Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

Description: สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

Keywords: สารานุกรมไทย,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ,สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม ๔๐

Search

Read the Text Version

200 เกดิ กระบวน๓ก. าแรหทลจ่ี ง่ ะกทำำเนใหดิ เ้ พกดิลแงั งสางนเลเซใชอใ้รน์ การใหพ้ ลงั งานแกต่ วั กลางเลเซอร์ เพอ่ื กระตนุ้ ให้ เครอื่ งกำเนดิ แสงเลเซอร์ สว่ นมากเรยี กสน้ั ๆ วา่ เลเซอร์ แบง่ ออกเปน็ ๔ ชนดิ ตามประเภทของตวั กลางเลเซอร์ คอื เลเซอรแ์ กส๊ เลเซอรข์ องเหลว เลเซอรข์ องแขง็ และ เลเซอรไ์ ดโอดซง่ึ เปน็ เลเซอรท์ มี่ สี ารกงึ่ ตวั นำเปน็ ตวั กลางเลเซอร์ ตวั อยา่ งตวั กลางเลเซอรต์ า่ ง ๆ คอื เลเซอรแ์ กส๊ ใชต้ วั กลางเลเซอรแ์ กส๊ ตา่ ง ๆ เชน่ อารก์ อน ใหแ้ สงสฟี า้ ถงึ สเี ขยี ว คารบ์ อนไดออกไซด์ ใหแ้ สงอนิ ฟราเรดซง่ึ ไมม่ สี ี มองไมเ่ หน็ เลเซอร์ของเหลว ใช้ตัวกลางเลเซอร์ต่าง ๆ เช่น สีย้อมผสมกับแอลกอฮอล์ ส ี โรดามนี ๖ จี ใหแ้ สงสเี หลอื งถงึ สสี ม้ เลเซอรข์ องแขง็ ใชต้ วั กลางหลายชนดิ เชน่ นโี อดเี มยี มแยก็ ใหแ้ สงอนิ ฟราเรด ซงึ่ มองไมเ่ หน็ ทบั ทมิ ใหแ้ สงสแี ดง เลเซอรไ์ ดโอด ใชต้ วั กลางหลายชนดิ เชน่ แกลเลยี มอารเ์ ซไนด์ ใหแ้ สงอนิ ฟราเรด แกลเลยี ม-อะลมู เิ นยี มอารเ์ ซไนด์ ใหแ้ สงสแี ดง แสงเลเซอร์ ระบบเลเซอร์แก๊สไนโตรเจน (แสงเลเซอร์ไมม่ สี ี มองไมเ่ ห็น) ระบบเลเซอรข์ องเหลว แสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ ระบบเลเซอร์ไดโอด ระบบเลเซอรข์ องแขง็

201 การใชเ้ ลเซอร์ผา่ ตัดไต ตวั กลางเลเซอรบ์ างตวั ใหแ้ สงอนิ ฟราเรดซง่ึ เปน็ แสงทร่ี อ้ นและมองไมเ่ หน็ แพทย์ และผชู้ ว่ ยทใี่ ชเ้ ลเซอรใ์ นการบำบดั รกั ษาจงึ ตอ้ งใสแ่ วน่ ตากนั แสงเลเซอรท์ อี่ าจสะทอ้ นกลบั ได ้ ในทางการแพทยม์ กี ารใชเ้ ลเซอรใ์ นการบำบดั รกั ษาไดห้ ลายแบบ สว่ นใหญใ่ ชใ้ น การผ่าตัดแทนมีดผ่าตัด เพราะมีข้อดีกว่าใช้มีด คือ ช่วยให้แผลเล็กลง ไม่เสียเลือดมาก เนอื้ เยอื่ ไมช่ ำ้ เหมอื นใชม้ ดี ลดการเจบ็ ปวดและลดอาการบวมอกั เสบหลงั ผา่ ตดั การใชเ้ ลเซอรท์ างการแพทย์ มตี วั อยา่ งคอื - ใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ ผ่าตัดแผลเป็นที่นูนขึ้นให้เรียบลง จ้ีไฝหรือ ขแี้ มลงวนั ทำตา ๒ ชนั้ เจาะหู ลบรอยยน่ บนใบหนา้ ลบรอยตนี กา - ใชเ้ ลเซอรน์ โี อดเี มยี มแยก็ ลบปานดำ เลเซอรท์ บั ทมิ ลบปานแดง เลเซอรส์ ยี อ้ ม บางชนดิ ลบปานแดง นอกจากการบำบัดรักษาอวัยวะภายนอกแล้ว มีการใช้เลเซอร์กับอวัยวะภายใน รา่ งกาย โดยการสง่ ลำแสงเลเซอรต์ ามเสน้ ใยแกว้ นำแสงทตี่ ดิ กบั กลอ้ งสอ่ งภายในไปยงั จดุ ท่ี ต้องการรักษา เช่น การอุดตันของเส้นเลือด สลายน่ิวในถุงน้ำดี รักษาแผลในกระเพาะ อาหาร ผา่ ตดั กอ้ นเนอ้ื งอก ผา่ ตดั เสน้ เลอื ด สลายเซลลม์ ะเรง็ การใชเ้ ลเซอรท์ นี่ ยิ มกนั มากอกี อยา่ งหนงึ่ คอื การแกป้ ญั หาสายตาสน้ั สายตายาว และสายตาเอียงด้วยเลเซอร์ แบบที่ใช้กันมากคือแบบที่เรียกว่า เลสิก (lasik) แต่ก็ต้อง ระมดั ระวงั วา่ มโี รคของตาบางโรคทไี่ มส่ ามารถรกั ษาดว้ ยวธิ นี ้ี

202 สว่ นเด็กโต ศาสตราจารย์ ดร.พเิ ชษฐ ล้มิ สุวรรณ ผเู้ ขียน “เลเซอร”์ เปน็ คำทบั ศพั ทจ์ ากภาษาองั กฤษ ๑. ช่วงอัลตราไวโอเลต มีความยาวคล่ืน คอื LASER ยอ่ จากคำเตม็ วา่ Light Amplification ๒๐๐-๓๘๙ นาโนเมตร by Stimulated Emission of Radiation และแปล เป็นภาษาไทยได้ว่า การขยายสัญญาณแสงโดย ๒. ชว่ งแสงทต่ี ามองเหน็ ตงั้ แตส่ มี ว่ งจนถงึ การปล่อยแสงแบบเร้า แสงเลเซอร์จึงเป็นคลื่น สแี ดงซง่ึ มคี วามยาวคลนื่ ๓๙๐-๗๘๐ นาโนเมตร แม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเกิดจากกระบวนการปล่อยแสง แบบเรา้ และการขยายสญั ญาณแสง ๓. อนิ ฟราเรด มคี วามยาวคลน่ื ๗๘๑-๒๐,๐๐๐ นาโนเมตร หรอื ๒๐ ไมโครเมตร ๑.ธรรมชาตขิ องแสง(NatureofLight) หนว่ ยของความยาวคลนื่ ทใี่ ช้ ไดแ้ ก่ แสงเปน็ คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ซง่ึ อยใู่ นชว่ งของ ไมโครเมตร (micrometer, µm) นาโนเมตร สเปกตรมั ทเ่ี รยี กวา่ ชว่ งแสง (optical region) ดงั (nanometer, nm) และองั สตรอม (Angström: Å) แสดงในแผนภาพ เปน็ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ทใ่ี ชท้ ำ 1µm = 1/1,000,000 m = 10-6 m แสงเลเซอร์ มคี วามยาวคลนื่ ตงั้ แต่ ๒๐๐ นาโนเมตร 1nm = 1/1,000,000,000 = 10-9 m จนถงึ ๒๐ ไมโครเมตร โดยแบง่ เปน็ ๓ สว่ น คอื 1 Å = 1/10,000,000,000 = 10-10m = 1/10 nm หรอื 1 nm = 10 Å 1020 1018 1016 1014 1012 1010 108 106 104 ความถี่ (Hz) รงั สแี กมมา รังสเี อกซ ์ ไอวลัโอตเรลาต อนิ ฟราเรด ไมโคคลรื่นเวฟ คลนื่ วิทยุ 1014 ความยาวคลนื่ (nm) 10-4 10-2 100 102 104 106 108 1010 1012 แสงท่ีตามองเห็น 400 500 600 700 780 สเปกตรมั ของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชว่ งทตี่ ามองเหน็

203 ๒. หลกั การปลอ่ ยแสงเมอ่ื อะตอมของธาตหุ รอื โมเลกลุ ของสารประกอบถกู เรา้ โดยปกตอิ ะตอมของธาตุ (หรอื โมเลกลุ ของ ชน้ั พลงั งานสงู กวา่ (E2) ส(eา-ร)ปวงร่ิ อะกยรอู่ อบบ) นจะวิ อเคยลทู่ ยี ช่ี สน้ั (พ⊕⊕ ล)งั งแานลตะอำ่ ย(Eใู่ น1)วองเิโลคก็ จตรรใอกนล ้ นวิ เคลยี ส เมอื่ ปอ้ นพลงั งานใหแ้ กอ่ ะตอม อะตอม แสง ชน้ั พลงั งานตำ่ กวา่ (E1) แสง คจะา่ พถกูลกงั งราะนตในุ้ นใชหน้ั ข้ พน้ึ ลไปงั งอายนทู่ ตชี่ ำ่ น้ัแลพะลคงั า่งพานลสงั งงู ากนวใา่ น(ชEน้ั2) แสงจากภายนอกเขา้ สอู่ ะตอม พลงั งานสงู จะแตกตา่ งไปตามธาตหุ รอื สารประกอบ ตา่ ง ๆ แตล่ ะชนดิ และตามพลงั งานทไ่ี ดร้ บั พลงั งาน ชนั้ พลงั งานของอะตอม อะตอมดดู กลนื แสงและถกู กระตนุ้ ไปอยทู่ ช่ี น้ั พลงั งานสงู กวา่ (E2) (เกดิ การดดู กลนื แสง) อะตอมถน้านใ้ั หจ้แะดสดู งกทลี่มนื ีพแลสังงงาทนำใEห2อ้-Eะ1ตเอขม้าถสกู ู่อกะรตะตอนุ้ม จซาึ่งกปชร้ันากพฏลกังางรานณ์เชE่น1 นข้ีเรึ้นียไกปวอ่ายู่ทก่ีชา้ันรดพูดลกังลงืนานแสEง2 โฟตอน (absorption) โฟตอน ธาตหุ รอื สารประกอบนนั้ ประกอบดว้ ยอะตอม (หรอื โมเลกลุ ) จำนวนมาก เมอ่ื อะตอมทกุ ๆ ตวั ได ้ อะตอมกลบั มายงั ชนั้ พลงั งาน E1 โดยการปลอ่ ยโฟตอน รบั พลงั งานทสี่ งู พอจากภายนอก จะเกดิ การปลอ่ ย เปน็ การปลอ่ ยแสงแบบเกดิ เอง แสงแบบเกิดเอง (spontaneous emission) เสมอ หรอื เกดิ การปลอ่ ยแสงโดยธรรมชาติ ทรี่ จู้ กั กนั ดใี น ช่ือทฤษฎีอะตอมของโบร์ (Bohr’s atom theory) โดยอะตอมแต่ละตัวจะปล่อยแสงที่มีความถ่ีและ มเี ฟสหลายเฟสทแี่ ตกตา่ งกนั

204 ๓. การปลอ่ ยแสงแบบเรา้ (Stimulated Emission) ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ นกั ฟสิ กิ สช์ าวเยอรมนั ชอ่ื อะตอมทอี่ ยชู่ นั้ นน้ั ถกู เรา้ ใหก้ ลบั มายงั ชน้ั พลงั งาน แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) พบว่า Eอ1อตกามมาเจดามิกอะโดตยอคมาพยพรอ้ลมงั งกาบั นแทสไ่ี งดจร้ าบั กใภนารยปูนขออกงทแเี่สขงา้ การปล่อยโฟตอนมี ๒ แบบ คือ การปล่อยแสง แบบเกดิ เอง และการปลอ่ ยแสงแบบเรา้ ซง่ึ เปน็ มาเรา้ โดยทแี่ สงหรอื โฟตอนทง้ั ๒ นี้ นอกจาก กลไกหลกั ของเลเซอร์ ดงั ในแผนภาพ เมอื่ มแี สง จะมพี ลงั งานทเ่ี ทา่ กนั แลว้ ยงั มคี วามถเี่ ดยี วกนั มี จากภายนอกเขา้ สอู่ ะตอม อะตอมจะดดู กลนื แสง เฟสเดยี วกนั มกี ารเกดิ ขว้ั (polarisation) เหมอื น เไเเสขกพปถา้ิดื่ออามเใยนอาหทู่ ะชง้อช่ีลนะน้ังถอสตพ้าะอชู่มลตนม้ัีแงัองถพสมาูกลงทนกจงั ยี่ งารEงั ากะ2อนภตยแาุ้ทนู่Eตย1ชี่จนก่ โาน้ั อ่ดอกพนยกชลกททั้นางั อ่ี่ีมพรงะปีพาลตนลลังออ่งังEมายง2จนแาจะนสะเEปงทE1แลำ2บขย-่ีใEหึ้นนบ1 ้ กันและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ มี ความพรอ้ มเพรยี งกนั ทงั้ ทศิ ทางการเคลอ่ื นทแี่ ละ เฟสของคล่ืน การปล่อยแสงแบบนี้เรียกว่า การ ปลอ่ ยแสงแบบเรา้ แสง อะตอมทีช่ น้ั พลงั งานสงู (E2) ถูกเร้าโดยแสงจากภายนอก แสงทะลผุ ่าน แสงเกดิ ใหม่ แสงทะลผุ ่าน แสงทอ่ี ะตอมปลอ่ ย อะตอมกลับมายงั ช้ันพลงั งานต่ำ (E1) พรอ้ มกับแสงจากภายนอกทท่ี ะลุผา่ นอะตอม การปลอ่ ยแสงแบบเรา้

205 ๔. หลกั การกำเนดิ แสงเลเซอร ์ ๔.๑ ปรากฏการณป์ ระชากรผกผนั หลกั การพนื้ ฐานสำคญั ในการทำใหเ้ กดิ แสง จากกระบวนการขยายจำนวนโฟตอน จะ เลเซอร์ มดี งั นี้ เหน็ วา่ จำนวนอะตอมในชน้ั พลงั งานสงู หรอื สถานะ ๑. การเกิดปรากฏการณ์ประชากรผกผัน ทถ่ี กู กระตนุ้ ตอ้ งมจี ำนวนมากพอ โดยทวั่ ไปการท่ี (population inversion) จะทำใหเ้ กดิ การขยายจำนวนโฟตอนใหไ้ ดจ้ ำนวน ๒. การทำให้เกิดการแกว่งกวัดของเลเซอร ์ เปน็ ลา้ น ๆ ตวั เพอ่ื ใหไ้ ดแ้ สงเลเซอรน์ นั้ จำเปน็ จะ (laser oscillation) ซง่ึ กระบวนการนเ้ี กย่ี วขอ้ งกบั ตอ้ งมจี ำนวนอะตอมหรอื ประชากรของอะตอมใน กระจกเลเซอร์ ซงึ่ ทำหนา้ ทเี่ ปน็ ออปทคิ ลั เรโซเนเตอร ์ ชน้ั พลงั งานสงู มากกวา่ จำนวนประชากรของอะตอม (optical resonator) หรอื ออปทคิ ลั แควติ ี (optical เมอ่ื มกี ารกระตนุ้ หรอื ใหพ้ ลงั งานจากภายนอกแก่ cavity) อะตอม เพอ่ื ทำใหอ้ ะตอมถกู กระตนุ้ ใหไ้ ปอยใู่ นชน้ั จพแเรำสลยี นงกงั วแงวนาบา่ นมบเทากเรกส่ีดิ า้กงูปวกรจา่วานอา่กะอฏ(ตะEกอต2า)มอรใมณนนใาป์นชนรน้ัชพะนพั้ ชอพลาทกงัลจ่ี งรงัะาผงเนกากนตดิผำ่สกนั าง(ู Eร (1ป)Eล2)เอ่ รมยาี อะตอม อะตอม อะตอม E2 โฟตอน ๔.๒ ออปทคิ ลั เรโซเนเตอร์ หรอื E1 E2 อะตอม อะตอม ออปทคิ ลั แควติ ี E1 อะตอม โฟตอน วธิ กี ารปลอ่ ยแสงแบบเรา้ เพยี งอยา่ งเดยี วยงั ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ จำนวนโฟตอนเปน็ ลา้ น ๆ ตวั หรอื การเกดิ แสงเลเซอรไ์ ด้ อปุ กรณห์ ลกั ทชี่ ว่ ย ทำให้เกิดการขยายสัญญาณแสงหรือเพ่ิมจำนวน โฟตอนดว้ ยวธิ กี ารปลอ่ ยแสงแบบเรา้ คอื ออปทคิ ลั E2 โฟตอน เรโซเนเตอร์ หรือออปทิคัลแควิตี ซ่ึงประกอบ E1 อะตอม ด้วยกระจก ๒ แผ่น (ดังแสดงในแผนภาพของ อะตอม เลเซอรโ์ ดยทวั่ ไป) M1 และ M2 วางหนั หนา้ เขา้ หา E2 โฟตอน กัน โดยมีตัวกลางเลเซอร์วางอยู่ระหว่างกระจก E1 อะตอม ทงั้ ๒ แผน่ M1 เปน็ กระจกดา้ นหลงั ของเลเซอร์ ซงึ่ อะตอม มกรคี ะา่ กจการดสา้ นะทหอ้นนา้ แหสรงอื ด(Rา้ น1)ทรปอ่ี้ ยลลอ่ ะยใ๑ห๐แ้ ๐สงสเลว่ เนซอMร2อ์ เปอน็ก อะตอม กระบวนการขยายสญั ญาณแสงหรอื การเพม่ิ จำนวนโฟตอน ซง่ึ มคี า่ การสะทอ้ นแสง (R2) รอ้ ยละ ๖๐-๙๙ หรอื

206 ๒ม คี แา่ กผาน่ รททำะหลนผุ า้า่ ทนส่ีขะอทงแอ้ สนงแรสอ้ งยหลระอื ๑โฟ-๔ต๐อนใกหรวะ้ ง่ิจกกลทบั งั้ ๕. โครงสร้างพน้ื ฐานของเคร่อื ง ไปกลบั มา เมอ่ื ผา่ นตวั กลางเลเซอรแ์ ลว้ ทำใหเ้ กดิ กำเนิดแสงเลเซอร์ การขยายสญั ญาณแสงหรอื การเพม่ิ จำนวนโฟตอน โดยวธิ กี ารปลอ่ ยแสงแบบเรา้ จนกระทงั่ มคี วามเขม้ เครอื่ งกำเนดิ แสงเลเซอรจ์ ะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบ สงู ขนึ้ เรอ่ื ย ๆ จนถงึ จดุ เลซงิ (lasing) หรอื จดุ แกวง่ กวดั ทส่ี ำคญั ๓ สว่ น ดงั น้ ี ของเลเซอร์ (laser oscillation) ลำแสงเลเซอรก์ จ็ ะ ถกู ปลอ่ ยผา่ นออกมาทางกระจก M2 ๑. ตวั กลางเลเซอร์ (laser medium) ไดแ้ ก่ วสั ดทุ ต่ี อ้ งการกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การปลอ่ ย กระจกดา้ นหลัง (M1) กระจกดา้ นหน้า (M2) แสงเลเซอร์ ซง่ึ อาจเปน็ แกส๊ ของแขง็ ของเหลว หรอื สารกง่ึ ตวั นำ ตัวกลางเลเซอร ์ แสงเลเซอร์ ๒. ออปทคิ ลั เรโซเนเตอร์ (optical resonator) ไดแ้ ก่ กระจก ๒ แผน่ ซง่ึ ไดก้ ลา่ วรายละเอยี ด R1 = ร้อยละ 100 R2= ร้อยละ 60-99 ในหวั ขอ้ ทแี่ ลว้ ๓. แหลง่ กำเนดิ พลงั งาน (energy source) แผนภาพของเลเซอรโ์ ดยทว่ั ไป เพอื่ ใชใ้ นการกระตนุ้ ใหอ้ ะตอมอยใู่ นสภาวะ ทเี่ ปน็ ประชากรผกผนั การใหพ้ ลงั งานแกอ่ ะตอม กระจกดา้ นหลงั (M1) หรอื การปม๊ั ทำไดห้ ลายวธิ ี เชน่ ถา้ ตวั กลางเลเซอร ์ เปน็ แกส๊ ตน้ กำเนดิ พลงั งานทใี่ ชค้ อื แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรงกำลงั สงู เพอื่ ทำใหแ้ กส๊ เกดิ การปลอ่ ย (discharge) กลายเปน็ พลาสมา และถา้ ตวั กลางเปน็ ของแขง็ หรอื ของเหลว จะใชต้ น้ กำเนดิ พลงั งานท่ี เปน็ แสง เชน่ แสงจากหลอดไฟแฟลช หรอื แสง จากหลอดอารก์ กระจกดา้ นหนา้ (M2) ออปทิคัลเรโซเนเตอร์ ตัวกลางเลเซอร ์ แสงเลเซอร ์ R1 = ร้อยละ 100 แหลง่ กำเนดิ พลังงาน R2 = ร้อยละ 60-99 โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเครอื่ งกำเนดิ แสงเลเซอร ์

207 องคป์ ระกอบและหลกั การดงั กลา่ ว สามารถ เมอื่ จา่ ยพลงั งานใหต้ วั กลางเลเซอร ์ อธบิ ายไดด้ งั ภาพแสดงขน้ั ตอนของการกำเนดิ แสง อะตอม (หรอื โมเลกลุ ) ของตวั กลางจะ เลเซอร์ ดงั น ้ี ถกู กระตนุ้ หรอื ปม๊ั จากสถานะพน้ื ใหไ้ ปอย ู่ กระจกด้านหลงั (M1) โฟตอนท่ไี มม่ ปี ระโยชน ์ กระจกด้านหนา้ (M2) ทส่ี ถานะกระตนุ้ C (แทนดว้ ยจดุ ดำใน แผนภาพ) หลงั จากนน้ั อะตอมแตล่ ะตวั A B ก็จะปล่อยโฟตอนออกมาแบบเกิดเอง C โดยแต่ละโฟตอนมีทิศใด ๆ ก็ได้ เช่น (ก) อะตอมแต่ละตวั ปล่อยโฟตอนแบบเกิดเอง โฟตอนท่มี ีประโยชน ์ อะตอม A ปล่อยโฟตอนออกมาทาง ดา้ นขา้ ง ซงึ่ โฟตอนตวั นจ้ี ะผา่ นตวั กลาง ออกมาโดยที่ไม่มีประโยชน์ต่อการเกิด กระจกดา้ นหลัง โฟตอนถกู ปลอ่ ยแบบเรา้ กระจกดา้ นหนา้ แสงเลเซอรแ์ ตอ่ ยา่ งใด แตอ่ ะตอมบางตวั เชน่ อะตอม B ทปี่ ลอ่ ยโฟตอนออกมา ในแนวแกนของตวั กลางเลเซอร์ จะเปน็ C B โฟตอนที่มีประโยชน์ต่อการเกิดแสง เลเซอร์ เพราะเมอ่ื ไปชนอะตอมทอี่ ยใู่ น (ข) โฟตอนจากอะตอม B กระตนุ้ อะตอม C ใหป้ ลอ่ ยโฟตอนแบบเรา้ อกี ๑ ตวั สถานะกระตนุ้ เชน่ อะตอม C จะทำให ้ อะตอม C ปลอ่ ยโฟตอนออกมาแบบเรา้ กระจกด้านหลงั อะตอมตวั อืน่ ๆ ถกู กระต้นุ ให้ กระจกดา้ นหน้า อกี ๑ ตวั โดยโฟตอนทงั้ ๒ ตวั จากอะตอม ปล่อยโฟตอนแบบเร้า B และอะตอม C เคลอ่ื นทไ่ี ปในทศิ ทาง เดียวกันจนกระท่ังออกจากตัวกลางไป ชในนตกวั รกะลจากงอMกี 1ครแงั้ลหะสนะงึ่ ทอ้แนลว้กทลำบั ใเหขาเ้้ กมดิ า การปลอ่ ยโฟตอนแบบเรา้ เพมิ่ ขน้ึ โดย (ค) กระจกชว่ ยสะทอ้ นโฟตอนกลับเขา้ ในตัวกลาง กระจกด้านหนา้ การสะทอ้ นกลบั ไปกลบั มาระหวา่ งกระจก กระจกด้านหลัง Mโฟ1ตแอลนะเพMม่ิ 2ขจน้ึ ะเรทอื่ำยใหๆเ้ กจดิ นกถางึรจขดุยแายกจวำง่ นกววนดั ของเลเซอร์ โฟตอนบางตวั จะทะลผุ า่ น กระจก Mส2ว่ อนอโฟกมตาอไนดท้ เแี่ หลลว้ อืเกจดิะเสปะน็ ทแอ้สนง เลเซอร์ (ง) โฟตอนท่ีผ่านกระจกด้านหน้าออกมากค็ ือ แสงเลเซอร ์ แสงเลเซอร์ กลบั เขา้ ไปในตวั กลาง เพอ่ื ทำใหเ้ กดิ การ ขยายโฟตอนแบบเรา้ ตอ่ ไป ขน้ั ตอนของการกำเนดิ แสงเลเซอร์

208 ๖. ชนดิ ของเครอื่ งกำเนดิ แสงเลเซอร์ เลเซอรแ์ กส๊ โดยทวั่ ไป แกส๊ จะถกู บรรจอุ ยู่ ในหลอดเลเซอร์ซ่ึงทำด้วยแก้วและมีขั้วไฟฟ้าที่ การแบ่งชนิดของเครื่องกำเนิดแสงเลเซอร์ ปลายทง้ั ๒ ขา้ ง ซง่ึ เรยี กสนั้ ๆ วา่ เลเซอร์ จะแบง่ ตามวสั ดตุ วั กลาง ทเ่ี ปน็ ตน้ กำเนดิ แสงเลเซอร์ ซง่ึ แบง่ เปน็ ๔ ชนดิ การใหพ้ ลงั งานแกแ่ กส๊ ในหลอดเลเซอร์ จะ ดว้ ยกนั คอื เลเซอรแ์ กส๊ เลเซอรข์ องแขง็ เลเซอร์ ใชไ้ ฟฟา้ กระแสตรงทม่ี แี รงดนั สงู เพอื่ กระตนุ้ ให้ ของเหลว และเลเซอรไ์ ดโอด แกส๊ ภายในหลอดเลเซอรเ์ กดิ การปลอ่ ยกอ่ น จงึ จะ ๖.๑ เลเซอรแ์ กส๊ (Gas Laser) เกดิ แสงเลเซอรไ์ ด้ เลเซอรแ์ กส๊ คอื เลเซอรท์ ใ่ี ชแ้ กส๊ เปน็ ตวั กลาง เลเซอร์ เช่น แก๊สผสมฮีเลียม-นีออน (He-Ne) ๖.๒ เลเซอรข์ องแขง็ (Solid State Laser) แก๊สผสมคาร์บอนไดออกไซด์-ไนโตรเจน-ฮีเลียม ต(CาOม2ช-Nน2ดิ-Hขeอ)งแแกกส๊ส๊ อาร ก์ อน (Ar) ซง่ึ จะใหส้ ตี า่ ง ๆ เลเซอรข์ องแขง็ คอื เลเซอรท์ ใ่ี ชข้ องแขง็ เปน็ ตวั กลางเลเซอร์ เชน่ เลเซอรท์ บั ทมิ เลเซอร ์ ตารางที่ ๑ เลเซอรแ์ กส๊ ชนดิ ตา่ ง ๆ แย็ก เลเซอร์แก้ว โดยทับทิมและแย็กเป็นผลึก สว่ นแกว้ เปน็ อสณั ฐาน ตวั กลางเหลา่ นท้ี ำหนา้ ท่ี แกส๊ สี ความยาวคลนื่ (นาโนเมตร) เปน็ เนอื้ วสั ดหุ ลกั หรอื วสั ดเุ จา้ บา้ น (host material) เทา่ นน้ั สว่ นตวั ทที่ ำใหเ้ กดิ การปลอ่ ยแสงเลเซอร์ He-Ne แดง ๖๓๒.๘ เกดิ จากสารเจอื ปนทเี่ ตมิ ในเนอื้ สาร เชน่ ทบั ทมิ จะ He-Cd มว่ งคราม ๓๒๕.๐, ๔๔๑.๖ ใชธ้ าตโุ ครเมยี มเปน็ สารเจอื ปน จงึ ใหแ้ สงเลเซอร ์ ๔๘๘.๐ สแี ดงทม่ี คี วามยาวคลนื่ ๖๙๔.๓ นาโนเมตร สว่ น Ar ฟ้า ๕๑๔.๕ แยก็ และแกว้ ใชธ้ าตนุ โี อดเี มยี มเปน็ สารเจอื ปน จงึ Ar เขียว ๑๐,๖๐๐ ใหแ้ สงอนิ ฟราเรดทม่ี คี วามยาวคลนื่ ๑.๐๖ ไมครอน Co2-N2-He อินฟราเรด หลอดแกว้ รแู คบ กระจกด้านหนา้ แอโนด ลำแสงเลเซอร์ กระจกดา้ นหลัง ถงั แกส๊ หลอดแกว้ แคโทด โครงสรา้ งของเลเซอรฮ์ เี ลยี ม-นอี อน

209 การใหพ้ ลงั งานแกต่ วั กลางเลเซอร ์ ตารางท่ี ๒ เลเซอรข์ องแขง็ ชนดิ ตา่ ง ๆ ท่ีเปน็ ของแขง็ จะใชแ้ สงทมี่ คี วามเขม้ สงู เชน่ แสงจากหลอดไฟแฟลช หรอื ของแข็ง ชื่อยอ่ สี ความยาวคล่ืน (นาโนเมตร) แสงจากหลอดอารก์ โดยมตี วั สะทอ้ น แสงชว่ ยเพม่ิ ความเขม้ ของแสงทใี่ ชใ้ น Ruby - แดง ๖๙๔.๓ การกระตนุ้ ตวั กลางเลเซอร ์ ตวั สะทอ้ น Neodymium YAG Nd: YAG อนิ ฟราเรด ๑,๐๖๔ แสงเปน็ ทอ่ โลหะกลวงทม่ี ผี วิ โคง้ เปน็ รปู Neodymium Glass Nd: Glass อนิ ฟราเรด ๑,๐๖๔ วงรเี คลอื บดว้ ยโลหะทส่ี ะทอ้ นแสงได้ Holmium YAG Ho: YAG อินฟราเรด ๒,๐๖๐ ด ี เชน่ โครเมยี มหรอื ทอง ภายในตวั Er: YAG อินฟราเรด ๒,๙๔๐ สะท้อนแสงจะมีแท่งตัวกลางเลเซอร ์ Erbium YAG และหลอดไฟวางในแนวขนานกนั ทแี่ ต ่ ละจดุ โฟกสั ของวงรี แท่งผลึกนโี อดเี มยี มแยก็ กระจกดา้ นหลงั นำ้ เข้า นำ้ ออก หลอดแฟลช กระจกดา้ นหนา้ ๖.๓ เลเซอรข์ องเหลว (Liquid แสงเลเซอร ์ Laser) คิวสวติ ช์ หลอดแฟลช เลเซอรข์ องเหลว คอื เลเซอรท์ ่ี ผวิ สะทอ้ นแสง ใชข้ องเหลวเปน็ ตวั กลางเลเซอร ์ โดย ปกตทิ ว่ั ไปจะใชส้ ยี อ้ ม (dye) ผสมกบั ภาพตดั ขวาง แอลกอฮอล ์ บรรจใุ สภ่ าชนะ จากนนั้ ผา่ นสารละลายสยี อ้ มเขา้ ไปในทอ่ แกว้ แผนภาพของเลเซอร์นโี อดเี มียมแย็ก ควอตซ ์ ซง่ึ ในการใหพ้ ลงั งานแกส่ าร ละลายสีย้อมจะใช้แสงจากหลอดไฟ กระจกด้านหลงั สารละลาย ผวิ สะทอ้ นแสง สารละลาย กระจกดา้ นหนา้ แฟลชเชน่ เดยี วกบั ตวั กลางเลเซอรท์ เ่ี ปน็ สียอ้ มไหลเข้า รปู วงรี สยี อ้ มไหลออก แสงเลเซอร ์ ของแขง็ จดุ เดน่ ของเลเซอรข์ องเหลว คอื ใหแ้ สงเลเซอรใ์ นชว่ งทตี่ ามองเหน็ ท่อแก้วควอตซ์ และสามารถปรบั เลอื กความยาวคลน่ื ได ้ จงึ เปน็ ทเู นเบลิ เลเซอร์ (tunable laser) หลอดแฟลช ตวั อยา่ งสยี อ้ มทนี่ ยิ มใช ้ ไดแ้ ก ่ โรดามนี ชุดจา่ ยกำลังไฟฟา้ ๖ จี (rhodamine 6G) ซงึ่ ใหแ้ สงเลเซอร์ ตงั้ แตส่ เีหลอื งถงึ สสี ม้ (๕๗๐-๖๑๐ นาโน เมตร) แผนภาพของเลเซอรข์ องเหลว

210 ๖.๔ เลเซอรไ์ ดโอด (Diode Laser) ๗. การใชเ้ ลเซอรใ์ นทางการแพทย ์ เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่ทำจากสารกึ่ง การใชเ้ ลเซอรใ์ นทางการแพทยแ์ บง่ ออกเปน็ ตัวนำ ซึ่งได้จากสารประกอบ เช่น แกลเลียม ๒ ดา้ น คอื อารเ์ ซไนด์ (GaAs) แกลเลยี มอะลมู เิ นยี มอารเ์ ซไนด ์ (GaAlAs) ซง่ึ มคี า่ แถบพลงั งานตา่ งกนั จงึ เปน็ ตวั ๑. การใชเ้ ลเซอรใ์ นการบำบดั รกั ษาโรค กำหนดค่าความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์ เช่น โดยตรง แกลเลียมอาร์เซไนด์ให้แสงเลเซอร์ท่ีมีความยาว คลน่ื ๘๐๐ นาโนเมตร (อนิ ฟราเรด) และแกลเลยี ม ๒. การใชเ้ ลเซอรใ์ นการวนิ จิ ฉยั โรค อะลูมิเนียมอาร์เซไนด์ให้แสงเลเซอร์สีแดงที่มี ปัจจบุ นั ทางการแพทยน์ ยิ มนำเลเซอร์มาใช้ ความยาวคลน่ื ๗๕๐ นาโนเมตร ในการบำบดั รกั ษาโรคโดยตรง สว่ นการใชเ้ ลเซอร์ ในการวนิ จิ ฉยั โรคมคี อ่ นขา้ งนอ้ ย เลเซอรไ์ ดโอดเปน็ เลเซอรท์ มี่ ขี นาดจว๋ิ กนิ ไฟ น้อย สามารถผลิตได้จำนวนมากด้วยเทคโนโลยี สารกงึ่ ตวั นำ ตารางท่ี ๓ เลเซอรท์ างการแพทย ์ ช่อื เลเซอร ์ ชือ่ ย่อ ความยาวคล่นื หลกั (นาโนเมตร) ฮีเลียม-นีออน He-Ne ๖๓๒.๘ อารก์ อนไอออน Ar+ ๔๘๘, ๕๑๔.๕ คริปทอนไอออน Kr+ คาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ๕๖๘.๒ Cu vapor ๑๐,๖๐๐ ไอทองแดง - ๕๑๐.๕ สยี อ้ ม Nd: YAG ๓๐๐-๑,๐๐๐ Er: YAG ๑,๐๖๔ นโี อดเี มียมแย็ก Ho: YAG ๒,๙๔๐ เออร์เบยี มแย็ก - ๒,๐๖๐ โฮลเมียมแย็ก - ๖๙๔.๓ GaAlAs ๑๙๓.๓, ๒๔๘.๘, ๓๐๕.๐ ทบั ทมิ เอกซเิ มอร ์ ๗๕๐ แกลเลยี มอะลูมิเนยี มอาร์เซไนด์

211 ๗.๑ การใชเ้ ลเซอรท์ างดา้ นศลั ยกรรม คลน่ื ๑,๐๖๔ นาโนเมตร กำลงั ๑๐-๑๒๐ วตั ต์ ซง่ึ สามารถทะลุผ่านเนื้อเยื่อได้สูงเพราะถูกดูดซึมได้ โดยทั่วไปการศัลยกรรมต้องใช้มีดผ่าตัดซ่ึง นอ้ ยมากในนำ้ และเลอื ด และมสี มบตั ใิ นการหา้ ม ทำใหเ้ กดิ การเสยี เลอื ดมาก จงึ ไดม้ กี ารนำเลเซอร์ เลอื ดไดด้ มี าก โดยความรอ้ นของลำแสงทำใหเ้ ซลล ์ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ให้แสง เมด็ เลอื ดแตก พรอ้ มทง้ั ปลอ่ ยเกลด็ เลอื ดและสาร เลเซอรค์ วามยาวคลน่ื ๑๐,๖๐๐ นาโนเมตร กำลงั ทำใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั ออกมาปดิ รอยของแผลทผี่ า่ ตดั ๑๐-๑๐๐ วตั ต์ มาใชแ้ ทนมดี ผา่ ตดั เพราะทค่ี วาม ขณะเดยี วกนั เสน้ เลอื ดกจ็ ะถกู ความรอ้ นเชอ่ื มปดิ ยาวคลื่นนี้อยู่ในช่วงอินฟราเรดซึ่งเป็นความร้อน สนทิ ดว้ ยสมบตั ใิ นการหา้ มเลอื ดดงั กลา่ ว ทำให้ และถกู ดดู ซมึ ไดด้ ใี นนำ้ ทมี่ อี ยใู่ นเซลลข์ องรา่ งกาย ศัลยแพทย์นิยมใช้เลเซอร์ชนิดนี้ในการห้ามเลือด ทกุ สว่ น ดงั นน้ั รอยผา่ ตดั ดว้ ยเลเซอรซ์ งึ่ มคี วามยาว เพราะเนอ้ื เยอ่ื ไมเ่สยี หาย และไมต่ อ้ งเสยี เวลาซบั เลอื ด ประมาณ ๐.๑-๐.๔ มลิ ลเิ มตร ทำใหเ้ นอ้ื เยอ่ื ไมช่ ำ้ ขณะทผี่ า่ ตดั นอกจากน้ี แผลผา่ ตดั กด็ ไู มน่ า่ เกลยี ด เหมอื นใชใ้ บมดี จรงิ การผา่ ตดั ดว้ ยเลเซอรจ์ งึ ชว่ ย ลดการเจ็บปวดและอาการบวมอักเสบหลังผ่าตัด เนอ้ื งอกเสน้ เลอื ดกอ้ นใหญเ่ กดิ บรเิ วณปาก นอกจากนี้ ในขณะทผ่ี า่ ตดั ดว้ ยเลเซอร์ ความรอ้ น หลงั ผา่ ตดั ดว้ ยเลเซอร ์ จากลำแสงเลเซอรจ์ ะชว่ ยหา้ มเลอื ดไปดว้ ย ทำให้ เลือดออกน้อย และความรอ้ นจากลำแสงยังช่วย ฆา่ เชอ้ื โรคตา่ ง ๆ ในบรเิ วณทผ่ี า่ ตดั ไดด้ ว้ ย อยา่ งไร กต็ าม เลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซดใ์ หแ้ สงเลเซอร์ ทเ่ี ปน็ ความรอ้ น ดงั นน้ั กอ่ นผา่ ตดั ตอ้ งฉดี ยาชา แต ่ การใช้เลเซอร์ในการผ่าตัดมีข้อควรระวัง เพราะ แสงเลเซอรม์ คี วามเขม้ สงู และหลายชนดิ ทต่ี ามอง ไมเ่ หน็ เชน่ แสงจากเลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซด์ เลเซอรน์ โี อดเี มยี มแยก็ จงึ ตอ้ งระวงั การสะทอ้ น เขา้ ตาเพราะทำใหต้ าบอดได้ แพทยแ์ ละพยาบาล ทกุ คนตอ้ งสวมแวน่ ตาปอ้ งกนั แสงเลเซอรส์ ะทอ้ น เขา้ ตาทกุ ครงั้ ในขณะทป่ี ฏบิ ตั งิ าน ตวั อยา่ งการใช้ เลเซอรท์ างดา้ นศลั ยกรรม ไดแ้ ก่ ๑. การผา่ ตดั เนอื้ งอกทเี่ สยี เลอื ดมาก การผา่ ตดั อวยั วะทเี่ สย่ี งตอ่ การเสยี เลอื ดมาก เชน่ กอ้ นเนอื้ งอกในเสน้ เลอื ด ศลั ยแพทยจ์ ะใช้ เลเซอร์นีโอดีเมียมแย็กที่ให้แสงเลเซอร์ความยาว

212 ๒. การสลายเนอื้ เยอื่ ดว้ ยเลเซอร ์ ๑. การกำจดั ไฝและขแี้ มลงวนั แสงเลเซอร์นอกจากใช้ในการผ่าตัดและ การกำจดั ไฝและขแ้ี มลงวนั บนผวิ พรรณ ถา้ ห้ามเลือดแล้ว ยังนำมาใช้ในการสลายเน้ือเย่ือ ใช้มีดผ่าตัดก็อาจเกิดรอยแผลเป็น ศัลยแพทย์จงึ ไดแ้ ก ่ นยิ มใชค้ วามรอ้ นจากเลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซด ์ - ในกรณีเน้ือเย่ือที่ไม่ต้องการ เช่น เซลล ์ จท้ี ไี่ ฝหรอื ขแ้ี มลงวนั จนหายไปอยา่ งรวดเรว็ มะเร็งและเน้ืองอกต่าง ๆ สามารถใช้ความร้อน ๒. การลบปานดำ ปานแดง และรอยสกั ของแสงเลเซอรเ์ ขา้ ไปจเ้ี พอ่ื สลายเนอื้ เยอ่ื เหลา่ นนั้ การลบปานดำบนผวิ หนัง ศัลยแพทยจ์ ะใช้ ความร้อนจะทำให้เซลล์ของเน้ือเย่ือแตก แล้ว เลเซอรน์ โี อดเี มยี มแยก็ ซงึ่ ถกู ดดู กลนื ดว้ ยสดี ำไดด้ ี ระเหยกลายเปน็ ไอ ปานดำจะดูดความร้อนจากแสงเลเซอร์ความยาว - ในกรณีการผา่ ตัดเนื้องอกในสมอง ซงึ่ ไม่ คลนื่ ๑,๐๖๔ นาโนเมตร จนเซลลแ์ หง้ ตายกลายเปน็ ตอ้ งการผา่ ตดั ใหญ่ เพราะเกรงวา่ จะเสยี เลอื ดมาก สะเกด็ และหลดุ ออกจากผวิ หนงั สำหรบั ปานแดง กส็ ามารถทำไดโ้ ดยการเจาะรเู ลก็ ๆ แลว้ สอดเขม็ ซงึ่ มเี สน้ เลอื ดสแี ดงมาหลอ่ เลย้ี งมาก ตอ้ งใชแ้ สง เล็ก ๆ เพ่ือนำแสงเลเซอร์เข้าไปจ้ีตรงเน้ืองอกให้ เลเซอรท์ ถี่ กู ดดู กลนื โดยเฮโมโกลบนิ หรอื สารสแี ดง ฝอ่ แหง้ ตายไปในทสี่ ดุ ไดด้ ี ศลั ยแพทยจ์ งึ มกั ใชเ้ ลเซอรส์ ยี อ้ ม (dye laser) ๗.๒ การใชเ้ ลเซอรท์ างดา้ นศลั ยกรรม ซง่ึ ใหแ้ สงสเี ขยี วทมี่ คี วามยาวคลน่ื ๕๘๕ นาโนเมตร ตกแตง่ หรอื ใชเ้ ลเซอรท์ บั ทมิ ซง่ึ ใหแ้ สงสแี ดงทม่ี คี วามยาว ในระยะเร่ิมแรกที่มีการนำเลเซอร์เข้ามาใช้ คลนื่ ๖๙๔.๓ นาโนเมตร เนอ่ื งจากถกู ดดู กลนื ดว้ ย ในทางการแพทย์ จะเน้นเร่ืองศัลยกรรมตกแต่ง เสรมิ ความงามทง้ั สน้ิ ตวั อยา่ งการใชเ้ ลเซอรท์ าง ดา้ นน้ี ไดแ้ ก่ การกำจดั ไฝและขแี้ มลงวนั ดว้ ยเลเซอร ์ การลอกปานแดงดว้ ยเลเซอรด์ ายสเี ขยี ว ๑ ครงั้ กอ่ น (บน) และหลงั (ลา่ ง)

213 การลบรอยสกั ดว้ ยเลเซอร์ ทส่ี ดุ ดงั นนั้ เลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซดท์ ใี่ ชจ้ ะ เปน็ ชนดิ ปลอ่ ยแสงเลเซอรอ์ อกไปเปน็ ชว่ ง ๆ เพอ่ื สารสแี ดงไดด้ เีชน่ กนั สว่ นการลบรอยสกั บนผวิ หนงั ใหค้ วามรอ้ นทยี่ งิ ลงมาทผี่ วิ หนงั ระเหยออกไปกอ่ น โดยปกตริ อยสกั มที ง้ั สแี ดงและสดี ำ ในการลบรอย จงึ จะยงิ ใหม่ ทำใหแ้ ผลผา่ ตดั ไมไ่ หม้ สกั สแี ดงกใ็ ชเ้ ลเซอรท์ บั ทมิ สว่ นรอยสกั สดี ำมกั ใช้เลเซอร์นีโอดีเมียมแย็ก หรือเลเซอร์อาร์กอน ปจั จบุ นั ศลั ยกรรมตกแตง่ ทกี่ ำลงั ไดร้ บั ความ ทง้ั น้ี รอยสกั โดยทว่ั ไปคอ่ นขา้ งลกึ การลบรอยสกั นยิ มมากคอื การทำผวิ ใหม่ ซง่ึ ไดแ้ ก่ การลบรอย ด้วยแสงเลเซอร์จึงต้องทำหลายคร้ัง อาจทำถึง ยน่ บนใบหนา้ หรือลบรอยตนี กา เลเซอร์ท่ีใช้คอื ๑๐ ครงั้ และอาจตอ้ งใชเ้ วลาถงึ ๓ เดอื นในการยงิ เลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซด์ หรอื เลเซอรเ์ ออรเ์ บยี ม แสงเลเซอรใ์ หร้ อยสกั นน้ั แหง้ แขง็ แลว้ หลดุ ออกไป แยก็ โดยการกรอผวิ ทเ่ี หยี่ วยน่ ทง้ิ ไปและจะเกดิ ผวิ แตม่ กั จะมแี ผลเปน็ เกดิ ขน้ึ ใหมท่ สี่ ดใสและเตง่ ตงึ กวา่ เดมิ ซงึ่ วธิ นี ไี้ มต่ อ้ งผา่ ตดั และไมม่ กี ารเสยี เลอื ด แตเ่ ลเซอรท์ ง้ั ๒ ชนดิ นใี้ ห้ ๓. ศลั ยกรรมตกแตง่ อนื่ ๆ แสงเลเซอรท์ เ่ี ปน็ ความรอ้ น ฉะนน้ั จะรสู้ กึ รอ้ นมาก ศัลยกรรมตกแต่งเพื่อเสริมความงามอ่ืน ๆ จงึ จำเปน็ ตอ้ งทาหรอื ฉดี ยาชากอ่ นการกรอผวิ ไดแ้ ก่ การใชเ้ ลเซอรก์ รดี เปลอื กตาเพอ่ื ทำตา ๒ ชน้ั การเจาะหแู ละการผา่ ตดั เสรมิ ทรวงอก เพราะการ นอกจากเลเซอร์ท้ัง ๒ ชนิดข้างต้นซ่ึงเป็น ผา่ ตดั ดว้ ยเลเซอรม์ คี วามเจบ็ นอ้ ย เลอื ดออกนอ้ ย เลเซอรร์ อ้ น ยงั สามารถใชเ้ ลเซอรเ์ ยน็ คอื เลเซอร์ ทำใหส้ ะดวกตอ่ การผา่ ตดั และหลงั การผา่ ตดั กบ็ วม ฮเี ลยี ม-นอี อน ทใ่ี หแ้ สงสแี ดงและพลงั งานตำ่ มา นอ้ ยกวา่ วธิ ผี า่ ตดั โดยทวั่ ไป สำหรบั เลเซอรท์ ใี่ ชท้ าง ชว่ ยกระตนุ้ ผวิ หนา้ ทเ่ี หย่ี วยน่ เพอื่ ใหเ้ กดิ การสรา้ ง ดา้ นนไ้ี ดแ้ ก่ เลเซอรค์ ารบ์ อนไดออกไซด์ เพราะ เซลลใ์ หม่ โดยเซลลใ์ หมน่ จ้ี ะหดรดั ตวั กวา่ จงึ ทำให ้ เป็นเลเซอร์ที่ให้ความร้อนซ่ึงมีผลต่อเนื้อเยื่อข้าง ใบหนา้ บรเิ วณทย่ี น่ ตงึ ขน้ึ มา แตว่ ธิ นี อ้ี าจใชเ้ วลา เคียงน้อยมากประมาณ ๓-๕๐ ไมครอนเท่าน้ัน นานถงึ ๒ เดอื น และไมไ่ ดผ้ ลทกุ ราย ทำให้เน้ือเย่ือข้างเคียงไม่บอบช้ำ แต่เพื่อให้การ สะสมความร้อนที่ผิวหนังจากแสงเลเซอร์มีน้อย การรกั ษารอยเหยี่ วยน่ บนใบหนา้ ดว้ ยเลเซอร์ กอ่ นการรกั ษา (ซา้ ย) และหลงั การรกั ษา (ขวา)

214 ๗.๔ การใชเ้ ลเซอรร์ กั ษาดวงตา การใชเ้ ลเซอรแ์ กไ้ ขปญั หาสายตาผดิ ปกตดิ ว้ ยวธิ เี ลสกิ สว่ นประกอบของตาทเ่ี กดิ ปญั หาคอ่ น ขา้ งมาก คอื จอตา ซง่ึ เปน็ สว่ นทรี่ บั แสงอยดู่ า้ น ๗.๓ ศัลยกรรมภายในร่างกายด้วย หลงั ของลกู ตา หากหลดุ ไปจะทำใหม้ องเหน็ ภาพ เลเซอร์ ไมช่ ดั และตาอาจบอดได ้ เลเซอรท์ เ่ี หมาะสม สำหรบั ใชใ้ นการเชอื่ มจอตา ไดแ้ ก ่ เลเซอร์ การผ่าตัดหรือการบำบดั รักษาโรคทเ่ี กดิ กับ อารก์ อน ซงึ่ ใหแ้ สงสเี ขยี วทม่ี คี วามยาวคลน่ื อวยั วะภายในรา่ งกายนน้ั สามารถทำไดโ้ ดยการสง่ ๕๑๔.๕ นาโนเมตร กำลงั ๑-๕ วตั ต ์ ซงึ่ แสง ลำแสงเลเซอร์ไปตามเส้นใยแก้วนำแสงที่ติดกับ สเีขยี วสามารถทะลผุ า่ นแกว้ ตาและของเหลวใน กลอ้ งสอ่ งภายใน (endoscope) ไปยงั จดุ ทตี่ อ้ งการ ลกู ตาเขา้ ไปไดโ้ ดยไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ ลกู ตา แลว้ รกั ษา ตวั อยา่ งเชน่ การอดุ ตนั ของเสน้ เลอื ดหวั ใจ เชอื่ มจอตาทหี่ ลดุ ซง่ึ อยดู่ า้ นหลงั ของลกู ตาให้ โดยการยงิ แสงเลเซอรเ์ ขา้ ไปทำลายบรเิ วณทอี่ ดุ ตนั ติดกลับเข้าไปใหม่ได้โดยไม่ต้องผ่าตัดลูกตา เพอื่ ใหเ้ ลอื ดไหลผา่ นไดส้ ะดวก แทนการผา่ ตดั เปดิ ทเี่ สย่ี งตอ่ การตดิ เชอื้ และอาจทำใหต้ าบอด ทรวงอก การผา่ ตดั อวยั วะภายในบรเิ วณชอ่ งทอ้ ง เชน่ ถงุ นำ้ ด ี ไสต้ ง่ิ กส็ ามารถยงิ แสงเลเซอรผ์ า่ น ๗.๕ การใช้เลเซอร์แก้ปัญหาสายตา เส้นใยแก้วนำแสงเขา้ ไปรกั ษาได้โดยไม่ต้องผา่ ตัด ดว้ ยวธิ เี ลสกิ (LASIK) สลายกอ้ นนว่ิ ในถงุ นำ้ ดที างหนา้ ทอ้ ง แสงเลเซอร์ ทย่ี งิ สามารถทำลายกอ้ นนว่ิ ใหม้ ขี นาดเลก็ ลง และ ปัจจุบันการใช้เลเซอร์ในการฝนกระจกตา รา่ งกายจะขบั เศษกอ้ นนวิ่ ออกมาไดเ้ อง การรกั ษา เพื่อรักษาสายตาสั้นกำลังได้รับการกล่าวถึงมาก แผลในกระเพาะอาหารทม่ี เี ลอื ดออกมาก สามารถ ทสี่ ดุ ในดา้ นเลเซอรก์ ารแพทย์ รักษาได้โดยยิงแสงเลเซอร์เข้าไปจ้ีท่ีแผลเพื่อห้าม เลอื ดไดเ้ ชน่ กนั - ลูกตา (eyeball) เป็นอวัยวะที่มีลักษณะ คอ่ นขา้ งกลม ทบึ แสง ทางดา้ นหนา้ ใสเพอ่ื ใหแ้ สง ผา่ นเขา้ ไปได ้ ซงึ่ ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ดงั น้ ี กระจกตา เลนสต์ า ม่านตา จอตา สว่ นประกอบของลกู ตา

215 สายตาปกต ิ สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง แสดงการหกั เหของแสงผา่ นเลนสต์ า - กระจกตา (cornea) เปน็ สว่ นทอ่ี ยทู่ างดา้ น การแกไ้ ขปญั หาสายตา หนา้ สดุ ของลกู ตา มลี กั ษณะโปรง่ ใส การแกไ้ ขปญั หาสายตาสนั้ สายตายาว หรอื - มา่ นตา (iris) ทำหนา้ ทหี่ ดหรอื ขยายเพอ่ื สายตาเอยี ง สามารถทำไดห้ ลายวธิ ี เชน่ การสวม ปรบั แสงใหผ้ า่ นเขา้ ไปในลกู ตาในปรมิ าณทเี่ หมาะสม แว่นที่มีเลนส์รวมแสงชนิดต่าง ๆ การใส่เลนส ์ สมั ผสั (contect lens) การผา่ ตดั โดยใชแ้ สงเลเซอร์ - เลนสต์ า (lens) เมอื่ แสงผา่ นมา่ นตาจะถกู โดยทุกวิธีมีการปรับการหักเหของแสงให้ตกบน หกั เหโดยเลนสต์ าไปตกบนจอตา จอตาไดพ้ อด ี - จอตา (retina) เปน็ สว่ นทที่ ำหนา้ ทร่ี บั ภาพ การแกไ้ ขปญั หาสายตาโดยการสวมใสเ่ ลนส์ แลว้ สง่ ขอ้ มลู ภาพของวตั ถไุ ปสสู่ มองตามเสน้ ประสาท แวน่ ตา อาจทำใหผ้ สู้ วมใสเ่ สยี บคุ ลกิ ภาพ หรอื ไม่ (optic nerve) สะดวกในการทำงานบางอยา่ ง หรอื ในกรณใี สเ่ ลนส ์ สมั ผสั กจ็ ะตอ้ งคอยดแู ลรกั ษาตลอดเวลาและอาจ ในกรณขี องสายตาปกติ แสงทผ่ี า่ นเลนสต์ า ตดิ เชอ้ื ไดง้ า่ ย ดงั นนั้ ดา้ นการแพทยใ์ นปจั จบุ นั จงึ จะตกลงบนจอตาพอดี ภาพทเ่ี หน็ จะคมชดั สว่ น คิดค้นวิธีการรักษาแบบใหม่โดยใช้แสงเลเซอร์ คนที่มีสายตาส้ัน สายตายาว หรือสายตาเอียง ผา่ ตดั รกั ษาทบี่ รเิ วณกระจกตา แสงจะไมต่ กลงบนจอ

216 ขน้ั ตอนการผา่ ตดั สายตาดว้ ยวธิ เี ลสกิ การผ่าตัดแก้ปัญหาสายตาส้ัน ยาว หรือ เอยี งดว้ ยวธิ เี ลสกิ มขี น้ั ตอนดงั น ี้ ฝาเปิด-ปดิ ๑. นำเครอื่ งฝานกระจกตามาครอบทลี่ กู ตา เปิดกระจกตา เครอ่ื งฝานกระจกตานน้ั มสี ว่ นทส่ี ำคญั ๒ สว่ น คอื แสงเลเซอร์ ใบมดี และหลอดสญุ ญากาศ ยงิ เลเซอร ์ ๒. หลอดสญุ ญากาศจะดดู ลกู ตาใหอ้ ยนู่ งิ่ ไม่ ฝาเปดิ -ปดิ กลอกกลงิ้ ไปมา ปดิ กระจกตาตามเดมิ หลังจากยงิ เลเซอร์ ๓. เลื่อนใบมีดให้ฝานชั้นแก้วตาเพียงบาง สว่ นใหเ้ ปน็ ฝาเปดิ -ปดิ (corneal flap) วธิ กี ารผา่ ตดั โดยใชเ้ ลเซอร ์ ๔. ทำการฝนกระจกตาโดยการยิงเลเซอร์ ปัจจุบันการผ่าตัดแก้ปัญหาสายตาโดยใช้ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามโคง้ ตามทตี่ อ้ งการ เลเซอร์ มี ๒ วธิ ี คอื ๑) วธิ พี อี ารเ์ ค (Photorefractive Keratectomy: PRK) ๒) วธิ เี ลสกิ (Laser in Situ ๕. เมอ่ื ยงิ เลเซอรเ์ สรจ็ กป็ ดิ ฝาเลนสแ์ กว้ ตา Keratomileusis: LASIK) ๘. บทสรปุ วธิ กี ารผา่ ตดั ทงั้ ๒ วธิ ี จะใชเ้ ลเซอรเ์ อกซเิ มอร ์ (Excimer Laser) เชน่ อารก์ อนฟลอู อไรด์ (ArF) การใช้เลเซอร์นอกจากใช้ในดา้ นศลั ยกรรม ซึ่งให้แสงอัลตราไวโอเลตท่ีความยาวคล่ืน ๑๙๓ เพอื่ ความงามทพี่ บเหน็ โดยทว่ั ไปในปจั จบุ นั เชน่ นาโนเมตร ซง่ึ วธิ ที ไี่ ดร้ บั ความนยิ มและไดร้ บั การ ตามโรงพยาบาล คลินิก ห้างสรรพสินค้าแล้ว กลา่ วถงึ มากทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ วธิ เี ลสกิ ดงั นน้ั จะขอ เลเซอรย์ งั ใชใ้ นการรกั ษาอวยั วะภายในรา่ งกาย เชน่ กลา่ วเฉพาะวธิ นี เี้ ทา่ นนั้ ทำลายเนอ้ื งอก เซลลม์ ะเรง็ สลายนว่ิ ในถงุ นำ้ ดี ซึ่งเป็นการประยกุ ต์ใชเ้ ลเซอรใ์ นทางการแพทยท์ ่ี มปี ระโยชนต์ อ่ ประชาชนมากกวา่ และประชาชน ทั่วไปควรจะได้รับรู้เพื่อเข้ารับการรักษาหากเกิด โรคเหลา่ นกี้ บั ตนเอง เพอื่ นฝงู หรอื ญาตพิ นี่ อ้ ง ปัจจุบันได้มีการนำเลเซอร์มาใช้ในทางการ แพทยด์ า้ นอน่ื ๆ อกี มาก เพอื่ ทดแทนวธิ กี ารเดมิ ตวั อยา่ งเชน่ การกรอฟนั และขดู หนิ ปนู ดว้ ยเลเซอร ์ ซง่ึ วธิ เี ดมิ เมอื่ เดก็ ไปอดุ ฟนั จะรสู้ กึ กลวั มาก เนอื่ ง จากเสยี งของเครอื่ งกรอฟนั แตเ่ มอ่ื ใชเ้ ลเซอรจ์ ะม ี เสยี งเบา ทำใหร้ สู้ กึ เสยี วฟนั นอ้ ยกวา่ มาก ปจั จบุ นั เลเซอรท์ ใ่ี ชใ้ นการกรอฟนั และขดู หนิ ปนู มกี ารนำ มาใชง้ านทโ่ี รงพยาบาลบางแหง่ ในประเทศไทยแลว้ ดเู พมิ่ เตมิ เรอ่ื ง เลเซอร์ เลม่ ๒๐ และรงั สี เลม่ ๓๘

217 บรรณานกุ รม C.B. Hitz. Understanding Laser Technology 2nd ed. Oklahoma: Penn Well Publishing, 1991. Fundamentals of Laser. Ohio: Laser Institute of America, 1985. J. Hecht. The Laser Guidebook 2nd ed. New York: Mc Graw-Hill, 1992. J. Hecht and D. Teresi. Laser, Supertool of The 1980’s. New York: Summer Hill Books, 1982. K. Kuhn. Laser Engineering. London: Prentice Hall International, 1998. Laser Output Characteristics. Ohio: Laser Institute of America, 1985.

218

ไข้ออกผน่ื 219 ศาสตราจารย์ แพทยห์ ญงิ กลุ กัญญา โชคไพบูลยก์ ิจ ผู้เขยี น สว่ นเดก็ เล็ก ผูช้ ่วยศาสตราจารย์กิติยวดี บุญซอ่ื ผู้เรยี บเรยี ง เดก็ ๆ คงเคยเปน็ ผดผน่ื คนั หรอื อาจจะเคยเหน็ พห่ี รอื นอ้ งมอี าการ เหลา่ นบี้ า้ ง สาเหตเุ พราะอากาศรอ้ นและอบอา้ ว พอลบู ดว้ ยนำ้ เยน็ ทาแปง้ ไมน่ านผดผน่ื คนั เหลา่ นน้ั กจ็ ะหายไปได้ ผื่นบางชนิดเป็นอาการของโรคท่ีทางการแพทย์เรียกว่า ไข้ออกผ่ืน ผนื่ จะปรากฏขนึ้ ตามรา่ งกาย พรอ้ มหรอื หลงั อาการไข้ และไมส่ ามารถรกั ษา ใหห้ ายไดด้ ว้ ยวธิ ใี ชน้ ำ้ ลบู หรอื ทาแปง้ จะตอ้ งมกี ารดแู ลรกั ษาทถ่ี กู ตอ้ ง มฉิ ะนน้ั อาจมอี าการอนื่ แทรกซอ้ น เปน็ อนั ตรายได้ ไข้ออกผ่ืนนเี้ ป็นความเจ็บปว่ ยท่ีพบไดบ้ อ่ ยในกลุ่มเด็ก อาการหลัก คอื มไี ข้ และมผี นื่ ขน้ึ บางครง้ั อาจมอี าการอนื่ รว่ มดว้ ย เชน่ ซมึ เบอ่ื อาหาร อจุ จาระรว่ ง อาเจยี น ไอ และมนี ำ้ มกู บางคนมอี าการไมม่ าก แตบ่ างคนอาการ รนุ แรง และเกดิ ภาวะแทรกซอ้ น จนอาจถงึ แกช่ วี ติ ได ้ ไขอ้ อกผนื่ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการตดิ เชอ้ื โรค ชนดิ ทเี่ รยี กวา่ เชอื้ ไวรสั ซงึ่ มกั ตดิ ตอ่ กนั โดยสมั ผสั ละอองฝอยของนำ้ มกู นำ้ ลาย ทผ่ี ปู้ ว่ ยไอหรอื จาม หรอื อาจเกดิ จากการไปสมั ผสั สงิ่ ของ หรอื มอื ทเ่ี ปอ้ื นนำ้ มกู นำ้ ลาย เสมหะของผปู้ ว่ ย

220 โดยทว่ั ไปโรคไขอ้ อกผนื่ มกั ไมร่ นุ แรงและหายไดเ้ อง โรคไขอ้ อกผน่ื อาจเกดิ จาก การแพย้ า หรอื ภาวะโรคทมี่ ใิ ชโ่ รคตดิ เชอื้ กไ็ ด ้ สง่ิ ทผี่ ดู้ แู ลเดก็ ควรบอกเดก็ และดแู ลไมใ่ หเ้ ดก็ แกะเกาผน่ื คนั ปดิ ปาก เมอ่ื ไอ หรอื จาม และลา้ งมอื ใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ ผน่ื ทแี่ สดงลกั ษณะจำเพาะอาจชว่ ยบอกไดว้ า่ นา่ จะเกดิ จากโรคหรอื ตดิ เชอื้ อะไร เชน่ ผนื่ ทเี่ ปน็ ตมุ่ นำ้ ใสกระจายทว่ั ตวั อาจบอกไดว้ า่ เปน็ โรคอสี กุ อใี ส ผนื่ ทกี่ ระจายจากใบหนา้ แลว้ ลงมาตามตวั แขนและขา พรอ้ มกบั มี ไขส้ งู ตาแดง อาจบอกไดว้ า่ เปน็ โรคหดั ผน่ื ทฝี่ า่ มอื ฝา่ เทา้ และมแี ผลรอ้ นในภายในปาก อาจบอกไดว้ า่ เปน็ โรคมอื เทา้ ปาก ผนื่ ทสี่ ากเหมอื นกระดาษทราย พรอ้ ม ๆ กบั อาการเจบ็ คอ อาจบอก ไดว้ า่ เปน็ โรคอดี ำอแี ดง ผปู้ ว่ ยสว่ นใหญอ่ าจปรากฏผนื่ ทบ่ี อกไมไ่ ดแ้ นช่ ดั วา่ เกดิ จากอะไร เชน่ จดุ แดงทวั่ ๆ ไป อาจมอี าการคนั หรอื ผน่ื ลมพษิ ซง่ึ มลี กั ษณะนนู แดง และ คนั ซงึ่ อาจเกดิ จากแพย้ า แพอ้ าหาร หรอื เกดิ จากโรคตดิ เชอื้ กไ็ ด้ จงึ ตอ้ งไดร้ บั การตรวจอยา่ งละเอยี ดจากแพทย์ ซงึ่ จะชว่ ยใหร้ กั ษาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ไขอ้ อกผน่ื ทเ่ี ปน็ กนั มากและระบาดไปทวั่ ในอดตี คอื ไขท้ รพษิ หรอื ฝดี าษ ทำใหม้ ผี เู้ สยี ชวี ติ เปน็ จำนวนมาก ตอ่ มาไดม้ กี ารคน้ พบวคั ซนี สำหรบั ปลกู ฝปี อ้ งกนั ไขท้ รพษิ และมกี ารกวาดลา้ งจนโรคชนดิ นห้ี มดไป องคก์ าร อนามยั โลกไดป้ ระกาศการกวาดลา้ งไขท้ รพษิ สำเรจ็ ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ไขอ้ อกผนื่ ทเ่ี ปน็ กนั มากรองลงมาคอื โรคหดั กอ่ นจะมวี คั ซนี เดก็ ๆ ปว่ ยดว้ ยโรคนม้ี าก แตห่ ลงั จากไดม้ กี ารพฒั นาวคั ซนี และนำมาฉดี ใหเ้ ดก็ ทำให้ มเี ดก็ ทเี่ ปน็ โรคนนี้ อ้ ยลง และเมอ่ื เปน็ แลว้ จะไมเ่ ปน็ อกี

221 การเกิดผ่นื ของโรคอีสกุ อใี สจากระยะแรก ๆ ท่มี จี ำนวนไมม่ าก แลว้ ค่อย ๆ เปน็ มากข้นึ ในวนั ตอ่ ๆ มา ไขอ้ อกผนื่ อกี ชนดิ หนง่ึ คอื อสี กุ อใี ส ซง่ึ ปจั จบุ นั มวี คั ซนี ปอ้ งกนั แลว้ แตย่ งั ไมแ่ พรห่ ลาย การใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้ออกผ่ืน เป็นผลให้โรคไข้ออกผื่นใน ปจั จบุ นั ลดนอ้ ยลงไปมาก ซงึ่ จะพบในเดก็ เลก็ มากกวา่ เดก็ โตหรอื ผใู้ หญ่ การรกั ษาโรคไขอ้ อกผนื่ จะขน้ึ อยกู่ บั สาเหตแุ ละอาการของโรค เมอื่ แพทย์สืบค้นได้แล้วว่าสาเหตุเกิดจากอะไร กจ็ ะรกั ษาไปตามอาการ ซงึ่ จะหาย ภายในเรว็ วนั ยกเวน้ ผปู้ ว่ ยทมี่ อี าการมาก มผี น่ื ทรี่ นุ แรง กนิ ไมไ่ ด้ มไี ขส้ งู ซมึ รวมทง้ั มผี น่ื ทท่ี ำใหเ้ กดิ การอกั เสบของเยอื่ บุ เชน่ ตาแดง ปากเจบ็ ควรเขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาล ผ่ืนลมพษิ

222 สว่ นเดก็ กลาง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยก์ ติ ยิ วดี บญุ ซอื่ ผเู้ รยี บเรยี ง ไขอ้ อกผนื่ มหี ลายชนดิ และมอี าการเรมิ่ เปน็ คลา้ ยกนั เชอ้ื โรคหรอื ไวรสั บางตวั กอ่ ใหเ้ กดิ อาการเพยี งเลก็ นอ้ ยแลว้ กห็ ายไปเมอ่ื ไดร้ บั การรกั ษาทถี่ กู ตอ้ ง บางตวั เปน็ นานกวา่ แตเ่ มอ่ื เปน็ แลว้ รา่ งกายจะสรา้ งภมู ติ า้ นทาน ทำใหไ้ มเ่ ปน็ โรคนอ้ี กี ตลอดชวี ติ แตบ่ างรายเมอ่ื เปน็ แลว้ จะเกดิ อาการแทรกซอ้ น และหากไมไ่ ดร้ บั การรกั ษาอยา่ งถกู ตอ้ งอาจถงึ แกช่ วี ติ ได้ ไขอ้ อกผนื่ ในอดตี ทผ่ี คู้ นเปน็ กนั มาก เพราะยงั ไมม่ กี ารผลติ ยาปอ้ งกนั ทำใหม้ ผี เู้ สยี ชวี ติ จำนวนมากคอื ไขท้ รพษิ หรอื ฝดี าษ แตเ่ มอื่ มกี ารผลติ วคั ซนี และปลกู ฝปี อ้ งกนั โรคซง่ึ ได้ ผลดี ทำใหจ้ ำนวนผปู้ ว่ ยลดนอ้ ยลงเรอื่ ย ๆ ในประเทศไทยการปลกู ฝเี รมิ่ ในรชั กาลที่ ๓ ซง่ึ สามารถปอ้ งกนั ไดม้ าก และมกี ารกวาดลา้ งจนโรคนหี้ มดไปได้ องคก์ ารอนามยั โลกไดป้ ระกาศ การกวาดลา้ งไขท้ รพษิ ทว่ั โลกสำเรจ็ ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ชนดิ ของไขอ้ อกผน่ื การรจู้ กั ชอื่ และอาการของไขอ้ อกผนื่ ไวบ้ า้ ง จะทำใหเ้ ขา้ ใจโรค สาเหตขุ องการเปน็ โรค อาการ และการตดิ ตอ่ เพอื่ จะไดร้ จู้ กั ระมดั ระวงั และปอ้ งกนั ตนเองไมใ่ หเ้ ปน็ โรคเหลา่ นี้ พรอ้ มทง้ั ใหค้ วามรว่ มมอื กบั แพทยผ์ รู้ กั ษา ตลอดจนผดู้ แู ล จะชว่ ยใหอ้ าการของโรคลดนอ้ ย ลงและหายเปน็ ปกตไิ ดโ้ ดยเรว็ ทงั้ ยงั ชว่ ยไมใ่ หเ้ กดิ การแพรก่ ระจายของโรค ๑. โรคอสี กุ อใี ส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีช่ือว่า ไวรัสวาริเซลลา ไวรัสชนิดนี้ก่อโรคในมนุษย์ เทา่ นนั้ แพรไ่ ดง้ า่ ย โดยเฉพาะผทู้ อ่ี ยใู่ นบา้ นเดยี วกนั หรอื หอ้ งเดยี วกนั การแพรเ่ ชอ้ื จะเกดิ ขนึ้ ไดต้ งั้ แตก่ อ่ นมผี น่ื ขน้ึ ๑-๒ วนั ตอ่ มาตมุ่ จะแหง้ เปน็ สะเกด็ ผปู้ ว่ ยจะมอี าการปวดเมอื่ ย ปวด ศรี ษะ และเบอื่ อาหาร จากนนั้ ตามผวิ หนงั จะมตี มุ่ แดง แลว้ กลายเปน็ นำ้ ใส ตอ่ มากลายเปน็ หนองและแหง้ ดำเปน็ สะเกด็ ผนื่ จะขนึ้ หนาแนน่ บรเิ วณใบหนา้ และลำตวั เดก็ ทเ่ี ปน็ โรคนม้ี กั มอี าการไมม่ าก สว่ นใหญย่ งั วง่ิ เลน่ ไดแ้ มก้ ำลงั มตี มุ่ ขน้ึ ถา้ ผใู้ หญเ่ ปน็ อาจมอี าการรนุ แรงกวา่ เดก็ เมอื่ หายแลว้ จะเกดิ ภมู คิ มุ้ กนั โรคนตี้ ลอดไป

223 ผู้ปว่ ยโรคอสี กุ อีใสมผี ่นื เป็นตุ่มน้ำใสกระจายทวั่ ตวั มากน้อยไมเ่ ทา่ กัน ๒. โรคงสู วดั เกดิ จากการตดิ เชอ้ื ไวรสั ชนดิ เดยี วกบั โรคอสี กุ อใี ส อาการเรม่ิ เปน็ จะไมร่ นุ แรง แต่ บางครงั้ อาจมภี าวะแทรกซอ้ นทเ่ี ปน็ ผลทำใหอ้ าการรนุ แรงขนึ้ ได้ เชน่ ตดิ เชอ้ื แบคทเี รยี บน ผนื่ ทผ่ี วิ หนงั ทำใหเ้ ปน็ หนอง ตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด กระดกู อกั เสบหรอื ปอดอกั เสบ และ เชอ้ื อาจจะรกุ รานเขา้ สอู่ วยั วะตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย ทำใหเ้ กดิ อาการอกั เสบทป่ี อด ตบั หรอื เกดิ สมองอกั เสบได้ มกั พบในผปู้ ว่ ยทมี่ รี ะบบภมู คิ มุ้ กนั ตำ่ ไวรสั บางสว่ นหลบซอ่ นตวั ตามบรเิ วณ ปมประสาทของไขสนั หลงั โดยไมแ่ สดงอาการ แตห่ ากรา่ งกายออ่ นแอจากเหตใุ ดกต็ าม เชอ้ื ที่ ซอ่ นอยจู่ ะถกู กระตนุ้ ใหก้ อ่ โรคงสู วดั ผน่ื ของ โรคงสู วดั จะมลี กั ษณะคลา้ ยอสี กุ อใี ส แตจ่ ะเกดิ เฉพาะบรเิ วณทเ่ี สน้ ประสาทของปมประสาท นน้ั แผไ่ ป และเนอ่ื งจากปมประสาททสี่ นั หลงั จะมี ๒ ขา้ ง โดยแตล่ ะขา้ งจะมเี สน้ ประสาทแผ่ ไปถงึ เพยี งกง่ึ กลางของรา่ งกาย ผน่ื จากโรคน ้ี จงึ มกั เปน็ เพยี งซกี เดยี วของรา่ งกาย การเกดิ งสู วดั ของปมประสาทในระดบั เดยี วกนั ทง้ั ๒ ขา้ งในเวลาเดยี วกนั ซงึ่ ทำให้ผ่ืนข้ึนรอบตัวมี โอกาสเกดิ ไดน้ อ้ ยมาก ผน่ื ของโรคงสู วดั มลี กั ษณะคลา้ ยผนื่ โรคอสี กุ อใี ส แตเ่ กดิ เฉพาะ บริเวณเสน้ ประสาทของปมประสาท

224 ๓. โรคหดั เป็นเช้ือที่ก่อโรคเฉพาะกับมนุษย์ เช้ือน้ีปะปนอยู่ในน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วย เมอ่ื เขา้ สรู่ า่ งกายจะกระจายไปทต่ี อ่ มนำ้ เหลอื งและกระแสเลอื ด หลงั จากรบั เชอื้ ประมาณ ๑-๒ สปั ดาห์ ผปู้ ว่ ยจะมอี าการไขส้ งู ตาแดง ตาสแู้ สงสวา่ งไมไ่ ด้ นำ้ มกู ไหล และไอ หลงั จากมไี ข้ ๒-๔ วัน จะเริ่มปรากฏผื่นท่ีผิวหนังบริเวณไรผม หน้าผาก และหลังหู แล้วกระจายไปท่ัว บรเิ วณคอ ลำตวั แขน และขา ผน่ื จะขน้ึ หนาแนน่ ทบ่ี รเิ วณใบหนา้ คอ และกระจายหา่ ง ๆ ตาม บรเิ วณแขนและขา เมอื่ หายแลว้ จะมภี มู คิ มุ้ กนั ตลอดชวี ติ เชน่ เดยี วกบั โรคอสี กุ อใี ส ผืน่ โรคหดั ๔. โรคหดั เยอรมนั มอี าการไขแ้ ละมผี น่ื ขนึ้ คลา้ ยโรคหดั แตม่ คี วามรนุ แรงและเกดิ โรคแทรกซอ้ นนอ้ ย กวา่ แพทยช์ าวเยอรมนั เปน็ คนแรกทใี่ หค้ ำอธบิ ายวา่ เปน็ โรคใหมท่ ตี่ า่ งจากหดั จงึ เรยี กวา่ โรค หดั เยอรมนั เพอื่ เปน็ การใหเ้ กยี รติ ในประเทศไทยมชี อ่ื เรยี กอกี ชอ่ื หนง่ึ วา่ “เหอื ด” ขอ้ สงั เกต คอื จะเกดิ ผนื่ ขนึ้ ในวนั เดยี วกบั ทม่ี ไี ข้ และหายภายใน ๓-๖ วนั ๕. สา่ ไขห้ รอื ผนื่ กหุ ลาบ ตดิ ตอ่ ทางลมหายใจ และไดร้ บั ละอองเสมหะจากผปู้ ว่ ย หลงั ไดร้ บั เชอื้ ประมาณ ๒ วันจะมอี าการไข้และเรมิ่ ปรากฏผ่นื เมอื่ ไข้ลด โรคนมี้ ักเกิดกบั ทารกและเด็กเลก็ การตดิ ตอ่ อกี ทางหนง่ึ คอื อาจผา่ นทางของเลน่ ทผ่ี ปู้ ว่ ยหยบิ ใสป่ าก หรอื ผา่ นทางมอื ของผดู้ แู ลทส่ี มั ผสั กบั ผปู้ ว่ ย แลว้ ไปจบั เดก็ ทไี่ มไ่ ดเ้ ปน็ โดยไมไ่ ดล้ า้ งมอื มกั จะตดิ ตอ่ ระหวา่ งเดก็ ทอี่ ยบู่ า้ นเดยี วกนั หรอื เดก็ ทเ่ี ลย้ี งรว่ มกนั

225 ๖. ไขอ้ ดี ำอแี ดง พบบอ่ ยในเดก็ อายุ ๕-๑๕ ปี เชอ้ื นอี้ าศยั อยใู่ น ลำคอของผปู้ ว่ ย ตดิ ตอ่ ทางการหายใจ หรอื ไดร้ บั ละออง เสมหะทผี่ ปู้ ว่ ยไอหรอื จามรด หรอื โดยการสมั ผสั กบั นำ้ ลาย หรอื เสมหะของผทู้ ม่ี เี ชอ้ื นอ้ี ยใู่ นลำคอ หลงั รบั เชอื้ ๑-๗ วนั ผปู้ ว่ ยจะมไี ขส้ งู หนาวสน่ั เจบ็ คอมาก ปวดศรี ษะ ออ่ นเพลยี และปวดเมอื่ ยตามตวั อาจมกี ารอาเจยี นและ ส่าไข้ หรือไขผ้ ืน่ กหุ ลาบ มผี ื่นเลก็ ๆ นนู เลก็ น้อย ปวดทอ้ งรว่ มดว้ ย ตอ่ มทอนซลิ ในลำคอจะมสี แี ดงชำ้ บวม และอาจมหี นอง ตอ่ มนำ้ เหลอื งใตค้ างโตและเจบ็ หลงั จาก นน้ั ๑๒-๔๘ ชวั่ โมง เรม่ิ มผี นื่ แดงทคี่ อ อก รกั แร้ ลำตวั และแขนขา ผน่ื จะมลี กั ษณะเปน็ ตมุ่ นนู เลก็ ๆ เมอ่ื คลำดู จะรสู้ กึ สากมอื เหมอื นกระดาษทราย ลน้ิ มฝี า้ ขาว และมี ตมุ่ แดง ๆ กระจายตามลนิ้ เหมอื นลกู สตรอวเ์ บอรร์ ี ๗. โรคมอื เทา้ ปาก ผ่ืนโรคไขอ้ ดี ำอแี ดงจะสากเหมอื นกระดาษทราย พบไดบ้ อ่ ยในเดก็ เลก็ ตดิ ตอ่ โดยการสมั ผสั นำ้ จากตมุ่ ใส หรอื อจุ จาระของผปู้ ว่ ย แพรเ่ ชอ้ื ผา่ นของเลน่ ท่ี เดก็ นำใสป่ าก เชอ้ื นจี้ ะอยใู่ นอจุ จาระหลายสปั ดาห์ แมว้ า่ หายแลว้ เชอ้ื กย็ งั คงขบั ถา่ ยออกมา ผดู้ แู ลเดก็ ทป่ี ว่ ยอาจ สัมผัสเช้ือได้ขณะเปลี่ยนผ้าอ้อม เป็นกันมากในฤดูฝน ภายหลงั ไดร้ บั เชอ้ื ผปู้ ว่ ยจะมอี าการไขต้ ำ่ ๆ เบอ่ื อาหาร เจบ็ คอ หลงั จากนนั้ ๑-๒ วนั จะเรม่ิ มจี ดุ แดง ๆ ในปาก โรคมอื เทา้ ปาก มจี ดุ แดง ๆ ในปาก และมผี นื่ ทฝ่ี า่ มอื ฝา่ เทา้ ตอ่ มาเปน็ เมด็ พองใส ไมค่ นั พบมากบรเิ วณฝา่ มอื ฝา่ เทา้ เดก็ จะมไี ข้ ออ่ นเพลยี เจบ็ ปาก ประมาณ ๒-๓ วนั กจ็ ะหายเอง ผน่ื จะคอ่ ย ๆ หายไปภายใน ๗-๑๐ วนั ๘. โรคไขเ้ ลอื ดออก โรคนม้ี ยี งุ ลายเปน็ ผนู้ ำเชอื้ (พาหะ) เมอื่ ถกู ยงุ กดั เดก็ จะมไี ข้ หนา้ แดง ปวดเมอื่ ยตาม ตวั เบอื่ อาหาร ปวดทอ้ ง ปวดกระบอกตา ประมาณ ๓-๕ วนั หากรดั ทต่ี น้ แขนจะเหน็ จดุ เลอื ด ถา้ ไมม่ ภี าวะแทรกซอ้ นจะหายเองภายใน ๕-๗ วนั แตห่ ากมโี รคแทรกซอ้ นอาจถงึ ตายได้ การ รกั ษาและตดิ ตามอยา่ งเหมาะสมจะชว่ ยปอ้ งกนั ภาวะแทรกซอ้ นและลดความรนุ แรงของโรคได้

226 สว่ นเดก็ โต รองศาสตราจารย์ แพทยห์ ญงิ กลุ กญั ญา โชคไพบลู ยก์ จิ ผเู้ ขยี น ๑. ความสำคญั และลกั ษณะอาการ มอี าการคนั หรอื ผน่ื ลมพษิ ซง่ึ มลี กั ษณะนนู แดงคนั ยา้ ยทไี่ ด้ ซง่ึ มกั บอกไมไ่ ดแ้ นช่ ดั วา่ แพย้ า แพอ้ าหาร ไข้ออกผ่ืนเป็นความเจ็บป่วยซ่ึงพบได้บ่อย หรอื เกดิ จากการตดิ เชอื้ ตอ้ งอาศยั การตรวจอน่ื ๆ ในเดก็ อาการหลกั คอื มไี ขแ้ ละมผี น่ื ขนึ้ รวมทง้ั เพอื่ ชว่ ยวนิ จิ ฉยั โรคอยา่ งถกู ตอ้ ง อาจจะมอี าการอน่ื ๆ รว่ มดว้ ย เชน่ เบอื่ อาหาร อจุ จาระรว่ ง อาเจยี น มนี ำ้ มกู ไอ ซมึ ซง่ึ อาจมี ๒. อบุ ตั กิ ารณ์ อาการไมม่ าก หรอื มอี าการรนุ แรง และเกดิ ภาวะ แทรกซ้อนได้ ไข้ออกผื่นส่วนใหญ่เกิดจากการ ไขอ้ อกผน่ื ทร่ี จู้ กั กนั ดใี นประวตั ศิ าสตร์ คอื ตดิ เชอ้ื ไวรสั ซงึ่ มกั ตดิ ตอ่ โดยการสมั ผสั ละอองฝอย ของน้ำมูก น้ำลายท่ีผู้ป่วยไอ จาม หรือสัมผัส ๑. ไขท้ รพษิ หรอื ฝดี าษ สงิ่ ของหรอื มอื ทเี่ ปอื้ นนำ้ มกู นำ้ ลาย หรอื เสมหะ โดยทวั่ ไปอาการดงั กลา่ วมกั ไมร่ นุ แรงและหายได้ โรคนท้ี ำใหม้ ผี เู้ สยี ชวี ติ จำนวนมาก จนกระทงั่ เอง ผปู้ ว่ ยบางคนซงึ่ สว่ นนอ้ ยเกดิ จากการตดิ เชอื้ นายแพทยเ์ อดเวริ ด์ เจนเนอร์ (Edward Jenner) ชาว แบคทีเรียหรือเช้ือริกเก็ตต์เซียซ่ึงมีความรุนแรง กวา่ นอกจากนี้ ไขอ้ อกผนื่ อาจเกดิ จากภาวะอน่ื ๆ ผื่นของโรคไข้ทรพิษหรอื ฝีดาษซึ่งกระจายทวั่ ท้งั ตัว ทม่ี ใิ ชก่ ารตดิ เชอื้ เชน่ การแพย้ า โรคเอสแอลอ ี (โรคแพภ้ มู ติ นเอง) โรคคาวาซากิ หรอื ภาวะโรคทาง ผูป้ ่วยโรคไขท้ รพิษ ผิวหนังซึ่งไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งลักษณะของ ผน่ื ทจี่ ำเพาะอาจชว่ ยบง่ ชไี้ ดว้ า่ นา่ จะเกดิ จากโรคหรอื การตดิ เชอื้ ชนดิ ใด เชน่ ผนื่ ทเี่ ปน็ ตมุ่ นำ้ ใสกระจาย ทวั่ ตวั บง่ ถงึ โรคอสี กุ อใี ส ผนื่ ทกี่ ระจายจากใบหนา้ แล้วค่อยลงมาท่ีลำตัวและขา พร้อมกับมีไข้สูง ตาแดง บง่ ชถี้ งึ โรคหดั ผน่ื ทฝี่ า่ มอื ฝา่ เทา้ พรอ้ ม กบั มแี ผลรอ้ นในในปาก เกดิ จากโรคมอื เทา้ ปาก และผน่ื ทสี่ ากเหมอื นกระดาษทรายพรอ้ มกบั มอี าการ เจบ็ คอ บง่ ชถ้ี งึ โรคอดี ำอแี ดง แตใ่ นผปู้ ว่ ยสว่ นใหญ่ มกั มผี น่ื ทไี่ มจ่ ำเพาะ เชน่ ผนื่ จดุ แดงทว่ั ๆ ไป อาจ

227 องั กฤษ ไดค้ น้ พบวคั ซนี ปลกู ฝเี พอ่ื ปอ้ งกนั ไขท้ รพษิ เด็กไทยท่ีเป็นโรคน้ีส่วนใหญ่จะเป็นก่อนเข้าสู่วัย การปลกู ฝใี นประเทศไทยเรม่ิ ในรชั กาลท่ี ๓ ทำให้ ผใู้ หญ่ ปจั จบุ นั เรม่ิ มกี ารผลติ วคั ซนี ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถปอ้ งกนั ไขท้ รพษิ ได้ และมกี ารกวาดลา้ ง สงู ออกมาจำหนา่ ย แตก่ ระทรวงสาธารณสขุ ยงั ไม่ ไขท้ รพษิ จนหมดไปจากโลก องคก์ ารอนามยั โลกได้ ไดจ้ ดั สรรวคั ซนี นใ้ี หแ้ กเ่ ดก็ ทกุ คน ทำใหอ้ บุ ตั กิ ารณ์ ประกาศการกวาดลา้ งไขท้ รพษิ สำเรจ็ ในพ.ศ.๒๕๒๒ ของโรคลดลงไมม่ าก เดก็ ไทยสว่ นใหญจ่ งึ ยงั คงเปน็ โรคอสี กุ อใี ส ๒. โรคหดั การใชว้ คั ซนี ปอ้ งกนั โรคทเ่ี ปน็ สาเหตใุ หเ้ กดิ โรคหัดเป็นไข้ออกผื่นท่ีเป็นกันมากรองลง ไขอ้ อกผน่ื ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ทำใหอ้ บุ ตั กิ ารณข์ องโรค มาจากไขท้ รพษิ หรอื ฝดี าษ ในสมยั ทย่ี งั ไมม่ วี คั ซนี ที่จะเกิดไข้ออกผื่นในปัจจุบันลดลงอย่างมาก มี ใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย เดก็ เกอื บทกุ คนจะเปน็ โรคหดั อยเู่ พยี งไขอ้ อกผน่ื จากโรคทไ่ี มม่ วี คั ซนี ปอ้ งกนั ซง่ึ เนอื่ งจากเชอื้ ไวรสั โรคหดั ตดิ ตอ่ งา่ ย และแพรก่ ระจาย มกั เปน็ ผน่ื ชนดิ ทไ่ี มจ่ ำเพาะ เกดิ จากการตดิ เชอื้ ไวรสั ไดเ้ รว็ ตอ่ มาไดม้ กี ารพฒั นาวคั ซนี ปอ้ งกนั โรคหดั ทม่ี หี ลายชนดิ เชน่ ไวรสั ในกลมุ่ เอนเทอโรไวรสั ซงึ่ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู และไดผ้ ลมากกวา่ รอ้ ยละ ๙๕ (enterovirus) อะดโี นไวรสั (adenovirus) ไขห้ วดั ใหญ่ กระทรวงสาธารณสขุ จดั สรรวคั ซนี ชนดิ นฉี้ ดี ใหเ้ ดก็ (influenza) เอป็ สไตน-์ บารรไ์ วรสั (Epstein-Barr ไทยทว่ั ประเทศ ทำใหอ้ บุ ตั กิ ารณข์ องโรคหดั ลดลง virus) สา่ ไข้ ตลอดจนไวรสั ชนดิ อน่ื ๆ มากกวา่ ใน พ.ศ. ๒๕๕๒ เหลอื เพยี งประมาณ ๑๐ คนตอ่ ๑๐๐ ชนิดที่สามารถทำให้เกิดไข้ออกผ่ืนได้ โดย ประชากรหนงึ่ แสนคน ผปู้ ว่ ยทง้ั ประเทศจงึ เหลอื อบุ ตั กิ ารณข์ องไขอ้ อกผน่ื ชนดิ ทไี่ มจ่ ำเพาะนจ้ี ะพบ ประมาณ ๗,๐๐๐ ราย แต่ยังพบการระบาดเป็น ในเดก็ เลก็ มากกวา่ เดก็ โตหรอื ผใู้ หญ่ กลมุ่ เลก็ ๆ อยบู่ า้ ง ๓. การรกั ษา ๓. โรคหดั เยอรมนั การรักษาไข้ออกผ่ืนขึ้นอยู่กับสาเหตุ และ โรคน้ีทำให้เกิดไข้ออกผ่ืนท่ีพบได้บ่อยเช่น อาการของโรคในผปู้ ว่ ย แพทยจ์ ะสบื คน้ วา่ ผน่ื มี กนั กระทรวงสาธารณสขุ เรม่ิ ฉดี วคั ซนี ปอ้ งกนั โรค ความสมั พนั ธก์ บั อาหารหรอื ยาทร่ี บั ประทานหรอื ไม่ หัดเยอรมันต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๒๙ วัคซีนป้องกัน หรอื มอี าการใดรว่ มดว้ ย ซง่ึ จะบง่ ชถี้ งึ สาเหตแุ ละ โรคหดั เยอรมนั มปี ระสทิ ธภิ าพสงู กวา่ รอ้ ยละ ๙๕ การรกั ษาทถี่ กู ทาง สำหรบั ไขอ้ อกผน่ื ทมี่ ลี กั ษณะ ใน พ.ศ. ๒๕๕๒ มอี บุ ตั กิ ารณข์ องโรคหดั เยอรมนั ไมจ่ ำเพาะและอาการไมร่ นุ แรงจะรกั ษาตามอาการ เพียง ๑ คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ปัจจุบัน เชน่ การใหย้ าแกแ้ พเ้ พอ่ื ลดอาการคนั ในกรณที ผ่ี ู้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรให้ฉีดวัคซีนรวม ป่วยมีอาการมาก มีผื่นที่รุนแรง รับประทานได้ ๓ โรคบรรจใุ นเขม็ เดยี วกนั คอื หดั -หดั เยอรมนั - น้อย มีไข้สูง ซึม รวมท้ังมีผื่นที่ทำให้มีอาการ คางทูม (MMR) ในเด็กไทยทุกคน จึงพบโรคนี้ อกั เสบของเยอื่ บุ เชน่ ตาแดง ปากเจบ็ มกั จะ นอ้ ยมากในปจั จบุ นั ตอ้ งรบั การรกั ษาในโรงพยาบาล ๔. โรคอสี กุ อใี ส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายเช่นกัน

228 ๔. ชนดิ ของไขอ้ อกผนื่ ผน่ื ของโรคอสี กุ อใี ส เปน็ ตมุ่ นนู แดง (บน) ตอ่ มาเปน็ ตมุ่ นำ้ ใส และกลายเป็นหนอง (ลา่ ง) ไข้ออกผื่นท่ีสำคัญจะกล่าวในรายละเอียด เปน็ รายโรค ดงั น้ ี พบผื่นได้หลายระยะในช่วงเวลาเดียวกัน ผ่ืนจะ หนาแนน่ บรเิ วณใบหนา้ และลำตวั ๑. โรคอสี กุ อใี ส และงสู วดั (Varicella and Herpes zoster) ผู้ป่วยมักมีอาการคันท่ีผื่นเล็กน้อย อาจพบ ตมุ่ นำ้ หรอื แผลบรเิ วณเยอื่ บตุ า่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ในปาก สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ ตา คอหอย และชอ่ งคลอด ตมุ่ ใหม่ ๆ จะเกดิ ขนึ้ ประมาณ ๕-๗ วนั จากนน้ั ผนื่ กจ็ ะคอ่ ย ๆ หายไป โรคอีสุกอีใสและงูสวัดเกิดจากการติดเช้ือ โดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีการติดเช้ือแบคทีเรีย ไวรสั ทมี่ ชี อื่ วา่ วารเิ ซลลา (varicella) ไวรสั ชนดิ นี้ ซำ้ เตมิ ทผ่ี วิ หนงั กอ่ โรคในมนษุ ยเ์ ทา่ นนั้ การตดิ เชอ้ื ครง้ั แรกทำให้ เกดิ โรคอสี กุ อใี ส หลงั จากนน้ั เชอื้ นจี้ ะซอ่ นอยใู่ น เดก็ ทเ่ี ปน็ โรคนมี้ กั มอี าการไมม่ าก อาจมตี มุ่ รา่ งกาย และถกู กระตนุ้ ใหอ้ อกมากอ่ โรคใหมเ่ ปน็ ขนึ้ ประมาณ ๒๕๐-๕๐๐ ตมุ่ ไมค่ อ่ ยมไี ข้ สว่ นใหญ่ โรคงสู วดั โรคอสี กุ อใี สตดิ ตอ่ โดยละอองฝอยของ มักว่ิงเล่นได้ รับประทานได้ แม้ว่าตุ่มกำลังขึ้น นำ้ ลาย หรอื การสมั ผสั โดยตรงกบั ผปู้ ว่ ยทเ่ี ปน็ โรค แตใ่ นผทู้ มี่ ภี มู คิ มุ้ กนั โรคตำ่ จากสาเหตตุ า่ ง ๆ เชน่ อสี กุ อใี สหรอื โรคงสู วดั สว่ นโรคงสู วดั มไิ ดเ้ กดิ จาก การรบั เชอื้ ภายนอก แตเ่ กดิ จากเชอื้ ทซ่ี อ่ นอยภู่ าย ในถูกกระตนุ้ ใหอ้ อกมากอ่ โรค เชอ้ื โรคอสี กุ อใี ส แพรไ่ ดง้ า่ ย โดยเฉพาะผทู้ อี่ าศยั อยใู่ นบา้ นเดยี วกนั หรอื อยใู่ นหอ้ งเดยี วกนั โดยผปู้ ว่ ยโรคอสี กุ อใี สจะ แพรเ่ ชอื้ ไดต้ งั้ แตก่ อ่ นมผี น่ื ขน้ึ ๑-๒ วนั จนตมุ่ แหง้ เปน็ สะเกด็ สว่ นผปู้ ว่ ยเปน็ โรคงสู วดั สามารถแพร่ เช้ือให้ผู้อื่นได้โดยการสัมผัสกับตุ่มหรือแผลที่ผู้ ปว่ ยเปน็ โรคอสี กุ อใี สมกั พบในเดก็ แตโ่ รคงสู วดั มกั พบในผสู้ งู อายุ อาการและการดำเนนิ โรค ในผู้ท่ีไม่มีภูมิคุ้มกันของโรคนี้ เม่ือได้รับ เชอื้ โรคอสี กุ อใี สแลว้ ประมาณ ๒-๓ สปั ดาห์ กจ็ ะ เร่มิ เกดิ อาการ ได้แก่ ไข้ ปวดเม่อื ย ปวดศีรษะ เบอ่ื อาหาร จากนน้ั อกี ๑-๒ วนั จงึ ปรากฏลกั ษณะ เป็นตุ่มนูนแดง และกลายเป็นตุ่มน้ำใสผนังบาง ต่อมาจึงกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วแตกออกและ แหง้ เปน็ สะเกด็ ในเวลาประมาณ ๓-๔ วนั โดยจะ

229 ผู้ท่ีเป็นมะเร็งและได้รับยาเคมีบำบัด หรือใน ไป จงึ ไมม่ ใี ครเปน็ โรคนซี้ ำ้ อกี แมจ้ ะมไี วรสั บาง ทารกแรกเกดิ อาจมอี าการรนุ แรงมากได้ และอาจ ส่วนหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทของ มคี วามเสย่ี งเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นไดม้ าก ในผใู้ หญท่ ี่ ไขสนั หลงั แตไ่ มม่ อี าการใด ๆ นอกจากเมอ่ื รา่ งกาย เปน็ อสี กุ อใี สจะมอี าการรนุ แรงกวา่ เดก็ มภี าวะออ่ นแอจากเหตตุ า่ ง ๆ เชอื้ ทซี่ อ่ นอยกู่ จ็ ะ ถกู กระตนุ้ ใหก้ อ่ โรคงสู วดั ผนื่ ของโรคงสู วดั จะมี แม้ว่าโดยท่ัวไปอาการของโรคอีสุกอีใสจะ ลกั ษณะคลา้ ยผนื่ ของโรคอสี กุ อใี ส แตจ่ ะเกดิ เฉพาะ ไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่บางคร้ังอาจมีภาวะ บริเวณท่ีเส้นประสาทของปมประสาทน้ันแผ่ไป แทรกซอ้ นเกดิ ขนึ้ ทำใหเ้ กดิ อาการทรี่ นุ แรงได้ เชน่ ทง้ั น้ี เนอ่ื งจากลกั ษณะปมประสาททส่ี นั หลงั จะมี การตดิ เชอ้ื แบคทเี รยี ซำ้ เตมิ บนผนื่ ทผี่ วิ หนงั ทำให้ ๒ ขา้ ง และแตล่ ะขา้ งจะมเี สน้ ประสาทแผไ่ ปถงึ เปน็ ฝหี นอง ตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด กระดกู อกั เสบ เพยี งกง่ึ กลางของรา่ งกาย ดงั นน้ั โรคงสู วดั จงึ เกดิ หรอื ปอดอกั เสบได้ การตดิ เชอ้ื มกั จะเกดิ จากเช้ือ บนรา่ งกายเพยี งขา้ งเดยี ว สแตฟโิ ลคอ็ กคสั ออเรยี ส (Staphylococus aureus) หรอื เชอื้ สเตรป็ โทคอ็ กคสั ไพโอจเี นส (Streptococcus คำกล่าวของคนในสมัยก่อนท่ีว่า ถ้าเป็น pyogenes) นอกจากน้ี เชอ้ื อสี กุ อใี สอาจรกุ รานเขา้ สู่ งสู วดั รอบตวั จะทำใหเ้ สยี ชวี ติ นน้ั เปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ อวยั วะตา่ ง ๆ ภายในรา่ งกาย ทำใหเ้ กดิ ปอดอกั เสบ ได้ยาก เพราะการเกิดงูสวัดจากปมประสาท ๒ ตับอักเสบ หรือสมองอักเสบ ซ่ึงมักพบในกรณี ขา้ งทร่ี ะดบั เดยี วกนั ของรา่ งกายในเวลาเดยี วกนั มี ของผทู้ มี่ รี ะบบภมู คิ มุ้ กนั โรคตำ่ มาก เมอื่ หายจาก โอกาสเกดิ ไดน้ อ้ ยมาก โรคอีสุกอีใสแล้วจะเกิดภูมิคุ้มกันต่อโรคน้ีตลอด การรกั ษา งสู วดั ทีเ่ กิดบริเวณต้นขา (บน) และลำตัว (ล่าง) การรกั ษาโรคอสี กุ อใี ส ประกอบดว้ ย การ รักษาด้วยยาต้านไวรัส ได้แก่ ยาอะไซโคลเวียร ์ (Acyclovir) หรอื ยาในกลมุ่ เดยี วกนั ยานคี้ วรให้ ผปู้ ว่ ยเพอื่ ใหห้ ายเรว็ ขน้ึ และลดภาวะแทรกซอ้ น โดยเฉพาะผู้ท่ีมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง ไดแ้ ก่ ทารก ผทู้ ม่ี ภี มู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง ผทู้ ใ่ี ชย้ ากด ภมู คิ มุ้ กนั หรอื ผทู้ ม่ี อี าการรนุ แรง ควรใหย้ าภายใน ๒-๓ วันหลังจากที่เร่ิมมีอาการป่วย มิฉะนั้นจะ ไม่ค่อยได้ผล ผปู้ ว่ ยโรคนค้ี วรไดร้ บั การรกั ษาเพอื่ บรรเทาอาการ โดยการให้ยาลดไข้ ซ่ึงควรใช้ยา พาราเซตามอล ไม่ควรใชย้ าแอสไพรนิ เพราะอาจ ทำใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากอาการผิดปกติของ ตบั ทเ่ี รยี กวา่ เรยซ์ นิ โดรม (Reye’s syndrome) ควร ได้รับยาบรรเทาอาการคัน และแนะนำให้รกั ษา

230 รา่ งกายใหส้ ะอาด อาบนำ้ ดว้ ยสบวู่ นั ละ ๒ ครง้ั เพอ่ื เมอ่ื เชอื้ เขา้ สรู่ า่ งกายจะกระจายไปทตี่ อ่ มนำ้ เหลอื ง ปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ ทผี่ วิ หนงั รวมทงั้ ควรตดั เลบ็ ให้ และกระแสเลอื ด สามารถแพรไ่ ดง้ า่ ย ผปู้ ว่ ยโรค สนั้ และหลกี เลย่ี งการแกะเกาบรเิ วณผน่ื สว่ นการ หดั จะแพรเ่ ชอ้ื ใหผ้ อู้ นื่ ในชว่ ง ๑-๒ วนั กอ่ นแสดง รกั ษาโรคงสู วดั จะคลา้ ยกนั โดยใหย้ าอะไซโคลเวยี ร์ อาการ จนถงึ ๔ วนั หลงั ปรากฏอาการผนื่ ทผ่ี วิ หนงั และทำแผลทกุ วนั ดว้ ยนำ้ เกลอื สะอาด ใสย่ าฆา่ เชอื้ ถา้ แผลมกี ารตดิ เชอ้ื แบคทเี รยี ซำ้ เตมิ อาการและการดำเนนิ โรค การปอ้ งกนั ผทู้ ไี่ มม่ ภี มู คิ มุ้ กนั โรค เมอ่ื ไดร้ บั เชอ้ื ไวรสั น้ี ประมาณ ๑-๒ สปั ดาห์ จะมอี าการไขส้ งู ตาแดง ปจั จบุ นั โรคอสี กุ อใี สสามารถปอ้ งกนั ไดด้ ว้ ย อาจพบอาการกลวั แสงรว่ มดว้ ย อาจมอี าการนำ้ มกู วคั ซนี วคั ซนี อสี กุ อใี สทำจากเชอื้ ไวรสั มชี วี ติ ทที่ ำให้ ไหล และไอ จากนนั้ จะพบผน่ื ขน้ึ ในปากบรเิ วณ ออ่ นฤทธล์ิ ง มปี ระสทิ ธภิ าพสงู สามารถปอ้ งกนั กระพุ้งแก้มท่ีเรียกว่า จดุ คอ็ ปลกิ (Koplik’s spot) การเกดิ โรคอสี กุ อใี สไดร้ อ้ ยละ ๘๐-๙๐ ผทู้ เ่ี คยได้ หลงั มไี ขป้ ระมาณ ๒-๔ วัน จะเร่ิมปรากฏผื่นท่ี รบั การฉดี วคั ซนี เมอื่ เปน็ โรคจะมอี าการนอ้ ย มี ผวิ หนงั เปน็ จดุ สแี ดง โดยเรม่ิ ปรากฏจากบรเิ วณ จำนวนตมุ่ นอ้ ย วคั ซนี นใี้ ชไ้ ดใ้ นเดก็ อายุ ๑ ปขี นึ้ ไป ไรผม หนา้ ผาก และหลงั หกู อ่ น แลว้ จงึ กระจายไป และผใู้ หญ่ โดยทวั่ ไปแนะนำใหฉ้ ดี ๒ ครงั้ เมอื่ เดก็ บรเิ วณคอ ลำตวั แลว้ กระจายตอ่ ไปยงั แขนและขา อายุ ๑ ปี และชว่ งอายุ ๔-๖ ปี ซง่ึ อยใู่ นชว่ งทต่ี อ้ ง โดยผน่ื จะหนาแนน่ ทบ่ี รเิ วณใบหนา้ และคอ ไดร้ บั การฉดี วคั ซนี ชนดิ อนื่ อยแู่ ลว้ สำหรบั ในผใู้ หญ่ ควรฉดี วคั ซนี ๒ ครง้ั หา่ งกนั ๑ เดอื น แนะนำ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงสุดในช่วงวันที่ ๕-๖ ของ ใหฉ้ ดี เฉพาะในผทู้ ไ่ี มเ่ คยเปน็ โรคอสี กุ อใี สมากอ่ น การเป็นโรค ซง่ึ เป็นช่วงเวลาเดียวกับผน่ื ข้นึ มาก ในผใู้ หญก่ อ่ นการฉดี วคั ซนี อาจตรวจเลอื ดเพอื่ ดวู า่ สดุ จนถงึ ขา หลงั จากนนั้ ไขจ้ ะลดลง เมอ่ื ใกลห้ าย มภี มู คิ มุ้ กนั โรคนแี้ ลว้ หรอื ยงั โดยเฉพาะในกรณที ี่ ผ่ืนแดงจะเร่ิมมีสีคล้ำ กลายเป็นรอยสีน้ำตาลอยู่ ไมแ่ นใ่ จวา่ เคยปว่ ยเปน็ โรคอสี กุ อใี สมากอ่ นหรอื ไม่ เปน็ สปั ดาห์ และอาการตา่ ง ๆ จะคอ่ ย ๆ ดขี น้ึ แตใ่ นเดก็ ไมต่ อ้ งตรวจเลอื ดกอ่ นฉดี ผ้ปู ว่ ยโรคหัดมกั มตี าแดงช้ำ ผทู้ ย่ี งั ไมม่ ภี มู คิ มุ้ กนั โรค หากสมั ผสั หรอื เขา้ ใกลผ้ ทู้ เ่ี ปน็ โรคอสี กุ อใี สหรอื งสู วดั สามารถปอ้ งกนั การเกิดโรคได้ด้วยการฉีดวัคซีนภายใน ๓-๕ วัน หลงั การสมั ผสั ผเู้ ปน็ โรค ๒. โรคหดั (Measles or Rubeola) สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัสมีเซิลส์ (measles) ซง่ึ กอ่ โรคเฉพาะในมนษุ ย์ เชอื้ ไวรสั มเี ซลิ ส์อยู่ใน นำ้ มกู และนำ้ ลายของผปู้ ว่ ย ตดิ ตอ่ โดยการหายใจ

231 ผน่ื โรคหดั บริเวณคอ อาจเกิดอาการสมองอักเสบแบบช้า ๆ ที่เรียกว่า subacute sclerosing panencephalitis หรอื SSPE ผื่นโรคหัดบรเิ วณลำตัว ไดใ้ นระยะเวลา ๗-๑๐ ปตี อ่ มา ผปู้ ว่ ย SSPE จะมี อาการสูญเสียการมีสติสัมปชัญญะ มีอาการชัก ผ่นื โรคหดั ท่ีกระพุ้งแก้มที่เรียกวา่ จุดคอ็ ปลิก และสญู เสยี ความสามารถในการทำงานของสมอง จนในทส่ี ดุ อาจชว่ ยเหลอื ตวั เองไมไ่ ดแ้ ละเสยี ชวี ติ ในระยะทม่ี ไี ข้ ผปู้ ว่ ยมกั มอี าการออ่ นเพลยี รบั ประทานไดน้ อ้ ย ถา้ เปน็ เดก็ เลก็ หรอื เดก็ ทข่ี าด การรกั ษา สารอาหาร และผทู้ ม่ี รี ะบบภมู คิ มุ้ กนั โรคออ่ นแอ หรอื ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ งจากสาเหตตุ า่ ง ๆ จะมอี าการ ปจั จบุ นั ยงั ไมม่ ยี าตา้ นไวรสั ทจ่ี ำเพาะสำหรบั หนกั มาก และมโี อกาสเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นไดง้ า่ ย รกั ษาโรคหดั ดงั นน้ั การรกั ษาโรคหดั จงึ เปน็ การ ไดแ้ ก่ การตดิ เชอ้ื ไวรสั หดั แพรก่ ระจายไปยงั ปอด รกั ษาแบบประคบั ประคอง โดยใหย้ าทเุ ลาอาการ สมอง และอวยั วะอนื่ ๆ รวมทง้ั อาจเกดิ การตดิ เชอื้ ตา่ ง ๆ การใหส้ ารนำ้ และอาหารอยา่ งเหมาะสม และ แบคทีเรียซ้ำเติม เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด รกั ษาภาวะแทรกซอ้ น นอกจากนี้ การใหว้ ติ ามนิ เอ และอาจเสยี ชวี ติ ได ้ จะชว่ ยลดอตั ราการตายในผปู้ ว่ ยโรคหดั จงึ ควรใช้ วติ ามนิ เอเพอ่ื รกั ษาโรคหดั ในผปู้ ว่ ยทกุ ราย เม่ือผู้ป่วยหายจากโรคหัดจะมีภูมิคุ้มกันต่อ โรคนต้ี ลอดชวี ติ แตบ่ างรายซง่ึ มจี ำนวนนอ้ ยมาก การปอ้ งกนั ในปัจจุบันพบจำนวนผู้ป่วยโรคหัดน้อยลง มาก เนอื่ งจากมกี ารใชว้ คั ซนี ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและ มคี วามปลอดภยั ในการปอ้ งกนั โรค ในประเทศไทย เร่ิมมีการใช้วัคซีนต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสขุ ไดจ้ ดั สรรวคั ซนี รวม ๓ โรค ในเขม็ เดยี วกนั คอื วคั ซนี หดั -หดั เยอรมนั -คางทมู (MMR) ให้แก่เด็กไทยทุกคน โดยกำหนดให้ฉีด เขม็ แรกในเดก็ อายุ ๙-๑๒ เดอื น และเขม็ ท่ี ๒ อายุ โ๒ด๒๑_ย-เฉ๖พปาี ะสอ่วายนนุ ผอ้ ู้ใหยกญว่ทา่ ี่ไ๓ม๐่เคยปไี ดย้รงัับมกคี าวราฉมีดเสวยี่ัคงซตีนอ่ โรคหดั สมควรไดร้ บั การฉดี ดว้ ย สว่ นผสู้ งู อายทุ ่ี เคยเปน็ หดั แลว้ ตงั้ แตก่ อ่ นเรม่ิ มกี ารใช้วัคซีนมักมี ภมู ติ า้ นทานโรคแลว้ นอกจากนี้ การฉดี วคั ซนี ยงั สามารถปอ้ งกนั โรคในผทู้ ไี่ ดส้ มั ผสั หรอื ใกลช้ ดิ กบั ผปู้ ว่ ยโรคหดั หากมกี ารใหฉ้ ดี วคั ซนี ภายใน ๗๒ ชว่ั โมงหลงั การสมั ผสั โรค

232 ๓. โรคหดั เยอรมนั (Rubella) ผู้ป่วยบางรายมีผ่ืนข้ึน มีลักษณะสีชมพูอ่อน ๆ สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ ไมน่ นู มกั แยกกนั ชดั เจน โดยผนื่ เรมิ่ ขนึ้ ทห่ี นา้ ผาก แถบไรผม กระจายมายงั รอบปาก และใบหกู อ่ นทอี่ น่ื โรคหัดเยอรมันเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีช่ือว่า แลว้ ลามลงมาทคี่ อ แขนและขา จนกระจายไปทว่ั ตวั รูเบลลา (rubella) ไวรัสน้ีก่อโรคเฉพาะในมนุษย์ ภายใน ๒๔ ช่ัวโมง บริเวณใบหน้าไม่ค่อยมีผ่ืน เทา่ นนั้ โรคนพี้ บทง้ั ในเดก็ และผใู้ หญ ่ เชอื้ ไวรสั ผื่นมักข้ึนวันเดียวกับท่ีมีไข้ อาจมีอาการคันร่วม จะอยใู่ นนำ้ มกู นำ้ ลายของผปู้ ว่ ย ตดิ ตอ่ โดยการไอ ดว้ ยหรอื ไมม่ กี ไ็ ด ้ ผน่ื มกั หายไดเ้ องภายใน ๓-๖ วนั จาม หรอื หายใจรดกนั เหมอื นไขห้ วดั หรอื โรคหดั โดยทวั่ ไปจะจางหายอยา่ งรวดเรว็ ไมท่ งิ้ รอยดำให้ ผู้ป่วยโรคหัดเยอรมันสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อ่ืนได้ เหน็ นอกจากน้ี ลกั ษณะสำคญั ของโรคนค้ี อื มกั ต้ังแต่ก่อนจะมีผ่ืนข้ึน ๒-๓ วัน จนถึงช่วงมีผื่น คลำพบตอ่ มนำ้ เหลอื งโตบรเิ วณหลงั ห ู หลงั คอ และ แลว้ ๑ สปั ดาห ์ มกั พบการระบาดในโรงเรยี นและ ทา้ ยทอย ผปู้ ว่ ยบางรายอาจมอี าการปวดขอ้ ขอ้ ทท่ี ำงาน อาการของโรคหดั เยอรมนั จะมไี ขแ้ ละมผี นื่ อกั เสบ โดยเฉพาะผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ และผใู้ หญ ่ บางราย คลา้ ยโรคหดั แตม่ คี วามรนุ แรงและโรคแทรกซอ้ น อาจมผี น่ื ขนึ้ โดยไมม่ ไี ข ้ หรอื มไี ขโ้ ดยไมม่ ผี น่ื กไ็ ด ้ นอ้ ยกวา่ โรคหดั เกออรค์ เดอ มาทนุ (George de ประมาณครงึ่ หนง่ึ ของผทู้ ตี่ ดิ เชอื้ หดั เยอรมนั จะไม่ Maton) แพทย์ชาวเยอรมัน เป็นคนแรกท่ีให้คำ แสดงอาการใด ๆ เลย ตอ้ งตรวจเลอื ดเทา่ นนั้ จงึ จะ อธบิ ายวา่ โรคนเ้ี ปน็ โรคใหมท่ ต่ี า่ งจากโรคหดั จงึ ทราบวา่ ตดิ เชอ้ื เรยี กวา่ โรคหดั เยอรมนั ในประเทศไทยโรคนมี้ ชี อื่ เรยี กอกี ชอ่ื หนงึ่ วา่ เหอื ด โรคหดั เยอรมนั ไมใ่ ชโ่ รครา้ ยแรง ถา้ เปน็ ใน เดก็ หรอื ผใู้ หญท่ ว่ั ไปมกั จะหายไดเ้ องภายใน ๓-๕ อาการและการดำเนนิ โรค วนั โดยไมม่ โี รคแทรกซอ้ นทรี่ นุ แรง เมอ่ื หายจาก โรคจะมภี มู คิ มุ้ กนั ตลอดชวี ติ ความสำคญั ของโรคนี้ เม่ือได้รับเชื้อไวรัสประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ คอื ถา้ เกดิ ในหญงิ ทตี่ งั้ ครรภใ์ นชว่ งไตรมาสแรก ผปู้ ว่ ยจะเรม่ิ มอี าการออ่ นเพลยี ปวดศรี ษะ เยอ่ื บุ ตาอกั เสบ มไี ขต้ ำ่ ถงึ ปานกลาง ประมาณ ๑-๕ วนั ผ้ปู ่วยโรคหดั เยอรมันมผี ่ืนขน้ึ ตามลำตวั ทารกแรกเกดิ ทเ่ี ปน็ โรคหดั เยอรมันแต่กำเนดิ

233 (๑-๓ เดอื น) เชอ้ื ไวรสั อาจแพรก่ ระจายเขา้ สทู่ ารก เพื่อป้องกันทารกติดเช้ือและพิการ ต่อมาตั้งแต ่ ในครรภ ์ ทำใหท้ ารกตดิ เชอื้ ตงั้ แตอ่ ยใู่ นครรภเ์ ปน็ พ.ศ. ๒๕๔๐ นโยบายเปลยี่ นเปน็ การฉดี วคั ซนี รวม โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด ถ้าแม่ติดเชื้อในระยะ คอื หดั -หดั เยอรมนั -คางทมู (MMR) ใหแ้ กเ่ ดก็ ทกุ ๑๒ สปั ดาหแ์ รก จะทำใหท้ ารกพกิ ารถงึ รอ้ ยละ ๘๕ คน เพอ่ื กำจดั โรคใหห้ มดไป สำหรบั ผใู้ หญท่ ยี่ งั และรอ้ ยละ ๒๕ ในไตรมาสที่ ๒ ของการตง้ั ครรภ์ ไมเ่ คยไดร้ บั วคั ซนี นม้ี ากอ่ น ควรฉดี ๑ เขม็ โดย (๓-๖ เดอื น) อาการของทารกทเี่ ปน็ โรคหดั เยอรมนั เฉพาะกลมุ่ หญงิ วยั เจรญิ พนั ธ ุ์ หลงั ฉดี วคั ซนี จะตอ้ ง แต่กำเนิด ได้แก ่ ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หู คมุ กำเนดิ ไวอ้ ยา่ งนอ้ ย ๑ เดอื น เพราะวคั ซนี ชนดิ หนวก หวั ใจพกิ าร นำ้ หนกั ตวั นอ้ ยกวา่ ปกต ิ ตบั นเ้ี ปน็ วคั ซนี ทใี่ ชเ้ ชอื้ ไวรสั ทม่ี ชี วี ติ นำมาทำใหอ้ อ่ น และมา้ มโต ซดี มจี ำ้ เขยี วขนึ้ ตามตวั สมองอกั เสบ แรง จงึ ตอ้ งมกี ารคมุ กำเนดิ หลงั ฉดี วคั ซนี และไม่ และปญั ญาออ่ น ความพกิ ารเหลา่ นอ้ี าจเกดิ รว่ มกนั ควรฉดี ในหญงิ ตง้ั ครรภ ์ หลายอยา่ ง หรอื เกดิ เพยี งอยา่ งเดยี วกไ็ ด ้ ๔. สา่ ไข้ หรอื ไขผ้ นื่ กหุ ลาบ (Roseola การรกั ษา Infatum) โรคหดั เยอรมนั เปน็ โรคทหี่ ายไดเ้ อง ไมม่ ยี า สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ ทจ่ี ำเพาะสำหรบั การรกั ษา วธิ กี ารรกั ษาคอื การ รับประทานยาเพอื่ บรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข ้ ส่าไข้หรือท่ีเรียกว่า ไข้ผ่ืนกุหลาบ มักเกิด ถา้ มอี าการคนั ใหท้ ายาแกผ้ น่ื คนั หญงิ ตง้ั ครรภใ์ น จากเชอื้ เฮอรพ์ สี ไ์ วรสั แบบชนดิ ๖ ในคน (human ไตรมาสแรกที่มีอาการไข้และมีผ่ืนขึ้น หรืออยู่ herpesvirus type 6) หรอื เอชเอชวี ๖ (HHV6) หรอื ใกลช้ ดิ กบั ผทู้ เี่ ปน็ โรคหดั เยอรมนั แมจ้ ะไมม่ อี าการ อาจเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอื่นได้บ้าง ติดต่อโดย ใด ๆ กต็ าม ควรไปพบแพทย ์ เพอื่ พจิ ารณาตรวจ การหายใจและไดร้ บั ละอองเสมหะของผปู้ ว่ ยทไ่ี อ เลอื ดวา่ มภี มู ติ า้ นทานตอ่ โรคนอ้ี ยกู่ อ่ นแลว้ หรอื ไม ่ หรอื จามรด โดยสมั ผสั กบั นำ้ ลายหรอื เสมหะของ การตรวจเลอื ด ๒ ครง้ั หา่ งกนั ประมาณ ๒ สปั ดาห ์ ผปู้ ว่ ยในระยะตดิ ตอ่ คอื ๒ วนั กอ่ นมไี ข ้ และระยะ จะชว่ ยยนื ยนั วา่ มกี ารตดิ เชอื้ เกดิ ขน้ึ หรอื ไม ่ ถา้ ผล มไี ขถ้ งึ ๒ วนั หลงั จากไขล้ ด เนอื่ งจากโรคนมี้ กั เกดิ การตรวจยืนยันว่า หญิงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกติด ในเดก็ เลก็ และทารก ดงั นน้ั การตดิ ตอ่ อาจผา่ นทาง เชอ้ื หดั เยอรมนั แพทยอ์ าจพจิ ารณาและแนะนำให้ ของเลน่ ทผ่ี ปู้ ว่ ยนำใสป่ าก หรอื สมั ผสั กบั มอื ของผู้ ยตุ กิ ารตง้ั ครรภ ์ ดแู ลเดก็ ทป่ี ว่ ย โรคนเี้ ปน็ โรคทพ่ี บบอ่ ย มกั ตดิ ตอ่ ระหวา่ งเดก็ ทอ่ี ยบู่ า้ นเดยี วกนั หรอื เดก็ ทเ่ี ลยี้ งรว่ มกนั การปอ้ งกนั อาการและการดำเนนิ โรค โรคน้ีสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสขุ ของประเทศไทย ไดเ้ รม่ิ ฉดี หลงั จากไดร้ บั เชอื้ ไวรสั ประมาณ ๙-๑๐ วนั วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันให้แก่เด็กนักเรียน เด็กจะมีไข้สูงแบบเฉียบพลัน ตัวร้อนตลอดเวลา หญงิ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๒๙ สว่ นใหญม่ กั ไมม่ อี าการอน่ื ๆ รว่ ม บางรายอาจจะ โดยมุ่งลดปัญหาโรคหัดเยอรมันในหญิงต้ังครรภ ์ มอี าการหงดุ หงดิ งอแง เบอ่ื อาหาร หรอื เจบ็ คอ

234 ผืน่ ส่าไข้บรเิ วณหลังห ู การรกั ษา ผื่นสา่ ไข้บรเิ วณลำตวั โรคนเี้ ปน็ โรคทไ่ี มร่ นุ แรงและหายไดเ้ อง วธิ ี การรกั ษาในระยะทมี่ ไี ขส้ งู คอื ผปู้ ว่ ยดมื่ นำ้ มาก ๆ มีน้ำมูกใส ไอ หรือท้องเดินเล็กน้อย บางราย เชด็ ตวั และรบั ประทานยาลดไข้ สว่ นในระยะผนื่ ตอ่ มนำ้ เหลอื งบรเิ วณคออาจโต มกี ระหมอ่ มหนา้ ขน้ึ ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งรบั ประทานยาใด ๆ เพราะเปน็ โปง่ ตงึ บางรายขณะไขข้ นึ้ สงู อาจมอี าการชกั โดย ระยะทก่ี ำลงั จะหายปว่ ยแลว้ เฉพาะในเด็กอายุ ๖-๑๒ เดือน อาการไข้จะเป็น ประมาณ ๓-๗ วัน หลังจากน้ันไข้จะลดลงอย่าง การปอ้ งกนั รวดเรว็ ชว่ งทไ่ี ขล้ ดจะมผี น่ื เลก็ ๆ นนู เลก็ นอ้ ย สี แดงขน้ึ ทห่ี นา้ อก หลงั ทอ้ ง กระจายไปทใี่ บหนา้ วิธีการป้องกันท่ีดีท่ีสุด คือ แยกผู้ป่วยและ คอและแขน ผนื่ จะไมค่ นั และเปน็ อยไู่ มน่ านกจ็ ะ ของเล่นจนพ้นระยะที่โรคติดต่อ ผู้ดูแลเด็กและ จางหายไป ขณะท่ีผ่ืนขึ้นจะเป็นช่วงท่ีหายจาก ผใู้ กลช้ ดิ กบั ผปู้ ว่ ยควรหมนั่ ลา้ งมอื บอ่ ย ๆ ดว้ ยสบู่ อาการปว่ ย เดก็ จะดเู ปน็ ปกตแิ ละรา่ เรงิ ดี โรคนี้ หรอื แอลกอฮอลเ์ จลทกุ ครงั้ ทสี่ มั ผสั ผปู้ ว่ ยหรอื ของ หลงั จากหายแลว้ มกั จะไมเ่ ปน็ ซำ้ อกี ใชข้ องผปู้ ว่ ย โรคนย้ี งั ไมม่ วี คั ซนี สำหรบั ปอ้ งกนั ๕. โรคอดี ำอแี ดง (Scarlet fever) สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ โรคอดี ำอแี ดง หรอื โรคไขส้ การเ์ ลต เกดิ จาก การตดิ เชอื้ แบคทเี รยี สเตรป็ โทคอ็ กคสั ไพโอจเี นส ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ โรคไดห้ ลายชนดิ เชน่ ทอนซลิ อกั เสบ โรคติดเช้ือทางผิวหนังเป็นฝีหนอง ปอดอักเสบ ภายหลังการติดเชื้อยังทำให้เกิดโรคหัวใจรูมาติก เฉยี บพลนั (acute rheumatic fever) หรอื ไตอกั เสบ เฉยี บพลนั (acute glomerulonephritis) การตดิ เชอ้ื นี้ พบบอ่ ยในเดก็ อายุ ๕-๑๕ ปี หากเชอ้ื กอ่ โรคเปน็ สายพนั ธท์ุ สี่ รา้ งสารพษิ ชนดิ อรี โิ ทรเจนกิ ทอกซนิ (erythrogenic toxin) ซง่ึ สารพษิ นจี้ ะถกู ปลอ่ ยเขา้ สู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคอีดำอีแดง เช้ือก่อ โรคจะอาศยั อยู่ในลำคอของผปู้ ่วย แตอ่ าจพบใน ลำคอของผทู้ แ่ี ขง็ แรงดโี ดยไมม่ อี าการปว่ ยใด ๆ กไ็ ด้ เชอื้ นตี้ ดิ ตอ่ โดยการหายใจและไดร้ บั ละอองเสมหะ ของผปู้ ว่ ย หรอื ผทู้ มี่ เี ชอ้ื นใี้ นลำคอไอหรอื จามรด หรอื โดยการสมั ผสั นำ้ ลายหรอื เสมหะ

235 อาการและการดำเนนิ โรค ลนิ้ เปน็ เหมอื นผวิ สตรอวเ์ บอรร์ แี ดง (red strawberry tongue) หลงั จากไดร้ บั เชอื้ ประมาณ ๑-๗ วนั ผปู้ ว่ ย จะมไี ขส้ งู หนาวสน่ั เจบ็ คอมาก และปวดศรี ษะ ผนื่ เรม่ิ จางหายหลงั ไขข้ น้ึ ประมาณ ๓-๔ วนั รวมทง้ั ออ่ นเพลยี ปวดเมอื่ ยตามตวั อาจมอี าเจยี น อาการไข้และเจ็บคอมักคงอยู่ประมาณ ๕-๖ วัน และปวดท้องร่วมด้วย ในลำคอผู้ป่วยจะแดงช้ำ แตไ่ ข้จะลดลงอยา่ งรวดเร็วถา้ ไดร้ บั ยาปฏชิ ีวนะท่ี ตอ่ มทอนซลิ บวมและอาจมหี นองบนตอ่ มทอนซลิ เหมาะสม หลงั จากผนื่ จางไดป้ ระมาณ ๑ สปั ดาห์ ตอ่ มนำ้ เหลอื งใตค้ างโตและเจบ็ หลงั จากนนั้ ๑๒- ผวิ หนงั จะลอกหลดุ เปน็ ขยุ โดยเรมิ่ จากใบหนา้ มา ๔๘ ชว่ั โมง จะเรม่ิ มผี น่ื แดงขนึ้ บรเิ วณคอ หนา้ อก ทลี่ ำตวั บรเิ วณปลายนวิ้ มอื และนวิ้ เทา้ ตามลำดบั และรกั แร้ โดยจะกระจายไปตามลำตวั และแขนขา ภายใน ๒๔ ชว่ั โมง ผนื่ มลี กั ษณะเปน็ ตมุ่ นนู เลก็ ๆ อาการแทรกซอ้ นของโรคอดี ำอแี ดงหากไม่ เมอ่ื คลำจะสากคลา้ ยกระดาษทราย อาจมอี าการ ไดร้ บั การรกั ษา คอื การตดิ เชอื้ อาจลกุ ลามเขา้ ไปสู่ คนั ผน่ื จะเดน่ ชดั และเหน็ เปน็ เสน้ ชดั ตามรอ่ งของ อวยั วะตา่ ง ๆ ทำใหเ้ กดิ ไซนสั อกั เสบ ปอดอกั เสบ ผวิ หนงั ตามบรเิ วณขอ้ พบั เรยี กวา่ เสน้ พาสเทยี หรอื อาจรุนแรงจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (Pastia’s lines) ผปู้ ว่ ยจะมใี บหนา้ แดงแตร่ อบปาก ทกี่ ระดกู และขอ้ หรอื ในสมอง ซง่ึ อาจรนุ แรงมาก ซดี สว่ นลน้ิ เปน็ ฝา้ ขาวและมตี มุ่ แดงยนื่ ขน้ึ เปน็ ได้ นอกจากน้ี ผปู้ ว่ ยทไี่ มไ่ ดร้ บั การรกั ษาหรอื ไดร้ บั ตมุ่ ๆ กระจาย คลา้ ยผลสตรอวเ์ บอรร์ ี เรยี กวา่ ลนิ้ ยาปฏชิ วี นะไมค่ รบ อาจเกดิ โรคไตอกั เสบหรอื โรค สตรอวเ์ บอรร์ ขี าว (white strawberry tongue) อกี ไข้รมู าตกิ ภายหลงั จากหายปว่ ยจากโรคอดี ำอแี ดง ๔-๕ วนั ตอ่ มา ฝา้ ขาวทล่ี นิ้ จะลอกเปน็ สแี ดง ทำให้ แลว้ ประมาณ ๑-๒ เดอื น ลักษณะล้นิ เหมือนผวิ สตรอว์เบอรร์ ใี นผปู้ ่วยโรคอีดำอีแดง ภายหลงั หายปว่ ยแลว้ ผทู้ เี่ คยเปน็ โรคนม้ี กั จะไม่เป็นโรคซ้ำอีก แม้ว่าอาจจะยังมีการติดเชื้อ สเตรป็ โทคอ็ กคสั ไพโอจเี นส ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ โรค ทอนซลิ อกั เสบ หรอื แผลฝหี นองซำ้ ไดอ้ กี การรกั ษา โรคอีดำอีแดงควรรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ โรคน้ีมีการตอบสนองดีต่อยาในกลุ่มเพนิซิลลิน (penicillin) กลมุ่ เซฟาโลสปอรนิ (cephalosporin) หรอื กลมุ่ อรี โิ ทรไมซนิ (erythromycin) และควรให้ ยานาน ๑๐ วนั แมว้ า่ อาการจะหายแลว้ กย็ งั ตอ้ งใช้ ยาตอ่ จนครบ ๑๐ วนั เพราะหากใหไ้ มค่ รบ ๑๐ วนั จะ ไมป่ อ้ งกนั การเกดิ โรคไตอกั เสบหรอื หวั ใจรมู าตกิ ทอี่ าจเกดิ ขนึ้ ภายหลงั ผปู้ ว่ ยทมี่ อี าการมากควรได้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาล และอาจตอ้ งใชย้ าฉดี

236 การปอ้ งกนั วิธีป้องกันโรคที่สำคัญคือ การแยกผู้ป่วย จนกว่าผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะแล้วอย่างน้อย ๒๔ ชว่ั โมง จงึ ไมส่ ามารถจะแพรเ่ ชอ้ื ใหค้ นอน่ื ได้ วธิ ปี อ้ งกนั โดยทวั่ ไปคอื รกั ษารา่ งกายใหแ้ ขง็ แรง พักผ่อนเต็มท่ี รักษาร่างกายให้อบอุ่นไม่ให้เปน็ หวดั ไมอ่ ยใู่ นทท่ี มี่ ผี คู้ นแออดั รกั ษาสขุ อนามยั ซง่ึ จะชว่ ยลดโอกาสการตดิ เชอื้ ทจี่ ะทำใหเ้ กดิ โรคนไี้ ด้ โรคนย้ี งั ไมม่ วี คั ซนี สำหรบั ปอ้ งกนั ๖. โรคมือ เท้า ปาก (Hand-foot-and- โรคมือ เทา้ ปาก มีผ่นื เป็นเม็ดตุ่มใสบริเวณฝ่ามือ (บน) และ mouth disease) ฝา่ เท้า (ล่าง) สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ ผปู้ ว่ ยจะเรมิ่ มอี าการไขต้ ำ่ ๆ เบอื่ อาหาร ปวดเมอ่ื ย ไมส่ บายตวั และเจบ็ คอ โดยจะมอี าการประมาณ โรคมือ เท้า ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ๑-๒ วนั หลงั จากนนั้ จะเรมิ่ มแี ผลรอ้ นในเกดิ ขน้ึ ใน กลมุ่ เอนเทอโรไวรสั (enterovirus) หลายตวั เชอื้ ปาก ลกั ษณะเปน็ จดุ แดง ๆ มเี มด็ พองใส ตอ่ มาจะ ไวรสั ตวั ทพ่ี บวา่ เปน็ สาเหตบุ อ่ ยทส่ี ดุ คอื เชอ้ื ไวรสั แตกและกลายเปน็ แผล พบทเี่ พดานปากและเยอื่ บุ คอกซแ์ ซกกเี อ ๑๖ (coxsackie virus A16) และ กระพงุ้ แกม้ ทง้ั ๒ ขา้ ง ทผี่ วิ หนงั ของผปู้ ว่ ยจะมผี นื่ เอนเทอโรไวรสั ๗๑ (EV 71) เปน็ คนละชนดิ กบั เปน็ จดุ แดงเลก็ ๆ อาจนนู เลก็ นอ้ ย และมีลักษณะ โรคเท้าและปาก (Foot-and-mouth disease) ซ่ึง เปน็ ตมุ่ นำ้ ใสขอบแดง ไมม่ อี าการคนั พบมากที่ เกดิ กบั โค กระบอื โรคนพ้ี บบอ่ ยในเดก็ เลก็ มกั ฝา่ มอื ฝา่ เทา้ บางครง้ั อาจพบตามแขนขา บางราย ระบาดในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล มผี นื่ ทผี่ วิ หนงั และแผลในปากนอ้ ยมาก และอาจ ตดิ ตอ่ คอ่ นขา้ งงา่ ยผา่ นทางการสมั ผสั สารคดั หลง่ั มไี ขน้ อ้ ยมาก หรอื ไมม่ อี าการใด ๆ ปรากฏ ในขณะ เชน่ นำ้ มกู นำ้ ลาย หรอื อจุ จาระของผปู้ ว่ ย มกั ม ี ทบี่ างรายอาจมไี ขส้ งู รบั ประทานไดน้ อ้ ย นำ้ ลายยดื การแพรเ่ ชอ้ื ผา่ นของเลน่ ทเ่ี ดก็ วยั นช้ี อบนำเขา้ ปาก เจบ็ ปากมาก หรอื มผี นื่ จำนวนมาก เน่ืองจากเช้ือไวรัสจะอยู่ในอุจจาระเปน็ เวลานาน หลายสปั ดาหแ์ มจ้ ะหายจากโรคแลว้ ดงั นน้ั ผดู้ แู ล เดก็ ทปี่ ว่ ยอาจสมั ผสั เชอ้ื ไวรสั ขณะเปลย่ี นผา้ ออ้ ม และนำไปตดิ เดก็ คนอนื่ การระบาดมกั พบในชว่ ง ฤดฝู น ซงึ่ มอี ากาศชนื้ อาการและการดำเนนิ โรค หลังจากได้รับเชื้อไวรัสประมาณ ๓-๗ วัน

237 โดยปกติแล้ว เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีไข้ การปอ้ งกนั อ่อนเพลีย เจ็บปาก อาการน้ีจะเป็นอยู่ประมาณ ๒-๓ วัน จากนั้นจะหายเองโดยที่ผ่ืนค่อย ๆ เร่ิม การป้องกันและควบคุมไม่ให้โรคน้ีระบาด ตกสะเกด็ และหายไปภายใน ๗-๑๐ วนั โดยไมท่ งิ้ คอื การแยกเดก็ ทปี่ ว่ ยไมใ่ หไ้ ปโรงเรยี น สถานรบั รอยแผลเป็นให้เห็น และไมค่ อ่ ยมโี รคแทรกซอ้ น เล้ียงเด็ก หรือเล่นกับเด็กคนอ่ืน ผู้ดูแลเด็กต้อง แตบ่ างรายทเี่ ปน็ มากอาจมภี าวะแทรกซอ้ นได้ เชน่ หมนั่ ลา้ งมอื บอ่ ย ๆ ดว้ ยนำ้ สบู่ (ใชแ้ อลกอฮอลถ์ มู อื ภาวะขาดนำ้ เพราะไมส่ ามารถรบั ประทานอาหาร จะฆา่ เชอื้ ไมไ่ ด)้ โดยเฉพาะหลงั เปลย่ี นผา้ ออ้ ม กอ่ น และนำ้ ได้ ตอ้ งเขา้ รบั การรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลเพอื่ เตรยี มอาหาร และสมั ผสั กบั นำ้ มกู หรอื นา้ํ ลายของ ใหส้ ารนำ้ ทางหลอดเลอื ด บางรายมอี าการอจุ จาระ เด็ก เน่ืองจากเชื้อจะขับออกได้ทางอุจจาระของ รว่ งดว้ ย ทำใหร้ า่ งกายขาดนำ้ ผปู้ ว่ ยบางรายอาจ ผู้ป่วยเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ผู้ดูแลจึงต้อง มภี าวะแทรกซอ้ นทรี่ นุ แรงมากซงึ่ พบนอ้ ยมาก และ เนน้ เรอ่ื งการลา้ งมอื หลงั จากชว่ ยดแู ลเดก็ ทข่ี บั ถา่ ย มกั เกดิ จากการตดิ เชอ้ื เอนเทอโรไวรสั ๗๑ ไดแ้ ก่ หรอื เปลย่ี นผา้ ออ้ ม ซงึ่ เดก็ ทป่ี ว่ ยอาจปลอ่ ยเชอื้ ทาง ภาวะกา้ นสมองอกั เสบ (brainstem encephalitis) อจุ จาระไดน้ านแมเ้ ดก็ จะหายปว่ ยแลว้ รวมทง้ั ตอ้ ง นำ้ ทว่ มปอด (acute pulmonary edema) กลา้ มเนอ้ื เนน้ เรอ่ื งการทาํ ความสะอาดพนื้ ทเ่ี ปอื้ น ตลอดจน หวั ใจอกั เสบ (myocarditis) ผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะแทรกซอ้ น เครอื่ งใช้ ของเลน่ และเสอื้ ผา้ ทอี่ าจปนเปอ้ื นเชอ้ื รนุ แรงเหลา่ นม้ี กั มอี าการไขส้ งู ชกั กระตกุ ซมึ และ ปจั จบุ นั ยงั ไมม่ วี คั ซนี สำหรบั ปอ้ งกนั โรคนี้ การทำ อาจหอบจนตวั เขยี ว มกั เกดิ รวดเรว็ ในเวลา ๑-๓ ความสะอาดของเล่นและสิ่งแวดล้อมให้ใช้น้ำยา วนั ซงึ่ อนั ตรายอยา่ งมาก และเสยี่ งตอ่ การเสยี ชวี ติ ฟอกขาวโซเดยี มไฮโปคลอไรด์ ๐.๕-๑ เปอรเ์ ซน็ ต์ ได้สูง หรือเสี่ยงต่อการเกิดความพิการหลังจาก นำ้ ยาลา้ งพน้ื หรอื ผงซกั ฟอกกไ็ ด้ หากมกี ารระบาด หายจากอาการป่วยได้มาก ผู้ป่วยท่ีหายจากโรค มากในโรงเรยี นอนบุ าลหรอื สถานรบั เลย้ี งเดก็ อาจ มอื เทา้ ปากอาจเปน็ โรคนซ้ี ำ้ ได้ แตไ่ มบ่ อ่ ย ตอ้ งปดิ ชว่ั คราว และทำความสะอาดของเลน่ และ สง่ิ แวดลอ้ ม จะชว่ ยทเุ ลาการระบาดได้ การรกั ษา ๗. โรคฟฟิ ท์ (Fifth Disease) หรอื อรี ทิ มี า โรคมอื เทา้ ปากเปน็ โรคทห่ี ายไดเ้ อง และ อนิ เฟกทโิ อซมั (Erythema infectiosum) ไมม่ ยี าทจี่ ำเพาะสำหรบั การรกั ษา วธิ กี ารรกั ษาจงึ เป็นการรักษาแบบประคับประคองและบรรเทา สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ อาการ ไดแ้ ก่ การลดไข้ และลดอาการเจบ็ ปวด จากแผลในปาก รวมทงั้ ผปู้ กครองสงั เกตอาการท่ี โรคฟฟิ ทเ์ ปน็ โรคทเี่ กดิ จากการตดิ เชอื้ พารโ์ ว บง่ ถงึ ภาวะแทรกซอ้ นรนุ แรง เชน่ ไขส้ งู ซมึ ลง ไวรสั บี ๑๙ ในคน (human parvovirus B19) พบ อาเจยี นบอ่ ย ๆ ไมย่ อมรบั ประทานอาหารและนาํ้ ไดไ้ มบ่ อ่ ย ตดิ ตอ่ โดยการหายใจและไดร้ บั ละออง ซง่ึ จะตอ้ งรบี นำผปู้ ว่ ยเขา้ รกั ษาในโรงพยาบาล เสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามรด มักพบในเด็ก วยั เรยี นและวยั รนุ่

238 การรกั ษา โรคน้ีหายได้เองโดยไม่ต้องให้การรักษาท่ี จำเพาะ การรกั ษาเปน็ เพยี งเพอ่ื บรรเทาอาการ ผู้ ปว่ ยทมี่ อี าการซดี มากตอ้ งไดร้ บั การใหเ้ ลอื ด การปอ้ งกนั โรคนป้ี อ้ งกนั ไดด้ ว้ ยการลา้ งมอื บอ่ ย ๆ และ หลกี เลย่ี งการอยใู่ นทที่ ม่ี ผี คู้ นหนาแนน่ และควร แยกผปู้ ว่ ยโดยเฉพาะในชว่ งทผี่ ปู้ ว่ ยมไี ข้ ผ้ปู ว่ ยโรคฟฟิ ทม์ ีผ่ืนแดงจดั ท่ีแกม้ ลกั ษณะเหมือนถกู ตบหนา้ ๘. โรคคาวาซากิ (Kawasaki) สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ อาการและการดำเนนิ โรค โรคคาวาซากิมีความสำคัญเน่ืองจากเป็น ผู้ท่ีได้รับเชื้อไวรัส ส่วนหน่ึงจะติดเชื้อโดย สาเหตขุ องโรคหวั ใจชนดิ ทไี่ มไ่ ดเ้ ปน็ แตก่ ำเนดิ ใน ไมม่ อี าการใด ๆ แตส่ ว่ นใหญเ่ มอื่ ไดร้ บั เชอ้ื แลว้ จะ เด็ก โรคน้ีพบบ่อยในเด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กท่ีมี มอี าการไข้ ไมส่ บายเลก็ นอ้ ย เชน่ ปวดเมอื่ ย ปวด อายชุ ว่ ง ๑-๕ ปี แตพ่ บไดน้ อ้ ยในเดก็ เลก็ ทมี่ อี ายุ กลา้ มเนอื้ ปวดศรี ษะ อาจพบการปวดขอ้ หรอื มขี อ้ นอ้ ยกวา่ ๖ เดอื น และเดก็ โตทมี่ อี ายมุ ากกวา่ ๑๒ ปี อกั เสบ จากนนั้ จะมผี น่ื เกดิ ขน้ึ ผนื่ มลี กั ษณะเฉพาะ สาเหตขุ องโรคยงั ไมท่ ราบแนช่ ดั แตเ่ ชอ่ื วา่ มคี วาม มี ๓ ระยะคอื ระยะแรกมผี น่ื แดงจดั ทแี่ กม้ ลกั ษณะ สมั พนั ธก์ บั การตดิ เชอ้ื จลุ ชพี บางชนดิ ยงั ไมท่ ราบวา่ เหมอื นถกู ตบหนา้ (slapped-cheek) รอบปากขาวซดี มสี าเหตจุ ากเชอ้ื ชนดิ ใดและวธิ กี ารตดิ ตอ่ โดยทวั่ ไป ระยะที่ ๒ ผนื่ จะกระจายอยา่ งรวดเรว็ ไปยงั ลำตวั ไมพ่ บวา่ ผทู้ เ่ี ปน็ โรคนตี้ ดิ ตอ่ ไปยงั ผอู้ นื่ ได้ โรคนม้ี ี และแขนสว่ นบน เปน็ ผนื่ แดงนนู เลก็ นอ้ ย ระยะท่ี รายงานครง้ั แรกโดยแพทยช์ าวญป่ี นุ่ ทชี่ อื่ วา่ โทมซิ ากุ ๓ ผนื่ จะเรม่ิ จางตรงกลางกอ่ น จงึ มลี กั ษณะคลา้ ย คาวาซากิ (Tomisaku Kawasaki) จงึ มชี อ่ื โรคเปน็ ผา้ ลกู ไม้ เหน็ เปน็ รา่ งแห มกั จะคนั บรเิ วณผนื่ ขนึ้ ภาษาญปี่ นุ่ ตามชอื่ ของแพทยผ์ คู้ น้ พบ ขณะทม่ี ผี นื่ ขนึ้ ไขม้ กั ลดลงและอาการทวั่ ไปดขี น้ึ หลังจากน้ันผ่ืนก็จะหายได้เองภายใน ๓ สัปดาห์ ผู้ป่วยโรคคาวาซากิ ตาจะแดงช้ำ ผื่นอาจถูกกระตุ้นให้เป็นมากข้ึนเม่ือถูกแสงแดด ความรอ้ น การออกกำลงั กาย และความเครยี ด โรคนมี้ อี าการไมร่ นุ แรงและหายไดเ้ อง แต่ อาจพบภาวะแทรกซอ้ น คอื ซดี หรอื ไขกระดกู ทำงานผดิ ปกตใิ นการผลติ เมด็ เลอื ด มกั พบเฉพาะ ในผปู้ ว่ ยทมี่ โี รคประจำตวั ทมี่ คี วามผดิ ปกตขิ องเมด็ เลอื ดแดง เมอ่ื หายจากโรคนแี้ ลว้ มกั ไมเ่ ปน็ ซำ้

239 ผู้ปว่ ยโรคคาวาซากิ ปากมลี กั ษณะบวมแดง ชว่ งต้นของโรคจงึ อาจมอี าการเหมือนโรคไข้ออก ผน่ื จากเชอ้ื อน่ื ๆ ดงั นน้ั ไดม้ กี ารตง้ั เกณฑเ์ พอื่ ชว่ ย ชว่ งหายของโรคคาวาซากิ ผวิ หนงั ทปี่ ลายนว้ิ มอื และนวิ้ เทา้ จะลอก ในการวนิ จิ ฉยั โรคนใ้ี นชว่ งตน้ โดยจะตอ้ งตรวจให้ แนใ่ จกอ่ นวา่ ไมใ่ ชโ่ รคอนื่ การวนิ จิ ฉยั เพอ่ื รกั ษาโรค อาการและการดำเนนิ โรค นจ้ี ะตอ้ งมอี าการอยใู่ นเกณฑด์ งั น้ ี ผู้ป่วยมีอาการไข้นานหลายวัน และมักมี ๑. ผปู้ ว่ ยจะตอ้ งมไี ขส้ งู นานอยา่ งนอ้ ย ๕ วนั อาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองโต โดยท่ัวไปผู้ป่วยโรคนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษา มักมี ตาแดง ปากแดง ผน่ื ขนึ้ ตามตวั และมอื เทา้ บวม ไขน้ านเฉลยี่ ๑๑ วนั แตบ่ างรายอาจนานถงึ ๓-๔ ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลียมาก หลังจากเป็นไข้ สปั ดาห ์ ประมาณ ๑-๒ สปั ดาห์ ผวิ หนงั ทป่ี ลายนว้ิ มอื และ นวิ้ เทา้ จะลอก หากไมไ่ ดร้ บั การรกั ษาอาจเกดิ ภาวะ ๒. ผปู้ ว่ ยจะตอ้ งมอี าการ ๔ ใน ๕ ขอ้ ดงั เส้นเลือดท่ีไปเล้ียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและ ตอ่ ไปน้ี โดยอาการอาจไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั แต่ โปง่ พอง ซงึ่ เกดิ ประมาณ ๑ ใน ๔ ของผปู้ ว่ ย ผล อาจเกดิ ขน้ึ ทลี ะอาการตอ่ เนอื่ งกนั จากเส้นเลอื ดอกั เสบอาจทำใหเ้ กดิ ภาวะหัวใจวาย เฉยี บพลนั และเสยี ชวี ติ ในเวลาตอ่ มาได้ อาจเกดิ ๑) เยอ่ื บตุ าขาวอกั เสบทงั้ ๒ ขา้ ง อาการทางหวั ใจตงั้ แตว่ ยั เดก็ หรอื ในผใู้ หญว่ ยั ตอน ๒) ผนื่ แดงขนึ้ ตามรา่ งกาย พบผน่ื ไดห้ ลาย ตน้ ๆ เนอ่ื งจากโรคนมี้ กี ารดำเนนิ โรคทเ่ี ฉพาะ ใน แบบทพี่ บบอ่ ยคอื ผน่ื แดงนนู กระจายทว่ั ไป โดย เฉพาะบรเิ วณลำตวั และรอบกน้ ซง่ึ ตอ่ มาผวิ หนงั บรเิ วณรอบกน้ จะหลดุ ลอก แตจ่ ะไมเ่ ปน็ ผน่ื ชนดิ ตมุ่ นำ้ ใส หรอื ตมุ่ หนอง ๓) ริมฝีปากและเยื่อบุภายในช่องปากมี การเปลยี่ นแปลง คอื รมิ ฝปี ากแดงจดั และแหง้ แตก เยอื่ บชุ อ่ งปากและลนิ้ บวมแดง ผวิ มตี มุ่ ขรขุ ระคลา้ ย ผลสตรอวเ์ บอรร์ ี ๔) มอื และเทา้ บวมแดง ในสปั ดาหท์ ่ี ๒ หลงั จากมไี ข้ จะพบวา่ ผวิ หนงั บรเิ วณรอบ ๆ เลบ็ เกดิ การหลดุ ลอก รวมทงั้ ปลายนว้ิ มอื และนวิ้ เทา้ ๕) ตอ่ มนำ้ เหลอื งบรเิ วณคอโต ผปู้ ว่ ยอาจ มีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมจากเกณฑ์การวินิจฉัยข้าง ตน้ หรอื อาจมภี าวะแทรกซอ้ น ไดแ้ ก่ ขอ้ อกั เสบ เย่ือหุ้มสมองอักเสบ ท้องเสีย ถุงน้ำดีอักเสบ กลา้ มเนอ้ื หวั ใจอกั เสบ ตบั อกั เสบ เมอ่ื ตรวจเลอื ด จะพบความผิดปกติที่บ่งบอกถึงการอักเสบของ

240 รา่ งกาย มปี รมิ าณเกลด็ เลอื ดเพม่ิ สงู ขน้ึ และอาจ ได้เหมือนเด็กปกติท่ัวไป แต่ผู้ป่วยที่มีเส้นเลือด พบผลเลอื ดอน่ื ๆ ทบ่ี ง่ บอกถงึ การทำงานทผ่ี ดิ ปกติ โปง่ พองขนาดใหญจ่ ะมโี อกาสเกดิ ภาวะเสน้ เลอื ด ของอวยั วะหลายอยา่ งได้ แตบ่ างรายอาจมอี าการ หวั ใจตบี และกลา้ มเนอื้ หวั ใจขาดเลอื ดในภายหลงั ไมค่ รบเกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั ตอ้ งอาศยั การตรวจอนื่ ๆ เพมิ่ เตมิ การปอ้ งกนั โรคคาวาซากเิ ปน็ โรคทห่ี ายไดเ้ อง แตถ่ า้ ไม่ โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกัน และยังไม่มีวัคซีน ไดร้ บั การรกั ษาอาจใชเ้ วลานาน ๒-๔ สปั ดาหก์ วา่ สำหรบั ปอ้ งกนั เพราะยงั ไมท่ ราบสาเหตขุ องโรค ไขจ้ ะลดลง และมคี วามเส่ียงตอ่ การเสียชีวิตจาก แนช่ ดั วา่ เกดิ จากอะไร การอุดตันของเส้นเลือดแดงที่มาเล้ียงกล้ามเน้ือ หวั ใจ แตพ่ บไดไ้ มม่ าก ซง่ึ มกั เกดิ ประมาณ ๖-๘ ๙. โรคไขเ้ลอื ดออก (Dengue hemorrhagic สปั ดาหห์ ลงั จากเรมิ่ มอี าการ ซงึ่ เปน็ ชว่ งทอ่ี าการ fever) และอาการแสดงอนื่ ๆ เรมิ่ ดขี นึ้ แลว้ หรอื อาจเกดิ หลงั จากนนั้ อกี หลายเดอื น หรอื เปน็ ปี เนอื่ งจาก สาเหตแุ ละการตดิ ตอ่ โรคนม้ี คี วามเสยี่ งที่จะเกดิ ความรนุ แรงสงู จากการ อกั เสบของเสน้ เลอื ดหวั ใจ ดงั นน้ั ผปู้ ว่ ยทกุ รายที่ โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส สงสยั วา่ จะเปน็ โรคนจ้ี ะตอ้ งไดร้ บั การตรวจเสน้ เลอื ด เดง็ กี่ (dengue) ไวรสั ชนดิ นม้ี ี ๔ สายพนั ธุ์ สามารถ แดงที่เล้ยี งหวั ใจหรือหลอดเลือดแดงอืน่ ๆ อยา่ ง ก่อโรคได้เท่ากัน ในประเทศไทยพบการติดเช้ือ ละเอียด ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ไวรสั ทงั้ ๔ สายพนั ธต์ุ ลอดมา เชอ้ื ไวรสั ชนดิ นม้ี ี มกั ไมม่ ปี ญั หาในระยะยาว ยงุ ลายเปน็ พาหะ ทงั้ ยงุ ลายบา้ นและยงุ ลายสวน เมอ่ื ยงุ กดั ผปู้ ว่ ยในชว่ งทม่ี ไี ข้ ซง่ึ เปน็ ชว่ งทม่ี เี ชอื้ ไวรสั การรกั ษา ในกระแสเลอื ด เชอื้ ไวรสั จะเขา้ ไปแบง่ ตวั ในยงุ เมอื่ ยงุ ลายกดั คนกจ็ ะปลอ่ ยเชอื้ ไวรสั ออกมากบั นำ้ ลาย วธิ กี ารรกั ษาพบวา่ เมอื่ ใหอ้ มิ มโู นโกลบลู นิ ทำใหค้ นทถี่ กู ยงุ กดั ไดร้ บั เชอื้ ไวรสั ไวรสั ชนดิ นไ้ี ม่ (immunoglobulin) ขนาดสงู กอ่ นวนั ท่ี ๑๐ ของ ตดิ ตอ่ โดยตรงจากผปู้ ว่ ยไปสคู่ นอน่ื แตจ่ ะตอ้ งมยี งุ อาการไข้ รว่ มกบั การใหร้ บั ประทานยาแอสไพรนิ เปน็ พาหะ ซงึ่ ยงุ ลายชอบกดั ในเวลากลางวนั โรคน้ี สามารถลดความเสยี่ งตอ่ ความผดิ ปกตขิ องเสน้ เลอื ด มกั พบในเดก็ วยั เรยี น จงึ มกั มกี ารระบาดในโรงเรยี น แดงทเี่ ลยี้ งกลา้ มเนอื้ หวั ใจลงไดม้ าก และลดความ หากในบรเิ วณโรงเรยี นมแี หลง่ เพาะพนั ธย์ุ งุ รนุ แรงของโรคแทรกซอ้ นทหี่ วั ใจลงได้ แตใ่ นราย ทพ่ี บวา่ ยงั มคี วามผดิ ปกตขิ องเสน้ เลอื ดแดงทเ่ี ลยี้ ง อาการและการดำเนนิ โรค หัวใจจะต้องมีการติดตามการรักษาเป็นเวลานาน ตามความรนุ แรงของความผดิ ปกติ หลังจากถูกยุงลายท่ีมีเชื้อไวรัสเด็งกี่กัด ผู้ ป่วยจะเร่ิมมีไข้ อาการมีตั้งแต่น้อยมากจนไม่มี ผปู้ ว่ ยสว่ นใหญห่ ายเปน็ ปกตภิ ายหลงั ไดร้ บั อาการใด ๆ หรอื มไี ขเ้ ลก็ นอ้ ยประมาณ ๒-๓ วนั การรกั ษาทเี่ หมาะสม สามารถเลน่ และทำกจิ กรรม และหายไปเอง จนถงึ มอี าการของไขเ้ ดง็ กแ่ี ละไข ้ เลอื ดออก ซงึ่ ผปู้ ว่ ยทเี่ ปน็ ไขเ้ ดง็ กจ่ี ะมอี าการไขส้ งู หนา้ แดง ปวดเมอ่ื ยตามตวั เบอ่ื อาหาร ปวดทอ้ ง

241 โรคไขเ้ ลือดออกระยะไข้ จะมีหนา้ แดง ปากแดง ผนื่ ระยะหายของไขเ้ ลอื ดออกมลี กั ษณะเปน็ ผนื่ แดงไมน่ นู และ มีดวงสขี าว ๆ แทรกบนผนื่ แดง ทง้ั ลำตวั และขา ปวดในกระบอกตา มอี าการประมาณ ๓-๕ วนั และ หายไปเอง สว่ นผปู้ ว่ ยทเี่ ปน็ ไขเ้ ลอื ดออกจะมอี าการ ทว่ั ไป บางคนอาจมอี าการคนั โดยทว่ั ไปเมอื่ เหน็ เรม่ิ ตน้ คลา้ ยไขเ้ ดง็ กเี่ รยี กวา่ ระยะไข้ หากทำการ ผนื่ ขนึ้ แสดงวา่ กำลงั จะหายปว่ ยแลว้ ผน่ื มกั เปน็ อยู่ ทดสอบทนู เิ กต์ (tourniquet test) โดยการรดั ทตี่ น้ ประมาณ ๑ สปั ดาหก์ จ็ ะหายไป แขน มกั เหน็ จดุ เลอื ดออกเกดิ ขน้ึ บรเิ วณขอ้ พบั แขน ตอ่ มาในชว่ งทไี่ ขเ้ รม่ิ ลดลง คอื ประมาณหลงั วนั ที่ อาการของโรคไข้เลือดออกและไข้เด็งก่ีใน ๓-๕ ของอาการไขจ้ ะมกี ารรวั่ ของพลาสมาออกมา ระยะไข้มักแยกไม่ได้จากโรคติดเช้ือไวรัสอื่น ๆ จากเสน้ เลอื ด ซง่ึ อาจมกี ารรว่ั มากจนทำใหเ้ ลอื ดขน้ แตม่ อี าการมากกวา่ มไี ขส้ งู ลอย แมร้ บั ประทานยา ปรมิ าตรเลอื ดในรา่ งกายลดลง จนเกดิ อาการชอ็ ก ลดไขแ้ ลว้ ไขก้ ไ็ มล่ ด นอกจากนมี้ อี าการหนา้ แดง ได้ และอาจมเี ลอื ดออกทอ่ี วยั วะตา่ ง ๆ เชน่ เลอื ด ออ่ นเพลยี เบอ่ื อาหาร ผปู้ ว่ ยหลายรายรบั ประทาน กำเดาออก อาเจยี นเปน็ เลอื ด ถา่ ยเปน็ เลอื ด ระยะ ไมไ่ ดเ้ ลย โดยทว่ั ไปผปู้ ว่ ยโรคไขเ้ ลอื ดออกมอี าการ นเี้ รยี กวา่ ระยะวกิ ฤต ซง่ึ จะเปน็ อยนู่ านประมาณ หนกั กวา่ ไขเ้ ดง็ กี่ หรอื ไขจ้ ากการตดิ เชอื้ ไวรสั อน่ื ๆ ๒๔-๔๘ ชวั่ โมง จากนนั้ จงึ จะเขา้ สรู่ ะยะหาย ผปู้ ว่ ย และในระยะตน้ ไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ ผปู้ ว่ ยรายใด จะรสู้ กึ สบายตวั ขน้ึ และเรม่ิ รบั ประทานอาหารได้ ตดิ เชอ้ื ไขเ้ ดง็ กี่ แลว้ จะมอี าการรนุ แรงจนเปน็ โรค ในชว่ งหายปว่ ยนมี้ กั มผี น่ื ขนึ้ มลี กั ษณะเปน็ ผนื่ แดง ไขเ้ ลอื ดออก หรอื จะมอี าการไมม่ าก เปน็ แคไ่ ขเ้ ดง็ กี่ ไมน่ นู คลา้ ยจดุ เลอื ดออก กระจายหนาแนน่ โดย จะปรากฏดวงขาว ๆ แทรกบนผน่ื สแี ดง กระจายอยู่

242 หรอื ไขเ้ ลก็ นอ้ ย หากสงสยั วา่ เปน็ โรคน้ี จะตอ้ งให้ ทำใหเ้ สยี ชวี ติ ได้ ผปู้ ว่ ยทอ่ี ว้ นหรอื มโี รคประจำตวั ผปู้ ว่ ยไดร้ บั การรกั ษาแบบไขเ้ ลอื ดออกไวก้ อ่ น เชน่ ธาลสั ซเี มยี มกั เสย่ี งตอ่ อาการรนุ แรง ผทู้ เี่ คย ปว่ ยเปน็ โรคไขเ้ ลอื ดออกแลว้ มกั จะไมเ่ ปน็ ซำ้ อกี โรคไข้เลือดออกหายได้เอง หากไม่มีภาวะ แทรกซอ้ น ผปู้ ว่ ยมกั จะหายเปน็ ปกตภิ ายใน ๕-๗ การรกั ษา วัน แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะช็อก เลอื ดออกมาก ตบั วาย หรอื มอี าการทางสมอง อาจ การรักษาโรคไข้เลือดออกเป็นวิธีการรักษา แบบประคบั ประคอง คอื ใหย้ าลดไขอ้ ยา่ งเหมาะสม ยงุ ลาย พาหะของโรคไข้เลือดออก โดยไมใ่ หใ้ ชย้ ากลมุ่ แอสไพรนิ เพราะอาจเกดิ ปญั หา เลอื ดออกในทางเดนิ อาหารได้ แพทยม์ กั นดั ใหท้ ำการ ตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ ในช่วงระยะไข้มักไม่ใช่ ชว่ งทอี่ นั ตราย แพทยอ์ าจใหส้ งั เกตอาการทบี่ า้ น แตเ่ มอ่ื เขา้ สรู่ ะยะวกิ ฤตผปู้ ว่ ยควรเขา้ รบั การรกั ษา ในโรงพยาบาล การรกั ษาโดยการใหส้ ารนำ้ ทดแทน ทางหลอดเลอื ดดำ ตามชนดิ และขนาดทเี่ หมาะสม เพอ่ื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขภาวะชอ็ ก และรกั ษาภาวะ กองควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ ไดจ้ ดั ทำขอ้ มลู ประชาสมั พนั ธเ์ กย่ี วกบั วงจรชวี ติ ยงุ ลายและรณรงคว์ ธิ ปี อ้ งกนั โรคไขเ้ ลอื ดออก

243 แทรกซอ้ น เชน่ ใหเ้ ลอื ดเมอ่ื มกี ารเสยี เลอื ด โดย การกำจดั แหลง่ เพาะพนั ธ์ุยุงลายดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ เปน็ การปอ้ งกัน ประคบั ประคองไมใ่ หเ้ กดิ ปญั หาขาดเลอื ดไปเลยี้ ง และควบคุมโรคไข้เลือดออก อวยั วะตา่ ง ๆ รกั ษาภาวะตบั วายและไตวาย โรคน้ี ยงั ไมม่ ยี าจำเพาะในการรกั ษา ใหย้ งุ กดั เพราะยงุ อาจไดร้ บั เชอื้ ซง่ึ อาจนำเชอื้ ไวรสั ไปแพรใ่ หผ้ อู้ น่ื ได ้ ผู้ปกครองควรเฝ้าสังเกตอาการผู้ป่วยอย่าง ใกลช้ ดิ และในชว่ งทจี่ ะเขา้ ระยะวกิ ฤต ควรรบี นำ ดูเพิ่มเติมเร่ือง โรคติดเช้ืออุบัติใหม่และโรคติด ผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยทันที หากพบว่ามีอาการ เชอ้ื อบุ ตั ซิ ำ้ เลม่ ๒๔ และโรคมาลาเรยี เลม่ ๓๖ กระสบั กระสา่ ย ซมึ หอบ เลอื ดออก อาเจยี นมาก หรอื รบั ประทานไดน้ อ้ ยหรอื ไมไ่ ด้ ผปู้ ว่ ยทม่ี อี าการ หนกั แตไ่ มไ่ ดร้ บั การรกั ษาทเี่ หมาะสมอยา่ งทนั กาล อาจเสยี ชวี ติ ได้ การรกั ษาอยา่ งเหมาะสมและตดิ ตาม ผลอยา่ งใกลช้ ดิ จะชว่ ยปอ้ งกนั ภาวะแทรกซอ้ น และ ลดความรนุ แรงของโรคได้ การปอ้ งกนั โรคไขเ้ ลอื ดออกยงั ไมม่ วี คั ซนี สำหรบั ปอ้ งกนั วธิ ปี อ้ งกนั ทดี่ ที สี่ ดุ คอื ปอ้ งกนั ไมใ่ หย้ งุ กดั รกั ษา สขุ ภาพใหแ้ ขง็ แรง อยา่ ใหอ้ ว้ น เพราะภาวะอว้ นมกั ทำใหเ้ กดิ อาการของโรคทร่ี นุ แรงและการรกั ษาดว้ ย สารนำ้ ทางหลอดเลอื ดดำทำไดย้ าก การควบคมุ โรคทส่ี ำคญั คอื การกำจดั แหลง่ เพาะพนั ธย์ุ งุ ลาย โดยยงุ ลายชอบอยใู่ นชมุ ชนเมอื ง ทม่ี แี หลง่ นำ้ ขงั และชอบวางไขใ่ นนำ้ ขงั นง่ิ ในภาชนะ หรอื สงิ่ ทสี่ ามารถกกั เกบ็ นำ้ ได้ เชน่ ยางรถยนตท์ ี่ ไมใ่ ชแ้ ลว้ กระถางตน้ ไม้ เศษกระถางแตก แจกนั แมก้ ระทง่ั กาบใบไม้ ซงึ่ กกั นำ้ ไดแ้ มจ้ ะไมม่ าก แต่ หากมนี ำ้ ขงั นงิ่ อยนู่ าน ยงุ ลายกส็ ามารถวางไขไ่ ด้ จงึ ควรจะควำ่ กระถางและภาชนะตา่ ง ๆ ทอ่ี าจจะ กักน้ำฝนได้ เปล่ียนน้ำในแจกันบ่อย ๆ ใส่เกลือ ผงซกั ฟอก หรอื ทรายอะเบตในภาชนะทใ่ี ชเ้ กบ็ นำ้ โดยเลือกตามความเหมาะสม ชุมชนท่ีมียุงมาก ควรมีการฉีดสารเคมีฆ่ายุงเป็นครั้งคราว ผู้ป่วย ที่มีอาการไข้ซึ่งอาจเป็นไข้เลือดออกควรระวังไม่

244 บรรณานกุ รม สมาคมโรคตดิ เชอื้ แหง่ ประเทศไทย. “โรคไขเ้ ลอื ดออกเดง็ ก่ี (Dengue Hemorrhagic Fever).” ใน พรรณทพิ ย์ ฉายากลุ , ชษิ ณุ พนั ธเ์ุ จรญิ , ชษุ ณา สวนกระตา่ ย, สรุ ภี เทยี นกรมิ , ยพุ นิ ศพุ ทุ ธมงคล และ ศศธิ ร ลขิ ติ นกุ ลุ (บรรณาธกิ าร), ตำราโรคตดิ เชอ้ื A Textbook of Infectious Diseases. หนา้ ๕๐๗-๕๑๙. กรงุ เทพฯ : โฮลสิ ตกิ พบั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๔๘. . “โรคหดั และหดั เยอรมนั (Measles and Rubella).” ใน พรรณทพิ ย์ ฉายากลุ , ชษิ ณุ พนั ธเุ์ จรญิ , ชษุ ณา สวนกระตา่ ย, สรุ ภี เทยี นกรมิ , ยพุ นิ ศพุ ทุ ธมงคล และศศธิ ร ลขิ ติ นกุ ลุ (บรรณาธกิ าร), ตำราโรคตดิ เชอื้ A Textbook of Infectious Diseases. หนา้ ๕๒๓-๕๒๙. กรงุ เทพฯ : โฮลสิ ตกิ พบั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๔๘. . “โรค hand-foot-mouth (Hand-foot-mouth Disease).” ใน พรรณทพิ ย์ ฉายากลุ , ชษิ ณุ พนั ธเุ์ จรญิ , ชษุ ณา สวนกระตา่ ย, สรุ ภี เทยี นกรมิ , ยพุ นิ ศพุ ทุ ธมงคล และศศธิ ร ลขิ ติ นกุ ลุ (บรรณาธกิ าร), ตำราโรคตดิ เชอื้ A Textbook of Infectious Diseases. หนา้ ๕๗๖-๕๗๙. กรงุ เทพฯ : โฮลสิ ตกิ พบั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๔๘. สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. “วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม- หดั เยอรมนั (Measles Mumps and Rubella Vaccine: MMR).” ใน กลุ กญั ญา โชคไพบลู ยก์ จิ , เกษวดี ลาภพระ, จฑุ ารตั น์ เมฆมลั ลกิ า, ฐติ อิ ร นาคบญุ นำ และอัจฉรา ตั้งสถาพรพงษ ์ (บรรณาธกิ าร), ตำราวคั ซีนและการสรา้ งเสรมิ ภูมิคมุ้ กนั โรคปี ๒๕๕๖. หนา้ ๑๑๙-๑๒๘. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา, ๒๕๕๖. . “วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคอสี กุ อใี ส (Varicella Vaccine: VAR).” ใน กลุ กญั ญา โชคไพบลู ยก์ จิ , เกษวดี ลาภพระ, จฑุ ารตั น์ เมฆมลั ลกิ า, ฐติ อิ ร นาคบญุ นำ, และอจั ฉรา ตง้ั สถาพรพงษ ์ (บรรณาธิการ), ตำราวคั ซีนและการสรา้ งเสรมิ ภูมิคมุ้ กนั โรคปี ๒๕๕๖. หน้า ๑๖๕-๑๗๑. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา, ๒๕๕๖.

245 American Academy of Pediatrics. “Summary of Infectious Diseases.” In Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS,eds. Redbook 2012 Report of the Committee on Infectious Diseases. pp.315-318, 414-416, 454-460, 489-499, 539-541, 629-634, 668-680, 774-789. 29th ed. IL: Elk Grove Village, 2012. “Enteroviruses.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.81-97. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Human Herpesvirus 6, 7 and 8.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.204-212. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Kawasaki Syndrome.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.236-246. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Measles (Rubeola).” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.81-97. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Parvovirus Infections.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.326-334. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Rubella (German Measles).” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.402-414. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Smallpox and Vaccinia.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.468-473. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Streptococcal Infections.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.487-500. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998. “Varicella-Zoster Virus Infections.” In Katz S L, Gershon A A, Hotez P J, eds. Krugman's infectious disease of children. pp.620-649. 10th ed. St.Louis, Mo: Mosby-Year Book, 1998.

246

มะเรง็ ตอ่ มลกู หมาก247 ศาสตราจารย์ นายแพทยว์ ชริ คชการ ผเู้ ขยี น สว่ นเด็กเล็ก รองศาสตราจารยอ์ จั ฉรา ปรีชาวฒุ ิ ผู้เรียบเรียง อวยั วะของเพศชายทม่ี ขี นาดและลกั ษณะคลา้ ยกบั ลกู หมากจงึ เรยี กวา่ ตอ่ มลกู หมาก บางคนกเ็ ทยี บกบั ลกู เกาลดั หรอื ลกู วอลนตั อวยั วะนอ้ี ยตู่ ดิ กบั กระเพาะปัสสาวะที่มีท่อต่อออกสู่อวัยวะเพศชาย โดยหุ้มรอบท่อปัสสาวะ สว่ นตน้ เอาไว้ มกี ลา้ มเนอื้ เปน็ หรู ดู ควบคมุ ไมใ่ หป้ สั สาวะเลด็ ราดได้ เมอ่ื เดก็ ผชู้ ายเตบิ โตเขา้ สวู่ ยั รนุ่ ตอ่ มลกู หมากกจ็ ะโตขน้ึ เรอ่ื ย ๆ และ เมอ่ื โตมากขน้ึ จนไปบบี รดั ทอ่ ปสั สาวะ กจ็ ะทำใหม้ คี วามลำบากในการขบั ถา่ ย ปสั สาวะ บางครง้ั ขบั ถา่ ยไมอ่ อกหรอื มอี าการปวดเวลาขบั ถา่ ย ซง่ึ เปน็ อาการ ของตอ่ มลกู หมากโตชนดิ ธรรมดา ทสี่ ามารถพบไดท้ ว่ั ไปในผชู้ ายทม่ี อี ายมุ าก ประมาณ ๕๐ ปขี นึ้ ไป แตถ่ า้ มเี ซลลต์ อ่ มลกู หมากทม่ี ลี กั ษณะผดิ ปกตไิ ปจาก เซลล์ทั่วไปแทรกอยู่ คือ เป็นเซลล์ที่มีอัตราการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ก็จะ

248 กไ มล่นายุ่มเปแลน็ ะเซเรลียลบม์ เหะเมรง็ือนตตอ่ ่อมมลลกู ูกหหมมาากกจปะกโตตมิ าเกซขลน้ึ ล์มมะเพี รนื้็งสผาวิ มทาแ่ี รขถง็ ลแุกลละาขมรแขุ ลระะ กระจายตัวผ่านทั้งทางน้ำเหลืองและทางเลือดไปยังกระดูก ซึ่งจะทำให้เกิด ความเจบ็ ปวดอยา่ งมาก มะเร็งตอ่ มลูกหมากก็เหมอื นกับมะเร็งทวั่ ไปที่สามารถรักษาให้หาย ขาดไดห้ ากพบในระยะเรมิ่ แรก ดงั นนั้ ผชู้ ายทมี่ อี ายุ ๔๐-๕๐ ปขี น้ึ ไป ทม่ี กี าร ขับถ่ายปัสสาวะไมส่ ะดวก ควรรบี ไปพบแพทย์ หากตรวจพบว่าเป็นมะเรง็ ต่อมลูกหมากก็จะได้รับการรักษาได้ทันกาล นอกจากนี้ ควรเอาใจใส่ดูแล สุขภาพ และควบคุมการรับประทานอาหาร เช่น หม่ันออกกำลังกาย งด อาหารท่ีมีไขมันสูง รับประทานผักและผลไม้มาก ๆ สิ่งเหล่าน้ีจะช่วยลด อตั ราการเกดิ และการกระจายตวั ของมะเรง็ ตอ่ มลกู หมากได้

249 ส่วนเด็กกลาง รองศาสตราจารยอ์ ัจฉรา ปรีชาวฒุ ิ ผู้เรียบเรียง มะเร็งต่อมลูกหมากพบได้บ่อยในผู้ชายสูงวัย เม่ือผู้ชายมีอายุมากขึ้น มีการ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ อันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต่อมลูกหมากซึ่งเป็นอวัยวะ สว่ นหนง่ึ ของระบบสบื พนั ธช์ุ ายมขี นาดโตขน้ึ อาการนเี้ กดิ กบั ผชู้ ายสงู วยั ทวั่ ไป เรยี กวา่ เปน็ ตอ่ มลกู หมากโตชนดิ ธรรมดา แตไ่ มไ่ ดเ้ ปน็ ตน้ เหตขุ องมะเรง็ ตอ่ มลกู หมาก การจะเปน็ มะเรง็ ต้องมีเซลล์ที่ผิดปกติ ซ่ึงจะเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็งต่อไป ในระยะแรกการดำเนินโรค เปน็ ไปอยา่ งชา้ ๆ โดยใชเ้ วลานบั สบิ ปจี ากจดุ กำเนดิ เลก็ ๆ ทไี่ มแ่ สดงอาการอะไร จนถงึ ขนั้ ที่ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นจนปรากฏอาการ เร่ิมจากต่อมลูกหมากที่โตไปเบียดท่อปสั สาวะ ทำใหป้ สั สาวะไดไ้ มส่ ะดวก เมอ่ื ลกุ ลามไปทก่ี ระเพาะปสั สาวะทำใหม้ เี ลอื ดปนอยใู่ นนำ้ ปสั สาวะ และเมื่อไปท่ีท่อไตก็จะเกิดการอุดตัน ทำให้ปัสสาวะไม่ออก มีอาการไตวาย มะเร็งระยะ ลกุ ลามจะกระจายไปสตู่ อ่ มนำ้ เหลอื ง สกู่ ระแสเลอื ด ไปทก่ี ระดกู ทำใหข้ าบวม ปวดกระดกู เมื่อไปที่ไขสันหลังก็จะมีอาการชา เป็นอัมพาต อาจทำให้ผู้ป่วยพิการ หากกระจายไปทั่ว รา่ งกาย ผปู้ ว่ ยจะมชี วี ติ อยอู่ ยา่ งลำบาก สาเหตขุ องการเกดิ มะเรง็ ตอ่ มลกู หมากยงั ไมท่ ราบแนช่ ดั แตพ่ บวา่ มปี จั จยั ทท่ี ำให้ เกดิ ไดม้ ากขนึ้ ไดแ้ ก่ กรรมพนั ธ์ุ ผชู้ ายทมี่ พี อ่ หรอื พน่ี อ้ งเปน็ มะเรง็ ตอ่ มลกู หมาก จะมโี อกาส เปน็ ไดม้ ากขนึ้ นอกจากนี้ ยงั พบอกี วา่ ชายชาวตะวนั ตกเปน็ มะเรง็ ตอ่ มลกู หมากมากกวา่ ชาย ชาวเอเชยี อาจเกย่ี วเนอื่ งดว้ ยสายพนั ธ์ุ สภาพแวดลอ้ ม พฤตกิ รรมการดำเนนิ ชวี ติ และการ รับประทานอาหาร เช่น อยู่ในสถานที่ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย รบั ประทานอาหารทม่ี ไี ขมนั สงู เหลา่ นเ้ี ปน็ ปจั จยั เสยี่ งทที่ ำใหเ้ ปน็ มะเรง็ ตอ่ มลกู หมากไดม้ ากขนึ้


สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่ม 40 (รวมเล่ม)

The book owner has disabled this books.

Explore Others