Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_12

tripitaka_12

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_12

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 201ชางน้นั แหละ เล่ียงตรสั ดว ยอาํ นาจแหงนามบัญญตั ิจงึ ตรัสเปน ตนวา ดกู อ นจิตต ในสมัยใด ๆ กค็ รนั้ ตรสั อยางนั้นแลว เพอื่ จะสอบถามนําไปจึงตรสั อกี วา ถาสมณพราหมณท้งั หลายพึงถามอยางนั้นกะจิตตบตุ รควาญชางนน้ั เปนตน . ในบทเหลาน้ัน บทวา โย เม อโหสิ ความวา การไดอตั ตภาพท่เี ปนอดีต ของขา พระองคเ ปนจรงิ ในสมัยนน้ั . ในบทวา การไดอัตตภาพทีเ่ ปนอนาคตเปน โมฆะ ทเ่ี ปน ปจจุบันก็เปนโมฆะน้ัน จติ ตบ ุตรควาญชางแสดงเนื้อความนเ้ี พยี งเทานว้ี า ธรรมทัง้ หลายท่เี ปน อดีต ยอ มไมมีในปจ จุบันนี้แตถงึ อนั นับวา ไดมแี ลว เพราะฉะน้นั การไดอัตตภาพของขา พระองคแมน้นั จึงเปน จริงในสมยั น้ัน สวนการไดอ ัตตภาพท่เี ปน อนาคตกเ็ ปน โมฆะ ทีเ่ ปนปจ จบุ นั กเ็ ปนโมฆะในสมัยน้นั เพราะธรรมท้งั หลายทีเ่ ปนอนาคตและทเ่ี ปนปจ จบุ นั ไมมใี นเวลาน้นั . เขารบั รกู ารไดอ ตั ตภาพเพียงเปนนามโดยอรรถอยา งน.้ี แมในอนาคตและปจจุบนั กม็ ีนยั เชนเดยี วกนั . ลําดับน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาเพือ่ จะทรงเปรยี บเทียบพยากรณของพระองคกบั พยากรณของจติ ตบ ุตรควาญชา งนน้ั จึงตรสั วา เอวเมว โข จติ ฺตดังน้ีเปนตน เมื่อจะทรงแสดงอรรถนี้โดยอปุ มาอกี จึงตรสั วา เสยยฺ ถาปจิตฺต ควา ขรี  เปนตน. ในบทนั้น มีเนื้อความโดยยอดังน้ี นมสดมจี ากโค นมสมเปนตนมีจากนมสดเปนตน ในขอ นี้ สมยั ใดยงั เปน นมสดอยู สมัยน้นั กไ็ มถ งึ ซึง่ อันนับ คอื นิรุตติ์ นาม โวหารวาเปน นมสม หรอื เปน เนยใสเปน ตน อยางใดอยางหนง่ึ เพราะเหตอุ ะไร เพราะไมม ีธรรมทงั้ หลายทไ่ี ดโวหารเปนตน วานมสม แตส มยั นั้นถึงซึง่ อันนับวาเปนนมสดอยา งเดยี ว

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 202เพราะเหตไุ ร เพราะมธี รรมทัง้ หลายซง่ึ เปน อนั นบั คอื นิรตุ ติ์ นาม โวหารวา นมสด. ในบทท้งั ปวงก็นยั น้นั . บทวา อมิ า โข จิตฺต ความวา ดกู อนจติ ต การไดอัตตภาพอันหยาบการไดอัตตภาพอันสาํ เร็จแตใ จ และการไดอัตตภาพอันไมม รี ปู เหลา น้แี ล เปนโลกสญั ญา. พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงการไดอตั ตภาพ ๓ อยา งเบอ้ื งตา่ํ อยางนวี้ า เหลา น้ันเปนเพียงช่อื ในโลก เปน เพยี งสัญญา เหลา นนั้ เปนเพยี งภาษาในโลก เปน เพียงแนวคําพูด เปนเพยี งโวหาร เปนเพียงนามบัญญัติ ดังน้ีแลว บัดนจี้ ึงตรัสวา น้นั ทงั้ หมด เปนเพียงโวหาร. เพราะเหตอุ ะไร.เพราะโดยปรมตั ถไมม ีสัตว โลกนน้ั สูญ วา งเปลา. ก็กถาของพระพทุ ธเจาทัง้ หลายมีสองอยางคอื สัมมตกิ ถา และปรมตั ถกา. ในกถาทัง้ สองอยา งนน้ั กถาวา สัตว คน เทวดา พรหม เปนตนชอ่ื วา สมั มตกิ ถา. กถาวา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขนั ธ ธาตุ อายตนะสตปิ ฏฐาน สัมมัปปธานเปนตน ช่ือวา ปรมตั ถกถา. ในกถาเหลา น้ัน ผใู ดครัน้ พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา สตั ว คน เทวดา หรือพรหม ยอมสามารถเพื่อรแู จง เพ่ือแทงตลอด เพอ่ื นําออกจากทกุ ข เพอื่ ถือเอาซ่ึงการจับธง คือพระอรหัตดวยสมั มติเทศนา พระผูม พี ระภาคเจากจ็ ะตรัสวาสตั ว คน เทวดาหรอื วา พรหม เปน เบือ้ งตนแกผูน้ัน. ผูใดฟง ธรรมอยา งใดอยางหนึง่ เปนตนวา อนิจจัง หรอื ทุกขัง ดวยปรมตั ถเทศนา ยอ มอาจเพื่อรแู จง เพอื่ แทงตลอด เพอื่ นาํ ออกจากทกุ ข เพ่อื ถือเอาซ่งึ การจับธง คอื พระอรหตั พระผูมพี ระภาคเจา กจ็ ะทรงแสดงธรรมอยา งใดอยา งหนึ่งเปน ตนวา อนิจจัง หรือวา ทกุ ขังแกผนู ัน้ . เพราะฉะนน้ั จึงไมแ สดงปรมตั กถากอน แมแ กสตั วผูจะรูดว ยสัมมตกิ ถา แตจะทรงใหรูดวยสัมมติกถาแลว จงึ ทรงแสดงปรมตั ถกถา

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 203ในภายหลัง จะไมทรงแสดงสมั มติกถากอ น แมแ กสัตวผ จู ะรูดวยปรมัตถกถาแตจะทรงแสดงใหร ูดวยปรมตั ถกถาแลว จงึ ทรงแสดงสมั มติกถาในภายหลัง.แตโ ดยปกติเมอ่ื ทรงแสดงปรมตั ถกถากอ นเทียว เทศนาก็จะมีอาการหยาบเพราะฉะนนั้ พระพุทธเจาทง้ั หลายทรงแสดงสมั มตกิ ถากอนแลว จึงทรงแสดงปรมตั ถกถาในภายหลัง แมเมื่อจะทรงแสดงสมั มตกิ ถา กจ็ ะทรงแสดงตามความเปน จริงตามสภาพ ไมเท็จ แมเม่ือจะทรงแสดงปรมตั ถกถา ก็ทรงแสดงตามความเปนจรงิ ตามสภาพ ไมเท็จ. โบราณจารยก ลาวคาถาไววา พระพทุ ธเจาผูประเสรฐิ เมอื่ จะตรสั กต็ รสั สจั จะ ๒ อยา งคอื สมั มติสจั จะและปรมตั ถสัจจะ จะไมไดส ัจจะท่ี ๓ สงั เกตวจนะเปนสัจจะ เปน เหตแุ หงโลกสมั มติ ปรมัตถวจนะเปนสัจจะ เปน ลักษณะมจี รงิ แหงธรรมท้งั หลายดงั น้ี. บทวา ยาหิ ตถาคโต โวหรติ อปรามสนโฺ ต ความวา พระ-ตถาคตทรงประมวลเทศนาวา ชือ่ วา ไมท รงเก่ยี วของเพราะไมมีความเกย่ี วขอ งดว ยตัณหามานะ และทิฏฐิ ตรสั ดว ยโลกสมัญญา ดวยโลกนิรุตติ ทรงจบเทศนา ดว ยยอดคอื พระอรหตั . คาํ ทีเ่ หลอื ในบททั้งปวงมอี รรถงา ยทั้งนน้ั แล. โปฏฐปาทสตุ ตวณั ณนาในทีฆนิกายอรรถกถาช่ือสุมงั คลวลิ าสินี จบเพียงเทาน.ี้ จบโปฏฐปาทสูตร ที่ ๙

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 204 ๑๐. สุภสตู ร [๓๑๔] ขาพเจา ไดสดบั มาอยา งน้ี :- สมยั หนึ่ง เม่ือพระผูมพี ระภาคเจา เสดจ็ ปรนิ ิพพานแลวไมนาน ทา นพระอานนทอ ยู ณ วหิ ารเชตวนั อันเปนอารามของอนาถบิณฑกิ เศรษฐีกรงุ สาวตั ถ.ี [๓๑๕] สมยั นั้น สุภมาณพ โตเทยยบตุ ร พักอยใู นกรุงสาวตั ถีดวยธุรกจิ บางอยาง ครง้ั น้นั สภุ มาณพโตเทยยบตุ ร เรยี กมาณพนอ ยคนหน่ึงมาสั่งวา ดูกอ นพอ มาณพนอย มานี่เถดิ เจา จงเขา ไปหาพระอานนท ครัน้ เขาไปหาแลว จงนมัสการถามพระอานนทถึงอาพาธนอย โรคเบาบาง คลอ งแคลว มกี ําลัง มีความเปน อยสู บาย ตามคาํ ของเราวา สุภมาณพโตเทยยบุตรถามถงึ พระคณุ เจา ถึงอาพาธนอ ย โรคเบาบาง คลองแคลว มีกาํ ลัง มีความเปน อยสู บาย และจงกลาวอยางนว้ี า ขอโอกาส ขอพระคณุ เจา พระอานนทไดโปรดอนเุ คราะห เขาไปยงั ทอี่ ยูของสภุ มาณพโตเทยยบตุ รเถดิ มาณพนอ ยรับคําของสภุ มาณพโตเทยยบุตร แลว เขาไปหาพระอานนท ครนั้ เขา ไปหาแลว ไดสนทนากบั ทานพระอานนท คร้ันผานสัมโมทนยี กถา ใหเกดิ ระลกึถงึ กันแลว จงึ นง่ั ณ ทีส่ มควรสว นขา งหน่ึง มาณพน่งั แลว จึงนมสั การเรียนวาสุภมาณพโตเทยยบุตร ถามทานพระอานนทถ งึ อาพาธนอยโรคเบาบางคลองแคลว มีกําลงั มีความเปน อยูอยา งสบาย และส่งั มาอยางนว้ี า ขอทา นอานนทไดโปรดอนเุ คราะหเ ขา ไปยังทีอ่ ยูของสุภมาณพโตเทยยบุตรเถดิ . [๓๑๖] เมื่อมาณพนอ ยกราบเรยี นอยางน้ีแลว ทา นพระอานนท

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 205ไดกลาวกะมาณพนอ ยวา พอมาณพ ไมมเี วลาเสียแลว วนั น้ฉี ันดมื่ ยาถายถากระไรเราจะเขา ไปวนั พรงุ นี้ มาณพนอยรบั คาํ ของทา นพระอานนท แลวลกุ จากทน่ี ่ัง เขาไปหาสุภมาณพโตเทยยบุตร ไดบ อกแกสภุ มาณพโตเทยยบตุ รวา ขาพเจา ไดบ อกพระอานนทต ามคําของทานแลว เมื่อขา พเจาบอกอยางนั้นแลว พระอานนท ไดก ลา วกะขา พเจาวา พอมาณพไมม ีเวลาเสยี แลว วนั นี้ฉนั ดมื่ ยาถาย ถา กระไรไวพ รงุ น้ีเถิด ไดเ วลาและสมัยแลว ฉันจะเขาไปดวยเหตเุ พยี งเทาน้ี เปน อันวา ขา พเจาไดก ระทาํ กจิ ทเี่ ปนเหตุใหพระอานนทใหโอกาสเพือ่ เขาไปฉนั ในวันพรุงนแี้ ลว . [๓๑๗] พอรุงเชา ทา นพระอานนท ครองผา ถือบาตร มีพระเจตกภกิ ษเุ ปนปจ ฉาสมณะเขา ไปยังท่ีอยขู องสุภมาณพโตเทยยบุตร น่ังบนอาสนะท่ปี ลู าดไว. ลําดบั นนั้ สภุ มาณพโตเทยยบุตร เขาไปหาทานพระอานนทสนทนากนั จนเปนที่รืน่ เรงิ บันเทงิ ใจแลว จึงนงั่ ณ ที่ควรสว นขา งหน่งึ เมื่อนง่ั เรียบรอ ยแเลว จึงนมัสการเรียนวา พระคุณเจาเปน อปุ ฐากอยูใกลชิดกับทา นพระโคดมมานาน ยอมจะทราบดวี า พระโคดมไดต รสั สรรเสริญคุณ-ธรรมเหลา ใด และใหช มุ ชนยึดมัน่ ตงั้ อยู ดาํ รงอยใู นคณุ ธรรมเหลาใด. ทานพระอานนท ตอบวา ดูกอ นสุภมาณพ พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรสั สรรเสรญิ ขันธสาม และใหช ุมชนยืดมนั่ ต้ังอยู ดํารงอยู ในขันธสามน.ี้ ขนั ธสามอะไรบาง ขันธสามคอื สลี ขันธอ ันประเสริฐ สมาธิขนั ธอนัประเสรฐิ ปญญาขันธอันประเสรฐิ ดูกอ นสภุ มาณพ พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรสั สรรเสรญิ ขนั ธสามน้ี และใหชุมชนยดึ มัน่ ต้ังอยู ดาํ รงอยูในขันธสามนี้

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 206 [๓๑๘] ขา แตพ ระคุณเจา ทานพระโคดม ไดต รสั สรรเสริญสีลขันธอันประเสรฐิ ใหช มุ ชนยึดมนั่ ตั้งอยู ดาํ รงอยู ไวอยา งไร. ดกู อนสภุ มาณพ พระตถาคตไดอุบตั ิข้นึ ในโลกนี้ เปน พระอรหนั ต ตรัสรูเองโดยชอบ ถงึ พรอมดวยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดแี ลว ทรงรูโลก เปนสารถีฝก บุรุษท่คี วรฝก ไมม ีผูอนื่ ยิ่งกวา เปน พระศาสดาของเทวดาและมนุษยทง้ั หลาย เปนผูตื่นแลว เปนผจู ําแนกพระธรรม พระตถาคตพระองคนัน้ทรงทาํ โลกน้ีพรอ มท้งั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ใหแ จง ชดั ดวยพระปญ ญาอันยอดเยีย่ ม ของพระองคเ องแลว ทรงสงั่ สอนหมูสตั วพ รอมทั้งสมณพราหมณเ ทวดาและมนุษยใ หร ตู าม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องตนงามในทา มกลาง งามในท่สี ุด ทรงประกาศพรหมจรรย บริสุทธบ์ิ รบิ ูรณสิ้นเชิง พรอ มทัง้ อรรถ พรอมท้งั พยัญชนะ คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรอื ผูเกิดภายหลงั ในตระกูลใดตระกลู หนึ่ง ยอ มฟง ธรรมน้ัน ครนั้ เขาฟงแลวยอมไดศ รทั ธาในพระตถาคต ครน้ั เปย มดวยศรัทธาแลว ยอ มเหน็ ตระหนักวา การอยคู รองเรอื น คบั แคบ เปน ทางมาของธลุ ี บรรพชาเปนทางปลอดโปรง การอยูครองเรอื นจะประพฤตพิ รหมจรรยใหบ ริบรู ณโดยสวนเดียว ใหบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยสวนเดียว เหมือนสงั ขทีข่ ัดแลว ทาํ ไดไมง ายนัก เอาเถดิ เราจะปลงผมและหนวด นงุ หมผา กาสาวพัสตร ออกจากเรือนถอื บวช ตอมาเขาสละโภคสมบัตินอยใหญ ละหมูญ าติ ไปบวช เมื่อบวชแลว สาํ รวมระวงัในพระปาฏิโมกข ถึงพรอมดวยมารยาทและโคจร เหน็ ภยั ในโทษท้ังหลายเพยี งเลก็ นอ ย สมาทานศึกษาอยูใ นสิกขาบทท้งั หลาย ประกอบกายกรรม วจี-กรรมท่ีเปนกุศล มีอาชพี บรสิ ุทธ์ถิ งึ พรอ มดวยศลี คมุ ครองทวารในอนิ ทรียท้งั หลาย ประกอบดวยสติสัมปชญั ญะ เปน ผูส นั โดษ.

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 207 จุลศีล [๓๑๙] ดูกอนสภุ มาณพ ภกิ ษถุ งึ พรอมดวยศลี น้นั อยา งไร. ๑. ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ละการฆาสตั ว เวน ขาดจากการฆา สตั ว วางไม วางมีด มีความละอาย มคี วามเอ็นดู มคี วามกรุณา ทาํ ประโยชนแกสตั วท้ังปวง ขอ นีเ้ ปน ศลี ของเธอประการหนงึ่ . ฯลฯ (ขอความตอ จากน้เี หมือนพรหมชาลสตู ร) มหาศีล [๓๒๐] บางพวก ฉันโภชนะท่เี ขาใหด วยศรัทธาแลว ยงั เล้ยี งชพีโดยมิจฉาชีพ (ขอ ความตอจากนเี้ หมอื นพรหมชาลสูตร) ดกู อนมาณพ ภกิ ษุถึงพรอมดว ยศีลอยางนี้ ยอมไมป ระสบภยั แตไ หน ๆเพราะเปนผูสํารวมดว ยศลี เหมือนพระราชามหากษัตริย ผูไดมุรธาภเิ ศกกําจัดศัตรูไดแลว ยอ มไมป ระสบภยั แมแตไหน ๆ เพราะศัตรูนัน้ ดกู อนสุภมาณพ ภิกษุผถู งึ พรอ มดว ยศลี ก็ฉนั น้นั ยอมไมประสบภยั แตไหน ๆเพราะเปนผูสํารวมดวยศลี ภิกษผุ ถู ึงพรอมดว ยสีลขันธอ นั ประเสรฐิ น้ี ยอมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกอ นสุภมาณพ ดว ยเหตุน้ีแล ภกิ ษชุ อ่ืวา เปนผูถึงพรอ มดว ยศลี . ดกู อนสภุ มาณพ สีลขันธอ ันประเสรฐิ นแ้ี ล ท่ีพระผูมพี ระภาคเจา ไดตรสั สรรเสรญิ และยงั ชุมชนใหย ึดถือ ใหต ง้ั อยู ใหดาํ รงอยู อน่งึ ในธรรมวินัย ยงั มกี ิจที่จะตองทําใหยิ่งขน้ึ ไปอยอู กี . สภุ มาณพ ไดก ราบเรียนวา ขา แตพระอานนทผ เู จรญิ นา อัศจรรยนัก ไมเคยมมี ากอ นเลย สลี ขันธอันประเสริฐนี้ บรบิ รู ณแลว มิใชไ ม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 208บรบิ รู ณ กระผมยังไมเ หน็ สีลขันธอันประเสรฐิ ทบ่ี รบิ ูรณอ ยา งนี้ ในสมณ-พราหมณเหลา อื่น ภายนอกศาสนานีเ้ ลย ขา แตพ ระอานนทผูเ จริญสมณพราหมณเ หลาอน่ื ภายนอกศาสนานี้ พึงเห็นสีลขันธอ ันประเสริฐ ที่บริบรู ณแ ลวอยางน้ใี นตน เขาเหลานั้นจะดีใจ เพราะเหตเุ พียงเทานั้น ดว ยคิดวา เปน อันพอแลว ดว ยเหตเุ พยี งเทา น้ี เปนอนั ทาํ เสรจ็ แลวดวยเหตุเพียงเทา นี้ประโยชนแหงความเปน สมณะเราไดบ รรลุแลว ไมมกี ิจท่จี ะตองทําอยางอน่ืใหยิง่ ข้นึ ไปอกี แตพ ระคุณเจา อานนทผ เู จรญิ กย็ ังกลา ววา ในพระธรรมวนิ ัยนี้ ยงั มกี จิ ที่จะตองทําใหยิ่งขึ้นไปอกี . [๓๒๑] สุภมาณพกราบเรียนถามวา ขา แตพระอานนทผ เู จริญ สมาธิขนั ธอ ันประเสรฐิ ท่ีทา นพระโคดมตรสั สรรเสริญ และยงั ชมุ ชนใหย ดึ มน่ั ใหตั้งอยู ใหด ํารงอยูนนั้ เปน อยางไร. พระอานนท กลาววา ดูกอ นมาณพ ภิกษุเปน ผูคมุ ครองทวารในอินทรยี ท ง้ั หลาย เปน อยางไรเลา ดกู อนมาณพ ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้เห็นรูปดวยจกั ษแุ ลว ไมถอื นิมติ ไมถ อื อนุพยัญชนะ เธอปฏิบตั เิ พอ่ื สาํ รวมจกั ขนุ ทรยี  ทเ่ี มอ่ื ไมส าํ รวมแลว จะเปนเหตุใหอกุศลธรรมอันลามก คอือภชิ ฌาและโทมนัส ครอบงํา ชือ่ วา รักษาจกั ขนุ ทรยี  ชอื่ วา ถงึ ความสาํ รวมในจกั ขุนทรีย. ภิกษุฟงเสียงดวยโสต.......ดมกลนิ่ ดว ยฆานะ........ลิม้ รสดวยชิวหา........ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย........รูธรรมารมณด ว ยมนะ แลวไมถือนิมติ ร ไมถอื อนุพยญั ชนะ เธอปฏบิ ัติเพื่อสํารวมมนินทรยี  ที่เมื่อไมสาํ รวมแลว จะเปน เหตใุ หเกดิ อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงําชอ่ื วา รกั ษามนินทรยี  ชือ่ วาถงึ ความสาํ รวมในมนินทรีย. ภกิ ษถุ ึงพรอ มดวยอนิ ทรยี สังวรอนั ประเสริฐเชน นี้ ยอมไดเสวยสุขอนั ไมระคนดว ย

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 209กเิ ลส ในภายใน ดกู อ นมาณพ ภิกษุชื่อวาเปนผูคุม ครองทวารในอินทรยี ท้งั หลาย ดวยประการฉะนี้. [๓๒๒] ดกู อนมาณพ ภิกษถุ งึ พรอ มแลว ดว ยสติสมั ปชญั ญะ เปนอยา งไร. ดกู อ นมาณพ ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี เปน ผูรูสกึ ตวั ในการกาว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการงอ ในการเหยยี ด ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน ในการดม่ื ในการเคี้ยว ในการล้มิในการถายอจุ จาระปส สาวะ ในการเดนิ ในการยืน ในการนง่ั ในการหลบัในการตน่ื ในการพดู ในการนิ่ง ดกู อนสภุ มาณพ ภกิ ษชุ ่ือวา เปนผูถ ึงพรอ มแลวดวยสติสัมปชญั ญะ ดว ยประการฉะนี้แล. [๓๒๓] ดูกอนมาณพ ภิกษุชือ่ วา เปน ผสู นั โดษ เปน อยา งไร.ดกู อ นมาณพ ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ เปนผสู ันโดษดว ยจวี รเปน เครือ่ งบรหิ ารกาย ดว ยบณิ ฑบาตเปน เคร่ืองบรหิ ารทอง เธอจะไปทางใด ๆ กถ็ อื ไปไดเ องดูกอ นมาณพ เหมอื นนกจะบินไปทางใด ๆ ก็มีแตป ก เปนภาระบนิ ไปไดภิกษกุ เ็ หมอื นกัน เปนผูสันโดษดวยจีวรเปนเครอ่ื งบรหิ ารกาย ดวยบิณฑบาตเปนเคร่อื งบริหารทอง เธอจะไปทางใด ๆ ก็ถอื ไปไดเ อง ดูกอนมาณพภกิ ษชุ อื่ วา เปน ผสู ันโดษดว ยประการฉะนี้แล. [๓๒๔] ภิกษถุ ึงพรอ มแลวดว ยสีลขันธอ ันประเสรฐิ ดว ยอินทรียสังวรอันประเสริฐ ดว ยสติสัมปชัญญะอนั ประเสรฐิ ดวยสันโดษอันประเสรฐิเชนนแี้ ลว ยอมเสพเสนาสนะอนั สงดั คือ ปา โคนไม ภูเขา ซอกเขา ถาํ้ปาชา ปา ชัฏ ทแ่ี จง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาต หลงั อาหารแลวน่ังขดั สมาธิตง้ั กายตรง ดาํ รงสติไวเฉพาะหนา ละความโลภคอื ความเพง เล็ง มีจิตปราศจากความเพง เล็งอยู ชําระจติ ใหบ รสิ ทุ ธิจ์ ากความเพง เล็ง ละความ

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 210ประทษุ รา ยคอื พยาบาท มีจติ ไมม ีพยาบาท มีความอนเุ คราะหด วยทาํ ประ-โยชนแ กส รรพสัตว ชําระจติ ใหบ ริสทุ ธ์ิจากความประทุษรา ย คือพยาบาทไดละถนี มทิ ธะแลว เปนผูปราศจากถีนมิทธะ มีความกําหนดหมายอยูท ี่แสงสวา งมีสตสิ ัมปชัญญะ ยอ มชาํ ระจติ ใหบ รสิ ทุ ธจ์ิ ากถีนมิทธะได ละอุทธัจจกุกกุจ-จะไดไ มฟ งุ ซา นอยู มีจิตสงบในภายใน ชําระจิตใหบริสทุ ธิ์จากอุทธัจจกุกกจุ -จะละวจิ กิ จฉาได ขามพน วิจิกจิ ฉา ไมมีความสงสยั ในกศุ ลธรรม ยอ มชาํ ระจิตใหบ ริสุทธิจ์ ากวิจิกจิ ฉาได. [๓๒๕] ดูกอ นมาณพ เหมอื นบุรุษกหู น้ไี ปประกอบการงาน การงานของเขากส็ ําเร็จ เขาไดใชหนท้ี ่เี ปนตนทุนเดมิ หมดส้ิน ทรัพยที่เปนกําไรของเขามเี หลอื สาํ หรบั เลี้ยงภรรยา เขาไดค ดิ เหน็ อยา งนี้วา เมื่อกอ นเรากูห นี้ไปประกอบการงาน บดั นก้ี ารงานของเราไดสาํ เรจ็ แลว เราไดใ ชหนที้ ี่เปน ตนทนุ เดิมหมดสนิ้ แลว และทรัพยทเี่ ปนกาํ ไรของเราก็ยังมีเหลอื อยูสําหรบั เล้ยี งภรรยา ดังน้ี เขาพงึ ไดค วามปราโมทย ถงึ ความโสมนัสอันมคี วามไมมหี นน้ี ัน้ เปน เหตุ ฉันใด. ดูกอ นมาณพ เหมอื นบรุ ษุ ปวยหนกั มที ุกข เจบ็ หนัก ไมบริโภคอาหาร ไมมกี าํ ลงั ครั้นตอ มาเขาหายจากอาการปว ย บรโิ ภคอาหารได และมีกําลงั กาย เขาไดคดิ เห็นอยางนว้ี า เมอื่ กอ นเราปว ยหนกั มที กุ ข เจบ็ หนกับรโิ ภคอาหารไมไ ด ไมม ีกาํ ลงั บดั นเ้ี ราหายจากอาการปว ยนน้ั แลว บรโิ ภคอาหารได และมีกําลังกายเปนปรกติ ดังน้ี เขาพึงไดค วามปราโมทย ถงึความโสมนสั อนั มคี วามไมม โี รคนนั้ เปน เหตุ ฉันใด. ดกู อนมาณพ เหมอื นบุรุษถกู จองจําในเรอื นจาํ ครน้ั ตอมาเขาพนจากเรือนจํานน้ั โดยสวสั ดี ไมม ภี ยั ไมตองเสียทรัพยอะไร ๆ เลย เขาได













พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 217การงาชนิดใด ๆ กท็ าํ งาชนิดนนั้ ๆ ใหสําเร็จได อกี นยั หน่งึ เหมอื นชา งทองหรอื ลกู มอื ของชา งทองผูฉลาด เมือ่ หลอมทองดีแลว ตอ งการทองรูปพรรณชนดิ ใด ๆ กท็ ําทองรูปพรรณชนิดน้ัน ๆ ใหส ําเรจ็ ได ฉนั ใด ภิกษกุ ็ฉนั นัน้ แล เมอ่ื จิตตงั้ มัน่ บรสิ ุทธ์ิ ผดุ ผอง ไมมีกเิ ลส ปราศจากอุปกิเลสเปนจติ ออน ควรแกก ารงาน ตัง้ มัน่ ถึงความไมหว่ันไหวอยา งนี้ ยอ มนอมยอ มโนม จติ ไปเพ่อื แสดงฤทธ์ิ เธอยอ มแสดงฤทธิ์ไดหลายอยาง คอื คนเดียวทาํ เปน หลายคนก็ได ฯลฯ ใชอ าํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได. แมขอ น้กี ็จัดเปน ปญ ญาของเธอประการหนึง่ . [๓๓๒] ภกิ ษุน้ัน เมื่อจติ ตง้ั มั่น บริสทุ ธิ์ ผองผดุ ไมม ีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เปน จติ ออ น ควรแกก ารงาน ม่ันคง ถงึ ความไมหว่นั ไหวอยางน้ียอ มนอ มยอ มโนม จิตไปเพ่ือทิพยโสตธาตุ เธอยอ มไดย นิ เสยี งสองชนดิ คือเสียงทิพยและเสียงมนุษย ท้ังทอี่ ยูไกลและใกล ดว ยทิพยโสตธาตอุ ันบริสทุ ธ์ิเกนิ หูของมนษุ ย. ดกู อ นมาณพ เหมอื นบุรุษเดนิ ทางไกล เขาจะไดยนิ เสียงกลองบา งเสียงตะโพนบาง เสียงสังขบา ง เสยี งบัณเฑาะวบาง เสียงมโหระทึกบา ง เขายอ มมีความคดิ อยา งนี้วา เสยี งกลองดงั นี้บา ง เสยี งตะโพนดังนบี้ าง เสียงสังขดังนี้บาง เสียงบณั เฑาะวด ังนบ้ี า ง เสียงมโหระทกึ ดงั น้บี า ง ฉันใด ภกิ ษกุ ็ฉันนัน้ แล เม่ือจิตต้งั มั่น ถึงความไมหวน่ั ไหวอยางนี้ ยอ มนอ มจติ ไปเพอื่ทพิ ยโสตธาตุ เธอยอ มไดย ินเสียงสองชนิด คอื เสียงทิพยแ ละเสยี งมนษุ ย ท้ังท่อี ยูไกลและใกล ดวยทพิ ยโสตธาตอุ นั บรสิ ทุ ธิ์ เกินหขู องมนุษย แมข อ น้ีกเ็ ปน ปญญาของเธอประการหนง่ึ . [๓๓๓] เธอเม่ือจติ ตง้ั มน่ั บริสุทธ์ิ ผดุ ผอ ง ไมม ีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เปน จติ ออน ควรแกการงาน มน่ั คง ถงึ ความไมหว่นั ไหวอยา งน้ียอ มนอมยอ มโนม จติ ไปเพอ่ื เจโตปริยญาณ เธอยอ มกาํ หนดรูใจของสตั วอื่นของบุคคลอ่ืนดวยใจ คอื จติ มีราคะกร็ ูวา จติ มีราคะ หรอื จติ ปราศจากราคะ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 218กร็ ูว าจติ ปราศจากจากราคะ จติ มีโทสะก็รูวา จติ มโี ทสะ จติ ปราศจากโทสะกร็ วู าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รูวา จิตมีโมหะ หรอื จติ ปราศจากโมหะก็รูว าจติ ปราศจากโมหะ จติ หดหกู ร็ วู าจิตหดหู หรือ จติ ฟุงซานกร็ วู า จิตฟงุ ซานจติ เปนมหคั คตะกร็ ูว า จติ เปนมหคั คตะ หรอื จติ ไมเปนมหคั คตะก็รวู า จิตไมเปนมหัคคตะ จติ เปน โลกตุ ตระกร็ วู า จิตเปนโลกตุ ตระ หรอื จติ ไมเปนโลกุตตระก็รูว า จิตไมเปนโลกุตตระ จิตเปน สมาธิกร็ วู า จติ เปน สมาธิ หรือจิตไมเปน สมาธิ กร็ วู าจติ ไมเปนสมาธิ จิตหลดุ พน กร็ วู า จิตหลุดพน หรือจติไมหลุดพนกร็ วู า จติ ไมหลุดพน. ดูกอนมาณพ เหมือนหญงิ สาว ชายหนมุ ชอบแตง ตวั เมอ่ื สอ งดหู นาของตนในกระจกทสี่ ะอาด ผดุ ผอง หรือในภาชนะน้ําอนั ใส หนามไี ฝกร็ ูวาหนา มไี ฝ หรือหนาไมม ไี ฝกร็ ูว า หนา ไมม ไี ฝ ฉนั ใด ดูกอนมาณพ ภกิ ษุกฉ็ นั น้นั แล เม่อื จติ ตง้ั มัน่ แลว ฯลฯ ถงึ ความไมหวน่ั ไหว เธอยอมนอ มยอ มโนม จิตไปเพือ่ เจโตปริยญาณ ยอมกําหนดรใู จของสตั วอ ืน่ ของบุคคลอื่นดว ยใจ คือ จิตมรี าคะก็รวู า จิตมรี าคะ ฯลฯ หรอื จติ ไมห ลุดพนกร็ ูวาจติ ไมห ลุดพน แมข อ นก้ี ็เปนปญญาของเธอประการหน่งึ . [๓๓๔] ภิกษนุ ้นั เมอื่ จิตตงั้ ม่ัง ฯลฯ ถึงความไมหวั่นไหวอยา งน้ียอ มนอ มยอมโนม จิตไปเพือ่ บพุ เพนวิ าสานุสสติญาณ เธอยอ มระลกึ ชาตกิ อนไดเ ปน อนั มาก คอื ระลกึ ไดชาติหนึ่งบา ง สองชาตบิ า ง สามชาติบางส่ชี าตบิ า ง หาชาตบิ าง สบิ ชาตบิ าง ยี่สิบชาติบาง สามสบิ ชาตบิ าง สสี่ ิบชาตบิ าง หาสิบชาตบิ า ง รอยชาติบาง พนั ชาตบิ า ง แสนชาติบา ง ตลอดสงั วัฏฏกปั เปน อนั มากบา ง ตลอดวิวฏั ฏกปั เปนอนั มากบาง ตลอดสังวฏั ฏ-ววิ ัฏฏกปั เปน อนั มากบางวา ในภพโนนเรามชี อื่ อยางน้ัน มีโคตรอยางนั้นมผี ิวพรรณอยางนนั้ มอี าหารอยางนั้น เสวยสุขเสวยทกุ ขอยา งนน้ั ๆ มี

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 219กาํ หนดอายเุ พียงเทา นั้น คร้นั จุติจากภพนนั้ แลวไดไ ปเกิดในภพโนน ในภพนั้นเราไดมีชื่ออยางน้ัน มโี คตรอยา งนัน้ มีผิวพรรณอยางนั้น มีอาหารอยา งนนั้ เสวยสุขเสวยทกุ ขอ ยางน้ัน ๆ มกี าํ หนดอายเุ พียงเทานนั้ ครน้ั จุติจากภพนั้นแลว ไดมาเกดิ ในภพนี้ เธอยอ มระลกึ ถงึ ชาตกิ อ นไดเปนอนั มากพรอมทั้งอาการ พรอมทง้ั อุเทส ดว ยประการฉะนี้. ดกู อนมาณพ เหมอื นบุรษุ จากบา นตนไปบานอืน่ แลว จากบา นน้ันไปบานอ่นื อีก จากบา นน้นั กลบั มาบา นของตนตามเดมิ เขากร็ ะลกึ ไดอยา งน้ีวา เราไดจ ากบานของเราไปบา นโนน ในบานนนั้ เราไดย ืนอยางนัน้ ไดน ัง่อยา งนน้ั ไดพ ูดอยางน้นั ไดน่ิงอยา งนน้ั เม่อื เราจากบานนั้นไปบานโนนแมใ นบา นน้นั เรากไ็ ดยืนอยา งนนั้ ไดนงั่ อยา งน้นั ไดพ ูดอยา งน้ัน ไดนิ่งอยางนั้น แลวเรากลบั จากบานน้นั มายงั บานของเรา ดงั น้ี ฉนั ใด ดกู อ นมาณพภกิ ษุกฉ็ ันนัน้ แล ฯลฯ ยอ มนอ มยอ มโนม จติ ไปเพอ่ื บพุ เพนิวาสานุสสติญาณเธอยอ มระลึกชาตกิ อ นไดเปน อนั มาก คือ ชาติหนึง่ บาง สองชาตบิ าง ฯลฯเธอยอ มระลึกชาตกิ อนไดเ ปนอันมาก พรอ มทัง้ อาการ พรอ มทั้งอุเทส. แมขอ นก้ี เ็ ปนปญญาของเธอประการหน่งึ . [๓๓๕] ภกิ ษนุ น้ั เม่อื จติ ต้งั มัน่ ฯลฯ ถึงความไมหวน่ั ไหวอยางน้ี เธอยอมนอ มยอ มโนม จิตไปเพอื่ หยง่ั รกู ารจุตแิ ละการเกิดข้นึ ของสตั วท ้งั หลาย เธอเหน็ หมสู ัตวท ก่ี ําลังจตุ ิ กําลงั เกิด เลว ประณตี ผวิ พรรณดี ผวิ พรรณทรามไดดี ตกยาก ดว ยทพิ ยจักษุอนั บริสุทธ์ิเกนิ จักษขุ องมนุษย ยอมรูชัดซงึ่ สตั วท้งั หลาย ผูเปนไปตามกรรมวา สตั วเ หลา นปี้ ระกอบดวยกายทุจริต วจีทรุ ติมโนทุจติ วา รา ยพระอริยเจา เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ ยึดการกระทําดวยอาํ นาจมจิ ฉาทิฏฐิ สตั วเ หลา น้นั เบอื้ งหนาแตตายเพราะกายแตก ก็เขาถงึ อบายทุคติวนิ ิบาต นรก สว นสัตวทงั้ หลายทป่ี ระกอบดว ย กายสุจรติ วจีสจุ ริต มโน-

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 220สุจริต ไมวา รา ยพระอริยเจา เปน สัมมาทิฏฐิ ยดึ ถอื การกระทําดว ยอาํ นาจสัมมาทฏิ ฐิ เบอ้ื งหนาแตตายเพราะกายแตก เขา ถึงแลวซ่งึ สุคตโิ ลกสวรรค ดงั นี้เธอยอ มเหน็ สัตวทงั้ หลายที่กาํ ลงั จุติ กําลังเกดิ เลว ประณีต ผวิ พรรณดีผิวพรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดว ยทพิ ยจกั ษุ อันบริสุทธิ์ เกินจกั ษขุ องมนษุ ยยอมรูชัดซงึ่ หมูสตั วผูเปน ไปตามกรรม ดวยประการฉะน.ี้ ดูกอ นมาณพ เหมือนปราสาท ต้งั อยทู ามกลางทางสแี่ พรง บุรษุ ผูมีจกั ษยุ ืนอยบู นปราสาทนั้น กจ็ ะเห็นผคู นท้ังหลาย กําลงั เขา ไปสเู รอื นบาง ออกไปอยูบ า ง กําลังเดินไปมาอยตู ามถนนบา ง นง่ั อยูทามกลางทางสี่แพรง บาง เขากร็ วู า คนเหลาน้เี ขา ไปสเู รือน คนเหลานี้ออกจากเรือน คนเหลานเ้ี ดนิ ไปมาตามถนน คนเหลา นน้ี งั่ ทามกลางทางสี่แพรง ฉนั ใด ดกู อนมาณพ ภกิ ษุกฉ็ นัน้นั แล ฯลฯ เมอ่ื จิตตงั้ ม่นั แลว ฯลฯ ถงึ ความไมหวัน่ ไหว เธอยอมนอ มยอ มโนม จิตไปเพอื่ หย่งั รกู ารจุตแิ ละการเกดิ ของสัตวท ้ังหลาย เห็นสตั วท งั้ หลายที่กาํ ลังจุติ กําลงั เกดิ เลว ประณีต ผวิ พรรณดี ผวิ พรรณทราม ไดด ีตกยาก ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธ์ิ เกนิ จกั ษขุ องมนษุ ย ยอ มรูช ัดถงึ หมสู ตั วผูเปน ไปตามกรรม แมข อ นก้ี เ็ ปน ปญ ญาของเธอประการหน่ึง. [๓๓๖] ภกิ ษุนนั้ เมือ่ จิตตง้ั มัน่ บริสทุ ธิ์ ผุดผอ ง ไมมีกิเลส ปราศจากอปุ กิเลส เปน จติ ออ น ควรแกก ารงาน มน่ั คง ถงึ ความไมหวนั่ ไหวอยางน้ี ยอ มนอ มยอ มโนมจิตไปเพอ่ื อาสวักขยญาณ เธอรชู ัดตามความเปนจรงิ วา นีท้ กุ ขน้เี หตุใหเ กิดทกุ ข นีค้ วามดับทุกข นขี้ อปฏบิ ัตใิ หถ ึงความดบั ทุกข เหลา นี้อาสวะ เหลา น้ีเหตุใหเ กดิ อาสวะ เหลา นค้ี วามดบั อาสวะ เหลาน้ขี อ ปฏบิ ัตใิ หถึงความดบั อาสวะ เม่ือเธอรูอ ยเู หน็ อยูอยา งน้ี จติ ยอมหลุดพนจากกามาสวะภวาสวะ อวิชชาสวะ เมอื่ จิตหลุดพน แลว กเ็ กิดญาณหยัง่ รวู า หลุดพนแลว

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 221รูชดั วา ชาตสิ น้ิ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ที่ควรทาํ ทาํ เสรจ็ แลว ไมม ีกิจอนื่ เพ่ือความเปนอยา งนีอ้ ีก. ดกู อนมาณพ เหมอื นสระน้ําบนยอดเขา ใสสะอาด ไมขนุ มัว บรุ ษุผมู ตี าดียืนอยูบนขอบสระนํ้า จะเหน็ หอยโขงและหอยกาบบา ง กอนกรวดและกระเบอ้ื งบาง ฝงู ปลาบา ง กาํ ลังวา ยอยกู ม็ ี หยุดอยูกม็ ีในสระนัน้ เขาคิดเหน็ อยางน้วี า สระนํ้านีใ้ สสะอาด ไมข นุ มัว บรรดาหอยโขง และหอยกาบกอ นกรวดและกระเบื้อง ฝงู ปลา ตางกําลงั วา ยอยูบาง กําลังหยดุ อยบู า ง ในสระนํ้านนั้ ดังนี้ ฉนั ใด ภิกษกุ ฉ็ นั น้ันแล ฯลฯ เม่ือจิตต้งั มน่ั แลว ฯลฯ ถึงความไมห ว่นั ไหว ยอ มนอมยอ มโนม จติ ไปเพอื่ อาสวกั ขยญาณ ยอ มรูช ัดตามความเปน จรงิ วา น้ที กุ ข ฯลฯ นีข้ อ ปฏิบัติใหถงึ ความดบั อาสวะ เมื่อเธอรูอยูเห็นอยอู ยา งนี้ จติ ก็หลดุ พนจากกามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ เม่อื จติ หลดุพนแลว กเ็ กดิ ญาณหยั่งรวู า หลดุ พน แลว รชู ดั วาชาติส้ินแลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ทคี่ วรทําทาํ เสรจ็ แลว ไมมกี จิ อืน่ เพ่ือความเปนอยางนอ้ี ีก แมขอนก้ี เ็ ปน ปญญาของเธอประการหน่ึง. [๓๓๗] ดูกอ นมาณพ ปญ ญาขันธ อนั ประเสรฐิ น้แี ล ทพ่ี ระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั สรรเสริญ ทั้งยังชุมชนใหยดึ มน่ั ใหต ง้ั อยู ใหด าํ รงอยูในพระธรรมวินัยน้ี มไิ ดมีกจิ อะไรที่จะพึงกระทาํ ใหยงิ่ ข้ึนไปกวาน.้ี สุภมาณพ กราบเรยี นวา ขา แตท านพระอานนทผเู จริญ นาอัศจรรยนัก นา พศิ วงนัก ปญญาขันธอนั ประเสรฐิ น้ี บริบูรณแลว มใิ ชไมบ ริบูรณขา แตทานพระอานนทผ เู จรญิ กระผมไมเคยเห็นปญญาขันธอันประเสรฐิ ที่บรบิ รู ณแ ลว อยางนีใ้ นสมณพราหมณพ วกอ่ืน ภายนอกพระศาสนานี้เลย และไมมีกจิ อะไรอน่ื ที่จะตอ งทําใหย ง่ิ ขนึ้ ไปกวาน.้ี

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 222 ขาแตท านพระอานนทผูเจริญ ภาษิตของทา นไพเราะยิ่งนกั ไพเราะยง่ินัก เหมือนบคุ คลหงายภาชนะทีค่ ว่ํา เปดภาชนะทป่ี ด บอกทางแกคนหลงทาง หรอื สอ งประทปี ในท่มี ดื ดว ยคิดวา ผมู ีจกั ษจุ กั เหน็ รูป ดังน้ี ฉันใด พระอานนทผูเจริญประกาศธรรม โดยอเนกปริยายก็ฉันน้ันเหมือนกัน ขา แตพ ระอานนทผ ูเ จรญิ ขาพเจาขอถงึ พระโคดมผเู จรญิ พระธรรมและพระสงฆเปนสรณะ ทา นพระอานนทผ ูเจริญ โปรดทรงจาํ ขา พเจา วา เปน อุบาสกผถู งึสรณะอยางมอบกายถวายชวี ติ ตง้ั แตบดั นเี้ ปนตน ไป จบสุภสตู รที่ ๑๐

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 223 อรรถกถาสุภสตู ร สภุ สตู รมีบทเรมิ่ วา ขา พเจา สดบั มาอยางนี้ ฯเปฯ ในพระนครสาวัตถี. ตอไปนเี้ ปนการอธบิ ายบทที่ยากในสุภสูตรน้ัน บทวา เมื่อพระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ ปรินพิ พานแลว ไมน าน อธิบายวา เมือ่ พระผูม ีพระภาคเจาเสดจ็ ปรินพิ พานแลวไมน าน. ประมาณ ๑ เดอื น ถัดจากวนั ปรนิ พิ พาน ขอ น้ีทา นกลา วหมายถึงวนั ทพ่ี ระอานนท ถอื บาตรและจีวรของพระผูม ีพระภาคเจาแลว มาน่ังฉนั ยาถา ยผสมนาํ้ นม ณ วหิ าร โดยนยั ทก่ี ลา วไวแ ลวในนิทาน. บทวา โตเทยยบตุ ร แปลวา บุตรของโตเทยยพราหมณ มีเร่ืองเลาวา ไมไกลจากกรุงสาวตั ถี มีบา นชือ่ ตุทคิ าม เพราะเขาเปน คนใหญโตในบา นตุทิคาม จงึ มชี ่ือวา โตเทยยะ เขามที รัพยส มบตั ิประมาณ ๔๕ โกฏิ แตเขาเปนคนตระหนีเ่ ปน อยา งยิ่ง เขาควิ า ช่อื วา ความไมส นิ้ เปลืองแหง โภคสมบัติ ยอ มไมมแี กผ ใู ห แลวเขาก็ไมใหอะไรแกใ คร ๆ เขาสอนบุตรวา คนฉลาด ควรดคู วามสนิ้ ไปของยาหยอดตา การกอจอมปลวก การสะสมนํ้าผงึ้ แลวพงึ ครองเรอื น เมอื่ เขาใหบ ตุ รสําเหนยี กถึงการไมใ หอยางน้แี ลว ครั้นตายไปกไ็ ปเกิดเปนสุนขั อยทู ี่เรือนหลังน้นั เอง สภุ มาณพผูเปนบตุ ร รกั สุนขั น้นั มาก ใหกินอาหารเหมอื นกบั ตน อมุ นอนบนทนี่ อนอยา งด.ี คร้ันวันหนงึ่ เมอ่ื สุภมาณพออกจากบานไป พระผูมพี ระภาคเจาเสดจ็ เขาไปบณิ ฑบาต ณ เรือนหลงั น้นั สุนขั เหน็ พระผูม ีพระภาคเจา จึงเหาเดนิ เขา ไปใกลพระองค พระผมู พี ระภาคเจาไดตรสั กะสุนัขนั้นวา ดกู อ นโต-เทยยะ แมเมอื่ กอนเจากก็ ลา วหม่ินเราวา แนะ ทาน แนะทาน ดังน้ี จึงเกิดเปน

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 224สุนขั แมบัดน้ีเจา ก็ยังเหาเรา จกั ไปอเวจีมหานรก. สนุ ขั ฟง ดังน้ัน มคี วามเดอื ดรอนจึงนอนบนขีเ้ ถา ระหวา งเตาไฟ. พวกมนษุ ยไ มสามารถจะอมุ ไปใหนอนบนที่นอนได. สุภมาณพกลบั มาถึงถามวา ใครนําสนุ ัขน้ีลงจากท่ีนอน.พวกมนษุ ยต า งบอกวา ไมมีใครดอก แลว เลา เรอ่ื งราวใหฟง. สุภมาณพไดฟ ง แลวโกรธวา บิดาของเราบงั เกดิ ในพรหมโลก แตพระสมณโคดมหาวา บดิ าของเราเปนสนุ ัข ทา นน้พี ูดอะไร ปากเสยี ใครจะทว งตงิ พระผูมพี ระภาคเจาวา พดู เทจ็ จงึ ไปยังวหิ าร ถามเร่ืองราวกะพระองค.พระผูม พี ระภาคเจา จึงตรัสแกส ุภมาณพเหมอื นอยางนั้น แลวตรัสความจรงิ วาดกู อนสภุ มาณพ ทรัพยทบ่ี ดิ าของเจายงั ไมไ ดบ อกมอี ีกไหม. สุภมาณพทูลวาพระโคดม หมวกทองคํามคี า หน่งึ แสน รองเทา ทองคํามีคา หนึง่ แสน ถาดทองคํามีคา หน่งึ แสน กหาปณะหน่ึงแสนมอี ย.ู พระโคดมตรสั วา เจา จงไปใหสุนขั บริโภคขาวมธุปายาสมีน้ํานอ ย แลวอมุ ไปนอนบนทีน่ อน พอไดเวลาสนุ ัขหลับไปหนอ ยหน่ึง จงถามดู สนุ ขั จกั บอกทกุ ส่ิงทุกอยางแกเ จา ทนี น้ั แหละเจาก็จะรูวา สุนขั นั้นคือบดิ าของเรา. สภุ มาณพไดกระทาํ ตามนั้น. สุนัขบอกหมดทกุ ส่ิงทุกอยาง เขารแู นว า สุนขั นัน้ คือบิดาของเรา จงึ เลื่อมใสในพระผูมีพระภาคเจา ไปทลู ถามปญหา ๑๔ ขอ กะพระผมู พี ระภาคเจา เมือ่ จบปญ หา เขาขอถงึ พระผมู พี ระภาคเจา เปนสรณะ ทานกลาวความขอ นนั้ หมายถึงสุภมาณพโตเทยยบุตร บทวา อาศญั อยูใ กลก รงุ สาวตั ถี ความวา สุภมาณพมาจากโภคคามของตนแลว อาศยั อยู. บทวา ไดเรยี กมาณพนอ ยคนหนึ่งมา ความวา เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินพิ พานแลว สภุ มาณพไดสดับวา พระอานนทถอื บาตรและจีวรของพระองคม า มหาชนยอมจะเขา ไปหาทา นเพื่อเยี่ยมเยือนดังนี้ จึงคดิ วา ครั้นเราจักไปวิหาร กค็ งไมอ าจกระทําปฏิสันถาร หรือฟงธรรมกถา ได

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 225สะดวก ในทา มกลางหมูช นเปน อันมาก เห็นทานมาสูเรือนนั่นแหละ จักทาํปฏิสนั ถารไดโดยงา ย และเรามคี วามสงสัยอยูขอหนึง่ เราก็จักถามทา น แลวจงึ เรียกมาณพนอ ยคนหน่ึงมา. เวทนาอันเปน ขา ศึก ทา นกลาววา อาพาธ ในบทเปน ตน วา มีอาพาธนอย. สุภมาณพกลาววา เวทนาใดเกดิ ในสวนหนงึ่ แลว ยดึ ไวซึ่งอริ ิยาบถ ๔เหมอื นเอาแผน เหลก็ นาบ เธอจงถามความไมมแี หงเวทนานั้น. บทวา มีโรคเบาบาง ทานกลาวถึงโรคอันทําชวี ติ ใหลําบาก เธอจะถามความไมม แี มแหงโรคน้นั . สุภมาณพกลา ววา ชือ่ วาการลุกขนึ้ ของผูปวยน่ันแลยอ มหนกักาํ ลงั กายยอ มไมม ี เราะฉะน้ัน เธอจงถามความไมม ีไข และความมีกําลงั .บทวา มคี วามเปน อยสู บาย ความวา เธอจงถามความเปน อยอู ยางเปนสุข ในอริ ยิ าบถ ๔ คอื เดิน ยืน นัง่ นอน ครั้นพระคันถรจนาจารยเมอ่ื แสดงถึงอาการทค่ี วรจะถามแกมาณพนอยนน้ั จงึ กลา วคําเปน ตนวา สุโภ. บทวาอาศัยเวลาและสมยั ความวา ถือ คอื ใครค รวญ เวลาและสมัยดวยปญ ญา. มีอธิบายวา หากพรงุ น้ีจักเปน เวลาไปของเรา กาํ ลงั ของเราจักซานไปในกายจกั ไมมีความไมส บายอยา งอน่ื เพราะการไมเ ปนเหตุ ทนี ้นั เราจักใครครวญเวลานน้ั และสมัยกลาวคอื การไป เหตุ พวกหมู ถากระไรพงึ มาพรุงน้.ี บทวา เจตกภิกษุ ความวา ไดชือ่ วา เจตกะ เพราะเกดิ ในเจตยิ รัฐ-บทวา กลาวสมั โมทนียกถา พอใหร ะลกึ ถึงกนั ความวา สภุ มาณพไดก ลา วสัมโมทนยี กถา พอใหร ะลึกถึงกันอันเก่ียวกบั มรณะ ไดผ า นไปแลวโดยนยัเปน ตนอยางน้ีวา ทานพระอานนท พระทศพลไดม ีโรคอะไร พระผูมพี ระ-ภาคเจาเสวยอะไร อนึ่ง ความโศกไดเ กดิ ขึน้ แกทา นท้งั หลายโดยการปรินิพพานของพระศาสดา พระศาสดาของทา นท้งั หลายปรินพิ พานแลวอยางเดยี วก็หาไม

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 226ความเส่อื มอนั ใหญห ลวงก็เกดิ แกมนษุ ยโลก พรอมทัง้ เทวโลก บัดน้คี นอ่นื ใครเลาจกั พนความตาย กบ็ คุ คลผเู ลิศของมนษุ ยโลก พรอมท้ังเทวโลกยังเสดจ็ปรินพิ พานได บดั นม้ี จั จรุ าชจกั เห็นใครอื่นแลวละอาย สุภมาณพถวายอาหารอันสมควรแกเครือ่ งดืม่ และเภสชั แกพระเถระเม่อื วานนี้ เมือ่ เสร็จภตั ตกิจจึงนง่ั ณ สวนขางหนึง่ บทวา เปน อปุ ฐากอยใู นสํานัก ความวา เปนอปุ ฐากอยูในสาํ นกัไมแ สวงหาโทษ. บทวา อยูใกลช ิด นี้ เปน ไวพจนข องบทกอน เพราะเหตุไรสภุ มาณพจงึ ถามวา พระโคดมไดตรัสสรรเสริญคณุ แหง ธรรมเหลาใด. นัยวาสุภมาณพไดม ปี ริวิตกอยางนีว้ า พระโคดมผเู จรญิ ยังมนุษยโลกน้ใี หดํารงอยูในธรรมเหลา ใด ธรรมเหลา น้ัน โดยที่พระโคดมลวงลับไปแลวเส่ือมสญู ไปดวยหรอื หนอ หรือยงั ดาํ รงอยู หากดํารงอยู พระอานนท จักรู กระผมขอโอกาสถาม ดงั น้ี เพราะฉะน้ัน สภุ มาณพจงึ ถามขน้ึ . คร้งั นนั้ พระเถระไดส งเคราะหป ฎ ก ๓ ดว ยขันธ ๓ เมอื่ จะแสดงแกสุภมาณพ จึงกลา ววา แหง ขันธ ๓ ท้งั หลายแล ดังนีเ้ ปน ตน . สภุ มาณพคิดวาเรากาํ หนดขอทีท่ า นกลาวโดยยอ ไมไ ด จกั ถามโดยพิสดาร จงึ กลา ววา แหงขันธท้ังหลาย ๓ เปน ไฉน ดงั นเี้ ปนตน . เมื่อพระอานนทแสดงขนั ธเ หลา นั้น ดว ยบทวาแหง สีลขันธอ ันประเสริฐ ดังน้ี สุภมาณพจึงถามเปนขอ ๆ อีกวา ทา นพระอานนท ก็สลี ขนั ธอ ันประเสริฐน้นั เปนอยา งไร. แมพ ระเถระก็แสดงถึงการอุบัตขิ องพระพทุ ธเจาแกส ุภมาณพน้ัน เม่ือจะแสดงธรรมอนั เปน แบบแผนจึงวสิ ัชนาธรรมทัง้ ปวง โดยนยั ทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวโดยลําดับนั้นแล ในบทวา ในพระธรรมวินยั น้ี ยงั มีกิจทีจ่ ะตอ งกระทําใหยิ่งข้นึ ไป

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 227อยูอีก ทานแสดงวา ในศาสนาของพระผูม พี ระภาคเจานี้ มิใชศีลเทา นน้ั ท่มี สี าระศีลนัน้ เปน เพยี งพน้ื ฐานอยา งเดียวเทานัน้ ยงั มกี ิจอนื่ ทจี่ ะตองทํายง่ิ กวานอี้ ีก. บทวา ภายนอกจากศาสนาน้ี คอื ภายนอกจากพระพทุ ธศาสนา บทวาดูกอนมาณพ ภกิ ษุเปน ผูมีทวารคมุ ครองแลว ในอินทรยี ท้ังหลายอยา งไรนี้ทานพระอานนทแมถกู ถามถึงสมาธิขนั ธอยางนวี้ า ทานพระอานนทส มาธิขนั ธอันประเสริฐนั้นเปนอยางไร ทานมปี ระสงคจ ะชีใ้ หเหน็ ซ่ึงธรรมเปนอปุ การะของธรรมท้งั สอง ในระหวางศลี และ สมาธิ ซงึ่ มีอนิ ทรียส งั วรเปน ตน ทที่ านยกขึน้ แสดงในลาํ ดบั ศีลอยา งน้ีวา ภกิ ษสุ มบรู ณดว ยศลี มที วารคุมครองแลวในอนิ ทรียทง้ั หลาย ถงึ พรอมดว ยสตสิ มั ปชัญญะ เปน ผูสนั โดษแลว ดงั น้ีแลวแสดงสมาธิขันธ จึงไดกลาวเร่ิมขนึ้ . ในที่นี้แสดงถึงรปู ฌานเทาน้นั จงึ ไมควรนําอรปู ฌานมาแสดง. เพราะช่ือวาอรปู สมาบัตมิ ไิ ดสงเคราะหดวยจตตุ ถ-ฌาน จงึ ไมมี. บทวา ในธรรมวนิ ัยนี้ ยงั มีกิจทจ่ี ะตองทาํ ใหย ง่ิ ข้นึ ไปอกี ทานแสดงวาชีอ่ วา ความเกดิ ข้นึ แหงความส้ินสดุ มไิ ดมใิ นศาสนาของพระผมู พี ระภาคเจา น้ีโดยเพยี งจติ มีอารมณเปน หนึ่งเทา นนั้ ยังมีกจิ อนื่ ที่จะตอ งทาํ ยงิ่ กวานอี้ ีก. บทวา ในธรรมวนิ ยั นี้ ไมมกี จิ ที่จะตอ งทําใหย ิ่งข้นึ ไปอกี ทา นแสดงวา ชอ่ื วากจิ ทจี่ ะตองทาํ ย่ิงไปกวานีไ้ มม ี ในศาสนาของพระผูมพี ระภาคเจา นี้เพราะศาสนาของพระผูมพี ระภาคเจา มีพระอรหัตตเ ปนทส่ี ิน้ สุด. บทท่เี หลอืมีขอความงา ยในทท่ี ั้งปวง. จบอรรถกถาสภุ สูตร สุภสูตรท่ี ๑๐ จบ

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 228 ๑๑ เกวฏั ฏสูตร [๓๓๘] ขาพเจา ไดส ดับมาอยา งนี้ สมัยหน่ึงพระผูมีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ สวนมะมวงของปาวารกิ -เศรษฐใี กลเมอื งนาลนั ทา. คร้ังนั้น เกวัฏฏะบุตรคฤหบดเี ขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจาถงึ ท่ปี ระทบั ครน้ั เขาไปเฝา แลวถวายบังคมพระผูม ีพระภาคเจา นง่ัณ ท่ีควรสวนขา งหน่ึง เมอ่ื นง่ั เรยี บรอ ยแลว เกวัฏฏะบตุ รคฤหบดไี ดกราบทูลพระผมู พี ระ-ภาคเจา วา ขา แตพ ระองค เมอื งนาลนั ทาน้ี เปน เมืองมง่ั คง่ั สมบรู ณ มีผคู นมากคับคั่งไปดวยมนษุ ย เล่อื มใสในพระผูมพี ระภาคเจา เปน อยา งยง่ิ ขอประทานโอกาสเถดิ พระเจาขา ขอพระผมู ีพระภาคเจาทรงบญั ชาใหภกิ ษรุ ปู หน่งึ ทจ่ี กักระทาํ อทิ ธิปาฏิหารยิ  อนั เปน ธรรมที่ย่งิ ยวดของมนษุ ยได โดยอาการอยา งนี้ชาวเมืองนาลันทา จักเล่อื มใสในพระผูมีพระภาคเจา เปนอยา งยงิ่ สดุ ทจ่ี ะประมาณได. เมื่อเกวฏั ฏะกราบทูลอยา งนแ้ี ลว พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั กะเกวัฏฏะบตุ รคฤหบดีวา ดกู อนเกวัฏฏะ เรามไิ ดแสดงธรรมแกภกิ ษุท้ังหลายอยางน้วี าดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย มาเถดิ พวกเธอจงกระทาํ อทิ ธิปาฏหิ าริยอันเปน ธรรมยง่ิยวดของมนุษยแ กคฤหัสถผนู ุงขาวหมขาว ดงั น้ี เกวฏั ฏะบตุ รคฤหบดไี ดกราบทลู พระผมู ีพระภาคเจาเปนคาํ รบสองวา ขา แตพระองคผูเ จริญ ขาพระองคม ิไดเ จาะจงพระผมู พี ระภาคเจา เพยี งแตกราบทลู อยางน้วี า ขาแตพ ระองคผูเจรญิ เมืองนาลันทานี้ เปน เมอื งม่งั คงั่ สมบรู ณ มีผคู นมาก คับคั่งไปดว ย

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 229มนษุ ย เลอื่ มใสในพระผมู พี ระภาคเจาเปน อยา งย่งิ ขอประทานโอกาสเถิดพระเจาขา ขอพระผูมพี ระภาคเจาทรงบญั ชาใหภ กิ ษุรปู หน่งึ ทจี่ กั กระทําอิทธิปาฏหิ าริยอันเปน ธรรมยง่ิ ยวดของมนษุ ย โดยอาการอยา งนี้ ชาวเมืองนาลันทาจกั เลอื่ มใสในพระผูมีพระภาคเจา เปน อยา งยิง่ สุดที่จะประมาณได.แมค รั้งทีส่ าม ฯลฯ เกวฏั ฏะกไ็ ดก ราบทลู อยา งนั้น. [๓๓๙] พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นเกวัฏฏะ ปาฏิหาริย ๓ อยา งนี้ เราทาํ ใหแ จง ดว ยปญ ญาอันยิง่ ดว ยตนเองแลว จงึ ประกาศใหร ู ปาฏหิ ารยิ  ๓อยา งคือ อิทธิปาฏหิ าริย อาเทสนาปาฏิหารยิ  อนสุ าสนีปาฏหิ าริย. ดูกอนเกวฏั ฏะอิทธิปาฏิหาริยเปนไฉน. ภิกษุในธรรมวินยั นีย้ อ มแสดงฤทธไ์ิ ดหลายอยา ง คอืคนเดยี วเปนหลายคนกไ็ ด หลายคนเปน คนเดยี วก็ได ทําใหปรากฏกไ็ ด ทําใหหายไปก็ได ทะลุฝากําแพง ภเู ขาไปกไ็ ด ไมตดิ ขดั เหมอื นไปในที่วา งกไ็ ด ผดุข้ึนดําลงในแผนดนิ เหมอื นในนา้ํ กไ็ ด เดนิ บนน้าํ ไมแยกเหมือนเดินบนแผนดินกไ็ ด นัง่ บลั ลงั กเ หาะไปในอากาศเหมอื นนกก็ได ลูบคลําพระจันทรพระอาทติ ยซ ่ึงมีฤทธ์มิ ีอานภุ าพมากก็ได ใชอ าํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกกไ็ ด. ผูมศี รทั ธาเลือ่ มใสบางคนเห็นภิกษนุ ัน้ แสดงฤทธิ์ไดหลายอยาง คอื คนเดียวทาํ ใหเ ปนหลายคนกไ็ ด......คนที่มศี รัทธาเลอ่ื มใสนนั้ จะบอกแกค นทไ่ี มมีศรัทธาไมเ ล่ือมใสคนใดคนหน่งึ วา พอ มหาจาํ เริญ นาอศั จรรยจ ริงหนอ นาพศิ วงจริงหนอ ความทีส่ มณะมีฤทธ์ิมาก. มอี านุภาพมาก ขาพเจา ไดเ หน็ ภิกษรุ ูปโนนแสดงฤทธ์ิไดหลายอยาง......คนท่ีไมมีศรทั ธา ไมเ ลือ่ มใส จะพึงกลา วกะคนที่มศี รัทธาเลือ่ มใสอยา งนี้วา น่แี นะ พอ คณุ มีวิชาอยอู ยางหนง่ึ ช่ือวา คันธารีภกิ ษุรปู นน้ั แสดงฤทธ์ไิ ดหลายอยาง........ดว ยวิชาชื่อวา คันธารนี ั้น....คูกอ นเกวฏั ฏะทานสําคัญความขอ นั้นเปนไฉน คนผไู มม ศี รัทธา ไมมีความเล่ือมใส

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 230นนั้ จะพงึ กลา วอยา งนั้น กะคนผูมศี รัทธามีความเลอ่ื มใสน้ันบางไหม. พงึกลา ว พระเจาขา. ดูกอนเกวฏั ฏะ เราเห็นโทษในอิทธิปาฏหิ ารยิ อ ยา งนแี้ หละจงึ อึดอดั ระอา รังเกยี จอิทธิปาฏิหาริย. [๓๔๐] ดกู อนเกวัฏฏะ กอ็ าเทสนาปาฏหิ าริยเปน ไฉน ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ียอมทายใจ ทายความรูสึกในใจ ทายความตรึก ทายความตรองของสตั วอน่ื ของบุคคลอืน่ ไดวา ใจของทานเปนอยา งนบ้ี า ง ใจของทา นเปนไปโดยอาการนี้บา ง จติ ของทา นเปนดงั นบี้ าง. บคุ คลบางคน มศี รทั ธาเลือ่ มใสเห็นภิกษนุ ่นั ทายใจ ทายความรสู กึ ในใจ ทายความตรึก ทายความตรองของสัตวอืน่ บุคคลอน่ื ได วา ใจของทานเปนอยา งน้ีบาง ใจของทา นเปน ไปโดยอาการนบี้ า ง จติ ของทา นเปนดังน้ีบาง. ครนั้ แลว ผูมศี รัทธาเล่อื มใสบอกแกค นท่ีไมม ีศรัทธา ไมม คี วามเลื่อมใสคนใดคนหน่ึงวา พอมหาจําเริญ นา อัศจรรยจ ริงหนอนาพิศวงจรงิ หนอ ความทส่ี มณะมฤี ทธ์ิมาก มีอานุภาพมาก ขา พเจา ไดเ ห็นภิกษรุ ูปนที้ ายใจ ทายความรสู กึ ในใจ ทายความตรึก ทายความตรอง ของสตั วอ ่นื ของบุคคลอื่นไดว า ใจของทา นเปนอยา งนี้ ใจของทานเปน ไปโดยอาการอยางน้ี จิตของทานเปน ดงั น้ี คร้นั แลว ผไู มม ศี รัทธาไมเ ลอ่ื มใสจะพึงกลาวกะผูมศี รัทธา ผูมคี วามเลือ่ มใสวา น่ีแนพ อคุณ มีวิชาอยูอยางหนง่ึ ชอื่มณิกา ภกิ ษรุ ปู น้ันทายใจ ทายความรสู กึ ในใจ ทายความตรกึ ทายความตรองของสตั วอ่ืนของบคุ คลอืน่ ไดวา ใจของทานเปน อยางน้ี ใจของทา นเปนไปโดยอาการอยางนี้ จติ ของทา นเปนดงั นี้ ดว ยวิชาชอ่ื วา มณกิ านน้ั ดูกอ นเกวฏั ฏะ ทานจะสาํ คัญความขอ นนั้ เปนไฉน คนผไู มมศี รัทธาไมเลื่อมใสนน้ัจะพึงกลา วกะคนผมู ีศรทั ธาเลื่อมใสนั้นบางไหม พงึ กลาวพระเจาขา ดูกอนเกวฏั ฏะ เราเหน็ โทษในอาเทสนาปาฏิหาริยอ ยางนี้แล จึงอดึ อดั ระอา รังเกยี จอาเทสนาปาฏิหาริย.

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 231 [๓๔๑] ดกู อนเกวัฏฏะ อนสุ าสนปี าฏิหาริยเ ปนไฉน ดูกอนเกวัฏฏะภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอ มพรํ่าสอนอยา งนว้ี า ทานจงตรึกอยา งนี้ อยา ตรึกอยา งนนั้ จงใสใ จอยางนี้ อยาใสใจอยา งนนั้ จงละสิ่งนี้ เขา ถึงสิ่งน้ีอยู. ดูกอนเกวฏั ฏะ นเ้ี รยี กวา อนุสาสนีปาฏหิ าริย [๓๔๒] ดูกอนเกวัฏฏะ ขอ อ่นื ยังมอี ยูอกี พระตถาคตอบุ ตั ิขนึ้ ในโลกน้เี ปนพระอรหนั ต ตรสั รเู องโดยชอบ ฯลฯ ดกู อนเกวัฏฏะ แมน ้กี ็เรียกวาอนุสาสนีปาฏหิ าริย. ภิกษเุ ขา ถึงทุตยิ ฌาน ตตยิ ฌาน จตุตถฌานอยู. ดกู อนเกวัฏฏะ ขอนที้ านเรยี กวา อนสุ าสนีปาฏหิ าริย ฯลฯ ภิกษุนําเขาไปนอมเขาไปซง่ึ จติ เพอื่ ญาณทัสสนะ. ดูกอนเกวัฏฏะ นี้ ทา นเรียกวา อนุสาสน-ีปาฏหิ ารยิ . ฯลฯ ภิกษุยอมรวู า ไมมจี ิตอ่ืนเพือ่ เปนอยา งนีอ้ ีก ขอนที้ า นเรียกวา อนสุ าสนีปาฏหิ ารยิ . ดกู อนเกวฏั ฏะ ปาฏิหาริย ๓ อยา งนีแ้ ล เราทาํใหแจงดวยปญญาอันยงิ่ ดว ยตนเอง แลวจึงประกาศใหร.ู [๓๔๓] ดกู อนเกวัฏฏะ เรอ่ื งเคยมีมาแลว ความปรวิ ติ กทางใจไดเ กิดข้ึนแกภ กิ ษรุ ูปใดรปู หนง่ึ ในหมูภกิ ษนุ ี้เอง อยา งนว้ี า มหาภูตรูป ๔ คือ ปฐว-ีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลานี้ ยอ มดบั ไมมเี หลือในท่ไี หนหนอ.ลําดับน้นั ภิกษุไดเ ขาสมาธิ ชนิดท่ีเมื่อจติ ตง้ั มนั่ แลว ทางไปสูเ ทวโลกกป็ รากฏได. คร้ันแลว ภิกษุเขา ไปหาพวกเทวดาชั้นจาตมุ มหาราชถึงทีอ่ ยู ไดถามพวกเทวดาเหลานั้นวา ทา นทัง้ หลาย มหาภตู รูป ๔ คอื ปฐวีธาตุ อาโปธาตุเตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลาน้ี ยอมดบั ไมมีเหลือในทีไ่ หน ดูกอนเกวฏั ฏะ เมอื่ภิกษุกลา วอยา งน้ี พวกเทวดาชน้ั จาตมุ มหาราชจึงกลา ววา แมพ วกขาพเจา ก็ไมท ราบทีด่ ับไมมเี หลอื แหง มหาภตู รปู ๔ คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 232เตโชธาตุ วาโยธาตนุ ี้ เหมอื นกัน แตยังมมี หาราชอยู ๔ องค ซง่ึ รงุ เรอื งกวา วิเศษกวา พวกขาพเจา ทาวเธอคงจะทราบ........ภกิ ษจุ ึงไปหามหาราชทงั้ ๔ แลว ถามวา ทา นทั้งหลายมหาภตู รูป ๔ คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุวาโยธาตุ เหลานี้ยอ มดบั ไมม เี หลือในที่ไหน เมอื่ ภิกษุกลาวอยา งนีแ้ ลวมหาราชทั้ง ๔ จึงกลา ววา แมพ วกขา พเจา ก็ไมท ราบ........แตยังมีพวกเทวดาช้นั ดาวดึงส ซ่ึงรงุ เรอื งกวา วิเศษกวาพวกขาพเจา เทวดาเหลา นั้นคงจะทราบ........ภิกษุจึงเขาไปหาเทวดาชน้ั ดาวดงึ สแ ลว กลา ววา มหาภูตรปู คือปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุเหลาน้ี ยอมดับโดยไมมเี หลอื ในทีไ่ หน เม่ือภิกษุกลาวอยา งนี้ เทวดาชน้ั ดาวดึงสจงึ กลาววา แมพ วกขาพเจากไ็ มทราบ.......แตยังมที า วสกั กะผเู ปน จอมเทวดา ซงึ่ รงุ เรอื งกวา วเิ ศษกวาพวกขา พเจา ทา วเธอคงจะทราบ........ภิกษุนั้นกไ็ ดไ ปหาทาวสักกะผูเปนจอมเทวดากลา ววา มหาภูตรปู ๔ คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุเหลาน้ี ยอมดับโดยไมมเี หลือในท่ีไหน เมื่อภกิ ษุกลาวอยา งนี้แลว ทาวสักกะผเู ปนจอมเทวดากลา วตอบวา ขา พเจากไ็ มทราบ..........แตยงั มเี ทวดาช้นัยาม............เทพบุตรชือ่ สุยาม............เทวดาช้ันดุสติ .............เทพบุตรช่อื สนั -ดสุ ติ .........เทวดาชั้นนมิ มานรด.ี ...........เทพบตุ รชื่อสุนิมมติ ะ........เทวดาชนั้ปรนมิ มิตวสวด.ี ...........เทพบุตรช่อื ปรนิมมติ วสวดี ซึ่งรุงเรืองกวา วิเศษกวาขาพเจา ทาวเธอคงทราบ............ท่ดี ับโดยไมเ หลอื แหงมหาภตู รูป ๔ คอืปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลานไ้ี ด. [๓๔๔] ดูกอนเกวัฏฏะ คร้งั นนั้ ภิกษเุ ขาไปหาวสวดีเทพบุตรแลว กลาววามหาภูตรูป ๔ คอื ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุเหลาน้ี ยอมดับไมม เี หลือในทีไ่ หน เมอ่ื ภกิ ษกุ ลา วอยางนแ้ี ลว วสวดีเทพบุตรกลา วตอบวา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 233แมข าพเจาก็ไมท ราบ.....แตย งั มเี ทวดาพรหมกายิกา ซงึ่ รงุ เรืองกวา วิเศษกวาพวกเรา เทวดาเหลา น้นั คงจะทราบ ลาํ ดับนนั้ ภกิ ษไุ ดเ ขาสมาธโิ ดยท่เี มื่อจติตัง้ ม่นั แลวทางไปสพู รหมโลกไดปรากฏแลว. [๓๔๕] ดูกอ นเกวัฏฏะ ตอ แตน้นั ภกิ ษุไดเขา ไปหาเทวดาพรหมกายิกาแลวกลา ววา ทานท้งั หลาย มหาภตู รูป ๔ คอื ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุวาโยธาตุ เหลานี้ ยอมดบั ไมมีเหลือในทไ่ี หน เมื่อภกิ ษุกลาวอยางน้ี เทวดา-พรหมกายิกา จงึ กลาวตอบวา แมพ วกขา พเจาก็ไมท ราบ....แตย ังมีพระพรหมผูเ ปนมหาพรหม ผูเ ปนใหญไ มมีใครยิ่งกวา รูเหน็ เหตกุ ารณโดยถอ งแท ผใู ชอาํ นาจ ผเู ปนอิสสระ เปน ผูสราง เปน ผนู ิรมิต เปนผปู ระเสรฐิ เปนผูบงการเปนผทู รงอาํ นาจ เปนบดิ าของหมสู ตั ว ซง่ึ รงุ เรอื งกวา และวเิ ศษกวาพวกขา พเจาทาวมหาพรหมนน่ั แลคงจะทราบ...... ก็บดั นีท้ า วมหาพรหมนนั้ อยทู ี่ไหนแมพ วกขาพเจาก็ไมรทู อ่ี ยขู องพรหม หรอื ทศิ ของที่พรหมอยู แตวา นมิ ติ ทงั้หลายจกั เหน็ ได แสงสวา งยอ มเกดิ เอง โอภาสยอ มปรากฏเม่ือใด พรหมจักปรากฏเมอื่ น้นั การทีแ่ สงสวางเกิดเอง โอภาสปรากฏนั้นแล เปนบพุ พนมิ ติ เพ่ือความปรากฏแหงพรหม ดกู อนเกวัฏฏะ ตอมาไมน านนกั มหาพรหมน้ันก็ไดปรากฏ. [๓๔๖] ดูกอนเกวฏั ฏะ ลําดับน้นั ภิกษไุ ดเ ขา ไปหามหาพรหมแลวกลาววา มหาภตู รปู ๔ คือ ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลา น้ียอ มดับไมมีเหลือในทีไ่ หน เม่อื ภกิ ษกุ ลา วอยา งนี้แลว ทาวมหาพรหม ไดกลา วตอบวา ขาพเจาเปน พรหม เปน มหาพรหม เปน ผใู หญย ่ิง........ เปน บดิ าของหมูสตั วท ั้งหลาย. ดูกอ นเกวฏั ฏะ แมคร้งั ท่ี ๒ ภกิ ษนุ นั้ ก็ไดกลาวกะทา ว-มหาพรหมวา ขา พเจา มิไดถ ามทานอยา งนัน้ วา ทานเปนพรหม........ขา พเจา

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 234ถามทา นวามหาภตู รปู ๔.... ยอมดบั ไมมีเหลือในที่ไหน ตา งหาก. แมคร้งั ที่ ๒ทา วมหาพรหมก็ไดต อบภกิ ษอุ ยางน้ัน แมค รง้ั ที่ ๓ ภิกษุกไ็ ดกลา วกะทา วมหาพรหมวา ขาพเจา มไิ ดถามอยางนั้น ขาพเจาถามวา มหาภูตรูป ๔ ยอ มดับไมมเี หลอื ในท่ีไหนตางหาก. [๓๔๗] ดกู อ นเกวฏั ฏะ ลําดบั นั้นทา วมหาพรหมจับแขนภกิ ษนุ ั้นนําไป ณ ทคี่ วรสว นขา งหน่งึ แลวกลาวกะภิกษุน้ันวา ทานภกิ ษุ พวกเทวดา-พรหมกายกิ าเหลานี้ รจู ักขา พเจาวา อะไร ๆ ทพ่ี รหมไมร ู ไมเห็น ไมเ ขา ใจไมแจม แจง เปนอนั ไมมี เพราะฉะนน้ั ขา พเจาจึงไมตอบตอหนา เทวดาเหลานั้นวา แมขา พเจากไ็ มท ราบทด่ี บั ไมมเี หลอื แหง มหาภตู รูป ๔ คอื ปฐวธี าตุอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลา น้เี หมือนกัน เพราะฉะนนั้ แล การท่ที า นละเลยพระผมู พี ระภาคเจาเสยี แลว เทย่ี วแสวงหาในภายนอก เพอื่ พยากรณปญหาน้ี เปนอันทา นทาํ ผิดพลาดแลว ทา นจงเขาไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจาทูลถามปญ หานีเ้ ถดิ พระองคท รงพยากรณแ กทา นอยางใด ทานพึงทรงจําขอนน้ั ไว. [๓๔๘] ดูกอนเกวฏั ฏะ คร้ังน้ัน ภกิ ษนุ นั้ ไดหายไปจากพรหมโลกมาปรากฏขา งหนาเรา เปรยี บเหมอื นบุรุษผูมีกําลัง เหยยี ดแขนท่คี ูอยอู อกไปหรอื คูแขนทเ่ี หยยี ดไวเขามา, ดกู อ นเกวฏั ฏะ ภิกษุน้ันเขา มาหาเรา ไหวเ ราแลว น่ัง ณ ท่ีควรสว นขา งหนึง่ ไดก ลาววา ขาแตพ ระองคผูเจรญิ มหาภูต ๔คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหลานี้ ยอ มดับไมมเี หลือในที่ไหนเมื่อเธอกลาวอยางน้แี ลว เราไดกลา ววา ดกู อ นภกิ ษุ เร่ืองเคยมีมาแลว พวกพอคา เดนิ เรอื มหาสมทุ ร จบั นกตีรทัสสี (นกดูฝง ) ลงเรอื ไปดวย เม่อื ไมเ ห็นฝงเขากป็ ลอ ยนกตรี ทัสสมี ันบนิ ไปยงั ทศิ บรู พา ทิศทกั ษณิ ทศิ ปจ จิม ทิศอุดรทศิ เบ้ืองบน ทิศนอ ย หากมันเหน็ รมิ ฝง มันก็บินไปทางนั้น หากมันไมเ ห็น

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 235ริมฝง มนั จะกลบั มายงั เรอื นนั้ อกี ดูกอ นภกิ ษุ เธอก็เหมอื นกัน เท่ยี วแสวงหาจนถงึ พรหมโลก ก็ไมไ ดร ับพยากรณปญ หานี้ ในทส่ี ุดกต็ อ งมาหาเรา ปญหานี้เธอไมควรถามอยางนัน้ แตควรถามอยางน้ี ........ [๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ยอ มตง้ั อยไู มไดในทไี่ หน อปุ าทายรูปทีย่ าวและสน้ั ละเอยี ดและหยาบ งานและไมง าม ยอ มตัง้ อยไู มไดใ นท่ีไหน นามและรูปยอ มดบั ไปไมมเี หลือในท่ไี หน ดังน้.ี ในปญหาน้นั มพี ยากรณด งั ตอ ไปนี้ [๓๕๐] ธรรมชาตทิ รี่ ูแจง แสดงไมได ไมมีที่สดุ แจมใสโดยประการทงั้ ปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ยอ มต้งั อยไู มไ ดในธรรมชาตนิ ี้ อุปาทายรูปยาวและสัน้ ละเอียดและหยาบ งามและไมง าม ยอมต้งั อยไู มไ ดในธรรมชาติน้ี นามและรูปยอมดับไปไมม เี หลือในธรรมชาตินี้ เพราะวญิ ญาณดับ นามและรูปน้นั ยอมดบั ไมมีเหลือในธรรมชาตนิ ้ีดงั นี้. พระผมู พี ระภาคเจา ไคตรสั พยากรณป ญหานี้แลว เกวฏั ฏะบตุ รคฤหบดีชอบใจเพลิดเพลินภาษติ ของพระผูมีพระภาคเจา ดังน้แี ล. จบเกวัฏฏสตู รที่ ๑๑

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 236 อรรถกถาเกวัฏฏสูตร เกวฏั ฏสตู รมีบทเร่มิ วา ขาพเจา (พระอานนทเถระเจา ) ไดสดบั มาอยางน้ี ฯเปฯ ใกลเ มืองนาลนั ทา. จะพรรณนาบทโดยลาํ ดับในเกวฏั ฏสตู รน้นั . บทวา ปวาริกมั พวนัคอื สวนมะมวงของปาวารกิ เศรษฐ.ี บทวา เกวัฏฏะนี้ เปนชื่อของบตุ รคฤหบดี. มีเรอ่ื งเลามาวา เกวัฏฏะบตุ รคฤหบดีน้นั มที รพั ยประมาณ ๔๐ โกฏิเปนคฤหบดีผูม่งั คงั่ ไดเ ปนผมู ีศรัทธาเลือ่ มใส (พระพุทธศาสนา) เปนอยางย่ิงเพราะเหตทุ ี่เขามีศรทั ธาเปน อยา งยิ่ง เขาจึงคิดวา หากจะมีภิกษสุ ักรปู หน่งึ เหาะไปในอากาศ พงึ แสดงปาฏหิ ารยิ ห ลาย ๆ อยา ง ระหวางกึ่งเดือน หรือหนึ่งเดอื น หรอื หน่ึงป มหาชนกจ็ ะพากันเล่อื มใสยง่ิ นัก ถา กระไร เราจะกราบทลู ขอรองพระผมู ีพระภาคเจา ใหท รงอนญุ าต ภกิ ษรุ ูปหนึง่ เพ่ือแสดงปาฏหิ ารยิ  แลวเขาไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา กราบทลู อยางน.้ี บทวา มัง่ คง่ั คือ มั่งคง่ั สมบูรณ. บทวา ม่ังมี คอื ถึงความเจรญิเพราะมากดวยภณั ฑะนานาชนดิ . บทวา คับคั่งไปดว ยมนุษย อธบิ ายวาจอแจไปดวยหมมู นษุ ย สัญจรไปมา ดูเหมอื นวา ไหลกบั ไหล จะเสียดสีกนั .บทวา จงจัด หมายถึง ขอรอง คอื ตงั้ ใหดํารงตาํ แหนง. บทวา ธรรมท่ยี ิง่ ยวดของมนษุ ย อธบิ ายวา ยิง่ กวา ธรรม ของมนุษยผ ยู ่ิงยวด หรอื ธรรมของมนุษย อันไดแกกศุ ล ๑๐. บทวา เปน อยา งยิ่ง สุดทจ่ี ะประมาณได อธบิ ายวา จกั เล่อื มใสอยางยง่ิ สุดท่จี ะประมาณได เหมือนดวงประทีปทีโ่ ชตชิ ว ง แมกวา ปรกติ เพราะไดเ ชื้อนํ้ามัน.

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 237 บทวา เราไมแ สดงธรรมอยา งน้ี มอี ธิบายวา พระผมู ีพระภาคเจา ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทไวในเรอื่ งราชคหเศรษฐี เพราะฉะนั้น จงึ ตรัสคําเปนตน วาเราไมแ สดงธรรมอยางนี.้ บทวา เราไมกําจดั อธิบายวา พระผูม พี ระภาคเจาตรัสวา เราจะไมทําลายโดยใหคณุ ธรรมพนิ าศไป คือ ใหถ งึ การทําลายศีล แลวลดลงจากฐานะสูง ต้งั อยใู นฐานะตาํ่ โดยลําดับ โดยท่ีแทเ ราหวังความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงกลาวดงั นน้ั . บทวา แมค รั้งท่ี ๓ แล อธิบายวา ไมมีผูสามารถจะกลาวหา มพระดํารสั ของพระพุทธเจา ถงึ ๓ ครงั้ แตเ กวฏั ฏะกราบทูลถึง ๓ คร้ัง ดว ยคดิ วา เราคุนเคยกับพระผูมพี ระภาคเจา เปนคนโปรดหวังตอประโยชน ดังน.ี้ คร้งั น้นั พระผูมพี ระภาคเจา ทรงดํารวิ า อุบาสกนี้แมเมื่อเราหา ม กย็ งั ขอรอ งอยบู อย ๆ ชางเถิด เราจะชโ้ี ทษในการแสดงปาฏิหาริยแกเ ธอ จงึ ตรสั คําเปน ตน วา ปาฏิหาริย ๓. อยา งแล. ในบทเหลา นั้น บทวา อมาห ภิกขฺ ุ ตัดบทเปน อมุ อห ภิกขฺ ุ บทวาวชิ าชื่อคันธารี อธิบายวา วชิ าน้ี ฤษชี อ่ื คันธาระเปนผูทาํ หรือเปน วชิ าทีเ่ กดิ ข้ึนในแควนคนั ธาระ. มีเร่อื งเลากนั มาวา ในแควน คนั ธาระนนั้ พวกฤษีอาศัยอยมู าก บรรดาฤษเี หลานน้ั ฤษผี ูห น่งึ ทาํ วชิ านี้ขึน้ . บทวา เราอึดอดัอธบิ ายวา เราอยูอ ยา งอึดอัดคอื ราวกะวา ถูกบบี . บทวา เราระอา คือละอาย.บทวา เรารงั เกยี จ คอื เราเกดิ ความรงั เกยี จเหมือนเหน็ คูถ. บทวา แหงสตั วอื่น คอื แหงสัตวท ง้ั หลายเหลาอื่น. บทที่ ๒ คือแหงบคุ คลอน่ื เปน ไวพจนของบทน้ันนนั่ แล. บทวา ยอ มทาย คอื ยอ มกลาว.บทวา ความรูสึกในใจ หมายถึง โสมนัสและโทมนสั . บทวา ใจของทานเปนไปโดยอาการอยางน้ี อธิบายวา ใจของทา นตง้ั อยใู นโสมนสั โทมนสั หรือประกอบดวยกามวิตกเปนตน. บทที่ ๒ เปนไวพจนของบทน้นั แล. บทวา จิตของทานเปน อยา งนี้ คอื จติ ของทา นเปน เชนน.้ี อธบิ ายวา จติ ของทานคิดถึง

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 238เรอื่ งนี้และเรื่องนเี้ ปนไปแลว. บทวา วชิ าชอื่ มณกิ า ทา นช้แี จงวา มีวิชาหนึ่งในโลกไดช ่อื อยางนวี้ า จินดามณี บุคคลยอมรถู งึ จติ ของคนอ่ืนได ดว ยวิชาจินดามณนี นั้ . บทวา ทานทั้งหลายจงตรึกอยางน้ี คือ ตรึกใหเปนไปทาง เนก-ขัมมวติ กเปน ตน. บทวา อยา ตรกึ อยา งน้ี คอื อยางตรึกใหเปน ไปกามวติ กเปน ตน. บทวา จงทําในใจอยา งน้ี คอื ทําในใจถงึ อนจิ จสัญญา หรือ อยา งใดอยางหน่งึ ในทุกขสญั ญาเปนตน อยางน.ี้ บทวา อยา........อยา งน้ี คือ อยา ทาํในใจโดยนยั เปน ตนวา เปนของเท่ียง ดังน้.ี บทวา จงละสิง่ น้ี อธิบายวา จงเขา ถึงกาํ หนดั อนั เคลือบดว ยกามคณุ นี.้ บทวา จงเขา ถงึ สง่ิ นี้ อธบิ ายวา จงเขาถึงคอื บรรลุ สาํ เร็จ โลกุตตรธรรม อนั ไดแก มรรค ๔ ผล ๔ น้แี ลอย.ู พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงฤทธ์ติ า ง ๆ ชอื่ อทิ ธปิ าฏหิ ริย การรจู ติ ของผอู น่ื แลวพูด ชื่อ อาเทศนาปาฏิหารยิ  การแสดงธรรมเนือง ๆ ของพระสาวกและของพระพุทธเจา ช่ือ อนุสาสนีปาฏิหาริย. ในปาฏหิ าริยเหลาน้นั พระมหาโมคคลั ลานะแสดง อนุสาสนปี าฏิหาริยดวยอิทธิปาฏิหาริย พระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ ร แสดง อนสุ าสนปี าฏิหาริย ดว ยอาเทศนาปาฏหิ าริย. เมือ่ พระเทวทตั ทาํ ลายสงฆ ไดพาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปแลวแสดงธรรมแกภ ิกษุเหลาน้ันดวยพทุ ธลลี า ณ ตาํ บล คยาสีสะ ครน้ั เมอื่ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสง พระอัครสาวก ๒ รปู ไป พระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รทราบวารจิตของภกิ ษเุ หลานั้นแลวแสดงธรรม. ภิกษุท้ัง ๕๐๐ รปู ฟง ธรรม-เทศนาของพระเถระก็บรรลุโสดาปตติผล. ตอ มาพระมหาโมคคัลลานเถระไดแสดงการแผลงฤทธิต์ าง ๆ แลว แสดงธรรมแกภ กิ ษุเหลานัน้ ภกิ ษทุ งั้ หมดฟงธรรมของทา นแลว ตางไดบ รรลพุ ระอรหตั ตผล. ครนั้ แลว พระมหานาคท้งัสองพาภกิ ษุ ๕๐๐ รูป เหาะสูเวหามาถึงวิหารเวฬุวัน. การแสดงธรรมเนือง ๆ

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 239ของพระพุทธเจาทั้งหลายเปน อนุสาสนปี าฏิหารยิ . ในปาฏหิ ารยิ เ หลานัน้ อทิ ธ-ิปาฏิหารยิ  และอาเทสนาปาฏหิ าริย ยงั ตเิ ตยี นได ยงั มโี ทษ ไมยั่งยืนอยูนานเพราะไมย ง่ั ยนื อยนู าน จึงไมน ําสัตวใหพน ทุกขไ ด. อนุสาสนีปาฏิหาริยเทานั้นไมตเิ ตยี นได ไมม โี ทษ ต้งั อยไู ดน าน เพราะตั้งอยไู ดน าน จึงนาํ สัตวใหพ นทุกขไ ด. เพราะฉะนนั้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ทรงติเตยี นอิทธปิ าฏิหาริย และอาเทสนาปาฏหิ าริย ทรงสรรเสริญอนุสาสนปี าฏิหารยิ อ ยางเดียว. บทวา เรอื่ งเคยมีมาแลวน้ี เพราะเหตุไร พระผมู พี ระภาคเจา จึงทรงปรารภขึ้น. ทที่ รงปรารภข้นึ กเ็ พอ่ื ทรงแสดงถึงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ และอาเทสนาปาฏิหาริยไมนําสตั วใหพ นจากทุกขได และเพื่อทรงแสดงถงึ อนุสาสนปี าฏิหารยิ เทานัน้ ทจี่ ะนําสัตวใหพ นจากทุกขได. อีกอยางหนึ่ง มีภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ช่ือมหาภตู ปริเยสกะ แสวงหามหาภูตรูป เท่ียวไปจนถึงพรหมโลก ไมไดชอ งแกป ญหา จึงมาทูลถามพระพทุ ธเจา แลวก็หมดสงสัยไป. เพราะเหตุอะไร.เพ่ือประกาศความยิง่ ใหญข องพระพุทธเจาท้ังหลาย เหตกุ ารณอนั น้ีไดป กปดแลว ครน้ั ตอมาพระผมู พี ระภาคเจาเมอ่ื จะทรงเปดเผยแสดงเหตุการณนั้น จึงตรัสคาํ เปนอาทิวา เร่ืองเคยมีมาแลว ดงั นี.้ บทวา ในทไี่ หนหนอแล อธบิ ายวา บคุ คล อาศัยอะไรแลว บรรลุอะไร มหาภตู ๔ นนั้ จงึ ดับโดยไมเหลือดว ยอาํ นาจเปนไปไมไดในท่ีไหน ก็มหาภูตกถานี้ ทานกลาวไวแ ลว ในวสิ ุทธ-ิมรรค โดยพิสดาร. เพราะฉะนั้น ควรคน หาจากวิสทุ ธมิ รรคนน้ั เถดิ . บทวา ทางไปเทวโลก คือ ชือ่ วาทางไปเทวโลกเฉพาะนนั้ ไมม.ีกบ็ ทนน้ั เปน ชอื่ ของอิทธวิ ิธญาณ. จรงิ อยู ทางน้นั เปน ไปสูอํานาจทางกายยอมไปสูเทวโลก ตลอดถึงพรหมโลกไดโ ดยทางนั้น เพราะฉะนั้น ทา นจึงกลา ววาทางไปเทวโลก. บทวา เทวดาช้นั จาตุมมหาราชโดยทใี่ ด ความวาภกิ ษไุ มทูลถามพระผมู ีพระภาคเจา แมประทบั อยูในท่ใี กล สาํ คัญวา ตาม

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 240ธรรมดา เทวดาที่เขาโจทกนั ยอ มมอี านภุ าพมากดงั นจี้ งึ เขา ไปหา. ขอทว่ี าดกู อ นภิกษุ แมพวกขา พเจา ก็ไมร ู หมายถงึ พวกเทวดา ถูกถามปญหาในพทุ ธวสิ ัยยอ มไมร ูจงึ ไดกลาวอยางน้นั . ลําดับนน้ั ภกิ ษนุ น้ั สําทบั พวกเทวดาวาพวกทานตอบปญหานข้ี องเราไมได ก็จงบอกมาเรว็ ๆ จึงถามแลว ถามอกี . พวกเทวดาคิดวา ภิกษรุ ปู นสี้ าํ ทบั เรา เราจักปลดเปล้ือง ภิกษุนน้ั ใหพน ไปจากพวกเรา จงึ ไดกลาวคําเปนตนวา ดูกอนภกิ ษุ ยังมีทา วมหาราชอีก ๔ องค. บทวา รุง เรอื งย่ิงนกั คอื งามเหลอื เกิน. บทวา วิเศษกวา คือ สงูสดุ ดว ย วรรณะ ยศ และความเปนใหญ เปน ตน. พึงทราบเนอื้ ความในทกุวาระโดยนัยน้ี. แตเ น้อื ความนี้พเิ ศษ. นัยวาทาวสกั กเทวราชทรงดาํ รวิ า ปญหานีเ้ ปนพทุ ธวิสยั คนอนื่ ไมส ามารถแกไ ด ก็ภิกษนุ ีล้ ะเลยพระสัมมาสมั พทุ ธเจาผเู ปน อัครบุคคลในโลก เท่ียวถามพวกเทวดา ดจุ คนละเวนไฟเปาหิง่ หอย และดจุ คนละเวนกลอง ตที อง เราจะสงภกิ ษุน้นั ไปยังสาํ นักพระศาสดา จักหมดสงสัยในน้ัน ทาวสกั กเทวราชทรงดาํ รอิ ีกวา ภกิ ษุนัน้ ไปไกลมากแลว จักหมดสงสัยในสาํ นักของพระศาสดา อนงึ่ ธรรมดาบุคคลเชน นก้ี ็มอี ยู เมอ่ื เดนิ ทางไปไดเพียงเล็กนอ ย มักมคี วามลาํ บาก แตภายหลงั จกั รู ดังนี้ จงึ กลา วกะภิกษนุ น้ั เปนตนวา แมเ รากไ็ มรู ดังนี.้ แมทางไปพรหมโลก ก็เชนเดยี วกบั ทางไปเทวโลก. ทางไปเทวโลกก็ดี การเขา ถงึ ธรรมก็ดี ความแนวแนชั่วขณะจิตหนึง่ ก็ดี ความคิดคาดคะเนก็ดี จติ ไปสงู กด็ ี ความรูย ิ่งก็ดี ท้ังหมดน้ีเปนช่ือของอิทธิวธิ ญาณนัน่ เอง. บทวา บุพพนมิ ิต ทานแสดงไวว า นิมติ ในสว นแรกทีจ่ ะมาถงึ เหมอื นรงุ อรณุ มเี พราะพระอาทติ ยข น้ึ เพราะฉะน้ัน พระพรหมจักมาในบัดนี้. พวกขาพเจารูเ พยี งนี้. บทวา ปาตรุ โหสิ แปลวา ไดป รากฏแลว. ครงั้ นั้นแล พระพรหม เม่อื ถกู ภกิ ษนุ นั้ ถาม รูความท่ีมใิ ชว สิ ัยของตน จงึ คิดวา หากเราบอกวา เราไมรู พวกนี้จกั ดหู ม่นิ เรา ถา เรา

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 241จักกลา วอะไร ๆ ทาํ เปน เหมอื นรู ภิกษุไมม ีจิตปรารมภด วยคาํ พยากรณ ของเรา จักยกคําพดู ของเรา เมอ่ื เราบอกวา ดูกอนภิกษุ เราเปนพรหม ดงั น้ี เปนตนใคร ๆ กจ็ กั ไมเชอ่ื ถอ ยคาํ ถา กระไร เราจะบอกปด สงภกิ ษนุ ีไ้ ปเฝาพระ-ศาสดาดงั นี้ จึงกลาววา ดกู อนภกิ ษุ เราเปน พรหม ดงั นี้เปนตน บทวา นาํ ออกไป ณ สว นขา งหน่งึ ดงั น้ี เพราะเหตไุ รจึงไดท าํ อยา งนัน้ เพราะเพือ่ ความพศิ วง. บทวาเสาะหาการพยากรณใ นภายนอก อธบิ ายวาถงึ การแสวงหาในภายนอก ตลอดถงึ พรหมโลก ดจุ คนตอ งการนาํ้ มนั บีบทรายฉะนน้ั บทวา นก ไดแ ก กา หรอื เหยยี่ ว. ขอวา ภกิ ษไุ มควรถามปญ หาอยา งนี้ มอี ธิบายวา เพราะภกิ ษคุ วรถามปญ หาใหถกู จดุ หมาย ก็ภกิ ษนุ ี้ถือ สิ่งไมม ใี จครองถามนอกจุดหมาย ฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จึงทรงปฏเิ สธ. นยั วาการแสดงโทษคาํ ถามของผหู ลงผิดในคาํ ถาม แลว ใหสาํ เนียกคําถาม จงึ ตอบในภายหลงั เปน หลกั ปฏบิ ัตขิ องพระพทุ ธเจาทั้งหลาย. เพราะเหตไุ ร. เพราะผูไมรเู พ่อื จะถามจึงถาม ช่ือวา เปนคนไมฉลาด. พระผูม พี ระภาคเจา ทรงใหส าํเหนียกปญ หาจงึ ตรัสวา อาโปธาตุ ยอ มต้ังอยไู มไ ดใ นที่ไหน ดังน้เี ปนตน . บทวา ต้งั อยไู มได คอื ดํารงอยไู มได มีอธบิ ายวา มหาภูตรปู ๔ เหลานี้อาศยั อะไรจงึ เปน อนั ต้ังอยูไ มไ ด ทานถามหมายถึงสิ่งมใี จครองเทาน้นั . บทวายาวและส้นั ทานกลาวถึงอปุ าทายรูปโดยสัณฐาน. บทวา ละเอียด หยาบหมายถึง เล็ก หรอื ใหญ. ทา นกลาวเพยี งทรวดทรงในอุปาทายรปู เทา นน้ัแมด ว ยบทน.้ี บทวา งาม และ ไมงาม คือ อปุ าทายรปู ทีด่ ี และ ไมดีนน่ั เอง

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 242ก็ทว่ี า อุปาทายรปู งามไมง าม มีอยู หรือ ไมม.ี แตทานกลาวถึงอิฎฐารมณและอนิฏฐารมณอ ยา งนี้. บทวา นาม และ รูป คือ นามและรูปอนั ตา งกนัมียาว เปน ตน. บทวา อปุ รชุ ฌฺ ติ แปลวา ยอ มดบั ไป. พระผมู พี ระภาคเจาทรงชแี้ จงคําถามวา ควรจะถามอยา งนีว้ า นามและรูปนั้นอาศยั อะไรจึงเปน ไปไมไดอยางไมมเี หลอื เมือ่ จะทรงแกป ญหา จงึ ตรัสวา ในปญ หานน้ั มีพยากรณดงั น้ี แลว ตรัสวา ธรรมชาติทีร่ แู จง เปนตน . บทวา ควรรูแ จง คือ ธรรมชาตทิ ี่รแู จง . เปน ช่อื ของนพิ พาน.นพิ พานนนั้ แสดงไมไ ด เพราะไมม ีการแสดง. นิพพานชื่อวา ไมม ที สี่ ดุ เพราะไมมเี กิด ไมมเี ส่ือม ไมมีความเปนอยางอน่ื ของผตู ้ังอย.ู บทวา แจมใส คือน้ําสะอาด. นยั วา บทนี้เปน ชอื่ ของทา น้ํา. เปนท่นี ้ําไหล ทานทาํ ป อกั ษรใหเปน ภ อักษร ทาขา มของนิพพานน้ันมีอยทู ุกแหง เพราะฉะนั้นจงึ ช่ือมีทาขา มทุกแหง ชนทั้งหลายประสงคจ ะขา มจากท่ีใด ๆ ของมหาสมทุ ร มที า เปนเสนทางที่จะไมมที า ไมมี ฉนั ใด ชนท้ังหลายประสงคจะขา มใหถ งึ พระนิพพานโดยอุบายอนั ใดในกรรมฐาน ๓๘ กรรมฐานเปน ทา เปนเสนทาง กรรมฐานจะไมใชท าของนพิ พานไมมี ฉันน้นั . เพราะเหตนุ นั้ ทา นจึงกลา ววา มที า ขา มทกุ แหง. ในบทวา อาโปธาตุนี้ ทา นอาศัยนิพพาน จึงกลาวทงั้ หมดน้นัโดยนัยเปนตน วา อาโปธาตุ ธรรมชาตทิ ีม่ ใี จครอง ยอ มดบั โดยไมม ีเหลอืคอื เปน ไปไมได พระผมู พี ระภาคเจา เม่อื จะทรงแสดง อุบายดบั ไมมเี หลือของธรรมชาตินัน้ จงึ ตรสั วา เพราะวญิ ญาณดับ นามและรปู นนั้ ยอมดับไมม ีเหลอื ในธรรมชาตนิ ้ี ดงั น.ี้ บทวา วิญญาณ คอื วญิ ญาณเดิมบา งวญิ ญาณทีป่ รุงแตง บา ง. จริงอยู เพราะวญิ ญาณเดมิ ดับ นาม และรปู นน้ัยอ มดบั ไมม ีเหลอื ในธรรมชาตนิ ้ี คือวา ยอ มถึงความไมม ีบัญญัตเิ หมอื น

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 243เปลวประทีปทถี่ กู เผาหมดไป ฉะนน้ั เพราะไมเ กิดขึ้น และดบั ไปโดยไมเ หลือแหง วิญญาณท่ปี รงุ แตง นามและรูป จึงดับโดยไมเกดิ ขน้ึ เหมือนอยา งที่ทานกลา วไววา เพราะดบั วญิ ญาณทป่ี รุงแตงดว ยโสดาปตติมัคคญาณ นามและรปู ท่ีพงึ เกดิ ในสงั สารวัฏอนั ไมมเี บ้ืองตน และท่ีสุด เวน ภพทงั้ ๗ ยอมดบัโดยไมมีเหลอื ในธรรมชาติน้ี ดงั น.ี้ ทง้ั หมดพงึ ทราบตามนยั ท่ที านกลา วไวแลว ในมหานิเทศน้ันแล. สวนทีเ่ หลือ ในทุก ๆ บทงา ยทงั้ นั้น. อรรถกถาเกวัฏฏสตู รแหงอรรถกถาทีฆนกิ าย ชือ่ สมุ งั คลวิลาสนิ จี บแลว ดวยประการฉะน้ี. สตู รท่ี ๑๑ จบ

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 244 ๑๒ โลหจิ จสูตร [๓๕๑] ขา พเจา ไดสดบั มาอยา งนี้ สมัยหนงึ่ พระผูม พี ระภาคเจา เสดจ็ จารกิ ไปในแควนโกศล พรอ มดว ยภกิ ษหุ มูใหญ ประมาณ ๕๐๐ รปู ประทบั อยูบานสาลวติกา กส็ มัยนนั้โลหิจจพราหมณ ครอบครองบา น สาลวตกิ า ซง่ึ มปี ระชาชนคบั คงั่ มหี ญาไม และนาํ้ สมบูรณ อดุ มไปดว ยธัญญาหาร ซึ่งเปนราชทรพั ย ท่พี ระเจา -ปเสนทโิ กศล พระราชทาน เปน บําเหนจ็ เดด็ ขาด. [๓๕๒] ก็สมยั น้ัน ความเห็นอันลามก เห็นปานน้ีเกดิ ข้ึน แกโลหจิ จพราหมณ วา สมณะกด็ ี พราหมณกด็ ีในโลกนี้ ควรบรรลุกศุ ลธรรมครัน้ บรรลุกศุ ลธรรมแลว ไมค วรบอกผูอ ่นื เพราะผอู ืน่ จกั ทําอะไรใหแ กผอู ืน่ ได บุคคลตดั เครอ่ื งจองจําเกา ไดแลว พึงสรา งเคร่อื งจองจําอนื่ ใหมฉันใด ขอ อปุ มยั กฉ็ นั นั้น เรากลา วธรรมคอื ความโลภวา เปน ธรรมลามกเพราะผูอ่ืนจกั ทาํ อะไรแกผ ูอ่นื ได ดังน้.ี โลหิจจพราหมณ ไดยนิ มาวา พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล เสดจ็ จารกิ ไปไนแควนโกศล พรอมดวยภกิ ษุหมใู หญประมาณ ๕๐๐ รปู เสรจ็ ถงึ บานสาลวติกาแลว ก็กิตติศพั ทอ นั งามของพระโคดมผูเจรญิ นัน้ ไดแพรห ลายไปอยางนี้วา แมเ พราะเหตนุ ี้ พระผูม-ีพระภาคเจา พระองคน้ัน เปนผูต รัสรชู อบดว ยพระองคเ อง ถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดแี ลว ทรงรูแจง โลก เปน สารถีฝก คนทคี่ วรฝก ไมมีผอู ่นื ยิ่งกวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย เปน ผตู ืน่ แลว เปน












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook