Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-26 02:26:27

Description: (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน).

Search

Read the Text Version

๔๓๘ ความจริงแตละอยาง ๆ อยแู ลว หากไมพิจารณาใหเห็นตามความเปนจริงแลว จิตเรา ไมเ วน ทีจ่ ะหว่ันไหว ทจ่ี ะเปน ทกุ ขล าํ บากลาํ บนไปนาน ซง่ึ แมป จ จุบนั ทร่ี า งกายจะสลาย ตัวไปที่เรียกวา “ตาย” นน้ั บางรายถงึ กบั ไมม สี ติประคองตวั เลย ตายไปแบบ “ไมเ ปน ทา” ราวกบั สตั วต าย ไมม สี ตสิ ตงั เอาเลย นเ่ี พราะความไมไ ดฝ ก หดั ใหร เู รอ่ื งตา ง ๆ ที่มีอยูรอบตัว มที กุ ขเวทนาเปน ตน นน่ั เอง ถาจิตพิจารณาตามธรรม เชื่อพระพุทธเจา กไ็ มค วรจะเอา “ปาชา ” เขา มาตง้ั ภาย ในจติ ไมควรจะเอา “ปา ชา ” เอาความกลัวตายไปมัดจิตซึ่งไมใชผูตาย ใหก ลายเปน ความออ นแอทอ ถอยไปได ซง่ึ เปน การสรา งขวากหนามไวก ดี กน้ั ทางเดนิ ตวั เองใหห า ทางออกไมได ความจริงมีอยางใดใหพิจารณาไปตามความจริง ตามหลกั ธรรมทา นสอนไว “เอา ทกุ ขจ ะเกดิ ขน้ึ มากนอ ยภายในธาตขุ นั ธ จะหมดทั้งตัวนี้ก็ใหทราบ ทกุ ขน ม้ี ี อยูรอบตัว แตไ มใ ชจ ติ แมจิตจะเปนทุกขก็เปนเวทนาอยางหนึ่งตางหาก ไมใชจิตเปน เวทนา ไมใชเวทนาเปนจิต “เวทนา อนิจฺจา” “เวทนา อนตตฺ า” นน่ั ! ฟงซิ ทา นบอกวา เปน “จิต”ไหมละ? แตจิตหลงไปยึดเวทนามาเปนตนตางหาก จงึ เปนทุกขไมมีประมาณจนดับไมลง และตายไปกบั ความสาํ คญั วา “เวทนาเปน ตน” ตนเปนเวทนาอยางไมรูตัว “เวทนา อนิจฺจา” คืออะไร? มันมีเกิดขึ้น มีตั้งอยู มีดับ มสี ลายไป นี่เปนอนิจฺจา หรืออนิจฺจํ “เวทนา อนตฺตา” มนั เปน สภาพอนั หนง่ึ ทป่ี รากฏตวั ขน้ึ มาเทา นน้ั โดยมนั เองก็ไมไ ดส าํ คญั วา ตนเปนอนตตฺ า หรืออตตฺ า หรอื เปน อะไร แตเ ปน ความปรากฏขน้ึ แหงสภาพธรรมอนั หน่ึงเทา นัน้ ใหจิตผูเปน “นกั ร”ู อยูตลอดเวลาไดรูสิ่งนี้ตามความเปนจริงของมัน ไมใชส ่ิง เหลา นจ้ี ะมาประหารจติ ใหฉ บิ หาย จึงไมเปนสิ่งนากลัว แตเ ปน สง่ิ ทจ่ี ะพจิ ารณาใหร ู ที่ ทานเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่มาปรากฏตัวนั้น ทา นรทู า นเหน็ อยา งทอ่ี ธบิ ายมา “สญั ญา” กห็ ลอกวา “อันนั้นเปนเรา อนั นเ้ี ปน ของเรา” “อนั นท้ี กุ ขม ากขน้ึ แลว น”่ี “ทกุ ขม ากอยา งน”้ี “เดย๋ี วตายนะถา ไมห ยดุ ภาวนา” มนั หลอกจงทราบไว “สัญญา” นน้ั กเ็ กดิ มาจาก “จติ ” นน่ั แหละ เปนอาการของจิต แตก ลบั มาหลอกจติ ใหเ อนเอยี ง ใหหวั่นไหวไปได ถาจิตไมมีปญญาไมมีสติ ไมทราบความจริงของสัญญาวา “อนิจฺจา อนตฺตา” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๘

๔๓๙ ความจริง “สญฺ า อนิจฺจา” จะมาทําลายจิตใจเราไดอยางไร? “สญฺ า อนตฺ ตา”มนั กเ็ ปน สภาพอนั หนง่ึ เชน เดยี วกบั ขนั ธท ง้ั หลาย ไมมีอะไรผิดกัน “รปู  อนตฺตา” นั่นฟงซิ รปู  มันก็เปน อนตตฺ า จะอาศัยมันไดที่ไหน จะวา เปน “เรา” เปน “ของเรา” ได ท่ีไหน เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา นน้ั ! จงอยา ฝนความจริง อยาไปแยงความจริงของเขา ความจริงจงหาเอาดวย “สติ ปญญา” ของเราเอง จะไมยุงไมแยงเขา จะสบายใจหายหว งไมม บี ว งผกู มดั จติ ใจตอ ไป รูปมันก็ “สักแตวา” รปู แหง ธาตขุ นั ธ เวทนาก็ “สกั แตว า ” เวทนา ไมใชเราไม ใชของเรา เราจะไปควาเอามาทับถมจิตใจใหเกิดความเดือดรอนไปทําไม เพราะเวทนา นน้ั กเ็ ปน ของรอ นอยแู ลว แบกหามเขามาเผาตนทําไม ถา เปน ความฉลาดแลว จะไมเ ขา ไปยึด ไมเขาไปแบกหาม จะตองพจิ ารณาตามความจรงิ ของมนั ทุกขเวทนาขนาดไหนก็ รูตามความจริงของมันดวยสติปญญา เพราะจิตเปนนักรู ไมมีถอยเรื่องรู ๆ ๆ รอู ยกู บั จิต ขอใหส ง เสรมิ สติ เปน ผคู อยกาํ กบั ใหด เี ถดิ แมข ณะทจ่ี ติ จะดบั กจ็ ะไมเ ผลอ เพราะสตกิ าํ กบั จิต จิตทําหนาที่รคู วามหมายตา ง ๆ แตก ารพจิ ารณาแยกแยะตา ง ๆ เปน เร่อื งของ “ปญ ญา” แยกแยะใหเ หน็ เปน ตามความจรงิ จะไดชื่อวา “เปน ผฉู ลาดใน การเรียนเรื่องของตัว” ตามหลกั ศาสนาทใ่ี หเ รยี นรตู วั เองเปน สาํ คญั คาํ วา “โลกวทิ ”ู ถาไมรูแจงเห็นจริงในโลกในขันธนี่ จะหมายถงึ “โลกวิท”ู แหง โลกใด ? นเ้ี ปน อนั ดบั แรกทเี ดยี ว พระพุทธเจา ทรงรูและสั่งสอนไว คาํ วา “โลกวทิ ู” “รู แจงโลก” รูแจงโลกของพระพุทธเจา ก็ตองรูแจงธาตุแจงขันธ และรูพ รอมทง้ั ละกิเลส ตณั หาอาสวะนโ้ี ดยสน้ิ เชงิ กอ น แลวจงึ ไปรสู ภาพแหง โลกทั่ว ๆ ไปที่เรียกวา “โลกวทิ ”ู รูแจง โลกทั่วไป คณุ สมบตั ขิ องสาวกในบทนก้ี ม็ ไี ดเ หมอื นกนั ทเ่ี ปน “โลกวทิ ”ู คอื รูแจงโลกใน ธาตใุ นขนั ธโ ดยรอบขอบชดิ พรอมทั้งละกิเลสทั้งมวล แลวยังมี “ญาณ” หยง่ั ทราบ สภาพทง้ั หลายตามกาํ ลงั แหง นสิ ยั วาสนาของแตล ะองค สว น “โลกวทิ ”ู ซึ่งเปน “อตั สมบัต”ิ ไดแ กร เู ทา ปลอ ยวางอปุ าทานในขนั ธแ ละกเิ ลสทง้ั ปวงนน้ั สาวกมไี ดด ว ยกนั ทกุ องคบรรดาที่เปนอรหันต สว น “โลกวทิ ู” เกย่ี วกบั ความหยง่ั ทราบเหตกุ ารณ ตลอดรู อปุ นสิ ยั ของโลกในแงต า ง ๆ นน้ั มกี วา งแคบตา งกนั จติ เปน รากเปน ฐานสาํ คญั ภายในตวั เรา ทําไมจึงไปหลงไปงมงาย ไปจับนน้ั ควา นเ้ี อาสง่ิ นน้ั ๆ มาเผาตน เอาสิ่งนมี้ าเผาตน ไมมีความเข็ดหลาบ? ทกุ ขอ ยกู บั ทกุ ขมัน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓๙

๔๔๐ ไมมีความหมายอะไร เชนเดียวกับไฟมันแสดงเปลวสูงจรดฟา ถา เราไมไ ปเกย่ี วขอ ง กบั ไฟ หรอื ถอยตวั ออกใหห า งไฟ ไฟกเ็ ผาไมไ ด ก็ “สกั แตว า ” สง เปลวอยเู ทา นน้ั ไม สามารถยังความรุมรอนมาสูตัวเราได แตถ า เราเขา ไปเกย่ี วขอ งกบั ไฟ ไฟก็เผาไหมได ทกุ ขเวทนากเ็ หมอื นกนั มนั เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ของมนั ทแ่ี สดงอยภู ายในรา งกายของ เรา เมื่อจิตเราก็รดู ว ยสตปิ ญ ญา พิจารณาสงิ่ เหลา นใี้ หเหน็ ตามความเปนจรงิ อยแู ลว สภาพความรอนที่เปนธรรมชาติของเวทนานั้น กไ็ มส ามารถจะแผดเผาจติ ใจเราใหร อ น ไปตามได นช่ี อ่ื วา “เรียนธรรม คอื ทกุ ขเวทนาในขนั ธ” ใหซ าบซง้ึ ดว ยปญ ญาแลว ปลอ ย วาง เวทนาก็เปนธรรม สัญญาก็เปนธรรม สังขารก็เปนธรรม วิญญาณกเ็ ปน ธรรม รูปกายนี้ก็เปนธรรม ถาเราเปนธรรมสิ่งเหลานี้ก็เปนธรรมหมด ถาเราเปน “ผหู ลง”เปน “อธรรมโง” สง่ิ เหลา นก้ี เ็ ปน ขา ศกึ ตอ เราได ตามหลักธรรมของพระพุทธเจาเปนอยาง น้ี เราจะเชื่อกิเลสตัณหาอาสวะ หรือจะเชื่อพระพุทธเจา? ถา เชอ่ื กเิ ลสตณั หากย็ ดึ ถอื วา อนั น้ี ๆ เปน ตวั ตนหมด รูปก็เปนตน เวทนากเ็ ปน ตน สัญญาเปนตน สังขารเปน ตน วิญญาณเปนตน อะไร ๆ เปนตน ทั่วโลกสงสารเปนตนเปนของตนหมดสิ้น พอสง่ิ เหลา นน้ั เปลย่ี นแปลงยกั ยา ยไปหนอ ยใจหายไปเลย เปน ทกุ ขข น้ึ มาแบบไมม สี ตสิ ตงั ประคองตัว ฉะนน้ั เครอ่ื งกอ กวนเครอ่ื งทาํ ลายจงึ เกดิ ขน้ึ จากความสาํ คญั ของจติ ดว ย ความลุมหลงวาอันน้ันเปน เรา อันนี้เปนของเรา อะไร ๆ เปลี่ยนแปลงไปเล็ก ๆ นอ ย ๆ จงึ เปน เหมอื นสง่ิ นั้นมาฟนหวั ใจเราใหขาดสะบัน้ ไปดวยกนั เปนทุกขดวยกันไปหมดหา ที่ปลงวางไมได ธรรมที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไมเปนเชนนั้น กลบั ทวนกระแสโลกทย่ี ดึ ถอื กนั !เชน “รปู  อนิจฺจํ รปู  อนตฺตา” วา “นี้เปน อนิจฺจํ เปนของไมเที่ยง” พอเราจะอาศัย ไดบางเทานั้น “อนตตฺ า” ไมใชเรา ไมใชของเรา” ทรงสอนใหท ราบวา “ไมใชของใครทั้ง นน้ั ” ! เปน แตส ภาพของสว นตา ง ๆ ที่รวมกันอยตู ามธรรมชาตขิ องเขาเทา นัน้ ” เวทนา ก็เชนเดียวกัน เปน ธรรมชาตกิ ลาง ๆ ถาเราไมไปหลงเสียเทานั้นก็ไมเกิดปญหายุงยาก สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ หมอื นกนั เปนธรรมกลาง ๆ ขอใหพ จิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จริง จิตก็เปนกลางได เมอ่ื จติ เปน กลางจติ กเ็ ปน ความจรงิ ขน้ึ มา เมื่อจิตเปนความจริง สิ่งนั้นก็เปนความจริง เพราะสิ่งเหลานั้นเปนความจริงมาแลวแตดั้งเดิม เปนเพียงใจ หลงไปสาํ คญั มน่ั หมายเทา นน้ั เหลา นค้ี อื หลกั ธรรมทส่ี อนใหร ทู กุ สง่ิ จนปลอ ยวางได ใจ กเ็ ปน กลาง คือเห็นตามความจริง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๐

๔๔๑ “ความตายตามโมหะนยิ ม” นน้ั ตัดออก อยา ใหเ ขา ไปแทรกสงิ ในจติ ได จะกลาย เปน ความทอ ถอยออ นแอและลม ละลายไปได เพราะคําวา “ความตาย” นั้นเปนสิ่ง จอมปลอม เปน กเิ ลสเสกสรรหลอกลวงเรามาเปน เวลานาน ทั้ง ๆ ที่จิตไมตายตาม ความเสกสรรของกิเลสนั่นเลย แลวจะกลัวตายไปทําไม ถา พจิ ารณาตามหลกั ธรรมดว ย ความเช่อื ธรรมแลวจะกลัวตายไปหาอะไร อะไรตาย? ไมม อี ะไรตาย! จิตก็เปนจิต และเคยเปนจติ มาแตดั้งเดิม ไปกอ ภพกอ ชาตทิ ไ่ี หนกม็ แี ตเ ปลย่ี น รางไปตาม “กรรมวบิ าก” เทาน้นั สว นจติ ไมต ายน่ี หลักเดิมเปนมาอยางนี้ ทนี เ้ี วลาพจิ ารณาเวทนา เพื่อความเขาใจความจริงของมัน ทําไมจิตจะตาย! และ ทาํ ไมเราถงึ กลวั ตาย อะไรตาย? คน หาความตาย ใหเ หน็ ชดั เจนลงดว ยความจริงโดยทาง ปญญาดูซี เมื่อทราบประจักษใจแลวจะไมกลัวตาย เพราะความตายไมมีในจิต มแี ต ความเสกสรรปนยอลม ๆ แลง ๆ เทานนั้ ตามโลกสมมุติ กไ็ ดแ ก “อวิชชา” ความรแู บบงู ๆ ปลา ๆ นน่ั แหละพาใหโ ลก เปนอยา งนี้ พาโลกใหต ง้ั ชอ่ื ตง้ั นามกนั วา “เกิด” วา “ตาย” อยา งน้ี ความจรงิ แลว ไมม ี อะไรตาย เมอื่ พิจารณาใหถงึ ความจริงทกุ ส่ิงทุกอยา งแลวจะไดความข้นึ มาเองวา ตา ง อันตางจริงตางอันตางอยู ไมมีอะไรตาย จิตยิ่งเดนยิ่งรูชัดภายในตัวขึ้นมา ลงไดเ หน็ ชดั ขึ้นมาวา “ที่เคยเขาใจวาจิตตายนั้นเปนจิตโงที่สุด” ในขณะเดียวกันก็เปนจิตที่ฉลาดพอ ตัวแลว จงึ สามารถรูความจริงอยางถงึ ฐาน เม่ือจติ ไมตายและไมกลวั ตายแลว ก็สนุกที่จะพิจารณาตัวเองละซิ อะไรจะเปน ขน้ึ มาหนกั เบากส็ นกุ เพลินที่จะพิจารณาใหเห็นเหตุเห็นผลโดยถายเดียวไมสะทก สะทา น เพราะจิตไมอั้นกับการรูสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวของกับตน รอู ยตู ลอดเวลา ขอให พยายาม บาํ รงุ “สต”ิ รกั ษาสติใหดี บํารุง “ปญญา” ใหม กี าํ ลงั แกก ลา สามารถ จะรูทุก ระยะจนขณะทข่ี าดจากกนั ระหวา งขนั ธก บั จติ คือจะตายตามโลกสมมุตินั่นแหละ จน กระทั่งขาดจากกันเปนวาระสุดทาย ระหวา งขนั ธก บั จติ แยกจากกนั นค้ี อื รชู นดิ หนง่ึ ซง่ึ ทาํ หนา ทใ่ี นเวลาตายตามสมมตุ ิ ทนี ร้ี อู กี ชนดิ หนง่ึ คอื รขู ณะกเิ ลสทง้ั มวลขาดกระเดน็ ออกจากใจ ดว ยอาํ นาจ ของสตปิ ญ ญา ไมมีอะไรเหลืออยูภายในใจเลย นก่ี ร็ ู รูทุกระยะ จิตไมเคยลดละความรู รูทุกระยะทุกเวลา “อกาลโิ ก” แลวจิตจะตายไปไหนเลา จะเสกสรรใหจิตเปนอะไรไป จากเดมิ จะไปจับไปยัดจิตใหเปนปาชาขึ้นเหมือนสิ่งทั้งหลายนั่นเหรอ จิตไมใชปาชา จติ เปน “อมต”ํ ทง้ั ทย่ี งั มกี เิ ลสและสน้ิ กเิ ลสแลว ฉะนั้นจงเอาจิตพิจารณาสภาวธรรม ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๑

๔๔๒ ทั้งปวงมีขันธเปนตนใหชัดเจน จะไดเ ห็นความอัศจรรยข้ึนมาในวงการพจิ ารณาอยูใน ขนั ธใ นธาตอุ นั นแ้ี ล จะเปนขันธใดก็ตาม ถาไดจอสติปญญาลงไปจะเห็นชัด เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนาในเวลาเกดิ ข้ึนมาก ๆ หรือในวาระสุดทาย ใหจิตฝกซอมไวเสียแตบัดนี้ อยา ใหเสียทาเสียทีของการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติ ไมใ ชป ฏบิ ตั เิ พอ่ื แพข า ศกึ ปฏบิ ตั ิ เพ่อื ชยั ชนะ ปฏบิ ัตเิ พอ่ื ความเห็นจรงิ เพอ่ื ปลอ ยวาง เพอ่ื อยเู หนอื สง่ิ เหลา นน้ั ไมใ หก ด ขี่บังคับใจไดอีกตอไป มแี ตค วามเปน อสิ ระเตม็ ตวั ใจจะเปนอิสระไดดวยเหตุใด? กด็ ว ยสติ ดวยปญญา ดวยการพนิ จิ พจิ ารณาไม ลดละทอ ถอย เปน กบั ตายขอใหเ หน็ ความจรงิ เทา นน้ั กเ็ ปน ทอ่ี บอนุ ใจ เปนก็เปน ตายก็ ตาย นี่เปนคติธรรมดา ไมจ าํ เปน ตอ งไปกน้ั กางหวงหา ม เพราะเปนหลักธรรมชาติ ธรรมดา แมก น้ั กางหวงหา มกไ็ มอ ยใู นอาํ นาจ นอกจากจะกอ ความทกุ ขข น้ึ มา เมอ่ื สง่ิ นน้ั ไมเปนไปตามใจหวังเทานั้น เพราะฉะน้ันสิ่งใดที่เปนไปตามความจรงิ ใหป ลอ ยไปตาม ความจริง อยา กดี ขวางความจริงใหเ กิดทกุ ข อยา ไปปลกู บา นปลกู เรอื นขวางถนนหลวง จะถูกปรับไหมใสโทษ คตธิ รรมดานม้ี อี าํ นาจยง่ิ กวา ถนนหลวงเสยี อกี คติธรรมดา คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ทเ่ี ตม็ อยใู นธาตใุ นขนั ธ จงพจิ ารณาให เห็นตามเปนจรงิ ปลอ ยวางลงตามลาํ ดบั เราจะมคี วามสขุ ความสบายหายหว ง หายหลง ใหลใฝฝน อนั เปน การรบกวนตวั เองอยไู มห ยดุ มีกเิ ลสเทา นน้ั เปน เคร่อื งหลอกลง เปน เครอ่ื งใหท กุ ขแ กส ตั วโ ลก ถา แกก เิ ลส ดว ยสตปิ ญ ญาใหส น้ิ ซากไปแลว จะหมดหว งหมดใยทง้ั ภายในภายนอก ความสวา ง ไสวจะเกดิ ขนึ้ ภายในจิตใจ ใจทง้ั ดวงทแ่ี สนกลวั ตายกห็ มดความกลวั และจะมาเห็นโทษ ตวั เองและตําหนติ นเองวา “โอย” ความกลวั ตายมาตง้ั แตว นั เกดิ เปน เวลาหลายป นบั แตจ าํ ความไดจ นกระทง่ั บดั น้ี โกหกเราทั้งเพ! เราโงช ะมัด แมจะมีผูมาจัดเขาในประเภท สตั วท ก่ี ลวั ตายดว ยกนั กย็ งั ได ดวยใจเปน “นักธรรม” และ “นกั กฬี า” ไมมีอะไรจะถือสา ถอื โกรธเลย! เพราะเมื่อคนดูแลวความตายไมมี มีแตความจริงเต็มตัว ฉะนั้นจงพิจารณาอยาง นแ้ี หละ คือ “นักรบ” ตองสูจนไดชัยชนะ ถา “นกั หลบ” แลว มแี ตห ลบ ๆ ซอ น ๆ หลบ ๆ หลกี ๆ จะเอาความจริงที่ไหนเอาไมได เวลาทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มากนอ ยกม็ แี ตค วามกระวน กระวาย ความกระวนกระวายก็ไมมีใครชวยได ใครจะชวยได ถาเราไมชวยตัวเราเองไม มีใครจะชวยไดเลย มแี ตสติปญญาเทานั้นท่ีจะชวยใหความกระจางตามความจรงิ ความ กระวนกระวายนก้ี ห็ ายไปเอง ใจสงบไดอยางอศั จรรย กระทั่งวาระสุดทายที่ลมหายใจจะ ขาดไป ก็ไมมีสะทกสะทานเลย นแ้ี ลคอื ความจรงิ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๒

๔๔๓ ขอใหจริงในใจเถิด ใจของใครเหมือนกันหมด ถา ไดร คู วามจรงิ อยา งเตม็ ใจแลว เพราะความจริงนี้เหมือนกัน เมอ่ื เขา ถงึ ความจรงิ แลว จติ จะเปน เหมอื นกนั หมด ไมมี ความสะทกสะทา น เพราะรูความจริงแลวตื่นอะไร! ตอนทตี่ ่นื กค็ อื ตอนท่ยี งั ไมร คู วาม จริงเทานั้นถึงไดตื่น ตน่ื มากตน่ื นอ ยตามความรมู ากรนู อ ย หรอื หลงมากหลงนอ ยตา ง กนั ถารูจริงๆ คอื รรู อบตลอดทว่ั ถงึ แลว ไมต น่ื เรื่องความเปนความตายมีน้ําหนักเสมอ กนั ธาตทุ ง้ั สน่ี น้ั เอามาจากไหน? กเ็ อามาจากของทม่ี อี ยู คอื ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เปนของ มอี ยใู นโลก เม่อื ผสมกนั เขา เปนรูปเปนกาย เปนหญิงเปนชาย จติ ซง่ึ เปน ของทม่ี อี ยกู ็ เขา อาศยั สง่ิ น้ี แลว กย็ ดึ ถอื วา เปน เราเปนของเรา เวลาสลายไปแลว จะไปไหน? กล็ งไป สธู าตุ คอื ดิน นาํ้ ลม ไฟตามเดิม จิตก็เปนจิตจะเปนอะไรไปอีก ถา จติ บรสิ ทุ ธก์ิ เ็ ปน “ธรรมทั้งแทง” เทานั้น เราจะใหชื่อวา “ธรรมทั้งดวง” กไ็ ด “ธรรมทั้งแทง” กถ็ กู จะเรียกวา “จิตบรสิ ุทธ”์ิ ก็ได ไมม คี วามสาํ คญั ใดในการใหช อ่ื ให นาม ขอใหเปนความจริงประจักษใจเทานั้นก็พอ ไมห วิ โหยกบั ชอ่ื กบั นามอะไรอกี เรื่อง ชื่อเรื่องนามไมจําเปน ขัน้ นนั้ ขน้ั รูวา ไปเถอะ เหมือนเรารับประทานอิ่มเต็มที่แลว “เวลา นี้เรารบั ประทานไดข น้ั ไหนน?่ี ” ไมต อ งไปถามเอาข้ันเอาภูมิ มันเต็มพุงแลวก็หยุดเทา นั้นเองฝนรับประทานไปไดเหรอ ถา ไมอ ยากสบื ตอ ประวตั ขิ อง “ชูชกพราหมณ” ใหย ดื ยาวไปอกี การรับประทานเมื่อถึงขั้นพอกับธาตุแลวก็รูเองทําไมจะไมรู “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” พระพุทธเจาไมทรงผูกขาดเฉพาะพระองคผูเดียว! คาํ วา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” นี่ พระพุทธเจาไมทรงผูกขาด มอบใหผ ูป ฏบิ ตั ิรูเ องเหน็ เอง ดวยตนเองทั้งนั้น ธรรมนี้เปน “ของกลาง” ผใู ดปฏบิ ตั ิผูนนั้ กร็ คู วามจริง นแ่ี หละการแก ความหลงดวยธรรมมีสติปญญาเปนตน เราจะไปแกกับสิ่งใดไมได เราตอ งแกก บั ตวั เราเอง แมแตกอนเราเต็มไปดวยความลุมหลง จงพยายามแกตนใหเต็มไปดวยความรู ในเวลานช้ี าตนิ อ้ี ยา นอนใจ จงอยสู บายในทา มกลางแหง โลกทว่ี นุ วาย เอา รางกายนี้จะเปนไฟทั้งกองก็ใหเปน จิตที่มีความรูรอบ “ไฟทั้งกอง” นแ้ี ลว เปน แตเ พียงอยูใ นทา มกลางแหงกองไฟดว ยความสงบสุขของ “เกราะเพชร” คอื สติ ปญ ญาทท่ี นั กบั เหตกุ ารณน แ่ี ล มีจิตดวงเดียวเทานี้ที่เปนเหตุสําคัญ เพราะสิ่งที่เปนตัวเหตุนี้มันลุมหลง จงึ อยู ใตบ งั คบั บญั ชาของ “วฏั วน” วนไปเวยี นมาดว ยการเกดิ ตายซาํ้ ๆ ซาก ๆ เหมือนมดไต ขอบกระดง เห็นขอบกระดงเปนของใหมอยูเรื่อยไป จิตก็เปน “วฏั วน” คอื เหน็ การเกดิ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๓

๔๔๔ ตายเปน ของใหมอ ยเู รอ่ื ยไป พอเอาสิง่ ทีเ่ ปนพษิ เปนภยั ท่ีอยใู นดวงใจออกไดหมดดว ย สตปิ ญ ญาแลว แสนสบาย! เปนก็เปน ตายกต็ าย ไมมีความหมายอะไร เรื่องเปนเรื่อง ตายเปน เรอ่ื งความเปลย่ี นแปลงของธาตขุ นั ธเ ทา นน้ั เอง จิตไมไดเปลี่ยนแปลงไปดวย มี อะไรเปนทุกขละ? มนั แสนสบายอยทู ค่ี วามบรสิ ทุ ธห์ิ มดจดนน้ี ะ เพราะฉะนน้ั ขอใหพ ากนั พจิ ารณา เอาชัยชนะภายในจิตใจเราใหได แพก เ็ คยแพ มานานแลว เกดิ ประโยชนอ ะไร ผลแหง ความแพก ม็ แี ตค วามทกุ ขค วามลาํ บาก ผลที่เกิด จากชัยชนะจะเปนอยางไรบาง เอาใหเ หน็ ชาตนิ เ้ี ดย๋ี วน!้ี พระพุทธเจาประเสริฐดวยความชนะ สาวกทง้ั หลายทา นประเสรฐิ ดว ยความชนะ กเิ ลส อยเู หนอื อาํ นาจของกเิ ลส เราอยใู ตอ าํ นาจกเิ ลสเรามที กุ ขแ คไ หนทราบดว ยกนั ทกุ คน ถา เราพยายามใหอ ยเู หนอื อาํ นาจแหง กเิ ลสทพ่ี าใหล มุ หลงจะมคี วามสขุ แคไ หน ไม ตองไปถามใคร ผลทเ่ี กดิ จะประกาศขน้ึ อยา งเตม็ ตวั ภายในใจของผปู ฏบิ ตั นิ แ้ี ล ขอให ปฏิบัติเถิด ธรรมอยา งนอ้ี ยกู บั ใจของเราทกุ คน เปนแตสิ่งไมพึงปรารถนามันครอบหัว ใจอยเู ทา นน้ั หลอกเราอยตู ลอดเวลา มนั มอี าํ นาจออกหนา ออกตา คนเราที่แสดงตัว อยา ง “ออกหนา ออกตา” กด็ ว ยสิง่ เหลานพ้ี าใหเปนไป ธรรมของจริงจึงออกหนาออกตา ไมได เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี าํ นาจมากกวา จงพยายามแกอ นั นอ้ี อกใหห มด จติ ที่เปน ธรรมทง้ั ดวงจะไดอ อกหนา ออกตาสวา งกระจา งแจง ครอบโลกธาตุ ใหไดเห็นไดชม ประจักษใจ ไมเสียทีที่เปนมนุษยและเปนชาวพุทธผูปฏิบัติจนเห็นผล “อยัมภทันตา” นี่คืออํานาจของจิตของธรรมแท ผิดกบั อาํ นาจกเิ ลสเปน ไหน ๆ อาํ นาจกเิ ลสมี มากเทาไรทําโลกใหเดือดรอนมาก ตัวเองก็เดือดรอน คนอน่ื กเ็ ดอื ดรอ น เมอ่ื ปราบ กิเลสตัวเปนพิษเปนภัยออกหมดกลายเปน “ธรรมทั้งดวง” ขน้ึ มาแลว ตวั กเ็ ยน็ โลกก็ เย็น เย็นไปหมด เอาละพดู ยอ ๆ เพียงเทานี้ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๔

๔๔๕ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๑๖ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙ งานลางปา ชา คาํ วา “จิต” โดยปกตกิ ม็ คี วามละเอยี ดยง่ิ กวา สง่ิ ใด ๆ อยแู ลว แมจะมีสิ่งละเอียด ดวยกัน ซง่ึ เปน ฝา ยตาํ่ ฝา ยมวั หมองปกคลมุ หมุ หอ อยา งหนาแนน กต็ าม จิตก็ยอมจะมี ความละเอยี ดยง่ิ กวา สง่ิ ทง้ั หลายอยนู น่ั แล คิดด!ู พระทานตัดเย็บจีวร โดยโยมอปุ ฏ ฐากทา นถวายผา มาใหต ดั เยบ็ เปน จวี ร ซึ่งมี พระสงฆในวัดชวยตัดเย็บ เพราะแตกอนเย็บดว ยมอื พอเยบ็ ยอ มเสรจ็ กน็ าํ จีวรนน้ั ไป ตากไว ขณะนน้ั ทา นคงมคี วามรกั ชอบและยนิ ดใี นจวี รผนื นน้ั มาก บงั เอญิ ตอนกลางคนื เกิดโรคเจ็บทองขึ้นมาในปจจุบัน และตายในกลางคนื นน้ั ดว ยความหว งใยในจวี ร ทา น เลยเกดิ เปน เลน็ เกาะอยทู จ่ี วี รผนื นน้ั บรรดาพระสงฆม จี ํานวนมากทอ่ี ยใู นวดั นน้ั กไ็ มม อี งคใ ดพดู วา อยา งไร พระพุทธ เจาตองเสด็จมารับสั่งวา “จีวรผืนนี้จะแจกใครไมไดภายใน ๗ วนั น้ี เพราะพระติสสะ ตายแลวมาเกิดเปน “เล็น” เกาะอยทู จ่ี วี รนแ้ี ลว และหงึ หวงอยใู นจวี รน้ี ตอ งรอจนกวา “เล็น” นต้ี ายไปแลว จงึ จะแจกกนั ได สมควรจะแจกใหอ งคไ หนกค็ อ ยแจกไป แตใ นระยะ เจ็ดวันนี้ยังแจกไมได” พระติสสะตายแลวมาเกิดเปน “เล็น” มาเกาะอยูที่จีวรนี้ และมคี วามหงึ หวงจวี ร นม้ี ากมายเวลาน้ี กลวั ใครจะมาแยง เอาไป นน่ั ! ฟงดูซี จนกระทั่ง ๗ วนั ผา นไปแลว จงึ รับสั่งวา “เวลานี้แจกไดแลว เลน็ ตวั นน้ั ตายแลว ไปสวรรคแลว” นน่ั ! ไปสวรรคแลว ! ตอนที่ไปไมไดทีแรกก็คงเปนเพราะความหวงใยนั่นเอง จึงตองมาเกิดเปนเล็น แตเ วลาจะตายจากความเปน เลน็ นค้ี งหายหว งแลว จึงไปสวรรคได นี่เปนเรื่องของพระ พุทธเจาตรัสไวมีใน “ธรรมบท” ซึ่งเปนพยานทางดานจิตใจอยางชัดเจน นแ่ี หละความ เกาะความหว งใย เหมอื นกบั สตั วต วั กาํ ลงั รออยปู ากคอก เชน ววั เปน ตน จะเปน ตวั เลก็ ตัวใหญ ตวั ผตู วั เมยี กต็ าม ตวั ไหนอยปู ากคอกตวั นน้ั ตอ งออกกอ น จติ ใจขณะใดทจ่ี ะออกกอ นได จะเปน ฝา ยตาํ่ ฝา ยสงู กอ็ อกแสดงผลกอ นได เรื่อง ความจรงิ เปน อยา งนน้ั ทานจึงสอนใหระมัดระวัง เพราะจิตเปนของละเอยี ดและไมมี กาํ ลงั โดยลาํ พงั ตนเอง ตอ งอาศยั สง่ิ อน่ื ผลกั ดนั เชน ฝา ยตาํ่ ผลกั ดนั ฝายสูงพยุงสงเสริม ใหเปนอยางไรกเ็ ปนไปได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๕

๔๔๖ เราจึงตองสั่งสมความดีอันเปน “ฝายสูง” ใหม าก ๆ เพื่อจะผลักดันหรือสงเสริม ไปในทางดี กระทั่งจิตหมดสิ่งผลักดันโดยประการทั้งปวงแลว ไมมี “ฝายต่ํา” “ฝา ยสงู ” หรอื วา “ฝายดี” ฝายชั่ว” เขาเกี่ยวของ จิตเปนอิสระโดยลําพังแลวนั้นจึงหมดปญหา โดยสิ้นเชิง นน่ั ทา นเรยี กวา “จติ บรสิ ุทธ”ิ์ จะมผี ใู ดสามารถมาสง่ั สอนอบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ในการแกจ ติ ใจ ในการชาํ ระความ พยศของใจ ในการชําระสิ่งที่มัวหมองของใจ ใหออกจากใจไดโดยสิ้นเชิงเหมือนพระ โอวาทของพระพุทธเจาบางไหม? การเกดิ ของโลกมนษุ ยน น้ั ยอมรบั กนั วา เกดิ กนั มานานแสนนาน แตไ มอ าจยอม รบั วา มนุษยท เ่ี กิดมานนั้ ๆ จะมคี วามสามารถสง่ั สอนโลกไดเ หมอื นศาสดา โลกเรากวา งแสนกวา ง มปี ระมาณสกั กล่ี า นคน? ใครจะมอี บุ ายวธิ หี รอื ความรู ความสามารถในทางความรคู วามฉลาด เกี่ยวกับทางดานจิตใจ และส่ิงทเ่ี ก่ยี วของกบั ใจ น้ี และสง่ั สอนใหท ราบทง้ั สองอยา ง คือจิตหนึ่ง สง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งกบั ใจมอี ะไรบา ง หนง่ึ จะแกไ ขกนั ดว ยวธิ ใี ดหนง่ึ ไมมีใครสามารถเหมือนพระพุทธเจาแมรายเดียว ทา น จึงกลา ววา “เอกนามกึ” หนง่ึ ไมม สี อง คอื อะไร คือพระพุทธเจาแตละพระองคที่ได ตรสั รขู ึน้ มาในโลกแตล ะครง้ั มีเพียงพระองคเดียวเทานั้น เพราะความหาไดยาก ได แกผ เู ปน “สพั พญั ”ู แลว มาสอนโลกนน่ั เอง สว นผทู ค่ี อยรบั จากผอู น่ื เพราะไมสามารถที่จะชวยตัวเองไดนั้นมีมากมาย เชน พระสาวก “สาวก” แปลวา ผฟู ง ตองไดยินไดฟงอุบายตาง ๆ จากพระพุทธเจา มาแลว ถงึ จะรูวิธีปฏิบัติตอไปได แมก ระนน้ั กย็ งั ตอ งอาศยั พระองคค อยตกั เตอื นสง่ั สอนอยตู ลอด เวลา คอื ตอ งคอยสง่ั สอนอยเู รอ่ื ย ๆ สมนามวา “เอกนามกึ” คอื หนง่ึ ไมม สี อง ไดแ กพ ระพทุ ธเจา ทม่ี าตรสั รไู ดแ ต เพียงครั้งละหนึ่งพระองคเทานั้น มจี าํ นวนนอ ยมาก เพราะเปน สง่ิ ทเ่ี กดิ ไดย าก น่ี ประการหนง่ึ ประการทส่ี อง พระวาจาทแ่ี สดงออก แสดงออกดว ยความรคู วามฉลาดอาจ หาญที่เต็มไปดวยความจริงทุกอยาง ไดต รสั อยา งไรแลว ส่ิงนนั้ ตอ งเปนความจริงแท ไมม สี อง พระญาณหยง่ั ทราบเหตกุ ารณท ง้ั หลายไดอ ยา งแนน อนแมน ยาํ โลกไมเ ปน อยา งนน้ั ไดน ่ี ชอบหยง่ั ทราบแตเ รอ่ื งหลอกลวงตวั เอง หยง่ั ทราบ อยา งนน้ั หยง่ั ทราบอยา งน้ี หลอกตวั เองแบบนน้ั หลอกตวั เองแบบน้ี อยวู นั ยงั คาํ่ คนื ยงั รุงก็ยังไมเห็นโทษแหงความหลอกลวงนั้น ๆ ยงั อตุ สา หเ ช่อื ไปตาม ไมม วี นั เวลาถอย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๖

๔๔๗ กลบั ตะเกยี กตะกายลม ลกุ คลกุ คลาน บกึ บนึ ไปกบั ความหลอกลวงโดยไมเ หน็ โทษของ มันบา งเลย พากนั เชอ่ื ตามมนั อยา งเอาจรงิ เอาจงั นน่ั ! ดูซิ มันผิดกันแคไหนละกับพระญาณของพระพุทธเจา ที่ทรงหยั่งทราบ อะไร ๆ แลว สง่ิ นน้ั ๆ จรงิ ทกุ อยา ง ไมมีโกหกพกลมเลย แตพวกเราหยั่งทราบอะไร แม เรื่องผานไปตั้งกัปตั้งกัลปนานกาเล ยังอุตสาหไปหยั่งทราบจนได และกวานเขา มาเผา ตัวเอง หลอกตัวเองใหเปนไฟไปจนได พวกเราคอื พวกตน่ื “เงา” ตวั เอง พวกเลนกับ “เงา” ตวั เอง ก็ “เงาเรา” นะซิ อารมณน ะ ไมรูหรือ อารมณอ ดตี เปน มาสกั กป่ี ก เ่ี ดอื น ดชี ว่ั อะไร ยังมาครุนมาคิดมาบริกรรมมาคุกรุนอยูในใจ เผาเจา ของใหยุงไปหมด ทง้ั นีส้ ว น มากไมใชของดี มีแตของชั่วแทบทั้งนั้น อารมณอดีตไปคิดขึ้นมายุงเจาของยิ่งกวาสุนัข เกาหมดั อยทู น่ี น้ั กว็ า ไมส บาย อยทู น่ี ก่ี ว็ า ไมส บาย ก็จะสบายไดอยา งไร มัวเกาแต อารมณท ง้ั อดตี อนาคตยงุ ไปตลอดเวลาและอริ ยิ าบถ สง่ิ ทก่ี ลา วมานกั ปฏบิ ตั จิ ําตอ งพจิ ารณาดว ยปญ ญา ไมเ ชน นน้ั จะเปน ทาํ นอง “หมาเกาหมดั ” เกาหมดั อยนู น่ั แล หาความสขุ กายสบายใจไมไ ดเ ลย ตลอดวนั ตายกต็ าย เปลา อยา งนา สงสาร เอา พูดอยางถึงเหตุถึงผลเปนที่แนใจสําหรับเราผูปฏิบัติ ไมวามนุษยจะมีมากนอยเพียงไร คนในโลกนม้ี เี ทา ไร เราจะเชื่อผูใด เพราะตาง คนตา งหหู นวกตาบอด ทางความรคู วามเหน็ อนั เปน อรรถเปน ธรรม มีแตดน ๆ เดาๆ ไปดวยกัน ถามใครกแ็ บบเดยี วกบั ถามเรอ่ื งแสงเรอ่ื งสกี บั คนตาบอด มันไดอะไรที่เปน คาํ ตอบทเ่ี ชอ่ื ถอื ได? เปลาทั้งเพ ! ถามเรอ่ื งเสยี งกบั คนหหู นวก มกี ค่ี นถา เปน คนหู หนวกมาแตก าํ เนดิ ดว ยกนั แลว มันก็ไมไดเรื่องทั้งนั้น ! คนประเภท “หนวก บอด ภายในใจ” นก้ี ท็ าํ นองเดยี วกนั จําพวกนไ้ี มว า ทา นวา เราโกหกตวั เองและโกหกผอู น่ื เกง ไมม ใี ครเกนิ หนา เราจะเชอ่ื ผใู ดใหย ง่ิ กวา พระ โอวาทคําสั่งสอนของพระพุทธเจา ทแ่ี สดงออกมาจากความรจู รงิ เหน็ จรงิ จริง ๆ ใน สามโลกธาตนุ ไ้ี มม ใี ครเกนิ พระองค ! เมื่อคดิ โดยทางเหตุผลเปน ท่ลี งใจไดแลวอยา งน้ี กาํ ลงั ทางดา นจติ ใจกเ็ พม่ิ ข้นึ ศรัทธาก็เพิ่ม วิริยะก็เพิ่ม สติ สมาธิ ปญ ญา กเ็ พม่ิ ขน้ึ ตามๆ กนั เพราะอํานาจ แหงความเชื่อ “พุทธ ธรรม สงฆ” เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ใหม กี าํ ลงั ใจ เพราะเราเชื่อตัวเอง ก็ยังเชื่อไมได รวนเรเรรอนอยูตลอดเวลา ไมทราบวาจะไปทางไหน จะยึดอะไรเปนหลัก ใจ สถานที่จะไปของจิตก็ยังไมทราบ จะไปยังไงก็ไมรู ไมทราบจะไปดีไปชั่ว เพราะความ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๗

๔๔๘ แนน อนใจไมม ี เนอ่ื งจาก “ธรรม” ซง่ึ เปนความแนนอนไมไ ดห ย่งั หรอื ไมซ ึมซาบเขาถงึ จติ ใจพอจะเปน ทเ่ี ชอ่ื ถอื ตนได ใจเมื่อมีสิ่งที่แนนอน มสี ง่ิ ทอ่ี าจหาญ มีสิง่ ท่แี นใจเขา แทรกใจได ยอมสามารถ ยอ มแนใ จได เพราะฉะนน้ั จงึ ควรสรา งความแนใจขึ้นภายในจิตใจดว ยขอ ปฏิบัติ เอา ทุกขก็ทุกข ทราบกนั มาตง้ั แตว นั เกดิ ! เกดิ กเ็ กดิ มากบั กองทกุ ขน ่ี เราไมได เกดิ มากบั สวรรคน พิ พานทไ่ี หน ในขณะเกดิ กเ็ กดิ มากบั กองทกุ ข รอดจากทุกขขึ้นมา เมื่อไมตายถึงมาเปนคน เราจะไปตืน่ เตนตกใจเสยี อกเสยี ใจกลัวอะไรกบั ทุกข ก็เกิดมา กับความทุกข อยกู บั ความทกุ ขต ลอดเวลาน่ี หากจะเปนอะไรก็เปนไปแลว เวลานไ้ี มไ ด เปนอะไร จะฉบิ หายวายปวงหรอื ตายไปเรากไ็ มไดตาย เราผา นพน มาโดยลาํ ดบั จนถงึ ปจจุบนั นี้ ยิ่งเวลานี้เปนเวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัติตัว ดวยความรูแจงเห็นจริงโดยทางสติ ปญญา เราจะกลัวทุกข ซึ่งขัดกับหลักเหตุผลที่จะใหทราบเรื่องของทุกข จะทราบความ จริงไดอยางไร? ถา กลวั ตอ งกลวั ดว ยเหตผุ ล อยา งพระพทุ ธเจาทานกลวั ทกุ ข พระสาวก ทา นกลวั ทกุ ข ทา นพจิ ารณาเพอื่ หาทางหลบหลีกจากทุกขโดยทางสติปญ ญา ศรทั ธา ความเพียร นน้ั ถกู ตอ ง ! การกลวั ทกุ ขด ว ยความทอ แทอ อ นแอนไ้ี มใ ชท าง ! ทกุ ขเ ปน ยงั ไงกาํ หนดใหร ู เกิดกับทุกขทําไมไมรูเรื่องของทุกข เกดิ กบั “สมุทัย” คอื กเิ ลสตณั หาอา สวะ ทําไมจะไมรูเรื่องของสมุทัย สิ่งที่จะใหรูมีอยู สติ ปญญา มอี ยกู บั ทกุ คน ศาสนาธรรมทา นสอนไวก บั “หวั ใจของบคุ คล” แท ๆ สตไิ ดห ามาจากไหน ไม ตอ งไปซอ้ื หามาจากตลาด ปญ ญาก็เชน น้นั จงพินิจพิจารณา พยายามคดิ อา นซอกแซก ทบหนา ทวนหลงั อยา คดิ ไปหนา เดยี ว ถา คดิ ไปหนา เดยี วไมร อบคอบ มีชองโหวตรง ไหนนน่ั แหละ ถา เปน บา นโจรผรู า ยกเ็ ขา ชอ งนน้ั ชองโหวของจิตอยูที่ตรงไหน กเิ ลสอา สวะเขาที่ตรงนั้น เพราะกเิ ลสอาสวะ “คอยทีจ่ ะแทรกจติ ใจ” อยตู ลอดเวลา ตองฝกหัด สตปิ ญ ญาใหด ี อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลากบั สง่ิ ใดยง่ิ กวา เสยี กบั ความเพยี ร ซง่ึ เปน ผล ประโยชนอ ยา งยง่ิ กบั ตวั เราโดยเฉพาะ นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั พระพุทธเจาไดทรงสอนบรรดาสงฆสาวก พระสงฆที่ทูลลาพระ องคไปเที่ยวกรรมฐาน ไปเที่ยวบําเพ็ญสมณธรรมในที่ตาง ๆ ทา นเหลา นเ้ี ปน ผกู าํ ลงั ศึกษา ถาสําเร็จเปนอริยบุคคล กต็ อ งอยใู นขน้ั “เสขบุคคล” ที่จะตองศึกษาเพื่อธรรมขั้น สูงขั้นไป เวลามาทูลลาพระพุทธเจาจะไปบําเพ็ญสมณธรรม ทา นกร็ บั สง่ั วา “เธอทง้ั หลายไปอยใู นสถานทใ่ี ด อยา ปราศจาก “ที่พึ่ง” นะ” “การอยไู มม ีที่พ่ึง นน้ั หาความหมายไมไ ดเ ลย ไมม คี วามหมายในตวั เอง หาคุณคาไมได พวกเธอทง้ั หลาย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๘

๔๔๙ จงหาธรรมที่มีคุณคามากเปนที่พึ่ง ธรรมที่มีคุณคานั้นจะเกิดขึ้นไดเพราะสถานใดเหตุ ใด ถา ไมเ กดิ ขน้ึ ไดก บั ความมสี ติ ความมคี วามเพยี ร มสี ตปิ ญ ญาอยตู ลอดเวลาใน อริ ยิ าบถตา ง ๆ นี้แลธรรมมีคุณคาที่จะใหสมณธรรมเจริญรุงเรือง กลายเปน คนทม่ี คี ณุ คา ขน้ึ มาภายในตน” เราฟงพระโอวาททานซี นา ฟง ไหม ! บรรดาพระสงฆที่ไดรับพระโอวาทจากพระองคแลว ตา งองคตางเสาะแสวงหา “สมณธรรม” บาํ เพญ็ ธรรมอยใู นสถานทใ่ี ด ทานจึงไดไปดวยความสงบเสงย่ี มเปน สขุ ใจ เปน ไปดว ยความเจยี มเนอ้ื เจยี มตวั อยตู ลอดเวลา ไมป ระมาท แลว หาทเ่ี ดด็ ๆ เดี่ยว ๆ เพอ่ื ความเหมาะสมแกก ารแกก เิ ลส การฆา กเิ ลสนน่ั เอง พูดงาย ๆ เมอ่ื เขา ไปอยใู นสถานทเ่ี ชน นน้ั แลว เรอ่ื งความเพยี รกม็ าเองแหละ ตามปกติมีแต ความข้ีเกียจทบั ถมอยตู ลอดเวลามองหาตัวจนแทบไมเห็นไมเ จอนั่นแล มแี ตความเกียจ คราน มกั งา ย ความออ นแอ เตม็ อยใู นตวั ของบคุ คลทง้ั คน เหยยี บยา งไปไหนโดนแต ความขี้เกียจของตน แตเ วลาเขา ไปสสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ความขเ้ี กยี จมนั หมอบตวั ความขยนั หมน่ั เพยี ร คอ ยปรากฏตวั ขน้ึ มา เพราะสถานทเ่ี ปน สง่ิ แวดลอ มอนั สาํ คญั ประมาทไมได เรามี ความมงุ หมายอยา งไรจงึ ตอ งมาอยสู ถานทน่ี ?้ี ความมุงหมายเดิม เจตนาเดมิ เปน อยา งไร กค็ อื มงุ หาสมณธรรม มาหาท่ี สําคัญที่เด็ด ๆ เดี่ยว ๆ เพื่อจะไดตั้งสติ คดิ อา นดว ยปญ ญา พยุงความเพียรอยาง เขม แขง็ เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทง้ั ไปอยสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ดว ยแลว “สต”ิ กม็ าเอง เพราะความ ระวังตัว ใครจะไมกลัวและเสียดายชีวิตละ ไมเสียดายชีวิต ไมหึงหวงชีวิตมีเหรอ? คน ทั้งคนนะ แมวาธรรมจะมีคุณคามาก แตใ นระยะทจ่ี ติ มคี วามหงึ หวงในชวี ติ ซง่ึ กลาย เปนของมีคุณคามากยิ่งกวาธรรมยังมี ซึ่งเปนเรื่องของกิเลสอันหนึ่ง แตก เิ ลสคอื ความ หงึ หวงชวี ติ เปน กเิ ลสทจ่ี ะใหเ กดิ “ธรรม” ได คอื ใหเ กดิ ความขยนั หมน่ั เพยี รในการ ที่จะประกอบความเพียร เอา เปนก็เปน ตายกต็ าย ทนี ม้ี อบไดแ ลว ตายกบั ธรรมอยา งเดยี วไมเ กย่ี ว เกาะกบั อะไร มสี ตสิ ตงั อยตู ลอดเวลา เดนิ อยใู นสถานทใ่ี ด นง่ั อยใู นสถานทใ่ี ด เปน กบั ตายไมต อ งเอามายงุ ขอใหรูเรื่องของจิตทก่ี ระดกิ ตวั ออกมาหลอกลวงตนเองวา มนั ปรงุ เรอ่ื งอะไร ปรุงเรื่องเสือ เรื่องชาง เรื่องอันตราย เรื่องงู เร่อื งอะไรกแ็ ลว แต มนั ปรงุ ขน้ึ ทต่ี รงไหนกแ็ ลว กนั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๔๙

๔๕๐ มนั ปรงุ ขน้ึ ทใ่ี จ ตวั นเ้ี ปน ตวั หลอกลวง จติ ขยบั เขา ไปตรงน้ี ๆ เรอ่ื งวา เสอื วา ชา งทเ่ี ปน อนั ตรายภายนอก มนั เลยหายกงั วล เพราะตัวนี้เปนตัวกอกรรม ตัวนี้เปนตัว หลอกลวง สตปิ ญ ญาโหมตวั เขา มาจบั จดุ ทต่ี รงน้ี ซึ่งเปนตัว ”โจรผูราย”ยแุ หยก อ กวน จนไดที่ เมอ่ื เหน็ จดุ สาํ คญั ทเ่ี ปน ตวั กอ เหตแุ ลว จดุ ทก่ี อ เหตนุ ก้ี ร็ ะงบั ตวั ลงได เพราะ อาํ นาจของสติ อาํ นาจของปญ ญาคน ควา ลง จนขาศึกที่จะปรุงเปนเสือเปนชางเปนตน หมอบราบลง เรอ่ื งความกลวั หายหมด จะไมหายยังไง ก็ผูไปปรุงมันไมปรุงนี่ เพราะรูตัวของ มนั แลว วา “นต่ี วั อนั ตรายอยทู น่ี ่ี ไมไ ดอ ยกู บั เสอื กบั ชา งอะไรทไ่ี หน ถงึ ความตายอยทู ่ี ไหนกต็ าย คนเรามี “ปาชา ” อยทู กุ แหง ทกุ หนทกุ อริ ยิ าบถ แนะ ! ไปหวั่นไปไหวอะไรกับ เร่ืองความเปนความตาย กเิ ลสทม่ี นั ครอบคลมุ อยทู ห่ี วั ใจนเ้ี ปน ภยั อนั สาํ คญั อยตู ลอด เวลา ทุกภพทุกชาติดวย จึงควรจะแกที่ตรงนี้ เชน ความกลวั มนั เปน กเิ ลสอยา งหนง่ึ ตองใชสติปญญาหันเขามาที่นี่ ยอ นเขา ทน่ี ่ี จิตก็สงบตัวลงไปเทานั้น เมอ่ื จติ สงบตวั ลง ไป ถึงจะคิดจะปรุงไดอยูก็ตาม แตความกลัวไมมี เพราะจิตไดฐานที่มั่นคงภายในใจ แลว นเ่ี ราเหน็ คุณคา เราเห็นผลประโยชนจากสถานที่นี้ดวยความเพียรอยางนี้ กย็ ิง่ ขยัน เขาไปเรื่อย ๆ เพื่อธรรมขั้นสูง ตองหาที่เด็ดเดี่ยวไปโดยลําดับ เพ่อื ธรรมข้นั สงู ยิ่งกวานี้ ขึ้นไป การประกอบความเพียรในทคี่ ับขันเชน นัน้ เปนผลประโยชนไดเร็วยิ่งกวาที่ ธรรมดา เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทนุ มนี อ ยกอ็ ยากจะไดก าํ ไรมาก ๆ จะทําอยางไรถึงจะเหมาะ สม กต็ อ งหาทเ่ี ชน นน้ั เปน ทาํ เลหากนิ และซอ้ื ขายละซิ เมอ่ื กเิ ลสหมอบลงแลว ใจรื่นเริงบันเทิงอยูกับอรรถกับธรรม เห็นทั้งโทษเห็นทั้ง คณุ ภายในจติ ใจผหู ลอกลวง ผกู อ กวน ผยู แุ หยต า ง ๆ ใหเ กดิ ความสะทกสะทา นหวน่ั ไหว ใหเ กดิ ความกลวั เปน กลวั ตายอะไร มนั อยใู นจติ ใจ รเู ร่ืองของมันในท่นี ่ีแลว กเิ ลส กส็ งบ ธรรมกก็ า วหนา เรือ่ งเหลาน้ีสงบก็เรียกวา “ขา ศกึ สงบ” ใจกเ็ ยน็ สบาย เอา เดนิ เสือจะกระหึ่ม ๆ อยกู ็กระหึม่ ไป เพยี งเสยี งอนั หนง่ึ เทา นน้ั เขากต็ ายน่ี เสือก็มปี าชา เตม็ ตัวของมัน เราก็ มีปาชาเต็มตัวของเรา กลวั อะไรกบั สตั วก บั เสอื ! กเิ ลสกดั หวั ใจอยตู ลอดเวลาทาํ ไมไม กลวั น!่ี เอาที่ตรงนี้! บทเวลาจะพาเอาจริงเอาจัง ใหหมุนติ้ว ๆ จนเกดิ ความกลา หาญชาญชยั ขน้ึ มาท่ี น่ี จิตก็จริงจังอยางเต็มภูมิ เสอื จะมสี กั กร่ี อ ยตวั กพ่ี นั ตวั กม็ าเถอะ เสอื นน่ั นะ ! เรากเ็ ปน สัตวเกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกนั เหมอื นสตั วท ง้ั หลายเหลา นน้ั หมด ไมเห็นมีอะไรยิ่ง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๐

๔๕๑ หยอ นกวา กนั จิตมันคิดไปอยางนั้นเสีย มนั รูไปอยา งนั้นเสยี จิตก็เลยรื่นเริงบันเทิง สบาย แลว กเิ ลสคอ ยหมดไป ๆ หรอื หมอบลง ๆ ราวกบั ตวั แบนแนบตดิ พน้ื นน่ั แล โผล หัวขึ้นมาไมไดเดี๋ยวถูกสังหารเรียบไป อา ว ทนี ค้ี น ทางดา นปญ ญา เมอ่ื สง่ิ กงั วลภายนอกทจ่ี ติ ไปเกย่ี วขอ งระงบั ตวั ลง ไป ๆ เพราะไมคิดไมยุง เนอ่ื งจากสตปิ ญ ญาตตี อ นเขา มาแลว เราคน วงภายในทน่ี ้ี เอา คน ลงไปเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ เรื่องอายตนะ เอาหลักพระพุทธเจา เอาหลกั “สวากขาตธรรม” เขาไปเปนเครื่องพิสูจนเปน เครื่องยืนยัน เพราะเปนธรรมชาติที่ใหความเชื่อถือได คนลงไป! ทา นวา “อนิจฺจ”ํ อะไรเปนอนิจฺจํ ? ดูใหเห็นชัดเจนตามความจริงที่พระองคทรง สอนไวซ ง่ึ เปน ความจรงิ ลว น ๆ นั้น เวลานจ้ี ติ ของเรามนั ปลอม อนั นเ้ี ปน “อนิจฺจ”ํ มันก็ วาเปน “นิจฺจ”ํ อนั นเ้ี ปน ทกุ ขฺ ํ มันกว็ า “สขุ ํ” อนั นเ้ี ปน “อนตตฺ า” มนั กว็ า เปน “อตฺตา” ตวั ตนอยอู ยา งนน้ั แหละ อะไร ๆ มันกไ็ ปกวา นมาเปน ตวั เปน ตนไปหมด มันฝนธรรม ของพระพุทธเจาอยูร่ําไป เมอ่ื เขา ไปอยใู นทค่ี บั ขนั เชน นน้ั แลว มนั ไมฝ น มนั ยอม! เมื่อยอมพระพุทธเจา แลว มนั กเ็ ปน ธรรมเทา นน้ั เอง (๑) อยา งนอ ยก็ “สมณธรรม” คอื ความสงบเยน็ ใจ (๒) ยง่ิ กวา นน้ั กค็ อื ความเฉลยี วฉลาดทางดา นปญ ญา แยกธาตแุ ยกขนั ธเ หน็ อยางประจักษ เวลาเห็นชัดเจนแลวก็ไมเห็นมีปญหาอะไรนี่ พระพทุ ธเจา ตรสั ไวชอบแลว ชอบจรงิ ๆ เปดเผยอยูดวยความจริง สอนดว ย ความจริง สิ่งที่สอนก็เปนความเปดเผยอยูตามธรรมชาติของตน ไมมีอะไรปดบังลี้ลับ นอกจากความโงซ ง่ึ เปน เรอ่ื งของกเิ ลสเทา นน้ั ปดบังตัวเองไมใหรูความจริงที่เปดเผยอยู ตามหลักธรรมชาติของตนได เม่อื พิจารณาไมห ยดุ ไมถอย มนั กร็ เู ขามาเอง ใหถ อื ธาตุ ขนั ธ อายตนะนแ้ี ลเปน สนามรบ เปน สถานทท่ี าํ งาน ทเ่ี รยี กวา “กมั มฏั ฐาน ๆ” นะ กรรมฐานก็ใชไดไมเปนกรรมฐานปลอม พิจารณาตรงนี้แหละ มันติดที่ตรงนี้ ไมติด อะไรเปนสําคัญ แตติดตรงนี้ จงคน ควา ดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ ดทู กุ แงทุกมมุ แหงอวยั วะ เมื่อถึงกาลที่ธรรมจะ ซมึ ซาบแลวกเ็ หมอื นไฟไดเ ชอ้ื มันสืบตอไปไหมลุกลามไปเรื่อย จนหมดเชื้อจึงจะหยุด (๓) พอถงึ ขน้ั ปญ ญาทจ่ี ะซมึ ซาบใหเ หน็ อวยั วะสว นตา ง ๆ ซ่ึงมีความเสมอกัน มันแทงทะลุปรุโปรงไปหมด หายสงสัย ปลอยวางไดตามความจริง เบาหววิ ไปเลย แนะ !การพจิ ารณา พจิ ารณาอยา งนน้ั น่ีแหละตัวจรงิ ! ตาํ รบั ตาํ ราทา นสอนไวม ากนอ ยก่ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๑

๔๕๒ คัมภีร สอบเขา มาหาตวั จรงิ นแ่ี ล เชน “สมาธิ” อะไรเปนสมาธิ หนงั สอื ไมไ ดเ ปน สมาธิ เปนตัวหนังสือ กเิ ลส หนังสือไมไ ดเ ปน กเิ ลส ใจของเราเปนกิเลส แนะ ! ปญญา หนังสือ ไมไดเปนปญญา เปนชอื่ ของปญญาตา งหาก เปนช่ือของกิเลส เปน ชอ่ื ของกองทกุ ขตาง หาก ตวั ทกุ ขจรงิ ๆ คือตัวเรา ตวั กเิ ลสจรงิ ๆ คือใจของเรา ตัวปญญาจริง ๆ อยทู ใ่ี จ ของเรา ตาํ ราทา นสอนชเ้ี ขา มาทน่ี ่ี ๆ จึงวา “ใหโ อปนยโิ ก นอ มเขา มาสตู วั เรา” ใหเห็น ความจรงิ อยใู นสถานทน่ี ้ี ความมืดมิดปด ตากป็ ดอยทู ี่น่ี เวลาสวา งกส็ วา งขน้ึ ทน่ี !่ี การพจิ ารณาดว ยปญ ญา กเ็ พอ่ื จะเปด สง่ิ ทป่ี ด กาํ บงั อนั ฝน ธรรมทง้ั หลายนน้ั ออกไปถงึ ขน้ั ความจรงิ จิตใจของเรากจ็ ะโลง และเหน็ ตามความจรงิ “โลกวทิ ู” รูแจง โลก รอู ะไร ถา ไมร แู จง สง่ิ ทป่ี ด บงั อยภู ายในธาตใุ นขนั ธข องเรานก้ี อ นอน่ื ไมม อี ะไร จะรู ตองรูที่นี่กอน! ทกุ ขก ป็ ด บงั สมุทัยก็ปดบัง เมื่อเกิดทุกขขึ้นมา ธรรมอยูที่ไหนก็ลมเหลวไปหมด แนะ ! มนั ปด บงั มนั ทาํ ลายธรรมของเราไดหมด วริ ยิ ธรรมก็ถกู ทาํ ลาย สตปิ ญ ญา ธรรมกถ็ กู ทาํ ลาย ขนั ตธิ รรมกถ็ กู ทาํ ลายดว ยอาํ นาจแหง ความทกุ ข ถา สตปิ ญ ญาไมส ามารถแกก ลา ไมม คี วามอาจหาญจรงิ ๆ จะเปด ความทกุ ข นข้ี น้ึ มาใหเ หน็ เปน ของจรงิ ไมไ ด ทั้ง ๆ ที่ทุกขนั้นเปนของจริงอันหนึ่ง แตเ รากค็ วา เอา มาเปนของปลอม เปนฟนเปนไฟเผาจิตใจของตนจนแหลกเหลวไปได ทาํ ความเพยี ร ติดตอกันไมไดเลยเพราะทุกขเขาไปทําลาย อะไรปดบังจิตใจ? กท็ กุ ขน เ่ี องเปนเครื่องปดบัง สมทุ ยั กเ็ หมอื นกนั คดิ อะไร หลอกข้นึ มาตัง้ แตเร่อื งปด บังเร่อื งจอมปลอมทง้ั นั้น เราก็เชื่อมันไปโดยลําดับ ๆ กย็ ง่ิ เพม่ิ ทกุ ขข น้ึ มามากมาย ตองใช “สติ ปญ ญา” เปดสิ่งเหลานี้ใหเห็นตามความจริงของมัน เมอ่ื สตปิ ญ ญา “จอ” เขา ไปถงึ ไหน รูเขาไปถึงไหน ความรูแ จงเหน็ จริงและการปลอยวาง จะปรากฏขึ้น มา เดนขึ้นมา แลว ความปลอ ยวางจะเปน ไปเอง คอ ยปลอ ยวางไปเรอ่ื ย ๆ ปลอ ยวางไป เรื่อย ๆ ตามความซาบซง้ึ ของปญ ญาทม่ี กี าํ ลงั เปน ลาํ ดบั จนหมดปญ หา คาํ วา “ธาตขุ นั ธ” พระพทุ ธเจา ทา นทรงสอนไวได ๒๕๐๐ กวา ปน ้ี ลว นแตเ ปน ความจริงตลอดมาจนกระทั่งปจจุบัน ทาํ ไมถงึ เพง่ิ มาทราบกนั วนั นร้ี กู นั วนั น้ี ธาตขุ นั ธม ี มาตั้งแตวันเกิดทําไมแตกอนไมเห็น กายของเราวาเปน “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น เปน “ทุกฺขํ”ก็ ไมเ หน็ เปน “อนตตฺ า” ก็ไมเห็น เปน “อสภุ ะอสภุ งั อะไร ๆ” ก็ไมเห็น ทั้งที่มันก็เปน ความจริงของมันอยูอยางนั้นแตใจก็ไมเห็น แลว ทาํ ไมเพง่ิ มาเหน็ กนั วนั น้ี! สง่ิ เหลา น้ี เพิ่งมีวันนี้เทานั้นหรือ? เปลา ! มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ! แตเพราะความมืดมิดปดตาบังอยู ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๒

๔๕๓ อยา งหนาแนน แมสิ่งเหลานี้จะมีอยูกับตัวเราก็ไมเห็น ตวั เราอยกู บั “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น อนิจฺจํ อยกู บั ทกุ ขฺ ํก็ไมเห็นทกุ ขฺ ํ อยกู บั อนตฺตาก็ไมเห็นอนตฺตา แลว จะเหน็ “ธรรมหรือ ความจริงแทแนนอน” ไดท ไ่ี หนกนั ! เม่ือสตปิ ญญาหยั่งลงไปกเ็ ปดเผยออกมาเรอื่ ย ๆ ไมต อ งบอกเรอ่ื ง “อปุ าทาน” จะขาดสะบน้ั ไปมากนอ ยเพยี งใดนน้ั ขน้ึ อยกู บั สตปิ ญ ญา ใหพ จิ ารณาเตม็ พลงั ฉะนน้ั จงผลิตสติปญ ญาขึน้ ใหมาก อยา กลัวจติ ตาย อยา กลวั จิตฉบิ หาย อยากลัวจิตลมจม ธรรมชาตินี้ไมลมจม เพราะธรรมชาตินี้เทานั้นที่จะพิจารณาสิ่งทั้งหลาย สง่ิ เหลา นก้ี ็ อาศยั ธรรมชาตนิ อ้ี ยดู ว ยกนั ไป ถาเราหลงถือวาเปนเรา สิ่งนั้นก็เปนภัยตอเราได ถาเรารู กต็ า งอนั ตา งจรงิ อยดู ว ยกนั สะดวกสบายในทท่ี ง้ั หลาย! นกั รบตอ งเปน ผกู ลา หาญตอ ความจรงิ ใหเ หน็ ความจรงิ จิตเปนผทู ่ชี อบรชู อบ เห็น มนี สิ ยั อยากรอู ยากเหน็ อยตู ลอดเวลา ขอใหน อ มความอยากรอู ยากเหน็ นน้ั เขา มาสู “สัจธรรม” ใหอ ยากรอู ยากเหน็ ใน “สัจธรรม” คือความจริง พระพุทธเจา ทรงสอนวา เปน ความจริง จริงแคไหนใหเห็นดวยสติปญญาของตัว เอง จะเปนที่หายสงสัยวา ออ พระพุทธเจาทานวาสัจธรรมเปนของจริง จริงอยาง น้!ี อยา งทเ่ี ราเหน็ ในปจ จบุ นั น้ี ทกุ ขกจ็ รงิ อยางน้ี สมทุ ยั กจ็ รงิ อยา งน้ี ปญ ญากจ็ รงิ อยา งน้ี จิตก็จริงอยางนี้ เห็นไดชัด ๆ หายสงสยั เรื่องพระพทุ ธเจา กห็ ายสงสัย เรอ่ื งความ พากเพียรของพระพุทธเจาที่ทรงบําเพ็ญอยางไรมาบาง กห็ ายสงสยั อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ที่ ทรงสอนไวอ ยางไร หายสงสยั ไปหมด นั่น! เมอ่ื ถงึ ขน้ั นน้ั หายสงสยั หายไปโดยลําดับจน ไมมีอะไรเหลืออยูเลย เพราะฉะนั้นจงพิจารณา “ขนั ธ” ของเราน้ี เอาใหดี ยง่ิ เปน หวั เลย้ี วหวั ตอ ดว ย แลวเราจะนอนใจไมได เอาลงใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จนกระทั่งสิ้นลม เอา ลมมนั สน้ิ ไปจากตวั ของเรานก้ี ไ็ มฉ บิ หาย มันก็ไปเปน “ลม” ตามเดิม มัน เพียงผานจากเราไปตางหาก คําวา “เรา” เอาดินเอาน้ําเอาลมเอาไฟมาเปน “เรา”ดนิ สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน ดนิ นาํ้ สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน “นาํ้ ”ไปเปน ลม ไปเปนไฟ ธรรมซาติคือใจนี้ก็เปน “ใจ” แยกกนั ใหเ หน็ ตามกาํ ลงั ของสตปิ ญ ญาของ เราอยาทอเลย! นเ่ี หละความชว ยตวั เองชว ยอยา งน้ี ไมม ผี ใู ดทจ่ี ะสามารถชว ยเราได ยิ่งถึงขั้น จาํ เปนจําใจ ขั้นจนตรอกจนมมุ จริง ๆ แลว มแี ตน ง่ั ดกู นั เฉย ๆ นน่ั แหละ ไมมีใครที่ จะชวยเราได ถา เราไมร บี ชว ยเราดว ยสตปิ ญ ญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของเราเสยี ตง้ั แตบัดนี้ จนเปนที่พอใจ เปน ทแ่ี นใ จ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๓

๔๕๔ สว นความตอ งการเฉย ๆ โดยไมทําอะไรนั้นไมม คี วามหมาย ถา ความเพยี รไม เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ความเพียรจึงเปนสิ่งสําคัญ อดทนตอ ความจริง อดทนตอ อรรถ ตอ ธรรมไมเ สยี หาย เราอดทนตอสิ่งอนื่ ตรากตราํ ตอ สง่ิ อน่ื ๆ เราเคยตรากตรํามามาก แลว เราเคย! คาํ วา “เราเคย” แลวส่ิงนท้ี ําไมเราจะไมสามารถ ธรรมของพระพุทธเจาไมใช “เพชฌฆาต” พอจะฆาคนทีม่ ีความเพียรอันกลา หาญใหฉ บิ หายวายปวงไปน่ี นอกจากฆา กเิ ลสอาสวะซง่ึ เปน ตวั ขา ศกึ อยภู ายในจติ ใจให เราลุมหลงไปตามเทานั้น จงพิจารณาลงใหเห็นชัดเจน ดใู หด สี ง่ิ เหลา นก้ี บั จติ มนั สนทิ กนั มาเปน เวลานาน ติดจมกันมาเปนเวลานาน จนแยกไมออกวา “อะไรเปน เรา อะไรเปน ธาตเุ ปน ขนั ธ” จึง รวมเอามาหมดนว้ี า เปน เรา ทั้ง ๆ ที่มันไมใชเรา ตามหลกั ความจรงิ ของทา นผรู ไู ปแลว ทา นเหน็ อยา งนน้ั จรงิ แตจิตของเรามันฝนอยางนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องทุกขมันจึงแทรกเขา มาตามความฝนซึ่งเปนของผิดนั้น ใหไ ดร บั ความลาํ บากอยเู สมอ ถา เดนิ ตามหลกั ความจริงทพี่ ระพุทธเจาทรงสอนไวแลวน้ี และรูตามนี้แลวจะไม มปี ญ หาอะไร ธาตกุ เ็ ปน ธาตุ ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ ใหช อ่ื มนั วา อยา งไรกเ็ ถอะ “เขา” เปน สภาพของเขานั่นแหละ เราเปนผูใหชื่อ “เขา” วา “นี่เปนธาตุ นน่ั เปน ขนั ธ นี่เปนรูป นน่ั เปนเวทนา นน่ั เปน สัญญา นี่เปนสังขาร นน่ั เปน วญิ ญาณ” ขอใหป ญ ญารทู ว่ั ถงึ เทา นน้ั แหละ มนั หมดสมมตุ ไิ ปเอง แมไมไปสมมุติมันก็ เปน “อาการหนง่ึ ๆ” เทานั้น เมื่อทราบความหมายของจิตเสียอยางเดียวเทานั้น ส่ิง นน้ั ๆ กเ็ ปน ความจรงิ ของมนั ลว น ๆ จิตก็มาเปนความจริงของตนลวน ๆ ไมคละเคลา กนั จงพิจารณาใหเห็นชัดอยางนี้ เหน็ สง่ิ เหลา นน้ั แลว กค็ น ลงไป มันอะไรกัน จิตดวง นี้ทําไมถึงไดขยันนักกับเรื่องเกิดเรื่องตาย ทั้ง ๆ ทโ่ี ลกกก็ ลวั กนั นกั หนา เราเองกก็ ลวั ความตาย แตท ําไมความเกดิ นจ้ี งึ ขยันนกั ตายปบเกิดปุบ แนะ! เกดิ ปบุ กแ็ บกเอาทกุ ข ปุบ แน! ทําไมจึงขยันนัก พิจารณาใหเห็น มนั เกดิ ไปจากอะไร? เรื่องอะไรพาใหเกิด? ถาไมใชจากจิตที่มีเชื้ออันสําคัญแฝง อยภู ายในน้ี จะเปนอะไรพาใหเกิดพาใหเปนทุกข การเกดิ เปน บอ เกดิ แหง ทกุ ข พิจารณาลงไปคนลงไป เอา อะไรจะฉบิ หายใหเ หน็ ใหร ู เพราะเราตองการความจริงนี่ อะไรจะฉิบหายลงไปใหมันรูดวยปญญาของเรา รูดวยจิตของเรา อะไรมันไมฉ บิ หายก็ ใหรูด วยจติ ของเราอกี น่นั แหละ จะหมดปญ หาอยทู จ่ี ดุ นน้ั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๔

๔๕๕ ปญ หาใหญอ ยทู จ่ี ติ กวา นอะไร ๆ รวมเขา มาไวใ นตวั หมด ไปกวา นเอาขา ง นอกเขามา พอถกู ตดั ดว ยสตปิ ญ ญาแลว กห็ ดตวั ไปอยภู ายใน ไปหลบซอ นอยภู ายในจติ นน้ั จติ กถ็ อื อนั นว้ี า เปน ตนอกี กห็ ลงอกี เพราะฉะนั้นจึงตองใชปญญาพิจารณาเขาไป อกี ฟนเขาไป ฟาดเขาไปใหแหลกละเอียดไปตาม ๆ กนั หมด อะไรท่ีไมใ ชของจรงิ ในหลักธรรมชาตซิ ึง่ มีอยูภายในจติ นัน้ แลว มนั จะสลายตวั ลงไป อนั ใดเปน ธรรมชาตขิ องตวั เองแลว จะไมส ลาย เชน ความรู เมื่อแยกสิ่งที่แปลก ปลอม สง่ิ ทแ่ี ทรกซมึ ทง้ั หลายออกหมดแลว จิตก็เลยเปนจิตลวน ๆ เปน ความบรสิ ทุ ธ์ิ จะฉบิ หายไปไหนความบรสิ ทุ ธน์ิ ะ ! ลองคน หาดซู ิ ปา ชา แหง ความบรสิ ทุ ธ์ิ ปา ชา แหง จติ นไ้ี มม ี ไมป รากฏ! ยิ่งชําระสิ่งจอมปลอมที่พาใหไปเที่ยวเกิดในรางนั้น ถอื ในรา งนน้ั รา งน้ี ออกหมด แลว ยิ่งเปนความเดนชัด นแ้ี ลทา นวา “ธรรมประเสริฐ” ! ประเสริฐที่ตรงนี้ แตก อ นผนู ้ี แหละเปน ตวั สาํ คญั หลอกลวงตวั เองอยตู ลอดเวลา สง่ิ ทพ่ี าใหห ลอกมนั อยใู นจติ จติ น้ี จงึ เปน เหมอื นลกู ฟตุ บอลนน่ั แหละ ถูกเตะกลิ้งไปกลิ้งมา กิเลสนี้แหละมันเตะ ฟนขา กเิ ลสใหแ หลกเสยี มนั จะไดไ มเตะ ฟนดวยปญญาของเรา ดว ยสตขิ องเราใหแ หลกหมด ใหตรงแนว นิพพานเที่ยงจะไปถามที่ไหนเลา? พอถึงจุดที่เที่ยง คือไมมีอะไรที่จะเขา มาแทรกสงิ ไดอ กี แลว มันก็ไมเอนไมเอียง นน่ั แหละ “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” รูกันตรงนี้ เปน“สนฺ ทิฏฐิโก” อนั เตม็ ภมู ิ “ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ” ทานผูรูทั้งหลายรูจําเพาะตน รูที่ตรงนี้เปนจุดสุด ทา ย รูที่ตรงนี้แลวเรื่องก็หมดที่ตรงนี้ เรื่อง “ปาชา” ทง้ั หลาย เคยเปนความเกิดความตายมาเทาไร ๆ แลว มาดบั กนั ท่ี ตรงนี้ นเ่ี รยี กวา “งานลา งปา ชา ” คืองานกรรมฐาน! ฐานนแ่ี หละ งานลา งปา ชา ของ ตนลางที่ตรงนี้ ภพนอ ยภพใหญลา งออกใหหมดไมมีอะไรเหลือ นผ่ี ลทเ่ี กดิ ขน้ึ จาก ประพฤติปฏิบัติตั้งแตขั้นเริ่มแรก เขา อยใู นปา ในเขา การฝกฝนทรมานตนไมวาจะอยูใน สถานทใ่ี ด ๆ ที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนใหไป “เที่ยวกัมมัฏฐาน” ไปเทย่ี วแบบนแ้ี หละ ทนี ค้ี าํ วา “กมั มฏั ฐาน” (กรรมฐาน) นม้ี อี ยดู ว ยกนั ทกุ คน ไมว า นกั บวช ไมวา ฆราวาส “กมั มฏั ฐาน” คืออะไร? เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นน่ั ! “ตจปญ จก กัมมัฏฐาน” แปลวา กมั มฏั ฐานมี “หนงั ” เปน ทห่ี า เปน คาํ รบหา กม็ อี ยกู นั ทกุ คนนไ่ี ม วา พระวา เณร พิจารณาตรงนี้เรียกวา “พิจารณากัมมัฏฐาน” เที่ยวอยูตรงนี้เรียกวา“เที่ยว กัมมัฏฐาน” หลงกห็ ลงอนั น้ี พจิ ารณาอนั นร้ี แู ลว กร็ กู มั มฏั ฐาน ถอดถอนกมั มฏั ฐาน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๕

๔๕๖ ถอดถอนภพถอดถอนชาติ รือ้ วัฏสงสารก็ร้ือทต่ี รงนี้ รวมเขาไปก็ไปรื้อที่ใจ กห็ มด ปญหาที่ตรงนั้น นน่ั แหละกรรมฐานสมบรู ณแ ลว “วสุ ติ ํ พฺรหฺมจริยํ” พรหมจรรยไดอยู จบแลว หรอื วา งานกรรมฐานเสรจ็ สน้ิ แลว จบที่ตรงนี้ จบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ศาสนาลงทจ่ี ดุ น้ี เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว พระพทุ ธเจา ไมท รงสง่ั สอนอะไรตอ ไปอกี เพราะศาสนาธรรมมุงจุดนี้ คือมุงลางปาชาของสัตวที่ตรงนี้ เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว กเ็ ปน อนั วา หมดปญหา สาวกจะอยดู ว ยกนั กร่ี อ ยกพ่ี นั องค ทานจะไมมีอะไรสอนกัน เพื่อการบํารุงอยาง โนน บาํ รงุ อยา งน้ี แมจะรุมลอมพระพุทธเจาอยูก็ตาม พระองคก ไ็ มท รงสอนเพอ่ื การละ กเิ ลส เพราะไดละกันหมดทุกสิ่งทุกอยางแลว ดังใน “โอวาทปาฏโิ มกข” ในวนั มาฆบชู าท่ี ไดเทศนเมื่อคืนนี้ “สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาส นํ ” แนะ ! ทา นประกาศ แสดงเปนสัมโมทนียกถา เครอ่ื งร่ืนเริงสําหรบั สาวกเทา นัน้ ไม ไดจ ะแสดงใหส าวกจะถอนอะไร เพราะบรรดาสาวกเหลาน้ันลวนแตเปน พระอรหนั ต เปนผูสิ้นกิเลสอาสวะโดยประการทั้งปวงแลว การทาํ บาปกไ็ มม ี ความฉลาดกถ็ งึ พรอ ม จติ กบ็ รรลถุ งึ ขน้ั บรสิ ทุ ธห์ิ มดจดทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว ถกู ตอ งตามหลกั วา “เอตํ พุทฺธาน สาสน”ํ น่ีเปน คําสอนของพระพทุ ธเจา ทุก ๆ พระองคแลว ทา นไมส อนเพอ่ื ใหล ะกเิ ลส อันใดอีกตอไปเลย พระอรหนั ตท า นอยกู นั จาํ นวนเทา ไรทา นจึงสะดวกสบาย ทานไมมีอะไรกระทบ กระเทอื นตนและผอู น่ื เพราะเปนความบริสทุ ธล์ิ ว น ๆ ดว ยกนั แลว แตพ วกเรามนั มกี เิ ลสอยภู ายในน่ี ไมไดทะเลาะกับคนอื่นก็ทะเลาะกับตนเอง ยงุ กบั ตวั เอง นอกจากยงุ กบั ตวั เองแลว กเ็ อาเรอ่ื งตวั เองนไ้ี ปยงุ กบั คนอน่ื อกี ระบาดไป หมด ขโ้ี ลภ ขี้โกรธ ขห้ี ลง เอาไปปา ยไปทาคนนน้ั คนนแ้ี หลกเหลวไปหมด รอ งกนั อลหมา นวนุ ไปหมด เลยเปนสภามวยฝปาก สภามวยนาํ้ ลายขน้ึ มาในวดั ในวาอยา งนก้ี ม็ ี มากมายหลายแหง แขง ดกี นั กเ็ พราะของสกปรกทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจนเ้ี อง ถา หมดนแ่ี ลว ก็หมดปญหา เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นสมควร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๖

๔๕๗ ธรรมะ จากจดหมายของทา นพระอาจารยม หาบวั ญาณสมฺปนฺโน มีถึง นางเพาพงา วรรธนะกลุ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๑๙ การปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ที่ประทานไวดวยพระเมตตาสุดสวนไมมีใคร เสมอในโลก นน้ั คอื การบชู าพระองคท า นแท การเหน็ ความจรงิ ทม่ี อี ยกู บั ตวั ตลอดเวลา ดวยปญญาโดยลําดับ น้ันก็คอื การเหน็ พระตถาคตโดยลาํ ดับ การเหน็ ความจรงิ อยา ง เต็มใจดวยปญญานั้นแล คือการเห็นพระพุทธเจาเต็มพระองค พระพุทธเจาแท ธรรม แทอ ยทู ใ่ี จ การอุปฏฐากใจตัวเอง คอื การอปุ ฏ ฐากพระพทุ ธเจา การเฝา ดูใจตวั เองดว ย สติปญญา คือการเขาเฝาพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ อยางแทจริง พญามัจจุราช เตือน และบกุ ธาตขุ นั ธข องสตั วโ ลกตามหลกั ความจรงิ ของเขา เราตองตอนรับการเตือน และการบกุ ของเขาดว ยสติ ปญ ญา ศรัทธา ความเพียรไมถอยหลัง และขนสมบตั ิ คือ มรรค ผล นพิ พาน ออกมาอวดเขาซง่ึ ๆ หนา ดว ยความกลา ตาย โดยทางความเพียร เขากบั เราทถ่ี อื วา เปน อรศิ ตั รกู นั มานาน จะเปนมิตรกันโดยความจริงดวยกัน ไมมีใครได ใครเสยี เปรยี บกนั อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล ธาตุขันธเปนสิ่งที่โลกจะพึงสละทั้งที่เสียดาย เราพึงสละดว ยสตปิ ญ ญากอ นหนา ทจ่ี ะสละขนั ธแ บบโลกสละกนั นน่ั คอื ความสละอยา งเอก ไมม สี องกบั อนั ใด กรณุ าฟง ให ถงึ ใจ เพราะเขียนดวยความถึงใจ เอวํ ฯ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๗

๔๕๘ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ จงสรา งสมณะขน้ึ ทใ่ี จ ทา นอาจารยม น่ั ทา นพดู เสมอ เวลาเทศนไปสมั ผสั หรือพูดไปสัมผสั ดงั ที่เขยี นไว ใน “มุตโตทัย” ก็ดูเหมือนมี แตทานไมแยก ทานพูดรวม ๆ เอาไว ทีนี้เวลาเราเขียนเรา ถงึ ไดแ ยกออกเปน ตอน ๆ คือผูเขียน “มุตโตทัย“ ไมแ ยกออกเปน ขน้ั ตอน ทานพูดบาง ครั้งทา นก็ไมแยก แตก็พอทราบได เพยี งยกตน ขน้ึ มาแลว กง่ิ กา นกม็ าดว ยกนั โดยทา น วา “ธรรมของพระพุทธเจาตามธรรมชาติแลวเปนของบริสุทธิ์ แตเ มอ่ื มาสถติ อยใู น ปถุ ชุ นกก็ ลายเปน “ธรรมปลอม” เมื่อสงิ สถติ อยูในพระอรยิ บุคคลจึงเปน “ธรรมจริง ธรรมแท” นี่ทานพูดรวม ๆ เอาไว คาํ วา “อรยิ บคุ คล” มหี ลายขน้ั คอื “พระโสดา” เปน อรยิ บคุ คลชน้ั ตน ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกทิ าคา, อนาคา, อรหันต” เปนสี่ เมือ่ แยกแลวพระอริยบุคคลผูบรรลุ “พระโสดาบัน” ธรรมในขั้นพระ โสดาบันก็เปนธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สําหรับพระโสดา แตธรรมขั้น “สกทิ าคา, อนาคา, อรหันต” เหลา น้ี พระโสดายงั ตอ งปลอมอยภู ายในใจ แมจะจดจําได รูแนวทางท่ีปฏบิ ตั ิ อยอู ยา งเตม็ ใจก็ตามก็ยังปลอม ทั้ง ๆ ที่รู ๆ อยนู น่ั เอง “พระสกทิ าคา” กย็ งั ปลอมอยใู นขน้ั “อนาคา”, อรหนั ต” , พระอนาคา” กย็ งั ปลอมอยใู นขน้ั “อรหัตธรรม” จนกวาจะบรรลุถึงขั้น “อรหตั ภมู ิ” แลว นน่ั แล ธรรมทุก ขั้นจึงจะบริบูรณสมบูรณเต็มเปยมในจิตใจ ไมม ปี ลอมเลย บางรายกค็ า นวา “ธรรมของพระพุทธเจาเปนของจริงของบริสุทธิ์ อยทู ไ่ี หนก็ ตองบริสุทธิ์ เชน เดยี วกบั ทองคาํ จะเปนตมเปนโคลนไปไมได” ถา ไมแ ยกออกพอใหเ ขา ใจ “ทองคําตองเปนทองคํา ไมเปนตมเปนโคลนไปได” แตเราจะปฏเิ สธไดอยางไรวา ไมมีตมมโี คลนติดเปอนทองคําน้ัน ขณะทค่ี ละเคลา กนั อย?ู ทองคาํ ทไ่ี มต กในตมในโคลนกบั ทองคาํ ทต่ี กในตมในโคลน มันตางกันหรอื ไม มนั ตา งกนั นะ ! ทองคาํ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ หนง่ึ ทองคาํ ทเ่ี จือไปดว ยตมดว ยโคลนหนง่ึ เราจะวามัน บรสิ ทุ ธเ์ิ หมอื นกนั ไดอ ยา งไร? นน่ั ! ตอ งตา งกนั ! ถา เราจะแยกมาพดู เปน ประการท่ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๘

๔๕๙ สอง เชน อาหารทค่ี วรแกก ารรบั ประทานอยแู ลว หยบิ ยกขน้ึ มากาํ ลงั จะรบั ประทาน แต พลดั จากมอื ลงไปถูกสิง่ สกปรกเสีย อาหารแมจะควรแกการรับประทานก็ไมควร เพราะ มันเปอนสกปรก จนกลายเปน สง่ิ นา เกลยี ดไปหมดแลว หรือภาชนะที่เปอน อาหารแม จะสะอาดนารับประทานเพียงไรก็ตาม เมอื่ นาํ มาสูภาชนะทีเ่ ปอ น อาหารนน้ั กเ็ ปอ นไป ตาม แลวมนั จะบริสทุ ธิ์ไดอยา งไร เมื่อมันเจือดวยของเปอนหรือสกปรกอยูเชนนั้น นี่ธรรมของพระพุทธเจาก็เชนเดียวกัน ภาชนะในทน่ี ก้ี ห็ มายถงึ ใจ มีใจเทานั้น เปนคูควรแกธรรม ทีนใี้ จน้นั มีความสกปรกมากนอยเพยี งไร ธรรมที่เขามาเกี่ยวของก็ตองมีความ สกปรกไปดวยเพียงนั้น ทท่ี า นเรยี กวา “ปลอม” หมายถึงไมบริสุทธิ์แท ทีนี้ถัดจากนั้นมา เชน มาดกู นั ในคมั ภรี ใ บลานตามตาํ รบั ตาํ รากเ็ ปน ธรรม แตเราไปเรียนจากนั้น จดจํา เอามาไวใ นใจ แตใจเราเต็มไปดวยกิเลส ธรรมที่เขามาสูจิตใจเราก็กลายเปน “ธรรมจด จํา” ไปเสียไมใชธรรมจริง! ถา วา เปน ธรรมจรงิ ซง่ึ ตา งคนตา งเรยี นและจดจาํ มาดว ยกนั แลว ทาํ ไมกิเลสจงึ ไม หมดไปจากใจ ยังมีเต็มใจอยู ทั้งๆ ทเ่ี รียนรอู ยูแลว ทกุ สิง่ ทุกอยา งจนกระท่ังถงึ นิพพาน แตใจก็ยังไมพนจากความมีกิเลสอยูเต็มตัว ฉะนั้นธรรมจึงปลอมอยา งนเ้ี อง ถาเราไดนําธรรมของพระพุทธเจา ทั้งดานปริยัติและดานปฏิบัติ ออกคลค่ี ลาย ดว ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทท่ี า นสอนไวโ ดยถกู ตอ งแลว ธรรมจะเรมิ่ จริงไปตง้ั แต ความจดจํา เมื่อจดจําเพื่อเปนแบบแปลนแผนผังจริงๆ ไมใ ชจ ดจําสกั แตว า จดจาํ แลว ไมท าํ ตามแบบแปลนแผนผงั เชน เดยี วกบั บา นเรอื นจะมกี แ่ี ปลนกต็ าม ยอ มไม สําเร็จเปนบานเปนเรือนขึ้นมาได จะมีแต “แปลน” เทา นั้น กร่ี อ ยกพ่ี นั ชน้ิ กม็ แี ตแ ปลน เรียกวาเปน “บา น” ไมได จนกวา ทาํ การปลกู สรา งขน้ึ มาจนแลว เสรจ็ สมบรู ณต ามแปลน นั้นๆ จึงจะเรียกวา “บา นเรอื น” โดยสมบูรณได การจดจาํ เพอ่ื ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ปน อกี อยา งหนง่ึ การจดจําเฉยๆ ไมส นใจ ประพฤติปฏิบัติเปนอีกอยางหนึ่ง แตถึงยังไงก็ไมพนจากการปฏิบัติตามที่เรียนมา ตอ ง ไดป ฏบิ ตั ิ เมอ่ื ปฏบิ ตั แิ ลว “ปฏเิ วธ” คือความรูแจงแทงทะลุไปโดยลําดับ ไมต อ งหว งไม ตองสงสัย จติ จะตอ งเปน ไปโดยลาํ ดบั ตามความสามารถแหง การปฏบิ ตั นิ น้ั แล หากชาวพทุ ธเราไดห ยบิ ยก “ปรยิ ตั ิ” และ “ปฏบิ ตั ”ิ ขน้ึ เปน ความจาํ เปน ความจาํ เปน เปน ความสาํ คญั ภายในตวั สมกับศาสนาเปนธรรมสําคัญ แลว ศาสนาหรอื ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๙

๔๖๐ บคุ คลจะเปน ผูเดน อยดู วยคุณธรรม เดนดวยความประพฤติ เดน ดว ยความรคู วาม เห็น ทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความสงบรม เยน็ แกต นและสว นรวมมากมายทเี ดยี ว นศ่ี าสนากส็ กั แตว า จาํ ได และมอี ยใู นคมั ภรี ใ บลานเฉยๆ คนกไ็ ปอกี แบบหนง่ึ ความจดจาํ กไ็ ปอกี แบบหนง่ึ ภาคปฏบิ ตั กิ เ็ ปน อกี แบบหนง่ึ เขากันไมได ทะเลาะกันทั้ง วนั ทง้ั คนื ภายในบคุ คลคนเดยี วนน้ั แลว ยงั ทาํ ใหแ สลงแทงตาแทงใจบคุ คลอน่ื สะดุดใจ คนอน่ื อกี ดว ยวา “ทาํ ไมชาวพทุ ธเรานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาถงึ เปน อยา งนน้ั !” นน้ั มนั ถกู ทเ่ี ขาตาํ หนิ เราหาที่คานเขาไมได! สว นไหนทผ่ี ดิ ตอ งยอมรบั วา ผดิ หากไดน าํ การปฏบิ ตั อิ อกแสดงเปน คเู คยี งกบั ปรยิ ตั แิ ลว ผลจะพงึ ปรากฏ เปน คเู คยี งกนั สิ่งที่ปรากฏขึ้นดวยใจจากการปฏิบัติที่ไดรูจริงเห็นจริงตามขั้นตามภูมิ ของตนแลว ยอมพดู ไดถ ูกตอ งตามหลักแหง การปฏบิ ัติทไ่ี ดร ไู ดเหน็ ตามขัน้ นน้ั ๆ ไม สงสัย และการพดู กจ็ ะมคี วามอาจหาญไมส ะทา นหวน่ั ไหว และเกรงกลัวใครจะคัดคาน เพราะรูจริงๆ เห็นจริงๆ จะสะทกสะทานเพื่ออะไร! ไมมีการสะทกสะทาน เพราะไมได ลบู ไดค ลาํ แบบสมุ เดา ไมไดยืมเอาของใครมาพูด แตน าํ ออกจากสง่ิ ทเ่ี ปน ทเ่ี หน็ ทเ่ี ขา ใจ แลวมาพูดจะผิดไปไหน! แลว จะสะทกสะทา นหาอะไร เพราะตางคนตางหาความจริงอยู แลว เราก็รูความจริงตามกําลังของเรา พูดออกตามความรูความสามารถของตน จะมี ความสะทกสะทา นทไ่ี หนกนั ไมม!ี พระพุทธเจา เราก็ไมเคยทราบวา พระองคไปเรียนเรื่องพระนิพพานมาจากไหน มรรคมีองคแปด ที่เรียกวา “มัชฌิมาปฏิปทา” ก็ไมไดไปเรียนมาจากไหน ทรงขุดคนขึ้น ตามพระกําลังความสามารถในพระองคเอง จนกระทั่งไดทรงรูทรงเห็นธรรมเปนที่พอ พระทัย แลว นาํ มาสอนโลกไดท ง้ั นน้ั ใครจะมคี วามสามารถยิง่ กวาพระพุทธเจา ซึ่งมิได ทรงเรียนมาจากไหน ยังเปน “สัพพัญ”ู รูดวยพระองคเองได พทุ ธศาสนาถา อยากใหม คี ณุ คา สมกบั ศาสนาเปน ของมคี ณุ คา จรงิ ดงั กลา ว อา งแลว คนกค็ วรจะทาํ ตวั ใหม คี ณุ คา ขน้ึ มาตามหลกั ศาสนาทท่ี า นสอนไว ตวั เองก็ ไดร บั ประโยชน ไมต อ งแบกคมั ภรี อ ยเู ฉยๆ ใหห นกั บา นอกจากนน้ั จิตใจกย็ งั ไมม ี กเิ ลสตวั ไหนทพ่ี อถลอกบา ง จึงไมเกิดประโยชน ไมส มชอ่ื สมนาม สมกับพระประสงคที่ พระพุทธเจา ทรงสง่ั สอนไวเ พื่อถอดถอนกิเลสอาสวะตามหลกั ธรรม เรากลบั มาแบกกเิ ลสดว ยการจดจํา การเรยี นไดม ากนอ ย เลยเขา กนั ไมไ ด กบั ความมงุ หมายของศาสนา นแ้ี ลธรรมกลายเปน โลก! เปน ไดอยา งน้เี อง ธรรมเปนธรรมก็ดังที่วาการเรียนมาแลวก็ตองปฏิบัติ เม่ือปฏิบตั ติ ามธรรมแลว ตองรูความจริง เพราะแนวทางแหงการสอนนั้น พระพุทธเจาทรงสอนไวแลวโดยถูก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๐

๔๖๑ ตองเปน “สวากขาตธรรม” ดว ยกนั ทง้ั สน้ิ ไมมีทางปลีก และไมเปนความผิด นอกจากผู ปฏิบัติจะเห็นผิดโดยลําพังตนเองก็ชวยไมได เพราะปน เกลยี วกบั ความจรงิ คอื ธรรม ถาศาสนธรรมของพระพุทธเจาเปนดังสินคาตางๆ ซึ่งสามารถประกาศทาทาย ดวยคุณภาพและการพิสูจน ไมว า จะนาํ ไปสตู ลาดใดทม่ี สี นิ คา อน่ื ๆ อยูมากมายหลาย ชนิด พอนาํ สนิ คา คอื ศาสนธรรมนอ้ี อกไปถงึ ทใ่ี ด ทน่ี น้ั ตลาดสนิ คา ชนดิ ตา งๆ ลมไปใน ทันทีทันใด เพราะคนหาของดี ของจริงอยูแลว เมื่อเจอเขากับสิ่งที่ตองตาตองใจทําไม จะไมทราบ แมแตเด็กยังทราบได แตน ไ้ี มใ ชว ตั ถทุ จ่ี ะออกประกาศขายหรอื แขง ขนั กนั ไดด งั สนิ คา ทง้ั หลาย นอก จากความประทับใจของผูสัมผัส และผูปฏิบัติจะพึงรูพึงเห็นโดยลําพังตนเองเทานั้น เพราะการที่รูเห็นก็ไมใชอยากเห็นเพื่อสั่งสมกิเลส เพอ่ื สง่ั สมความโออ วด ความ เยอหยิ่งจองหองลําพองตนซึ่งเปนเรื่องของกิเลส ทา นผใู ดมคี วามรคู วามเหน็ มากนอ ยเพยี งไร กเ็ ปน การถอดถอนกเิ ลส ซึ่งเปน ขา ศกึ แกต นและผอู น่ื ออกไดม ากนอ ยเพยี งนน้ั แลว ไหนจะไปทโ่ี ออ วด ซึ่งเปน การสง เสริมกิเลสขึ้นมาใหโลกเอือมระอา ซง่ึ ไมส มกบั ตวั วา ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกเ พอ่ื ถอดถอนกเิ ลส เลย ดวยเหตุนี้ผูปฏิบัติเปนธรรม รูมากรูนอยเพียงไร ทานจึงเปนไปดวยความสงบ ควรจะพดู หนกั เบามากนอ ย ทานกพ็ ูดไปตามควรแกเ หตุ ไมควรพูดก็นิ่งไปเสีย ไมห วิ โหย ไมเ สยี ดาย อยไู ปแบบ “สมณะ” คือ สงบดว ยเหตดุ ว ยผล พดู กพ็ ดู ดว ยเหตดุ ว ย ผล นแ่ี หละทา นวา “สมณานจฺ ทสสฺ นํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ” “การเหน็ สมณะผสู งบจากบาป ความลามก เปน มงคลอนั สงู สดุ ” คาํ วา “สมณะ” ตั้งแต “สมณะ ทห่ี นง่ึ สมณะ ท่สี อง ทส่ี าม ที่สี่ สมณะทห่ี นง่ึ ก็ คือ “พระโสดา”ที่สองคือ “สกทิ าคา” ทส่ี ามคอื “อนาคา” ทส่ี ค่ี อื ”พระอรหันต” เรียกวา “สมณะ” เปนขั้นๆ” ถาเราพูดเปนบุคคลาธิษฐาน กห็ มายถงึ ทานผูเปนสมณะตามขั้นภูมิแหงธรรม นั้นๆ เชน พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต ซึ่งเปนมงคลแกผูไดเห็น ไดก ราบไหวบ ชู าทา น นเ้ี ปน สมณะภายนอก เมอ่ื ยอ นเขา มาภายใน การเหน็ สมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ภายในจติ ใจ ดวย การพิจารณา “สจั ธรรม” ซึ่งเปนเครื่องเปดมรรคผลขึ้นมาประจักษใจนั้น เปน มงคลอนั สงู ยง่ิ ประการหนง่ึ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๑

๔๖๒ ตองยนเขามาเปนประโยชนสําหรับตัว ไมง น้ั เรากค็ อยมองหาแต “สมณะภาย นอก” สมณะองคใดทานเปนพระโสดา องคไ หนทา นเปน พระสกทิ าคา องคไ หนทา น เปนพระอนาคา องคไหนทานเปนพระอรหันต” แมองคไ หนๆ ทานก็ไมมี “เบอร” เหมือนเบอร นายรอ ย นายพนั ติดตัวติดบา จะไปรูทานไดยังไง! ถาทานเปนพระโสดา พระสกทิ าคา พระอนาคา หรือ พระอรหันตจริงๆ จะไมมี ทางทราบได ดว ยอากปั กริ ยิ าทท่ี า นจะมาแสดงออกทา ออกทาง ดงั ทโ่ี ลกสกปรกทาํ กนั อยนู เ้ี ลย ทา นไมท าํ ทา นทาํ ไมล ง ไมใ ชว สิ ยั ของทา นผสู ะอาด ผูมุงตออรรถตอธรรมจะ ทําไดอ ยา งน้นั การที่จะหา “สมณะ” อยา งนม้ี ากราบมาไหวน น้ั ไกลมาก อยหู า งเหนิ มาก ไมทราบจะไดพบปะทานเมื่อไร โอวาทใดท่ีทา นสอนเพอื่ บรรลุถงึ “สมณะ ทห่ี นง่ึ ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี “ นาํ โอวาท นน้ั เขา มาปฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง เพื่อใหสําเร็จเปน “สมณะ ที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่”ี ขึ้นมา ภายในน้ี เปนความเหมาะสมอยางยิ่ง เรยี กวา ”จับถูกตัว” เลย ไมตองไปตามหารอง รอยหรือตะครุบเงาที่ไหนใหเสียเวล่ําเวลา เอา! เราพบครูบาอาจารยที่ทานเปนอรรถเปนธรรม ผมู กี ายวาจาใจสงบ หรือ ทานผูเปนสมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ก็เปน การดี เมอ่ื ไดพ บแลว อยา ใหพ ลาดจาก สมณะที่หนง่ึ ที่สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ซงึ่ จะเกดิ ข้ึนไดภายในใจเราเอง ดวยการปฏิบัตขิ องเราน่ี พระพุทธเจาไมทรงผูกขาด จะพึงไดผ ลโดยทว่ั ถงึ กนั เม่ือเหตุสมบูรณแลว เราจึงควร นอ มธรรมเหลา นน้ั เขา มาเพอ่ื ตน “โสตะ” แปลวา กระแส คือบรรลุถึงกระแสพระนิพพาน แตพ วกเรามกั คาดกนั ไปตางๆ จนไมมีประมาณวา กระแสพระนิพพานนั้นเปน อยา งไรบาง กระแสกวา งแคบ ลกึ ตน้ื หยาบละเอยี ดขนาดไหน ซึ่งกลายเปน สญั ญาอารมณไ ป โดยไมเกิดประโยชน อะไรเลย ความจรงิ กระแสกค็ อื แดนแหงความแนนอน ทจ่ี ะกา วถงึ ความพน ทกุ ขไ ม เปน อน่ื นน่ั เอง ผปู ฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ขอใหม คี วามรม เยน็ ภายในใจเถอะ จะกระแสไมกระแสก็ ตามคือจิตดวงนี้เอง ซึง่ ไดรบั การบํารุงสงเสริมในทางดีอยูเสมอไมลดละลา ถอย อะไรจะเปนพระนิพพานได บา นเปน บา น เรือนเปนเรือน ดินเปนดิน น้ําเปนน้ํา ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ ดนิ ฟา อากาศ แตละชิ้นละอันไมสามารถที่จะเปนพระนิพพาน หรือนํามาเปนพระนิพพานไดเลย จะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานก็ไมได จะปรับปรุงให เปนพระโสดาบันก็ไมได พระสกิทาคาก็ไมได พระอนาคากไ็ มไ ด พระอรหันตก็ไมได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๒

๔๖๓ แลวจะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานไดอยางไร นอกจากจติ ดวงเดียวเทานเี้ ปน ผทู ่ี สามารถจะเปนไปได ดวยการประพฤติปฏิบัติ กําจัดสิ่งที่ปกปดกําบังซึ่งมืดมิดปดตาอยู ภายในใจนอ้ี อกไปไดโ ดยลาํ ดบั ความสงบสขุ หากเกดิ ขน้ึ มาเอง ที่ไมสงบก็เพราะสิ่ง เหลา นเ้ี ปน ผกู อ กวน เปน ผยู แุ หยใ หก งั วลวนุ วายอยทู ง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดิน นง่ั นอน ทุก อริ ยิ าบถ หาแตเรื่อง วนุ วายตวั เอง กค็ อื เรื่องของกิเลส จะใหใจสงบไดอยางไร เรื่องของ กิเลสจึงไมใชของดีสําหรับสัตวโลกแตไหนแตไรมา สตั วท ง้ั หลายชอบถอื วา เปน ของดไี มค ดิ ปลอ ยวาง ฤทธข์ิ องมนั จงึ ทาํ ใหบ น กนั ออ้ื ไปหมด ถามันดีจริงๆ ทําไมจึงไดบนกัน การท่ีบน กันก็เพราะเร่อื งของกิเลสพาใหเ กดิ ทกุ ขเ กดิ ความลาํ บาก ทา นจงึ สอนใหส รา ง “สมณธรรม” ข้นึ ท่นี ี่! “สมณะ” แปลวา ความสงบ เมอ่ื สงบแลว กค็ อ ยๆ กลายเปน “สมณะทห่ี นง่ึ ” ที่ สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ขึ้นไปโดยลําดับภายในใจเรา การปฏิบัติเพื่อบรรลุ “สมณธรรม” ทั้งสี่นี้ปฏิบัติอยางไร? ใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทานแสดงไวเปนรวมๆ ไมค อ ยละเอยี ดลอออะไร ผูเ รม่ิ ปฏิบัติอาจเขา ใจยากนัก “ทกุ ขฺ ํ อริยสจฺจ”ํ สัจธรรมหนึ่ง ทา นวา อยา งนน้ั “ชาตปิ  ทกุ ขฺ า ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ  ทกุ ขฺ ํ โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสาป ทุกฺขา” เรื่อยไป วา นเี้ ปนเรอื่ งความ ทุกข ทกุ ขท่แี สดงตวั ออกมาน้มี ีสาเหตเุ ปน มาจากอะไร? กม็ าจากความเกดิ เกิดเปนตน เหตุที่ใหเกิดความทุกข ทีนี้ตัวเกิดจริงๆ มีตนเหตุมาจาก “อวชิ ชา” “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ ขารา” แลวอะไรท่ีทาํ ใหเ กดิ ถา ไมใ ช “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” จะเปนเพราะอะไร ทา น ขึ้นตรงนี้เลย ทา นอาจารยม น่ั ทา นแยกยงั งอ้ี กี นา ฟง มาก ทา นวา “ฐตี ิภูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ ขารา” อวิชชา ไมมีที่อยูอาศัย ไมมีพอแมเปนที่เกิดจะเกิดไดอยางไร อยไู ดอ ยา งไร ก็ ตองอาศัย “ฐตี ิภูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” นี่เปนสาเหตุที่จะใหเกิดเปนภพเปนชาติ ขึ้นมา อนั นม้ี แี ยกออกเปน สามประเภท “นนทฺ ริ าคสหคตา ตตรฺ ตตฺราภินนฺทิน.ี เสยฺย ถีท.ํ กามตณหฺ า ภวตณฺหา วภิ วตณหฺ า” น!่ี ทา นวา นแ้ี ลคอื “สมุทัย” “สมุทัย อริยสจฺ จ”ํ นก่ี เ็ ปน อรยิ สจั แลว จะนาํ อะไรเขา มาแก! “สมุทัย อรยิ สจั ” น้ี ลวนแตสิ่งที่จะทําจิตใหขุนมัว เปนเรื่องหรือเปนธรรมชาติที่ รบกวนจติ ใจใหข นุ มวั จนเปน ตมเปน โคลนไปได ถา เปน วตั ถุ ในบรรดาสมทุ ยั มากนอ ยท่ี กลา วมาน้ี กามตณั หากต็ าม ภวตณั หากต็ าม วภิ วตณั หากต็ าม เปน ความหวิ ความโหย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๓

๔๖๔ ความทนอยูเปนปกติสุขไมได หมดความสงบสขุ อยูโดยลําพังตนเองไมได เพราะคํา วา “ตัณหา” ตองหิวโหยดิ้นรน ดน้ิ ไปทางโนนดิน้ มาทางน้ี ดิ้นไปทางหนึ่งเปน กามตณั หา ดน้ิ มาทางหนง่ึ เปน ภวตณั หา ดน้ิ ไปอกี ทางหนง่ึ เปน วภิ วตณั หา มนั ลว นแต ความหิวโหย ที่จะทําใหจิตใจดิ้นดวยอํานาจของกิเลสสามเหลานี้เปนเครื่องกดขี่บังคับ หรือรีดไถ พูดงายๆ เอาอยา งนถ้ี งึ ใจดี สาํ หรบั นกั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกไ ขกเิ ลสตวั ใหโ ทษ ตลอดมา จิตที่ทรงตัวไมไดตามปกติของตน กเ็ พราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ผทู าํ ลายหรอื กอ กวน เปนผูยุแหย เปน ผทู าํ ความวนุ วายอยตู ลอดเวลาหาความสงบไมไ ด แลว จะแกอ นั นด้ี ว ย วธิ ใี ด? ทา นกส็ อน “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ขน้ึ เลย โดยทาง “มคฺค อริยสจฺจ”ํ เปน เครอ่ื งแกธ รรมชาตทิ ก่ี อ กวนวนุ วายระสาํ่ ระสาย เพราะอํานาจแหงความหิวโหยทน อยูไมไดเหลานี้ ไมว า สตั วไ มว า บคุ คลถา เกดิ ความหวิ โหยขน้ึ มาแลว ไมไดสุจริตก็เอา ทางทุจริต ไมไดทางที่แจง ก็เอาที่ลับ เอาจนได เพราะความหวิ โหยมนั บบี บงั คบั ใหต อ ง ทํา หรอื เพราะความทะเยอทะยานอยากตางๆ ตลอดความหวิ โหยนน่ั เอง มนั บบี บงั คบั จิตใจใหตองเสือกตองคลานไปตางๆ นานา เพราะอยใู ตอ าํ นาจของมนั ตอ งเปน ความ ทุกข ทกุ ขท รมานทว่ั หนา กนั ทุกขเพราะอะไร ทุกขเพราะ “สมุทัย” เปนผูลากผูเข็นใจสัตวโ ลก จนถลอกปอก เปกไปทุกภพทุกชาติ ทง้ั วนั ทั้งคืน ยนื เดิน นั่ง นอน อาการทค่ี ดิ ออกมาแงใ ด มีแตถูก สมุทัยฉุดลากเข็นเขนตีทั้งนั้น แลวเราจะเอาอะไรมาดับสิ่งเหลานี้ เอาอะไรมาแกไขสิ่ง เหลา น้ี ? “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าวาจา สมมฺ ากมมฺ นโฺ ต สมมฺ าอาชโี ว สมมฺ า วายาโม สมมฺ าสติ สมมฺ าสมาธิ” นี้แลเปนเครื่องมือที่ทันสมัย และเหมาะสมที่สุด ที่จะ ปราบปรามกเิ ลสทง้ั สามประเภทนีใ้ หส ้นิ ซากลงไปจากใจ ไมม เี ครอ่ื งมอื อน่ื ใดทจ่ี ะ เหนอื ไปกวา “มชั ฌมิ าปฏปิ ทา” น้ี “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ ความเหน็ ชอบนน้ั เหน็ อะไรเลา ? เวลานใ้ี จเรามนั เหน็ ผดิ ทง้ั นน้ั กามตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ ภวตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ วภิ วตณั หา ลว นแตเ รอ่ื ง ความเห็นผิดทั้งนั้น มนั ถงึ ไดเปนทางกายทางใจไมลดหยอ นผอ นคลาย ทําไมถึงรัก รัก เพราะเหตุใด เอาสติปญญาคนลงไป ซง่ึ กไ็ มห นจี ากกายน้ี รกั กร็ กั กายนก้ี อ นอน่ื รกั กาย นก้ี ร็ กั กายนน้ั ! กามตัณหามันมอี ยทู ต่ี รงน้ี แยกหาเหตหุ าผลออกมา มันรักเพราะอะไร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๔

๔๖๕ รักเนื้อ รกั หนงั รักเอ็น รักกระดูก รกั ผม รักขน ยังงั้นเหรอ? ของใครของเรามันก็ เหมอื นกนั น้ี รักอะไรมัน ? กริ ยิ าทแ่ี ยกหรอื ทาํ การแยกน้ี ทานเรียกวา “มรรค สมมฺ าทฏิ ฐ ิ” คือ ปญญา ไตรตรองกลั่นกรองดหู าสง่ิ ท่ีมันยึดมันถอื วา มนั ยดึ ถอื เพราะเหตใุ ด มีสารคุณอะไรมัน ถึงไดยึดไดถือ ความยึดถือแทนที่จะเกิดผลเกิดประโยชน เกดิ ความสขุ ความสบาย แต มนั กลายเปน ไฟขน้ึ มาทง้ั กองภายในใจ ทาํ ใหเ กดิ ความลาํ บากลาํ บน ทนทุกขทรมาน เพราะความยึดความถือ ความยดึ ถอื มาจากความสาํ คญั ผดิ เขาใจวานั่นเปนเรา นี่เปนของเรา มันเปน ความผิดไปทั้งนั้น ปญญาจึงตองตามแกใหเห็นตามความเปนจริงของมัน ทานจึงสอน ใหพ จิ ารณากาย “กายคตาสติ” เอา ! พิจารณาลงไป ทง้ั ขา งนอกขา งใน ขา งบนขา งลา ง ภายในกายนอกกาย พจิ ารณาใหล ะเอียดทัว่ ถึง ซาํ้ แลว ซาํ้ เลา จนเปนที่เขาใจแจมแจง ชัดเจน นค้ี อื เรอ่ื งของปญ ญา ซง่ึ เปนเครื่องปราบความอยากความหวิ ความกระหาย ซึ่ง เกิดข้ึนจากอํานาจของกิเลส ไมม อี นั ใดทจ่ี ะระงบั ดบั สง่ิ เหลา นใ้ี หห ายความอยากได นอกจาก “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” อันเปนองคแหงมรรคแปดนี้เทานั้น “มคฺค อริยสจฺจํ” นี่คอื เครอื่ งมือปราบกเิ ลสทุกประเภท ควรดําเนินตามนี้ สติ ปญญาเปนเครื่องมือที่ทันกลมารยาของกิเลส ฟาดฟนลงไปพิจารณาลงไปอยารั้งรอ ตรงไหนที่มืดดํา ตรงนั้นนะอสรพิษมันอยูตรงนั้น ปญญายังตามไมทันที่ตรงไหน ตรง นั้นจะเปนตัวเปนตน เปนสัตวเปนบุคคล เปนเราเปนเขา เปน ของเราของเขาขึ้นมาท่ี ตรงนั้น ปญญาสอดแทรกลงไป เห็นลงไปตามคัมภีรธรรมชาติ คอื กายกบั จิต แลว ความ จริงจะเปดเผยขึ้นมา ไมมีคําวา “บคุ คล“ คําวา “สตั ว” คาํ วา “เขา,เรา” ไมมี ! มีไดยังไง ปญ ญาลงหย่ังถงึ ความจริงแลว ความเสกสรรเหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งจอมปลอม ทเ่ี กดิ จาก กเิ ลสจอมหลอกลวงตา งหาก ทนี ้ีปญ ญาตามชะลางใหส ะอาดลงไปโดยลาํ ดบั จนตลอดท่ัวถึง จติ ทถ่ี กู กดถว ง เพราะอาํ นาจ “อปุ าทาน” มาเปน เวลานาน ยอ มถกู สตปิ ญ ญาเปน ผถู อดถอนขน้ึ มา ถอน กรรมสิทธิ์ ไมปกปนเขตแดนไววา อันนั้นเปนเราเปนของเรา นั่นเปนเขตแดนของเรา เฉพาะอยา งยง่ิ กใ็ นวงขนั ธห า น้ี มันเปนเขตแดนที่เราปกปนมาตั้งแตวันเกิด นี่เปนเรา น่ี เปนของเรา เนื้อเปนเรา เอ็นเปนเรา กระดูกเปนเรา แขนเปนเรา ขาเปนเรา เปนของ เรา อวัยวะทุกชิ้นทุกสวนเปนเราเปนของเราเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่สิ่งเหลานั้นเขาไมไดรับ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๕

๔๖๖ ทราบรับรูอะไรจากเราเลย แตเราปกปนเขตแดนเอาเอง เมื่อมีอะไรลวงล้ําหรือมา สมั ผัสสัมพันธใหเ กิดความเจ็บความไมสบายขน้ึ มา กเ็ กิดความทุกขข น้ึ ภายในจิตใจ นอกจากเกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในกายแลว ยงั เกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในใจอกี เพราะความรักความสงวน ความปกปนเขตแดน อันนั้นเปนตนเหตุ การพิจารณาดูใหเหน็ ตามความจริงน้ันทา นเรยี กวา “พิจารณา สัจธรรม” ดว ย ปญญาสมมฺ าทฏิ ฐ ิ สรุปแลวกไ็ ดแกค วามเห็นชอบในสจั ธรรมท้ังส่ี มีทุกขสัจ เปนตน ความดาํ รทิ เ่ี ปน ไปเพอ่ื การถอดถอนกเิ ลสทง้ั มวลนน้ั แล “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ทา น แยกเปน ๓ คอื (๑) ความไมพ ยาบาทปองรา ยผอู น่ื ที่เปนบาลีวา “อพยฺ าปาทสงกฺ ปโฺ ป” เรอ่ื งของกเิ ลสนน้ั ใฝท างพยาบาทเปน พน้ื ฐาน (๒) “อวหิ สึ าสงกฺ ปโฺ ป” คอื ไมเบียดเบยี นตนและผอู ื่น และ (๓) “เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปโฺ ป” ความคดิ ดาํ รเิ พอ่ื ออกจากเครอ่ื งผกู พนั มกี ามฉนั ทะ เปนตน โดยหลักธรรมชาติกอนทจี่ ะออกไปกระทบกระเทอื นคนอื่น ตองกระทบ กระเทอื นตนเสยี กอ น เพราะความเหน็ ผดิ ของจติ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสนแ้ี ล สมฺ มาสงกฺ ปโฺ ป จงึ ตอ งแกก นั ตรงน้ี รวมกนั แลว สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าทฏิ ฐ ิ กเ็ หมอื น เชอื กสองเกลียวท่ีฟนกนั เขาเปนเกลียวเดียวใหเ ปนเชอื กเสนหน่งึ ขน้ึ มา เพอ่ื ใหม กี าํ ลงั นั่นเปนเพียงอาการของจิตที่คิดในแงตางกัน รวมแลว กค็ อื ปญ ญาความแยบคายของจติ ดวงเดยี วนนั่ แลว เหมอื นเชอื กหนง่ึ เสน หรอื เชอื กเสน หนง่ึ เอง รวมทั้งแปดนั้นก็มาเปน เชือกเสน หนง่ึ คอื “มัชฌิมาปฏิปทา” ทางสายกลาง หรอื เครอ่ื งมอื แกก เิ ลส ที่เหมาะ สมอยา งยงิ่ ตลอดมาแตค รั้งพทุ ธกาลน้ันแล จะพิจารณาอะไร ถา ไมพ จิ ารณาสง่ิ ทพ่ี วั พนั จติ ใจเราอยเู วลาน้ี และแกที่ตรงนี้ ดวย “มรรค” คอื “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” เปนตนนี้แล มรรคเทานั้นที่จะแกกิเลสออกจากจิต ใจได ถอื รา งกายหรอื ขนั ธเ ปน เวที คน ควา ดว ยสตปิ ญ ญา ตอ สกู บั ความลมุ หลงของตน สกู นั บนเวที คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ นี้เปนที่พิสูจนสิ่งเหลานี้ อันเปน เปาหมายแหงการพิจารณา จนเห็นตามความจริงของมัน เทศนไปทอ่ี ื่นไมสะดวกใจ ถาเทศนลงตรงน้รี สู ึกถนดั ใจ จุใจ เพราะนเี้ ปนตวั จริง กิเลสก็อยูท ีต่ รงนี้ มรรคก็อยูที่ตรงนี้ หรือสัจธรรม ทกุ ข สมุทัย ก็อยูที่ตรงนี้ นโิ รธกบั มรรคก็อยูที่ตรงนี้ เมื่อ “มรรค” ทาํ การดบั กเิ ลสไปโดยลาํ ดบั นโิ รธคอื ความดบั ทกุ ขก ็ ปรากฏขน้ึ มาเอง ตามกําลังของมรรคซึ่งเปนผูดําเนินงาน สติปญญาเปนผูฟาดฟนกิเลส ใหฉ บิ หายลงไปเปน ลาํ ดบั กเ็ ปน การดบั ทกุ ขไ ปโดยลาํ ดบั ใครจะไปตั้งหนาตั้งตาดับ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๖

๔๖๗ ทุกขโดยไมตองดําเนิน “มรรค” ยอมเปนไปไมได ทา นบอกวา “นิโรธ ควรทาํ ใหแ จง ”จะ เอาอะไรไปทํา? ถาไมเอามรรคไปทําใหแจงขึ้นมาซึ่งนิโรธ เราจะพยายามทํานิโรธใหแจง เฉยๆ โดยไมอาศัยมรรคเปนเครื่องบุกเบิกทางแลวไมมีทางสําเร็จ เพราะธรรมนี้เปนผล ของมรรคที่ผลิตขึ้นมา ทา นสอนไวเ ปน อาการเฉยๆ หลกั ใหญแ ลว พอสตปิ ญ ญาจอ ลงไป เพียงจุดหนึ่ง เทานั้นจะกระเทือนไปถึง “สัจธรรมทั้งสี่” นั้นโดยลําดับ ทาํ งานพรอ มกนั เหมอื นกบั จกั ร ตวั เลก็ ตวั ใหญ ทาํ งานพรอ มกนั ในวงงานอนั เดยี วกนั ถา ไปแยกแยะยงั งน้ั แลว ยอ มจะวก วน เหมอื นตามรอยววั ในคอกนน่ั แล หาทางไปไมได จึงควรพิจารณาลงในอาการใดก็ได ในรูปธรรมหรือนามธรรม มอี ยใู นกายอนั เดียวกัน เชน รปู กม็ หี ลายอาการดว ยกนั ขณะพิจารณารูป แมเ วทนาเกิดขึน้ กไ็ มห วนั่ ไหว รูปเปนรูป เวทนากส็ กั เปน “นามธรรม” หาตนหาตวั หาสตั วห าบคุ คล หาเราหาเขา ไดที่ไหน ไมวาจะสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา มลี กั ษณะคลา ยคลงึ กนั เขาเปนตนหรือเปน ตัว เปน สตั วเ ปน บคุ คลทไ่ี หน เพียงเปนนามธรรมอยางเดียวเทานั้น ปรากฏขึ้นในจิต เมือ่ จิตไดทราบวา อาการปรากฏข้ึนเปน ลักษณะแหง ความทกุ ข เปน ลกั ษณะแหง ความสุข แลวก็ดับลงไปตามเหตุปจจัยที่พาใหดับ แนะ ! ปญญาจึงมีทางที่จะทราบได ตามสิ่งที่มีอยู เพราะไมใชสิ่งที่ลี้ลับ แตเ ปนสง่ิ ท่เี ปดเผยดวยความมอี ยแู ละปรากฏข้ึน ตามเหตุปจจัยที่พาใหเปนเทานั้น รูปขันธ กอ็ ยทู กุ วนั ทกุ เวลา พาหลบั พานอน พาขบั พาถา ย พายืนพาเดิน ก็รูป ขนั ธน เ่ี อง เวทนาขนั ธกแ็ สดงตวั อยทู กุ เวลา แมในขณะนม้ี ันกแ็ สดงใหเรารอู ยเู ชน กัน ไมส ขุ กท็ กุ ขส บั เปลย่ี นกนั ไปมาอยา งนแ้ี หละ สาํ คญั ทใ่ี จอยา ใหท กุ ขด ว ย ทกุ ขก ใ็ หท ราบ วาขันธน ้เี ปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อยาใหจิตไปยุงกับเขา จติ ก็ไมเปนทุกข คาํ วา “เวทนา” เวทนานี้เทศนทุกวัน จึงควรฟงใหเขาใจ กเิ ลสมนั เกาะแนน อยู กบั ขนั ธห า น้ี ไมมีวันมีคืน มีปมีเดือน ไมทราบวาของเกา ของใหม แตเ กาะเสยี แนน เกาะมากป่ี ก เ่ี ดอื นกก่ี ปั กก่ี ลั ปม าแลว เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาวนั หนง่ึ ๆ เวลาหนง่ึ ๆ จึงไมพอ การเทศนวันหนึ่งเวลาหนึ่งจึงไมพอ ตองเทศนซ้ํากันใหเขาใจ เปน ทแ่ี นใ จ พจิ ารณากพ็ จิ ารณาซาํ้ ใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจแลว กป็ ลอ ยเอง เอาใหเห็นชัดเวทนา, ทกุ ขเวทนามที ไ่ี หนบา ง? มีที่ไหนก็เปนทุกขเวทนาจะใหเปนอื่นไปไมได ตองเปนธรรม ชาติความจริงของเขาอยูเชนนั้น “สญั ญา” กจ็ ําได เคยจํามาเทาไรแลวตั้งแตวันเกิดจนบัดนี้ แลวหาอะไรเปน สาระไดบ า ง ถามันเปนตัวเปนตน เปน สตั วเ ปน บคุ คลจรงิ ๆ นํามาใสตูก็คงไมมีตูที่ไหน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๗

๔๖๘ ใส เพราะมันจําไมหยุดไมถอย แตพ อจาํ ไดแ ลว กผ็ า นไป ๆ ไมม อี ะไรเหลอื อยเู ลย นน่ั ! ฟงซิ เอาสาระแกน สารอะไรกบั สง่ิ เหลา น้ี “สงั ขาร” ปรุงวันยังค่ําคืนยังรุง ปรงุ เสียจนรอนหวั อกกม็ ี ถา ปรงุ มากๆ ปรุงเสีย จนหวั ใจแทบจะไมท าํ งาน เพลียไปหมด สังขารคือความปรุง ถา ไมร ะงบั มนั ดว ยสติ ปญญาไมมีทางระงับไดตลอดไป และตายดวยมันไดจริงๆ เชนคนคิดมากเพราะความ เสียใจ เรื่องของกิเลสมันเอาสังขารเปนเครื่องปรุง เปนเครื่องมือ และผลกั ดนั ออกมาให ปรุงไมหยุดไมถอย ปรุงสิ่งนั้น สาํ คญั สง่ิ น้ี ทั้งสัญญา ทั้งสังขารเปนเครื่องมือของกิเลส แลวก็พุงลงไปที่หัวใจของเรา ให เกิดความทุกขความทรมานไมใชนอยๆ มากกวา นน้ั กเ็ ปน บา ได คนเราเปนทุกขเพราะ คิดมากมันดีนกั เหรอ สงั ขาร ? “วญิ ญาณ” ก็เพียงรับทราบ รบั ทราบแลว กด็ บั ไปพรอ มๆ ในขณะทีร่ ับทราบจาก สิ่งที่มาสัมผัส มสี าระแกน สารทไ่ี หน เราหลงสิ่งเหลานี้แหละเราไมไดหลงสิ่งอื่นๆ นะ นอกนน้ั มนั กเ็ ปน ผลพลอยไดข องกเิ ลสไปอกี ประเภทหนง่ึ หลักใหญจริงๆ มันอยูตรงนี้ จึงตองพิจารณาตรงนี้ใหเห็นชัด นเ่ี รยี กวา “ดาํ เนนิ มรรคปฏิปทา” หรอื เรียกวา “มรรคสัจจะ” เครอ่ื งแกค วามหลง วนุ วาย ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ของใจใหถ อยตวั ออกมา ใจจะไดส บายหายหว งจากสง่ิ เหลา น้ี เพราะการปลอยวาง ได อนั ความตายเปน หลกั ใหญเ หนอื โลกจะหา มได กฎอนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า เปน เหมือนทางหลวง เพราะเปนคติธรรมดา ไมถ งึ กาลเวลามนั กไ็ มส ลาย ถงึ แมจ ะยดึ ถอื มนั สกั เทา ใดกต็ าม เมอ่ื ถงึ กาลมนั แลว หา มไมฟ ง มันก็ไปของมัน ซง่ึ เรียกวา “ทางหลวง” ตามคติธรรมดา ซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั จะไม เรยี กวา เปน ทางหลวงไดอ ยา งไร ใครจะไปกีดขวางหวงหามไมได มันตองเดินตามทาง หลวงตามคติธรรมดาซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั พิจารณาใหเปนไปตามความจริงของมัน ทเ่ี รยี กวา “โคน ไมต ามลม” อยาไปขัดขวางธรรมของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอนไวตามหลักคติธรรมดา ใหรู ตามความจริง ใจกจ็ ะสบาย การอยกู บั กเิ ลสใจอยกู บั ความวนุ วาย ผลแหง ความวนุ วายก็ คอื ความทุกข เราเคยเห็นโทษของมันมาแลว ทีนใ้ี หใ จอยูก บั ธรรม ใจอยกู บั สติ ใจอยกู บั ปญ ญา ใจนน้ั จะไดม คี วามปลอดภยั ใจจะไดมีความรมเย็นขึ้น ชอ่ื วา “กเิ ลส” แลว ไมว า อยทู ไ่ี หนพยายามแกใ หห มด ! แก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๘

๔๖๙ ภายนอกไดแ ลว เขา มาแกภ ายในธาตใุ นขนั ธ แลว กภ็ ายในจติ ดว ยปญ ญาอกี จนรอบตัว ทะลุปรุโปรงไปหมดไมมีอะไรเหลือเลย คาํ วา “ตน” วา “ตวั ” วาสัตว วาบุคคล มนั หมดปญ หาไปในทนั ทที นั ใด เมื่อกิเลส ซึ่งเปนตัวเสกสรรวาเปนสัตวเปนบุคคลไดสิ้นไปจากใจแลว คาํ วา สตั วก ต็ าม บคุ คลก็ ตามไมค ดิ ใหเ สยี เวลํา่ เวลา จริงอยางไรก็อยตู ามความจรงิ ลว นๆ เพอ่ื หายกงั วล เวลา หายจริงๆ หายที่ตรงนี้ อนั นไ้ี มใ ช “สัจธรรม”! สัจธรรมก็คือทุกข ทกุ ขก าย ทกุ ขใ จ นเ่ี รยี กวา “ทกุ ข สจั จะ” “สมทุ ัย” เปนเรื่องของกิเลสอาสวะทั้งมวล นเ้ี รยี กวา “สมุทัยสัจจะ” “มรรค” มสี มฺ มาทฏิ ฐ ิ เปนตน สมมฺ าสมาธเิ ปนที่สุด คือเครื่องมือ เปน “สัจธรรม” ประเภทหนึ่ง เครอ่ื งแกกเิ ลสคือตวั “สมุทัย” ใหหมดสิ้นไป “นิโรธ” กท็ าํ หนา ทด่ี บั ทกุ ขไ ปตามๆ กนั โดยลาํ ดบั จนกระทั่งรูแจงแทงตลอดในสมุทัยตัวสําคัญซึ่งมีอยูภายในใจโดยเฉพาะ ไม มีอะไรเหลือแลว นิโรธแสดงความดับทุกข เพราะกเิ ลสดบั ไปจากใจในขณะนน้ั อยา ง เต็มภูมิ ผทู ร่ี วู า ทุกขดับไป กิเลสดับไปเพราะมรรคเปนเครื่องทําลาย นั่นคือ “วมิ ตุ ต”ิ ไมใช “สัจธรรม” นน่ั คอื ผบู รสิ ทุ ธ์ิ ไมใชสัจธรรมทั้งสี่นั้น “สัจธรรม” เปน เครอ่ื งกา วเดนิ เทา นน้ั เมอ่ื ถงึ จดุ หมายปลายทางแลว สัจธรรมทง้ั สกี่ ห็ มดหนา ท่ีไปตามหลักธรรมชาตขิ องตน โดยไมตอ งไปกดขบี่ ังคับใหสนิ้ ใหส ุด ให หมดความจําเปน หากเปนไปตามเรื่อง เชน เดยี วกบั เรากา วจากบนั ไดขน้ึ สสู ถานทอ่ี นั เปนจุดที่ตองการแลว บนั ไดกบั เรากห็ มดความจาํ เปน กนั ไปเอง ฉะนน้ั เรอ่ื งของ “มรรค” คือสติปญญาเปนตน ทําหนาที่ใหสมบูรณเต็มภูมิ จิต ไดถ งึ ขัน้ แหงความหลุดพนแลว เรื่องสติปญญาที่จะชวยแกไขกิเลสอาสวะทั้งมวล ก็ หมดปญหาไปตามๆ กนั นี่แลคือความเดนของเรา น่ีแลคือ “สมณะธรรม” หรอื สมณะทส่ี ดุ ยอดแหง สมณะที่สี่ ! สมณะที่หนึ่งคือพระโสดา สมณะที่สองคือพระสกิทาคา สมณะทส่ี าม พระอนาคา เราเจอมาเปนลําดับดวยการปฏิบัติ สมณะทีส่ ่คี อื อรหนั ต อรหัตธรรมเจอ เต็มภูมิดวย “มรรคปฏิปทา อนั แหลมคม” นี่เปนผูทรงไวแลว ซึ่งสมณะทั้งสี่รวมลงในใจ ดวงเดียว “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลอนั สงู สดุ นอ้ี ยทู ใ่ี จเราเอง ไมตองไปหา “สิริมงคล” มาจากไหน ! ใจที่พนจากเครื่องกดถวงทั้งหลายถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิแลว นน้ั แลเปน มงคลอันสูงสุดเต็มภูมิ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๙

๔๗๐ ทก่ี ลา วมาทง้ั หมดนไ้ี มอ ยใู นทอ่ี น่ื สัจธรรมทั้งสี่ก็ดี สมณธรรมทั้งสี่ก็ดี ตั้งแตที่ หนง่ึ , ทส่ี อง, ทส่ี าม จนกระทั่งถึงที่สี่ ก็ผูที่รู ๆ นแ่ี หละ เปน ผทู รงไวซ ง่ึ สมณธรรมทง้ั ส่ี และเปน ผทู ่จี ะทําหนา ท่ีปลดเปลื้องตนออกจากสิ่งท่กี ดขบี่ งั คบั ท้ังหลาย จนถึงขั้น “อสิ ร เสร”ี คือสมณะทั้งสี่รวมอยูกับเรานี้ทั้งสิ้น สรปุ แลว อยกู บั ผทู ร่ี ู ๆ ผนู เ้ี ปน ผู “ที่ตายตัว อยางยิ่ง” คงเสน คงวาทจ่ี ะรบั ทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง กเิ ลสกท็ าํ ลายจติ ใจนใ้ี หฉ บิ หายไปไม ได กเิ ลสจะทาํ ลายสง่ิ ใดไดก ต็ าม แตไมสามารถทําลายจิต ไดแ กก ารทาํ จติ ใจใหไ ดร บั ความลาํ บากนน้ั มฐี านะเปน ไปได แตจ ะทาํ จติ นน้ั ฉบิ หายยอ มเปน ไปไมไ ด เพราะ ธรรมชาตินี้เปนธรรมชาติที่ตายตัว หรอื เรยี กวา “คงเสนคงวา” เปนแตสงิ่ ทม่ี าเกีย่ วขอ ง หรือสิ่งที่มาคละเคลา ทําใหเปนไปในลักษณะตางๆ เทา นัน้ นั่นเปนไปได เมื่อสลัดตัด หรือชําระชะลางสิ่งเหลานั้นหมดไมมีอะไรเหลือแลว ธรรมชาตินี้จึง ทรงตัวไดอยางเต็มภูมิ เปน บคุ คลกเ็ รยี กวา “สมณะที่สี”่ อยางเต็มภูมิ ถาเรียกวาเปน “ธรรม” ก็เรียก “อรหัตธรรม” อยภู ายในจติ ดวงนน้ั จิตดวงนั้นเปนธรรมทั้งดวง จิตเปนธรรม ธรรมเปนจิต เปนไดทั้งนั้น ไมมีอะไร ที่คาน ไมมีอะไรที่จะแยง เมอื่ ไมมกี เิ ลสมาแยงแลว มันก็ไมม อี ะไรแยง กเิ ลสหมดไป แลวจะเอาอะไรมาแยง นั่นแหละความหมดเรื่องหมดราว หมดอะไร ๆ หมดที่ตรงนั้น ความดับทุกข ดับที่ตรงนั้น ดบั ภพดบั ชาตดิ บั ทต่ี รงนน้ั ที่อื่นไมมีที่ใดเปนที่ดับ! การไปเกดิ ภพเกดิ ชาติก็ผูนี้แลเปนเชื้อแหงภพแหงชาติ มาจากกเิ ลสซง่ึ อยกู บั จติ จิตจึงตองเร ๆ รอ น ๆ ไปเกดิ ในภพนอ ยใหญ ไดรบั ความทุกขเ ดือดรอ นลําบากราํ คาญมาโดยลําดับ เพราะมี เชื้อพาใหเปนไป มีเครื่องหมุนพาใหเปนไป เมอ่ื สลดั ตดั สง่ิ ฉาบทาหรอื เชอ้ื ออกหมดแลว จึงหมดปญหา หมดลงที่ตรงนี้ ! ขอใหพ ากนั พนิ จิ พจิ ารณาใหไ ด ใจนี่สามารถรูไดเห็นไดทั้งหญิงทั้งชาย นกั บวช และฆราวาส ดวยการปฏิบัติของตน ๆ ไมขึ้นอยูกับเพศวัยอะไรทั้งสิ้น ! จึงขอยุติเพียงเทานี้ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๐

๔๗๑ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ ธรรมของพระพุทธเจาทรงแสดงไวอยางถูกตองไมมีปดบังลี้ลับ แสดงตามความ จรงิ ทม่ี อี ยทู กุ อยา งไมว า ขน้ั ไหนแหง ธรรม เชน วา บาป บญุ นรก สวรรค นิพพานมจี ริง อยางนี้เปนตน จนกระทั่งเขาถึงเรื่องราวของกิเลสซึ่งเปนสิ่งที่มีอยูเปนอยู เปน ความจรงิ ดว ยกนั หมด จงึ หาที่คานไมได แตทําไมสิ่งเหลานี้จึงเปนปญหาสําหรับพวกเรา ? ธรรมทานแสดงไวอยางเปดเผยไมมีอะไรเปนปญหา ไมมีอะไรลี้ลับเลย แสดง ตามความจริงลวนๆ ซึ่งความจริงนั้นก็มีอยู แสดงตามความจริงนั้นๆ ทกุ ขน้ั แหง ความ จรงิ แตพวกเราก็ไมเขาใจ เหมอื นทา นบอกวา “ นน่ี ะ , ๆ !” ซง่ึ ชใ้ี หค นตาบอดดู คนหู หนวกฟง คงจะเปน อยา งนน้ั มอื คลาํ ถกู แตต าไมเ หน็ ไปทไ่ี หนกโ็ ดนกนั แตท กุ ข ทั้งๆ ที่ ทา นสอนวา ทกุ ขเ ปน อยา งไรกร็ อู ยู แตก โ็ ดนเอาจนได ! บอกวา ทกุ ขไ มใ ชข องดี กโ็ ดน แตทุกข เพราะสาเหตุ และเดินตามสาเหตกุ ารกอบโกยทุกขข น้ึ มาเผาตัวเองทัง้ น้ัน ใน “ธรรมคุณ” ทา นแสดงวา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” สุขทกุ ขเ ปน สงิ่ ท่รี เู หน็ อยกู ับตนดว ย กนั มกี ารตายเปนตน “เอหปิ สสฺ โิ ก” “โอปนยิโก” นเ่ี ปน หลกั สาํ คญั มาก “เอหิปสฺสิโก” ทานจงยอนจิตเขามาดูธรรมของจริง ไมไ ดห มายถงึ ใหไ ปเรยี กคนอน่ื มาดูธรรมของ จรงิ “เอหิ” กค็ อื สอนผนู น้ั แหละผฟู ง ธรรม ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมนน่ั แหละ ใหทานจงยอนใจเขา มาดูที่นี่แล คอื ความจรงิ อยทู น่ี ่ี ถา พดู แบบ “โลกๆ” กว็ า “ความจริง” ประกาศตนใหท ราบอยตู ลอดเวลา หรือ ทาทายอยูตลอดเวลาจรงิ ขนาดทเี่ รียกวา “ทา ทาย” วา งน้ั แหละ ใหดูที่นี่ “เอหิ” ใหด ทู น่ี ่ี ไมไ ดหมายความวา ใหเรียกคนอืน่ มาดู ใครจะมาดูได! ก็เขาไมเห็นของจริง ไมรูของ จริง! ของจริงอยูกับเขาเขายังไมเห็น เขายังไมรู จะใหมาดูของจริงอยูทเี่ ราไดอ ยา งไร “เอหปิ สสฺ โิ ก“ทานสอนใหดูความจริงของจริงของเจาของซึ่งมีอยูนี้ตางหาก “โอปนยโิ ก” เห็นอะไรไดยินอะไร สมั ผสั อะไร ใหนอมเขามาเปนประโยชนสําหรับตน เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องสุขเรื่องทุกข ที่สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรอื ปรากฏขน้ึ ภาย ในใจเกย่ี วกบั เรอ่ื งภายนอก คอื อดีตอนาคต เปนเรื่องอะไรของใครก็ตาม ใหโ อปนยโิ ก นอ มเขา มาสใู จซง่ึ เปน ตน เหตสุ าํ คญั อันจะกอเรื่องตางๆ ใหเ กดิ ขน้ึ ภายในตน ไมนอก เหนอื ไปจากจติ นเ้ี ลย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๑

๔๗๒ จิตจึงเปนเรื่องใหญโตมาก “มโนปุพฺพงฺคมา ธมมฺ า” เทา นก้ี ก็ ระเทอื นโลกธาตุ แลว จะเคล่อื นเล็กนอ ยกใ็ จเปน ตน เหตุ ธรรมทง้ั หลายจงึ มใี จเปน สาํ คญั มีใจเทานั้นจะ เปนผูรับทราบสิ่งตางๆ ไมมีอันใดที่จะรับทราบไดนอกจากใจ ธรรมทั้งหลายคืออะไร? กุศลธรรม อกุศลธรรม มอี ยใู นสถานทใ่ี ดถา ไมม อี ยทู ่ี ใจ กุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะความฉลาดของใจ ปรบั ปรงุ ใจใหม คี วามเฉลยี วฉลาดทนั กบั เหตุการณตางๆ ซง่ึ ออกมาจากภายในใจของตนเอง เมื่อ “อกศุ ลธรรม” เกิดขึ้นที่ใจ ก็ ให “กุศลธรรม” อันเปนเรื่องของปญญาพินิจพิจารณาแกไขความโงของตน ความโงของ ตนที่เรียกวา “อกศุ ล” นน้ั ใหห มดไปจากใจ “โอปนยิโก” นอ มเขามาทนี่ ี่ เห็นเรื่องโงเรื่องฉลาด เรอ่ื งสขุ เรอ่ื งทกุ ขข องใครก็ ตาม ใหน อมเขา มาเปน คตเิ ตอื นใจ “เอหปิ สสฺ โิ ก” ใหดูที่ตรงนี้ บอแหงเหตุท้งั หลายคอื ใจ แสดงอยตู ลอดเวลาไมม วี นั เวลาหยดุ ยง้ั ทาํ งานอยอู ยา งนน้ั ยง่ิ กวา เครอ่ื งจกั รเครอ่ื ง ยนต ซึ่งเขาเปดเปนเวล่ําเวลาและปดไปตามกาลเวลา ใจไมม ที ป่ี ด เปดจนกระทั่งวัน ตายไมม ปี ด แลว กบ็ น วา “ทุกข” บน ไปเทา ไรกไ็ มเ กดิ ประโยชน เพราะไมแ กท่ตี น เหตุที่ควรแก ซง่ึ ถา แกไ ดแ ลว ทกุ ขก ด็ บั ไปเปน ลาํ ดบั ตามความสามารถและความเฉลยี ว ฉลาดรอบคอบ ฉะนน้ั จงึ ไมส อนไปทอ่ี น่ื นอกจากใจผปู ฏบิ ตั ิ ถา สอนไปกเ็ หมอื นสอนให ตะครบุ เงา โนน ๆ ๆ ไมม องดตู วั จรงิ อนั เปน ตน เหตุ สอนทต่ี น เหตเุ ปน สาํ คญั เพราะกิเลสเกิดขึ้นที่นี่ จะเอายังไง? อะไรเปน ตวั เหตุ ทจ่ี ะใหเ กดิ ความทกุ ขค วามลาํ บากแกส ตั วโ ลกทง้ั หลาย? ตลอดถงึ ความเกดิ แก เจ็บ ตาย ? น่เี ปน ผลมาจากกเิ ลสซึง่ เปน เช้อื เปนตวั เหตสุ ําคญั มนั เกดิ ขน้ึ อยา งไร? ถา ไมเ กดิ ขน้ึ จากใจ มนั อยทู น่ี ่ี จึงไมไปสอนที่อื่น เพราะเวลาพจิ ารณาก็เอาจริงเอาจัง เอาเหตเุ อาผลใหร คู วามจรงิ และถอดถอนกิเลสไปไดโดยลาํ ดับ กถ็ อดถอนทต่ี รงน้ี เพราะตรงนเ้ี ปน ผผู กู มดั ตวั เอง เปน ผสู ง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มาในขณะทโ่ี งเ ขลาเบาปญ ญา ไมร ูเ รื่องรรู าว เวลาถอดถอนดว ยอบุ ายของสตปิ ญ ญาทม่ี คี วามเฉลยี วฉลาด พอถอด ถอนไดกถ็ อดถอนกนั ทต่ี รงน้ี สติใหมีอยูที่ตรงนี้ จุดนี้เปนจุดที่ควรระวังอยางยิ่ง เปน จดุ ทค่ี วรบาํ รงุ รกั ษาอยา งยง่ิ คอื ใจ! บํารุงก็บํารงุ ทนี่ ี่ ดว ยการภาวนาและสง เสรมิ สตทิ ม่ี ี อยแู ลว ใหม คี วามเจรญิ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ อยา ใหเ สอ่ื ม และรักษาจิตดวยดี อยา ใหอ ะไรเขา มา เกย่ี วขอ ง ระมัดระวังอยาใหจ ติ นีแ่ สออกไปยงุ กบั เรือ่ งตา งๆ แลว นาํ สง่ิ นน้ั เขา มาเผา ตน นท่ี านเรียกวา “รักษา” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๒

๔๗๓ กาํ จดั กค็ อื คน ควา หาเหตผุ ลของมนั อันใดที่มีอยูแลวและเปนของไมดี ให พยายามแกไ ขและคน ควา หาเหตหุ าผล เพือ่ แกไ ขถอดถอนตามจุดของมันท่ีเกดิ ขึน้ เรื่องใหญโตแทๆ อยูที่จิต เรื่องเกิดก็คือจิตที่ทองเที่ยวอยูใน “วฏั สงสาร” จน ไมรูประมาณวานานเทาไร เพยี งคนคนเดยี วเทา นก้ี เ็ ตม็ โลกแลว ละซากศพทเ่ี กดิ ตาย เกิดตายซ้ําๆ ซากๆ แตเจาของรูไมได นับไมได นบั ไมถ ว น ไมรูจ ักนบั เพราะมีมากตอ มาก และความโงปดบังตัวเอง ความจริงของตัวที่เปนมาเทาไรก็ถูกปดบังเสียหมด ยงั เหลอื แตค วามหลอกลวง โลๆ เลๆ หาความจริงไมได ทา นจงึ สอนใหแ กส ง่ิ เหลา นใ้ี ห หมดไป พยายามอบรมสตใิ หด ใี หท นั กนั กบั ความคดิ ปรงุ มันปรุงขึ้นที่จิตและปลุกปนจิต อยตู ลอดเวลา ถามีสติอยแู ลวเพยี งความกระเพอ่ื มของจติ ปรุงแยบ็ ออกมาเทานั้น จะ เปน การปลกุ สตปิ ญ ญาใหเ กดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั เรานัง่ อยูกับท่ี เราเฝา มนั อยกู บั ท่ี ที่จะ เกิดขึ้นแหงเหตุทั้งหลายไดแกใจ เราตองทราบ พอกระเพอ่ื มตวั ออกมากท็ ราบ ทราบ โดยลาํ ดบั นแ่ี หละ การหลอกลวงของจติ กห็ ลอกลวงทน่ี ่ี จิตที่จะเขาใจความจริงก็เขาใจดวยปญญา นอกจากนน้ั กพ็ จิ ารณาดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธใ หเ หน็ จนกระทั่งฝงจิต คือมันซึ้งในจิตวา อาการแตล ะอาการนน้ั เปน ความจรงิ อยา งนน้ั ใหพ จิ ารณาหลายครง้ั หลายหนหากซง้ึ ไป เอง คราวนี้ก็ทราบ คราวนน้ั กท็ ราบ คราวนก้ี เ็ ขา ใจ คราวนน้ั กเ็ ขา ใจ เขา ใจหลายครง้ั หลายหน เลยเปน ความซาบซง้ึ แนใ จ รูป แนะ ฟงซิ ! อะไรเปนรูป รวมทั้งหมดผมก็เปนรูป ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ เอ็น กระดูกก็เปนรูป รวมเขาไปทั้ง “อวยั วะ” ทเ่ี ปน ดา นวตั ถุ ทา นเรยี กวา “กองรปู ” หรือเรยี กวา “กาย” เอา ! ดนู ่ี เวลาทอ งเทย่ี วใหส ตติ ามความรทู เ่ี ดนิ ไปในอวยั วะสว นใดอาการใด ของรางกาย ใหส ตเิ ปน ผคู มุ งาน ปญ ญาเปน ผตู รองไป ความรู รไู ปตามอาการนน้ั ๆ ปญ ญาตรองไปใหซึ้ง ๆ สตริ บั ทราบไปทกุ ระยะ นี่คืองานของเราแท สว นงานเรๆ รอนๆ งานคิดปรุงโดยไมมีสตินั้นเราเคยทาํ มาพอแลว และเคย เปนโทษ เกิดโทษ กระทบกระเทือนจิตใจเรามามากแลวเพราะความคิดปรุงนั้นๆ งานเชน นเ้ี ปน งาน เปน งานรอ้ื ถอนทกุ ขภ ยั ออกจากใจโดยตรง เปน งานจาํ เปน งานคอื การกาํ หนดดว ยความมีสติ ประกอบดว ยปญ ญา ไตรตรองใน “ขนั ธ”โดย สม่ําเสมอไมลดละ ความรเู ดนิ ไปตามอาการน้ันๆ และถอื อาการนน้ั ๆ เปน เหมอื น “เสน บรรทดั ” ใหใ จเดนิ ไปตามนน้ั สติปญญาแนบไปตามไมล ดละ เหมอื นกบั เขยี น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๓

๔๗๔ หนังสือไปตามเสนบรรทัด ใหใจเดินไปตามนั้น สติปญญาแนบไปตามไมลดละ เหมอื น กับเขียนหนังสือไปตามเสนบรรทัด สติประคองไปดวย ดูไปดวย นเ่ี รยี กวา “เที่ยว กรรมฐานตามปาชาซึ่งมีอยูกับตัว” ความอยากรอู ยากเหน็ อยา งรวดเรว็ ตามใจนน้ั อยา เอาเขา มาเกย่ี วขอ งใหเ หนอื ความจริงที่กําลังพิจารณา รอู ยา งไรใหเ ขา ใจตามความรนู น้ั แลว กาํ หนดตามไปเรอ่ื ยๆ แยกดคู วามเปน อยขู องขนั ธต า งๆ วา เปน อยา งไร มหี นงั หมุ อยภู ายนอกบางๆ เทา น้นั แลทห่ี ลอกลวงตาโลก ลวงตาทานลวงตาเรา ไมไดห นาเทาใบลานเลย นน่ั คอื ผวิ หนงั เราจะพิจารณาในแงหนึ่งแงใด กเ็ ปน การพจิ ารณาเพอ่ื ถอดถอนความหลงของ ตัว เวลาพจิ ารณาอยา งนท้ี าํ ใหเ พลนิ ดี เอา! ดขู น้ึ ไปขา งบน ดูลงไปขางลาง ดอู อกไปขา ง นอกขา งในกายเรานแ้ี ล เปน การทองเท่ยี วใหเพลินอยูในน้ี สตติ ามอยา ให “สกั แตว า ไป” ใหสติตามไปดวย ปญญาตรองไปตามความรูที่รูกับอาการนั้นๆ ไปดวย ขน้ึ ขา งบน ลงขางลางที่ไหนถูก “สัจธรรม” ทง้ั นน้ั งานนี้เรียกวา “งานรื้องานถอนพิษภัย” ที่ “อปุ าทาน” เขาไปแทรกสิง ไปยึดไป ถอื ทกุ ชน้ิ ทกุ อนั ภายในรา งกายนอ้ี อก จนไมมอี ะไรเหลืออยภู ายในใจอีกตอ ไป เพราะ ฉะนน้ั ทกุ ขจ งึ มอี ยทู กุ แหง ทกุ หน เพราะ “อปุ าทาน” เปน ตวั การสาํ คญั คาํ วา “ทุกข มอี ยู ทกุ แหง ทกุ หน” หมายถงึ ทกุ ขเ พราะความยึดถอื ทําใหไปเปนทุกขที่ใจ ไมใ ชเ ปน ทกุ ขท ่ี อน่ื เพยี งรา งกายเจ็บไขไดปวยแลวเปนทุกขนั้น พระพุทธเจา ก็เปนได พระสาวกก็ เปนได เพราะขนั ธน อ้ี ยใู นกฎของ “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า” อยแู ลว จะตองแสดงตามกฎ ของมัน แตส าํ หรบั จติ ผูพนจาก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา และมีฐานะที่จะพนจาก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา น้ี ใหพ จิ ารณาสง่ิ ทว่ี า น้ี อยา ใหก ระทบกระเทอื นตวั เองไดด ว ยความ เผอเรอใดๆ เพราะการวาดภาพของตัวเอง เพื่อพิจารณารูความจริงนั้นเปนสิ่งสําคัญ ที่ จะไมใหสิ่งเหลานี้มากระทบกระเทือนใจได คอื ไมใหทกุ ขเ กดิ ขนึ้ ภายใน เพราะความ เสกสรรวา “กายเปนเรา, เปนของเรา,” เปนตน พิจารณาลงไป ดูลงไป จนกวา จะเหน็ ชดั ดว ยปญ ญาจรงิ ๆ เอา! หนงั เปนอยา ง ไร หนังสัตวที่เขาใชทําเปนกระเปานั้นเปนอยางไร หนังรองเทาเปนอยางไร ดกู นั ให หมด ตลอดเนื้อ เอ็น กระดูก เอา!ดเู นอื้ สัตว ดเู นอ้ื บคุ คล มนั กเ็ หมอื นกนั ดูเขาไป กระดกู เปน อยา งไร กระดูกสัตว กระดูกคน ตางกันที่ตรงไหน ดูเขาไปใหเต็มความจริง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๔

๔๗๕ ทมี่ อี ยกู ับตัว ดูเขาไป ดภู ายในรา งกายนแ้ี หละ เพราะอนั นเ้ี ปน สง่ิ ทท่ี า ทายอยแู ลว ตาม ความจริงของเขา ทําไมใจเราจึงไมรู ไมอาจหาญ เพียงเห็นตามความจริงนั้นแลว ก็เร่ิมทา ทายของ ปลอมไดดวยความจริงที่ตนรูตนเห็น ความจรงิ ทร่ี เู หน็ ดว ยปญ ญานม้ี อี าํ นาจมาก สามารถลบลา งความเหน็ อันจอมปลอมไดโดยลําดับ จนความปลอมหมดสน้ิ ไป ความจริงที่เกิดขึ้นกับใจยอมเกิดไดดวยสติปญญา คาํ วา “ความจริง” นน้ั ถกู ทง้ั สองเงื่อน เง่อื นหนึง่ ความจริงทั้งหลาย ไมว า ฝายรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ก็ เปนความจริง เปน ของมอี ยู ทาทายอยูดวยความมีอยูของตน และปญ ญากห็ ยง่ั ทราบตามความจรงิ ของเขา จนปรากฏเปน ความจรงิ ขน้ึ มาภายในใจ นค่ี อื วธิ กี าร ถอดถอนกเิ ลสเปน อยา งน้ี นแ่ี หละความจรงิ กบั ความจรงิ เขา ถงึ กนั แลว ไมเ ปน ภยั นอกจากถอดถอนพษิ ภยั ทั้งหลายไดโดยสนิ้ เชงิ เทานนั้ ตอนที่พิจารณาเดินกรรมฐาน เทย่ี วกรรมฐานตามทว่ี า น้ี เทย่ี วไปตามอวยั วะ นอยใหญ ตรวจไปตรองไป ออกจากกรรมฐานตอนนน้ั แลว ก็เทยี่ วกรรมฐานใหถึงทสี่ ดุ วา รา งกายนจ้ี ะสลายแปรสภาพไปอยา งไรบา ง กําหนดลงไป มันจะเปอยจะผจุ ะพังอยาง ไร ? ใหก าํ หนดลงไป ๆ จนสลายจากกนั ไปหมดไมม เี หลอื อยเู ลย เพราะรางกายนี้จะ ตอ งเปน เชน นน้ั แนน อน แตก ารกาํ หนดนน้ั ตางๆ กนั ตามความถนดั ใจ สมมตุ วิ า จะกาํ หนดอาการนน้ั ให เหน็ ชดั ภายในจติ เราจะจับอาการใด เชน หนัง เปนตน ใหจ บั อาการนน้ั ไวใ หแ น ให ภาพนน้ั ปรากฏอยภู ายในจิต สติจับหรือจดจองอยูที่ตรงนั้น ภาพนน้ั จะปรากฏสงู ตาํ่ ไปไหนกต็ าม เราอยาไปคาดไปหมาย ความสูง ความต่ํา สถานทท่ี เ่ี ราจะพจิ ารณานน้ั ใหถ อื เอาเปา หมายของการทาํ งาน ใหค วามรตู ดิ แนบกนั อยู นน้ั ดว ยสตเิ ปน ผคู วบคมุ อยาเผลอตัวคิดไปที่อื่น อาการนจ้ี ะขยายตวั มากนอ ยกใ็ หเ หน็ ประจกั ษใ จในปจ จบุ นั คือขณะที่ทํา จะสูง จะตาํ่ กใ็ หร อู ยอู ยา งนน้ั อยา ไปคาดวา นส้ี งู เกนิ ไป นี่ต่ําเกินไป นน่ี อกจากกายไปแลว ทีแรกเรานึกวาเราพิจารณาอยูภายในกาย อาการนอ้ี ยใู นกาย ทาํ ไมจึงกลายเปน นอกกายไป เราอยา ไปคดิ อยา งนน้ั แมจะสูงจะต่ํา จะออกนอกออกในกต็ าม ถาเราไม ปลอ ยความรใู นเปาหมายท่ีเรากาํ ลังพิจารณาน้นั นน่ั แหละจะเหน็ ความแปลกประหลาด และจะเหน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาจากอาการนน้ั แหละ เชนเรากําหนดเนื้อ จะเปนเนื้อ อวยั วะสว นใดกต็ าม กาํ หนดลงตรงนน้ั ใหเ หน็ ชดั อยภู ายในนน้ั แลว จะคอ ยกระจายไป กระจายไปเอง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๕

๔๗๖ เม่ือสตติ ง้ั มนั่ อยูด วยดี คอื รสู กึ ตวั จาํ เพาะหนา จิตกร็ วู า ทาํ งาน ปญ ญากต็ รอง ตามนั้น สกั ประเดย๋ี วอาการนน้ั กจ็ ะคอ ยกระจายลงไป คอื หมายความวา มันเปอยลงไป ๆ อนั นน้ั กพ็ งั อนั นก้ี พ็ งั ดูใหมันชัดเจนลงไป เราไมต อ งกลวั ตาย จะกลัวอะไรเราดูความจริงนี่ ไมใชดูวา เราจะตายนน่ี า! เอา ! สลายลงไป ๆ นเ่ี ราเคยพจิ ารณาอยา งนน้ั อนั นน้ั ขาดลงไปอนั น้ี ขาดลงไป มันเพลินขณะที่พิจารณา พิจารณารางกายตัวเรานี้เองแหละ แตในขณะท่ี พิจารณาดวยความเพลินนั้น รา งกายปรากฏวา หายไปหมดไมร สู กึ ตวั เลย ทั้งๆ ที่เรา กาํ หนดพจิ ารณากายอยูนั้นแล เอา ! รางกายพังลงไป ๆ หัวขาดลงไป แขนขาดลงไป ตกลงไปตอหนาตอตา แขนทอ นนน้ั กระดกู ทอ นนน้ั ขาดลงไป กระดูกทอนนี้ขาดลงไป ภายในกายนท้ี ะลกั ออก ไป เอา ! ดูไปเรื่อยๆ เพลิน ดูเรื่อยๆ แตกลงไป ๆ สว นนาํ้ กซ็ มึ ลงไปในดนิ และเปน ไอไปในอากาศ ฉะนน้ั เวลาปรากฏนาํ้ ซมึ ซาบลง ไปในดนิ และออกเปน อากาศไปหมดแลว สว นตา งๆ กแ็ หง อวยั วะสว นนแ้ี หง แหง แลว กรอบเขา ๆ แหงเขาไปจนกลายเปนดินไป ดนิ กบั กระดกู ของอวยั วะเลยกลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั ไป ! นี่เห็นชัด สว นทแ่ี ขง็ คอื กระดกู กาํ หนดเหน็ เปน ลาํ ดบั และกาํ หนดเปน ไฟเผาบา ง กาํ หนดใหค อ ยผพุ งั ลงไปบา ง กระจายลงไปตามลาํ ดบั บา ง จนกลนื เขา เปน อนั เดยี วกบั ดินอยางเห็นไดชัด ทช่ี ดั ทส่ี ดุ เกย่ี วกบั การพจิ ารณาน้ี คอื ธาตดุ นิ กบั ธาตนุ าํ้ สง่ิ ทต่ี ดิ ใจซง่ึ ภายในใจก็ คอื ธาตดุ นิ สว นนาํ้ นน้ั กป็ รากฏเปน อยา งนน้ั ลม ไฟ ไมคอยจะมีปญหาอะไรนัก ไมเปน ขอ หนกั แนน สาํ หรบั การพจิ ารณา และไมเปนสิ่งที่จะซึ้งภายในใจเหมือนอยางเรา พจิ ารณารา งกายซง่ึ เปน อวยั วะหยาบ พออันนก้ี ระจายลงไป กลายเปน “ดิน” หมด จติ กเ็ วง้ิ วา งละซิ ! ขณะนน้ั เวง้ิ วา ง ไปหมด! อยา งนก้ี ม็ ี แตเ วลาพจิ ารณากรณุ าอยา ไดค าดไดห มาย ใหเ อาความจริงในตน เปน สมบัติ ของตน เปนสักขีพยานของตน อยา เอาความคาดคะเนมาเปน สกั ขพี ยาน มาเปนขอ ดําเนิน จะไมใชสมบัติของเรา นนั่ เปน สมบตั ิของทาน สมบัติของเราคือเรารูเอง เราเปน อยางไรใหเปน ข้ึนภายในตัวเราเอง นนั้ แลคอื ความรูของเรา ความเห็นของเราแล เปน สมบัติของเราแท! ควรกาํ หนดอยา งน้ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๖

๔๗๗ บางครั้งไมเปนอยางนั้นเสมอไป หากเปนไปของมันเองโดยหลักธรรมชาติ พอ การสลายลงไปเปนดนิ เชน นั้นแลว บางทีกระดูกมันคอยผุพังลงไป ๆ ยังไมหมด แตอ นั หนง่ึ มนั ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ใจวา “ที่มันยังไมหมด สวนท่ีเหลอื จะตองเปน ดินเชน เดียว กนั อกี ” มนั มคี วามปรงุ ขน้ึ ในจติ ทั้งๆ ทใ่ี นขณะนน้ั ไมม กี ายเลยในความรสู กึ แตจิต หากปรงุ ขน้ึ อยา งนน้ั สกั ประเดย๋ี วไมท ราบวา แผน ดนิ มาจากไหน มาทบั กระดกู ทย่ี งั เหลอื อยู พรึบ เดียว คอื มาทบั สว นที่ยงั ผพุ ังไมหมดใหกลายเปนดนิ ไปหมดดวยกนั พอกระดกู สว นท่ี เหลือกลายเปน ดนิ ไปหมดแลว จติ ไมทราบวาเปนอยางไร มนั พลกิ ตวั ของมนั อกี แงห นง่ึ ขณะทจ่ี ติ พลกิ กลบั อกี ทเี ลยหมด! แผน ดนิ กไ็ มมี ทั้งๆ ทแ่ี ผน ดนิ มนั ไหลมาทบั กนั อยางรวดเร็ว พลิกมาทับกองกระดูกของเราที่ยังละลายไมหมดลงเปนดิน ทีนี้ก็รูขึ้นมาพับ! อกี วา “ออ่ื ! ทกุ สิ่งทกุ อยางมันกเ็ ปน ดินหมด ในรา งกายอนั นท้ี ่ี มันลงไปก็เปนดินหมด!” หลงั จากนน้ั ครหู นง่ึ จติ กพ็ ลกิ ตวั อกี ที และพลิกอยา งไรไม ทราบความสมมุติได ดินเลยหายไปหมด อะไรๆ หายไปหมด เหลอื แตค วามรลู ว นๆ โลงไปหมดเลย เกดิ ความอศั จรรยข น้ึ มาอยา งพดู ไมถ กู ซง่ึ การพจิ ารณาเชน นเ้ี ราไม เคยเปน! มันเปนขึ้นมาใหรูใหเห็นอยางชัดเจน จติ เลยอยนู น้ั เสยี คอื อยอู นั เดยี วเทา นน้ั จะมีขณะใดขณะหนึ่งของจิตวาเปนสองไมมีเลย! เพราะมนั ตายตวั ดว ยความเปน หนึ่งแทๆ พอขยบั จิตข้นึ มากแ็ สดงวา เปน สองกบั ความปรงุ แตนี่ไมมีความปรุงอะไรทั้ง สน้ิ เหลือแตค วามรูท ีส่ ักแตวารู และเปน ของอศั จรรยอ ยใู นความรูน น้ั ขณะนั้นมันเวิ้ง วา งไปหมดเลยโลกธาตนุ ้ี ตน ไม ภูเขา อะไรไมมีในความรสู ึกตอนนน้ั จะวา เปน อากาศ ไปหมด แตผ นู น้ั กไ็ มส าํ คญั วา เปน อากาศอกี เหมอื นกนั มอี ยเู ฉพาะความรนู น้ั เทา นน้ั ! แตจติ สงบตัวอยูเปนเวลาชั่วโมงๆ! พอจติ ถอนออกมาแลว แมจ ะกาํ หนดอะไรก็ เวง้ิ วา งไปอกี เหมอื นกนั นอ่ี าจเปน ไดค นละครง้ั เทา นน้ั นี้ก็เคยเปนมาเพียงครั้งเดียวไม เคยซาํ้ อกี เลย! สวนการพิจารณาลงไปโดยเฉพาะๆ มันเปนไดตามความชํานาญของจิต จนกระทั่งเปนไปทุกครั้งที่เราพิจารณา การพิจารณาความแปรสภาพเปนดิน เปน นาํ้ เปนลม เปนไฟ ยังชัดเจนอยูทุก เวลาที่เราพิจารณา ความทเ่ี ปน เชน นแ้ี ลเปน ความสามารถ ทจ่ี ะทาํ จติ เราใหม กี าํ ลงั และ ความเคยชินกบั ความจริงคือ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ แท สามารถถอดถอนความเปน “เรา” เปน “ของเรา” ออกไดโดยลาํ ดบั เพราะตามความจริงแลว รา งกายนถ้ี า วา ธาตมุ นั กธ็ าตุ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๗

๔๗๘ ถา วา “ธาตุดนิ ” มนั ก็ธาตุดนิ เราดีๆ นเ่ี อง ไมใชเราไมใชของเราตามคําเสกสรรมั่นหมาย ตางๆ การพจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ รูไมหยุดยั้ง รูเรื่อยๆ เพราะการพิจารณาอยูเรื่อยๆ ยอมจะเพิ่มความซาบซึ้งโดยลําดับจนเขาใจชัด แลว ถอดตวั ออกจากคาํ ทว่ี า “กายเปน เราเปน ของเรา” กเ็ ลยกายสกั แตว า กาย ถา ใหช อ่ื วา กายกส็ กั แตว า กาย ถา จะใหชือ่ วา กายสกั แตว า ปรากฏสภาพเทา นน้ั กพ็ ดู ได เมื่อจิตรูอยางพอตัวแลวไมมีอะไรเปนปญหา ใจจะวาเขาเปนอะไรเขาไมมีปญหา เพราะเปนปญหาอยูกับใจดวงเดียว ฉะนน้ั จาํ ตอ งแกป ญ หาเราเองออกจากความลมุ หลง ความสาํ คญั มน่ั หมาย ตางๆ ใหเ ขา สคู วามจรงิ แหง ธรรม คอื รูลวนๆ นน้ั กธ็ าตลุ ว นๆ แมจะสมมุติวา “กาย” กค็ อื ธาตลุ ว นๆ ยอ นเขา มาในจติ กจ็ ติ ลว นๆ ทั้งสอง “ลว นๆ”น้ตี า งก็เปน ความจรงิ ลว นๆ เมื่อทราบความจริงชัดอยางนี้แลว เอา! เวทนาจะเกิดขึ้นก็เกิด เพราะเวทนาก็ เปน ธาตอุ นั หนง่ึ หรอื เปน สภาวธรรมอนั หนง่ึ เชน เดยี วกบั รา งกาย มนั วง่ิ ถงึ กนั อยา งนน้ั “สัญญา” ความหมาย พอปรงุ แผลบ็ เรากท็ ราบเสยี วา มันออกไปจากจิตนี้ไปปรุง อยา งนน้ั ไปสาํ คญั อยา งน้ี เมอ่ื ทราบแลว จิตกถ็ อนตวั สัญญาก็ดบั ไปทนั ที ถาเราไมทราบ มนั กต็ อ อนั นด้ี บั อนั นน้ั ตอ สบื ตอ กนั ไปเรอ่ื ยๆ เหมอื น “ลูกโซ” พอทราบมนั กด็ บั ของ มัน ดับในขณะที่สติรูทัน และไมปรุงเปนเรื่องเปนราวอะไรขึ้นมาได นี่เรียกวา “สติทัน” ถา ไมท นั เรอ่ื งกต็ อ เรอ่ื ยๆ การพจิ ารณาความจรงิ ในรา งกายจงึ เปน เรอ่ื งใหญท ส่ี ดุ พระพุทธเจา จงึ ทรงสอน “สติปฏฐานส”่ี ซึ่งมีอยูในรางกายจิตใจนี้ทั้งนั้น สจั ธรรมกม็ อี ยทู น่ี ่ี ทา นจงึ สอนลงทน่ี ่ี สรุปแลวลงที่จิต การที่วาพิจารณาไปทั้งหมดนั้น พิจารณาเพื่ออะไร? ก็พิจารณาเพื่อใหจิตรูตามความเปนจริง แลว จะไดป ลอ ยวางความ งมงายในการยดึ ถอื เขามาสูความเปนตน เอา! เมอ่ื หมดความงมงายในธาตสุ ่ี ดนิ นาํ้ ลม ไฟ นแ่ี ลว เลยหมดความงมงาย ในเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ อนั เกย่ี วกบั ขนั ธห า น้ี แลว กเ็ ขา มาพจิ ารณาความงม งายของจิตอีก แนะ ! มันยังมีเรื่องของมันอีก! ความงมงายตามขน้ั ของกเิ ลสทล่ี ะเอยี ดน้ี เรยี กวา “เปนความละเอียดของกิเลส” เปนความงมงายอันละเอียดของจติ ยอนเขามาพิจารณาเขามาอีก จะเอาอะไรเปนหลัก เกณฑที่นี่ ? ก็เราพิจารณาจิต จิตเปน นามธรรม เวทนาก็เปนนามธรรม กเิ ลสก็เปน นามธรรม ปญ ญากเ็ ปน นามธรรม ไมวาแตเพียงจิตจะเปนนามธรรม สง่ิ ทเ่ี ปน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๘

๔๗๙ “นามธรรม” กบั สง่ิ ทเ่ี ปน “นามธรรม” มนั อยดู ว ยกนั ได ติดกนั ได กเิ ลสกบั จิตตา งก็ เปนนามธรรมดวยกันจึงติดกันได เอา! ปญญาคนลงไปเพราะเปนนามธรรมดวยกัน จะพิจารณาเชนเดียวกับเรา พิจารณารูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ แยกแยะใหเห็นตามความจริงของมัน แลว จบั จติ นข้ี น้ึ มาเปน ตวั ผตู อ งหา เปน ตวั นกั โทษทีเดียว ฟาดฟน หน่ั แหลกลงในตวั ผตู อ ง หาหรอื นกั โทษน้ี นแ่ี หละคอื ผตู อ งหาหรอื นกั โทษ มันเปน “โทษ” เขา มารวมไวในตวั นีห้ มด ถอื วา ตวั เกง ตวั รตู วั ฉลาด สง่ิ นน้ั สง่ิ นร้ี ไู ปหมดแลว ในโลกธาตนุ ้ี รูป เสียง กลน่ิ รส เครื่อง สัมผัส รูหมด! รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณภายในรา งกาย ทเ่ี ปน ขนั ธห า นก้ี ร็ ู หมด! แตไ มย อมรูตวั เอง! นน่ั นะซ!ี มาติดตรงนี้ มาโงตรงนี!้ พรอ มทง้ั ยอ นปญ ญาเขา ภายในจิตนี้อีก ฝาฟนตรงนี้ออกใหทะลุไป แทงเขาไปตรงนี้ เขาไปหาความรูนี้ ความรู ที่วาเกงๆ นน่ั แหละคือ “ตัวงมงายของจิต” แท! เมอ่ื พจิ ารณาคลค่ี ลายโดยละเอยี ดถถ่ี ว นแลว สภาพทแ่ี ทรกอยกู บั จติ กเ็ ปน สภาวธรรมอนั หนง่ึ เทา นน้ั จิตจะคงตัวอยูไมฉบิ หายเพราะการพิจารณาหาความจริง ก็ ใหฉ บิ หายไป ไมต อ งอาลยั เสยี ดาย ถา จติ มน่ั คงตอ ความจรงิ แลว ! จติ คงอยไู มฉ บิ หาย! ถาจิตทรงความจริงไวตามธรรมชาติของตัวเองซึ่งเปนความจริงจริงๆ แลว ก็จิตนี้แลจะ พนโทษ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ จิตจะสูญหรือไมสูญก็ใหรูกัน! คนลงไปไมตองเสียดายอะไรทั้งสิ้น จติ ก็ไมตองเสียดาย ไมตองกลัววาจิตจะ ตอ งถกู ทาํ ลายจะสลาย จิตจะฉิบหายไป จิตจะสูญสิ้นไปไหน! เมอ่ื ถกู ปญ ญาทาํ ลายส่ิงแทรกซมึ หมดแลว กิเลสทุกประเภทสูญสิ้นไปเอง เพราะเปนสิ่งจอมปลอมอยูภายในจิต เมื่อกําหนดพิจารณาลงไปจริงๆ แลว ไอส ง่ิ ทค่ี วร สูญสิ้นไปยังไงก็ทนอยูไมได มนั ตองสญู สวนธรรมชาติที่สูญไมได ทาํ ยงั ไงกต็ อ งอยู คง ตัวอยู คอื จติ นจ้ี ะสญู ไปไหน! นน่ั แหละผทู ถ่ี กู กเิ ลสนค้ี รอบงาํ อยกู ค็ อื จติ ปญญาฟาดฟน กิเลสแหลกละเอียดลงไปจากจิตแลว จติ นก่ี เ็ ลยกลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ผนู แ้ี ล คือผบู ริสทุ ธ์แิ ท จะเอาอะไรไปสูญ! สญู แลว จะบรสิ ทุ ธไ์ิ ดอ ยา งไร ? อนั นน้ั ตาย อนั นฉ้ี บิ หาย แตอ นั นเ้ี ปน “อมตํ แท” อมตํ ดว ยความบรสิ ทุ ธ์ิ ไมใ ช อมตํ ทก่ี ลง้ิ ไปมาตาม “วัฏ วน” ทง้ั หลายทเ่ี คยเหน็ มา อนั นน้ั กไ็ มต าย แตม นั กลง้ิ ไปอยอู ยา งนน้ั ตามกฎ “วฏั จกั ร” แต “อมต”ํ นี้ไมต ายดว ยไมก ลิ้งดว ย นน้ั เปน “ววิ ฏั ฏะ” คือไมตายและไมหมุน น่ี ตัวจริงอยูภายในทามกลางขันธของเรา อนั นแ้ี หละตวั สาํ คญั ! ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๙

๔๘๐ เจา ตวั ยแุ หยก อกวนมนั เขาไปกลมุ รมุ จิตนี่ใหห ลงไปตามโลก ตามธาตตุ ามขนั ธ ตามทุกขเวทนา ความเจ็บไขไดปวยตางๆ วนุ วายไปหมด ความจรงิ เขาไมไ ดว า อะไรน่ี รา งกายมอี ะไรกม็ อี ยอู ยา งนน้ั เวทนาเกิดขึ้นก็เกิดตามเรื่องของมัน มันไมทราบวาตน เปนเวทนา ไมท ราบวาตนเปนทกุ ข เปนสุข เปนเฉยๆ อะไรเลย กจ็ ติ นเ้ี ปน ผไู ปใหค วาม หมาย แลวก็ไปหลงความหมายของตัวเองโดยไมเกิดประโยชนอะไร นอกจากเกดิ โทษ แกต วั ถา ยเดยี วเทา นน้ั เพราะฉะนั้นจงึ ตองพิจารณาดวยปญญา ใหเห็นตามความเปนจริงของมัน แลว อะไรจะฉบิ หาย เราจะขาดทุนเพราะอะไร รา งกายแตกกแ็ ตกไปซี ก็ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺ ตา ทา นบอกไวแ ลว วา ธรรมเหลา นค้ี รอบโลกธาตุ จะไมค รอบขนั ธอ ยา งไร ไตรลักษณ เคยครอบโลกธาตอุ ยแู ลว ทาํ ไมจะไมค รอบขนั ธเ ราได นี่เมื่อมันเปนไปตามกฎ อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เราจะไปขัดขวางไดอยางไร เอา! ปลอ ยมนั ไป อะไรไมทน เออ! แตกไป มนั มแี ตส ง่ิ ทแ่ี ตกทส่ี ลายทง้ั นน้ั อยู ในโลกธาตนุ ้ี เปน แตเ พยี งวา ชา หรอื เรว็ ตา งกนั มีเทานั้น แลวขันธของเราจะทนไปได อยางไรตั้งกัปตั้งกัลป เพราะอยใู นกรอบอนั เดยี วกนั เอา! พิจารณาใหเ หน็ ตามความ จริงไวกอนที่ยังไมแตกซึ่งเปนความรอบคอบของปญญา ใหเ หน็ ชดั เมอ่ื ถงึ เวลา ทุกขเวทนาเกิดขึ้น เอา! ขน้ึ เวทกี นั วนั น้ี วา งน้ั เลย! วนั นเ้ี ราจะขน้ึ เวทเี พอ่ื เหน็ ความจรงิ รูความจริงตามหลักธรรม ไมใชขึ้นเวทีเพื่อ ลม จม ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเปน เรือ่ งของทุกขเวทนา การพิจารณาเรื่องของทุกขเวทนาซึ่ง มอี ยใู นขนั ธน ้ี เปนเรื่องของสติปญญา เราตองการทราบความจริงจากการพิจารณา มัน จะลม จมไปไหน เพราะเราไมไดทําเพื่อความลมจม เราไมไ ดท าํ เพอ่ื ความฉบิ หายใสต วั เรา เราทําเพื่อชัยชนะ เพื่อความรูตามสัดสวนของความจริง ทม่ี อี ยทู เ่ี ปน อยใู หร อบภาย ในใจตา งหาก แลวรอดพน ไปไดจากสงิ่ นี้ นน่ั เปน มงคลอนั สงู สดุ ! ทท่ี า นวา “เปนมงคลอันสูงสุด” “นพิ พฺ านสจฉฺ ิกิริยา จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ น่ี แหละ การทําพระนิพพานใหแ จงทาํ อยางน้แี หละ พระนิพพานถูกปดบัง กค็ อื จติ นน้ั แหละถกู ปด บงั ดวยกิเลสตณั หาอวิชชา มันปดบังใหมืดมิดปดตา จงึ แกไ ขกนั ดว ยวธิ นี ้ี คอื พจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ เปนการเปดสิ่งที่ปดบังทั้งหลายออก ที่เรียก วา “ทําพระนิพพานใหแจง” ใหแ จง ชดั ภายในใจ เมอ่ื แจง ชดั หมดแลว ก็ “เอตมฺมงฺคล มุตฺตม”ํ เปนมงคลอันสูงสุด! อะไรจะสูงยิ่งกวา “นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” อนั นเ้ี ปน สงู สดุ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๐

๔๘๑ นอกจากนน้ั ก็ “ผฏุ ฐ สสฺ โลกธมเฺ มหิ จิตฺตํ ยสสฺ น กมปฺ ติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ จติ นอ้ี ะไรมาสมั ผสั กต็ าม ไมมีความหวั่นไหวพรั่นพรึง สิง่ ทั้งหลาย เขามาแตะตองสัมผัสไมได ที่เขาไมไดเพราะมันหมดสิทธิ์ “เขมํ” ทา นวาเปนจิตดวงเกษม “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลสองขอ ทก่ี ลา วมาน้ี อยูที่ใจน่นี ะไมไดอ ยูท่ีไหน ใจนแ่ี หละเปน ตวั มงคลและเปน อปั มงคล กอ็ ยใู นฉากเดยี ว กนั เวลานเ้ี ราแกอ ปั มงคล เพราะมันมีติดใจเราอยู ใหเปน “มงคล” ขึ้นมา “นิพฺ พานสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” เอา! แกเปดเผยลงไป “ตโป จ พฺรหฺมจริยฺจ อริยสจฺจาน ทสสฺ น”ํ น่ี ตโป คอื ความแผดเผากเิ ลส กิเลสเปนของรอน จงึ เผากเิ ลสดว ย “ตปธรรม” คอื สติ ปญญา ซง่ึ เปนของรอนสําหรบั กิเลส และแผดเผากเิ ลสลงไป “อริยสจฺจาน ทสฺสนํ” คอื รเู หน็ อรยิ สจั ทกุ ขก ็รูเต็มจิต สมทุ ยั ก็ละไดเต็มใจ มรรคก็บําเพ็ญไดเต็มภูมิของมหาสติ มหาปญญา แนะ ! จะวา อยา งไรอกี นิโรธกแ็ สดง ความดบั ทกุ ขเ ตม็ ภมู ิ คาํ วา “เห็นสัจธรรม” ทา นเหน็ อยา งนน้ั ผูเห็นผูรู “สัจธรรม” โดยสมบรู ณน น้ั แล คอื ผทู ําพระนพิ พานใหแ จง และผไู มหวัน่ ไหวในโลกธรรมทั้งหลายคอื จติ นแ้ี ล อยทู น่ี !่ี นพ่ี วกเรานา จะเอาสาระสาํ คญั นใ้ี หไ ด! จิตเปนตวั สําคัญ สว นรา งกายอะไรๆ ในขนั ธห า กอ็ ยา งวา ! อยางที่เราเห็นเราพิจารณาแลวแล! ขอใหไดตัวนี้ซึ่งเปนตัวสําคัญ! เอา! อะไรจะขาดก็ขาดไปเถอะ โลกนม้ี นั เปน อยา งนอ้ี ยแู ลว มันเปน มาแตไ หน แตไร เราก็เคยเปนมาแลว กก่ี ปั กก่ี ลั ปเ กดิ ตาย ๆ นแ่ี หละ คราวนก้ี เ็ ดนิ ตามทางหลวงท่ี เคยเดินนั่นแล “ทางหลวง” คือคติธรรมดาใครหามไมได ตองเดินไปตามนี้ เรากร็ ูความจริงของ คตธิ รรมดาอยบู า งแลว นจ่ี ะวา อยา งไรตอ ไปอกี ความรใู นการแสดงกม็ เี ทา น้ี กรณุ านาํ ไป พิจารณาอยาไดประมาทนอนใจ คาํ วา “นพิ ฺพานสจฺฉิกิรยิ า จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ การทําพระนิพพานใหแจงเปน มงคลอันสูงสูด” ยอมจะเปนสมบัติของทานพุทธบริษัทผูพยายามไมลดละ ในวนั หนง่ึ แนน อน จึงขอยุติการแสดงเพียงเทานี้ ฯ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๑

๔๘๒ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๗ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙ อตมธรรม เวลาฟง เทศนกรณุ าใหจิตอยูกบั ตัว อยา ไดส ง ออกไปดอู ารมณน น้ั น้ี อยา เสยี ดาย อารมณที่เคยคิดปรุงมาซึ่งไมเกิดประโยชนอะไรในเวลานี้ จงพยายามบรรจุธรรมนี้เขาสู ดวงใจ ใจนี้เคยแหงผากจากธรรมเปนเวลานาน เชน เดยี วกบั สถานทป่ี า ไมท ใ่ี ดกต็ ามท่ี แหงผาก ไมมีน้ําเปนที่ชุมชื่นบางเลย สถานที่นั้นเปนเชื้อไฟไดเร็ว แผดเผาไมทุกชนิด ทกุ ลาํ เปน ทกุ ลาํ ตายใหพ นิ าศไปได เพราะความชุมชื้นไมมี หนาฝนไฟไมคอยจะไหมท ่ี นน่ั ท่ีนต่ี ามปา เขาลาํ เนาไพร แตหนาแลงไฟชอบไหมที่ตางๆ แมท ส่ี ดุ ภายในวดั กไ็ หมถ า แหง สถานทีแ่ หง ไฟไหมไดง าย อยา งวดั ปา บา นตาดเคยถกู ไฟไหมม าแลว หลายหน น่ี เพราะความแหงแลงนั่นเอง จิตใจแหง แลง จากธรรม ไมมีธรรมเปนเครื่องหลอเลี้ยง ไมมีธรรมเปนเครื่องทํา ความเย็น ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะยอ มกอ ตวั ขน้ึ ไดเ รว็ อะไรผานเขามาเปนไหมและไหม หมดไมมียกเวน ไหมใ นสถานทใ่ี ดสถานทน่ี น้ั ยอ มเสยี หาย กเ็ มอ่ื กเิ ลสตณั หาอาสวะไหม ภายในจติ ใจ ทําไมจิตใจจะไมเสียหาย แมม คี ณุ คา ขนาดไหนกอ็ บั เฉาไปได จนกระทั่ง หาคณุ คา ราคาไมไ ดภ ายในใจ ดวงใจดวงท่ถี ูกไฟไหมอ ยตู ลอดเวลานัน้ แล จะลดคุณคา ของตวั ลงอยา งนา ใจหาย สมบัติใดก็ตามที่ถูกไฟไหมแลว ยอ มเสยี หายมากนอ ยไปตาม สวนทถ่ี ูกไฟไหม นอกจากเกบ็ ไวใ นทป่ี ลอดภยั ทเ่ี ขาเรยี กวา “ตูนิรภัย” เชน ธนาคาร ตางๆ เขามีไวประจํา เรามี “ตูนิรภัย” บา งหรอื ไมภ ายในจิตใจเวลาน้ี ? หรือเปดรับภัยอยูทั้งวันทั้งคืน ยนื เดิน นง่ั นอน เปดไมหยุดไมถอยไมมีอะไรเหลือหลอ ไมคิดเสียดายใจที่มีคุณคา บา งหรอื ? นเ่ี ปน อบุ ายแหง ความคดิ สง่ั สอนตนเอง! ทจ่ี ติ ใจหาความผาสกุ ไมไ ดก เ็ พราะถกู ไฟกเิ ลสไหมอ ยตู ลอดเวลา “ไฟคือ ราคคฺ คินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา” ตาม อาทิตตปริยายสูตร ทานแสดงไวแลวไมมีอะไรที่จะ นา สงสยั เปน ความถกู ตอ งมาตลอดกาล ถา เราไมน าํ แงแ หง ธรรมทท่ี า นแสดงไวน น้ี อ ม เขามาสูตัว และเทียบเคยี งเหตุผลตามหลักธรรมทที่ านแสดงไวแลวน้ัน ก็พอมีทางพอ จะหลบหลกี ปลกี ตวั หาทช่ี มุ เยน็ ไดต ามกาลเวลา ไมถ กู ไฟเหลา นไ้ี หมไ ปเสยี ตลอดกาล ดงั ทท่ี า นทง้ั หลายไดอ ตุ สา หม าบาํ เพญ็ ในเวลานก้ี ช็ อ่ื วา “มาเสาะแสวงหาที่เก็บทรัพย” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๒

๔๘๓ คือบุญ แสวงหา “ตูนิรภัย” สรางตูนิรภัย เพอ่ื ความปลอดภยั จากไฟทง้ั สามกองอนั เปน กองใหญๆท้ังสิน้ ไมใหเผาไหมไปเสียจนหมดตัวโดยไมมีอะไรเหลือเลย การดบั ไฟภายนอกกเ็ ปน ความยากลาํ บาก ถา ตดิ มากๆ ดีไมดี นํ้ายงั สมู นั ไมได! และหวั สบู กม็ กั อดุ ตนั อยเู สมอ ถาไมมีเครื่องเปดบางไมได! เดี๋ยวตึกรามบานชองจะเห็น แตเ ถา ถา น ฉะนน้ั การดบั ไฟภายในจงึ ตอ งพยายามสง่ั สมอบรมความดโี ดยสมาํ่ เสมอ มกี าร เจริญเมตตาภาวนาเปนตน เพื่อใหจิตใจสงบตัวรวมตัว สงบเยน็ และมกี าํ ลงั มาก ควรแก การปราบปรามสิ่งที่เปนภัยแกจิตใจคือไฟดังที่กลาวมาไดดี ขน้ึ ชอ่ื วา “ไฟ”แลว ตอ งรอ นทง้ั นน้ั แมแตด อกของมนั กระเด็นออกมาถูกตัวเรา ยังรอนและเจ็บ ยง่ิ ถา ปลอ ยใหเ ผาทง้ั คนื ทง้ั วนั แลว จะหาอะไรมาเหลอื ตองไมมีเหลือ แนน อนภายในจติ ใจ! รา งกายของเรากเ็ หลอื แตร า งกาย จิตใจกเ็ หลอื “สกั แตว า ร”ู ไมม คี ณุ คา แฝงอยู ไดเลย เพราะถกู นาํ ไปทมุ เทใหก บั ไฟคอื กเิ ลสเผาผลาญอยตู ลอดเวลา รูก็รูไปดวยทุกข ไมใ ชรูไปดว ยความสบาย ไมใชรูไปดวยความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ความรอู นั นอ้ี ยู ในใตอ าํ นาจแหง ความทกุ ข ใหค วามทกุ ขเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดเวลา จึงเปนเหมือน ใจที่ไมมีประโยชนอะไรเลย การสรา ง “จิตตภาวนา”ขน้ึ โดยสมาํ่ เสมอดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ความขยัน หมั่นเพียร นี้เปนทางที่จะดับไฟภายในจิตใจของเรา ใหปรากฏความรมเย็นขึ้นมาโดย ลําดับได สง่ิ ทท่ี าํ ได สง่ิ ทเ่ี ปน ฐานะ คือคูควรแกสัตวโลกจะทําได พระพุทธเจาทรง แสดงไวทั้งสิ้น สง่ิ ทไ่ี มเ ปน “ฐานะ”คอื เปน ไปไมไ ด กไ็ มท รงนาํ มาสง่ั สอนโลก การที่นํามาสอนมากนอยในบรรดาธรรมทั้งหลาย ลว นแตอ ยใู นวสิ ยั ของ “พุทธ บริษัท” จะพึงประพฤติปฏิบัติได ไมใชพระพุทธเจา จะทรงสั่งสอนแบบสุมเดา เราผูปฏิบัติพึงเห็นอรรถเห็นธรรมเปนสําคัญและซาบซึ้งถึงใจ เชน เดยี วกบั เรอ่ื ง ที่เราขยะแขยงไมปรารถนาในความทุกขทั้งหลาย อนั จะเกิดขนึ้ ทางกายและทางใจ เปน สิ่งที่โลกไมพึงปรารถนาดวยกัน กส็ ง่ิ ใดท่ีจะพงึ นํามาแกสิง่ ทีไ่ มพ งึ ปรารถนาน้นี อกจาก ธรรม! เม่ือไดท ราบโดยเหตผุ ลแลวเชนนี้ การบาํ เพญ็ ธรรมจะยากหรอื งา ยน้ันไมสําคัญ เพราะความปลงใจเชื่อ ความพอใจ และเหตุผลเปนเครื่องบังคับอยูแลวใหตองทํา คน ตองทําไดตามกําลังของตน ความขเ้ี กยี จ ใครจะไมขี้เกียจเพราะอยูใตอํานาจของกิเลส ตัวข้เี กียจ ไมอยากทําในส่งิ ท่ีดมี ีประโยชน มดี ว ยกนั ทกุ คน ความขี้เกียจตองขึ้นหนา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๓

๔๘๔ เสมอ แตความข้ีเกยี จไมใชธรรมท่ีจะยงั บคุ คลใหพน จากทุกข เปน สง่ิ ทจ่ี ะทาํ ใหน อนใจ ประมาท และลมจมลงไปโดยลําดับ ตามอาํ นาจของกเิ ลสจอมโกหกพกลมเทา นน้ั พระพทุ ธเจา ทา นกเ็ คยมมี าแลว แตทําไมพระองคจึงมีความสามารถนอกเหนือ สิ่งที่เคยกดถวงจิตใจนี้ได เราควรนําเขามาเทียบเคียงแลวยึดหลักของทานไวเปนคติ เตือนใจ เวลาความเกยี จครา นออ นแอเกดิ ขน้ึ จะมที างพอตอ สกู นั บา ง ไมห มอบราบไปที เดียว ยากกท็ าํ ไป! ถาเราเห็นทุกขว า เปนทุกขจ รงิ การแกท กุ ขก ต็ อ งถอื เปน ของสาํ คญั ไมเ ชน น้นั สิ่ง ทเ่ี ราขยะแขยง สง่ิ ทเ่ี ราเกลยี ดกลวั นน้ั จะไมพนจากการเจอกันตลอดไปจนได จะหาทาง หลบหลกี ปลกี ตวั ดว ยความคดิ เฉยๆ โดยไมมีการกระทําหรือแกไขดัดแปลงยอมเปนไป ไมได เพราะฉะนน้ั สง่ิ ใดทค่ี วรแกก ารทาํ ดว ยวธิ ใี ด จะยากหรอื งา ย เราตองทําตามวิธี นั้นๆ ซง่ึ เปน ทางถอดถอนสง่ิ ทไ่ี มพ งึ ปรารถนาออกจากจติ ใจ เรานี้เปน “หนง่ึ ” ดว ยกนั ทกุ คน พูดถึงเรื่องการเกิดตายแลว พูดถึงเรื่องความ ทกุ ขในระหวางภพน้ันๆ จนกระทั่งบัดนี้ เปน “หนง่ึ ” ดว ยกนั ทกุ คน ไมมีใครเปน “สอง” รองลงไป! เพราะตางคนตางเกิด ตางคนตางทุกข ตา งคนตา งเปน มาอยา งนน้ั ดว ยกนั ภพนอ ยภพใหญ ทุกขนอยทุกขใหญ ทกุ ขม าดว ยกนั ไมมีใครจะนําภพชาติมาแขงขัน กนั ไดเ พราะมมี ากดว ยกนั ความทุกขก็มีเต็มกายเต็มใจเชนเดียวกัน เรานาํ มาแขงขนั กนั ไมได ทท่ี า นเรยี กวา “หนง่ึ ดว ยกนั ” พวกเรานี่ไดคะแนน “เอก” ดว ยกนั มนั ไดแ บบน้ี ทนี ค้ี วรให “เอก” ดวยจิต “เอก” ดวยธรรม ! เรือ่ งกองทุกขความทรมานนเี้ คย “เอก” มาดวยกันแลว ไมม ใี ครจะสามารถอาจหาญนาํ มาแขง ขนั กนั ได วา ใครมที ุกขมาก นอ ยกวา กนั อยา งไรบา ง เพราะมีเหมือนๆ กนั พอๆ กนั ขน้ึ ชอ่ื วา “กเิ ลส” เปน ผนู าํ ทาง เปน ผฉู ดุ ลากแลว เปนผูพาเดินแลว ตองเดินไป เพอ่ื ความเปน ทกุ ขม ากนอ ยโดยลาํ ดบั เชน เดยี วกนั หมด ถาหากวาเราจะขืนยอมเชื่อ กเิ ลสอยรู าํ่ ไปแลว เราก็จะตองไดรับความทุกขเ พราะอาํ นาจของกิเลสรํา่ ไป เรื่อยไป ไม มีเบื้องปลายวาเมื่อไรเราจะพนจากกองทุกขนี้ได ถาเราไมฝน! การฝนกิเลสเปนเรื่องของธรรม ฝน ดวยเหตดุ ว ยผลของเราทที่ ราบแลว วา สง่ิ นน้ั เปนภัย สิ่งนั้นเปนทุกข จะตอ งแกด ว ยวธิ นี ้ี แกด ว ยวธิ นี น้ั วธิ ใี ดทถ่ี กู ตอ งในการแกก เิ ลส แกก องทกุ ขเ ราตอ งนาํ มาใช จะยากหรอื งา ยไมส าํ คญั เชน เดยี วกบั เครอ่ื งมอื ทาํ งาน จะ หนกั หรอื เบา นายชา งตอ งยกมาทาํ หยบิ มาทาํ ทง้ั นน้ั ถงึ วาระงานใดท่ีจะตองทําดว ย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๔

๔๘๕ เครื่องมือใด หนกั กต็ อ งยกเอาขน้ึ มาทาํ เบากต็ อ งเอามาทาํ จนสงิ่ ท่ีตองการน้ันสําเร็จลุ ลวงไปโดยลําดับ ถึงขั้นสําเร็จอันสมบูรณ นเ่ี ครอ่ื งมอื ทจ่ี ะบาํ เพญ็ เพอ่ื แกก เิ ลสตณั หาอาสวะ ที่จะปลูกสรางจติ ใจขึ้นใหเปน รากเปนฐาน เปนตัวเปนตนขึ้นมาอยางแทจริง กจ็ ะตอ งสรา งดว ยเครอ่ื งมอื คอื “ธรรม” ธรรมที่เปนเครื่องมือมีหลายประเภทที่เราจะตองนํามาใชในเวลานั้นๆ บางกาลบางเวลา จติ ใจไมถูกกิเลสยั่วเยา ไมถ กู กเิ ลสกอ กวนใหฟ งุ ซา นรําคาญมากนกั การแกไ ขดว ยการ ฝาฝน การปราบปรามกันกไ็ มห นักมอื เทา ไร การใชส ติปญ ญาอนั เปนเคร่ืองมอื กไ็ มห นกั มาก อาการแหง การกระทาํ โดยทา ตา งๆ กไ็ มห นกั มาก เชน นง่ั นานไมนานไมส าํ คญั เดนิ นานไมน านไมส าํ คญั การพจิ ารณานานไมน านกไ็ มค อ ยสาํ คญั เพราะงานยังไม สาํ คญั เมอ่ื จติ ถกู กเิ ลสกอ กวนวนุ วายมากจนหาทป่ี ลงทว่ี างไมไ ด กาลนน้ั เราจะอยเู ฉยๆ ไมได ข้ึนชอ่ื วาความเพยี รแลวมีเทา ใดตองทุม เทลงเพือ่ ตอ สกู นั ในเวลานัน้ เปนก็เปน ตายก็ตาย ไมย อมแพไ มย อมถอย นอกจากตายเสียเทา นน้ั เพราะมันสดุ วสิ ยั สติปญญา มเี ทา ไรจะตอ งนาํ มาใชใ นเวลานน้ั หนกั กต็ อ งใช ลาํ บากยากเยน็ เขญ็ ใจขนาดไหนกต็ อ ง ใช ทุกขขนาดไหนเพราะความเพียรก็ตองนํามาใช ทุกขเพราะความเพียรไมเปนไร ทกุ ข เพราะกิเลสนี้พิลึก จมแลว หาวนั ผดุ วนั โผลห นา ขน้ึ มาไมไ ด สว นทกุ ขด ว ยการประกอบ ความพากเพียรนี้เราทราบ ทกุ ขท างกายเรากท็ ราบ เชน นง่ั นานเดนิ นานเราทราบ อบุ ายวธิ ตี า งๆ ที่เราคิดคนขึ้นมาเพื่อตอสูกับกิเลสประเภทตางๆ เปน ความยากลาํ บาก เพียงไรก็ทราบ แตผ ลทป่ี รากฏขน้ึ มาจากความยากลาํ บากเพราะความเพยี รน้ี นน้ั เปน ความสขุ ความอศั จรรยแ ละความแยบคายของใจ ซึ่งเปนสิ่งที่เราพึงหวังพึงปรารถนากัน อยแู ลว น่ี เมื่อมีเหตุมีผลเปนเครื่องเทียบเคียงกันอยูเสมอ และมเี ครอ่ื งตอบรบั กนั อยู เรื่อยๆ อยา งน้ี แมจ ะลําบากเพยี งไรกพ็ อตะเกยี กตะกายไปไดด วยกนั ถา จะมีแตความ ลาํ บากอยา งเดยี ว ไมม ีผลคือความสขุ ความสบายเปนเคร่ืองตอบแทนเลย ใครก็เปนไป ไมไดในโลกนี้ อยา วา แตค นเราสามญั ธรรมดาเลย แมพระพุทธเจาก็ตรัสรูขึ้นมาไมได สาวกอรหตั อรหนั ตท เ่ี ราเปลง วาจาหรอื อทุ ศิ นาํ้ ใจตอ ทา นวา “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฺ ฉาม”ิ กไ็ มป รากฏมใี นโลกเลย ความจริงมันก็ตองมีจังหวะมีโอกาสที่จะพอสูกันได คนเราสาํ คญั ทค่ี วาม พยายาม เหตผุ ลอยา ปลอ ยวางสาํ หรบั นกั ธรรมะ ถาเหตุผลจางไปเมื่อไรกิเลสจะแหลม คมเขามาทุกที ถาความเพยี รจืดจางกิเลสตองเค็ม ถาความเพียรเขมแข็ง สติปญญาเขม ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๕

๔๘๖ แขง็ กิเลสจะคอยจางลงไป ๆ เพราะกิเลสกลัวธรรมเทา น้นั ไมก ลวั อะไรในโลกนี้ ธรรม เทานั้นเปนเครื่องปราบกิเลส ธรรมกไ็ ดแ ก ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญ ญา! “ศรทั ธา” ความเชื่อตอผลที่พระพุทธเจาทรงไดรับแลว และประกาศธรรมสอน โลกวา เปน “นยิ ยานกิ ธรรม” จริงๆ นี่เปนศรัทธาความเชื่อ แมเราเองเมื่อประพฤติ ปฏิบัติดังที่พระองคสอนไว ก็แนใจวาจะตองไดรับผลเปนที่พึงพอใจโดยลําดับ น่ี ศรัทธา “วิริยะ” คอื ความพากเพยี ร ทําอะไรกท็ ําดวยความพากเพียรแลวดีทง้ั น้นั ไมวา กจิ นอกการใน ถา มคี วามพากเพยี รเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ตอ งสาํ เรจ็ และสวยงามนา ดูนา ชม “สต”ิ เปน สง่ิ สาํ คญั ทค่ี อยกาํ กบั งานนน้ั ๆ ไมใหพลั้งเผลอผิดพลาดไปได “สมาธ”ิ มีความมุงมั่นตอกิจการของตน ไมห วน่ั ไหวคลอนแคลน เอาจนถึงขั้น สําเร็จ นเ่ี รยี กวา “สมาธิในทางเหต”ุ , สว น “สมาธใิ นทางผล” ปรากฏขน้ึ มาเปน ความ แนว แนม น่ั คงของจติ เปน ความสขุ ความสบายเกดิ ขน้ึ จากเหตุ คอื ความมน่ั คงในการ กระทํา ไมว อกแวกคลอนแคลน ไมเ อนเอยี ง ตั้งหนา ตัง้ ตาทําจรงิ ๆ นค่ี อื สมาธฝิ า ยเหตุ สมาธฝิ า ยผลคอื ความสงบของใจ จนกระทั่งเปน “เอกคั คตา” ทท่ี า นเรยี กวา มอี ารมณ เปนอันเดียวเทานั้น ไมมีอะไรเขามาพึ่งพิง “ปญ ญา” คือความสอดสองมองทะลุไปหมด อะไรๆ ก็ตามตองใชปญญาเปนสิ่ง สาํ คญั สอดสอ งมองดเู หตกุ ารณ หนา ทก่ี ารงานอนั นน้ั จะไดผ ลเสยี หายหรอื ผลสมบรู ณ อยา งไรบา ง ตอ งอาศยั ปญ ญาพนิ จิ พจิ ารณา บวก ลบ คณู หาร ไปในตัว นี่แหละธรรม ทจ่ี ะยงั บคุ คลใหพ น จากทกุ ขไ ปไดโ ดยลาํ ดบั ไมวากจิ การงานอะไรท่จี ะสาํ เรจ็ สมบรู ณไปได ประการหนง่ึ ทา นกเ็ รยี กวา “อทิ ธิ บาทส”่ี นนั่ ก็เปนสิ่งสําคัญพอๆ กบั ธรรมหมวดทก่ี ลา วมาแลว คอื (๑) ฉันทะ เราพอใจกับอะไร ฉันทะพอใจกับกิเลส มันกเ็ ปน กิเลสขึน้ มา คนมี ความพอใจในสง่ิ ใด ยอ มเสาะแสวงหาในสง่ิ นน้ั ตองเปน “นน้ั ” ขน้ึ มา แต “อทิ ธบิ าทส่”ี นี้มิไดหมายถึงความต่ําทรามเชนนั้น หมายถงึ ความดที จ่ี ะใหเ ปน ผลสาํ เรจ็ ขน้ึ มาตาม ความมงุ หวงั ทานเรียกวา “อทิ ธบิ าท” คือสิ่งที่จะทําใหสําเร็จตามความมุงหวัง ไมสุด วิสัยของมนุษยที่จะพึงทําได “ฉนั ทะ” มีความพอใจ (๒) วริ ยิ ะ ความพากเพยี ร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๖

๔๘๗ (๓) จิตตะ ใฝใ จ ไมใ หห า งเหนิ กับกจิ การทีท่ าํ (๔) วมิ งั สา คือปญญา ความเฉลยี วฉลาดรอบตวั รวมแลว กเ็ ปน อนั เดยี วกนั คือ เพอ่ื งานและผลงานอนั เดยี วกนั นแ่ี หละธรรมทจ่ี ะสรางมนษุ ยใ หเ ปน มนษุ ยส มบรู ณแ บบ ที่จะสรางจิตใจใหมีราก มีฐาน สรา งหนา ทก่ี ารงานใหเ ปน ชน้ิ เปน อนั เปนสัดเปนสวน มีกฎมีระเบียบ มีขนบ ประเพณีอันดีงาม สาํ หรบั ตนเองผบู าํ เพญ็ ในธรรมทง้ั หลาย ไมใ หป น เกลยี วกบั หลกั ธรรมทท่ี า น สอนไวน ้ี เมอ่ื จติ ใจมคี วามเปน ไปกบั ธรรมดงั ทก่ี ลา วแลว กช็ อ่ื วา “จิตใจมีอารักขา” คือ ธรรมรักษา ธรรมเปนเครื่องรักษาจิตใจ ใจยอมมีความเจริญขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเปนภัย ตอ จติ ใจกค็ อ ยจางลงไป ๆ ใจทเ่ี คยอาภพั อบั เฉามาเปน เวลานาน กเ็ พยี งอบั เฉาเทา นน้ั ไมใ ชจ ติ ฉบิ หายไปจนหาอะไรคดิ อะไรรไู มไ ด เมอ่ื ถกู ชาํ ระดว ยความพากเพียรวธิ ี ตางๆ ยอมจะมีความผองใส มคี วามสงบเยน็ ใจ มคี วามสขุ ความสบายขน้ึ มา เพราะ ขา ศกึ หา งไกลออกไปดว ยการชาํ ระจติ ของผมู ี “ความเพยี ร” นเ่ี ปน กญุ แจดอกสาํ คญั ที่จะไขสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งหลายใหสําเร็จขึ้นมาโดย สมบรู ณไ ด ไมใชเพียงความคิดความตองการเฉยๆ โดยมคี วามทอ แทอ อ นแอเปน เครอ่ื งฉดุ ลากเอาไว ไมใหดําเนินงานนน้ั ๆ เปนไปโดยสมบูรณ เราจะทําอะไรคิดอะไรก็ตาม อยาลืมพระพุทธเจาซึ่งเปนศาสดาของพวกเรา การ กระทาํ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ถา เมอ่ื เกดิ ความทอ แทอ อ นแอขน้ึ มา ใหระลึกถึงพระพุทธเจา พระพุทธเจาตรัสรูดวยความพากเพียรในธรรมที่กลาวมานี้ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญานี้แล หรือตรัสรูดวยอะไรถาไมใชดวยธรรมเหลานี้ เราจะเอาอะไรมาบํารุงจิตใจของตน มาสงเสริมจิตใจของตนใหเปนความสุข ความเจริญ อยา งนอ ยกเ็ ปน “ศิษยที่มีคร”ู ถาไมใชธรรมดังที่พระพุทธเจาทรงบําเพ็ญ และทรงรูเหตุรูผลมาแลวนี้ ไมมีทางอื่นเปนที่นาดําเนินเลย คาํ วา “ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เกิดขึ้นมาไดดวยเหตุใด ถาไมเกิดขึ้นไดดวยธรรม ทั้ง ๕ ประการนี้ คอื ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา นี้ไมมีทางเกิดขึ้นได “ธมมํ สรณํ คจฺฉามิ” เกิดขึ้นไดดวยเหตุนี้เอง เกิดขึ้นจากพระพุทธเจาผูมีธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ ประจําพระองค “สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” กไ็ ปในแนวเดยี วกนั พระสงฆสาวกทัง้ หลายไมใ ชผอู อน แอทอ ถอย แมจ ะออกมาจากสกลุ ใดๆ กต็ าม ตั้งแตพระราชามหากษัตริยลงมาพอคา เศรษฐี กฎุ ม พี ถึงบุคคลธรรมดา เมอ่ื กา วเขา สคู วามเปน “พุทธชิโนรส” ที่ปรากฏใน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๗


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook