Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

ธรรมชุดเตรียมพร้อม หลวงตามหาบัว

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-26 02:26:27

Description: (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน).

Search

Read the Text Version

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสัมปน โน เทศนโปรด คณุ เพาพงา วรรธนะกุล ณ วดั ปา บา นตาด เม่อื วันท่ี ๙ -๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘

ท่มี า http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgi BookID=38 Link กณั ฑเทศนาในหมวดหมู \"ธรรมะชุดเตรยี มพรอม\" มจี ํานวน \"98\" กณั ฑ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_multimedia.ph p?CatID=1 หรือ download file เสยี งรวมกัณฑเทศน ไดท่ี ชุดธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 1 (wma, mp3) http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70873 ชุด ธรรมะชดุ เตรยี มพรอ ม 2 (wma, mp3) http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=70874

คาํ อนุโมทนา หนงั สอื ธรรมะแตล ะเลม จะสาํ เรจ็ ข้นึ มาเพ่อื แจกทานใหท า นผูใครธรรมไดอ า น ยอมสาํ เรจ็ ดวยอํานาจแหงศรทั ธาของทานผูใ จบญุ ทง้ั หลายชว ยกันบริจาคและจัดทํา แม เลม นก้ี ส็ าํ เร็จขน้ึ มาเพราะแรงศรัทธาของทา นผูใจบุญหนุนโลกเชน เดยี วกนั ลาํ พงั ผู แสดงก็มีเพียงลมปากอยา งเดียวเทา นนั้ พอแสดงธรรมจบลงลมปากกห็ ายสูญไปใน ขณะน้ัน ไมอาจเหน่ยี วร้งั ธรรมท่ีแสดงออกนนั้ ๆ ใหจ ิรงั ยั่งยนื สบื ไปไดเลย เพราะไมมี ปญ ญาสรา งธรรมใหจ ริ ังยง่ั ยืนไดดว ยวิธกี ารใดๆ ทเ่ี ห็นวา เหมาะสม จําตอ งอาศยั บุญ บารมีของทา นคณะศรัทธาผูใจบญุ ทง้ั หลาย ชว ยเสรมิ สรางความจริ ังถาวรแหงธรรม ดว ยการรวมกนั บริจาคและจดั พิมพเ ปน เลมขนึ้ มา เพ่อื ทานผอู านไดอ าศัยพงึ่ รม เงาแหง ใบบุญหนุนโลกอนั ไมม ปี ระมาณนั้น ผแู สดงจงึ ขออนุโมทนากับทานทง้ั หลายเปนอยาง ยงิ่ มาพรอมนี้ บุญกุศลทง้ั มวลที่เกิดขน้ึ เพราะการบําเพ็ญนี้ จงสําเรจ็ ผลอันพงึ หวังดงั ใจ หมายโดยท่ัวกนั เทอญ บวั *คาํ อนโุ มทนาในการพมิ พเ ม่ือ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗

คาํ นาํ กอนอ่ืนตองขออภัยตอทานผอู านโดยทวั่ กัน ทไ่ี มอาจดัดแปลงแกไ ขเน้ือธรรม และสาํ นวนตา งๆ ใหเ หมาะสมกบั หนงั สือเลมนี้ ที่จะออกสูส ายตาสาธารณชนซง่ึ มคี วาม รสู กึ ในแงแ หง ธรรมหนักเบาตา งกัน เนือ่ งจากการแสดงธรรมแตล ะกัณฑแ กทา นผูฟง ซ่ึงลวนเปนนักปฏิบัติธรรมดวยกนั ประสงคอยากฟงธรรมะปา ที่เก่ียวกบั ภาคปฏบิ ตั ิจิต ภาวนามากกวาภาคอน่ื ๆ ผแู สดงซึ่งเปน พระปา ๆ อยูแลว จึงเรม่ิ แสดงธรรมะปาโดย ลําดับ ตามนิสยั ปา แตก ัณฑเ รมิ่ แรกจนถงึ กณั ฑสุดทา ยซ่ึงรวมการเทศนตดิ ตอกนั มา โดยลําดบั ในชว งน้นั คงไมต า่ํ กวา ๘๐ กัณฑ ซึ่งสว นมากมกั เปนธรรมเผด็ รอน มากกวา จะสมนํา้ สมเนื้อ เทา ท่ีควร หลังจากการแสดงธรรมผา นไปแลว เปน ปๆ จึงมีทา นผศู รทั ธา คอื ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี มาแสดงความประสงคข ออนญุ าตพิมพก ณั ฑเทศนเ หลา น้ี ขนึ้ เปนเลมเพื่อ แจกทาน และประสงคใหกัณฑเ ทศนเ หลา น้ี ท่ีพิมพเ ปน เลม แลว จิรงั ยงั่ ยืนไปนาน จงึ ได อนญุ าตตามอธั ยาศัย โดยไมม ีหนทางแกไขกณั ฑเทศนเหลานใี้ หเ หมาะสมแกทา นผอู า น ทัว่ ๆ ไปไดแ ตอ ยางใด ถา เรือ่ งใดประโยคใดไมเ หมาะสมกับจริตนสิ ัย ก็กรุณาผา นไป ยึดไวเ ฉพาะทเ่ี หน็ วาควรแกน ิสยั ของตนๆ เพอื่ ประโยชนใ นกาลตอไป หนงั สือทผี่ เู ขยี นเรียบเรียงขึน้ หวงั ใหทุกทา นทมี่ ีจิตศรทั ธาไดเปนเจา ของพมิ พ แจกเปนธรรมทานดวยกันไดท กุ โอกาส โดยไมตองขออนุญาตแตอยา งใด สวนการ พมิ พเพอ่ื จําหนา ย จึงขอสงวนลขิ สทิ ธ์ิ ทกุ ๆ เลม ไป ดงั ทีเ่ คยปฏบิ ัติมา บวั *คาํ นําในการพมิ พเมอื่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗

ภาค ๑ ''เรา กบั กิเลส'' รปู เน่อื งในวันครบรอบวันละสังขารของทา นพอ ลี ธมั ธโร ณ วัดอโศการาม ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ รูปจาก www.watpa.com



๑ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เม่ือวันที่ ๒ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ โลกในเรือนจาํ กบั โลกนอก จติ ถา เราจะเทยี บทางโลกแลว ก็เปนผูตองขังมาตลอดเวลา เหมือนคนที่เกิดอยูใน เรอื นจาํ โดยอยใู นเรอื นจาํ ในหองขัง ไมมีวันออกมาดูโลกภายนอก อยูแตในหองขังตั้งแต เลก็ จนโต จงึ ไมท ราบวา ภายนอกเขามอี ะไรกนั บา ง ความสุขความทกุ ขกเ็ ห็นกันอยแู ตภาย ในเรอื นจาํ ไมไดออกมาดูโลกภายนอกเขา วา มคี วามสขุ ความสบาย และมีอิสระกันอยาง ไรบา ง ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ การไปมาหาสู เขาไปแบบไหน มาอยางไร อยูอยางไรกัน โลก ภายนอกเขามคี วามเปนอยูกนั อยางไร ไมมีทางทราบได เพราะเราถกู คมุ ขงั อยใู นเรอื นจาํ มาต้งั แตว ันเกดิ จนถงึ วันตาย นเ่ี ปน ขอ เปรยี บเทยี บ เทยี บเคยี ง ความสขุ ความทุกข กเ็ ทาทมี่ อี ยูในน้ัน ๆ ไมมีอะไรเปนพิเศษ ไมมีอะไรที่ไดไปจาก โลกภายนอก เมอ่ื กลบั เขา ไปสภู ายในเรอื นจาํ พอไดเ หน็ วา นี่เปน สง่ิ ทแี่ ปลกจากโลกใน เรอื นจาํ สิ่งนี้มาจากโลกนอก คือนอกเรือนจํา เอามาเทยี บเคยี งกนั พอใหท ราบวา อนั นเ้ี ปน อยางน้ี อนั นน้ั เปน อยา งนน้ั อนั น้ีดีกวาอนั นน้ั อนั นน้ั ดกี วา อนั น้ี อยางนี้ไมมี เพราะไมมสี ิ่ง ใดเขาไปเกี่ยวของ มีแตเรื่องของเรือนจํา สุขหรือทุกขมากนอยเพียงใด ขาดแคลนลาํ บาก ลาํ บน ถูกกดขี่บังคับขนาดไหน ก็เคยเปนมาอยางนั้นตั้งแตดั้งเดิม เลยไมท ราบจะหาทาง ออกไปไหน จะปลดเปลื้องตนไปไดอยางไร ดว ยวธิ ใี ด แมจะออกไปโลกนอก โลกนอกก็ไม ทราบอยทู ไ่ี หน เพราะเหน็ แตโ ลกในคอื เรอื นจาํ ที่ถูกควบคุมอยูตลอดเวลา และถูกกดขี่ บงั คบั เฆี่ยนตีกัน ทรมานกันอยอู ยา งน้ัน อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ ตลอดถึงที่นอน หมอนมุง อาหารปจ จยั ที่อยูอาศัยทุกสิ่งทุกอยาง อยูในลักษณะของนักโทษในเรือนจําทั้ง หมด เขาก็อยูกันไปได เพราะไมเ คยเหน็ โลกนอกวา เปน อยา งไร พอที่จะเอาไปเทียบเคียง วา อันใดดีกวา อันใดมีสุขกวากันอยางไรบาง พอที่จะมีแกใจอยากเสาะแสวงหาทางออกไป สูโ ลกภายนอก จติ ทถ่ี กู ควบคมุ จากอาํ นาจแหง กเิ ลสอาสวะทง้ั หลายกเ็ ปน เชน นน้ั คือถูกคุมขังอยู ดว ยกเิ ลสประเภทตา ง ๆ ตั้งแตกัปไหนกัลปไหน เชน เกดิ มาในปจ จบุ นั น้ี กเิ ลสทเ่ี ปน เจา อาํ นาจบนหวั ใจสตั วน น้ั มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ถูกคุมมาเรื่อย ๆ ไมเ คยไดเ ปน อสิ ระภายในตวั บา งเลย จงึ ยากทเ่ี ราจะคาดไดว า ความสขุ ทน่ี อกเหนอื ไปจากสง่ิ ทเ่ี ปน อยใู นเวลานน้ี น้ั คือ ความสุขอยางไรกัน เชน เดยี วกบั คนทเ่ี กดิ ในเรอื นจาํ และอยูม าตลอดเวลา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑

๒ โลกนอกเปนโลกยังไง ? นา ไปและนา อยไู หม ? ธรรมทานประกาศสอนอยูปงๆก็ ไมคอยสนใจกัน แตยงั ดที ี่ผูส นใจยงั มีอยูบ างบางแหงบางสถานท่ี ทไี่ หนไมม ีใครประกาศ ไมมีใครพูดถึงเลยวาโลกนอก คือจิตที่มีธรรมครองใจนั้นเปนอยางไร ไมมีใครพูดใหฟง จงึ ไมท ราบวา ศาสนธรรมเปน อยา งไร ความสขุ ทีเ่ กดิ ข้นึ จากอรรถจากธรรมเปนอยางไร มืด แปดทิศ ติดแบบจมดิ่งไมมีวันฟู พอมองเหน็ อวยั วะสว นใดสว นหนง่ึ บา งเลย เพราะไมมี ศาสนาชว ยฉดุ ลาก เหมอื นวา “โลกนอก” ไมป รากฏเลย มแี ตเ รอื นจาํ คอื กเิ ลสควบคมุ ใจ เทา นน้ั เกดิ มาในโลกนม้ี แี ตเ รอื นจาํ เปน ทอ่ี ยอู าศยั ทเ่ี ปน ทต่ี าย อยูนี่ตลอดไป จติ ใจไมเ คยทราบวา อะไรทพ่ี อจะใหค วามสขุ ความสบาย ความเปน อสิ ระยง่ิ กวา ท่ี เปน อยเู วลาน้ี ถาจะเทียบเขาไปอีกแงหนึ่งก็เหมือน “เปด ” เลน นาํ้ อยใู ตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น แชะๆๆๆๆ อยูอยางนั้น สกปรกโสมมขนาดไหนมันก็พอใจเลน เพราะมนั ไมเ คย เหน็ นาํ้ มหาสมทุ รทะเล ไมเ คยเหน็ นาํ้ บงึ นาํ้ บอ ทก่ี วา งขวางพอทจ่ี ะแหวกวา ย หวั หางกลาง ตวั ไดอ ยา งสะดวกสบาย มนั เหน็ แตน าํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น ที่เขาลางสิ่งของลงไปขังอยูเทา นน้ั มนั กไ็ ปเทย่ี วเลน และถอื วา สนกุ สนาน แหวกวา ยของมนั อยา งสะดวกสบายรน่ื เรงิ เพราะเหตไุ ร ? เพราะมนั ไมเ คยเหน็ นาํ้ ทก่ี วา งขวางหรอื ลกึ ยง่ิ กวา นน้ั พอที่จะใหเกิดความ รน่ื เรงิ บนั เทงิ เกดิ ความสขุ ความสบายแกก ารไปมา หรอื การแหวกวา ย หวั หางกลางตวั สะดวกสบายกวา นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น สวนเปดทอ่ี ยตู ามลาํ คลองอันกวางลึกนั้น ผิดกันกับเปดใตถุนบาน มนั สนกุ สนาน รน่ื เรงิ เท่ียวไปตามหวยหนองคลองบึง เจาของไลไปเที่ยวที่ไหนมันก็ไป ตามถนนหนทาง ขามไปมา โอโห ! แผก ระจายกันเปน ฝูง ๆ เปน รอย ๆ เปนพัน ๆ เปดพวกนี้ยังพอมี ความสขุ บา ง นี่ไดแกอะไร ? ถา เทียบเขา มากไ็ ดแก “จติ ” ทไ่ี มเ คยเหน็ ความสขุ ความสบาย ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากอรรถจากธรรม ซง่ึ เปน เชน เดยี วกบั เปด ทเ่ี ลน นาํ้ ใตถ นุ บา นใตถ นุ เรอื น และ จาํ พวกทเ่ี พลนิ เลน นาํ้ ในลาํ คลอง หรอื ในบงึ บางตา ง ๆ นน้ั แล พวกเรามคี วามสขุ ความรน่ื เรงิ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสบงั คบั บญั ชาอยเู วลาน้ี ซึ่ง เหมอื นกบั ความสขุ ของนกั โทษในเรอื นจาํ นน้ั แล เมอ่ื “จติ ” ไดรับการอบรมจากโลกนอก หมายถงึ ธรรม ซึ่งออกมาจากโลกุตรธรรม มาจากดนิ แดนนพิ พาน ลงมาโดยลาํ ดบั ๆ จน กระทั่งถึงมนุษยโลก ทานชี้แจงไวหมดชั้นหมดภูมิทีเดียว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒

๓ ผูมีอุปนิสัยมีความสนใจตอโลกนอก ตอความสขุ ทยี่ ่งิ ไปกวาความเปน อยเู วลานม้ี ี อยู เมอ่ื ไดย นิ เสยี งอรรถเสยี งธรรมและอา นตามตาํ รบั ตาํ ราเกย่ี วกบั โลกนอก คอื เรอ่ื งอรรถ เรอ่ื งธรรม เรอื่ งความปลดเปลื้องความทุกขค วามทรมาน ท่ถี ูกบังคบั ขบั ไสอยูภายในใจโดย ลาํ ดบั จติ ใจกม็ คี วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ มีความพออกพอใจสนใจอยากฟง สนใจอยากประพฤติ ปฏิบัติ จนปรากฏผลขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา นน่ั แหละเรม่ิ เหน็ กระแสแหง โลกนอกพาดพงิ เขา มาแลว จิตใจก็มีความดิ้นรนที่จะพยายามแหวกวายออกใหพนจากความกดขี่บังคับซึ่งมี อยภู ายในใจ อนั เปรยี บเหมอื นนกั โทษในเรอื นจาํ ยิ่งไดปฏิบัติทางดานจิตใจมีความสงบขึ้นเพียงไร ความตะเกียกตะกาย ความ อุตสาหพยายามก็ยิ่งมากขึ้น ๆ สติปญญาก็คอยปรากฏขึ้นมา เหน็ โทษแหง การกดขี่บังคับ ของกเิ ลสภายในใจ เห็นคุณคาแหงธรรมอันเปนเครื่องปลดเปลื้องไดมากนอยเพียงไร ก็ เปน ความสบายภายในใจ เบาอกเบาใจ ซึ่งเปน เคร่อื งเพม่ิ ศรทั ธาข้ึนโดยลําดับ ความ อุตสา หพ ยายามความอดทนเกดิ ขึน้ ตาม ๆ กัน สติปญญาที่เคยนอนจมปลักอยูอยางแต กอน ก็คอยฟนตัวตื่นขึ้นมา และคน คดิ พจิ ารณา แมส ง่ิ เหลา นจ้ี ะเคยเปน ขา ศกึ มานมนาน และกระทบกระเทือนกันอยูทั้งวันทั้งคืน แตไ มเ คยสนใจ ก็เกิดความสนใจขึ้นมา อะไรมากระทบกระเทือนทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ซึ่งแตกอนก็เหมือนคนตาย ถือเปนธรรมดา ๆ ไมสะดุงสะเทือนสติปญญาพอใหไดคิด คน หาเหตผุ ลตน ปลายบา งเลย แตเ มอ่ื ใจเรม่ิ เขา กระแสแหง ธรรมทไ่ี ดร บั การอบรม จน เปนพื้นเพแหงสติปญญาไปโดยลําดับ ยอมจะเห็นทั้งโทษทั้งคุณประจักษใจ เพราะเปนของ มีอยูดวยกันทั้งโทษทั้งคุณภายในใจดวงนี้ จติ ใจกม็ คี วามคลอ งแคลว ในการคดิ การ พจิ ารณา ใจจะเกดิ ความอาจหาญ ขุดคนเห็นทั้งโทษ พยายามแก เหน็ ทง้ั คณุ พยายาม แหวกวา ย พยายามสง เสรมิ ไปโดยลาํ ดบั นี่เรียกวาจิตคอยปลดเปลื้องจากสิ่งกดขี่บังคับ คือเรอื นจําภายในออกไดโ ดยลาํ ดับ ทั้งมองเห็นโลกนอกอีกดวยวาโลกนอกเปนโลกอยางไร เหมอื นเรอื นจาํ ทม่ี อี ยเู วลานไ้ี หม ? ตาก็พอมองเห็นโลกนอกบางวาทานซึ่งอยูโลกนอกทานเปนอยูอยางไร ไปมาหากันอยางไร เราเปน อยอู ยา งไรภายในเรอื นจาํ ความเปน อยภู ายใตก เิ ลสครอบงาํ นเ้ี ปน อยา งไร ความท่ี เบาบางจากกเิ ลสลงเปน ลาํ ดบั ๆ จติ ใจมคี วามรสู กึ อยา งไรบา ง ซึ่งพอเทียบกันได ทีนี้พอมีโลกนอก โลกใน เขา เทยี บกนั แลว คอื ความสขุ ความสบายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ แกกิเลสออกไดมากนอยก็ปรากฏ ความทุกขที่กิเลสยังมีคางอยูพาใหแสดงผลก็ทราบชัด ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓

๔ และเห็นโทษดวยปญญาเปน ขนั้ ๆ และพยายามแกไขอยูตลอดเวลา ไมลดละความ พากเพียร นี่แหละตอนที่สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรม่ิ หมนุ ตวั ออกแนวรบ ก็ตอนที่เห็น ทั้งโลกนอก คือความปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจไดมากนอย และเหน็ ท้งั โลกในทก่ี ิเลสกด ขบ่ี งั คบั มาเรอ่ื ย ๆ แตกอนไมทราบจะเอาอะไรมาเทียบ เพราะไมร ไู มเ หน็ เกิดขึ้นมาก็จม อยูในความทกุ ขทรมานอยา งนี้ ขน้ึ ชอ่ื วา ความสขุ นน้ั ไมปรากฏจากโลกนอกเลย คือ ไม ปรากฏจากอรรถจากธรรม การปรากฏกป็ รากฏแตค วามสขุ แบบทค่ี วามทกุ ขอ ยหู ลงั ฉาก ซงึ่ คอยจะมาเหยยี บ ยาํ่ ทาํ ลาย เพอ่ื ลบลา งความสขุ นน้ั ใหห ายไปโดยไมม เี วลานาฬกิ าเตอื นบอกเลย ทีนี้ไดรูได เหน็ บา ง ความสขุ ภายนอก คือจากโลกนอกของผูที่ธรรมครองใจนั้น กเ็ หน็ ความสขุ ภายใน เรอื นจาํ คือความสุขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น ความทุกขที่อยูใตอํานาจของกิเลสก็เห็น คือรูไดดวยสติปญญาของตัวเองประจักษใจ ความสุขที่เกิดขึ้นจากโลกนอก ไดแ กก ระแสแหงธรรมที่ซาบซึ้งเขาไปในจติ ใจ ก็ เหน็ พอเปน เครอื่ งเทียบเคียงกนั ไปโดยลาํ ดับ ๆ เหน็ โลกภายนอก โลกภายใน ทงั้ คณุ และ โทษนํามาประกอบเทยี บเคียงกนั กย็ ง่ิ ทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจ และความพากเพยี รความอด ทนมากขึ้น กระทั่งอะไรผานเขามาขึ้นชื่อวาเรื่องของกิเลส ซง่ึ เคยกดขบ่ี ังคับจิตใจแลว ตอง ตอสูกันทันที และแกไขปลดเปลื้อง หรือรื้อถอนกันโดยลําดับ ๆ ดวยอาํ นาจแหงสตปิ ญ ญา มคี วามเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ หลงั จิตใจจะหมุนไปเอง เมอ่ื ความเหน็ โทษมมี าก ความเหน็ คณุ กม็ มี าก เมอ่ื ความอยาก รอู ยากเหน็ ธรรมมมี าก และความอยากหลุดพนมีมากเพียงไร ความพากเพียรก็ตองมาก ขึ้นไปตาม ๆ กัน แมความอดความทนก็ตาม ๆ กันมา เพราะมอี ยใู นใจดวงเดยี วกัน เหน็ โทษกเ็ หน็ ท่ีใจทงั้ ดวงน้นั แล ใจทง้ั ดวงเปนผเู ห็นโทษ แมเ หน็ คณุ กใ็ จทง้ั ดวงนน้ั เปน ผเู หน็ การทพ่ี ยายามแหวกวา ยดว ยวธิ ตี า ง ๆ ตามความสามารถของตน ก็เปนเรื่องของใจ ทั้งดวงจะเปนผูทําความพยายามปลดเปลื้องตนเอง เพราะฉะนน้ั สง่ิ เหลา นม้ี คี วามเพยี ร เปน ตน ที่เปนเครื่องมือของจิต เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ จึงมาพรอม ๆ กัน เชน ศรัทธา ความเชื่อตอมรรคตอผล ความเชื่อตอแดนพนทุกข วิริยะ ความพากเพยี รทจ่ี ะทาํ ตวั ให หลุดพนไปโดยลําดับ ขนั ติ ความอดความทน เพอื่ บึกบนึ ใหผ านพน ไปได ก็มาพรอม ๆ กัน สตปิ ญ ญา ทจ่ี ะใครค รวญไปตามแนวทาง อันใดถูกอันใดผิดก็มาตาม ๆ กัน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔

๕ ถา จะพูดตามหลกั ธรรมท่ที า นกลาวไว กเ็ รยี กวา “มรรคสมังค”ี คอ ยรวมตัวกนั เขา มาอยใู นใจดวงเดยี วน้ี อะไรก็รวมเขามา สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั โป สมั มาวาจา สมั มา กมั มนั โต ตลอดถงึ สมั มาสมาธิ ก็รวมเขามาอยใู นจติ ดวงเดยี วน้ที ัง้ มวล ไมไปที่อื่น สัมมากัมมันตะ ก็มีแตเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเปนงานชอบ สัมมากัมมันตะ คือ งานชอบ เพราะเขา ถึงงานอนั ละเอียดท่ีใจรวมเขามา จิตเปน มรรคสมงั คี คอื มรรครวมตวั เขา มาสใู จดวงเดยี ว สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ไดแกเรื่องของปญญา คน ควา อยตู ลอด เวลา เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ เรอ่ื งตา ง ๆ ทป่ี รากฏหรือสมั ผสั เกิดขึ้นแลวดับไปทั้งดีทั้ง ชั่วทั้งอดีตและอนาคต ทข่ี น้ึ มาปรากฏภายในใจ สติปญญาเปนผูฟาดฟนหั่นแหลกไปโดย ลาํ ดบั ไมร อใหเ สยี เวลาํ่ เวลา สัมมากัมมันตะ การงานชอบทเ่ี กย่ี วกบั กาย ก็คือการนั่ง ภาวนาหรอื เดนิ จงกรม อนั เปน ความเพยี รละกเิ ลสในทา ตา ง ๆ ท่ีเกย่ี วกับทางใจก็คือวิริยะ ความพากเพยี รทางใจ สมั มาวาจา พูดกนั แตเรือ่ งอรรถเร่อื งธรรม การสนทนากนั กม็ แี ตเ รอ่ื ง “สลั เลข ธรรม” ธรรมเปน เครอ่ื งขดั เกลา หรือชําระลา งกเิ ลสอาสวะออกจากจติ ใจ วา เราจะทาํ ดว ย วิธีใดกิเลสจึงจะหมดไปโดยสิ้นเชิง นค่ี อื สมั มาวาจา สมั มาอาชวี ะ อารมณอันใดทเ่ี ปนขา ศึก ตอจิต เมอ่ื นาํ เขา มาเปน อารมณข องใจเรยี กวา “เลี้ยงชีพผิด” เพราะเปนขาศึกตอจิต จติ ตองมีความมัวหมองไมใชของดี ตองเปนทุกขขึ้นมาภายในใจมากนอยตามสวนแหงจิตที่มี ความหยาบละเอยี ดขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั นี่ก็ชื่อวา“เปน ยาพษิ ” เลี้ยงชีพไมชอบ ตองแกไขทัน ที ๆ อารมณของจติ ทเี่ ปน ธรรม อนั เปน ไปเพอ่ื ความรน่ื เรงิ เปน ไปเพอ่ื ความสขุ ความ สบายนน่ั แล คืออารมณท เี่ หมาะสมกบั จติ และเปน อาหารทเ่ี หมาะกบั ใจ ทาํ ใหใ จเกดิ ความ สงบสขุ การเลย้ี งชีพชอบจึงเลี้ยงอยางน้ี โดยทางธรรมขั้นปฏิบัติตอจิตเปนขั้น ๆ ขึ้นไป สว นการเลย้ี งชพี ชอบทางรา งกายดว ยอาหารหรอื บณิ ฑบาตนน้ั เปน สาธารณะสาํ หรบั ชาว พุทธทั่ว ๆ ไปจะพึงปฏิบัติใหเหมาะสมกับหนาที่ของตน ๆ สมั มาวายามะ เพียรชอบ เพียรอะไร ? นเ่ี รากท็ ราบ ทา นบอกเพยี รใน ๔ สถาน คือ พยายามระวงั ไมใ หบ าปเกดิ ขน้ึ ในตนหนง่ึ พยายามละบาปที่เกิดขนึ้ แลว ใหหมดไป การ ระวงั บาปตอ งระวังดว ยความมีสติ พยายามสาํ รวมระวงั อยา ใหบ าปเกดิ ขน้ึ ดว ยสติ คอื ระวงั จิตที่จะคิด เทย่ี วกวา นเอาความทกุ ขค วามทรมานเขา มาสจู ติ ใจนน่ั เอง เพราะความคดิ ความปรุงในทางไมดีนั้นเปนเรื่องของ “สมุทัย” จงึ พยายามระวังรักษาดวยดี อยา ประมาท ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕

๖ หนง่ึ พยายามเจรญิ สง่ิ ทเ่ี ปน กศุ ล เปน ความเฉลยี วฉลาด ใหมมี ากขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ หนง่ึ และเพยี รระวงั รกั ษากศุ ลทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ ยง่ิ ขน้ึ อยาใหเ ส่ือมไปหน่งึ “สมั มปั ปธาน ส่”ี ทท่ี า นวา กอ็ ยทู ต่ี วั เรานแ้ี ล “สัมมาสติ” กด็ อู ยูใ นใจของเราน่ี การเคลื่อนไหวไปมา ความระลกึ ความรตู วั น้ี รอู ยตู ลอดเวลา อะไรมาสัมผสั ทางตาทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย ไมเขาไปสูใจจะไปที่ไหน ใจเปน สถานทใ่ี หญโ ตคอยรบั ทราบเรอ่ื ง ราวตา ง ๆ ทั้งดีทั้งชั่วอยูตลอดเวลา ปญ ญาเปน ผวู นิ จิ ฉยั ใครค รวญ สตเิ ปน ผคู อยดตู รวจ ตราพาชอี ยเู สมอ ในเมื่ออะไรเขามาเกี่ยวของกับใจ เปน ดหี รอื เปน ชว่ั อารมณช นดิ ใด สติ ปญ ญาใครค รวญเลอื กเฟน ในอารมณต า ง ๆ ท่เี ขา มาเกย่ี วของกบั ใจ อันใดที่เห็นวาไมชอบ ธรรม จิตจะสลัดปดทิ้งทันที ๆ คือปญ ญาน่ันแหละเปนผทู าํ การสลดั ปดทิ้ง แนะ “สมั มาสมาธิ” การงานเพ่ือสงบกเิ ลสโดยสมาธิกม็ ่นั คงอยูตลอดเวลา จนปรากฏ ผลเปน ความสงบเยน็ แกใ จทพ่ี กั งานอยา งแทจ รงิ ไมมีความฟงุ ซานเขา มากวนใจในขณะนั้น ประการหนง่ึ ในขณะทีจ่ ะเขา สมาธิเปนการพักผอนจิต เพอ่ื เปนกําลังของปญญาในการคนควาตอ ไปก็พักเสีย พักในสมาธิ คอื เขาสคู วามสงบ ไดแ กห ยดุ การปรงุ การแตง การคดิ คน ควา ทาง ดานปญญาโดยประการทั้งปวง ใหจ ติ สงบตวั เขา มาอยอู ยา งสบาย ไมตองคิดตองปรุงอะไร ซึ่งเปนเรื่องของงาน พกั จติ ใหส บายโดยความมอี ารมณเ ดยี ว หากวา จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ ตอการพิจารณาไปมากจะยับยั้งไวไมได เรากเ็ อา “พุทโธ” เปน เคร่อื งฉุดลากเขามา ใหจ ติ อยูกับ “พุทโธ ๆๆ” คาํ บรกิ รรมกบั “พุทโธ” น้ี แมจะเปน ความคดิ ปรุงก็ตาม แตเปน ความคดิ ปรงุ อยู ในธรรมจดุ เดยี ว ความปรงุ อยใู นธรรมจดุ เดยี วนน้ั เปน เหตใุ หจ ติ มคี วามสงบตวั ได เชน คํา วา “พุทโธ ๆๆ” หากจติ จะแยบ็ ออกไปทาํ งานเพราะความเพลดิ เพลนิ ในงาน งานยังไม เสรจ็ เรากก็ าํ หนดคาํ บรกิ รรมนน้ั ใหถ ย่ี บิ เขา ไป ไมยอมใหจิตนี้ออกไปทํางาน คือจิตขั้นที่ เพลนิ กบั งานนน้ั มอี ยู ถาพูดแบบโลกกว็ า “เผลอไมได” แตจะวาจิตเผลอกพ็ ูดยาก การ พูดที่พอใกลเคียงก็ควรวา “รามือไมได” พูดงาย ๆ วายังง้นั เรารามอื ไมไ ด จิตจะตอง โดดออกไปหางาน ตอนนต้ี อ งหนกั แนน ในการบรกิ รรม บังคบั จิตใหอ ยกู ับอารมณอันเดยี ว คือ พุทโธ เปน เครอ่ื งยบั ยง้ั จติ กาํ หนด พุทโธ ๆๆๆ ใหถ่ยี บิ อยนู ั้น แลว พุทโธ กับจิตก็ เปน อนั เดยี วกนั ใจกแ็ นว สงบลง สงบลงไป กส็ บาย ปลอยวางงานอะไรทั้งหมด ใจก็เยือก เยน็ ขน้ึ มา นี่คือสมาธิที่ชอบ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๖

๗ ในขณะที่จะพักตองพักอยางนี้ ทา นเรยี กวา “สมั มาสมาธิ” เปนสมาธิชอบ พอสม ควรเหน็ วา ใจไดก าํ ลงั แลว เพียงปลอยเทานั้นแหละจิตจะดีดตัวออกทํางานทันทีเลย ดีด ออกจากความเปนหนง่ึ ความเปน อารมณอ นั เดยี วนน้ั แลวกเ็ ปน สองกับงานละทนี ี้ ใจ ทํางานตอไปอีก ไมหวงกับเรื่องของสมาธิในขณะที่ทํางาน ในขณะที่ทําสมาธิเพื่อความสงบ ก็ไมตองหวงกับงานเลยเชนเดียวกัน ขณะที่พักตองพัก เชน ในขณะทร่ี บั ประทานตอ งรบั ประทาน ไมตองทํางานอะไรทั้ง นน้ั นอกจากทาํ งานในการรบั ประทาน จะพกั นอนหลบั กน็ อนหลบั ใหส บาย ๆ ในขณะที่ นอนไมตองไปยุงกับงานอะไรทั้งสิ้น แตเ วลาทเ่ี ร่ิมทํางานแลว ไมต อ งไปยงุ ในเรือ่ งการกิน การนอน ตง้ั หนา ทาํ งานจรงิ ๆ นไ่ี ดช อ่ื วา ทาํ งานเปน ชน้ิ เปน อนั ทาํ งานเปน วรรคเปน ตอน ทาํ งานถกู ตอ งโดยกาลโดยเวลาเหมาะสมกบั เหตกุ ารณ เรยี กวา สัมมากัมมันตะ “สัมมากัมมันตะ” คือการงานชอบ ไมกาวกายกัน เปน งานทเ่ี หมาะสม เรื่องสมาธิปลอยไมได การปฏิบตั ิเพ่ือความร่นื เรงิ ของใจ การเหน็ วา “สมาธ”ิ อยู เฉย ๆ ไมเกิดประโยชนนั้นไมถูก ถาผูติดสมาธิไมอยากออกทํางานเลยอยางนั้น เหน็ วา ไม ถูกตองควรตําหนิ เพื่อใหผูนั้นไดถอนตัวออกมาทํางาน แตถ า จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ ในงาน แลว เรอ่ื งของสมาธกิ ม็ คี วามจาํ เปน ในดา นหนง่ึ ในเวลาหนง่ึ จนได คนเราทาํ งานไมพักผอ น นอนหลบั บางเลยนท้ี าํ งานตอ ไปไมได แมจ ะรบั ประทานอาหาร สมบตั เิ สยี ไปดว ยการรบั ประทานกใ็ หม นั เสยี ไป ผลที่ไดคือธาตุขันธมีกําลังจากการรับประทาน ประกอบการงาน ตามหนาที่ตอไปไดอีก เงนิ จะเสยี ไป ขา วของอะไรทน่ี าํ มารบั ประทานจะเสยี ไป ก็เสียไป เพื่อเกิดประโยชน เพอ่ื เปน พลงั ในรา งกายเราจะเปน อะไรไป ใหม นั เสยี ไปเสยี อยา งน้ี ไม เสยี ผลเสยี ประโยชนอ ะไร ถา ไมร บั ประทานจะเอากาํ ลงั มาจากไหน ตองรับประทาน เสยี ไป ก็เสียไปเพื่อกําลัง เพื่อใหเกิดกําลังขึ้นมา นี่การพักในสมาธิ ในขณะที่พักใหมีความสงบ ความสงบนัน้ แลเปนพลังของจิต ที่ จะหนุนทางดานปญญาไดอยางคลองแคลว เราตองพักใหมีความสงบ ถา ไมสงบเลยมแี ต ปญ ญาเดนิ ทา เดยี ว ก็เหมือนกับมีดไมไดลับหิน ฟนตุบ ๆ ตั๊บ ๆ ไมท ราบวา เอาสนั ลงเอา คมลง มแี ตค วามอยากรอู ยากเหน็ อยากเขา ใจ อยากถอนกิเลสโดยถายเดียว โดยที่ปญญา ไมไดลับจากการพักสงบ อนั เปน สง่ิ ทห่ี นนุ หลงั ใหเ ปน ความสงบเยน็ ใจ ใหเปนกําลังของใจ แลวมันก็เหมือนกับมีดที่ไมไดลับหินนะซี ฟนอะไรก็ไมคอยขาดงาย ๆ เสยี กาํ ลงั วงั ชาไป เปลา ๆ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๗

๘ เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ความเหมาะสม ในขณะที่พักสงบจิตในเรือนสมาธิตองใหพัก การ พักผอนจึงเหมือนเอาหินลับปญญานนั่ เอง การพักธาตุขันธ คือสกลกายก็มีกําลัง การพัก จติ จิตก็มีกําลังดวย พอมีกําลังแลว จิตออกคราวนี้ก็เหมือน “มดี ไดล บั หนิ แลว ” อารมณอ นั เกา นน้ั แล ปญ ญาอนั เกา นน้ั แล ผพู จิ ารณาคนเกา นน้ั แล แตพอกาํ หนดพจิ ารณาลงไป มันขาดทะลุไป เลย คราวนเ้ี หมอื นกบั คนทพ่ี กั ผอ นนอนหลบั รบั อาหารใหส บาย ลบั มดี พรา ใหเ รยี บรอ ย แลว ไปฟนไมทอนนั้นแล คน ๆ นน้ั มีดก็เลมนั้น แตมันขาดไดอยางงายดาย เพราะมีดก็ คม คนก็มีกําลัง นอ่ี ารมณก อ็ ารมณอ นั นน้ั แล ปญญาก็ปญญาอันนั้นแล ผปู ฏบิ ตั คิ นนน้ั แล แตได “ลบั หนิ ” แลว กําลังของจิตก็มีแลวเปนเครื่องหนุนปญญา จึงแทงทะลุไปไดอยางรวดเร็ว ผิดกับตอนไมไดพักในสมาธิเปนไหน ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิกับเรื่องของปญญา จงึ เปนธรรมเก่ยี วเนอ่ื งกนั เปน แต เพยี งทาํ งานในวาระตา ง ๆ กนั เทา นน้ั วาระทจ่ี ะทาํ สมาธกิ ท็ าํ เสยี วาระนจ้ี ะพจิ ารณาทาง ดา นปญ ญาใหเ ตม็ อรรถเตม็ ธรรม เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เต็มสติกําลัง พจิ ารณาลงไปใหเ ตม็ เหตุเตม็ ผล เวลาจะพักก็พักใหเต็มที่เต็มฐานเหมือนกัน ใหเ ปน คนละเวลาไมใ หก า วกา ยกนั แบบทัง้ จะพิจารณาทางดา นปญ ญา ท้ังเปนหว งสมาธิ เวลาเขา สมาธแิ ลว กเ็ ปน อารมณก บั เรื่องปญญา อยางนี้ไมถูก จะปลอยทางไหน จะทาํ งานอะไรใหท าํ งานนน้ั จรงิ ๆ ใหเ ปน ชน้ิ เปนอัน นี่ถูกตองเหมาะสม สมั มาสมาธิ กเ็ ปน อยา งนจ้ี รงิ ๆ เรื่องของกิเลสเปนเรื่องกดถวงจิตใจ จติ เรานเ่ี หมอื นเปน นกั โทษ ถูกกิเลสอาสวะทั้ง หลายครอบงาํ อยตู ลอดเวลา และบงั คบั ทรมานจติ ใจมาตลอดนบั แตเ กดิ มา เมื่อปญญาไดถอดถอนกิเลสออกโดยลําดับ ๆ แลว ใจกม็ ีความสวางไสวขน้ึ มา ความเบาบางของจติ กเ็ ปน คณุ อนั หนง่ึ ที่เกิดขึ้นจากการที่ถอดถอนสิ่งที่เปนภัย สงิ่ ที่สกปรก ออกได เรากเ็ หน็ คณุ คา อนั น้ี แลว พจิ ารณาไปเรอ่ื ย ๆ รวมแลว กิเลสอยูทไ่ี หน ภพชาติอยูที่ไหน กม็ อี ยทู ีใ่ จดวงเดียวน้แี หละ นอกนัน้ เปน กิ่งกานสาขา เชน ออกไปทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย แตตนของมันจริง ๆ อยู ที่ใจ เวลาพจิ ารณาสง่ิ เหลา นน้ั รวมเขา มา รวมเขา มาแลว จะเขา มาสจู ติ ดวงเดยี วน้ี “วฏั วน” ไมไดแกอะไร ไดแ กจ ติ ดวงเดยี วนเ้ี ปน ผหู มนุ ผเู วยี น เปน ผพู าใหเ กดิ ใหต ายอยเู ทา น้ี เพราะ อะไร ? เพราะเชอ้ื ของมันมีอยูภายในใจ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘

๙ เมอ่ื ใชส ตปิ ญ ญาพจิ ารณาคน ควา เหน็ ชดั และตดั เขา มา ๆ เปน ลาํ ดบั ๆ จนเขาถึงจิต ซง่ึ เปน ตวั การ มี “อวิชชา” ซึ่งเปนสง่ิ สําคัญมากทเี่ ปนเช้อื “วฏั ฏะ” อยภู ายในใจ แยกลง ไปพิจารณาลงไป ๆ ไมใหมีอะไรเหลืออยู วา นค้ี อื นน้ั นน้ั คอื นน้ั กําหนดพจิ ารณาลงไปที่ จติ เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทว่ั ๆ ไป แมใ จจะมคี วามสวา งไสวขนาดไหนกต็ าม ก็พึงทราบวา นี้เปน เรอื นใจท่ีพอพักอาศยั ไปชว่ั กาลชว่ั เวลาเทา นน้ั หากยงั ไมสามารถพจิ ารณาใหแตกกระจายลงไปได แตเ ราอยา ลมื วา จิตทีม่ คี วามเดนดวงนี้แลคืออวิชชาแท ใหพ จิ ารณาเอาอนั นน้ั แหละเปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา เอา ! อันนจี้ ะสลายลงไปจนหมดความรไู มมีอะไรเหลือ กระทั่ง “ผรู ”ู จะฉบิ หาย จมไปดว ยกันกใ็ หรูเสยี ที เราพจิ ารณาเพอ่ื หาความจรงิ เพอ่ื รคู วามจรงิ ตองใหลงถึงเหตุถึง ผลถึงความจริงทุกสิ่งทุกอยาง อะไรจะฉิบหายลงไปก็ใหฉบิ หาย แมที่สุด “ผรู ”ู ที่กําลัง พจิ ารณาอยนู จ้ี ะฉบิ หายไปตามเขา ก็ใหรูดวยสติปญญา ไมต อ งเหลอื ไวว าอะไรเปน เกาะ เปน ดอนหลอกเรา อะไรเปน เรา อะไรเปน ของเรา ไมม เี หลอื ไวเ ลย พจิ ารณาลงไปใหถ ึง ความจริงไปดวยกันหมด สง่ิ ทเี่ หลือหลงั จากกิเลส “อวิชชา” ทถ่ี กู ทาํ ลายลงโดยสน้ิ เชงิ แลว นน้ั แล คือสิ่งที่ หมดวิสัยของสมมุติที่จะเอื้อมเขาถึงและไปทําลายได นน้ั แลทา นเรยี กวา “จติ บรสิ ทุ ธ์ิ” หรอื “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ ธรรมชาติแหงความบรสิ ทุ ธิน์ ไี้ มม อี ะไรทําลายได กิเลสเปนสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้นไดดับได เพราะฉะนัน้ จึงชาํ ระได มีมากขึ้นได ทาํ ใหล ด ลงได ทําใหหมดสิ้นไปก็ได เพราะเปนเรื่องของสมมุติ แตจ ติ ลว น ๆ ซง่ึ เปน ธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา “จิตตวิมุตต”ิ แลว ยอ มพน วิสยั แหงกิเลส ทั้งมวลอันเปนสมมุติจะเอื้อมเขาถึงและทําลายได ถายังไมบริสุทธิ์มันก็เปนสมมุติเชนเดียว กบั สง่ิ ทง้ั หลาย เพราะสงิ่ สมมุตนิ น้ั แทรกตัวอยูในจติ เมื่อแกนี้ออกจนหมดแลว ธรรมชาติท่ี เปน วมิ ตุ ตนิ แ่ี ล เปน ธรรมชาตทิ ก่ี เิ ลสใด ๆ จะทําอะไรตอไปไมไดอีก เพราะพน วสิ ยั แลว แลว อะไรฉบิ หาย ? ทุกขก็ดับไปเพราะสมุทัยดับ นิโรธความดับทุกขก็ดับไป มรรคเครอ่ื งประหารสมทุ ยั ก็ดับไป สัจธรรมทั้งสี่ดับไปดวยกันทั้งนั้น คือ ทุกขก็ดับ สมุทัยก็ดับ มรรคก็ดับ นิโรธก็ดับ แนะ ! ฟงซิ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙

๑๐ อะไรท่รี ูวา “ส่ิงนน้ั ๆ ดับไป” นน่ั แลคอื ผไู มใ ชส จั ธรรม ผนู ผ้ี เู หนอื สจั ธรรม การ พจิ ารณาสจั ธรรม คอื การพจิ ารณาเพอ่ื ผนู เ้ี ทา นน้ั เมื่อถึงตัวจริงนี้แลว สัจธรรมทั้งสี่ก็หมด หนาที่ไปเอง โดยไมตองไปชําระ ไมตองไปแกไข ไมตองไปปลดเปลื้อง เชน ปญ ญาเรา ทาํ งานเตม็ ทแ่ี ลว ปญ ญาเราปลอ ยได ไมตองมีกําหนดกฎเกณฑ สติก็ดี ปญญาก็ดี ที่เปน เครอ่ื งรบ พอสงครามเลิก ขาศึกหมดไปแลว ธรรมเหลา นกี้ ็หมดปญหาไปเอง นน่ั อะไรเหลืออยู ? กค็ อื ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แหละ พระพุทธเจาที่ทรงประกาศธรรมสอน โลก ก็เอาจากธรรมชาติทบี่ รสิ ุทธิน์ ี้แลไปสอน ศาสนธรรมออกจากธรรมชาติอันนี้ และ อบุ ายแหง การสอน ตองสอนทั้งเรื่องของทุกข เรื่องของสมุทัย ของนโิ รธ ของมรรค เพราะ อาการเหลา นน้ั เปน อาการเกย่ี วขอ งกบั จติ ดวงน้ี ใหรวู ิธีแกไ ข รวู ธิ ดี บั รวู ิธีบําเพ็ญทกุ สิ่งทุก อยา ง จนถงึ จดุ หมายปลายทาง อันไมตองพูดอะไรตอไปอีกแลว ไดแกค วามบรสิ ทุ ธิ์ จติ ออกสูโลกนอกแลวทีนี้ ออกจากเรอื นจาํ แลว ไปสโู ลกนอกคอื ความอสิ รเสรี ที่ไมตองถูกคุม ขังอีกแลว แตโลกนี้ไมม ใี ครอยากไปกนั เพราะไมเ คยเหน็ โลกนเ้ี ปน โลกสาํ คญั “โลกุตระ” เปนแดนสงู กวาโลกทวั่ ไป แตเ ราเพยี งวา “โลกนอก” นอกจากสมมุติทั้งหมด เรยี ก “โลก” ไปยังงั้นแหละ เพราะโลกมีสมมุติก็วากันไปอยางนั้น ใหพิจารณาออกจากที่คุมขังนี้ ซิ เกิดก็เกิดในที่คุมขัง อยูก็อยูในที่คุมขัง ตายก็ตายในที่คุมขัง ไมไดตายนอกเรือนจําสักที เอาใหใจไดออกนอกเรือนจําสักทีเถิด จะไดแ สนสบาย ๆ ดังพระพุทธเจาและสาวกทั้ง หลายทา น ทา นกเ็ กดิ ในเรอื นจาํ เหมอื นกนั แตทานออกไปตายนอกเรือนจํา ออกไปตาย นอกโลก ไมไ ดตายอยูใ นโลกอนั คบั แคบน้ี ขอยุติการแสดง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐

๑๑ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เม่อื วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ วฏั จกั ร ปญหาของโลกในปจจุบันนี้ที่มีมากก็คือปญหาที่ “ตายแลว เกดิ ” ดูจะมีนอย “ตาย แลว สญู ” รูสึกวาจะมีมากขึ้นทุกที ซึ่งเปนปญหาใหญตอจิตใจของนักเกิดนั่นแหละ การเขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั กค็ อื เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ขา ใจ ไมใ ชค วามจรงิ พาใหเ ขา ใจ ผเู ชอื่ ความสาํ คญั ของกเิ ลสจงึ ทาํ ผดิ เรอ่ื ย ๆ แลว ก็ “เกิด” ไมหยุด ทุกขไมถอย ไมมี เวลาลดนอ ย เพราะความคิดเชน นน้ั เปนการสง เสรมิ กิเลสและกองทุกขท งั้ สนิ้ คนทเ่ี ขา ใจวา ตายแลว สญู นน้ั ยอ มไมค ดิ เตรยี มเนอ้ื เตรยี มตวั เพอ่ื อนาคต เพราะหมดหวงั แลว ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เปนไป ทไ่ี ดป ระสบพบเหน็ ตา ง ๆ ทั้ง ๆ ทเ่ี ราไมห วังก็ ตามมีอยู และสิ่งสําคัญที่มีอยูขณะนี้คือมีอยูทุกขณะก็คือใจ ปญ หานจ้ี งึ เปนปญ หา “เพชฌฆาต” เกิดขึ้นมาเพื่อทําลายตัวเองโดยแท การทําลายตัวเองไปในตัวไมมีชิ้นดีแฝง อยบู า งเลยนน้ั จดั วา เปน คนหมดหวงั ราวกบั โลกทห่ี มดหวงั ไมม ใี ครชวยไดน ้นั เอง ผทู ม่ี คี วามเขา ใจวา ตายแลว เกดิ ยอ มมกี ารระมดั ระวงั ตวั และกลวั บาป โดยคิด วา ถา เกดิ แลว จะเปน อยา งไร หากวา เราทาํ ไมด เี สยี อยา งน้ี เวลาไปโดนความทกุ ขเ ขา ในเวลา ไปเกิดใหม ก็จะไดรับสิ่งที่ไมพึงใจทั้งหลายเปนเครื่องตอบแทน ซ่ึงเปน สิง่ ทีไ่ มปรารถนา อยางยิ่ง แลวก็ไมกลากระทํา เพราะอยางไรเสียจิตก็ตองไปเกิดอีกดวยผลแหงกรรมนั้น ๆ ผูนี้จึงมักมีความระมัดระวังและขยะแขยงตอสิ่งที่ไมดีไมพึงปรารถนา และก็ไมกลาทําลงไป แตพ วกทเ่ี ชอ่ื วา ตายแลว สญู นน้ั รสู กึ จะเหน็ วา สญู ไปโดยประการทง้ั ปวง ในเรอ่ื ง บาปเรื่องบุญคุณโทษอะไรทั้งหมด พอยังมลี มหายใจอยเู ทาน้นั เมอ่ื สน้ิ ลมหายใจแลว ก็ หมดหวงั ไมมีความดี ความสุขสนองตอบ นอกจากความทุกขความไมดีที่ตนเขาใจวาไมมี เทา นน้ั จะใหผ ลแกผ นู น้ั การทาํ บญุ ทําบาปจงึ ไมมคี วามหมายอะไรทง้ั สนิ้ กับเขา นอกจาก เปน ความตอ งการในปจ จบุ นั จะทําอะไรก็ทําตามใจชอบ ผิดหรือถูกไมคํานึง ผมู คี วามคดิ เชนนี้ไดชื่อวาทําลายตนเองไปในตัวทุกระยะที่คิดและทําลงไป ในหลักธรรมของพระพุทธเจาก็มีไว คือเจา ทฐิ ติ า ง ๆ ซง่ึ มาสนทนาธรรมกบั พระ พุทธเจา สตั วต ายแลว สญู บา ง ตายแลว เกดิ บา ง ทุกสิ่งทุกอยางเที่ยงบาง สตั วที่เคยเกดิ เปน ชนิดใดก็ตองเกิดเปนชนิดนั้นบาง เชน ใครเคยเกดิ เปน คนกต็ อ งเปน คนเรอ่ื ยไป เที่ยงตอ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๑

๑๒ กําเนิดของตนที่เคยเกิดเปนอะไร กลายเปนความเท่ยี งไปหมด น่ีก็เปน เรื่องของความ สาํ คญั ไมใชความจริงซ่งึ มีอยใู นสันดานของสัตวเ ต็มโลก เร่ืองของกเิ ลสเปนส่งิ ท่นี ากลวั มาก เม่อื พิจารณาและเรียนเรือ่ งของกเิ ลสซึง่ มีอยู ภายในใจของเรา ดว ยหลกั ธรรมเปน เครอ่ื งพสิ จู นโ ดยลาํ ดบั แลว เราจะยง่ิ เหน็ กเิ ลสเปน สง่ิ ทน่ี า กลวั มาก เพราะแทบทกุ สิ่งซ่งึ เปน เครอ่ื งหลอกลวงจากกิเลส อนั ทาํ ใหส ตั วเ ปน ภยั เสมอ ไป แทบจะพูดไดวา ทุกระยะทีเ่ ปน ความกระซิบกระซาบ เปน ความบงั คบั บญั ชา อาํ นาจมาก อํานาจนอย มักมีอยูกับกิเลสทั้งสิ้น จติ ใจเราก็คลอยตามมัน คลอยตามมันจนลืมตัว วา คดิ เชนนั้นเปนสิ่งถูกตองไปหมด แมที่ไมนาเชื่อก็เชื่อไปเลย ทเ่ี รยี กวา “ลืมตัวอยางมืดมิด” ไมท ราบไดว าส่ิงทคี่ ดิ นน้ั เปน ทางถกู หรอื ทางผดิ เพราะเคยเช่อื ธรรมชาตทิ ่ีพาใหงมงายนี้มา นานแลว กเิ ลสเปน ธรรมชาตทิ ไ่ี มม คี า สาํ หรบั ผทู ม่ี คี า และความเปน ผมู คี ณุ คา คอื ตวั เรา จงึ ตองระวังเสมอ การท่ีจะพิสจู นเรอื่ งเกดิ เรื่องตายนี้ เราจะพสิ จู นอ ยา งไร ? ไปเรียนท่ีไหนไมสน้ิ ไม สดุ และกไ็ มส ามารถทจ่ี ะระงบั ดบั ความสาํ คญั อนั ดน เดาเหลา นน้ั ได นอกจากการปฏิบัติตอ จติ ใจโดยเฉพาะ คือ “จติ ตภาวนา” งานน้เี ปนทางตรงแนว ตอความจริงที่จติ จะพงึ ทราบ จิตจะตองทราบดว ยวิธีน้ีแนน อน เพราะปราชญท งั้ หลายมีพระพทุ ธเจาเปนตน ทรงทราบ จากวธิ นี เ้ี ปน หลกั ใหญ การคิดตรองตองมี “จติ ตภาวนา” เปน หลกั ยืนตัว จงึ จะสามารถเขา ถงึ ความ จรงิ อยางอื่นไมมีทางทราบได จะเรยี นมากเรยี นนอ ยกต็ าม แตไมไดประมาทเพราะการ เรยี นไมใ ชก ารชาํ ระกเิ ลส เปน การจดจาํ เอาตามการเรยี นมาเฉย ๆ แตกเิ ลสกเ็ ปน กเิ ลสอยู โดยดี ถา เราไมแ กก เิ ลส กเิ ลสกม็ อี ยเู ตม็ หวั ใจตามเดมิ ราวกบั คนไมเ รยี นไมล ะกเิ ลสนน่ั แล เหมอื นอยา งเขาสรา ง “แปลนบา นแปลนเมอื ง” จะทําแปลนไดกี่มากนอยมันก็เปน แปลนอยเู ปลาดี ๆ นน่ั แหละ ถาเราไมล งมือทํามันกไ็ มเปน ตัวบานตัวเรอื นขึน้ มาได การเรยี นธรรม การจดจําชื่อเสียงของกิเลส จะเรยี นกนั ไปขนาดไหนกเ็ รยี นไปจาํ กนั ไปแตชื่อ ความจรงิ มนั กเ็ ปน “กเิ ลส” ของมันอยูอยางนั้น ไมบ กพรองลงบางเลยจนนดิ เดียวดว ยการทองจํา จึงไมมีประโยชนอะไรที่จะจดจําเปลา ๆ ไมส ามารถจะแกกเิ ลสตา ง ๆ ภายในจติ ใจได นอกจากจะปฏิบัติเพื่อละเพื่อถอนมันไปโดยลําดับ ดังที่ปราชญทั้งหลายพา ดาํ เนนิ มาจนถงึ “ความบรสิ ทุ ธพ์ิ ทุ โธ” เตม็ ดวงใจเทา นน้ั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๒

๑๓ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏเิ วธ ทั้งสามนี้เปนธรรมสามัคคีกันขาดไปไมได ถา อยากเหน็ กเิ ลส หลุดลอยออกจากใจ ถา อยากเปนผูรบั เหมากเิ ลสทงั้ มวลกองเต็มหวั ใจ กเ็ พยี งเรยี นเอา จด จําเอาแตชื่อของมันก็พอตัวแลว แทบเดินไมไหว เพราะหนกั คมั ภรี ใ บลานทเ่ี รยี นจดจาํ มา เปลา ๆ โดยเขา ใจวา ตนเปน ปราชญฉ ลาดพอตวั ทง้ั ที่กเิ ลสเตม็ หวั ใจ การปฏิบัติ เชน จติ ตภาวนา คือการปฏิบัติตอจิตใจตัวเอง เปน การเรยี นเรอ่ื งจติ ใจ ของตนโดยตรง วิถีใจชอบคิดไปในทางใดบาง มีมากนอ ยหนักเบาไปในทางใด ? ทางดี หรือชว่ั มีธรรมคือสติปญญาเปนตน เปน เครอ่ื งพสิ จู นอ ารมณอ ยเู สมอ ธรรมทา นสอนไว อยางไร อะไรทค่ี วรเอาชนะ ทค่ี วรจะระวงั ท่ีควรจะดบั ทค่ี วรจะสง เสรมิ ทา นบอกไวหมด เชน จิตมีความฟุงซานซึ่งเปนการกอกวนตัวเอง เวลาฟงุ ซานมากกก็ อ กวนมาก ทาํ ลายตนมาก ใหพ ยายามระงบั ดบั ความคดิ เหลา นน้ั ดว ยอบุ ายตา ง ๆ มีสติปญญาเปน สาํ คญั ตามแตจ ะเหน็ ควร เชน การกาํ หนดภาวนา มีธรรมบทใดเปน หลกั ยึดแทนอารมณท่ี เคยทาํ ใหฟ งุ ซา นนน้ั เสยี จิตก็ยอมมีทางสงบลงได พอจิตสงบลงไดก็ทราบวา จิตพักงานที่ แสนวนุ วายลงไดเ ปน พกั ๆ เพยี งเทา นก้ี พ็ อทราบเบอ้ื งตน แหง การภาวนาวา มีผลเปน ความสงบสขุ ทางใจ ถาเปนโรคก็ถูกกับยา หรอื ระงบั ลงแลว ดว ยยา พอมีทางพยาบาลรักษา ใหห ายไดโ ดยลาํ ดบั จนหายขาดไดด ว ยยาขนานตา ง ๆ จิตใจตองสงบเย็น เหน็ ผลโดย ลาํ ดบั ดว ยธรรมแขนงตา ง ๆ จนถงึ ขน้ั บรสิ ทุ ธไ์ิ ดด ว ยธรรม เมื่อจิตมีพลังทั้งหมดมั่นคงเขาไปเปนลําดับ ๆ ก็ยอมทราบชัด และทราบเรอื่ งของ ธาตุของขันธไปโดยลําดับ โดยทางปญญาเปนอยางนั้น ๆ จนทราบวา ธาตขุ นั ธเ หลา นม้ี นั ไมใชอยางเดียวกัน แมจ ะอาศยั กนั อยรู าวกบั เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั กต็ าม เปรยี บเทยี บ เหมอื นกบั เรามาอาศยั อยใู นบา น บา นนน้ั เปน บา น เราเปน เรา จะอยใู นบา นเรากเ็ ปน เราคน หนง่ึ ตางคนตางอยู เปนแตอาศัยกนั อยชู ัว่ กาล ฉะนน้ั บา นจงึ ไมใ ชเ รา เราจงึ ไมใ ชบ า น บา น เปน สมบตั ขิ องเรา ธาตุขันธเปนสมบัติของเราคือใจ แตเ รานไ้ี มใ ชบ า นและเราไมใ ชธ าตุ ขันธ ธาตุขนั ธไ มใชเรา แตเ พียงอาศัยและเปนความรับผิดชอบกนั อยู ฉะนน้ั เราจะเรยี กวา ธาตุขันธเปนของเราตามสมมุติก็ไมผิด แตอยางไร ๆ มันก็เปนคนละอยางอยูดี การเรยี นจติ ตภาวนายอ มทราบความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั ๆ ดังที่อธิบายมา และการ เรยี นเชน นเ้ี ปน ภาคปฏบิ ตั เิ พอ่ื กาํ จดั กเิ ลสโดยตรง ครั้งพทุ ธกาลทานเรียนเพอ่ื ปฏบิ ตั กิ าํ จัดกิเลสตาง ๆ ออกจากใจจริง ๆ ไมไดเรียน เพอ่ื เอาชอ่ื เอานามของกเิ ลสบาปธรรม และชน้ั ภูมิ ตรี โท เอก มหาเปรยี ญ อยางเดยี ว โดย มใี บประกาศนยี บตั รรบั รอง อนั เปน ราวกาํ แพงรกั ษาความปลอดภยั ใหก เิ ลสผาสกุ สนกุ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓

๑๔ แพรพันธุออกลูกออกหลาน สรา งบา นสรา งเรอื นทข่ี บั ถา ยบาํ รงุ บาํ เรอบนหวั ใจสตั วโ ลก ดั่ง ทเ่ี ปน อยเู หน็ อยนู เ้ี ลย ชนั้ ภมู ิของทานทไ่ี ดรับสว นผลจากการปฏิบตั ิ กเ็ ปนกลั ยาณชน อริยชน เปนขั้น ๆ โดยสนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เปนเครอื่ งรบั รองตัวเองตามหลกั ความจรงิ ของภูมธิ รรมนั้น ๆ สมกบั ธรรม เปน สวากขาตธรรม ที่ตรัสไวชอบ ไดผลเปนที่พึงใจตามพระประสงคที่ทรงสั่งสอนสัตวโลก ดวยธรรมของจริง อันประกอบดวยพระเมตตาเต็มพระทัยไมเคยบกพรองแตตน จนถึง เวลาจะเสดจ็ ดบั ขนั ธป รนิ พิ พาน องคพ ยานวาระสดุ ทา ย คือพระสุภัททะปจฉิมสาวก ผบู วช ในราตรจี ะปรนิ พิ พาน ซง่ึ ตง้ั หนา ทาํ ความเพยี ร ยงั กเิ ลสทง้ั มวลใหส น้ิ ซากในคนื วนั นน้ั จาก พระโอวาททีป่ ระทานโดยเฉพาะ หลังจากนั้นก็ประทานปจฉิมโอวาทแกพระสงฆที่ประชุม พรอม เพื่อการเสด็จปรินิพพานของพระองค โดยใจความสาํ คญั วา ภิกษทุ ง้ั หลาย บดั นเ้ี ราเตอื นทา นทง้ั หลายใหท ราบวา (สัจธรรมที่มีติดแนบอยูกับ ตัว) คือ สังขารทัง้ หลายที่เกดิ ขึ้น เฉพาะอยางยิ่ง คือ (สงั ขารภายในไดแ ก ความคดิ ปรงุ แตงตาง ๆ ทุกขณะ ทั้งดี ชั่ว กลาง) ลวนดับไปโดยสติปญญา ดวยความไมประมาทเถิด เหลานีค้ อื พระเมตตาลนฝง แหง โลกธาตุ ทป่ี ระกาศแกม วลสตั วเ รอ่ื ยมาจนวาระสดุ ทา ย สรปุ ความแลว กล็ งไปรวมทใ่ี จ ใจจงึ ควรไดร บั การอบรม อยางนอยก็พอรูวิถีทางเดินของตน และรูวิถีของจิตไป โดยลาํ ดบั ดว ยวธิ จี ติ ตภาวนาวา ปกติจิตของสามัญชนชอบคิดไปในทางใด หนักไปทางใด จติ จะมคี วามบกึ บนึ หรอื มคี วามเสาะแสวงในทางนน้ั เสมอ ถามีสติมีปญญาคอยสอดสอง คอยสังเกตอยูแลว เราจะพบเหน็ วา จติ นช่ี อบไปในทางนน้ั มาก เมื่อจติ คดิ ในทางนัน้ มาก ก็ ทาํ ใหเ กดิ ความสนใจวา ทางนน้ั มนั เปน อะไร? เปนทางดีหรือทางชั่ว เปน ทางผูกมัดหรอื ทาง แกทางถอดถอน? ถาเปนทางผูกมัด เปน ทางสง่ั สมความชว่ั หรอื ความทกุ ขเ กดิ ขน้ึ มาแกเ รา เรากพ็ ยายามแกไ ข พยายามหกั พยายามหกั หา ม นี่มันมีทางแกกันไดอยางนี้ การพยายามอยูโดยสมํา่ เสมอไมม ีการลดละ ยอมจะมีทางหักหามสิ่งไมควรนั้นได จนกระทั่งหักหามไวได และตัดขาดจากกันไปได เหมือนคนตัดไม ตัดฟนครั้งหนึ่งไมขาด ฟนสองครั้งเขาไป สามครง้ั สค่ี รง้ั เขา ไป จนกระท่ังไมนัน้ ขาดจรงิ ๆ เพราะความพยายาม ตัดอยูเสมอ การตัดกระแสของจิตที่ชอบคิดในเรื่องไมดี ดว ยความพยายามในทางดอี ยเู สมอ อยางน้ี ยอมเปนไปไดทํานองเดียวกัน เมื่อตัดสิ่งใดขาดไปจากจิตแลว กท็ ราบวา สง่ิ นน้ั ได ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔

๑๕ ขาดไปแลว จากใจ เงือ่ นทจี่ ะตอ ใหจ ติ เกดิ ความทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะความคดิ เชน นน้ั ไม มีอีกตอไป กิเลสประเภทใดที่จิตชอบคิด ชอบยดึ เหนย่ี ว ชอบยึดมั่นถือมั่น ก็คิดแกไขในแงนั้น มาก ๆ พึงกําหนดพิจารณาแกไขกันโดยทางสติปญญาอยางสม่ําเสมอ ตอไปกิเลสประเภท นั้นหรือความคิดประเภทนั้นก็คอยออนกําลังลงไป สติปญญาคอยแกกลาขึ้นมาจนกระทั่ง สามารถตัดขาดไดไมมีเหลือ การพยายามดวยความเพียรตัดขาดไปทีละกิ่งสองกิ่งของกิเลส กน็ บั วา เปน มงคลแก ตวั เราโดยลาํ ดบั ถาเปนตนไมก็ตองตัดขาดทีละกิ่งสองกิ่ง ถาเปนรากไมต น หน่งึ ๆ มันมี รากมากนอยเพียงไรก็พยายามตัดมัน จนกระทั่งโคนลม ลงไปจนกระทง่ั รากแกว ไมใหเหลอื หลอ ดว ยความพยายาม คือพยายามตัดทีละรากสองรากเขาไป จนกระทั่งมันทนไมไหว เพราะการตดั โดยสมาํ่ เสมอ ตัดโดยไมหยุดหยอน ไมลดละ มันก็ขาดลมลงโดยไมสงสัย เรื่องกระแสของกิเลสที่ออกมาจากจิตมันมีมากมายเชนเดียวกับรากไม รากฝอยนั่น แหละสาํ คญั รากแกว มนั มรี ากเดยี ว ไอตัวกิเลสก็มีตัว “อวิชชา”อนั เดยี วเทา นน้ั แหละเปน หลักใหญ นน่ั แหละเรยี กวา รากแกว ของกเิ ลส ใหพ ยายามตดั มันแตกแขนงออกไปมาก มายกายกอง คือมันแตกออกมาทางตาไปสูรูป แลว มรี ปู อะไรบา ง นน่ั แหละมนั แตกแขนง ไป เปนเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ยัว่ จิตใหค ดิ ไปทางกิเลส ทนี ใ้ี นทางเสยี ง เสยี งอะไรบา ง มันก็แตกแขนงออกไปเปนรากฝอยไปเรื่อย ๆ แต อยา งไรกต็ ามเรากท็ ราบวา รากฝอยก็คือรากฝอยของกิเลสตัวนี้เอง จะรากฝอยอะไรกัน เสียงเปนลักษณะใด ถา เปนเสยี งท่จี ะทาํ ใหเกิดกิเลสขึ้นมา กท็ ราบวา เปน เรอ่ื งของกเิ ลส ดวยกัน เรากพ็ ยายามตดั พยายามแก คลค่ี ลายเสยี งนน้ั รูปมันเปนอะไร ถึงรักถึงชอบ ถึงเกลียดถึงโกรธ แยกออกไป ใครเปน ผโู กรธ โกรธ เพราะเรื่องอะไร จติ เปน ผโู กรธ โกรธเรื่องอะไร โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร ความโกรธ เปน ความรมุ รอ น เปนความทุกข ทําไมขยันโกรธ? โกรธแลวมันไดประโยชนอะไร โกรธให ตัวเองคอยยังชั่ว ไอโกรธใหคนอื่นซึ่งตัวเองก็เปนทุกข แลว เขาก็เปน ทุกข ยิ่งเพิ่มความทุกข ทรมานใจทั้งสองคน คือทั้งตนและเขาขึ้นอีกมากมาย การโกรธใหตัวเองยังมีทางที่จะแกไขไดดีกวาโกรธใหคนอื่น แมจะเปนกิเลสก็ยังพอ จะถอดถอนความโกรธนี้ได แตสวนมากไมยอมโกรธตัวเอง ที่จะใหบังเกิดอุบายปญญาพอ แกความโกรธตัวเองได ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๕

๑๖ การไปโกรธคนอน่ื เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสลว น ๆ จงแยกแยะดู พจิ ารณาดว ยดี รปู เสยี ง กลิ่น รส เคร่อื งสมั ผัส มนั มเี ปน แขนง ๆ ไป ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทาง ลน้ิ และทางกายนแ้ี หละ แลว จงึ มาสใู จ คือ “ธรรมารมณ” โดยอาศัย รปู เสยี ง ฯลฯ ท่เี คย สมั ผสั มาแลว นน้ั มาเปน อารมณข องใจ ใหน าํ มาครนุ คดิ อยตู ลอดเวลา นเ่ี ปน การสง่ั สมกเิ ลส ประเภทหนง่ึ ๆ ขน้ึ มาเรอ่ื ย ๆ มันแตกแขนงออกมา คือแตกออกมาจากใจ สติปญ ญาหย่ัง ทราบอยภู ายในใจและแกไ ขกนั ไปเรอ่ื ย ๆ ไมลดละทอถอย หนีไมพนถาลงสติปญญาจดจอ ตรงนน้ั ไมท ราบในวาระนต้ี อ งทราบในวาระตอ ไปจนได ไมทราบมากก็ตองทราบนอย ทราบไปโดยลาํ ดบั ๆ ก็คอยทราบมากไปเอง คอยตัดขาดไปเอง ทราบตรงไหนแลว กค็ อ ย ละไป ละกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งละไดขาดจากกันไปจริง ๆ น่ีการตัดกเิ ลสทา นตัดอยางนี้ เชนเดียวกับที่เราตัดรากฝอยของตนไม ตัดไปตัดมาก็ไมมีรากอะไรเหลืออยู สดุ ทา ยกเ็ หลอื แตรากแกว ก็ถอนขึ้นมาหมดไมมีเหลือ เราตดั และถอนตน ไมใ หต ายดว ยวธิ นี ้ี เราจงึ ถอดถอนกเิ ลสดว ยวิธีเดียวกนั ดว ยสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร จนกเิ ลสตายเกลย้ี ง เรากแ็ สนสบายบรมสขุ เรื่องของจิต ภพชาติมันอยูที่จิต ความสญู ไมท ราบมนั อยูท ี่ไหน เราไมเ หน็ ใน คมั ภรี ก ไ็ มม วี า สตั วต ายแลว สญู มแี ตตายแลว เกิดถากเิ ลสยังมีอยูในใจ ทําไมจึงไปเหมามัน ไดว า ตายแลว สญู นน่ั นะ จึงเอามาพูด แตภพชาติมันไมสูญนี่นะ มันอยูที่จิต ทําไมเราจึงไมดู ที่ตรงนี้ ? ไปหาดนเดาเกาที่ไมคันใหมันถลอกปอกเปกเปนทุกขไปทําไม เราเปน มนษุ ยซ ง่ึ เปน ชาตทิ ฉ่ี ลาด ทําไมจึงมาโงตอเรื่องของตัว หากมผี มู าวา พวกเราบดั ซบจะไมอ ายเขา หรอื ? หรอื วา ไมอ าย ตองโกรธเขาซิ ดังนี้ก็ยิ่งไปใหญ ขายตัวสองตอสามตอจนไมมีสิ้นสุด เพราะความโงต วั เดยี วพาใหเ ปน เหตใุ หญ ใครแสดงภพชาตขิ น้ึ มาใหเ ราเหน็ ในระยะน้ี เรานง่ั อยใู นเวลาน้ี ? ถาไมมีเกิดมันจะมีรูปมีกายมาอยางไร? ตอนเกิดนั้น มันเอาอะไรมาเกิด ถาไมเอา ของมีอยูมาเกิดจะเอาอะไรมาเกิด? ธาตุขันธอันนี้มาจากอะไร? ธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ ที่ เปน รา งกาย ก็เอาสิ่งที่มีอยูมาประสมกัน ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตลุ ม ธาตุไฟ มาผสมกนั เรยี ก วา “สว นผสม” อาศัยจิต จิตก็มีอยูจึงเขามาอยูดวยกันได ของไมมีอยูจะเอามาไดอยางไร นม่ี นั ลว นแลว แตอ าศยั สง่ิ ทม่ี อี ยมู าประกอบกนั เขา เปน รปู เปน กาย เปน หญงิ เปน ชาย เปน ตน ไมภ เู ขาอยา งนเ้ี ปน ตน มันมีอยูทั้งนั้น ถาไมมีจะประกอบกันขึ้นมาไมได ปรากฏตวั ขึ้นมาไมได แลว เราวา “สญู ” ขณะนี้มันสูญหรือไมสูญ? เรามาจากไหนถงึ ไดม าเกดิ อยู เดย๋ี วน้ี ถาสูญจริงแลวมันมาเกิดไดอยางไร นน่ั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๖

๑๗ ถาอะไร ๆ ก็สูญแลวจะมาปรากฏตัวไดอยางไร ก็เพราะมันไมสูญนั่นเองจึงมา ปรากฏตวั เปน เราเปน ทา น เปน สตั วเ ปน บคุ คล เรอื่ ยมาดังท่ีรู ๆ เหน็ ๆ อยูนี้ ทเ่ี ราวา “สญู ”นน้ั ไมคิดอายสิ่งที่มีอยูเต็มโลกบางหรือ? หลวงตาบวั นอ่ี ายจงึ ไมก ลา คดิ วา ตายแลว สญู นี่คือปญญาแกตัวเอง พิจารณาแยกแยะมนั ลงไป รางกายมันเอามาจากสง่ิ ทมี่ ีอยู สง่ิ ที่มีอยูจึงปรากฏตัวขึ้นมาได ถาไมมีก็ปรากฏขึ้นมาไมได นี่แหละภพชาติคือกิเลสอวิชชา ตณั หา อุปาทาน กรรม เปนเชื้อความสืบตอของภพของชาติ เปนกําเนิดเกิดมีทโ่ี นน ท่นี ่ี มัน มีเชื้อของมัน มีสืบตอกันอยูที่ในจิตใจดวงนี้ ตัวนจี้ ึงเปน “ตวั ภพ”ตัวนีจ้ งึ เปน “ตัวชาติ” ตวั นเ้ี ปน ตวั ไมส ญู เปน ตวั เกดิ ตัวแก ตวั เจบ็ ตวั ตาย มันอยูที่ตรงนี้และรวมอยูที่นี่ทั้งหมด ความสูญนัน้ มองไมเหน็ มันสูญไดอยางไร ? ตัวสูญอยูที่ไหน? เหน็ แตค วามมอี ยู ภายในจติ ใจ ความสญู ภายในจติ ใจนน้ั มนั ไมม ี ไมเหน็ ไมป รากฏ แลว ใจนน้ั จะสญู ไดอ ยา ง ไรเมื่อมันไมมีสิ่งที่จะใหสูญ มันเปนสิ่งที่มีอยูทั้งนั้น แลว เราจะเอาอะไรมาใหม นั สญู ขอ สาํ คญั คอื ความสาํ คญั มนั หลอกคนตา งหาก ความจรงิ แลว เปน อยา งน้ี มันมีอยูทุกสิ่งทุก อยา งภายในจติ ใจ คือพรอมที่จะเกิด เพราะสิ่งทีจ่ ะทําใหเกดิ มอี ยูมากภายในจติ รากเหงา เคามูลของความเกิดก็คือ “อวิชชา” นีค่ ือตวั ใหเ กิด ไมเปน อยางอน่ื เลย ถาตัวนี้ยังไมหมด ไปจากจิตใจเมื่อใด ตองเกิดวันยังค่ําตลอดกัปตลอดกัลป ไมมีกําหนดกฎเกณฑ ไมมีตนมี ปลายเลย ตอ งเกิดแลว ตาย ๆ อยูอยางนี้ เพราะเชอ้ื ความเกดิ มนั มอี ยภู ายในใจ นี่เปนของ จรงิ ทป่ี ระจกั ษอ ยภู ายในใจเราเอง จงปฏิบัติจิตตรงจิตนี้ ดูตรงนี้ดวยสติปญญา แลวตัดเชอ้ื ความเกดิ กนั ท่ีตรงน้ี จะส้ิน สงสยั เรอ่ื งตายเกดิ หรอื ตายสญู ทั้งมวล เพราะสดุ ทา ยกผ็ ทู ส่ี าํ คญั วา ตายแลว สญู นน้ั แลไป เกิดอีก ไดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากจากทต่ี นเขา ใจวา เม่ือตายแลว มนั ก็หมดเรอ่ื ง ไมมี อะไรท่จี ะสืบตอขา งหนาแลว คิดอยากทําอะไรก็ทํา อยากทําบาปอยากทําอะไรก็แลวแต ตามใจทุกอยางในขณะที่ยังมีชีวิตอยูนี้ เมอ่ื ตายแลว หมดความหมาย ทนี เ้ี มอ่ื มนั ไมห มดความหมายตามความสาํ คญั ตนเลา ใครจะเปน คนรบั ความชว่ั ชา ลามกทง้ั หลายเหลา นน้ั ? กค็ อื เราเองเปน ผรู บั เมอ่ื เปน เชน นน้ั เรากลา เสย่ี งแลว เหรอ? ทั้ง ๆ ที่เปนมนุษยที่กําลังมีคุณคาอยูทั้งคน และเปน คนรบั ผดิ ชอบเราอยตู ลอดมา เหตไุ รเรา จะตองยอมเสียทาเสียทีไปลมจมขนาดนั้นดวยอํานาจของกิเลสมันครอบงํา ดว ยความ สําคัญที่ผิดอยางมหันต ใหบุญไมยอมรับ มาหลอกลวงตนเองถึงขนาดนั้น จงรบี คดิ เพ่ือหา ความจริงจากธรรมของจรงิ เคร่ืองพิสจู น และปราบปรามกเิ ลสตวั นน้ั ใหส น้ิ ไป ไมควรนอน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗

๑๘ ใจนอนจมอยูกับมัน แบบไมรูสึกตวั ดงั ท่เี คยเปน มากี่กปั นบั ไมถ ว นอยแู ลว ไมง น้ั จะสายเกิน กาลนานเกินจะแกได เวลาตายจะไมมีกสุ ลาตดิ ตวั (กสุ ลาคอื ความฉลาด) ความจริงมอี ยูท าํ ไมเราจึงไมด ู? ความจรงิ กค็ อื ใจและสจั ธรรม ใจนม้ี นั ไมส ญู นะ เชื้อกิเลสเชื้อแหงภพแหงชาติก็อยูกับใจนี่เอง ตัวประกันตัวตีตราที่จะใหเกิดมันอยูกับจิตใจ น้ี แลว จะสญู ไปไหน? จะสูญไดอยางไร นค่ี อื ความจรงิ ความจริงลบไมสูญมันสูญไมได แต ความสาํ คญั นน้ั มนั สญู ได สูญไดตามความสําคัญซึ่งเปนเรื่องของกิเลส แตค วามจริงมนั ไม สญู แลว บาปบญุ คณุ โทษทท่ี ําลงไปก็เขาไปอยูในจิต ไมไดไปอยูที่อื่น เพราะจติ เปน โรงงาน ผลิตออกมาจากที่นั่นเอง ผลดีชั่วก็เขาไปรวมตัวอยูที่จิตนั่น นา นนะ ความจรงิ จะไปไหน มันเกิดกันที่นั่น ผสมกันที่นั่น ดีชั่วมันอยูที่จิต จิตจะไป เกิดในสถานที่ใดภพใดแดนใดก็ตาม มันไปดว ยกาํ ลังแหง กรรม กรรมและวบิ ากแหง กรรม มันผลักไสใหไป แนะ มันจะสูญไปไหน ตายแลวมันพรอมเสมอที่จะเกิด จะเกิดสงู ต่าํ ขนาด ไหนนน้ั มนั แลว แตอ าํ นาจแหง กรรมทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจซง่ึ ตนสง่ั สมไวน น่ั แหละ นเ่ี ปน หลกั ความจรงิ การเรยี นเรอ่ื งความจรงิ เหลา น้ี จึงตองเรียนลงที่ใจ พจิ ารณาลงทใ่ี จน้ี ดังที่กลาวมา เมอ่ื สกั ครนู ว้ี า ใหต ดั ตรงนน้ั ลงมาหาตรงน้ี ลงมาดว ยจติ ตภาวนา คอื เราทราบไดด ว ย ปญญา ใจมคี วามสมั ผสั สัมพนั ธกับสิง่ ใด มีความสขุ สมใจกบั สงิ่ ใด ส่งิ นัน้ เปน ทางดีหรอื ช่ัว เปนสิ่งที่ดีหรือสิ่งชั่ว เราตามรเู สมอดว ยจติ ตภาวนา เราตอ งทราบ เมอ่ื ทราบแลว พยายาม แกไข พยายามตัดฟนดวยอุบายของสติปญญา จนกระทั่งตัดขาด ตัดขาดไป ๆ โดยลาํ ดบั ๆ ทา นพจิ ารณาทาง “จติ ตภาวนา” หรอื ทา นวา “นง่ั กรรมฐาน” ทา นนง่ั อยางนี้ แหละ จะไปนง่ั อยใู นปาในเขา จะนั่งอยู “รุกขมูล” รมไมที่ไหนก็เถอะ กฝ็ ก นง่ั เรยี นความ เปนไปของจิต เรยี นเรอ่ื งความเกดิ ความแก ความเจบ็ ความตาย เรยี นเรอ่ื งกเิ ลส การสง่ั สมกเิ ลส และวิถีทางเดินของกิเลส ความดอ้ื ความโลภความหลงมนั อยทู จ่ี ติ มันเกิดที่จิต มนั หลง่ั ไหลจากจิตน้ีไปเปนภพตา ง ๆ ใหเ ราลมุ หลง บนั เทงิ โศกเศรา เสยี ใจ มีแตเรื่องที่ ออกไปจากจิตนี้ทั้งนั้น การเรยี นจงึ ตอ งเรยี นลงทน่ี ่ี จะตองรสู ิง่ เหลานี้ประจักษใ จดว ยสติ ปญญาแนนอน คือตองทราบทั้งดีทั้งชั่วโดยลําดับ ๆ แลวตัดขาดออกจากกันเรื่อย ๆ แลว จิตก็หดตัวเขามา ๆ เพราะขาดสง่ิ ทเ่ี คยสบื ตอ หดตวั เขา มา ยน เขา มา ๆ สวู งแคบ และตัด ภาระเขา มาโดยลาํ ดบั นี่แหละคือการตัดภพตัดชาติ ตดั สว นหยาบเขา มาเรอ่ื ย ๆ ตัดเขามา สคู วามละเอยี ด ตัดเขามา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๘

๑๙ ในทส่ี ดุ รา งกายของเรานก้ี เ็ หน็ ชดั ตามเปน จรงิ วา “มันเปนแตเพียงธาตุขันธเทา นน้ั ” นั่นคือธาตุดิน นาํ้ ลม ไฟ มาผสมกนั เขา มีตัวคือจิตเปนเจาของมายึดครอง แลว กว็ า เปน รปู เปน กายเปน หญงิ เปน ชาย เปน สตั วเ ปน บคุ คล เมอ่ื ทราบชดั แลว กส็ ลดั ภายในจติ อกี รปู กส็ กั แตว า รปู เวทนากส็ กั แตว า เวทนา ไมใ ชเ รา ไมใชของเรา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ แตล ะอยา ง ๆ กส็ กั แตว า เทา นน้ั ไมใ ชเ รา ไมใชของเราโดยประจักษใจ นป่ี ญ ญาพจิ ารณา ทราบลงไปอยางนี้ เมอ่ื ทราบชดั แจง แลว ใครจะไปกลา ถอื วา เปน เรา ใครจะไปกลา แบก หามสง่ิ เหลา นว้ี า เปน เราเปน ของเรา ไมก ลา ยึดไมกลา แบกหาม เพราะหนกั เหลอื ทนอยแู ลว เพราะปญญาหยง่ั ทราบหมดแลวจะไปกลา อยา งไร ที่กลาไมเขาเรื่องก็คือ พวกเราท่ีเปน นกั ดนเดาเกาหาทไี่ มค ันใหเ กิดทุกขเ ปลา ๆ เทา นน้ั สว นทา นทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ ทานสลัดปดทิ้งดวยสติปญญา ไมม อี ปุ าทานเหลอื เลย สตปิ ญ ญาเปน ธรรมสาํ คญั มากตามหลกั ความจรงิ คอื ทร่ี จู รงิ เหน็ จรงิ คือปญญาเปน ผรู ผู ฉู ลาด ตามรตู ามเหน็ ความจรงิ เปน อยา งนน้ั แลว เราจะไปกลาฝน ความจริงไดอยา งไร วา ไมใ ชเ รา โดยทางปญญาแลว เราจะยังไปถือ ถือก็ถือแตก็ไมใชปญญา มันเปนเรื่องของ กิเลสอยูโดยดี การแกนี้ตองแกดวยปญญา รูดวยปญญา ละดวยปญญา ทุกประเภทของ กิเลสไมนอกเหนือสติปญญาไปไดแตไหนแตไรมา นแ่ี หละการเรยี นเรอ่ื งการตดั ภพตดั ชาติ การเรยี นเรอ่ื งวถิ ขี องกเิ ลส การตดั กเิ ลส ทา นทาํ กันอยา งน้ี จนกระทั่งรูธาตุขันธ กส็ กั แตวา ธาตวุ าขันธ คือรูต ามเปนจริงแลวกป็ ลอย วางลงไปเอง การบอกใหปลอยเฉย ๆ ไมเกิดผล ตองปญญาเปนผูพาใหปลอย เมอ่ื เขา ใจแลว ก็ ปลอย ปลอย ๆ สง่ิ ไหนยงั ไมเ ขา ใจกพ็ จิ ารณาคน ควา เขา ไปจนกระทง่ั ถงึ ความจรงิ เขา ใจ เต็มภูมิแลวก็ปลอย สุดทายมันมีอะไรอยูอีก การตัดรากฝอยไปเปนลําดับมันก็ถึงรากแกว เทา นน้ั เอง เมื่อตัดรากแกวจนไมมีอะไรสืบตอกันแลว ภพชาติก็ขาด อยางอื่นมันก็ขาดไป ดว ยตามลาํ ดบั ที่ยังเหลือชิ้นสุดทายนั้นคืออะไร? ยอนสติปญญาเขามาจนถึงตัว นน่ั คอื “อวิชชา” ทเ่ี รยี กวา “รากแกว ” นแ่ี หละคอื ตวั กเิ ลสแท กิ่งกานสาขาของกิเลสไดถูกตัด ขาดหมดแลว ยงั เหลอื แตต วั กเิ ลสแท ๆ ไดแกตัว “อวิชชา” ทนี ้ี “อวิชชา” อยูที่ไหน? มนั อยูท่ีจติ เทา นนั้ อวิชชาไมอยูที่อื่น มันครอบอยกู บั จติ จนกระทั่งจติ เองก็เขาใจวาอวิชชานัน้ เปนตน ตนเปน ธรรมชาตอิ นั นน้ั นี่แหละเมอ่ื ปญ ญายัง ไมท ราบชดั แตก็ทนไมได เพราะฟง คาํ วา “ปญญา ๆ” เถิด มคี วามฉลาดแหลมคมมาก ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙

๒๐ เมอ่ื นาํ มาใชใ นสง่ิ ใดกต็ อ งเหน็ ความจรงิ ในสง่ิ นน้ั ดังนนั้ เมื่อนาํ มาใชใ นจิตทม่ี ีกิเลส คือ อวิชชาอยูที่นั่น ทําไมจะไมทราบ ทําไมจะทําลายกันไมได จะตัดขาดจากกันไมได เมื่อกิเลส ชนิดอื่น ๆ ปญญาสามารถตัดขาดได แลวสิ่งนี้ทําไมปญญาจะไมสามารถตัดขาดไดเลา ปญญาตองสามารถตัดขาดได เมอื่ ตัดขาดกิเลสตัวสําคัญน้ีแลวตองทราบชดั ประจกั ษใจ ถาจะพูดก็พูดไดเต็มปาก ไมกระดากอายหรือสะทกสะทานกับสิ่งใดหรือผูใด ถา จะพดู แบบโลก ๆ กต็ องเรียกวารูชัด ๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ต หมดปญ หากนั เสยี ทเี รอ่ื งความเกดิ ความตาย เรอ่ื งความทุกขทรมานใน วฏั สงสาร ภพนอยภพใหญที่เคยเปนมากี่กัปกี่กัลปจนนับไมถวน เพราะตวั นพ้ี าใหเ ปน ไป ตวั นพ้ี าใหเ กดิ ตวั นพ้ี าใหต าย ตายแลวเกิดซ้ําเกิดซากไมหยุดไมถอย ทุกขซ้ํา ๆ ซาก ๆ มา ยตุ กิ นั เสยี แลว คราวน้ี ยุติดวยอะไร? อะไรถึงตองยุต?ิ นา น ยุติลงที่ฆาเชื้ออันใหญขาดกระเด็นออกจาก ใจแลว เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ ทเ่ี รยี กวา “ความบรสิ ทุ ธ”์ิ นน้ั เปน จติ แท เปน ธรรมแท ไม มสี งิ่ ใดเขา ไปเคลือบแฝงเลยแมนิดเดียว ผนู แ้ี ลเปน ผไู มเ กดิ ทนี ส้ี น้ิ สดุ แลว แตไมใชสูญ แบบที่มองไมเห็น คนควาไมเ จอก็หาวาไมมี แลว กเ็ ดากนั อยา งนนั้ ตามวสิ ยั ของโลกดน เดา เรอ่ื งกเิ ลสทพ่ี าใหด น เดาเอาดว ยความสาํ คญั เหมาเอาดว ยความสาํ คญั จึงไดรับ ความทกุ ขเพราะกเิ ลส แตก็ยังไมเห็นโทษของกิเลสที่พาใหดนเดา พาใหส าํ คญั มน่ั หมายทง้ั ที่ไมจริงตลอดมา จึงมีแตของปลอมเต็มตัวเต็มหัวใจ ทุกขจึงเต็มหัวใจดวย เมอ่ื เรยี นรูถงึ ความจรงิ ทุกสง่ิ ทุกอยา งดว ยวิธีการปฏบิ ัติแลว ความปลอมมนั ก็สลาย ตัวไป จึงไดเ ห็นโทษชดั เจนวา เหลานี้มีแตความจอมปลอมทั้งหมด ทเ่ี ราไดร บั ความทกุ ข ความทรมานมาจนถงึ ปจ จบุ นั ชาตทิ เ่ี ราจาํ ไดเ พยี งเทา น้ี มนั กเ็ ปน ความทกุ ขเ พราะกเิ ลสตวั น้ี เทา นน้ั ถา เปนธรรมกไ็ มทําใหเราเกดิ ทกุ ข เมอ่ื มธี รรมลว น ๆ ภายในจติ แลว อะไรจะมาทํา ใจใหมีทุกขอีกตอไปเลา ตองไมมี นน่ั แน อยา งนแ้ี หละเรยี นธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมภายในจติ ใจ คอื เรยี นธรรมภาคปฏบิ ตั ภิ าคภาวนา เหน็ จรงิ อยา งน้ี ชัดเจนอยางน้ี กิเลสแตกกระจายชนิด ไมเ ปน ขบวน ในเรอ่ื งวิธีปฏบิ ัติน้ไี มใ ชว ิธจี ํา แตเ ปน วิธแี กกเิ ลส ทาํ งานกบั กเิ ลสทาํ อยา งน้ี เมอ่ื กเิ ลสสน้ิ สดุ ไปแลว ภายในใจ ใจทเ่ี ปน เจา ของปญ หามาแตก อ นเพราะกเิ ลสพาใหเ ปน ก็สิ้น สุดกันไปเองไมมีสิ่งใดเหลือเลย นแ่ี หละความสน้ิ สดุ ของวฏั ฏะ แตไมใชความสูญซึ่งเปน ความแสลงตอ ความจรงิ คือความมีอยูอยางยิ่ง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๐

๒๑ ถา วา “ความสญู ของวฏั ฏะ” นั้นถูกตอง เพราะวฏั ฏะภายในใจไมม ตี อไปอกี แลว สูญสิ้นแหงความสืบตอของภพชาติ เกิด แก เจบ็ ตายแท ภพชาติตอจากนั้นไมมีอีก นเ่ี ปน ความสญู สน้ิ โดยธรรมโดยความจรงิ ถา วา “ความสญู ” อยางนี้ถูกตอง แตค นและสตั วต าย แลว สญู สน้ิ โดยประการทง้ั ปวง อะไรไมมีเลยอยางนี้ ขัดตอความจริง ใจเม่อื ถงึ ความจรงิ เต็มท่ีแลวกถ็ งึ ความบริสุทธ์ิ ความบริสุทธิ์แสดงขนึ้ ชดั ในจติ ใจ จติ เปน ธรรม ธรรมเปน จติ จึงไมใชความสูญ อยา งพระพทุ ธเจาตรสั รูแลวกิเลสสูญไปหมด ไมมอี ะไรเหลอื อยภู ายในพระทยั แลว ตอ งอาศยั ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แลประกาศธรรมสอนโลกมาเปน เวลา ๔๕ พระพรรษา ถึงได เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ถา ความบรสิ ทุ ธน์ิ ไ้ี ดส ญู สน้ิ ไปแลว พระพุทธเจาจะเอาอะไรมาประกาศ ศาสนาเลา ? ขณะที่สิ้นกิเลสแลวถาจิตก็ไดสูญไปดวย แลว ทรงเอาอะไรมาสอนโลกเลา ? ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธนัน้ ไมออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ซึ่งไมไดสูญนั้นแลว จะออกมาจาก ไหน? นแ่ี หละเรยี นธรรมใหถ งึ นแ้ี ลว หายสงสยั ปญหาทั้งปวงก็หมดสิ้นไปไมมีเหลือเมื่อ เรยี นจบ ทราบปญ หาภายในใจโดยตลอดทว่ั ถงึ แลว อยูไหนก็อยูเถอะ เพราะความสมบรู ณ พนู ผลอยทู ่ใี จนี้ ความสขุ อนั สมบรู ณม อี ยทู ใ่ี จน้ี ถาปฏิบัติใหถูกตองตามหลักธรรมของพระ พทุ ธเจา แลว คนเราจะไมไ ดบ น เรอ่ื งความทกุ ขค วามลาํ บาก จะยอมดาํ เนินตนไปตามเหตุ ผลคอื หลกั ธรรม ทุกขก็ยอมรับวาทุกข จนกย็ อมรบั วา จน มีไดมาเสียไปเปนธรรมดา เรยี นธรรมรตู ามความจรงิ ชองธรรมแลว ไมบ น ทุกขก็ยอมทนรับตามเหตุตามผล มี กร็ บั ตามเหตตุ ามผลไมป น เกลยี วกบั ธรรม ใจกส็ บาย แมจะมีกิเลสที่ยังละไมได ก็ไมถึงกับ ตองเดือดรอนแบบไมมีขอบเขตเหตุผล ยังพอปลงพอวางได แตถ าไมส นใจเกยี่ วของกบั ธรรมเลย ไมน าํ ธรรมมาวนิ จิ ฉยั ใครค รวญ ก็มักไมมีเหตุ ผลเครื่องทดสอบ มีแตความตองการของใจที่กิเลสบงการอยางเดียว ความตอ งการนน้ั แล จะพาคนลม จมฉบิ หาย ความตอ งการนน้ั แลจะทาํ ลายจติ ใจคนใหเ สยี อยา งไมม ปี ระมาณ ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นอยเู สมอ ๆ ตลอดกาลสถานที่ไมมีอะไรอื่น คือความตองการชนิด นัน้ ไมม ีเหตผุ ล มีแตอยากตะพัดตะพือ อยากจนไมส นใจทราบวา อะไรเปน พษิ อะไรเปน ภยั อยากไดอะไรควาไปกิน มนั ไมห ยดุ หยอ นผอ นคลาย ยิ่งอยากยิ่งตองการก็ยิ่งเพิ่มความคิด ความปรุงแตงไมถอย ยุงไมหยุด ความทุกขทรมานภายในใจก็ยิ่งมากขึ้น ๆ ไดร บั การสง เสริมเทาใดก็ย่งิ คิดมากขนึ้ แบบไฟไดเ ช้ือ ดีไมดีสติลอย เลยเปน บา ไปเลย นา น พอเห็น ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๑

๒๒ โทษของความอยากความทะเยอทะยานชนิดไมมีธรรมเปน “เบรก” ไหมละ? ถาพอเห็น โทษของมันบางก็ควรพยายามแกไข อยา อยเู ปลา แบบคนสน้ิ ทา วนั นพ้ี ดู เรอ่ื ง “วฏั จกั ร” พดู เรื่องความสญู ความไมส ูญ ตามหลกั ความจรงิ เปน อยางน้ี ศาสนาจงึ เปน ธรรมทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ ทจ่ี ะพสิ จู นค วามจรงิ สมควรแกเ วลาเพยี งเทา น้ี ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๒

๒๓ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เม่ือวันท่ี ๑๓ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ อบุ ายวธิ ดี บั กเิ ลสและเรอ่ื งกรรม โลกน้ีแมจ ะรุมรอ นเพยี งไรกต็ าม ยงั มศี าสนาเปน เครอ่ื งเยยี วยา อยา งนอ ยมศี าสนา เปน เครอ่ื งเยยี วยา ก็ยังมีทางบรรเทาทุกขไปไดพอสมควร เชน เดยี วกบั โรคแมจ ะมคี วามรนุ แรงเพียงไร แตถ า มยี าเครอ่ื งเยยี วยารกั ษาอยบู า งแลว กย็ งั พอทาํ เนาได ไมเหมือนปลอยให เปนไปตามอัตราของโรคที่มีมากนอยโดยไมมียาไปเกี่ยวของเลย จิตใจของโลก ถามีแตเรื่องของกิเลสกองทุกขลวน ๆ เปน เจา อาํ นาจบงการอยภู าย ในใจนน้ั โลกไมว า ชาตชิ น้ั วรรณะใด จะหาความสงบสขุ ไมไ ดเ ลย เพราะไมม เี ครอ่ื งบรรเทา คอื ศาสนา คาํ วา “ศาสนา” กค็ อื คาํ สงั่ สอนท่กี ลมกลืนดว ยเหตผุ ลน่ันเอง รวมแลว เรยี กวา “ศาสนธรรม” เมื่อแยกออกพูดเฉพาะคําวา “ศาสนา” ก็เหมือนกบั วาเปนอกี อนั หน่งึ และเปนอีกอันหนึ่งแตกแขนงออกไป ความจรงิ คาํ วา “ศาสนา” ถาพดู ตามหลักความจริง แลว กค็ อื เหตกุ บั ผลบวกกนั เขา นน่ั แลเรยี กวา “ศาสนา” การเชื่อตอเหตุตอผลนั้นคือไม ฝน ไมปนเกลียวตอเหตุตอผลที่ถูกตองแลว และปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ ไปตามนน้ั โลกจะพอมีทาง เบาบางจากความทกุ ขค วามลาํ บากทง้ั ภายนอกภายใน จาํ พวกไมม ศี าสนาเขา เคลอื บแฝงเลยนน้ั ใครจะอยใู นสถานทใ่ี ดกต็ าม ไมวาจะมี ความรสู งู ตาํ่ ฐานะเพยี งไร จะหาความสขุ ความสบาย พอปลงจิตปลงใจลงชั่วระยะกาลไมได เลย เพราะไมมีที่ปลง เราจะปลงลงทไ่ี หน? ที่ไหนก็มีแตเรื่องของกิเลสอันเปนไฟทั้งกอง คือมีแตเรื่องความอยาก มีแตเรื่องความตองการไมมีประมาณ อยากใหเ ปน ไปตามใจหวงั ความอยากนน้ั ๆ ก็ผลิตทุกขขึ้นมาเผาตัวเอง สิ่งที่ตองการกลับไมเจอ แตกลับไปเจอแตสิ่ง ที่ไมตองการโดยมาก เพราะอาํ นาจของกเิ ลสพาสตั วโ ลกใหเ ปน เชน นน้ั ถา อาํ นาจของเหตผุ ลหรอื ธรรมพาใหเ ปน ไป แมจ ะทกุ ขจ ะลาํ บากบา งในการฝน กเิ ลส โดยทําลงไปตามเหตุตามผล แตเ วลาปรากฏผลขน้ึ มากเ็ ปน ความสขุ ความสบาย พอ มีทางผอ นคลายความทกุ ขล งไดบ า ง เพราะฉะนน้ั ศาสนาจงึ เปน ธรรมจาํ เปน อยา งยง่ิ ตอ จติ ใจของโลก เฉพาะอยา งย่งิ คือมนษุ ยเ รา ซง่ึ เปน ผมู คี วามฉลาดเหนอื สตั วท ง้ั หลาย ควรจะมี ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๓

๒๔ “ศาสนธรรม” เปน สมบตั ปิ ระดบั และคมุ ครองใจกายวาจา และความประพฤติในแงตา ง ๆ จะเปนที่งามตาเย็นใจท้ังสวนยอยสว นใหญไ มมีประมาณ คาํ วา “ศาสนา” นน้ั เปน แขนงหนึ่งทอี่ อกมาจากธรรมลวน ๆ คือออกจากธรรม “ทป่ี ระเสรฐิ ” เปนของอัศจรรย แยกออกมาเปน คําสอนโดยทาง “สมมุต”ิ เปน แขนง ๆ วา “ใหท าํ อยา งนน้ั อยา ทาํ อยางนี”้ เปน ตน ใหเ ราดาํ เนนิ ตาม ไมฝ า ฝน ปน เกลยี วกบั ธรรม อันเปนแนวทางถูกตองดีงามอยูแลว แมจ ะยากลาํ บากในการดาํ เนนิ ตามเพยี งไร เมื่อเชื่อ ตอเหตุตอผลแลว อุตสาหพยายามฝนทําลงไป การฝนทาํ ลงไปนน้ั คือการฝน กิเลสที่เปน “ขาศกึ ” ตอ ธรรม อันเปน การฝน ทาํ ในส่ิงทต่ี นตองการ อันเปนเรื่องของ “ธรรม” มีใจ เปน ผบู งการ ผลที่พงึ ไดรับก็ยอ มเปนความรม เย็นเปนสขุ ยกตัวอยางเชน เราคดิ อะไรวนั นจ้ี นเกดิ ความวา วนุ ขนุ มวั ไปหมด ใจทั้งดวงกลาย เปนไฟทั้งกอง เฉพาะอยางยิ่งสิ่งที่ไมชอบใจ สิ่งที่ขัดใจมาก จิตจะไปยุงอยูกับสิ่งที่ขัดใจ มากไมพอใจมากนั้นแหละ ทงั้ วันท้ังคืนยืนเดนิ น่งั นอนไมยอมปลอ ยวาง ถือเปนอารมณ แทนคาํ บรกิ รรมภาวนา แลวผลจะมีความสุขขึ้นมาไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟขึ้นมาเปน ลาํ ดบั ๆ เพราะเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน “ไฟ” และความคดิ ในเรอ่ื งนน้ั พาใหเ ปน ไฟ ผลจะ ปรากฏขน้ึ มาเปน “นาํ้ ” ไดอยางไร มันก็ตองเปนไฟอยูโดยดี ขืนคิดมากเพียงไรก็ยิ่งจะ ทาํ ลายจติ ใจของเรามากเพยี งนน้ั สุดทายจนกินไมไดนอนไมหลับ แทบไมมีสติหรือไมมีสติ ยบั ยง้ั จนเปนบา ไปเลยก็มีไมน อย เพราะเรอ่ื งและความคดิ ทาํ ลาย สงิ่ ที่ทําลายเหลา น้ีคืออะไร? ก็คือเรื่องของกิเลส ไมใชเรื่องของธรรม ฉะนน้ั การฝน ไมคิดในอารมณไมดีนั้น ๆ ดวยการหักหามความคิดปรุงของใจดวยสติ สกัดกั้นดวย ปญญา แมจ ะลาํ บาก ผลที่ปรากฏก็คือความสงบยอมเปนที่หวังได หรือพอมีสติขึ้นมา พจิ ารณาใครค รวญถึงทางท่ีถูกท่ีควร สิ่งดีชั่วในสิ่งที่คิดนั้น ในเรอ่ื งทค่ี ดิ นน้ั วา ทําไมจึงตอง คิด กท็ ราบแลว วา ไมดีคิดไปทาํ ไม แลวหาทางแกไ ขเพื่อความดีไมไ ดหรอื ? นั่นเรื่องของ เหตผุ ลเปน อยา งนน้ั การคิดมาทั้งมวลนี้ก็พอเห็นโทษของมันแลว เพราะทุกขเปนประจักษ พยานอยภู ายในใจ มคี วามรมุ รอ นเปน กาํ ลงั นี่คือผลของความคิดในสิ่งนั้น ๆ ที่เปนของไม ดี ถาจะฝนคิดมากยิ่งกวานี้แลวจะเปนอยางไร ขนาดทีค่ ดิ นี้ความทกุ ขก็แสดงใหเหน็ ชดั เจน อยา งนแ้ี ลว ถาจะคิดเพิ่มยิ่งกวานี้ ความทุกขจะไมมากกวา นจ้ี นทวมหวั ใจไปละหรือ แลว จะ ทนแบกหาม “มหันตทุกข” ไดอยางไร? ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๔

๒๕ ถาฝนคิดมาก ทุกขตองเพิ่มมากกวานี้เปนลําดับ เมอ่ื มากกวา นแ้ี ลว เราจะมกี าํ ลงั วงั ชามาจากไหน พอตานทานแบกหามความทุกขที่ผลิตขึ้นทุกระยะ จากความคิดในสิ่งที่ไม พอใจนั้น ๆ เราจะฝน คดิ ยังจะฝน กอบโกยทกุ ขเ หลานัน้ เพมิ่ ขนึ้ เปน ลําดับ ยิ่งข้นึ กวา นี้อยู หรอื ? เพียงเทานี้จิตก็ไดสติ พอไดสติจิตก็เริ่มสงบและยังยั้งตัวได และพยายามปลอ ยวาง ความคดิ เชน นน้ั โดยทางเหตผุ ลอยา งใดอยา งหนง่ึ ที่จะใหจิตผละออกจากสิ่งนั้นและระงับ ความคดิ นน้ั ๆ ได ผลทีจ่ ะปรากฏดงั ที่เคยเปนมาแลว กร็ ะงบั เพราะความคิดอนั รอนอนั เปน สาเหตนุ น้ั มนั ระงบั ตวั ลง การระงับตัวลงไดแ หง ความคดิ นั้น เพราะความมสี ตยิ บั ยง้ั น่ี ก็พอเปนสกั ขีพยานอันหนง่ึ แลววา เทา ทเ่ี ราฝน คดิ ในสง่ิ นน้ั มาดว ยสติ และใครค รวญดว ย ปญญา มผี ลปรากฏขนึ้ มาอยา งนี้ คอื ปรากฏเปน ความสงบรม เยน็ ขน้ึ มา ทีนี้ทุกขก็ระงับดับ ไป แมจ ะลาํ บากในการฝน ในการบงั คบั จติ ใจ กจ็ งคิดหาอุบายปลดเปล้ืองตนเชน นั้น อนั ความลาํ บากนน้ั เรากย็ อมรบั วา ลาํ บาก แตลําบากในทางทีถ่ กู ทีนี้ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็ เปน ความสขุ และเปน ความดี เรื่องก็ไมยุงเหยิงวุนวายตอไป ทุกขก็ไมเพิ่มขึ้นมาอีก เราก็ พอผอนคลายตัวได หรอื มเี วลาปลงวาง “ถา นเพลงิ ” คอื ความทกุ ขร อนบนหัวใจลงได น่ี เปน หลกั เกณฑห นง่ึ ทเ่ี ราจะนาํ มาพจิ ารณา เกี่ยวกับเรื่องที่ไมถูกตองดีงามทั้งหลาย เชน เขาดเุ ขาดา เขาตฉิ นิ นนิ ทาวา อยา งนน้ั ๆ คาํ ตฉิ นิ นนิ ทาเขากผ็ า นปากเขาไป แลว ผา นความรสู กึ ของเขาไปแลว ตง้ั แตว นั ไหนเดอื นไหนไมท ราบ เราเพง่ิ ทราบในขณะ นน้ั เวลานน้ั กเ็ ปน ความไมพ อใจขน้ึ มา ไอลมปากเขาก็หายไปแลวตั้งกี่ปกี่เดือนไมทราบ เพียงแตลมปากใหมขึ้นมาวา “เขาวา ใหค ณุ อยา งนน้ั ๆ” เชน “นาย ก นาง ข.วา ใหค ณุ อยา งนั้น ๆ ไมดีอยางนั้น ๆ” นี่เปน ลมปากครงั้ ท่ี ๒ เรากย็ ดึ เอาอนั นน้ั มาเปน “ไฟ” เผา ตวั ข้ึนมาอยา งลม ๆ แลง ๆ โดยไมมีเหตุผลอะไรเลย นเ่ี ปน ความสาํ คญั ผดิ ของเรา ถา เขา ไมเ ลา ใหฟ ง เรากธ็ รรมดา ธรรมดา ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้นเขาไดพูดไปแลว ถา เขาไดเ คยตาํ หนติ ิ ฉนิ นนิ ทาเรา เขากต็ าํ หนไิ ปแลว ผา นไปแลว เรากไ็ มเ หน็ มคี วามรสู กึ อยา งไร เพราะจติ ใจ ไมกระเพื่อมออกมารับสิ่งเหลานั้น จิตเปนปกติ ผลก็ไมแสดงขึ้นมาในทางความทุกขความ รอ นใด ๆ ทั้งสิ้น เมอ่ื เปนผูม สี ตอิ ยูภายในตัว พอเขาพูดขึ้นมาเชนนั้น กท็ ราบทนั ทวี า สง่ิ นน้ั ไมด ี เรา จะไปควาเอามายึดถือใหสกปรกและหนกั หนวงถว งใจเราทําไม ของสกปรกเรากท็ ราบแลว แมแตเดินไปตามถนนหนทางไปเจอสิ่งสกปรก เรายงั หลกี ใหห า งไกล ไมกลาสัมผัสถูกตอง แมแ ตฝ าเทากไ็ มแ ตะตองเลยเพราะทราบแลววาของไมด ี ถาขืนแตะตองก็จะตองเปอน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๕

๒๖ เปรอะไปหมด เราทราบแลว วา สง่ิ เหลา นส้ี กปรก แลว ทาํ ไมเราชอบไปคลกุ คลี ชอบไปยุง ชอบไปนาํ มาคดิ มาวนุ วายตวั เอง จนใหเกดิ ผลข้นึ มาเปน ความสกปรกไปทั้งจติ กลายเปน ไฟทั้งดวง ไมส มควรเลย เราคดิ อยา งน้ี เราระงบั ความคดิ และอารมณน น้ั ได พอจะคิดขึ้นในขณะใดสติเราก็ ทันและรทู ันที แลวปลอยไปได ไมย ดึ มาเปน อารมณเ ผาลนใจอยนู าน ทก่ี ลา วมาแลว นท้ี ง้ั หมด เปนหลักธรรมวิธีปองกันตัวในวิธีรักษาตัว เมอ่ื เราใชว ธิ นี เ้ี ปน “ยาประจาํ บา น” ประจาํ ตวั ทกุ อริ ยิ าบถ ใจก็ปกติไมคอยจะเปน ภัยแกต ัวเองจากส่งิ ท่มี าสมั ผัสทงั้ หลาย จะมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย แม ในทางอารมณท่ีเกิดข้นึ กับใจโดยเฉพาะ ที่ไปคิดในเรื่องอดีตที่ไมดีไมงามตาง ๆ มารบกวน เจาของก็ตาม หรืออะไร ๆ มาสมั ผสั ก็สลัดไดทันที เพราะสตปิ ญ ญามอี ยกู บั ใจ นาํ มาใช เมื่อไรก็เกิดประโยชนเมื่อนั้น นอกจากจะปลอ ยใหส ง่ิ เหลา นน้ั เขา มาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเสยี โดยไมคํานึงถึงเครื่องปองกันคือสติปญญาเลย เราถึงยอมรับทุกข แตถายอมรับทุกขตามหลักความจริงที่ตนโง ตนประมาทแลว ก็ไมตองบนกัน แตน ่ี กบ็ นกนั ทั่วโลกดนิ แดน เพราะอะไรเลา ถงึ บน ? เพราะไมอยากทุกข เมื่อไมอยากทุกขก็คิด ทาํ ไมเลา ในสิ่งที่จะเปนทุกขฝนคิดทําไม กเ็ พราะความไมร ู รเู ทา ไมถ งึ การณ เมอ่ื เปนเชน นน้ั จะเอาอะไรมาใหร เู ทา ถงึ การณ? กต็ อ งเอาสตปิ ญ ญามาใชก ท็ นั กบั เหตกุ ารณ ไมเ สีย ไปหมดทั้งตัว ยังพอยื้อแยงไวไดบางในขั้นเริ่มแรกแหงการฝกหัด ตอไปก็ทันเหตุการณทุก กรณี ตีชนะไดทุกวิถีทาง วิธีปฏิบัติตอตัวเองดวยหลักศาสนาตองปฏิบัติอยางนี้ โลกถาตางคนตางมีเหตุผล เปน เครอ่ื งดาํ เนนิ ไมว า กจิ การภายนอก ไมว า กจิ การภายใน อันใดทจ่ี ะเปนภัยตอตนและ สว นรวม ตางคนตางคิด ตา งคนตา งเขา ใจ ตา งคนตางละเวนไมฝ าฝนด้ือดานหาญทาํ กัน ซง่ึ เปน การชว ยกนั ทาํ ลายตนและสว นรวมใหเ สยี ไป อนั ใดทเ่ี ปน คณุ ประโยชนแ กต นและสว นรวมแลว พยายามคดิ ทาํ ในสง่ิ นน้ั ๆ โลกก็มี ความเจรญิ รงุ เรอื ง อยดู ว ยกนั มากนอ ยกม็ ีความผาสุกเยน็ ใจไปทวั่ หนา กนั เพราะมหี ลกั ศาสนาเปน เครอ่ื งพาดาํ เนนิ ยอ มยงั บคุ คลใหเ ปน ไปเพอ่ื ความสงบสขุ ดวยการปฏิบัติ ถกู ตอ งตามหลกั เหตผุ ล อนั เปน หลกั สากลทพ่ี าโลกใหเ จรญิ ดงั นน้ั เรอ่ื งศาสนาจงึ เปน เรอ่ื งสาํ คญั สาํ หรบั การอยดู ว ยกนั น่หี มายถึงปจ จบุ ันทีอ่ ยู ดวยกัน แมป จ จบุ นั จติ และตวั เราเองกม็ คี วามรม เยน็ เปน สขุ ไมเ ดอื ดรอ นวนุ วายแผ กระจายออกไปสสู ว นรวม ตา งคนตา งกม็ คี วามรูสึกเชนนัน้ โลกกม็ คี วามผาสุก เมอ่ื หมาย ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๖

๒๗ ถึงอนาคตขางหนาของจิต จิตท่ีมเี หตุมีผลเปนหลกั ยดึ มธี รรมอยภู ายในใจแลว จะหาความ เดือดรอนจากที่ไหน มาจากโลกใด เพราะจติ เปน ผผู ลติ ขน้ึ เอง เมื่อจิตไมผลิต จติ มอี รรถมี ธรรมเปนเครื่องปองกันรักษาตนเองอยูแลว ไปโลกไหนก็ไปเถอะ ไมม คี วามทกุ ขร อ นท่ี จะไปทาํ ลายจติ ใจของผนู น้ั ไดเ ลย พูดตามหลักธรรมแลว จติ ทีม่ ีคณุ งามความดปี ระจาํ ใจ ยอมจะไมไปเกิดในสถานที่ จะไดร ับความทุกขความทรมาน เพราะ “กรรมประเภทนน้ั ” ไมมีจะผลักไสไปได มีแต ความดคี อื กศุ ลกรรม เปนเครื่องพยุงจูงไปสูสถานที่ดี คติที่งามโดยลําดับ ๆ เทา นน้ั อนาคตก็เปนอยา งนแ้ี ล ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม ผมู ธี รรมในใจ ผดิ กับบคุ คลที่ไมมีธรรมเปนไหน ๆ แมแ ตอ ยใู นโลก เดยี วกัน เปน รปู รา งเหมอื นกนั กต็ าม แตค วามรคู วามเหน็ ความคดิ การกระทาํ ตา ง ๆ นน้ั มีความผิดกันอยูโดยลําดับ ผลที่จะพึงไดรับจะไดเหมือนกันยอมเปนไปไมได ตองมีความ แตกตางกนั อยูเ ชน นเี้ ปน ธรรมดาตั้งแตไหนแตไรมา ฉะนั้น พระพุทธเจา จงึ ทรงสอนวา “กมมฺ ํ สตเฺ ต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรม เปน เครอ่ื งจาํ แนกสตั วท ง้ั หลาย ใหม คี วามประณตี เลวทรามตา งกนั ” ไมนอกเหนือไปจาก กรรม กรรมจึงเปนเรื่องใหญโตที่สุดของสัตวโลก ทําไมจึงใหญโต? เพราะเราตา งคนตา ง เปน ผผู ลติ กรรมขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ดว ยกนั แมจะไมค ิดวา ตนสรางกรรมก็ตาม ผลดีชั่วก็เกิด จากกรรมคอื การกระทําทกุ ราย จะหักหามไมไดเมื่อยังทํากรรมอยู คาํ วา “กรรม” คืออะไร? แปลวา การกระทาํ เปน กลาง ๆ คดิ ดว ยใจเรยี กวา “มโนกรรม” พดู ดว ยวาจา เรยี กวา “วจีกรรม” ทาํ ดว ยกาย เรยี กวา “กายกรรม” ใน กรรม ๓ ประเภทน้ี เราเปน ผผู ลติ ผสู รา งอยตู ลอดเวลา แลวจะปดกั้นผลไมใหปรากฏดีชั่ว ขึ้นมาไดอยางไร เมื่อการผลิตมีดีมีชั่วประจําตนอยู ธรรมชาตทิ เ่ี ราผลติ ขน้ึ มานแ้ี ล เปน เจา อาํ นาจสาํ หรบั ปกครองจติ ใจ สนบั สนนุ หรอื จะบงั คบั จติ ใจใหไ ปเกดิ และอยใู นสถานทใ่ี ด คติใดก็ได จะนอกเหนือไปจากผลแหงกรรมที่เรียกวา“วบิ าก” ซึ่งตนกระทําแลวนี้ไปไมได ไมมีสิ่งใดมีอํานาจยิ่งไปกวาผลแหงกรรมที่ตนทํานี้ จะเปน เครื่องประคับประคอง หรอื เปน เครื่องกดขี่บังคับตนในวาระตอไป หลกั ศาสนาทา นสอนอยา งน้ี ทา นไมใหเชอื่ ทอ่ี ืน่ ยง่ิ ไปกวา ความเคลื่อนไหวดชี ว่ั ทาง กายวาจาใจทเ่ี รยี กวา “กรรม” นเี้ ปน หลกั ประกนั ตวั อยูท่นี ี่ เพราะฉะนน้ั สง่ิ ทท่ี าํ ลายตวั และ สง เสรมิ ตวั กค็ อื อนั นเ้ี ทา นน้ั ไมมอี ะไรมาทําลายและสง เสรมิ ได ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๗

๒๘ การคดิ การพดู การกระทํา ในทางที่ไมดี คอื การทาํ ลายตวั เอง การคดิ การพูด การ กระทําในทางที่ดี คอื การสง เสรมิ บาํ รงุ ตนเอง การประกันตนเอง ไมใหตกไปในทางไมพึง ปรารถนากม็ อี ยใู น “หลกั กรรม” นเ้ี ทา นน้ั ไมมีอะไรยิ่งไปกวานี้ เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมค วร กลวั สง่ิ โนนกลวั ส่ิงนโ้ี ดยหาเหตุผลไมได จะกลายเปนกระตายตื่นตูมทั้งที่ถือพุทธ อันเปน องคพยานแหงความฉลาดแหลมคม สิ่งที่นากลัวที่สุดก็คือ ความคดิ การพดู การกระทํา ที่เปนภัยแกตนเอง ไมว า จะใน แงใ ดพงึ ทราบวา “นี้แลคือตัวพิษตัวภัยซึ่งกําลังแสดงออกกับกาย วาจา ใจของเรา ของ ทา นอยเู วลาน”้ี ถาไมยอมรูสึกตัวแกไขใหมเสีย อนั นแ้ี หละจะเปน ตวั พษิ ภยั ทร่ี า ยกาจทส่ี ดุ ใหโ ทษแกเ ราไมเ พยี งแตป จ จบุ นั น้ี ยงั จะเปน ไปในอนาคต จนหมดฤทธิ์หมดอํานาจของ “กรรม” ทท่ี าํ ไวน แ้ี ลว ทุกขภัยตาง ๆ จึงจะหมดไปได ผูเช่ือศาสนาจงึ ตอ งเชือ่ “หลักกรรมกับวบิ ากแหง กรรม” คือผลพึงติดตามมาโดย ลาํ ดบั เราทุกคนมีใครนอกเหนอื ไปจากการทาํ กรรมได? ไมมี ตองทําดวยกันทุกคน คนมี ศาสนาหรอื ไมม ศี าสนากท็ าํ “กรรม” กันทั้งสิ้น เพราะเปน หลกั ธรรมชาตแิ หง การกระทาํ ซึ่งมีประจําตนอยูแลว และถูกตองตามหลักของศาสนาที่ทานสอนไวแลว กรรมมีอยูกับทุก คน นอกจากจะเชื่อหรือไมเชื่อเทานั้น ซงึ่ กไ็ มมกี ารลบลา งกรรมนนั้ ได ทั้งกรรมทั้งผลแหง กรรมไมมีทางลบลางได ตองเปนกรรมและเปนผลดีชั่วไปทุกภพทุกชาติ ไมมีอันใดนอก เหนอื ไปจาก “กรรม” และ “วบิ ากแหง กรรม” ซึ่งเกิดจากการทําดีทําชั่วของตัวเอง จึงไม ควรกลวั เรอ่ื งสมุ สส่ี มุ หา อนั หาเหตผุ ลไมไ ด ถา กลวั นรกกก็ ลวั บอ นรกทก่ี าํ ลงั สรา งอยเู วลาน้ี ซง่ึ อยภู ายในจติ ใจเปน ตน เหตสุ าํ คญั นแ่ี หละ“บอ นรก” สาเหตทุ จ่ี ะทาํ ใหไ ฟนรกเผากอ็ ยทู ใ่ี จน้ี ใหร สู กึ ตวั และมสี ตจิ ดจอ มปี ญ ญาพนิ จิ พิจารณาแกไ ขเคร่อื งมอื ของตนทีก่ ําลังคิดผดิ และผลติ ยาพษิ หรอื ผลติ คณุ ธรรมขน้ึ มา ภายในใจ ใหเ ลอื กเฟน ตรงน้ี และทาํ ตามความเลอื กเฟน ดว ยดแี ลว จะไมม อี ะไรเปน พษิ เปนภัยแกสัตวโ ลกมีเราเปน ตนเลย นแ่ี หละศาสนาจาํ เปน หรอื ไมจ าํ เปน ? ใหคิดที่ตรงนี้ ผูที่สอนก็คือผูที่รูเรื่องของ กรรม รูเร่อื งผลของกรรมดว ยดีแลว ไมมีทแ่ี ยง คือพระพุทธเจา ทรงทราบทุกสิ่งทุกอยาง ทั้งกรรมของพระองคและกรรมของสัตวโลก ทั้งผลแหงกรรมของพระองคและผลแหง กรรมของสัตวโลกทั่วไตรโลกธาตุ ไมมีใครสามารถอาจเอื้อมที่จะรูไดเห็นไดอยางพระพุทธ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๘

๒๙ เจา จึงทรงประกาศความจริงนี้ออกมาเปน “ศาสนธรรม” ใหเ ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟ ง ได ประพฤติปฏิบัติตามโดยไมมีอะไรผิด ถา ไมฝ น ศาสนธรรมทท่ี า นสอนไวเ สยี อยา งเดยี ว โดยการกระทําในสิ่งที่ไมดีทั้ง หลาย ผลจึงปนเกลียวกันกับความตองการ กลายเปน ความไมส มหวงั หรอื เปน ความทกุ ข ขึ้นมา หลักใหญอยูที่ตรงนี้ โลกมเี ราเปน ตน ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ แมจะมีทุกขมากนอยก็พอมีที่ปลงที่วาง ได เหมอื นกบั โรคทม่ี ยี าระงบั ไมปลอยใหเปนไปตามกําลังหรืออํานาจของโรคโดย ถา ยเดยี ว ยอมพอมีทางหายได การสรา งความดไี มเ ปน สง่ิ ทน่ี า เบอ่ื ไมเปนสิ่งที่นาเอือมระอา ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า เกลยี ด ไมเ ปน สง่ิ ทน่ี า อดิ หนาระอาใจ เพราะสง่ิ ทง้ั หลายทเ่ี ปน ความสขุ ความสมหวงั ทง้ั มวล เกิดขึ้น จากการสรา งความดเี ทานนั้ ไมไดเกิดขึน้ จากอะไร สรา งเทา ไรมเี ทา ไรขน้ึ ชอ่ื วา ความดี แลว ไมเ ฟอ ไมเหมือนสิ่งภายนอกซึ่งมีทางเฟอได ถา มมี ากเขา จรงิ ๆ แตค นดมี มี ากเทา ไรไมเ ฟอ ความดีมีมากเทาไรไมมีเฟอ ดเี ทา ไรยง่ิ มคี วามอบอนุ แนน หนามน่ั คงภายในใจ ยิ่งมีความดีงามตอกันจํานวนมากเทาไรยิ่งอบอุนไปหมด ไมม คี าํ วา “เฟอ” ผดิ กับส่ิงตาง ๆ ที่มีการเฟอได เชน “เงนิ เฟอ ” “คนเฟอ ” เราเคยไดเ หน็ ไหม? เราเคยไดย นิ แต “เงนิ เฟอ ” สิ่งของมีมากจนลนตลาดก็เฟอ ขายไมไดราคา ตองขายลด ราคาลงไปตามลาํ ดบั ๆ ทีนี้ “มนษุ ยเ ฟอ ” เราเคยไดย นิ ไหม? เวลานม้ี นษุ ยก าํ ลงั เฟอ จะหาราคาํ่ ราคาไมไ ดแ ลว เพราะมีมากตอมาก ใครก็จะเอา แตตัวรอดวาเปนยอดดี แลวสรา งความทกุ ขใหผูอน่ื มากมายเพอ่ื ความสขุ ของตัวเอง มีเทา ไรเวลาน้ี มมี ากมายทเี ดยี วทม่ี คี วามเหน็ แกต วั มาก เหน็ แกไ ดม าก โลภมาก เพราะกเิ ลส ตณั หามนั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั สง่ิ ทใ่ี หม นั เจรญิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั กเ็ พราะไดร บั การสง เสรมิ เลย้ี งดู อยางเหลือเฟอจน “เฟอ ” ซง่ึ เวลานก้ี าํ ลงั มมี าก นยิ มกนั มาก มีเต็มอยูทุกแหงทุกหน ซึ่ง แตก อ นเรากไ็ มเ คยเหน็ ไอส ง่ิ สง เสรมิ ใหก เิ ลสตณั หาราคะมนั แสดงตวั ขน้ึ เปน เปลวเหมอื น ฟนเหมือนไฟ ทกุ วนั นไ้ี ดเ หน็ กนั แลว แตโลกก็ยินดีจะวายังไง ? ทุกขเทาไรก็ไมเห็นโทษของมัน ยังถือวาสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี ถือวาดีอยูเรื่อย ๆ จนกระทั่งจะไมมีสติสตังเลยแทบจะเปนบา ก็ยังวาดีอยูเรื่อยไป แลว จะมี ทางแกกันที่ตรงไหน? เมอ่ื ยงั มคี วามยนิ ดใี นความเปน บา อยเู ชน นน้ั แลว มันจะมีสติสตัง เปนคนดีไดอยางไร? นแ่ี หละ “มนุษยเฟอ” ดูเอา เฟอ จนจะเปน บา กนั ท่ัวดินแดนทงั้ เขา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๙

๓๐ ทง้ั เรา เมื่อจิตใจที่เฟออยางนี้แลวมันก็ทําใหมนุษยเฟอดวย กอนที่มนุษยจะเฟอ จิตใจตอง เฟอเสียกอน คือจิตใจไมมีคุณคา จิตใจไมมีราคา ถูกสิ่งสกปรกโสมมซึ่งรกรุงรังเขาไปทับ ถมคลกุ เคลา เสยี หมด หุมหอหมด จนมองหา “ตวั จรงิ ” คือจิตไมเจอ แลวคณุ คา ของจิต ดวงนี้จะมีมาจากที่ไหน เมื่อมีแตของเฟอ ๆ เตม็ หวั ใจอยา งน้ี เวลาแสดงออกทางกายวาจากริ ยิ ามารยาทก็ เปน “มนุษยเฟอ” เฟอไปตาม ๆ กันหมด แลวคุณคาของมนุษยนั้นจะมีไดที่ไหน? เมอ่ื เปน เชน นแ้ี ลว โลกนม้ี นั นา ดนู า ชมและนา อยทู ต่ี รงไหน ? ถาไมอยูกับมนุษยที่ทําตัวใหดีมี คณุ คา สาํ หรบั ตวั มันกม็ ีเทา นัน้ ถา มนษุ ยเราทาํ ใหเ ฟอแลว จะไมม ีโลกอยแู นน อน แลว จะ ไปตาํ หนใิ คร กม็ นุษยเ ปนผทู าํ ใหเ ฟอเสยี เอง ใครไมเ ห็นกด็ ูเอา พูดยอ ๆ แตเ พยี งเทาน้ีก็ พอจะทราบไดวามนุษยเฟอเปนอยางไร เราไมไ ปตาํ หนคิ นอน่ื เรากเ็ ฟอ ถา ทไ่ี หนไมด สี าํ หรบั เรา เราก็เฟอเหมือนกัน นเ่ี รา เอาหลักธรรมของพระพุทธเจามาทดสอบ ทดสอบพวกเราที่กําลังเฟอ ๆ อยเู วลานแ้ี หละ ใหพยายามแกสิ่งที่เฟอออก ส่ิงทเี่ ฟอนัน่ แหละคือสิ่งทที่ ําลายคุณสมบตั ิของเรา คุณคาของ มนษุ ยเ รา พยายามแกตรงนี้ที่กําลังเฟอนี้ ใหก ลบั เปน ความดขี น้ึ มา เอา รน เขา มาหานกั ปฏบิ ตั เิ รา ความขเ้ี กยี จนน้ั แหละคอื ความเฟอ แกมันออก ความขเ้ี กยี จ ความออ นแอ มนั พาใหเ ราเฟอ จงชะลางมันออกไป ใหมคี วามเขม แขง็ มี ความอตุ สา หพ ยายามเขา มาแทนท่ี ดว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม เชื่อพระพุทธเจา เอา เปน ก็เปน ตายกต็ าย เร่ืองความเกิดกับความตายนั้นมันเปนของคกู นั อยูเ สมอ จะแยกมันออกจากกันไปไหน เพราะเราเกดิ มากบั ความตาย เราไมไ ดต ายมากบั ความเกดิ เมื่อเกิดแลวมันตองมีตาย ถาแกไขไดแลว ตายแลวไมตองเกิดอีก เพราะฉะนน้ั จงึ วา เกดิ มากบั ความตาย ไมใชตายมากับความเกิดนะ ดังพระพทุ ธเจาท้งั หลายและสาวกทั้งหลายทานตายแลว ทา นไมเ กิดอีก ผบู รสิ ทุ ธ์ิ แลวตายแลวไมตองกลับมาเกิดอีก แตเกิดแลว กบั ความตายจะตอ งตายเปน คกู ัน พระพุทธ เจากต็ องตายท่เี รยี กวา “ปรนิ พิ พาน” ความจรงิ คอื ธาตขุ นั ธส ลายเชน เดยี วกบั โลกทว่ั ๆ ไปนน่ั เอง เพราะตน เหตมุ นั มอี ยแู ลว จะไปลบผลมันไมได ผลคอื เกดิ ขน้ึ มาแลว ความตาย จะตองมีเปนธรรมดา นี่ตนเหตุคือความเกิดขึ้นมา ผลคอื ความตาย จะแยกกันไมได มัน ตองมีเปนคูกันเสมอ น่แี หละคูแ หง ความเกิดตายของโลกที่มีกิเลสฝงเช้อื อยูภายในใจ เปน อยางนี้ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐

๓๑ เราสเู พอ่ื ชยั ชนะ จิตไมตาย แตจิตถูกจองจําทําเข็ญ ยงุ กนั ไปวนกนั มาจนเปน “นกั โทษ” ทั้งดวง หาหลกั หาเกณฑไ มไ ด เพียงแตฝกซอมดัดแปลงตัวเองออกจากสิ่งที่สกปรก รกรงุ รงั ก็ยังแยกไมได เพราะความออ นแอ แมสติปญญามีอยูก็ไมผลิตขึ้นมาเพื่อแกตน การแกตนแกดวยสติ แกดวยปญญา แกด ว ยศรทั ธาความเพยี ร พระพุทธเจาเคยแกอ ยางน้ี มาแลว กอ นจะไดผ ลและนาํ ธรรมมาสง่ั สอนโลก พอไดล มื ตามองเหน็ บญุ เหน็ บาปบา งตาม กาํ ลงั สว นเราเอาอะไรมาแก เอาความขี้เกียจมาแกก็เพิ่มเขาไปอีก เพิ่มโทษเขาไปเรื่อย ๆ ติดโทษประมาณเทา น้ันปเทานี้ป แทนที่จะไดออก กลับเพิ่มโทษขึ้นมาเรื่อย ๆ มันก็ไมได ออกจากคุกจากตะรางสักที เลยตายอยใู นเรอื นจาํ นด่ี แี ลว เหรอ? “เรอื นจาํ ” ในทน่ี ห้ี มายถงึ “วฏั จกั ร” คอื ความหมนุ เวยี นเปลย่ี นแปลงของโลก เกิดตาย อนั ฉาบทาไปดว ยความทกุ ขทรมาน ซึ่งไดแกพวกเราเอง แลว เราจะเอาอะไรมา แก? เอาความออนแอมาแกมันก็จม เพิ่มโทษเขาอีก ตองเอาความเขมแข็งความขยันหมั่น เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายาม สติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เรงลงไป เอา ตายกต็ าย โลกน้ี มีความเกิดความตายเทา นัน้ ไมมีใครจะนอกเหนือกวากนั สิ่งที่จะนอกเหนือ คือสติปญญา ศรัทธา ความเพยี รของเรา ทจ่ี ะนาํ ตวั เราใหห ลดุ พน ไปไดใ นระยะใดกต็ าม ไดช อ่ื วา เราได ชัยชนะเปนพัก ๆ ไป นแ่ี หละทจ่ี ะทาํ ใหเ รามคี ณุ คา เอาตรงน้ี ชนะกันตรงนี้ ซง่ึ เปน ความ ชนะเลิศเหนือกเิ ลสสมมตุ ิท้ังปวง ชนะอะไรก็เคยชนะมาแลว แตชนะตัวเองคือชนะกิเลสของตัวเอง ยงั ไมเ คยเลย เอา เอาใหชนะใหไดเปน พัก ๆ ไป จนกระท่งั ชนะไปโดยสิ้นเชิงไมมีส่ิงใดเหลอื นั่นแหละ การ ชนะอะไรหรอื ผอู น่ื ใดคณู ดว ยลา น ยงั ไมจ ดั วา ชนะเลศิ ประเสรฐิ เหมอื นชนะกเิ ลสของ ตนคนเดยี ว การชนะกเิ ลสภายในใจของตนเพยี งคนเดยี วเทา นน้ั ผนู น้ั แลเปน ผู ประเสรฐิ สดุ ในโลก นั่นฟงซิ ชนะสิ่งอื่นไมมีอะไรประเสริฐเลย นอกจากจะเพิ่มโทษเพิ่มกรรมเพิ่มเวร ใหยุงเหยิงติดตอกอแขนง เกี่ยวโยงกันเปนลูกโซไปไมมีทางสิ้นสุดลงไดเทานั้น แตก ารชนะ กิเลสของตนดว ยสตปิ ญญาศรัทธาความเพียรนี้ เปน ผปู ระเสรฐิ ไมตองกลับมาแพอีกแลว มหี นทางเดยี วเทา นน้ั ตาย ตายเฉพาะหนเดยี ว เฉพาะอัตภาพที่มีอยูนี้ อนั เปน ตน เหตทุ จ่ี ะ ใหต ายอยเู ทา นน้ั นอกนั้นไมตองมากอกําเนิดเกิดเที่ยวหาจับจองปาชาที่ไหนอีก เราเคยจบั จองปา ชา มานานแลว เรอ่ื งปา ชา นม้ี นั ควรจะเบอ่ื กนั เสยี ที เกิดที่ไหนก็จองที่นั่นแหละ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๑

๓๒ สัตวโลกทุกตัวสัตวมีแต “นักจองปาชา” กันทั้งนั้น เกิดแลวตองตาย ตายแลว เอา ปา ชา ทไ่ี หน? กเ็ อาตัวของเราเองเปนปา ชา มันมีดวยกันทุกคน เราทําไมจะขยนั จองนกั จองปา ชา มนั ดหี รอื ? คนและสัตวทนทุกขจนถึงตายไป ไมเข็ดไมหลาบที่ตรงนี้จะไปเข็ด หลาบทต่ี รงไหน? อะไรมาใหท กุ ขใ หภ ยั แกเ รา ถา ไมใ ชเ รอ่ื งของความเกดิ ความตาย เทา นน้ั เปน ทกุ ขเ ปน ภยั ในระหวางทางก็เปนทุกขในธาตุในขันธ ความหวิ โหยโรยแรง ความทุกขรอนตาง ๆ มันเปน อยูในธาตุในขนั ธน ้ี ไมใชเปนอยูทีภ่ ูเขาน่นี า ไมไดอยูใน อากาศ ไมไดอยูที่ตนไม มนั อยใู นบคุ คลคนหนง่ึ ๆ สตั วต วั หนง่ึ ๆ นเ้ี ทา นน้ั กองทุกขรวม แลวมนั อยูท่เี รา เราจะไปคดิ วา “อยทู น่ี น่ั จะดี อยทู น่ี จ่ี ะดี” ถา ธาตขุ นั ธม นั เปน ภยั อยู แลวหาอะไรดีไมได ถา จติ ยงั เปน ภยั อยแู ลว หาอะไรสขุ เจรญิ ไมไ ด ตองแกไขที่นี่(จติ ) ดบั กันทน่ี ี่ เอานาํ้ ดบั ดับกันทีน่ ี่ นาํ้ คอื นาํ้ ธรรม ดับลงที่นี่แลวก็เย็น เยน็ แลว กส็ บาย หายโศกเศรา เลกิ กนั เสยี ทกี ารจบั จองปา ชา นแ่ี หละพระพทุ ธเจา ทา นสอนศาสนา สอนจนถึงที่นี่ การดาํ เนนิ ทจ่ี ะใหม คี วามสขุ ความสบาย กใ็ หด าํ เนนิ ไปตาม “สมั มาอาชวี ะ” โดยสมาํ่ เสมอ ภายนอกภายใน สมั มาอาชวี ะภายใน กบ็ าํ รงุ เลย้ี งจติ ของตนดว ยศลี ดว ยธรรม อยาเอายาพษิ เขามา แผดเผาจติ ใจ มีอารมณที่ไมพอใจเปนตน เขา มารบกวนจติ ใจ เผาลนจติ ใจใหเ ดอื ดรอ นขนุ มัว ก็เปนความชอบ ชอบ ชอบไปตามลําดับ จนกระทั่งจิตไปถึงความชอบธรรมโดย สมบรู ณแ ลว กผ็ า นไปได น่ี การแสดง “สมั มาอาชีวะภายนอก” ไมคอยมีเวลาเพียงพอ เอาละ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรแกเ วลา ขอยุติเพียงเทานี้ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๒

๓๓ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ เลห เ หลย่ี มของกเิ ลส ที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติผูรักษาตั้งแตศีลอุโบสถขึ้นไปจนถึงเณรถึงพระ ไมให นง่ั ใหน อนบนทน่ี อนอนั สงู และใหญภ ายในยดั ดว ยนนุ และสาํ ลี นน่ั ทา นทรงกลา ววา ผู ปฏบิ ตั ิธรรมจะมคี วามประมาท เพลนิ ในการหลบั นอนจนเกนิ ไปยง่ิ กวา ทาํ ความ พากเพียร พระองคทรงมีอุบายหามทุกแงทุกมุม ซง่ึ จะเปน ทางเพม่ิ พนู กเิ ลสทง้ั หลาย ทรงพยายามชวยเหลือตัดหนทางที่จะเพิ่มพูนกิเลสของผูปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ใน บรรดาท่ีรักษาศลี ตงั้ แตศลี ๕ ศลี ๘ ขึ้นไปถึงศีล ๒๒๗ ตามขั้นตอนของผูรักษาศีลนั้น ๆ แมธรรมก็ไมมีธรรมขอใดที่จะสอนใหผูปฏิบัติมีความประมาทนอนใจ มีแตสอน ใหมีสติใหมีปญญา ความระมัดระวงั ใหม คี วามพากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ใหเ ปน นักตอสูอยูตลอดเวลา ไมเ คยปรากฏในบทใดบาทใดวา พระองคท รงสอนใหล ดละความ พากเพยี รและออ นแอในการงานทช่ี อบทง้ั หลาย สอนฝา ยฆราวาสกส็ อนใหม แี ตค วามขยนั หมน่ั เพยี รทง้ั นน้ั เราจะเหน็ ไดใ นบท ธรรมวา อฏุ ฐานสมั ปทา ใหถงึ พรอมดวยความขยนั หมน่ั เพียรในกิจการงานท่ีชอบ อารักขสมั ปทา เมอ่ื แสวงหาทรพั ยส มบตั มิ าไดด ว ยความชอบธรรมแลว ใหพ ยายาม เก็บหอมรอมรบิ อยา ใชส รุ ยุ สรุ า ย กัลยาณมิตตตา ใหร ะมดั ระวงั อยา คบคนพาล สนั ดานชว่ั ใหค บเพอ่ื นทด่ี งี าม ระวังพวกปาปมิตรจะเปน เหตใุ หเ สยี ได เพราะคนเรา เมื่อคบกันไปนาน ๆ ยอมมีนิสัยกลมกลืนไปในรอยเดียวกันได ทั้งคนดีหรือคนชั่ว มี ทางเปนไปไดทั้งสอง คบคนชว่ั กเ็ ปน คนชว่ั ไปได คบคนดีก็เปนคนดีไปได สมชีวิตา ให เลย้ี งชพี พอประมาณ อยา สรุ ยุ สรุ า ยหรอื ฟงุ เฟอ เหอ เหมิ ลมื เนอ้ื ลมื ตวั การเกบ็ ทรพั ยเ ปน สง่ิ สาํ คญั ใหร เู หตผุ ลทค่ี วรเกบ็ เหตผุ ลทค่ี วรจา ย นน่ั นา ฟง ไหม ทา นสอนพวกเราทเ่ี ปน นกั สรุ ยุ สรุ า ยนะ มีจุดไหนที่พระพุทธเจาทรงสอนใหคนมี ความลมื ตวั ไมมี เพราะฉะนน้ั คาํ วา ประหยดั มัธยัสถ จึงเปนหลักประกันการครองชีพ ของบุคคลทั่วไปตลอดถึงผูปฏิบัติ ความไมลืมตัวคือความมีสติปญญาเปนเครื่องรักษา ตวั นน่ั เอง สมบัติมีมากมีนอยใหมีความประหยัดความมัธยัสถ ใหร จู กั ใชส อยใหเ กดิ ความสขุ บรรดาสมบตั ิเงนิ ทองมมี ากนอ ยอยาใหเ ปน ขา ศกึ แกตน เพราะความลมื ตวั นน้ั เลย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓

๓๔ นเ่ี ทศนส อนฆราวาสทา นสอนอยา งน้ี และเขากันไดทั้งฝายพระดวย เพราะธรรม เปน กลาง ๆ ใชไดทั่วไป แลว แตจ ะยดึ มาปฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมกบั ตนในธรรมขน้ั ใด หรอื จะใหเปนไปตามจิตใจของผูปฏิบัติขั้นใดไดทั้งนั้น เวลาสอนพระยิง่ มคี วามเขม แข็งมากข้นึ ไมใ หม ีความประมาทอุบายวธิ ีท่ีจะกนั้ ความรว่ั ไหลเขา มาแหง กเิ ลสทง้ั หลาย เพราะเทาทมี่ ีอยูน ้กี ็มากตอมากจนลน หวั ใจ ใน บางเวลาตองระบายออกทางกิริยา จนเปน สง่ิ นา กลวั มาก และพยายามฉุดลากมันออก ยากยงิ่ กวา สง่ิ ใดอยูแลว ไมมีอันใดท่ีจะเหนียวแนนยิ่งกวากิเลสภายในจิตใจของสัตว วิธี ถอดถอนกิเลสนี้ก็ตองลําบากยากยิ่งกวาถอดถอนสิ่งใด ทา นจงึ สอนพยายามระมดั ระวงั ไมใหกิเลสที่ยังไมมีหลั่งไหลเขามา ที่มีอยูแลวก็ใหพยายามรื้อถอนมันออกดวยความ พากเพยี รความอตุ สา หพ ยายาม ดวยความขยัน ความเฉลยี วฉลาด ไมใ หน อนใจกบั กิเลสชนิดใดทั้งสิ้น ใน อปณณกปฏิปทา ทท่ี า นสอนไวส าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ เฉพาะอยางยิ่ง คือสอนพระ อปณณกปฏิปทาคือการปฏิบัติไมผิด ปฏบิ ตั โิ ดยความสมาํ่ เสมอ คือ ตั้งแตปฐมยามไปใหประกอบความเพียร จะเดินจงกรมก็ไดจะนั่งสมาธิภาวนาก็ ได พอถึงมัชฌิมยามก็พักผอนนอนหลับ พอปจฉิมยาม ก็ตื่นขึ้นเดินจงกรมนั่งสมาธิ ภาวนาเรอ่ื ย ๆ ไป ตอนกลางวันก็ทํานองเดียวกัน หากจะมีการพักผอนบางในตอน กลางวันก็พักได แตตองระมัดระวังใหปดประตู รักษามารยาทในการพักนอน ทานสอน ไวโ ดยละเอยี ด แตอธิบายเพียงยอ ๆ เทา นน้ั การปฏบิ ตั โิ ดยสมาํ่ เสมอเชน นช้ี อ่ื วา อปณณกปฏิปทา ผทู จ่ี ะรบี เรง ยง่ิ กวา นใ้ี นบางกาลกย็ ง่ิ เปน ความชอบยง่ิ ขน้ึ ไป แตห ยอ นกวา นน้ั ทานไมไดสอน วา ใหห ยอ นกวา นไ้ี ด กินแลวอยากหลับอยากนอนเมื่อใดก็นอนเอาตาม ใจชอบเถอะ อยากกินอยากขบอยากฉันอะไรก็ฉันไปเถอะเลี้ยงไปเถอะ ตถาคตไดตรัสรู ดว ยวธิ นี แ้ี หละ เรอ่ื งของธาตขุ นั ธน เ้ี ลย้ี งใหม นั มคี วามอม่ิ หนาํ สาํ ราญใหม คี วามบรบิ รู ณ แลว เอาไปแขงหมูตัวกําลงั จะข้ึนเขยี ง นี่ทา นไมไดว า สาํ คญั ทห่ี ลอ เลย้ี งจติ ใจ นาํ ธรรมเขา มาหลอ เลย้ี งจติ ใจใหม คี วามชมุ เยน็ การ หลอ เลย้ี งจติ ใจดว ยอรรถดว ยธรรมนม้ี คี วามชมุ เยน็ จนกระท่งั รา งกายกพ็ ลอยมีความ ผาสุกไปดวยใจที่เปนหลักใหญของกาย แตการหลอเล้ยี งรา งกายโดยไมเ กี่ยวของกบั ธรรมเลยนน้ั ไมผ ดิ กบั ทเ่ี ขาเลย้ี งหมไู วส าํ หรบั ขน้ึ เขยี ง เพื่อหอมกระเทียมจะไดเปน ญาติกันสนิทดี ถาใครตองการผูกญาติมิตรอันสนิทกับหอมกระเทียมละก็ใหเรงการกิน การนอนความขเ้ี กยี จเขา ใหม าก มีหวังไดขึ้นเวทีคลุกเคลากับหอมกระเทียมโดยไม สงสัย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๔

๓๕ ศาสนธรรมทป่ี ระทานไวน น้ั จงึ หาทแ่ี ทรกหาทค่ี ดั คา นไมไ ด ไมว า จะเปน ธรรมขน้ั ใด อุบายวิธีทรงสั่งสอนไวเพื่อปดกั้นกิเลส เพื่อขับไลกิเลส ไมมีอุบายของผูใดที่จะมี ความฉลาดแหลมคมย่ิงกวาอบุ ายของพระพุทธเจา ท่ที รงนํามาสง่ั สอนสตั วโลก เพราะ การขบั ไลก เิ ลส การหกั หา มใจทก่ี าํ ลงั มกี เิ ลสครอบงาํ พระพุทธเจาไดทรงดําเนินมาแลว จนไดผลเปนที่พอพระทัยถึงขั้นศาสดา เม่ือไดท รงประสบพบเหน็ มาดวยขอปฏบิ ัตหิ รือ อบุ ายใด พระองคก ท็ รงนาํ ขอ ปฏบิ ัตหิ รอื อุบายนนั้ ๆ มาสง่ั สอนโลก ดวยความถูกตอง แมนยาํ ไมผิดพลาดคลาดเคล่ือน ถาปฏิบัติตามแนวทางที่พระองคทรงแสดงไวแลว เรยี กวา ดาํ เนนิ ตามหลกั มชั ฌมิ า คอื เหมาะสมอยางยิง่ กับการแกกเิ ลสทุกประเภท ดว ย อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ตามขัน้ ของกเิ ลสท่ีหยาบละเอยี ด เพราะคาํ วา มชั ฌมิ านน้ั เหมาะสมกบั การแกก เิ ลส โดยทางสตปิ ญ ญาศรทั ธาความ เพียร ซึ่งอยูในองคมรรคของมัชฌิมาที่ประทานไวแลว กเิ ลสประเภทหนาแนน หรอื เหนยี วแนน แกน แหง วฏั ฏะกต็ อ งทาํ ใหห นกั มอื เชน เดยี วกบั เขาถากไม ไมที่ตรงไหนคด งอมากก็ตองถากใหหนักมือเพื่อใหตรง ถาที่ไหนตรงอยูแลวก็ไมตองถากมากมายนัก ที่ ไหนตรงอยูแลวจะถากมากก็เสียไม ถากพอไดสัดไดสวนก็พอแลว เรอ่ื งกเิ ลสนก้ี เ็ ชน เดยี วกนั บางขั้นบางตอนหรือบางประเภทของกิเลส หรอื บาง เวลาทก่ี เิ ลสแสดงออกมาอยา งผาดโผนรนุ แรงมาก ตองใชความเพียรอยางแข็งแกรง และแกกันอยางหนัก จะออนแอทอถอยไมได ถงึ จะพอกนั หรือเหนอื กวากิเลสประเภท นน้ั ๆ ถึงจะยอม ถึงคราวจะทําอยางนี้ก็ตองทํา จะผดั เพย้ี นเลอ่ื นเวลาวา เชา สายบา ย เย็นอยูไมได ความเพยี รชนดิ เอาเปน เอาตายเขา วา กนั เชน นท้ี า นกเ็ รยี กวา มชั ฌมิ า สาํ หรบั กเิ ลสประเภททแ่ี สดงขน้ึ เฉพาะกาลนเ้ี วลานเ้ี กดิ ขน้ึ ลกั ษณะน้ี เราตอ งใชว ธิ กี าร แบบนถ้ี งึ จะทนั กัน หรอื สามารถปราบปรามกนั ไดด ว ยวธิ กี ารน้ี วิธนี เี้ รียกวามชั ฌิมาของ กเิ ลสประเภทนเ้ี ชน เดยี วกนั คาํ วา มชั ฌมิ าจงึ มหี ลายขน้ั เปน คปู รบั กนั กบั กเิ ลสประเภทตา ง ๆ เชน เดยี วกบั เครื่องมือทํางานของนายชางตองมีหลายชนิดดวยกัน เพื่อสะดวกแกงานและควรแกการ ปลกู สรา งนน้ั ๆ กิเลสประเภทหยาบก็ตองใชมัชฌิมาแบบแผลงฤทธิ์ใหทันกันกับกิเลส ประเภทหยาบนน้ั จงึ เรยี กวา มชั ฌมิ า สว นหยาบ สวนกลางกใ็ ชสตปิ ญ ญาศรัทธาความ เพียรแหงมัชฌิมาใหเปนไปตามนั้น เพอ่ื ใหก เิ ลสหลุดลอยไปดว ยขอปฏิบัติน้นั ๆ นี่ก็ เรยี กวา มชั ฌมิ าสาํ หรบั กเิ ลสขน้ั นน้ั ถึงขั้นละเอียดสติปญญาก็ตองละเอียด ความเพยี รก็ ตองละเอียดลออ นั่งอยูที่ใด ยืนเดินอยทู ใ่ี ดอยใู นอิริยาบถใด กเ็ ปน ความเพยี รอยใู นทา นน้ั ๆ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๕

๓๖ ไมใ ชว า เดนิ จงกรมจงึ จะเรยี กวา เปน ความเพยี ร นง่ั สมาธจิ งึ จะเรยี กวา เปน ความ เพียร นั่งอยูก็ตาม ยืนอยกู ต็ าม เดินอยูก็ตาม ไมว า อริ ยิ าบถใด ๆ เวน แตห ลบั เทา นน้ั ตองเปนความเพียรโดยตลอด ไมมีระยะใดที่จะไมมีความเพียร ดวยสติปญญาซึ่งเปน อัตโนมัติเกิดขึ้นกับตนเพื่อแกกิเลสซึ่งมีอยูภายใน นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ าขน้ั ละเอยี ด คือสติ ปญ ญาไหลรนิ อยดู ว ยความคดิ ตลอดเวลา เชน เดยี วกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ทไ่ี หลรนิ อยทู ง้ั หนา แลง หนา ฝนไมม เี วลาเหอื ดแหง ไหลซมึ อยตู ลอดกาลเวลาฉะนนั้ การแกก เิ ลสประเภทน้ี กเ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั สติปญญาก็ละเอียด พนิ จิ พิจารณากนั อยา งละเอียดอยภู ายใน นเ่ี รยี กวา มชั ฌมิ า การปฏิบัติ ถาปฏิบัติไมถูกตองเหมาะสมตามวิธีการของการแกกิเลสประเภท นน้ั ๆ ก็ไมไดผล ขณะกเิ ลสกาํ ลงั หนา ๆ ความขี้เกียจมันตองมีมากขึ้น ความออนแอ มันก็ตองมาก ความมาก ๆ เหลา น้ลี ว นแตเ ปน กองทพั ของกิเลสดว ยกัน เมื่อเปนเชนนี้ ความเพียรก็ตองดอยถอยกําลังแลวมันจะเขากันไดอยางไร กิเลสหนานั่นเองมันถึงทํา ใหคนขี้เกียจและมีทุกขมาก ถา กเิ ลสเบาบางบา งความทกุ ขก น็ อ ยลง ความพากเพียรก็ ไหวตวั และตง้ั หนา ทาํ งานเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยไปโดยลาํ ดบั ไมอ ยดู ว ยความอบั จนแบบ คนขค้ี กุ ตอนท่จี ะทาํ กเิ ลสท่ีกาํ ลงั หนา ๆ ใหเ บาบางลงไปจะทาํ ดว ยวธิ ใี ด ความเพยี ร เพียงจะนง่ั แค ๑๐ นาทกี ็เอาละ เทา นพ้ี อแลว ถาขืนทํามากกวานี้จะผิดหลักมัชฌิมา ทํา ๑๐ นาทีนี้ถูกตองกับมัชฌิมาแลว ซ่ึงเปน อุบายของกเิ ลสมนั หลอกเราตางหากวาพอ แลว ๆ นี่คือมัชฌิมาของกิเลสไมใชมัชฌิมาของธรรม นกั ปฏบิ ตั จิ งึ ควรทราบไวแ ละตน่ื ตัววาถูกหลอกแลว เพราะอบุ ายแกก เิ ลสไมท ราบวา เปน อยา งไรบา งไมป รากฏ เมอื่ เปน เชน นก้ี ม็ แี ตเ รอ่ื งกเิ ลสใหอ บุ ายโดยถา ยเดยี ว เขาจะเอาอบุ ายแหง ธรรมยน่ื ใหเ รานน้ั อยา หวงั ถา เปน มดี พรา เขากย็ น่ื ทางปลายมาใหเ รา เขาจะจบั ทางดา มไวแ ลว ฟน เราโดย ถา ยเดยี ว ทาํ ความเพยี รกก็ เิ ลสเปน คนสง่ั ใหท าํ ไมใ ชธรรมเปนผสู ั่งใหท ํา นั่งทําสมาธิ ภาวนากใ็ หก เิ ลสเปน ผสู ง่ั ใหท าํ น่ังสมาธิ เอา นง่ั เสยี ประมาณ ๑๐ นาทเี อาละนะ เดี๋ยว วนั พรงุ นจ้ี ะเหนอ่ื ยลาํ บากลาํ บน นง่ั มากกวา นส้ี ขุ ภาพจะไมด เี ดย๋ี วเกดิ โรค จะอดนอน ผอนอาหารบางกเ็ ดี๋ยวสุขภาพทรดุ โทรมนะจะวาไมบ อก นน่ั รไู หมเหน็ ไหมอบุ ายของ กเิ ลสมนั หลอกนะ อะไร ๆ ก็ตองทําตามกิเลสหลอก ทีนี้กิเลสมันจะหลุดลอยไปได อยางไร ก็อุบายของมันเพื่อสงเสริมมันเอง ไมใชอุบายของธรรมเพื่อกําราบปราบปราม มนั ใหห ายซากลงไปน่ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๖

๓๗ เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ผลกาํ ไรชยั ชนะ จึงตองใชอุบายของธรรมตามหลักที่พระพุทธ เจา ทรงสง่ั สอน ไมเ อาอบุ ายของกิเลสดังทก่ี ลาวมาน้ีมาใชม าทําความพากเพียร จะเปน การเพิ่มกิเลสโดยไมรูสึกตัว เพราะเหตใุ ด กเ็ พราะเวลานง่ั ทาํ ความเพยี รเรากค็ อยนบั เอาเวลาํ่ เวลา วา เรานง่ั ไดเ ทา นน้ั นาทเี ทา นน้ี าที นเ่ี ปน ความเพยี รของเรา แลว กเิ ลสมนั หายไปสักกี่ตัวละ พอเคลื่อนที่ขยับ ๆ บางสักตัวไหม ไมป รากฏเลย เรากไ็ ดแ ตเวลาํ่ เวลาวา นง่ั ไดเ ทา นน้ั เทา น้ี เวลาเทา นน้ั นาทเี ทา นช้ี ว่ั โมง สวนกิเลสเพียงหนังถลอกปอก เปก บา งเพราะความถไู ปไถมาไมมเี ลย หลงั จากนง่ั นบั เวลานาทแี ลว กเ็ อะอะขน้ึ มาวา เอ นง่ั เวลานานขนาดนไ้ี มเ หน็ ได เรอ่ื งไดร าวอะไรน่ี จติ ใจไมเ หน็ สงบ จะนั่งไปทําไม นี่ก็เปนอุบายของกิเลสหลอกย้ําเขา ไปอีก สว นอบุ ายของธรรมทจ่ี ะทาํ ลายกเิ ลสเลยไมม ี นแ่ี หละทเ่ี ราเสยี เปรยี บกเิ ลสนะ เสยี เปรยี บอยา งนเ้ี อง อุบายที่คิดในแงใดก็ตามถาสติปญญาไมทันกลมายาของกิเลส ตองถูกตมถูกตุนอยูร่ําไป การพดู ทัง้ นไี้ มไ ดพดู ดวยเจตนาจะตําหนติ เิ ตยี นทานผูหนึ่งผูใ ด มิไดตําหนิ ศาสนาหรอื ตาํ หนอิ รรถตาํ หนธิ รรมแตอ ยา งใด แตเรื่องของกิเลสตองตําหนิอรรถตําหนิ ธรรม เพราะกเิ ลสกบั ธรรมเปน ขา ศกึ กนั สาํ หรบั บคุ คลนน้ั ไมม คี วามรสู กึ วา กเิ ลสพา ตาํ หนธิ รรม เชน วา นง่ั เทา นน้ั ชว่ั โมงเทา นน้ี าทไี มเ หน็ ไดเ รอ่ื งไดร าวอะไรเลย ทาํ ไปเสยี เวลาํ่ เวลาเปลา ๆ ทําไปทําไม หยดุ เสยี ดกี วา นน่ั ลว นแลว แตเ ปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั หมด ทีนี้ตัวเองก็อยูในกรอบของกิเลสหาทางออกไมได เพราะอบุ ายไมทนั มัน เนื่องจากกิเลส มเี ลห เ หลย่ี มรอ ยสนั พนั คมไมย อมลม จมเพราะเรางา ย ๆ ถา ไมเ อาจรงิ ๆ จัง ๆ กับมัน ใหเ ราทราบไวว า ลว นแลว แตเ ปน อบุ ายของกเิ ลสทจ่ี ะพอกพนู ใจเราและทาํ ลายเรา โดย การเพิ่มกําลังของตนตามลําดับ ดวยอบุ ายหลอกเราใหห ลงเช่อื อยา งสนิทติดจม ผูปฏิบัติพึงคํานึงศาสนธรรมคือคําสั่งสอนของพระพุทธเจา เฉพาะอยางยิ่งพึง คาํ นงึ ถึงพระพุทธเจาผูท รงเปนบรมศาสดา ทา นเปน บรมศาสดาไดเ พราะเหตใุ ด ได เพราะความนบั เวลาํ่ เวลา ไดเพราะความทอถอยออนแอ ไดเ พราะความโงเ ขลาเบา ปญญา หรอื ไดเพราะความขยันหมน่ั เพียร ไดเ พราะความอดความทน ไดเ พราะความ ฉลาดแหลมคม พระพทุ ธเจา ไดเ ปน ศาสดาดว ยการฆา กเิ ลสตายไปโดยลาํ ดบั ๆ จนไมมี เหลอื ในพระทยั ทา นฆา ไดโ ดยวธิ ใี ด ทา นปราบกเิ ลสดว ยวธิ ใี ด ดว ยความเพยี รนน่ั เอง ฟง แตว า ความเพยี รเถดิ เพียรอยางไมถอย ติดตามเรื่อย ๆ กิเลสออกชองไหน ตามรตู ามเหน็ ไปเรอ่ื ย ๆ ความโลภเกิดขน้ึ ตดิ ตามความโลภใหร วู า มนั เกดิ ขน้ึ เพราะ เหตไุ ร ที่มันไปโลภไปโลภอยากไดอะไร อยากไดไปทําไม เทา ทม่ี อี ยเู พราะความโลภไป เทย่ี วกวา นเอามากห็ นกั เหลอื กาํ ลงั อยแู ลว ยังหาที่ปลงวางไมไดนี่ ในใจเตม็ ไปดว ย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๗

๓๘ ความโลภคอื ความหวิ โหยไมม เี วลาอม่ิ พอ เมื่อคิดคนยอนกลับไปกลับมาก็จะมาถึงตัว คอื ใจซง่ึ เปน ผดู น้ิ รนหวิ โหย ความโกรธเกิดขึ้นก็เหมือนกัน ไมเพง เลง็ ผูท ี่ถกู เราโกรธ ตองยอนเขามาดูตัว โกรธซึ่งแสดงอยูที่ใจและออกจากใจ วา ไมม อี นั ใดทจ่ี ะรนุ แรง ไมมีอันใดที่จะใหเกิด ความเดอื ดรอ นเสยี หายยง่ิ กวา ความโกรธทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในใจเรา ทาํ ลายเรากอ นแลว ถงึ ไปทาํ ลายคนอน่ื เพราะไฟเกิดท่นี แี่ ละรอนท่นี ี่แลว จงึ ไปทาํ ผอู น่ื ใหรอ นไปตาม ๆ กนั เมื่อพิจารณาอยางนี้ไมลดละตนเหตุของผูกอเหตุ ความโลภกด็ ี ความโกรธก็ดี ความ หลงก็ดี ยอมระงับดับลง เพราะการยอนเขามาพจิ ารณาดับทตี่ นตอของมนั ซึ่งเปนจุดที่ ถกู ตองและเปนจุดทีส่ าํ คญั ทค่ี วรทาํ ลายกิเลสประเภทตาง ๆ ได พระพทุ ธเจา ทา นเคยทรงชาํ ระอยา งนม้ี าแลว เรอ่ื งเปน เรอ่ื งตาย เรือ่ งกลวั อยา ง โนน กลวั อยา งนท้ี า นไมเ คยคดิ และสง เสรมิ ใหค ดิ เพราะนน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลส ทา นเคย มที า นเคยรแู ละเหน็ พษิ ของมนั มาเปน เวลานาน ทา นจงึ ทรงพยายามละเตม็ ความ สามารถทกุ วถิ ที าง กระทง่ั ละไดและไดเปน ศาสดาข้ึนมาดวยความขยนั หม่นั เพียร ดว ย ความอดทน ดว ยความเปน นกั รบ โดยอุบายสติปญญาอันแหลมคมทันกับการแกกิเลส หรอื ปราบปรามกเิ ลสทง้ั หลายใหห ลดุ ลอยไปจากพระทยั กลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ลว น ๆ พวกเราเปน ศากยบตุ รพทุ ธชโิ นรสคอื เปน พทุ ธบรษิ ทั เรยี กวา เปน ลกู เตา เหลา กอของพระพุทธเจา ถาไมดําเนินตามรอยของพระพุทธเจาจะดําเนินอยางไร ถึงจะสม ชอ่ื สมนามวา เปน ศากยบตุ รเปน พทุ ธชโิ นรสทป่ี รากฏตวั วา เปน พทุ ธบรษิ ทั จาํ ตอ ง ดาํ เนนิ แบบลกู ศษิ ยม คี รสู อนและเดนิ ตามครรู ตู ามครหู ลดุ พน ตามครู เพราะกเิ ลสกเ็ ปน ประเภทเดยี วกนั ซง่ึ จะตอ งดาํ เนนิ แบบเดยี วกนั เปนแตวามีมากมีนอยตางกัน ความ เพียรเพื่อละกิเลสก็จะตองดําเนินไปตามกําลังหรือสติปญญาของตน เทาที่กิเลส ประเภทนน้ั ๆ จะสงบตัวลงไปและขาดกระเด็นออกไปจากใจ ดวยความพากเพียรของ ศิษยท มี่ คี รฝู กสอนวชิ ารบ ใครจะนําไปปฏบิ ัตกิ ็นาํ ไปปฏิบัตเิ ถิด ตามทก่ี ลา วมาเหลา นเ้ี ปน สวากขาตธรรม แนนอนตอความพนทุกขไมมีทาง สงสัย การดําเนนิ ตามธรรมนจี้ ะไมหนีจากรอ งรอยของพระพุทธเจา จะไมหนีจากรอง รอยของพระสาวก ทท่ี า นแกก เิ ลสไดด ว ยอบุ ายใด เรากจ็ ะแกไ ดด ว ยอบุ ายนน้ั ทานถึง ไหนเรากจ็ ะถงึ น้นั ตา งกนั เพยี งชา หรอื เรว็ เทา นน้ั ไมเ ปน อยา งอน่ื และสมนามวา สวาก ขาตธรรมแท ผปู ฏบิ ตั ติ ามสวากขาตธรรม ไมป ลกี จากรอ งรอยแหง ธรรม กิเลสตอง หลุดลอยจากใจโดยลาํ ดบั ดว ยอาํ นาจแหง ธรรมนี้โดยไมต องสงสัย เพราะนเ่ี ปน ธรรม ตายตัว การปฏิบัติจะแยกแยะธรรมเปนอยางอื่นตามชอบใจของตนไมได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๘

๓๙ เพราะความชอบใจคนเรา รอยทั้งรอยมักเปนความชอบใจของกิเลสผลักดันให เปน ไป โดยทเ่ี ราไมร วู า เราเปน กเิ ลสและความคดิ ของเราเปน กเิ ลส ความอยากของเรา เปน กเิ ลส ความตอ งการของเราเปน กเิ ลส ความจรงิ มนั เปน กเิ ลสดว ยกนั ทง้ั นน้ั นอก จากจะเลอื กเฟน ดว ยวจิ ารณปญ ญาคน หาเหตผุ ล แมจะไมชอบและฝนใจอยูก็ตาม เมื่อ เหน็ วา นน้ั เปน ธรรมแลว นน้ั เปนเคร่ืองแกกิเลสไดโ ดยตรงแลว จะตองยึดนั้นเปนหลัก แลวฟาดฟนเปลือกกระพี้ที่หุมหอธรรมลงไป ใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จรงิ ๆ แบบนก้ี เิ ลส กลวั มาก ผดู าํ เนนิ อยา งนก้ี เิ ลสกลวั ผูมีเครื่องมืออยางนี้กิเลสกลัว เพราะเครอ่ื งมอื นเ้ี ปน ธรรมเพชฌฆาต ธรรมนเ้ี คยปราบปรามกเิ ลสมาแลว นบั แตพ ระพทุ ธเจา องคไ หน ๆ มา เพราะอยางนน้ั กิเลสจงึ กลัวและยอมทงั้ สนิ้ เหตุทยี่ อมก็เพราะกิเลสเห็นอํานาจของ ธรรมแลว วา ไมส ามารถจะตา นทานหรือตอ สไู ด ตองถูกทลายลงไปดวยอํานาจของธรรม นน้ั ๆ ไมส งสยั ผปู ฏบิ ตั ทิ ต่ี อ งการเรอื งอาํ นาจเหนอื กเิ ลสตอ งทาํ แบบน้ี คือเปนก็เปน ตายก็ตายในทาตอสู ไมยอมถอยทัพกลับแพ นอกจากนี้มักเปนเรื่องของกิเลสเรืองอํานาจ ทั้งที่ผูปฏิบัตินั้น ๆ เขา ใจวา ตนมี ความเพยี รดี ผมู คี วามเพยี รทก่ี เิ ลสกลวั บา งไมก ลวั บา งนน้ั คือขณะที่กิเลสกลัวนิ่งหรือ หมอบ ใจก็สงบเย็นเปนสมาธิ ขณะมันสูเราไมไดมันก็วิ่งหนีหาที่หลบซอน ขณะเราสมู นั ไมไดเรากว็ งิ่ หนีเชนกันจะวา ยังไง เราวง่ิ หนคี อื อยา งไร วง่ิ หนจี ากทางจงกรมบา ง ว่ิงหนี จากการนง่ั สมาธภิ าวนาบา ง วง่ิ หนจี ากความความพากความเพยี รทา ตา ง ๆ บา ง คือ ความเพยี รลดนอ ยถอยกําลงั ลงเปนลําดับ ๆ นแ่ี ลทเ่ี รยี กวา วง่ิ หนี ความไมสู ความออน แอหมดกําลังเปนการวง่ิ หนีท้ังน้นั แหละ สูมันไมไดก็ถอย ๆ ถอยเทา ไรมนั ยง่ิ ตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายลงไปเปน ลาํ ดบั ๆ เรา อยาเขา ใจวาถอยแลว จะพน การถอยกิเลสไมมีทางพน นอกจากจะสเู ทา น้ันจงึ จะพน จากอํานาจของกิเลส กลัวอยางอื่นวิ่งหนียังพอเอาตัวรอดได แตก ารวง่ิ หนกี เิ ลสนน้ั นน้ั แลคอื การเอาคอเขา ไปสวมใหก เิ ลสฟน เอา ๆ ฟนเอาแหลกไปหมด เราจะหาอบุ ายใด เปน ทางออก วัฏวนนีเ้ คยเกิดมาก่ภี พกชี่ าติแลว แมจ ะจาํ ไมไดก ็ตาม เราถอื หลกั ปจ จบุ นั อตั ภาพปจ จบุ นั นก้ี พ็ อจะทราบไดแ ลว วา เบอ้ื งหลงั ทเ่ี คยผา นมาแลว เคยมี อดีตเคยมีมา แลวจึงตองมีอยางนี้ได ฉะนั้นกาลขางหนามันจะตองมีอยางนี้ได เชน เดยี วกบั เมอ่ื วานน้ี มีแลววันนี้ทําไมจะมีไมได แลววันพรุงนี้เดือนนี้ปหนาทําไมจะมีไมได เพราะมนั สบื เนื่องไปจากอันเดียวกันนี้ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๙

๔๐ เฉพาะในชาตปิ จ จบุ นั ยงั ดอี ยเู ราเปน มนษุ ย มสี ทิ ธมิ อี าํ นาจยง่ิ กวา บรรดาสตั ว จงึ พอมคี วามสขุ ความสบายบา ง นเ้ี รากท็ ราบวา อยใู นโลกอนจิ จงั เปนของแนนอนเมื่อไร แตกอนเราอาจเปนภพเปนชาติอะไรมาก็ได มาปจ จบุ นั นเ้ี รามาเปน มนษุ ย แมในอัต ภาพนม้ี นั ยงั มคี วามเปลย่ี นแปลงใหเ ราเหน็ อยู ตั้งแตวันแรกเกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ มันคงเสนคงวาเม่อื ไร สังขารรางกายกําลงั วังชาสติปญญาอะไรมนั กท็ รุดโทรมเปลีย่ น แปลงของมันไปเรื่อย ๆ ตอจากนี้ก็เปลี่ยนไปจนถึงที่สุดของมัน สุดทายก็ลงธาตุเดิม แลวจิตนี่มีกําลังมากนอยเพียงใด ทีจ่ ะสามารถทรงตวั ไวไ ดใหอ ยูในภมู ินี้หรอื ภมู ิสูงยิ่ง กวา น้ี ก็เปนเรื่องของเราจะคิดหาอุบายชวยตัวเองในทางดีตอไปไมนิ่งนอนใจ ทเ่ี รยี กวา เตรียมพรอมเพื่อตัวเองทั้งปจจุบันและอนาคต ไมใ หอ บั จนในสถานทแ่ี ละกาลใด ๆ จงทาํ การสง เสรมิ กาํ ลงั ในทางดขี องเราใหม ากขน้ึ อยา งนอยเพ่ือรับอนาคต หาก จะยงั เปนไปอยใู นวฎั สงสาร ซึ่งเปรียบเหมือนหองขังนักโทษที่มีกิเลสย่ํายีนี้ พอไดอยูใน ฐานะทด่ี บี า ง หากวาพอจะผานพนไปไดเพราะมีกําลังสติปญญาพอตัว เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย กิเลสอันเปนกงจักรใหทองเที่ยวในวัฏวนนี้ไปได กท็ าํ ลายใหส น้ิ ซากไปในชาตปิ จ จบุ นั น้ี อยา เขา ใจวา สตปิ ญ ญาเราจะไมม ี มีอยูดวยกันทุกคนถาทําใหมี ความเพยี รอยา เขา ใจวา ไมมี ถาเราจะทําใหมีมีไดทั้งนั้น นอกจากมีกิเลสเปนผูกั้นกางกดี ขวางไมใ หมีความ เพียร ไมใหมีสติปญญา ใหมีแตความทอแทออนแอเปนเจาเรือน ความดที ง้ั หลายจงึ หา ทางเกิดขึ้นไมได เร่อื งความดที งั้ หลายหาทางเดินไมค อ ยไดนนั้ มักขึ้นอยูกับกิเลสเปนเครื่องกีด กันไมใชอันใด ไมใ ชอ าํ นาจไมใ ชว าสนา ไมใชมื้อวันเดือนป ไมใชกาลสถานที่ แตเ ปน เรื่องของกิเลสโดยตรงเปนผูกีดกันและหักหาม อยา งลกึ ลบั บา ง อยา งเปด เผยบา ง แต เรามันตาบอดมองไมเหน็ ความลกึ ลับ ความเปดเผยของกิเลสทแ่ี สดงตัวกีดกันหวงหาม อยูตลอดเวลา เพราะกลัวจะพนจากเขา เขาเปน เจา อาํ นาจครองใจมานาน พอขยับออก มาอกี นดิ หน่งึ แสดงกิริยาจะออกจากเขานิดหน่ึงเขากห็ าม เรากเ็ ชอ่ื เชอ่ื มนั เสยี แลว มัน ไมต อ งยกบทบาทคาถาบาลีอะไรมาแสดงเลย กเิ ลสสอนมนษุ ยน ะ สอนงายจะตายไป แตมนษุ ยจะสอนมันบา ง เดย๋ี วเดยี วถกู มนั เอาคมั ภรี ว ฏั จกั รฟาดหวั เอาหมอบและหลบั ครอก ๆ ไมมีทางสู นอกจากหมอบบน หมอน ฉะนน้ั ศาสตราจารยข องวฏั จกั รกค็ อื กเิ ลสบนหวั ใจสตั วน น้ั แล การเรยี นรมู ากรู นอยจะตองถูกกลอมมันทั้งนั้นแหละ นอกจากวิชาธรรมดังที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน ตามทท่ี รงดาํ เนนิ มาและสาวกทานดาํ เนนิ มา ทา นเอาจรงิ เอาจงั ลงถงึ เหตถุ งึ ผลถงึ ความ สตั ยค วามจรงิ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๐

๔๑ ไมเพียงแตจ ําชือ่ ของกิเลสไดแ ลว กจ็ ะสาํ เรจ็ ประโยชน หาเปน เชน นน้ั ไม การจํา ชื่อจําไดกันทั้งนั้นแหละ เชน เดยี วกบั เราจาํ ชอ่ื ของเสอื นน้ั เสอื น้ี มีกี่รอยกี่พันเสือก็ตามที่ มนั กอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง เราจําชื่อของมันไดเทานั้นยังไมพอ จําไดกระทั่ง โคตรแซม นั กต็ าม ถา ยงั จบั ตวั เสอื นน้ั ๆ ไมไ ดเ มอ่ื ไรบา นเมอื งจะหาความรม เยน็ เปน สขุ ไมได เสอื ตวั ทจ่ี าํ ชอ่ื มนั ไดน น้ั แลกอ ความวนุ วายใหแ กบ า นเมอื ง นอกจากเราจบั มนั ได แลวจะทําอะไรกับมันก็ทําได ทนี ้บี า นเมืองก็ไดรับความสุขสงบรมเย็น ไมมีเสือรายมา กอ กวนลวนลามเขยาขวัญประชาชนดังท่ีเคยเปน มา เรอ่ื งกเิ ลสทา นวา กเิ ลสพนั หา ตณั หารอ ยแปด อยา วา แตร อ ยแปด พันแปด หมื่น แปดก็ตามเถิด ถาเราตามจับตัวมันไมได ปราบมันไมได ทาํ ลายมนั ไมไ ดแ ลว เราจาํ ได แตชื่อมัน จําไดสักเทาไรก็ไมมีปญหาพอสะเทือนขนมันเลย คือไมมีผลดีอะไรเกิดขึ้น เพราะการจาํ ไดน น้ั เลย เพราะฉะนน้ั เราตอ งทําลายมนั ดว ยความพากเพยี รจนใหถ งึ ความจริงของกิเลส ถงึ ความจรงิ ของธรรม จะชอ่ื วา จบั ตวั เสอื รา ยมาประหารได จากนน้ั กน็ อนหลับเต็มตา อาปากพูดไดเต็มเม็ดเต็มหนวย คาํ วา กเิ ลสแตล ะประเภทนม้ี นั แสดงอาการอยา งไร กอนที่มันจะแสดงผลขึ้นมา มนั แสดงเหตขุ น้ึ มาอยา งไรบา ง จงตามรูแ ละฆามันดว ยสตปิ ญ ญา สวนมากกแ็ สดงข้ึน ในขันธนี่แหละไมไดแสดงขึ้นที่ไหน ออกทางตาก็เกี่ยวกับรูป ออกทางเสียงก็เกี่ยวกับหู จมูก ลน้ิ กาย มันสืบเนอ่ื งกบั จิตและเคร่ืองสัมผัส ผลสุดทายก็เกี่ยวกับเบญจขันธของ เราเอง รปู ก็แสดงขึ้นอยางหน่งึ เวทนากแ็ สดงอยา งหนง่ึ สญั ญาแสดงข้ึนอยางหนง่ึ สงั ขารแสดงขน้ึ อยา งหนง่ึ วิญญาณแสดงขึ้นอยางหนึ่งจากกิเลสเปนผูบัญชาออกมา เรา ก็คลอยตามหลงตาม หลงตามมันอยูเรอ่ื ย ๆ หลงตามมนั มาเทาไรแลว ลวนแลว แตก ล มายาของกิเลสทั้งนั้น ทุกขทั้งมวลเรายังไมทราบวามันเปนพิษของกิเลส จะใหม คี วาม ฉลาดแหลมคมไดอยางไร แลว ยงั เขา ใจวา ตนมคี วามฉลาดแหลมหลกั นกั ปราชญช าตกิ วี อยหู รอื ไมอ บั อายกเิ ลสทค่ี อยหวั เราะเยาะเยย อยเู บอ้ื งหลงั บา งหรอื มนั นา อบั อายจรงิ ๆ น่ี การที่จะฉลาดแหลมคมพอรูทนั กิเลสก็ตองคนดูกเิ ลสใหด ี ทุกขเวทนาเกิดขึ้นที่ ไหน เอา คนลงไป เอาใหเ หน็ ฐานเกดิ ของมนั วา เกดิ เพราะเหตไุ ร คนตายแลว มเี วทนา ไหม เอา ดซู ิ ถา ทกุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ ภายในรา งกาย และกายเปน ตัวทราบเวทนาจรงิ ๆ เวลาคนตายแลว ทกุ ขเวทนามไี หม เอาไปเผาไฟกายวาอยางไร เอาไปฝงดินกายวายังไง มันไมวายังไง แลวทําไมถือมันเปนตัวทุกขอยูละเมื่อยังเปนอยู กเ็ พราะจติ นน่ั แลเปน ผู รบั รแู ละทรงไว ความยดึ มน่ั สาํ คญั วา ขนั ธ ๕ เปน ตนกเ็ พราะกเิ ลสนน้ั แลเปน ผกู ระซบิ เปนผูหลอกลวงใหยึดมั่นถือมั่น ใหส าํ คญั วา เวทนาเปน ตนเปน ของตน ใหถ อื วา กายน้ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๑

๔๒ เปน เราเปน ของเรา เมอ่ื มนั มอี ะไรมากระทบกระเทอื นสง่ิ ทเ่ี รารกั เราสงวนและปก ปน เขตแดนเอาไว กเ็ กิดความกระทบกระเทือนทุกขรอนข้นึ ภายในใจ เพราะกเิ ลสมนั หลอกอยางนี้ เมอ่ื แยกแยะพจิ ารณาใหถ งึ ฐานของความจรงิ ดว ยสตปิ ญ ญาจรงิ ๆ แลว สง่ิ เหลา นก้ี ห็ มดปญ หาไปเอง ใจกห็ ายสงสยั ความเปนขาศึกตอกันระหวางขันธกับจิตก็ไม มี เพราะสติปญญาเปนผูพิพากษาวินิจฉัยตัดสินโดยถูกตองใหเลิกแลวกันไป รปู กร็ กู นั แลว วา รปู ซง่ึ เปน ความจรงิ ของรา งกายทกุ สว น เวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในรา งกายของเรา สว นใด นน่ั กท็ ราบวา เปน ความจรงิ ของตน ๆ สญั ญา สังขาร วิญญาณ แตละอยางก็เปน ความจริงแตละอยางของมันอยูแลว จิตจะมีความกระทบกระเทือนเพราะอะไรกันอีก เพราะจติ เปน ผรู แู ละรดู ว ยปญ ญาอยา งประจกั ษแ ลว นน่ั แหละทา นเรยี กวา เหน็ ความ จริงคือสัจธรรมที่มีอยูกับตัว จะไปรเู หน็ ทไ่ี หน เหน็ ในแบบกเ็ ปน แบบ เหน็ ในคมั ภรี ก ็ เปน คมั ภรี  เห็นในหนงั สอื ก็เปนตวั หนังสอื ไมใ ชตวั กิเลส มนั ไมใชส จั ธรรมท่ีแทจรงิ ที่แทจริงมันอยูที่กาย ทเ่ี วทนา ทจ่ี ติ ทต่ี วั ของเรานเ่ี ทา นน้ั ความทุกขทั้งมวลที่ เกี่ยวกับกายก็แสดงขึ้นที่นี่ การทพ่ี จิ ารณาทกุ ขก พ็ จิ ารณากนั ทน่ี ่ี รูเทาเรอ่ื งทกุ ขเรอ่ื ง สมุทัยทง้ั หลายกร็ เู ทา กันอยางเปด เผยท่นี ่ี รูแจงแทงตลอดก็รูกันที่นี่ พนทุกขกันที่นี่ นี่ ทา นเรยี กวา รสู จั ธรรมแทร อู ยา งน้ี ไมตองรูที่ไหน ไมวาครั้งพุทธกาลหรือครั้งไหน ๆ สจั ธรรมมีอยูที่กายที่ใจของสัตวโลกเทานั้น การเรยี นจงึ เรยี นยอ นเขา มาทน่ี ่ี ปฏบิ ัตใิ หร ูวถิ ี จติ ทเี่ ปน ไปดวยอาํ นาจของกิเลสอาสวะอนั เปน ตวั สมทุ ัย เมอ่ื รอู นั นแี้ ลว จะไปสงสยั อะไร ที่ไหนกันอีก โลกวทิ รู แู จง โลก ก็คือรูแจงธาตุแจงขันธรูแจงจิตใจของตนเปนสําคัญ นแ่ี ลอบุ ายวธิ แี กก เิ ลสปราบปรามกเิ ลส ปราบปรามลงทต่ี รงน้ี อยาไปลูบไปคลํา ทอ่ี น่ื ใหเ สยี เวลาเปลา ประโยชน รวมลงที่นี่หมด พระไตรปฎกก็อยูที่นี่ ไตรจักรก็อยูที่นี่ วัฏจกั รไตรจกั รมนั อยูท่นี ีแ่ ล เวลาธรรมไมเ กดิ สตปิ ญ ญาไมส ามารถ จติ กเ็ ปน ไตรจกั ร ไตรภพ และหมนุ ไปใน ๓ ภพ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ พอสติปญญาเพียงพอแก ไขไตรจักรนี้ออกไดหมดก็เปนความบริสุทธิ์ขึ้นมา หรอื เปน ธรรมจกั รหมนุ รอบตวั ขน้ึ มา ภายในจติ ทั้งวัฏจักร ธรรมจกั รและวิวัฏจักร มีอยูที่ใจนี้ไมอยูไหน จงพจิ ารณากนั ทน่ี ่ี ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ใจ เรยี นอะไรกไ็ มย ากเหมอื นเรยี นเรอ่ื งของจติ เลย จิตนี้สลับซับซอนละเอียดลออ มาก ตองใชความพินิจพิจารณา ตองใชสติปญญา ใชความพากเพียร ความอดความทน เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ บางครง้ั แทบจะตายเรากย็ อมเสยี สละชวี ติ เพราะความ อยากรอู ยากเขา ใจความจรงิ ทง้ั หลาย ดังที่พระพุทธเจาไดรูไดเขาใจแลว เปน ความ ประเสรฐิ อยา งยง่ิ เราอยากเหน็ ความจรงิ เปน สมบตั สิ าํ หรบั เราเอง ไมเพียงแตไดยิน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๒

๔๓ กิตติศัพทกิตติคุณทานวาประเสริฐ ทา นหลดุ พน อยา งนน้ั ทา นประเสรฐิ อยา งนเ้ี ทา นน้ั เรายงั ไมพ อใจ ยังอยากทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยางบรรดาธรรมทีท่ านรทู านเห็นดว ยจิตใจของ เราเอง เมอ่ื อยากทราบและดาํ เนนิ ตามทา นเรากต็ อ งทราบ ทั้งธรรมฝายต่ําฝายสูง ทั้ง ฝายดีฝายช่ัว ในวงสจั ธรรมนท้ี กุ ข สมทุ ยั เปน ฝายตาํ่ นโิ รธคือความดับทุกขเปนฝา ยสูง มรรค คือขอปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลสเปนฝายสูง เราอยากทราบความจรงิ ของสจั ธรรมทง้ั สน่ี ้ี ประจกั ษใ จเราเอง และการพน จากกเิ ลสอาสวะเพราะรรู อบในสจั ธรรมนน้ั เรากอ็ ยากจะ พน ดว ยความประจกั ษใ จเราเอง ไมอ ยากทราบอยางอืน่ ใหมากไปกวา อยากจะทราบ เรอ่ื งของเรา เพราะเราเปน กองทกุ ข เราเปนกงจักร เราเปน ผมู ดื หนาสาโหด เราตอ งการ ความฉลาด เราตอ งการความแหลมคมภายในจติ ใจ เราตอ งการความหลดุ พน เราจงึ พยายามเตม็ ความสามารถในทางความเพยี ร เพอ่ื รแู ละละสจั ธรรม ใจถูกบีบถูกบังคับ ถูกผูกถูกมัดถูกจําจองอยูที่ตรงไหน จงแกมันดวยสติปญญา ฟาดฟนลงไปที่ตรงนั้นจน แหลกแตกกระจายไมมีชิ้นใดเหลือ ใจถงึ ความจรงิ ลว น ๆ นน้ั แลทา นเรยี กวา หลดุ พน หลดุ พน แลว จากกเิ ลสซง่ึ เคยเปน นายเรามากก่ี ปั กก่ี ลั ป หรอื เคยเปน ศาสตราจารยพ ราํ่ สอนเรามาเปน เวลานาน ไดเห็นโทษของมันและถอดถอนมันออกไปหมดโดยสิ้นเชิง แลว ใจเปน อสิ ระเตม็ ภูมิ นี้แลคือที่สุดแหงทุกข ที่สุดแหงธรรม ทีส่ ดุ แหง วัฏจักร สน้ิ สดุ ทใี่ จน้เี องไมส ้นิ สดุ ในทอี่ ่ืนใด เพราะกิเลสและธรรมไมมีอยูที่อื่น จึงขอใหยอนจิตเขามา พจิ ารณาในกายในใจดว ยดี ความสมหวงั ทเ่ี คยหวงั มานานจะสมบรู ณใ นใจทช่ี าํ ระถงึ ขน้ั บริสทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว ขอย้ําอีกครั้ง จงเรยี นจติ ใหร ู เรยี นจติ รทู ว่ั ถงึ แลว ไมม อี ะไรสงสยั ในโลกน้ี กวา ง แคบไมส าํ คญั สําคัญทีเ่ รยี นจิตใหร เู รอื่ งของจิต รกู เิ ลสชนดิ ตา ง ๆ ทแ่ี ทรกอยภู ายในจติ จรงิ ๆ เปน พอกบั ความตอ งการ พระพุทธเจาเมื่อถึงนี่แลวไมตองการอะไรอีก สาวกทั้ง หลายพอ ใคร ๆ ก็พอ เมื่อถึงขั้นเพียงพอแลวพอ พอทั้งนั้น เพราะเปน จติ เปน ธรรมท่ี สมบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว ตลอดอนนั ตกาล จงึ ขอยตุ ธิ รรมเทศนาเพยี งเทา น้ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๓

๔๔ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๑๓ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ มายากเิ ลส การฟงธรรมทางดานปฏิบัติ ทั้งผูเทศนทั้งผูฟง สว นมากไมค อ ยมคี าํ วา “พิธี” เชน ฟงพอเปนพิธี เทศนพอเปนพิธี อยา งนท้ี างภาคปฏบิ ตั ไิ มไ ดน าํ มาใชก นั สาํ หรบั ผู มุงอรรถมุงธรรมจริงๆ ไมน าํ มาใช ถา มงุ โลกามสิ อยแู ลว อาจนาํ มาใช แตถามุงตอ โลกามิสก็ไมเรียกวา “ปฏิบัติ” มันขัดกันตรงน.ี้ ทางดานปฏบิ ัติแลว ไมม ีพิธอี ะไรมาก ผูเทศนตั้งใจเทศนใหผูฟงไดรับความเขา ใจจริงๆ ดว ยเจตนา ผูฟงก็ตั้งใจฟงดวยความสํารวมระวังจติ ของตน ไมใหสงไปที่อื่นๆ ในขณะที่ฟง ทาํ ความรสู กึ อยกู บั ใจของตนเทา นน้ั โดยไมจําเปนตองสงกระแสจิตออก มาภายนอกเพอ่ื รบั เสยี ง เชน สง ออกมาสผู เู ทศน เปนตน อยา งนไ้ี มค วร เพราะจะขาด กาํ ลงั ภายในใจ ที่จะพึงไดรับจากการฟง ดว ยจิตจดจอ ตอ เนอ่ื งกนั อยเู ฉพาะภายใน เมอ่ื ไดต ง้ั จติ ไวเ ฉพาะหนา คอื มคี วามรสู กึ อยกู บั ตวั นน้ั แลถา จะเทยี บกค็ อื คนอยู ในบา น แขกคนมาจากทไ่ี หนเขา มาเกย่ี วขอ งในบา นนน้ั เจา ของกร็ บั ทราบวา แขกนน้ั มา ธุระอะไรบา ง นอกจากเจา ของไมอ ยบู า นเสยี เทา นน้ั แมเขาจะมาขโมยของไปกี่ชิ้น ก่ี รอ ยกพ่ี นั อยา ง ก็ไมทราบไดเลย จติ ท่อี ยกู ับตัว ขณะทา นแสดงธรรมหนกั เบา จะตองรับทราบทุกระยะ เพราะใจ อยกู บั ตวั เหมอื นคนอยใู นบา น ถา ความรสู กึ ไดส ง ออกไปจากตวั เสยี การฟงเทศนก็ไม เขาใจ ไมคอยรูเรื่อง ผลไมค อ ยเกดิ ถา เปน กเิ ลสลว งเขา ไป เอาอะไรไปหมด เหมอื นกบั โจรผูรายขโมยของอะไรภายในบานก็ไมรู เราไมเคยทําจริงทําจัง จะไปตําหนิติเตียนตู โทษพระพุทธเจา พระสาวก และพทุ ธบรษิ ทั ทง้ั หลายวา “เวลาพระพุทธเจาทรงเทศน คนไดสําเร็จมรรค ผล นิพพาน” จะสําเร็จอยางไรเพียงเทศนเทานั้น โดยผูฟงไมตั้งใจ ฟง นอกจากคุยกันแขง พระเทศนเทานน้ั บางคนไมเชื่อก็มีวาผูเทศนจะสามารถยังผูฟง ใหสําเร็จ มรรค ผล นพิ พาน ได และผูฟงก็ไมสามารถจะบรรลุธรรมไดในขณะที่ฟง นเี้ ปน ความคดิ เหน็ ของคนประเภทลอยลม หาหลกั เกณฑไ มไ ด สกั แตว า เทา นน้ั ตามความลอยลมของตน ถอื ศาสนากส็ กั แตว า ถอื ถามวา ถอื ศาสนาอะไร ถอื ศาสนา พุทธ ก็มีแตชื่อของพระพุทธเจาเต็มปากเต็มคอ แตไมเคยมีธรรมเขาไปเกี่ยวของกับหัว ใจเลย ข้นึ ชื่อวาพทุ ธ วาธรรม วาสงฆ ไมใ ชเปนของเล็กนอย ไมใชเปนของเลน ไมใช ของพิธี ที่จะนํามาทําเลนๆ อยา งนน้ั ประเภทที่เลนๆ นี้แลเปน ประเภททีท่ าํ ลายศาสนา ไดอยางแทจริง ดังที่เราทราบๆ กนั จะมีเจตนาหรือไมมีไมสําคัญ เชนไมหลุดจากมือ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook