Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือสวดมนต์วัดป่าอุดมธรรมมงคล

หนังสือสวดมนต์วัดป่าอุดมธรรมมงคล

Description: หนังสือสวดมนต์วัดป่าอุดมธรรมมงคล

Search

Read the Text Version

จัดพมิ พเนอ่ื งในงานทําบญุ ฉลองพิพธิ ภัณฑอัฐบรข� าร พระครอู ุโฆษธรรมประกาศ (หลวงปสู† ําลี ปภากโร) วัดป†าอดุ มธรรมมงคล บาŒ นโพนนอŒ ย ตาํ บลบาŒ นโพน อําเภอโพนนาแกวŒ จงั หวัดสกลนคร

ประวัติพระธาตุเชงิ ชมุ µÒÁÍØÃ§Ñ ¤¹Ô·Ò¹ ¡ÅÒ‹ ÇÇÒ‹ ÇÑ´¾ÃиҵàØ ªÔ§ªØÁ ໚¹Ê¶Ò¹·Õè¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ à¤Â àÊ´ç¨ÁÒâ»Ã´ªÒÇàÁ×ͧ˹ͧËÒÃËÅǧ áÅСŋÒÇÇ‹ÒºÃÔàdz¹éÕ໚¹·èÕºÃèؾÃкҷ ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ ô ¾ÃÐͧ¤ ¤×Í ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ·Ã§¾ÃйÒÁÇ‹Ò ¡Ø¡Êѹ⸠⡹ҤÁâ¹ ¡ÑÊÊÐâ» áÅÐ⤵ÁÐ «èÖ§¡‹Í¹¨Ðàʴ稴Ѻ¢Ñ¹¸»ÃÔ¹Ô¾¾Ò¹ µŒÍ§ä» »ÃзºÑ Ã;ÃкҷäÇŒ·è¹Õ ¹èÑ ·¡Ø ¾ÃÐͧ¤ ¹ÑºÇÒ‹ ¾Ãо·Ø ¸à¨ŒÒ¾ÃйÒÁÇ‹Ò ÈÃÍÕ ÒÃÂÔ - àÁµµÃÑ ͧ¤·èÕ õ ã¹À·Ñ ¡»Ñ »Š¹éÕ ¡¨ç лÃзѺÃ;Ãкҷänjઋ¹¡¹Ñ ´ŒÇÂà˵¹Ø Õé ¨Ö§¶×͡ѹNjÒÇÑ´¾ÃиҵØàªÔ§ªØÁ ¨Ö§à»š¹ÇÑ´áá·Õè¾ÃÐÂÒÊØÇÃóÀÔ§¤ÒÃÐ ¾Ãйҧ ¹ÒÃÒÂ³à ¨§àǧ áÅÐà¨ÒŒ ¤Òí á´§ ͹ªØ Ò¾ÃÐÂÒÊÇÔ ÃóÀ§Ô ¤Òà ÁÒÊÃÒŒ §Ç´Ñ ¢¹Öé àÁÍè× ÂÒŒ  ÃÒª¸Ò¹Õ ¨Ò¡ºÃÔàdz«‹§¹íéÒ¾ØáÅз‹Ò¹Ò§ÍÒ½˜›§µÃ§¢ŒÒÁ˹ͧËÒà àÁè×ͤÃÑé§Ë¹Í§ ËÒÃÅÁ‹ à¾ÃÒСÒáÃзÒí ¢Í§¾ÞÒ¹Ò¤ ÍÂÒ‹ §äáçµÒÁ ¨Ò¡ËÅÑ¡°Ò¹àÊÁÒË¹Ô ·Õ¾è ºÍ‹ÙÃͺ æ Ç´Ñ ¾ÃиҵØàªÔ§ªÁØ áÅÐËÅÑ¡°Ò¹á·‹¹ºÙªÒÃÙ»à¤Òþ µÅÍ´º¹ÈÔÅÒ¨ÒÃÖ¡µÑÇÍÑ¡ÉâÍÁ㹾ط¸ÈµÇÃÃÉ ·èÕ ñõ - ñö «§Öè Í‹ٵ´Ô ¼¹Ñ§·Ò§à¢ŒÒÀÒÂã¹ÍâØ Á§¤¾ ÃиҵØàª§Ô ªØÁ (ªé¹Ñ ã¹) «è§Ö ¡‹Í ໹š ¾ÃиҵËØ ÃÍ× Ê¶»Ù ¢¹Ò´àÅ¡ç ËÅ¡Ñ °Ò¹àËÅÒ‹ ¹ºéÕ §‹ ºÍ¡ÇÒ‹ ºÃàÔ Ç³Ç´Ñ ¾ÃиҵàØ ª§Ô ªÁØ ä´ŒÁÕªØÁª¹à¡Ô´¢éÖ¹µ‹Íà¹×èͧ¡Ñ¹ÁÒ â´Â੾ÒÐÈÔÅÒ¨ÒÃÖ¡·Õè¡Ãͺ»ÃеٷҧࢌһÃÒ§¤ ¢ÍÁËÃ×Íʶ»Ù «§Öè Á¤Õ ÇÒÁ¡ÇŒÒ§ ôù «.Á. ÂÒÇ õò «.Á. à¢Õ¹໹š µÇÑ Í¡Ñ ÉâÍÁ âºÃÒ³ à¹Í×é ¤ÇÒÁ¡ÅÒ‹ Ƕ§Ö º¤Ø ¤Å¨Òí ¹Ç¹Ë¹§èÖ ä´¾Œ Ò¡¹Ñ 仪áéÕ ¨§á¡â‹ ¢Å޾ŠËÇÑ Ë¹ÒŒ ËÁº‹Ù ÒŒ ¹ ¾ÃйÃØ ¾àÔ ¹ÒµÒÁ¤Òí á¹Ð¹Òí ¢Í§¡Òí áÊ´§ÇÒ‹ ·´èÕ ¹Ô ·ÃÕè ÒÉ®ÃËÁº‹Ù ÒŒ ¹¾Ð¹ÃØ ¹àÔ ¹Ò ÁͺãË⌠ºÅÞÙ ¾Å¹ÁÕé Õ ò ÊÇ‹ ¹ ÊÇ‹ ¹Ë¹§Öè ໹š ·´èÕ ¹Ô ã¹ËÅ¡Ñ à¢µ ãË¢Œ ¹éÖ ¡ºÑ ËÇÑ Ë¹ÒŒ ËÁº‹Ù ÒŒ ¹ ¾Ð¹ÃØ ¾Ôà¹Ò ¹Í¡¨Ò¡àÃ×Íè §¡ÒÃÁͺ·Õ´è Ô¹áÅÇŒ ¢ÍŒ ¤ÇÒÁµÍ¹·ÒŒ ¢ͧ¨ÒÃÖ¡ä´Œ¡Å‹ÒÇ ¶Ö§¡ÒáÑÅ»¹Ò¢Í§â¢Å޾ŷèäÕ ´Œ Í·Ø ÈÔ µ¹ Êè§Ô ¢Í§·Õè¹Ò á´‹à·ÇʶҹáÅÐʧ¡ÃÒ¹µ ¡Å‹ÒÇâ´ÂÊÃ»Ø ã¹ªÇ‹ §¾·Ø ¸ÈµÇÃÃÉ·Õè ñõ - ñö ºÃÔàÇ³Ç´Ñ ¾ÃиҵØàª§Ô ªØÁ ¤§¶Ù¡»¡¤Ãͧ â´Â¤¹¡ÅØ‹Á¢ÍÁ·¾èÕ Ò¡¹Ñ ÊÌҧÇÑ´ â´ÂÍ·Ø ÈÔ ·´èÕ Ô¹ ºÃÇÔ Òà ¢ÒŒ ·ÒÊ ãËŒ´ÙáÅÇÑ´ ËÃ×ÍÈÒʹʶҹáË‹§¹Õé «èÖ§ÍҨ໚¹ÈÒʹʶҹµÒÁ¤µÔ¾ÃÒËÁ³ËÃ×Í ¾Ø·¸ÁËÒÂÒ¹¡äç ´Œ



ประวตั ิหลวงปู่มั่น ภรู ิทตโฺ ต ¹ÒÁà´ÁÔ Á¹èÑ á¡‹¹á¡ÇŒ à¡´Ô Çѹ¾ÄËÊÑ º´Õ·èÕ òð Á¡ÃÒ¤Á ¾.È. òôñó ³ ºÒŒ ¹¤íÒº§ µíҺŠʧÂÒ§ ÍÒí àÀÍ⢧à¨ÂÕ Á (»˜¨¨ØºÑ¹¤Í× ÍíÒàÀÍÈÃàÕ Á×ͧãËÁ)‹ ¨Ñ§ËÇ´Ñ ÍغÅÃÒª¸Ò¹Õ ºÔ´Òªè×Í ¹Ò¤íÒ´ŒÇ§ á¡‹¹á¡ŒÇ áÅÐÁÒôҪ×èÍ ¹Ò§¨Ñ¹·Ã ᡹‹ á¡ŒÇ ºÃþªÒ àÁèÍ× ·‹Ò¹ÍÒÂØä´Œ ñõ »‚ ³ Ç´Ñ ºŒÒ¹¤Òí º§ àÁè×ͺǪ䴌 ò »‚ ºÔ´Ò ¢ÍÃÍŒ §ãËÅŒ ÒÊ¡Ô ¢Òà¾×èͪNj ¡Òçҹ·Ò§ºŒÒ¹ Í»Ø ÊÁº· àÁè×Í·Ò‹ ¹ÍÒÂäØ ´Œ òó »‚ ä´Œà¢ÒŒ ¾Ô¸ÍÕ Ø»ÊÁº· ³ Ç´Ñ àÅÕº ÍíÒàÀÍàÁÍ× § ¨Ñ§ËÇÑ´ÍºØ ÅÃÒª¸Ò¹Õ ã¹Ç¹Ñ ·Õè ñò Á¶Ô ¹Ø Ò¹ ¾.È. òôóö â´ÂÁÕ ¾ÃÐÍÃÔ¡ÃÐÇÕ (ÍÍ‹ ¹ ¸ÁÚÁá¢Ú âÔ µ) ໚¹¾ÃÐÍØ»ª˜ ¬Ò ¾ÃФÃÙÊÕ·Ò ªÂàÊ⹠໹š ¾ÃСÃÃÁÇÒ¨Ò¨ÒÏ ¾ÃФÃÙ»ÃШ¡Ñ É- ÍغŤس (ÊÂ‹Ø Ò³ÊâÂ) ໹š ¾ÃÐ͹ÊØ ÒǹҨÒÏ ä´ÃŒ ºÑ ¢¹Ò¹¹ÒÁ ໹š ÀÒÉÒÁ¤¸ÇÒ‹ ÀÃÙ ·Ô µâÚ µ á»ÅÇ‹Ò ¼ŒãÙ ËŒ»Þ˜ ÞÒ ÁóÀÒ¾ àÁÍè× àÇÅÒ ðò.òó ¹. ã¹Ç¹Ñ Èء÷ Õè ññ ¾ÄȨԡÒ¹ ¾.È. òôùò ³ Ç´Ñ »†ÒÊØ·¸ÒÇÒÊ ¨§Ñ ËÇѴʡŹ¤Ã ÊÃÔ ÃÔ ÇÁÍÒÂäØ ´Œ øð »‚ ¾ÃÃÉÒ õö

หลวงป่มู ั่น ภรู ิทตฺโต วดั ป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

ประวัติหลวงปู่ฝน้ั อาจาโร ¹ÒÁà´ÁÔ ½¹œ˜ ÊØÇÃóçȏ à¡´Ô ÇѹÍҷԵ· Õè òð ÊÔ§ËÒ¤Á ¾.È. òôôò µÃ§¡ÑºÇѹ¢¹éÖ ñô ¤íÒè à´Í× ¹ ù »‚¡¹Ø ³ ºÒŒ ¹Á‹Ç§ä¢‹ µíҺžÃÃ³Ò ÍÒí àÀ;Ãóҹ¤Ô Á ¨§Ñ ËÇ´Ñ Ê¡Å¹¤Ã ໚¹ºµØ âͧà¨ÒŒ äªÂ¡ÁØ Òà (àÁŒÒ) áÅйҧ¹ŒÂØ ÊÇØ Ãó礏 ºÃþªÒ »ÃÐÁÒ³ ¾.È. òôöñ µÃ§¡ºÑ »‚ÁÐàÁÕ ÍÒÂØ ñù »‚ ·ÕÇè ´Ñ â¾¹·Í§ ºŒÒ¹ºÐ·Í§ ÍíÒàÀ;ÃóҹԤÁ ¨Ñ§ËÇѴʡŹ¤Ã ÁÕ·‹Ò¹ÍÒÞÒ ¾ÃФÃÙ¸ÃÃÁ ໹š ¾ÃÐÍØ»ª˜ ¬Ò ÍØ»ÊÁº· ¾.È. òôöò ÍÒÂØ òð »‚ ³ Ç´Ñ Ê·Ô ¸ÔºÑ§¤Á ºŒÒ¹ä΋ ÍíÒàÀ;ÃóҹԤÁ ¨Ñ§ËÇ´Ñ Ê¡Å¹¤Ã â´ÂÁ¾Õ ÃФû٠‡Í§ ໚¹¾ÃÐÍØ»˜ª¬Ò ÁóÀÒ¾ Çѹ·èÕ ô Á¡ÃÒ¤Á ¾.È. òõòð ³ Ç´Ñ »†ÒÍØ´ÁÊÁ¾Ã ÍíÒàÀ;Ãóҹ¤Ô Á ¨Ñ§ËÇ´Ñ Ê¡Å¹¤Ã ÊÃÔ ÔÃÇÁÍÒÂØä´Œ ÷÷ »‚ ô à´×͹ ñõ Çѹ ¾ÃÃÉÒ õò

หลวงปฝู่ ้นั อาจาโร วดั ปา่ อดุ มสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ประวตั ิหลวงปกู่ งมา จริ ปุโ ¹ÒÁà´ÔÁ ¡§ÁÒ Ç§Èà¤ÃÍ× Èà à¡Ô´ Ç¹Ñ ·èÕ ö ¾ÄȨ¡Ô Ò¹ ¾.È. òôôó µÃ§¡ºÑ Çѹ¢é¹Ö ñõ ¤Òèí à´×͹ ñò »ª‚ Ç´ ³ ºÒŒ ¹â¤¡ µÒí ºÅµÍ§â¢º ÍíÒàÀÍ⤡ÈÃÊÕ ¾Ø Ãó ¨Ñ§ËÇѴʡŹ¤Ã ໹š ºµØ âͧ¹Òº‹Ù áÅйҧ¹ÇŠǧȏà¤Ã×ÍÈà ºÃþªÒ - Í»Ø ÊÁº· ¾.È. òôöø ÇÑ´ºŒÒ¹µÍ§â¢º µíҺŵͧ⢺ ¨§Ñ ËÇѴʡŹ¤Ã â´Â ÁÕ¾ÃÐÍÒ¨ÒÏⷠ໚¹¾ÃÐÍØ»˜ª¬Ò ÁóÀÒ¾ Çѹ·Õè ñ÷ µÅØ Ò¤Á ¾.È. òõðõ ÊÃÔ ÃÔ ÇÁÍÒÂØä´Œ öñ »‚ ññ à´Í× ¹ ññ Çѹ

หลวงปกู† งมา จร� ปุโ วดั ดอยธรรมเจดยี ์ จังหวดั สกลนคร

ประวตั หิ ลวงปแู่ บน ธนากโร ªÒµÀÔ ÙÁÔ “¾ÃÐÀÒǹÒÇÊÔ ·Ø ¸ÔÞÒ³à¶Ã” ËÃÍ× “ËÅǧ¾‹Íẹ ¸¹Ò¡âÔ á˧‹ ÇÑ´ ´Í¸ÃÃÁ਴Տ ¨.ʡŹ¤Ã Á¹Õ ÒÁà´ÁÔ ÇÒ‹ ÊÇØ Ãó ¡Í§¨¹Ô ´Ò à¡Ô´àÁ×Íè Çѹ·èÕ ò ¡Ã¡®Ò¤Á ¾·Ø ¸È¡Ñ ÃÒª òô÷ñ µÃ§¡ºÑ ÇѹàÊÒÏ ¢Ö¹é ñô ¤èíÒ à´Í× ¹ ø »Á‚ Ðâç ³ ºŒÒ¹Ë¹Í§ºÑÇ µíÒºÅ˹ͧºÑÇ ÍíÒàÀÍàÁ×ͧ ¨Ñ§ËÇÑ´¨Ñ¹·ºØÃÕ âÂÁºÔ´Ò- âÂÁÁÒôҪÍè× ¹ÒÂàÅ¡ç áÅйҧËÅÁÔ ¡Í§¨¹Ô ´Ò ¤Ãͺ¤ÃÑÇ»ÃСͺÍÒª¾Õ ·íÒÊǹ ·íÒäË ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒàºÍé× §µ¹Œ ¤Ãéѹ¾Í¶Ö§à¡³±à¢ŒÒâçàÃÕ¹áÅŒÇ âÂÁºÔ´Ò-âÂÁÁÒôÒ䴌ʋ§ãËŒ·‹Ò¹à¢ŒÒ È¡Ö ÉÒã¹âçàÃÕ¹»ÃШÒí ËÁºÙ‹ ŒÒ¹ ¨¹¨º»ÃжÁÈÖ¡ÉÒ»‚·èÕ ô ¤ÃÑ鹨º¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒáÅÇŒ ·Ò‹ ¹¡çä´ŒªÇ‹ ºԴÒÁÒôҷíÒÊǹ·Òí äË à¾ÃÒÐã¹à¢µ¨Ñ§ËÇÑ´¨Ñ¹·ºÃØ Õ¹Ñé¹ ÍÒª¾Õ ËÅÑ¡ ¤Í× ·Òí Êǹà§ÒÐ Êǹ·àØ ÃÕ¹ ¡ÒÃÍØ»ÊÁº· àÁÍè× ÍÒÂØ òñ »‚ ËÅǧ¾Í‹ ẹ ¸¹Ò¡âà ·Ò‹ ¹ä´àŒ ¢ÒŒ ä»È¡Ö ÉҢ͌ Çѵû¯ºÔ µÑ Ô ¡Ñº ËÅǧ»Ù†¡§ÁÒ ¨ÔûؐÚ␠³ ÇÑ´·ÃÒ§ÒÁ ÍíÒàÀÍàÁ×ͧ ¨Ñ§ËÇÑ´¨Ñ¹·ºØÃÕ «è֧໚¹ÇÑ´»ÃШíÒËÁÙ‹ºŒÒ¹¢Í§·‹Ò¹ ¾Í·ÃÒº¶Ö§¢ŒÍÇѵû¯ÔºÑµÔáÅŒÇ ËÅǧ»Ù†¡§ÁÒ ¨ÔûؐÚ␠¨Ö§ä´Œ¹íÒ·‹Ò¹à¢ŒÒÃѺ¡ÒÃÍØ»ÊÁº·à»š¹¾ÃÐÀÔ¡ÉØã¹·Ò§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò àÁÍè× Çѹ·èÕ òô ¾ÄÉÀÒ¤Á ¾.È. òôùó ³ ÇÑ´à¡ÒеÐà¤Õ¹ µÒí ºÅ˹ͧºÑÇ ÍíÒàÀÍàÁ×ͧ ¨§Ñ ËÇ´Ñ ¨Ñ¹·ºØÃÕ â´ÂÁÕ¾ÃÐÍÁÃâÁÅÕ à»¹š ¾ÃÐÍØ»˜ª¬ÒÂ, ¾ÃФÃÙ¾¾Ô ²Ñ ¹ ¾ÔËÒáÒà ໹š ¾ÃСÃÃÁÇÒ¨Ò¨ÒÏ áÅоÃÐàÁŒÒ ໹š ¾ÃÐ͹ØÊÒǹҨÒÏ

พระภาวนาวิสุทธญิ าณเถร (หลวงปแู่ บน ธนากโร) วดั ดอยธรรมเจดยี ์ จ.สกลนคร เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ของ หลวงปู่สําลี ปภากโร

ประวตั โิ ดยสงั เขป พระครูอโุ ฆษธรรมประกาศ (พระสาํ ลี ปภากโร/แสงวงศ)์ อดีตท่ีปรึกษาเจา้ คณะอาํ เภอเมืองนครพนม (ธรรมยตุ ) ชาติภมู ิ พระครูอุโฆษธรรมประกาศ (พระสําลี ปภากโร) สถานะเดิม สําลี แสงวงศ เกิดเม่ือวันพฤหัสบดี ที่ ๔ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ณ บานเลขที่ ๑ หมูที่ ๖ บานเชียงสือนอย ตําบลบานโพน อําเภอเมืองสกลนคร (ปจจุบันอําเภอโพนนาแกว) จงั หวดั สกลนคร เปน บตุ รของคณุ พอ ดา – คณุ แมก นั หา แสงวงศ มพี น่ี อ งรว มบดิ ามารดา เดียวกนั จาํ นวน ๙ คน คือ ๑. นายสมบรู ณ แสงวงศ ๒. นายทองพูน แสงวงศ ๓. นายโสภณ แสงวงศ ๔. หลวงปสู ําลี ปภากโร (แสงวงศ) ๕. นายคําศรี แสงวงศ ๖. นายมีชัย แสงวงศ ๗. นายบัญชา แสงวงศ ๘. นายเกษม แสงวงศ ๙. นางอุน แกว เหลาสทิ ธ์ิ ปฐมวัย ครอบครัวของหลวงปูมีอาชีพทํานา หลวงปูไดชวยเหลือครอบครัว ทํานา เลย้ี งสัตว และดูแลนอ ง ๆ ประวัติการศกึ ษา - จบการศึกษาช้ันประถมศึกษาปที่ ๔ จากโรงเรียนบานโพนวัฒนาวิทยา ตาํ บลบานโพน อาํ เภอเมืองสกลนคร (ปจจุบัน อาํ เภอโพนนาแกว) จังหวดั สกลนคร - จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๓ จากโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา ท่ี จงั หวดั อดุ รธานี ดว ยโยมบดิ า มารดาและยงั มคี วามเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา เวลาทา น ไปวดั มกั จะพาหลวงปไู ปวดั ดว ยทกุ ครงั้ ทาํ ใหท า นไดร บั ความคนุ เคยในวดั วาอารามตา ง ๆ และคนุ เคยในพระสงฆ ตลอดจนมคี วามเล่อื มใสในหลักธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา

เหตใุ หไ ดอ อกบวช เมื่อหลวงปูอายุได ๑๙ ป ไดบรรพชากับพระอาจารยแกว บานโนนกุง ตําบล บานโพน อําเภอเมืองสกลนคร (ปจจุบัน อําเภอโพนนาแกว) จังหวัดสกลนคร การบวชเณรคร้งั แรกเพ่ือเปนกองบวชอทุ ศิ สวนกศุ ลใหญ าตพิ นี่ อ งทล่ี วงลบั ไปแลว - บวชพระ/ พระอปุ ช ฌาย แกว วัดศรีรัตนโนนกงุ (มหานิกาย) - บวชพระ(ธรรมยุติ) เมอื่ วันท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ณ วดั ศรโี พนเมือง อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยมีพระวิบูลธรรมภาณเปนพระอุปชฌาย พระอาจารย แบน ธนากโร เปนพระกรรมวาจาจารย พระสุวธน ธนวฑโฒ เปนพระอนสุ าวนาจารย ไดรับการอบรม ฟงเทศนฟงธรรมจากครูบาอาจารย (โยมบิดา มารดาของหลวงปูเปน พระอาจารยกงมา) ปฏปิ ทา-จริยวตั ร หลวงปูเปนพระเถระท่ีมีศีลาจารวัตรนาเล่ือมใส บําเพ็ญประโยชนตอตนเอง และสวนรวมมานาน หลวงปูไดสรางภิกษุ สามเณรเปนศาสนทายาทเปนกําลังแก พระศาสนาไวมาก หลวงปูเปนพระเถระท่ีนาเคารพนับถือผูหนึ่ง เปนพระนักเสียสละ มีความเมตตาสูง ไมถือตัว เปนกันเองกับทุกคน พูดจาดวยความย้ิมแยมแจมใส ผูเขา พบปะสนทนากับทานตางก็สบายใจหลวงปูเปนพระท่ีมีตบะบารมี เพราะทานเครงครัด ในพระธรรมวนิ ยั และเปน ผมู เี มตตาสงู ตอ ทกุ คน หลวงปมู คี วามกตญั ยู ง่ิ ตอ บดิ ามารดา และครูบาอาจารย ดานการปกครอง - ป พ.ศ. ๒๕๒๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ไดรับแตงตั้ง เปน เจาอาวาสวัดปา ศรัทธาราม บ.ไผล อ ม ต.อาจสามารถ อ.เมอื ง จ.นครพนม - ป พ.ศ. ๒๕๒๖ วันท่ี ๑ มิถุนายน ไดร บั แตงตั้ง เปน เจาคณะตาํ บลในเมือง เขต ๑ (ธรรมยุต) - ป พ.ศ. ๒๕๒๖ วนั ที่ ๑๐ มกราคม ไดรับแตงต้งั เปน เจาคณะอาํ เภอเมอื ง ปลาปาก-ทาอุเทน (ธรรมยุต) อ.เมอื ง จ.นครพนม - ปพ.ศ. ๒๕๓๖ เปน กรรมการสนามหลวงแผนกธรรม (เปนกรรมการ ควบคุมการสอบนกั ธรรม)

- ป พ.ศ. ๒๕๕๖ วันท่ี ๒๐ กันยายน ไดรบั แตงตงั้ เปนท่ปี รึกษาเจาคณะอาํ เภอ เมอื งนครพนม (ธรรมยุต) สมณะศักด์ิ ปพ .ศ. ๒๕๓๑ วนั ที่ ๕ ธนั วาคม ไดรับแตงตงั้ เปนพระครูสญั ญาบัตร ชน้ั ตรี ปพ .ศ. ๒๕๓๖ วนั ที่ ๕ ธันวาคม ไดรับแตงตง้ั เปน พระครูสัญญาบัตร ช้ันโท ปพ .ศ. ๒๕๔๑ วันที่ ๕ ธันวาคม ไดรับแตง ตัง้ เปนพระครูสญั ญาบัตร ชน้ั พเิ ศษ หลกั สําคญั ในการเผยแผ ในการทํางานดานเผยแผน้ัน หลวงปูยึดหลักวา “การสอนท่ีดีท่ีสุดก็คือ การทํา แบบอยางใหเห็น” ดังนั้นหลวงปูจึงเปนแบบอยางที่ดีแกพระเณรในทุกๆเร่ือง ชีวิตของ หลวงปเู ปน ตวั อยา งของบคุ คลทพ่ี ฒั นาตนไปสคู วามสาํ เรจ็ และความยงิ่ ใหญใ นชวี ติ ไดก ็ เพราะงาน ทั้งน้เี พราะหลวงปูเปน ผมู ีความจรงิ จังในชีวิตมาก ทง้ั เรื่องการศึกษาเลา เรียน และการปฏบิ ตั ธิ รรม ประวตั ิการเจ็บปว ย หลวงปูมีโรคประจําตัว คือโรคเบาหวาน ตอนแรกหลวงปูก็ไปรักษาและกินยา ตามแพทยส่ัง แตวา อนิจจาของไมเท่ียงแทแนนอน ยิ่งกินยาก็ยิ่งทําใหหลวงปูแพยา ทานก็เลยตดั สนิ ใจไมก นิ ยาตามหมอสง่ั ตอ มา ในชวงป พ.ศ.๒๕๕๐ มีอาการออนเพลีย แขนขาออนแรง แนนหนาอก ญาติ พนี่ อ งไดพ าไปตรวจรา งกายทโ่ี รงพยาบาลนครพนมและโรงพยาบาลสรรพสทิ ธปิ ระสงค อุบลราชธานี แพทยวิเคราะหวาทานปวยเปนโรคหัวใจและความดันโลหิตและเปน อมั พฤกษซ กี ขวาของรางกาย ในชวงป พ.ศ. ๒๕๕๔ ญาติโยมไดนิมนตหลวงปูมาจําพรรษาที่วัดปา อดุ มธรรมมงคลเพ่ือสะดวกในการดูแลรักษาตัวหลวงปู ในชวงป พ.ศ. ๒๕๖๑ อาการของหลวงปูไดทรุดลงและจนกระท้ังวันท่ี ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๕.๐๐ น. หลวงปูก็ไดละสังขารดวยการน่ังสมาธิจากไป อยางสงบ สริ อิ ายรุ วม ๗๓ ป ๕๓ พรรษา

















ÍÍออ¤ยคÁÚâมâÚ ¤ค¹นËËÚµÚตÁ(มÁÔ(ิม¾ÊพสÒาÃÁÚรมÚÐะÔ àÇิ เวÁมÒâาâŨลจÒ¡ªากชÍอÒÊาส͵ÍѹตนัÚÊสÚÒÔ»ÒิปÊÊÃรÀÐÀะ¡ÇÔกÔÇÒÒาÒȨศ¹à¨นเª¤ชÒคµÒต¯Ç¯ว¶Ú ÚถâÒâา·Ô€ิทÁ€มÒาÊส¹นàÙ§เÔÊูงิสÊส¯»¯ป´Ø ดุâعâ)ุน€)€¾ËพËÚÀÁÀÚมâÊâสÇวÁÚ ÚมÔ ิ ในโลกนี้ เราเปนยอด เปน ผูเจริญทสี่ ุด เปนผูป ระเสริฐทีส่ ุด การเกดิ ของเรานเ้ี ปน ครัง้ สุดทาใยนโภลพกในห้ี มเรตาอเปไนปยไมอมดี เปนผูเ จริญท่สี ดุ เปนผปู ระเสรฐิ ที่สุด การเกิดของเรานีเ้ ปน ครง้ั สุดทาย ภพใหมตอ ไปไมมี ...ꬄ ©ÃÂÔ Í¾Ñ ÀÙµ¸ÃÃÁÊٵà ...อัจ©ริยอพั Àูตธรรมสตู ร

ค‹ูมือทาํ วัตรสวดมนตเ ชาŒ - เยน็ แปล วัดปา† อุดมธรรมมงคล บาŒ นโพนนอŒ ย ตําบลบาŒ นโพน อําเภอโพนนาแกวŒ จงั หวัดสกลนคร

ทร่ี ะลึกงานทําบุญฉลองพิพิธภัณฑอ ัฐบร�ขาร พระครูอุโฆษธรรมประกาศ (หลวงป†สู ําลี ปภากโร) วัดป†าอุดมธรรมมงคล เมษายน ๒๕๖๒ จํานวนพิมพ ๕๐๐ เล‹ม ดาํ เนนิ การจดั พิมพโ ดย สาละพมิ พการ ๙/๖๐๙ ซอยกระท‹ุมลมŒ ๖ ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตําบลกระทุม‹ ลŒม อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐๘๙-๘๒๙-๘๒๒๒, ๐๖๑-๒๓๒-๕๙๒๘ แฟกซ ๐-๒๔๒๙๒๔๕๒ email:[email protected]

อนุโมทนากถา ในสมัยพุทธกาล “บาลีภาษา” ในชมพูทวีป คนทั่วไปนิยมใชพูดกันมาก โดยเฉพาะใน แควนมคธอันเปนแควนที่มีอาณาจักรกวางใหญ มีอํานาจมากในสมัยนั้น จึงไดเรียกภาษานี้วา “มคธภาษา” และมคธภาษานี้นับเปนภาษาที่มีระเบียบแบบแผนดีมาก จึงเรียกอีกอยางหน่ึงวา “ตนั ติภาษา” สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา และพทุ ธสาวกในสมยั นนั้ ทรงใชภ าษานเี้ ปน ภาษาหลกั ในการ ประกาศเผยแผพระศาสนา ภาษามคธน้ีจึงนับเปนภาษาที่สําคัญทางพระพุทธศาสนากระท่ังถึง ปจจบุ นั เพราะเปนภาษาทใี่ ชจ ารึกในพระไตรปฎกและคัมภรี ตาง ๆ เพราะเหตุนี้เอง ชาวพุทธต้ังแตอดีตกาลจนถึงปจจุบันกาลเม่ือรําลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จึงมีการสวดมนตสาธยายบทแหงธรรมเปนภาษามคธ นับเปนการ สืบทอดมรดกธรรม มรดกภาษาของพระบรมครผู ูเปน พระศาสดาองคเอกของโลก ใหค งอยูตราบ นานเทานาน วัดปา อดุ มธรรมมงคล ไดจัดพมิ พหนังสอื คมู ือสวดมนต ทาํ วตั รเชา เยน็ แปล ขน้ึ เพื่อให พระภิกษสุ ามเณร อบุ าสก อบุ าสิกาตลอดถึงผสู นใจใครใ นบทแหง ธรรมมีไวเพื่อเปนประโยชนใน การทองบนสาธยายประจําวัน รําลึกถึงพระคุณพระรัตนตรัยอันไดแกพระคุณของพระพุทธเจา พระธรรมและพระสงฆ ซึ่งเปน สรณะทพ่ี งึ่ อันอุดมมงคลสงู สดุ ของชาวพทุ ธ และเพือ่ กลอมเกลา จิตใจของตนเองใหม ีความสงบสขุ รม เย็น อนั เปนยอดพงึ ปรารถนาของทกุ ๆ ทาน ทางวดั ฯ จึงขออนุโมทนาในกศุ ลจรยิ ากับผรู วมขวนขวายเสียสละกาํ ลงั กายกาํ ลงั ทรัพยใ น การจัดพิมพหนังสือทุก ๆ ทาน ขออํานาจคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดถึงคุณงามความดีทั้งหลาย ทงั้ ปวง จงปกปก ษร กั ษาคมุ ครองทา นผมู สี ว นในการสรา งหนงั สอื สวดมนตท า นผสู วดอา นสาธยาย บทธรรมโดยเคารพ ตลอดถงึ สรรพสตั วท้งั หลายทุกหมเู หลา ผูยังเวียนวา ยในสังสารวฏั นี้ หากได รบั รู รบั เห็น หรือแมไดยินเสยี งทองบน สาธยายบทธรรมนี้ จงเปน ผมู ีจิตยินดีอนุโมทนา พนจาก ความทุกขยากลําบากท้ังปวง และขอใหทุกทานจงเปนผูมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนะสาร คุณสารสมบตั ิ เปน ผมู ีอัธยาศยั ดีงาม เปน ผูเปน สัมมาทฏิ ฐิ พึงพบแตก ัลยาณมิตรดีงาม และจงเปน ผเู จรญิ รงุ เรอื งไพบลู ยใ นชวี ติ ไดด วงตาเหน็ ธรรมขององคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ท่ี ทรงตรัสไวด ีแลว ตราบเขา สูพระนิพพานโดยท่วั หนา กนั เทอญฯ ขออนุโมทนาสาธกุ าร วดั ปา อดุ มธรรมมงคล ๖-๗ เดอื น เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒

¡ÒÃÊÇ´ÍÍ¡àÊÕ§ã¹ÀÒÉÒÁ¤¸ (ºÒÅÕ) ตวั ท ออกเสียงเปน ด ตัว พ ออกเสยี งเปน บ ตวั ช ออกเสียงเปน จฺย (จ ควบ ย) ตวั ค ออกเสียงเปน กฺง (ก ควบ ง) ตวั  ออกเสยี งเปน ย ขน้ึ นาสิก (จมูก) หรือเพดานปาก ตวั ฏ ออกเสยี งเปน ต ขนึ้ นาสิก (จมกู ) หรอื เพดานปาก ตวั  ออกเสียงเปน ถ ขน้ึ นาสิก (จมูก) หรือเพดานปาก ตัว ฑ ออกเสยี งเปน ด ขึ้นนาสกิ (จมกู ) หรอื เพดานปาก ตวั ณ ออกเสียงเปน น ขึ้นนาสิก (จมูก) หรือเพดานปาก ตัว ฬ ออกเสียงเปน ล ขน้ึ นาสกิ (จมูก) หรอื เพดานปาก ตัว ฆ ออกเสียงเปน ค กองกระเทือนในลําคอ ตัว ฌ ออกเสยี งเปน ช กอ งกระเทือนในลาํ คอ ตัว ธ ออกเสยี งเปน ท กองกระเทือนในลําคอ ตัว ภ ออกเสียงเปน พ กองกระเทือนในลาํ คอ ตัว ฒ ออกเสียงเปน ท กองกระเทอื นในลําคอและขึ้นนาสิก (ตวั ห ออกเสียงเปน ฮ) ในภาษาบาลนี ีไ้ มมสี ระ เอย จะตอ งออกเสียงเปนเสียง เอ กบั ไอ ควบกนั (เสยี ง เอ สะกดดว ยตัว ย) เชน อาหุเนยโย เปน อาหไุ นยโย, หรือบางศัพท เชน ปาหเุ นยโย เปน ปาหุไนยโย, ทกั ขเิ ณยโย เปน ทักขไิ ณยโย สว๎ ากขาโต ใหออกเสียง สะ เพยี งคร่งึ เสยี ง คือออกเสยี ง สะ เรว็ และเบา อพั ย๎ าปช โฌ ใหออกเสยี ง พะ เพยี งครง่ึ เสยี ง คอื ออกเสยี ง พะ เรว็ และเบา กัลย๎ าณัง ใหอ อกเสยี ง ละ เพยี งครึ่งเสยี ง คือออกเสยี ง ละ เร็วและเบา โลกะวิทู ออกเสียงเปน โลกะวดิ ู วนั ทามิ ออกเสียงเปน วนั ดามิ พุทโธ ออกเสียงเปน บดุ โธ สพั เพ ออกเสยี งเปน สพั เบ ฯลฯ เปน ตน

ประโยชน์ของการทา� วัตรสวดมนต์แปล ๑. ทำ� ใหไ้ ดท้ ้ังอรรถรสและธรรมรส หำกได้พจิ ำรณำธรรมไปในขณะสวด ๒. ทำ� ให้ใจสงบไดเ้ รว็ ๓. ทำ� ให้ใจเปน็ กศุ ลได้งำ่ ย ๔. เหมำะสำ� หรบั เตรยี มจติ ก่อนปฏิบัตสิ มำธิภำวนำ ๕. กำรสวดดงั ๆ หำกมผี ไู้ ดย้ นิ และนอ้ มใจตำม ผนู้ น้ั กพ็ ลอยไดร้ บั ประโยชนไ์ ปดว้ ย ๖. หำกสวดเป็นประจ�ำ นับเป็นกำรบ�ำเพ็ญ ศีล สมำธิ ปัญญำ อย่ำงมีระเบียบ นับว่ำได้เขำ้ ถึงพระรตั นตรยั เป็นนิจ ๗. นบั เปน็ กำรชว่ ยกนั รกั ษำวฒั นธรรม ทบ่ี รรพบรุ ษุ ของเรำไดป้ ฏบิ ตั มิ ำแลว้ อยำ่ งด ี ใหค้ งเปน็ ประโยชนแ์ ก่สงั คมสืบไป การประเคนของพระ การประเคนของพระ คือกำรถวำยของให้พระได้รับถึงมือส่ิงของที่จะประเคน น้ันต้องเป็นสิ่งของท่ีไม่ขัดกับพระวินัย ของนั้นเป็นของท่ียกคนเดียวได้ไม่ใช่ของหนัก เกนิ ไปหรอื ใหญ่โตจนเกนิ ไป ไมม่ วี ัตถอุ นำมำสอยู่ด้วย พึงน่ังแล้วน�ำของท่ีจะประเคนเข้ำไปให้ใกล้พระผู้รับให้ได้หัตถบำส (คือบ่วงมือ หรือประมำณ ๑ ศอก) แล้วจับของท่ีจะประเคนด้วยมือท้ังสอง ยกของน้ันให้สูงข้ึน เล็กน้อย (หรือพอแมวลอดได้) แล้วน้อมถวำยพระด้วยมือท้ังสอง (ไม่ใช่มือข้ำงเดียว ถวำย) ซึ่งพระผู้รับท่ำนจะย่ืนมือทั้งสองออกมำรับ ในกรณีผู้ประเคนเป็นหญิง พึงวำง สงิ่ ของลงบนผำ้ รบั ประเคนทพี่ ระปรู บั อยขู่ ำ้ งหนำ้ เสรจ็ แลว้ พงึ ไหวห้ รอื กรำบ แลว้ แตก่ รณี

การประนมมือ การประนมมือ คือกำรกระพุ่มมือทั้งสองประนมต้ังไว้ระหว่ำงอก เป็นกำร แสดงควำมเคำรพนอบน้อมในเวลำสวดมนต์หรือเป็นกำรแสดงควำมเคำรพนอบน้อม ในเวลำคฤหัสถ์พูดสนทนำกับพระภิกษุสำมเณร หรือสำมเณร-พระผู้น้อยพูดสนทนำ กบั พระผมู้ ีอำวุโสมำกกว่ำ การกราบพระรัตนตรยั (แบบเบญจางคประดิษฐ)์ กำรกรำบ นิยมกรำบแบบเบญจำงคประดิษฐ์ ซ่ึงประกอบด้วยองค์ ๕ คือ หัวเข่า ๒ ฝ่ามือ ๒ และหน้าผาก ๑ กรำบให้จรดลงแนบกับพ้ืนท้ัง ๕ ส่วน กรำบสำมครั้ง โดยคร้ังที่หนึ่ง ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้ำ กรำบคร้ังที่สอง ให้ระลึกถึง พระธรรม กรำบคร้ังท่ีสำม ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ ในกรณีที่มีผู้กรำบหลำยคน ควรกรำบให้พร้อมเพรียงกันท้ังสำมคร้ัง เพ่ือควำมเป็นระเบียบ โดยให้กรำบตำมผู้น�ำ หรือผูท้ ่นี ั่งอยใู่ นแถวหน้ำสดุ ไมช่ ้ำไม่เรว็ เกินไป กำรกรำบแบบเบญจำงคประดิษฐ์ จะใช้ท่ำน่ังคุกเข่ำ โดยชำยจะน่ังคุกเข่ำ บนเท้ำซ่ึงตั้งชันข้ึน ส่วนหญิงจะนั่งคุกเข่ำบนเท้ำ ซ่ึงวำงรำบไปกับพ้ืน นอกจำกน้ี ชำยและหญิงยังต้ังศีรษะและวำงข้อศอกต่ำงกันในขณะกรำบอีกด้วย โปรดดูและฝึกหัด กรำบแบบเบญจำงคประดษิ ฐใ์ ห้ถกู ตอ้ งสวยงำมได้ตำมรปู หนำ้ ต่อไปน้ี

การเตรยี มกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ จังหวะที่ ๑ ยกมอื ข้นึ ประนมระหว่างอก ท่ำนชำย นั่งคกุ เข่ำ ทำ่ นหญิง นัง่ คุกเขำ่ รำบ (ท่ำเทพบตุ ร) (ทำ่ เทพธิดำ)

จังหวะท่ี ๒ ยกมือประนมขึน้ จรดหน้าผาก หัวแมม่ อื ทัง้ สอง อย่รู ะหวา่ งคิ้ว ทำ่ นชำย ศรี ษะตัง้ ตรง ท่ำนหญิง ก้มศีรษะลงเลก็ นอ้ ย จังหวะท่ี ๓ หมอบกราบลงให้หน้าผากจรดพื้น วางฝ่ามอื แบราบ ห่างกันหน่ึงฝา่ มอื กม้ ศีรษะลงใหห้ นา้ ผากจรดพ้ืนในระหวา่ งฝา่ มอื ท้ังสอง ทำ่ นชำย ข้อศอกต่อกบั หัวเขำ่ ทำ่ นหญิง ใหข้ อ้ ศอกทั้งสองขนำบเขำ่

สารบญั หนา้ ๑ บทสวดมนตท์ า� วตั รเชา้ แปล ๑ ค�าบชู าพระรัตนตรัย (อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ...) ๒ ปพุ พภาคนมการ (นะโม ตัสสะ...) ๓ พุทธาภิถุติ (โย โส ตะถาคะโต...) ๕ ธัมมาภถิ ุติ (โย โส สîวากขาโต...) ๖ สงั ฆาภิถตุ ิ (โย โส สปุ ะฏิปันโน...) ๗ รตนตั ตยัปปณามคาถา (พทุ โธ สุสทุ โธ...) ๙ สงั เวคะวตั ถปุ ะรทิ ปี ะกะปาฐะ (อิธะ ตะถาคะโต...) ๑๔ สัจจกริ ิยาคาถา (นัตถิ เม สะระณัง...) ๑๕ ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ (ยะถาปจั จะยัง...) ๑๙ ตงั ขณกิ ปจั จเวกขณปาฐะ (ปะฏิสงั ขา โยนิโส...) ๒๑ อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ (ชะราธมั โมมîหิ...) กายคตาสตภิ าวนาปาฐะ (อะยงั โข เม กาโย...) ๒๒ พรหมวิหาระผรณะปาฐะ (อะหงั สขุ โิ ต...) ๒๔ ค�าเจริญกมั มฏั ฐานภาวนา (ขา้ พเจ้าจกั เจรญิ ...) ๒๖ ติโลกวชิ ยะราชปตั ตทิ านคาถา-กรวดน�้า ยงั กญิ จิ (ยงั กญิ จิ กุสะลงั ...) ๒๖ กรวดนา�้ อมิ ินา (อิมินา ปญุ ญะกมั เมนะ...) ๒๗ สพั พปตั ติทานคาถา (ปุญญัสสิทานิ กะตสั สะ...) ๒๘ สงั เขปปัตตทิ านคาถา (สพั เพ สัตตา สะทา...) ๒๙ บทสวดมนตท์ �าวัตรเยน็ แปล ๓๐ ค�าบชู าพระรตั นตรัย (อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ...) ๓๐ ปุพพภาคนมการ (นะโม ตัสสะ...) ๓๑ พุทธานุสสติ (ตงั โข ปะนะ...) ๓๒ พทุ ธาภคิ ตี ิ (พทุ ธîวาระหันตะ...) ๓๓ ธมั มานุสสติ (สวî ากขาโต...) ๓๕

ธมั มาภิคีติ (สîวากขาตะตา...) หน้า สังฆานสุ สติ (สปุ ะฏปิ นั โน...) ๓๕ สงั ฆาภิคีติ (สัทธมั มะโช...) ๓๗ สจั จกิริยาคาถา (นตั ถิ เม...) ๓๙ อตีตปจั จเวกขณปาฐะ (อชั ชะ มะยา...) ๔๑ อภณิ หปจั จเวกขณปาฐะ (ชะราธมั โมมหî .ิ ..) ๔๓ กายคตาสติภาวนาปาฐะ (อะยงั โข เม กาโย...) ๔๖ พรหมวหิ าระผรณะปาฐะ (อะหัง สุขิโต...) ๔๗ ค�าเจริญกัมมฏั ฐานภาวนา (ข้าพเจ้าจกั เจรญิ ...) ๔๙ ตโิ ลกวชิ ยะราชปัตติทานคาถา-กรวดนา้� ยงั กญิ จิ (ยงั กิญจิ กสุ ะลงั ...) ๕๑ กรวดน้�าอมิ นิ า (อิมนิ า ปุญญะกมั เมนะ...) ๕๒ สพั พปตั ตทิ านคาถา (ปุญญสั สิทานิ กะตัสสะ...) ๕๒ สงั เขปปัตติทานคาถา (สพั เพ สัตตา สะทา...) ๕๓ บทสวดมนตพ์ ิเศษ ก ๕๔ สรณคมนปาฐะ (พทุ ธงั สะระณัง...) ๕๕ เขมาเขมะสะระณะคะมะนะปะรทิ ปี กิ คาถา (พะหุง เว...) ๕๕ อะริยะธะนะคาถา (ยสั สะ สทั ธา...) ๕๖ ติลักขะณาทคิ าถา (สัพเพ สงั ขารา...) ๕๗ ภาระสุตตะคาถา (ภารา หะเว...) ๕๘ ภัทเทกะรัตตะคาถา (อะตีตัง นานวาคะเมยยะ...) ๕๙ ธมั มคารวาทิคาถา (เย จะ อะตีตา...) ๖๐ โอวาทปาฏิโมกขคาถา (สพั พะปาปัสสะ...) ๖๑ ปฐมพทุ ธภาสิตคาถา (อะเนกะชาติสังสารัง...) ๖๒ ปัจฉมิ พุทโธวาทปาฐะ (หนั ทะทานิ ภิกขะเว...) ๖๔ บทพิจารณาสังขาร (สัพเพ สังขารา...) ๖๕ ๖๕

บทสวดมนต์พเิ ศษ ข หน้า ชมุ นมุ เทวดา (สะมันตา จกั กะวาเฬส.ุ ..) ๖๙ สัจจกริ ิยาคาถา (นตั ถิ เม...) ๖๙ มะหาการุณโิ ก นาโถ (มะหาการณุ โิ ก นาโถ...) ๗๐ เขมาเขมะสะระณะคะมะนะปะริทปี กิ าคาถา (พะหงุ เว...) ๗๑ นะมะการะสิทธิคาถา (โย จักขุมา...) ๗๑ สมั พุทเธ (สัมพุทเธ อัฏฐะ...) ๗๒ นะโมการะอัฏฐะกะ (นะโม อะระหะโต...) ๗๓ ธัมมะจกั กปั ปะวัตตะนะสตุ ตัง (เอวมั เม สตุ งั ...) ๗๓ มังคะละสุตตัง (อะเสวะนา จะ...) ๗๔ ระตะนะสตุ ตงั (ยานธี ะ ภูตานิ...) ๗๙ กะระณียะเมตตะสตุ ตงั (กะระณยี ะมัตถะ...) ๘๐ ขนั ธะปะรติ ตะคาถา (วิรูปักเขหิ เม...) ๘๔ โมระปะริตตัง (อุเทตะยัญจกั ขุมา...) ๘๕ วฏั ฏะกะปะริตตงั (อัตถิ โลเก...) ๘๕ อาฏานาฏิยะปะรติ ตัง (วปิ ัสสสิ สะ...) ๘๖ นะโม เม (นะโม เม...) ๘๗ อะภะยะปะริตตัง (ยันทุนนมิ ิตตงั ...) ๘๗ อังคลุ ิมาละปะริตตัง (ยะโตหงั ภะคนิ ิ...) ๙๐ โพชฌังคะปะรติ ตัง (โพชฌังโค สะตสิ งั ขาโต...) ๙๐ ปตั ติทานคาถา (ยา เทวะตา...) ๙๑ อณุ หî สิ สะวชิ ะยะคาถา (อตั ถิ อุณîหสิ สะ...) ๙๓ เทวะตาอุยโยชะนะคาถา (ทกุ ขัปปตั ตา จะ...) ๙๔ ถวายพรพระ (อิติปิ โส...) ๙๕ ถวายพรพระ (พาหงุ ...) ๙๗ ชะยนั โต (มะหาการุณโิ ก นาโถ...) ๙๙ ๑๐๑

คาถาบูชาดวงชาตา (นะโม เม สัพพะเทวานงั ...) หน้า คาถาโพธบิ าท (บูระพารสั มî ิง...) ๑๐๑ คาถามงคลจกั รวาฬแปดทศิ (อิมัสมî ิงมงคล...) ๑๐๒ มงคลจักรวาฬใหญ่ (สริ ิธติ มิ ะติเตโชชะยะ...) ๑๐๒ บารมี ๓๐ ทศั (ทานะ ปาระมี...) ๑๐๓ ชยั มงคลคาถา (ชยั น้อย) (นะโม เม...) ๑๐๔ พระคาถาชนิ บัญชร (ชะยาสะนากะตา พทุ ธา...) ๑๐๕ ภูมพิ ะละมะหาราชะวะรัสสะ ชะยะมังคะละคาถา (ภูมิพะโล มะหาราชา...) ๑๐๘ ปะระมะราชนิ ๎ยาภิถตุ ชิ ะยะมังคะละคาถา (มะหาภูมิพะลัสเสวะ...) ๑๑๑ ค�าใหพ้ รแปล (ยะถา วารวิ ะหา...) ๑๑๓ ค�าอาราธนาพระปริตร (วปิ ตั ตปิ ะฏพิ าหายะ...) ๑๑๔ ค�าอาราธนาธรรม วันปกติ (พรî หîมา จะ โลกา...) ๑๑๖ วิธีการบวชเนกขมั มะ (ชพี ราหมณ์ สมาทานศีล ๘) ส�านกั วัดป่าโนนขุมเงิน ๑๑๖ วิธีขอขมาโทษ ๑๑๗ คา� ลาสกิ ขาผ้บู วชเนกขัมมะ (ชพี ราหมณ)์ ๑๒๓ คา� แสดงตนเป็นอบุ าสก อุบาสกิ า (พทุ ธมามกะ) ๑๒๔ ๑๒๕

.



บทสวดมนต์ทำ� วัตรเช้า แปล คำ� บชู าพระรตั นตรัย (ผู้น�ำ จุดเทียน ธูป บุรุษ พึงน่ังกระโหย่ง-ท่าเทพบุตร สตรี พึงน่ังท่าเทพธิดา แลว้ กราบ ๓ ครง้ั พร้อมกนั , สวดตามผ้นู ำ� ทลี ะวรรค ดงั นี้) พทุ ธะปูชา มะหาเตชะวันโต ธมั มะปชู า มะหปั ปัญโญ สังฆะปชู า มะหาโภคะวะโห สทิ ธชิ โย สิทธลิ าโภ สทิ ธสิ โุ ข ภะวนั ตุ เม. (สวดพร้อมกัน) (กราบ) อะระหงั สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา, (กราบ) (กราบ) พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต*์ ดบั เพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทกุ ขส์ ิ้นเชงิ , ตรสั ร้ชู อบได้โดยพระองค์เอง พุทธัง ภะคะวนั ตัง อะภิวาเทม.ิ ข้าพเจา้ อภิวาทพระผ้มู พี ระภาคเจา้ , ผรู้ ู้ ผ้ตู ่ืน ผ้เู บกิ บาน สîวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมเปน็ ธรรมที่พระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ตรสั ไว้ดีแลว้ ธัมมัง นะมสั สามิ. ข้าพเจา้ นมัสการพระธรรม สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆส์ าวกของพระผ้มู พี ระภาคเจ้า, ปฏบิ ตั ิดีแลว้ สังฆัง นะมามิ. ขา้ พเจา้ นอบน้อมพระสงฆ์ ออกเสยี งว่า อะ-ระ-หนั 1

(ผ้นู ำ� กล่าวบูชาเพยี งผเู้ ดียว) ยะมัมหะ โข มะยัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, อทุ ทสิ สะ ปัพพะชิตา โย โน ภะคะวา สัตถา, ยัสสะ จะ มะยัง ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อิเมหิ สักกาเรหิ ตงั ภะคะวนั ตัง สะสทั ธมั มงั สะสาวะกะสงั ฆัง อะภิปูชะยามะ. (เราเป็นผู้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด เป็นสรณะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด เป็นศาสดาของเรา และเราย่อมชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองคใ์ ด เราตงั้ ใจบชู าซงึ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั พรอ้ มทง้ั พระสทั ธรรม พร้อมท้ังพระสงฆ์สาวก ดว้ ยเครือ่ งสักการะเหล่านี้.) ปุพพภาคนมการ (ผู้น�ำสวดเพียงผ้เู ดยี ว) หันทะทานิ มะยันตัง ภะคะวนั ตัง วาจายะ อะภถิ ตุ ุง ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส. (บัดน้ี เชิญเถิด เราจงท�ำการนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นส่วนเบ้ืองต้น เพอ่ื สรรเสรญิ ด้วยวาจาเถิด) (สวดพรอ้ มกัน) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบน้อมแด่พระผูม้ พี ระภาคเจ้า พระองค์น้ัน อะระหะโต ซง่ึ เปน็ ผไู้ กลจากกิเลส สัมมาสมั พุทธสั สะ. ตรัสรู้ชอบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง (๓ ครั้ง) 2

พทุ ธาภถิ ุติ (ผู้น�ำสวดเพียงผเู้ ดยี ว) หนั ทะ มะยงั พุทธาภถิ ุตงิ กะโรมะ เส. (เชญิ เถิด เราทงั้ หลายทำ� ความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจ้าเถดิ ) (สวดพร้อมกนั ) โย โส ตะถาคะโต พระตถาคตเจา้ น้นั พระองคใ์ ด อะระหงั เปน็ ผู้ไกลจากกเิ ลส สมั มาสมั พุทโธ เปน็ ผตู้ รสั ร้ชู อบได้โดยพระองคเ์ อง วิชชาจะระณะสมั ปันโน เป็นผ้ถู งึ พรอ้ มด้วยวิชชาและจรณะ สคุ ะโต เป็นผไู้ ปแลว้ ด้วยดี โลกะวิทู เปน็ ผรู้ ู้โลกอยา่ งแจ่มแจ้ง อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทัมมะสาระถิ เป็นผสู้ ามารถฝึกบุรษุ ท่สี มควรฝกึ ได้อย่างไม่มใี ครยง่ิ กวา่ สัตถา เทวะมะนุสสานงั เปน็ ครูผสู้ อนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ เปน็ ผูร้ ู้ ผูต้ นื่ ผ้เู บกิ บานด้วยธรรม 3

ภะคะวา เป็นผมู้ คี วามจำ� เรญิ จ�ำแนกธรรมส่ังสอนสัตว์ โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพîรหîมะกัง, สัสสะมะณะพรîาหîมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนสุ สงั สะยัง อะภิญญา สจั ฉิกตั วî า ปะเวเทสิ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระองค์ใด, ไดท้ รงทำ� ความดบั ทุกข์ให้แจง้ ด้วย พระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว, ทรงสอนโลกนีพ้ ร้อมทั้งเทวดา, มารพรหม และหมสู่ ัตว์พร้อมท้ังสมณะพราหมณ์, พร้อมท้ังเทวดาและมนษุ ย์ให้รตู้ าม โย ธัมมัง เทเสสิ พระผู้มพี ระภาคเจ้าพระองคใ์ ด, ทรงแสดงธรรมแลว้ อาทกิ ัลîยาณงั ไพเราะในเบอ้ื งต้น มัชเฌกัลîยาณัง ไพเราะในทา่ มกลาง ปะรโิ ยสานะกลั îยาณัง ไพเราะในทีส่ ดุ สาตถัง สะพยî ัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะรสิ ุทธงั พรî หมî ะจะรยิ งั ปะกาเสสิ ทรงประกาศพรหมจรรย,์ คือแบบแห่งการปฏิบตั อิ ันประเสริฐบริสุทธ์ิ บริบรู ณ์สิ้นเชงิ , พรอ้ มทัง้ อรรถะพร้อมทัง้ พยญั ชนะ ตะมะหงั ภะคะวนั ตงั อะภปิ ชู ะยามิ ขา้ พเจ้าบูชาอย่างยิง่ เฉพาะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ ัน้ ตะมะหัง ภะคะวันตงั สิระสา นะมามิ. ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระผูม้ พี ระภาคเจ้า พระองค์นัน้ ด้วยเศียรเกลา้ อรรถะ (คำ� อธบิ ายธรรม) (กราบระลึกพระพทุ ธคณุ ) พยัญชนะ (หัวข้อธรรม) 4

ธัมมาภถิ ตุ ิ (ผู้นำ� สวดเพยี งผู้เดียว) หันทะ มะยงั ธมั มาภถิ ุติง กะโรมะ เส. (เชิญเถิด เราทง้ั หลายท�ำความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถดิ ) (สวดพรอ้ มกัน) โย โส สîวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม พระธรรมน้ันใด, เป็นส่งิ ทีพ่ ระผู้มพี ระภาคเจ้า, ไดต้ รสั ไว้ดแี ลว้ สนั ทิฏฐโิ ก เปน็ สง่ิ ที่ผศู้ กึ ษาและปฏบิ ตั ิ พึงเห็นได้ดว้ ยตนเอง อะกาลโิ ก เป็นสงิ่ ท่ปี ฏบิ ตั ิได้ และให้ผลได้ไมจ่ ำ� กัดกาล เอหปิ ัสสโิ ก เปน็ สง่ิ ที่ควรกล่าวกะผอู้ นื่ วา่ ท่านจงมาดูเถดิ โอปะนะยโิ ก เปน็ สง่ิ ทีค่ วรนอ้ มเขา้ มาใส่ตวั ปจั จัตตงั เวทติ ัพโพ วิญญูหิ เปน็ ส่ิงทผี่ ู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ตะมะหัง ธมั มงั อะภปิ ูชะยามิ ข้าพเจ้าบชู าอยา่ งยิง่ เฉพาะพระธรรมน้ัน ตะมะหัง ธัมมัง สริ ะสา นะมามิ. ข้าพเจา้ นอบนอ้ มพระธรรมน้ัน, ดว้ ยเศียรเกลา้ (กราบระลึกพระธรรมคุณ) 5

สังฆาภิถุติ (ผู้น�ำสวดเพียงผูเ้ ดยี ว) หันทะ มะยัง สังฆาภิถตุ ิง กะโรมะ เส. (เชญิ เถดิ เราทั้งหลายท�ำความชมเชยเฉพาะพระสงฆ์เถดิ ) (สวดพรอ้ มกนั ) โย โส สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้านน้ั หมู่ใด, ปฏบิ ตั ิดีแล้ว อชุ ุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆส์ าวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้าหมใู่ ด ปฏบิ ัติตรงแล้ว ญายะปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมใู่ ด, ปฏบิ ัติเพือ่ รู้ธรรมเปน็ เครอ่ื งออกจากทุกขแ์ ล้ว สามีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหม่ใู ด, ปฏิบัติสมควรแลว้ ยะททิ ัง ไดแ้ กบ่ ุคคลเหล่าน้คี ือ จัตตาริ ปรุ ิสะยคุ านิ อฏั ฐะ ปุรสิ ะปคุ คะลา คแู่ ห่งบุรษุ สีค่ ู่* นับเรียงตัวบรุ ุษได้แปดบุรุษ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ น่นั แหละสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า อาหเุ นยโย เปน็ สงฆ์ควรแกส่ กั การะทีเ่ ขานำ� มาบูชา * บรุ ษุ สี่คู่ คอื โสดาปตั ตมิ รรค - โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามมิ รรค - สกทาคามผิ ล อนาคามมิ รรค - อนาคามิผล อรหัตตมรรค - อรหตั ตผล 6

ปาหเุ นยโย เป็นสงฆค์ วรแกส่ กั การะทีเ่ ขาจัดไว้ตอ้ นรบั ทกั ขเิ ณยโย เปน็ ผคู้ วรรบั ทักษณิ าทาน อญั ชะลิกะระณโี ย เปน็ ผูท้ ีบ่ คุ คลทว่ั ไปควรทำ� อญั ชลี อะนุตตะรัง ปญุ ญกั เขตตัง โลกสั สะ เปน็ เน้ือนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอ่ืนยิง่ กว่า ตะมะหัง สงั ฆงั อะภปิ ชู ะยามิ ขา้ พเจ้าบูชาอยา่ งยิ่งเฉพาะพระสงฆ์หมู่น้นั ตะมะหัง สงั ฆงั สิระสา นะมามิ. ขา้ พเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมนู่ น้ั , ด้วยเศยี รเกล้า (กราบระลกึ พระสงั ฆคณุ แลว้ น่งั พบั เพียบเปน็ ปกต)ิ รตนตั ตยปั ปณามคาถา (ผนู้ ำ� สวดเพยี งผเู้ ดียว) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะวัตถุปะริทีปะกะ ปาฐัญจะ (สงั เวคะปะรกิ ติ ตะนะปาฐญั จะ) ภะณามะ เส. (เชิญเถิด เราท้งั หลายสวดคาถานอบน้อมพระรตั นตรยั และพระบาลแี สดง ความสลดใจเถิด) 7

(สวดพรอ้ มกัน) พุทโธ สสุ ุทโธ กะรณุ ามะหณั ณะโว พระพทุ ธเจ้าผบู้ รสิ ทุ ธิ,์ มพี ระกรณุ าดจุ หว้ งมหรรณพ โยจจันตะสทุ ธัพพะระญาณะโลจะโน พระองค์ใด มตี า คอื ญาณอนั ประเสรฐิ หมดจดถึงทีส่ ดุ โลกสั สะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก เป็นผูฆ้ ่าเสยี ซึ่งบาป และอปุ กเิ ลสของโลก วนั ทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง ขา้ พเจา้ ไหว้พระพุทธเจา้ พระองคน์ น้ั , โดยใจเคารพเอือ้ เฟื้อ ธมั โม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สตั ถุโน พระธรรมของพระศาสดานน้ั , สว่างรงุ่ เรืองเปรียบดวงประทีป โย มคั คะปากามะตะเภทะภนิ นะโก จ�ำแนกประเภทคือมรรคผลนิพพาน ส่วนใด โลกตุ ตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน ซง่ึ เป็นตัวโลกตุ ตระ, และส่วนใดทชี่ ี้แนวแห่งโลกุตตระน้นั วนั ทามิ ธัมมงั อะหะมาทะเรนะ ตัง ข้าพเจ้าไหวพ้ ระธรรมน้นั , โดยใจเคารพเอ้อื เฟือ้ สังโฆ สุเขตตาภîยะติเขตตะสัญญิโต พระสงฆ์เป็นนาบญุ อนั ยิง่ ใหญก่ ว่านาบญุ อันดีท้ังหลาย โย ทฏิ ฐะสันโต สคุ ะตานโุ พธะโก เป็นผูเ้ ห็นพระนิพพาน, ตรสั รู้ตามพระสคุ ต หมู่ใด โลลปั ปะหโี น อะริโย สุเมธะโส เป็นผลู้ ะกิเลสเครือ่ งโลเล, เปน็ พระอรยิ ะเจ้า มีปัญญาดี วันทามิ สงั ฆัง อะหะมาทะเรนะ ตงั ข้าพเจา้ ไหวพ้ ระสงฆ์หมนู่ ัน้ , โดยใจเคารพเออื้ เฟ้ือ 8

อจิ เจวะเมกนั ตะภิปชู ะเนยยะกัง, วัตถตุ ตะยงั วนั ทะยะตาภสิ ังขะตงั , ปุญญงั มะยา ยัง มะมะ สพั พุปทั ทะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสทิ ธยิ า. บญุ ใดท่ขี า้ พเจ้าผไู้ หว้อยู่ซ่งึ วัตถุสาม, คอื พระรตั นตรยั อนั ควรบูชายงิ่ โดยส่วนเดยี ว, ได้กระทำ� แล้วเป็นอยา่ งย่ิงเชน่ นีน้ ่ี, ขออปุ ัททวะท้งั หลาย, จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย, ด้วยอ�ำนาจความส�ำเร็จอันเกิดจากบุญนัน้ สงั เวคะวตั ถุปะริทีปะกะปาฐะ (สวดพรอ้ มกนั , ไม่ต้องสวดน�ำ) อธิ ะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนั โน พระตถาคตเจา้ เกิดข้ึนแล้วในโลกนี้ อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ เป็นผไู้ กลจากกิเลส, ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองค์เอง ธมั โม จะ เทสโิ ต นยิ ยานโิ ก และพระธรรมทท่ี รงแสดง, เป็นธรรมเครือ่ งออกจากทกุ ข์ อุปะสะมโิ ก ปะรนิ ิพพานโิ ก เปน็ เครอ่ื งสงบกเิ ลส, เป็นไปเพ่อื ปรินิพพาน สมั โพธะคามี สคุ ะตปั ปะเวทิโต เป็นไปเพื่อความร้พู รอ้ ม, เป็นธรรมทพี่ ระสคุ ตประกาศ มะยนั ตัง ธัมมงั สุตวî า เอวงั ชานามะ พวกเราเมื่อไดฟ้ ังธรรมนนั้ แลว้ , จงึ ไดร้ ู้อยา่ งนวี้ า่ ชาตปิ ิ ทุกขา แม้ความเกดิ ก็เปน็ ทกุ ข์ 9

ชะราปิ ทกุ ขา แม้ความแก่ ก็เป็นทกุ ข์ มะระณัมปิ ทุกขัง แม้ความตาย กเ็ ปน็ ทุกข์ โสกะปะรเิ ทวะทุกขะโทมะนัสสปุ ายาสาปิ ทุกขา แมค้ วามโศก ความร�ำ่ ไรร�ำพนั ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ ความคบั แคน้ ใจ ก็เปน็ ทกุ ข์ อัปปิเยหิ สมั ปะโยโค ทุกโข ความประสบกบั สิง่ ไมเ่ ปน็ ทีร่ กั ทพี่ อใจ ก็เปน็ ทุกข์ ปิเยหิ วิปปะโยโค ทกุ โข ความพลัดพรากจากส่งิ อันเปน็ ท่ีรักที่พอใจ ก็เปน็ ทกุ ข์ ยมั ปิจฉงั นะ ละภะติ ตมั ปิ ทกุ ขัง มคี วามปรารถนาสงิ่ ใด ไม่ไดส้ ง่ิ นนั้ นนั่ ก็เป็นทกุ ข์ สงั ขติ เตนะ ปญั จุปาทานักขนั ทา ทุกขา วา่ โดยย่ออปุ าทานขันธท์ ้งั หา้ เปน็ ตัวทกุ ข์ เสยยะถีทัง ได้แก่สิง่ เหล่านี้คอื รูปูปาทานักขันโธ ขนั ธอ์ ันเปน็ ท่ตี งั้ แหง่ ความยึดม่ันคือรูป เวทะนูปาทานกั ขันโธ ขนั ธ์อันเปน็ ที่ต้ังแหง่ ความยึดมั่นคอื เวทนา สญั ญูปาทานักขันโธ ขันธ์อันเปน็ ที่ต้ังแหง่ ความยึดมั่นคอื สัญญา สงั ขารปู าทานกั ขนั โธ ขนั ธ์อนั เป็นทต่ี ้งั แห่งความยึดมนั่ คอื สังขาร 10

วิญญาณปู าทานกั ขันโธ ขันธอ์ นั เป็นท่ตี ัง้ แหง่ ความยดึ มน่ั คือวญิ ญาณ เยสงั ปะรญิ ญายะ เพ่ือใหส้ าวกกำ� หนดรอบร้อู ปุ าทานขนั ธเ์ หลา่ นีเ้ อง ธะระมาโน โส ภะคะวา จึงพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั , เมอื่ ยงั ทรงพระชนม์อยู่ เอวงั พะหุลัง สาวะเก วเิ นติ ยอ่ มทรงแนะนำ� สาวกทัง้ หลาย, เชน่ นเ้ี ปน็ ส่วนมาก เอวัง ภาคา จะ ปะนสั สะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหลุ า ปะวัตตะติ อน่ึงคำ� สงั่ สอนของพระผู้มพี ระภาคเจ้านนั้ , ย่อมเป็นไปในสาวกท้งั หลาย, สว่ นมาก, มสี ่วนคือการจำ� แนกอย่างน้ีวา่ รูปงั อะนจิ จงั รปู ไมเ่ ท่ยี ง เวทะนา อะนิจจา เวทนาไม่เทีย่ ง สัญญา อะนิจจา สญั ญาไม่เทีย่ ง สงั ขารา อะนจิ จา สงั ขารไม่เที่ยง วิญญาณัง อะนิจจงั วญิ ญาณไม่เทย่ี ง รูปงั อะนัตตา รปู ไม่ใช่ตวั ตน เวทะนา อะนัตตา เวทนาไม่ใชต่ วั ตน 11