Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

Published by Guset User, 2021-10-20 03:40:43

Description: Academic_290921_133723หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

Search

Read the Text Version

๙๒ นายก อบต. อปุ สมบทตามโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ พ้นจากตาแหน่งหรอื ไม่ ? โดยหลกั แลว้ ... กฎหมายสภาตาบลและองคก์ ารบรหิ าร ส่วนตาบล กาหนดใหผ้ มู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นนายกองคก์ าร บรหิ ารส่วนตาบลต้องมคี ุณสมบตั แิ ละไม่มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตาม กฎหมายว่าดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ซง่ึ กรณกี ารบวชเป็นพระภกิ ษุหรอื สามเณรถอื เป็นลกั ษณะตอ้ งหา้ ม ตามกฎหมายว่าด้วยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ หรอื ผูบ้ รหิ าร ทอ้ งถน่ิ ฉะนนั้ หากผบู้ รหิ ารองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ผชู้ ่วย ผู้บรหิ ารและสมาชกิ สภาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ บวชเป็น พระภกิ ษุหรอื สามเณร อาจมผี ลต่อการพจิ ารณาคุณสมบตั แิ ละ ตอ้ งพน้ จากตาแหน่งได้ การอุปสมบทเป็นพระภกิ ษุมสี องลกั ษณะ คอื กรณีแรก อุปสมบทเพ่อื ศึกษาปฏบิ ตั ธิ รรมสบื ทอดพระพุทธศาสนาโดยไม่มี กาหนดลาสกิ ขาบท กรณีทสี่ อง อุปสมบทตามจารตี ประเพณีแห่ง พุทธศาสนาในระยะเวลาสนั้ ๆ กาหนดช่วงเวลาลาสกิ ขาบทไว้ แน่นอนไม่มากกว่าหน่ึงพรรษา ซ่งึ การอุปสมบทในกรณีท่สี องน้ี ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กาหนด รบั รองสทิ ธไิ ว้ และระเบยี บกระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยการลาของ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ผชู้ ่วยผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ และสมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๗ กาหนดให้นามาใชโ้ ดยอนุโลมได้ ในกรณที ร่ี ะเบยี บ

๙๓ กระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยการลาฯ มไิ ดก้ าหนดการลาในเร่อื ง ดงั กลา่ วไว้ กรณที น่ี ามาฝากท่านผอู้ ่านวนั น้ี ... เป็นกรณนี ายองอาจ ซง่ึ ดารงตาแหน่งนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบลได้อุปสมบท ในโครงการอปุ สมบทเฉลิมพระเกียรติฯ ตามมติคณะรฐั มนตรี ทใ่ี หข้ า้ ราชการประเภทต่าง ๆ รวมถงึ สมาชกิ และผบู้ รหิ ารองค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ เขา้ ร่วมอุปสมบท โดยไมถ่ อื เป็นวนั ลา และ ผู้บงั คบั บญั ชาได้รบั รองคุณสมบตั ิ รวมทงั้ เหน็ ควรให้เข้าร่วม อุปสมบทตามโครงการดงั กลา่ วแลว้ การอุปสมบทในกรณีน้ี ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า ไม่ทาให้ นายองอาจต้ องพ้นจากตาแหน่ งนายกองค์การ บริหารส่วนตาบล เน่อื งจากขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่า นายอาเภอไดม้ ี หนังสอื แจ้งและประชาสมั พนั ธ์เก่ยี วกบั โครงการฯ นายองอาจ จงึ ได้สมคั รเขา้ ร่วมโครงการฯ โดยท่นี ายอาเภอเป็นผ้รู บั รองว่า นายองอาจสมควรทีจ่ ะได้รบั การอปุ สมบทตามโครงการน้ีได้ อกี ทงั้ นายอาเภอย่อมทราบดีมาโดยตลอดถึงเหตุแห่งการ อปุ สมบทของนายองอาจ ประกอบกบั นายองอาจสามารถ ใช้สิทธิเกีย่ วกบั การลาอปุ สมบทได้ตามขอ้ ๒๑ ของระเบยี บ กระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยการลาของผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ฯ ประกอบ ขอ้ ๓๐ ของระเบยี บวา่ ดว้ ยการลาของขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดงั นัน้ การที่นายอาเภอมีคาวินิ จฉัยให้ความเป็ น นายกองค์การบริหารส่วนตาบลของนายองอาจสิ้นสุดลง

๙๔ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็ นธรรม (คาพิพากษา ศาลปกครองสงู สดุ ที่อ. ๑๒๐๒/๒๕๕๘) คดีน้ี ... ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาโดยปรับใช้ บทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายเก่ยี วกบั การพ้นจากตาแหน่งของสมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ วา่ อุปสมบทแลว้ จะตอ้ งพน้ จาก ตาแหน่งโดยไมม่ เี ง่อื นไขทุกกรณี อาจทาใหเ้ กดิ ปัญหาการปรบั ใช้ บทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมาย เพราะยอ่ มทาใหร้ ะเบยี บว่าดว้ ยการลา ของขา้ ราชการในส่วนทเ่ี กย่ี วกบั การลาอุปสมบทจะไม่อาจนามาใช้ กบั สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ได้ ดงั นัน้ คดีน้ีจงึ ถือเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการ เกยี่ วกบั การวนิ ิจฉัยคุณสมบตั ขิ องผู้บรหิ ารท้องถนิ่ หรอื สมาชกิ สภาท้องถิน่ ในกรณีทมี่ กี ารอุปสมบทซงึ่ อาจไม่ถือว่าเป็ นการ ขาดคุณสมบัติทุกกรณี ดังเช่นการอุปสมบทตามโครงการ เฉลมิ พระเกียรตฯิ โดยทผี่ ู้บงั คบั บญั ชาไดร้ บั รองและอนุญาตให้ อุปสมบทตามโครงการฯ ได้ ไม่ถือเป็นลกั ษณะต้องห้ามตาม กฎหมายว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาท้องถิน่ หรอื ผู้บรหิ าร ทอ้ งถนิ่ ทจี่ ะส่งผลใหผ้ ดู้ ารงตาแหน่งดงั กล่าวตอ้ งพน้ จากตาแหน่ง เป็นตน้ ครบั …

๙๕ เรอื่ งที่ ๑๓ บรรพชาเป็นสามเณร ส้ินสดุ สมาชิกภาพ สมาชิกสภา อบต. หรอื ไม่ ? คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๔๕๙/๒๕๖๒ สาระสาคญั กรณีสมาชกิ สภาองค์การบรหิ ารส่วนตาบล (สมาชกิ สภา อบต.) บวชเป็นสามเณร (บวชหน้าไฟ) เพือ่ ทดแทนบุญคุณและ อุทศิ ส่วนกุศลให้แก่ผูว้ ายชนมใ์ นวนั อาทติ ยซ์ งึ่ เป็นวนั หยุดราชการ และใชเ้ วลาเพยี ง ๓ ชวั่ โมง แลว้ จงึ ลาสกิ ขาบท โดยการบรรพชา เป็นภกิ ษุหรอื สามเณร ถอื เป็นลกั ษณะต้องหา้ มมใิ หใ้ ชส้ ทิ ธเิ ลอื กตงั้ และสทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นสมาชกิ สภาท้องถนิ่ หรอื ผู้บรหิ าร ท้องถนิ่ ตามกฎหมายว่าด้วยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาท้องถนิ่ หรอื ผู้บรหิ ารท้องถนิ่ การทสี่ มาชกิ สภา อบต. ได้บรรพชาหรอื บวช เป็นสามเณรหน้าไฟ จงึ ทาให้มลี กั ษณะเป็นผตู้ ้องหา้ มไม่ใหม้ สี ทิ ธิ สมคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นสมาชกิ สภา อบต. ตามมาตรา ๔๗ ทวิ (๓) แห่ง พระราชบญั ญตั สิ ภาตาบลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗ และส่งผลให้สมาชิกภาพต้องส้ินสุดลงตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหนึง่ (๗) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนัน้ คาสัง่ ของ นายอาเภอทใี่ หส้ มาชกิ ภาพของสมาชกิ สภา อบต. ส้นิ สุดลง จงึ เป็น คาสงั่ ทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย

๙๖ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง คุณสมบตั ิหรอื ลกั ษณะต้องห้ามประการหนึง่ ของผู้ดารง ตาแหน่งผู้บรหิ ารท้องถนิ่ หรอื สมาชกิ สภาท้องถนิ่ คอื การบรรพชา เป็นภกิ ษุหรอื สามเณร ไมว่ ่าการบรรพชานนั้ จะมเี จตนาเพอื่ ศกึ ษาและ ปฏบิ ตั ธิ รรม อนั เป็นการสบื ทอดพระพุทธศาสนาโดยไม่มกี าหนดเวลา หรอื เป็นการบรรพชาเพยี งช่วงเวลาสนั้ ๆ โดยมกี าหนดเวลาแน่นอน เช่น การบวชหน้าไฟเพอื่ อุทศิ ส่วนกุศลใหแ้ ก่ผมู้ พี ระคุณ เป็นต้น ถือเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตัง้ และสิทธิสมัคร รบั เลอื กตงั้ ตามมาตรา ๓๔ (๒) และมาตรา ๔๕ (๓) และส่งผลให้ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ หรอื สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ ผู้นัน้ เป็นผขู้ าดคุณสมบตั ิ ตามพระราชบญั ญตั กิ ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ าร ท้องถิน่ พ.ศ. ๒๕๔๕ และผู้มอี านาจในการวินิจฉัยคุณสมบัติ (นายอาเภอ) ยอ่ มมคี าวนิ ิจฉยั ใหส้ มาชกิ ภาพของผดู้ ารงตาแหน่งนนั้ ส้นิ สุดลงไดต้ ามกฎหมาย แต่หากเป็นการบรรพชาตามโครงการ ทรี่ ฐั หรอื หน่วยงานของรฐั จดั ทาข้นึ เพอื่ ถวายเป็นพระราชกุศล ในโอกาสต่าง ๆ และผบู้ งั คบั บญั ชาไดร้ บั รองหรอื อนุมตั ใิ หเ้ ขา้ รว่ ม บรรพชาตามโครงการดงั กล่าวแลว้ ตามระเบยี บขอ้ บงั คบั ว่าดว้ ย การลาของข้าราชการ กรณีย่อมไม่เป็นเหตุให้สมาชกิ ภาพของ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ หรอื สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ ตอ้ งส้นิ สุดลงแต่อยา่ งใด (ทงั้ น้ี ตามแนวคาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. ๑๒๐๒/๒๕๕๘)

๙๗ บรรพชาเป็นสามเณร สิ้นสดุ สมาชิกภาพ สมาชิกสภา อบต. หรอื ไม่ ? การบวช ... นับว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีของชาวไทย ทีน่ ับถือพระพุทธศาสนาทีส่ ังคมไทยยึดถือปฏิบัติกันสืบมา แต่โบรา่ โบราณอนั เนือ่ งมาจากความเลอื่ มใสศรทั ธาในพระพุทธศาสนา ซึง่ ถือเป็นการขัดเกลากิเลสหรืออบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดี มศี ีลธรรม และทดแทนคุณบิดามารดาให้ได้เกาะชายผ้าเหลือง เพอื่ ใหไ้ ดอ้ านิสงสจ์ ากการบวชของบุตรชาย หรอื การบวชหน้าไฟ ใหแ้ ก่ผวู้ ายชนม์ รวมทงั้ เพอื่ สบื ทอดพระพุทธศาสนาดว้ ย คดปี กครองทจ่ี ะนามาเล่าส่กู นั ฟังฉบบั น้ี เป็นเรอ่ื งเกย่ี วกบั คุณสมบตั ขิ องสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล โดยนายสเุ ทพ เป็นสมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบลได้บวชเป็นสามเณร (บวชหน้าไฟ) เพื่อทดแทนบุญคุณและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ ผู้วายชนม์ซ่งึ ได้เล้ยี งดูมาตงั้ แต่เด็ก โดยได้บวชเป็นเวลาเพียง สามชวั่ โมงแลว้ กล็ าสกิ ขาบทและบวชในวนั อาทติ ยซ์ ง่ึ เป็นวนั หยุด ราชการ ต่อมา นายอาเภอได้มีคาสัง่ ให้สมาชิกภาพการเป็น สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลของนายสุเทพสน้ิ สุดลง ปัญหาว่า การบวชดงั กล่าวจะถือเป็นการขาดคุณสมบตั ิ หรอื มลี กั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๔ (๒) และมาตรา ๔๕ (๓) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ าร

๙๘ ท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ อันจะทาให้สมาชิกภาพของสมาชิก สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลสน้ิ สุดลงหรอื ไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า การบรรพชาเป็ น สามเณรในขณะเป็นสมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบล เป็นลกั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ใช้สิทธเิ ลอื กตงั้ สมาชกิ สภาท้องถิ่น หรอื ผู้บรหิ ารท้องถนิ่ ตามมาตรา ๓๔ (๒) แห่งพระราชบญั ญัติ การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาท้องถน่ิ หรอื ผู้บรหิ ารท้องถนิ่ พ.ศ. ๒๕๔๕ และต้องห้ามมใิ หใ้ ช้สทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นสมาชกิ สภาท้องถิ่น หรอื ผู้บรหิ ารท้องถิ่นตามมาตรา ๔๕ (๓) แห่งพระราชบญั ญตั ิ ดงั กล่าว และการบรรพชา (บวช) ทาใหน้ ายสุเทพเป็นผมู้ ลี กั ษณะ ตอ้ งหา้ มไมใ่ หเ้ ป็นผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นสมาชกิ สภาองคก์ าร บรหิ ารส่วนตาบลตามมาตรา ๔๗ ทวิ (๓) แห่งพระราชบญั ญตั ิ สภาตาบลและองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นผลให้ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบลของ นายสุเทพส้ินสุดลงตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหน่ึง (๗) แห่ง พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั ดงั นัน้ คาสงั่ ของนายอาเภอท่ีให้สมาชิกภาพของ สมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบลของนายสุเทพสิ้นสุดลง จึงชอบด้วยกฎหมาย (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๔๕๙/๒๕๖๒) คดนี ้ีถอื เป็นบรรทดั ฐานการปฏบิ ตั ริ าชการท่ดี เี ก่ยี วกบั การวนิ ิจฉัยคุณสมบตั ขิ องสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ ยงั เป็นประโยชน์

๙๙ แก่ประชาชนทวั่ ไปว่า การบวชเป็นพระภกิ ษุสามเณรในขณะดารง ตาแหน่ง ไมว่ า่ จะเป็นการบวชโดยมเี จตนาทจ่ี ะปล่อยวางวถิ ชี วี ติ ของฆราวาส หรอื บวชหน้าไฟเพยี งช่วงเวลาสนั้ ๆ ย่อมถือเป็น ลกั ษณะต้องหา้ มทท่ี าใหเ้ ป็นผขู้ าดคุณสมบตั ติ ามกฎหมายว่าดว้ ย การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาท้องถนิ่ หรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ และทาให้ สมาชิกภาพต้องส้นิ สุดลง แต่ถ้าเป็ นการบวชตามโครงการเพ่ือ เป็นพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ ทผ่ี บู้ งั คบั บญั ชาไดอ้ นุมตั ถิ ูกตอ้ ง ตามระเบียบ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยไว้ตามคาพิพากษา ศาลปกครองสงู สดุ ที่อ. ๑๒๐๒/๒๕๕๘ ว่าไมเ่ ป็นเหตุใหส้ มาชกิ ภาพ สน้ิ สดุ ลง ... (หมายเหตุ : ปัจจุบันน้ีได้มีการตราพระราชบัญญัติ การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซงึ่ ไดก้ าหนดเกยี่ วกบั ลกั ษณะการเป็นบคุ คลตอ้ งหา้ มมใิ หใ้ ชส้ ทิ ธิ เลอื กตงั้ หรอื สมคั รรบั เลอื กตงั้ กรณีของพระภกิ ษุ สามเณร นักพรต หรอื นกั บวชไวเ้ ชน่ เดมิ )

๑๐๐ เรอื่ งที่ ๑๔ คาสงั่ ให้พ้นจากตาแหน่ง (ไม)่ ชอบด้วยกฎหมาย ... เพราะ (ไม)่ ตรวจสอบปี เกิดให้ถกู ต้อง คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๑๔๓๔/๒๕๕๘ สาระสาคญั กรณีแพทย์ประจาตาบลได้รบั แจ้งจากนายอาเภอว่าจะ ครบวาระการดารงตาแหน่งเนือ่ งจากมอี ายุครบ ๖๐ ปี ในวนั ที่ ๓๑ มนี าคม ๒๕๕๒ และไดโ้ ต้แยง้ ว่าตนเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ มใิ ช่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ตามทปี่ รากฏในทะเบยี นประวตั กิ านัน ผใู้ หญ่บา้ น (สน. ๑๑) นายอาเภอจงึ มหี น้าทตี่ รวจสอบเอกสารทางทะเบยี นอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ สาเนาทะเบยี นบา้ น สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชน สาเนา ทะเบยี นนกั เรยี น และใบสุทธจิ บการศกึ ษา การออกคาสงั่ ใหพ้ น้ จาก ตาแหน่งโดยไมต่ รวจสอบเอกสารดงั กล่าว ถอื ว่ามไิ ดม้ กี ารพจิ ารณา ตามคาโต้แยง้ และแมว้ ่าขอ้ มูลเกยี่ วกบั วนั เดอื น ปีเกดิ ตามสาเนา เอกสารข้างต้นจะไม่ตรงกันทงั้ หมด โดยมเี พียงทะเบียนประวัติ ตามแบบ สน. ๑๑ เท่านัน้ ทรี่ ะบุว่าเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ แต่เมอื่ สาเนา เอกสารทางทะเบยี นอนื่ ๆ ระบปุ ีเกดิ ตรงกนั ว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ประกอบกบั ทะเบยี นประวตั ติ ามแบบ สน. ๑๑ มรี อ่ งรอยการแก้ไข และมขี อ้ พริ ุธน่าสงสยั จงึ รบั ฟังได้ว่าแพทย์ประจาตาบลเกดิ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ตามทโี่ ต้แยง้ ไว้ การทนี่ ายอาเภอมคี าสงั่ ให้พน้ จาก

๑๐๑ ตาแหน่งในขณะทมี่ อี ายุยงั ไม่ครบ ๖๐ ปี จงึ เป็นคาสงั่ ทไี่ ม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย และเป็นการกระทาละเมดิ ทจี่ งั หวดั ตอ้ งรบั ผดิ ชดใช้ ค่าเสยี หายเป็นค่าเสยี สทิ ธใิ นการรบั เงนิ เดอื นและสทิ ธปิ ระโยชน์ อนื่ ๆ จากทางราชการ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การใชอ้ านาจออกคาสงั่ ทางปกครองเรอื่ งใดเรอื่ งหนึง่ นัน้ เจา้ หน้าทขี่ องรฐั ผู้มอี านาจจะต้องตรวจสอบพยานหลกั ฐานและ แสวงหาข้อเท็จจริงเพือ่ ให้ได้ข้อยุติเสียก่อน ซึง่ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้กาหนดให้เจา้ หน้าทมี่ อี านาจตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละเรอื่ ง และไม่จาเป็นต้องผูกพนั อยู่กบั ข้อเท็จจรงิ หรอื พยานหลกั ฐานทนี่ าเสนอโดยคู่กรณี ดงั นัน้ ในเบ้อื งต้นจงึ ถอื เป็นหน้าทขี่ องเจา้ หน้าทที่ เี่ กยี่ วขอ้ งในการค้นหา รวบรวม และตรวจสอบเอกสารหรอื พยานหลกั ฐานต่าง ๆ เพอื่ ใหไ้ ด้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทถี่ ูกตอ้ งแทจ้ รงิ และเพยี งพอสาหรบั การดาเนินกระบวน พิจารณาทางปกครอง และเพือ่ ชัง่ น้ าหนักว่าพยานหลกั ฐานใด มนี ้าหนักน่าเชอื่ ถอื มากน้อยเพยี งใด หากเจ้าหน้าทขี่ องรฐั มไิ ด้ พิจารณาและตรวจสอบข้อเท็จจรงิ โดยละเอียดรอบคอบและ รอบด้านแล้ว อาจส่งผลให้คาสงั่ ทางปกครองหรอื การกระทา ทางปกครองนนั้ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

๑๐๒ คาสงั่ ให้พ้นจากตาแหน่ง (ไม่) ชอบด้วยกฎหมาย ... เพราะ (ไม่) ตรวจสอบปี เกิดให้ถกู ต้อง ในการพจิ ารณาทางปกครองของเจา้ หน้าท่กี ่อนท่จี ะมี การวินิจฉัยสัง่ การในเร่ืองหน่ึงเร่ืองใดนั้น ส่ิงท่ีจาเป็ นและ มคี วามสาคญั ประการหน่ึงเพ่อื ใหก้ ารพจิ ารณาทางปกครองของ เจา้ หน้าทเ่ี ป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ คอื การแสวงหาข้อเทจ็ จริง หรือการตรวจสอบข้อเทจ็ จริงจากพยานหลกั ฐานต่าง ๆ ได้ ตามความเหมาะสม โดยไม่จาเป็ นต้องผกู พนั อยู่กบั คาขอ หรือพยานหลกั ฐานของคู่กรณี ซง่ึ หากเหน็ ว่าพยานหลกั ฐาน ทม่ี อี ย่หู รอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่แี สวงหาไดย้ งั ไม่เพยี งพอ เจา้ หน้าทก่ี ย็ ่อม มอี านาจท่จี ะแสวงหาข้อเท็จจรงิ เพมิ่ เติมได้ตามท่เี ห็นสมควร เพ่อื ให้ได้ขอ้ เท็จจรงิ ท่ถี ูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของกฎหมาย และสามารถอานวยความยุติธรรมให้คู่กรณีได้ อยา่ งแทจ้ รงิ ดังเช่นคดีปกครองท่ีจะนามาฝากเพ่ือเป็ นอุ ทา หรณ์ ในคอลมั น์ระเบยี บกฎหมายฉบบั น้ี มปี ระเดน็ ปัญหาท่นี ่าสนใจ เก่ยี วกบั การแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ และการตรวจสอบพยานหลกั ฐาน ของเจา้ หน้าท่ี กรณีข้อมูลวนั เดอื น ปีเกิดท่ปี รากฏในเอกสาร ต่าง ๆ ของทางราชการไมส่ อดคลอ้ งตรงกนั คดนี ้ีเป็นกรณีของผู้ฟ้องคดขี ณะทด่ี ารงตาแหน่งแพทย์ ประจาตาบล ได้รบั แจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (นายอาเภอ) ว่า

๑๐๓ ผฟู้ ้องคดจี ะครบวาระการดารงตาแหน่งเน่ืองจากมอี ายุครบ ๖๐ ปี ในวนั ท่ี ๓๑ มนี าคม ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดจี งึ ไปตรวจสอบทะเบยี น ประวตั ิและพบว่ามกี ารแก้ไขปีเกิดของตนจาก พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงได้โต้แย้งและแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ทาการแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ ไม่รับฟัง และ รายงานผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ (จงั หวดั ) เพ่อื ออกคาสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดี พน้ จากตาแหน่ง เมอ่ื ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดร้ บั รายงานดงั กล่าวและตรวจสอบ ทะเบยี นประวตั ขิ องผฟู้ ้องคดแี ลว้ จงึ มคี าสงั่ ใหผ้ ู้ฟ้องคดพี น้ จาก ตาแหน่งตงั้ แต่วนั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การออกคาสงั่ ดงั กล่าวไม่เป็นธรรม จงึ ยน่ื อุทธรณ์ และหลงั จากผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ วนิ ิจฉยั ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจงึ นาคดมี าฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มคี าพิพากษา หรอื คาสงั่ เพิกถอนคาสงั่ ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ และให้แต่งตัง้ ผูฟ้ ้องคดกี ลบั เข้าดารงตาแหน่งเช่นเดมิ หากไม่อาจแต่งตงั้ ได้ ใหช้ ดใชค้ า่ เสยี หายใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี ปัญหา คือ การพิจารณาก่อนที่จะออกคาสัง่ ให้ ผ้ฟู ้องคดีพ้นจากตาแหน่งนัน้ เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบ และรบั ฟังข้อเท็จจริงโดยพิจารณาจากเอกสารหลกั ฐานใด ? เพราะเป็ นเอกสารหลกั ฐานท่ีทางราชการออกให้ แต่ระบุ ข้อมูลไม่ถกู ต้องตรงกนั โดยข้อมูลเกีย่ วกับวนั เดือน ปีเกิด ของผูฟ้ ้องคดที ปี่ รากฏตามเอกสารสาเนาทะเบียนบ้าน สาเนา

๑๐๔ บตั รประจาตวั ประชาชน สาเนาทะเบียนนักเรียน ระบุว่าเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยไม่ระบุวนั ทแี่ ละเดอื นเกดิ แต่ใบสุทธิการจบ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๔ ระบุว่าเกิดวนั ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๕ ส่วนทะเบยี นประวตั ิกานัน ผใู้ หญ่บ้าน (สน. ๑๑) ซงึ่ มรี อ่ งรอย การแกไ้ ข ระบุว่าเกดิ วนั ที่ ๑ เมษายน ๒๔๙๒ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ี่ ๑ อ้างว่า ได้แจง้ ให้ผู้ฟ้องคดนี าเอกสาร หลกั ฐานมาขอแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว แต่ผู้ฟ้องคดกี ลบั เพกิ เฉย และกรณีท่ีไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเอกสารหลกั ฐานใดแสดง วนั เดือน ปีเกิดท่ีแท้จรงิ การนับอายุของบุคคลเพ่อื ทราบว่า จะพ้นจากตาแหน่งเม่ือใดนัน้ จึงต้องพิจารณาจากทะเบียน ประวตั กิ านนั ผใู้ หญ่บา้ น (สน. ๑๑) เป็นสาคญั การมคี าสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดพี น้ จากตาแหน่งในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยพจิ ารณาจากเอกสารทะเบยี นประวตั กิ ารดารงตาแหน่งของ ผฟู้ ้องคดี จะถอื วา่ เป็นการดาเนินการทชี่ อบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมอ่ื ผฟู้ ้องคดไี ดโ้ ตแ้ ยง้ ว่า เกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ แต่เหตุท่ที ะเบยี นประวตั ติ ามแบบ สน. ๑๑ ระบุว่าเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เน่ืองจากมกี ารแก้ปี พ.ศ. เกดิ จงึ เป็น การโต้แย้งว่า ผู้ฟ้ องคดีมิได้มีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ แต่ครบวาระการดารงตาแหน่งเม่อื มอี ายุครบ ๖๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มหี น้าท่ตี รวจสอบและ พจิ ารณาข้อโต้แย้งดงั กล่าว และรายงานผลการตรวจสอบให้ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ซ่งึ เป็นเจ้าพนักงานผู้มหี น้าท่ีเพ่อื พิจารณา

๑๐๕ สงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดพี น้ จากตาแหน่งต่อไป การทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที งั้ สอง เพียงแต่พิจารณาเอกสารทะเบียนประวตั ิตามแบบ สน. ๑๑ โดยไม่ตรวจสอบเอกสารทางทะเบียนอ่ืน ๆ ประกอบการ พจิ ารณา จงึ ถือว่ามิได้พิจารณาตามคาโต้แย้งของผู้ฟ้องคดี ก่อนมคี าสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดพี ้นจากตาแหน่ง อันเป็นการไม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย แมว้ ่าข้อมูลเก่ยี วกบั วนั เดอื น ปีเกิดของผูฟ้ ้องคดตี าม เอกสารต่าง ๆ จะไม่ตรงกนั ทงั้ หมด แต่กม็ เี พยี งทะเบยี นประวตั ิ ตามแบบ สน. ๑๑ เท่านัน้ ท่รี ะบุว่าเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ และเม่อื การบนั ทกึ ขอ้ มลู ในทะเบยี นประวตั ติ ามแบบ สน. ๑๑ ต้องอาศยั ฐานข้อมูลจากหลกั ฐานสาเนาทะเบยี นบ้าน สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชน และหลกั ฐานการศกึ ษาเป็นสาระสาคญั ดงั นัน้ ขอ้ มูล ตามเอกสารต่าง ๆ จงึ ต้องถูกต้องตรงกนั เม่อื พยานหลกั ฐาน ตามสาเนาทะเบยี นบ้าน สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชน และ หลกั ฐานการศกึ ษาระบุขอ้ มลู ปีเกดิ ของผฟู้ ้องคดตี รงกนั ว่าเกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยไม่ปรากฏหลกั ฐานอ่นื ใดว่าผูฟ้ ้องคดขี อแก้ไข ปีเกดิ ในภายหลงั จงึ เช่อื ได้ว่าการบนั ทกึ ขอ้ มูลในทะเบยี นประวตั ิ อาจมขี ้อผดิ พลาดหรอื มกี ารแก้ไขข้อมูลภายหลงั ประกอบกบั ทะเบยี นประวตั มิ รี อ่ งรอยการแกไ้ ข จงึ มขี อ้ พริ ธุ น่าสงสยั ไม่อาจ รบั ฟังข้อมูลตามเอกสารดงั กล่าวได้ เม่อื หลักฐานตามสาเนา ทะเบยี นบา้ น สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชน และหลกั ฐานการ ศกึ ษาเป็นเอกสารราชการที่ออกให้เพื่อใช้เป็นพยานหลกั ฐาน

๑๐๖ ไ ม่ ป ร า ก ฏ ข้ อ พิ รุธ ส ง สัย ใ น ค ว า ม ไ ม่ ช อ บ ด้ ว ย ก ฎ ห ม า ย จึงรบั ฟังข้อเทจ็ จริงได้ว่าผฟู้ ้องคดีเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ส่วนวนั ท่แี ละเดอื นเกดิ ของผู้ฟ้องคดนี ัน้ เม่อื หลกั ฐาน สาเนาทะเบยี นบา้ นและสาเนาบตั รประจาตวั ประชาชนไมไ่ ดร้ ะบุ วนั ท่แี ละเดอื นเกิดไว้ และใบสุทธขิ องโรงเรยี นระบุว่าเกิดวนั ท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๕ ก็เป็นเพยี งหลกั ฐานท่รี บั รองว่าผู้ฟ้องคดี จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษาปีท่ี ๔ เท่านัน้ มใิ ช่หลกั ฐาน ท่รี บั รองวนั เดอื น ปีเกดิ โดยตรง จงึ ไม่อาจฟังยุติว่าผู้ฟ้องคดี เกิดในวนั ดงั กล่าว จงึ เป็นกรณีท่รี ู้ปีเกดิ แต่พ้นวสิ ยั ท่จี ะหยงั่ รู้ เดือนและวันเกิด การนับอายุบุคคลจึงให้เริ่มนับตั้งแต่ต้นปี ปฏทิ นิ ซ่งึ เป็นปีท่บี ุคคลนัน้ เกิดตามท่กี าหนดไว้ในมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรณีถอื ได้ว่าผู้ฟ้องคดี เกดิ วนั ท่ี ๑ มกราคม ๒๔๙๕ และครบวาระการดารงตาแหน่ง เมอ่ื อายคุ รบ ๖๐ ปี ในวนั ท่ี ๑ มกราคม ๒๕๕๕ การมคี าสงั่ ใหผ้ ูฟ้ ้องคดพี ้นจากตาแหน่งในขณะท่ีมอี ายุ ยงั ไมค่ รบ ๖๐ ปี ซง่ึ ยงั ไมค่ รบวาระการดารงตาแหน่ง จงึ เป็นคาสงั่ ท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทาละเมดิ ต่อผู้ฟ้องคดี ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ ต้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าเสยี หายเป็นค่าเสยี สทิ ธิ ในการรบั เงนิ เดอื นหรอื เงนิ ตอบแทนหรอื สทิ ธปิ ระโยชน์อย่างอ่นื จากทางราชการ ซง่ึ เป็นความเสยี หายโดยตรงจากคาสงั่ ทไ่ี ม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย (คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๑๔๓๔/๒๕๕๘)

๑๐๗ คาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดในคดนี ้ีเป็นบรรทดั ฐาน ในการปฏบิ ตั ริ าชการท่ดี ใี ห้แก่เจ้าหน้าท่ขี องรฐั ว่า ก่อนท่จี ะใช้ อานาจออกคาสงั่ ทางปกครองในเรอ่ื งหน่ึงเร่อื งใด เจา้ หน้าทจ่ี ะตอ้ ง ตรวจสอบพยานหลกั ฐานและแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ ยุติ เสยี ก่อน ซง่ึ ตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ไดก้ าหนดใหเ้ จา้ หน้าทม่ี อี านาจทจ่ี ะ ตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ไดต้ ามความเหมาะสมในแต่ละเร่อื ง โดยไม่จาเป็นต้องผูกพันอยู่กับข้อเท็จจรงิ หรอื พยานหลกั ฐาน ของคู่กรณี ดงั นัน้ ในเบ้ืองต้นถือเป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีท่ี เก่ยี วขอ้ งท่จี ะต้องค้นหา รวบรวม และตรวจสอบเอกสารหลกั ฐาน ต่าง ๆ อย่างรอบคอบและรอบดา้ น เพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ เทจ็ จรงิ ทถ่ี ูกตอ้ ง แทจ้ รงิ และเพยี งพอสาหรบั การพจิ ารณาในเร่อื งทางปกครอง และ เพ่อื ชงั่ น้าหนกั หรอื พสิ จู น์ใหท้ ราบว่าพยานหลกั ฐานใดมนี ้าหนัก ควรแก่การรบั ฟังหรอื เชอ่ื ถอื ไดม้ ากน้อยเพยี งใด และหากเจา้ หน้าท่ี ไดด้ าเนินการเช่นว่านนั้ อยา่ งรอบดา้ นแลว้ ย่อมส่งผลทาใหก้ ารใช้ อานาจออกคาสงั่ เป็นไปอยา่ งถูกตอ้ ง ...

๑๐๘ เรอื่ งที่ ๑๕ สงั่ ให้ออกจากราชการโดยอาศยั ข้อมลู เชิงสถิติ ใช้ดลุ พินิจโดยมิชอบ ! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๕๕/๒๕๖๐ สาระสาคญั ผู้อานวยการโรงเรยี นอาศยั อานาจตามมาตรา ๔๙ แห่ง พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ มคี าสงั่ ใหค้ รผู ชู้ ่วยออกจากราชการโดยอา้ งว่าครผู ชู้ ่วย ทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการ ซงึ่ ก่อนออกคาสงั่ เช่นว่าน้ีจะต้อง มกี ารสบื สวนสอบสวนหาขอ้ เทจ็ จรงิ ให้ไดค้ วามเป็นทยี่ ุติก่อนว่า ครผู ชู้ ่วยเป็นผบู้ กพร่องในศลี ธรรมอนั ดตี ามมาตรา ๓๐ (๗) หรอื เป็นผเู้ คยกระทาการทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการมาก่อนตาม มาตรา ๓๐ (๑๓) แห่งพระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั หรอื ไม่ เมอื่ ปรากฏว่า การออกคาสงั่ พพิ าทอาศยั แต่เพยี งการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผลการสอบ ในเชงิ สถติ เิ บ้อื งตน้ (รายงานผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู คะแนนการสอบ ของผู้เขา้ สอบคดั เลอื ก) และความน่าจะเป็นหรอื การคาดคะเน เพยี งอยา่ งเดยี ว โดยมไิ ดค้ น้ หาขอ้ เทจ็ จรงิ ทรี่ บั ฟังไดเ้ ป็นทยี่ ตุ หิ รอื เป็นขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์และพยานแวดลอ้ มทจี่ ะรบั ฟังไดว้ ่าครผู ชู้ ่วย รายน้ีมพี ฤติกรรมตามทถี่ ูกกล่าวหาหรอื ไม่ กรณีจงึ เป็นการใช้ ดุลพนิ ิจวนิ ิจฉัยขอ้ เทจ็ จรงิ เพอื่ ออกคาสงั่ โดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย และส่งผลใหค้ าสงั่ ของผู้อานวยการโรงเรยี นเป็นคาสงั่ ทไี่ ม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย

๑๐๙ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การใชด้ ุลพนิ ิจของผู้บงั คบั บญั ชาหรอื เจา้ หน้าทผี่ ูม้ อี านาจ วนิ ิจฉัยเพอื่ ออกคาสงั่ ทางปกครอง ดงั เช่นคาสงั่ ลงโทษให้ออก จากราชการ เพราะเหตุเป็นผู้บกพร่องในศลี ธรรมอนั ดหี รอื เป็น ผูเ้ คยกระทาการทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการหรอื เขา้ ปฏบิ ตั งิ าน ในหน่วยงานของรฐั นนั้ จะต้องมกี ารดาเนินการสบื สวนสอบสวน เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ในเชงิ ประจกั ษ์และพยานแวดลอ้ มต่าง ๆ ว่า มกี รณีตามทกี่ ล่าวหาอยา่ งรอบดา้ นและเพยี งพอเพอื่ นามาประกอบ การพจิ ารณาให้เป็นทยี่ ุติและเชือ่ ได้ว่าเจ้าหน้าทผี่ ู้ถูกกล่าวหา มพี ฤตกิ รรมดงั กล่าวจรงิ หรอื ไม่ รวมถงึ ต้องใหโ้ อกาสเจา้ หน้าที่ ได้ทราบขอ้ เท็จจรงิ อย่างเพยี งพอและมโี อกาสได้โต้แย้งแสดง พยานหลกั ฐานของตนดว้ ย ซงึ่ การใชด้ ุลพนิ ิจเพอื่ ออกคาสงั่ ลงโทษ โดยอาศยั แต่เพยี งผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในเชงิ สถติ เิ บ้ืองตน้ และ การคาดคะเนหรอื ความน่าจะเป็นเพยี งอย่างเดยี ว ถอื เป็นการใช้ ดุลพนิ ิจโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย และคาสงั่ นนั้ อาจถูกเพกิ ถอนได้ โดยคาพพิ ากษาของศาลปกครอง ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๑) ประกอบมาตรา ๗๒ วรรคหนึง่ (๑) แห่งพระราชบญั ญัติจดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

๑๑๐ สงั่ ให้ออกจากราชการโดยอาศยั ข้อมลู เชิงสถิติ ใช้ดลุ พินิจโดยมิชอบ ! Topic : สาระดี..ดี.. จากคดีปกครอง แมว้ า่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการครแู ละบุคลากร ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ จะใหผ้ อู้ านวยการโรงเรยี นมอี านาจ ออกคาสงั่ ให้ขา้ ราชการครอู อกจากราชการไดโ้ ดยพลนั ในกรณีท่ี ปรากฏว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบตั ิทวั่ ไปตามท่ีกาหนด เช่น เป็น ผูบ้ กพร่องในศลี ธรรมอนั ดีสาหรบั การเป็นผูป้ ระกอบวชิ าชพี ครู หรอื เป็นผู้เคยกระทาการทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการหรอื เขา้ ปฏบิ ตั งิ านในหน่วยงานของรฐั มาก่อน ซง่ึ ก่อนทจ่ี ะออกคาสงั่ ดงั กล่าวจะต้องมกี ารสบื สวนสอบสวนหาขอ้ เทจ็ จรงิ ใหไ้ ดค้ วาม เป็นทย่ี ตุ กิ ่อนว่าบุคคลทถ่ี ูกกล่าวหาไดก้ ระทาความผดิ จรงิ หรอื ไม่ โดยจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงท่ีรับฟั งได้เป็ นท่ียุติหรือ เป็นขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ มใิ ช่เพยี งการรบั ฟังผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เบ้อื งต้นในเชงิ สถิตมิ าประกอบการพจิ ารณาออกคาสงั่ ฉะนัน้ การออกคาสงั่ ใหข้ า้ ราชการออกจากราชการโดยอาศยั เพยี งขอ้ มลู เชงิ สถติ ิ โดยท่มี ไิ ดม้ กี ารสบื สวนสอบสวนเพ่อื ค้นหาขอ้ เทจ็ จรงิ ในเชิงประจกั ษ์และพยานแวดล้อมมาประกอบการพิจารณา จงึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

๑๑๑ คาสาคญั : ดุลพนิ จิ , การทจุ รติ การสอบ, ใหอ้ อกจากราชการ เหตเุ ดือดรอ้ นของผฟู้ ้องคดี มลู เหตุของข้อพิพาทเกดิ จากผู้อานวยการโรงเรยี นไดม้ ี คาสงั่ บรรจแุ ละแต่งตงั้ ผูฟ้ ้องคดเี ขา้ รบั ราชการในตาแหน่งครผู ชู้ ่วย ต่อมา ผู้อานวยการโรงเรยี นโดยการอนุมตั ิของคณะกรรมการ ศกึ ษาธกิ ารจงั หวดั ไดม้ คี าสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดอี อกจากราชการ โดย อา้ งว่าขาดคุณสมบตั ทิ วั่ ไปตามมาตรา ๓๐ (๗) และ (๑๓) แห่ง พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ เน่ืองจากกระทาการทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการ ซ่งึ คาสงั่ ดงั กล่าวไม่ได้ดาเนินการสอบสวนเพ่อื ให้ได้ความว่า ผู้ฟ้ องคดีกระทาผิดจริงหรือไม่ และผู้ฟ้ องคดีไม่ได้รับทราบ ขอ้ กลา่ วหาหรอื มโี อกาสทราบขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื โตแ้ ยง้ แก้ขอ้ กล่าวหา จงึ เป็นคาสงั่ ท่ไี ม่มขี อ้ เทจ็ จรงิ เพยี งพอและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อนั เป็นการกระทาละเมดิ ต่อผู้ฟ้องคดี ทาให้ผู้ฟ้องคดเี สยี สทิ ธิ และสวสั ดกิ ารในตาแหน่งหน้าท่รี าชการ ผฟู้ ้องคดไี ดย้ น่ื หนังสอื รอ้ งทุกขต์ ่อประธาน ก.ค.ศ. แต่จนถงึ วนั ฟ้องคดยี งั ไม่ไดร้ บั แจง้ ผลการพจิ ารณา จงึ นาคดมี าฟ้องต่อศาลปกครองเพ่อื ขอใหศ้ าล มคี าพพิ ากษาเพกิ ถอนคาสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดอี อกจากราชการ และให้ ผู้ฟ้องคดกี ลับเข้ารบั ราชการในตาแหน่งเดิม พร้อมทงั้ ขอให้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานชดใช้ค่าสนิ ไหม ทดแทนแก่ผฟู้ ้องคดี

๑๑๒ ความเป็นธรรม ... จากคาพิพากษาศาลปกครอง ข้อกฎหมายที่สาคัญ : พระราชบัญญัติระเบียบ ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๓๐ กาหนดว่า ภายใต้บงั คบั กฎหมายว่าด้วย สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาสาหรบั การเป็นผู้ประกอบ วชิ าชพี ครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ผซู้ ง่ึ จะเขา้ รบั ราชการเป็น ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ต้องมีคุณสมบัติ ทวั่ ไปดงั ต่อไปน้ี… (๗) ไมเ่ ป็นผบู้ กพรอ่ งในศลี ธรรมอนั ดสี าหรบั การ เป็ น ผู้ปร ะกอ บวิชาชีพครูและ บุคล าก รทางการศึก ษา ... (๑๓) ไม่เป็นผู้เคยกระทาการทุจรติ ในการสอบเข้ารบั ราชการ หรอื เขา้ ปฏบิ ตั งิ านในหน่วยงานของรฐั มาตรา ๔๙ ผู้ได้รบั การบรรจุและแต่งตงั้ เขา้ รบั ราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาตามมาตรา ๔๕ วรรคหน่ึง มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ มาตรา ๕๘ มาตรา ๖๔ มาตรา ๖๕ มาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ หากภายหลงั ปรากฏว่าผนู้ นั้ ขาดคุณสมบตั ทิ วั่ ไป หรอื ขาดคุณสมบตั ติ ามมาตรฐานตาแหน่ง ตามมาตรา ๔๒ หรอื ขาดคุณสมบตั พิ เิ ศษตามมาตรา ๔๘ อยกู่ ่อน กด็ ี หรอื มกี รณีต้องหาอย่กู ่อนและภายหลงั ปรากฏว่าเป็นผู้ขาด คณุ สมบตั เิ น่อื งจากกรณตี อ้ งหานนั้ กด็ ี ใหผ้ มู้ อี านาจตามมาตรา ๕๓ สงั่ ใหผ้ นู้ นั้ ออกจากราชการโดยพลนั แต่ทงั้ น้ีไมก่ ระทบกระเทอื น ถงึ การใดทผ่ี ู้นัน้ ได้ปฏบิ ตั ไิ ปตามอานาจและหน้าท่ี และการรบั เงนิ เดอื นหรอื ผลประโยชน์อ่นื ใดท่ไี ด้รบั หรอื มสี ทิ ธจิ ะไดร้ บั จาก

๑๑๓ ทางราชการก่อนมีคาสัง่ ให้ออกจากราชการนัน้ และถ้าการ เขา้ รบั ราชการเป็นไปโดยสุจรติ แลว้ ใหถ้ อื ว่าเป็นการสงั่ ใหอ้ อกจาก ราชการเพอ่ื รบั บาเหน็จบานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าดว้ ย บาเหน็จบานาญขา้ ราชการ คดีน้ีมีประเดน็ สาคญั ว่า : คาสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดอี อกจาก ราชการเป็นคาสงั่ ทชี่ อบด้วยกฎหมายหรอื ไม่ ? และเป็นการ กระทาละเมดิ ต่อผฟู้ ้องคดหี รอื ไม่ ? คดีนี้ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยสรปุ ได้ว่า แมม้ าตรา ๔๙ แห่งพระราชบญั ญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ จะให้ผู้อานวยการโรงเรยี นมีอานาจ ออกคาสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดอี อกจากราชการได้โดยพลนั ในกรณีท่ี ปรากฏว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบตั ทิ วั่ ไปตามท่กี าหนดในมาตรา ๓๐ (๗) หรอื (๑๓) แต่อยา่ งไรกต็ าม ก่อนทจ่ี ะออกคาสงั่ เช่นว่านนั้ ได้ ก็จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้ได้ความ เป็ นท่ียุติ ก่อนว่า ผู้ฟ้ องคดีเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี สาหรบั การเป็นผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ตามมาตรา (๓) (๗) หรอื เป็นผูเ้ คยกระทาการทุจรติ ในการสอบ เข้ารบั ราชการหรอื เข้าปฏิบตั ิงานในหน่วยงานของรฐั มาก่อน ตามมาตรา ๓๐ (๑๓) แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าวจรงิ หรอื ไม่ เม่ือผู้อานวยการโรงเรียนได้วินิจฉัยโดยอ้างอิงจาก พยานหลกั ฐานทป่ี รากฏ คอื รายงานผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู คะแนน การสอบของผู้เข้าสอบคดั เลอื กครูผู้ช่วย (ว. ๑๒) รายงานผล

๑๑๔ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เบอ้ื งตน้ ของอนุกรรมการฝ่ายวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกย่ี วกบั ผลการสอบของผเู้ ขา้ สอบคดั เลอื กประจาคณะกรรมการ ประจาศูนย์ให้คาปรกึ ษาและติดตามผลการคดั เลือกครูผู้ช่วย และผลการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจรงิ ตามคาสงั่ ของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารทส่ี รุปว่า มกี ารทุจรติ ในการ สอบคดั เลอื กเพ่อื บรรจุและแต่งตงั้ เป็นขา้ ราชการครู ตาแหน่ง ครูผู้ช่วย ในครงั้ ท่ีผู้ฟ้ องคดีร่วมเข้าสอบอยู่ด้วย โดยอ้างว่า เป็นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผลการสอบในเชงิ สถติ แิ ละความน่าจะเป็น แลว้ สรปุ วา่ ผลคะแนนการสอบคดั เลอื กมลี กั ษณะผดิ ปกตใิ นช่วง ปลายสดุ ดา้ นขวาของการแจงความถ่ี ข้อมูลจึงมีความสอดคล้อง กบั ข้อสงสยั ว่าคาเฉลยของขอ้ สอบมกี ารรวั่ ไหลมผี ลการกระทา ทส่ี ่อไปในทางไมส่ ุจรติ โดยนาคาเฉลยไปลอกในหอ้ งสอบอย่างน้อย ๓๔๔ คน รวมผู้ฟ้องคดี และคะแนนของกลุ่มผู้กระทาท่สี ่อไป ในทางไม่สุจริต มกี ารแจกแจงความถ่ีแตกต่างจากกลุ่มปกติ อยา่ งชดั เจน จากพยานหลกั ฐานท่ผี ู้อานวยการโรงเรยี นนามาอ้าง ในการออกคาสงั่ ให้ผู้ฟ้องคดอี อกจากราชการดงั กล่าวขา้ งต้น เห็นได้ว่าเป็ นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นในเชิงสถิติ เกี่ยวกบั ผลการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยเท่านั้น มิได้เป็ น ข้อเท็จจริงที่รบั ฟังได้เป็ นที่ยุติหรือเป็ นข้อมูลเชิงประจกั ษ์ ทจ่ี ะใหร้ บั ฟังไดว้ ่าผฟู้ ้องคดเี ป็นบุคคลผมู้ พี ฤตกิ รรมเป็นผบู้ กพรอ่ ง ในศีลธรรมอนั ดี หรอื เป็นผู้กระทาการทุจรติ ในการสอบเข้ารบั

๑๑๕ ราชการในตาแหน่งครผู ู้ช่วยครงั้ ดงั กล่าวแต่อย่างใด ทงั้ ในรายงาน ดงั กลา่ วกส็ รปุ ไดแ้ ค่เพยี งว่ามเี หตอุ นั ควรสงสยั ว่าผฟู้ ้องคดอี าจจะ เป็นผหู้ น่งึ ทไ่ี ดก้ ระทาการทุจรติ ในการสอบครงั้ นนั้ ดว้ ยเทา่ นนั้ ดงั นัน้ การท่ีผู้อานวยการโรงเรยี นวนิ ิจฉัยโดยนาเอา ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ สถติ เิ บอ้ื งตน้ และการคาดคะเนดงั กล่าว แต่เพียงอย่างเดยี ว โดยมไิ ด้ค้นหาข้อเท็จจรงิ ในเชงิ ประจกั ษ์ และพยานแวดล้อมกรณีท่มี กี ารกล่าวหาผู้ฟ้องคดีมาประกอบ การพิจารณาให้เป็นท่ยี ุติและทาให้เช่อื ได้ว่าผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้มี พฤตกิ รรมตามทถ่ี ูกกล่าวหาจรงิ มาออกคาสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดอี อกจาก ราชการ จงึ เป็นการใช้ดุลพนิ ิจวนิ ิจฉัยขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื ออกคาสงั่ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คาสงั่ ท่ใี ห้ผู้ฟ้องคดอี อกจากราชการ จงึ เป็นคาสงั่ ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คดนี ้ี... ศาลปกครองชนั้ ต้นได้พพิ ากษา เพกิ ถอนคาสงั่ ของผู้อานวยการโรงเรยี นท่ใี ห้ผูฟ้ ้องคดอี อกจาก ราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันท่ีคาสัง่ ดังกล่าวมีผล ใช้บงั คบั โดยต่อมาในระหว่างการพจิ ารณาคดีในชนั้ อุทธรณ์ ของศาลปกครองสงู สดุ ผอู้ านวยการโรงเรยี นไดม้ คี าสงั่ เพิกถอน คาสัง่ ท่ีให้ผู้ฟ้ องคดีออกจากราชการ และให้ผู้ฟ้ องคดี กลบั เข้ารบั ราชการในตาแหน่งครผู ้ชู ่วย โดยใหม้ ีผลย้อนหลงั ตงั้ แต่วนั ที่ถกู สงั่ ให้ออกจากราชการ ดงั นัน้ เม่อื คาสงั่ ท่ใี ห้ ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการถูกเพิกถอนย้อนหลงั ไปตงั้ แต่วนั ท่ี ออกคาสงั่ แล้ว ผู้ฟ้องคดจี งึ มสี ทิ ธไิ ด้กลบั เขา้ รบั ราชการไปปฏบิ ตั ิ

๑๑๖ หน้าทใ่ี นตาแหน่งดงั กล่าวเชน่ เดมิ และไดร้ บั เงนิ เดอื น ค่าตอบแทน และสทิ ธปิ ระโยชน์ต่าง ๆ ตามกฎหมายตงั้ แต่วนั ท่อี อกคาสงั่ ให้ออกจากราชการจนถงึ วนั ทก่ี ลบั เขา้ ปฏบิ ตั หิ น้าท่ใี นตาแหน่ง ดงั กล่าว เสมอื นกับผู้ฟ้องคดีมไิ ด้ถูกคาสงั่ ให้ออกจากราชการ ศาลจงึ ไม่จาต้องออกคาบงั คบั ตามคาขอของผู้ฟ้องคดี (ผู้สนใจ สามารถศกึ ษารายละเอยี ดไดจ้ ากคาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุด ที่อบ. ๕๕/๒๕๖๐) หลกั กฎหมายปกครองและบรรทดั ฐานการปฏิบตั ิราชการ การใช้ดุลพนิ ิจของเจา้ หน้าทผ่ี ู้มีอานาจในการพจิ ารณา ทางปกครองและวนิ ิจฉัยเพ่อื ออกคาสงั่ ทางปกครอง เช่น คาสงั่ ใหอ้ อกจากราชการเพราะเหตุทุจรติ การสอบ จะตอ้ งมกี ารสบื สวน สอบสวนเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ในเชงิ ประจกั ษ์และพยานแวดลอ้ ม ต่าง ๆ อยา่ งรอบดา้ นและเพยี งพอมาประกอบการพจิ ารณาใหเ้ ป็น ทย่ี ตุ แิ ละเช่อื ไดว้ ่าผถู้ ูกกล่าวหามพี ฤตกิ รรมตามทถ่ี ูกกล่าวหาจรงิ หรอื ไม่ และใหโ้ อกาสผถู้ ูกกล่าวหาไดท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ และมโี อกาส โต้แยง้ แสดงพยานหลกั ฐานของตนด้วย การใชด้ ุลพนิ ิจออกคาสงั่ ใหอ้ อกจากราชการโดยอาศยั เพยี งผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในเชงิ สถติ ิ จงึ เป็นการใชด้ ุลพนิ ิจวนิ ิจฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื ออกคาสงั่ โดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย คาสงั่ ให้ออกจากราชการจงึ เป็นคาสงั่ ท่ไี ม่ชอบ ดว้ ยกฎหมายและเป็นการกระทาละเมดิ ต่อเจา้ หน้าทผ่ี รู้ บั คาสงั่

๑๑๗ เรอื่ งที่ ๑๖ มมี ลทินมวั หมอง ... ไมต่ ้องปรากฏหลกั ฐาน ความผิดชดั แจ้ง ... ครบั !!! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๑๐๖๗/๒๕๖๐ สาระสาคญั เจา้ หน้าทตี่ ารวจมพี ฤตกิ ารณ์เรยี กรบั สนิ บนและสบั เปลยี่ นตวั ผูต้ ้องหาชาวเมยี นมาในคดยี าเสพตดิ ซงึ่ แมผ้ ลการสอบสวนจะ ไม่ปรากฏประจกั ษ์พยานหรอื ไม่มพี ยานหลกั ฐานทพี่ อฟังได้อย่าง ชดั เจนว่าเจา้ หน้าทตี่ ารวจเรยี กรอ้ งเงนิ จากผตู้ อ้ งหา แต่เมอื่ พยาน บุคคลให้การต้องตรงกนั ว่าตารวจรายน้ีได้มกี ารพูดคุยและส่งคนื รถยนตท์ ยี่ ดึ ไวห้ รอื มสี ่วนรเู้ หน็ ในการยดึ ทรพั ยส์ นิ อนื่ ของผตู้ ้องหา ซงึ่ พฤตกิ ารณ์เชอื่ ไดว้ ่ามสี ่วนร่วมรเู้ หน็ อยดู่ ว้ ยจรงิ อนั ถอื ว่ามสี ่วน พวั พนั และเกยี่ วขอ้ งกบั การปฏบิ ตั หิ น้าทรี่ าชการโดยมชิ อบ หากให้ รบั ราชการตารวจต่อไปอาจทาใหป้ ระชาชนทวั่ ไปขาดความศรทั ธา และเชอื่ ถือในการปฏบิ ตั หิ น้าที่ ประกอบกบั กรณีทเี่ กิดข้นึ เป็น ข่าวสาธารณะและคาบเกยี่ วถงึ การกระทบกระเทอื นความสมั พนั ธ์ ชายแดนระหว่างประเทศ จงึ ถอื ไดว้ ่าเจา้ หน้าทตี่ ารวจมมี ลทนิ หรอื มวั หมองในกรณีทถี่ ูกสอบสวนตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บขา้ ราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซงึ่ ใชบ้ งั คบั ขณะนนั้ (ปัจจบุ นั เทยี บเคยี งไดก้ บั มาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗) ดงั นัน้ การทผี่ ู้บญั ชาการตารวจแห่งชาติมคี าสงั่ ให้

๑๑๘ เจ้าหน้าทตี่ ารวจดงั กล่าวออกจากราชการ จงึ เป็นคาสงั่ ทชี่ อบ ดว้ ยกฎหมายแลว้ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การกระทาทมี่ ลี กั ษณะอนั จะเขา้ ข่ายมมี ลทนิ หรอื มวั หมอง ซงึ่ ผบู้ งั คบั บญั ชามอี านาจสงั่ ใหเ้ จา้ หน้าทตี่ ารวจออกจากราชการ เพอื่ รบั บาเหน็จบานาญเหตุทดแทนได้ตามมาตรา ๑๐๒ แห่ง พระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ต้องปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั น้ี (๑) ไดผ้ ่านกระบวนการสอบสวนวนิ ัยอย่างรา้ ยแรงมาก่อน โดยมีการตัง้ ข้อกล่าวหาและได้แสวงหาพยานหลักฐานตาม กระบวนการสอบสวนวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรงโดยชอบแลว้ (๒) ผลการ สอบสวนไมป่ รากฏประจกั ษ์พยานทสี่ ามารถลงโทษทางวนิ ยั ตาม ขอ้ กล่าวหาได้ และ (๓) พยานหลกั ฐานมคี วามสอดคลอ้ งตรงกนั ทาให้น่าเชอื่ ว่าเจ้าหน้าทตี่ ารวจผู้ถูกกล่าวหามสี ่วนร่วมรู้เห็น อยู่ด้วยในการปฏิบตั ิหน้าทรี่ าชการโดยมชิ อบ หรอื มสี ่วนร่วม กระทาความผดิ ไมว่ า่ ในทางหนงึ่ ทางใด

๑๑๙ มมี ลทินมวั หมอง ... ไม่ต้องปรากฏหลกั ฐาน ความผิดชดั แจ้ง ... ครบั !!! ส่วนที่ ๑ ถกู ให้ออกจากราชการ ... เพราะมีมลทินมวั หมอง “ข้าราชการ” ต้องเป็นผู้ท่ีรกั ษาวินัยอย่างเคร่งครดั เพ่ือให้สามารถดารงตนในราชการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตามกฎหมาย กฎ ระเบยี บ และจรรยาบรรณของทางราชการ หากข้าราชการผู้ใดไม่รักษาวินัยก็จะต้องถูกลงโทษทางวินัย ซ่งึ มี ๒ ประเภท คอื ๑) โทษทางวินัยร้ายแรง ประกอบด้วย การปลดออก และการไล่ออกจากราชการ และ ๒) โทษทางวินัย ไม่ร้ายแรง ประกอบด้วย การภาคทณั ฑ์ ตัดเงินเดือน และ ลดขนั้ เงนิ เดอื น และหากการไม่รกั ษาวนิ ัยนัน้ เป็นความผดิ ตาม กฎหมายบา้ นเมอื ง ขา้ ราชการผนู้ นั้ กจ็ ะต้องถูกลงโทษทางอาญา อกี ทางหน่งึ แยกต่างหากจากความผดิ ทางวนิ ยั ดว้ ย ... ครบั แต่กระนั้น ... หลายครัง้ ท่ีมีการลงโทษทางวินัย อันเน่ืองมาจากการกระทาผิดทางอาญา แต่พยานหลักฐาน ไม่เพยี งพอจะรบั ฟังว่ากระทาความผดิ อาญา ศาลจงึ ไม่ลงโทษ ทางอาญา ขา้ ราชการทถ่ี ูกลงโทษทางวนิ ัยจงึ มกั จะกล่าวอ้างว่า เมอ่ื “ความผิดทางอาญาศาลยกฟ้อง กไ็ มต่ ้องรบั ผิดทางวินัย”

๑๒๐ ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยเรอ่ื งน้ไี วอ้ ยา่ งน้นี ะครบั ... ว่า... “...การลงโทษทางวนิ ยั แตกต่างกบั การลงโทษทางอาญา โดยในคดอี าญานัน้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจาเลยได้ต่อเมอื่ พยานหลกั ฐานปรากฏชดั เจนว่าจาเลยกระทาความผดิ ตามฟ้องจรงิ หากพยานหลกั ฐานไม่เพยี งพอหรอื ยงั เป็นทนี่ ่าสงสยั ว่าจาเลย กระทาความผดิ หรอื ไม่ ศาลจะตอ้ งยกประโยชน์แห่งความสงสยั ให้ จาเลยโดยพพิ ากษายกฟ้อง สว่ นการลงโทษทางวนิ ยั นนั้ แมผ้ ฟู้ ้องคดี จะมไิ ดก้ ระทาความผดิ ทางอาญา แต่หากการกระทานัน้ ถอื เป็น ความผดิ ทางวนิ ยั แล้ว ผูบ้ งั คบั บญั ชาย่อมมอี านาจตามกฎหมาย ทจี่ ะลงโทษทางวนิ ัยได้…” (คาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๓๘๔/๒๕๖๐) ดังนัน้ โทษทางวินัยกับโทษทางอาญา ... จึงเป็ น คนละเรอื่ งกนั ครบั ! การให้ “ออกจากราชการ” เพราะคาสงั่ ปลดออกจาก ราชการและคาสงั่ ไล่ออกจากราชการเป็นเร่อื งการลงโทษทางวนิ ัย จากการท่ขี า้ ราชการผู้นัน้ กระทาผดิ วนิ ัย... ครบั แต่มคี าสงั่ ให้ “ออกจากราชการ” อีกลกั ษณะหน่ึง... คอื การออกจากราชการ ทไ่ี ม่ใช่การลงโทษทางวนิ ัย แต่เพราะมี “มลทินหรือมวั หมอง” ในกรณีท่ถี ูกสอบสวนนัน้ หากจะให้ขา้ ราชการผู้นัน้ รบั ราชการ ต่อไปจะเป็นการเสยี หายแก่ราชการ ผบู้ งั คบั บญั ชากอ็ าจสงั่ ใหผ้ นู้ นั้ ออกจากราชการได.้ ..

๑๒๑ การให้ออกจากราชการเพราะ “มีมลทิ นหรือ มวั หมอง” ... มลี กั ษณะอย่างไร ฉบบั น้ีได้นาอุทาหรณ์จากคดีปกครองมาให้ศึกษากัน นะครับ ... คดีน้ีเป็นเร่ืองเก่ียวกับการให้ข้าราชการตารวจ ออกจากราชการ เพราะมมี ลทนิ หรอื มวั หมองตามมาตรา ๕๒ แห่ง พระราชบญั ญัติระเบยี บข้าราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ (ซงึ่ เป็น กฎหมายทใี่ ช้อย่ใู นขณะกระทาความผดิ ปัจจุบนั คอื มาตรา ๑๐๒ แหง่ พระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗) มลู เหตุของคดนี ้ีเกดิ จาก รอ้ ยตารวจเอก สอพนิ ยา ตารวจ ปราบปรามยาเสพตดิ แห่งเมอื งเมยี นมา มหี นงั สอื ถงึ นายจะเดด็ ผอ. กองกฎหมายยาเสพตดิ สานกั งาน ป.ป.ส. แจง้ ว่า มขี า้ ราชการ ตารวจ ๓ นาย สมมติช่อื คือ ดาบเห้ยี ม จ่าหาญ และจ่าแห้ว มพี ฤตกิ ารณ์เรยี กรบั สนิ บนและสบั เปลย่ี นตวั ผตู้ อ้ งหาคดยี าเสพตดิ สัญชาติเมยี นมา ๓ คน และตรวจยึดรถเก๋ง โทรศัพท์มอื ถือ สรอ้ ยคอ แหวน และเงนิ สด จากนนั้ สานกั งานตารวจแห่งชาตจิ งึ มกี ารตงั้ คณะกรรมการ สบื สวนขอ้ เทจ็ จรงิ และผลการสบื สวนเหน็ ว่าคดมี มี ลู เป็นความผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรง ผูบ้ ญั ชาการตารวจแห่งชาตจิ งึ มคี าสงั่ แต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรงขา้ ราชการตารวจ ๓ นาย และคณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรงพจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่า พยานหลกั ฐานต่าง ๆ ฟังไม่ได้ว่าผ้ถู กู กล่าวหากระทาความผิด

๑๒๒ อย่างร้ายแรง และไม่มมี ลทนิ หรอื มวั หมองในกรณที ถ่ี ูกสอบสวน จงึ เหน็ ควรยตุ เิ รอ่ื ง แต่อนุกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตารวจ เกีย่ วกบั การดาเนินการทางวินัย ไม่เหน็ ด้วยครบั เพราะจาก ประจกั ษ์พยานแมจ้ ะยงั รบั ฟังได้ความไม่เพยี งพอทจี่ ะลงโทษถงึ ปลดออกหรอื ไล่ออกได้ แต่ตามพฤตกิ ารณ์เป็นกรณมี มี ลทนิ หรอื มวั หมองในกรณีทถี่ ูกสอบสวน หากจะใหร้ บั ราชการต่อไปจะเป็น การเสยี หายแก่ราชการ และคาบเก่ียวถึงการกระทบกระเทอื น ความสมั พนั ธช์ ายแดนระหว่างประเทศ จงึ มมี ตใิ หส้ านกั งานตารวจ แห่งชาตสิ งั่ ใหข้ า้ ราชการตารวจ ๓ นาย ออกจากราชการ ผบู้ ญั ชาการ ตารวจแห่งชาตจิ งึ ไดม้ คี าสงั่ ตามมตดิ งั กล่าว ขา้ ราชการตารวจ ๓ นาย จงึ ยน่ื อุทธรณ์คาสงั่ แต่อนุกรรมการ คณะกรรมการข้าราชการตารวจเก่ียวกับการอุทธรณ์มมี ติให้ ยกอุทธรณ์ ขา้ ราชการตารวจ ๓ นาย (ผู้ฟ้องคด)ี จงึ ฟ้องผู้บญั ชาการ ตารวจแหง่ ชาติ (ผถู้ ูกฟ้องคดที ี่ ๑) และคณะกรรมการขา้ ราชการ ตารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดที ี่ ๒) ต่อศาลปกครองขอใหเ้ พกิ ถอนคาสงั่ ใหอ้ อกจากราชการ … ครบั ส่วนท่ี ๒ มีมลทิ นมัวหมอง ... ไม่ต้องปรากฏหลักฐาน ความผิดชดั แจ้ง ... ครบั !!! อย่างทไ่ี ดก้ ล่าวไวต้ อนต้นแลว้ ว่า การใหอ้ อกจากราชการ เพราะเหตุมมี ลทนิ หรอื มวั หมองนัน้ ไม่ใช่การลงโทษทางวินัย

๑๒๓ นะครบั แต่เป็นกรณีท่ขี า้ ราชการผู้หน่ึงถูกกล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ัยร้ายแรง แม้ผลการสอบสวนวนิ ัยรา้ ยแรงไม่ปรากฏพยาน หลักฐานท่ีพอจะฟังลงโทษได้ แต่ข้าราชการผู้นัน้ ก็ไม่ได้รับ ความไว้เน้ือเช่อื ใจให้ดารงอยู่ในราชการต่อไปได้อกี ถ้าเปรยี บ ง่าย ๆ ก็เหมือนกบั ผ้ทู ่ีล้มละลายในทางสงั คมนัน่ แหละครบั ผูบ้ งั คบั บญั ชากส็ ามารถสงั่ ให้ขา้ ราชการผู้นัน้ ออกจากราชการ ไดค้ รบั การกระทาท่จี ะมลี กั ษณะเขา้ ข่ายมมี ลทนิ หรอื มวั หมอง ผบู้ งั คบั บญั ชามอี านาจสงั่ ใหอ้ อกจากราชการได้… มลี กั ษณะอยา่ งไร คดนี ้ีศาลปกครองสงู สุดวินิ จฉัยไว้ว่า แมพ้ ยานบุคคล ไมใ่ ช่ประจกั ษพ์ ยานรเู้ หน็ เหตุการณ์ขณะทผ่ี ฟู้ ้องคดที งั้ สามกบั พวก เรยี กรบั เงนิ ผู้ต้องหา แต่เหน็ ว่าคาให้การของพยานต้องตรงกนั เป็นลาดบั จนฟังไดว้ ่าไดม้ กี ารพดู คุยและส่งคนื รถยนต์ทผ่ี ฟู้ ้องคดี ทงั้ สามทาการยดึ หรอื มสี ่วนรู้เหน็ ในการยดึ ทรพั ยส์ นิ อ่นื ซ่งึ หาก ผฟู้ ้องคดที งั้ สามกบั พวกมไิ ดจ้ บั กุมผตู้ อ้ งหาไวด้ าเนินคดใี นความผดิ อาญาขอ้ หาใดแล้ว กไ็ ม่มเี หตุทจ่ี ะยดึ รถยนต์ไว้ ส่วนทรพั ยส์ นิ อ่นื หากผู้ฟ้องคดีทงั้ สามไม่ได้เอาไว้ ก็ไม่มกี รณีต้องคืนทรพั ย์สิน ให้แก่กนั แม้จะไม่มพี ยานหลกั ฐานท่พี อฟังได้อย่างชดั เจนว่า ผู้ฟ้ องคดีทัง้ สามเรียกร้องเงินจากผู้เสียหายทัง้ สาม อันเป็น ความผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรงตามขอ้ กล่าวหา แต่กม็ พี ยานหลกั ฐาน ทท่ี าใหเ้ ช่อื ไดว้ ่าผู้ฟ้องคดที งั้ สามจะต้องมสี ่วนร่วมรู้เหน็ อย่ดู ว้ ย ในการยดึ ทรพั ยส์ นิ และส่งคนื ใหก้ บั ผเู้ สยี หายทงั้ สามจรงิ

๑๒๔ พฤตกิ ารณ์และการกระทาของผูฟ้ ้องคดที งั้ สามถอื ไดว้ ่า มสี ่วนพวั พนั และเกยี่ วข้องกบั เรอื่ งทสี่ อบสวนการปฏบิ ตั หิ น้าที่ ราชการโดยมชิ อบ ซงึ่ หากจะให้ผูฟ้ ้องคดที งั้ สามรบั ราชการตารวจ ทมี่ อี านาจหน้าทใี่ นการจบั กุมผูก้ ระทาผดิ กฎหมายต่อไป ก็อาจ ทาใหป้ ระชาชนทวั่ ไปขาดความศรทั ธาและเชอื่ ถอื ในการปฏบิ ตั ิ หน้าทีข่ องผู้ฟ้ องคดีทัง้ สาม ซึง่ เป็นผลให้ทางราชการ ได้แก่ สานกั งานตารวจแหง่ ชาตไิ ดร้ บั ความเสยี หาย กรณีจงึ ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดที งั้ สามมมี ลทนิ หรอื มวั หมอง ในกรณีทถ่ี ูกสอบสวน ซ่งึ จะใหร้ บั ราชการต่อไปอาจจะเป็นการ เสียหายแก่ทางราชการตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบญั ญัติ ระเบยี บขา้ ราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ดงั นัน้ การมคี าสงั่ ใหผ้ ู้ฟ้องคดที งั้ สามออกจากราชการ จงึ ชอบแลว้ (ผสู้ นใจศกึ ษารายละเอยี ดไดจ้ ากคาพพิ ากษาศาลปกครอง สงู สุดที่อ. ๑๐๖๗/๒๕๖๐) โดยสรุป... การกระทาท่ีจะมลี กั ษณะเข้าข่ายมมี ลทิน หรอื มวั หมองทผ่ี บู้ งั คบั บญั ชามอี านาจสงั่ ใหอ้ อกจากราชการได…้ ต้องปรากฏข้อเท็จจรงิ ว่า... (๑) ต้องผ่านกระบวนการสอบสวน วนิ ัยอย่างร้ายแรงมาก่อน คือ การตงั้ ข้อกล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรงและแสวงหาพยานหลกั ฐานตามกระบวนการ สอบสวนวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง (๒) โดยผลการสอบสวนไม่ปรากฏ ประจกั ษ์พยานท่ีจะลงโทษทางวินัยตามข้อกล่าวหา (๓) แต่ พยานหลักฐานมคี วามสอดคล้องตรงกันทาให้เช่ือได้ว่าผู้ถูก

๑๒๕ กล่าวหามสี ่วนร่วมรู้เห็นอยู่ด้วยในเร่อื งท่สี อบสวน การปฏบิ ตั ิ หน้าทร่ี าชการโดยมชิ อบ หรอื มสี ่วนร่วมกระทาความผดิ ไมท่ างใด กท็ างหน่งึ ... ครบั !!! อุทาหรณ์จากคดปี กครองน้เี ป็นการชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความสาคญั ในการรกั ษาวนิ ัยของขา้ ราชการว่า ผู้ทเ่ี ป็นขา้ ราชการ หรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั นอกจากจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ นใหอ้ ย่ใู นขอบเขต ไมก่ ระทาการใดทเ่ี ป็นการละเมดิ ต่อกฎหมายบา้ นเมอื งและวนิ ัย ของขา้ ราชการแลว้ กย็ งั ต้องปฏบิ ตั หิ น้าทใ่ี หเ้ กดิ ความน่าเช่อื ถอื และศรทั ธาแก่ประชาชนทวั่ ไปดว้ ยครบั อันท่ีจริง... คดีน้ียงั มีประเด็นท่ีน่าสนใจอีกเร่อื งหน่ึง นะครบั ... คอื “ปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชน” ซง่ึ แมว้ า่ ค่กู รณีไม่ไดก้ ล่าวอ้างหรอื โต้แยง้ ไวใ้ นคดี ศาลปกครองกม็ ี อานาจทจ่ี ะยกขน้ึ มาวนิ จิ ฉัยไดต้ ามขอ้ ๑๐๑ วรรคสอง แห่งระเบยี บ ของทป่ี ระชมุ ใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าดว้ ยวธิ พี จิ ารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ...เรือ่ งน้ีถือว่ามีความสาคัญมาก ต่อการอานวยความยุติธรรมทางปกครองให้กบั ประชาชน... ตามหลกั นิติธรรม... ครบั ส่วนท่ี ๓ ร้ทู นั การให้ออกจากราชการตารวจ โดยทวั่ ไปแลว้ ขา้ ราชการตารวจจะต้องออกจากราชการ กเ็ พราะเหตุถงึ แก่ความตาย เกษยี ณอายุราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ ลาออกจากราชการ หรอื ถูกลงโทษวนิ ัยอย่างร้ายแรงโดยการปลดออกหรอื ไล่ออกจาก

๑๒๖ ราชการตามมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง (๑) (๒) (๓) และ (๕) แห่ง พระราชบญั ญตั ติ ารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ นอกจากน้ี ก็ยงั มเี หตุในการออกจากราชการกรณีอ่ืน ตามท่กี ฎหมายกาหนดไวอ้ กี หลายกรณี กล่าวคอื (๑) ถูกสงั่ ให้ ออกจากราชการอนั เน่อื งมาจากการทดลองปฏบิ ตั หิ น้าทร่ี าชการ (๒) ถูกสงั่ ใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อนเพ่อื รอฟังผลการสอบสวน พจิ ารณาทางวนิ ยั (๓) ถกู สงั่ ใหอ้ อกจากราชการเพราะขาดคุณสมบตั ิ หรือมลี กั ษณะต้องห้ามตามกฎหมาย (๔) ถูกสงั่ ให้ออกจาก ราชการเพ่อื รบั บาเหน็จบานาญเหตุทดแทน (๕) ถูกสงั่ ใหอ้ อกจาก ราชการเพราะหยอ่ นความสามารถในอนั ทจ่ี ะปฏบิ ตั หิ น้าทร่ี าชการ บกพรอ่ งในหน้าทร่ี าชการ หรอื ประพฤตติ นไมเ่ หมาะสมกบั ตาแหน่ง ในอนั ท่จี ะปฏิบตั ิหน้าท่รี าชการ (๖) ถูกสงั่ ให้ออกจากราชการ เพราะมมี ลทนิ หรอื มวั หมองจากการถูกสอบสวนวนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง และ (๗) ถกู สงั่ ใหอ้ อกจากราชการเพราะถูกจาคุกโดยคาพพิ ากษา ถงึ ทส่ี ุดใหจ้ าคุกในความผดิ ทไ่ี ด้กระทาโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหุโทษ ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง (๔) แห่งพระราชบญั ญตั ิ เดยี วกนั

๑๒๗ เรอื่ งที่ ๑๗ ถกู ให้ออกจากราชการเพราะใช้หลกั ฐาน สด. ๔๓ ปลอม !!! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๗/๒๕๖๒ สาระสาคญั ผบู้ งั คบั การตารวจภธู รซงึ่ เป็นตน้ สงั กดั มคี าสงั่ ใหข้ า้ ราชการ ตารวจออกจากราชการ เนือ่ งจากขาดคุณสมบตั ติ ามท้ายประกาศ รบั สมคั รทกี่ าหนดใหใ้ ชใ้ บรบั รองผลการตรวจเลอื กทหารกองเกนิ เขา้ รบั ราชการทหารกองประจาการ (แบบ สด. ๔๓) โดยหลกั ฐาน ทางทหารดังกล่าวถือเป็นพยานหลักฐานสาคัญทีต่ ้องยืน่ ใน การสมคั รสอบแข่งขนั เมอื่ ปรากฏตามรายงานการสบื สวนของ คณะกรรมการสบื สวนขอ้ เทจ็ จรงิ ว่า หน่วยบญั ชาการรกั ษาดนิ แดน ได้แจง้ ผลการตรวจสอบว่าแบบ สด. ๔๓ ทมี่ กี ารนามายนื่ เพอื่ สมคั รสอบนัน้ ไม่ใช่เอกสารทที่ างราชการออกให้ และมขี อ้ ความ ไม่ถูกต้องตามความเป็นจรงิ กรณีจงึ ถอื ว่ามไิ ด้มกี ารเข้ารบั การ ตรวจเลอื กทหารกองเกนิ เขา้ รบั ราชการทหารกองประจาการและ มไิ ดร้ บั ใบรบั รองผลการตรวจเลอื กตามแบบ สด. ๔๓ ทาให้เป็น ผู้ขาดคุณสมบตั ิและต้องถูกตดั สทิ ธใิ นการเป็นผู้สอบแข่งขนั ได้ ตามเงอื่ นไขทกี่ าหนดในประกาศรบั สมคั ร แมต้ ่อมาพนกั งานอยั การ จะมคี าสงั่ เดด็ ขาดไม่ฟ้องขา้ ราชการตารวจรายน้ีในขอ้ หาปลอม และใช้เอกสารราชการแบบ สด. ๔๓ ปลอมก็ตาม แต่คาสงั่ ไม่ฟ้อง

๑๒๘ ดงั กล่าวรบั ฟังได้เพยี งว่าขา้ ราชการตารวจมไิ ดเ้ ป็นผปู้ ลอมแปลง เอกสารเท่านนั้ แต่ขอ้ เทจ็ จรงิ กย็ งั คงปรากฏว่าแบบ สด. ๔๓ ทนี่ ามา ยนื่ นัน้ เป็นเอกสารปลอม ดงั นัน้ คาสงั่ ให้ออกจากราชการจงึ เป็น คาสงั่ ทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง ๑. ผสู้ มคั รสอบเขา้ รบั ราชการหรอื เขา้ ทางานในหน่วยงาน ของรฐั จะตอ้ งตรวจสอบและรบั รองตนเองว่าเป็นผมู้ คี ุณสมบตั ทิ วั่ ไป และมคี ุณสมบตั เิ ฉพาะสาหรบั ตาแหน่งตรงตามทปี่ ระกาศรบั สมคั ร กาหนดไว้หรือไม่ โดยต้องยืน่ และแสดงหลักฐานให้ถูกต้อง ครบถว้ นตามประกาศรบั สมคั ร ซงึ่ การใชห้ ลกั ฐานทางทหาร เช่น แบบ สด. ๔๓ ปลอม หรอื การใชว้ ุฒกิ ารศกึ ษาและเอกสารรบั รอง คุณสมบตั ิประเภทอืน่ ปลอม ถือเป็นการยนื่ เอกสารทไี่ ม่ถูกต้อง ครบถ้วน และอาจถูกตดั สทิ ธใิ นการสอบหรอื อาจถูกสงั่ ใหอ้ อกจาก ราชการอนั เนอื่ งมาจากเป็นผขู้ าดคณุ สมบตั ติ ามทกี่ าหนดไว้ ๒. การนาเอกสารปลอมมายนื่ เป็นหลกั ฐานในการสมคั รสอบ แมว้ ่าผใู้ ชเ้ อกสารดงั กล่าวจะไมไ่ ดเ้ ป็นผกู้ ระทาการปลอมดว้ ยตนเอง หรอื มไิ ด้มสี ่วนรู้เหน็ ในขนั้ ตอนของการปลอมแปลง หรอื แมว้ ่า พนกั งานอยั การจะมคี าสงั่ ไมฟ่ ้องผสู้ มคั รในขอ้ หาปลอมแปลงเอกสาร แต่การนาเอกสารปลอมมายนื่ เป็นหลกั ฐานในการสมคั รสอบ ยอ่ มถอื วา่ บคุ คลนนั้ ขาดคณุ สมบตั ติ ามประกาศรบั สมคั ร

๑๒๙ ถกู ให้ออกจากราชการเพราะใช้หลกั ฐาน สด. ๔๓ ปลอม !!! ส่วนท่ี ๑ ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหาร “ชายไทยทกุ คนตอ้ งเป็นทหาร” วลอี มตะทเ่ี ช่อื วา่ หลายท่าน คงเคยได้ยินได้ฟังหรือประสบพบมากับตนเอง ซ่ึงก็มาจาก บทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่บี ญั ญตั วิ ่า “ชายทมี่ สี ญั ชาตเิ ป็นไทยตามกฎหมาย มหี น้าทรี่ บั ราชการทหารดว้ ยตนเองทุกคน” บทบญั ญตั ดิ งั กล่าว หลายท่านอาจคุน้ ๆ เพราะเคยเป็น ประเดน็ รอ้ นทางการเมอื งทถ่ี ูกหยบิ ยกขน้ึ มาใช้อภปิ รายหาเสยี ง เลอื กตงั้ กนั อยา่ งเขม้ ขน้ ดุเดด็ เผด็ มนั ในช่วงเวลาทผ่ี ่านมา ซง่ึ มที งั้ ฝ่ายทเ่ี หน็ วา่ ตอ้ งยกเลกิ บทกฎหมายโดยไมต่ ้องมกี ารเกณฑท์ หาร อกี ต่อไป ให้คงเหลอื แต่เพียงผู้ท่สี มคั รใจเข้ารบั ราชการทหาร เทา่ นนั้ สว่ นอกี ฝ่ายกพ็ ยายามโน้มน้าวใหเ้ หน็ ถงึ เหตุผลความจาเป็น ของการเกณฑท์ หารเพ่อื มาเป็นกาลงั สาคญั ในการปกป้องบา้ นเมอื ง แลว้ ยงั ฝึกความอดทนมรี ะเบยี บวนิ ยั ใหก้ บั ชายไทย ... และอภปิ ราย ยาวกนั ไปถงึ การอา้ งองิ ระบบการรบั ราชการทหารของต่างประเทศ ซง่ึ ก็มที งั้ ระบบบงั คบั ให้บุคคลต้องเป็นทหารราว ๒๐ กว่าประเทศ เช่น ไทย เกาหลใี ต้ นอร์เวย์ สวติ เซอร์แลนด์ อิสราเอล หรอื สงิ คโปร์ เป็นต้น และมบี างประเทศทกี่ าหนดให้ทงั้ ชายและหญิง

๑๓๐ ต้องเป็นทหารนะครับ นอกนัน้ ก็จะเป็นระบบสมคั รใจอย่าง สหรฐั อเมรกิ า อติ าลี ฝรงั่ เศส และญป่ี ่นุ เป็นตน้ เอาละ ... การวพิ ากษ์วจิ ารณ์แสดงความเหน็ ถอื เป็นเร่อื ง ปกตขิ องระบบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยครบั ! เบอ้ื งต้นขอให้ ความรูเ้ ก่ยี วกบั กฎหมายท่ใี ช้บงั คบั อย่ใู นปัจจุบนั น้ีสกั เล็กน้อย เพราะเก่ยี วขอ้ งกบั อุทาหรณ์จากคดปี กครองท่ีนามาเล่าส่กู นั ฟัง ในฉบบั น้ี อย่างท่เี รยี นใหท้ ราบไปตอนตน้ ว่า กฎหมายกาหนดให้ ชายไทยทุกคนตอ้ งเป็นทหารโดยเรม่ิ แรกชายไทยทมี่ อี ายุยา่ งเขา้ ๑๘ ปี ตอ้ งไปแสดงตนเพอื่ ลงบญั ชที หารกองเกนิ โดยทางราชการ จะออกหนงั สอื ลงบญั ชที หารกองเกนิ หรอื สด. ๙ ใหไ้ วเ้ ป็นหลกั ฐาน แสดงว่าบคุ คลนนั้ ไดท้ าการลงทะเบยี นทหารกองเกนิ แลว้ ต่อมา เมอื่ บุคคลนัน้ มอี ายุครบ ๒๑ ปีบรบิ ูรณ์ กจ็ ะไดร้ บั หมายเรยี กเขา้ รบั ราชการทหาร หรอื สด. ๓๕ ในช่วงน้ีหากบุคคลใด มเี หตุทต่ี ้องไดร้ บั การผ่อนผนั เช่น อย่รู ะหว่างการศกึ ษาเล่าเรยี น กส็ ามารถขอผอ่ นผนั การตรวจเลอื กเพ่อื รบั ราชการทหารออกไป ก่อนได้ แต่ถ้าไมม่ เี หตุใหผ้ ่อนผนั กจ็ ะต้องเขา้ รบั การตรวจเลอื ก เขา้ กองประจาการ หรอื การเกณฑท์ หารนนั่ เองครับ นอกจากน้ี กย็ งั มกี รณขี องนักศกึ ษาวชิ าทหาร (รด.) ทส่ี าเรจ็ หลกั สูตรตงั้ แต่ ชนั้ ปีท่ี ๓ ขน้ึ ไป ทไ่ี ดร้ บั ยกเวน้ การเกณฑท์ หาร ในการเกณฑ์ทหาร หากผู้ใดสมคั รเข้าเป็นทหารหรือ จบั สลากได้ “ใบแดง” จะได้รบั หมายนัดเข้ารบั ราชการทหาร

๑๓๑ กองประจาการ (สด. ๔๐) และเมอื่ พ้นจากราชการทหารกจ็ ะไดร้ บั สมุดประจาตวั ทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ (สด. ๘) แต่ในกรณีที่ จบั สลากได้ “ใบดา” หรอื ตรวจร่างกายไม่ผ่านก็จะได้รบั ใบรบั รอง ผลการตรวจเลอื กทหารกองเกนิ เขา้ รบั ราชการทหารกองประจาการ (สด. ๔๓) เพือ่ แสดงว่าผา่ นการตรวจเลือกทหารมาแล้ว โดยเอกสาร สด. ๘ หรอื สด. ๔๓ ขา้ งตน้ นนั้ กเ็ ป็นหลกั ฐาน สาคญั ว่าไดผ้ ่านการเกณฑท์ หารมาแลว้ ซง่ึ ในปัจจบุ นั การเขา้ รบั ราชการหรอื เขา้ ทางานในหน่วยงาน รวมถงึ บรษิ ทั หา้ งรา้ นต่าง ๆ กม็ กั จะมเี งอ่ื นไขท่วี ่าผูส้ มคั รจะต้องผ่านการเกณฑท์ หารมาแลว้ แต่กจ็ ะมบี างคนหวั ใสใชท้ างลดั นาเอกสารปลอมมาเป็นหลกั ฐาน การสมคั รงาน โดยเฉพาะกรณี สด. ๔๓ ปลอมท่เี คยเป็นข่าว ตามหน้าหนังสอื พมิ พ์อย่บู ่อยครงั้ ทาใหห้ น่วยงานตน้ สงั กดั หรอื นายจา้ งตอ้ งตามไปตรวจสอบกบั หน่วยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกนั จนวุ่น ไปหมดเลยครบั ประเดน็ ทนี่ ่าสนใจของเรอื่ งน้ีจงึ เกยี่ วกบั การใช้ “สด. ๔๓ ปลอม” เป็นหลกั ฐานในการสมคั รเข้ารบั ราชการครบั !!! ส่วนที่ ๒ ถกู ให้ออกจากราชการเพราะใช้หลกั ฐาน สด. ๔๓ ปลอม !!! หลายท่านอาจสงสยั ว่า ทาไม ? สด. ๘ หรอื สด. ๔๓ จงึ มคี วามสาคญั ถงึ กบั ต้องกาหนดเป็นเง่อื นไขการสมคั รเขา้ รบั ราชการหรือทางานในท่ีต่าง ๆ นัน่ เป็ นเพราะส่วนราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื บรษิ ทั หา้ งรา้ น ต่างก็อยากจะรบั บุคลากร

๑๓๒ ท่ีไม่มภี าระการเกณฑ์ทหารแล้วนัน่ เอง ด้วยความท่หี น่วยงาน เหล่าน้ีกลัวว่า ถ้าบุคลากรท่ีรับเข้าทางานแล้วต่อมาต้องถูก เกณฑ์ไปเป็นทหาร ก็อาจทาให้เกิดความยุ่งยากหรอื เสยี หาย แก่ระบบงานของตนได้ ซง่ึ เอกสารเหลา่ น้เี องทแ่ี สดงว่าบุคคลทม่ี ี ช่อื ปรากฏอยู่ในเอกสารเป็นผู้ทผ่ี ่านการเกณฑท์ หารหรอื ไดร้ บั ยกเวน้ ไมต่ อ้ งเขา้ รบั การเกณฑท์ หาร แต่ด้วยเหตุท่ีสังคมปั จจุบันมีการแข่งขันท่ีสูงมาก ตาแหน่งหน้าทก่ี ารงานมนี ้อยกว่าจานวนของคนหางาน ทาให้มี บางคนทีอ่ ยากทางานดีแต่มีคุณสมบตั ิไม่ครบ จึงอาศัย ช่องทางลัดโดยการใช้เอกสารยืนยันคุณสมบัติ ปลอม ในการสมคั รเข้าทางานทงั้ ในภาครฐั และภาคเอกชน โดยอาจ ไมเ่ ฉลยี วใจวา่ จะถูกหน่วยงานตน้ สงั กดั ตรวจสอบในภายหลงั อย่างเช่นอุทาหรณ์จากคดปี กครองในฉบบั น้ี เป็นกรณี ของกระทาชายนายธนูซ่ึงไปสมคั รสอบแข่งขนั เพ่ือเข้าเป็น ขา้ ราชการตารวจตามประกาศตารวจภธู รภาค ๗ เร่อื ง รบั สมคั ร และสอบแข่งขันบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรีเพ่ือบรรจุ และแต่งตัง้ เป็นข้าราชการตารวจชนั้ ประทวน พ.ศ. ๒๕๕๓ และได้รบั การแต่งตงั้ ให้ดารงตาแหน่งผู้บงั คบั หมู่ งานป้องกัน ปราบปราม สถานตี ารวจภธู รในจงั หวดั แห่งหน่งึ ต่อมา ผ้บู งั คบั การตารวจภธู รต้นสงั กดั ได้มีคาสงั่ ให้ นายธนูออกจากราชการ เนือ่ งจากนายธนูใช้ สด. ๔๓ ปลอม เป็นเอกสารในการสมคั รสอบเข้ารบั ราชการตารวจ จึงเป็ น

๑๓๓ ผ้ขู าดคุณสมบตั ิและต้องถกู ตัดสิทธิในการเป็ นผ้สู อบได้ ตามเงือ่ นไขทีก่ าหนดในประกาศตารวจภธู รภาค ๗ ดงั กล่าว พรอ้ มทงั้ ไดแ้ จง้ ความรอ้ งทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนเพ่อื ดาเนินคดี อาญากบั นายธนูในขอ้ หาปลอมและใชเ้ อกสารราชการ สด. ๔๓ ปลอมด้วย แต่ภายหลังพนักงานอัยการมีคาสงั่ ไม่ฟ้ องนายธนู เนือ่ งจากไม่มพี ยานหลกั ฐานใดยนื ยนั ว่านายธนูเป็นผูป้ ลอมแปลง เอกสารดงั กล่าว นายธนูจงึ มาย่นื ฟ้องสานักงานตารวจแห่งชาตกิ บั พวก รวม ๔ ราย ต่อศาลปกครองเพ่อื ขอใหเ้ พกิ ถอนคาสงั่ ใหอ้ อกจาก ราชการดงั กล่าว และมติของคณะกรรมการข้าราชการตารวจ ทใ่ี หย้ กอุทธรณ์ของตนเอง คดีจึงมีประเด็นสาคัญทีต่ ้องพิจารณาว่า การยืน่ หลักฐาน สด. ๔๓ ปลอม เพือ่ สมคั รสอบแข่งขันเข้ารบั ราชการตารวจของนายธนู ถือว่าเป็ นผ้ขู าดคณุ สมบตั ิการ เข้ารบั ราชการตารวจตามประกาศตารวจภธู รภาค ๗ หรอื ไม่ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วสรปุ ได้ว่า การสอบ แข่งขนั ครงั้ น้ีมเี ง่อื นไขสาคญั ประการหน่ึง คอื ทหารกองเกิน ท่ีผ่านการเกณฑ์ทหารต้องย่นื สด. ๔๓ มาเป็นหลกั ฐานด้วย ซ่งึ นายธนูก็ได้ย่นื สด. ๔๓ ของตนเองในการสมคั รแล้ว ต่อมา คณะอนุกรรมการพิจารณาประวตั ิและภาคความเหมาะสมกับ ตาแหน่งในการสอบแขง่ ขนั ดงั กล่าวพจิ ารณาแลว้ มมี ตวิ ่า นายธนู เป็นผขู้ าดคณุ สมบตั ิในการเข้ารบั ราชการตารวจ เนือ่ งจาก

๑๓๔ ได้ตรวจสอบกบั หน่วยบญั ชาการรกั ษาดินแดนพบว่า นายธนู ไม่เคยไปแสดงตนเพือ่ รับหมายเรียกและหรือไม่เข้ารับ การตรวจเลื อกทหารกองเกิ นเข้ าร ับราชการทหารกอง ประจาการ ดงั นัน้ ใบ สด. ๔๓ ของนายธนูจึงไม่ใช่เอกสาร ทีท่ างราชการออกให้ (พดู งา่ ย ๆ กค็ อื “สด. ๔๓ ปลอม” นนั่ เอง) ดงั นนั้ สด. ๔๓ ของนายธนูจงึ ไม่สามารถใชเ้ ป็นเอกสาร หลกั ฐานยนื ยนั ว่าไดผ้ า่ นการตรวจเลอื กทหารกองเกนิ เขา้ รบั ราชการ ทหารกองประจาการอย่างถูกต้องตามกฎหมายแลว้ นายธนูจงึ เป็น ผู้ขาดคุณสมบตั ิและต้องถูกตัดสิทธใิ นการเป็นผู้สอบแข่งขนั ได้ ตามเงอ่ื นไขทก่ี าหนดในประกาศตารวจภธู รภาค ๗ ส่วนกรณีท่ีนายธนูต่อสู้ว่า พนักงานอัยการมีคาสัง่ ไม่ฟ้องตนเอง เน่ืองจากไม่มพี ยานหลกั ฐานใดยนื ยนั ว่าตนเอง เป็นผูป้ ลอมแปลง สด. ๔๓ ฉบบั น้ี ศาลปกครองสูงสุดเหน็ ว่า คาสงั่ ไม่ฟ้องของพนักงานอยั การรบั ฟังได้เพยี งว่านายธนูมไิ ด้ เป็นผปู้ ลอมแปลงเอกสาร แต่ขอ้ เทจ็ จรงิ กย็ งั คงปรากฏว่า สด. ๔๓ ทนี่ ายธนูนามายนื่ แสดงเพอื่ ใช้ในการสมคั รเขา้ สอบภาคความ เหมาะสมกบั ตาแหน่งเป็นเอกสารปลอม จงึ เป็นการยนื่ เอกสาร ทไี่ มถ่ กู ตอ้ งครบถว้ นตามทา้ ยประกาศตารวจภธู รภาค ๗ ดงั นัน้ คาสงั่ ใหน้ ายธนูออกจากราชการตามมาตรา ๙๘ แห่งพระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมตขิ อง คณะกรรมการขา้ ราชการตารวจทว่ี นิ ิจฉัยว่านายธนูขาดคุณสมบตั ิ ในการสมัครสอบแข่งขันบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี

๑๓๕ เพ่ือบรรจุและแต่งตัง้ เป็นข้าราชการตารวจ เน่ืองจาก สด. ๔๓ ท่นี ามาย่นื แสดงไม่ใช่เอกสารท่ที างราชการออกให้ จงึ เป็นคาสงั่ และมตทิ ช่ี อบดว้ ยกฎหมายแลว้ อุทาหรณ์ในคดปี กครองเร่อื งน้ีชดั เจนครบั ว่า นอกจาก ผู้สมคั รสอบเข้ารบั ราชการจะต้องรบั ผดิ ชอบในการตรวจสอบ และรบั รองตนเองว่าเป็นผู้มคี ุณสมบตั ิหรือไม่ และมีคุณสมบัติ เฉพาะสาหรบั ตาแหน่งตรงตามประกาศสอบ โดยย่นื และแสดง หลกั ฐานใหถ้ กู ตอ้ งครบถว้ นแลว้ การใช้ สด. ๔๓ ปลอม รวมไปถงึ วุฒกิ ารศึกษาหรอื เอกสารรบั รองคุณสมบตั ิปลอมประเภทอ่ืน เพ่อื รบั รองหรอื ยนื ยนั ว่าตนเองเป็นผมู้ คี ุณสมบตั ติ ามทก่ี ฎหมาย กาหนด ถอื เป็นการย่นื เอกสารไม่ถูกต้องครบถ้วน อนั เป็นการ กระทาท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมาย แมว้ ่าผู้ใช้เอกสารดงั กล่าวจะไม่ได้ เป็นผูก้ ระทาการปลอมเอกสารด้วยตนเอง หรอื มสี ่วนรู้เหน็ ในการ ปลอมแปลงเอกสารนนั้ แต่การนา “เอกสารปลอม” ดงั กล่าวมาใช้ ก็ถือว่าบุคคลนัน้ ไม่ได้เป็นผู้มคี ุณสมบัติตามท่ีกฎหมายหรือ ระเบยี บข้อบงั คบั กาหนด จงึ เป็นเหตุให้ต้องถูกสงั่ ให้ออกจาก ราชการหรอื ถูกเลกิ จา้ งเช่นเดยี วกบั กรณีตามอุทาหรณ์น้ี... อ่อ ! เกอื บลมื ไปครบั ท่านสสั ดฝี ากมาเรยี นท่านผอู้ ่านว่า ใบ สด. ๔๓ ทถ่ี ูกต้องจะต้องรบั จากมอื ประธานกรรมการตรวจเลอื กในวนั และ สถานท่ตี รวจเลือกทหารเท่านัน้ หากไปนัดรบั กนั นอกรอบหรอื รบั กบั บุคคลอ่นื แมจ้ ะมลี กั ษณะหน้าตาเหมอื น สด. ๔๓ ของจรงิ แต่ก็ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนเลยว่าอาจ “เป็นของเลยี นแบบ” ท่จี ะใช้ เป็นหลกั ฐานยนื ยนั ตามกฎหมายไมไ่ ดค้ รบั ...

๑๓๖ (ผสู้ นใจศกึ ษารายละเอยี ดไดจ้ ากคาพพิ ากษาศาลปกครอง สงู สุดที่อบ. ๗/๒๕๖๒) ส่วนท่ี ๓ ร้ทู นั การบรรจแุ ละแต่งตงั้ ข้าราชการตารวจ ผทู้ จ่ี ะไดร้ บั การบรรจุเขา้ รบั ราชการตารวจตอ้ งมคี ุณสมบตั ิ และไมม่ ลี กั ษณะต้องหา้ มดงั ต่อไปน้ี (๑) มสี ญั ชาตไิ ทยโดยการเกดิ (๒) มอี ายุไม่ต่ากว่าสบิ แปดปีบรบิ ูรณ์ (๓) เป็นผู้เล่อื มใสในการ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข (๔) ไม่เป็นข้าราชการการเมอื ง ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง สมาชกิ สภาท้องถ่ิน หรอื ผู้บรหิ ารท้องถ่ิน (๕) ไม่เป็นผู้ดารง ตาแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมือง (๖) มีคุณสมบัติและไม่มี ลกั ษณะตอ้ งหา้ มอ่นื ตามทก่ี าหนดในกฎ ก.ตร. หรอื ตามประกาศ รบั สมคั รสอบ และหากภายหลงั ปรากฏว่าผู้ได้รบั บรรจุเขา้ เป็น ข้าราชการตารวจผู้ใดขาดคุณสมบตั ิหรือมีลกั ษณะต้องห้าม หรอื ขาดคุณสมบตั ิเฉพาะสาหรบั ตาแหน่งตามกฎหมายตงั้ แต่ ก่อนไดร้ บั การบรรจุ ใหผ้ มู้ อี านาจบรรจุและแต่งตงั้ สงั่ ใหอ้ อกจาก ราชการได้ ทัง้ น้ี ตามมาตรา ๔๘ ประกอบมาตรา ๙๘ แห่ง พระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗

๑๓๗ เรอื่ งที่ ๑๘ ให้รองอธิการบดีพ้นตาแหน่ง ... ต้องสอบสวนก่อนหรอื ไม่ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๕๒/๒๕๖๒ สาระสาคญั สภามหาวทิ ยาลยั ได้แต่งตงั้ รองอธกิ ารบดตี ามคาแนะนา ของอธกิ ารบดี ต่อมา อธกิ ารบดมี คี วามประสงคจ์ ะเปลยี่ นแปลง รองอธิการบดี จึงเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยเพือ่ ให้ถอดถอน ออกจากตาแหน่ง โดยการแต่งตงั้ และถอดถอนรองอธกิ ารบดถี อื เป็น อานาจของอธกิ ารบดที จี่ ะเสนอใหส้ ภามหาวทิ ยาลยั แต่งตงั้ บุคคล ซงึ่ มคี ุณสมบตั ติ ามกฎหมายและทตี่ นไวว้ างใจใหเ้ ป็นรองอธกิ ารบดี เพือ่ มาเป็นผู้ช่วยในการบริหารงานของตน และหากต่อมา อธกิ ารบดไี ดห้ มดความไวว้ างใจต่อผนู้ ัน้ แลว้ กส็ ามารถเสนอต่อ สภามหาวทิ ยาลยั เพอื่ ให้ถอดถอนออกจากตาแหน่งได้เช่นกัน โดยไม่ถอื ว่าเป็นการลงโทษ นอกจากน้ี เหตุทที่ าให้อธกิ ารบดี เสอื่ มหรอื หมดความไวว้ างใจลง กไ็ ม่จาเป็นต้องเป็นการกระทา หรือพฤติการณ์ในเรือ่ งใดเรือ่ งหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง แต่อาจ จะเป็นการกระทาหรอื พฤตกิ ารณ์โดยรวมกไ็ ด้ และแมร้ องอธกิ ารบดี จะไม่มีความผิด อธิการบดีก็มีอานาจทีจ่ ะเสนอปรับเปลีย่ น รองอธิการบดีตามทีเ่ ห็นว่าเหมาะสมได้โดยไม่จาต้องทาการ สอบสวนว่าสมควรถอดถอนจากตาแหน่งหรอื ไม่ ดงั นัน้ คาสงั่ สภามหาวทิ ยาลยั ทใี่ หร้ องอธกิ ารบดพี น้ จากตาแหน่งจงึ ชอบแลว้

๑๓๘ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง ๑. โดยทวั่ ไปแล้ว คาสงั่ ทางปกครองทอี่ าจกระทบถงึ สทิ ธิ ของคกู่ รณี เจา้ หน้าทผี่ อู้ อกคาสงั่ ตอ้ งใหค้ ่กู รณีไดม้ โี อกาสโต้แยง้ และแสดงพยานหลกั ฐานของตนก่อนออกคาสงั่ ซงึ่ กรณีของคาสงั่ ใหพ้ น้ จากตาแหน่งนนั้ แมจ้ ะเป็นคาสงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อนั มผี ลกระทบถงึ สทิ ธขิ องค่กู รณี แต่กถ็ อื เป็นขอ้ ยกเวน้ ทไี่ ม่จาตอ้ ง รบั ฟังคู่กรณีก่อนออกคาสงั่ ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖) ประกอบกบั กฎกระทรวง ฉบบั ที่๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั ดงั เช่นกรณคี าสงั่ ถอดถอนรองอธกิ ารบดี มหาวิทยาลัย ซึง่ เป็นไปในทานองเดียวกันกับการทีผ่ ู้บริหาร ท้องถนิ่ มคี าสงั่ ถอดถอนรองผูบ้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ทปี่ รกึ ษาผู้บรหิ าร ทอ้ งถนิ่ และเลขานุการผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ๒. การแต่งตัง้ บุคคลให้ดารงตาแหน่งใดทีเ่ กิดข้ึนจาก ความไวว้ างใจของผดู้ ารงตาแหน่งตามทกี่ ฎหมายกาหนด โดยไม่มี กระบวนการสรรหาหรอื คดั เลอื ก อยภู่ ายใตแ้ นวความคดิ เดยี วกนั คอื การแต่งตงั้ ผชู้ ่วยเหลอื ในการปฏบิ ตั หิ น้าที่ ซงึ่ ต้องแต่งตงั้ จาก บุคคลทตี่ นใหค้ วามไวว้ างใจ และเมอื่ หมดความไวว้ างใจกส็ ามารถ ถอดถอนได้ เพราะเหตุว่าหน้าทแี่ ละความรบั ผดิ ชอบโดยตรงตาม กฎหมายไม่ใช่ของผู้ได้รบั การแต่งตงั้ แต่เป็นของผู้เสนอให้มี การแต่งตงั้ ทงั้ น้ี หากผู้เสนอให้มกี ารแต่งตงั้ พ้นจากตาแหน่ง ผไู้ ดร้ บั การแต่งตงั้ ยอ่ มตอ้ งพน้ จากตาแหน่งตามไปดว้ ย

๑๓๙ ให้รองอธิการบดีพ้นตาแหน่ง ... ต้องสอบสวนก่อนหรอื ไม่ ส่วนที่ ๑ การเข้าสู่ตาแหน่ งและพ้นจากตาแหน่ งของ เจ้าหน้าที่ของรฐั เดือนกันยายนของทุกปี ถือเป็ นเดือนสุดท้ายของ ปีงบประมาณเดมิ เพ่อื เรมิ่ เขา้ สู่ปีงบประมาณถดั ไปในเดอื นตุลาคม เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ทค่ี รบอายเุ กษยี ณราชการตามท่กี ฎหมายกาหนด กเ็ ป็นอนั ตอ้ งพน้ จากราชการเมอ่ื สน้ิ ปีงบประมาณ ส่วนเจา้ หน้าท่ี ของรฐั ทย่ี งั คงอยใู่ นราชการ กค็ งปฏบิ ตั หิ น้าทต่ี ามทไ่ี ดร้ บั แต่งตงั้ ต่อไปดว้ ยความวริ ยิ ะอุตสาหะ การทข่ี า้ ราชการหรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั คนหน่ึงรบั ราชการ มาจนถงึ จดุ หมายปลายทาง คอื การเกษยี ณอายุราชการ จงึ เป็น ความภาคภูมใิ จอย่างท่สี ุดประการหน่ึง และยงั เป็นบทพิสูจน์ ให้เห็นว่าเจ้าหน้าท่ีของรฐั ผู้นัน้ ไม่เคยถูกกล่าวหาว่ากระทา ความผดิ และถูกลงโทษจนถึงขนั้ ต้องจบชวี ติ ราชการก่อนเวลา อนั ควร ! กล่าวมาถึงตรงน้ี ก็อยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ ซ่งึ หลายท่านอาจจะไม่เคยรู้ถงึ ระบบบรหิ ารงานบุคคลภาครฐั เกย่ี วกบั การเขา้ สตู่ าแหน่งของเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ซง่ึ โดยหลกั การ ทวั่ ไปแล้ว กฎหมายกาหนดให้มีกระบวนการสรรหา บรรจุ

๑๔๐ และแต่งตงั้ ตามทีก่ ฎหมายเกีย่ วกบั การบริหารงานบุคคล ของเจ้าหน้ าทีข่ องรฐั แต่ละประเภทกาหนด รวมไปถึง กระบวนการให้ พ้นจากตาแหน่ งไม่ว่าจะกาหนดโดยการ เกษียณอายุราชการ ครบวาระการดารงตาแหน่ ง หรือ แม้กระทัง่ ส้ินสุดระยะเวลาการจ้างตามสัญญาจ้าง เช่น ๑. กรรมการองค์กรอิสระท่กี ฎหมายกาหนดให้เข้าสู่ตาแหน่ง โดยการสรรหา และพ้นจากตาแหน่งเม่อื ครบวาระหรอื มเี หตุอ่ืน ตามท่ีกฎหมายกาหนด ๒. ตุลาการศาลปกครองเข้าสู่ตาแหน่ง โดยการคดั เลอื ก และพ้นจากตาแหน่งเม่อื เกษียณอายุราชการ หรอื มเี หตุอ่นื ตามท่กี ฎหมายกาหนด หรอื ๓. เจา้ หน้าท่ขี องรฐั ไมว่ ่าจะเป็นขา้ ราชการหรอื พนกั งานของรฐั (ไมร่ วมถงึ พนักงาน ราชการตามสัญญาจ้าง) เข้าสู่ตาแหน่งโดยการคดั เลอื กหรือ สอบแข่งขนั และพ้นจากตาแหน่งเม่อื เกษยี ณอายุราชการหรอื มเี หตุอ่นื ตามทก่ี ฎหมายกาหนด สาหรบั เหตุอ่นื ตามทก่ี ฎหมายกาหนดทไ่ี ดก้ ล่าวไวข้ า้ งต้น ไดแ้ ก่ ตาย ลาออก ถกู สงั่ ใหอ้ อก หรอื ถูกสงั่ ลงโทษปลดออกหรอื ไล่ออก โดยในสองกรณีหลงั น้ีต้องมกี ารแต่งตงั้ คณะกรรมการ สอบสวนและลงโทษตามทก่ี ฎหมายกาหนดเท่านนั้ ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ว่าโดยทวั่ ไปแลว้ การเขา้ สู่ตาแหน่งและการพ้นจากตาแหน่งของ เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องเป็ นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการของ กฎหมายอย่างเคร่งครดั เช่น การให้พ้นจากตาแหน่งทีไ่ ม่ได้ เกิดข้ึนจากความตายหรือความสมคั รใจลาออก กจ็ ะต้อง

๑๔๑ ปรากฏว่ามีเหตุทีห่ ย่อนสมรรถภาพหรือมีมลทินมวั หมอง ทีไ่ ม่อาจให้อยู่ในราชการต่อไปได้ หรือมีความผิดและถกู ลงโทษทางวินัย อนั เป็ นหลกั ประกนั ทีส่ าคญั ประการหนึ่ง ในด้านความมนั่ คงทางอาชีพของเจ้าหน้าทีข่ องรฐั แต่จะมเี จ้าหน้าทีข่ องรฐั บางประเภทหรือบางตาแหน่ง ทก่ี ฎหมายกาหนดหลกั เกณฑใ์ นการเขา้ สู่ตาแหน่งเอาไวแ้ ตกต่าง จากท่ีอธิบายไว้ข้างต้น กล่าวคือ ไม่ต้องผ่านการสรรหา คดั เลือก หรือสอบแข่งขนั เพือ่ บรรจแุ ละแต่งตงั้ !!! หากแต่ เขา้ มาโดยความไว้วางใจของผู้ดารงตาแหน่งตามท่กี ฎหมาย กาหนด เช่น กรรมการผูช้ ่วยรฐั มนตรี เลขานุการหรอื ทป่ี รกึ ษา รฐั มนตรี เลขานุการหรอื ทป่ี รกึ ษาของตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญ รวมถงึ กรรมการองคก์ รอสิ ระต่าง ๆ แมก้ ระทงั่ รองนายกเทศมนตรี หรอื รองอธกิ ารบดใี นสถาบนั อุดมศกึ ษาของรฐั เป็นตน้ ประเดน็ ทนี่ ่าสนใจของเรอื่ งน้ีจงึ มอี ย่วู ่า เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ทีแ่ ต่งตงั้ โดยอาศยั ความไว้วางใจ อาจถกู สงั่ ให้พ้นจากตาแหน่ง เพราะหมดความไว้วางใจได้หรอื ไม่ ??? ส่วนที่ ๒ ให้รองอธิการบดีพ้นตาแหน่ง ... ต้องสอบสวน ก่อนหรอื ไม่ มีอุ ท า ห ร ณ์ จ า ก ค ดีป ก ค ร อ ง ท่ีน่ า ส น ใ จ เ ก่ียว กับก าร ให้พ้นจากตาแหน่งรองอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ของรฐั แห่งหน่ึง มาฝากทา่ นผอู้ ่านครบั