Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

Published by Guset User, 2021-10-20 03:40:43

Description: Academic_290921_133723หลักกฎหมายบทความสั้นคดีปกครองที่น่าสนใจเล่ม 13 : คดีพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

Search

Read the Text Version

๔๒ เรอื่ งที่ ๗ ประกาศรบั สมคั ร “อาจารย”์ ไม่ตรงตามความต้องการของคณะ ! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๓/๒๕๖๓ สาระสาคญั มหาวทิ ยาลยั ในกากบั ของรฐั ไดม้ ปี ระกาศรบั สมคั รคดั เลอื ก บุคคลเป็นพนักงานมหาวทิ ยาลยั ตาแหน่งอาจารย์ สงั กดั คณะ วทิ ยาศาสตร์ โดยมผี ผู้ ่านคณุ สมบตั เิ พยี งรายเดยี วทไี่ ดเ้ ขา้ รบั การสอบ สมั ภาษณ์ เมอื่ คณะกรรมการคดั เลอื กได้รายงานผลการคดั เลอื ก ต่ออธกิ ารบดแี ลว้ แต่คณะกรรมการประจาคณะวทิ ยาศาสตรม์ มี ติ ไมเ่ หน็ ชอบ เนอื่ งจากเหน็ ว่าการรบั สมคั รครงั้ น้ีไดก้ าหนดคุณสมบตั ิ ไม่ตรงกบั สาขาในหลกั สูตรทขี่ าดแคลน อนั ไม่ตรงตามความต้องการ ของคณะ มหาวทิ ยาลยั จงึ ประกาศว่าไม่มผี ู้ผ่านตามหลกั เกณฑ์ การคดั เลอื ก ซงึ่ แมป้ ระกาศของมหาวทิ ยาลยั จะเป็นการออกคาสงั่ โดยชอบด้วยกฎหมายและไมม่ เี หตุจะเพกิ ถอนประกาศดงั กล่าว ก็ตาม แต่เมอื่ คณบดคี ณะวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นผู้กาหนดคุณสมบตั ิ โดยไม่ได้ผ่านภาควชิ าหรอื หลกั สตู รใดในคณะ และไมด่ าเนินการ ตามข้อบงั คับของมหาวิทยาลยั ทีก่ าหนดให้วางแผนการบรหิ าร งานบุคคลไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกบั ภาระงานและงบประมาณที่ คณะได้รบั จงึ ถอื เป็นการไม่ปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนตามปกตใิ นการ รบั บุคคลเขา้ ปฏบิ ตั งิ านสายวชิ าการ และเป็นการกระทาทไี่ ม่ชอบ

๔๓ ด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้สมคั รซงึ่ ได้สอบสมั ภาษณ์แล้วนัน้ ไดร้ บั ความเสยี หาย โดยเสยี สทิ ธทิ จี่ ะมโี อกาสไดร้ บั การคดั เลอื ก หากประกาศฉบบั น้ีไดอ้ อกตามขนั้ ตอนทถี่ ูกตอ้ ง กรณถี อื เป็นการ กระทาละเมดิ ในการปฏบิ ตั หิ น้าทขี่ องคณบดคี ณะวทิ ยาศาสตร์ที่ มหาวทิ ยาลยั ซงึ่ เป็นหน่วยงานต้นสงั กดั ต้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหม ทดแทนแก่ผสู้ มคั รรายดงั กลา่ วตามสมควร หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง กระบวนการและขนั้ ตอนการสรรหาและคดั เลอื กบุคลากร เพอื่ ดารงตาแหน่งใดนนั้ จะตอ้ งพจิ ารณาและดาเนนิ การตามกฎหมาย และระเบยี บข้อบงั คบั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง ตลอดจนแนวทางการปฏบิ ตั ิ ต่าง ๆ ทหี่ น่วยงานหรอื องคก์ รไดว้ างไว้ เพอื่ ใหก้ ารสรรหาบุคลากร ตรงตามความประสงคแ์ ละเกดิ ประโยชน์สงู สดุ ต่อองคก์ รอยา่ งแทจ้ รงิ เมือ่ มีการกาหนดคุณสมบัติผู้สมัครสอบในตาแหน่งอาจารย์ โดยไม่ได้ดาเนินการตามแนวทางทีม่ หาวทิ ยาลยั ได้กาหนดไว้ คอื เรมิ่ ต้นจากภาควชิ าหรือหลักสูตรจดั ทาข้อกาหนดการจ้าง โดยผ่านความเห็นชอบจากภาควิชาหรือหลกั สูตร และหัวหน้า ภาควิชาหรือประธานหลักสูตรจดั ทาหนังสือถึงคณบดีให้เสนอ มหาวทิ ยาลยั ออกประกาศรบั สมคั ร เป็นผลใหไ้ ดบ้ ุคลากรทไี่ ม่ตรง ตามความจาเป็นของหลกั สูตร จงึ ถอื เป็นความบกพร่องทเี่ กดิ จาก กระบวนการภายใน และเป็นการกระทาละเมดิ ต่อผไู้ ดร้ บั การคดั เลอื ก

๔๔ ประกาศรบั สมคั ร “อาจารย”์ ไมต่ รงตามความต้องการของคณะ ! เปิ ดปมคิด : กรณีมหาวทิ ยาลยั ในกากบั ของรฐั แห่งหน่ึง ไดอ้ อกประกาศรบั สมคั รคดั เลอื กบุคคลเขา้ ปฏบิ ตั งิ านเป็นพนกั งาน มหาวทิ ยาลยั ในตาแหน่งอาจารย์ คณะกรรมการคดั เลอื กได้ รายงานผลการคดั เลอื กต่ออธกิ ารบดีมหาวิทยาลยั ว่าผู้สมคั ร เข้ารบั การคัดเลือกรายหน่ึงเป็นผู้ได้รบั การคดั เลือก แต่ต่อมา คณะกรรมการประจาคณะวทิ ยาศาสตร์กลบั มมี ติไม่เห็นชอบ การสรรหาและคดั เลอื กบุคคลในตาแหน่งดงั กล่าว เน่ืองจาก ไม่ตรงตามความตอ้ งการของหลกั สูตร เพราะมอี าจารยใ์ นสาขา ดงั กล่าวเพยี งพอแลว้ จงึ ไดป้ ระกาศผลว่าไม่มผี สู้ อบผ่านเกณฑ์ การคดั เลอื ก การทีค่ ณะกรรมการประจาคณะวิทยาศาสตรม์ ีมติ ไม่เหน็ ชอบการสรรหาและคดั เลือกบคุ คลในตาแหน่งดงั กล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ? และเป็นการกระทาละเมิดทีต่ ้อง ชดใช้ค่าเสียหายหรอื ไม่ ? ข้อเท็จจริงของเรือ่ งน้ีรบั ฟังได้ว่า ... มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่นได้มีประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเป็ นพนักงาน มหาวทิ ยาลยั ตาแหน่งอาจารย์ สงั กดั คณะวทิ ยาศาสตร์ ทางเวบ็ ไซต์ โดยนางสาวดาวไดส้ มคั รเขา้ รบั การคดั เลอื กและเป็นผผู้ ่านคุณสมบตั ิ

๔๕ เพยี งรายเดยี วและไดเ้ ขา้ รบั การสอบสมั ภาษณ์ ต่อมา คณะกรรมการ คดั เลือกได้ประชุมพิจารณาคดั เลือกโดยการสอบสัมภาษณ์ เสรจ็ แล้ว จงึ รายงานผลการคดั เลือกต่อคณะกรรมการประจา คณะวิทยาศาสตร์ว่า นางสาวดาวเป็ นผู้ได้รับการคัดเลือก ซ่งึ คณะกรรมการประจาคณะวิทยาศาสตร์ได้พิจารณาเห็นว่า การรบั สมคั รอาจารยด์ งั กล่าวไดก้ าหนดคุณสมบตั ไิ ม่ตรงกบั สาขา ในหลกั สูตรท่ขี าดแคลนของคณะ อนั ไม่ตรงตามความต้องการ หรือตามความประสงค์ของคณะ จึงมีมติไม่เห็นชอบกับผล การคดั เลอื ก มหาวทิ ยาลยั จงึ มปี ระกาศผลการคดั เลอื กว่าไม่มผี ู้ผ่าน ตามเกณฑ์การคดั เลอื ก นางสาวดาวได้อุทธรณ์คาสงั่ ดงั กล่าว แต่ถูกยกอุทธรณ์ จงึ นาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง โดยฟ้อง คณะกรรมการประจาคณะวทิ ยาศาสตร์ (ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑) และ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น (ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒) ขอใหศ้ าลมคี าพพิ ากษา เพิกถอนมติท่ไี ม่เห็นชอบผลการคัดเลือกและให้มคี าสงั่ บรรจุ แต่งตงั้ ตนเป็นพนักงานมหาวทิ ยาลยั และขอให้มหาวทิ ยาลยั ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนดว้ ย รกู้ ฎหมายได้ประโยชน์ ข้อกฎหมายและระเบยี บทีเ่ กีย่ วข้อง มดี งั น้ี มาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ บญั ญตั วิ า่ ผใู้ ดจงใจหรอื ประมาทเลนิ เล่อ ทาต่อบุคคลอ่นื โดยผิด

๔๖ กฎหมายใหเ้ ขาเสยี หายถงึ แก่ชวี ติ กด็ ี แก่ร่างกายกด็ ี อนามยั ก็ดี เสรภี าพกด็ ี ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธอิ ยา่ งหน่งึ อยา่ งใดกด็ ี ท่านว่าผนู้ นั้ ทาละเมดิ จาตอ้ งใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเพอ่ื การนนั้ กฎหมายและข้อบงั คบั ของมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ซ่ึงบงั คบั ใช้ในขณะเกิดข้อพิพาท มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบญั ญตั ิมหาวิทยาลยั ขอนแก่น พ.ศ. ๒๕๔๑ บญั ญตั วิ ่า คณะกรรมการประจาคณะมอี านาจและ หน้าท่ี ดงั น้ี (๑) วางนโยบายและแผนงานของคณะใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายของมหาวทิ ยาลยั (๒) พจิ ารณาหลกั สูตรและรายละเอยี ด เก่ยี วกบั หลกั สูตรสาหรบั คณะเพ่อื เสนอต่อสภามหาวทิ ยาลยั ... (๖) พจิ ารณางบประมาณของคณะ ข้อ ๙ ของข้อบงั คบั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ว่าด้วย พนักงานมหาวิทยาลยั พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดว่า ใหค้ ณะวางแผน การบรหิ ารงานบุคคลไว้ล่วงหน้าใหส้ อดคลอ้ งกบั ภาระงานและ งบประมาณหรอื รายไดท้ ค่ี ณะไดร้ บั ก า ร ก า ห น ด ก ร อ บ ต า แ ห น่ ง พ นั ก ง า น ม ห า วิท ย า ลัย ให้มใี นคณะใด จานวนเท่าใด และเป็นตาแหน่งใด ประเภทใด สายงานใด รวมทงั้ ภาระหน้าท่คี วามรบั ผดิ ชอบของตาแหน่ง และคุณสมบตั ิเฉพาะตาแหน่ง ให้เป็นตามวรรคหน่ึงและตาม หลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขท่ี ก.บ.ม. กาหนด ข้อ ๖ ของประกาศ ก.บ.ม. มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ฉบบั ท่ี ๑๐/๒๕๕๕) ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เร่ือง

๔๗ หลกั เกณฑ์ วิธีการจ้าง การบรรจุและแต่งตงั้ และการทา สญั ญาจ้างพนักงานมหาวิทยาลยั กาหนดว่า การจ้างบุคคล เข้าปฏิบตั ิงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นความประสงค์ ของคณะ/หน่วยงาน โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการจ้าง ดังน้ี ๖.๒ ต้องผ่านกระบวนการสรรหาและคดั เลอื ก หรอื ได้รบั การ คัดเลือกโดยวิธีประกาศรับสมัครทัว่ ไป กรณีบรรจุพนักงาน มหาวทิ ยาลยั ตาแหน่งประเภทวชิ าการ จะต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบ จากคณะกรรมการประจาคณะ... เมอื่ ทราบขอ้ เทจ็ จรงิ ของคดแี ละขอ้ กฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ ง แลว้ มาดคู าวนิ ิจฉยั ของศาลปกครองสงู สดุ โดยสรปุ กนั เลยครบั ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาประเด็นแรก : คือ คณะกรรมการประจาคณะวิทยาศาสตร์มีอานาจหน้ าที่ เพียงใด และการทีค่ ณะกรรมการฯ มีมติไม่เห็นชอบในผล การสรรหาและคดั เลือก เป็นการกระทาทีช่ อบด้วยกฎหมาย หรอื ไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า คณะกรรมการประจา คณะวิทยาศาสตร์ เป็นองค์กรท่ีมีบทบาทสาคญั ในการบรหิ าร จดั การคณะ เน่ืองจากมีอานาจหน้าท่ีในการวางนโยบายและ แผนงานของคณะให้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ อานาจหน้าท่ใี นการวางแผนการบรหิ ารงาน บุคคลให้สอดคล้องกับภาระงานและงบประมาณหรอื รายได้ท่ี คณะได้รบั รวมทงั้ กาหนดกรอบตาแหน่งพนักงานมหาวทิ ยาลยั

๔๘ ภาระหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบของตาแหน่งและคุณสมบตั เิ ฉพาะ ตาแหน่ง ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเง่อื นไขทค่ี ณะ กรรมการบรหิ ารงานบคุ คลมหาวทิ ยาลยั กาหนด โดยท่ปี ระกาศ ก.บ.ม. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น (ฉบบั ท่ี ๑๐/๒๕๕๕) ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เร่อื ง หลกั เกณฑ์ วธิ กี ารจ้าง การบรรจุและแต่งตงั้ และการทาสญั ญาจ้างพนักงาน มหาวทิ ยาลยั (ใชบ้ งั คบั ขณะเกดิ ขอ้ พพิ าท) ในขอ้ ๖.๒ ได้กาหนด ขนั้ ตอนให้การจา้ งบุคคลเขา้ ปฏบิ ตั งิ านเป็นพนักงานมหาวทิ ยาลยั ตาแหน่งประเภทวิชาการ จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการประจาคณะ ดงั นัน้ คณะกรรมการประจาคณะ จึงมีอ านาจหน้ าท่ีใ นก ารพิจารณ าเ ก่ียว กับก ารจ้ าง พ นั ก ง าน มหาวทิ ยาลยั ดงั กล่าว โดยคานึงถงึ ภาระงานท่จี ะมอบหมายใหก้ บั บุคคลท่ีจะเข้าปฏิบัติราชการ และมีดุลพินิจตามอานาจหน้าท่ี ในการพิจารณา เพ่ือให้การจ้างสอดคล้องกับภาระงานและ งบประมาณของคณะ รวมทงั้ สอดคลอ้ งกบั แผนการบรหิ ารงาน บุคคลของคณะทว่ี างไวล้ ว่ งหน้า โดยขนั้ ตอนการรบั บุคคลเข้าปฏิบตั ิงานสายวิชาการ ดงั กล่าว ทถ่ี ูกตอ้ งจะตอ้ งเรมิ่ ต้นจากภาควชิ าหรอื หลกั สตู รจดั ทา ข้อกาหนดการจ้างโดยผ่านความเห็นชอบจากภาควิชาหรือ หลกั สตู ร และหวั หน้าภาควชิ าหรอื ประธานหลกั สูตรจดั ทาหนงั สอื ถงึ คณบดใี หเ้ สนอมหาวทิ ยาลยั ออกประกาศรบั สมคั ร โดยกาหนด คุณสมบตั ิ วนั คดั เลอื ก พรอ้ มเสนอช่อื กรรมการคดั เลอื ก แต่คดนี ้ี

๔๙ ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่า คณบดคี ณะวทิ ยาศาสตรใ์ นขณะนัน้ เป็น ผกู้ าหนดคุณสมบตั ิ โดยไมไ่ ดผ้ ่านภาควชิ าหรอื หลกั สตู รใดในคณะฯ และยงั ไม่ได้ดาเนินการตามข้อ ๙ ของข้อบงั คบั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ว่าดว้ ยพนักงานมหาวทิ ยาลยั พ.ศ. ๒๕๕๑ ทก่ี าหนดให้ คณะวางแผนการบรหิ ารงานบุคคลไว้ล่วงหน้าใหส้ อดคล้องกบั ภาระงานและงบประมาณหรอื รายไดท้ ค่ี ณะไดร้ บั ฉะนัน้ แม้ว่าผู้ฟ้ องคดีจะเป็ นผู้มีคุณสมบัติและเป็ น ผไู้ ดร้ บั การคดั เลอื ก แต่เม่อื ประกาศรบั สมคั รฯ ไดอ้ อกโดยไม่ตรง ตามความประสงค์ของคณะวิทยาศาสตร์ โดยคณะกรรมการ ประจาคณะฯ มมี ตไิ ม่เหน็ ชอบและมหาวทิ ยาลยั ไดป้ ระกาศผลว่า ไม่มผี ู้ผ่านตามเกณฑ์การคดั เลอื ก ซ่งึ ชอบด้วยกฎหมายและ ไม่มเี หตุทจ่ี ะเพกิ ถอนประกาศดงั กล่าวหรอื มตขิ องคณะกรรมการ ประจาคณะฯ ประเดน็ ทีส่ อง : การทีม่ หาวิทยาลยั ขอนแก่นประกาศ ผลการคดั เลือกโดยผ้ฟู ้ องคดีไม่ผ่านการคดั เลือก ถือเป็ น การกระทาละเมิดต่อผฟู้ ้องคดีหรือไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยประเดน็ นี้ว่า แมป้ ระกาศ ดงั กล่าวจะเป็นการออกคาสงั่ โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มี เหตุทจ่ี ะเพกิ ถอนประกาศหรอื มตขิ องคณะกรรมการประจาคณะ วทิ ยาศาสตรก์ ต็ าม แต่การทค่ี ณะวทิ ยาศาสตรด์ าเนินการคดั เลอื ก บุคคลเพ่อื บรรจุและแต่งตงั้ เขา้ ปฏบิ ตั งิ านเป็นพนักงานตาแหน่ง อาจารย์ โดยไม่ปฏิบัติตามขนั้ ตอนตามปกติในการรบั บุคคล

๕๐ เขา้ ปฏบิ ตั ิงานสายวชิ าการดงั กล่าว อนั เป็นการกระทาท่ไี ม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รบั ความเสยี หายโดยเสยี สิทธิท่ีจะมีโอกาสได้รับการพิจารณาคัดเลือกตามคุณสมบัติ ท่ีก าหน ดไว้ใ นประ กาศ ร ับ สม ัค ร ขอ งม หาวิทย าล ัย ข อ น แ ก่ น หากประกาศนนั้ ไดอ้ อกตามขนั้ ตอนทถ่ี ูกต้อง จงึ เป็นการกระทา ละเมดิ ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ตี ่อผู้ฟ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่มี หาวิทยาลยั ขอนแก่น ซ่งึ เป็นหน่วยงานต้นสงั กดั ต้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ผฟู้ ้องคดี ส่วนค่าสนิ ไหมทดแทนท่ผี ู้ฟ้องคดจี ะพงึ เรยี กร้องได้นัน้ จะต้องเป็นค่าสนิ ไหมทดแทนเพ่อื ค่าเสยี หายท่ีเป็ นผลโดยตรง จากการกระทาละเมิด เมอ่ื ค่าเสยี หายทผ่ี ฟู้ ้องคดใี ชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง จากการท่ไี ม่ได้รบั เงนิ เดอื นและค่าตอบแทนนัน้ เป็นค่าเสยี หาย ท่ีเกิดจากการคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ในอนาคตหากผ่านการ คดั เลอื กและได้รบั การบรรจุ เน่ืองจากแม้ว่าผู้ฟ้องคดจี ะเป็นผู้มี คุณสมบตั ถิ ูกต้องครบถ้วนตามประกาศรบั สมคั ร แต่กไ็ มเ่ ป็นเหตุ ให้มหาวิทยาลยั ขอนแก่นจะต้องรบั ผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นพนักงาน เสมอไป เงนิ เดอื นและค่าตอบแทนดงั กล่าวจงึ ไม่ใช่ความเสยี หาย ทเ่ี ป็นผลโดยตรงจากการกระทาละเมดิ ของมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ทต่ี ้องรบั ผดิ ชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน อย่างไรกต็ าม เม่อื ผฟู้ ้องคดี ได้รบั ความเสยี หายโดยเสียสทิ ธทิ ่จี ะได้รบั การพจิ ารณาคดั เลอื ก ตามคุณสมบตั ิของผู้ฟ้องคดีท่ีระบุไว้ในประกาศรบั สมคั รของ

๕๑ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ซง่ึ แมว้ ่าจะกาหนดเป็นจานวนเงนิ แน่นอน ไม่ได้ก็ตาม แต่ศาลย่อมมีอานาจกาหนดให้ตามสมควร โดย คานึงถงึ พฤตกิ ารณ์และความรา้ ยแรงแห่งละเมดิ (คาพพิ ากษา ศาลปกครองสงู สุดที่อบ. ๓/๒๕๖๓) ร้ไู ว้บอกต่อ คาพพิ ากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดดี งั กล่าว ไดว้ าง แนวทางการปฏบิ ตั ริ าชการทด่ี เี ก่ยี วกบั กระบวนการขนั้ ตอนในการ ดาเนินการสรรหาและคดั เลอื กบุคลากร ทไ่ี ม่เพยี งแต่บุคลากรของ มหาวทิ ยาลยั เท่านัน้ แต่ยงั เป็นประโยชน์แก่การสรรหาบุคลากร ของหน่วยงานของรฐั อ่นื ๆ ดว้ ยท่จี ะต้องพจิ ารณาและดาเนินการ ตามกฎหมายและระเบยี บขอ้ บงั คบั ท่เี ก่ยี วข้อง ตลอดจนแนวทาง การปฏบิ ตั ติ ่าง ๆ ทไ่ี ดว้ างไว้ เพ่อื ใหก้ ารสรรหาบุคลากรตรงตาม ความประสงค์และเกิดประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแท้จรงิ เช่น ในคดีน้ี... ท่ีมีการกาหนดคุณสมบัติผู้สมัครโดยไม่ได้ผ่าน ภาควชิ าหรอื หลกั สูตรในคณะฯ ตามแนวทางท่กี าหนดไว้ เป็นผล ให้ได้บุคลากรท่ไี ม่ตรงตามความจาเป็นของหลกั สูตร อนั เป็น ความบกพรอ่ งทเ่ี กดิ จากกระบวนการภายใน และถอื เป็นการกระทา ละเมดิ ต่อผูไ้ ด้รบั การคดั เลอื กท่ศี าลอาจกาหนดค่าสนิ ไหมทดแทน ใหไ้ ดต้ ามความเหมาะสม

๕๒ (หมายเหตุ : ขอ้ กฎหมายทรี่ ะบใุ นบทความเป็นกรณีทใี่ ช้ บงั คบั ในขณะเกดิ ขอ้ พพิ าท ผู้สนใจสามารถศึกษาประกอบกบั ขอ้ กฎหมายทใี่ ชบ้ งั คบั ในปัจจบุ นั )

๕๓ เรอื่ งที่ ๘ อายเุ กิน ๖๐ ปี ไม่ต้องห้ามเป็นอธิการบดี มรภ. ธนบุรี คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๑๑-๑๒/๒๕๖๓ สาระสาคญั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี (มรภ. ธนบุร)ี ไดอ้ อกประกาศ เพอื่ สรรหาผูด้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดแี ทนผู้ทกี่ าลงั จะหมดวาระลง โดยสภามหาวทิ ยาลยั ไดเ้ หน็ ชอบและมคี าสงั่ แต่งตงั้ ใหอ้ ธกิ ารบดี รายทจี่ ะพ้นวาระซงึ่ มอี ายุ ๖๒ ปี ดารงตาแหน่งต่อไป ซงึ่ ผู้ทจี่ ะ เป็นอธิการบดี มรภ. ธนบุรี นัน้ เมอื่ พจิ ารณามาตรา ๒๙ แห่ง พระราชบญั ญตั มิ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกบั ขอ้ ๕ ของขอ้ บงั คบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี ว่าดว้ ยคุณสมบตั ิ หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารสรรหาอธกิ ารบดี พ.ศ. ๒๕๕๐ แลว้ พบว่า คุณสมบตั ปิ ระการหนึง่ ทกี่ าหนดใหต้ ้องสาเรจ็ การศกึ ษาไม่ตา่ กว่า ระดบั ปรญิ ญาตรี และไดท้ าการสอนหรอื มีประสบการณ์ดา้ นการ บรหิ ารมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปีนัน้ ไม่จาเป็นต้องทาการสอนหรอื มปี ระสบการณ์ดา้ นการบรหิ ารในมหาวทิ ยาลยั ทเี่ ป็นส่วนราชการ เท่านนั้ แต่จะเป็นมหาวทิ ยาลยั ในกากบั ของรฐั หรอื มหาวทิ ยาลยั เอกชนกไ็ ด้ ประกอบกบั พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น ในสถาบนั อุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็มบี ทบญั ญัติรองรบั กรณี การแต่งตงั้ ผู้ทมี่ ไิ ด้มสี ถานะเป็นข้าราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศึกษาให้ดารงตาแหน่งอธิการบดีไว้ด้วย และมาตรา ๒๙

๕๔ แห่งพระราชบญั ญตั มิ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ฯ และข้อบงั คบั มรภ. ธนบุรฯี มไิ ดก้ าหนดว่าผทู้ สี่ มคั รเขา้ รบั การสรรหาจะต้องมอี ายไุ ม่เกนิ ๖๐ ปีบรบิ ูรณ์ อกี ทงั้ มาตรา ๓๐ วรรคหนึง่ แห่งพระราชบญั ญตั ิ เดยี วกนั ยงั ไดก้ าหนดใหอ้ ธกิ ารบดมี วี าระการดารงตาแหน่งคราวละ ๔ ปี และมสี ทิ ธไิ ด้รบั แต่งตงั้ ใหม่อีกได้ แต่จะดารงตาแหน่งเกิน ๒ วาระติดต่อกันไม่ได้ ซงึ่ ก็มไิ ด้มขี อ้ กาหนดมใิ ห้ผู้ทมี่ อี ายุเกิน ๖๐ ปีบรบิ รู ณ์สมคั รเขา้ รบั การสรรหา ดงั นนั้ ผดู้ ารงตาแหน่งดงั กล่าว จงึ ไม่จาเป็นจะต้องเป็นขา้ ราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศกึ ษา อยู่ในขณะสมคั ร และไม่จาเป็นต้องมอี ายุไม่เกิน ๖๐ ปีบรบิ ูรณ์ มตแิ ละคาสงั่ แต่งตงั้ อธกิ ารบดขี องสภา มรภ. ธนบุรี จงึ เป็นคาสงั่ ทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การแต่งตงั้ บคุ คลใหด้ ารงตาแหน่งใด จะตอ้ งพจิ ารณากฎหมาย หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารทกี่ าหนดไวส้ าหรบั ตาแหน่งนนั้ อยา่ งเครง่ ครดั ซงึ่ กรณกี ารแต่งตงั้ หรอื การสรรหาผดู้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดแี ทน ผทู้ กี่ าลงั จะพน้ วาระของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นนั้ นอกจากจะต้อง ยดึ ถอื และพจิ ารณาตามหลกั เกณฑท์ กี่ าหนดไว้ในพระราชบญั ญตั ิ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พ.ศ. ๒๕๔๗ และพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บ ขา้ ราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว้ ยงั จะตอ้ ง พจิ ารณาคุณสมบตั ิของผู้สมคั รและหลกั เกณฑก์ ารสรรหาตามที่ ขอ้ บงั คบั ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นนั้ ๆ กาหนดไวด้ ว้ ย

๕๕ อายเุ กิน ๖๐ ปี ไม่ต้องห้ามเป็นอธิการบดี มรภ. ธนบุรี ส่วนท่ี ๑ คณุ สมบตั ิอธิการบดี มรภ. มรภ. หรือ “มหาวิ ทยาลัยราชภัฏ” เป็ นสถาบัน อุดมศกึ ษาท่ถี อื กาเนิดมาจากโรงเรยี นฝึกหดั อาจารยห์ รอื โรงเรยี น ฝึกหัดครูท่ีตัง้ อยู่ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศยกฐานะ และ เปล่ยี นช่อื เป็น “วิทยาลยั ครู” ในเวลาต่อมา วทิ ยาลยั ครูได้รบั การยกฐานะเป็น “สถาบนั ” โดยได้รบั พระมหากรุณาธคิ ุณจาก พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนาม “ราชภฏั ” เป็นชอ่ื ของสถาบนั พรอ้ มทงั้ พระราชทานพระบรมราชานุญาตใหใ้ ช้ พระราชลญั จกรประจาพระองค์ ซง่ึ เป็นรปู พระทน่ี งั่ อฐั ทศิ อุทุมพร ราชอาสน์ ประกอบด้วยวงจกั ร กลางวงจกั รมอี กั ขระเป็น “อุ” หรอื “เลข ๙” รอบวงจกั รมรี ศั มเี ปล่งออกโดยรอบ เหนือจกั รเป็น รปู พระสปั ตปฎลเศวตฉตั ร (เศวตฉตั ร ๗ ชนั้ ) ใหเ้ ป็นตราประจา สถาบนั ภายหลงั ไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั มิ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั พ.ศ. ๒๕๔๗ มผี ลใชบ้ งั คบั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๔๗ ซง่ึ มี ผลให้สถาบันราชภัฏทัว่ ประเทศได้รับการยกฐานะข้ึนเป็ น “มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ”

๕๖ อย่างไรกด็ ี เมอ่ื มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มสี ถานะเป็นสถาบนั การศกึ ษาชนั้ สงู เทยี บเท่ากบั มหาวทิ ยาลยั หรอื สถาบนั อุดมศกึ ษาอ่นื โครงสรา้ งการบรหิ ารงานของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั จงึ มลี กั ษณะ เช่นเดยี วกนั กบั มหาวทิ ยาลยั เหล่านนั้ กล่าวคอื การบรหิ ารงาน ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั จะประกอบไปดว้ ยองคก์ รหลกั ๒ ส่วน คอื ๑) สภามหาวทิ ยาลยั ซง่ึ ประกอบด้วยนายกสภามหาวทิ ยาลยั และกรรมการสภามหาวิทยาลยั และ ๒) ผู้บรหิ ารมหาวทิ ยาลยั ซ่ึงประกอบด้วย อธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี ฯลฯ รวมถงึ ตาแหน่งทางวชิ าการอ่นื ๆ เช่น ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ หรอื อาจารย์ เพ่อื ทาหน้าท่ี ดาเนินงานขับเคล่ือนมหาวิทยาลัยราชภัฏให้เป็ นไปตาม วตั ถุประสงคก์ ารจดั ตงั้ สาหรบั บุคลากรผปู้ ฏบิ ตั หิ น้าทภ่ี ายในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ซง่ึ ไมร่ วมถงึ คณะกรรมการสภามหาวทิ ยาลยั ในปัจจุบนั จะมอี ยู่ ดว้ ยกนั ๒ ประเภท คอื ขา้ ราชการพลเรอื นในมหาวทิ ยาลยั ทบ่ี รรจุ และแต่งตงั้ ตามพระราชบญั ญตั ิระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื นใน สถาบนั อุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และพนักงานมหาวิทยาลัย ทบ่ี รรจแุ ละแต่งตงั้ ตามขอ้ บงั คบั ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั แต่ละแหง่ ในการแต่งตงั้ บุคลากรของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ให้ดารง ตาแหน่งต่าง ๆ ทงั้ สายบรหิ ารและสายวชิ าการก็จะต้องอย่ภู ายใต้ ขอบเขตท่ีกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรอื ตามท่รี ะเบียบข้อบงั คบั ท่อี อกตามความใน

๕๗ พระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าวกาหนด เช่น ตาแหน่งผูช้ ่วยอธกิ ารบดี ต้องแต่งตัง้ จากข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เป็นต้น แต่ตาแหน่ งท่ีกาลังเป็ นท่ีจับตามองของสังคมอย่าง น่ าสนใจ คอื ตาแหน่ง “อธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ” ซง่ึ ไมม่ กี ฎหมายหรอื ขอ้ บงั คบั ใดกาหนดไวว้ ่าจะต้องแต่งตงั้ จากขา้ ราชการพลเรอื น ในมหาวทิ ยาลยั หรอื พนกั งานมหาวทิ ยาลยั จะมกี แ็ ต่เพยี งคาสงั่ หวั หน้าคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ท่ี ๓๗/๒๕๖๐ เรอ่ื ง การแก้ไข ปัญหาการบรหิ ารงานของสถาบนั อุดมศกึ ษา ลงวนั ท่ี ๘ สงิ หาคม ๒๕๖๐ เท่านัน้ ทก่ี าหนดว่า ใหส้ ถาบนั อุดมศกึ ษามอี านาจแต่งตงั้ บุคคลทไ่ี ม่ไดเ้ ป็นขา้ ราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศกึ ษาหรอื เป็นพนักงานในสถาบนั อุดมศึกษามาดารงตาแหน่งอธกิ ารบดี รองอธกิ ารบดี ผู้ช่วยอธกิ ารบดี คณบดี หรอื หวั หน้าหน่วยงาน ทเ่ี รยี กช่อื อยา่ งอ่นื ท่มี ฐี านะเทยี บเท่าคณะได้ แต่สาหรบั คุณสมบตั ิ และลกั ษณะตอ้ งหา้ มอ่นื ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บ ข้าราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศึกษาและกฎหมายจดั ตัง้ สถาบนั อุดมศกึ ษานนั้ ประเด็นทีน่ ่ าสนใจมีอยู่ว่า เมือ่ พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ ไม่ได้มีการกาหนด คุณสมบตั ิเรือ่ งอายุของผ้ดู ารงตาแหน่งอธิการบดีเอาไว้ ผ้มู ีอายุเกินกว่า ๖๐ ปี จะสามารถเข้ารบั การสรรหาเป็ น อธิการบดี มรภ. ได้หรอื ไม่ ???

๕๘ ส่วนท่ี ๒อายเุ กิน ๖๐ปี ไม่ต้องห้ามเป็นอธิการบดี มรภ. ธนบรุ ี ! เมือ่ สองสัปดาห์ทีแ่ ล้ว (วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) ศาลปกครองสูงสุดได้มคี าพพิ ากษาในคดที มี่ กี ารยนื่ ฟ้องนายก สภามหาวทิ ยาลยั และสภามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ตี ่อศาลปกครอง ในประเด็นการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเหตุว่าผไู้ ดร้ บั การสรรหามอี ายุ เกนิ ๖๐ ปี !! โดยเร่อื งราวทงั้ หลายท่ีจะมานาเสนอ เกิดข้นึ มาจาก มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรไี ดอ้ อกประกาศคณะกรรมการสรรหา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรี ว่าด้วยเร่อื งหลกั เกณฑ์ คุณสมบตั ิ และวธิ กี ารสรรหาอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี ลงวนั ท่ี ๖ มนี าคม ๒๕๖๐ เพ่อื สรรหาผดู้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดี สบื แทน ผศ. เอ อธกิ ารบดที ่กี าลงั จะหมดวาระลง โดยมผี ู้สมคั ร เข้ารบั การสรรหาจานวน ๖ คน แต่มผี ู้ผ่านการแสดงวสิ ยั ทศั น์ จานวน ๓ คน คอื ผศ. เอ (อธกิ ารบดที จ่ี ะพน้ วาระ) ผศ. บี และ อาจารยซ์ ี ซง่ึ ผลการพจิ ารณาปรากฏว่า ผศ. เอ ไดค้ ะแนนสงู ทส่ี ุด ทปี่ ระชุมสภามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรจี งึ มมี ตเิ หน็ ชอบ ให้ ผศ. เอ ดารงตาแหน่งอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี ต่อมา สภามหาวทิ ยาลยั ไดม้ มี ตแิ ละคาสงั่ ให้ ผศ. เอ เป็นผูด้ ารง ตาแหน่งรกั ษาราชการแทนอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี จนกว่าจะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ แต่งตงั้ อธกิ ารบดคี นใหม่

๕๙ ในการน้ี ผศ. บี และอาจารยซ์ ี เหน็ ว่า ผศ. เอ เกษียณ อายรุ าชการแล้ว ปัจจบุ นั มีอายุ ๖๒ ปี จึงไม่มีสถานภาพใด ในมหาวิทยาลัย และขาดคุณสมบตั ิการดารงตาแหน่ ง อธิ การบดี ดังนัน้ ผศ. บี และอาจารย์ซีจึงมาย่ืนฟ้ องต่อ ศาลปกครองขอใหเ้ พกิ ถอนมตแิ ละคาสงั่ ของสภามหาวทิ ยาลยั ท่ี เหน็ ชอบให้ ผศ. เอ ดารงตาแหน่งอธกิ ารบดแี ละทใ่ี หร้ กั ษาราชการ แทนอธกิ ารบดี ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเก่ียวกบั ข้อโต้แย้งดงั กล่าว ๒ ประเดน็ คอื (๑) ผทู้ ีจ่ ะดารงตาแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรีจะต้องเป็ นข้าราชการพลเรือนในสถาบนั อดุ มศึกษาอยู่ในขณะสมคั รหรือขณะดารงตาแหน่งหรือไม่ และ (๒) ผ้เู ข้ารบั การสรรหาเป็ นอธิการบดีจะต้องเป็ นผ้ทู ี่ อายไุ ม่เกิน ๖๐ ปี บริบรู ณ์หรือไม่ ในประเด็นที่ ๑ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว เหน็ ว่า มาตรา ๑๘ วรรคสาม ประกอบกบั มาตรา ๒๖ วรรคหน่ึง และมาตรา ๒๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการ พลเรอื นในสถาบนั อุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กาหนดว่า การแต่งตงั้ บุคคลใหด้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดี ตอ้ งเป็นไปตามกฎหมายจดั ตงั้ มหาวทิ ยาลยั หรอื สถาบนั การศกึ ษานนั้ ๆ อกี ทงั้ กรณที ม่ี กี ารแต่งตงั้ อธกิ ารบดีจากบุคคลท่มี ไิ ด้เป็นข้าราชการพลเรอื นในสถาบนั อุดมศกึ ษา เงนิ เดอื น เงนิ ประจาตาแหน่ง และเงนิ เพม่ิ พเิ ศษของ ผูด้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดดี งั กล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าดว้ ย

๖๐ เงนิ เดอื นและเงนิ ประจาตาแหน่ง ซ่งึ ได้มบี ทกฎหมายท่บี ญั ญตั ิ เก่ยี วกบั อตั ราเงนิ ประจาตาแหน่งและการรบั เงนิ ประจาตาแหน่ง ของผู้ดารงตาแหน่งผูบ้ รหิ าร (อธกิ ารบด)ี ซ่งึ ไม่เป็นขา้ ราชการ พลเรือนในสถาบันอุ ดมศึกษาหรือไม่เ ป็ นข้าราชการไว้ตาม มาตรา ๑๒ แหง่ พระราชบญั ญตั เิ งนิ เดอื นและเงนิ ประจาตาแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ ประกอบกบั มาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎกี าว่าด้วย หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารการจ่ายเงนิ ประจาตาแหน่งของข้าราชการ และผดู้ ารงตาแหน่งผบู้ รหิ ารซง่ึ ไมเ่ ป็นขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ สาหรบั คุณสมบตั ขิ องผู้ทจ่ี ะเป็นอธกิ ารบดขี องมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรนี นั้ เมอ่ื พจิ ารณาตามมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบญั ญตั ิ มหาวิทยาลยั ราชภฏั พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกบั ข้อ ๕ ของ ข้อบงั คับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาอธิ การบดี พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้วพบว่า คุณสมบัติประการหน่ึงท่ีกาหนดให้ต้องสาเร็จ การศึกษาไม่ตา่ กว่าระดบั ปริญญาตรี และได้ทาการสอน หรือมีประสบการณ์ด้านการบริหารมาแล้วไม่น้ อยกว่า ๕ ปี นั้น ไม่จาเป็ นต้องทาการสอนหรือมีประสบการณ์ ด้านการบริหารในมหาวิทยาลยั ทีเ่ ป็ นส่วนราชการเท่านัน้ แต่จะเป็ นมหาวิทยาลยั ในกากบั ของรฐั หรือมหาวิทยาลยั เอกชนกไ็ ด้ ประกอบกบั มาตรา ๒๗ วรรคหนึง่ และมาตรา ๖๕/๒ วรรคหนึง่ แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการพลเรือน ในสถาบนั อุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กม็ ีบทบญั ญตั ิรองรบั

๖๑ กรณีการแต่งตงั้ ผ้ทู ีม่ ิได้มีสถานะเป็ นข้าราชการพลเรือน ในสถาบนั อุดมศึกษาให้ดารงตาแหน่งอธิการบดีไว้ด้วยแล้ว เช่นกนั ดงั นัน้ ผ้ทู ีส่ มคั รเข้ารบั การสรรหาเป็ นอธิการบดี มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี จึงไม่จาเป็ นต้องเป็ นข้าราชการ พลเรือนในสถาบนั อุดมศึกษาอยู่ในขณะสมคั รหรือขณะ ดารงตาแหน่งอธิการบดี ส่วนในประเด็นที่ ๒ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ ทีก่ าหนดคุณสมบตั ิของอธิการบดี ประกอบกบั ข้อบงั คับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ว่าด้วยคุณสมบัติ หลกั เกณฑ์ และวิธีการสรรหาอธิการบดี พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่มี การบญั ญตั ิหรือกาหนดว่าผ้ทู ีส่ มคั รเข้ารบั การสรรหาเป็ น อธิการบดีจะต้องมีอายุไม่เกินหกสิบปี บริบูรณ์ในขณะสมคั ร หรือขณะดารงตาแหน่งอธิการบดีแต่อย่างใด อกี ทงั้ มาตรา ๓๐ วรรคหน่งึ แห่งพระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าว กาหนดใหอ้ ธกิ ารบดมี วี าระ การดารงตาแหน่งคราวละ ๔ ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งตงั้ ใหม่อกี ได้ แต่จะดารงตาแหน่งเกนิ สองวาระตดิ ต่อกนั ไม่ได้ โดยวรรคสองกาหนดถงึ การพน้ จากตาแหน่งในกรณีอ่นื ซง่ึ กม็ ไิ ด้ มขี ้อกาหนดมใิ ห้ผู้ท่มี อี ายุเกิน ๖๐ ปีบรบิ ูรณ์สมคั รเข้ารบั การ สรรหาหรอื ดารงตาแหน่งอธกิ ารบดแี ต่อย่างใด และการท่ผี ู้ดารง ตาแหน่งอธกิ ารบดมี อี ายุเกนิ ๖๐ ปีบรบิ ูรณ์ มไิ ดม้ ผี ลกระทบหรอื ทาใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ในฐานะอธกิ ารบดี

๖๒ ของสถาบนั อุดมศกึ ษา ดงั นัน้ ผ้สู มคั รเข้ารบั การสรรหาเป็ น อธิการบดีมหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี จึงไม่จาเป็นทีจ่ ะต้อง มีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี บริบูรณ์ในขณะสมคั รหรือขณะดารง ตาแหน่งอธิการบดี ศาลปกครองสงู สดุ จึงมีคาพิพากษายืนตามคาพิพากษา ศาลปกครองชนั้ ต้นให้ยกฟ้อง !!! อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การแต่งตัง้ บุคคลให้ดารง ตาแหน่งใดจะต้องพจิ ารณากฎหมาย หลกั เกณฑ์ และวธิ ีการ ทก่ี าหนดไวส้ าหรบั ตาแหน่งนนั้ อย่างเครง่ ครดั ซง่ึ ในกรณีน้ีเป็นคดี ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี แมว้ ่าจะมคี ดพี พิ าทเกดิ ขน้ึ ในลกั ษณะ เดียวกันท่ีมหาวิทยาลัยราชภัฏอ่ืน แต่ก็อาจมีรายละเอียดของ ขอ้ บงั คบั ทแ่ี ตกต่างกนั ดงั นัน้ ในการพจิ ารณาของศาลจงึ จาเป็น ตอ้ งอาศยั สาระสาคญั ของระเบยี บขอ้ บงั คบั ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั แต่ละทเ่ี ป็นสาคญั ครบั (ผสู้ นใจศกึ ษารายละเอยี ดได้จากคาพพิ ากษาศาลปกครอง สงู สุดที่ อบ. ๑๑-๑๒/๒๕๖๓) ส่วนท่ี ๓ ร้ทู นั การแต่งตงั้ อธิการบดี มรภ. มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบญั ญตั ิมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกบั ขอ้ ๕ ของขอ้ บงั คบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี ว่าดว้ ยคณุ สมบตั ิ หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารสรรหาอธกิ ารบดี พ.ศ. ๒๕๕๐ ไดก้ าหนดคุณสมบตั ขิ องผดู้ ารงตาแหน่งอธกิ ารบดี ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรไี ว้ ดงั น้ี (๑) ต้องสาเรจ็ การศกึ ษา

๖๓ ไมต่ ่ากวา่ ปรญิ ญาตรหี รอื เทยี บเท่าจากมหาวทิ ยาลยั หรอื สถาบนั อุดมศกึ ษาอ่นื ทส่ี ภามหาวทิ ยาลยั รบั รอง และไดท้ าการสอนหรอื มี ประสบการณ์ดา้ นการบรหิ ารมาแลว้ ไมน่ ้อยกว่า ๕ ปี ในมหาวทิ ยาลยั หรอื สถาบนั อุดมศกึ ษาอ่นื ทส่ี ภามหาวทิ ยาลยั รบั รอง หรอื เคยดารง ตาแหน่งกรรมการสภามหาวทิ ยาลยั หรอื สภาสถาบนั อุดมศกึ ษาอ่นื ทส่ี ภามหาวทิ ยาลยั รบั รอง หรอื ดารงตาแหน่งหรอื เคยดารงตาแหน่ง ศาสตราจารย์ (๒) มคี ุณธรรมและจรยิ ธรรมเป็นทย่ี อมรบั ของสงั คม (๓) มีวสิ ยั ทศั น์ ความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ และเป็นผู้ท่ียอมรบั ในความสาคญั และสนับสนุนการพฒั นาวชิ าการหรอื วชิ าชพี ในทุก สาขา (๔) มคี วามสนใจและเหน็ ความสาคญั ของการศกึ ษาในระดบั อุดมศึกษา หรอื การศึกษาเพ่อื พฒั นาท้องถน่ิ หรอื เทคโนโลยี สารสนเทศ (๕) สามารถอุทศิ เวลาใหแ้ ก่กจิ การของมหาวทิ ยาลยั และ (๖) มคี วามรคู้ วามสามารถดา้ นการบรหิ าร

๖๔ เรอื่ งที่ ๙ ข้อจากดั การใช้ดลุ พินิจแต่งตงั้ โยกย้ายข้าราชการ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๗๗๖/๒๕๕๗ สาระสาคญั ข้าราชการตารวจสถานีตารวจภูธร จงั หวัดประจวบคีรขี นั ธ์ ได้รบั คาสงั่ แต่งตงั้ โยกย้ายให้ไปดารงตาแหน่งสารวตั รสบื สวน สอบสวน สถานีตารวจภธู ร จงั หวดั ปัตตานี ทงั้ ทขี่ ณะนนั้ ขา้ ราชการ ตารวจรายน้ีมรี ายชอื่ อยใู่ นบญั ชแี ต่งตงั้ โยกยา้ ยใหไ้ ปดารงตาแหน่ง สารวตั รป้องกนั ปราบปราม สถานีตารวจภูธรอกี แห่งหนึง่ ในจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ โดยสาเหตุในการแต่งตงั้ โยกยา้ ยเกดิ จากผบู้ ญั ชาการ ตารวจภูธรภาค มคี วามประสงคจ์ ะแต่งตงั้ ผู้อนื่ มาดารงตาแหน่ง ในสงั กดั แทนและให้สบั เปลยี่ นตาแหน่งกนั ซงึ่ แม้ผู้บญั ชาการ ตารวจภูธรภาคจะได้ทาหนังสอื ช้แี จงต่อ อ.ก.ตร. เกยี่ วกับการ รอ้ งทุกขว์ ่าเหตุทแี่ ต่งตงั้ โยกย้ายดงั กล่าว เนือ่ งจากขา้ ราชการ ตารวจรายน้ีมเี รอื่ งร้องเรยี นเกยี่ วกับพฤติกรรมทไี่ ม่เหมาะสม แต่เมอื่ ปรากฏวา่ ไมม่ กี ารแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ และไมไ่ ด้ดาเนินการทางวนิ ัยกบั ขา้ ราชการตารวจตามทกี่ ล่าวอ้าง กรณีจงึ เหน็ ไดว้ ่าสาเหตุการยา้ ยและมคี าสงั่ แต่งตงั้ มไิ ดเ้ กดิ จาก ความจาเป็นเพอื่ ประโยชน์ของทางราชการและเป็นไปตามระบบ คุณธรรมทตี่ ้องคานึงถงึ ความรคู้ วามสามารถ คุณสมบตั ขิ องบุคคล และการจดั คนให้เหมาะสมกบั งานเป็นสาคญั ดงั นัน้ การมีคาสงั่

๖๕ แต่งตัง้ โยกย้ายทีพ่ ิพาทจึงขดั หรอื แย้งต่อหลักคุณธรรมและ กฎ ก.ตร. ว่าดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารแต่งตงั้ โยกยา้ ยขา้ ราชการ ตารวจฯ อนั เป็นการใชด้ ลุ พนิ ิจโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การใชด้ ุลพนิ ิจในการออกคาสงั่ ฝ่ ายปกครองจะตอ้ งพจิ ารณา ว่าการออกคาสงั่ อยา่ งหนงึ่ อย่างใดนนั้ จะทาใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ หรอื เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายหรอื ไม่ หากการออกคาสงั่ ดงั กล่าวไม่อาจทาให้วตั ถุประสงคท์ กี่ ฎหมายกาหนดไวบ้ รรลุผล ไดอ้ ย่างแน่แท้ ถอื ว่าฝ่ ายปกครองมคี วามมุ่งหมายทจี่ ะใช้คาสงั่ นัน้ เป็นเครอื่ งมอื ดาเนินการเพอื่ ใหเ้ กดิ ผลประการอนื่ นอกเหนือไปจาก ทกี่ ฎหมายใหอ้ านาจไว้ อนั เขา้ ข่ายเป็นการใช้อานาจโดยมชิ อบ ด้วยกฎหมาย และแมว้ ่าฝ่ ายปกครองจะมอี านาจตามกฎหมาย ในการกระทาการใด ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ตาม แต่การใช้อานาจนัน้ จะต้องเป็นไปเพอื่ ประโยชน์ของประชาชน ส่วนรวม และเป็นไปตามหลกั การบรหิ ารกิจการบ้านเมอื งทีด่ ี โดยตงั้ อย่บู นพ้นื ฐานความถูกต้องตามระบบคุณธรรม ปราศจาก อคติ และไมใ่ ชอ้ านาจดลุ พนิ ิจไปตามอาเภอใจ

๖๖ ข้อจากดั การใช้ดลุ พินิจแต่งตงั้ โยกย้ายข้าราชการ การใชด้ ุลพนิ ิจเป็นการใช้อานาจตามทก่ี ฎหมายมอบให้ ฝ่ายปกครองสามารถเลอื กตดั สนิ ใจภายในขอบเขตของกฎหมาย เมอ่ื มขี อ้ เทจ็ จรงิ เกดิ ขน้ึ แลว้ ฝ่ายปกครองสามารถตดั สนิ ใจไดว้ ่า สมควรทจ่ี ะใชอ้ านาจกระทาการหรอื ไมก่ ระทาการ หรอื เลอื กตดั สนิ ใจ ใช้มาตรการอย่างหน่ึงอย่างใด ซ่งึ ล้วนแล้วแต่เป็นวธิ กี ารหรอื มาตรการทช่ี อบด้วยกฎหมายเพ่อื ให้เหมาะสมและเป็นธรรมกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในแต่ละกรณี อยา่ งไรกต็ าม การทก่ี ฎหมายได้ มอบอานาจใหฝ้ ่ายปกครองใชด้ ุลพนิ ิจดงั กล่าว ไมไ่ ดห้ มายความว่า กฎหมายอนุญาตให้ฝ่ ายปกครองใช้ดุลพินิจได้ตามอาเภอใจ แต่การใช้ดุลพนิ ิจจะต้องเป็นไปโดยมเี หตุผลภายใต้หลกั เกณฑ์ ท่ีสาคญั ๓ ประการ คือ (๑) หลกั ความสมเหตุผลท่ีจะทาให้ การใชอ้ านาจนนั้ บรรลุตามวตั ถุประสงคข์ องกฎหมายทใ่ี ห้อานาจ (๒) หลกั ความจาเป็นโดยการเลอื กมาตรการทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความรนุ แรง น้อยท่สี ุดหรอื กระทบกระเทอื นต่อสทิ ธเิ สรภี าพของผู้ตกอยู่ใน อานาจน้อยท่สี ุด และ (๓) การใช้อานาจนัน้ ต้องเกดิ ประโยชน์ ต่อสาธารณะมากกว่า เม่อื เทียบกับความเสยี หายของเอกชน (หลกั ความได้สดั ส่วนในความหมายอย่างแคบ) ซ่งึ หากการใช้ ดุลพนิ ิจของฝ่ายปกครองไม่เป็นไปตามหลกั เกณฑด์ งั กล่าวแล้ว กรณยี อ่ มเป็นการใชอ้ านาจโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย ซง่ึ ศาลปกครอง มอี านาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อานาจ

๖๗ ดุลพินิจของฝ่ ายปกครอง และมีอานาจท่ีจะเพิกถอนคาสงั่ ท่ี เกดิ จากการใชอ้ านาจโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายนนั้ ไดต้ ามมาตรา ๙ วรรคหน่งึ (๑) และมาตรา ๗๒ วรรคหน่งึ (๑) แห่งพระราชบญั ญตั ิ จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดงั นัน้ ถึงแม้ว่ากฎหมายฉบับท่ีให้อานาจจะบัญญัติ โดยเปิดโอกาสให้ผู้มอี านาจสามารถใชด้ ุลพนิ ิจไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง แต่ผมู้ อี านาจกไ็ ม่สามารถท่จี ะใช้อานาจไดต้ ามอาเภอใจ เพราะ นอกจากตอ้ งผกู พนั กบั หลกั เกณฑส์ าคญั ของการใชอ้ านาจดุลพนิ ิจ ตามทก่ี ล่าวมาขา้ งตน้ แลว้ ยงั ตอ้ งผกู พนั กบั บทกฎหมายฉบบั อ่นื รวมทงั้ หลกั กฎหมายปกครองท่เี ก่ยี วขอ้ ง เพ่อื ให้การใช้อานาจ เป็นไปโดยชอบดว้ ยกฎหมายตาม “หลกั ความชอบด้วยกฎหมาย ของการกระทาทางปกครอง” ทม่ี งุ่ หมายจะควบคมุ ใหฝ้ ่ายปกครอง ใช้อานาจกระทาการในทางปกครองภายใตก้ ฎหมาย อาทิ การใช้ อานาจในการออกคาสงั่ แต่งตงั้ โยกยา้ ยขา้ ราชการตามกฎหมาย ฉบบั ต่าง ๆ เช่น พระราชบญั ญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ หรอื พระราชบญั ญตั ิตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้น ซ่ึงได้บัญญัติรับรองให้ผู้ออกคาสงั่ จะต้องใช้อานาจ ในการบรหิ ารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม คอื ต้องคานึงถึง ความรู้ความสามารถ คุณสมบตั ิของบุคคล และการจดั คนให้ เหมาะสมกับงานเป็นสาคญั และสอดคล้องกับหลกั คุณธรรม ซ่ึงให้ยึดมนั่ ในความถูกต้องดีงามและเป็นหลักการท่ีสาคัญ ในการสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การบรหิ ารกจิ การภาครฐั ทด่ี ี

๖๘ ดงั เช่นคดที จ่ี ะนามาเสนอในฉบบั น้ี เป็นกรณีท่ผี มู้ อี านาจ ได้ใช้อานาจยา้ ยขา้ ราชการท่ขี ดั ต่อหลกั คุณธรรม อนั เป็นผลให้ ศาลปกครองสูงสุดมีคาพิพากษาเพิกถอนคาสงั่ ย้ายดังกล่าว ซง่ึ คดนี ้ีนอกจากจะเป็นบรรทดั ฐานการปฏบิ ตั ริ าชการทด่ี ใี ห้กบั ฝ่ ายปกครองหรอื เจ้าหน้าท่ีของรฐั ในการใช้อานาจออกคาสงั่ ย้ายข้าราชการแล้ว ยงั มปี ระเดน็ ท่นี ่าสนใจว่า หากในระหว่าง การพจิ ารณาคดขี องศาลปกครองชนั้ ตน้ ขา้ ราชการทถ่ี ูกยา้ ยไดร้ บั การเลอ่ื นตาแหน่งสงู ขน้ึ และไมส่ ามารถกลบั ไปดารงตาแหน่งเดมิ ได้อีก จะถือว่าเหตุแห่งความเดือดร้อนหรอื เสยี หายส้นิ สุดลง หรอื ไม่ อยา่ งไร คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๗๗๖/๒๕๕๗ มคี าตอบทงั้ สองประเดน็ ขา้ งตน้ และแมว้ ่าจะเป็นกรณกี ารใช้อานาจ ตามพระราชบญั ญตั ติ ารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่ก็สามารถ ใชเ้ ป็นแนวทางสาหรบั การใชอ้ านาจตามกฎหมายฉบบั อ่นื ๆ ได้ เป็นอยา่ งดี ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดนี ้ี คอื ผู้ฟ้องคดเี ม่อื ครงั้ ดารงตาแหน่ง สารวตั รป้องกนั ปราบปราม สถานตี ารวจภธู รกุยบุรี จงั หวดั ประจวบ คีรีขนั ธ์ ได้รบั การเสนอช่ือตามบัญชีรายช่ือแต่งตัง้ โยกย้าย ขา้ ราชการตารวจท่ผี ูบ้ งั คบั การตารวจภูธรจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ เสนอให้ไปดารงตาแหน่งสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานี ตารวจภธู รสามกระทาย จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ในลาดบั ท่ี ๑๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ (ผู้บญั ชาการตารวจภูธรภาค ๗) มคี วาม

๖๙ ประสงค์จะแต่งตงั้ พนั ตารวจตรี ย. สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตารวจภธู รยะหรง่ิ จงั หวดั ปัตตานี มาดารงตาแหน่งในสงั กดั กองบญั ชาการตารวจภูธรภาค ๗ โดยให้ผู้ฟ้องคดสี บั เปล่ยี น ตาแหน่งแทน จงึ ไดม้ หี นงั สอื ขอทาความตกลงกบั กองบญั ชาการ ตารวจภธู รภาค ๙ ซง่ึ ในวนั เดยี วกนั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ (ผบู้ ญั ชาการ ตารวจภธู รภาค ๙) ไดม้ หี นงั สอื แจง้ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ วา่ ไมข่ ดั ขอ้ ง ต่อมา เมอ่ื ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (ผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาต)ิ เหน็ ชอบแต่งตงั้ พนั ตารวจตรี ย. ตามทเ่ี สนอแลว้ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ ได้มคี าสงั่ แต่งตงั้ ผู้ฟ้องคดไี ปดารงตาแหน่งสารวตั รสบื สวน สอบสวน สถานตี ารวจภธู รยะหรง่ิ จงั หวดั ปัตตานี ผฟู้ ้องคดเี หน็ ว่าตนไมไ่ ดร้ บั ความเป็นธรรมจงึ ไดร้ อ้ งทุกข์ แต่ อ.ก.ตร. เก่ยี วกบั การรอ้ งทุกข์ มมี ตใิ หย้ กคารอ้ งทุกขด์ งั กล่าว ผฟู้ ้องคดจี งึ นาคดมี าฟ้องต่อศาลปกครองเพ่อื ขอใหม้ คี าพพิ ากษา หรอื คาสงั่ ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สเ่ี พกิ ถอนคาสงั่ ดงั กล่าวและมตทิ ใ่ี ห้ ยกคารอ้ งทุกข์ ศาลปกครองชนั้ ตน้ มคี าพพิ ากษาเพกิ ถอนคาสงั่ ในส่วน ทแี่ ต่งตงั้ ผฟู้ ้องคดี โดยใหม้ ผี ลตงั้ แต่วนั ทศ่ี าลปกครองมคี าพพิ ากษา เป็ นผลให้ผู้ฟ้ องคดีกลับคืนต้นสังกัดเดิม ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการขา้ ราชการตารวจ) และผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ ย่นื อุทธรณ์ว่า เม่ือผู้ฟ้ องคดีได้รับการเล่ือนตาแหน่งสูงข้ึนเป็น รองผู้กากบั การฝ่ ายอานวยการตารวจภูธรจงั หวดั ยะลา ซง่ึ เป็น ตาแหน่งท่ีสูงกว่าระดับสารวัตรแล้ว ทาให้คาพิพากษาของ

๗๐ ศาลปกครองชนั้ ต้นท่เี พกิ ถอนคาสงั่ ไม่มผี ลเป็นการแก้ไขหรอื เยยี วยาความเดอื ดรอ้ นหรอื เสยี หายของผฟู้ ้องคดอี กี ต่อไป จงึ มี เหตุทจ่ี ะตอ้ งสงั่ จาหน่ายคดอี อกจากสารบบความ ประเด็นปัญหา คือ การใช้ดุลพินิ จในการแต่งตัง้ ผ้ฟู ้องคดีชอบด้วยหลกั การใช้ดลุ พินิ จ และเป็ นไปตามระบบ คุณธรรมในการบริหารงานบุคคลหรือสอดคล้องกบั หลกั คณุ ธรรมหรือไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า มาตรา ๕๕ (๓) และ มาตรา ๕๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ้ ๑๔ ของกฎ ก.ตร. ว่าดว้ ยหลกั เกณฑ์ และวธิ ีการแต่งตงั้ โยกย้ายข้าราชการตารวจระดบั สารวตั รถึง จเรตารวจแห่งชาตแิ ละรองผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไดว้ างหลกั เกณฑก์ ารใชด้ ุลพนิ ิจในการแต่งตงั้ โยกยา้ ยขา้ ราชการ ตารวจไวอ้ ยา่ งกวา้ ง ๆ เพอ่ื ใหผ้ มู้ อี านาจแต่งตงั้ ใชด้ ุลพนิ ิจในการ จดั สรรขา้ ราชการตารวจใหไ้ ปปฏบิ ตั หิ น้าทใ่ี นตาแหน่งทเ่ี หมาะสม กบั งาน ซ่งึ จะเป็นการส่งเสรมิ ให้ภารกิจของสานักงานตารวจ แห่งชาตเิ กิดประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล และเป็นประโยชน์ อยา่ งแทจ้ รงิ แก่ทางราชการ เม่ือสาเหตุในการแต่งตัง้ โยกย้ายผู้ฟ้ องคดีเกิดจาก ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ มคี วามประสงค์จะแต่งตัง้ พันตารวจตรี ย. มาดารงตาแหน่งในสังกัดกองบัญชาการตารวจภูธรภาค ๗ โดยใหส้ บั เปลย่ี นตาแหน่งกบั ผฟู้ ้องคดี และแมผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔

๗๑ จะไดท้ าหนงั สอื ชแ้ี จงต่อ อ.ก.ตร. เกย่ี วกบั การรอ้ งทุกขว์ ่า เหตุท่ี แต่งตัง้ โยกย้ายผู้ฟ้องคดี เน่ืองจากมเี ร่อื งร้องเรยี นผู้ฟ้องคดี เก่ียวกับพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม แต่เม่อื ปรากฏว่าไม่มีการ แต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเทจ็ จรงิ และไม่ได้ดาเนินการ ทางวนิ ัยกบั ผฟู้ ้องคดี เน่ืองจากในการสอบสวนทางลบั ทราบว่า ผู้ลงลายมอื ช่อื ในหนังสอื ร้องเรยี นทงั้ สองรายนัน้ รายหน่ึงไม่มี ตวั ตน ส่วนอกี รายหน่ึงยนื ยนั ว่าไมไ่ ด้เป็นผูท้ าหนงั สอื รอ้ งเรยี น จึงเหน็ ได้ว่าสาเหตกุ ารย้ายผฟู้ ้องคดีมิได้เกิดจากความจาเป็น เพ่ือประโยชน์ของทางราชการ และมิได้เป็ นไปตามระบบ คุณธรรมท่ีต้องคานึงถึงความรู้ความสามารถ คุณสมบตั ิของ บุคคล และการจดั คนให้เหมาะสมกบั งานเป็นสาคญั ซ่ึงหาก ไมร่ กั ษาระบบคณุ ธรรมดงั กล่าวไว้ กจ็ ะถกู แทนที่ด้วยระบบ อปุ ถมั ภ์ ดงั นัน้ การมคี าสงั่ แต่งตงั้ โยกย้ายผู้ฟ้องคดีจงึ ขดั หรอื แย้งต่อหลักคุณธรรม และขัดหรือแย้งต่อกฎ ก.ตร. ว่าด้วย หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารแต่งตงั้ โยกยา้ ยขา้ ราชการตารวจฯ จงึ เป็น การใชด้ ุลพนิ จิ โดยมชิ อบและเป็นคาสงั่ ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ส่วนการท่ีผู้ฟ้ องคดีได้รับการเล่ือนตาแหน่งสูงข้ึน และไมส่ ามารถกลบั ไปดารงตาแหน่งเดมิ ไดอ้ กี จะถอื ว่าเหตุแห่ง ความเดอื ดร้อนหรอื เสยี หายส้นิ สุดลงหรอื ไม่ ? ศาลปกครอง สูงสุดวินิ จฉัยว่า คาสงั่ ท่พี พิ าทก่อให้เกิดความเดอื ดรอ้ นหรอื เสยี หายทางดา้ นจติ ใจแก่ผฟู้ ้องคดี ทาใหผ้ ฟู้ ้องคดมี คี วามรสู้ กึ ว่า

๗๒ ไม่ไดร้ บั ความเป็นธรรมจากผูบ้ งั คบั บญั ชา ความเดอื ดรอ้ นหรอื เสยี หายจงึ ยงั คงมอี ยู่ อนั เป็นเหตุใหศ้ าลปกครองต้องมคี าพพิ ากษา เพ่อื แก้ไขเยยี วยาความเดอื ดร้อนหรอื เสยี หายให้แก่ผู้ฟ้องคดี แต่เมอ่ื ผฟู้ ้องคดไี ดร้ บั การเลอ่ื นตาแหน่งสงู ขน้ึ แลว้ และการเพกิ ถอน คาสงั่ จะมผี ลเสมอื นหน่ึงว่าไม่เคยมคี าสงั่ มาก่อนตงั้ แต่วนั ท่ีมี คาพิพากษา ผู้ท่ีเก่ียวข้องจงึ มหี น้าท่ีต้องกลบั ไปดาเนินการ ในเร่อื งต่าง ๆ เพ่อื ใหเ้ ป็นไปตามผลแห่งคาพพิ ากษา โดยมใิ ห้ ส่งผลกระทบกระเทือนกับการดารงตาแหน่งปัจจุบนั และสิทธิ ตามกฎหมายของผฟู้ ้องคดี จากคาพพิ ากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดนี ้ี การใช้ ดุลพนิ ิจในการออกคาสงั่ จงึ มใิ ช่การใชอ้ านาจตามอาเภอใจของ ผมู้ อี านาจ แต่ผมู้ อี านาจจะตอ้ งพจิ ารณาวา่ การออกคาสงั่ อย่างหน่ึง อยา่ งใดจะทาใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคห์ รอื เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ กฎหมายหรอื ไม่ หากการออกคาสงั่ นนั้ ไม่อาจทาใหว้ ตั ถุประสงค์ ท่ีกฎหมายกาหนดไว้บรรลุผลได้อย่าง แน่ แท้หรือเป็ นไปด้วย ความยากลาบาก ตอ้ งสนั นิษฐานไว้ก่อนว่าฝ่ ายปกครองมคี วาม มุ่งหมายภายในใจทจ่ี ะใชค้ าสงั่ นนั้ เป็นเคร่อื งมอื ดาเนินการเพ่อื ให้ เกดิ ผลเป็นประการอ่นื นอกเหนือ ไปจากกฎหมายฉบบั ทใ่ี หอ้ านาจ ประสงคจ์ ะใหเ้ กดิ ขน้ึ อนั เขา้ ข่ายเป็นการใช้อานาจโดยมชิ อบ เช่น กรณกี ารแต่งตงั้ โยกยา้ ยขา้ ราชการซ่งึ กฎหมายไดว้ างหลกั เกณฑ์ ให้ฝ่ ายปกครองมอี านาจใช้ดุลพนิ ิจในการออกคาสงั่ เพ่อื ให้ได้ ขา้ ราชการทม่ี คี วามรคู้ วามสามารถ เหมาะสมกบั งานในตาแหน่ง

๗๓ หน้าทน่ี ัน้ และไดม้ กี ารสบั เปลย่ี นกนั ปฏบิ ตั หิ น้าท่ี เพ่อื ใหภ้ ารกจิ ของราชการสมั ฤทธผิ ์ ลอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ แต่ทงั้ น้ี การใชอ้ านาจ ดงั กล่าวต้องกระทาเท่าท่จี าเป็นเพ่อื ประโยชน์ของทางราชการ อยา่ งแทจ้ รงิ โดยมผี ลกระทบกระเทอื นต่อสทิ ธขิ องผอู้ ยใู่ นบงั คบั ของคาสงั่ น้อยท่สี ุดและทางราชการได้รบั ประโยชน์มากท่สี ุด เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ความเสยี หายทผ่ี ถู้ ูกโยกยา้ ยจะไดร้ บั ดงั นนั้ แมว้ า่ ฝ่ายปกครองจะมอี านาจตามกฎหมายทจ่ี ะกระทาการใด ๆ เพ่ือให้บรรลุวัต ถุ ประสงค์อันเป็ นประโยชน์ สาธารณะก็ตาม แต่การใชอ้ านาจจะต้องเป็นไปเพ่อื ประโยชน์ของประชาชนและ ตอ้ งใชว้ ธิ กี ารบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี โี ดยตงั้ อย่บู นความถูกต้อง ตามหลกั คุณธรรม ปราศจากอคติ ทงั้ น้ี เน่ืองจากการแต่งตงั้ โยกย้ายมผี ลกระทบต่อตวั ขา้ ราชการผู้ถูกยา้ ยทงั้ ในทางท่เี ป็น ประโยชน์ คอื ขา้ ราชการผถู้ ูกโยกยา้ ยพงึ พอใจ และในลกั ษณะ ทเ่ี ขา้ ใจวา่ ถกู ลงโทษ คอื ถูกกลนั่ แกลง้ หรอื ไมไ่ ดร้ บั ความเป็นธรรม จากผบู้ งั คบั บญั ชา

๗๔ เรอื่ งที่ ๑๐ สงั่ ให้ช่วยราชการต่าง อบต. ... ทาได้ ถ้ามเี หตุ “จาเป็น” ! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๔๓๙/๒๕๕๘ สาระสาคญั องค์การบรหิ ารส่วนตาบล (อบต.) มคี าสงั่ ใหป้ ลดั องค์การ บรหิ ารส่วนตาบล (ปลดั อบต.) ไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการทสี่ านักงาน ส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ จงั หวดั มกี าหนด ๖ เดอื น เนือ่ งจาก มคี วามขดั แย้งและไม่สนองการปฏิบตั ิงานตามนโยบายของ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ต่อมา ปลดั อบต. มหี นังสอื ขอกลบั ไปปฏบิ ตั หิ น้าที่ ที่ อบต. เดิม (ยงั ไม่ครบกาหนด ๖ เดอื น) แต่ไม่ได้รบั อนุญาต เพราะมขี อ้ เทจ็ จรงิ ว่าถูกรอ้ งเรยี นเกยี่ วกบั การปฏบิ ตั หิ น้าที่ซงึ่ ถอื ว่า มเี หตุจาเป็นและมคี วามสาคญั ยงิ่ เพอื่ ประโยชน์ของทางราชการ โดยรวม การทปี่ ลดั อบต. ทาหนงั สอื ยนิ ยอมสมคั รใจไปช่วยปฏบิ ตั ิ ราชการตามคาขอของสานกั งานส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ จงั หวดั อกี ทงั้ เป็นการสงั่ ใหไ้ ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการชวั่ คราวไมเ่ กนิ ๖ เดอื น คาสงั่ ของ อบต. จงึ เป็นไปตามเงอื่ นไขของประกาศคณะกรรมการ พนกั งานส่วนตาบลฯ และเป็นคาสงั่ ทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย เมอื่ คาสงั่ ดงั กล่าวยงั มผี ลบงั คบั อยู่ ประกอบกบั ยงั มขี อ้ เทจ็ จรงิ ตามขอ้ รอ้ งเรยี น ว่าปลดั อบต. ปฏิบัติหน้าทไี่ ม่เป็นกลางในการเลอื กตัง้ ท้องถิน่ การใหป้ ลดั อบต. อยชู่ ว่ ยปฏบิ ตั ริ าชการต่อไปจนครบ ๖ เดอื น จงึ เป็น การใชด้ ลุ พนิ จิ ทมี่ เี หตุผลเหมาะสมเพยี งพอและชอบดว้ ยกฎหมาย

๗๕ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง การสงั่ ให้ไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการในราชการส่วนทอ้ งถนิ่ อนื่ หรอื ส่วนราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกจิ แห่งอนื่ นัน้ โดยหลกั แลว้ ผบู้ งั คบั บญั ชาไม่มอี านาจทจี่ ะสงั่ ได้ แต่หากมคี วาม “จาเป็น” อย่างยงิ่ เพอื่ ประโยชน์ของทางราชการโดยรวม ก็อาจ ดาเนินการได้และต้องอย่ภู ายใตเ้ งอื่ นไขทกี่ ฎหมายกาหนดเท่านัน้ กรณพี นกั งานส่วนทอ้ งถนิ่ ปฏบิ ตั งิ านไมส่ นองนโยบายของผบู้ รหิ าร ทอ้ งถนิ่ เกดิ ปัญหาความขดั แยง้ ในการบรหิ ารงาน รวมถงึ เกดิ ปัญหา ขอ้ รอ้ งเรยี นในพ้นื ทจี่ ากการวางตวั หรอื พฤตกิ รรมทไี่ ม่เหมาะสม ถือเป็นเหตุจาเป็นทีอ่ าจสงั่ ให้ไปช่วยปฏิบตั ิราชการได้ ทงั้ น้ี ต้องดาเนินการใหถ้ ูกต้องตามเงอื่ นไขทกี่ ฎหมายหรอื ระเบยี บของ ทางราชการกาหนดไว้ เช่น หน่วยงานตอ้ งทาความตกลงกนั ผถู้ ูกสงั่ ให้ไปช่วยปฏิบตั ิราชการสมคั รใจโดยมหี นังสือยนิ ยอม มีความรู้ ความสามารถในงานทีไ่ ปช่วยปฏิบัติราชการ และระยะเวลา ช่วยปฏิบตั ิราชการเป็นไปตามกรอบเวลาทีก่ าหนด เป็นต้น หากการใช้ดุลพินิจเป็นไปภายใต้เงือ่ นไขหรือหลักเกณฑ์ ทีก่ าหนดไว้ โดยมเี หตุผลและมคี วามจาเป็นเพอื่ ให้ประโยชน์ ของทางราชการบรรลุผลแลว้ ย่อมถอื เป็นการใชอ้ านาจโดยชอบ ดว้ ยกฎหมาย

๗๖ สงั่ ให้ช่วยราชการต่าง อบต. ... ทาได้ ถา้ มีเหตุ “จาเป็น” ! ในการสัง่ ให้ไปช่วยปฏิ บัติ ราชการของพนักงาน ส่วนท้องถิ่น ผู้บงั คบั บญั ชาซ่งึ หมายถงึ นายกองค์การบรหิ าร ส่วนตาบล นายกเทศมนตรี หรอื นายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั แลว้ แต่กรณี มอี านาจออกคาสงั่ ใหพ้ นกั งานส่วนทอ้ งถนิ่ คนหน่ึง คนใดในส่วนราชการหน่ึงไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการในอกี ส่วนราชการ หน่ึงภายในท้องถน่ิ เดยี วกนั ได้ แต่การสงั่ ใหช้ ่วยปฏบิ ตั ริ าชการ ในท้องถ่นิ อ่นื หรอื ส่วนราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ หรอื ราชการส่วนท้องถนิ่ อ่นื นนั้ โดยหลกั แลว้ ผบู้ งั คบั บญั ชาไม่มี อานาจทจ่ี ะสงั่ ได้ แต่หากมคี วาม “จาเป็น” อย่างยงิ่ เพ่อื ประโยชน์ ของทางราชการโดยรวมกอ็ าจดาเนินการได้ แต่ต้องอย่ใู นเง่อื นไข ทก่ี ฎหมายกาหนดเทา่ นนั้ กรณีอย่างไรถือเป็นเหตุ “จาเป็ น” ท่ีผู้บงั คบั บัญชา จะใชอ้ านาจในลกั ษณะดงั กลา่ วได้ ดงั เช่นคดีปกครองท่ีนามาฝากกันในฉบับน้ี แม้เป็น ขอ้ พพิ าททเ่ี กดิ ขน้ึ ทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลในจงั หวดั มุกดาหาร แต่ก็ถอื เป็นตวั อย่างทด่ี สี าหรบั ผูบ้ งั คบั บญั ชาหรอื ฝ่ ายปกครอง ในทอ้ งถน่ิ อ่นื ๆ จะใชเ้ ป็นแนวทางในการปฏบิ ตั ริ าชการ และยงั เป็น อุทาหรณ์ทด่ี ใี หก้ บั องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ทจ่ี ะทาความเขา้ ใจ

๗๗ ถงึ เหตุจาเป็นของการใช้อานาจของผูบ้ งั คบั บญั ชาในการสงั่ ให้ พนกั งานสว่ นตาบลไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการทห่ี น่วยงานราชการอ่นื (นอกจาก อบต. ต้นสงั กดั ) ซง่ึ ขอ้ ๒๕๖ ของประกาศคณะกรรมการ พนักงานส่วนตาบลจงั หวดั มกุ ดาหาร เร่อื ง หลกั เกณฑแ์ ละเง่อื นไข เกย่ี วกบั การบรหิ ารงานบุคคลขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล ลงวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๕ กาหนดว่า ห้ามสงั่ พนักงานส่วนตาบล ไปช่วยปฏิบตั ิราชการในหน่วยงานราชการอ่ืน เว้นแต่มีความ จาเป็ นและสาคญั อย่างย่ิงเพื่อประโยชน์ของทางราชการ โดยรวม ประธานกรรมการบรหิ ารองค์การบรหิ ารส่วนตาบล หรอื นายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบลตามพระราชบญั ญัติสภา ตาบลและองค์การบรหิ ารส่วนตาบล (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ อาจสงั่ ให้ไปช่วยปฏบิ ตั ิราชการได้ แต่ต้องภายใต้เง่อื นไขดงั น้ี (๑) องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลและหน่วยงานทจ่ี ะขอยมื ตวั ทาความ ตกลงกนั เป็นหนงั สอื (๒) ผทู้ จ่ี ะถูกสงั่ ใหไ้ ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการต้อง สมคั รใจโดยมหี นงั สอื ยนิ ยอม (๓) ผนู้ นั้ ต้องมคี วามรคู้ วามสามารถ ในงานทไ่ี ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ (๔) ใหส้ งั่ ไดช้ วั่ คราวครงั้ ละไม่เกนิ ๖ เดอื น และกรณีเก่ยี วเน่ืองกนั ใหส้ งั่ ได้ไม่เกนิ ๒ ครงั้ และเม่อื ครบกาหนดแลว้ ใหส้ ่งตวั ผนู้ นั้ คนื ตน้ สงั กดั โดยเรว็ คดนี ้ีเกดิ ขน้ึ ขณะท่ผี ฟู้ ้องคดดี ารงตาแหน่งปลดั องคก์ าร บรหิ ารส่วนตาบล ช. ไดม้ คี วามขดั แยง้ และไม่สนองการปฏบิ ตั งิ าน ตามนโยบายของผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ นาย ม. นายกองคก์ ารบรหิ าร ส่วนตาบลจงึ มหี นังสอื หารอื กรณีดงั กล่าวไปยงั ท้องถิน่ จงั หวดั

๗๘ มกุ ดาหาร จนทา้ ยทส่ี ดุ ทอ้ งถน่ิ จงั หวดั (ตาแหน่งหวั หน้าสานกั งาน ส่งเสรมิ การปกครองท้องถิ่นจงั หวดั มุกดาหาร) ได้ดาเนินการ ตามมตขิ องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (คณะกรรมการพนักงานส่วนตาบล จงั หวดั มกุ ดาหาร) โดยมหี นงั สอื ขอยมื ตวั ผฟู้ ้องคดไี ปช่วยปฏบิ ตั ิ ราชการทส่ี านักงานส่งเสรมิ การปกครองท้องถนิ่ จงั หวดั มุกดาหาร ซ่ึงผู้ฟ้ องคดีได้ทาหนังสือยินยอม จากนั้นผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ (องค์การบรหิ ารส่วนตาบล ช.) จงึ มคี าสงั่ ลงวนั ท่ี ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๔ ใหผ้ ูฟ้ ้องคดไี ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการยงั หน่วยงานดงั กล่าว มกี าหนด ๖ เดอื น ตงั้ แต่วนั ท่ี ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๕๔ ภายหลงั จากนาย ม. พน้ จากตาแหน่งแลว้ ผฟู้ ้องคดเี หน็ ว่า ตนควรจะไดก้ ลบั ไปปฏบิ ตั หิ น้าทย่ี งั ตน้ สงั กดั เดมิ จงึ ไดม้ หี นังสอื ขอกลบั ไปปฏิบตั ิหน้าท่ที ่อี งค์การบรหิ ารส่วนตาบล ช. ตงั้ แต่ วนั ท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และไดป้ ฏบิ ตั งิ านนับแต่วนั ดงั กล่าว แต่ต่อมาผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในการประชุมครงั้ ท่ี ๔/๒๕๕๕ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ มมี ตใิ ห้ผฟู้ ้องคดชี ่วยปฏบิ ตั ริ าชการต่อไป จนครบกาหนด ๖ เดอื น (วนั ท่ี ๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๕) เน่ืองจาก มเี ร่อื งรอ้ งเรยี นว่าผูฟ้ ้องคดกี ลบั ไปปฏบิ ตั งิ านทต่ี ้นสงั กดั โดยไม่มี หนงั สอื สง่ ตวั และวางตวั ไมเ่ ป็นกลางในการเลอื กตงั้ นายกองคก์ าร บรหิ ารส่วนตาบล ช. แทนตาแหน่งทว่ี ่างลง คดีน้ีผู้รบั มอบอานาจจากท้องถิ่นจงั หวดั ให้ถ้อยคาว่า ในการพจิ ารณาปัญหาความขดั แยง้ นนั้ หากใหผ้ ฟู้ ้องคดไี ปปฏบิ ตั ิ หน้าทป่ี ระจาสานักงานเลขานุการของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จะมผี ล

๗๙ เสมอื นเป็นการลงโทษผฟู้ ้องคดี ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ ใชว้ ธิ ใี หท้ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ขอตวั ผฟู้ ้องคดไี ปชว่ ยปฏบิ ตั ริ าชการแทน ผู้ฟ้องคดเี ห็นว่า การสงั่ ให้ตนไปช่วยปฏิบตั ิราชการท่ี หน่วยงานอ่นื ไม่เป็นไปตามเง่อื นไขของกฎหมาย และการมมี ติ ใหผ้ ฟู้ ้องคดอี ยชู่ ่วยปฏบิ ตั ริ าชการต่อไปอกี ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจงึ นาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มคี าพพิ ากษา หรอื คาสงั่ เพกิ ถอนมตขิ องผถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑ ในการประชุมครงั้ ท่ี ๔/๒๕๕๕ ลงวนั ท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ คดมี ปี ระเดน็ ทนี่ ่าสนใจประเดน็ แรก คอื การสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดี ไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการเป็นไปตามเงอื่ นไขทกี่ ฎหมายกาหนดหรอื ไม่ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า นายกองค์การบรหิ าร ส่วนตาบล ช. เป็นผู้ใช้อานาจในการสงั่ ให้พนักงานส่วนตาบล ไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ และการทผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ไดใ้ ชว้ ธิ ใี หท้ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ขอตวั ผู้ฟ้องคดไี ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ ซง่ึ หากปล่อยให้มี ความขดั แย้งในหน่วยงานย่อมเป็นปัญหาและอุปสรรคในการ ปฏบิ ตั ริ าชการของผถู้ ูกฟ้องคดที ี่ ๒ จงึ ถอื ไดว้ ่ามเี หตุจาเป็นและ ความสาคญั ยงิ่ เพอื่ ประโยชน์ของทางราชการโดยรวม เม่อื ทอ้ งถน่ิ จงั หวดั ได้มหี นังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ขอยมื ตวั ผู้ฟ้องคดไี ป ช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดม้ คี าสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดี ไปชว่ ยปฏบิ ตั ริ าชการ จงึ ถอื วา่ ไดท้ าความตกลงกนั เป็นหนังสอื โดย ผฟู้ ้องคดกี ไ็ ดท้ าหนงั สอื ยนิ ยอมสมคั รใจไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการแลว้ และการทผ่ี ฟู้ ้องคดดี ารงตาแหน่งปลดั องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล

๘๐ ย่อมเป็นผมู้ คี วามรคู้ วามสามารถในงานตามภารกจิ ของสานกั งาน ส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถน่ิ จงั หวดั มุกดาหาร รวมถงึ การใหช้ ่วย ทาหน้าทใ่ี นการประสานงานกบั องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ อกี ทงั้ เป็นการสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดไี ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการเป็นการชวั่ คราวไมเ่ กนิ ๖ เดอื น คาสงั่ ของผ้ถู กู ฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็ นไปตามเงื่อนไข ข้อ ๒๕๖ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตาบล จงั หวดั มกุ ดาหารฯ และเป็นคาสงั่ ท่ีชอบด้วยกฎหมาย สาหรบั ประเด็นว่า ผู้ฟ้องคดีต้องช่วยปฏิบตั ิราชการ ครบตามกาหนดเวลาหรอื ไมน่ นั้ ? ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า เม่อื คาสงั่ ได้ระบุให้ ผูฟ้ ้องคดไี ปช่วยปฏบิ ตั ิราชการทส่ี านักงานส่งเสรมิ การปกครอง ทอ้ งถนิ่ จงั หวดั มกี าหนด ๖ เดอื น ตงั้ แต่วนั ท่ี ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๕๔ ถึงวันท่ี ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดงั นัน้ ระหว่างเวลาดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีต้องอยู่ช่วยปฏิบตั ิราชการจนครบกาหนดเวลา หรือเว้นแต่ผ้ถู กู ฟ้องคดีท่ี ๒ จะมีคาสงั่ แก้ไขเปล่ียนแปลง ซ่ึงอานาจในการออกคาสัง่ หรือแก้ไขเปล่ียนแปลงคาสัง่ ให้ พนักงานส่วนท้องถิ่นไปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการในองค์การบรหิ าร ส่วนตาบลอ่นื ส่วนราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วสิ าหกจิ หรอื ราชการส่วนทอ้ งถนิ่ อ่นื เป็นอานาจของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ภายใต้ เง่อื นไขตามขอ้ ๒๕๖ ของประกาศดงั กล่าว หาใช่เป็นอานาจของ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไม่ นอกจากน้ี เมอ่ื คาสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้องคดชี ่วยปฏบิ ตั ิ ราชการยงั มผี ลใชบ้ งั คบั อยู่ ประกอบกบั ยงั มขี ้อเทจ็ จรงิ ทผ่ี ฟู้ ้องคดี

๘๑ ถูกรอ้ งเรยี นว่าปฏบิ ตั หิ น้าทไ่ี มเ่ ป็นกลาง ผฟู้ ้องคดจี งึ ตอ้ งอยชู่ ่วย ปฏบิ ตั ริ าชการตามคาสงั่ ดงั กล่าวต่อไปจนครบ ๖ เดอื น ดงั นัน้ การทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในการประชุมครงั้ ท่ี ๔/๒๕๕๕ เม่อื วนั ท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ มมี ตใิ หผ้ ฟู้ ้องคดชี ่วยปฏบิ ตั ริ าชการต่อไป จนครบกาหนด ๖ เดอื น เน่อื งจากเหน็ ว่าผฟู้ ้องคดมี เี หตุถูกรอ้ งเรยี น หากใหก้ ลบั ไปปฏบิ ตั ริ าชการยงั ต้นสงั กดั อาจเป็นอุปสรรคขดั ขวาง การปฏิบัติราชการตามอานาจหน้าท่ีของคณะกรรมการและ เจ้าหน้าท่ที ่จี ดั การเลอื กตงั้ ประกอบกบั ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ได้มี คาสงั่ แต่งตงั้ นาย ศ. รกั ษาการในตาแหน่งปลดั องคก์ ารบรหิ าร ส่วนตาบล ช. ไว้แลว้ นอกจากนัน้ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประจาจงั หวดั มุกดาหารได้แต่งตงั้ ให้นาย ศ. เป็นผู้อานวยการ การเลือกตัง้ ประจาองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ช. แล้ว ดังนัน้ มติของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ีให้ผู้ฟ้ องคดีช่วยปฏิบัติราชการท่ี สานักงานส่งเสรมิ การปกครองท้องถนิ่ จงั หวดั มุกดาหาร จนถึง วนั ท่ี ๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๕ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจทีม่ ีเหตุผล เหมาะสม เพียงพอ และเป็นการกระทาทีช่ อบด้วยกฎหมาย (คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๔๓๙/๒๕๕๘) คดนี ้ีศาลปกครองสูงสุดไดว้ างแนวทางการปฏบิ ตั ริ าชการ ทด่ี ใี นการบรหิ ารงานบุคคลส่วนทอ้ งถนิ่ กรณีเหตุ “จาเป็น” ในการ สงั่ ให้พนักงานส่วนท้องถิ่นไปช่วยปฏิบัติราชการต่างท้องถิ่น หรอื หน่วยงานของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกิจอ่นื โดยถือเป็นดุลพนิ ิจ ของผมู้ อี านาจในการสงั่ ใหพ้ นกั งานส่วนทอ้ งถนิ่ ช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ

๘๒ ณ หน่วยงานแห่งใดแห่งหน่ึง โดยพจิ ารณาจากพฤตกิ ารณ์ของ พนักงานส่วนทอ้ งถนิ่ ผนู้ นั้ ประกอบกบั ประโยชน์ทท่ี างราชการจะ ได้รบั เป็นเกณฑ์ ซ่งึ การเกดิ ปัญหาความขดั แยง้ ในการบรหิ ารงาน และการเกดิ ปัญหาขอ้ รอ้ งเรยี นในพน้ื ทจ่ี ากการวางตวั ไม่เหมาะสม ดังเช่นท่ีศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยในคดีน้ี ถือเป็ นเหตุ “จาเป็น” ทน่ี ามาประกอบการพจิ ารณาร่วมกบั ความรคู้ วามสามารถ ของผู้ทจ่ี ะถูกสงั่ ใหไ้ ปช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ ตลอดจนภารกจิ ท่ไี ด้รบั มอบหมายว่า การสงั่ ให้ช่วยปฏิบัติราชการนัน้ จะเป็นไปเพ่ือ ประโยชน์ของทางราชการหรอื ไม่ ซง่ึ หากการใชอ้ านาจดงั กล่าว เป็นไปตามกรอบหรอื ภายใต้เง่อื นไขท่กี ฎหมายกาหนด และ การใช้ดุลพนิ ิจมเี หตุผลความจาเป็นและเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถในอนั ทจ่ี ะทาใหป้ ระโยชน์ของทางราชการบรรลุผล สมั ฤทธิแ์ ล้ว ย่อมถือเป็นการใช้อานาจโดยชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานส่วนท้องถิ่นผู้ท่ีถูกสงั่ ให้ไปช่วยปฏิบตั ิราชการ กจ็ ะตอ้ งปฏบิ ตั หิ น้าทร่ี าชการตามคาสงั่ ภายในระยะเวลาทก่ี าหนด หรอื จนกว่าจะมกี ารแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงคาสงั่ ดงั กล่าว

๘๓ เรอื่ งที่ ๑๑ คาสงั่ ย้าย ... (ไม่) ต้องให้โอกาสค่กู รณีช้ีแจง ครบั ! คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๔๘๑/๒๕๕๘ สาระสาคญั คาสัง่ ย้ายผู้อานวยการกลุ่มงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ (นกั วชิ าการคอมพวิ เตอร์ ๘ วช.) ไปดารงตาแหน่งวทิ ยากร ๘ ว. ซงึ่ ไดร้ บั เงนิ ประจาตาแหน่งลดลงและไมไ่ ดร้ บั เงนิ ค่าตอบแทนอนื่ ผอู้ านวยการฯ เหน็ วา่ คาสงั่ ดงั กลา่ วมผี ลกระทบต่อสทิ ธแิ ละประโยชน์ ในฐานะขา้ ราชการ ทาให้ไม่ก้าวหน้าในอาชพี เพราะหากยงั อย่ใู น ตาแหน่งเดมิ จะสามารถทาผลงานดา้ นวชิ าการเพอื่ เลอื่ นตาแหน่ง ทสี่ ูงข้นึ ได้ทนั ที แต่เมอื่ คาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ ผู้อานวยการฯ เป็น คาสงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖) แห่งพระราชบญั ญตั ิ วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกฎกระทรวง ฉบบั ที่๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั (๑) การบรรจุ การแต่งตงั้ ... ซงึ่ เป็นขอ้ ยกเวน้ ทไี่ ม่จาตอ้ งแจง้ ให้ คกู่ รณที ราบขอ้ เทจ็ จรงิ และใหโ้ อกาสโตแ้ ยง้ แสดงพยานหลกั ฐาน ก่อนออกคาสงั่ แต่อยา่ งใด และการทผี่ บู้ งั คบั บญั ชาของผอู้ านวยการฯ ไดม้ หี นังสอื ลบั ถงึ เลขาธกิ ารวุฒสิ ภาขอใหพ้ จิ ารณาสภาพปัญหา และอุปสรรคในการบรหิ ารราชการภายในของผอู้ านวยการฯ เช่น การขาดประสทิ ธภิ าพในการทางาน มปี ัญหาในการประสานงาน กบั ผู้อนื่ ไม่ใหเ้ กยี รตแิ ละไม่เคารพการตดั สนิ ใจของผูบ้ งั คบั บญั ชา

๘๔ ทาลายขวัญและกาลงั ใจของข้าราชการในสานัก ประกอบกับ งานวทิ ยาการคอมพวิ เตอรก์ ย็ งั ไม่มคี วามกา้ วหน้าเท่าทคี่ วรทงั้ ที่ ผอู้ านวยการฯ ไดจ้ บการศกึ ษาดา้ นน้มี าโดยเฉพาะ ดงั นนั้ คาสงั่ ยา้ ย และแต่งตงั้ ผู้อานวยการฯ ไปดารงตาแหน่งวทิ ยากร ๘ ว. จงึ เป็นไป โดยถูกตอ้ งตามขนั้ ตอนและชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง ๑. คาสงั่ ย้ายและแต่งตงั้ เจา้ หน้าทใี่ ห้ไปดารงตาแหน่งอนื่ ซงึ่ กระทบสิทธิของผู้รบั คาสงั่ ถือเป็นคาสงั่ ทางปกครองตาม มาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญัติวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ทไี่ ม่อย่ภู ายใต้บงั คบั ของการตอ้ งใหค้ ่กู รณมี โี อกาส ได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและ แสดงพยานหลกั ฐานของตน ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖) ประกอบกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั ๒. การออกคาสัง่ ย้ายเจ้าหน้าทีถ่ ือเป็นดุลพินิจของ ผูบ้ งั คบั บญั ชาหรอื ผู้มอี านาจตามกฎหมาย ซงึ่ หากไดใ้ ช้อานาจ ดุลพินิจอย่างสมเหตุสมผลและจาเป็นเพือ่ ประโยชน์ของทาง ราชการ แม้คาสงั่ ย้ายนัน้ จะกระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธขิ องคู่กรณี แต่หากทางราชการไดร้ บั ประโยชน์มากกว่าเมอื่ เทยี บกบั ผลกระทบ ทคี่ ู่กรณีจะได้รบั แล้ว กรณีย่อมถอื เป็นการใช้ดุลพนิ ิจโดยชอบ ดว้ ยกฎหมาย

๘๕ คาสงั่ ย้าย ... (ไม)่ ต้องให้โอกาสค่กู รณีชี้แจง ครบั ! ค ดีท่ีนาม าเ ล่ าสู่กัน ฟั งใ นค อ ลัม น์ ค ดีปก ค ร อ งฉ บับ น้ี เป็นเร่อื งของการยา้ ยขา้ ราชการซ่งึ ปฏบิ ตั งิ านตาแหน่งประเภท วชิ าชพี เฉพาะท่มี เี งนิ ประจาตาแหน่งและเงนิ ค่าตอบแทนใหไ้ ป ดารงตาแหน่งประเภททวั่ ไปท่มี เี งนิ ประจาตาแหน่งลดลงและ ไมม่ เี งนิ ค่าตอบแทน กรณดี งั กล่าวผมู้ อี านาจจะตอ้ งใหโ้ อกาสขา้ ราชการไดร้ บั ทราบขอ้ เท็จจรงิ และมโี อกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐาน ก่อนออกคาสงั่ ยา้ ยตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ิ วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หรอื ไม่ เร่อื งราวมอี ย่วู ่า เดมิ ผฟู้ ้องคดดี ารงตาแหน่งผูอ้ านวยการ กลุ่มงานวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ (นักวชิ าการคอมพวิ เตอร์ ๘ วช.) ซ่งึ มสี ทิ ธิท่จี ะได้รบั เงนิ ประจาตาแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ จานวน ๕,๖๐๐ บาท และเงนิ คา่ ตอบแทนอ่นื อกี จานวน ๕,๖๐๐ บาท รวมเป็นเงนิ จานวน ๑๑,๒๐๐ บาท เมอ่ื ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ (เลขาธกิ าร วุฒสิ ภา) มคี าสงั่ ยา้ ยใหไ้ ปดารงตาแหน่งวทิ ยากร ๘ ว. ซง่ึ มสี ทิ ธิ ไดร้ บั เงนิ ประจาตาแหน่งเดอื นละ ๓,๕๐๐ บาท ทาใหเ้ งนิ ประจา ตาแหน่งของผฟู้ ้องคดลี ดลงเดอื นละ ๒,๑๐๐ บาท และไม่ไดร้ บั เงนิ ค่าตอบแทน อกี ทงั้ ทาใหผ้ ฟู้ ้องคดไี มก่ า้ วหน้าในอาชพี ขา้ ราชการ เพราะหากผูฟ้ ้องคดยี งั อย่ใู นตาแหน่งเดมิ จะสามารถทาผลงาน

๘๖ ดา้ นวชิ าการเพ่อื เล่อื นตาแหน่งทส่ี ูงขน้ึ ไดท้ นั ที แต่ตาแหน่งใหม่ จะตอ้ งรออกี ระยะหน่งึ ผฟู้ ้องคดเี หน็ ว่า คาสงั่ ดงั กล่าวมผี ลกระทบต่อสทิ ธแิ ละ ประโยชน์ในฐานะข้าราชการ จงึ ต้องให้โอกาสตนได้รบั ทราบ ขอ้ เทจ็ จรงิ อยา่ งเพยี งพอและมโี อกาสโตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลกั ฐาน ตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่งึ แหง่ พระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่อื ไม่ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายดงั กล่าว คาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ จงึ เป็นคาสงั่ ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย หลงั จากผฟู้ ้องคดไี ดร้ อ้ งทุกขแ์ ต่ถูกยกคารอ้ งทุกข์ จงึ นา คดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลมคี าพพิ ากษาหรอื คาสงั่ เพกิ ถอนคาสงั่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ และใหช้ ดใชเ้ งนิ ประจาตาแหน่ง และเงนิ ค่าตอบแทนทล่ี ดลง ประเดน็ ทนี่ ่าสนใจมวี ่า คาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ ทไี่ ม่ใหโ้ อกาส ค่กู รณไี ดท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ อยา่ งเพยี งพอและใหโ้ อกาสโตแ้ ยง้ และ แสดงพยานหลกั ฐานชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่ ? โดยมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ิวธิ ีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กาหนดว่า ในกรณที ค่ี าสงั่ ทางปกครองอาจกระทบ ถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าท่ีต้องให้คู่กรณีมีโอกาสท่ีจะได้ รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและ แสดงพยานหลักฐาน แต่มาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖) กาหนดว่า ความในวรรคหน่ึงมใิ ห้นามาใช้บงั คบั ในกรณีตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ิ

๘๗ ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กล่าวคือ (๑) การบรรจุ การแต่งตงั้ ... ดงั นัน้ การออกคาสงั่ ย้ายผู้ฟ้องคดีจะต้องปฏบิ ัติตาม มาตรา ๓๐ วรรคหน่งึ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ หรอื ไม่ ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า คาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ ผูฟ้ ้องคดเี ป็นคาสงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖) แหง่ พระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พระราชบญั ญตั ิเดยี วกัน (๑) การบรรจุ การแต่งตงั้ ... จงึ เป็น การออกคาสงั่ ท่ไี ม่จาเป็นต้องแจง้ ใหค้ ่กู รณีทราบขอ้ เทจ็ จรงิ และ ให้โอกาสโต้แยง้ แสดงพยานหลกั ฐานก่อนออกคาสงั่ แต่อย่างใด การดาเนนิ การออกคาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ ผฟู้ ้องคดขี องผถู้ ูกฟ้องคดี ท่ี ๒ จงึ เป็นไปโดยถกู ตอ้ งตามขนั้ ตอนของกฎหมาย สาหรบั คาสงั่ ย้ายเป็นการใชอ้ านาจทช่ี อบด้วยกฎหมาย หรอื ไมน่ นั้ ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า ก่อนทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (สานกั งานเลขาธกิ ารวฒุ สิ ภา) โดยผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ จะออกคาสงั่ ยา้ ย ผฟู้ ้องคดี ผบู้ งั คบั บญั ชาของผฟู้ ้องคดใี นขณะนนั้ ไดม้ หี นงั สอื ลบั ถงึ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ขอให้พจิ ารณาถงึ สภาพปัญหาและอุปสรรค ในการบรหิ ารราชการภายใน อนั เน่ืองมาจากผฟู้ ้องคดเี ป็นปัญหา อุปสรรคในการบรหิ ารงาน คอื ประการท่ี ๑ ขาดประสทิ ธภิ าพ ในการทางาน ทางานล่าช้า ขาดความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ มปี ัญหา ในการประสานงานกับบุคคลอ่ืน และไม่อุทิศเวลาให้กบั ราชการ

๘๘ สมกบั ตาแหน่งผู้อานวยการ ประการท่ี ๒ ไม่ให้เกียรติและเคารพ การตดั สนิ ใจของผู้บงั คบั บญั ชา ประการท่ี ๓ ทาลายขวญั และ กาลงั ใจของข้าราชการในสานัก มพี ฤติกรรมส่อเสียด ถากถาง เปรียบเปรยข้าราชการนอกกลุ่มงานท่ีผู้ฟ้ องคดีไม่พึงพอใจ ประกอบกบั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดข้ อใหท้ ป่ี รกึ ษาด้านต่างประเทศ ผบู้ รหิ ารเทคโนโลยรี ะดบั สูงของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ พจิ ารณาเสนอ ความเหน็ ซง่ึ เหน็ ดว้ ยกบั ความเหน็ ของผบู้ งั คบั บญั ชาของผฟู้ ้องคดี และขณะผู้ฟ้องคดีดารงตาแหน่งผูอ้ านวยการ ผูบ้ งั คบั บญั ชาของ ผู้ฟ้องคดใี นขณะนัน้ ได้ประเมนิ ผู้ฟ้องคดตี ามมาตรการพฒั นา และบรหิ ารกาลงั คน เพ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพระบบราชการตามมติ คณะรฐั มนตรวี ่า งานวทิ ยาการคอมพวิ เตอรเ์ ป็นงานหลกั ของ การพฒั นางานดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ แต่ปัจจบุ นั งานยงั ไมม่ ี ความกา้ วหน้าเทา่ ทค่ี วรกบั เวลา ๑๒ ปี ทงั้ ทผ่ี ฟู้ ้องคดจี บการศกึ ษา ดา้ นน้ีมาโดยเฉพาะและอย่ใู นงานน้ีมาตลอด แมจ้ ะมปี ัญหาดา้ น บุคลากร ครภุ ณั ฑ์ และเทคโนโลยกี ต็ าม แต่ผลงานออกมาไม่คุม้ ค่า กบั เมด็ เงนิ ของทางราชการ ดงั นัน้ การดาเนินการออกคาสงั่ ยา้ ยและแต่งตงั้ ผู้ฟ้องคดี ของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จึงเป็นไปโดยถูกต้องตามขนั้ ตอนของ กฎหมายและชอบดว้ ยกฎหมาย (คาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด ที่อ. ๔๘๑/๒๕๕๘) คดนี ้ีจงึ เป็นบรรทดั ฐานในการปฏบิ ตั ริ าชการท่ดี ี กรณี การออกคาสงั่ ยา้ ยซง่ึ ถอื เป็นดุลพนิ จิ ของผมู้ อี านาจทจ่ี ะใชอ้ านาจ

๘๙ ตามกฎหมาย ซง่ึ หากไดใ้ ชอ้ านาจดลุ พนิ จิ อยา่ งสมเหตุสมผลและ จาเป็นเพ่อื ประโยชน์ของทางราชการ แมค้ าสงั่ ย้ายนัน้ จะกระทบ ต่อสทิ ธขิ องค่กู รณี แต่หากราชการไดป้ ระโยชน์มากกวา่ เม่อื เทยี บกบั ความเสยี หายดงั กลา่ ว ยอ่ มเป็นการใชด้ ุลพนิ จิ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย และไม่จาต้องให้โอกาสแก่คู่กรณีท่จี ะได้ทราบข้อเท็จจรงิ และ มโี อกาสได้โต้แยง้ และแสดงพยานหลกั ฐานก่อนออกคาสงั่ ยา้ ย แต่อย่างใด นอกจากน้ี ยงั เป็นอุทาหรณ์ท่ดี สี าหรบั ข้าราชการ ใหป้ ฏบิ ตั หิ น้าทด่ี ว้ ยความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ขยนั หมนั่ เพยี ร อุทศิ ตนและ เวลาให้กบั การทางานอย่างเตม็ กาลงั ความสามารถเพ่อื ประโยชน์ ของทางราชการ ... ครบั !

๙๐ เรอื่ งที่ ๑๒ นายก อบต. อปุ สมบทตามโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ พ้นจากตาแหน่งหรือไม่ ? คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๑๒๐๒/๒๕๕๘ สาระสาคญั นายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบล (นายก อบต.) อุปสมบท ในโครงการอุปสมบทเฉลมิ พระเกยี รตฯิ ตามมตคิ ณะรฐั มนตรที ใี่ ห้ ขา้ ราชการประเภทต่าง ๆ รวมถงึ สมาชกิ และผบู้ รหิ ารองคก์ รปกครอง ส่วนทอ้ งถนิ่ เขา้ ร่วมอุปสมบทโดยไม่ถอื เป็นวนั ลา การทนี่ ายอาเภอ ได้มหี นังสือแจ้งและประชาสมั พนั ธ์เกยี่ วกับโครงการดงั กล่าว รวมทงั้ เป็นผูร้ บั รองว่านายก อบต. สมควรทจี่ ะไดร้ บั การอุปสมบท ตามโครงการน้ี ถอื วา่ ผบู้ งั คบั บญั ชาไดร้ บั รองคณุ สมบตั แิ ละเหน็ ควร ให้เข้าร่วมอุปสมบทตามโครงการฯ แล้ว ประกอบกบั นายก อบต. สามารถใชส้ ทิ ธเิ กยี่ วกบั การลาอุปสมบทกรณดี งั กลา่ วไดต้ ามขอ้ ๒๑ ของระเบยี บกระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยการลาของผบู้ รหิ ารท้องถนิ่ ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิน่ และสมาชิกสภาท้องถิน่ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๓๐ ของระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดงั นัน้ คาวนิ ิจฉัยของนายอาเภอทีใ่ ห้ความเป็น นายก อบต. ส้นิ สุดลง เพราะเหตุมลี กั ษณะต้องหา้ มตามกฎหมาย ว่าด้วยการเลือกตัง้ สมาชิกสภาท้องถิน่ หรอื ผู้บริหารท้องถิน่ จงึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายและไมเ่ ป็นธรรมต่อนายก อบต.

๙๑ หลกั กฎหมาย/บรรทดั ฐานทีเ่ กีย่ วข้อง กฎหมายสภาตาบลและองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล กาหนดให้ ผู้มสี ิทธสิ มคั รรบั เลอื กตงั้ เป็นนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ต้องมคี ุณสมบตั แิ ละไม่มลี กั ษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วย การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ซงึ่ กรณีการบวช เป็นพระภกิ ษุหรอื สามเณรถอื เป็นลกั ษณะต้องห้ามตามกฎหมาย วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ฉะนนั้ หากผู้บรหิ ารองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ผู้ช่วยผู้บรหิ ารและ สมาชกิ สภาองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ บวชเป็นพระภกิ ษุหรอื สามเณร อาจมผี ลต่อการพิจารณาคุณสมบัติและต้องพ้นจาก ตาแหน่งได้ แต่ในกรณีทผี่ ู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ อุปสมบทในโครงการอุปสมบท เฉลมิ พระเกยี รตฯิ ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี และผบู้ งั คบั บญั ชาไดร้ บั รอง คุณสมบตั ิและเห็นควรให้ผู้บรหิ ารท้องถนิ่ เขา้ ร่วมอุปสมบทได้ ประกอบกับผู้บริหารท้องถิน่ สามารถใช้สิทธิเกีย่ วกับการลา อุปสมบทไดโ้ ดยอาศยั ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยการลา ของผู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกบั ระเบยี บว่าด้วย การลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ การอุปสมบทดังกล่าว จงึ ไม่มผี ลทาใหผ้ ูบ้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ตอ้ งพน้ จากตาแหน่ง เพราะเหตุ ทมี่ ลี กั ษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชิก สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่