Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-26 02:26:27

Description: (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน).

Search

Read the Text Version

๑๔๒ กเิ ลสตณั หาอาสวะ หรือเปนใจเปรตใจผีอะไรไปก็ไมรูละ ใจเปนนรกอเวจีไปหมดเพราะ สง่ิ ไมเ ปน ทา เขา มากอ กวนวนุ วาย เวลานี้ใหจ ิตเปน ภาชนะสําหรับรับธรรม ตั้งหนาตั้งตา ฟงโดยเฉพาะ จิตก็สงบ เมอ่ื สงบแลว กเ็ ยน็ พอจติ เยน็ เทา นน้ั แหละกส็ บายไปเองคน เรา! เราหาความสบายไมใชเหรอ? เราไมหาความทุกข! นแ่ี หละจดุ แหง ความสบายอยทู ต่ี รงน้ี ใหพยายามระงับจิต อยา ปลอ ยใหค ดิ มาก เกินไป ความคิดมากไมใชของดี คดิ มากๆ ไปจนจะเปน บา กม็ ี เพราะเหตุไร? เพราะสิ่ง ที่ไมด ีนน่ั แหละจติ ชอบคิด จิตชอบไปเกี่ยวของพัวพัน ยิ่งความโกรธแคนจิตยิ่งติดยิ่ง ชอบคดิ กย็ ง่ิ เพม่ิ ความรอ นใหจ ติ ใจมากขน้ึ โดยลาํ ดบั ไมม ปี ระมาณ ตั้งตัวไวไมได ฉะนน้ั ตอ งหกั หา มดว ยการฝน ใจ ใจจะขาดกใ็ หข าดไป จิตเปนสมบัติของเราทําไมเราจะ บังคับไมได และจะมอบใหใครเปนคนบังคับใหเรา? ใครเปนคนรับผิดชอบในจิตของ เรา? เราเองเทานั้นเปนผูรับผิดชอบ จงทมุ กาํ ลงั ลงไปไมท อ ถอยจติ จะยอมจาํ นนเอง แลว สงบตวั ลง เหน็ ผลละทนี ้ี! วา “ออ ! ผลแหงการบังคบั จติ เปนอยางนห้ี รอื !” ตอ ไปกม็ แี กใ จ หรอื เกดิ ความกลา หาญ ที่จะบังคับทรมานตน สดุ ทา ยจติ กเ็ ปน สมบตั อิ นั มคี า ขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ อยไู หนกส็ บาย และมีความยับยั้งตั้งตัวไดดวยเหตุดวยผล ดว ยสตปิ ญ ญาซง่ึ เคยไดบ าํ เพญ็ มาและเคย ไดห ลักไดเกณฑมาแลว นค่ี อื การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ศาสนา ความอดความทนตอ หลกั ศาสนา การพร่ํา สอนตามหลกั ศาสนาดกี วา การพราํ่ สอนใครทง้ั นน้ั ยง่ิ ผทู ส่ี อนตนดแี ลว พดู ใหค นอน่ื ฟง หรอื สง่ั สอนกจ็ บั ใจไพเราะและเชอ่ื ถอื ไมจ ดื จาง ถา ตนยงั เหลวไหลพดู ออกไปกไ็ มม รี สชาตแิ กผ ฟู ง ถงึ แมจ ะนาํ คาํ สอนของพระ พุทธเจาไปพูดเปนตูๆ หบี ๆ มันก็ไมนาฟง มันมีลักษณะ จืดๆ ชดื ๆ ราวกับอาหารไมมี รสอรอ ยนน่ั แล ถาจิตใจเขมแข็ง ความรสู กึ อยภู ายในกม็ น่ั คง ใจมีพลังธรรมการแสดง ออกกม็ รี สชาตดิ ี จบั ใจซาบซง้ึ เพราะธรรมออกไปจากใจที่เปนตัวการสําคัญ ซึ่งบรรจุไว แลวหรือบรรจุเต็มแลว จงึ ขอใหพ ยายามรกั ษาจติ ใจใหมสี ารคณุ ปรากฏเดน ข้ึนโดยลําดับ ๆ จากการ ปฏิบัติ มีจิตตภาวนาเปนตน อยา เหน็ วา เปน กจิ นอกประเดน็ หรอื เปน กจิ พเิ ศษนอกจาก ความสาํ คญั ไปเสีย การภาวนานน้ั แหละคอื เรอ่ื งสาํ คญั ทส่ี ดุ ในชวี ติ จติ ใจของเรา มีธรรม นแ้ี หละเปน สาํ คญั มากกวา สง่ิ อน่ื ใด นอกนัน้ ก็เปน เพยี งปริยาย อาศยั กนั ไปชว่ั คราวชว่ั กาลชว่ั เวลา แลวก็พลัดพรากจากกันไปทั้งเขาทั้งเรา จะหาความจีรังถาวรไมได ทว่ั ทง้ั แดนโลกธาตอุ นั เปน สมมตุ มิ นั เปน อยา งเดยี วกนั จึงขอยุติเพียงเทานี้ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๒

๑๔๓ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๙ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘ จติ วนุ วาย คนทม่ี นี สิ ยั วาสนาพรอ มแลว คือจําพวก “อุคฆฏิตัญ”ู เชนพระยสกุลบุตร และพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน เปนตน นี่คือทานผูที่เปน “อุคฆฏิตัญู” ซึ่งคอยจะรู จะเขาใจในธรรม และบรรลุมรรคผลนิพพานไดอยางรวดเร็วกวาทุกๆ จําพวกที่เปน เวไนยชน ที่ควรจะรูหรือบรรลุธรรมตามศาสนธรรม พระยสกุลบุตร อยใู นบา นอยไู มไ ด เมอ่ื ถงึ กาลแลว บน วา “วนุ วายๆ,ขัดของๆ” จนถงึ กบั ออกจากบา นหนไี ปในเวลาเชา ตรู โดยไมม จี ุดหมายปลายทางวา จะกลบั มาอยู บา นอกี หรอื ไมก ลบั เพราะความขดั ขอ งวนุ วายภายในใจ พอดีไปพบพระพุทธเจาซึ่ง กําลังทรงจงกรมอยูขางทางที่พระยสกุลบุตรเดินผานไป พระองคจึงรับสั่งวา “มาทน่ี ่ี ที่นี่ ไมย ุงไมว ุน วาย ที่นี่ไมขัดของ ทน่ี แ่ี สนสบาย เธอจงเขามาหาเราที่นี่” พระยสกุลบุตรเขาไป ก็ประทานพระโอวาท จนสําเร็จมรรคผลขึ้นในขณะนั้น อยางรวดเร็ว ถา อยา งนก้ี เ็ หมอื นงา ยๆ งายนิดเดียว และงายจนอาจลมื ความทกุ ขค วามลําบาก ของผูเปนศาสดา ซึ่งไดสลบไสลไปถึงสามครั้ง กอนไดตรัสรูธรรมนํามาสอนโลกที่มี นิสัยมักงายเปนเจาเรือน พระยสกลุ บตุ รนน้ั เหมอื นกบั คนเปน โรคซง่ึ คอยรบั ยาอยแู ลว ยากพ็ รอ มทจ่ี ะยงั โรคใหห ายอยดู ว ย พอรับประทานยาเขาไป โรคกห็ ายวนั หายคนื และ ระงบั ดบั ไปโดยลาํ ดบั จนหายขาด ไมยากอะไรเลย! ถา เปน อยา งนห้ี มอกไ็ มต อ งเรยี น มากมายนกั คนไขก ไ็ มต อ งเปน ทกุ ขเ ดอื ดรอ นและทรมานไปนาน พอเปน ขน้ึ หมอใหร บั ประทานยากห็ ายไปเลย นถ่ี า เราพดู ขน้ั งา ยกเ็ ปน อยา งน้ี แตพ งึ ทราบในหลายแงข องโรคทเ่ี กิดและฝงกาย ฝงใจในมวลสัตว วามีประเภทตางๆ กนั ทั้งรักษายากทั้งรักษางาย เพราะมิใชโรคหวัด แตอ ยา งเดยี ว พอจะนดั ยาแลว กห็ ายไปเลยอยา งนน้ั อกี ขน้ั หนง่ึ กห็ นกั ลงไปกวา น้ี หนกั ลงไปเปนข้นั ๆ จนถงึ ขนาดทก่ี เิ ลสไมฟ ง เสียงธรรม โรคไมฟงยา ธรรมจะดี ยาจะดีวิเศษวิโส พระพุทธเจา พระอรหันต และ หมอ จะมีความรดู ีเช่ยี วชาญฉลาดขนาดไหน มันก็เขากันไมไดกับกิเลสและโรคชนิดไม รับยารับธรรม สุดทายก็ตองปลอยไปตามบุญตามกรรมไมมีใครชวยไวได นอกจาก “กุ สลา ธมมฺ า” ทเ่ี ชอ่ื ถอื กนั วา รบั ไดท ง้ั คนตายคนเปน ไมเ ลอื กหนา จนพระที่มุงตอ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๓

๑๔๔ “ธรรมาภิสมัย” ยุง แทบเปนแทบตายเพราะหาเวลาบําเพญ็ ไมยุงกับ กสุ ลา ธมมฺ า มาตกิ าบงั สกุ ลุ แทบเปนลมตาย จติ ของสตั วโ ลกทม่ี กี เิ ลสเครอ่ื งวนุ วายสบั สน กม็ กั เปน กนั อยา งน้แี ตไหนแต ไรมาตาํ หนกิ นั ไมล ง เพราะตางคนตางมี โรคท่คี อยรับยาคือธรรมอยูแลว เชนประเภท “อุคฆฏิตัญ”ู ถัดลงมาคือ “วิปจิ ตัญ”ู และถัดลงมาประเภท “เนยยะ” ทพ่ี อแนะนาํ สง่ั สอนหรอื พอฉดุ ลากกนั ไปได ดงั เราทง้ั หลายทไ่ี ดพ ากนั อตุ สา หพ ยายามตะเกยี กตะกายดว ยวธิ ตี า งๆ หลายครง้ั หลายหน บําเพ็ญและฟงการอบรมซ้ําๆ ซากๆ ไมล ดละทอ ถอย ธรรมกค็ อ ยๆ หยั่งเขาถึงใจ ๆ เมื่อรับธรรมดวยการปฏิบัติบําเพ็ญไมหยุดไมถอย ธรรมก็เขาถึงใจและหลอเลี้ยงใจให ชมุ ชน่ื เบกิ บานดว ยคณุ ธรรมในอริ ยิ าบถตา งๆ กเิ ลสทง้ั หลายภายในใจทเ่ี คยหนาแนน ก็ คอ ยๆ จางออกไป เบาบางลงไป ใจคอยดีดตัวขึ้นสูธรรม นาํ ความสขุ เขา ไปหลอ เลย้ี ง น้ําใจไมขาดสาย ราวกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ไหลรนิ เยน็ ฉาํ่ อยตู ลอดเวลา ความหวงั ทง้ั หลายก็ คอ ยเตม็ ตน้ื ขน้ึ มาเรอ่ื ยๆ ความจริงธรรมมมี ากเพยี งไร อาํ นาจใจกม็ มี าก กเิ ลสกม็ อี าํ นาจนอ ยลง ถา ธรรมไมมีเลย กิเลสก็มีอํานาจเต็มที่ อยากแสดงอาํ นาจอยา งไรกแ็ สดงออกมาอยา งเตม็ เม็ดเต็มหนวย ความเดือดรอนจึงมีมาก เพราะกเิ ลสมมี ากและมอี าํ นาจมาก กอ ความ เดอื ดรอ นใหแ กโ ลกไดม าก เมอ่ื ธรรมแทรกซมึ เขา ถงึ ใจมากนอ ย กเิ ลสกค็ อ ยออ นกาํ ลงั ลงไป ธรรมกม็ อี ํานาจมากข้ึนไปโดยลําดบั ๆ ฉะนน้ั การปฏบิ ตั ธิ รรมจงึ มคี วามจาํ เปน อยา งยง่ิ ที่จะพยายามใหธรรมเขาสูใจ อยา งสมาํ่ เสมอ ไมวา จะอยใู นสถานท่ใี ดๆ ควรมีธรรมเปนสรณะ เปนที่ยึดเหนี่ยวใจอยู เสมอ เพราะกิเลสไมไดมีกาล ไมม สี ถานท่ี เวลาํ่ เวลา อดตี อนาคต ไมข นึ้ อยูก บั สง่ิ ใดทัง้ สน้ิ แตข น้ึ อยกู บั การผลติ การกระทาํ ของมนั เทา นน้ั อยไู หนกเิ ลสกส็ รา งตวั ใหเ ปน ปก แผน มน่ั คงบนหวั ใจของสตั วโ ลกไมเ วน วนั เวลาเลย กิเลสจึงไมม ขี าดแคลนบนหัวใจสตั ว แตไหนแตไรมา ถาเราไมระมัดระวังตัว มนั ตอ งผลติ ผลออกมาเรอ่ื ยๆ ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม ลาํ บากไมม สี น้ิ สดุ จดุ หมายปลายทางเลย ความหวังในสิ่งที่พึงใจของสัตวโลก กม็ แี ตน บั วนั เลอื นรางหายไป เพราะกิเลสที่ตนผลิตขึ้นลบลางไปเสียหมด การสง่ั สมธรรม การประพฤติปฏิบัติธรรม ซึ่งเปนคูแขงหรือเครื่องปราบปราม กเิ ลส จงึ เปนสิ่งจําเปนสําหรับเราผูมีความหวังประจาํ ใจ และตองการความสงบรมเยน็ เปนมิ่งขวัญของใจ ตลอดหนา ทก่ี ารงานทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความราบรน่ื ดงี ามสมาํ่ เสมอและ ผลที่พึงพอใจ ตองอาศัยการอบรมการประพฤติปฏิบัติทางดานศีลธรรม เมื่อธรรมเขาสู ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๔

๑๔๕ จติ ใจมากนอย ใจกค็ อ ยๆ เกดิ ความยม้ิ แยม แจม ใส มีรัศมีแพรวพราว เพราะมี ความสงบรม เยน็ ภายในตวั เปน พน้ื ฐานแหง ธรรม พรอ มกบั เหน็ คณุ คา แหง ใจและคณุ คาแหงความพากเพียรไปโดยลําดับ ธรรมเปน สมบตั ทิ จ่ี าํ เปน สาํ หรบั ผตู อ งการความ สขุ ความเจรญิ ทง้ั ภายในและภายนอกโดยทว่ั กนั จึงควรอบรมศลี ธรรมใหม ขี น้ึ ภาย ในจติ ใจอยา ไดล ดละปลอ ยวาง แมจ ะยากแสนยาก ลาํ บากกายใจเพยี งไร ก็ควรทํา ความดเี ปน คเู คียงกันไป จะเปน ผสู มหวังทั้งเบอ้ื งหลงั เบื้องหนา ไมขาดทุนสูญดอกไป เปลาจากความเปนมนุษย ความยากลาํ บากเราไมต อ งยดึ มาเปน อปุ สรรค ทเ่ี คยไดอ ธบิ ายมาหลายครง้ั หลายหนแลว การแกก เิ ลสจะไมย ากไดอ ยา งไร เพราะกเิ ลสมนั กอ ตวั และแสนเหนยี ว แนนมาแตเมื่อไรไมมีใครทราบไดเลย และไมทราบจนกระทั่งปูยาตายายของมันคือ อะไร โคตรแซของกเิ ลสคอื อะไร ไมทราบไดเลย ทราบไดแตเพียงวา มนั เปน โคตรแซท ่ี เหนยี วแนน แสนเอาเปรยี บสตั วโ ลกมาเปน ประจาํ ไมยอมเสียเปรียบใครอยางงายๆ เลยแตไหนแตไรมาเทานั้น ฉะนน้ั จงพากนั ผกู อาฆาตมนั ใหถ งึ ใจทเี ดยี ว เราจะทาํ ลายกเิ ลสซง่ึ ฝง รากฐานลงอยา งลกึ ทะลขุ ว้ั หวั ใจ จะทาํ ลายเอาอยา งใจ คิดใจหวัง ใหง า ยอยา งปอกกลว ยมนั เปน ไปไมไ ด เพราะกเิ ลสไมใ ชก ลว ยพอทจ่ี ะปอก แลว เอามารบั ประทานเลยอยา งนน้ั ได ผูปฏิบัติธรรมจึงตองเปนผูมีหลักใจแนนหนามั่น คง มคี วามมงุ มน่ั เปน ตน นค่ี อื คนมหี ลกั ใจหรือใจมีหลัก ใจหนกั แนน พูดงายๆ มี เหตุมีผลประจําใจเสมอ เปนเครื่องบังคับใหใจดําเนินตาม หรือเดินตามเหตุผลที่ พจิ ารณาเหน็ วา ถกู ตอ งแลว นน้ั ๆ เมอื่ ใจดําเนินตามหลกั ของเหตุผลอยูโดยสมา่ํ เสมอ ความเคยชนิ ของใจกม็ ดี ว ย สิง่ ทีจ่ ะมากอ กวนจิตใจใหไ ดร บั ความทุกขความลําบาก ก็จะ มนี อ ยลงเปน ลาํ ดบั ดว ย ไมก าํ เรบิ เสบิ สานดงั ทม่ี นั มอี าํ นาจสงั หารโลกใหย อ ยยบั ทางจติ ใจ และศีลธรรมอยูในทา มกลางทใ่ี ครๆ กว็ า “โลกเจริญๆ” อยเู วลานแ้ี บบไมล มื หลู มื ตา ดังผูเทศนอยูเวลานี้เองซึ่งกําลังมืดบอดเต็มที่ นแ่ี หละทท่ี า นสอนใหไ ปอยปู า หาที่สงบสงัดดังที่พระทานอยูกันเรื่อยมา เชน พระในครั้งพุทธกาลมีจาํ นวนมากมายทม่ี งุ ตอ แดนพน ทกุ ข ไดประพฤติปฏิบัติตนดวย วธิ ที ไ่ี ดก ลา วมาน้ี องคน น้ั สาํ เรจ็ มรรคผลอยทู ป่ี า นน้ั องคน บ้ี รรลธุ รรมอยทู ภ่ี เู ขาลกู นน้ั เรื่อยมาโดยลําดับ ขาวของทานมีแตขาวดีวิเศษวิโส บทขาวของเรามีแตความโลภโกรธ หลงเต็มตัว แทบเคลอ่ื นยา ยตวั ไปไมไ ด เพราะมนั หนกั สง่ิ เหลา นเ้ี หลอื ประมาณเกนิ กวา จะหาบหามไปได ถา ดเู ผนิ ๆ แบบคนขี้เกยี จทงั้ หลายสมัยจรวดดาวเทียม กเ็ หมอื นทา นลา งมอื เปบเอา ๆ งายเหลือเชื่อ ของคนสมยั ทไ่ี มอ ยากเชอ่ื ใคร นอกจากเชอ่ื ตวั ผเู ดยี วทก่ี าํ ลงั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๕

๑๔๖ จะพาจมลงเหวลึกทั้งเปนๆ อยทู ุกขณะไมมขี อบเขตอยูแลว แตเ หตุคือการบําเพญ็ ของ ทา น ทา นสละเปน สละตายมาแทบทุกองค ไมว า จะออกมาจากสกลุ ใดๆ เมื่อไดมุงหนา มาประพฤติปฏิบัติธรรม ดว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสตอ พระโอวาทคาํ สง่ั สอนของพระ พทุ ธเจา แลว ตอ งเปน ผเู ปลย่ี นเครอ่ื งแบบใหมเ สยี ทง้ั หมด จริตนิสัยใจคอที่เคยเปน อะไรบา ง ซึ่งไมดีไมงามมาแตกอน ทา นพยายามสลดั ปด ทง้ิ หมด เหลือแตนิสัยดี ประจาํ เพศความเปน นกั บวช ที่กลา หาญตอความเพียรเพอื่ แดนพน ทุกขโดยถา ยเดียว ทา นพยายามดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนเทา นน้ั เอา! หนกั กห็ นกั ,เปนก็เปน, ตายกต็ าย, อดกย็ อมอด อม่ิ กย็ อมรบั วา อม่ิ ขอให ไดบ าํ เพญ็ ธรรมเพอ่ื ความพน ทกุ ขส มความมงุ หมายกเ็ ปน ทพ่ี อใจแลว สาวกทา นดาํ เนนิ อยา งน้ี แลว กถ็ า ยทอดขอ ปฏบิ ตั ปิ ฏปิ ทาเครอ่ื งดาํ เนนิ อนั ดงี ามนน้ั มาจนถงึ พวกเรา ซึ่ง เปนปฏิปทาที่ราบรื่นดีงามสม่ําเสมอควรแกมรรคผลนิพพาน และเปนปฏิปทาที่ สามารถแกก เิ ลส ถอดถอนกิเลสทุกประเภทออกจากใจไดโดยสิ้นเชิงไมสงสัย ไมว า กาล ใดสมัยใด เมื่อผูปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองคทรงสอนไวแลว ตองไดผลเปนที่พอใจ โดยลําดบั ทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพราะ “สวากขาตธรรม” ไมข น้ึ กบั โลกกบั สมยั แตข น้ึ กบั ความ จริงอยางเดียว คาํ วา “ทน่ี น่ั วนุ วาย ทน่ี ว่ี นุ วาย” จะหมายถึงอะไร? ถา ไมห มายถงึ ใจตวั กอ เหตนุ ้ี เทานั้นพาใหเปนไปตางหาก สถานทเ่ี ขาไมไ ดว นุ วาย นอกจากใจเปน ผวู นุ วายแตผ ู เดียว ดนิ ฟา อากาศเขาไมไ ดว า เขาเปน ทกุ ขเ ปน รอ นและวนุ วายอะไร ถา ดแู บบนกั ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมอยางจริงใจ จะเหน็ แตใจดวงเดยี วนเี้ ทา นนั้ ดนิ้ รนวุนวายอยตู ลอด เวลา ยง่ิ กวา หางจง้ิ เหลนขาด (หางจิ้งเหลนขาดมันด้ินรดิ ๆ) สถานทใ่ี ดกเ็ ปน สถานทน่ี น้ั อยูตามสภาพของเขา ผทู ว่ี นุ วายกค็ อื หวั ใจทเ่ี ตม็ ไปดว ยกเิ ลสเครอ่ื งกอ กวนใหว นุ วาย นน้ั เอง ขน้ึ ชอ่ื วา “กเิ ลส” แลว ทกุ ประเภทตอ งทําคนและสตั วใหอ ยูเปนปกตสิ ุขไดย าก ตอ งลกุ ลล้ี กุ ลนกระวนกระวายสา ยแสไ ปตามความผลกั ดนั ของมนั มากนอ ยอยนู น่ั เอง ที่พระพุทธเจาทานวา “จงมาสสู ถานทน่ี ้ี ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย!” คอื พระองคไ มว นุ วาย พระองคไ ดชาํ ระความวุน วายหมดแลว บรรดาสิ่งที่ทําใหวุนวายภายในพระทัยไมมี เหลอื แลว สถานทน่ี จ้ี งึ ไมว นุ วายไมข ดั ขอ ง “ยสกลุ บตุ ร” ถาพูดถึงชื่อ กว็ า “ยส” เขา มาน่ี ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย ที่นี่ไมขัดของ ที่นี่ไม เศรา หมองขนุ มวั ไปดว ยตมดว ยโคลนคอื กเิ ลสโสมมตา งๆ แตครั้งนั้นพระพุทธเจาจะ ทรงทราบชื่อทราบนามของเขาหรือไมก็ตาม กห็ มายเอาผนู น้ั นน่ั แหละ เมื่อเราทราบชื่อ ของทา นแลว กถ็ อื เอาความวา สถานทน่ี น้ั กค็ อื สถานทบ่ี าํ เพญ็ เพอ่ื ความไมว นุ วายนน่ั เอง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๖

๑๔๗ สถานที่ที่พระพุทธเจาประทับอยูเวลานั้น กเ็ ปน สถานทท่ี ฆ่ี า กเิ ลส ทําลายกิเลสทง้ั มวล ไมใชเปนที่สั่งสมกิเลส เปน สถานทไ่ี มว นุ วายกบั อะไรบรรดาขา ศกึ เครอ่ื งกอ กวน จึงทรง เรียกพระยสเขามาวา “มาทน่ี ่ี ที่นี้ไมยุงเหยิง ทน่ี ไ่ี มว นุ วาย ทน่ี ไ่ี มเ ดอื ดรอ น” ทน่ี เ่ี ปน ทอ่ี บรมสง่ั สอน ธรรมเพื่อแกความเดือดรอนวุนวายภายในใจโดยตรง จนยสกลุ บุตรไดบรรลุธรรมเปน ทพ่ี อใจในทน่ี น้ั ทน่ี น้ั ควรเปน เครอ่ื งระลกึ ใหเ ราท้งั หลายไดค ดิ ถึงเรอ่ื งความวนุ วายวา มันอยู ในสถานทใ่ี ดกนั แน? ถา ไมอ ยใู นหวั ใจนไ้ี มม ใี นทอ่ี น่ื ใด เมอ่ื ความวนุ วายทก่ี อ กวนอยู ภายในใจระงบั ดบั ลงไปแลว ดว ยความประพฤติปฏิบัติธรรมในสถานทอ่ี นั เหมาะสม ความสงบเยน็ ใจกเ็ กดิ ขน้ึ ไปทใ่ี ดอยทู ใ่ี ดกไ็ มว นุ วาย เมอ่ื หวั ใจไมว นุ วายเสยี อยา ง เดียว อยทู ไ่ี หนกอ็ ยเู ถอะไมว นุ วายทง้ั สน้ิ สบายไปหมด! จะอดบา งอม่ิ บา งกส็ บาย เพราะใจอิ่มธรรม ไมห วิ โหยในอารมณเ ครอ่ื งกอ กวนใหว นุ วาย เราสังเกตดูเผินๆ ก็ พอทราบได ดว ยอาการทแ่ี สดงออกของสตั วแ ละบคุ คล ในเวลามคี วามทุกขเ ขา ทบั ถม มากนอ ย เฉพาะอยา งยง่ิ ขณะจะตายสัตวจะดิ้นรน คนจะอยูเปนปกติสุขไมได ตอ ง กระวนกระวายทิ้งเนื้อทิ้งตัว จนไมมีสติประคองใจ กระทั่งตายไป ฉะนน้ั จงึ มใี จดวงเดยี วเปนตัวกอ เหตใุ หเกดิ ความวุนวาย แตใจนัน้ มสี งิ่ ทพ่ี าให กอ เหตุ ไมใชเฉพาะใจเฉยๆ จะกอ เหตขุ น้ึ มาอยา งดอ้ื ๆ สง่ิ ทแ่ี ทรกสงิ อยนู น้ั คอื สง่ิ วนุ วายหรอื ตวั วนุ วาย เมื่อเขาไปสิงในจิตใจของผูใด ผนู น้ั กต็ อ งวนุ วายไปดว ยมนั การแก กเิ ลสคอื ธรรมชาตทิ ท่ี าํ ใหว นุ วายน้ี จงึ แกล งท่ีใจดว ยขอปฏบิ ัติ เชน ทา นสอนให กาํ หนด “พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ” เปนเครื่องบริกรรม หรอื กาํ หนด “อานาปานสต”ิ เปน อารมณ เพื่อใจไดรับความสงบระงับในขน้ั เรม่ิ แรก ซึ่งเปนธรรมเครื่องระงับความวุน วาย ตอ ไปกต็ ามดใู จวา มนั วนุ วายกบั เรอ่ื งอะไร? นค่ี อื ขน้ั เรม่ิ แรกทป่ี ญ ญาจะเรม่ิ ออกกา วเดนิ เพอ่ื คน หาสาเหตุ คอื ตวั กเิ ลสทท่ี าํ ใหใ จวนุ วายไมห ยดุ หยอ น จนกวาจะรู เรื่องของมันไปโดยลําดับ ไมย อมถอยทพั กลบั แพขา ศกึ ตัวแทรกซมึ กอ กวนทแ่ี อบซอน อยภู ายในจิต เชน ใจวนุ วายกบั เรอ่ื งรปู รส กลน่ิ เสียง เครื่องสัมผัส ซง่ึ เขา ใจวา อนั นน้ั ดี อนั น้ี ชว่ั อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั อนั นเ้ี ปน อยา งน้ี ดว ยความสาํ คญั ตา งๆ ปญ ญา พิจารณาคลี่ คลายดใู หเ หน็ ตามความเปน จรงิ ในสง่ิ นน้ั ๆ แลว ยอ นเขา มาดจู ติ ใจผมู คี วามสาํ คญั มน่ั หมายในสง่ิ นน้ั ๆ วา เปน นน่ั เปน น่ี จนเกดิ ความวนุ วายขน้ึ ภายในตวั ใหเห็นชัดเจน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๗

๑๔๘ ทง้ั ภายในภายนอก ใจก็สงบระงับลงไปได เปนอรรถเปนธรรม พอมที ผ่ี อ นคลายหาย ทุกขไปไดไมรุนแรง การแกค วามวนุ วายแกต รงทค่ี วามวนุ วายมอี ยู คอื ใจนเ่ี อง แกไ มห ยดุ ไมถ อย ใจ จะฝนเราไปที่ไหน จะตองสงบระงับความกําเริบลงจนไดไมเหนือธรรมเครื่องฝกทรมาน ไปได ปราชญทานเคยฝกทรมานจนเห็นผลมาแลว จงึ ไดน าํ อบุ ายวธิ นี น้ั ๆ มาสอนสตั ว โลกเชน พวกเรา ชาวปฏบิ ตั ธิ รรมทางใจ อยา ลมื ! อยา หนจี ากจดุ น!้ี “วฏั จกั ร” กค็ อื จติ เรอ่ื งเกดิ เรอ่ื งตาย เรอ่ื งทกุ ข ลาํ บากทง้ั หมด คอื จติ เปน สาํ คญั เอา! เอาลงที่นี่เลย! ตวั นเ้ี ปน ตวั กอ เหตุ คําวา “คือ จิตนี”้ กค็ อื กเิ ลสมอี ยใู นจติ นน่ั เอง จติ ยงั สาํ รอกปอกกเิ ลสออกไมไ ดห มด จึงตองมี เรื่องไมพึงปรารถนาเกิดขึ้นภายในจิตอยูเสมอ ทั้งๆ ที่ไมตองการใหมันเกิดแตมันก็เกิด เพราะธรรมชาติของมันเปนอยางนั้น ทางเดินของมันอยูที่นั่น จึงลบลางไมไดด วย ความสาํ คญั ดว ยความตอ งการเฉยๆ แตต อ งลบลา งดว ยการปฏบิ ตั ิ กาํ จดั สง่ิ นน้ั ๆ ดวยเหตุผลที่ควร ไดแกอ รรถ ธรรมนแ่ี หละเปน หลกั ใหญ เอา! บําเพ็ญลงไป คาํ วา “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ” “ตน เปนที่พึ่งของตน” ดังที่เคยแสดงแลว ใหเ ดน ภายในใจและความสามารถของเราเอง อยา หวงั พง่ึ ใครอน่ื อนั เปน การออ นความสามารถไมฟ ต ตวั ใหเ ขม แขง็ ดังธรรมทาน สอน มนษุ ยเ ราเกดิ มาชอบอาศยั ผอู น่ื อยเู ปน นสิ ยั อะไรๆ ตองพึ่งผูอื่น อาศยั ผอู น่ื ตง้ั แตเ ลก็ จนโต ราวกับไมมีแขงมีขาไมมีมือมีเทา ไมมีสติปญญาใดๆ เลย มแี ตป ากกบั ทอง เวลาเขาจนตรอกจนมุมไมมีผูอาศัยจะไมจมไปละหรือ? ฉะนั้นเราเปนนักปฏิบัติ ธรรม ตองหัดพึ่งตัวเองตามหลักธรรมที่สอนไว จะเปนผูไมจนมุมในเวลาจําเปน พยายามสรา ง “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ” ขน้ึ ในตวั สติไมมีพยายามสรางใหมี ปญญาไม มีพยายามสรางใหมี ความขเ้ี กยี จพยายามปราบปรามมนั ลงไปใหส น้ิ ซาก อยา ใหม ากดี ขวางลวงใจอกี ตอ ไป ความขยันผลิตขึ้นมาดวยความมีเหตุมีผล เมื่อมีเหตุมีผลความ ขยนั มนั เกดิ ขน้ึ ไดเ อง ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นน้ี เราเคยไดเงินหมน่ื เงินแสนเงนิ ลานจากมนั บา งไหม? ถา เราสรา งโลกดว ยความขเ้ี กยี จ จะเปน คนมง่ั มไี ดไ หม? ความโงมันจะทาํ ใหคนฉลาด แหลมคมไดไหม? คนโงจ ะทาํ อะไรใหส ําเร็จลลุ วงไปดวยความนา ชมมไี หม? ความโง ความขเ้ี กยี จออ นแอนาํ หนา ทําอะไรทันเขาไหม? ความโง ความขเ้ี กยี จ เมื่อไดเขาเปน อนั เดียวกันแลว ทําอะไรไมส าํ เรจ็ ทส่ี าํ เรจ็ ของมนั คอื บนหมอน “กอนแลว นนิ กนิ แลว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๘

๑๔๙ นอน!” อยนู น่ั แล นี่แหละโทษของมันเปนอยางนี้ แตคุณของมันยังมองไมเห็น อาจเปน เพราะขรัวตาเรียนนอยจึงไมอาจรูเทาทันมัน จงึ ขอมอบใหผเู รยี นมากนําไปวินจิ ฉัยเอง จะเหมาะสมกวา ที่ตองการเห็นอรรถเห็นธรรม เหน็ ความจริงของศาสนธรรมซึ่งมีอยูภายในใจ เรา ดังที่พระพุทธเจาไดทรงสอนไว เราจะทาํ วธิ ไี หน? จะนําความขี้เกียจขี้ครานนี้เขามา เปนผูนําทางเหรอ? หรอื จะเอาความโงเขา มาเปนเคร่อื งบกุ เบิกทาง นอกจากมันจะเพิ่ม ความขี้เกียจและความโงขึ้นอีก หาอะไรเปนชน้ิ เปนอันบา งไมไดเทา น้ัน ไมมีอยางอื่นจะ เปนสารคุณของทั้งสองสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่จะแกสิ่งทั้งสองนี้ได จะตองพยายามผลิตสิง่ นั้นขึ้นมา ความ ฉลาดผลติ ได ความพยายามคิดอานไตรต รองอยเู สมอ เปนสิ่งที่ผลิตไดทําไดไมสุด วิสัยมนุษยเรา ทีแรกตองพยายามพาคิดพาคนไปกอนเพราะยังไมเห็นผล ก็ยังไมมี กําลังใจดูดดื่มในงานคิดคนไตรตรองเปนธรรมดา จนกวา ผลปรากฏขน้ึ มาแลว เรื่อง ความอตุ สา หพ ยายาม ความบกึ บนึ ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ความดูดดื่มภายในจิต จะ เปนไปเอง เพราะผลเปนเครื่องดึงดูดใหเปนไป จงนําสติปญญาแกลงที่นี่ กเิ ลสมนั อยทู ใ่ี จ อยา ไปคาดไปหมายทโ่ี นน ทน่ี ่ี เปน ความผิดทั้งนั้น กเิ ลสตวั พาเปน พาคาดพาหมายเราไมดูมัน คาดวาที่นั่นจะดี ที่นี่จะดี ที่นั่นจะเปนสุข ทน่ี จ่ี ะสบาย ลว นแตม นั หลอกเรา เมอ่ื ไปแลว กอ็ ยา งวา นน่ั เอง เพราะ “ตวั น”้ี มนั รอ น ไปไหนๆ กต็ องรอ น ตัวนี้มันทุกข ไปไหนๆ กท็ กุ ข ถา ไมด ตู วั มนั กอ ทกุ ขก อ เหตกุ อ ความวนุ วายอยเู สมอภายในใจน้ี จะไมเห็นที่จอดแวะ จะไมเห็นที่แกไข จะไมเห็นที่ระงับดับมันลงไปไดเลย ความสงบสขุ ความเยน็ ใจจะไมป รากฏ ถา ไมร ะงบั ดับลงที่นี่ ดวยการพิจารณาท่นี ี่ แกมันที่ตรงนี้ มนั รอ นทจ่ี ดุ ไหนกาํ หนดดทู ม่ี นั รอ นนน้ั มนั วนุ วายทต่ี รงไหนกาํ หนดดทู ม่ี นั วนุ วายนน้ั ตง้ั สตจิ อ เขา ไป! ที่ตรงนั้น ใหเ หน็ ความจรงิ และความวนุ วายนว้ี า มันเกิดขึ้นมา จากอะไร? ความทุกขเกิดขึ้นมาจากอะไร? อะไรเปนสาเหตุใหเกิดทุกข คนมันลงไปที่จิต นน้ั ทกุ ขน น้ั มนั เปน สนามรบดว ยดแี ลว น่ี ความทุกขเ กดิ ข้นึ กเ็ อาความทกุ ขเปน เปา หมาย กาํ หนดลงไป หาเหตมุ นั เกดิ ขน้ึ มาจากอะไร คนความันอยูที่ตรงนั้น คนมันที่ตรง นน้ั ความวนุ วายกบั ความทกุ ขม นั เกย่ี วพนั กนั อยู มันเกิดขึ้นมาจากอะไร เกดิ มาจาก ความสาํ คญั มน่ั หมายนน้ั แลไมใชเกิดจากอื่น วา อนั นน้ั เปน นน้ั อนั นเ้ี ปน อยา งน้ี ทั้งๆ ที่มันไมเปน จิตไปสําคญั เอาเองแลว หลงความสําคญั ของตวั ก็โกยทุกขขนึ้ มาเผาลนตน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔๙

๑๕๐ เองใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น มเี ทา น้ี เรอ่ื งสาํ คญั อยทู ต่ี รงน้ี เพราะฉะนน้ั จงึ ใหย อ นจติ เขา มาดทู จ่ี ดุ น้ี เอา! เปนก็ใหรู ตายกใ็ หร ู ใหเ หน็ ความจรงิ กบั สง่ิ ทป่ี รากฏอยใู นเวลาน้ี มันทุกข แคไ หนใหดตู วั ทกุ ข แตก อ นมนั ยงั ไมเ กดิ ทําไมมาเกิดในขณะนี้ แลวมันเกิดขึ้นมาจาก อะไร ตัวทุกขมันเปน “ทุกฺขํ” อยแู ลว น่ี และเปนตัว “อนิจฺจํ อนตฺตา” อยแู ลว น่ี ดใู หช ดั ดวยปญญาจริงๆ นแ่ี หละเปน หนิ ลบั ปญ ญา กําหนดพิจารณาลงที่จุดนั้น แลว ความ เปลี่ยนแปลงของมันจะแสดงใหเราเห็น เมื่อสติจดจออยูที่ตรงนั้น ไมย อมใหจ ติ คดิ ไป ทางอื่น ซง่ึ เปน การเพม่ิ กเิ ลสขน้ึ มาอกี ไมมีสิ้นสุดยุติลงไดสักที จงดูเฉพาะจิตทวี่ า มนั เปน ทกุ ขน้นั ดว ยปญ ญา ดว ยสติ ใครค รวญดว ยความ ละเอยี ดถถ่ี ว น นแ่ี หละชอ่ื วา พจิ ารณาถกู ตอ ง และเปนทางระงับดับทุกขลงไดโดยไม ตอ งสงสัย ปราชญท า นดบั ทกุ ขท า นดบั ทน่ี ่ี ผมู สี ตปิ ญ ญาทา นดบั กนั ทน่ี ่ี ตรงนแ้ี หละ คือสถานที่ทําความเพียรใหเกิดปญญา ไมต อ งไปปรารถนาวา ใหท กุ ขน ด้ี บั ไปเสยี ไม ตอ งไปตั้งความอยากใหท ุกขมันดับ ความอยากนเ้ี ปน สง่ิ กอ กวนและเปน สมทุ ยั จะ เพิ่มทุกขขึ้นมาเมื่อมันไมดับอยางใจหมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกตองเหมาะสมกับสิ่งที่ ปรากฏอยคู อื ความทกุ ขเ วลาน้ี กค็ อื การกาํ หนดใหร เู รอ่ื งราวรรู าวของความทกุ ขว า เกดิ ขึ้นมาจากอะไร จะเหน็ ความจริงทงั้ ทกุ ขด วย จะเห็นความจริงทง้ั สง่ิ ทท่ี าํ ใหเ กดิ ทกุ ข ดว ยปญ ญา นี่แหละเปนอุบายที่จะยุติความทุกขได และเปนอุบายทจี่ ะระงับดบั ทกุ ขล ง ไดโดยไมตองสงสัย มจี ดุ นเ้ี ปน จดุ สาํ คญั ไมตองไปปรารถนา ไมตองไปหมาย มันจะเพิ่มทุกข ตองการแตความจริง ใหรู ความจรงิ ดูความจริงใหเห็น เมือ่ ทุกขไ มด บั มันจะตายไปดว ยกันก็ใหร ู “มันจะไปไหน วะ?” เอายังงี้เลย เอาลงใหเด็ดถึงคราวเด็ด จติ ไมต ายไมต อ งกลัว! เอา! พิจารณาใน สนามรบน้ี ระหวา งขนั ธก บั จติ นเ่ี ปน สนามรบของสตปิ ญ ญากบั กเิ ลสทต่ี อ สกู นั สติ ปญ ญา กเิ ลส นน้ั เปน อนั หนง่ึ ขนั ธเ ปน อนั หนง่ึ มนั เปน คนละอยา งกนั ตามความจรงิ ถา ขนั ธไ มป กตจิ ะเปน ขนั ธใ ดกต็ าม จิตตองกระเทือน ถา สตปิ ญ ญาไมท นั จติ ตอ ง กระเทือนและทุกขรอนไปดวย เพราะตามปกติจติ แลว ตอ งยดึ ถอื ขนั ธเ หลา นว้ี า เปน ตน อยางฝงใจ เพราะอะไร? เพราะกเิ ลสพาใหฝ ง การพจิ ารณาสง่ิ เหลา นโ้ี ดยแยกสว นแบง สว นออกไป ยอ มเปน การถอดถอนกเิ ลส คอื ความสาํ คญั นน้ั ๆ ใหเ บาบางลง จนกระทั่ง ความสาํ คญั เหลา นห้ี มดไป คําวา “นน่ั เปน เรา,นี่เปนเรา” กห็ มดไปไมต องบงั คบั แตมัน หมดไปดวยการพิจารณา น่ีแหละที่วา “ปญญาตัดขาด ตดั ขาดอยา งนเ้ี อง” ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๐

๑๕๑ กรณุ าฟง ใหถ งึ ใจ เพราะเทศนอยางเต็มภูมิแบบถึงใจ ทไ่ี ดปฏบิ ัตหิ รือสูร บกับส่ิง เหลา น้ี ชนิดเอาชีวิตเขาประกันความเปนความตาย ไมอ าลยั เสยี ดายชวี ติ มาแลว จงตัด ความสาํ คญั วา “นั้นเปนเรา นี้เปนของเรา” ออกใหไ ด เพราะทุกขจะพาใหจม ยงั วา เปน เราเปนของเราอยูอีกหรือ? ยึดเอามาทําไม ทกุ ขน้นั เปน เหมอื นไฟ ยังวาเปนเราและนํา มาเผาเราทําไมกัน ความรอ นกร็ วู า รอ น ความทกุ ขก ร็ วู า ทกุ ข ยงั จะกวาดเขา มาเผาเจา ของเขาไปอีกหรือ ทกุ ขก ใ็ หร วู า มนั เปน ทกุ ข กาํ หนดดตู รงทว่ี า มนั ทกุ ขด ว ยปญ ญา นน่ั เปน ความถกู ตอ งทส่ี ดุ แลว อยา ไปลบู คลาํ หาขวากหาหนามมาทม่ิ แทงหวั ใจเพม่ิ เขา อีก ถา ไมอ ยากจมไปกบั กองทกุ ขไ มม วี นั โผลข น้ึ มาไดน ะ เอา ทกุ ขต ัง้ อยูก ใ็ หรูวา ทุกขต้ังอยู ทุกขเกิดขึ้นขณะนี้ ตั้งอยูขณะนี้ แลวมันจะดับ ไปขณะตอไปนั้น กค็ วรจะรเู หน็ ตามความเคลอ่ื นไหวของมนั แตจ ติ ทาํ ไมไมเ หน็ มนั เกดิ มนั ดบั จิตกับทุกขมันเปนผูเดียวกันหรือ? ทุกขเกิดทุกขดับ ทาํ ไมไมเ หน็ จติ ดบั ไป ดว ยกนั ? นอกจากรอู ยตู ลอดเวลาเทา นน้ั ถามีสติคอยดูจองดูมัน ฉะน้ันจงพจิ ารณา ใหชัดเจน เมื่อทุกขไมดับและมันจะตายไปดวยกันก็ใหมันตายไป จิตยังไงมันก็ไมตาย แนน อน ขอใหร ตู ามความจรงิ อนั นเ้ี ถดิ อยา กลวั ทกุ ขก ลวั ตายซง่ึ เปน สจั ธรรม น่ีคือวธิ เี ผาผลาญกเิ ลสในหลกั ปจ จุบันธรรมตามทางของพระพทุ ธเจา ทานสอน อยา งน้ี ทานประพฤติปฏิบัติอยางนี้ ทา นรเู หน็ มาอยา งน้ี ไดผ ลมาอยา งน้ี ไมเ ปน อยา ง อน่ื เพราะกิเลสไมเปนอยางอื่น คือเปนกิเลสอยูโดยดี และธรรมคือสติปญญาก็สามารถ แกไ ดจ รงิ ๆ ไมสงสัย การแกก เิ ลสชนดิ ตา งๆ ดว ยศลี สมาธิ ปญ ญา ทเ่ี ราบาํ เพญ็ ปฏบิ ตั อิ ยเู วลาน้ี เปน การกระทาํ ทถ่ี กู ตอ ง และเหมาะสมแกการแกกิเลสทุกประเภทดังพระพุทธเจาพา ดําเนินมา อยทู ไ่ี หนกต็ ามอยา ละกจิ ทค่ี วรแกไ ข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจอ กิจที่ควร สอดรู กิจที่ควรพยายามใหเขาใจ อยา เผลอตวั นอนใจวา กเิ ลสจะตายไปเองโดยไมถ กู ฆา ดวยความเพียรทาตางๆ เพราะกเิ ลสไมใ ชห นพู อจะใหแ มวชว ยกดั ชว ยฆา ได โดยเจาตัว ไมตองทํางาน สว นอาการของจติ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงไปเรอ่ื ยๆ ถา มกี ารชาํ ระสะสางดว ย ขอปฏิบตั อิ ยเู สมอ แมแ ตส มาธกิ ย็ งั ตอ งเปลย่ี นสภาพไป จากความหยาบในเบอ้ื งตน จนเขาสูความละเอียดขน้ึ ไปเร่อื ยๆ ฐานของจติ คอื ความแนน หนามน่ั คง กจ็ ะแนน หนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความละเอยี ดของสมาธิ สตปิ ญ ญาเมอ่ื เรานาํ มาใชอ ยเู สมอ กจ็ ะคอ ยมกี าํ ลงั ขน้ึ เรอ่ื ยๆ และรวดเร็วขึ้น โดยลําดับเพราะฝกซอมอยูเสมอ นแ่ี หละสง่ิ ทจ่ี ะทาํ หนา ทป่ี ราบปรามกเิ ลสคอื สตกิ บั ปญญา มีมากเพียงไรกิเลสยิ่งกลัวมากขึ้น ถา มนี อ ยกเิ ลสกเ็ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายจนแทบไม ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๑

๑๕๒ ปรากฏสติปญญาเลย มีแตนั่งเฝาทุกขอยูเทานั้น ปลอ ยใหท กุ ขม นั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเอา และบน อยเู ทา นน้ั บนเทาไรก็ไมเปนประโยชน จะบนไปทําไม หนาที่ของเรามียังไง ฟาดฟนมันลงไปใหเห็นเหตุเห็นผล เหน็ ความสตั ยค วาม จริงซ่ึงมีอยูภายในจิตใจดวงน้ี เมื่อเห็นชัดเจนแลวกิเลสไมตองบอก มันแตกกระจายไป หมด นน่ั ! และจะสูเหนือปญญาไปไมได นั่นแหละจึงเห็นไดชัดวาอะไรเปนกิเลส อะไรเปนกงจักร อะไรเปนตัวพาใหเกิด ใหต าย อะไรเปน ตวั ทกุ ขตัวลําบากท้งั หลาย อะไรเปนตัวยุงเหยิงวุนวาย ที่ไหนเปนที่ เดือดรอน ทไ่ี หนเปน ทว่ี นุ วาย ปญญารูชัดประจักษใจสิ้นสงสัย เพราะความเดือดรอน วนุ วายหมดไป เพราะกเิ ลสตวั กอ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วาย สน้ิ ไปดวยอาํ นาจของ ปญญา นน่ั ! ความหมดทกุ ขห มดทใ่ี จ รางกายมีก็เปนเรื่องของมันจะเปนไรไป มันมีของ มนั อยจู นกระทง่ั วนั สลายนน่ั แหละ ยังเปนอยูเดี๋ยวแสดงนูน เดี๋ยวแสดงนี้ เดี๋ยวเจ็บ ทอ ง เด๋ียวปวดหวั ไหล ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนป้ี วดนน้ั อยยู งั งน้ั เรื่องของขันธไมมี เวลาเปนปกติสุขไดจะวายังไง เราอยา ไปสาํ คัญมน่ั หมายมัน ใหเห็นความจริงของมันจะ ไมเดือดรอน ถึงคราวจริงๆ มนั กเ็ ปน อยา งนน้ั นี่เราเห็นชัดตามเปนจริงอยูแลว มันจะ แตกกแ็ ตก ยม้ิ กบั มนั ไดจ ะวา ยงั ไง เพราะไมม อี ะไรจะมาทาํ ลายใจไดน ่ี การตายของธาตขุ องขนั ธ การสลายของธาตขุ องขนั ธ ไมใชสิ่งที่จะมาลบลางหรือ ทําลายจิตใจใหฉิบหายไป มนั เปนเร่อื งของเขาทาํ หนาทต่ี ามธรรมชาตขิ องเขา คือเขาทํา หนา ทต่ี าม “ไตรลกั ษณ” ไดแ ก “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า” เขาก็ทําของเขาไป สติปญญาเรา มีเพียงไรก็พิจารณาไปไมหยุดยั้ง จนรูรอบตัวโดยสมบูรณ ผูที่รูกฎไตรลักษณก็พิจารณาเห็นตามความเปนจริงไปชื่อวา “ผฉู ลาด” นแ่ี หละ ทา นวา “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหฉ ลาดที่ตรงนี้ สวดใหด นี ะ “กสุ ลา ธมมฺ า” อยา คอยแตจ ะให เขาเอาพระไปสวดใหเวลาตาย เคาะโลง ปก ๆ แปก ๆ เฮอ! ราํ คาญจะตายไป เรานะไม อยากพบอยากเหน็ “กสุ ลา” แบบนน้ั นน่ั มนั แบบคนตายสน้ิ ทาแลว ตอ ง”กสุ ลา” แบบ มีทา นา กเิ ลสกลวั ซ!ิ คือคดิ คนลงที่ “เบญจขันธ” ใหเ กดิ ความฉลาดขน้ึ มา และฆา กเิ ลส ไปดวยซิ ตอนยงั เปน คนอยไู มอ ยากฉลาด เวลาตายแลว ไปกวา นเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมมฺ า” ยุงไปหมด กสุ ลา ธมมฺ า ก็เทาเดิมนั่นแหละจะวายังไง ตองสวดใหถ ูกจุด ประสงคแ ละความหมายซิ สวด “กสุ ลา ธมมฺ า” แปลวา ความฉลาด เรยี นเรอ่ื งของตวั ใหร อบคอบใหร รู อบ ความโงก อ็ ยใู นตวั น่ี ความฉลาดกอ็ ยใู นตวั ผลติ ข้นึ มาได “อกสุ ลา ธมมฺ า” กอ็ ยทู จ่ี ติ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๒

๑๕๓ แกจ ิตจนบริสุทธิ์แลว ไมต อ งพดู ไมต อ งสวด! “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหเ สยี เวลา “อกสุ ลา ธมฺ มา” กเ็ สยี เวลา “อพยฺ ากตา ธมมฺ า” กเ็ สยี เวลา ถาตัวเราเปน “โมฆะ” ไมส นใจกบั “กสุ ลา ธมมฺ า” เพอ่ื ความฉลาดดว ยสตปิ ญ ญา ดังพระพุทธเจาไดสั่งสอนไว ขณะที่ยังมีชีวิตอยู และสามารถทาํ ไดอ ยขู ณะนย้ี อ มฉลาด รอบรตู ามความจรงิ แลว สบายดี ตายแลว ไมต อ ง หาพระมา กสุ ลา ธมมฺ า นะ ! จงทาํ ใหถ งึ เหตถุ งึ ผลเถอะ เวลารูมันรูจริงๆ นะภายในจิต ใจนี่ เพราะความจริงมอี ยูกบั ทกุ คน ถา ตง้ั ใจคน หาตอ งเจอ พระพุทธเจาไมหลอกลวงโลกนี่ พระองคเ หน็ กอ นแลว รกู อ นแลว จึงนําความรู จรงิ เหน็ จรงิ มาสอนโลก แลว ธรรมนน้ั ๆ จะปลอมไปไหน! นอกจากจติ ใจเรามนั ถกู กเิ ลส พาใหป ลอมเทา นน้ั เอง มนั ถงึ ปลอมไดว นั ยงั คาํ่ คืนยังรุง ไดยินไดเห็นอะไรปลอมไป หมด เพราะกเิ ลสมนั พาใหป ลอม ถาสติปญญาไดหยั่งเขาไปตรงไหน ความจริงก็ชัดขึ้น มาตรงนั้น ปญญาเต็มที่ความจริงแสดงเต็มภูมิไมสงสัย น่แี หละทานเรยี กวา “เรยี น ธรรมปฏบิ ัตธิ รรมจบ” จบทดี่ วงใจน้ี เรียนเรื่องของ “วฏั จกั ร” “แก วฏั จกั ร” จบทจ่ี ติ แลว แสนสบาย! ทา นวา โลกุตรธรรม ธรรมเหนอื โลก” ทั้งๆ ทอ่ี ยใู นโลกอยใู นขนั ธ กเ็ หนอื โลกเหนอื ขนั ธ ไม ยอมใหข นั ธก ดขบ่ี งั คบั ไดเ หมอื นแตก อ น รูตามความจริงของมันเสียทุกอยางแลวไมมี อะไรมากระเทือนจิตใจ ไมม ากดขบ่ี งั คบั จติ ใจไดเ ลย จึงเรียกวา “เหนอื โลก” “โลก” คือ “ขนั ธ” เหนือที่ตรงนี้เอง “โลกุตรธรรม” แปลวา “ธรรมเหนือโลก” “นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ”ํ ถามหาอะไร? ขอ ใหจิตบริสุทธิ์เทานั้น กบั คาํ “นพิ พฺ านํ ปรมํ สุข”ํ กเ็ ขา กนั ไดเ อง เพราะเปนธรรมอนั เดียวกัน สวดไมส วด วา ไมว า กอ็ นั เดยี วกนั จงพยายามสวด “กสุ ลา ธมฺมา” ใหต วั เองนะ อยา ไปคอยเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมฺมา” ใหยุงไป โดยทต่ี นไมส นใจกบั “กสุ ลา ธมมฺ า” ทม่ี อี ยใู นตนนเ้ี ลย ถาเปนพระผูมุงอรรถมุงธรรมจริงๆ ทา นไมอ ยากยงุ ทานราํ คาญทา นไมอ ยาก ไป เพราะเสียเวลาบําเพ็ญเพียร นอกจากเปน “พระหากิน” นน่ั แลทอ่ี ยากไป เชน หลวง ตาบวั อยา งนน้ี ะ ไมแ นน ะอาจเปน ขรัวตา “กสุ ลา” กไ็ ดใ ครอยา ดว นเชอ่ื นกั ใหใชสติ ปญญาดวยดี “เฮอ! วนั นค้ี นตายนะ กสุ ลาอาหารวา งเถดิ วนั น!้ี ” มันอาจเปนไปได ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๓

๑๕๔ แตพระทานมุงอรรถมุงธรรมทานไมสนใจอะไร ทา นขเ้ี กยี จยงุ เวลาสอนให “กุ สลา ธมมฺ า” ไมส นใจ เวลาตายแลว มากวา นพระไป “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหย งุ ทาํ ไม? นน่ั ! ทา นวา อยา งน้ี เพราะทานแสวงธรรม ไมไดแสวงอะไรอื่นนี่ เอาละ เอวงั จบเสยี ที ขืนพูดไปมากคนเขาจะแชงเอา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๔

๑๕๕ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๔ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ อบุ ายฝก จติ ทางลดั มผี ถู ามปญ หาพอระลกึ ไดบ า งกป็ ญ หา “ปากคอก” นแ่ี หละ มอี ยกู บั ทกุ คน วา “โลกหนา มไี หม? โลกหนา กบั ผไู ปโลกหนา โลกหลงั อะไรเหลา น้ี มันก็ไมใชเรื่องของใคร แตเ ปน เร่อื งของเราทุกคนที่กําลงั แบกภาระอยนู ้ี มผี ถู ามอยา งนน้ั เราก็ถามเขาวา “เม่อื วานนม้ี ไี หม แลวเมื่อเชานี้มีไหม? ปจ จบุ นั ณ บดั น้ีมีไหม?” เขากย็ อมรับวา มี “แลว วนั พรุงนี้จะมีไหม วนั มะรนื เดอื นนเ้ี ดอื นหนา ปน ป้ี ห นา ปตอๆ ไปจะมีไหม? สง่ิ ทม่ี มี าแลว พอจาํ ไดก พ็ อเดาไปได ถึงเรื่องยังไมมาถึงก็ตาม ก็เอาสิ่งที่จําไดซึ่ง ผา นมาแลว มาเทยี บเคยี งกบั สง่ิ ทเ่ี คยมเี คยเปน มาแลว ขางหนาจะตองเปนไปตามที่เคย เปนมานี้ เชน เมอ่ื วานนม้ี มี าแลว วนั นก้ี ม็ ี มนั เคยผา นมาอยา งนเ้ี ปน ลาํ ดบั เรารแู ละจาํ ไดไมลืม แลว ตอนบา ย ตอนคาํ่ ตอนกลางคนื จนถงึ วันพรุงนีเ้ ชา เราก็เคยรูเคยเห็นมา แลว เรื่องมันเปนมาผานมาอยางนั้นซึ่งไมมีอะไรผิดกัน และยอมรบั วา มดี ว ยกนั ความสงสยั โลกนโ้ี ลกหนา หรอื เกย่ี วขอ งกบั ตวั ก็คอื ความหลงเรอ่ื งของตวั นน่ั แหละ มันจึงกลายเปนเรื่องใหญโ ต และกวนใจใหย งุ อยไู มห ยดุ ทว่ั โลกสงสาร วา “โลก หนา มไี หม? คนตายแลว ไปเกดิ อกี ไหม?” นน่ั มนั คกู นั กท็ ี่เกิดท่ตี ายน้คี ือใครละ ? กค็ อื เรานน่ั เองทเ่ี กดิ ทต่ี ายอยตู ลอดมา มาโลกนไ้ี ปโลกหนา กค็ อื เราจะเปน ใคร ถา ไมใ ช “สตั วโ ลก” ผูเปนนักทองเที่ยวนี้ ไมม ใี ครเปนผแู บกหามปญหาและภาระเหลาน!ี้ นี่โทษแหง ความหลง ความจําไมได มนั มาแสดงอยกู ับตวั เรา แตเ ราจบั สาเหตุ ของมนั ไมไ ดว า เปน มาเพราะเหตใุ ด สิ่งที่เปนมาที่ผานมาแลวมันก็จําไมได เรอ่ื งของ ตวั เลยหมนุ ตวั เอง พันตัวเอง ไมทราบจะไปทางไหน ความหลงตัวเองจึงเปนเรื่องยุง ยากอยไู มห ยดุ หลงสง่ิ อน่ื กย็ งั คอ ยยงั ชว่ั หลงตวั เองนี้มนั ปด ตันหาทางออกไมได ผลก็ สะทอ นกลบั มาหาตวั เราเองไมไ ปทอ่ี น่ื คอื นาํ ความทกุ ขม าสตู วั เรานน่ั แล เพราะความ สงสยั เชน นเ้ี ปน ปญ หาผกู มดั ตวั เอง มิใชปญหาเพื่อแกตัวเองใหหลุดไปไดเพราะความ สงสยั นน้ั ถาไมพิสูจนดวยธรรมทางจิตตภาวนาไมม หี วงั เขาใจได พระพุทธเจาจึงทรงสอนใหคลี่คลายดูเรื่องของตัว แตการจะคลี่คลายเรื่อง ของตวั นน้ั สาํ คญั มาก จะทาํ แบบดน เดาเอาดว ยวธิ คี าดคดิ หรอื ดว ยวธิ อี น่ื ใดไมส าํ เรจ็ ได! นอกจากจะทาํ คุณงามความดีขน้ึ มาโดยลาํ ดบั เปน เครื่องสนบั สนุน และยนเขา มาสู ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๕

๑๕๖ “จิตตภาวนา” เพื่อคลี่คลายดูเรื่องของตัว อนั รวมอยใู นวงของจติ ตภาวนา ซึ่งจะพาใหรู แจงแทงความสงสัยนั้นใหทะลุไปได พรอมทั้งผลอันเปนที่พึงใจ หายสงสยั ทง้ั การตาย เกิดตายสูญ เรอ่ื งของตวั คอื อะไร? ก็คือเรื่องของใจ ใจเปน ผแู สดง เปนผูกอ เหตุกอ ผลใสตวั อยตู ลอดเวลา ทงั้ ความสุขความทกุ ข ความยงุ เหยงิ วนุ วายตา งๆ สว นมากมกั แสดง ความผกู มดั ตวั เองมากกวา การบาํ รงุ สง เสรมิ ถา ไมใ ชค วามบงั คบั บญั ชาในทางทด่ี ี ใจ จึงมีแตความรุมรอนเปนผล คอื ความทกุ ขท เ่ี กดิ ขน้ึ จากความฟงุ ซา นวนุ วาย ใจคดิ สา ย แสไปในแงตางๆโดยหาเหตุหาสาระไมได แตผลที่จะพึงไดรับนั้น มนั เปน สง่ิ สาํ คญั อนั หนึ่งที่จะทําใหเราเกิดความทุกขความกระทบกระเทือนได จึงเปนเรื่องยากเรื่องหนัก สาํ หรบั บรรดาผยู งั หลงโลกหลงตวั เอง และตน่ื โลกตน่ื ตวั เองอยู โดยไมสนใจพสิ ูจนตัว เองดวยหลักธรรมอันเปนหลักรับรองความจริงทั้งหลาย เชน ตายแลว ตอ งเกดิ อกี เปนตน เมอ่ื ยงั มเี ชอ้ื ใหง อกทพ่ี าใหเ กดิ อยภู ายในใจ ตอ งเกดิ อีกอยูราํ่ ไปไมเปนอยางอ่นื เชน ตายแลว สญู เปนตน พระพุทธเจาทานทรงสอนใหดูตัวเรื่อง คอื ดใู จตวั เองผพู าใหเ กดิ ตาย ถายังไม เขา ใจกต็ อ งบอกวธิ กี ารในแงต า งๆ จนเปน ทเ่ี ขา ใจและปฏบิ ตั ไิ ดถ กู ตอ ง เฉพาะอยา ง ยิ่งการสอนใหภ าวนา โดยนําธรรมบทใดก็ตามมาบริกรรมภาวนา เพื่อใหจิตดวงที่หา หลักยึดยังไมได กาํ ลังวุนวายหาท่พี ึ่งยงั ไมเ จอ จนกลายเปนความหลงใหลใฝฝนไมมี ประมาณ ไดยึดเปนหลักพอตั้งตัวได และมคี วามสงบเยน็ ใจไมว อกแวกคลอนแคลน อนั เปน การทาํ ลายความสงบสขุ ทางใจทเ่ี ราตอ งการ เชน ทานสอนใหภาวนา “พุทโธ ธมั โม สังโฆ” หรือ “อฏั ฐิ เกสา โลมา” บทใดบทหนง่ึ ตามแตจ รติ ชอบ โดยความมสี ตคิ วบ คมุ ในคาํ บรกิ รรมภาวนาของตน อยา ใหเ ผลอสง ใจไปทอ่ี น่ื จากคาํ บรกิ รรมภาวนา เพื่อ ใหจ ติ ที่เคยสงไปในที่ตางๆ นน้ั ไดเ กาะหรอื อาศยั อยกู บั อารมณแ หง ธรรม คือคํา บรกิ รรมภาวนานน้ั ๆ ความรทู ี่เคยฟุงซานไปในอารมณตางๆ กจ็ ะรวมตวั เขา มาอยใู น จุดนั้น คือจิตซึ่งเปนที่รวมแหงความรู กระแสแหงความรูทั้งหมดจะรวมตัวเขามาสู อารมณแหงธรรม ทบ่ี รกิ รรมหรอื ภาวนาอยดู ว ยความสนใจ ก็เพราะบทธรรมบรกิ รรม อันเปน เครอ่ื งเกาะของจิต เปน เครือ่ งยึดของจิต ใหต ง้ั หลกั ขน้ึ มา เปน ความรอู ยา ง เดน ชดั เปน ลาํ ดบั นน้ั แล ฉะนน้ั ขน้ั เรม่ิ แรกของการภาวนา คาํ บรกิ รรมจงึ สาํ คญั มาก เมอ่ื ไดเ หน็ คณุ คา สารธรรม ทป่ี รากฏขน้ึ เปน ความสงบสขุ เชน นแ้ี ลว ในขณะ เดียวกันกเ็ หน็ โทษแหง ความฟงุ ซา นวนุ วายของจติ ทห่ี าหลกั ยดึ ไมไ ด และกอ ความ เดอื ดรอ นใหแ กต วั อยา งประจกั ษใ จในขณะนน้ั โดยไมตองไปถามใคร คณุ และโทษของ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๖

๑๕๗ จติ ทสี่ งบและฟุงซาน เราทราบภายในจติ ของเราเองดว ยการปฏิบัตจิ ิตตภาวนา นี่ เปน ขน้ั หนง่ึ อนั เปน ขน้ั เรม่ิ แรกทท่ี า นสอนใหร เู รอ่ื งของจติ แลว พยายามทาํ จติ ใหม คี วามสงบแนว แนล งไปเปน ลาํ ดบั ดว ยการภาวนากบั บท ธรรมดังที่กลาวมานี้ เจรญิ แลว เจรญิ เลา จนมคี วามชาํ นชิ าํ นาญ กระทั่งจิตสงบไดตาม ความตอ งการ ความสุขเกิดขึ้นเพราะใจสงบก็ยิ่งเดนชัดขึ้นทุกวันเวลา พอจิตสงบตัวขึ้น มาปรากฏเปน ความรเู ดน ชดั แลว ในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน การรวมกเิ ลสเขา มาสจู ดุ เดยี วกนั เพอ่ื เหน็ ไดช ดั และสังเกตความเคลื่อนไหวของมันไดงายขึ้น และสะดวกแก การแกก ารถอดถอนดว ยปญ ญา ตามขน้ั ของปญญาทีค่ วรแกก เิ ลสประเภทหยาบ กลาง ละเอยี ด ตามลาํ ดบั ไป คาํ วา “กเิ ลส” ซึ่งเปนเครื่องบังคับจิตใจใหฟุงซานไปในแงตางๆ จนคาํ นงึ คํานวณไมไดนั้น เราไมส ามารถทจ่ี ะจบั ตวั ของมนั ไดว า อะไรเปน กเิ ลส อะไรเปน จติ เปน ธรรม ตอ งอาศยั ความสงบของใจเปน พน้ื ฐานกอ น เมื่อจติ สงบตัวเขามา กเิ ลสก็ สงบตัวเขา มาดว ย เมอ่ื จติ หดตวั เขา มาเปน ตวั ของตวั หรอื เปน จดุ หมายพอเขา ใจได เรอ่ื งของกเิ ลสกร็ วมตวั เขา สวู งแคบในจดุ เดยี วกนั คือรวมตัวเขามาที่จิต ไมค อ ยออก เพน พา นกอ กวนจิตใจเหมอื นแตก อ นทจ่ี ติ ยงั ไมส งบ พอจิตสงบเย็นพอตง้ั ตวั ไดบ า ง แลว หรือตั้งตัวไดแลว จากนน้ั ทา นสอนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดอู าการตางๆ ของรา ง กายอนั เปน ทซ่ี มุ ซอ นของกเิ ลสทางดา นปญ ญาวา “จิตไปสนใจกับอะไร? ในขณะที่ไม สงบใจไปยงุ กบั เรอ่ื งอะไรบา ง?” แตใ นขณะทใ่ี จสงบเปน อยา งน้ี ไมก อ กวนตวั เอง แตปกตินิสัยของคนเรา พอมคี วามสงบสบายบา งมกั ขเ้ี กยี จ คอยแตล ม ลง หมอน ไมอ ยากคลค่ี ลายรา งกายธาตขุ นั ธด ว ยสตปิ ญ ญาเพอ่ื รคู วามจรงิ และถอดถอน กิเลสตางๆ ออกจากใจ โดยไมคํานึงวาการละการตัดกิเลสประเภทตางๆ ที่แทรกสิงอยู ในกายในขนั ธน น้ั ทา นละทา นถอนดว ยสตปิ ญ ญา สว นความสงบของจติ หรอื “สมาธ”ิ นน้ั เปน เพยี งการรวมตวั ของกเิ ลสเขา มาสวู งแคบเทา นน้ั มใิ ชเ ปน การละการถอน กเิ ลส จงึ กรณุ าทราบไวอ ยา งถงึ ใจ ใจขณะที่ยังไมสงบ มกั ไมย งุ กบั รปู เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส แลว นํามาเปน อารมณก วนใจ บรรดารปู เสยี ง ฯลฯ นั้น จิตไปหนักในอารมณอะไร ซึ่งพอทราบได ดวยสติปญญา ขณะพจิ ารณาจิตแสดงออกไปเก่ยี วของกบั อารมณอันใด กพ็ อทราบกนั ไดโดยทางสติปญญา เร่อื งราวของจิตกพ็ อมองเห็นได เพราะจติ เคยสงบ พอเริ่มออกไป สูอารมณตางๆ กท็ ราบ ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดว ยปญ ญาเพอ่ื ใหท ราบวา สง่ิ ทจ่ี ติ ไปเกย่ี วขอ งนน้ั คอื อะไรบา ง พยายามดูใหรูใหเห็นอยางชัดเจนดวยสติปญญาขณะ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๗

๑๕๘ ออกพจิ ารณา เวนแตข ณะทาํ ใจใหส งบโดยทางสมาธกิ ไ็ มพ จิ ารณา เพราะ “สมาธ”ิ กบั “ปญ ญา” นน้ั ผลดั เปลย่ี นทาํ งานคนละวาระ ดงั ทไ่ี ดเ คยอธบิ ายแลว ขณะที่พิจารณา “รูป” คอื รปู อะไรทใ่ี จไปเกย่ี วขอ งมากกวา เพอ่ื น เพราะเหตุใด? ดรู ูปขยายรูป แยกสว นแบง สว นรปู นน้ั ใหเห็นชัดเจนตามความจริงของมัน เม่ือแยก แยะสว นรปู จะเปนรูปอะไรก็ตาม ใหเห็นตามเปนจริงของมันดวยปญญา ในขณะเดียว กนั กจ็ ะไดเ หน็ ความเหลวไหลหลอกลวงของจติ ทไ่ี ปยดึ มน่ั ถอื มน่ั สาํ คญั ผดิ ตา งๆ โดย หาสาเหตุอะไรไมได หามูลความจริงไมได เพราะเมอ่ื พจิ ารณาละเอยี ดแลว ไมม อี ะไร เปน สาระตามทใ่ี จไปสาํ คญั มน่ั หมาย มแี ตค วามสําคญั ของจิตไปลมุ หลงเขาเทา น้นั เมอ่ื พจิ ารณาแยกแยะสว นตา งๆ ของรางกาย “เขา” หรอื รา งกาย “เรา” ออกดโู ดย ละเอยี ดถถ่ี ว นแลว ไมเ หน็ สาระอะไร ใจกเ็ หน็ โทษของความสาํ คญั มน่ั หมาย ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ของใจไปเอง เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนเทาไรก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งรูป และเสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัสตางๆ ทง้ั อาการของจติ ทไ่ี ปเกย่ี วขอ งกบั อาการนน้ั ๆ จนรูแจงเห็นชัดดวยปญญา เพราะคลค่ี ลายอยอู ยา งสมาํ่ เสมอทง้ั ภายนอกและภายใน รู แจงเห็นชัดอาการของจิตทางภายในที่ไปเกี่ยวของวา เปนเพราะเหตุนั้นๆ อันเปนเร่อื ง เหลวไหลทั้งเพ แตก อนไมทราบวามันเก่ียวของกนั เพราะเหตุไร ตอ มากท็ ราบชดั วา มนั ไปเกย่ี ว ของเพราะเหตุนั้นๆ คือเพราะความหลงความสําคัญผิด เมื่อพิจารณาตามความจริง เหน็ ความจรงิ ในสง่ิ ภายนอกแลว กท็ ราบชดั ทางภายในวา “จิต ไปสาํ คญั วา สภาวธรรม ตางๆ เปน อยา งนน้ั ๆ จงึ เกดิ อปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั หรอื เกดิ ความรกั ความชงั ขน้ึ มา เปนกิเลสเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ ใจก็ทราบถึงความเหลวไหลของตน จิตเมอ่ื ทราบวาตวั เปน ผูลมุ หลงเหลวไหลแลวกถ็ อนตัวเขามา เพราะแมจะฝน คิดไปยึดมั่นถือมั่น สง่ิ เหลานั้นก็ถูกปญญาแทงทะลไุ ปหมดแลว ไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั หา อะไร! การพจิ ารณาทราบชดั แลว วา สง่ิ นน้ั เปน นน้ั สง่ิ นเ้ี ปน น้ี ตามความจริงของแตละสิ่ง ละอยา ง นีแ่ หละคือวิธีคลี่คลาย “กองปญ หาใหญ” ทร่ี วมแลว เปน ผลคอื กองทกุ ขภ าย ในใจ ทา นสอนใหค ลค่ี ลายอยา งน้ี เม่อื ปญญาคล่ีคลายอยูโดยสม่าํ เสมอไมล ดละ จนเขาใจแจมแจงชัดเจนแลว ไม ตอ งบอกใหป ลอ ย จิตรแู ลว ปลอ ยเอง ยอ มปลอ ยเอง จิตที่ยึดคือจิตที่ยังไมรูไมเขาใจ ดวยปญญา เมื่อรูอยางเต็มใจแลวก็ตองปลอยเต็มที่ ไมม อี าลยั เสยี ดาย ความกงั วลทง้ั หลายทจ่ี ติ เคยกงั วลเสยี ดายนน้ั กห็ ายไปเอง เพราะปญญาสอดสองมองทะลุเห็นแจง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๘

๑๕๙ เห็นชัดไปหมดแลวจะไปงมอะไรอีก ปญหาของใจทีเ่ คยกวา งขวางก็แคบเขามา เกย่ี วกบั เรื่องตางๆ ภายนอกกห็ มดไป ๆ เขาทํานองที่เคยเทศนนั้นเอง จากนน้ั กม็ าคลค่ี ลายดจู ติ อนั เปน ทร่ี วมของกเิ ลสสว นละเอยี ดวา แยบ็ ออกไป หาเรอ่ื งอะไรบา ง?” และ “แยบ็ ออกไปจากทไ่ี หน? มอี ะไรเปน เครอ่ื งผลกั ดนั ใหจ ติ คิดปรุงเรอื่ งตา งๆข้นึ มา?” พอสตปิ ญ ญาทนั ความคดิ ปรงุ ทแ่ี ยบ็ ออกในขณะนน้ั มนั ก็ ดบั ในขณะนน้ั ไมถ งึ กบั เปน เรอ่ื งเปน ราวอะไรขน้ึ มาใหย งุ ยากเหมอื นแตก อ น เพราะ สตทิ นั ปญ ญาทนั คอยตีตอนปราบปรามกนั อยูเสมอ เพราะขยบั ตามรอ งรอยแหง ตน เหตเุ ขา ไปเรอ่ื ยๆ จนถึง “ตน ตอกเิ ลส” วา มอี ยู ณ ทใ่ี ดกนั แน ลกู เตา หลานเหลน กเิ ลสมนั ออกมาจากไหน สัตวตางๆ ยังมีพอแม พอ แมข องกเิ ลสเหลา นค้ี อื อะไร? และ อยทู ไ่ี หน? ทําไมจึงปรุงแลวปรุงเลา คิดแลวคิดเลา ทาํ ใหเ กดิ ความสาํ คญั มน่ั หมาย ขยายทุกขอยูไมหยดุ ไมถอย? ความจริงการคิดปรุงก็คิดปรุงขึ้นที่จิต ไมไ ดค ดิ ปรงุ จากที่อนื่ จงพิจารณาตาม เขา ไปโดยลาํ ดบั ๆ ไมล ดละรอ งรอยอันจะเขาหาความจรงิ จนถงึ ตวั นคี่ อื การคิดคนดู เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั มวลดว ยกาํ ลงั ของสตปิ ญ ญาอยางแทจริง จนทราบวา จิตนีไ้ ดขาด จากสง่ิ ใดแลว สง่ิ ใดทย่ี งั มคี วามสมั ผสั สมั พนั ธ และสนใจอยากรอู ยากเหน็ กนั อยเู วลาน้ี จงึ ตามสอ่ื ตามเชอ้ื นเ้ี ขา ไป กเิ ลสกน็ บั วนั เวลาแคบเขา มา ๆ เพราะถกู ตดั สะพานท่ี สบื ตอ กบั รูป เสียง กลน่ิ รส เครอ่ื งสมั ผสั สมั พนั ธ และสิ่งตางๆ ทั่วโลกดินแดน ออก จากใจดวยสติปญญาไปเรื่อยๆ จนหายสงสัย เหมอื นโลกภายนอกไมม ี เหลือแต อารมณท ี่ปรงุ ยบิ แยบ็ ๆ ไปภายในจติ เทา นน้ั ซึ่ง “กษตั รยิ ใ หญต วั คะนอง” กอ็ ยทู น่ี ้ี ตัว ปรุงแตง ตวั ดน้ิ รนกระวนกระวายนอ ยใหญ จึงอยูที่นี่ แตก อ นใจดนิ้ ไปไหนบางก็ไมทราบ ทราบแตผลท่ปี รากฏขึน้ มาเทาน้ัน ซึ่งไม เปนที่พึงใจเลยทุกระยะไป คือมีแตความทกุ ขซึ่งโลกไมต อ งการกนั ใจเราเองก็แบกแต กองทกุ ขจ นหาทางออกไมไ ด เพราะไมทราบเงื่อนแกเ งื่อนไขกัน ทนี พ้ี อทราบแลว เรื่อง เหลา นี้คอยหมดไปส้นิ ไป ก็ยิ่งรูชัดเห็นชัดที่จิต ซึ่ง”อวชิ ชา” มาแสดงเปนตัวละคร เปน ตวั เรอ่ื งราวอยภู ายในตวั เอง หาทีย่ ดึ ที่เกาะอะไรกบั ภายนอกไมไ ด เปน แตแ สดงอยภู าย ในตัว เพราะเหตุใดจึงไมยึดไมเกาะ ก็เพราะสติปญญาเขาใจและหวานลอมไวแลว จะ ไปยึดไปเกาะอะไรไดอีก เรื่องมันก็มีแต “ยบิ แยบ็ ๆๆ” อยเู ฉพาะภายในจติ ยงิ่ เหน็ ได ชดั กาํ หนดเขาไปพิจารณาเขาไป คยุ เขย่ี ขดุ คน ดว ยสตปิ ญ ญาเขาไปจนรอบตัว ทุก ขณะทอ่ี าการของจติ เคลอ่ื นไหวไมม กี ารพลง้ั เผลอ ดังสติปญญาขั้นเริ่มแรกที่ลมลุก คลกุ คลาน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕๙

๑๖๐ ความเพยี รขณะนไ้ี มว า ทกุ อริ ยิ าบถเสยี แลว แตก ลายเปน ทุกขณะทจี่ ิตกระเพอื่ ม ตวั ออกมา สตปิ ญ ญาตอ งรทู ง้ั ขณะทก่ี ระเพอ่ื มออก รูทั้งขณะที่ดับไป เรื่องราวที่จะเกิด ขึ้นขณะที่จิตปรุงแตงและสําคัญมั่นหมายจึงไมมี เพราะสติปญญาประเภทจรวดดาว เทียมตามทันกัน พอกระเพื่อมก็รู รูแลวก็ดับ เรื่องราวไมเกิดไมตอ เกิดขึ้นมาขณะใดก็ ดับไปพรอมขณะนั้น ไมแ ตกกง่ิ แตกกา นออกไปไหนได เพราะถกู ตดั สะพานออกแลว จากเรื่องภายนอกดวยปญญา เมอ่ื สตปิ ญ ญาคน ควา อยอู ยา งไมล ดละไมท อ ถอย ดว ยความสนใจอยากรอู ยาก เหน็ และอยากทาํ ลายสง่ิ ที่เปนภัย ทใ่ี หก อ กาํ เนดิ เกดิ เปน สตั วเ ปน บคุ คล พาทอง เทย่ี วในวฏั สงสาร คอื อะไรกนั ? อะไรเปน เหตเุ ปน ปจ จยั ใหส บื ตอ และมอี ยทู ไ่ี หน เวลาน้?ี นี่เรียกวา “คยุ เขย่ี ขดุ คน ” จิตอวชิ ชาดวยสตปิ ญญา กไ็ มพ น ทจ่ี ะรจู ะเหน็ และ ตดั ขาดตวั เหตปุ จ จยั อนั สาํ คญั ทก่ี อ ทกุ ขใ หแ กส ตั วโ ลก คอื กเิ ลสอวชิ ชา ที่แทรกอยู ในจติ อยา งลกึ ลบั นี้ไปได นน่ั ! เหน็ ไหม อาํ นาจของสตปิ ญ ญา ศรัทธา ความเพียรขั้นนี้ ทีผ่ ูปฏิบัตทิ งั้ หลายไมเ คยคาดคดิ มากอ น วาจะเปนไปไดถงึ ขนาดนี้ ทีนี้กิเลสเริ่มเปดเผยตัวขึ้นมาแลว เพราะไมมีที่หลบซอน รูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส ซ่ึงเปน ท่เี คยหลบซอ นแตกอนไมมแี ลว เพราะไดตัดสะพานออกหมดแลว กม็ ที ห่ี ลบซอ นอยเู ฉพาะจิตแหง เดยี วเทา นน้ั คอื จติ เปน ทห่ี ลบซอ นของ “อวชิ ชา” เมื่อ คนควาลงไปที่จิตจนแหลกแตกกระจายไปหมดไมมีอะไรเหลือ เหมอื นกบั พจิ ารณา สภาวธรรมทว่ั ๆ ไปที่เคยดําเนินมาโดยทางปญญา “จติ อวชิ ชา” นก่ี ถ็ กู พจิ ารณาแบบ นน้ั สุดทายกเิ ลสช้นั ยอดคืออวชิ ชา จอมกษตั รยิ ข องวฏั จกั ร กแ็ ตกกระจายออกจากใจ หมด! ทนี เ้ี ราจะไมท ราบยงั ไงวา ตวั ไหนเปน ตวั กอ เหตใุ หเ กดิ ภพนน้ั ภพน้ี สว นจะ เกิดที่ไหนไมเกิดที่ไหนนั้นไมสําคัญ สาํ คญั ทต่ี วั นเ้ี ปน ตวั เหตใุ หเ กดิ ตายอยางประจกั ษ ใจ นแ้ี ลการพสิ จู นก ารตายแลว เกดิ อกี หรอื ตายแลว สญู ตองพิสูจนตัวจิตดวย การปฏบิ ตั ติ ามหลกั จติ ตภาวนา ดังพระพุทธเจาและสาวกทรงปฏิบัติและทรงรูเห็น ประจักษพระทัยมาแลว อยา งอน่ื ๆ ไมม ที างรไู ด อยา พากนั ลบู คลาํ ดน เดาเกาหมดั จะ กลายเปนขี้เรื้อนเปอนไปทั้งตัว โดยไมเกิดผลใดๆ เลย เมอ่ื ถงึ ขน้ั น้ี เรยี กวา ไดท าํ ลายความเกดิ ซง่ึ เปน เชอ้ื สาํ คญั อยภู ายใน ออกโดยสน้ิ เชิงแลว ตั้งแตบัดนี้เปนตนไปไมมีสิ่งใดจะสืบตอกอแขนงไปอีกแลว สติปญญาขั้น “ธรรมภิสมัย” ทราบไดอยา งสมบรู ณ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๐

๑๖๑ นแ่ี หละทว่ี า “โลกหนา มไี หม?” คอื ตวั นแ้ี ลเปน ผไู ปจบั จองโลกหนา ตวั นแ้ี ลเปน ผเู คยจองโลกทผ่ี า นมาแลว ตวั นแ้ี ลเปน ตวั ทเ่ี คยเกดิ เคยตายซาํ้ ๆ ซากๆ ไมห ยดุ ไมถ อย จนไมส ามารถจดจาํ เรอ่ื งความเกดิ ความตาย ความสขุ ความทุกข ความลาํ บากมากนอ ย ในภพกาํ เนดิ นน้ั ๆ ของตนได คือตัวนี้แล! กรณุ าจาํ หนา ตาของมนั ไวใ หถ งึ ใจ และขดุ คน ฟน ลงไปอยา งสะบน้ั หน่ั แหลกอยา ออมแรง จะเปนการทําอาหารไปเลี้ยงมันใหอิ่มหมีพีมัน แลว กลบั มาทาํ ลายเราอกี เมื่อประมวลกิเลสทั้งหลายก็มาอยูที่จิตดวงเดียว รวมกันที่นี่ ทาํ ลายกนั ทน่ี ่ี พอ ทาํ ลายมนั เสรจ็ สน้ิ ลงไปโดยไมมีอะไรเหลือแลว ปญ หาเรอ่ื งความเกดิ ความตาย ความทกุ ขค วามลาํ บาก อนั เปน ผลมาจากความเกดิ ความตายน้ีกไ็ มม ี รูไดอยางชัดๆ โดย “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” อยางเต็มภูมิ เรอ่ื งโลกหนา มีไหม? กห็ มดปญ หา โลกทเ่ี คยผา นมาแลว กล็ ะมาแลว โลกหนา ก็ ตดั สะพานขาดกระเด็นออกไปหมดแลว ปจจุบันก็รูเทา ไมม อี นั ใดเหลอื อยใู นจติ นน้ั เลย ขน้ึ ชอ่ื วา “สมมุติ” แลวแมละเอียดเพียงไร! นแี่ ลคอื จิตที่หมดปญหาแท! การแกป ญ หา ใหจิตก็แกที่ตรงนี้ เมื่อแกตรงนี้หมดแลวจะไมมีปญหาอะไรอีก! โลกจะกวา งแสนกวา งหรอื มกี จ่ี กั รวาลนน้ั เปน เรอ่ื งหนง่ึ ตา งหากของ “สมมุติ” ซึ่งหาประมาณไมได ใจทร่ี รู อบตวั แลว ไมย งุ เกย่ี วดว ย เร่อื งสาํ คญั ที่ทําความกระทบกระเทอื นแกต นอยูเสมอมาไมล ดละกระทั่งปจจบุ ัน และจะเปนไปขางหนาก็คือเรื่องของจิต ตวั มภี ยั ฝง จมอยภู ายในตวั นเ้ี ทา นน้ั เมอ่ื แกภ ยั นอ้ี อกหมดแลว ก็ไมมีอะไรจะเปนพิษเปนภัยตอไปอีก เรอ่ื งโลกหนา โลกหลงั จะมหี รอื ไมมนี ั้นหมดความสนใจท่ีจะคดิ เพราะทราบอยางถึงใจแลววาตัวนี้หมดปญหาที่จะไป สบื ตอ ในโลกไหนๆ อกี แลว นแ่ี หละการเรยี นแกป ญ หาตนเอง จงแกลงที่ตรงนี้จะมี ทางสิ้นสุดลงได ทง้ั ไมเ ปน โทษภยั แกต วั และผอู น่ื แตอ ยา งใด พระพุทธเจาก็ทรงแกที่ตรงนี้ สาวกอรหตั อรหนั ตท า นกแ็ กท ต่ี รงน้ี รูกันที่ตรงนี้ ตัดไดขาดโดยสิ้นเชิงที่ตรงนี้ การประกาศองคศ าสดาขน้ึ มาวา “เปน ผสู น้ิ แลว จากทกุ ข เปน ศาสดาเอกของโลก” กป็ ระกาศขน้ึ มาจากความรแู ละความหมดเรอ่ื งอนั นเ้ี อง การ เรยี น”โลก” จบก็จบลงที่จิตอันนี้เอง! การเรียนธรรมจบก็จบโดยสมบูรณที่ตรงนี้ “โลก” คอื หมสู ตั ว สตั วแ ปลวา “ผูของ” ของอยูที่จิต ตัดขาดกันตรงนี้ เรียนรูกัน ทน่ี ่ี สาวกอรหตั อรหนั ตก เ็ รยี นรกู นั ทน่ี อ่ี ยา งเตม็ ใจ หมดปญ หา! ทา นเหลา นเ้ี ปน ผแู ก ปญ หาตก ไมมีสิ่งใดเหลือหลอเลย ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๑

๑๖๒ พวกเราเปน ผูรับเหมากองทุกขท ้ังมวล เปน ผรู บั เหมาปญ หาทง้ั มวล แตไ มย อม แกป ญ หา มแี ตจ ะกวาดตอ นเขา มาแบกหามอยตู ลอดเวลา กองทุกขจึงเต็มที่หัวใจอะไร ก็ไมเทา เพราะไมหนกั เทาหวั ใจท่แี บกกองทุกข การแบกกองทกุ ขแ ละปญ หาทง้ั หลาย มนั หนกั ทห่ี วั ใจ เพราะเรียนไมจบ แบกแตก องทกุ ขเ พราะความลมุ หลง! เรื่อง “วชิ ชา” คือ ความรจู รงิ ไดป รากฏขน้ึ แลว และทาํ ลายสง่ิ ทเ่ี ปน ภยั ทง้ั หมดออกจากใจแลว ชื่อวา ‘เปนผูเรียนจบ” โดยหลักธรรมชาติ ไมมีการเสกสรรปนยอ ทั้งที่หลอกตัวเองใหลุมหลงเพิ่มเขาไปอีก แตการเรียน “ธรรมในดวงใจ” จบ เปน การ ลบลา งความลมุ หลงออกไดโ ดยสน้ิ เชงิ ไมม ซี ากเหลอื อยเู ลย คาํ วา ‘ไตรภพ” กามภพ รูปภพ อรปู ภพ กห็ มดปญ หาลงในขณะนน้ั เพราะมนั อยทู ใ่ี จ “กามภพ” กค็ อื จติ ใจทก่ี อ ตวั ดว ยสง่ิ นน้ั (กาม) “รูปภพ อรูปภพ” กค็ อื สมมุติสิ่ง นน้ั ๆ ในสามภพนฝ้ี ง อยทู ใ่ี จ เมอ่ื ใจไดถ อดถอนสง่ิ เหลา นอ้ี อกไปแลว กเ็ ปน อนั หมด ปญ หา นแ่ี กป ญ หาแกท ต่ี รงน้ี โลกนโ้ี ลกหนา อยทู น่ี ่ี เพราะการกาวไปในโลกไหนๆ กอ็ ยู ทน่ี ่ี จะกา วไปรบั ทกุ ขม ากนอ ย ก็ตัวจิตนี้แล กงจกั รเครอ่ื งพดั ผนั มอี ยภู ายในใจน้ีไม มใี นทอ่ี น่ื พระพุทธเจาจึงทรงสอนลงที่จุดอันถูกตองเหมาะสมที่สุด คอื ใจ อนั เปน ตวั การ สาํ คญั สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นม้ี อี ยกู บั ใคร ถา ไมม อี ยกู บั เราทกุ ๆ คน การแกถ า ไมแ กท ต่ี รง นจ้ี ะไปแกท ไ่ี หนกนั ? สตั วโ ลกจาํ เปน ทจ่ี ะตอ งไปตามโลกนน้ั ๆ ดว ยอาํ นาจแหง กรรมด-ี ชว่ั ทม่ี อี ยู กบั ใจ ผทู จ่ี ะไปสโู ลกสกู องฟน กองไฟคอื ใจน้ี ถา ไมแ กต รงนแ้ี ลว กไ็ มพ น จะไปโดนกอง ไฟคือความทุกขรอ น ถา แกต รงนไ้ี ดแ ลว กไ็ มม ปี ญ หาวา ไฟอยทู ไ่ี หน เพราะรกั ษาตวั ได แลว มันก็มีเทานั้น! เหลา นเ้ี ปน โลกหนกั มากสาํ หรบั มวลสตั ว ปญหาอะไรเกดิ ขึ้นมันก็ เกิดขึ้นที่ตรงนี้ วา “ตายแลว เกดิ หรอื ตายแลว สญู ” “โลกหนา มไี หม?” นรกมไี หม? สวรรคมีไหม? “บาป บญุ มีไหม?” ไปทไ่ี หนมแี ตค าํ ถามวา “นรก สวรรค มีไหม?” เราขี้เกียจจะตอบ ไมทราบจะ ตอบไปทาํ ไมกนั กผ็ แู บกนรก สวรรค กค็ อื หวั ใจซง่ึ มอี ยกู บั ทกุ คนอยแู ลว จะตอบไป ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาทาํ ไมกนั เพราะเราไมไดเปน “สมุหบัญชนี รก สวรรค น”่ี แกตัวเหตุที่จะไปนรกสวรรคนี่ซ!ิ แกเ หตชุ ว่ั และบาํ รงุ เหตดุ ี คําวา “ทุกข” มนั ก็ ไมม ี ถา แกถ กู จดุ แลว มนั จะผดิ ไปไหน! เพราะ “สวากขาตธรรม” สอนใหแ กถ กู จดุ ไม ผิดจุด! คาํ วา “นยิ ยานกิ ธรรม” กเ็ ปน เครอ่ื งนาํ ผทู ต่ี ดิ อยใู นความทกุ ขร อ นดว ยอาํ นาจ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๒

๑๖๓ แหง ความลมุ หลงออกไป ดวย “สวากขตธรรม” อยแู ลว จะแกท ไ่ี หนถา ไมแ กท จ่ี ติ ปญ หาอนั ใหญโ ตกม็ อี ยทู จ่ี ติ นเ่ี ทา นน้ั ความรอู นั นแ้ี หละ หยาบกอ็ ยกู บั ความรนู ้ี ละเอยี ดกอ็ ยกู บั ความรนู ้ี ทาํ ใหค นหยาบทาํ ใหค นละเอยี ดกค็ อื ความรนู ้ี เพราะกเิ ลส เปน ผหู นนุ หลงั ทําใหค นละเอยี ดใจละเอียด ก็เพราะความดีเปนเครื่องหนุน ละเอยี ด จนกระทง่ั สดุ ความละเอยี ดแลว กส็ ดุ สมมตุ ิ ยตุ ดิ ว ยความพน ทกุ ข ไมม เี ชอ้ื สบื ตอ อกี ตอไป มปี ญ หาทม่ี คี นมกั ถามอยเู สมอวา การแกค วามขเ้ี กยี จจะแกว ธิ ไี หน? ถา จะเอา ความขี้เกียจไปแกความขี้เกียจ มนั กเ็ ทา กบั สอนคนนน้ั ใหเ ปน ขา ศกึ กบั ทน่ี อนหมอนมงุ ดว ยการนอนจนไมร จู กั ตน่ื และเหมอื นคนนน้ั ตายแลว นน่ั เอง เพราะความขี้เกียจมันทํา ใหอ อ นเปย กไปหมดเหมอื นคนจะตายอยแู ลว จะเอาความขเ้ี กยี จไปแกค วามขเ้ี กยี จ อยา งไรกนั เมอ่ื ไดทีน่ อนดๆี กเ็ ปน เครอ่ื งกลอ มใหค นนอนจมแบบตายแลว นน่ั เอง ตาย อยบู นหมอน นะ ! จะวายังไง! ตน่ื แลว กย็ งั ไมย อมลกุ กค็ วามขเ้ี กยี จมนั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย และบงั คบั ไมใ หล กุ น่ี การเอาความขเ้ี กยี จไปแกค วามขเ้ี กยี จมนั กเ็ ปน อยา งนน้ั แหละ ถาเอาความขยันหม่ันเพียรเขาไปแก กล็ กุ ปบุ ปบ ขน้ึ มาสกู นั ถา มกี ารตอ สมู นั กม็ ี หวงั ชนะจนได ถา ยอมหมอบราบไปเลยมนั กม็ แี ตแ พท า เดยี ว แตจะเรียกวา “แพ” หรือ เรียกอะไรก็เรียกไมถูก เพราะไมม กี ารตอ สจู ะวาแพอยางไรได ถา มกี ารตอ สู สูเขาไมได เชน คนนี้แพ คนนน้ั ชนะ แตน หี่ าทางตอ สูไมม เี ลย ยอมราบไปโดยถา ยเดยี ว จะไมวา “บอ ยกลางเรือนของกเิ ลส” จะวาอะไร? มัน กบ็ อ ยกลางเรอื นของมนั นน่ั แหละ จะเอา ความขเ้ี กยี จจนเปน บอ ยมนั ไปแกก เิ ลส กย็ ง่ิ กลบั เสรมิ กเิ ลสใหม ากมนู ยง่ิ ขน้ึ จะวา ยงั ไง! โดยปกตมิ นั กเ็ ตม็ หวั ใจอยแู ลว จะสงเสริมใหม ากมายอะไรอีก จะเอาไปไวที่ตรงไหน? ใจก็มีดวงเดียว นอกจากจะแกม นั ออกพอใหห ายใจไดบ า ง ไมย อมใหม นั นง่ั ทบั นอนทบั จมูกจนหายใจไมไดตลอดไป จงปลดเปลื้องมันออกพอใหม องดูตวั เองไดบ างวา ‘โอโห! นบั แตเ รม่ิ ภาวนามา วนั นเ้ี หน็ เหลนของกเิ ลส คอื ตวั ขเ้ี กยี จ หลดุ ลอยจากตวั ไปหนง่ึ สะเกด็ เทา กนั กบั สะเกด็ ไมห ลดุ ออกจากตน ของมนั วนั นพ้ี อดตู วั เองไดบ า ง ไมมีแตกิเลสเอาปากเอาจมูกไปใช เสียหมด นาโมโห!” ความขยนั หมน่ั เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายาม โดยทางเหตุผลที่เกิดประโยชน เปน ทางของปราชญท า นดาํ เนนิ กนั แมย ากลาํ บากเรากส็ ู เหมอื นถอนหวั หนามออกจาก เทาของเรา เจ็บก็ตองทนเอา ถาจะยอมใหมนั ฝงจมอยอู ยางน้นั ฝาเทาก็จะเนาเฟะไปทั้ง เทาแลวกาวไปไหนไมไดเลย และเสียกระทั่งเทาดวย เพราะฉะนน้ั เหตผุ ลมอี ยอู ยา ง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๓

๑๖๔ เดียว คอื ตอ งถอนหนามออกใหไ ด! เจบ็ ขนาดไหนตอ งอดทน ถอนหนามออกใหไ ด เหตุผลนี้ตองยอมรับ เมอ่ื ถอนออกหมดแลว มนั กห็ มดพษิ ใสยาลงไปเทาก็จะหายเจ็บ ไมม กี ารกําเริบอกี ตอไปเหมือนท่หี นามยงั จมอยู กเิ ลสกค็ อื หวั หนามเราดๆี นเ่ี อง เราจะยอมใหมันฝงจมอยูในหัวใจตลอดเวลา มนั กฝ็ ง จมอยอู ยา งนน้ั ใจเนาเฟะอยูใน “วฏั สงสาร” เปนทน่ี าเบอื่ หนา ยรําคาญไมมีทส่ี น้ิ สดุ เราตองการอยูหรือ? การเปน คนเนา เฟะนะ จงถามตัวเองอยาไปถามกิเลส จะเพิ่ม โทษเขาอีก ถา ไมต อ งการตอ งตอ สมู นั เมื่อตอสูแลวตองมีทางชนะจนได หรอื จะแพก ่ี ครั้งก็ตาม แตจะตองมีทางชนะมันครั้งหนึ่งจนได ลงชนะครั้งนี้ตอไปก็ชนะไปเรื่อยๆ ชนะๆๆ เรื่อยไปเลย กระทั่งไมมีอะไรจะมาใหเราตอสู เพราะกเิ ลสหมดประตสู แู ลว ! คาํ วา “ชนะ” นน้ั ชนะอะไร! กช็ นะความขเ้ี กยี จดว ยความขยนั ชนะกเิ ลสดว ยวริ ยิ ธรรมนะซี แลว กพ็ น จากทกุ ข นแ่ี หละการแกป ญ หาเรอ่ื งความเกดิ ตาย คอื แกท ด่ี วงใจ มจี ดุ นเ้ี ทา นน้ั ทค่ี วรแกท ส่ี ดุ เปนจดุ ที่เหมาะสมอยางยิ่ง เปน จดุ ทถ่ี กู ตอ งในการแก แกท ่ี ตรงนี้ แกที่อื่นไมมีทาง จะสําคัญมั่นหมายไปตงั้ กัปตงั้ กลั ป กแ็ บกปญ หาพาเกดิ พาตาย พาทกุ ขพ าลาํ บากไปอยนู น่ั แหละ จึงไมค วรหาญคิดดน เดาเสียเวลาและตายเปลา เพราะ เปน “อฐานะ” คือสิ่งเปนไปไมไดตามความคาดหมายดนเดา วา “ทุกขไมมี บญุ บาปไมม ี หรือทุกขมี บญุ บาปม”ี เรากเ็ สวยกนั อยทู กุ คนไมม ี การหลกี เวน ได คาํ วา ‘บาป” กค็ อื ความเศรา หมองความทกุ ข “คาํ วา บญุ ” กค็ อื ความสขุ ความสบายใจนน่ั เอง กม็ อี ยใู นกายในใจของคนทกุ คนแลว จะปฏเิ สธอยา งไร? คาํ วา “บญุ ” กช็ อ่ื ความสขุ นน้ั แลทา นใหช อ่ื วา ‘บญุ ” ความทกุ ขท า นใหช อ่ื วา “บาป” ทั้งบุญทั้ง บาปเรากส็ มั ผสั อยทู กุ วนั เวลา จะอยโู ลกนห้ี รอื ไปโลกหนา กต็ อ งเจอ “บญุ บาป” อยโู ดย ดี! นรกหรอื ไมน รกกต็ ามเถอะ ถามีทุกขอยูเต็มกายเต็มใจแลว ใครอยากมาเกดิ มา เจอละ? เรารอู ยดู ว ยกนั อยา งน้ี จะไปถามเร่อื งนรกนเรกทไี่ หนอกี เลา เพราะอยดู ว ยกนั อยา งน้ี ทกุ ขม นั เผาอยทู ไ่ี หนกร็ อ นเชน เดยี วกบั ไฟจน้ี น่ั แล จี้เขาตรงไหนก็จี้เขาซิ มัน ตอ งรอ นเหมอื นกนั หมด จะวา นรกหรอื ไมน รกกต็ ามใจ แตใ ครกไ็ มต องการ เพราะ ความทกุ ขร อู ยกู บั ตวั จะหาสวรรคท ไ่ี หน? ใหย งุ ยากในหวั ใจละ เจอความสุขซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม เฉพาะอยา งยง่ิ คอื ความสขุ ทางใจ นับตั้งแตความสงบเย็นใจขึ้นไปโดยลําดับ จนกระทั่งตั้งหลักตั้งฐานของจิตไดแนนหนา มน่ั คงภายในใจ แนใ จในตวั เอง ยง่ิ กวา นน้ั เราไดห ลดุ พน ไป แลว จะไปถามหาทไ่ี หน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๔

๑๖๕ สวรรค นพิ พานนะ ไมจําเปนตองถาม เรารอู ยกู ับใจของเรา เราเปนเจาของใจ ซึ่งเปน ตวั เหตตุ วั การอยอู ยา งชดั ๆ และครองกนั อยเู วลาน้ี จะไปหากนั ทไ่ี หนอกี ชอ่ื นรกสวรรค นะ งมหาอะไร! เราไดต วั มนั แลว กอ็ ยกู บั ตวั นน่ั ซิ เรื่องก็มีเทานั้น ธรรมของพระพุทธเจาไมได หลอกคนใหล บู นน้ั คลาํ น้ี เอาตัวจริงที่ตรงน!ี้ เอาละ การแสดงกเ็ หน็ วา สมควรฯ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๕

๑๖๖ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๘ อบุ ายชาํ ระจติ ใหเ ปน ธรรม จิตที่ไดชําระดวยดีมีความผองใสเปนประจํา ขณะทเี่ ราอยใู นสถานทท่ี ีเ่ งียบๆ ไม มีเสียงตางๆ ปรากฏเลย เชน เวลากลางคนื ดกึ สงดั จิตทั้งๆ ที่ไมรวมไมสงบลงเปน สมาธกิ ต็ าม เมอ่ื กาํ หนดดทู จ่ี ดุ แหง ความรนู น้ั จะเหน็ วา เปน ความละเอยี ดออ นมากท่ี สุดจนพูดอะไรไมถูก ความละเอยี ดนน้ั เลยกลายเปน เหมอื นกบั รศั มแี ผก ระจายไป รอบตวั และรอบทศิ สิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กไ็ ม ปรากฏในขณะนน้ั ทั้งๆ ทจ่ี ติ ไมไ ดร วม ไมไ ดเ ปน องคแ หง สมาธิ แตเ ปน ฐานมน่ั คง ของจติ ทช่ี าํ ระกนั ดว ยดมี าแลว แสดงความรคู วามสงา งามออ ยอง่ิ ใหเ ดน ชดั อยภู าย ในตวั เอง ความรชู นดิ นเ้ี หมอื นไมม รี า งมกี ายเปน ทอ่ี าศยั อยเู ลย เปน ความรทู ล่ี ะเอยี ด มาก เดน อยเู ฉพาะตวั แมจิตไมรวมเปนสมาธิก็ตาม เพราะความละเอียดของจิต เพราะความเดนของจิต เลยกลายเปน ความรเู ดน ทไ่ี มม ภี าพนมิ ติ ใดๆ มาปรากฏ รู เดนอยูโดยลําพังตนเอง นเ่ี ปน ระยะหนง่ึ ของจติ อกี ระยะหนง่ึ จิตท่ไี ดช ําระดว ยดีแลวน้หี ยงั่ เขาสูความสงบ ไมคิดไมปรุงอะไร พักกิริยาคอื ความกระเพ่ือมความคิดความปรงุ ตางๆ ภายในจติ พกั โดยส้นิ เชงิ เหลือ แตค วามรลู ว นๆ ทเ่ี รยี กวา “จติ เขาสคู วามสงบ” ยิ่งไมมีอะไรๆ ปรากฏเลย จะปรากฏ เฉพาะความรนู น้ั อยา งเดยี ว เหมอื นครอบโลกธาตไุ ปหมด เพราะกระแสของจติ ไม เหมอื นกระแสของไฟ กระแสของไฟมที ส่ี น้ิ สดุ มรี ะยะใกลห รอื ไกลตามกาํ ลงั ของไฟ เชน แสงสวา งของไฟฟา ถา แรงเทยี นสงู กส็ วา งไปไกล แรงเทยี นตาํ่ กส็ วา งใกล แตกระแสจิตนี้ไมเปนเชนนั้น คาํ วา “ใกล ไกล”ไมมี ทพ่ี ดู ไดช ดั ๆ กว็ า ไมม ี กาลสถานทน่ี น่ั แหละ จิตครอบไปไดหมด ไกลกเ็ หมอื นใกล ใกลห รอื ไกลพดู ไมถ กู เหน็ แตค วามรนู น้ั ครอบไปหมดสดุ ขอบจกั รวาล โลกทั้งโลกเลยปรากฏมแี ตความรูอัน เดียวเทานั้น เหมือนไมมีอะไรเลยในความรูสึก ทง้ั ทท่ี กุ สง่ิ ทกุ อยา งทเ่ี คยมกี ม็ อี ยตู าม ปกติของตน นี่แหละอํานาจของจิต กระแสของจติ ทช่ี าํ ระสง่ิ ปด บงั มวั หมองออกไป แลว เปน อยา งนน้ั ยิ่งจติ มคี วามบริสุทธิห์ มดจดดว ยแลว อนั นย้ี ง่ิ พดู ไมถ กู เลย ไมทราบจะพูดจะ คาดวา อยา งไร เพราะไมใชสิ่งที่คาดไมใชสิ่งที่หมาย ไมใชสิ่งที่จะนํามาพูดไดเชนสมมุติ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๖

๑๖๗ ทว่ั ๆ ไป เนอ่ื งจากสง่ิ นน้ั ไมใ ชส มมตุ แิ ลว เปน วสิ ยั ของผมู ใิ ชส มมตุ ิ รูเรื่องความไม ใชส มมตุ ขิ องตนเทา นน้ั จงึ นาํ มาพูดอะไรไมไ ด ทีนี้โลกเต็มไปดวยสมมุติ พูดอะไรก็ตองมีภาพสมมุติขึ้นมาเปรียบเทียบทุกๆ เรื่องไป เชนเห็นจะเปน อยา งนนั้ เห็นจะเปนอยางนี้ หรอื เปน อยา งนน้ั เปนอยา งน้ี คลา ยกบั สง่ิ นน้ั เปนตน ยกตัวอยางเชน ยกคาํ วา “นพิ พาน” ขน้ึ มาพดู เร่ืองของกเิ ลส สามญั คือจิตสามัญธรรมดาเรา จะตอ งคาดวา นพิ พานจะตอ งกวา งขวางเวง้ิ วา งไปหมด ไมมีอะไรปรากฏอยูในนั้นเลย แตไมไดคิดในคําวา ‘นพิ พาน” ที่เปนคําสมมุติที่ยังมีหลง เหลอื อยู ดไี มด กี อ็ าจคดิ ไปวา มแี ตผคู นทีบ่ ริสุทธ์ิเดนิ ขวักไขวกันอยใู นพระนพิ พานนนั้ เทาน้นั ซึ่งมีทั้งหญิงทั้งชายเพราะถึงความบริสุทธิ์ดวยกัน มีแตพ วกทบี่ รสิ ทุ ธ์เิ ทาน้นั เดิน ขวกั ไขวก นั ไปมา หรอื นง่ั อยอู ยา งสะดวกสบายผาสกุ เจรญิ ไมมีความโศกเศราเหงา หงอยเขา ไปเกย่ี วขอ งพวั พนั เหมอื นโลกสมมตุ เิ รา ที่เต็มไปดวยความทุกขวุนวาย ความจริงหาไดทราบไมวา ความที่วามีผูหญงิ ผชู ายทบี่ รสิ ุทธเ์ิ ดินขวักไขว หรือ นั่งอยูตามธรรมชาติตามธรรมดาของตน ดว ยความสขุ ความเกษม ไมมีอะไรเขาไปยุง กวนนน้ั กเ็ ปน สมมตุ อิ นั หนง่ึ ซง่ึ เขา กบั “วิมุตต”ิ นพิ พานแทๆ ไมไ ด การทน่ี าํ มา กลาวในสิ่งที่สุดวิสัยของสมมุติ แมผ นู น้ั ไมส ดุ วสิ ยั แหง ความรกู ต็ าม เปน วสิ ยั แหง ความ รขู องตนดวยดกี ็ตาม แตไมสามารถที่จะนําออกมาพูดไดในทางสมมุติ พดู ออกมากต็ ี ความหมายไปผดิ ๆ ถกู ๆ เพราะตามธรรมดาจิตก็คอยแตจะผิดอยูแลว หรอื ยงั มคี วาม ผดิ ภายในตวั อยู พอแยบ็ อะไรออกมากต็ อ งคาด และดนเดาไปตามความเขาใจที่ไมถูก ตอ งไมแ นน อนเสมอไป อยางพระยมกพูดกับพระสารีบุตรวา “พระอรหนั ตต ายแลวสญู ” เพราะพระ ยมกเปน ปถุ ชุ นอยู พระสารีบุตรเปนพระอรหันต และเปนผูชี้แจงใหฟงยังไมยอมเขาใจ จนพระพุทธเจา เสด็จมาชี้แจงใหฟงเสียเอง แมเชนนั้นถาจําไมผิดก็ปรากฏวาพระยมก ยังไมเขาใจตามความจริงที่ทรงชี้แจงนั้น ตามคัมภีรวา พระยมกก็ดูเหมือนไมไดสําเร็จ มรรคผลนิพพานอะไร แตตองมีเหตุผลพระพุทธเจาจงึ จะทรงแสดง หากไมม คี วาม หมายในการแสดงนั้นพระองคจะไมแสดงเลย เพราะธรรมบางอยางแมผูฟงนั้นจะไมได รับประโยชนเทาที่ควร แตผอู นื่ ท่เี กีย่ วของยอ มไดร ับ วสิ ยั ของพระพทุ ธเจา เปน อยา งนน้ั จะรับสั่งเรื่องอะไรออกมาตองมีเหตุมีผล คือมีสิ่งที่จะไดรับประโยชนสําหรับผูฟง จงึ จะ ทรงแสดงออกมา หากไมมีอะไรเลยก็ไมทรงแสดง นี่เปนเรื่องของพระพุทธเจาที่พรอมดวยเหตุดวยผล รูรอบขอบชิดทุกสิ่งทุก อยา ง ไมพูดไปแบบปาวๆ เปลาๆ เหมอื นโลกทว่ั ๆ ไป เพราะฉะนั้นในเวลารับสั่งอะไร กับพระยมกนน้ั เราชกั ลมื เสียแลว เพราะผา นเรอ่ื งนม้ี านานแลว จนลืมวามีใครไดผล ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๗

๑๖๘ บา งในเวลานน้ั หรือวาพระยมกก็ได น่สี งสยั ไมแนใจแลว เรามาถอื เอาตอนทว่ี า “พระ อรหนั ตต ายแลว สญู ” เปน ธรรมอนั สาํ คญั กแ็ ลว กนั พระองคทรงแสดงวา “พระอรหนั ตเปนรูปหรือถึงตายแลวสูญจากรูป พระ อรหนั ตเ ปน เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ” หรือ พระอรหันตเปน ดนิ นาํ้ ลม ไฟหรือ เมอ่ื ตายแลว จงึ ไดส ญู จากสง่ิ นน้ั ๆ” รับสั่งถามไปเรื่อย สรปุ ความแลว วา รูปไมเที่ยง รูป กส็ ลายไป,เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ไมเที่ยง กม็ คี วามสลายไป เมอ่ื เรอ่ื งของ สมมุติ เปนไปตามสมมุติอยางนั้น สว นเรอ่ื งของ “วิมุตต”ิ คอื เร่อื งของความบรสิ ทุ ธ์ิ จะใหเ ปน อยา งนน้ั ไมไ ด เพราะไมใ ชอ นั เดยี วกนั จะนาํ เรอ่ื ง “วิมุตติธรรม” หรือ “วิมุตติจติ ” เขามาคละเคลา หรอื มาบวกกบั ขนั ธห า ซง่ึ เปน เรอ่ื งของสมมตุ ยิ อ มไมถ กู ไมใชฐานะจะเปนไปได ขนั ธ หา เปน สมมตุ ขิ น้ั หนง่ึ จติ แบบเปน “สามญั จติ ” กเ็ ปน สมมตุ ขิ น้ั หนง่ึ ความละเอยี ดของจิต ละเอียดจนอัศจรรย แมขณะที่ยังมีสิ่งพัวพันอยู กอ็ อก แสดงความอัศจรรยตามขั้นภูมิของตนใหเห็นไดอยางชัดเจน ยิ่งสิ่งที่พัวพันทั้งหลาย หมดไปแลว ก็จิตนั้นแลเปนดวงธรรม หรอื ธรรมนนั้ แลคอื จติ หรือจิตนั้นแลคือ ธรรม ธรรมทั้งแทงก็คือจิตทั้งดวง จิตทั้งดวงก็คือธรรมทั้งแทงอยูโดยดี ทนี ก้ี ส็ มมตุ ิ อะไรไมไ ด เพราะเปน ธรรมลว นๆ แลว แมทา นจะครองขันธอ ยู ธรรมชาตนิ น้ั กเ็ ปน อยา งนน้ั โดยสมบรู ณ ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธอ ยอู ยา งพวกเราๆ ทา นๆ นเ้ี อง ใครมีรูปลักษณะมีกิริยามารยาท มจี รติ นสิ ยั อยา งใด ก็แสดงออกตามจริตนิสัยของตน ตามเรื่องของสมมุติที่มีการแสดง ตวั อยา งนน้ั จึงนาํ มาคละเคลา ใหเปนอนั หนง่ึ อนั เดยี วกันไมได เมื่อจิตหลุดพนแลว ธรรมชาติของ “วมิ ตุ ต”ิ นน้ั เปน อกี อยา งหนง่ึ ขนั ธโ ลกกเ็ ปน อกี โลกหนง่ึ แมใ จทบ่ี รสิ ทุ ธจ์ิ ะอยใู นโลกแหง ขนั ธ ก็เปน “จิต วิมุตต”ิ อยตู ลอดเวลา จะเรียกวา “โลกุตรจิต” ก็ไมผิด เพราะอยเู หนอื สมมตุ คิ อื ธาตุ ขนั ธแ ลว “โลกุตรธรรม” คอื ธรรมเหนอื โลก ทา นถงึ ทราบไดใ นเรอ่ื งความสบื ตอ ของจติ เมื่อชําระเขามาโดยลําดับๆ ยอ มเหน็ เงอ่ื นตน เงอ่ื นปลาย เห็นความแสดงออกของ จติ วา หนกั ไปทางใด ยงั มอี ะไรเปน เครอ่ื งใหส บื ตอ หรอื เกย่ี วขอ งกนั อยู ทา นกท็ ราบ ทานทราบชัด เมอ่ื ทราบชดั ทา นกห็ าวธิ ตี ดั วธิ ปี ลดเปลอ้ื งสง่ิ ทส่ี บื ตอ นน้ั ออกจากจติ โดยลําดับ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๘

๑๖๙ เวลากเิ ลสมนั หนาแนน ภายในจติ มดื ดาํ ไปหมด ระยะนไ้ี มท ราบวา จติ เปน อะไร และสง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งพวั พนั คอื อะไร เลยถอื เปน อนั เดยี วกนั หมด ทั้งสิ่งที่มา ขอ งทง้ั ตวั จติ เองคละเคลา เปน อนั เดยี วกนั ไมมีทางทราบได ตอ เมอ่ื ไดช าํ ระสะสางไป โดยลําดับๆ จึงมีทางทราบไดเปนระยะๆ ไป จนทราบไดอยางชัดเจนวา เวลานี้จิตยังมี อะไรอยภู ายในตวั มากนอ ย แมย งั มอี ยนู ดิ กท็ ราบวา มอี ยนู ดิ เพราะความสืบตอใหเห็น ชัดเจนวา นค่ี อื เชอ้ื ทจ่ี ะทาํ ใหไ ปเกดิ ในสถานทใ่ี ดทห่ี นง่ึ ซง่ึ บอกอยภู ายในจติ เมื่อได ทราบชดั อยา งนก้ี ต็ อ งพยายามแกไ ข ดว ยวธิ กี ารตา งๆ ของสติปญญา จนกระทั่งสิ่งนั้น ขาดไปจากจิตไมมีอะไรติดตอกันแลว จิตก็เปนจิตที่บริสุทธิ์ลวนๆ หมดทางติดตอ เห็น ไดอยางชัดเจนแลว นี่คือ “ผูหลุดพนแลว” นค่ี อื ผไู มไ ดต าย เพราะการปฏิบัติจริง เปนผูรูจริงๆ ตามหลักความจริง เห็นไดชัดเจนประจกั ษ ใจ ทานพูดจริงทําจริงและรูจริง แลว นาํ สง่ิ ทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ ออกมาพดู จะผิดไปไดอยาง ไร! พระพุทธเจาของเราแตกอนพระองคก็ไมทรงทราบวาเคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เกิด เปนอะไรบาง แมป จ จบุ นั จติ มคี วามตดิ ตอ เกย่ี วเนอ่ื งกบั อะไรบา ง เพราะกิเลสมีมากตอ มาก ในระยะนั้นพระองคก็ยังไมทราบไดเหมือนกัน ตอเมื่อทรงบําเพ็ญ จนกระทั่งตรัสรูเปนธรรมทั้งดวงขึ้นมาในพระทัยแลว จึง ทราบไดชัด เมื่อทรงทราบอยางชัดเจนแลว จงึ ทรงนาํ ความจรงิ อนั นน้ั ออกมาประกาศ ธรรมสอนโลก และใครผูที่จะสามารถรูธรรมประเภทนี้ไดอยางรวดเร็ว กท็ รงเล็งญาณ ทราบ ดังทา นทราบวา ดาบสท้งั สองและปญจวัคคยี ทัง้ หา มีอุปนิสัยพรอมจะบรรลุธรรม อยแู ลว เปนตน แลวเสด็จมาโปรดปญจวัคคียทั้งหา ก็สมพระประสงคที่ทรงกําหนด ทราบดวยพระญาณไวแ ลว ทานเหลานี้ก็ไดบรรลุธรรมเปนขั้นๆ โดยลาํ ดบั จนกระทั่งบรรลุธรรมเปน “พระ ขณี าสพ” ดว ยกนั ทง้ั ๕ องค เพราะเอาของจริงออกมาแสดงตอ ผูมุงความจริงอยูด วยกนั อยางเต็มใจอยูแลว จึงรับกันไดง าย ผูตองการหาความจริงกับผูแสดงความจรงิ สมดุล กนั แลว เมอ่ื แสดงออกตามหลกั ความจรงิ ผูนั้นจึงรับไดอยางรวดเร็ว และรูตามพระ องคเปนลําดับจนรูแจงแทงตลอด บรรดากเิ ลสทม่ี อี ยมู ากนอ ยสลายตวั ไปหมด คว่ํา “วฏั จกั ร” ลงไดอ ยา งหายหว ง นี้แลผูรูจริงเห็นจริงแสดงธรรม ไมวาจะเปนแงธรรมเกี่ยว กับทางโลกหรือทางธรรม ยอมเปนที่แนใจได เพราะเห็นมาดวยตา ไดย นิ มาดว ยหู ได สมั ผสั ดว ยใจตวั เอง แลวจาํ นํามาพูดจะผิดไปไหน ผิดไมได เชนรสเค็ม ไดท ราบทล่ี น้ิ แลว วา เคม็ พดู ออกมาจากความเคม็ ของเกลอื นน้ั จะผดิ ไปไหน รสเผ็ด พริกมันเผ็ด มา สมั ผสั ลน้ิ กท็ ราบแลว วา พรกิ นเ้ี ผด็ แลว พดู ออกดว ยความจรงิ วา พรกิ นเ้ี ผด็ จะผิดไปที่ ตรงไหน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖๙

๑๗๐ การรูธรรมก็เหมือนกัน ปฏิบัติถึงขั้นที่ควรรูตองรูเปนลําดับลําดา รธู รรมหรอื การละกิเลสยอมเปน ไปในขณะเดียวกันนน้ั กเิ ลสสลายตวั ลงไป ความสวา งทถ่ี กู ปด บงั อยนู น้ั กแ็ สดงขน้ึ มาในขณะเดยี วกนั กบั กเิ ลสสลายตวั ไป ความจริงไดปรากฏอยางชัด เจน กเิ ลสซง่ึ เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ กท็ ราบอยา งชดั เจน แลวตัดขาดไดดวย “มรรค” อนั เปนหลักความจริง คือสติปญญา แลวนํามาพูดมาแสดงเพื่อผูฟงดวยความตั้งใจตองเขา ใจ ธรรมเหลานี้พระองคแสดงไว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ ไมไ ดน อกเหนอื ไป จาก “เบญจขนั ธข องเรา” มใี จเปน ประธานสาํ หรบั รบั ผดิ ชอบชว่ั ดที กุ สง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ ง สัมผัส ธรรมแมจะมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธก็ตาม ทา นแสดงไปตามอาการ ของจิต อาการของกเิ ลส อาการของธรรม เพื่อบรรดาสัตวทม่ี ีนิสยั ตา งๆ กนั จึง ตอ งแสดงออกอยา งกวา งขวางถงึ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ เพื่อใหเหมาะสมกับจริต นสิ ยั นน้ั ๆ จะไดนําไปประพฤติปฏิบัติและแกไขตนเองในวาระตอไป และควรจะทราบ ไวว า ผูฟงธรรมจากผูรูจริงเห็นจริง ควรจะแกก เิ ลสอาสวะได ในขณะสดับธรรมจาก พระพุทธเจาและพระอรหันต หรอื ครอู าจารยท ง้ั หลาย โดยไมเ ลอื กกาลสถานท่ี ธรรมทั้งหลายรวมลงที่จิต จิตเปนภาชนะที่เหมาะสมอยางยิ่งในธรรมทุกขั้น การ แสดงธรรมมีอะไรเปนเครื่องเกี่ยวเนื่องพัวพันกันอยู ที่จําตองพูดถึงสิ่งนั้นๆ เพอ่ื ความ เขา ใจและปลอ ยวาง สาํ หรบั ผฟู ง ทง้ั หลายกม็ ธี าตขุ นั ธ รูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส ภายนอกอันหาประมาณมิได เขามาเกี่ยวของกับตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ของเรา ซึ่งเปน ภายในตัวเรา จึงตองแสดงทั้งภายนอกแสดงทั้งภายใน เพราะจิตหลงและติดไดทั้งภาย นอกและภายใน รกั ไดช งั ไดท ัง้ ภายนอกภายใน เมอื่ แสดงใหท ราบตามเหตผุ ลท้งั ขางนอกขางในตามหลกั ความจรงิ จิตที่ ใครครวญหรือพิจารณาตามหลักความจริงอยูโดยเฉพาะแลว ตองทราบไดโดยลําดบั และปลอยวางได เมอ่ื ทราบสง่ิ ใดแลว กย็ อ มปลอ ยวางสง่ิ นน้ั และหมดปญ หาในการทจ่ี ะ พสิ จู นพ จิ ารณาอกี ตอ ไป คือสิ่งใดที่เขาใจแลว ส่งิ น้นั กห็ มดปญหา เพราะเมื่อเขาใจแลว กป็ ลอ ยวางสง่ิ นน้ั ๆ ปลดปลอ ยไปเรอื่ ยๆ เพราะความเขา ใจถงึ ความจรงิ ของสิ่งน้นั ๆ โดยสมบูรณแลว การพจิ ารณาธรรมในขน้ั ทค่ี วรแคบกแ็ คบ ในขน้ั ทค่ี วรกวา งกต็ อ งกวา งขวางเตม็ ภูมิจิตภูมิธรรม ดงั นน้ั ใจของนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมทค่ี วรใหอ ยใู นวงแคบ กต็ อ งจาํ กดั ใหอ ยใู น วงนั้น เชน การอบรมในเบอ้ื งตน จติ มแี ตค วามวา วนุ ขนุ มวั อยตู ลอดเวลาหาความ สงบสขุ ไมไ ด จึงตองบังคับใหจิตอยูในวงแคบ เชน ใหอ ยกู บั คาํ บรกิ รรม “พุทโธ” หรอื ลมหายใจเขา ออก เปนตน เพื่อจะตั้งตัวไดดวยบทบริกรรม เพอื่ ความสงบนัน้ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๐

๑๗๑ เปน บาทเปน ฐานหรือเปน รากฐานของใจพอตั้งตัวไดในการปฏิบัติตอไป จึงตองสอน ใหจ ิตมีความสงบจากอารมณตา งๆ ดวยธรรมบทใดบทหนึ่งตามจริตชอบไปกอน พอ เปน ทพ่ี ักผอ นหยอนใจทางความสงบ เมื่อจิตไดรับความสงบเพราะธรรมบทนั้นๆ พอเปนปากเปนทางแลว กเ็ รม่ิ พนิ จิ พิจารณาปญญา ความรกู ค็ อ ยแตกแขนงออกไปโดยลาํ ดบั หรือตีวงกวางออกไปจนไมมี ประมาณ เมอ่ื ถงึ กาลอนั ควรทจ่ี ะพกั จติ ดว ยสมาธภิ าวนา กก็ าํ หนดทาง “สมถะ” ดว ยบท ธรรมดงั ทเ่ี คยทาํ มาแลว โดยไมต อ งสนใจทางดา นปญ ญาแตอ ยา งใด ในขณะนน้ั ตง้ั หนา ตั้งตาทําความสงบดวยธรรม บทที่เคยเปนคูเคียงของใจ หรอื ทเ่ี คยไดป ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความ สงบมาแลว กาํ หนดธรรมบทนน้ั เขา ไปโดยลาํ ดบั ดว ยความมสี ติควบคุม จนปรากฏเปน ความสงบขึ้นมา แลว มคี วามสขุ ความเยน็ ใจ เรยี กวา “การพกั ผอ นหยอ นจติ ดว ยสมาธิ ภาวนา” เมอ่ื จติ ถอนออกจากการพกั สงบนน้ั แลว ปญ ญากต็ อ งคลค่ี ลายพจิ ารณาดสู ง่ิ ตางๆ อันใดที่ควรจะพิจารณาในระยะใดเวลาใด กพ็ จิ ารณาในเวลานน้ั ๆ จนเปนที่เขา ใจ เมอ่ื ปญ ญาไดเ รม่ิ ไหวตวั เพราะพลงั คอื สมาธเิ ปน เครอ่ื งหนนุ แลว ปญ ญาจะตอ ง ทาํ การพจิ ารณาอยา งกวา งขวางโดยลาํ ดบั ๆ ตอนนป้ี ญ ญาจะวา กวา งกก็ วา ง ธรรมจะวา กวา งกก็ วา งตอนน้ี ปญ ญามคี วามเฉลยี วฉลาดมากนอ ยเพยี งใด ก็ยิ่งพิจารณากระจาย ออกไปจนรูเ หตุรูผลในสภาวธรรมทง้ั หลายตามความเปน จรงิ แลว หายสงสยั และปลอ ย วางไปโดยลาํ ดบั ตามขน้ั ของสตปิ ญ ญาทค่ี วรแกก ารถอดถอนกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ออก จากใจเปน ลาํ ดบั ๆ ไป จิตคอยถอนตวั เขา มาสวู งแคบเทา ที่เหน็ จําเปนโดยลาํ พงั ไมต อ งถกู บงั คบั เหมอื นแตก อ น ก็เมื่อพิจารณารูตามความเปนจริงแลว จะไปพัวพันไปกังวลกับสิ่งใดอีก เลา เทา ทก่ี งั วลวนุ วายนน้ั ก็เพราะความไมเขาใจจึงไดเปนเชนนั้น เมื่อเขาใจดวยปญญา ที่ไดพิจารณาคลี่คลายเห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ แลว จติ กถ็ อยและปลอ ยกงั วลเขา มา เรื่อยๆ จนกลายเปนวงแคบเขามา ๆ จนถงึ ธาตถุ งึ ขนั ธถ งึ จติ ตวั เองโดยเฉพาะ ระยะนี้ จติ ทาํ งานในวงแคบ เพราะตัดภาระเขามาโดยลําดับแลว ธาตขุ นั ธม อี ะไรบา ง? แจงลงไป ทั้งรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ พิจารณา จนหายสงสยั ในเงอ่ื นหนง่ึ เงอ่ื นใดกต็ าม เชน พิจารณาในรูป เร่อื งเวทนานนั้ ก็เปนอัน เขาใจไปตามๆ กนั หรือพิจารณาเวทนา กว็ ง่ิ มาถงึ รปู ถึงสัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ อันมี ลักษณะเชนเดยี วกนั เพราะออกจากกระแสจิตอนั เดียวกัน สรปุ ความแลว ขนั ธท ง้ั หา ทา นกบ็ อกวา “เปนคลังแหงไตรลักษณ หรือเปนกองแหงไตรลักษณ” ทง้ั สน้ิ อยา ง สมบรู ณอ ยแู ลว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๑

๑๗๒ มสี ง่ิ ใดทค่ี วรจะถอื เอา รูปธาตุรูปขันธ รูปทั้งปวง กเ็ ปน กองแหง ธาตอุ ยแู ลว เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตล ะอยา ง ก็เปนเพียงนามธรรม ปรากฏ “ยบิ แยบ็ ๆๆ” แลว หายไปในขณะๆ จะถอื เปนสาระแกน สารอะไรจากสิง่ เหลานเี้ ลา ปญญา หยั่งทราบเขาไปโดยลําดับคือทราบความจริง และซง้ึ ถงึ จติ จรงิ ๆ แลว กป็ ลอ ยวางดว ย ความรูซึ้งนั้น คอื ปลอ ยวางอยา งถงึ ใจ เพราะรอู ยางถงึ ใจก็ปลอ ยอยา งถงึ ใจ งานกแ็ คบ เขาไป ๆ ตามความจาํ เปน ของการทาํ งานทางดานปญ ญา นแ่ี หละการพจิ ารณาและรวู ถิ ที างเดนิ ของจติ ทไ่ี ปเกย่ี วขอ งกบั อารมณต า งๆ ยอมทราบเขา มาและปลอ ยวางเขา มาโดยลําดบั ตัดทางเสือโครงที่เคยออกเที่ยวหากิน ดงั ทา นวา ไวใ นหนงั สอื ธรรมบทหนง่ึ “ตัดทางเสือโครงออกเที่ยวหากิน” คอื ออกจากทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปเทีย่ วเก่ียวขอ งกบั ทางรปู ทางเสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส แลว กวา นเอาอาหารทเ่ี ปน พษิ เขา มาเผาใจ ปญญาจึงตอ งเทย่ี วพจิ ารณา ตามรูป ตามเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เพื่อตัดทางเสือโครงที่เคยหากิน โดยการ คิดคนเขาไป ๆ ตามสายทางเสอื โครง เสอื ดาวทช่ี อบเทย่ี วทางน้ี ทา นวา คนเขามาตัด ทางของมันเขามา จนกระทั่งเอาเสือโครงเขาใสกรงได คอื “อวชิ ชา” ทเ่ี ปรยี บเหมอื น เสือโครงเขารวมตัวในจิตดวงเดียว กเิ ลสอาสวะท้งั มวลรวมลงในจิตดวงเดยี ว กง่ิ กา น สาขาตัดขาดไปหมด เหลือแตจิต กิเลสอยูในจิตดวงเดียว ไมม ที อ่ี อกเทย่ี วเพน พา นหา อาหารกนิ ไดด งั แตก อ น “จิตอวิชชา” นจ้ี ะวา เปน เหมอื นลกู ฟตุ บอลกไ็ ด เพราะปญญาคลี่คลายถีบเตะไป เตะมาจนแตกแหลกละเอียด คอื กเิ ลสอวชิ ชาแตกกระจายภายในนน้ั จติ ขน้ั นเ้ี ปน ขน้ั รวมตวั ของกเิ ลส ขณะท่ีถกู ปญญาคลีค่ ลายไปมา จงึ เหมอื นลกู ฟตุ บอลถกู ถบี ถกู เตะ นน่ั แหละ ถกู เตะไปเตะมาอยใู นวงขนั ธเสยี จนแตกกระจายดว ยปญ ญา เมอ่ื จติ ทเ่ี ปน “สมมตุ ”ิ แตกกระจายไป จิตที่เปน “วมิ ตุ ต”ิ กแ็ สดงตวั ขน้ึ มาอยา งเตม็ ท่ี ทาํ ไมจงึ เรยี กวา “จติ เปน สมมตุ ิ” กบั “จติ เปน วมิ ตุ ติ” เลา ? มนั กลายเปน จติ สองดวงอยางนั้นเหรอ? ไมใ ชอ ยา งนน้ั ! จิตดวงเดียวนั้นแหละที่มี “สมมตุ ิ คือกิเลส อาสวะครอบอยนู น้ั ” เปนจิตลักษณะหนึ่ง แตเมื่อไดถูกชําระขยี้ขยําดวยปญญาจนจิต ลกั ษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแลว สวนจิตแทธรรมแทที่ทนตอการพิสูจนไ มได สลายไปดว ย สลายไปแตส ง่ิ ทเ่ี ปน “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” ทแ่ี ทรกอยใู นจติ เทา นน้ั เพราะกิเลสอาสวะแมจะละเอียดเพียงใดก็ตาม มันกเ็ ปน “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา” และ เปน “สมมุต”ิ อยโู ดยดนี น่ั แล ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๒

๑๗๓ เมอ่ื สง่ิ นส้ี ลายไป จติ แทเหนือสมมุติจึงปรากฏตัวอยางเต็มที่ ทีเ่ รยี กวา “วิมุตติ จติ ” สง่ิ นแ้ี ลทา นเรยี กวา “จติ บริสุทธ”์ิ ขาดจากความสบื ตอ เกย่ี วเนอ่ื งใดๆ ทง้ั สน้ิ เหลอื แตค วามรลู ว นๆ ทบ่ี ริสุทธสิ์ ดุ สว นอยา งเดียว ความรลู ว นๆ นี้ เราพดู ไมไ ดว า เปน จดุ อยู ณ ทใ่ี ดในรา งกายเรา แตก อ น เปน จดุ เดน รูเห็นไดอยางชัดเจน เชน สมาธิ เราก็ทราบวาอยใู นทา มกลางอก ความรู เดนอยูตรงนั้น ความสงบเดนอยูที่ตรงนั้น ความสวา งความผอ งใสของจติ เดนอยทู ต่ี รง นั้นอยางชัดเจนโดยไมตองไปถามใคร บรรดาทา นผมู จี ติ สงบเปน ฐานแหง สมาธแิ ลว จะ ปรากฏชดั เจนวา จุดผูรเู ดน อยใู นทามกลางอกนีจ้ ริงๆ ทั้งสิ้น ไมม กี ารถกเถยี งกนั วา อยมู นั สมอง เปน ตน ดงั ทผ่ี ไู มเ คยรเู หน็ ทางดา นสมาธภิ าวนาพดู กนั หรอื ถกเถยี งกนั เสมอในที่ทั่วไป ทนี เ้ี วลาจติ นก้ี ลายเปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว จดุ นน้ั หายไป จึงพูดไมไดวาจิตอยู เบื้องบน เบอ้ื งลา ง หรอื อยสู ถานทใ่ี ด เพราะเปนความรูที่บริสุทธิ์ดวย เปนความรูที่ ละเอียดสุขุมเหนือสมมุติใดๆ ดวย แมเชนนั้นก็ยังแยกเปนสมมุติมาพูดวา “ละเอยี ด สดุ ” ซึ่งไมตรงตอความจริงนั่นนักเลย คาํ วา “ละเอียดสุด” นม่ี นั ตอ งเปน สมมตุ อิ นั หนง่ึ นะ ซิ พดู ไมไ ดว า อยสู งู อยตู าํ่ มจี ดุ มตี อ มอยทู ไ่ี หน ไมม เี ลย! มีแตความรูเทานั้นไมมี อะไรเขาไปแทรกซึม แมจ ะอยใู นธาตใุ นขนั ธซ ง่ึ เคยคละเคลา กนั มากอ น กไ็ มเ ปน เชน นน้ั อกี แลว กลบั เปน คนละโลกไปแลว ! ทราบไดอยางชัดเจน ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ จิตก็เปนจิต กายกเ็ ปนกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทม่ี อี ยภู ายในรา งกายน้ี ก็เปนขนั ธแ ตล ะอยางๆ สว นเวทนาในจติ นน้ั ไมม ี นบั แตจ ติ ไดห ลดุ พน กเิ ลสทง้ั มวลไปแลว เพราะฉะนน้ั คาํ วา “ไตรลกั ษณ” ใดก็ ตามซง่ึ เปน ตวั สมมตุ ิ จึงไมมใี นจิตดวงนั้น จติ ดวงนน้ั ไมม กี ารเสวยเวทนา นอกจาก “ปรมํ สขุ ํ” อนั เปนธรรมชาติของตัวเอง และคาํ วา “ปรมํ สุข”ํ ไมใ ชส ขุ เวทนา ทท่ี า นวา “นพิ ฺพานํ ปรมํ สขุ ’ํ พระนิพพานเปนสุขอยางยิ่ง คาํ วา “สุขอยางยิ่ง” นน้ั ไมใ ชส ขุ เวทนา เหมอื นเวทนาของจติ ทย่ี งั มกี เิ ลส และเวทนาของกายซึ่งเปนสุข เปนทุกขแสดงอยูเสมอๆ “ปรมํ สุข”ํ นน้ั ไมใ ชเ วทนาเหลา น้ี ทานนักปฏิบัติพึงทราบ อยา งถงึ ใจ และปฏบิ ตั ใิ หร ดู ว ยตวั เองนน่ั แลจะหมดปญหา สมดังธรรมทานวา “สนทฺ ฏิ  ฐิโก” ซึ่งไมทรงผูกขาดไวโดยเฉพาะพระองคผูเดียว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๓

๑๗๔ จิตที่ “บรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆแลว ” เราจะเรียกวา “จิตมีเวทนา” จึงเรียกไมได จติ นไ้ี มม ี เวทนา คาํ วา “ปรมํ สขุ ”ํ นน้ั เปน สขุ ในหลกั ธรรมชาตแิ หง ความบรสิ ทุ ธ์ิ จึงหา อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เขา ไปแทรกใน “ปรมํ สขุ ํ” นน้ั ไมไ ด นพิ พานเทย่ี ง ปรมํ สขุ ํ เที่ยง อนั เดยี วกนั ทา นวา “นพิ พานเทย่ี ง ปรมํ สขุ ํ ก็ เที่ยง ปรมํ สุ ญฺ ํ ก็เที่ยง เปน อนั เดยี วกนั ” แตสูญแบบพระนิพพานที่นอกสมมุติ ไมไ ด สญู แบบโลกสมมตุ กิ นั จะพูดอะไรแยกอะไรก็ไดถารูประจักษใจแลว ถา ไมเ ขา ใจพดู วนั ยงั คาํ่ กผ็ ดิ วนั ยงั ค่ําไมมีทางถูก เพราะจิตไมถูก พูดออกมาดว ยความเขา ใจวา ถกู ตามอรรถตามธรรม เพียงใดก็ตาม แตจ ติ ผแู สดงตวั ออกมานน้ั ไมถ กู อยแู ลว จะถกู ไดอ ยา งไร เหมอื นอยา ง เราเรียกคําวา “นพิ ฺพานํ ปรมํ สขุ ํ นพิ ฺพานํ ปรมํ สุ ญฺ ํ” เรียกจนติดปากติดใจก็ตาม จติ กค็ อื จติ ทม่ี กี เิ ลสอยนู น่ั แล มันถูกไปไมได เม่ือจติ ไมพ าถูกเสยี อยา งเดยี วอะไรกถ็ กู ไปไมได! พอจติ ถูกเสยี อยา งเดียว ไมพ ดู ก็ถูก เพราะธรรมชาตินั้นถูกอยูแลว พูดหรือไม พดู กถ็ กู เมอ่ื ถงึ ขน้ั ทถ่ี กู แลว ไมม ีผดิ นแ่ี หละความอศั จรรยท เ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ิ ศาสนธรรม พระพุทธเจาก็ทรงสอนถึงภูมินี้เทานั้น ไมทรงสอนอะไรตอไปอีก หมดสมมตุ ิ หมดบญั ญตั ิ หมดกเิ ลส หมดทกุ ข ดว ยประการทง้ั ปวง! จึงไมทรงแสดงอะไรตอไป อกี เพราะถงึ จุดท่มี ุงหมายอยางเต็มท่แี ลว หรือเตม็ ภูมิของจิตของธรรมแลว ในเวลาจะปรนิ พิ พานทรงแสดงพระโอวาท เรยี กวา “ปจฉมิ โอวาท”วา ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราเตอื นทา นทง้ั หลาย สังขารมีความเกิดขึ้นและดับไป ตลอดเวลา ทานทั้งหลายจงพิจารณาสังขารที่เจริญขึ้นแลวเสื่อมไป หรอื เกดิ แลวดบั ไป ดว ยความไมป ระมาทเถดิ !” เทา นน้ั แลว ปด พระโอษฐไ มรับสั่งอะไรอีกตอไปเลย ในพระโอวาททเ่ี ปนขนาดนั้น “ปจ ฉมิ โอวาท” แลว เราจะถอื หรือเขาใจคําวา “สงั ขาร” นี้เปนสังขารประเภทใด โดยแยกออกเปน สงั ขารภายนอกหรอื สงั ขารภายในก็ ไดไมผิด แตใ นขณะนน้ั สว นมากแนใ จวา มีแตพระสงฆผูเปนนักปฏิบัติที่มีภูมิจิตภูมิธรรม สูงทั้งนั้น นับแตพ ระอรหันตลงมา ที่เขาเฝาพระองคในขณะที่ประทาน “ปจ ฉิมโอวาท” ในปจฉิมยามนั้น ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๔

๑๗๕ หลกั ใหญจ งึ คดิ วา พระองคประทานเพื่อสังขารภายในที่คิดปรุงอยูภายในจิต รบ กวนจติ อยตู ลอดเวลา ใหพ จิ ารณาถงึ ความเกดิ ความดบั แหง สงั ขารอนั นน้ั ดวยความไม ประมาท คือพจิ ารณาดวยสติปญญาอยตู ลอดเวลานั่นเอง สงั ขารอนั นค้ี รอบโลกธาต!ุ ถา เราจะแยกไปเปน “สงั ขารภายนอก” กไ็ ด เชน ตนไม ภเู ขา สตั ว บคุ คล ก็ได แตไ มเหมาะกับภมู พิ ระสงฆที่สันนิบาตอยูในทีน่ ัน่ และไมเ หมาะกบั กาลเวลาทเ่ี ปน เวลา สุดทายของพระพุทธเจาที่จะปรินิพพาน แลว ประทานพระโอวาทอนั เปน ยอดคาํ สอนใน วาระสุดทายใหแกพระสงฆในขณะนนั้ การแสดงปจ ฉมิ โอวาทเกย่ี วกบั เรอ่ื งสงั ขารในขณะทจ่ี ะปรนิ พิ พานนน้ั จึง ควรหมายถงึ สงั ขารทล่ี ะเอยี ดทส่ี ดุ ทม่ี อี ยภู ายในใจโดยเฉพาะ เมอ่ื ทราบ “สงั ขารภาย ใน” นี้ชัดเจนแลว ทําไมจะไมทราบรากฐานของสังขารนี้วามันเกิดขึ้นมาจากอะไร กต็ อ ง หยั่งเขาไปถึง ‘บอแหงวัฏจักร” คอื “จิตอวิชชา” อนั เปน ทางทีจ่ ะหย่ังเขาในจดุ สําคญั น้นั ผทู อ่ี ยใู นภมู นิ น้ั จะตอ งทราบ ผทู ก่ี าํ ลงั กา วเขา ไปโดยลาํ ดบั ลาํ ดาทย่ี งั ไมถ งึ ภมู นิ น้ั สนทิ ก็ ทราบชัดเจน เพราะกําลังพิจารณาอยูแลว ซึ่งเปนพระโอวาทในทามกลางเหตุการณอ นั สาํ คญั อยา งยง่ิ ดว ย นค่ี ดิ วา เหมาะกบั โอกาสและเวลาํ่ เวลาทพ่ี ระองคป ระทานพระโอวาท เพราะเหตุ ใด เพราะปกติของจิตที่ไดพิจารณา มีภมู ธิ รรมสูงขนึ้ ไปโดยลําดับแลว สงั ขารภายในคอื ความคิดปรุงตางๆ จงึ เปน สง่ิ สาํ คญั มากตอ การพจิ ารณา เพราะอนั นี้แสดงอยทู ั้งวันท้งั คนื และเปน ไปอยูท กุ ระยะภายในจิต จติ ทม่ี ภี มู คิ วรพจิ ารณาธรรมขน้ั ภายในแลว กต็ อ ง ถอื เอาสงั ขารนน้ั เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา ซง่ึ เปน เรอ่ื งเกย่ี วเนอ่ื งกนั กบั ปจ ฉมิ โอวาทอยางยิ่งทีเดียว การทจ่ี ะ ‘ควาํ่ อวชิ ชา” ใหลมจมลงไปได ก็ตองสืบทอดไปจากการพิจารณา “สงั ขารภายใน” เปน สาํ คญั พอกาํ หนดตามลงไป ๆ เขาไปถึงรากเหงาเคามูลของกิเลส และทาํ ลายสงั หารกนั ลงได หลงั จากนน้ั สงั ขารนก้ี ไ็ มม คี วามหมายทจ่ี ะยงั กเิ ลสใหเ กดิ อีก นอกจากนํามาใชใหเปนประโยชนในดานอรรถธรรม ใชคิดปรุงแตงอรรถธรรมเพื่อ ประโยชนแ กโ ลก การแสดงธรรมกต็ องใชสงั ขาร สงั ขารประเภทนก้ี เ็ ลยกลายเปน เครอ่ื ง มือของธรรมไป สังขารที่เปนเครื่องมือของ “อวิชชา” บงั คบั ใหใ ชน น้ั เปน อนั วา เปลย่ี นตวั ผปู ก ครองขันธไปแลว กลายมาเปนสังขารซึ่งเปนเครื่องมือของธรรมไป คือเครื่องมือของใจ ทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ทา นนาํ สงั ขารนอ้ี อกแสดงธรรมแกโ ลก ดวยการปรุงอรรถปรุงธรรมตางๆ ธรรมที่กลาวมาทั้งนี้ไมไดมีอยูในครั้งพุทธกาล หรอื อดตี ทผ่ี า นมาแลว ไมไดมีอยู ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๕

๑๗๖ อนาคตที่ยังไมมาถึงโดยถายเดียว พอท่จี ะใหผูปฏิบตั ดิ ปี ฏบิ ัตชิ อบหมดหวงั แตม อี ยใู น ระหวางขันธกบั จิตของเราเอง หรอื อยใู นธาตใุ นขนั ธใ นจติ ใจของเราน้ี ไมม อี ยทู อ่ี น่ื ใด นอกจากกายกบั จติ ของมนษุ ยห ญงิ ชาย ทั้งฝายกิเลสทั้งฝายมรรค ทง้ั ความบรสิ ทุ ธม์ิ อี ยู ที่ใจนี้ ไมอ ยทู ก่ี าลโนน สมยั โนน กบั คนโนน คนน้ี แตอ ยูกับผูปฏิบตั ิ ผูมีสติปญญา พจิ ารณาอยเู วลาน้ี เพราะเหตุไร เพราะวาเราตางคนตางมุงตออรรถตอธรรม มุงตอความจริง เชน เดียวกบั ธรรมของจรงิ ทที่ า นแสดงไวแลว ในสมัยน้ันๆ และเขา กบั หลกั วา “มชั ฌมิ า” เปน ศูนยกลางเสมอ ไมเอียงไปสมัยโนน ไมเอียงมาสมัยนี้ ไมเอียงไปกาลโนน สถานท่ี น้ี เปนธรรมคงเสนคงวา เพราะอยใู นทามกลางแหงธาตุแหง ขันธข องเราน้ี มชั ฌมิ า ทา มกลางหรอื เหมาะกบั การแกก เิ ลสอยตู ลอดเวลา ขอจงปฏิบัติใหถูกตองตามธรรมนี้ เถิด จะเห็นผลแหง “มชั ฌมิ า” อนั เปน ธรรมเหมาะสมตลอดกาลสถานทแ่ี สดงออก ดงั กลา วมาวา ‘นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ํ” จะไมพนไปจากจิตดวงรูๆ นเ้ี ลย จึงขอยุติเพียงเทานี้ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๖

๑๗๗ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วันที่ ๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๑๙ จติ ตานปุ ส สนา “จติ ” “ธรรม” จติ ทห่ี วิ ธรรมและอม่ิ ธรรม ผดิ กบั ความหวิ และอม่ิ ในสง่ิ ทง้ั หลาย คาํ วา “หวิ ธรรม” นี่เรามาแยกออกพูด จติ มคี วามรกั ใครช อบใจพอใจในธรรม อา นธรรมฟง ธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมไมเ บอ่ื หนา ยจดื จาง จิตมีความดูดดื่มอยูกับธรรมมากนอย เพียงไร ยอมมีความสุขมากนอยเพียงนั้น ไมเหมือนความดูดดื่มกับสิ่งอื่นๆ มี รปู เสยี ง กลิ่น รส เปน ตน ซึ่งมีเคลือบแฝงกันไป และอยางหลังนี้มีทุกขสอดแทรกสับปนไปดวย เสมอ ความ “อม่ิ ธรรม” ตง้ั แตเ รม่ิ แรกปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ทา นเรยี กวา “ปต”ิ คือความอิ่ม ใจ ปตินี้จะมีไปเรื่อยๆ ตามขน้ั แหง ธรรม ถา ทาํ จติ ใจใหล ะเอยี ด ปติก็ละเอียด จติ ใจหยาบ คือยงั หยาบอยู ปติแสดงขึ้นกห็ ยาบ บางรายและบางครง้ั ทา นกเ็ รยี ก “อุเพงคาปต”ิ คือ เกิดปติอยางผาดโผนก็มี อนั นก้ี ข็ น้ึ อยกู บั นสิ ยั เปน รายๆ ไป ไมใชจะปรุงแตงใหเปนดังนั้น ได การแนะนาํ สง่ั สอนบรรดาทา นผมู าอบรมศกึ ษาไมว า พระไมว า ฆราวาส มีความมุง หวังอยางเต็มใจ อยากใหไ ดอยากใหเ หน็ อยากใหร ใู นธรรมทง้ั หลาย เพราะความรคู วาม เหน็ ความไดธ รรม ผดิ กบั ความรคู วามเหน็ ความไดส ง่ิ อน่ื ใดในโลก ฉะนน้ั เวลาครบู า อาจารยท า นแสดงธรรม ย่งิ แสดงธรรมข้ันสูงเทาไร ลักษณะสุมเสียงและเนื้อธรรมจะมี ความเขม ขน ขน้ึ เปน ลาํ ดบั ๆ จนถึงกับอาจคิดไดวาทานอาจมีโทสะ หรือมีอะไรในทํานอง นน้ั ขณะไดยินสมุ เสยี งและเนื้อธรรมเขม ขนมากๆ ความจรงิ แลว เพราะความอยากใหร ู อยากใหเ ห็นเปนพลังอนั หนงึ่ เหมอื นกนั ที่ใหแสดงออกมาดวยความเขมขนนั้น ทา นแสดง ออกมาจากจิตใจที่มีความมุงมั่น มคี วามหวงั ตอ บรรดาทา นผฟู ง ทง้ั หลาย และถอดออกมา จากความจริงทไี่ ดรูไดเหน็ อยแู ลวประจกั ษใ จ ไมตองไปควาเอามาจากที่ใด ไมว า ฝา ยเหตุ และฝา ยผล เปน สง่ิ ทส่ี มบรู ณอ ยกู บั ใจทไ่ี ดร ไู ดเ หน็ จากการบาํ เพญ็ มาแลว ทง้ั นน้ั การรกู ารเหน็ ซง่ึ เปน ผลของการปฏบิ ตั จิ ากหลกั ธรรมชาติ เปนสิง่ ทีเ่ ปด เผยอยกู บั ใจ ตลอดเวลา ไมม คี วามปด บงั ลล้ี บั แมแ ตว นิ าทหี นง่ึ เปนสิ่งเปดเผยอยูตามความจริงของตน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๗

๑๗๘ ทุกๆ สภาวธรรม ไมว า ภายในรา งกายและจติ ใจ ตลอดจนกิจการภายนอก เปนสิ่งที่มีอยู ตามหลักธรรมชาติของตน และรูไดตามหลักธรรมชาติของจิตที่ไดรับการอบรมมาจนพอ ตวั แลว แตค วามลมุ หลง ที่จะไปติดอยูในสิ่งตางๆ ของผูไมไดรับการฝกฝนอบรมมากอน หรอื เคยอบรมแตย งั ไมส มบรู ณ จึงมักหลงและติดไดไมเลือกกาลสถานที่ ท่ีใจมีความคดิ ความปรุงได สําคัญมัน่ หมายได รักได ชังได เกลียดได โกรธได ทกุ กาลสถานทแ่ี ละ อิริยาบถตางๆ เพราะสิ่งที่จิตไปคิดไปเกี่ยวของ ก็เปนของที่มีอยูตามธรรมชาติของตน สิ่งที่ คดิ ทป่ี รงุ ขน้ึ มาภายในจติ ใจ ก็ปรุงออกจากสิ่งที่มีอยู ตางอันตางมีอยูดวยกันจึงคิดไดติดได ดวยกัน ทา นวา “ธรรม” นน้ั เปด เผยอยตู ลอดเวลา นอกจากสติปญญาของเรายังไม สามารถทจ่ี ะทราบความจรงิ นน้ั ได แมส ง่ิ นน้ั ๆ จะเปด เผยความจริงน้นั ออกมาตลอดเวลา นาที สง่ิ เหลา นน้ั เราจะพงึ ทราบไดด ว ยอาํ นาจของสตปิ ญ ญานเ้ี ทา นน้ั ฉะนั้นใจของปุถุชน เราจึงมักเปน ลกั ษณะลมุ ๆ ดอนๆ อยเู สมอ วนั นภ้ี าวนาเปน อยา งน้ี แตว นั นน้ั เปน อยา งนน้ั ไมสม่ําเสมอ บางวนั ไมร เู รอ่ื งอะไรเลย บางวนั ใจมคี วามสวา งไสว บางวนั มคี วามสงบเยน็ ใจ เพราะจติ ขน้ั นเ้ี ปน ลมุ ๆ ดอนๆ ยังไมสม่ําเสมอ เรยี กวา “ตั้งตัวยังไมได” จึงตองมีไดบาง เสยี บา งเปน ธรรมดา อยา งไรกต็ ามเราไมต อ งเสยี อกเสยี ใจกบั การไดก ารเสยี เหลา น้ี เพราะเปน การเรม่ิ แรก จิตของเรายังตั้งตัวไมไดแนนอน หรือยังเกาะธรรมไมไดถนัด ก็เปนอยางนี้เหมือนกัน แมค รอู าจารยท ส่ี ง่ั สอนพวกเราทา นกเ็ คยเปน อยา งนน้ั มาแลว ไมใชปุบปบก็จะตั้งเนื้อตั้งตัว ไดปจจุบันทันที แลว เปน ครสู อนโลกไดดีเตม็ ภูมิจิตภมู ิธรรมถา ยเดยี ว ตองผา นความลม ลุกคลกุ คลานมาดว ยกนั แทบท้งั น้ัน คิดดู พระพทุ ธเจากท็ รงบําเพ็ญดวยความลาํ บากอยา งยิง่ อยถู ึง ๖ พรรษา ชนิดเอา จรงิ เอาจงั เอาเปน เอาตายเขา วา ทเ่ี รยี กวา “ตกนรกทั้งเปน” ดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ตะเกียกตะกายทุกดานทุกทาง ซง่ึ ลว นแตเ ปน ความทกุ ขเ พราะความเพยี รทง้ั นน้ั ตลอดเวลา ๖ ป จะไมเ รยี กวา ลาํ บากลาํ บนไดอ ยา งไร ขนาดสลบไสลไปก็มี พวกเรากเ็ ปน ลกู ศษิ ยท า น มคี วามหนาบางตางกนั ตามจริตนิสยั หรืออุปนสิ ัยของแตละคน เชน เดยี วกบั นาํ้ ในพน้ื ดนิ ในพน้ื ดนิ นน้ี าํ้ มอี ยู ขุดลงไปก็เจอ เปนแตลึกตื้นตางกัน บางแหงขุดลงไปไมกี่เมตร ก็เจอน้ํา บางแหงขุดลงไปเสียจนลึกแสนลึกถึงเจอน้ําก็มี เรอ่ื งเจอนาํ้ นน้ั ตอ งเจอเพราะแผน ดินนเ้ี ตม็ ไปดว ยนา้ํ ทําไมจะไมเ จอ ถา ขดุ ไมห ยดุ กอ นทจ่ี ะถงึ นาํ้ ! ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๘

๑๗๙ ความเพยี รเพอ่ื เจออรรถเจอธรรมกเ็ ชน เดยี วกนั ตองเจอโดยไมตองสงสัย เพราะ ธรรมมีอยูตลอดเวลา “อกาลิโก” เรอ่ื งความจรงิ มอี ยู เปน แตสติปญญาของเราอาจรไู ด เพยี งเทา นน้ั ซึ่งตางกันเกี่ยวกับ “อุปนิสัย” การปฏิบตั ิจงึ มียากมีงาย มชี า มเี รว็ ตางกัน ดัง ทท่ี า นสอนไวว า “ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ทง้ั ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก ทั้งรูไดชา นป่ี ระเภทหนง่ึ “ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ นป่ี ระเภทหนง่ึ “สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ทั้งปฏิบัติสะดวก ท้ังรไู ดเ รว็ นป่ี ระเภทหนง่ึ “สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ปฏบิ ตั สิ ะดวก แตรูไดชา นป่ี ระเภทหนง่ึ นเ่ี ปน พน้ื ฐานแหง อปุ นสิ ยั ของสตั วโ ลกผจู ะควรบรรลธุ รรมทง้ั หลาย ซึ่งจะตอง เปนไปตามธรรมสี่ประการน้ีอยา งหลกี เลยี่ งไมไ ด เปน แตเ พยี งไมท ราบวา รายใดจะเขา ใน ลักษณะใดแหง การปฏบิ ตั แิ ละรธู รรมตามปฏิปทาสีน่ ้ี เราเองก็นาจะอยูในขายแหงปฏิปทา ทั้ง ๔ นอี้ ยางใดอยา งหนึ่ง แตจ ะเปน ประการใดกต็ าม กเ็ ปน หนาทข่ี องเราควรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ตะเกียกตะกาย ไปตามความสามารถและวาสนาของตน เพราะไมใช “อภัพบุคคล” ถา เราอยปู ระเภททว่ี า “ตานาํ้ อยลู กึ ”ก็ตองขุดลงไปจนถึงน้ํา ถา อยใู นประเภท “ตานาํ้ ตน้ื ” เรากข็ ดุ ไดสะดวก และเจอนาํ้ เรว็ นา น ! เรอ่ื งสัจธรรมน้ันนะมอี ยตู น้ื ๆ รไู ดเ หน็ ไดด ว ยตาดว ยใจธรรมดาอยา งชดั เจน แต ความรคู วามเขา ใจ ความสามารถของสติปญญา อาจมีกําลังยังไมพอ ซึ่งกวาจะพอใหขุดคน สจั ธรรม คอื ความจรงิ นข้ี น้ึ มาอยา งเปด เผยและประจกั ษภ ายในเวลาอนั สมควร จึงตอง อาศยั ความพยายาม แตส าํ คญั ทค่ี วามพากเพยี รพยายามเปน เครอ่ื งหนนุ เราอยาทอถอย นี่เปนทางของนักปราชญ เปนทางแหงความพนทุกขไปโดยลําดับ ไมใ ชท างอบั เฉาเบาปญ ญาหรอื ตกนรก เปน ทางทจ่ี ะพยงุ เราใหม คี วามเจรญิ รงุ เรอื งโดย ลาํ ดบั การปฏบิ ตั เิ ราอยา ไปคาดวนั นน้ั เดอื นน้ี ปน ้นั ซึ่งจะทําใหเรามีความทอถอยออนแอ ทอใจ แลวหมดกําลังใจไปดวย เมอื่ หมดกาํ ลงั ใจเสยี อยา งเดียว ความพากเพียรโดยวธิ ตี างๆ นั้นจะลดลงไปโดย ลาํ ดบั จนกระทั่งไมมีความพากเพียรเอาเลยซึ่งไมใชของดี พึงระมัดระวังเรื่องความคิดที่จะ เปนภัยตอ การดําเนนิ ของตน! ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗๙

๑๘๐ เราตง้ั หนา เขา สแู นวรบดว ยกนั อยแู ลว ตั้งหนาจะถอดถอนสิ่งที่เปนขาศึกอยูแลว ดวยกัน ทําไมเราจะเปนคนนอกบัญชีไปได บญั ชมี อี ยกู บั การกระทาํ ของเราอยแู ลว เวลาน้ี บญั ชเี พอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ เพื่อความปลดเปลื้องทุกขไปโดยลําดับๆ อยูกับการกระทํา ของเราซึ่งกระทําอยูทุกวันทุกเวลา เราเองจะเปน ผรู บั รอง หรอื เปน ผปู ระกนั ตวั ของเรา โดย อาศัยธรรมของพระพุทธเจามาเปนเครื่องมือพิสูจนหรือขุดคน ทา นไดมอบใหแ ลว เปน หนา ทข่ี องเราจะเขา สแู นวรบ เมื่อไดอาวุธแลวก็ไมใชหนา ที่ของผูอื่นใด ทจ่ี ะทาํ หนา ทใ่ี นการรบดว ยเครอ่ื งมอื ทไ่ี ดร บั มาแลว นน้ั ทุกขเพียงไรก็ให ทราบ ทุกขเพราะความเพียรไมใชทุกขที่ไรประโยชน ไมใชทุกขที่ทรมานอยางการเจ็บไขได ปว ย ซง่ึ ไมม ปี ระโยชนอ ะไรสาํ หรบั ผทู ไ่ี มพ จิ ารณาใหเ ปน อรรถเปน ธรรม นเ่ี ราพจิ ารณาเปน อรรถเปน ธรรมอยแู ลว ทุกขจะเกิดขึ้นมากนอย กใ็ หท ราบไปในตวั วา นค้ี อื สจั ธรรม ซึ่งเปน “หนิ ลบั สติปญ ญา” ใหค มกลาไปกับความเพยี รของเรา คนมคี วามเพยี ร คนมีสติปญญา ยอมจะทราบเรื่องตางๆ ที่ปรากฏขึ้นกับตัวไดเปน อยางดีมีทุกขสัจ เปน ตน เราอยาไปทอถอยในเรื่องความทุกข อยาไปออนใจในเรือ่ งความ ทุกข การออ นใจในเรือ่ งความทกุ ข คือการออนใจตอการประพฤติปฏิบัติ คอื ความออ นใจ ตอ ทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความพน ทกุ ขข องตน ซึ่งไมใชของดีเลย ทุกขมากทุกขนอยในขณะปฏิบัติ เปนหนาที่ของสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร หรือกําลังวังชาของเราจะขุดคน เพื่อเห็นความจริงของทุกขทุกดาน จะเกดิ ในดา นใดสว นใด ของอวัยวะ หรอื จะเกดิ ขน้ึ ภายในจติ กเ็ รยี กวา “ทุกข” เชน เดยี วกนั สง่ิ เหลา นจ้ี ะเหน็ จรงิ เหน็ แจง กนั ดว ยสติปญ ญา ศรัทธา ความเพยี รของเราเทา นน้ั ไมมีอยางอื่นที่จะขุดคนความ จริงที่มีอยูนี้ใหเห็นไดอยางประจักษใจจนกระทั่งปลอยวางกันได เรยี กวา “หมดคดีเกี่ยว ของกัน” ทจ่ี ะพาเราใหห มนุ เวยี นเกดิ ตาย ซง่ึ เปน เหมอื นหลมุ ถา นเพลงิ เผามวลสตั ว ครบู าอาจารยท พ่ี าดาํ เนนิ และทด่ี าํ เนนิ มาแลว มาสอนพวกเรา องคไหนที่ปรากฏชื่อ ลือนามวาเปน ท่เี คารพนบั ถอื ของประชาชนพระเณรมากๆ รสู กึ วา ทา นจะเปน “พระที่เดน ตาย” มาแลว ดว ยกนั ไมใชคอยๆ ทาํ ความเพยี รธรรมดา แลว รขู น้ึ มาเปน ครเู ปน อาจารย ของบรรดาลูกศิษยทัง้ หลาย ควรเรยี กไดว า “เปน อาจารยเ ดนตายมาแลว ” ดว ยกนั แทบท้งั นน้ั องคทา นเองมแี ตบ าตร บาตรกม็ ีแตบ าตรเปลา ๆ ผา สามผนื เปน ไตรจวี ร คือ สบง จวี ร สงั ฆาฏิ และผา อาบนาํ้ เทา นน้ั ความที่ไมมีอะไรเปนของของตัว ตองอาศัยคนอื่น ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๐

๑๘๑ ทุกชิ้นทุกอันเชนนี้ จะหาความสะดวกความสบายมาจากไหน เพราะเรอ่ื งของพระจะตอ ง เปน ผสู มาํ่ เสมอ เปนผูอ ดผทู น จะหวิ กระหาย จะลาํ บากลาํ บนแคไ หน ตองอดตองทนเต็ม ความสามารถ ดว ยความพากเพยี รแหง สมณะ หรอื แหง “ศากยบตุ ร”หรอื “ลูก ตถาคต” เพ่อื อรรถเพอ่ื ธรรมทต่ี นมุงหวงั เปน สําคญั กวาสงิ่ อ่นื ใด เวลาทําความเพียรกไ็ ปทุกขอ ยูก ับความเพียร การแกก เิ ลส สกู นั กบั กเิ ลสประเภท ตางๆ เพราะกเิ ลสบางประเภทนน้ั ผาดโผนมาก เนอ่ื งจากเคยอยบู นหวั ใจของเรามานาน การที่จะกดเขาลงอยูใตอํานาจนั้นยอมเปนของลําบากไมใชนอย แมเราเองก็ยังไมอยากจะ ปลดเปลื้องเขาอีกดวย ความรสู กึ บางเวลาแทรกขน้ึ มาวา “เขาดอี ยแู ลว ” บา งวา “เขากค็ ือ เรานน่ั เอง” บา ง “ความขเ้ี กยี จ” กค็ อื เรานน่ั เองบา ง “เห็นจะไปไมไหว” กค็ อื เรานน้ั เอง บา ง “พกั ผอ นนอนหลบั ใหส บาย” กค็ อื เรานน่ั เองบา ง “ทอดธรุ ะเสยี บา ง” “วาสนานอ ย คอยเปนคอยไปเถอะ” กค็ อื เราบา ง หลายๆ อยางบวกกันเขา แทนทจ่ี ะเปน ความเพยี ร เพื่อแกกิเลส เลยกลายเปน เรอ่ื ง “พอกพูนกิเลส” โดยเจา ตวั ไมร ตู วั เพราะฉะนน้ั ในการ ประกอบความเพยี รในทา ตา งๆ เชน ในทา ยนื ทา เดนิ ทา นง่ั หรือทานอน จงึ เปน ความ ลําบากไปตามกัน คาํ วา “ทานอน”ไมใชนอนหลบั ทา นอนคอื ทา ทาํ ความเพยี รของผปู ฏบิ ตั ธิ รรม เชน เดยี วกบั ทา ยนื ทา เดนิ ทา นง่ั นน่ั เอง บางจริตนิสัยชอบนอนก็มี แตไมหลับ นอนพจิ ารณา อยอู ยา งนน้ั เชน เดยี วกบั นง่ั พจิ ารณา ทา นจงึ เรยี กวา “จรติ นิสัยตางกนั ” ชอบภาวนาดี เวลานอน เวลานง่ั เวลายนื เวลาเดนิ ตา งกันอยางน้ตี ามจริตนสิ ยั และความพากเพยี รทกุ ประเภทเปนเรื่องที่จะถอดถอนกิเลส ขุดคนกิเลสออกจากใจของตน จะเปน เรอ่ื งงา ยๆ เบาๆ สบายๆ ไดอยางไร ตอ งลาํ บาก เพราะความรกั กเ็ หนยี ว ความเกลยี ดกเ็ หนยี ว ความ โกรธกเ็ หนยี ว ขึ้นชื่อวา “กเิ ลส” แลว เหนยี วแนน และฝงหยั่งลกึ ลงถึงขว้ั หวั ใจน่นั แล เราจะถอดถอนไดงายๆ เมื่อไร และเคยฝงมากี่กัปกี่กัลป ฝงอยูที่หัวใจของสัตวโลก นะ การถอดถอนสิ่งที่ฝงจมลึกอยางนี้ตองเปนของยาก เปน ภาระอนั หนกั ไมใ ชน อย เมอ่ื เปน ภาระอนั หนกั ความทุกขเ พราะความเพียรก็ตองมาก ไมว า จะเปน กเิ ลสประเภทใดก็ ตาม มนั ออกมาจากรากเหงา เคา มูลของมนั คอื หวั ใจ ฝงอยางลึกดวยกันทั้งนั้น เพราะฝง จม กนั มานาน เราตองใชความพยายามเต็มที่เพื่อถอดถอนตัวอุบาทวเหลานี้ออกใหได จะได เปน บคุ คลสน้ิ เคราะหส น้ิ กรรมเสยี ที ไมเปนคนอุบาทวโดนแตทุกขถายเดียวตลอดไป ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๑

๑๘๒ แตก ารกลา วดงั นอ้ี ยา คาดคะเนหรอื สาํ คญั เอาวา “เรานย้ี ง่ิ ลกึ กวา เพอ่ื น” นี่ก็จะยิ่ง เปนการจมลงไปอกี ดว ยอุบายของกิเลสหลอกเรา นเ่ี ราพดู ถงึ ความเพยี ร หรือความทุกขค วามลาํ บากของครูของอาจารย ที่ทานมา แนะนาํ สง่ั สอนใหเ รา ทา นตองใชความอุตสาหพยายาม จนกระทั่งไดเหตุไดผลจากการ ประพฤติปฏิบัติ เรยี กวา “มตี น ทนุ ขน้ึ มาภายในจติ ใจ” ใจก็ตั้งหลักได สติปญญาก็พอคิด อานไตรตรองได ตอนน้ันแหละเปน ตอนท่เี พลิน เพลินตอการถอดถอนกิเลสทุกประเภท ไมมีการทอ ถอยออนใจ มุงหนามุงตาที่จะถอดถอนใหหมด จนไมม อี ะไรเหลอื อยภู ายในจติ ใจเลย ทีนี้ ความเพยี รกเ็ กง ไมวาทาไหนเกง ท้ังนนั้ อตุ สาหพยายามพากเพยี ร ความคดิ ใครค รวญ ตางๆ ละเอียดลออไปตามๆ กัน หรอื “สุขุมไปตามๆ กัน” เพราะธรรมรวมตวั เขา แลว มี กําลังดวยกัน ศรทั ธากร็ วม วริ ยิ ะกร็ วม รวมไปในจุดเดยี วกนั “พละ ๕” รวมอยใู นนน้ั “อทิ ธบิ าท ๔” รวมลงไปภายในจติ ทเ่ี คยเตม็ ไปดว ยกเิ ลสทง้ั หลาย แมจะยากก็เถิด ! อารมณค าํ วา “ยาก” ก็คอยหมดไปเมื่อปรากฏผลขึ้นภายในที่ เรยี กวา “ตนทุน” นน้ั แลว ยากกเ็ หมอื นไมยาก แตกอนเรายังไมมีตนทุน คาดวยกาํ ปน มัน กล็ าํ บากอยบู า ง พอมีเครื่องมือมีตนทุนบางแลว ถงึ จะลาํ บากกเ็ หมอื นไมล าํ บาก เพราะ ความพอใจ สติปญญามีพอตอสู ความพากเพียรไมถอยหลังไมลดละ จติ ใจกม็ คี วามเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ เปน ความสงา ผา เผยขน้ึ ทด่ี วงใจดวงทเ่ี คยอบั เฉามาเปน เวลานานนน้ั แล นค่ี อื ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั การปฏบิ ตั ดิ ว ยความทกุ ขย ากลาํ บาก ดว ยความเพยี รทา ตา งๆ จติ โลงดวยความสงบเย็น พูดถึงความสงบก็สงบ คือสงบจิต ไมใ ชส งบแบบคนสน้ิ ทา สงบ อยางเยือกเย็น เวลาถงึ กาลปญ ญาจะออกพจิ ารณาคน ควา กเ็ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย สูไมถอย กลางคนื กลางวันเตม็ ไปดวยความพากเพยี ร ความลาํ บากลาํ บนดว ยปจ จยั สไ่ี มส นใจ ขอให ไดป ระกอบความพากเพียรเตม็ สตกิ ําลังความสามารถ เปนที่พอใจของนักปฏิบัติเพื่อหวังรู ธรรม ผหู วงั รแู จง เหน็ จรงิ ในธรรมโดยถา ยเดยี วเทา นน้ั ผลสุดทายจิตที่เคยมืดดําก็เปดเผยตัวออกมา ใหเ หน็ เปน ความสวา งกระจา งแจง เปน ความอศั จรรย ! อุบายสติปญญาที่เคยมืดมิดปดตาคิดอะไรไมออก กก็ ลายเปนสติ ปญ ญาทห่ี มนุ ตวั ออกมาดว ยลวดลายแหง ความเฉลยี วฉลาด ทันกบั เหตุการณข องกิเลสท่ี แสดงตัวออกมาทุกแงทุกมุม ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๒

๑๘๓ เมอ่ื สตปิ ญ ญาเขา ขน้ั นแ้ี ลว กเิ ลสท่ีเคยสง่ั สมตัว สัง่ สมกาํ ลงั มาน้ัน ก็ลดนอยลงไป โดยลาํ ดบั ๆ จนสามารถพูดไดวากิเลสไมมีทางสั่งสมตัวได แมแตกิเลสที่มีอยูก็ถูกทําลายไป โดยลําดบั ดวยสติปญญาขุดคน ไมมีวันมีคืน มีปมีเดือน มอี ริ ยิ าบถใดๆ เปน อปุ สรรคกดี ขวางความเพยี ร มีแตธาตุแหงความเพียรไปทั้งวันทั้งคืน นห่ี มายถงึ สตปิ ญ ญาหมนุ ตวั อยู ตลอดเวลาไมว า อริ ยิ าบถใดๆ ยง่ิ เหน็ ชดั เจน จิตยิ่งเดน เหนอื กเิ ลสขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ เพราะฉะนน้ั คาํ วา “ไมยอม แพก เิ ลสน”้ี ทําไมจะพูดไมได ! เมอ่ื เหน็ ประจกั ษใ จในกาํ ลงั ของตวั วา เปน ผสู ามารถแค ไหนอยแู ลว สตปิ ญ ญาทอ่ี อกตระเวนคน ควา หากเิ ลสนน้ั หมนุ รอบตวั อยตู ลอดเวลา กเิ ลสตวั ไหน จะสามารถออกมาเพนพานกลาหาญตอสติปญญาประเภทนี้ก็ออกมา ตองโดนดีกับสติ ปญญาชนิดสะบ้นั ห่นั แหลกแตกกระจายไมสงสยั นอกจากจะหลบซอนตัว แมหลบซอนก็ ตองตามขุดคนกันไมหยุดหยอนอยูนั่นแล เพราะถงึ คราวธรรมะไดท แี ลว นแ่ี หละทท่ี า นวา “สติปญญาอัตโนมัต”ิ หรอื “มหาสติ มหาปญญา” ตองทํางานขุดคนไมหยุดไมถอย อยางน้ีแล เวลาไปเจอกบั กเิ ลสชนดิ ใดเขา แลว นน่ั ถอื วา เจอขา ศกึ เขา แลว และพลั วนั หรอื ตะลมุ บอนกนั เลยจนเหน็ เหตเุ หน็ ผล จนกระทงั่ ถึงความปลอ ยวาง หรอื ละกเิ ลสประเภทนน้ั ได เมื่อหมดประเภทนี้แลวก็เหมือนไมมีอะไรปรากฏ แตสติปญญาขั้นนี้จะไมมีหยุดไมมี ถอย จะคุยเขี่ยขุดคนอยูอยางนั้น มนั อยูทีต่ รงไหนขดุ คนหาสาเหตุ เสาะทา นน้ั แสวงทา น้ี ขุดคน ไปมาจนเจอ พอปรากฏตัวกิเลสขึ้นมาปบ จบั เงอ่ื นนน้ั ปบุ ตามเขา ไปคน ควา เขา ไป ทนั ทจี นไดเ หตไุ ดผ ลแลว ปลอ ยวาง นก่ี ารแกก เิ ลสขน้ั น้ี ตองแกไปเปนลําดับๆ เชนนี้กอน จนกระทง่ั กเิ ลสมนั รวมตวั ที่ เคยพดู เสมอวา “อวิชชา” นน่ั นะ รวมตวั ธรรมชาตนิ น้ั ตอ งผา นการขดุ คน ภายในจติ ขดุ คน เฉพาะจติ เมื่อไดที่แลว เวลาถอนกถ็ อนพรวดเดยี วไมมีเหลอื เลย สวนกิ่งกานของ มนั นน้ั ตองไดตัดกานนั้นกิ่งนี้เรื่อยไป สาขาไหนที่ออกมากนอย เล็กโตขนาดไหน ตัดดวย ปญญา ๆ ขาดลงไป ๆ ผลสดุ ทา ยกย็ งั เหลอื “หวั ตอ” ถอดหัวตอถอนหัวตอนี้ยากแสน ยาก แตถอนเพียงครัง้ เดยี วเทานัน้ คือพรวดเดยี วหมด ! ก็ไมมีอะไรเหลือแลว ! สน้ิ วฏั จกั รสน้ิ ทจ่ี ติ พน ทจ่ี ติ บรสิ ทุ ธท์ิ จ่ี ติ หมดปญ หาเกิดตายทั้งมวลที่จิตนี่แล ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๓

๑๘๔ นแ่ี หละความทกุ ขค วามลาํ บากในการประกอบความเพยี รมามากนอ ย เราจะไมเ หน็ คณุ คา อยา งไรเลา เมื่อกองทุกขทั้งมวลมากนอยซึ่งทับอยูบนหัวใจ ไดทลายลงไปหมดดวย อาํ นาจแหง ความเพยี รทว่ี า ทุกขๆ ยากๆ ลาํ บากของเรานน้ั คมุ คา ! ตายก็ตายไปเถอะตาย ดว ยความทกุ ขเ พราะความเพยี ร ไมเ สยี ดายชวี ติ เพราะไดเ หน็ คณุ คา หรือไดเห็นผลของ ความเพียรเปนอยางไรบางประจักษกับจิตของตนเองแลว ฉะนน้ั การบาํ เพญ็ เพยี ร ตองเปนผูไมทอถอย มอี ะไรพจิ ารณากนั ภายในจติ ใจ มืด เรากท็ ราบวา มดื จิตไมเคยมืด ความรจู รงิ ๆ ไมปดตัวเอง ทุกขขนาดไหนก็ทราบวาทุกข สขุ ขนาดไหนกท็ ราบ มดื กท็ ราบวา มดื สวา งกท็ ราบวา สวา ง หนกั เบาแคไ หน ผรู บั รู รบั รอู ยู ตลอดเวลา ไมยอมอาภัพกับสิ่งใดทั้งหมด ไมปดกั้นตัวเองเลย ผนู ค้ี อื ผรู บั รอู ยตู ลอดเวลา แมจะถูกกิเลสรุมลอมอยูขนาดไหน ความรอู นั นจ้ี ะรเู ดน อยเู สมอ รูต ัวเองอยเู สมอ สมกับ ชื่อวา “ผรู คู อื จติ ” นแ่ี หละจะเอาผนู แ้ี หละใหพ น จากสง่ิ เกย่ี วขอ งหรอื สง่ิ พวั พนั ทง้ั หลาย มาเปน อสิ ระ ภายในตนเอง เหลอื แตค วามรลู ว นๆ น้ี จึงตองไดพิจารณาแกไขกันเต็มกําลัง ยากงา ย ลําบากเพียงไรก็ตองทํา เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน ภยั ตอ เรา ไมม ีช้ินสวนท่ปี ราชญท ้งั หลายนา จะยกยองกันบางเลย! เรารเู หน็ มนั วา เปน ตวั ทกุ ขป ระจกั ษใ จ ถาไมถอดถอนพิษภัยออก จากจติ ใจแลว เราก็ไมมีทางกาวเดินออกจากทุกขไดเลย เชน เดยี วกบั การถอนหวั หนาม ออกจากเทา เรานน่ั แล การถอดถอนหัวหนามออกจากเทา ถาเราถือวาเจ็บปวดมากไมกลาถอน นน่ั แหละ คือเทาจะเสียหมด เพราะหนามฝงจมอยทู ีน่ นั่ เปน ตน เหตสุ าํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหเ ทา เรากาํ เรบิ มากถึงกับเสียไปหมด เพราะฉะนน้ั โดยทางเหตผุ ลแลว จะทุกขล าํ บากขนาดไหน ตองถอน หวั หนามออกจากเทาจนได ไมถอนหนามนั้นออกเสียเปนไปไมได เทา จะกาํ เรบิ ใหญ และ จะทาํ ใหอ วยั วะสว นอน่ื เสยี ไปดว ยมากมาย ฉะนั้นแมจะทุกขขนาดไหน ก็ตองถอนออกให ไดโดยถายเดียว การบาํ เพ็ญเพียรเพ่อื ถอดถอนหนาม คือกิเลสเปนเครื่องเสียดแทงจิตใจอยูตลอด เวลา ถาไมถอนมันเสียจะเปนอยางไร? การถอนหวั หนามคอื กเิ ลสดว ยความเพยี ร จะทุกข ยากลําบากขนาดไหนก็ตอ งทาํ โดยเหตุผล ตายก็ตองยอม เพื่อใหหนามนี้ออกจากจิตใจ จะ ไมตองเสียดแทงกันไปนานตลอดกัปนับไมจบสิ้นได! พูดถึงกิเลส มอี ยทู กุ แหง หนในบรรดาสตั วบ คุ คล มีอยูรอบตัวของเรามากมายไมมี เวลาบกพรอ งเบาบางลงบา งเลย แตห าไดท ราบไมว า นน่ั คอื กเิ ลสทง้ั มวล เวลาพจิ ารณาแลว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๔

๑๘๕ ถงึ ไดร วู า มนั มอี ยรู อบตวั เรา และกวาดเขา มาหาตวั เราทกุ วนั เวลา ไมม ีคําวา “หนกั ” วา “พอแลว” เลย มันติดรูป ตดิ เสยี ง ติดกลิ่น ติดรส ติดสมบัติพัสถานตางๆ มากตอมากจน กลายเปน กิเลสไปหมด เพราะจติ พาใหเ ปน สง่ิ เหลา นน้ั เขาไมเ ปน กเิ ลส แตจิตไปติดกับ สง่ิ ใด เรากถ็ อื วา สง่ิ นน้ั เปน กเิ ลส จาํ ตอ งพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั เจนตามสง่ิ นน้ั เพื่อจิตจะได หายสงสยั และถอนตวั เขา มาสว นแคบ และพจิ ารณางา ยเขา จนสุดทายก็มาอยูที่ในธาตุขันธ ของเรานแ่ี หละ! กเิ ลสคอื ความรกั ความสงวนตวั นส่ี าํ คญั มาก ไมมอี ันใดจะเหนอื ความรักตัวสงวน ตัวไปได เมื่อกิเลสประเภทนไี้ มมีทเ่ี กาะแลว จึงตอ งยอ นกลับเขา มารวมตวั อยูในใจดวง เดยี ว มันตองไดใชสติปญญาขับไลกันที่ตรงนี้ ไลตรงนี้ไลยากหนอย ยากก็ไล เพราะแมต วั จญั ไรเขา มารวมทน่ี ่ี กม็ าเปนกิเลสอยูทน่ี ่ีเหมอื นกนั กบั เวลาซา นอยขู า งนอก เปน เสย้ี นเปน หนามทิ่มแทงเหมือนกัน เปนพิษเปน ภัยเหมอื นกัน ตองไลใ หออกดว ยการพจิ ารณาเรอื่ ง ธาตุขันธ แยกแยะออกดูใหเห็นตามความเปนจริงทุกแงทุกมุม พจิ ารณาแลว พจิ ารณาอกี จนเปนพื้นเพของจิตไดอยางมั่นคงและชัดเจนวา “สกั แตวา ธาตุ สักแตวาขันธ เทา นน้ั ”! เมอ่ื พจิ ารณาเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยแลว มนั เปน เชน นน้ั “มนั สกั แตวา .ๆ” เมอ่ื พจิ ารณาถึงขน้ั “สกั แตว า แลว ” จะไปยึดมั่นถือมั่นไดอยางไร! เพราะปญ ญาหวา นลอ มไป หมด ปญญาชําระไปหมด ชะลางไปหมด มลทินคือกิเลสที่ไปติดพันอยูกับใจ ความสาํ คญั มนั่ หมายตางๆ ที่เกี่ยวของติดพันอยูที่ตรงไหน สติปญญาชะลางไปหมด ปลดเปลื้องไป โดยลาํ ดบั ๆ สดุ ทา ยกร็ ขู น้ึ มาอยา งชดั เจน “สวากขาตธรรมทง้ั ปวง ก็เปน ธรรมทซ่ี ึง้ ใจ สดุ สว น ใจไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในธรรมและสง่ิ ใด” รปู กส็ กั แตว า รปู ไมว า อาการใดทเ่ี ปน อยใู นรา งกายเราทใ่ี หน ามวา “รปู ” ก็สัก แตว า เทา นน้ั ไมยิ่งกวานั้นไป จะยิ่งไปไดอยางไรเมื่อจิตไมสงเสริมใหมันยิ่ง ความจรงิ จติ เปน ผสู ง เสรมิ จติ เปน ผกู ดถว งตวั เองตา งหาก เมอ่ื สตปิ ญ ญาพจิ ารณารตู ามหลกั ความ จรงิ แลว ทุกสิ่งทุกอยางก็จริงของมันเอง “สักแตวา” นน่ั ! เมอ่ื “สักแตว า” แลว จติ ไม เหน็ สง่ิ นน้ั สง่ิ นม้ี คี ณุ คา มรี าคายง่ิ กวา ตนพอจะไปหลงยดึ ถอื จติ กห็ ายกงั วล รูปกส็ กั แตว า ถึงยังเปนอยูก็สักแตวา ตายไปแลว กส็ กั แตว า ความเปลย่ี นแปรสภาพของมนั เทา นน้ั เวทนาเกดิ ขน้ึ มากส็ กั แตว า เมื่อสลายลงไปก็สักแตวา ตามสภาพของมันและตาม สภาพของทุกอาการ ๆ ปญหาทั้งปวงในขันธในจิตก็หมดไปโดยลําดับ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๕

๑๘๖ สดุ ทา ยจติ ทม่ี คี วามรกั ความสงวนดว ยอาํ นาจแหง กเิ ลสประเภทหนง่ึ ซ่งึ เปน สง่ิ สาํ คญั ทเ่ี กาะอยใู นนน้ั กพ็ จิ ารณาลงไป ซึ่งเรียกวา “จติ ตานปุ ส สนา” คอื ความเหน็ แจงในจิตและอาการของจิตทุกอาการวา “สกั แตว า จติ ” คอื เปน สภาพหนง่ึ ๆ เชน เดยี ว กบั สภาวธรรมทง้ั หลาย ไมถือจิตเปนตน ไมสําคัญจติ วาเปน ตน ถา ถอื จติ วา เปน ตนเปน ของตนจะพจิ ารณาไมไ ด เพราะความรกั ความสงวนความหงึ หวง กลัววาจิตจะเปนอะไร ตออะไรไปเสีย แลว กลายเปน กาํ แพงกน้ั ไว จึงตอ งพจิ ารณาตามท่ีทา นวา “จติ ตานปุ ส ส นา” พจิ ารณาลงไปใหเ หน็ “สกั แตว า จติ ” คิดก็สักแตวาคิด ปรุงขึ้นมาดีชั่วก็สักแตวา ปรงุ แลวกด็ ับไป ๆ สกั แตว า ๆ จนถงึ รากฐานของ “จิตอวิชชา” รากฐานของ “จิตอวิชชา” คืออะไร? คอื กเิ ลสชนดิ ละเอยี ดสดุ อยภู ายในจติ ไมพ จิ ารณาจติ นน้ั ไมไ ด จติ จะสงวนจติ ไว แลว พจิ ารณากเิ ลสประเภทนต้ี า งหากนน้ั ยอ มหาทางไมได! เพราะกเิ ลสประเภทสงวนตวั มนั หลบอยใู นอโุ มงค คอื จติ นแ้ี หละ! จะเสียดายอุโมงคอยูไมได ถา โจรเขา ไปอาศยั อยใู นอโุ มงคน เ้ี ราจะเสยี ดายอโุ มงคไ มไ ด ตองระเบิดหมดทั้งอุโมงคนั่นนะ ใหม นั แตกทลายกลายเปน ชน้ิ สว นไปหมด นี่ก็เหมือน กัน ระเบดิ ดว ยสตปิ ญ ญาใหห มดเลยทต่ี รง “อุโมงค คือจิตอวิชชา” นใ้ี หส น้ิ ซากไป เอา ถา จติ เปน จติ จรงิ ทนตอการพิสจู น ทนตอความจริงจริงๆ จติ จะไมฉ บิ หาย จะฉบิ หายไปแตส ง่ิ ทเ่ี ปน สมมตุ เิ ทา นน้ั ! ธรรมชาติตัวจริงของจิตแทๆ จะไมฉ บิ หาย และอะไรจะเปน “วิมุตต”ิ ? ถาจิตสามารถเปน วมิ ุตตไิ ด ทนตอการพิสูจน ทนตอการ พิจารณาทุกอยางได กใ็ หจ ติ รตู ัวเอง จิตนั้นจะยังคงเหลืออยู อันใดที่ไมทนตอการพิจารณา อันใดที่เปนสิ่งจอมปลอม ก็จะสลายตัวของมันไป จง พจิ ารณาลงทจ่ี ติ ดีชั่วเกิดขึ้นก็แตเพียงแย็บๆๆ อยภู ายในจติ ดับไปก็ดับที่จิต คนลงไป พจิ ารณาลงไป เอาจติ เปน สนามรบ เราเอาเสยี ง เอากล่ิน เอารส เปน สนามรบ พจิ ารณาดว ยปญ ญา ผา นเขา มาถึงข้นั เอารปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เปน สนามรบ พจิ ารณาจนรแู จง เหน็ จรงิ แลว ปลอ ย วาง ๆ ปลอ ยวางไปตามเปนจริง อา ว!ที่นี่กิเลสมันไมมีที่ซอนก็วิ่งเขาไปอยูในจิต ตอ งเอาจติ เปน สนามรบอกี ฟาด ฟน กนั ดว ยปญ ญาสะบน้ั หน่ั แหลกลงไปเปน ลาํ ดบั ๆ โดยไมมีขอแมขอยกเวนวาจะควร สงวนอะไรไวเ ลย อันใดทีป่ รากฏจะพจิ ารณาฟาดฟนใหอนั นัน้ แหลกไปหมด ใหร เู ขา ใจไป หมด นน่ั ! ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๖

๑๘๗ สุดทายกิเลสก็ทนตัวอยูไมได กระจายออกไป นน่ั ! ของจอมปลอมตองสลายตัวไป ของจริงอันดั้งเดิมแทไดแกจิต กเ็ ปนธรรมชาติทีบ่ รสิ ทุ ธขิ์ ้ึนมาแทนทท่ี ก่ี เิ ลสหายไป หา ความสลายหาความฉบิ หายไปไมม เี ลย นแ้ี ลคอื ความประเสรฐิ แท เราชนะเพอ่ื อนั น้ี ธรรมชาติแทไมตายไมฉ บิ หาย ถงึ จะถกู พจิ ารณาขนาดไหนกต็ าม แตส ตปิ ญ ญาจะฟาด ฟน จติ ใหแ หลกละเอยี ดจนฉบิ หายไปหมดนน้ั เปน ไปไมไ ด นน่ั สุดทายจิตก็บริสุทธิ์ไดดวยปญญา พอจิตบริสุทธิ์เต็มที่แลว ปญญาก็หมดหนาที่ไป เอง หรือหมดภาระหนาที่ของตนไปเองตามหลักธรรมชาติของสติปญญา พอจิตบริสุทธิ์ เต็มที่แลวปญญาก็หมดหนาที่ไปเอง หนาที่ของตนไปเอง ตามหลักธรรมชาติของสติปญญา ที่เปนสมมุติฝายแกกิเลสทั้งมวล นอกจากเราจะนาํ ไปใชบ างกาลบางเวลาในแงธ รรมตา งๆ หรอื ธรุ ะหนาทตี่ า งๆ เทา นน้ั ท่จี ะนาํ มาแก มาทาํ ลายกเิ ลส ถอดถอนกิเลสดวยปญญาดังที่ไดทํามาแลวนั้น ไมมี กิเลสจะใหแกใหถอน สติปญญาจะถอนอะไร ตางอันตางหมดหนาที่ของตัวไปเองโดย อัตโนมัติหรือธรรมชาติ สิ่งที่ยังเหลืออยู เหนอื สจั ธรรมทง้ั ส่ี คือ ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค กไ็ ดแ กค วาม บรสิ ทุ ธ์ิ คอื ผรู ลู ว นๆ ผนู ีแ้ ลเปน ผูพน จากสมมุตโิ ดยประการทงั้ ปวง พนจากกิเลสโดย ประการทั้งปวง ทรงไวซึ่งความบริสุทธิ์ที่ทานเรียกวา“วิมุตต”ิ เราจะไปหา “วิมุตต”ิ ที่ ไหน? ความหลุดพน อยูท ไ่ี หน? ก็มันติดของอยูที่ไหน? เมื่อพนจากความติดของแลว มัน กเ็ ปน ความหลดุ พน ทเ่ี รยี กวา “วิมุตต”ิ เทา นน้ั เอง การแสดงธรรมจงึ ยุตเิ พียงเทา นี้ ไมมี ความรคู วามสามารถแสดงใหย ง่ิ กวา นไ้ี ด ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๗

๑๘๘ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ จิตผองใส คอื อวชิ ชา ปกติจิตเปนสิ่งที่ผองใส และพรอมที่จะสัมผัสสัมพันธกับทุกสิ่งทุกอยางอยูเสมอ สภาพทง้ั หลายเปน “ไตรลักษณ” ตกอยูในกฎแหง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ดวยกันทั้งนั้นไม มเี วน แตธรรมชาติของจิตที่แทจริงนั้นไมไดอยูในกฎนี้ เทาที่จิตเปนไปตามกฎของ “อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ” ก็เพราะสิ่งที่เปนไตรลักษณ คอื สง่ิ ทห่ี มุนเวียนเขาไปเก่ยี วขอ งกับจติ จิตจึง หมนุ เวยี นไปตามเขา แตหมนุ เวียนไปดวยธรรมชาติที่ไมแตกไมส ลาย หมุนไปตามสิ่งที่มี อาํ นาจใหห มนุ ไป แตที่เปนอํานาจของจิตอยูโดยหลักธรรมชาตินั้น คือ “รแู ละไมต าย” ความไมต ายนแ้ี ลเปน สง่ิ ทเ่ี หนอื ความแตก ความไมแตกสลายนีแ้ ลเปน สิ่งทเี่ หนอื กฎไตร ลักษณและ “หลกั สากลนยิ ม” ทง้ั หลาย แตท ไ่ี มทราบก็เพราะธรรมชาติทเ่ี ปนสมมตุ เิ ขาไป เกี่ยวของรุมลอมจิตเสียหมด จิตจงึ กลมกลืนกบั เรื่องเหลานี้ไปเสยี ทเ่ี ราไมท ราบวา การเกดิ ตายเปน ของมมี าดง้ั เดมิ ประจาํ จติ ทม่ี กี เิ ลสเปน เชอ้ื กเ็ พราะ ความไมทราบเปน เรื่องของกเิ ลส ความเกดิ ตายเปนเรอ่ื งของกเิ ลส เรอ่ื งเราจรงิ ๆ เรอ่ื งเรา ลว นๆ คอื เร่อื งจิตลวนๆ ไมมีอํานาจเปนตัวของตัวเองได อาศัยของจอมปลอมมาเปนตัว ของตัวเรื่อยมา การแสดงออกของจิตจึงไมตรงตามความจริง มีการแสดงออกตางๆ ตาม กลมารยาของกิเลส เชน ทาํ ใหก ลวั ทําใหสะทกสะทา น กลวั จะเปน กลวั จะตาย กลัวอะไร กลัวไปหมด แมทุกขนอยทุกขใหญอะไรมาปรากฏก็กลัว อะไรกระทบกระเทือนไมไดเลยมี แตกลัว ผลทส่ี ดุ ในจติ จงึ เตม็ ไปดว ยความหวาดความกลวั ไปเสยี สน้ิ นน่ั ! ทั้งๆ ทเ่ี รอ่ื งความ หวาดความกลวั เหลา นไ้ี มใ ชเ รอ่ื งของจติ โดยตรงเลย แตกท็ าํ ใหจิตหว่นั ไหวไปตามจนได เราจะเหน็ ไดเ วลาทจ่ี ติ ชาํ ระจนบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ แลว ไมมีอะไรเขาไปเกี่ยวของไดแลว จะไมป รากฏเลยวา จติ นก้ี ลวั กลาก็ไมปรากฏ กลัวก็ไมปรากฏ ปรากฏแตธรรมชาติของตัว เองอยูโดยลาํ พงั หรอื โดยหลกั ธรรมชาติตลอดเวลา “อกาลิโก” เทา นน้ั นเ้ี ปน จติ แท จิตแท นี้ตองเปน “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ หรอื “สอุปาทิเสสนิพพาน” ของพระอรหนั ตท านเทาน้นั นอก จากนไ้ี มอ าจเรยี ก “จิตแท” อยางเต็มปากเต็มใจได สาํ หรบั ผแู สดงกระดากใจไมอ าจเรยี ก ได ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๘

๑๘๙ “จิตดั้งเดิม” หมายถึงจิตดั้งเดิมแหง “วฏั ฏะ” ของจิตที่เปนอยูนี่ ซึ่งหมุนไปเวยี น มา ดังที่พระพุทธเจาทรงสอนไวในหลักธรรมวา “ดูกอน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย จิตเดิมแทผองใส” นน่ั ! “แตอ าศยั ความคละเคลา ของกเิ ลสหรอื กเิ ลสจรมา จงึ ทาํ ใหจ ติ เศรา หมอง” ทา นวา “จิตเดิมแท” นั้นหมายถึงเดิมแทของสมมุติตางหาก ไมไดหมายถึงความเดิมแท ของความบริสุทธิ์ เวลาทานแยกออกมา “ปภสฺสรมิทํ จิตตฺ ํ ภกิ ขฺ เว” “ปภสสฺ ร” หมายถึง ประภสั สร คือความผองใส ไมไดหมายถึงความบริสุทธิ์ นี่หลักเกณฑของทานพูดถูกตองหา ที่แยงไมไดเลย ถา วา จติ เดมิ เปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธน์ิ น้ั จะมที ค่ี า นกนั วา “ถา บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว มาเกดิ ทําไม?” นน่ั แนะ ! ทานผชู ําระจิตบรสิ ุทธ์ิแลว ทา นไมไ ดมาเกิดอีก ถา จติ บรสิ ทุ ธแ์ิ ลว ชาํ ระกนั ทาํ ไม มัน มีที่แยงกันตรงนี้ จะชําระเพื่ออะไร? ถาจิตผองใสก็ชําระ เพราะความผอ งใสนน้ั แลคอื ตวั “อวิชชา” แทไมใชอื่นใด ผปู ฏิบัตจิ ะทราบประจกั ษใจของตนในขณะท่จี ิตไดผา นจากความ ผอ งใสนไี้ ปแลวเขา ถึง “วิมุตติจิต” ความผอ งใสนจ้ี ะไมป รากฏตวั เลย นน่ั ! ทราบไดต รงน้ี อยางประจักษกับผูปฏิบัติ และคา นกันไดกค็ านกนั ตรงนี้ เพราะความจริงนัน้ จะตอ งจริงกบั ใจของบุคคล เมื่อใครทราบใครรูก็ตองพูดไดเต็มปากทีเดียว ฉะนั้นจิตของพวกเรากําลังตกอยูในวงลอม ทาํ ใหห วาดใหก ลวั ใหร กั ใหช งั ใหเ ปน ทุกสิ่งทุกอยางชื่อวาเปนอาการของสมมุติ เปน อาการของกเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ ตัวเราเองไมได พลังจิตเปนของตนเอง มีแตพลังของกิเลสตัณหาอาสวะ มันผลักมันดันอยูทั้งวันทั้งคืน ยนื เดนิ นง่ั นอน แลว เราจะหาความสขุ ความสบายมาจากทไ่ี หน เมื่อธรรมชาตินี้ซึ่งเปนของ แปรสภาพอยตู ลอดเวลา ยังมาย่ัวยจุ ติ ใหเ ปนไปตามอีกดว ยโดยทเี่ ราไมร สู กึ โลกนจ้ี ะหาความสขุ ทไ่ี หน หาไมได ถาไมไดถอดถอนธรรมชาติเหลานี้ออกจากจิต ใจโดยสน้ิ เชงิ เสียเมื่อไร จะหาความทรงตวั อยอู ยา งสบายหายหว งไมไ ดเ ลย จะตองกระดิก พลิกแพลงหรือตองเอนโนนเอนนี้ ตามสิ่งที่มาเกี่ยวของยั่วยวนมากนอย ฉะนั้นทานจึงสอน ใหช าํ ระจติ ซง่ึ เปน การชําระความทุกขท รมานของตนนัน้ แล ไมมีผูใดที่จะหยั่งถึงหลักความจริงไดอยางแทจริงดั่งพระพุทธเจา มีพระองคเดียวที่ เรยี กวา “สยมั ภู” โดยไมตอ งไดร บั การอบรมสัง่ สอนจากผูหน่งึ ผูใดเลย ในการแกก เิ ลส ออกจากพระทัยของพระองค ทรงทาํ หนา ท่ีทง้ั เปน นักศึกษาท้งั เปน ครไู ปในตัวลําพังพระ องคเดียว จนไดตรัสรูถึงขั้น “ยอดธรรม ยอดคน ยอดศาสดา” สว นทางสมาธดิ า นความสงบนน้ั ทานคงไดศกึ ษาอบรมมาบา งเหมือนกันกบั ดาบส ทั้งสอง ไมปฏิเสธ แตนั่นไมใชทางถอดถอนถึงความเปน “สัพพัญู” ได เวลาจะเปน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘๙

๑๙๐ “สัพพัญู” ก็เสด็จออกจากดาบสทั้งสองไปบําเพ็ญลําพังพระองคเดียว และทรงรเู องเหน็ เองโดยไมม ีครสู ง่ั สอนเลย แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสง่ั สอนโลก พอไดร บู ญุ รบู าป รนู รกสวรรค ตลอดนิพพานมาจนกระทั่งปจจุบันนี้ หากไมม ใี ครมาสง่ั สอนเลย สัตวโลกก็จะแบกแตกอง เพลงิ เตม็ หวั ใจไมม วี นั เวลาปลอ ยวางไดเ ลย เมอ่ื เปน เชน นค้ี วรจะเหน็ คณุ คา แหง ธรรมท่ี ทา นนาํ มาสอนโลกไดโ ดยยาก ไมม ใี ครในโลกสามารถทาํ ไดอ ยา งทา นเลย เวลานอ้ี ะไรเปน เครอ่ื งหมุ หอ จติ ใจ หาความ “ผองใส” และ “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ ไมได ทั้งๆ ทเ่ี ราตอ งการหาความบรสิ ทุ ธด์ิ ว ยกนั ทกุ คน อะไรเปน เครอ่ื งปด บงั อยเู วลาน้ี? ถาพูด ตามหลกั ธรรมชาตแิ ลว ก็มีขันธห า เปนท่ีหนงึ่ สว น “จิตอวิชชา” นั้นยกไวกอน เอาแตที่ เดน ๆ คอื ขนั ธห า นน้ั เปน ทห่ี นง่ึ และทเ่ี ปน สหายกนั นน้ั กค็ อื รปู เสยี ง กลิ่น รส เครือ่ งสมั ผัส ซึ่งติดตอสื่อสารกันกับตา หู จมูก ลน้ิ กาย และเขา ไปประสานกบั ใจ จากนน้ั กเ็ ปน “ความ สาํ คญั ” ขน้ึ มาอยา งนน้ั อยา งนจ้ี ากรปู เสยี ง กลิ่น รส เคร่ืองสัมผสั แลว นาํ เอาอารมณท ผ่ี า น ไปแลว นน้ั แล เขา มาผกู มดั วนุ วาย หรือมาหุมหอตัวเองใหมืดมิดปดตาไปดวยความรัก ความชงั ความเกลยี ด ความโกรธ และอะไรๆ เต็มไปหมด ซึ่งไดมาจากสิ่งดังกลาวทั้งนั้น สวนที่ฝงอยูลึกก็คือขันธของเรานี้ เราถอื วาเปน ตัวเปน ตนของเรามาตงั้ แตดกึ ดาํ บรรพก าลไหนๆ ทุกชาติทุกภาษา แมจ ะเปน สตั วกต็ อ งถอื วาเรานเ้ี ปน ของเรา นเ้ี ปน สตั ว เปนตัวของสัตว เปนตวั ของเรา จะเปนกายทิพย รางกายทิพยก็เปนตัวของเรา จะเปน เปรต เปนผีเปนอะไรก็ตามเถอะ สง่ิ ทอ่ี าศยั อยรู า งหยาบรา งละเอยี ด ตอ งถือวา เปนเราเปนของ เราดว ยกนั ทง้ั นน้ั จนกระทง่ั ทม่ี าเปน มนุษยท ่รี จู กั ดรี ูจกั ชวั่ บางแลว ก็ยังตองถือวา “นเ้ี ปน เราเปน ของเรา” ในขนั ธห า รปู กเ็ ปน เรา เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ ปน เราเปน ของ เรา เหลา นี้ยังฝงอยูอยางลกึ ลับ ฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณา การพจิ ารณากเ็ พอ่ื จะใหร ชู ดั เจนตามความจรงิ ของ มัน แลวถอนความยึดมัน่ ถือม่นั สําคญั ผดิ วา ตน เพื่อความเปนอิสระนั่นเองไมใชเพื่ออะไร ตามปกติของเขาแลวจะพจิ ารณาเขาทาํ ไม? รปู กเ็ ปน รปู เสยี งเปน เสยี ง กล่ินเปน กลิน่ รสก็ เปน รส เครื่องสัมผัสตางๆ เปนธรรมชาติของเขาอยูดั้งเดิม เขาไมไดวาเขาเปนขาศึกอะไร ตอ เราเลย ไปพจิ ารณาเขาทาํ ไม? การพจิ ารณากเ็ พอ่ื ใหท ราบความจรงิ ของสง่ิ นน้ั ๆ ตามความเปนจรงิ ของเขา แลว ทราบความลมุ หลงของตนดว ยการพจิ ารณาน้ี และถอนตวั เขา มาดว ยความรู การที่จิตเขา ไปจับจองยึดขันธวาเปนตนเปนของตน กเ็ พราะความลมุ หลงนน่ั เอง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙๐

๑๙๑ เมอ่ื พจิ ารณาเขา ใจวา สง่ิ นน้ั เปน อะไรอยา งชดั เจนแลว จติ ก็ถอนตวั เขามาดว ยความ รคู วามเขา ใจดว ยปญ ญา หมดกงั วลกบั สง่ิ เหลา นน้ั การพจิ ารณาอนั ใดทเ่ี ดน ชดั ในบรรดา ขนั ธห า น้ี ไมตองไปสําคัญมั่นหมาย คอื คาดคะเนวา เราไมไ ดพ จิ ารณาขนั ธห า โดยทว่ั ถงึ คือ ทุกขันธไปโดยลําดับ ไมตองไปทําความสําคัญ ขอแตวาขันธใดเปนที่เดนชัดซึ่งควร พจิ ารณาในเวลานน้ั และเหมาะสมกบั จรติ นสิ ยั ของเรา กใ็ หพ จิ ารณาคน ควา ในขนั ธน น้ั ให ชดั เจน เชน รูปขันธ เปน ตน ในรูปขันธ มอี าการใดเดน ในความรสู กึ ของเรา ทเ่ี กดิ ความสนใจอยากจะพจิ ารณา มากกวาอาการอนื่ ๆ เราพงึ จบั จดุ นน้ั กาํ หนดพจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ของมนั วา “ทกุ ขฺ ํ คืออะไร?” ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไวว า “ทกุ ขฺ ํ” คือความทนไมได มนั ไมค อ ยสนทิ ใจเราซง่ึ เปน คนมนี สิ ยั หยาบ จงึ ชอบแปลแบบลางเนอ้ื ชอบลางยาเปน สว นมากวา “ทกุ ขฺ ํ คอื ความ บบี บงั คบั อยตู ลอดเวลานแ้ี ล” นเ่ี หมาะกบั ใจเราทห่ี ยาบมาก ดังธรรมบทวา “ยมปฺ จ ฉฺ ํ น ลภติ ตมฺป ทกุ ขฺ ํ” นต้ี รงกบั คาํ ทว่ี า น้ี คือปรารถนาสิ่งใดไมไดสมใจก็เปนทุกข เปนทุกขคือ อะไร? กค็ อื บบี คน้ั ตวั เองนน้ั แล หรอื เกดิ ความไมส บายนน่ั แลว ปรารถนาสง่ิ ใดไมไดสง่ิ น้ัน ก็ไมสบาย ปรารถนาสง่ิ ใดแมไ ดแ ลว แตสิ่งนั้นพลัดพรากจากไปเสียก็เปนความทุกขขึ้นมา ความทุกขอ นั น้ีเขา กันไดก ับคาํ วา “มนั บบี บงั คบั ” ความบบี บงั คบั นน้ั แลคอื ความทกุ ข ความทนไมได เมื่อทนไมไดก็เปนไปตามเรื่องของเขา ไปยุงกับเขาทําไม! ความจรงิ จะเปน ขันธใดหรือไตรลักษณใดก็ตาม ใจของเราไปยึดไปถือเขาตางหาก จงึ ตองมาพิจารณาใหชดั เจนในขนั ธ รูปขันธ อาการใดดใู หเ หน็ ชดั เจน ถายงั ไมทราบชัดใน “ปฏิกูล” ซึ่งมีอยูในรูปขันธ ของเรา กใ็ หด ปู า ชา ในตวั ของเรานใ้ี หเ หน็ ชดั เจน คาํ วา “เยย่ี มปา ชา ” ใหเ ยย่ี มทน่ี ่ี แมเ ยย่ี ม ปาชา นอกกเ็ พ่อื นอ มเขามาสปู าชา ในตวั ของเรา “ปา ชา นอก” คนตายในครั้งพุทธกาล มัน ปาชาผีดิบทิ้งเกลื่อน ไมคอยจะเผาจะฝงกันเหมือนอยางทุกวันนี้ ทานจึงสอนใหพระไป เยย่ี มปา ชา ทต่ี ายเกา ตายใหมเ กลอ่ื นกลาดเตม็ ไปหมดในบรเิ วณนน้ั เวลาเขา ใหเ ขา ทางทศิ นน้ั ทศิ น้ี ทานก็สอนไวโดยละเอียดถี่ถวน ดวยความฉลาดแหลมคมของพระพุทธเจาผูเปน “สยมั ภู” หรอื “ผเู ปน ศาสดาของโลก” ทา นสอนใหไ ปทางเหนอื ลม ไมใหไปทางใตลม จะ เปน อนั ตรายตอ สขุ ภาพ เพราะกลน่ิ ซากศพทต่ี ายเกา ตายใหมน น้ั ๆ เมอ่ื ไปเจอซากศพเชน นีเ้ ขา แลว ความรสู กึ เปน อยา งไร แลวใหไปดูซากศพชนิด นน้ั ๆ ความรสู กึ เปน อยา งไร ใหป ระมวลหรอื “โอปนยิโก” นอมเขามาสตู ัวเองซง่ึ เปนซาก ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook