยกตวั อยา่ งการโคลนนงิ่ โค โดยใชเ้ ซลลใ์ บหเู ปน็ แพะ หนขู าว กระตา่ ย ลงิ วอก ทง้ั ทก่ี อ่ นหนา้ นี้ เซลลต์ น้ แบบ ดงั ตอ่ ไปนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า เซลล์ร่างกายนั้นไม่ ๑. การเตรยี มเซลลต์ น้ แบบ (Donor cell สามารถนำมาโคลนนง่ิ เพอ่ื ผลติ สตั วต์ วั ใหมใ่ หเ้ กดิ preparation) มาได้ แตจ่ ากความพยายามในการวจิ ยั โดยการใช ้ โดยทั่วไปวิธีการโคลนน่ิงสัตว์สามารถใช ้ เซลลร์ า่ งกายเปน็ เซลลต์ น้ แบบเพอ่ื การโคลนนงิ่ ผ ู้ เนอื้ เยอื่ จากสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายสตั วม์ าทำเปน็ บกุ เบกิ จนประสบความสำเรจ็ เปน็ ครงั้ แรกของโลก เซลลต์ น้ แบบ เชน่ ผวิ หนงั กลา้ มเนอ้ื ตบั ไต ใน พ.ศ. ๒๕๔๐ คอื ดร.เอยี น วลิ มตุ (Ian Wilmut) ไขกระดกู โดยมขี อ้ กำหนดในเบอื้ งตน้ คอื เนอื้ เยอื่ และคณะ ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่สถาบันวิจัยโรสริน เหลา่ นนั้ ตอ้ งยงั ไมเ่ นา่ เปอื่ ย ซงึ่ หมายความวา่ เซลล ์ ประเทศสกอตแลนด์ ได้รายงานการเกิดมาของ ทอี่ ยภู่ ายในเนอ้ื เยอ่ื ยงั มชี วี ติ อยู่ เพราะตอ้ งการนำ “ดอลล”ี่ (Dolly) ลกู แกะโคลนนงิ่ จากการใชเ้ ซลล์ เนอื้ เยอ่ื เหลา่ นไ้ี ปเพาะเลย้ี งในหอ้ งทดลอง เพอ่ื ให้ เต้านมของแกะโตเต็มวัยที่มีอายุ ๖ ปีเป็นเซลล์ เซลลท์ อี่ ยภู่ ายในเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ ขน้ึ มา ตน้ แบบ จากนน้ั เปน็ ตน้ มานกั วทิ ยาศาสตรท์ วั่ โลก ไดศ้ กึ ษาวจิ ยั ทดลองนำเซลล์จากสว่ นตา่ ง ๆ ของ * สตั วจ์ ำพวกหนง่ึ มรี ปู รา่ งคลา้ ยพงั พอน เลยี้ งไวส้ ำหรบั ไลก่ ระตา่ ย และหน ู

146 และปดิ ชน้ิ หนงั หดู ว้ ยกระจกแกว้ ทป่ี ลอดเชอื้ เพอ่ื ไมใ่ หห้ นงั หลู อย เตมิ นำ้ ยาเลย้ี งเซลล์ ๕ มลิ ลลิ ติ ร แสดงการเจริญของเซลล์ไฟโบรบราสตก์ ำลงั ขยาย ๑๐๐ เทา่ แลว้ นำหนงั หไู ปเลย้ี งในตอู้ บเลย้ี งเซลลท์ ม่ี อี ณุ หภมู ิ ออกจากหนงั หู (สดี ำ) ๓๘.๕ องศาเซลเซยี ส นาน ๔ วนั จากนน้ั นำเซลล ์ ทเ่ี ลย้ี งออกมาสอ่ งตรวจดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ เพอื่ การโคลนนิ่งโคนิยมใช้หนังหูของโคนำมา ดกู ารเจรญิ เตบิ โตและตรวจสอบวา่ มกี ารตดิ เชอื้ หรอื เพาะเลี้ยง เพื่อให้ได้เซลล์สำหรับทำเป็นเซลล์ ไม่ หากไมม่ กี ารตดิ เชอื้ จะทำการเลยี้ งตอ่ โดยจะ ต้นแบบ สาเหตุที่ใช้หนังหูเพราะเก็บได้ง่ายและ เปลย่ี นนำ้ ยาทใี่ ชเ้ ลยี้ งเซลลท์ กุ ๓ วนั ลกั ษณะของ ไมท่ ำใหบ้ าดแผลอกั เสบหลงั การเกบ็ โดยมวี ธิ ที ำ เซลลท์ เ่ี จรญิ ขน้ึ มาใหมเ่ ปน็ รปู กระสวยเรยี งตดิ กนั คือ นำโคท่ีต้องการโคลนน่ิงมาเขา้ ซองบงั คบั ซงึ่ เรยี กเซลลน์ ว้ี า่ เซลลไ์ ฟโบรบราสต์ (fibrobrast) ซงึ่ จะลอ็ กคอและหวั ของโคใหอ้ ยนู่ ง่ิ เพอ่ื ทำการเกบ็ เปน็ เซลลท์ เ่ี ปน็ หนว่ ยยอ่ ยของผวิ หนงั หรอื กลา้ มเนอ้ื ใบหู ดว้ ยการทำความสะอาดไขมนั หรอื สง่ิ สกปรก ออกจากตงิ่ ใบหทู ง้ั ดา้ นบนและลา่ ง (บรเิ วณเดยี ว เม่ือเซลล์เจริญข้ึนมากแล้ว จะแยกเซลล์ กบั ทเี่ จาะหขู องสตรเี พอ่ื ใสต่ มุ้ ห)ู จากนนั้ โกนขน ออกไปเลย้ี งในจานเลยี้ งเซลลใ์ หมเ่ พอื่ เพม่ิ ปรมิ าณ ทห่ี นงั หทู ง้ั ๒ ดา้ นและเชด็ ฆา่ เชอื้ ดว้ ยแอลกอฮอล ์ เซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น ตามปกติจะแยกเซลล์ แลว้ ใชเ้ ครอ่ื งเจาะรหู ขู นาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๔-๕ ไปเลยี้ งในจานเลย้ี งเซลล์ ๒ ครงั้ เพอื่ เลยี้ งใหไ้ ด้ ๑๐ มลิ ลเิ มตร เจาะหเู พยี งรเู ดยี ว หลงั จากนน้ั นำชน้ิ จาน ซงึ่ จะไดเ้ ซลลเ์ จรญิ ขนึ้ มาอยา่ งนอ้ ย ๑๐ ลา้ น ใบหทู ไี่ ดเ้ กบ็ ไวใ้ นหลอดนำ้ เกลอื ทแ่ี ชใ่ นถงั นำ้ แขง็ เซลล์ และนำเซลลไ์ ปแบง่ ใสห่ ลอดแชแ่ ขง็ เกบ็ ไว้ ในขณะนำกลบั เขา้ หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ซงึ่ สามารถแช่ ในไนโตรเจนเหลวใหไ้ ดอ้ ยา่ งนอ้ ย ๕๐ หลอด เมอื่ หนงั หไู วไ้ ดไ้ มเ่ กนิ ๑๒ ชว่ั โมงระหวา่ งการขนสง่ ตอ้ งการโคลนนงิ่ จะตอ้ งนำหลอดเกบ็ เซลลอ์ อกมา ละลายในนำ้ อนุ่ แลว้ นำเซลลอ์ อกมาเลยี้ งในจาน การปฏิบัติในห้องปฏิบัติการจะนำชิ้นใบหู เลย้ี งเซลล์ ๑-๒ วนั กอ่ นใชง้ าน จากนนั้ ใชน้ ำ้ ยายอ่ ย มาเชด็ ดว้ ยแอลกอฮอลอ์ กี ๒ ครง้ั หลงั จากนนั้ ใน เซลล์แยกให้เป็นเซลล์เด่ียว ๆ และคัดเลือกเซลล ์ ขน้ั ตอนตอ่ จากนไี้ ปจะทำในตปู้ ลอดเชอ้ื เพอื่ ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื คอื ใชม้ ดี ผา่ ตดั ลอกหนงั หดู า้ นบนและลา่ ง เซลลไ์ ฟโบรบราสตก์ ำลงั ขยาย ๒๐๐ เทา่ ออกจากกระดกู ออ่ น แลว้ ตดั สว่ นทเ่ี ปน็ หนงั ขนาด ประมาณ ๑×× ๑× ตารางมลิ ลเิ มตร นำไปวางบนจาน เล้ียงเซลล์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๕ มิลลิเมตร

147 ทม่ี รี ปู รา่ งกลมปกติ และมขี นาดไมเ่ ลก็ หรอื ใหญ่ การดดู ไขโ่ คจากรงั ไขท่ ไี่ ดจ้ ากโรงฆา่ สตั ว ์ เกนิ ไป (ขนาด ๑๔-๑๖ ไมครอน) เพอื่ ใชเ้ ปน็ เซลล์ ไขโ่ คทม่ี โี พลารบ์ อดที ่ี ๑ (ลกู ศรช)้ี หลงั จากเลยี้ งในนำ้ ยาสำหรบั ตน้ แบบสำหรบั การโคลนนง่ิ เลย้ี งไขใ่ หส้ กุ ในหลอดแกว้ นาน ๒๐-๒๑ ชว่ั โมง การกำจดั นวิ เคลยี สออกจากไขโ่ คทสี่ กุ แลว้ ๒. การเตรยี มไซโทพลาซมึ ผรู้ บั (Recipient cytoplasm preparation) ในการโคลนน่ิงจำเป็นต้องใช้ไซโทพลาซึม ของไขส่ กุ ทพ่ี รอ้ มปฏสิ นธมิ าทำใหน้ วิ เคลยี สของ เซลลต์ น้ แบบโปรแกรมตวั เองใหม่ (reprogramm- ing) เพื่อให้กลับมามีสภาพเหมือนกับนิวเคลียส ของตวั ออ่ นระยะแรก ซง่ึ ในกรณกี ารโคลนนง่ิ โค ก็จำเป็นต้องใช้ไข่โคมาทำเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ โดยไขจ่ ะอยภู่ ายในรงั ไขซ่ ง่ึ สามารถเกบ็ โดยการใช้ เครอื่ งอลั ตราซาวนดเ์ จาะดดู จากโคทม่ี ชี วี ติ ไดท้ กุ ๆ สปั ดาห์ แตว่ ธิ นี จ้ี ะตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการเลย้ี งโค นอกจากนี้ เขม็ ทใี่ ชเ้ จาะไขแ่ ละเครอ่ื งอลั ตราซาวนด ์ กม็ รี าคาแพง ทำใหไ้ ขม่ ตี น้ ทนุ สงู จงึ ใชว้ ธิ เี กบ็ รงั ไข ่ โคจากโรงฆา่ สตั วซ์ ง่ึ มตี น้ ทนุ ทต่ี ำ่ ในระหวา่ งทนี่ ำ เขา้ หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ควรเก็บรังไข่ไว้ในน้ำเกลือท่ี อณุ หภมู หิ อ้ ง จากนนั้ นำรงั ไขม่ าดดู ไขอ่ อ่ นทอี่ ยใู่ น ถงุ ไขข่ นาด ๓-๗ มลิ ลเิ มตร ดว้ ยเขม็ ฉดี ยาเบอร์ ๑๘ ทตี่ อ่ กบั กระบอกฉดี ยาขนาด ๑๐ มลิ ลลิ ติ ร ไขท่ ่ี ไดย้ งั เปน็ ไขอ่ อ่ น จงึ จำเปน็ ตอ้ งนำมาเลย้ี งในนำ้ ยา สำหรับเล้ียงไข่ให้สุกในตู้อบเล้ียงเซลล์เป็นเวลา ๒๐-๒๑ ชว่ั โมง เพอ่ื ใหไ้ ขเ่ จรญิ เปน็ ไขส่ กุ ซง่ึ จะม ี โพลารบ์ อดที ่ี ๑ (1st polar body) ออกมาจากไซโท- พลาซมึ เมอ่ื ไขส่ กุ แลว้ จงึ นำมาทำการกำจดั นวิ เคลยี ส ออกไป ซง่ึ ตอ้ งทำภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนห์ วั กลบั กำลงั ขยาย ๒๐๐ เทา่ โดยการใชเ้ ขม็ ตดั เปลอื กไข่ ทอ่ี ยเู่ หนอื โพลารบ์ อดที ี่ ๑ แลว้ ใชเ้ ขม็ กดใหไ้ ซโท- พลาซมึ ออกมาตรงเปลอื กไขท่ ถ่ี กู ตดั ไขท่ ไี่ ดจ้ ะมี ไซโทพลาซมึ ทพ่ี รอ้ มสำหรบั การโคลนนง่ิ

148 การเชอ่ื มเซลลต์ น้ แบบ (ลกู ศร) กบั ไขด่ ว้ ยกระแสไฟฟา้ ๔. การเชอื่ มเซลลต์ น้ แบบใหต้ ดิ กบั เซลลต์ น้ แบบทถี่ กู ยอ่ ยออกเปน็ เซลลเ์ ดยี่ วดว้ ยนำ้ ยายอ่ ยเซลล ์ ไซโทพลาซมึ ผรู้ บั (Fusion donor cell with recipient cytoplasm) หลังจากฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไข่แล้ว จำเปน็ ตอ้ งเชอื่ มเซลลต์ น้ แบบกบั ไขใ่ หต้ ดิ กนั ด้วย กระแสไฟฟา้ ออ่ น ๆ เพอ่ื หลอมเซลลต์ น้ แบบใหเ้ ขา้ มาอยภู่ ายในไซโทพลาซมึ ของไข ่ โดยจดั ใหเ้ ซลล์ ตน้ แบบอยใู่ นระนาบเดยี วกบั อเิ ลก็ โทรดจา่ ยกระแส ไฟฟา้ ทงั้ ๒ ดา้ น แลว้ จา่ ยกระแสไฟฟา้ ๓๐ โวลต์ นาน ๑๕ ไมโครวนิ าที โดยทำ ๒ ครงั้ เพอ่ื เชอ่ื มเซลล์ การฉดี เซลลต์ น้ แบบ (ลกู ศร) เขา้ สไู่ ขท่ กี่ ำจดั นวิ เคลยี สออกแลว้ ให้ติดกัน หลังจากเชื่อมเซลล์เสร็จแล้วจะนำไข่ ๓. การฉดี เซลลต์ น้ แบบเขา้ ไปในไซโท- ทงั้ หมดไปพกั ไวใ้ นนำ้ ยานาน ๔๐-๕๐ นาท ี แลว้ นำ พลาซึมผู้รับ (Injecting donor cell into ไขแ่ ตล่ ะใบมาตรวจสอบวา่ เชอื่ มกบั เซลลต์ น้ แบบ recipient cytoplasm) เรยี บรอ้ ยแลว้ หรอื ไม ่ ๕. การกระตนุ้ ใหเ้ ซลลแ์ บง่ ตวั หลงั จากทก่ี ำจดั นวิ เคลยี สออกจากไขแ่ ละแยก เซลล์ต้นแบบที่เล้ียงไว้ให้เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ แล้ว (Activation for cell division) จงึ ฉดี เซลลต์ น้ แบบ ๑ เซลลเ์ ขา้ ไปในไข ่ ซงึ่ ตอ้ งทำ ในธรรมชาต ิ เมื่อเกิดการปฏิสนธิระหวา่ ง ภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนห์ วั กลบั กำลงั ขยาย ๒๐๐ เทา่ ตวั อสจุ กิ บั ไข ่ ตวั อสจุ จิ ะสง่ สญั ญาณกระตนุ้ ใหไ้ ข่ โดยการดดู เซลลต์ น้ แบบเขา้ ไวใ้ นหลอดแกว้ ขนาด เกดิ การแบง่ ตวั แตใ่ นกรณขี องการโคลนนง่ิ จะไมม่ ี ๑๖-๑๘ ไมครอน แลว้ สอดผา่ นรอยตดั เปลอื กไข่ ตวั อสจุ เิ ขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งกระตนุ้ เทยี ม เขา้ ไป หลงั จากนนั้ ฉดี ปลอ่ ยเซลลต์ น้ แบบใหเ้ ขา้ ไป ดว้ ยสารเคมเี พอ่ื ใหเ้ ซลลแ์ บง่ ตวั โดยคดั เลอื กไขท่ ่ี อยชู่ ดิ กบั ผนงั ไซโทพลาซมึ ไข่ เชอื่ มกบั เซลลต์ น้ แบบแลว้ และนำไปกระตนุ้ โดย

149 ตวั ออ่ นโคระยะ ๘ เซลล์ ตวั ออ่ นโคระยะบลาสโทซสี ตห์ ลงั จากเลย้ี งในหลอดแกว้ ๗ วนั การเกบ็ ไวใ้ นนำ้ ยาทมี่ เี อทานอล 7% นาน ๕ นาท ี ตวั อ่อน จากน้ันนำไปเล้ียงต่อในน้ำยาท่ีมีไซโคลเฮกซิไมด ์ (cycloheximide) ๑๐ ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และ อปุ กรณฉ์ ดี ตวั ออ่ น ไซโทชาลาซนิ ดี (cytochalasin D) ๑.๒๕ ไมโครกรมั / ภาพเขยี นแสดงการยา้ ยฝากตวั ออ่ น ๑-๒ ใบใสป่ กี มดลกู ของโค มิลลิลิตร ในตู้อบเลี้ยงเซลล์ที่มีอุณหภูมิ ๓๘.๕ องศาเซลเซียส ภายใต้บรรยากาศท่ีมีคาร์บอน- บลาสโทซสี ต์ (blastocyst) ทพ่ี รอ้ มฝงั ตวั ในมดลกู ไดออกไซด์ 5% นาน ๕ ชวั่ โมง หลงั จากนน้ั จงึ ทำการถา่ ยโอนตวั ออ่ นไปยงั มดลกู แมโ่ คตวั รบั ๖. การเลย้ี งตวั ออ่ นโคลนนง่ิ ในหลอดแกว้ (In vitro culture of cloned embryo) ๗. การถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิ่งสู่แม่ ตวั รบั (Transfer cloned embryo to recipient) ไข่ที่ผ่านการกระตุ้นให้แบ่งตัวแล้ว นำมา เล้ียงในน้ำยาเล้ียงตัวอ่อนโคในตู้อบเลี้ยงเซลล์ท่ี โคที่จะนำมาเป็นตัวรับจะเป็นพันธ์ุใดก็ได้ อณุ หภมู ิ ๓๘.๕ องศาเซลเซยี ส ภายใตบ้ รรยากาศ โดยคัดเลือกเอาเฉพาะแม่โคที่มีระบบสืบพันธุ์ท่ี ทม่ี อี อกซเิ จน 5% คารบ์ อนไดออกไซด์ 5% และ สมบรู ณด์ ี มกี ารเปน็ สดั สมำ่ เสมอ และปลอดโรค ไนโตรเจน 90% นาน ๒ วนั จากนน้ั คดั เลอื กตวั ออ่ น ตดิ ตอ่ โคสาวทมี่ อี ายรุ ะหวา่ ง ๑๖-๑๘ เดอื นจะดี ระยะ ๘ เซลลไ์ ปเลย้ี งในนำ้ ยาเลยี้ งตวั ออ่ นโค ใน ทสี่ ดุ เพราะโคสาวจะมอี ตั ราตงั้ ทอ้ งหลงั ถา่ ยโอน ตู้อบเล้ียงเซลล์ที่อุณหภูมิ ๓๘.๕ องศาเซลเซียส ภายใตบ้ รรยากาศทมี่ คี ารบ์ อนไดออกไซด์ 5% นาน ๕ วัน โดยเล้ียงร่วมกับเซลล์บุท่อนำไข่ของโค เนอื่ งจากเซลลบ์ ทุ อ่ นำไขส่ ามารถหลงั่ สารทชี่ ว่ ยให้ ตวั ออ่ นเจรญิ เตบิ โต โดยรวมแลว้ จะเลยี้ งตวั ออ่ น ในหลอดแก้วนาน ๗ วัน ซึ่งจะได้ตัวอ่อนระยะ


สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

The book owner has disabled this books.

Explore Others