ปฏจิ จสมปุ บาทสาํ หรบั คนรนุ ใหม พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ISBN : 974-93123-0-9 สงวนลขิ สิทธ์ิ พิมพเผยแผโดย ตามพระราชบญั ญัติ พ.ศ. 2537 พมิ พครัง้ ท่ี 1 กองทุน ธรรมวิหาร พิมพค รง้ั ที่ 2 พมิ พท ี่ ธรรมสถานมหาวิทยาลัยเชยี งใหม วดั ฝายหิน มช. 67 หมู 1 บานฝายหิน ถนนสเุ ทพ ตาํ บลสเุ ทพ อาํ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม 50200 โทร : 053-943684 โทรสาร : 053-943684 พฤษภาคม 2548 จํานวน 4,000 เลม กันยายน 2550 จํานวน 5,000 เลม บริษัท นันทพันธพรน้ิ ติ้ง จํากดั 33/4-5 ถ.เชียงใหม-หางดง ตาํ บลแมเหยี ะ อําเภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม 50200 โทร : 053-804908-9 โทรสาร : 053-804958
กติ ิกรรมประกาศ ปฏิจจสมุปบาทสําหรับคนรุนใหมน้ี สําเร็จลงไดดวยความ อนุเคราะห ชวยเหลือของบุคคลหลายฝาย ผูเขียนขอระบุนามทานเหลาน้ีไว เพื่อแสดงมุทิตา โมทนาสาธุ กราบคารวะ และขอบพระคุณเปนอยางสูง ดังนี้ สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศิรินทราวาส กทม. พระอุปชฌาย ผใู หกําเนิดในเพศบรรพชติ แกผ ูเขียน พระอาจารยนพพร อาทิจฺจวํโส พระอาจารยสมบัติ ภูริปฺโญ ทานอาจารยแมชีอุบาสิกาเพียงเดือน ธนสารพิพิธ ผูใหกําเนิดในทางธรรม ประสิทธิป์ ระสาทความรู และไดใหแ นวทางในการศึกษาวิเคราะห ตลอดจน ตรวจสอบแนะนํา จนสามารถรวบรวม สรุป และเขียน “ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรุนใหม” เลม น้ไี ดสําเรจ็ ทาน ศ.ดร.ระวี ภาวิไล บิดาผูใหกําเนิดในทางโลก ซ่ึงเปนผูให ความรูและคําปรึกษาในเร่ืองที่เกี่ยวของกับหลักอภิธรรม อีกท้ังยังมีเมตตา เขยี นคาํ นาํ ใหกับหนังสอื เลม น้ี พระมหา ดร.ไสว เทวปฺุโญ เจาอาวาสวัดฝายหิน ผูมีเมตตา รับ ผเู ขียนเขา วัด เปน ธัมมันเตวาสิก คืออันเตวาสิก หรือศิษยผูเรียนธรรม ใน สาํ นักวดั ฝายหนิ จังหวดั เชียงใหม คุณภัทร คชะภูติ กัลยาณมิตร ผูนําหลักวิปสสนาชกมวยไปใช และเผยแผอยางไดผ ล ศ.ดร.คุณหญิงพยอม สิงหเสนห ญาติมิตรสหาย และคณะศรัทธา ท้งั จากธรรมสถาน มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม และจากธรรมสถาน จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย ที่รวมบริจาคปจจัย สมทบทุน สนับสนุนการจัดพิมพหนังสือ เลม นี้ เพอ่ื เผยแผเ ปนธรรมทาน ทุกๆ ทาน Mr. David Freyer ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่มีสวนอยางสําคัญในการ พฒั นาแผนผงั ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ฉบบั ภาษาอังกฤษ
คุณเฉลิมพล เมาลีกุล และคณะผูเขียนภาพ วงจรปฏิจจสมุปบาท แบบธิเบต ในรูปแบบจิตรกรรมไทยใหกับผเู ขียน คุณอภินันท และคุณธนพันธ ศิริโยธิพันธ และทีมงานโรงพิมพ นันทพันธ ทีเ่ ออ้ื เฟอเปนธุระในการทําอารตเวิรค และจัดพิมพหนังสืออยาง พิถพี ถิ ัน อาตมภาพ ขอกราบขอบพระคุณ และมุทิตาโมทนาสาธุ ในความมี เมตตาอนุเคราะหของทุกๆ ทาน ท้ังที่กลาวนาม และไมไดกลาวนาม ท้ังที่ ระลึกได หรือระลึกไมไ ดท ั้งหมด ท่ีทําใหหนงั สอื เลม นส้ี ามารถสําเร็จออกมา เปน รปู เลมสวยงาม และสมบรู ณอยางที่ปรากฏอยูนี้ บญุ กศุ ลอนั เกิดแตการพิจารณาเผยแผธรรม ท่ีปรากฏในหนังสือน้ี อาตมภาพ ขอถวายเปนพุทธบูชา ธรรมบูชา และอริยสังฆบูชา โมทนาใน พระคุณความดบี ารมที ั้งปวง ของสมเด็จองคปฐมพระบรมสัมมาสมั พทุ ธเจา และพระสมั มาสมั พุทธเจาทุกๆ พระองค ตลอดจนถึง สมเด็จพระสัมมาสัม พทุ ธเจา พระองคปจจบุ นั พระธรรมเจา และพระอรยิ สงั ฆเจาทุกๆ พระองค ขออํานาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลแหงการพิจารณาธรรม ปฏิจจสมปุ บาทสาํ หรบั คนรุน ใหมนี้ จงแผไปปกปกรักษาทานผูมีอุปการคุณ ทุกๆ ทาน ใหประสบแตความสุขความเจริญ ท้ังทางโลกและทางธรรม เขา ถงึ มรรค ผล นิพพาน ในปจจุบนั โดยเร็วพลนั เทอญ พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน ภาวไิ ล ๙/๕/๔๘
กาลามสตู ร1 พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ทรงตรัสเร่ืองของวิธีปฏิบัติใน เร่ืองทคี่ วรสงสยั หรอื หลักของความเชอ่ื ไวใ นพระสูตรชอ่ื กาลามสตู ร วา ๑. อยาปลงใจเชอ่ื ดวยการฟง ตามๆ กันมา ๒. อยา ปลงใจเชอ่ื ดวยการถอื สบื ๆ กนั มา ๓. อยา ปลงใจเชอ่ื ดวยการเลาลอื ๔. อยาปลงใจเชือ่ ดว ยการอา งตําราหรอื คัมภรี ๕. อยาปลงใจเช่อื เพราะตรรก ๖. อยา ปลงใจเช่อื เพราะการอนุมาน ๗. อยาปลงใจเชอ่ื ดว ยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ๘. อยา ปลงใจเชื่อ เพราะเขา ไดกบั ทฤษฎที พี่ ินิจไวแ ลว ๙. อยาปลงใจเชอ่ื เพราะเห็นรปู การณว า นาจะเปน ไปได ๑๐. อยา ปลงใจเชอ่ื เพราะนับถือวา ทานสมณะนีเ้ ปน ครขู องเรา ตอเมื่อใดที่รู และเขาใจดวยตนวา ธรรมเหลาน้ันเปนกุศล เปน อกุศล มโี ทษ ไมม โี ทษ เปน ตน แลว จงึ ควรละหรอื ถือปฏิบตั ติ ามน้ัน 1 ในบาลเี รียกวา เกสปตุ ติยสตู ร มาใน พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ ตรนิกาย ติกนิบาต
ลกั ษณะตัดสนิ พระธรรมวนิ ยั ๗1, ๘2 พระพุทธองคท รงตรัสแก พระอบุ าลี วา ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อ (๑) เอกันตนิพพิทา ความหนายส้ินเชิง, ไมหลงใหลเคลิบเคล้ิม (๒) วิราคะ ความคลายกําหนัด ไมยึดติดรัดตัว เปนอิสระ (๓) นิโรธะ ความดับ, หมดกิเลส หมดทุกข (๔) อุปสมะ ความ สงบระงับ (๕) อภิญญา ความรูย่ิง, ความรูชัด (๖) สัมโพธะ ความตรัสรู (๗) นิพพาน ความดบั กิเลสส้ินเชิง สขุ สงบ เยน็ ธรรมเหลา นั้นพงึ รวู า เปนธรรม เปนวนิ ัย เปนสัตถสุ าสน คอื คําสอนของพระศาสดา พระพุทธองคท รงตรสั แก พระนางมหาปชาบดโี คตมี วา ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อ (๑) วิราคะ ความคลายกําหนัด ความไมต ิดพนั เปน อิสระ ไมเปนไปเพื่อกําหนัดยอมใจ หรือเสริมความติด (๒) วิสังโยค ความหมดเครื่องผูกรัด ไมประกอบทุกข (๓) อปจยะ ความไมพอกพูนกิเลส (๔) อัปปจฉตา ความมักนอย ไมมักมาก (๕) สันตุฏฐี ความสันโดษ พอใจในผลอันสมดวยเหตุ (ตามมีตามได) (๖) ปวิเวก ความสงัด ไมคลุกคลีดวยหมู (๗) วิริยารัมภะ ประกอบความ พากเพียร ไมเ กยี จคราน (๘) สภุ รตา ความเล้ยี งงา ย ธรรมเหลาน้ันพงึ รวู า เปน ธรรม เปนวินัย เปนสตั ถสุ าสน คอื คําสอนของพระศาสดา 1 องฺ.สตตฺ ก. ๒๓/๘๐/๑๔๖ 2 วินย. ๗/๕๒๓/๓๓๑ ; องฺอฏฐ ก. ๒๓/๑๔๓/๒๘๙.
สารบญั ปฏิจจสมุปบาทสําหรับคนรนุ ใหม หนา 1 ๑. อวิชชา 3 ๒. สังขาร 10 ๓. วญิ ญาณ 12 ๔. นามรูป 15 ๕. สฬายตนะ 17 ๖. ผสั สะ 20 ๗. เวทนา 22 จากผัสสะไปสูเ วทนา จติ ทาํ งานอยางไร? 24 สังขารขนั ธ การปรงุ แตง ใจ จากผสั สะสูเ วทนา 27 เสน ทางของสังขาร (อภสิ ังขาร, กรรมฐาน ๔๐, วปิ สสนา) 29 69 สรปุ การทาํ งานของจติ จากผัสสะไปสเู วทนา ๘. ตัณหา 75 จากเวทนาไปสตู ณั หา จติ ทํางานอยา งไร? 77 ๙. อุปาทาน 81 จากตัณหาไปสอู ุปาทาน จติ ทาํ งานอยา งไร? 84 ๑๐. ภพ 89 ๑๑. ชาติ 94 ๑๒. ชรามรณะ 106
ความหมายของคาํ วา \"ทกุ ข\" ในพุทธธรรม หนา 108 อาสวะ ๔ วถิ เี พ่มิ พนู อวิชชา 109 กระบวนการแตกดบั ตายเกดิ ขา มภพขามชาติ (ฮโิ รชิมา) 111 แลว ภพ-ชาตใิ หม เกดิ ข้นึ มาไดอยางไร? 114 จติ สุดทาย (จตุ จิ ติ ) เปน เชนไร 117 จติ ต้งั ตนในภพใหม (ปฏสิ นธจิ ิต) กเ็ ชนน้นั โยนิ ๔ คอื กําเนิด, แบบหรอื ชนดิ ของการเกิด 126 พฒั นาการของชีวิตในครรภมารดา 129 กรณศี ึกษา ตายจากมนษุ ย แลว มาเกดิ เปนมนษุ ย 131 ตายจากโอปปาตกิ ะชั้นสงู 133 คอื พรหม เทพ เทวดา มาเกดิ เปนมนุษย ตายจากเดรจั ฉาน โอปปาตกิ ะชน้ั ตํ่า 134 คือ อสุรกาย เปรต สตั วนรก มาเกิดเปน มนษุ ย โอปปาติกะกาํ เนิด ในภพสมั ภเวสี เพอื่ ความเปนเดรัจฉาน 134 เดรัจฉานภพ ภพแหงการเสวยผลของกรรม 135 ปฏิจจสมุปบาทสายดบั 136 อรยิ มรรคมีองค ๘ 139 จากไตรสกิ ขา มาเปน สมถะและวิปส สนา 145 วปิ ส สนา คอื สังขาร การปรงุ แตง อันยังภพใหส ิน้ ไป 146
บนั ไดวปิ ส สนา หรอื วิปส สนาชกมวย หนา 149 ไตบัลลงั กแชมป 153 153 ๑. วตั ถทุ าน 155 ๒. อภัยทาน 155 ๓. ธรรมทาน 157 ๔. ศีลและวนิ ัย 163 ๕. ตรวจสอบปรบั ปรุงคุณสมบัติ กอนลงทะเบียน 165 ๖. เคลียรห น้ี ลางบญั ชี เจรจาหยา ศกึ 172 ๗. เลิกลางเปาหมายอ่ืน แลวลงทะเบียนเสยี ที 174 ๘. นกั มวยสรางกําลงั กาย นักปฏบิ ัตสิ รางกําลังใจ 177 ๙. ออกลลี าชกลม หรอื รํามวย 180 181 กรอเทปสมอง ประลองความจริงในชีวติ 182 185 ๑๐. ลีลาชกลม หรอื ราํ มวยตวั อยาง 185 ๑๑. เอากระสอบทรายเปน เปา ซอมมือเทาใหก ราวแกรง 187 ๑๒. อวสานกระสอบทราย 188 ๑๓. ลงนวมข้นึ เวทีในคา ย โดยมีครฝู ก เปน คูซอม 190 ๑๔. ไดฤกษขึ้นเวทจี ริง ไตอันดับสูความเปน แชมป ๑๕. ข้ึนเวทีใหญ ใกลค วามเปน แชมป เปดปมู ชวี ติ กวาดลางทาํ ความสะอาด \"อตตี ารมณ\"
๑๖. ขน้ึ เวทโี ลก ชวงชงิ ความเปนแชมป- หนา จากรองแชมปโลก จนถงึ แชมปโลก 191 เราตองคว่ํารองแชมป กับแชมปโ ลกใหได 193 195 ภมู ขิ องวปิ สสนา ในวิปสสนาชกมวย 200 202 เพราะวปิ ส สนาเปนปจจยั จึงละตณั หาได 203 เพราะละตัณหาในอารมณไ ด เปนปจจัย- จงึ ละได ซึ่งอปุ าทานในอารมณน ัน้ 203 เพราะละได ซึง่ อปุ าทานในอารมณนน้ั เปน ปจจยั - จึงละได ซงึ่ ภพอนั เคยมใี นอารมณน้นั 204 เพราะละได ซ่ึงภพอันเคยมใี นอารมณนน้ั เปนปจจยั - จึงละได ซง่ึ ชาติ คอื ความเกดิ แหงขันธท ั้งหลาย ในอารมณน นั้ เพราะการละได ซ่งึ ชาติ ความเกดิ แหง ขันธทง้ั หลาย- อนั เคยมใี นอารมณนน้ั เปนปจจัย ใจจงึ ปราศจาก- ซ่ึง ชรา-มรณะ คอื ความเสอ่ื มสลายและดบั ส้ินไป- แหง ขันธทงั้ หลาย ในอารมณน น้ั อวชิ ชาในอารมณน ้นั 204 จงึ ถกู แทนท่ดี ว ยวิชชา ในอารมณน ัน้ บทสรุปของปฏิจจสมุปบาท 205 โดยพระอาจารยสมบัติ ภรู ิปโฺ ญ 205 เอา \"วชิ ชา\" ไปดับ \"อวิชชา\" ปฏิจจสมุปบาทสายดบั เกดิ ขึ้น
เหลอื เพยี ง \"ใจ\" ทีเ่ ปน อิสระ หนา ส้นิ อาลยั ไรอาวรณ ปลอดจาก \"ทุกข\" 206 พนไปจาก \"กาย\" ใจถึง \"นิพพาน\" 207 ภาคผนวก 207 ทศิ ๖ 209 พธิ ีขออโหสิกรรมใหญ เพอ่ื ความไมประมาท 209 การอธษิ ฐานการปฏบิ ัติธรรม 214 ใหเ กดิ ปฏเิ วธธรรม ถงึ พระนิพพานในชาติปจจุบัน ประกาศใหอ โหสิกรรม 218 บรรณานุกรม 221 ประวัตผิ ูเ ขยี น 223 รายนามเจา ภาพรวมพมิ พห นังสอื ฯ 225 เปน สขุ เพราะศีล 227 230
ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ปฏิจจสมปุ บาทสาํ หรับคนรุนใหม โดย พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) “ปฏิจฺจ” แปลวา อาศัยกัน “สมุปฺบาท” แปลวา เกิดขึ้นดวยกัน “ปฏิจจสมุปบาท” จึงแปลไดความวา ธรรม (มีอาการ ๑๒) ท่ีเกิดข้ึนดวยกัน โดยอาศัยกนั ปฏิจจสมปุ บาท จงึ เปนการเกดิ ข้ึนพรอมแหง ธรรมทัง้ หลาย เพราะ อาศัยกัน หรือ ธรรมมีอาการ ๑๒ อันอิงอาศัยกัน เกิดข้ึนดวยกัน โดยมิไดมี ธรรมหน่งึ ธรรมใดเกิดขนึ้ โดยอสิ ระ หรอื เปน เอกเทศ “เหตุ” แปลวา สง่ิ อนั เปนท่ตี ้ังลงของผล “ปจ จัย” แปลวา เครอื่ งอาศัย หรือเคร่ืองอาศัยเปนไป “ปจจัย” จึงหมายถึงท้ังสิ่งท่ีเปนเหตุและไมใชเหตุ แตส่ิงน้ันก็เปนเคร่ืองอาศัยใหเปนไป สําหรับในปฏิจจสมุปบาท ทานใชศัพท วา “ปจจัย” เชน “เพราะอวิชชาเปนปจจัย สังขารจึงมี” ทานมุงถึงส่ิงท่ีเปน เคร่ืองอาศัยใหเกิดขน้ึ โยงกนั ไปเปน สาย ไมไ ดห มายถึงส่ิงท่เี ปน เหตุโดยตรง องคธรรมหลักในปฏิจจสมปุ บาท มีอยู ๑๒ ประการ โดยมีอาการเปน ปจจัยแกกัน ดังพระพุทธดํารัสท่ีทรงตรัสไวใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๑๖/๑/๑-๒ วา “ภิกษุท้ังหลาย ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร คือการที่ อวิชชาเปนปจจัย ใหเกิดสังขาร สังขารเปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ วิญญาณเปนปจจัยใหเกิด นามรูป นามรูปเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะ สฬายตนะเปนปจจัยใหเกิดผัสสะ ผสั สะเปนปจจัยใหเกิดเวทนา เวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา ตัณหาเปนปจจัย ใหเกิดอุปาทาน อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ ภพเปนปจจัยใหเกิดชาติ ชาติเปนปจจัยใหเกิดชรามรณะ… โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ก็เกิด รว มดวย กองทุกขท ง้ั มวลน้ีเกิดขน้ึ อยา งพรอ มมลู ดวยอาการดังท่วี า มาน”้ี 1
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) สรปุ จาํ แนกอาการท่ีเปนปจ จยั กนั ไดด ังนี้ ๑. เพราะ อวชิ ชา เปน ปจจัย สังขาร จงึ มี ๒. เพราะ สังขาร เปนปจ จัย วญิ ญาณ จงึ มี ๓. เพราะ วิญญาณ เปน ปจ จัย นามรูป จึงมี ๔. เพราะ นามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะ จึงมี ๕. เพราะ สฬายตนะ เปน ปจ จยั ผัสสะ จงึ มี ๖. เพราะ ผัสสะ เปนปจ จัย เวทนา จงึ มี ๗. เพราะ เวทนา เปนปจจัย ตณั หา จงึ มี ๘. เพราะ ตณั หา เปนปจ จัย อุปาทาน จึงมี ๙. เพราะ อุปาทาน เปน ปจ จัย ภพ จึงมี ๑๐. เพราะ ภพ เปน ปจ จยั ชาติ จงึ มี ๑๑. เพราะ ชาติ เปนปจจยั ชรามรณะ จงึ มี ๑๒. (เพราะ ชรามรณะ เปนปจจัย หรือ เพราะธรรมท้ังปวงนี้ เปนปจจัย) ความโศก ความคร่ําครวญ ทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ ก็มีพรอ ม 2
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) สวนคําวา “มิจฉาทิฏฐิ” (wrong view) นั้น หมายถึง ความเห็นผิด ไดแ กความเห็นผดิ จากคลองธรรม ตามหลกั กุศลกรรมบถ หรอื เปนความเห็น ทไ่ี มน ําไปสูความพนทกุ ข จากคาํ จํากดั ความทไี่ ดแสดงมาแลว จะไดขอสรปุ วา “อวิชชา” คอื ความไมร ูถูกตองตามความเปน จริง “อวิชชา” มีช่ือวา “โมหะ” เพราะเปนความไมรูถูกตองตามความ เปนจริง ที่เกิดขึ้นเพราะถูกความเขลามาปดบังอําพรางเอาไว ประหนึ่ง หมอกควนั หรอื กาํ แพง ทีก่ าํ บงั ไวไ มใหเ หน็ แจง ชดั เจนตามทเ่ี ปนจรงิ ได “อวิชชา” มีช่ือวา “มิจฉาทิฏฐิ” เพราะเปนความไมรูถูกตองตาม ความเปนจริง ที่เกิดข้ึนเพราะ แมไดเห็นแลว ไดรูแลว แตก็เห็นผิด รูผิด ตีความผดิ ไปจากความเปนจรงิ ของสงิ่ นนั้ ๆ มีพระพุทธภาษิตตรัสอธิบายวา “อวิชชา” นั้นไดแก ความไมรูใน “อริยสัจ ๔” กลาวคือ ไมรูในทุกข ไมรูในเหตุใหเกิดทุกข ไมรูในความ ดับทุกข ไมรูในทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ในบางแหง เชน พระอภิธรรม พระอรรถกถาจารยไ ดอธิบายเพ่มิ ขน้ึ มาอกี ๔ ประการ รวมเปน อวิชชา ที่มี วตั ถุ ๘ หรือ “อวชิ ชา ๘” กลา วคือ ๑. ทุกฺเข อญฺ าณํ ไมรูใ นทกุ ข ๒. ทุกขฺ สมุทเย อฺญาณํ ไมรูในทุกขสมทุ ยั เหตุใหเ กิดทกุ ข ๓. ทุกฺขนิโรเธ อฺญาณํ ไมรูในทุกขนิโรธ ความดบั ทกุ ข ๔. ทกุ ขฺ นโิ รธคามินิยา ปฏิปทาย อฺญาณํ ไมร ใู นทกุ ขนโิ รธคามินีปฏิปทา ทางปฏิบัตใิ หถึงความดบั ทุกข 4
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๕. ปพุ พฺ นเฺ ต อฺญาณํ ไมรใู นสวนอดตี หรือในเงอ่ื นตน ๖. อปรนเฺ ต อฺญาณํ ไมร ใู นสวนอนาคต หรอื ในเงื่อนปลาย ๗. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺญาณํ ไมรทู ้งั สว นอดตี ทั้งสวนอนาคต หรอื ทงั้ ในเงื่อนตน และทั้งใน เง่ือนปลาย ๘. อทิ ปปฺ จฺจยตาปฏิจฺจสมุปปฺ นฺเนสุ ธมฺเมสุ อฺญาณํ ไมรูในธรรมท้ังหลายท่ีอาศัยกัน จึงเกิดมีข้ึน ตามหลัก อิทัปปจจยตา คือไมรูในปฏิจจสมุปบาท หรือธรรมท่ีอาศัยกัน บังเกดิ ขึ้น ในขอ ๕. ที่วา ไมรูในอดีตหรือในเง่ือนตน หมายถึง เม่ือไดรับผล อนั ใดอันหนึ่งในปจจุบัน ก็ไมรูวาเกิดมาแตเหตุประการใดในอดีต ไมรูดังน้ี ชอ่ื วา ไมรใู นอดตี หรือไมร ูในเงือ่ นตน ในขอ ๖. ท่ีวา ไมรูในอนาคตหรือในเง่ือนปลาย หมายถึง เมื่อ ประกอบเหตุอันใดอันหน่ึงอยูในปจจุบัน ก็ไมรูวาจะบังเกิดผลประการใดบาง ในอนาคต เปนดงั นช้ี ื่อวา ไมรูในอนาคต หรือไมร ูในเง่ือนปลาย ในขอ ๗. ท่ีวา ไมรูท้ังในอดีตทั้งในอนาคต หรือทั้งในเงื่อนตน และท้ังในเง่ือนปลาย หมายถึง ไมรูไมเขาใจในเหตุผล อันโยงใยอดีต ปจจุบัน และอนาคต วามีความสัมพันธกันเชนไร กลาวคือ ไมเขาใจกฎแหงกรรม และ กฎไตรลักษณ อันเปนกฎธรรมชาติ ท่ีแสดงความสัมพันธบนวิถีของ กาลเวลา จาก “อวิชชา ๘” สามารถประมวลไดเปน ความไมรูในกฎธรรมชาติ ทง้ั ๔ ประการ คือ 5
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ๑. ไมร ูกฎของความเปนเหตุเปนผล (ขอ ๑.-๔.) อรยิ สจั ๔ คอื “กฎความเปนเหตุเปนผลของทุกข” เปนการแสดงวา “ทุกข” นัน้ เปน ส่งิ ทมี่ เี หตมุ ีผล อยภู ายใตค วามเปน เหตุเปน ผล มีสมการดังนี้ สมการที่ ๑ “ทุกข” สภาพท่ีทนไดยาก เปนผล โดยมี “ทุกขสมุทัย” เหตใุ หเ กดิ ทุกข กลา วคือ “ตณั หา” เปนเหตุ สมการท่ี ๒ “ทุกขนิโรธ” ความดับทุกข เปนผล โดยมี “ทุกขนิโรธ- คามินีปฏิปทา” ทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข คือ “อริยมรรคมีองค ๘” เปน เหตุ ๒. ไมร กู ฎของความเปลีย่ นแปลง (ขอ ๕.-๗.) ไตรลกั ษณ คอื “กฎของความเปลย่ี นแปลง” ไดแ ก ๑) อนิจจตา ความเปนของไมเที่ยง เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ไมอาจ คงท่ีอยูได มีกาลเวลากลาวคือ อดีต อนาคต และความเช่ือมโยงแหงอดีต และอนาคต เปนพื้นฐานของความเปลี่ยนแปลงทงั้ ปวง ๒) ทกุ ขตา ความเปน ทุกข สภาวะขัดแยง อันเนื่องดว ยความไมเปนไป ตามประสงค ตราบใดท่ีบุคคลยังกอปรดวยความเห็นผิด ปฏิเสธ ไมยอมรับ ในความเปนจริงของชวี ติ และกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอยางยิ่งในความ เปนอนิจจตา คือ ความเปนของไมเที่ยง ฉะนั้น ปฏิฆะ ความขัดแยง กระทบ กระทั่ง เปนทุกข ยอมจะเกิดขึ้นตามมา น้ีก็เพราะมีการเปล่ียนแปลง อันมี พน้ื ฐานมาแตกาลเวลา กลา วคือ อดีต อนาคต และความเช่ือมโยงแหงอดีต และอนาคตนน่ั เอง ๓) อนัตตตา ความเปนของไมใชตน ในเมื่อส่ิงท้ังปวง มีสภาวะแปร เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไมอาจย่ังยืนคงทนอยูได ไมสามารถดํารงอยูเปน ที่พึ่งพิงอิงอาศัยแกเราได สิ่งทั้งปวงจึงปราศจากสาระความมีตัวตน ทั้งนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลง อันมีพื้นฐานมาแตกาลเวลา กลาวคือ อดีต อนาคต และความเชื่อมโยงแหงอดีตและอนาคตนั่นเอง 6
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรนุ ใหม ๓. ไมรูกฎแหงกรรม (ขอ ๕.-๗.) เพราะกรรม คือการกระทําทั้งหลาย มีเหตุ คือการกอข้ึนแหง เจตนา ความจงใจ ที่นําไปสูกายกรรมและวจีกรรมน้ันๆ ในชวงเวลาหน่ึงๆ คร้ันผลวิบากแหงกรรมจกั เกดิ ข้ึน กจ็ กั ตองเกิดขึ้นเปนผล ภายหลังจากที่ได มกี ารกระทําเหตุ คือกอกรรมน้ันๆ เอาไวแลว เรือ่ งของกรรม จึงเปนเร่ืองที่ สัมพันธโดยตรงกับกาลเวลา ท้ังในสวนอดีต ท้ังในสวนอนาคต และท้ังท่ี เปนความสมั พนั ธเ ชอื่ มโยงอดตี กับอนาคต ๔. ไมรูกฎแหง ความเปนเหตุและปจจัยอันสืบเน่ืองไปสูผล หรือ กฎแหงความเปน ปจจัยโยงใยสมั พันธแ กก ันและกนั (ขอ ๘) กฎธรรมชาติ ๓ ใน ๔ ประการ คือเวนแต “กฎแหงกรรม” นั้น ปรากฏเปนจริงแกสรรพสังขาร ทั้งที่มีชีวิต คือ รูป-นาม ขันธ ๕ ทั้งหลาย ตลอดจนสง่ิ ไรช ีวิต คอื วตั ถธุ าตุ หรอื สิ่งอันประกอบดวยธาตุ ๔ ทั้งปวงดวย สวนกฎแหงกรรมน้ัน เปนไปเฉพาะในมนุษย สัตว และสิ่งมีชีวิตที่มี วญิ ญาณครอง ทส่ี ามารถปรุงแตงเจตนา คือความจงใจไดเ ทานัน้ แตค วามทคี่ นเรายังมอี วิชชา ไมรแู จง ตามเปนจริงในวัตถุ ๘ ทป่ี รากฏ ในสังขาร สิ่งปรุงแตงท้ังหลาย กลาวคือ (๑) ไมรูในทุกข (๒) ไมรูในเหตุ ใหเกิดทุกข (๓) ไมรูในความดับทุกข (๔) ไมรูในทางปฏิบัติ ใหถึงความ ดับทุกข (๕) ไมรูในสวนอดีต หรือเง่ือนตน (๖) ไมรูในสวนอนาคต หรือ เง่ือนปลาย (๗) ไมรูทั้งในสวนอดีตและอนาคต คือท้ังเง่ือนตนและ เงื่อนปลาย (๘) ไมรูในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งสรุปก็คือ ไมรู ไมเขาใจ ไมยอมรับ ในกฎธรรมชาติทั้ง ๔ อันไดแก ๑) กฎของความเปนเหตุเปนผล ๒) กฎของ ความเปล่ียนแปลง ๓) กฎแหงกรรม ๔) กฎแหงเหตุและปจจัยที่สืบเนื่อง ไปสูผล ทั้งหมดนี้จึงรวมลงเปนอวิชชาในฝายเหตุ ที่ยังใหเกิดอวิชชาใน ฝายผล อันไดแกค วามโง ความเหน็ ผดิ ความไมเขาใจ ที่ทําใหติดยึดมัวเมา ในรา งกาย เรียกส้ันๆ วาเปน “ความโงใ นกาย” 7
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) “ความโงในกาย” เปนเชนไร ? คือความเห็นผิด หลงผิด เขาใจ ผิดๆ รูสึกผิดๆ ท่ีส่ังสมทับถมกันมา อันผิดไปจากความเปนจริงของชีวิต (อวิชชา ๘, การปฏิเสธกฎธรรมชาติทั้ง ๔) ซ่ึงความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ความหลงผิด (โมหะ) และความไมรูตามเปนจริง (อวิชชา) เหลานั้น ลวน รวมลงในเรื่องของ “กาย” และ “วัตถุธาตุ” ทั้งหลาย… เชนมันเห็นผิดวา เปนสิ่งท่ีใหประโยชนได เปนส่ิงที่นําความสุขมาใหได เปนสิ่งที่ม่ันคงถาวร เปนทีพ่ งึ่ พิงองิ อาศัยได สามารถแสวงหาความสุขความสบายและความมีสาระ ควรแกการยึดถอื เอาไวไ ด ความโงในกายนี้ เกิดข้ึนท้ังภายในและภายนอก ความโงในกาย ภายนอก ไดแก ความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาผิดๆ อันเปนคุณคาที่ไมได มอี ยูจริง แก “กาย” และ “วตั ถธุ าตุ” ทัง้ หลายภายนอก กลา วคือ โง ในรางกาย ชาวบาน นนั่ เอง สวน ความโงในกายภายใน ไดแ ก ความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาผิดๆ อันเปนคุณคาท่ีไมไดมีอยูจริง ใน “กาย” และใน “วัตถุ อันเน่อื งดว ยกาย” ทั้งหลายภายใน กลาวคอื โง ในรา งกายตน นนั่ เอง เพราะความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาผิดๆ ไปในกายท้ังหลาย ภายนอก ดวยเขาใจวารูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัส อันเกิดแตกายภายนอก หรือวัตถุภายนอกเชนน้ัน จะนําความสุขมาให ใจจึงส่ังสมความเห็นผิดไปใน กายภายใน คือรา งกายของตน 8
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม เพราะการท่ีจะไดเห็นรูป ไดยินเสียง ไดดมกลิ่น ไดลิ้มรส ไดสัมผัส เย็นรอนออนแข็ง จากกายหรือวัตถุภายนอก อันตนหลงใหลใหคาใหราคา เอาไว เชน รางกายของชาวบานเปนตนน้ัน ตนจะตอง มีตาดี มีหูดี มีจมูก มีล้ิน และกายประสาทที่ดี ไวเปนประตูสําหรับสัมผัส รับรู ในกายและวัตถุ อันใจตั้งคา ไวว า มนั นาจะดเี หลานั้น ใจจึงสั่งสมความเห็นผิด ไปในรางกายของตน โดยปรารถนาท่ีจะได เกิดมามีรูปรางกายที่ดี มีอวัยวะเครื่องรับรูท่ีดี จะไดไปสัมผัสรับรูในส่ิงท่ีดีๆ ปรารถนาใหไ ดรางกายซง่ึ มคี วามสวยสดงดงาม หลอ เหลาแข็งแรง มีสขุ ภาพดี จะไดเอาเปนเหย่ือลอ ดึงดูดกายท้ังหลายภายนอกท่ีปรารถนา ใหเขามา ติดเบ็ด จะไดเสพสมอารมณหมาย อยางท่ีไดต้ังคา ตั้งความปรารถนาเอาไว ดว ยความหลงผิด เห็นผดิ รผู ิดมาแตดั้งเดิม 9
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุนใหม สังขาร ๓ คือสภาพท่ีปรุงแตง ธรรมมีเจตนาเปนประธาน อัน ปรุงแตงการกระทํา ท่ีเปนไปดวยอํานาจของอวิชชา ความโง ความหลง และความเหน็ ผิดท่เี ปนไปในกาย ในขันธ ๕ ไดแก (๑) กายสังขาร คือ สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทางกาย ไดแก กายสัญเจตนา คอื ความจงใจทางกาย (๒) วจีสังขาร คือ สภาพท่ีปรุงแตงการกระทําทางวาจา ไดแก วจสี ญั เจตนา คือ ความจงใจทางวาจา (๓) จติ ตสังขาร หรือ มโนสงั ขาร คอื สภาพที่ปรงุ แตงการกระทํา ทางใจ ไดแก มโนสญั เจตนา คือ ความจงใจทางใจ เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย สังขารจึงมี… ดังน้ัน เมื่อใจโง ใจหลง ใจเห็นผิดวากายและวัตถุธาตุทั้งหลาย เปนของดี มีคุณคา “สังขาร” การคิดนึกปรุงแตง จึงปรุงแตง คิดนึก คาดหวัง และจินตนาการไปอยางมากมายวา กาย คือรางกายท้ังหลาย และ วัตถุธาตุท้ังปวงนั้น จะนําความสุขมาให มาตอบสนองตอความตองการ หรือความปรารถนาของตนไดอยางไรบาง กายสังขาร สภาพที่ปรุงแตง การกระทําทางกาย วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทางวาจา และ จิตตสังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทางใจ จึงเปนผลมาแตความโง ในกาย หลงผิดในกาย และเห็นผดิ ทเี่ ปนไปในกาย 11
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ๒. วิญญาณาหาร คือ วิญญาณในฐานะที่เปนเครื่องหลอเลี้ยง คอื อาหาร กลาววา เปนปจจยั อดุ หนนุ หลอ เลี้ยงใหเ กดิ นามรปู ๓. ปฏิสนธิวิญญาณ คือ ความรูแจงอารมณ อันทําหนาท่ีสืบตอ ภพใหม จากความหมายของคาํ วาวิญญาณ และศัพทที่เกี่ยวของ ดังที่กลาวมาน้ี ถาจําแนกออกเปน ๒ ฝาย คือ (๑) ฝายเหตุ คือกิริยาการรับรู ก็ไดแก วิญญาณ ๖ ซ่ึงเกิดข้ึนเมื่อมีการผัสสะ และ (๒) ฝายผล คือความรูท่ีเกิดข้ึน เปนผลจากกิริยาการรับรู ไดแก จิต คือ วิญญาณธาตุ, วิญญาณาหาร และปฏิสนธวิ ิญญาณ นาสังเกตวา วิญญาณในลําดับที่ ๓ แหงวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ ไมค วรจะนับเปนฝายเหตุ คือ วิญญาณ ๖ เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้น มี “ผสั สะ” ปรากฏอยอู ยางชดั เจนแลว (ลาํ ดบั ที่ ๖ แหงวงจรปฏิจจสมุปบาท) เพราะโดยนัยแลว เมื่อใดที่เห็นคําวา ผัสสะ ก็เสมือนกับการที่เราเห็นคําวา วิญญาณ ๖ ไปพรอมๆ กันดวย (เพราะผัสสะหมายถึง ความประจวบกัน แหง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ) ฉะนั้น “วิญญาณ” ในลําดับที่ ๓ แหงวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ จึงควร หมายถึง “จิต” โดยตรง ในสภาพที่เปน “วิญญาณธาตุ” คือ “ธาตุรู” แตเปนธาตุรูท่ีส่ังสมปรุงแตง (สังขาร) มาดวยความโง ความหลงผิด ความเห็นผิดในกาย ในรางกาย และวัตถุธาตุทั้งหลาย ดังท่ีไดกลาวมาแลว และทําหนาท่ีเปน “วิญญาณาหาร” เปนปจจัยอุดหนุนหลอเลี้ยงใหเกิด “นามรูป” ตอไป และหากมีการแตกตาย คือหมดปจจัยที่ยังใหมีชีวิต ปรากฏในภพหนึ่งภพใด ก็จะทําหนาที่เปน “ปฏิสนธิวิญญาณ” สืบตอใหเกิด นามรปู ในภพใหม 13
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เพราะสังขารเปน ปจ จัย วญิ ญาณจงึ มี ดังน้ันเม่ือมี “สังขาร” การปรุงแตงกาย วาจา และใจ (กายสังขาร, วจีสังขาร, จิตตสังขาร) อันเปนไปดวยความโง ความหลงผิด ความเห็นผิด วารางกายและวัตถุธาตทุ ั้งหลายเปนของที่ดี มคี ณุ คา นาํ มาซ่ึงความสขุ “วิญญาณ” ความรูที่เกิดขึ้น ท่ีจิตรองรับมาจากความคิดนึกปรุงแตง จินตนาการมาอยางผิดๆ ของตนเชนนี้ จึงเกิดเปนวิญญาณ ความรูผิด ความเห็นผิด ความยอมรับและความเขาใจท่ีผิดๆ วา กายน้ี วัตถุธาตุน้ี เปนส่ิงที่มีคา เปนสิ่งท่ีถูกตองดีงาม นําความสุขความสมใจมาใหแกเราได อยางมากมาย… หมายเหตุ ท่ีแผนผัง “เบญจขันธในวงจรปฏิจจสมุปบาท” องคธรรม ๓ ลําดับแรก คือ อวิชชา สังขาร และวิญญาณ นั้น ผูเขียนใชสีเทาเปนพื้น เพื่อแสดงวา เปนสวนท่ีมีความครอบงํา ดวยความโง ความคลุมเครือ ความปดบังอําพราง ทําใหเกิดความหลงผิด เห็นผิด มีความรูท่ีผิดๆ ไปจาก ความเปนจรงิ 14
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) เพราะวญิ ญาณเปน ปจจยั นามรูปจงึ มี เมื่อ วิญญาณ ความรูแจงอารมณ เปนความรูความเห็นท่ีผิดๆ เปนความหลง ความยอมรับ และความเขาใจที่ผิดๆ วา กายน้ี วัตถุธาตุนี้ เปนสิ่งที่มีคา เปนสิ่งที่ถูกตองดีงาม เปนส่ิงท่ีนําความสุขสมใจมาใหแกตน ไดอ ยางมากมาย มนั ก็หวังทจี่ ะไดร ับความสุขทย่ี ัง่ ยนื ถาวร จาก “กาย” และ “วัตถุธาตุ” น้ันๆ ฉะนั้นการแสวงหา “กาย” หรือ “วัตถุธาตุ” ทั้งปวง จึงเกิดข้ึน การรวมตัว คือการท่ีจิตน้ันเขาไปผนวกกับวัตถุธาตุ ท้ังท่ีเปน ของหยาบหรือของละเอียด ท่ีเรียกวา “กาย” จึงเกิดข้ึน (จุติ-ปฏิสนธิ ข้ึนมา) ฉะนัน้ สงิ่ ทที่ า นเรียกวา “นามรูป” ก็คอื “กาย” และ “จิต” น่ันเอง หมายเหตุ ท่ีแผนผัง “เบญจขันธในวงจรปฏิจจสมุปบาท” ต้ังแต องคธรรมท่ี ๔-๖ คือ นามรูป สฬายตนะ และผัสสะนั้น ผูเขียนใชสีเขียว เปน พน้ื เพอื่ แสดง ภาวะชวี ติ 16
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) อายตนะภายนอก ๖ เปนท่ีเชื่อมตอใหเกิดความรู, เปนแดนตอ ความรูฝายภายนอก บาลีเรียก พาหิรายตนะ ไดแก (๑) รูปะ คือ รูป, สิ่งที่เห็น หรือ วัณณะ คือสี (๒) สัททะ คือ เสียง (๓) คันธะ คือ กลิ่น (๔) รสะ คือ รส (๕) โผฏฐัพพะ คือ สัมผัสทางกาย, ส่ิงที่ถูกตองกาย (๖) ธรรม หรือ ธรรมารมณ คือ อารมณท่ีเกิดกับใจ, ส่ิงท่ีใจนึกคิด ทั้ง ๖ นี้ เรียกท่ัวไปวา อารมณ ๖ คอื สงิ่ สาํ หรบั ใหจิตยดึ หนว ง เพราะนามรูปเปน ปจ จัย สฬายตนะจงึ มี จากการท่จี ิตนั้น เขาไปผนวกกับวัตถุธาตุ ท้ังท่ีเปนของหยาบ หรือ ของละเอียด จนกอใหเกิด “กาย” ข้ึนมา (จุติ-ปฏิสนธิ) เม่ือนับรวมเขากับ “จิต” จึงเขาคูเปน “กาย-จิต” ซ่ึงก็คือ “นามรูป” นั่นเอง เมื่อนามรูป เกิดข้ึนแลว เพ่อื ใหม ันสามารถเสพเสวย หรอื สมั ผสั ในสงิ่ ตางๆ ได ไมวาจะ เปนวัตถุธาตุหรือรางกายอ่ืนใดก็ตาม ที่ใจไดเคยหลงใหล ใหคา ตีราคา คิดนึก จินตนาการมาแลววา เปนส่ิงท่ีจะนํามาซึ่งความสุข หรือใหความสุข กับมันไดอยางไร มันจึงแสวงหา ประตู หรือชองทาง ท่ีจะเปดออกไปรับรู ในส่ิงตางๆ ที่อยูภายนอก “นามรูป” นั้น คือส่ิง ที่ทานเรียกวา สฬายตนะ กลาวคอื (๑) มี ตา สาํ หรับดู หรอื เหน็ รปู (๒) มี หู สําหรับฟง ใหไ ดย นิ เสียง (๓) มี จมูก สําหรับสดู ดม กลน่ิ (๔) มี ลิน้ สําหรับล้มิ รส (๕) มี กาย หรือ กายประสาท สําหรับสัมผัสรับรู สัมผัสทางกาย ทั้งหลาย ไดแก เยน็ รอ น ออน แขง็ เปนตน (๖) มี ใจ ท่ีรับรูใน ธัมมารมณ คืออารมณและความรูสึกท่ีประมวล มาแลว ทั้งหมดน้ัน 18
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรับคนรนุ ใหม (๕) กายสัมผสั ความกระทบทางกาย คอื กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ (๖) มโนสมั ผสั ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ + มโนวิญญาณ ขอใหสังเกตวา เม่อื ใดทเ่ี หน็ คาํ วา ผัสสะ ก็เสมือนกบั การทีเ่ ราเห็น คําวา วิญญาณ ๖ ไปพรอมๆ กันดวย (เพราะคําวา “ผัสสะ” หมายถึง ความประจวบกนั แหงอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ) เพราะสฬายตนะเปน ปจจยั ผสั สะจงึ มี เพราะฉะน้ัน เมื่อนามรูป มีแดนตอความรูฝายภายใน คือ สฬายตนะ ไดแก ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ ทําหนาที่เปนประตู หรือ ชองทางในการติดตอรับรูกับโลกภายนอก ความกระทบ หรือ “ผัสสะ” กับ อารมณ คือ อายตนะภายนอก ไดแก รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และ ความรสู กึ นึกคดิ ตา งๆ จึงเกดิ มีข้นึ 21
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุน ใหม เวทนา ๖ ความเสวยอารมณ เปนผลจากการผสั สะ ทั้ง ๖ ชองทาง คือ (๑) จกั ขสุ ัมผสั สชา เวทนา คือ เวทนาเกิดจากสัมผสั ทาง ตา (๒) โสตสัมผัสสชา เวทนา คอื เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทาง หู (๓) ฆานสมั ผสั สชา เวทนา คอื เวทนาเกดิ จากสมั ผัสทาง จมกู (๔) ชวิ หาสัมผัสสชา เวทนา คอื เวทนาเกดิ จากสัมผัสทาง ล้นิ (๕) กายสัมผัสสชา เวทนา คอื เวทนาเกิดจากสมั ผัสทาง กาย (๖) มโนสัมผัสสชา เวทนา คอื เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทาง ใจ เพราะผัสสะเปน ปจ จยั เวทนาจึงมี ครนั้ เกิด “ผัสสะ” ความกระทบข้ึน ผัสสะนั้นจึงเปนปจจัย นําไปสู “เวทนา” การเสวยอารมณ คือเกิดความรูสึกสุขทุกขขึ้น เปนภาวะที่วา เม่ือ ไดเห็น (ไดยิน, ไดกลิ่น, ไดล้ิม, ไดสัมผัส, ไดคิดถึง) ส่ิงน้ันสิ่งนี้แลว รูสึก เบาสบาย ปลอดโปรง โลงแจง ใจก็ถือวา นี่แหละคือความสุข อยางที่มัน ไดเคยนกึ คดิ จินตนาการ เสกสรรปนแตง เยินยอกนั มากอ น คร้ันพอไดมาประสบพบเขาจริงๆ ใจจึงสวาปาม ฮุบเขาไป แลวก็ รําพงึ กับใจตนเองวา “น่แี หละความสขุ … ส่งิ น้ี (รูปน้ี, เสียงนี้, กลิ่นนี้, รสนี้, สัมผัสนี้, ความคิดอยางนี้) ใหความสุข แกเราจริงๆ มันเบา มันสบาย มันซาบซานเสียจริงๆ” ทานผูรูจึงกลาววา เวทนา เปนการ “กลืนกินความคิด” หรือเม่ือไดเห็น (ไดยิน, ไดกลิ่น, ไดลิ้ม, ไดสัมผัส, ไดคิดถึง) สิ่งนั้นสิ่งน้ี แลว กลับรูสึกไมสบาย อึดอัดคับของใจ ก็ถือวา นี่แหละคือความทุกข เพราะมันขัดแยง ไมตรง ไมสอดคลองกับท่ีมันเคยนึกคิด จินตนาการ เสกสรรปนแตง เยินยอมากอน คร้ันมาพบเจอเขา ก็กระทบปง ! เกิดความ เศราโศก ความครํ่าครวญ คับแคนใจ แลวก็บอกวา “นี่แหละความทุกข สิ่งนี้ (รูปนี้, เสียงน้ี, กลิ่นน้ี, รสนี้, สัมผัสนี้, ความคิดอยางนี้) เราไมชอบ มันทารุณ มันอึดอัด มันขัดของไปหมด มันทําความทุกขใหกับเราจริงๆ” อยางนี้ ก็เปน การ “กลืนกินความคดิ ” อกี เชน เดยี วกัน 23
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) จากผสั สะ ไปสูเวทนา จติ ทาํ งานอยา งไร? เม่ือมีการผัสสะ คือความกระทบเกิดข้ึน ระหวางอายตนะภายนอก (อารมณ) กับอายตนะภายใน พรอมทั้งเกิดวิญญาณ (จิต) คือความรูแจง อารมณ ข้ึนในแตละชองทางของการรับรู รวม ๖ ชุด ดังที่กลาวมาแลวน้ัน จิตจึงทาํ งานดงั ตอ ไปนี้ ๑. กรณี กายสมั ผสั ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ นั้น เปนปจจัยโดยตรง ตอการเกิด เวทนาทางกาย (กายสัมผัสสชา เวทนา) เปนความรูสึกสุขกาย หรือ ทกุ ขก าย โดยตรงทันที ไมตองผา นกระบวนการปรุงแตง นกึ คิดใดๆ ทั้งสน้ิ 1 1 อภธิ มั มัตถสงั คหะ จิตตสังคหวิภาค จัดไวใ น อเหตุกจติ ๑๘ ไดแ ก (๑) สุขสหคตํ กายวิฺญาณํ อเหตุกกุศลวปิ ากจติ ตฺ ํ - จิตที่อาศยั กายประสาท เกิดรวมกับสุขเวทนา ซง่ึ เปนผลของกุศลกรรม และ (๒) ทุกขฺ สหคตํ กายวิ ญฺ าณํ อกศุ ลวิปากจติ ตฺ ํ - จติ ทอี่ าศยั กายประสาท เกดิ รวมกบั ทุกขเวทนา ซงึ่ เปน ผลของอกุศลกรรม 24
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม ๒. กรณขี อง จกั ขุสัมผัส ความกระทบทางตา คอื ตา + รูป + จกั ขุวิญญาณ, โสตสมั ผัส ความกระทบทางหู คือ หู + เสยี ง + โสตวิญญาณ, ฆานสัมผัส ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลนิ่ + ฆานวญิ ญาณ, ชิวหาสมั ผัส ความกระทบทางล้นิ คือ ล้ิน + รส + ชิวหาวญิ ญาณ แบงออกเปน ๒ ประเภท คอื (๑) วิญญาณขันธท่ีรับรูแลว แตมิไดใสใจปรุงแตง วิญญาณ คือ ความรแู จงอารมณเชนน้ี ไดแก รูป เสียง กล่ิน และรส ท้ังหลาย ที่รับรูแลว ทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก และลิ้น ชองทางใดชองทางหน่ึง แตใจก็ไมได ใหความสําคัญหรือสนใจจะนํามาเปน อารมณที่มุงเฉพาะ ยกตัวอยางเชน ขณะท่ีเรากําลังต้ังใจมองดูคนๆ หนึ่งซึ่งกําลังยืนอยูเบ้ืองหนา สีสรรท่ีอยู โดยรอบคนๆ น้ัน เชนสีเขียวของใบไม สีแดงของหลังคาบาน ฯลฯ อีกท้ัง ในขณะเดียวกัน เสียงตางๆ ที่ไดยินอยูโดยรอบ กล่ินท่ีโชยเขาจมูก รสของ อาหารที่ตกคางอยูในปาก เปนตน หากเราไมเขาไปปรุงแตงในอารมณที่รับรู แลวเหลาน้ัน ก็จะสงผลใหเกิดเวทนาความรูสึกเปน อทุกขมสุขเวทนา ความรูสึกชนิดท่ีไมแนชัด จะวาทุกขก็ไมใช จะวาสุขก็ไมใช จะเรียกวาเปน กลางก็ไมคอยจะถูกตองเสียทีเดียว เพราะมันไมไดตั้งม่ันอยู แตมันพรอมท่ีจะ พลกิ ไปสูความทกุ ขหรือความสุขบาง แลวแตวา จะถูกนําไปปรงุ แตง ตอ เชน ไร (๒) วิญญาณขันธที่รับรูแลว และใสใจปรุงแตง ส่ิงตางๆ ที่มี การเห็น ไดยิน ไดกล่ิน หรือรูรสแลว เกิดวิญญาณ ความรูในรูป ในเสียง ในกลนิ่ ในรสแลว แตมสี ตปิ ญ ญาไมเ พยี งพอ ไมร ู ไมเทา ทนั ไมส มบรู ณใน วิญญาณความรูน้ัน จิตยังหลงใหลใหคา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น หรือในรส นั้นอยู จิตก็จะยกเอาอารมณที่รับรูแลวน้ัน มาผนวกเขากับส่ิงที่สัญญา คือ ความจําไดหมายรู ระลึกนึกไดจากที่เคยมีวิญญาณรับรูและจดจําไวในอดีต แลวเกิดสังขาร การปรุงแตงตัดสินตออารมณน้ันๆ สงผลใหเกิดเวทนา ความรูสึกเปนสขุ เปน ทุกข หรือเฉยๆ เปน อุเบกขา ในอารมณน ัน้ ๆ 25
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) (กรณีที่มีวิญญาณความรูเดิมสมบูรณแลว ไมสงสัยในวิญญาณ ความรูน้ันแลว มีสติปญญาเพียงพอ และรูเทาทันตอวิญญาณความรูนั้นแลว จิตไมหลงใหลใหคา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสน้ันแลว เพราะได ประจักษแจง ยอมรับในกฎธรรมชาติอยางแทจริงแลว แตยังมีภารกิจท่ีจะ ตองเขาไปขอ งเกี่ยวดวยรูป เสียง กล่ิน และรสน้ันอยู จิตก็จะยกเอาอารมณ ที่รับรูแลวนั้น มาผนวกเขากับสัญญา ความจําไดหมายรู ท่ีระลึกนึกได จาก ทีเ่ คยมวี ญิ ญาณรบั รอู นั ถกู ตองสมบูรณมาแลว นน้ั แลวเกิดสังขาร การปรุงแตง ตัดสินดวยปญญารูไตรลักษณ ตออารมณนั้นๆ สงผลใหเกิดเวทนา ความรูสึกเฉยๆ เปนอุเบกขาในอารมณน้ัน หรือเปนโสมนัสในกรณีเฉพาะ เชน “หสิตปุ ปาทจติ ” จติ แยม ย้มิ ของพระอรหนั ต) ๓. กรณขี อง มโนสัมผสั ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ + มโนวิญญาณ น้ัน จิตก็จะยกเอา ธรรมารมณน้ัน คือ อดีตปญจารมณ อารมณท่ีรับรูมาแลวทางทวารท้ัง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ท้ังท่ีชัดและชัดมากในทางใจ ซ่ึงเปนอดีต ไปแลว และ/หรือ ธรรมารมณท่ีเกิดแต อตีตสัญญา การคิดนึกระลึกข้ึนมา จากความรูที่ไดเคยรับรูมาต้ังแตด้ังเดิม ไมวาจะเปน “สัณฐาน” คือรูปราง “นามบัญญัติ” คือชื่อเรียกตามโวหารของชาวโลก และประสบการณตรง อันเคยไดรับรูหรือเคยมีเวทนา ความรูสึก สุข ทุกข หรือเฉยๆ ที่เคยเกิดขึ้น เกีย่ วขอ งดว ยส่งิ น้นั ๆ ข้นึ มาเปน อารมณ แลว เกดิ สงั ขาร การปรุงแตงตัดสิน ตออารมณนั้นๆ สงผลใหเกิดเวทนา ความรูสึกใหม เปนสุข เปนทุกข หรือ เฉยๆ เปนอเุ บกขา ในอารมณน ้ันๆ 26
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม สงั ขารขนั ธ การปรงุ แตง ใจ จากผสั สะสเู วทนา จากท่ีกลา วมาแลววา สังขาร มี ๒ ความหมาย คือ (๑) สิ่งอันเปน ผลจากการปรุงแตง และ (๒) กิริยาการปรุงแตง ซ่ึงในข้ันตอนของผัสสะ สเู วทนานี้ เราใชคําวา “สังขาร” ในความหมายที่ (๒) ซึ่งเปนนามธรรม คือ กิริยาการปรุงแตงของจิต โดยมีเจตนาเปนประธาน ท่ีทําหนาที่ปรุงแตง ความคิด การพูด และการกระทํา ซ่ึงมีท้ังท่ีดีเปนกุศล ที่ช่ัวเปนอกุศล และ ท่ีกลางๆ เปนอัพพยากฤต ในทางพระอภิธรรม ไดแกเจตสิก ๕๐ อยาง (เจตสิกท้ังปวง เวนแตเวทนาเจตสิก และสัญญาเจตสิก) จัดเปนนามธรรม แตอยางเดียว, อีกปริยายหนึ่ง ไดแก สัญเจตนา คือ เจตนาท่ีแตงกรรม หรือปรงุ แตง การกระทํา สงั ขาร ในฐานะกริ ิยาการปรงุ แตง น้ี มอี าการ ๒ คอื (๑) วิตก คือ ความตรึก, ตริ, เพง ไดแกการยกจิตขึ้นสูอารมณ หรือปก จิตลงสูอารมณ (๒) วิจาร คือ ความตรอง ไดแกการใครครวญพิจารณาอารมณ การตามฟนอารมณ สังขาร ในฐานะกิริยาการปรุงแตงน้ี จําแนกโดยผลที่มีตอ ภพ ได ๒ ฝายคอื (๑) สงั ขารอนั ยังภพใหเกิดข้ึน ไดแก อภิสังขาร ๓ คือ การปรุงแตง อันย่ิง, สภาพท่ีปรุงแตงผลแหงการกระทําของบุคคล, เจตนาที่เปนตัวการ ในการทาํ กรรม (๒) สังขารอันยังภพใหสิ้นไป ไดแก วิปสสนา การฝกอบรมปญญา ใหเกิดความเห็นแจง รูชัด ตรงตอความเปนจริงของสภาวธรรม, ปญญาท่ี เห็นไตรลักษณ อันถอดถอนความหลงผิดรูผิดในสังขารเสียได ซึ่งมีปจจัย สําคัญ คือ โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย และ โอปนยิโก การนอ มเขามาสูใจ จนเห็นแจง สภาวธรรม อนั เปนไปตาม กฎไตรลักษณ 27
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) อภิสังขาร ๓ การปรุงแตงอันย่ิง, สภาพท่ีปรุงแตงผลแหงการกระทํา ของบุคคล, เจตนาทีเ่ ปน ตวั การในการทาํ กรรมน้นั มี ๓ อยางคือ (๑) ปญุ ญาภิสังขาร อภสิ งั ขารทีเ่ ปน บุญ (๒) อปุญญาภิสังขาร อภสิ ังขารทเี่ ปน ปฏปิ ก ษต อ บุญ คือ บาป (๓) อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารท่ีเปนอเนญชา คือ กุศลเจตนา ท่ีเปนอรูปาวจร ๔ อภสิ ังขารที่เปนบุญน้นั ยงั สามารถจาํ แนกไดอกี เปน ๒ อยาง คอื (๑/๑) กามาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ท่เี ปน กามาวจร (๑/๒) รูปาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ทเ่ี ปนรูปาวจร สว น อปญุ ญาภิสังขาร อภิสังขารที่เปนปฏิปกษตอบุญ คือ บาป นั้น มเี ฉพาะในกามาวจร ซ่งึ สามารถเรียกเตม็ ยศไดว า กามาวจร-อปุญญาภิสังขาร เชน กัน เพราะฉะนั้น อีกนัยหนึ่ง อภิสังขาร คือ การปรุงแตงอันยิ่ง, สภาพที่ ปรุงแตงผลแหงการกระทําของบุคคล, เจตนาท่ีเปนตัวการในการทํากรรมน้ัน จงึ สามารถนบั เปน อภิสงั ขาร ๔ เพราะมี ๔ อยางคอื (๑) กามาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บญุ ทเ่ี ปนกามาวจร (๒) กามาวจร-อปุญญาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายชั่ว คือ บาป ทีเ่ ปนกามาวจร (๓) อรูปาวจร-อาเนญชาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงภพอันม่ันคง ไมห วั่นไหว ไดแกก ุศลเจตนาทีเ่ ปน อรูปาวจร (๔) รูปาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ทเ่ี ปนรปู าวจร 28
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม สรุปสั้นๆ ไดว า สังขาร ฝายท่ีเปนการปรุงแตง อันยังภพใหเกิดขึ้นนั้น มี ๔ อยาง คอื บุญ บาป รปู ฌาน และอรูปฌาน สวนสงั ขาร ฝา ยทีเ่ ปนการปรุงแตง อันยังภพใหสิ้นไปนั้น มีเพียง ประการเดยี ว คือ วปิ สสนา เสนทางของสังขาร ๑) กามาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ท่ีเปนกามาวจร ซึ่งบุญเหลาน้ีไดแก กุศลเจตนา ในกุศลกรรมบถ ๑๐ อนั เปนไปในกามภพ ไดแก (๑) เจตนาเวน จากการปลงชีวติ (ปาณาติปาตา เวรมณี) (๒) เจตนาเวน จากการถือเอาของที่เขามิไดให ดวยอาการขโมย (อทนิ นาทานา เวรมณี) (๓) เจตนาเวน จากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี) (๔) เจตนาเวน จากการพดู เท็จ (มสุ าวาทา เวรมณ)ี (๕) เจตนาเวน จากการพูดสอเสียด (ปส ุณาย วาจาย เวรมณี) (๖) เจตนาเวน จากการพดู คาํ หยาบ (ผรสุ าย วาจาย เวรมณ)ี (๗) เจตนาเวน จากการพูดเพอ เจอ (สัมผัปปลาปา เวรมณ)ี (๘) เจตนาเวน จากการคิดเพงเล็งอยากไดของเขา (อนภิชฌา) (๙) เจตนาเวน จากการคิดรา ยตอ ผูอื่น (อพยาบาท) (๑๐) เจตนาเวน จากการคิดเหน็ ผิดจากคลองธรรม (สมั มาทิฏฐ)ิ สภาวะของจิตในขณะท่ีปรุงแตงเปนบุญน้ัน จิตเปน มหากุศลจิต โดยมีกามารมณท่ีนาปรารถนา คือ กามาวจร-อิฏฐารมณ เปนอารมณ เครอ่ื งยึดหนวงของจิต 29
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๒) กามาวจร-อปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายชั่ว คือ บาป ท่ีเปนกามาวจร ซ่ึงบาปเหลานี้ไดแก อกุศลเจตนา ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหงอกศุ ลกรรม อันเปนไปในกามภพ ไดแก (๑) เจตนา ในการปลงชีวติ (ปาณาติบาต) (๒) เจตนา ในการถือเอาของที่เขามิไดให ดวยอาการแหงขโมย (อทนิ นาทาน) (๓) เจตนา ในการประพฤติผดิ ในกาม (กาเมสุมจิ ฉาจาร) (๔) เจตนา ในการพดู เท็จ (มุสาวาท) (๕) เจตนา ในการพดู สอ เสียด (ปส ณุ าวาจา) (๖) เจตนา ในการพูดคาํ หยาบ (ผรสุ วาจา) (๗) เจตนา ในการพูดเพอเจอ (สัมผัปปลาปะ) (๘) เจตนา ในการคดิ เพงเลง็ อยากไดข องเขา (อภชิ ฌา) (๙) เจตนา ในการคิดรายตอ ผอู ่นื (พยาบาท) (๑๐) เจตนา ในการคิดเหน็ ผดิ จากทาํ นองคลองธรรม (มิจฉาทฏิ ฐิ) สภาวะของจิตในขณะที่ปรุงแตงเปนบาปน้ัน จิตเปนไดทั้ง โลภมูลจิต โทสมลู จิต และโมหมลู จิต คอื จิตโลภ จิตโกรธ และจติ หลง โดย (๑) จิตจะเปน โลภมูลจิต คือ จิตโลภ ก็ตอเม่ือมีกามารมณ ที่นา ปรารถนา คือ กามาวจร-อฏิ ฐารมณ เปนอารมณเครอื่ งยึดหนวงของจติ (๒) จติ จะเปน โทสมูลจติ คอื จติ โกรธ ก็ตอเมอ่ื มีกามารมณ ท่ีไมนา ปรารถนา คอื กามาวจร-อนิฏฐารมณ เปน อารมณเ ครอ่ื งยดึ หนว งของจติ (๓) ทั้งจิตโลภและจิตโกรธ ลวนมี อกุศลเจตสิก กลุมหลงผิด คือ โมจตุกก ๔ ไดแก โมหะ ความหลง, อหิริกะ ความไมละอายบาป, อโนตตัปปะ ความไมกลัวบาป, อุทธัจจะ ความฟุงซาน. ซ่ึงเปนเจตสิก ทเ่ี กดิ กบั อกุศลจติ ทกุ ดวง เกิดรว มดว ยทุกครง้ั 30
ปฏิจจสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม (๔) จิตจะเปน วิจิกิจฉา-โมหมูลจิต คือ จิตหลง ชนิดคลางแคลง สงสัย (อุเปกฺขาสหคตํ วิจิกิจฺฉาสมฺปยุตฺตํ) ซ่ึงมีความลังเลสงสัยเคลือบแคลง (วิจิกิจฉา) เปนลักษณะ ขาดความปลงใจหรือปกใจ (อธิโมกข) ลงในอารมณน้ัน และไมสามารถทําความอ่ิมใจ (ปติ) และความพอใจ (ฉันทะ) ในอารมณน้ัน จึงในขณะซ่ึงกําลังปรุงแตง (วิตก-วิจาร-วิริยะ) โดยความลังเลสงสัยอยูนั้น จติ จึงมเี วทนาเปน อุเบกขา มคี วามรูสกึ เฉยๆ ไมส ขุ หรอื ทกุ ข ในอารมณน ัน้ (๕) จิตจะเปน อุทธัจจะ-โมหมูลจิต คือ จิตหลง ชนิดฟุงซาน (อุเปกฺขาสหคตํ อุทธฺ จฺจสมปฺ ยตุ ตฺ ํ) ซ่ึงมีความไมสงบ ซัดสาย หมุนพลานไป เปนลักษณะ แมจะมีความปลงใจหรือปกใจ (อธิโมกข) และไมมีความลังเล สงสัยเคลือบแคลง (วิจิกิจฉา) ในอารมณนั้น แตไมสามารถทําความอิ่มใจ (ปติ) และความพอใจ (ฉันทะ) ในอารมณนั้น จึงในขณะซึ่งกําลังปรุงแตง (วิตก-วิจาร-วิริยะ) โดยความฟุงซานอยูนั้น จิตจึงมีเวทนาเปน อุเบกขา มีความรสู ึกเฉยๆ ไมส ุข หรือทกุ ขใ นอารมณนั้น ๓) อรูปาวจร-อาเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพอันมั่นคง ไมห วั่นไหว ไดแก อรูปฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปน อัปปนาสมาธิ โดยมี อรปู ธรรม เปนอารมณ ไดแ ก (๑) ฌานอนั กาํ หนด อากาศ คอื ชองวางหาทส่ี ดุ มไิ ดเปน อารมณ (อากาสานญั จายตนะ) (๒) ฌานอนั กาํ หนด วิญญาณหาที่สดุ มไิ ดเปน อารมณ (วิญญาณญั จายตนะ) (๓) ฌานอนั กาํ หนด ภาวะทไ่ี มม อี ะไรๆ เปนอารมณ (อากญิ จัญญายตนะ) (๔) ฌานอันเขาถึง ภาวะมีสัญญาก็ไมใ ช ไมม ีสญั ญากไ็ มใช (เนวสญั ญานาสัญญายตนะ) ขณะท่ีปรุงแตงเปนอรูปฌานนั้น จิตเปน อรูปาวจรกุศลจิต โดยมี อรปู ๔ หรอื อรูปกรรมฐาน ในกรรมฐาน ๔๐ เปน อารมณเ ครือ่ งยึดหนวงจติ 31
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ๔) รูปาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพอันมั่นคง ไมหวั่นไหว ไดแ ก รปู ฌาน ๔, การเพงอารมณจ นใจแนวแนเปน อัปปนาสมาธิ โดยมี รปู ธรรม เปน อารมณ ไดแก (๑) ปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ มอี งค ๕ คือ วิตก วิจาร ปติ สขุ เอกัคคตา (๒) ทุตยิ ฌาน คือ ฌานที่ ๒ มีองค ๓ คอื ปติ สุข เอกคั คตา (๓) ตตยิ ฌาน คือ ฌานท่ี ๓ มอี งค ๒ คือ สขุ เอกัคคตา (๔) จตตุ ถฌาน คือ ฌานท่ี ๔ มอี งค ๒ คอื อุเบกขา เอกคั คตา ขณะที่ปรุงแตงเปนรูปฌานนั้น จิตเปน รูปาวจรกุศลจิต โดยมี รูปกรรมฐาน ๓๖ ในกรรมฐาน ๔๐ เปนอารมณเคร่ืองยึดหนวงของจิต รปู กรรมฐาน ๓๖ น้ี ไดแ ก (๑) กสิณ ๑๐ คือ วัตถุอันจูงใจ, วัตถุสําหรับเพง เพื่อจูงจิตให เปนสมาธิ มี ๑๐ ประการ คือ ปฐวีกสิณ (กสิณคือดิน, กสิณที่ใชดินเปน อารมณ) อาโปกสิณ (กสิณคือนํ้า) เตโชกสิณ (กสิณคือไฟ) วาโยกสิณ (กสิณคือลม) นีลกสิณ (กสิณคือสีเขียว) ปตกสิณ (กสิณคือสีเหลือง) โลหิตกสิณ (กสิณคือสีแดง) โอทาตกสิณ (กสิณคือสีขาว) อาโลกกสิณ (กสิณคือแสงสวา ง) อากาสกสณิ (กสณิ คือทีว่ างเปลา, ชอ งวา ง) (๒) อสุภะ ๑๐ คือ สภาพอันไมงาม, ซากศพในสภาพตางๆ ซึ่งใชเปนอารมณแหงสมถกรรมฐาน มี ๑๐ ประการ คือ อุทธุมาตกะ (ศพเนาพองข้ึนอืด) วินีลกะ (ศพเขียวคลํ้า คละดวยสีตางๆ) วิปุพพกะ (ศพแตกปริมีนํ้าเหลืองไหลเยิ้ม) วิจฉิททกะ (ศพแยกขาดสองทอน) วิกขายิตกะ (ศพถูกสัตวกัดทึ้ง) หตวิกขิตตกะ (ศพถูกบั่นเปนทอนๆ กระจายไป) โลหิตกะ (ศพเลือดอาบทวมราง) ปุฬุวกะ (ศพมีหนอนไช คลาคลา่ํ ) อัฏฐิกะ (ศพเหลอื แตก ระดกู ) 32
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม (๓) อนุสติ ๑๐ คือ ความระลึกถึง, อารมณอันควรระลึกถึงเนืองๆ มี ๑๐ ประการ คือ พุทธานุสติ (มีพระพุทธเจา และคุณของพระพุทธเจา เปนเครื่องระลึก) ธัมมานุสติ (มีพระธรรม และคุณของพระธรรม เปน เครื่องระลึก) สังฆานุสสติ (มีพระสงฆ และคุณของพระสงฆ เปนเคร่ือง ระลึก) สีลานุสสติ (มีศีล อันตนประพฤติรักษาดีแลว เปนเคร่ืองระลึก) จาคานุสติ (มีทาน การบริจาคแลวดวยดี เปนเครื่องระลึก) เทวตานุสติ (มีเทวดาและคุณธรรมอันยังบุคคลใหเปนเทวดา เปนเคร่ืองระลึก) มรณสติ (มีความตาย และความไมประมาทในความตาย เปนเคร่ืองระลึก) กายคตาสติ (มีความรูเทาทันในกาย อันประกอบดวยสิ่งที่ไมสะอาด ไมงาม นารังเกียจ เปนเครื่องระลึก) อานาปานสติ (มีสติกําหนดรูชัด ลมหายใจเขาออกยาวสั้น) อปุ สมานุสติ (มีธรรมเปนท่ีสงบ และคุณของนพิ พาน เปน เคร่อื งระลกึ ) (๔) อัปปมัญญา ๔ คือ พรหมวิหาร ๔ ท่ีแผไปโดยสมํ่าเสมอ ทั่วไปในมนุษยสัตวท้ังหลาย ไมมีประมาณ ไมจํากัดขอบเขต มี ๔ ประการ ไดแก เมตตาอัปปมัญญา คือ ความรักใคร ปรารถนาดี อยากใหตนเอง และผอู นื่ มคี วามสุข ท่แี ผออกไปโดยสมํ่าเสมอ ทั่วไปในมนุษยสัตวทั้งหลาย ไมม ปี ระมาณ ไมม ีขอบเขต กรุณาอัปปมัญญา คือ ความสงสาร ปรารถนาดี อยากใหตนเอง และผอู ืน่ พน จากทุกข ทแี่ ผออกไปโดยสมา่ํ เสมอ ท่ัวไปในมนุษยสัตวท้ังหลาย ไมม ปี ระมาณ ไมมขี อบเขต มุทิตาอัปปมัญญา คือ ความพลอยยินดี ไมริษยา ในความดีและ ผลของความดี ที่บุคคลใดๆ ไดรับจากการทําความดีของเขา จึงแผความ พลอยยินดีน้ีออกไปโดยสมํ่าเสมอ ท่ัวไปในมนุษยสัตวทั้งหลาย ไมมี ประมาณ ไมมีขอบเขต 33
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) อุเบกขาอัปปมัญญา คอื ความวางใจเปนกลางได ดวยปญญาหย่ังถึง ความจริงตามกฎแหงกรรมวา สรรพสัตวยอมดําเนินชีวิตและรับผล เปนไป ตามกรรมที่ไดสรางมา เม่ือเราไดอนุเคราะหดวยใจที่กอปรดวยเมตตากรุณา จนสุดความสามารถแลว หากไมอยูในกรณีที่จะมุทิตาพลอยยินดีได ก็ตอง ปลงใจเปนอุเบกขา ต้ังอยูในความเปนกลาง แผอุเบกขาความวางใจเปน กลางไดน้ัน ออกไปโดยสม่ําเสมอทั่วไปในมนุษยสัตวทั้งหลาย ไมมีประมาณ ไมมีขอบเขต (๕) อาหาเร ปฏิกูลสัญญา คือ การกําหนดพิจารณาความเปน ปฏิกลู ในอาหาร (๖) จตธุ าตวุ วฏั ฐาน หรือ ธาตมุ นสกิ าร คือ การกําหนดพิจารณา ธาตุ ๔, พิจารณาเห็นรางกายของตน โดยสักวาเปนธาตุ ๔ (มหาภูตรูป ๔) แตละอยา งๆ คือ ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ไดแกความแขนแข็ง คือ สภาวะท่ีแผไป หรือกินเน้ือท่ี ซ่ึงหมายความวา เปนสิ่งท่ีสามารถสัมผัสรับรูไดดวยกาย (กายสัมผัส) อาโปธาตุ หรือ ธาตุน้ํา ไดแกสภาวะท่ียึดกุม ดูดซึม เอิบอาบ ผนึกเขาดวยกัน ในทางวิทยาศาสตรปจจุบันใชศัพทวา พลังงานพันธะ (bond energy) คือพลังงานท่ียึดโยงอะตอมและโมเลกุลเขาไวดวยกัน ซึ่ง ทั้งของแข็ง ของเหลว และกาซ ตางก็มีพลังงานพันธะน้ี แตอยูในระดับที่ แตกตางกัน โดยของแข็งจะมีพลังงานพันธะน้ีมากท่ีสุด และกาซจะมี พลังงานพนั ธะนี้นอ ยท่สี ดุ อาโปธาตุ จึงหมายถงึ สง่ิ ทม่ี คี วามยดึ กมุ ภายใน แกกนั ในระดบั ตา งๆ เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ ไดแกสภาวะที่ทําใหรอน ไดแกอุณหภูมิ คือระดับของความรอน หรือระดับของพลังงานในวัตถุ เตโชธาตุ จึงหมายถึง ส่ิงทีม่ ี อณุ หภมู ิ 34
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม ไดแกส ภาวะที่ทําใหเคล่ือนที่ ส่ันไหว และ ค้ําจุน ในความเห็นสวนตัวของผูเขียน ไดแกความสามารถในการเปลี่ยน ตําแหนงที่ตั้ง (position) เมื่อเปรียบเทียบกับจุดอางอิง (reference) ในอวกาศ ๓ มิติ (three-dimensional space) วาโยธาตุ จึงหมายถึง สิ่งที่ สามารถกําหนดตาํ แหนง และเคลือ่ นท่เี ปลี่ยนตําแหนง ได รูปกรรมฐาน ๓๖ ในกรรมฐาน ๔๐ ดังท่ีกลาวมาแลว ท้ังหมดน้ี แตกตา งกนั โดยความเหมาะสมกับจริตนิสัยของผูปฏิบัติ จึงควรเลือกใหเหมาะ กับจริยา คือลักษณะนิสัย ความโนมเอียงของแตละบุคคล ถาเลือกไดถูกตอง เหมาะสม ก็จะปฏิบัติไดผลดี รวดเร็ว ถาเลือกผิด ก็ทําใหเกิดความลาชา หรือทําใหไมบ รรลผุ ลในการปฏิบัติ จรติ และกรรมฐานอันเหมาะแกจ ริต จริต ๖ หรือ จริยา ๖ หมายถึง ความประพฤติปกติ, ลักษณะความ ประพฤติซึ่งหนักไปในทางใดทางหนึ่ง อันเปนปกติประจําอยูในสันดาน, แบบหรือประเภทใหญๆ แหงพฤติกรรมของบุคคล, พ้ืนเพของจิต, อุปนิสัย, พื้นนิสัย โดยเรียกตัวความประพฤติน้ันวา จริยา สวนตัวบุคคลผูมีความ ประพฤตเิ ชน นั้นๆ เรยี กวา จรติ มี ๖ ประการดังน้ี (๑) ราคจริต ไดแก ผูมีราคะเปนความประพฤติปกติ หนักไปในทาง รักสวยรักงาม ละมุนละไม ควรใชก รรมฐานคปู รับ คอื อสุภะ และ กายคตาสติ (๒) โทสจริต ไดแ ก ผูมีโทสะเปนความประพฤติปกติ หนักไปทาง ใจรอ นหงดุ หงิด รุนแรง กรรมฐานที่เหมาะคือ อัปปมัญญา ๔ (พรหมวิหาร ๔ ท่ีแผออกไปไมมีประมาณ) และกสิณ (โดยเฉพาะวัณณกสิณ คือ กสิณสี ซึง่ มสี เี ขียว, เหลอื ง, แดง และขาว) (๓) โมหจริต ไดแก ผูมีโมหะเปนความประพฤติปกติ หนักไปทาง เขลาเหงาซึม งมงาย คลอยตามงาย กรรมฐานท่ีเก้ือกูล คือ อานาปานสติ และพึงแกดวยมีการเรียน ไตถาม ฟงธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยู ใกลชิดครูอาจารยผ ูเปนกลั ยาณมิตร 35
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247