ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล สมาทานศีล สง่ิ สา� คัญอย่างหน่งึ ทคี่ วรท�าเม่อื สวดมนต์ไหว้พระ คือ การ สมาทานศีล ได้แกก่ ารถือเอาสกิ ขาบททงั้ หา้ ข้อเพอ่ื ปฏิบตั ติ าม เมอื่ ตงั้ ใจสมาทานศลี แลว้ กน็ ับได้วา่ เป็นคนมศี ีล เพราะ ศีล มี ๕ แบบ คอื ๑. ปกตศิ ีล ๒. สมำทำนศีล ๓. จติ ตปสำทะ ๔. สมถะ ๕. วิปสั สนำ การสมาทานศลี นั้น นอกจากจะเป็นการเตรยี มกาย วาจา ใจ ไดเ้ ปน็ อย่างดแี ลว้ ยงั จะชว่ ยให้ใจตง้ั ม่ันไดไ้ ว และศลี กย็ งั หลัง่ ไหลประโยชนอ์ านิสงสใ์ หต้ ลอด ลา� ดบั อานสิ งสจ์ ะส่งกนั เปน็ ทอด เปน็ เหตุและเปน็ ผลต่อกันไป ดังพระพุทธเจา้ ตรสั ไว้วา่ “ดกู อ่ นอำนนท์ ศีลทั้งหลำยทเ่ี ป็นกศุ ล มีควำมไม่เดือดรอ้ น เป็นประโยชน์เป็นอำนสิ งส.์ ..”เม่อื จติ ใจไม่มสี ่งิ มาต้องใหห้ มองหม่น ก็จะสง่ ผลใหจ้ ิตใจเราปรำโมทย์ มีความชืน่ บาน จากความชน่ื บาน กจ็ ะยงั ผลให้มี ควำมอิม่ เอบิ ทีบ่ าลเี รียกวา่ ปตี ิ จะท�าให้ ปัสสัทธิ หรอื ความสงบเกิดได้ในล�าดบั ตอ่ กัน และใหอ้ านสิ งสเ์ ปน็ ควำมสขุ เป็น สมำธิ ตัง้ มนั่ ในลา� ดบั ตอ่ มา อานิสงสข์ องศลี ต่อจากสมาธิ คอื ควำมรเู้ หน็ ตำมควำมเปน็ จรงิ เม่อื รู้เห็นตามความเปน็ จริงแล้ว ก็มี นิพพิทำ เป็นผล และ วมิ ุตติ หลุดพน้ ในท่สี ุด เพราะศลี มคี วามบรบิ ูรณ์ หลง่ั ไหลประโยชนม์ ากมาย เม่อื จะสวดมนต์สาธยายจึงควรสมาทานศีล ๕๐ มหาราชปรติ ร
บทสมาทานศลี ๕ บทสมาทานศลี ๕ ปาณาตปิ าตา เวระมะณิสิกขาปะทงั สะมาทยิ าม.ิ ข้าพเจ้าสมาทานสกิ ขาบท ทง่ี ดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อะทินนาทานา เวระมะณิสิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ. ขา้ พเจ้าขอสมาทานสกิ ขาบท ทง่ี ดเวน้ จากการลกั ทรัพย์ กาเมสมุ ิจฉาจารา เวระมะณสิ กิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ. ขา้ พเจ้าขอสมาทานสกิ ขาบท ท่ีงดเว้นจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม มสุ าวาทา เวระมะณิสกิ ขาปะทัง สะมาทยิ าม.ิ ข้าพเจา้ ขอสมาทานสิกขาบท ที่งดเว้นจากการพูดเทจ็ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณิสกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานสกิ ขาบท ทงี่ ดเว้นจากการด่มื ของเมา คอื สรุ าเมรยั อนั เป็นเหตุแหง่ ความประมาท มหาราชปริตร ๕๑
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล ชุมนมุ เทวดา บทชุมนุมเทวดา คือ บทที่แสดงควำมมีไมตรีของผู้ สวด ท่ีได้เช้ือเชิญเหลา่ เทวดามารว่ มรบั ฟัง อกี นัยหนึ่ง เป็นกำร แสดงออกซ่ึงควำมขอบคุณต่อเทวดำด้วยวา่ หลายๆ บทธรรมน้ัน เปน็ บทท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดา หรอื แสดงเพราะมี เทวดามาทูลถาม จึงเป็นการระลึกถึงคุณของเทวดา ในฐานะที่ ท�าให้เกิดคา� สอนในสตู รนน้ั ๕๒ มหาราชปรติ ร
ชุมนมุ เทวดา ในยามท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่มนุษย์โลกนั้น เทวดำก็มีศรัทธำรับฟังพระธรรมเทศนำไปด้วยในเวลำพร้อมกัน และได้รับผลแหง่ ธรรมเช่นเดียวกนั ดังตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกคือ ธมั มจกั กัปปวตั นสตู รโปรดปัญจวคั คยี ์ มีมนุษยผ์ ้บู รรลุธรรมเพยี ง หน่ึงท่านจากทั้งหมดห้าทา่ น คือ พระอญั ญำโกณฑญั ญะบรรลุเปน็ พระโสดำบนั เรยี กว่า ได้ดวงตาเห็นธรรม แต่มเี ทวดำจ�ำนวนมำก บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ จากการฟงั ธรรมในคร้ังเดียวกันนั่นเอง ด้วยวา่ เทวดามีอายขุ ยั มากกว่ามนุษยม์ ากนัก เทวดาทีเ่ คย ฟงั ธรรมะกับพระพทุ ธเจา้ โดยตรงยงั คงมชี ีวิตอยู่และมองเหตุการณ์ ว่าพระพุทธเจ้าเพิ่งแสดงธรรมจบไปไม่นาน เทวดาสมั มาทฏิ ฐทิ ี่มี ศรัทธามัน่ คงจงึ ชอบฟงั ธรรมรา� ลึกกุศลใหก้ ุศลเกิดเนอื ง ๆ มหาราชปริตร ๕๓
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล ดังนนั้ เม่อื การสวดมนต์คอื การแสดงธรรมเพราะได้กลา่ วค�า ทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงไวอ้ กี คร้ังหน่งึ จงึ ควรมไี มตรเี ชอื้ เชิญเทวดำ ทงั้ ปวงมำฟงั ธรรม เพ่ือรว่ มเจรญิ กุศล เราผูส้ วดเองน้ันก็จะเจริญใน กุศลยง่ิ ข้นึ หากไดร้ ะลกึ ถงึ เทวดาในฐานะเป็นพยานในการท�าความ ระลึกโดยเรมิ่ ต้นวา่ เทวดำมีอยู่จรงิ เพรำะมีธรรมห้ำอยำ่ ง คือ มี ศรทั ธำ มศี ลี มีกำรฟงั ธรรม มกี ำรเผอ่ื แผ่ มีปญั ญำ จึงบงั เกดิ เป็น เทวดำในภพนนั้ ๆ และธรรมแต่ละอย่ำงกม็ อี ยู่ในตัวเรำเชน่ กัน เป็น การเจริญกุศลในสว่ นเทวตานุสติดว้ ยนัน่ เอง เม่ือระลึกอยู่เสมอยอ่ มมีอานิสงสผ์ ลผลดีหลายอยา่ ง คือ เร่มิ จาก เทวดำทงั้ หลำยรักใคร่ ถงึ ความไพบลู ยด์ ้วยธรรมทงั้ ห้ำ คอื ศรทั ธำ มีมาเพิ่ม รกั ศลี กว่าเดิม เพราะมีความยินดีรกั ษาศลี มีควำมรู้ เพราะชอบฟงั สิ่งมปี ระโยชน์ เปน็ คนเสยี สละ แบง่ ปันได้ งา่ ย แกไ้ ขขอ้ บกพร่อง ของตนไดด้ ี มใี จเบิกบำนด้วยปตี ิ ได้พบ สคุ ติ ในเบ้อื งหนา้ ๕๔ มหาราชปริตร
บทชุมนุมเทวดา บทชมุ นมุ เทวดา สะรชั ชงั สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะรติ ตานุภาโว สะทา รกั ขะตตู ิ ผะริต๎วานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวกิ ขติ ตะจติ ตา ปะริตตัง ภะณันตุ. ขอท่านผู้เจรญิ ท้งั หลาย ผูเ้ พยี บพรอ้ มดว้ ยเมตตา จงแผ่ เมตตาจิตดว้ ยคดิ วา่ ขออานุภาพพระปริตรจงรกั ษาพระราชาผู้เป็น เจา้ แหง่ นรชน พรอ้ มดว้ ยราชสมบตั ิ พร้อมดว้ ยราชวงศ์ พรอ้ มดว้ ย เสนามาตย์ ในกาลทกุ เม่อื แล้วอยา่ มจี ติ ฟุง้ ซา่ น ต้ังใจสวดพระ ปรติ รเถดิ สะมันตา จกั กะวาเฬสุ อตั ร๎ าคจั ฉนั ตุ เทวะตา สทั ธมั มงั มนุ ริ าชสั สะ สณุ ันตุ สัคคะโมกขะทงั . ขออัญเชิญเหล่าเทวดาในจักรวาลทัง้ หลายโดยรอบ จงมา ประชมุ กนั ในสถานท่นี ี้ ขอเชิญฟังพระสัทธรรมของพระจอมมุนี อัน ชที้ างสวรรค์และนิพพาน มหาราชปรติ ร ๕๕
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล สคั เค กาเม จะ รเู ป, คิรสิ ขิ ะระตะเฏ จนั ตะลกิ เข วิมาเน, ทีเป รฏั เฐ จะ คาเม, ตะรวุ ะนะคะหะเน เคหะวตั ถุมห๎ ิ เขตเต, ภุมมา จายันตุ เทวา, ชะละถะละวิสะเม ยักขะคนั ธัพพะนาคา, ติฏฐันตา สันติเก ยัง มนุ ิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ. ขออัญเชิญเหลา่ เทวดา ผ้สู ถิตอยู่ในสวรรค์ชนั้ กามภพ ชนั้ รปู ภพ และภมุ เทวดาผูส้ ถิตอยู่ ในวมิ าน บนยอดเขา ในหุบผา ในอากาศ บนเกาะ ในแวน่ แควน้ ในบ้าน ในตน้ พฤกษา ในปา่ ชฏั ในเรือน และในไรน่ า ขออัญเชญิ ยกั ษ์ คนธรรพ์ และนาค ผูส้ ถติ อยใู่ นน้า� บนบก ในที่ไมร่ าบเรียบ ในทใ่ี กลเ้ คยี ง จงมาประชุมกันในสถานท่ีนี้ ขอท่านสาธุชนท้ังหลายจงส�ารวมจิตตั้งใจสดับพระสัท- ธรรมอนั เปน็ พระด�ารัสประเสริฐของพระมหามุนี ที่ขา้ พเจ้าจะสวด ตอ่ ไปน.ี้ ธมั มัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา. ทา่ นผูเ้ จริญทง้ั หลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม (สวด ๓ หน) ตัง้ แตค่ �าว่า สัคเค จนถงึ สุณนั ตุ เป็นกลอนภาษาบาลี มี ๒๑ ค�า สวดหยุดวรรคละ ๗ คา� จะเหน็ ความไพเราะ ของฉันทลกั ษณ์ มหาราชปรติ ร
พระพุทธคุณ พระพุทธคุณ ควรระลึกถงึ คณุ ของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ บ่อยๆทกุ โอกาส ท่ีสามารถทา� ได้ ส่ิงท่ีใชร้ ะลึกน้นั คือ สติ โดยให้ มงุ่ หน้าตอ่ พุทธคณุ ทล่ี ว้ นล้�าลึกและถกู ตรง บทพุทธคุณ หรือบทสวดทกุ บท ควรอำ่ นใหเ้ ขำ้ ใจเปน็ เบอ้ื ง ตน้ กอ่ นสวด เพราะจะเป็นการเตรียมใจให้พร้อม ช่วยให้น้อม ศรัทธาได้ดี ในเวลาที่สวด เมื่อสวดอีกก็จะทวีความเข้าใจ เพราะเห็นแจ่มใสด้วยปัญญา สามารถจดจ�าได้ง่ายและไม่ลืม เป็นปลาบปล้ืมในทุกคราวท่ีสาธยาย การสวดก็จะมีความหมาย มากกว่าการสวดมนต์ เพราะเป็นการเจริญกุศลตามแนวทาง พุทธานุสติกรรมฐาน คือ พิจำรณำพุทธคุณแต่ละประกำรอย่ำง เข้ำใจจริง จนเห็นควำมยอดย่ิงของพระพุทธเจ้ำ โดยท่ีเรามิได้เห็น พระสรรี ะจรงิ ของพระองค์ เพราะมสี ตมิ งุ่ ตรงตอ่ พทุ ธคณุ อยา่ งแทจ้ รงิ มหาราชปริตร ๕๗
ความเปน็ มา : บทสวด : คา� แปล กำรระลกึ ถึงพุทธคณุ มีอำนิสงส์สง่ ผลให้เปน็ สำธชุ นผู้เคำรพ รักพระศำสดำ มีศรัทธำคงท่ี มีสตคิ งม่ัน มปี ัญญำแจม่ ใส และมบี ุญ ใหญอ่ ยูก่ บั ตวั ไม่มคี วำมหมองมัวเพรำะปตี ิปรำโมทย์ ถือเปน็ กำร ขจัดส่งิ ทเี่ ปน็ โทษออกจำกกำย วำจำ ใจ อดทนไดเ้ วลำพบปัญหำ ใจไมห่ วำดผวำเวลำมีทกุ ขม์ ีภยั ย่อมมคี วำมมนั่ ใจว่ำ ไดอ้ ย่กู ับพระ พุทธเจ้ำ หำก ระ ลึก ถึง คุณ ของ พระ พุทธ เจ้ำ จน ส�ำเร็จกรรมฐำน ร่ำงกำยกเ็ ป็นเหมอื นของควรแก่กำรไหวบ้ ูชำ เปรียบปำนวำ่ เปน็ เจดยี ส์ ถำนสว่ นจติ ใจกจ็ ะมงุ่ ไปสูส่ ุขเกษมศำนตต์ ำมอย่ำงพระพุทธ- เจำ้ แมใ้ นบำงครำวมีสถำนกำรณ์ท่ีอำจท�ำไม่ดี ควำมละอำยและ ควำมกลัวเกรงกจ็ ะเกิดกับใจในทนั ที เหมอื นกับมีพระพทุ ธเจำ้ อยู่ ดว้ ย ณ ตรงหน้ำ และแมย้ ังไมบ่ รรลพุ ุทธำนุสติกรรมฐำน เพียงแต่ ฝึกทำ� ชำ� นำญกย็ ่อมมีสคุ ติเปน็ ผล ดว้ ยเหตนุ ี้ สำธุชนจงึ ควรหมน่ั ใช้ สติระลึกพุทธคณุ เนอื ง ๆ เทอญ. ๕๘ มหาราชปริตร
บทพทุ ธคุณ บทพุทธคณุ อติ ิปิ โส ภะคะวา เพราะเหตนุ ี้ ๆ พระผู้มพี ระภาคเจ้า พระองคน์ น้ั อะระหงั , เปน็ ผู้ไกลจากกเิ ลส ผ้คู วรแก่ปัจจยั สแ่ี ละการบชู า สมั มาสัมพุทโธ, เปน็ ผู้ตรสั รู้ธรรมทง้ั ปวงโดยชอบดว้ ย พระองคเ์ อง วิชชาจะระณะสัมปันโน, เปน็ ผถู้ ึงพรอ้ มดว้ ยวิชชาและ จรณะ สุคะโต, เปน็ ผู้เสด็จไปดีแล้วและผูต้ รสั ดีแล้ว โลกะวทิ ู, เปน็ ผู้ร้โู ลกอย่างแจม่ แจง้ อะนุตตะโร ปรุ สิ ะทมั มะสาระถิ, เปน็ สารถีผู้ฝกึ บุรุษทค่ี วร ฝึก ไมม่ ีใครย่งิ กว่า สตั ถา เทวะมะนสุ สานงั , เปน็ ครูผู้สอนของเทวดาและ มนษุ ยท์ งั้ หลาย พุทโธ, เป็นผรู้ ู้ ผ้ตู ื่น ผู้เบกิ บาน ภะคะวา. เป็นผู้ท�าลายกิเลสและบาปธรรมท้ังปวง เป็นผู้ จา� แนกธรรม การบา้ นวนั น้ี ถามว่า เวลากราบพระพุทธรูป เรากราบดว้ ยจิตใจเทา่ กนั ทุกองค์ไหม มหาราชปรติ ร ๕๙
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล พระธรรมคณุ ธรรมะ คือ ควำมจรงิ ไมใ่ ช่ส่งิ ท่พี ระพุทธเจา้ สรา้ งขน้ึ แต่ ความจรงิ เปน็ ส่ิงท่ีมอี ยูก่ อ่ นที่พระพทุ ธเจา้ จะอุบัตมิ า พระพทุ ธเจา้ จะอบุ ตั ิมาหรอื ไมก่ ต็ าม ธรรมะกย็ งั คงเป็นอยา่ งนน้ั อยู่ แตพ่ ระ พทุ ธเจ้าเป็นผู้ร้แู ละจ�าแนกธรรมเหล่านน้ั เปิดเผยควำมจรงิ ตำมเหตุ และผล ท่คี วามจรงิ เปน็ ซึง่ จ�าแนกเป็นสองระดับ คือ ระดบั โลกิยะ กับ ระดบั โลกตุ ระ ธรรมะระดบั โลกิยะ เรยี กอย่างหนง่ึ วา่ ทำงโลก เก่ยี วข้อง กับโลก หมายถึงโลกทง้ั สามคือ กำมโลก รปู โลก อรูปโลก อนั เปน็ ท่ีให้ผู้ท่ียังมีกิเลสได้ใช้ชีวิตจนสิ้นและเร่ิมต้นใหม่ต่อเน่ืองกันตาม การกระทา� ของตน โดยไมเ่ หน็ จุดที่ส้นิ สุด เรยี กว่า สังสำรวฏั หรือ วฏั สงสำร นั่นเอง ๖๐ มหาราชปรติ ร
พระธรรมคุณ ธรรมะระดับโลกุตระ หมายถึง พ้นโลก คือ ออกจาก โลกท้ังสาม เปน็ การ ออกจำกทุกข์ทัง้ มวล ทจ่ี ะตามมา เชน่ แก่ เจ็บ ตาย การออกหรือการพน้ นี้ คอื ออกจำกกเิ ลส ทีเ่ ราเคยไดย้ นิ วา่ บรรลธุ รรม น่ันเอง ธรรมะมคี วำมงำมโดยสมบรู ณ์ เพียงแค่ฟงั ธรรม กย็ ังชว่ ย คลำยกเิ ลสได้ นับเปน็ ควำมงำมเบ้ืองต้น เมือ่ ลงมอื ปฏิบัติ ก็มีข้อ ปฏิบัติดีงำมมีผลท่ีเกิดตำมมำเป็นควำมสุขท่ีเกิดจำกสมถะและ วิปสั สนำ เปน็ ควำมงำมในทำ่ มกลำง และเมือ่ ปฏิบตั บิ รรลุผลแลว้ กม็ ีผลจำกกำรปฏิบัตเิ ป็นควำมงำมในท่สี ุด ธรรมะที่จะใช้สติระลึกในบทพระธรรมคุณ ได้แก่โลกุตร ธรรม ๙ ประกำร คือ มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พำน ๑ มหาราชปริตร ๖๑
ความเปน็ มา : บทสวด : ค�าแปล อำนิสงส์ของกำรระลึกถึงคุณของพระธรรม ช่วยน�ำใจ ให้เคำรพรักพระพุทธเจ้ำ ด้วยคำ� นึงว่ำ พระพทุ ธเจำ้ ได้ทรงแสดง ธรรมทเ่ี รำควรน้อมมำใส่ใจ กลำ่ วย้อนอดตี ไปหรอื ในปัจจุบนั กม็ ีแต่ พระพุทธเจำ้ เท่ำนัน้ ท่ีแสดงธรรมแบบนีใ้ หเ้ หน็ และมีผลช่วยใหเ้ ปน็ ผู้เคำรพพระธรรม เตม็ ด้วยควำมศรทั ธำ อยูเ่ ยน็ ดว้ ยปีตปิ รำโมทย์ หลีกเวน้ โทษทน่ี ่ำกลวั อดทนไดด้ เี มอ่ื มีทกุ ขภ์ ัย มีควำมม่ันใจวำ่ ได้ อย่กู ับพระธรรม หำกระลกึ ถึงพระธรรมบ่อยๆจนถงึ ขั้นรำ่ งกำยก็เปรียบปำน เปน็ เจดีย์สถำน จิตใจจะน้อมไปเพ่อื กำรบรรลธุ รรมชนั้ เย่ยี ม เม่อื พบเหตกุ ำรณเ์ ฉพำะหน้ำท่ีจะพำใหท้ ำ� ผดิ จิตใจท่ีมคี วำมละอำยและ กลัวเกรงก็จะเกดิ ข้ึนในเวลำนั้น หำกยงั ไมบ่ รรลธุ รรมท่สี ูงข้ึนก็จะได้ พบสคุ ติ ๖๒ มหาราชปริตร
บทธรรมคณุ บทธรรมคณุ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม. พระธรรมอันพระผู้มี พระภาคเจา้ ตรัสไว้ดีแลว้ สนั ทฏิ ฐโิ ก, เป็นธรรมทีพ่ ระอริยบคุ คลพึงเหน็ ได้ด้วยตนเอง อะกาลิโก, ไม่รอกาลให้ผล เอหปิ สั สิโก, ควรเรยี กให้มาดู โอปะนะยโิ ก, ควรนอ้ มมาไวใ้ นจิตของตน ปัจจัตตัง เวทติ ัพโพ วิญญหู .ิ เป็นธรรมทว่ี ิญญชู นพงึ รไู้ ด้ เฉพาะตน. พระธรรมทีต่ รัสไว้ดแี ลว้ คอื มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ และ ปรยิ ตั ิธรรม ๑, พระธรรมทีพ่ ึงเปน็ ไดด้ ้วยตนเอง คอื โลกุตรธรรม ๙, พระธรรมที่ไมร่ อกาลใหผ้ ล คือ มรรค ๔ ทใ่ี ห้ผลทันที, พระธรรมทคี่ วร เรยี กให้มาดู ควรน้อมมาไวใ้ นจติ ของตน และวญิ ญชู นพงึ รูไ้ ด้เฉพาะตน คอื โลกตุ รธรรม ๙ มหาราชปริตร ๖๓
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล พระสงั ฆคณุ พระสงฆ์ ที่บวชถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย เรียกว่า สัมมติ หรอื สมมตุ สิ งฆ์ คือ เห็นพอ้ งต้องกนั รับรู้ร่วมกันว่า ท่าน เป็นผู้บวชโดยนบั ถอื และปฏิบัตติ ามค�าสอนพระพุทธเจ้า จะบรรลุ ธรรมหรอื ไม่กต็ าม พระภกิ ษสุ งฆก์ ็เปน็ สงฆ์ ในความหมายนี้ คา� วา่ สงฆ์ อีกความหมายหน่ึง คือผู้ท่ีบรรลุธรรมเป็น อริยบุคคล โดยมีทงั้ ผทู้ ีเ่ ปน็ พระภิกษุสงฆ์และฆราวาส สงฆ์ใน พระรัตนตรยั กค็ อื อรยิ บุคคล น้ีเอง ทีเ่ รยี กว่า สงฆ์ เพราะค�าว่า สงฆ์ แปลว่า หมู่ ดว้ ยวา่ ทา่ นผู้บรรลธุ รรมมีศลี ทบี่ ริสุทธิ์เหมอื นกนั และท่านเหน็ ความจรงิ เหมอื นกนั ทุกทา่ น จึงเรียกวา่ หมู่ ๖๔ มหาราชปรติ ร
พระสงั ฆคณุ อริยบุคคล ทา่ นเห็นแจ้งพระนพิ พานด้วยจติ ใจ จติ ใจใน ขณะที่เหน็ แจ้งนัน้ เรียกวา่ มรรค และมีจิตใจทีเ่ กิดข้นึ ต่อเนื่องกนั เรียกวา่ ผล จติ ใจที่เห็นแจง้ พระนพิ พานครงั้ แรกคอื โสดำปัตติมรรค และมี โสดำปตั ตผิ ล เกิดตอ่ เนอ่ื งกัน เราเรียกท่านผู้บรรลุธรรม นี้วา่ โสดำปัตตบิ คุ คล หรอื พระโสดำบนั และเรยี กวา่ พระ สกทำคำมี พระอนำคำมี และ พระอรหันต์ ตามล�าดับการบรรลุ ธรรมครง้ั ตอ่ มา ในกรณีท่บี รรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในคราวเดียวนนั้ ก็ หมายถึงบรรลุธรรมไปตามลา� ดับส่ีคร้ัง ไม่ใช่บรรลพุ ระอรหนั ต์โดย ทันทีครั้งเดียว การบรรลธุ รรมแต่ละครั้งหมายถงึ การขจัดกเิ ลส ประเภทหนง่ึ ๆ ได้หมดจดโดยท่ีกเิ ลสชนดิ นน้ั ไม่สามารถมีข้นึ มาอกี และจะขจดั กเิ ลสได้ทุกชนดิ เมอ่ื บรรลธุ รรมสคี่ รง้ั คอื เป็น พระอรหนั ต์ ชอ่ื วา่ เปน็ ผ้ไู ดร้ ับประโยชน์จริงแทอ้ ันสงู สดุ ในพระ พทุ ธศาสนา มหาราชปริตร ๖๕
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล กำรใชส้ ตริ ะลกึ ถงึ คุณของพระอริยบุคคลบ่อย ๆ น้ัน จะ มอี ำนสิ งส์คอื ท�ำใหเ้ ป็นผเู้ คำรพรักพระสงฆ์ มีควำมไพบลู ย์ด้วย ธรรมทั้งห้ำ มศี รทั ธำคงที่ ปตี ิปรำโมทยก์ ็มำกล้น พ้นจำกโทษภยั ที่ น่ำกลัว อดทนต่อควำมทุกข์ได้ดี มีควำมมัน่ ใจว่ำได้อยู่กบั พระ อริยบุคคล หำกเจริญสังฆำนุสติได้ถึงขั้นแม้แต่ร่ำงกำยก็ควรเลื่อมใส บชู ำ เปรยี บดังวำ่ เป็นพระอโุ บสถที่เตม็ ดว้ ยพระสงฆ์ ส่วนจิตใจก็มงุ่ ตรงสูพ่ ระสังฆคุณ ในยำมใดทีม่ เี หตุกำรณ์ให้ท�ำไม่ดีอยำ่ งใด จติ ใจ กจ็ ะรูล้ ะอำยและกลวั เกรง เหมอื นกบั อยู่ตอ่ หน้ำพระสงฆห์ มู่ใหญ่ และถึงแมไ้ มไ่ ดบ้ รรลธุ รรมในชำตนิ ้ี ด้วยกำรระลึกถึงพระสงฆก์ ็จะ ท�ำใหไ้ ด้ไปสู่สคุ ตโิ ดยแท้ ๖๖ มหาราชปรติ ร
บทสังฆคุณ บทสงั ฆคณุ สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ์สาวก ของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ เป็นผปู้ ฏบิ ัติดี (ตามพระพทุ ธพจน)์ อชุ ปุ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มพี ระภาคเจา้ เป็นผู้ปฏบิ ตั ิตรง (ตามมชั ฌมิ าปฏิปทา) ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ์ สาวกของพระผูม้ ีพระภาคเจา้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พือ่ พระนิพพาน สามจี ิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆ์ สาวกของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ เป็นผปู้ ฏบิ ัติสมควร ยะททิ งั จตั ตาริ ปรุ สิ ะยุคานิ อฏั ฐะ ปุรสิ ะปคุ คะลา, ทา่ นเหลา่ นัน้ คือบุรษุ ๔ คู่ กล่าวคือ พระอริยบุคคล ๘ จ�าพวก เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, น่ันแหละพระสงฆ์ สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ อาหุเนยโย, เปน็ ผู้ควรรับปัจจยั สท่ี ่เี ขาน�ามาบูชา ปาหเุ นยโย, เป็นผู้ควรรับสักการะท่เี ขาจัดไว้ต้อนรบั ทักขเิ ณยโย, เปน็ ผคู้ วรรบั ทกั ษณิ าทาน อญั ชะลิกะระณโี ย, เปน็ ผู้ที่ชาวโลกทง้ั ปวงควรท�าอัญชลี อะนุตตะรงั ปญุ ญกั เขตตัง โลกสั สะ. เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มีนาบญุ อนื่ ยงิ่ กวา่ . มหาราชปริตร ๖๗
ความเปน็ มา : บทสวด : คา� แปล ความงามของพระพทุ ธศาสนาในเบอ้ื งต้นคอื พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผรู้ ู้ดี ควำมงำม ในทำ่ มกลำง คอื พระธรรม ทีเ่ ป็น ธรรมดี และ ควำมงำมในท่ีสดุ ของพระพุทธศาสนา ก็คอื พระสงฆ์ เพราะเป็นผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ๖๘ มหาราชปริตร
มหาราชปริตร
ความเปน็ มา : บทสวด : ค�าแปล มังคลปริตร มผี ูค้ นจ�านวนมากทีเดยี วทเ่ี ป็นขาประจ�าของท่ีน่ี ท่ีนีเ่ ป็น เวทขี องนกั พดู นักคิดท่ีคึกคักอยตู่ ลอดปี เวทีสาธารณะแบบนีแ้ หละ ท่ีบรรดาผูม้ ีความสามารถใชเ้ ป็นท่ที �างาน พวกเขามเี รอ่ื งมาเล่า คน ฟังกม็ ีเงินใหเ้ ขา คนไมม่ เี งนิ แต่อยากดูอยากฟังกไ็ มม่ ีใครห้าม กล่าว วา่ เปน็ มหรสพอย่างหน่งึ ก็ไม่ผิด เร่ืองท่ีเล่ากันน้ันมีความยาวขนาดมหากาพย์ชนิดท่ีต้อง ฟังต่อกันเป็นตอน ๆ เฉลี่ยแล้วแต่ละเรื่องใช้เวลาส่ีเดือนจบ จบ เร่ืองเก่าก็มเี รอ่ื งใหม่มาเล่ามาฟังกันตอ่ วันน้ีเป็นตอนอวสานของ เร่ือง มนั จบลงในทส่ี ุด เรื่องใหม่กก็ า� ลงั จะเร่ิมข้นึ “อะไรคือมงคล” ผ้ฟู งั คนหน่งึ โยนค�าถามมาในเวที เปน็ คา� ถามทสี่ ้นั มาก ประชุมชนทั้งนักพูดนักคิดและผู้ฟังในเวทีสาธารณะให้ ๗๐ มหาราชปริตร
มังคลปรติ ร ความสนใจค�าถามดังกล่าว พวกเขาใครร่ ู้อยู่เหมือนกันว่า อะไร คือมงคล มงคลท่ีแปลวา่ ความดีที่ถงึ โชคลาภ ความดีท่ีชว่ ยใหถ้ งึ ความบริสุทธิ์ “สิ่งที่เห็นคือมงคล” บุคคลผู้หนึง่ ให้ค�าตอบ “ผมรู้” เขา สร้างความม่ันใจใหก้ บั ผู้ฟังแลว้ ขยายความตอ่ “ก็ภำพประทับใจที่เรำเห็นกันนั่นแหละคอื มงคล ภำพของ นกกระเต็นน้อยโฉบฉิวยำมเชำ้ ภำพหญิงมคี รรภ์ ภำพวัยรุ่นหนุ่ม สำวทีแ่ ตง่ กำยหลำกสีสัน ฯลฯ หรืออยำ่ งเวลำเห็นม้ำอำชำไนยนั่น กม็ งคล” เสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ฟังท่ีรายล้อมเป็นส่ิงบ่งบอก ว่าความเห็นเขาไดร้ ับการยอมรับไม่นอ้ ย “เดีย๋ วก่อนครับทกุ ทำ่ น” บคุ คลผู้หนึง่ กลา่ วเม่อื เสยี งปรบ มือซาลง “ถ้ำมงคลคอื ส่งิ ที่เหน็ มนั ก็ออกจะแปลก ๆ อยบู่ ำ้ ง เพรำะ สิ่งทเ่ี หน็ ไมไ่ ดม้ แี ตส่ ่งิ ทด่ี ี แตม่ ีทัง้ ส่ิงท่ดี ีและไม่ดี มที ง้ั ส่งิ ทีส่ ะอำด และไม่สะอำด กำรจะสรปุ ว่ำภำพท่ีเห็นเปน็ มงคลคงไมถ่ กู นัก” เขา แสดงเหตผุ ลแย้งได้น่าฟัง “ผมรวู้ ำ่ อะไรคือมงคล” เขาสร้างความ มนั่ ใจใหก้ บั ผ้ฟู ังแลว้ ขยายความตอ่ “เสียงทท่ี ่ำนได้ยินนน่ั แหละครบั คือมงคล ในเวลำเชำ้ ตรู่ ทำ่ นจะไดย้ นิ เสียงอรุณสวสั ด์ิ เสียงคนพูดกนั ว่ำ เจรญิ มงคล ไชโย ฯลฯ น่นั คือมงคล” เสียงปรบมือเกรียวกราวบ่งบอกได้ว่ามีผู้ฟังจ�านวนมากเห็น มหาราชปรติ ร ๗๑
ความเปน็ มา : บทสวด : คา� แปล ด้วยกับเขาเหมือนกัน “เด๋ียวก่อนครบั ทกุ ทำ่ น” บุคคลผู้หนง่ึ กลา่ วเมือ่ เสยี งปรบ มือซาลง “มงคลไมใ่ ชส่ ่งิ ท่ีเหน็ และไมใ่ ชส่ ่ิงทไ่ี ด้ยนิ หรอกครับ เพรำะ เรำเหน็ เรำไดย้ นิ ทงั้ ส่ิงท่ีดีและไม่ดี มงคลตอ้ งเปน็ สิ่งทีน่ อกจำกน้ัน คือ กลิ่น รส สมั ผัส อย่ำงนีจ้ งึ จะเรยี กวำ่ มงคล” ชายคนหลังนี้กล่าว บอกมงคลโดยไม่ลืมที่จะปฏิเสธสองอย่างกอ่ น เขาได้รบั เสียงปรบ มอื เกรยี วกราวเชน่ กัน และเขาก็ได้รับการเห็นแยง้ ไปเชน่ กัน ด้วย วา่ กล่นิ รส สัมผสั ก็มที ั้งดแี ละไมด่ ี อย่างเดียวกบั ท่เี คยแยง้ กันมา นัน่ เอง แม้จะมีผู้ให้ค�าตอบต่อมาอีกมากมาย แต่กระแสหลัก ก็คงเป็นสามกระแสนี้ ผู้เห็นด้วยกับค�าตอบหนง่ึ กป็ ฏเิ สธสองค�า ตอบท่ีเหลือ แตเ่ มอ่ื ใหอ้ ธิบาย กลับอธิบายไม่ได้เสยี นี่ คา� ถามสน้ั ๆ ว่า “อะไรคอื มงคล” กลายเป็นคา� ถามทีท่ า้ ทายสังคมใหถ้ กหาคา� ตอบกันยดื ยาว มันยาวนานกว่าการเลา่ เร่อื ง มหากาพย์ เสียอกี ๗๒ มหาราชปริตร
มงั คลปรติ ร จากสังคมมนุษย์ท่ีคิดหาค�าตอบกัน เทวดาท่ีทราบเรอ่ื ง ก็พากนั คิดหาค�าตอบบ้าง จนขยายวงไปในสังคมเทวดาหลาย ระดับแต่ก็ยังไม่พบค�าตอบทห่ี มดจดตรงเป้าแต่อย่างใด จนกระทง่ั เทวดาชน้ั ดาวดึงสไ์ ปขอให้พระอินทร์ชว่ ยตอบปัญหาคาใจ “ไม่ทรำบว่ำมีผู้น�ำค�ำถำมนี้ไปทูลถำมพระศำสดำหรือ ยงั ” พระอินทร์ถามเหล่าเทวดา เม่ือทราบว่ายงั ไมม่ พี ระอินทรก์ ็ ตรสั ว่า“ท�ำไมทำ่ นท้งั หลำยทีต่ ้องกำรแสงสว่ำงละเว้นกองไฟใหญ่ มำหำแสงหิ่งห้อย ถ้ำอยำกทรำบคำ� ตอบก็จงไปถำมพระศำสดำ เถิดท่ำนผู้นิรทุกข์” แลว้ พระอินทรก์ ็บญั ชาเทวดาตนหนึง่ ทา� การนี้ จำกวันแรกมีค�ำถำมถงึ วันท่เี ทวดำเขำ้ เฝ้ำพระพุทธเจำ้ นบั เวลำได้สิบสองปี เทวดาปรากฏกายที่พระคนั ธกฎุ ีด้วยแสงวาววามเลา่ ความ เป็นมาของข้อกังขาแล้วทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงกล่าว มงคล มหาราชปรติ ร ๗๓
ความเปน็ มา : บทสวด : คา� แปล พระพุทธเจ้ำตรัสบอกมงคลธรรมอันเป็นมงคลท�ำตำม ลำ� ดับ ผู้ต้องกำรสิริมงคลสำมำรถกระท�ำตำมได้ ในชีวติ ของใคร ก็ตำมที่ไดก้ ระท�ำตำมมงคลกน็ ับว่ำเขำมมี งคลชีวติ เร่มิ ตง้ั แตท่ �ำในสิ่งทเี่ ป็นกำรสรำ้ งรำกฐำนชวี ิต กำรใช้ชวี ติ ด�ำรงชวี ติ รับผิดชอบชีวติ ตนและผู้อื่นตำมลำ� ดับ ๆ ไป พระพุทธเจ้ำป้องกันควำมเส่ือมเสีย ปิดโอกำสตกต�่ำใหผ้ ู้ ปฏบิ ตั มิ งคลธรรม ยกระดบั จติ ใจให้สูงขึ้น จนที่สดุ จำกปุถชุ นเปน็ อรยิ บุคคล เป็นมงคลทหี่ มดจดงดงาม เป็นพระธรรมเทศนาทที่ รงคณุ คา่ เปน็ พระปรติ รที่มีอานสิ งส์ให้เกดิ สริ ิมงคล ปราศจากอุปสรรค อันตรายและใหถ้ งึ ความส�าเรจ็ ขอใหส้ าธุชนทง้ั หลายจงกระทา� มงคล ขอใหส้ าธยายมงคล และบรรลถุ งึ อานิสงสแ์ หง่ พระปริตรนี้ เทอญ. ๗๔ มหาราชปริตร
บทขดั ต�านาน บทขัดต�านาน เย สันตา สนั ตะจิตตา, ตสิ ะระณะสะระณา, เอตถะ โลกนั ตะเร วา ภมุ มาภุมมา จะ เทวา, คุณะคะณะคะหะณะ, พย๎ าวะฏา สัพพะกาลงั เทวดาเหลา่ ใด ในโลกนห้ี รอื ในโลกอ่นื ผู้อาศัยอยใู่ นปฐพีและ อากาศ ผเู้ ปน็ สัตบรุ ษุ มจี ิตสงบ มพี ระรัตนตรัยเปน็ ทีพ่ ่งึ ท่ีระลกึ ผู้ ขวนขวายในการบรรลุคณุ ธรรมท้งั หลายตลอดกาลทุกเมอื่ เอเต อายนั ตุ เทวา, วะระกะนะกะมะเย, เมรุราเช วะสันโต สนั โต สันโต สะเหตุง, มนุ วิ ะระวะจะนัง, โสตุมัคคงั สะมัคคัง. ขออัญเชญิ เทวดาเหลา่ นนั้ จงมา อนึง่ ขอเทวดาผสู้ ถิตอยู่ ณ เขา เมรุราชท่ีสา� เร็จจากทองอันประเสริฐ จงมาดว้ ย ขอเหลา่ เทวดาสตั บุรุษ จงมาฟงั คา� สอนอันประเสรฐิ อันประกอบดว้ ยเหตผุ ล ของพระมุนผี ู้ ประเสริฐ โดยพรอ้ มเพรียงกันเถิด สัพเพสุ จกั กะวาเฬสุ ยักขา เทวา จะ พร๎ ัหม๎ โุ น ยัง อมั ๎เหหิ กะตัง ปญุ ญัง สัพพะสมั ปัตติสาธะกงั . บุญใดท่จี ะท�าสมบตั ิทกุ อย่างใหส้ �าเร็จ ทข่ี า้ พเจา้ ท้ังหลายได้ ท�าแลว้ ขอยักษ์ เทวดา และพรหมทง้ั หลายท่ัวทุกจักรวาล จงร่วม อนโุ มทนาบุญนั้น สพั เพ ตงั อะนโุ มทิต๎วา สะมัคคา สาสะเน ระตา ปะมาทะระหิตา โหนตุ อารักขาสุ วิเสสะโต. ขอยักษ์ เทวดา และพรหมท้งั ปวง ครน้ั อนุโมทนาบุญนนั้ แลว้ จงเปน็ ผพู้ รอ้ มเพรยี งกนั ยินดีในพระศาสนา อยา่ ได้หลงลืมตั้งใจปกปัก รักษาชาวโลกเถดิ มหาราชปรติ ร ๗๕
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล สาสะนัสสะ จะ โลกสั สะ วุฑฒิ ภะวะตุ สัพพะทา สาสะนมั ปิ จะ โลกญั จะ เทวา รกั ขันตุ สัพพะทา. ขอความเจริญจงมีแก่พระศาสนาและชาวโลกในกาลทุก เมอื่ ขอเทวดาทงั้ หลายจงรกั ษาพระศาสนาและชาวโลกในกาลทุก เม่ือเถดิ . สัทธิง โหนตุ สุขี สพั เพ ปะรวิ าเรหิ อัตตะโน อะนฆี า สุมะนา โหนตุ สะหะ สัพเพหิ ญาตภิ .ิ ขอสรรพสัตว์พรอ้ มด้วยบริวารของตน จงมคี วามสขุ ปราศ จากทุกข์ มีใจเบิกบาน พร้อมกบั ญาติทั้งปวงเถดิ . ราชะโต วา โจระโต วา มะนสุ สะโต วา อะมะนสุ สะโต วา อคั คิโต วา อุทะกะโต วา ปสิ าจะโต วา ขาณุกะโต วา กณั ฏะกะโต วา นักขัตตะโต วา ชะนะปะทะโรคะโต วา อะสทั ธัมมะโต วา อะสทั ทฏิ ฐิโต วา อะสัปปรุ ิสะโต วา จัณฑะ หตั ถิ อัสสะ มคิ ะ โคณะ กกุ กุระ อะหิ วจิ ฉิกะ มะณิสปั ปะ ทีปิ อจั ฉะ ตะรจั ฉะ สกู ะระ มะหงิ สะ ยกั ขะ รกั ขะสาทหี ิ นานาภะยะโต วา นานาโรคะโต วา นานาอุปัททะวะโต วา อารกั ขงั คณั ห๎ ันตุ. ขอชาวโลกจงได้รับการคุ้มครองจากอันตรายท่ีเกิดจากผู้ ปกครองประเทศ โจร มนุษย์ อมนุษย์ ไฟ นา�้ ปศี าจ ตอไม้ หนาม เคราะห์ร้าย โรคระบาดในถิ่นมนษุ ย์ ความประพฤตขิ องคนทราม ความเห็นผดิ คนรา้ ย โรคและอปุ ทั วะต่าง ๆ อันเกิดจาก ช้าง มา้ กวาง ววั สนุ ัข งู แมงปอ่ ง งเู ขียว เสือดาว หมี หมาป่า หมู กระบือ ยักษ์ และรากษส เป็นต้น. ๗๖ มหาราชปรติ ร
บทขัดมังคลปริตร บทขัดมงั คลปริตร ยญั จะ ทว๎ าทะสะ วัสสานิ จนิ ตะยิงสุ สะเทวะกา จริ สั สัง จนิ ตะยันตาปิ เนวะ ชานงิ สุ มงั คะลงั . จักกะวาฬะสะหัสเสสุ ทะสะสุ เยนะ ตัตตะกงั กาลัง โกลาหะลงั ชาตัง ยาวะ พ๎รัหม๎ ะนิเวสะนา. กม็ นษุ ย์ทงั้ หลายพรอ้ มทง้ั เทวดาคิดหามงคลใดส้นิ ๑๒ ปี มนุษย์และเทวดาเหล่านน้ั ในหมนื่ จักรวาล แมจ้ ะคดิ มงคลเป็นเวลา นาน ก็ยงั ไมร่ ู้เลยทีเดยี ว ดว้ ยกาลเทา่ ใด ความโกลาหลเร่ืองมงคล ได้เกดิ ข้ึนจนถงึ พรหมโลก ตลอดกาลเท่านนั้ ยงั โลกะนาโถ เทเสสิ สพั พะปาปะวินาสะนงั ยัง สุตว๎ า สพั พะทุกเขหิ มุจจันตาสงั ขยิ า นะรา เอวะมาทิคณุ ูเปตงั มังคะลนั ตมั ภะณามะ เห. พระพุทธโลกนาถเจ้าไดท้ รงแสดงมงคลใด อนั ท�าบาปธรรม ท้งั ปวงให้พนิ าศไป เมือ่ เหลา่ นรชนนบั ไม่ถ้วนไดส้ ดับมงคลใดแลว้ หลดุ พน้ จากทกุ ขท์ ัง้ ปวง ขอเราทง้ั หลายจงสวดมงคลน้ัน อนั ประกอบดว้ ยคณุ อยา่ งนี้เป็นตน้ เทอญ. มหาราชปรติ ร ๗๗
ความเปน็ มา : บทสวด : ค�าแปล บทมงั คลปรติ ร เอวัมเม สตุ ัง. ข้าพเจา้ (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแลว้ อย่างนี้. เอกงั สะมะยัง ภะคะวา สาวตั ถยิ งั วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑกิ ัสสะ อาราเม. ในสมัยหนงึ่ พระผ้มู พี ระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี อะถะ โข อญั ญะตะรา เทวะตา อภกิ กนั ตายะ รัตตยิ า อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนงั โอภาเสต๎วา เยนะ ภะคะวา, เตนุปะสงั กะมิ. คร้งั น้นั แล เมื่อปฐมยามแหง่ ราตรลี ่วงไปแล้ว เทวดาตน หน่ึงมีรัศมงี ามยิง่ ท�าพระเชตวนั ท้งั สิน้ ให้สวา่ งไสว เข้าไปเฝา้ พระผู้ มพี ระภาคเจ้าถงึ ท่ปี ระทบั ๗๘ มหาราชปรติ ร
บทมังคลปริตร อปุ ะสังกะมติ ๎วา ภะคะวันตัง อะภวิ าเทต๎วา เอกะมันตัง อฏั ฐาส.ิ ครน้ั เขา้ ไปเฝ้าแล้ว จงึ ถวายอภวิ าทพระผู้มพี ระภาคเจ้าแลว้ ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนขา้ งหนึง่ เอกะมันตงั ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตงั คาถายะ อชั ฌะภาสิ. ครน้ั เทวดานน้ั ได้ยืนอยู่ ณ ท่ีควรส่วนข้างหน่งึ แล้ว ได้กราบ ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดว้ ยคาถาว่า พะหู เทวา มะนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานัง พ๎รูหิ มงั คะละมุตตะมงั . เทวดาและมนษุ ย์ทง้ั หลายเป็นอันมาก ผ้หู วงั ความสวสั ดี ได้ คดิ หามงคลท้ังหลาย ขอพระองค์จงตรสั เทศนามงคลอนั สูงสุดเถิด [พระผมู้ พี ระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า] อะเสวะนา จะ พาลานงั ปัณฑติ านัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานงั เอตมั มงั คะละมุตตะมัง. การไม่คบคนพาล การคบแตบ่ ณั ฑติ และการบชู าบคุ คล ผูค้ วรบูชา น้ีเป็นมงคลอนั สงู สดุ มหาราชปริตร ๗๙
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล ปะฏริ ปู ะเทสะวาโส จะ ปพุ เพ จะ กะตะปญุ ญะตา อัตตะสมั มาปะณธิ ิ จะ เอตมั มังคะละมตุ ตะมงั . การอยใู่ นประเทศทีส่ มควร การได้ท�าบุญไว้ในกาลกอ่ น และการต้งั ตนไว้ชอบ นเ้ี ปน็ มงคลอนั สูงสดุ พาหสุ ัจจัญจะ สปิ ปัญจะ วินะโย จะ สุสกิ ขิโต สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมงั คะละมตุ ตะมัง. ความเปน็ พหูสูต ความมีศลิ ปะ การมวี นิ ยั ทศ่ี ึกษาดีแล้ว และวาจาเป็นสภุ าษิต น้เี ป็นมงคลอันสงู สุด มาตาปติ อุ ปุ ฏั ฐานงั ปตุ ตะทารัสสะ สังคะโห อะนากุลา จะ กมั มันตา เอตัมมงั คะละมุตตะมงั . การบา� รุงมารดาบดิ า การสงเคราะห์บุตร การสงเคราะห์ ภรรยา และการงานไม่อากลู คั่งค้าง นี้เปน็ มงคลอนั สูงสุด ทานญั จะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานญั จะ สงั คะโห อะนะวชั ชานิ กมั มานิ เอตมั มังคะละมุตตะมงั . การใหท้ าน การประพฤตธิ รรม การสงเคราะหญ์ าติ และ การงานอนั ไมม่ ีโทษ นเ้ี ป็นมงคลอันสูงสุด ๘๐ มหาราชปริตร
บทมังคลปริตร อาระตี วริ ะตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตมั มงั คะละมุตตะมัง. การงดเว้นจากบาป การสา� รวมระวงั ตนจากการดื่มนา้� เมา และความไมป่ ระมาทในกุศลธรรมท้งั หลาย นี้เปน็ มงคลอนั สูงสุด คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตฏุ ฐี จะ กะตัญญุตา กาเลนะ ธัมมสั สะวะนัง เอตมั มงั คะละมตุ ตะมัง. ความเคารพ ความถอ่ มตน ความสันโดษ ความกตัญญู และการฟังธรรมในกาลอนั สมควร นีเ้ ป็นมงคลอนั สงู สุด ขนั ตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทสั สะนงั กาเลนะ ธมั มะสากัจฉา เอตมั มงั คะละมุตตะมัง. ความอดทน ความเป็นผวู้ า่ งา่ ย การเหน็ สมณะทง้ั หลาย และการสนทนาธรรมในกาลอนั สมควร น้เี ปน็ มงคลอนั สูงสุด ตะโป จะ พ๎รหั ม๎ ะจะรยิ ัญจะ อะรยิ ะสัจจานะ ทัสสะนงั นพิ พานะสจั ฉกิ ิรยิ า จะ เอตัมมงั คะละมตุ ตะมัง. ความเพยี รเผาบาปธรรม การประพฤติพรหมจรรย์ การ เหน็ แจ้งอริยสัจ และการท�าพระนิพพานใหแ้ จง้ น้เี ปน็ มงคลอนั สงู สุด มหาราชปริตร ๘๑
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล ผุฏฐัสสะ โลกะธมั เมหิ จติ ตัง ยสั สะ นะ กมั ปะติ อะโสกงั วิระชัง เขมงั เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง. จติ ของบุคคลผ้ถู กู โลกธรรมกระทบแล้ว ไม่หวนั่ ไหว ไมเ่ ศรา้ โศก ปราศจากละอองกิเลส เกษมไมม่ ีภยั นเ้ี ป็นมงคลอนั สงู สดุ เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สพั พตั ถะมะปะราชิตา สัพพตั ถะ โสตถงิ คจั ฉันติ ตันเตสงั มงั คะละมตุ ตะมัง. เพราะเทวดาและมนุษย์ทง้ั หลาย ทา� มงคลทั้งหลายเชน่ น้ี แลว้ เป็นผู้ไมพ่ ่ายแพใ้ นขา้ ศึกทั้งหลาย ยอ่ มถงึ ความสวสั ดีในทท่ี กุ สถาน ฉะนนั้ มงคลท้งั ๓๘ ประการ นัน้ จึงเปน็ มงคลอันสูงสดุ ของ เทวดาและมนุษย์เหลา่ น้นั . ๘๒ มหาราชปริตร
มหาราชปรติ ร
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล รัตนปริตร ใครจะไปคิดว่าแดนอันแสนร่ืนรมย์อย่างกรุงเวสาลีจะมี วันนี้ เวสาลีท่ีร่งุ เรอื ง มปี ราสาท คฤหาสน์ บึงบวั อยา่ งละเจด็ พัน เจ็ดร้อยกบั อกี เจ็ดแหง่ แต่บดั น้มี ีสภาพรบิ หร่ี เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเจ็ดพันเจ็ดร้อยกับอีกเจ็ดพระองค์ทบ ทวนปญั หาและหาทางออก มนั เร่มิ จากฝนไม่ตก ข้าวกล้าตายเม่ือไม่มกี ิน คนก็อดตาย ตามกันไป เริ่มจากคนอนาถาทต่ี ายไปกอ่ น ตามมาด้วยคนค่อน เมอื ง ศพถูกขนไปทิง้ กองสมุ กนั เป็นพะเนนิ ทนี่ อกเมือง กลน่ิ เหมน็ คละคล้งุ รบกวนไปท่ัวเมือง พร้อมดว้ ยโรคระบาด คนกย็ ิ่งล้มตาย เป็นใบไม้ไม้ร่วง เป็นสถานการณ์ที่สลดสา� หรบั มนษุ ย์ แตเ่ ปน็ สถานการณ์ทีส่ นุกสา� หรับอมนษุ ยท์ ไี่ ด้กล่นิ คนตาย พวกมนั พากัน หลง่ั ไหลมาสกู่ รงุ เวสาลรี าวกบั วา่ ในเมอื งมมี หรสพขบั รอ้ งแตแ่ ทจ้ รงิ มันคือเสยี งร่�าไห้ของผคู้ น ณ ทปี่ ระชุม เจา้ ลจิ ฉวีเห็นชอบใหท้ ูลอาราธนาพระพุทธเจา้ ให้เสด็จมาอนเุ คราะห์ ปลดเปล้อื งทกุ ข์ โศก โรค ภยั เปน็ ทพ่ี ่ึง และ ๘๔ มหาราชปรติ ร
รัตนปรติ ร เปน็ ขวญั กา� ลงั ใจขณะเดยี วกนั กเ็ กรงว่าพระเจา้ พิมพิสารพระราชา แห่งแควน้ มคธที่พระพทุ ธเจ้าประทับอยู่ จะทัดทานไม่ให้เสด็จมา จึงต้ังตัวแทนเป็นเจ้าลิจฉวีสองพระองค์ขึ้นช้างทรงพร้อมเคร่ือง บรรณาการ เดินทางไปเข้าเฝ้าราชาพิมพิสาร พระเจ้ากรงุ ราช- คฤห์ ขอให้ช่วยในการนา� สง่ เสด็จ พระเจ้าพมิ พสิ ารต้อนรบั และตรัสวา่ “พวกทำ่ นทรงรู้เอง เถดิ ” เป็นความหมายว่า ขนึ้ อยู่กับพระพุทธเจ้า เจ้าลจิ ฉวีรับ ค�าแล้วเดนิ ทางต่อไปยงั พระอารามในป่าไผ่ พระพุทธเจา้ รับนิมนต์ แควน้ วัชชี สมยั พทุ ธกำล ค�ำว่ำ แควน้ น้ี ไม่ไดห้ มำยถงึ จังหวัดหรอื ภมู ิภำค แต่แคว้นหนงึ่ ๆ คอื ประเทศหน่งึ ๆ น่คี อื กำรเยอื นต่ำง ประเทศของพระพุทธเจ้ำ จะเสด็จไปกรุงเวสำลี เมอื งหลวงของ ประเทศวชั ชี พรอ้ มด้วยพระสงฆ์ห้ำร้อยรปู พระเจ้าพิมพิสารปรับปรุงพื้นท่ีและถนนหนทางในระยะ ๘๐ กิโลเมตร เพื่อการน้ี จัดมหกรรมสักการะเป็นระยะตามเส้น มหาราชปรติ ร ๘๕
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล ทาง ส่งเสด็จดว้ ยพระองคเ์ องตลอดห้าวนั จนถึงแมน่ �้าคงคาซึง่ เป็น เส้นพรมแดน พระเจ้าพิมพิสารเสด็จด�าเนินลงน�้าลึกถึงพระศอส่งเสด็จ พระพทุ ธเจา้ และพระสงฆ์ห้าร้อยขน้ึ แพขนานข้ามแมน่ �้าใหญ่ขณะ ท่ีอีกฟากแม่น�้าน้ันพวกเจ้าลิจฉวีจ�านวนมากก็ลงไปรอรับเสด็จใน น�้าเพยี งพระศอเชน่ กัน ทนั ใดนั้นเอง ก็ปรากฏเมฆคร้ึมดา� ใหญ่ ฟา้ แลบแปลบปลาบ คา� รามอยู่ครืนๆพอพระพทุ ธองคท์ รงวางพระบาทกา้ วแรกลงณรมิ ฝง่ั แม่นา้� ฝนก็ตกลงมาอยา่ งฟา้ รว่ั จะเปียกแตผ่ ้ทู อี่ ยากใหเ้ ปยี ก ซากศพและส่ิงปฏิกูลทั้งหมดถูกฝนซัดพาลงแม่น�้าคงคาและไหล ไปสน้ิ ผนื ดินกก็ ลายเปน็ สะอาดสะอ้าน เหลา่ เจา้ ลิจฉวีนมิ นต์พระพุทธองคใ์ หป้ ระทบั อยู่ทุก ๆ หน่งึ โยชนร์ ะหว่างทาง ถวายมหาทานและท�าการบชู าเป็นสองเท่า สาม วันจึงน�าเสด็จถึงกรุงเวสาลีเมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงกรุงเวสาลิี ท้าวสกั กะพร้อมเทพบรวิ ารไดเ้ สด็จมาเฝ้า ทา� ให้พวกอมนุษยห์ ลบ หนไี ปจ�านวนมาก พระพทุ ธองคป์ ระทับยนื ใกลป้ ระตูเมอื งตรสั เรยี ก พระอานนทเ์ ข้าไปหาตรสั วา่ “อำนนท์ เธอจงเรยี นรัตนสูตรนี”้ ๘๖ มหาราชปรติ ร
รัตนปรติ ร พระอานนท์รับฟังและจดจ�าเคร่อื งป้องกันท่ชี อ่ื รตั นปริตร แล้วรบั เอาบาตรของพระพุทธเจ้า ใสน่ �้าลงในบาตรแลว้ ออกเดนิ ไป พร้อมกับเหล่าพระราชกุมารลิจฉวี เพ่ือประพรมและสาธยายใหท้ ว่ั พระนคร เพียงแค่ค�าวา่ “ยงั กญิ จิ” ทท่ี ่านเปล่งเสยี งออกไปเทา่ น้นั พวกอมนุษย์ท่ียังไม่หนีไปตอนแรกก็ต้องเตลิดหนีไปจนหมดสิ้น โรคร้ายบาดแผลตามตัวคนก็หายในทนั ใด พวกเขาพากนั มามอบ ดอกไมใ้ หพ้ ระอานนท์ ชาวเมืองรบี ฟน้ื ฟสู ภาพเมอื ง พากันประดบั ประดาอาคาร ใหญก่ ลางเมอื ง ปูพุทธอาสนไ์ ว้แล้วออกมารวมตวั กนั นา� เสด็จพระ พุทธเจา้ มา ณ ท่นี ้ัน ขณะทีพ่ ระอานนทแ์ ละกลมุ่ พระราชกมุ ารท่ี เสร็จจากการสาธยายและการประพรมรอบเมืองก็เข้าไปรวมกัน ณ ทน่ี ้ัน มหาราชปรติ ร ๘๗
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล ณกรุงเวสาลีน้ันพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงรตั นสตู รโปรดเหลา่ เทวดาและมนษุ ยท์ ั้งหมดทีม่ าประชมุ กนั ในเวลาจบเทศนา ความ สวัสดีไดม้ แี ก่ราชสกลุ อันตรายกห็ ายสน้ิ ไป สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ไดบ้ รรลุ ธรรม แม้วนั ที่สองถงึ วนั ที่เจด็ พระพุทธองคก์ ท็ รงแสดงรตั นสูตรนี้ และมผี ู้บรรลธุ รรมจ�านวนมากอยา่ งนท้ี กุ ๆ วนั พระพทุ ธเจ้ำทรงแสดงธรรมเป็นภำษำเดยี ว แต่ผ้ฟู ังจะฟงั เป็นภำษำของตนเอง และทกุ ๆ คน ไม่วำ่ จะอยใู่ กล้หรือใกลก็จะ ไดย้ นิ ชัดเจนเท่ำกนั ตลอด ๑๕ วนั ท่ีพระพทุ ธเจ้าประทบั อยใู่ นกรงุ เวสาลี มี อริยบคุ คลเกิดขึน้ มากมาย เป็นความรุ่งเรอื งอยา่ งยง่ิ ของกรงุ เวสาลี ด้วยสจั จะของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามรตั นะอนั ทรงค่า ชาวกรุงเวสาลีเว้นที่ต้อนรับท่านผู้ปรารถนาจักร่วมสดับรัตนสูตร ขอให้ทุกทา่ นจงบรรลถุ งึ อานสิ งส์ของพระปริตรน้ี เทอญ. ๘๘ มหาราชปรติ ร
บทขัดรตั นปรติ ร บทขัดรัตนปริตร ปะณิธานะโต ปัฏฐายะ ตะถาคะตัสสะ ทะสะ ปาระมโิ ย, ทะสะ อุปะปาระมิโย, ทะสะ ปะระมัตถะปาระมิโย, ปญั จะ มะหาปะริจจาเค, ตสิ โส จะรยิ า, ปจั ฉิมัพภะเว คพั ภาวักกันติง, ชาติง, อะภนิ กิ ขะมะนงั , ปะธานะจะรยิ งั , โพธิปัลลงั เก มาระ- วิชะยงั , สัพพญั ญตุ ะญาณัปปะฏิเวธงั , ธัมมะจกั กัปปะวตั ตะนัง, นะวะ โลกตุ ตะระธัมเมติ สพั เพปิเม พทุ ธะคุเณ อาวัชชิตว๎ า เวสาลยิ า ตสี ุ ปาการนั ตะเรสุ ตยิ ามะรตั ติง ปะริตตงั กะโรนโต อายัสม๎ า อานันทัตเถโร วยิ ะ การุญญะจิตตัง อปุ ัฏฐะเปตว๎ า โกฏิสะตะสะหสั เสสุ จกั กะวาเฬสุ เทวะตา ยสั สาณมั ปะฏิคคัณห๎ นั ติ ยัญจะ เวสาลิยัมปเุ ร โรคามะนสุ สะทพุ ภิกขะ สมั ภตู ันติวธิ มั ภะยงั ขิปปะมันตะระธาเปสิ ปะริตตันตมั ภะณามะ เห. มหาราชปริตร ๘๙
ความเปน็ มา : บทสวด : ค�าแปล เทวดาท้งั หลาย ในแสนโกฏิจักรวาล ยอมรบั เอาแมซ้ ึง่ อาชญาแห่งพระปริตรใด อน่งึ พระปริตรใด ขจัดภัย ๓ ประการ อันเกดิ จากโรค อมนุษย์ และขา้ วยากหมากแพง ในเมอื งเวสาลี ใหอ้ นั ตรธานไปโดยเร็วพลัน ขอเราทั้งหลายจงตงั้ จติ ประกอบดว้ ย ความกรณุ า สวดพระปริตรนัน้ เหมอื นอย่างทีท่ ่านพระอานนทเถระ ไดร้ ะลึกถึงพระพทุ ธ คณุ ทง้ั หลายแมท้ ้งั ปวงเหล่านี้ ของพระตถาคตเจ้า ตั้งแต่ทรงตง้ั ปณธิ าน คอื บารมี ๑๐ อปุ บารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ การบรจิ าค ใหญท่ งั้ ๕ จรยิ าวตั ร ๓ การเสดจ็ ลงสู่ครรพโภทรในภพสุดท้าย การ ประสตู ิ การเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ การบา� เพญ็ เพียร การชนะ มารเหนือโพธบิ ลั ลังก์ การตรสั รูพ้ ระสัพพญั ญตุ ญาณ การหมุน กงลอ้ ธรรม และนวโลกตุ รธรรม ๙ ดงั น้ีแล้ว สวดพระปรติ รภายใน กา� แพง ๓ ช้นั ของเมืองเวสาลี ตลอดยามท้งั ๓ แหง่ ราตรี ๙๐ มหาราชปริตร
บทรตั นปริตร บทรตั นปรติ ร ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิ วะ อนั ตะลกิ เข สัพเพวะ ภตู า สมุ ะนา ภะวนั ตุ อะโถปิ สกั กัจจะ สณุ นั ตุ ภาสิตัง. เทวดาเหล่าใด ผเู้ กิดที่พืน้ ดิน หรอื ผู้เกิดทว่ี ิมานอากาศ ผมู้ า ประชมุ กนั ในท่นี ้ี ขอเทวดาเหล่าน้นั ทกุ หมเู่ หล่า จงเปน็ ผ้เู บกิ บานใจ อนึง่ ขอเทวดาเหลา่ นน้ั จงฟังภาษติ ด้วยความเคารพเถิด ตสั ม๎ า หิ ภตู า นิสาเมถะ สัพเพ เมตตัง กะโรถะ มานสุ ยิ า ปะชายะ ทิวา จะ รัตโต จะ หะรนั ติ เย พะลงิ ตสั ม๎ า หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา. มหาราชปรติ ร ๙๑
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล เพราะฉะนัน้ แล ขอเทวดาทั้งหมดจงตง้ั ใจฟงั ข้าพเจา้ จงตัง้ เมตตาจิตไวใ้ นหมมู่ นษุ ย์ เพราะมนษุ ยเ์ หลา่ ใด น�าเคร่อื งบวงสรวง มาบชู า ทง้ั ในกลางวนั และกลางคืน ฉะน้ันแล ขอท่านทง้ั หลายจง อย่าประมาท ชว่ ยค้มุ ครองรกั ษามนุษย์เหลา่ นั้นด้วยเถดิ ยังกิญจิ วิตตงั อิธะ วา หรุ งั วา สัคเคสุ วา ยงั ระตะนงั ปะณตี ัง นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหต.ุ ทรัพยท์ ุกอยา่ งในโลกนห้ี รือโลกอ่ืน หรือรตั นะอนั ประณตี ใด ๆ ในสวรรค์ ทรัพย์หรอื รัตนะนัน้ ๆ ท่เี สมอกับพระตถาคตเจา้ ไม่ มเี ลย แมข้ ้อน้ีกเ็ ปน็ พระรัตนคุณอนั ประเสริฐในพระพุทธเจา้ ดว้ ย สจั วาจานี้ ขอจงมคี วามสวสั ดี ขะยัง วริ าคัง อะมะตัง ปะณตี ัง ยะทชั ฌะคา สกั ๎ยะมุนี สะมาหโิ ต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมตั ถิ กญิ จิ อิทมั ปิ ธมั เม ระตะนัง ปะณตี ัง เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ัตถิ โหต.ุ ๙๒ มหาราชปริตร
บทรัตนปรติ ร พระศากยมนุ ีผ้มู พี ระทยั ต้งั มั่น ทรงบรรลุธรรมใด อันส้ิน กเิ ลส ส�ารอกกิเลส เปน็ อมตธรรม อันสงู สุด ไมม่ ธี รรมใด ๆ ที่เสมอ ด้วยพระธรรมน้นั แม้ข้อนก้ี ็เป็นรตั นคุณอนั ประเสรฐิ ในพระธรรม ดว้ ยสจั วาจานี้ ขอจงมคี วามสวัสดี ยัมพทุ ธะเสฏโฐ ปะรวิ ัณณะยี สุจงิ สะมาธมิ านันตะริกัญญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วชิ ชะติ อิทัมปิ ธมั เม ระตะนงั ปะณีตัง เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ พระพุทธเจ้าผปู้ ระเสริฐ ตรสั สรรเสริญสมาธิใด ว่าเปน็ ธรรม ผอ่ งแผว้ บัณฑติ ทงั้ หลายกล่าวถงึ สมาธิใด วา่ เป็นธรรมอนั ประเสริฐ ทีใ่ หผ้ ลทันที สมาธใิ ด ๆ ทเี่ สมอด้วยสมาธนิ ั้น ไม่มีเลย แมข้ ้อนกี้ ็ เปน็ พระรัตนคณุ อนั ประเสริฐในพระธรรม ดว้ ยสจั วาจาน้ี ขอจงมี ความสวสั ดี เย ปคุ คะลา อฏั ฐะ สะตัง ปะสตั ถา จัตตาริ เอตานิ ยคุ านิ โหนติ เต ทักขเิ ณยยา สคุ ะตสั สะ สาวะกา มหาราชปริตร ๙๓
ความเป็นมา : บทสวด : ค�าแปล เอเตสุ ทินนานิ มะหปั ผะลานิ อิทมั ปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สัจเจนะ สุวตั ถิ โหตุ. พระอรยิ บุคคล ๘ จา� พวก เหล่าใด ท่สี ัตบรุ ษุ ท้งั หลาย สรรเสริญแลว้ ซึ่งจดั เป็น ๔ คู่ เหล่านี้ พระอริยบุคคลเหลา่ น้นั เปน็ สาวกของพระสุคตเจ้า ผู้ควรแกท่ ักษิณาทาน ทานทถี่ วายใน พระอรยิ บคุ คลเหลา่ นน้ั มีผลมาก แม้ข้อนี้กเ็ ป็นพระรัตนคุณอัน ประเสรฐิ ในพระสงฆ์ ดว้ ยสัจวาจานี้ ขอจงมีความสวัสดี เย สปุ ปะยตุ ตา มะนะสา ทัฬ๎เหนะ นกิ กามิโน โคตะมะสาสะนมั ๎หิ เต ปัตตปิ ัตตา อะมะตงั วิคยั ห๎ ะ ลทั ธา มธุ า นิพพตุ งิ ภญุ ชะมานา อทิ ัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตัง เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหตุ. พระอรหนั ต์เหลา่ ใดในพระศาสนาของพระโคดมพทุ ธเจ้า ผู้ ประกอบตนไว้ดแี ลว้ มจี ติ ม่ันคง เปน็ ผปู้ ราศจากกเิ ลส พระอรหนั ต์ เหลา่ น้นั หยั่งลงส่อู มตธรรม เม่ือเสวยความดบั เยน็ คือผลสมาบตั ิ ท่ีได้มาเปลา่ ๆ จงึ ชอ่ื ว่า เปน็ ผู้บรรลธุ รรมท่ีควรบรรลกุ ลา่ วคอื พระ ๙๔ มหาราชปรติ ร
บทรตั นปริตร อรหัตผล แม้ข้อนก้ี เ็ ป็นพระรตั นคุณอนั ประเสรฐิ ในพระสงฆ์ ด้วย สัจวาจานี้ ขอจงมคี วามสวสั ดี ยะถินทะขโี ล ปะฐะวิง สโิ ต สยิ า จะตพุ ภิ วาเตหิ อะสมั ปะกมั ปิโย ตะถูปะมงั สัปปุรสิ ัง วะทามิ โย อะรยิ ะสัจจานิ อะเวจจะ ปสั สะติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. เสาเขอื่ นทฝี่ งั ลงในแผน่ ดนิ แลว้ ไมอ่ าจใหห้ วนั่ ไหวเพราะแรง ลมทีพ่ ดั มาสที่ ศิ ฉนั ใด สตั บรุ ษุ ใดหยงั่ เห็นอรยิ สัจส่ดี ้วยปญั ญา เรา ตถาคตย่อมตรสั เรยี กสตั บรุ ษุ น้วี า่ เป็นผู้ไม่อาจใหห้ วั่นไหว (เพราะ ลมคือวาทะของเดียรถียท์ ง้ั ปวง) ฉันน้นั แมข้ ้อนีก้ เ็ ป็นพระรัตนคุณ อันประเสริฐในพระสงฆ์ ด้วยสจั วาจาน้ี ขอจงมีความสวสั ดี เย อะริยะสัจจานิ วภิ าวะยนั ติ คัมภีระปญั เญนะ สเุ ทสติ านิ กิญจาปิ เต โหนติ ภสุ ัปปะมตั ตา นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ อิทัมปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สจั เจนะ สุวัตถิ โหต.ุ มหาราชปรติ ร ๙๕
ความเป็นมา : บทสวด : คา� แปล พระโสดาบันบคุ คลเหลา่ ใด ทา� อรยิ สัจท้งั หลายที่พระพุทธ- เจ้าผู้มีพระปญั ญาลึกซึ้ง ทรงแสดงไวด้ ีแล้ว ใหแ้ จ้งแกต่ น แมว้ า่ พระโสดาบนั บคุ คลเหล่าน้นั ยงั เปน็ ผู้ประมาทมากอยู่ แตท่ ่านเหลา่ น้นั จะไมถ่ ือเอาภพทแ่ี ปด แมข้ อ้ น้ีกเ็ ปน็ พระรัตนคุณอันประเสรฐิ ใน พระสงฆ์ ดว้ ยสัจวาจานี้ ขอจงมีความสวสั ดี สะหาวัสสะ ทสั สะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหติ า ภะวนั ติ สกั กายะทฏิ ฐิ วิจิกจิ ฉิตญั จะ สลี ัพพะตงั วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ. สงั โยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลพั พต- ปรามาส ของพระโสดาบนั บคุ คลน้ัน เป็นอนั ถูกละพร้อมกับการ บรรลุทัสสนะคือโสดาปตั ตมิ รรคนน่ั เทียว แมว้ า่ สังโยชนบ์ างอยา่ ง ยังมเี หลืออยู่ จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉะ จาภิฐานานิ อะภพั โพ กาตุง อิทัมปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวตั ถิ โหตุ. ๙๖ มหาราชปรติ ร
บทรตั นปรติ ร แตพ่ ระโสดาบนั บคุ คลนนั้ ก็เปน็ ผู้พน้ จากอบายท้งั ๔ ไม่ กระทา� กรรมอันหยาบชา้ ๖ ประการ (คืออนันตรยิ กรรม ๕ และ การนับถอื ศาสดาอืน่ ) แม้ข้อนีก้ ็เป็นพระรตั นคุณอนั ประเสรฐิ ใน พระสงฆ์ ดว้ ยสัจวาจานี้ ขอจงมีความสวัสดี กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายทุ ะ เจตะสา วา อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏจิ ฉะทายะ อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา อทิ มั ปิ สงั เฆ ระตะนัง ปะณตี ัง เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ. แม้พระโสดาบันนัน้ ยงั กระทา� กรรมคอื ความผดิ ทางกาย วาจา หรอื ใจ อยบู่ ้างกต็ าม แตพ่ ระโสดาบนั น้ันกไ็ มป่ กปดิ ความ ผดิ นัน้ เพราะพระพุทธเจา้ ตรสั วา่ ผเู้ หน็ พระนพิ พานแล้วเป็นผู้ไม่ ปกปิดความผดิ แมข้ ้อน้กี ็เปน็ พระรตั นคุณอนั ประเสริฐในพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจาน้ี ขอจงมีความสวัสดี วะนัปปะคมุ เพ ยะถา ผุสสติ คั เค คิมหานะมาเส ปะฐะมสั ๎มงิ คมิ เ๎ ห ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ มหาราชปริตร ๙๗
ความเปน็ มา : บทสวด : คา� แปล นพิ พานะคามงิ ปะระมัง หติ ายะ อทิ มั ปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณตี ัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหต.ุ พมุ่ ไมใ้ นป่า ทม่ี ยี อดบานผลิดอก ในเดอื นแรกแห่งฤดรู ้อน ๔ เดอื น มีความงดงามอย่างยิ่ง ฉันใด พระพุทธเจา้ ได้ทรงแสดง ธรรมอันประเสริฐ ใหถ้ ึงพระนิพพาน เพือ่ ประโยชน์สงู สดุ ก็มีความ งดงามอย่างยง่ิ ฉันนั้น แมข้ ้อนกี้ เ็ ปน็ พระรตั นคณุ อันประเสรฐิ ใน พระพุทธเจ้า ด้วยสจั วาจานี้ ขอจงมคี วามสวสั ดี วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนตุ ตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ อิทัมปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณตี ัง เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ พระพุทธเจ้าผ้ปู ระเสรฐิ ผรู้ แู้ จง้ พระนิพพานอันเลศิ ผู้ ประทานธรรมอนั ยอดเยย่ี ม ผูน้ า� มาซึง่ มรรคอนั ประเสรฐิ ผ้ไู ม่มใี คร ย่งิ กวา่ ได้ทรงแสดงโลกตุ รธรรมอันประเสริฐแล้ว แมข้ อ้ นก้ี ็เป็นพระ รตั นคุณอนั ประเสริฐในพระพุทธเจา้ ดว้ ยสัจวาจาน้ี ขอจงมคี วาม สวัสดี ขีณงั ปุราณัง นะวงั นัตถิ สมั ภะวงั วริ ตั ตะจิตตายะติเก ภะวัส๎มิง เต ขณี ะพชี า อะวิรฬุ ห๎ ิฉนั ทา ๙๘ มหาราชปรติ ร
บทรตั นปริตร นพิ พันติ ธีรา ยะถายมั ปะทโี ป อทิ ัมปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหต.ุ กรรมเกา่ ของภิกษขุ ีณาสพ (พระอรหนั ต์) เหลา่ ใด หมด สิ้นแลว้ กรรมใหมก่ ็ไม่มี ภกิ ษขุ ีณาสพเหลา่ ใด มีจติ หมดความยินดี ในภพหนา้ ภิกษขุ ณี าสพเหล่านนั้ ส้ินพืชคอื ปฏสิ นธวิ ิญญาณ ผู้ปราศ จากฉนั ทราคะตณั หาที่งอกได้ ผมู้ ีปัญญา ดบั สนทิ เหมือนประทีป ดวงนี้ แม้ขอ้ นีก้ ็เป็นพระรตั นคุณอันประเสรฐิ ในพระสงฆ์ ดว้ ยสจั - วาจานี้ ขอจงมคี วามสวัสดี (ทา้ วสักกะจอมเทพตรัส ๓ คาถา ดังน)ี้ ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ ภมุ มานิ วา ยานิ วะ อนั ตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนสุ สะปูชติ งั พุทธัง นะมัสสามะ สวุ ตั ถิ โหตุ. เทวดาเหล่าใด ผู้เกดิ ทพี่ ้นื ดนิ หรือเกดิ ท่ีวิมานอากาศ ผมู้ า ประชมุ กนั ในทน่ี ี้ ขอพวกเราเหลา่ นน้ั จงนมสั การพระพทุ ธเจ้า ผู้ เสดจ็ มาและเสดจ็ ไปแลว้ อย่างนนั้ อนั เทวดาและมนษุ ย์ท้งั หลาย บูชาแล้ว ขอจงมีความสวสั ดี มหาราชปริตร ๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230