สังคมวทิ ยาเบ้อื งตน้ (Introduction to Sociology) ผศ.ดร.สเุ ทพ สวุ รี างกรู ภาควชิ าสังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั
สงั คมวิทยาเบอื้ งต้น (Introduction to Sociology) ISBN : 978-616-7821-38-2 เรยี บเรยี งโดย : ผศ.ดร.สุเทพ สวุ ีรางกูร สงวนลขิ สิทธ์ิ : ตาม พ.ร.บ.ลขิ สิทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑ : ธนั วาคม ๒๕๕๖ จา� นวนพมิ พ์ : ๕๐๐ เลม่ จดั พมิ พ์โดย : โครงการผลติ สอื่ การสอนพระพุทธศาสนา ตามแนวทางปฏริ ูปการศกึ ษา ภาควิชารฐั ศาสตร์และเศรษฐศาสตร์คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั ถ. ศาลายา-นครชัยศรี ต. ศาลายา อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม ๗๓๑๐๗
ค�านา� จากปรากฏการณ์การศึกษาสังคมวิทยา อันเป็นวิชาสาขาหน่ึงของสังคมศาสตร์ เป็นศาสตร์ ของสังคมตะวันตกเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวิทยาการความรู้ท่ีอยู่บนฐานศาสนาพระเจ้าและวิทยาศาสตร์ ทเี่ นน้ เกย่ี วกบั วตั ถุ อนั เปน็ เหตปุ จั จยั ภายนอกและมกั มเี หตปุ จั จยั เดยี ว มกี ารแกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลง ตามเหตปุ จั จัยและกาลเวลา มีการคิดใหม่ทา� ใหม่อย่างต่อเน่ือง และกม็ นี ักปราชญ์หรือนักสงั คมวทิ ยา ทง้ั หลายทัง้ ฝ่ายตะวันออกและตก นยิ มตั้งชือ่ ใหว้ า่ สังคมวทิ ยาและมานุษยวิทยา หรือสังคมวิทยาและ มานุษยวิทยาเบื้องต้น (Sociology and Anthropology or Introduction to Sociology and Anthropology) สังคมวทิ ยา หรือสังคมวิทยาเบอ้ื งตน้ (Sociology or Introduction to Sociology) หลักสังคมวิทยา (Principles of Sociology) เพอื่ ความรเู้ ขา้ ใจปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั และการพฒั นาทางวชิ าการ เมอื่ คดิ พจิ ารณาตรวจสอบเนอ้ื หา สาระขอบเขตวิทยาการการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงพัฒนา หลักสูตร กฎระเบียบข้อบังคับ และผู้เขียนต้องการจะเน้นน�าเสนออะไร ท่ีสอดคล้องสัมพันธ์กับหลักสูตรและความจริงสิ่งท้ังหลาย เพ่ือความจริงมีเหตุผล ความจริงสิ่งสากล ความจริงส่ิงดีงามให้ได้มากที่สุด เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่ในสังคมโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคม ตะวนั ตก มกั นิยมใชค้ า� วา่ สังคมวทิ ยา (Sociology) โดยมุ่งศึกษาสงิ่ ตา่ ง ๆ ทั้งหลายตามความเปน็ จรงิ มีอ�านาจอิทธิพลบทบาทส�าคัญต่อมนุษย์สังคม ช่วยสร้างแบบลักษณะและความเป็นมนุษย์ เพื่อแก้ไข ป้องกันปัญหาทั้งหลาย และในท่ีนี้ ผู้เขียนขออนุญาตต้ังช่ือหนังสือเล่มน้ีว่า สังคมวิทยา (Sociology) ตามปรากฏการณก์ ารศึกษาสังคมทว่ั ไป และความนยิ มยอมรบั กันอยา่ งแพรห่ ลาย หนงั สอื “สังคมวทิ ยาเบื้องตน้ ” เลม่ น้ี ผู้เขียนไดเ้ รียบเรียงแตง่ ขึ้น เพื่อเป็นตา� ราวิชาการทาง สงั คมวทิ ยา อนั เนอื่ งมาจากการเปลย่ี นแปลงพฒั นาวทิ ยาการความรอู้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง มกี ารคดิ ใหมท่ า� ใหม่ อยเู่ สมอ (Meta-theories) โดยเฉพาะแนวคดิ ทฤษฎสี งั คมวทิ ยาสมยั ใหม่ (Modern sociology) ทา� ให้ เกิดแนวคิดและการปฏิบัติที่แตกต่างขัดแย้งกันตามมา แนวคิดและการปฏิบัติถือได้ว่าเป็นเหตุปัจจัย ส�าคัญท�าให้เกิดปัญหาท้ังหลายทุกยุคทุกสมัยและทุกเวลา ดังน้ัน จึงเป็นเหตุปัจจัยท�าให้ผู้เขียนเขียน เรียบเรียงแต่งขึ้น โดยอาศัยหลักความจริงมีเหตุผล ความจริงสิ่งสากล ความจริงสิ่งดีงาม โดยเฉพาะ
หลักสังคมวิทยาและพุทธศาสตร์หรือธรรมชาติแบบพุทธ ร่วมด้วยช่วยกันอธิบายบรรยายและ ตอบปญั หา วทิ ยาการความรแู้ บบพทุ ธเปน็ ความรแู้ บบธรรมหรอื ธรรมดาเหตผุ ล เกดิ ขนึ้ ตงั้ อยู่ และดบั ไปเพราะเหตุปัจจัยและกาลเวลา เพ่ือความจริงถูกต้องดีงามมากที่สุด มีเหตุผลมากท่ีสุด รู้เข้าใจให้ ถกู ตอ้ งแจม่ แจง้ ชดั เจนมากยงิ่ ขนึ้ สามารถประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผลไดจ้ รงิ กอ่ เกดิ แตป่ ระโยชนส์ ขุ เกอ้ื กลู ความดีงามถูกต้องเหมาะสม ความสัมพันธ์ม่ันคงระหว่างกัน ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่ง ๆ ข้ึนไป โดยได้อาศัยแนวทางของนักคิดนักสังคมวิทยาทั้งหลายท่ีพยายามศึกษารู้เข้าใจอะไรเป็นส�าคัญ จึงได้ เลือกเฉพาะเร่ืองหรือปัญหาเหล่าน้ัน ที่เห็นว่าส�าคัญจ�าเป็นต่อมนุษย์และสังคม เก่ียวข้องกับชีวิตทาง สังคมมากที่สุด แสดงอ�านาจอิทธิพลบทบาทส�าคัญต่อชีวิตทางสังคมการเมืองมากท่ีสุด ข้ึนมาคิด พิจารณาวิเคราะห์ตรวจสอบเรยี บเรียงเขยี นอธิบายบรรยาย เพ่ือความรู้เขา้ ใจและการปฏิบัติทถ่ี ูกตอ้ ง เหมาะสมมีเหตุผลพอเพียง เพ่ือความจรงิ ดงี ามของคนสังคมการเมืองร่วมกนั ภายใต้การเปลี่ยนแปลง ของสงิ่ ต่าง ๆ ทัง้ หลายอย่างต่อเนือ่ ง ผู้เขียนหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะมีคุณค่าความหมายและคุณประโยชน์อย่างมากต่อผู้ที่สนใจ ทั้งหลาย ไม่ว่าเปน็ พระภิกษุ สามเณร นสิ ติ นักศึกษา ครู อาจารย์ และประชาชนทวั่ ไป ถา้ พึงมีข้อผดิ บกพรอ่ งในหนงั สอื เลม่ นี้ ผเู้ ขยี นขอนอ้ มรบั เพอ่ื แกไ้ ขปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงในโอกาสตอ่ ไป หากหนงั สอื เล่มนพ้ี อมคี ุณงามความดอี ย่บู ้าง กข็ อมอบใหแ้ ด่ บิดามารดา ครูอาจารย์ ทเ่ี ล้ยี งดฝู กึ ฝนอบรมส่ังสอน ขา้ พเจ้ามา และที่ขาดเสียไม่ได้ คือผูอ้ ่านทกุ ท่าน ณ โอกาสนี้ ผู้เขียนขออานุภาพและอานิสงส์แห่งความจริงส่ิงดีงาม คุณพระรัตนตรัย สิ่งศักด์ิสิทธ์ิ คุณงามความดีท้ังหลายทั้งมวล จงมารวบรวมเป็นตบะ เตชะ พลว ปัจจัย ดลบันดาล ประทานพรให้ท่านท้ังหลายผู้สนใจใฝ่การศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตนอย่างอดทนต่อเน่ือง จงอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ปราศจากความอยรู่ อ้ นนอนทกุ ข์ จงมง่ั มศี รสี ขุ ปราศจากปญั หาชวี ติ ทางสงั คมการเมอื ง พบแตค่ วามจรงิ สง่ิ ดงี าม ประสบแตค่ วามสา� เรจ็ สมหวงั มแี ตช่ วี ติ ทง่ี ามประเสรฐิ เปน็ ประโยชนส์ ขุ เกอ้ื กลู สัมพนั ธส์ มดลุ และบูรณาการ เจริญรุ่งเรอื งกา้ วหน้าตลอดไปเทอญ สุเทพ สุวีรางกูร พ.ศ. ๒๕๕๔
สารบญั ๙ คา� นา� ๑๐ ๑๑ สารบญั ๑๓ ๑๔ บทท่ี ๑ บทนา� ๑๕ ๑๗ อะไรคือสงั คมวิทยา ลักษณะการเปลยี่ นแปลงและววิ ฒั นาการสังคมมนษุ ย์ ๒๑ การศกึ ษาสงั คมวิทยาท่ัวไป การศกึ ษาสังคมวิทยาสมัยใหม่ ๒๑ การศกึ ษาสงั คมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ๓๔ การศกึ ษาและประโยชนข์ องสงั คมวิทยา สงั คมวิทยาแบบพทุ ธศาสตร์ ๓๙ และวทิ ยาศาสตร์ ๔๒ ๔๕ บทท่ี ๒ นกั สังคมวทิ ยา ๔๗ พระพทุ ธเจา้ ๕๑ เพลโต อริสโตเตลิ ๕๑ ออกุสต์ คองต์ ๖๑ เฮอรเ์ บริ ท์ สเปนเซอร์ อีมิล เดอร์ไคม์ ๖๓ ๖๔ บทท่ี ๓ ความคิดสมัยใหม่ และหลงั สมัยใหม่ ๖๕ ความคิดสมัยใหม่ ความคิดหลงั สมัยใหม่ บทที่ ๔ การขดั เกลาทางสังคม อะไรคือการขัดเกลาทางสังคม ลกั ษณะการขัดเกลาทางสังคม
ประเภทการขดั เกลาทางสังคม ๖๖ การสร้างลกั ษณะมนุษย์ตามกระบวนการขัดเกลา ๖๗ ปัจจยั สา� คัญในการขดั เกลาทางสังคม ๗๑ ตวั แทนในการขัดเกลาทางสังคม ๗๕ ลักษณะมนษุ ย์ทีด่ สี มบรู ณ์แบบ ๗๘ บทที่ ๕ ชายและหญงิ ๘๕ เพศ และความเป็นชายหญงิ ๘๖ ลักษณะชายหญงิ ๘๘ การขัดเกลาชายหญงิ ๘๙ บทบาทชายหญิง ๙๒ ชายหญิงและอา� นาจ ๙๔ บทท่ี ๖ วัฒนธรรม ๙๗ อะไรคือวฒั นธรรม ๙๗ องคป์ ระกอบของวฒั นธรรม ๙๙ เกณฑ์ตรวจสอบวัฒนธรรม ๑๐๑ ลักษณะสา� คญั ของวฒั นธรรม ๑๐๕ หน้าที่ของวฒั นธรรม ๑๑๐ บทท่ี ๗ ชีวติ ทางสงั คม ๑๑๓ ลักษณะท่ีมาของชวี ิตทางสงั คม ๑๑๓ ลกั ษณะความเป็นไปของชวี ิตทางสงั คม ๑๑๕ ลกั ษณะชีวติ มปี ัญหา ๑๑๖ ลกั ษณะชีวิตไร้ปญั หา ๑๑๙ ความตอ้ งการของชีวิตทางสงั คม ๑๒๒ ความสุขของชีวติ ทางสงั คม ๑๒๖ บทท่ี ๘ ปัญหาสงั คม ๑๓๑ อะไรคอื ปญั หาสังคม ๑๓๒
ปัญหาสว่ นบุคคล ๑๓๓ ปญั หาสาธารณะ ๑๓๓ ปัญหาสังคม ๑๓๔ การศกึ ษาปัญหาสังคมท่วั ไป ๑๓๕ การศึกษาปญั หาแบบพทุ ธ ๑๓๖ กระบวนการที่เปน็ ปญั หาและไรป้ ัญหา ๑๓๘ ผลกระทบจากปญั หา ๑๓๙ แบบลักษณะปัญหา ๑๔๒ สาเหตุของปัญหาสังคมทัว่ ไป ๑๔๕ สาเหตุของปญั หาตามแนวพุทธ ๑๔๖ การป้องกันแก้ไขปญั หาทั่วไป ๑๔๘ การป้องกันแก้ไขปัญหาแบบพทุ ธ ๑๕๐ แนวคิดทฤษฎตี ่อปัญหาสังคม ๑๕๓ บทท่ี ๙ ครอบครัว ๑๕๗ อะไรคือครอบครัว ๑๕๘ สาเหตุแหง่ การเกิดครอบครัว ๑๕๙ การก่อเกิดของครอบครวั ๑๖๐ รปู แบบของครอบครัว ๑๖๒ หน้าทีข่ องครอบครวั ทั่วไป ๑๖๔ บทที่ ๑๐ ศาสนา ๑๖๙ อะไรคอื ศาสนา ๑๖๙ สาเหตุแหง่ การเกิดศาสนา ๑๗๑ ลกั ษณะการเกดิ ศาสนา ๑๗๓ การเข้าถงึ ศาสนา ๑๗๕ ประเภทของศาสนา ๑๘๐ องคป์ ระกอบของศาสนา ๑๘๑ หนา้ ท่ีของศาสนาทวั่ ไป ๑๘๒
บทท่ี ๑๑ การศึกษา ๑๘๕ อะไรคือการศกึ ษา ๑๘๖ ลักษณะการก่อเกิดการศกึ ษา ๑๘๗ กระบวนการและจุดม่งุ หมายของศึกษา ๑๘๙ ประเภทของการศกึ ษา ๑๙๒ วิชาท่ีควรศึกษา ๑๙๓ หนา้ ท่ีของการศกึ ษาทั่วไป ๑๙๔ หน้าท่สี �าคัญของผูใ้ หก้ ารศึกษา ๑๙๖ บทท่ี ๑๒ การเมอื งการปกครอง ๑๙๙ อะไรคือการเมอื งการปกครอง ๒๐๐ ลกั ษณะการศกึ ษาการเมืองการปกครอง ๒๐๑ การก่อเกดิ การเมอื งการปกครอง ๒๐๔ รูปแบบการเมืองการปกครอง ๒๐๕ แบบลกั ษณะอา� นาจ ๒๐๙ หนา้ ที่ของผ้นู า� นกั ปกครองทวั่ ไป ๒๑๑ บทท่ี ๑๓ เศรษฐกิจ ๒๑๕ อะไรคอื เศรษฐกิจ ๒๑๕ ลกั ษณะการกอ่ เกิดเศรษฐกจิ ๒๑๖ ลกั ษณะการศกึ ษาเศรษฐกจิ ๒๑๗ ปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจ ๒๒๐ ตวั แปรกา� หนดส�าคญั ในเศรษฐกจิ ๒๒๑ ระบบรูปแบบเศรษฐกจิ ๒๒๒ หน้าทขี่ องเศรษฐกจิ ๒๒๓ บรรณานกุ รม ๒๒๕
บทท่ี ๑ บทนา� โดยท่ัวไป สังคมวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตทางสังคมมนุษย์ หลักการด�าเนินชีวิต ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กตกิ า พฤตกิ รรมมนษุ ย์ และกระบวนการทางสงั คม ในระดบั เลก็ สว่ นบคุ คล อนั เปน็ พฤติกรรมส่วนบุคคลและส่วนบุคคลกับกลุ่มคน (Micro-sociology) ไปจนถึงใหญ่ระดับโลก อันเป็น ระบบรปู แบบเชอ่ื มโยงกนั เปน็ เครอื ขา่ ยทวั่ สงั คมประเทศและโลก (Macro-sociology) ซง่ึ เปน็ เรอื่ งใหญ่ ครอบคลุมไปท่ัว และส่ิงหนึ่งที่ต้องตระหนักท้ังผู้สอนและผู้เรียน ต้องเป็นเรื่องความจริงมีเหตุผล ความจรงิ สิ่งดีงาม และความจรงิ สง่ิ สากล ทีเ่ รม่ิ จากเรอ่ื งใกลต้ วั ทสี่ ุด (มนุษย)์ แลว้ ขยายไปยงั เรอื่ งไกล ตวั ทีส่ ุด (สังคมสงิ่ แวดลอ้ ม) “สงั คมวทิ ยา (Sociology)” เปน็ วชิ าหนงึ่ ในสาขาของสงั คมศาสตร์ (Social sciences) ศกึ ษา เกี่ยวกับมนุษย์ พฤติกรรมความสัมพันธ์มนุษย์ และสังคมเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นที่รู้จักยอมรับกันท่ัวไป ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ถึงปัจจุบนั ความจรงิ เรือ่ งสงั คมมนษุ ย์ หรือมนษุ ย์กบั สงั คมมีมานานพร้อมกบั โลกอบุ ัตขิ น้ึ เพราะมนษุ ย์ก็คอื สัตว์สังคม มักอยู่รวมกนั พ่ึงพาชว่ ยเหลือเก้ือกูลกนั ตามฐานะและโอกาส และนกั คดิ นกั ปราชญท์ งั้ หลายไดส้ นใจศกึ ษาอยู่ ๓ เรอ่ื งใหญ่ ๆ คอื ๑) ตวั มนษุ ยเ์ อง (Self or person) ๒) สงั คมโลก (Social world) ๓) หลกั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ (Ethics or actual practices) เปน็ ทรี่ เู้ ขา้ ใจยอมรบั กันท่วั ไป แตม่ ีความคิดเห็นและเชอื่ แตกต่างกนั ไป บ้างก็เชอ่ื กนั ว่า มเี ทพเจา้ ผู้ยิ่งใหญส่ รา้ งกา� หนดลขิ ติ บันดาลให้เป็นไปตามอ�านาจของตน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามอ�านาจของเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่น้ัน บ้างก็ยอมรับกันว่า ไม่มีใครสร้าง เป็นเร่ืองของธรรมดาหรือธรรมชาติ เป็นกระบวนการธรรมดา ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะเหตปุ จั จยั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเกดิ ขนึ้ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั ไมอ่ ยใู่ นอา� นาจของใครนอกจาก เหตุผลและเหตุปัจจัย เป็นเร่ืองที่พูดคุยถกเถียงกันมาเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง นักปราชญ์ผู้รู้ ทั้งทางตะวันออก อย่างเช่น พระพุทธเจ้า เล่าจ้ือ ขงจ้ือ เป็นต้น และตะวันตก เช่น พระเจ้าต่าง ๆ โสเครตีส เพลโต้ และอรสิ โตเติล เป็นต้น ต่างมคี วามคดิ เห็นเกีย่ วกับมนษุ ยแ์ ละสงั คมตามความรแู้ ละ ประสบการณ์ของเขา น�าไปสู่การปฏิบัติท่ีแตกต่างกันออกไป ดังปรากฏการณ์ทางสังคมที่ปรากฏอยู่ ทั่วโลก บางอย่างยังหาข้อสรุปข้อเท็จจริงของมนุษย์กับสังคมไม่ได้ แม้แต่การศึกษาสังคมวิทยาแบบ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน จึงจ�าเป็นอย่างยิ่งที่จะศึกษาวิเคราะห์มนุษย์ สังคม และหลักการด�าเนินชีวิต ทางสังคม เพ่ือความรู้เข้าใจตนเอง สังคม และหลักการด�าเนินชีวิตท่ีถูกต้อง แล้วน�าไปประยุกต์ใช้ใน การด�าเนินชีวิตทางสังคม ก่อเกิดประโยชน์เก้ือกูลความสุขแก่ตนเองและผู้อ่ืนตามความเหมาะสม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผันผวนของสังคมโลกอย่างต่อเน่ือง เพื่อทดลองพิสูจน์ข้อเท็จจริงของส่ิง ต่าง ๆ ทงั้ หลาย ระหว่างวทิ ยาการความรูต้ ่าง ๆ ทัง้ หลายตอ่ ไป
10 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งต้น อะไรคือสังคมวทิ ยา คา� ว่า “Sociology (สังคมวิทยา)” มาจากภาษาละติน (Latin) คอื “Socius” แปลวา่ เพ่อื น (Companion) และภาษากรีก (Greek) คือ “ology” (= study of) มคี วามหมายว่า ศึกษา เปน็ การ ศึกษาเพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน ออกุสต์ คองต์ (August Comte, ๑๗๙๘-๑๘๕๗) นักคิดทางสังคมชาว ฝรั่งเศสเป็นคนแรกที่ใช้ค�านี้ และได้รับการยกย่องยอมรับว่า เป็นบิดาของสังคมวิทยา (Marshall, ๒๐๐๕: ๖๒๘) สงั คมวทิ ยาเปน็ การศกึ ษารเู้ ขา้ ใจการกระทา� ระหวา่ งกนั ของมนษุ ย์ เพราะมนษุ ยต์ อ้ งมชี วี ติ อยู่ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่น ยกตัวอย่าง ในครอบครัวหรือที่โรงเรียน ต้องรู้จักตนเองและคนอ่ืนว่าจะ เข้าไปเก่ียวข้องสัมพันธ์อย่างไร และจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร อันเป็นกระบวนการกระท�าและคาดหวัง ทางสงั คมทยี่ อมรบั ตอ้ งการ สงั คมวทิ ยาศกึ ษาวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งกลมุ่ สงั คมตา่ ง ๆ วา่ พวกเขาทา� หนา้ ท่ี ปฏบิ ัติตอ่ กนั อยา่ งไรในสงั คมของพวกเขา “Sociology involves the study and understanding of human interaction. As people live their lives in relation to others-for example, in a family or at school-how they perceive themselves and others and how the act is a consequence of the types of interactions and expectations that occur in a given setting. Sociology analyzes how various group structures are organized how they work and what meaning individuals bring to and get from the groups in which they live” (Magill, ๑๙๙๕: ๑๓๒๘) สังคมวิทยาเป็นการศึกษาอย่างเป็นระบบแบบแผนถงึ หน้าที่ องคก์ ร การพฒั นาเปลยี่ นแปลง ของสงั คมมนษุ ย์ทงั้ หลาย โดยใช้วทิ ยาการตา่ ง ๆ ทัง้ หลาย เพอ่ื ใหไ้ ด้ความจรงิ มเี หตผุ ลมากทสี่ ุด “Sociology refers to the systematic study of functioning, organization, develop- ment and types of human societies without this implying any particular model of science for reality of human societies” (Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๕๘๔) แมน้ กั สงั คมไดใ้ หค้ า� นยิ ามของสงั คมวทิ ยาไวแ้ ตกตา่ งกนั แตส่ ว่ นใหญก่ ลา่ วยนื ยนั วา่ การศกึ ษา ทางสงั คมวทิ ยาเปน็ แบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ ศกึ ษาเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมมนษุ ย์ (Human behaviors) และความสมั พนั ธห์ รอื การกระทา� ระหวา่ งมนษุ ย์ (Human relations or interactions) เปน็ การศกึ ษา สงั คมวทิ ยาทม่ี ขี อบเขตกวา้ งขวางครอบคลมุ พฤตกิ รรมมนษุ ยท์ กุ ดา้ นในสงั คมมนษุ ย์ อนั รวมไปถงึ ศกึ ษา วิเคราะห์บทบาท หน้าที่ องค์กร สถาบัน และโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันหลักทางสังคม คือสถาบันครอบครัว ศาสนา การศึกษา การเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจ เพื่อวิเคราะห์อธิบาย พฤตกิ รรมมนุษย์อย่างเปน็ ระบบแบบแผน เพ่อื ให้ไดผ้ ลขอ้ สรุปตรงความเป็นจรงิ มีเหตผุ ลมากที่สุด
บทนำ� 11 ลักษณะการเปล่ยี นแปลงและววิ ฒั นาการสงั คมมนุษย์ หากมคี า� ถามวา่ สงั คมมนษุ ยเ์ กดิ ขน้ึ เมอื่ ไร ทไี่ หน อยา่ งไร เปน็ การยากมากทจ่ี ะระบชุ ช้ี ดั ลงไปได้ ไมม่ ใี ครทจี่ ะสามารถรเู้ ขา้ ใจไดอ้ ยา่ งชดั เจน เพราะไมม่ หี ลกั ฐานใหย้ นื ยนั ตรวจสอบได้ จงึ ไดแ้ ตส่ นั นษิ ฐาน เอาว่า สังคมเรานี้เกิดพร้อมกับมนุษย์ แล้วมีวิวัฒนาการมาตามล�าดับ มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นพวกเป็นสังคม เพื่อช่วยเหลือพึ่งพิงป้องกันตนเองตามธรรมชาติ ในสังคม มนุษย์ มีการศึกษาเรียนรู้พัฒนา ติดต่อเกี่ยวข้องสัมพันธ์สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยเฉพาะติดต่อกันทางภาษา กลายเป็นวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์เหลือไว้ให้ศึกษากันตราบเท่า ทกุ วนั น้ี สงั คมมนษุ ยม์ กี ารขบั เคลอ่ื นเปลยี่ นแปลงพฒั นาอยตู่ ลอดเวลา เพอื่ ใหเ้ หน็ ภาพการเปลยี่ นแปลง เจริญกา้ วหนา้ พัฒนาของสังคมมนุษยจ์ ากยคุ สูย่ คุ (Development of human society) จึงขอเสนอ ววิ ัฒนาการสังคมมนษุ ย์ ดังนี้ ๑. สงั คมเกา่ ดง้ั เดมิ (Primitive or simple society) เปน็ สงั คมมนษุ ยแ์ บบงา่ ย ๆ ไมซ่ บั ซอ้ น มนุษย์มีชวี ิตตามธรรมชาติ อยูร่ ว่ มกบั สตั วต์ ่าง ๆ ทั้งหลายในปา่ เขาลา� เนาไพร ไม่รเู้ ขา้ ใจอะไรเลย ไม่มี หลักในการด�าเนินชีวิต ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีกฎเกณฑ์กติกา และวัฒนธรรมประเพณี ไม่รู้จักใช้ชีวิต ไม่เข้าใจชวี ิตและเปา้ หมายของชีวติ ไม่รู้จักทา� มาหาเลีย้ งชีพ อาศัยอยูก่ ับธรรมชาติ ใชว้ ัตถุอุปกรณท์ มี่ ี อยู่ตามธรรมชาติ หาเก็บอาหารพืชผักผลไม้กินตามธรรมชาติ เที่ยวว่ิงไล่ล่าฆ่าจับสัตว์กินเป็นอาหาร ตามธรรมชาติ อพยพเที่ยวไปหากินไปเรื่อยไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่แตกต่างไปจากสัตว์ท้ังหลายในป่า หิวก็หากิน กระหายก็ดื่มน�้า เหน่ือยก็พักผ่อน ง่วงก็นอนหลับตอบสนองความต้องการทางธรรมชาติ เปน็ สงั คมเกา่ เรยี บงา่ ย ไมม่ กี ารแบง่ บทบาทหนา้ ทท่ี างสงั คม ไมม่ เี ครอื่ งมอื เครอ่ื งใชท้ ที่ นั สมยั ไมม่ อี งคก์ ร สถาบัน และไม่มวี ฒั นธรรม ๒. สังคมเกษตรกรรม (Agricultural society) เม่ือมนุษย์มีเพ่ิมมากขึ้น ใช้เสพบริโภค ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ไม่พอเพียง จึงมีการแก่งแย่งแข่งขันกัน เกดิ ขน้ึ มกี ารจดั สรรปนั สว่ นสว่ นทอ่ี ยอู่ าศยั กนั เกดิ ขน้ึ เรมิ่ รจู้ กั สรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั เรมิ่ รจู้ กั การทา� มาหากนิ รจู้ ักการเพาะปลกู เลย้ี งสตั ว์ รูจ้ กั วธิ ีจับสัตว์มาเป็นอาหาร รู้จักการเกบ็ สะสมรักษาอาหาร พยายามหา วธิ อี ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งปกตสิ ขุ ไมม่ ปี ญั หา ตงั้ กฎเกณฑก์ ตกิ าขนึ้ มาใชใ้ นสงั คม พยายามหาหลกั ในการดา� เนนิ ชวี ิตท่ถี กู ตอ้ ง พยายามใชช้ ีวิตให้สอดคลอ้ งสมั พันธก์ บั ธรรมชาติ ร้จู ักเขา้ ไปเก่ยี วข้องสมั พนั ธก์ ับคนอ่ืน ดขี นึ้ รจู้ กั การแลกเปลยี่ นใหแ้ บง่ ปนั รจู้ กั ทา� มาคา้ ขายแลกเปลย่ี นสงิ่ ของ ถอื ไดว้ า่ เปน็ การเปลยี่ นแปลง พัฒนาสงั คมมนุษย์อีกขน้ั หน่ึง
12 สังคมวทิ ยาเบือ้ งตน้ ๓. สังคมอุตสาหกรรม (Industrial society) สังคมมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาข้ึน เรอื่ ย ๆ เขา้ สยู่ คุ อตุ สาหกรรม เรยี กไดว้ า่ เปน็ การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมสมยั ใหม่ (Industrial Revolution, ๑๗๖๐-๑๘๕๐) เป็นการเปล่ยี นแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวทิ ยาศาสตร์ มนุษยร์ ้จู กั ใช้ เครื่องมอื อุปการณ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ และกรรมวธิ ีใหม่ ๆ ในการผลติ นา� ไปสกู่ ารผลติ ทางอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ จากในบา้ นมาเปน็ โรงงาน รจู้ กั สรา้ งประดษิ ฐเ์ ครอื่ งใชส้ อย เครอื่ งอา� นวยความสะดวกตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย ทา� ใหก้ ารตดิ ตอ่ คมนาคมสะดวกสบายมปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ลมากขน้ึ เทคโนโลยกี ม็ บี ทบาท ส�าคัญในการด�าเนินชีวิตของมนุษย์มากขึ้นจนถึงปัจจุบัน สังคมและวัฒนธรรมถูกก�าหนดด้วย กระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ ท�าให้มนุษย์ต้องต่อสู้ด้ินรนแก่งแย่งแข่งขันกัน มากยง่ิ ขน้ึ จากทา� งานในบา้ นมาทา� งานนอกบา้ น เพอ่ื การเปน็ อยเู่ ปน็ ไปและความสะดวกสบายมากขน้ึ ถือได้ว่าเป็นการเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมคร้ังใหญ่ เป็นเหตุปัจจัย สา� คัญน�าไปส่สู งั คมสมยั ใหม่ ๔. สังคมสมัยใหม่ (Modern society) จากสังคมอุตสาหกรรมกลายเป็นสังคมสมัยใหม่ เริ่มในคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ ตอ่ มา หรอื ตัง้ แต่สงครามโลกครง้ั ที่ ๒ (๑๙๓๙-๑๙๔๕) สังคมสมยั ใหม่เป็น ลกั ษณะสงั คมเมอื ง (Urbanization) เปน็ สงั คมทเี่ จริญพัฒนาก้าวหนา้ ในกิจกรรมการผลติ (Improve- ments in productivity) เจริญพัฒนาด้านวัตถุ (Materials) เทคโนโลยี (Technologies) การเสพ บริโภคใช้สอย (Consumptions) การบริการทางสังคม (Social services) การศึกษา (Education) องค์กรหรือสถาบนั ทางสงั คม (Social organizations) ขอ้ มูลขา่ วสาร (Information) ส่อื สารมวลชน (Mass media communications) เปน็ ลกั ษณะสงั คมผลติ ใชส้ อยเสพบรโิ ภคอยา่ งสะดวกสบายรวดเรว็ ท�าให้สังคมทั้งหลายกลายเป็นสังคมบริโภคนิยม แม้แต่สังคมไทยในปัจจุบันก็เป็นลักษณะบริโภคนิยม เพราะผลของความเจริญทางการศึกษา เทคโนโลยี การติดต่อสื่อสาร สังคมจึงมีการขับเคลื่อน เปลย่ี นแปลงเจริญพัฒนากา้ วหนา้ อย่างตอ่ เน่ืองไมห่ ยดุ ยัง้ ปรากฏชัดเจน สังคมมนุษย์เป็นเร่ืองธรรมดา เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ เป็นกระบวนการธรรมดาท่ีเกิดข้ึนเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย เป็นการก่อเกิดท่ีอาศัย ความจริงหลายอย่างเกิดข้ึนเป็นไป เปล่ียนแปลงพัฒนาตามกาลเวลาและเหตุปัจจัยอย่างต่อเน่ือง ไม่ใช่สาเหตุและปัจจัยเดียว ไม่ใช่เทพเจ้าสร้างท�าบันดาลให้เกิดตามเจตนารมณ์ของท่าน เป็นแบบ ลักษณะธรรมดาหรือธรรมชาติ มนษุ ย์เปน็ ผูส้ รา้ งสรรคพ์ ัฒนาสงั คมโลก เป็นผู้มีอทิ ธิพลบทบาทส�าคญั ในสังคมโลก เป็นกระบวนการเกิดข้ึนเป็นไปอย่างมีเหตุผลและเหตุปัจจัย เป็นกฎธรรมดาเหตุผล มีปรากฏใหเ้ ห็นอย่ทู ่วั ไปท้งั ในสงั คมโลกตะวันออกและตก
บทน�ำ 13 การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาทัว่ ไป กอ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ นกั คดิ นกั ปราชญส์ นใจศกึ ษาลกั ษณะสงั คมมนษุ ย์ โดยใชห้ ลกั ศาสนา ปรชั ญา และการเมืองกันอย่างกวา้ งขวาง (Theological, philosophical and political contexts) เม่ือสังคมมนุษย์มีการเปล่ียนแปลงพัฒนาขึ้นเร่ือย ๆ เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม เรียกได้ว่า การปฏิวัติ อุตสาหกรรมในอังกฤษ (Industrial Revolution in UK, ๑๗๖๐-๑๘๕๐) เป็นการเปลี่ยนแปลงทาง สงั คม เศรษฐกจิ และเทคโนโลยี มนษุ ย์รจู้ กั ใชเ้ ครอ่ื งมอื อุปการณเ์ ทคโนโลยใี หม่ ๆ และกรรมวิธใี หม่ ๆ ในการผลิต น�าไปสู่การผลิตทางอุตสาหกรรมแบบโรงงาน และเทคโนโลยีก็มีอิทธิพลบทบาทส�าคัญใน การดา� เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ยม์ ากขนึ้ จนถงึ ปจั จบุ นั เพอ่ื การเปน็ อยเู่ ปน็ ไปและความสะดวกสบายมากยงิ่ ขน้ึ ในการเปลี่ยนแปลงเจริญพัฒนาของสังคมมนุษย์ ท�าให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากข้ึน จึงมีการศึกษาตรวจสอบสังคมด้ังเดิมของมนุษย์และการเปล่ียนแปลงพัฒนาของสังคม โดยการศึกษา วเิ คราะหป์ ระวตั คิ วามเปน็ มาองคก์ รสถาบนั และโครงสรา้ งทางสงั คม โดยเฉพาะสถาบนั หลกั ทางสงั คม คอื สถาบนั ครอบครวั ศาสนา การศกึ ษา การเมอื งการปกครอง และเศรษฐกจิ ตลอดถงึ พฤตกิ รรมมนษุ ย์ และความสมั พนั ธก์ นั ทางสงั คม ถอื ไดเ้ ปน็ การศกึ ษาสงั คมมนษุ ยก์ นั อยา่ งจรงิ จงั เพอ่ื ความรเู้ ขา้ ใจความ จรงิ ถูกตอ้ งดงี ามของชวี ิตและสงั คมยิ่ง ๆ ข้ึนไป ในคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ การศึกษาสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบแบบแผนก็เกิดข้ึน กล่าวคือ ออกุสต์ คองต์ (August Comte, ๑๗๙๘-๑๘๕๗) ได้พยายามศึกษาวิเคราะห์ชีวิตและสังคมมนุษย์ เชงิ วทิ ยาศาสตร*์ (Science) ทเี่ รยี กกนั วา่ การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาแบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ (Positivism) ศกึ ษาพฤตกิ รรมมนษุ ยด์ ว้ ยการสงั เกต เปรยี บเทยี บ พสิ จู น์ ทดลอง และอธบิ ายปรากฏการณท์ างสงั คม เช่นเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เพ่ือความรู้จริงอย่างถูกต้องแม่นย�าท่ีสุด เพื่อการสนับสนุนส่ง เสรมิ ยอมรบั สงั คมวทิ ยา คองตย์ นื ยนั วา่ ความรจู้ รงิ คอื ความทางวทิ ยาศาสตร์ อนั ไดแ้ ก่ ความรทู้ อี่ ธบิ าย * กล่าวโดยท่ัวไป วิทยาศาสตร์ (science) แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๑. วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure science) หรือ วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ (Nutural science) เปน็ การศกึ ษาความจรงิ ของปรากฏการณธ์ รรมชาตติ า่ ง ๆ ทง้ั หลาย วทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาติ (Natural science) ยังแบ่งออกเปน็ ๒ สาขา คือ A) วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (Physical science) เป็นวทิ ยาศาสตร์ ท่ีศึกษาเกี่ยวกับส่ิงไม่มีชีวิต มีฟิสิกส์ (Physics) เคมี (Chemmistry) และดาราศาสตร์ (Astronomy) เป็นต้น B) วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ (Biological science) เปน็ วิทยาศาสตรท์ ่ศี ึกษาเก่ยี วกับสงิ่ มีชวี ติ มพี ืชและสตั ว์ อนั ไดแ้ ก่ พฤกษศาสตร์ (Botany) และสัตววิทยา (Zoology) ส่วนวิทยาศาสตร์สังคมหรือสังคมศาสตร์ (Socail science) อันได้แก่ สังคมวิทยา (Sociology) มานุษยวิทยา (Anthropology) เศรษฐศาสตร์ (Economics) รัฐศาสตร์ (Political science) จิตวิทยาสังคม (Social psychology) ทณั ฑวทิ ยา (Penology) เปน็ ต้น ๒. วทิ ยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied science) เป็นวทิ ยาศาสตร์ ท่ีศึกษาเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีมุ่งประโยชน์ในทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี เช่น แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น เพื่อให้เป็นภาพที่ชัดเจน มีคนป่วยเป็นโรค เช่น โรคเอดส์ มีการศึกษาค้นคว้าฟิสิกส์เคมีเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ หรอื วทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ ไดผ้ ลสรุปแล้วมาท�าปรบั ปรุงเป็นยาผลิตออกมาเพ่ือรกั ษาโรคเปน็ วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์
14 สังคมวิทยาเบอ้ื งต้น การมีอยู่และการสืบต่อของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีสามารถมองเห็นสังเกตได้ รวมไปถึง ปรากฏการณ์ทางทั้งร่างกายและสังคม (Positivism = the only true knowledge is scientific knowledge, i.e. knowledge which describes and explains the coexistence and succession of observable phenomena, including both physical and social phenomena, Jary and Jary, ๒๐๐๐: ๔๗๑) เพอ่ื ความร้เู ขา้ ใจสงั คมมนุษย์ตามความเปน็ จรงิ คองตพ์ ยายามเรม่ิ ศกึ ษาหาความ รทู้ างศาสนาหรอื เทววทิ ยา (Theological stage, ๑๓๐๐) แสดงใหเ้ ห็นว่า ความรทู้ างศาสนาเป็นบอ่ เกิดแห่งศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งหลาย และเป็นที่ยอมรับกันของนักปราชญ์ทั้งหลายในปัจจุบัน ขั้นท่ีสอง ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทางปรัชญา (Philosophy) โดยเฉพาะอภิปรัชญา (Metaphysical stage, ๑๓๐๐-๑๘๐๐) พยายามรู้เขา้ ใจความจรงิ สรรพสิง่ ความจรงิ แท้ของธรรมชาติ อะไรคือความจริง และ ขั้นท่ี ๓ ขั้นสุดท้าย ศึกษาสังเกตค้นคว้าหาความรู้โดยหลักหลักวิทยาศาสตร์ (Positivistic stage, in ๑๘๐๐) ศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานเหตุผลแล้วจัดเป็นระเบียบแบบแผน ทางที่จะเข้าถึงความจริง ได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก�าหนดปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตทดลอง เปรยี บเทยี บ วเิ คราะหข์ อ้ มลู อธบิ ายสรปุ ผล ศกึ ษาสงั เกตปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ ต้ังกฎอธิบายบรรยายปรากฏการณ์ทางสังคมน้ันได้ กล่าวได้ว่า การศึกษาสังคมวิทยาเป็นการศึกษา แบบวิทยาศาสตร์ (Form of Positivism or Science) แม้การศึกษาทางสังคมวิทยาไม่สามารถให้ ขอ้ สรุปได้อย่างถูกต้องแน่นอนแม่นยา� เหมอื นกบั ขอ้ สรปุ ของวทิ ยาศาสตร์ แต่ก็พยายามศึกษาให้ไดข้ อ้ สรุปแม่นย�าเท่ียงธรรมมากท่ีสุด การศึกษาทางสังคมวิทยาก็ส่งผลมีอิทธิพลบทบาทต่อแนวคิดของ นกั สงั คมวิทยาทั้งหลายต่อมา อยา่ งเชน่ เฮอรเ์ บิรท์ สเปนเซอร์ (Herbert Spencer, ๑๘๒๐-๑๙๐๓) และ (อมี ิล เดอรไ์ คม์ (Emile Durkheim, ๑๘๕๘-๑๙๑๗) เปน็ ต้น การศกึ ษาสังคมวทิ ยาสมัยใหม่ สงั คมวทิ ยาเปน็ การศกึ ษามนษุ ย์ กลมุ่ คน และสงั คมมนษุ ย์ ในเรอ่ื งพฤตกิ รรมและความสมั พนั ธ์ มนุษย์ ขอบเขตการศึกษาสังคมวิทยานั้นกว้างมาก ศึกษาวิเคราะห์ตรวจสอบต้ังแต่มนุษย์แต่ละคนไป จนถึงกระบวนการโลกทางสงั คม (Giddens, ๒๐๐๒: ๒) ตัง้ แต่คริสตศ์ ตวรรษที่ ๒๐ ต่อมา สังคมโลก ทเี่ รารเู้ หน็ เปน็ อยู่ ทา� ไมมลี กั ษณะเหมอื นกนั และทา� เหมอื นกนั ถอื ไดว้ า่ เปน็ ความจรงิ ปรากฏการณต์ าม ธรรมชาตทิ ่ไี มส่ ามารถหลีกเล่ียงได้ การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาสมยั ใหม่ (Modern study of sociology) เปน็ ผลมาจากการววิ ฒั นาการ แนวความคิดทางการเมืองยุโรปสมัยใหม่ ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ต่อมา ท�าให้ต้องการรู้ เข้าใจสังคมสมัยใหม่ ในความหมายบุคคลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ท้ังหลาย ในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และศีลธรรม อันรวมไปถึงแนวความคิดในเร่ืองความเป็นมนุษย์ และวิวัฒนาการประวัติศาสตร์เก่า และใหม่ (Owen, ๑๙๙๗: ๑-๒) สังคมวิทยาสมัยใหม่ (Modem sociology) สนใจในเรื่องความ
บทนำ� 15 เป็นมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ และแบบลักษณะมนุษย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) ในทางสงั คมและประวตั ศิ าสตรท์ มี่ กี ารววิ ฒั นาการมาตามลา� ดบั ตอ่ จากนไ้ี ป หลังจากสังคมสมัยใหม่ หรือสังคมที่เจริญแล้ว (after postmodernism) สังคมวิทยาหลังสมัยใหม่ (Postmodern sociology) จะเป็นอย่างไร เป็นเร่ืองท่ีจะต้องคิดเก็งและติดตามกันต่อไป ในโลกแห่ง ความจริงท่มี กี ารเปล่ยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา จากค�านิยามและปรากฏการณ์การศึกษาสังคมมนุษย์ พอสรุปได้ว่า ในยุคเร่ิมต้นการศึกษา สังคมวทิ ยา นักสงั คมวทิ ยาม่งุ ทศ่ี ึกษาวิเคราะหอ์ ธิบายเพ่ือนมนษุ ยด์ ว้ ยกัน (Companions) โดยช้ไี ปที่ พฤติกรรมและความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกัน (Human behaviors, relations, interactions) เปน็ การศกึ ษารเู้ ขา้ ใจชวี ติ กลมุ่ คน และสงั คมมนษุ ยเ์ ชงิ วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ ศกึ ษาวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรม และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ บั สง่ิ แวดลอ้ ม ในปจั จบุ นั มงุ่ ศกึ ษาวเิ คราะหเ์ หตปุ จั จยั ตา่ ง ๆ ทงั้ หลาย ทเ่ี กยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั เกดิ ขน้ึ ในปรากฏการณท์ างสงั คมทง้ั หมด เชน่ ประวตั ศิ าสตร์ (History) กฎหมาย (Law) วัฒนธรรม (Culture) เศรษฐกิจ (Economy) การเมือง (Politics) การศึกษา (Education) วิทยาศาสตร์ (Sciences) เทคโนโลยี (Technologies) องค์กรหรอื สถาบันทางสงั คม (Social organi- zations) สื่อสารมวลชน (Mass media communications) ชนชั้นทางสังคม (Social classes) แบบลักษณะความสัมพันธ์และบทบาทชายหญิง (Gender) ความแตกต่างทางเช้ือชาติของกลุ่มคน (Race) ลักษณะกลุ่มคนที่มีเชื่อชาติ ภาษา และชาติเดียวกัน (Ethnicity) เป็นต้น แม้ว่าสังคมวิทยา ยังไม่สามารถศึกษาวิเคราะห์สรุปข้อเท็จจริงทางสังคมอย่างแน่นอนเที่ยงธรรมเหมือนกับการศึกษา ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แต่ก็พยายามท่ีจะศึกษาสังคมมนุษย์โดยยึดหลักของวิทยาศาสตร์อย่าง เครง่ ครดั เพอื่ หาขอ้ สรปุ อยา่ งมเี หตผุ ลบนฐานของความเปน็ จรงิ ทสี่ ามารถพสิ จู นท์ ดลองยอมรบั ยนื ยนั ว่าเป็นความจรงิ ถูกต้องมีเหตผุ ลแบบสากลทั่วไป การศกึ ษาสังคมวทิ ยาแบบวทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาแบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ (Positivism) เปน็ การศกึ ษาเกย่ี วกบั สงิ่ มชี วี ติ หรือลักษณะของสิ่งมีชีวิต ในความหมายพฤติกรรมการกระท�ามากกว่าอารมณ์ความรู้สึก พฤติกรรม มนษุ ยท์ แี่ สดงออกอยา่ งนนั้ เปน็ เพราะเหตปุ จั จยั อะไร มอี ะไรเปน็ แรงกระตนุ้ จงู ใจทา� ใหเ้ กดิ ปจั จยั ภายใน หรอื ภายนอก ตวั เขาเองหรอื สง่ิ แวดลอ้ ม พฤตกิ รรมมนษุ ยส์ ามารถวดั ไดส้ งั เกตพสิ จู นท์ ดลองได้ สามารถ วิเคราะห์อธิบายสรุปมีเหตุผลได้ เป็นการเน้นศึกษาพฤติกรรมการกระท�ามนุษย์โดยตรง ความหมาย อารมณ์ความรู้สึก ความชอบรสนิยม ความต้องการ และเป้าหมาย เป็นต้น เป็นการศึกษาสังเกต โดยอ้อม การศึกษาโดยทางอ้อมอาจน�าไปสู่ผลข้อสรุปที่ผิดพลาดได้ไม่ถูกต้องแม่นย�า ยกตัวอย่าง คนสว่ นใหญแ่ ตง่ งานเพราะตอ้ งการมบี ตุ ร มคี วามตอ้ งการและเปา้ หมายอยา่ งนน้ั เมอ่ื มกี ารศกึ ษาสา� รวจ กไ็ ดข้ อ้ มลู เปน็ ความจรงิ อยา่ งนั้น แต่ก็ไม่สามารถสรุปผลวา่ เปน็ ความจรงิ ถูกต้องมีเหตผุ ลได้ เพราะยัง
16 สังคมวทิ ยาเบ้ืองตน้ มเี หตปุ จั จยั อน่ื อยู่ บางคนแตง่ งานเพราะเหงาไมต่ อ้ งการอยคู่ นเดยี ว เพราะความชอบ ความรกั สงสาร พึ่งพาอาศัยกัน หน้าท่ี หรือเพราะเป้าหมายอย่างอ่ืน แต่ละคนก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไปในการ แตง่ งาน อนั นา� ไปสผู่ ลขอ้ สรปุ แหง่ พฤตกิ รรมมนษุ ยไ์ ดไ้ มถ่ กู ตอ้ งแมน่ ยา� ชดั เจน นกั สงั คมวทิ ยาสว่ นใหญ่ เหน็ วา่ การแต่งงาน หรือเร่อื งอืน่ ๆ เช่น แบบลักษณะชายหญงิ บทบาท หน้าท่ี การแบ่งงาน เป็นตน้ เป็นการสร้างเกิดข้ึนทางสังคมและวัฒนธรรม ดังน้ัน จึงจ�าเป็นอย่างย่ิงที่ต้องน�าวิธีการวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติมาช่วยในการศึกษาอธิบายบรรยายพฤติกรรมมนุษย์ เพ่ือผลข้อสรุปมีเหตุผลถูกต้องแม่นย�า เปน็ ธรรมมากทสี่ ดุ เพอื่ ความชดั เจนการศกึ ษาสงั คมวทิ ยาแบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ จงึ ขอยกตวั อยา่ ง อกี ครง้ั หนงึ่ มคี า� กลา่ วโดยทวั่ ไปวา่ การนอนเปน็ การพกั ผอ่ นทด่ี ที สี่ ดุ การนอนเปน็ โอสถทพิ ยข์ องสขุ ภาพ ร่างกาย การนอนท�าให้คนมีสุขภาพร่างกายดีมีอายุยืนนาน ท�าให้นักวิทยาศาสตร์สงสัยอยากรู้ จึงได้ ทา� การศึกษาพสิ ูจน์ทดลอง ครัน้ จะจบั เอามนษุ ยม์ าท�าการพสิ จู น์ทดลอง ก็จะเป็นการทรมานสัตว์ขาด เมตตาไรม้ นษุ ยธรรม เพอื่ หาคา� ตอบทถี่ กู ตอ้ งแมน่ ยา� ทสี่ ดุ จงึ ไดท้ า� การศกึ ษาพสิ จู นท์ ดลองตามหลกั การ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ โดยการจับเอาหนู ที่เรียกกันว่าหนูทดลอง เลือกเอาหนูที่มีลักษณะดีสุขภาพ ร่างกายดี มาท�าการพสิ จู นท์ ดลองโดยท�าใหม้ นั ไมไ่ ด้หลบั ไดน้ อนทง้ั วันทั้งคืน ในทสี่ ดุ มันกต็ าย แลว้ กม็ ี การพิสูจน์หนูโดยเอาเลือดหนูไปตรวจ ก็พบว่า หนูตายเพราะมีเช้ือโรคชนิดหนึ่งในเลือดมากเกินไป อันเกิดจากการไม่ได้พักผ่อนนอนหลับ ท�าให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหาย ระบบร่างกายท�างานไม่ เปน็ ปกติ การศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตรจ์ งึ สรปุ ไดว้ า่ การพกั ผอ่ นนอนหลบั เปน็ สง่ิ สา� คญั จา� เปน็ ตอ่ สขุ ภาพ ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเสียหายไป ท�าให้ระบบการท�างานของร่างกายดี ท�าให้ สขุ ภาพรา่ งกายแขง็ แรงสมบรู ณม์ อี ายยุ นื นาน ตอ้ งรจู้ กั พกั ผอ่ นนอนหลบั ใหส้ บายพอเพยี ง โดยประมาณ ๘ ช่ัวโมงต่อวัน ๑ วันมี ๒๔ ชั่วโมง อันหมายถึง ๑ ใน ๓ ของเวลาน่ันเอง หากต้องการผลข้อสรุป มเี หตผุ ลบนฐานความจรงิ ถกู ตอ้ งแมน่ ยา� กจ็ บั เอามนษุ ยม์ าทา� การทดลองเชน่ เดยี วกบั จบั หนมู าทดลอง ก็จะได้ค�าตอบทถี่ กู ต้องแม่นยา� ทส่ี ุด หมดความสงสยั กงั วลใจอย่างแน่นอน การศึกษามนุษย์กับสังคมโดยวิธีการวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ศึกษาสังเกตพิสูจน์ทดลอง เปรยี บเทยี บใหไ้ ดผ้ ลขอ้ สรปุ ถกู ตอ้ งแมน่ ยา� มากทส่ี ดุ ผลขอ้ สรปุ ทไี่ ดอ้ าจเปลยี่ นแปลงไดห้ ากมขี อ้ พสิ จู น์ หลกั ฐานใหมม่ าหกั ลา้ งผลขอ้ สรปุ เดมิ ทม่ี อี ยู่ นเ้ี ปน็ ปรากฏการณก์ ารศกึ ษาทางสงั คมทเ่ี กดิ ขนึ้ อยเู่ สมอ ๆ เพราะขอ้ จา� กดั บางประการในการศกึ ษาสงั คมวทิ ยา อาจเปน็ เพราะเราเปน็ มนษุ ยไ์ มใ่ ชส่ ตั วว์ ตั ถสุ งิ่ ของ หรือพชื หรอื อาจเปน็ เพราะสงั คม วฒั นธรรม กฎหมาย ศีลธรรม จารตี ประเพณี เครอื่ งมืออุปกรณ์ใน การศกึ ษา การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาจงึ ขาดความถกู ตอ้ งเทยี่ งธรรมแมน่ ยา� เมอื่ เทยี บกบั การศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ นักคิดนักปราชญ์บางท่านจึงไม่ยอมรับการศึกษาสังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็พยายามศึกษา ให้ไดผ้ ลข้อสรุปแม่นยา� เท่ยี งตรงมากทส่ี ุดเทา่ ทีเ่ ป็นไปได้
บทน�ำ 17 การศกึ ษาและประโยชนข์ องสงั คมวทิ ยา สงั คมวทิ ยาแบบพทุ ธศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ เป็นท่ีทราบกันอยู่แล้ว สังคมวิทยา สนใจศึกษาตรวจสอบพฤติกรรม การติดต่อสัมพันธ์ ความเปน็ มนษุ ย์ คณุ ภาพมนษุ ย์ แบบลกั ษณะมนษุ ย์ ตอ้ งการรเู้ ขา้ ใจพฤตกิ รรมและธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ถือมนุษย์เป็นเป้าหมายส�าคัญในการศึกษาอย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนมีเหตุผล แล้วเชื่อมโยง ไปยังเพ่ือนมนุษย์สังคมส่ิงแวดล้อม ท่ีเข้าไปเก่ียวข้องสัมพันธ์ เป็นการถือเอามนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง เป็นการศึกษาหาหลักความประพฤติทางสังคม จะท�าหรือแสดงอย่างไรจึงจะถูกต้องดีงาม อะไรท�าให้ เขาท�าหรือแสดงอย่างนั้น อะไรเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้แสดงพฤติกรรมทางสังคม กล่าวคือเป็น การศึกษาสถานภาพ บทบาท หน้าท่ี บรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม อันเป็นหลักศีลธรรมจริยธรรม และศึกษาหาความจริงธรรมชาติมนุษย์ อะไรคือความจริงแท้คุณค่าความหมายของมนุษย์ จุดส�าคัญ อยู่ตรงไหน อะไรเป็นเหตุปัจจัยท�าให้ก่อเกิด เกิดแล้วมีผลอย่างไร กล่าวคือมันคืออะไร อยู่ท่ีไหน และจะท�าอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงามและเป็นที่ยอมรับต้องการของสังคม เพ่ือความรู้เข้าใจอันดี ระหว่างกัน แก้ไขป้องกันปัญหาท้ังหลาย ความสงบสุขเรียบร้อย ความสัมพันธ์มั่นคงอันดีระหว่างกัน ความดีงามสมบูรณแ์ บบ เมื่อรู้เข้าใจแล้ว กว็ างแผนคอ่ ย ๆ หาคา� ตอบหรอื ขอ้ เท็จจริง เปน็ การคดิ ใคร่ครวญตรวจสอบ อยา่ งเปน็ ระบบแบบแผน ตง้ั สมมตฐิ าน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สงั เกตทดลองทดสอบเปรยี บเทยี บ วเิ คราะห์ ขอ้ มูล สรุปผลตามความเปน็ จรงิ นา� ไปสู่การค้นพบแล้วตั้งทฤษฎีใหม่ เป็นการศกึ ษาแบบวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ อธบิ ายบรรยายปรากฏการณท์ างสงั คมบนฐานความจรงิ มเี หตผุ ลถกู ตอ้ งใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ แตก่ เ็ ปน็ ท่ี น่าสังเกต ความจริงของมนุษย์ ความจริงของจิต คุณค่าความหมายท่ีแท้จริงของมนุษย์ การศึกษา สงั คมวทิ ยายงั ไมส่ ามารถเขา้ ถงึ ได้ จงึ ไมส่ ามารถใหค้ า� ตอบทถี่ กู ตอ้ งได้ จงึ มกี ารศกึ ษาพดู คยุ ถกเถยี งกนั มาอยา่ งต่อเนือ่ งถึงปจั จบุ นั การศกึ ษาสงั คมวิทยาแบบพทุ ธศาสตร์ เป็นการมงุ่ เน้นศึกษามนษุ ยแ์ ละสังคมตามความจรงิ เหตุปจั จยั โดยถือเอามนษุ ยเ์ ป็นจดุ ศนู ย์กลางในการศึกษาหาความจริงสิ่งทัง้ หลายอยา่ งมีเหตผุ ลสากล ถูกต้องดีงาม มุ่งป้องกันแก้ไขท่ีมนุษย์หรือจิตมนุษย์เป็นส�าคัญ จากมนุษย์หรือปัญหามนุษย์ไปสู่สิ่ง ภายนอกสงั คมวฒั นธรรม ซงึ่ แตกตา่ งไปจากการศกึ ษาอน่ื ทงั้ หลาย แตก่ ารศกึ ษาทงั้ หลายปจั จบุ นั เหน็ จะ ยอมรบั หลักการนี้ เป็นการศึกษาความจริงมนุษย์ สังคม หลกั การประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามความเป็นจริงมี เหตุผล เกิดพฤติกรรมปกติดีงามมีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อย มีคุณภาพจิตหรือชีวิตที่ดี มีปัญญา ความรอบรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นประโยชน์สุข เก้ือกูล ความสัมพันธ์มั่นคง มีชีวิตท่ีดีงามประเสริฐม่ันคงย่ังยืนตลอดไป และเป็นการศึกษาวิเคราะห์ ความจรงิ สิง่ ทง้ั หลาย อันเป็นกระบวนการเกิดข้ึนเปน็ ไปเปลย่ี นแปลงตามเหตุปจั จยั ทง้ั หลาย กลา่ วคอื
18 สงั คมวิทยาเบื้องต้น มีหลายสาเหตุและส่ิงเก้ือหนุนท�าให้เกิดขึ้น ท้ังท่ีเป็นเหตุปัจจัยภายในและภายนอก อันหมายถึง ตัวมนษุ ย์เองและสังคมสงิ่ แวดล้อม ให้เกิดความสมั พันธ์สมดุลและบูรณาการ อันเป็นแบบลักษณะทาง สายกลาง ที่ไม่ตึงและหย่อนจนเกินไป เป็นกระบวนการธรรมดาหรือธรรมชาติ ท่ีถูกสร้างก�าหนด ด้วยการกระท�าของมนุษย์เอง หากจะแก้ไขปรับปรุงเปล่ียนแปลงสร้างสรรค์พัฒนาก็ต้องด้วยปัญญา และการกระท�าของมนุษย์เอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือทรงค้นพบธรรมหรือธรรมดาสิ่งท้ังหลาย แลว้ นา� มาบญั ญตั จิ า� แนกเปดิ เผยแสดงสงั่ สอนสงั คมโลกตามความเปน็ จรงิ เพราะความจรงิ สงิ่ ทง้ั หลาย เหล่านี้ พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ก็มีอยู่แล้วตามธรรมดาหรือธรรมชาติ ไม่ใช่ส่ิงเพ้อฝัน เหลวไหลไรส้ าระเกดิ ขนึ้ ปราศจากความจรงิ มเี หตผุ ล ดงั นน้ั ในความหมายน้ี การศกึ ษาสงั คมวทิ ยาตาม ธรรมชาติแบบพุทธ ก็คือศึกษาสัจธรรม หลักความจริงแท้ทั่วไป สภาวะความจริงที่มีอยู่แล้วตาม ธรรมชาติ มอี ยอู่ ยา่ งนนั้ ตลอดไปไมเ่ ปลยี่ นแปลง และจรยิ ธรรม หลกั การประพฤตปิ ฏบิ ตั หิ รอื การดา� เนนิ ชีวิตดีงามประเสริฐ สอดคล้องสัมพันธ์กับสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง ก่อเกิดประโยชน์สุขเก้ือกูล ดีงามตามเหตุปัจจัย เป็นการรู้เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลายตามความเป็นจริงมีเหตุผล ลักษณะการรู้ ความจรงิ สิง่ ดงี าม กเ็ หมือนกบั คนเราเดนิ เขา้ ไปในท่มี ืดหรือห้องมืด แล้วก็เปิดไฟ แสงสวา่ งกจ็ ะปรากฏ ท�าลายความมืด ท�าให้มองเห็นสงิ่ ท้งั หลายตามความเป็นจริง แลว้ น�ามาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเป็นประโยชน์ เก้ือกูล เกิดความเรียบร้อยดีงามประเสริฐ ความสัมพันธ์ม่ันคงยั่งยืน บรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิต ทางสงั คม ส่วนการศึกษาวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การศึกษาแบบปรัชญานั่งนึกเอาอย่างมีเหตุผลปราศจาก การพิสูจน์ทดลอง เป็นการสนใจศึกษาวิจัยธรรมชาติทั่วไป สังคมโลกธรรมชาติภายนอก หรือโลก แห่งวตั ถุ โดยการพสิ ูจนท์ ดลองสรปุ ผลตามความเป็นจริงตามที่กลา่ วมาแลว้ ตอ้ งการรูเ้ ขา้ ใจความจริง ธรรมชาตหิ รือโลกวัตถุ ตอ้ งการเอาชนะธรรมชาติ แกไ้ ขป้องกันปัญหาสงั คมโลก เพ่ือความเรยี บร้อยดี งามเป็นปกติสุข ความเจริญก้าวหน้าย่ิง ๆ ข้ึนไป แม้ศึกษามนุษย์ก็ศึกษาในฐานะเป็นวัตถุช้ินหนึ่ง เปน็ สว่ นหนงึ่ ของโลกวตั ถุ ไมไ่ ดศ้ กึ ษาความจรงิ คณุ คา่ ความหมายมนษุ ย์ วทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษาชวี ติ มนษุ ย์ แตก่ ศ็ กึ ษาในแงข่ องชวี วทิ ยาทเี่ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของโลกวตั ถุ ไมส่ ามารถเขา้ ถงึ ธรรมชาตคิ วามเปน็ มนษุ ยไ์ ด้ ยังให้ค�าตอบธรรมชาติหรือจิตมนุษย์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์สนใจแต่โลกวัตถุภายนอก พอมาถึงธรรมชาติ มนุษย์ ก็ศึกษาแค่ชีววิทยาหรือพันธุวิศวกรรม เป็นการสร้างปรุงแต่งเพ่ิมพันธุ์พืชสัตว์และมนุษย์ แปลก ๆ ใหม่ ๆ ดงั มีปรากฏให้เหน็ ในรปู แบบลกั ษณะหนุ่ ยนต์เครื่องใชส้ อยเทคโนโลยี เปน็ การถอื เอา โลกวตั ถุเป็นจดุ ศูนยก์ ลางในการศึกษาหาความจรงิ เม่อื รู้เขา้ ใจโลกวตั ถตุ ามความเปน็ จริงแล้ว กน็ �ามา ประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู ตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงั คมโลก สรา้ งเครอื่ งประดษิ ฐเ์ ทคโนโลยี มวี ทิ ยุ โทรศพั ท์ (มือถอื ) โทรทศั น์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ รถ เรอื เครอ่ื งบนิ หุ่นยนต์ เครื่องไฟฟ้า เคร่อื งใชส้ อยอา� นวย ความสะดวกทั้งหลาย ยา อุปกรณ์เครื่องรักษาโรค เคร่ืองผ่าตัด เครื่องเอกซเรย์ (เอกซเรย์ด้วย
บทน�ำ 19 คอมพิวเตอร)์ เปน็ ตน้ ลว้ นมาจากความรูห้ รอื ความกา้ วหน้าทนั สมยั ทางวิทยาศาสตร์ สรา้ งประโยชน์ มหาศาลแกม่ นุษยแ์ ละสังคมโลก สร้างความเจรญิ ร่งุ เรืองก้าวหน้าทางวตั ถุ กลา่ วไดว้ า่ โลกวัตถเุ จรญิ ถึง จุดสูงสุด สุดเขตแดนแห่งโลกวัตถุ วิทยาศาสตร์มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์เช่นเดียวกัน กล่าวคือ กอ่ ปญั หาสรา้ งความเดอื ดรอ้ นสบั สนวนุ่ วายใหก้ บั มนษุ ยแ์ ละสงั คมโลกเชน่ กนั ทา� ใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลง ผันผวนสังคมวัฒนธรรมมากขึ้น แก้ปัญหาหนึ่งได้ ปัญหาใหม่ก็เกิดข้ึนตามมา ปัญหากลับเพิ่มทวีคุณ มากย่ิงขึ้น มนุษย์มีความอยากต้องการมากข้ึน ต่อสู้ดิ้นรนเอารัดเอาเปรียบฆ่าท�าลายกันมากขึ้น เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซึง่ วัตถุสงิ่ ประดษิ ฐ์ ตอบสนองความอยากตอ้ งการของตนเอง เพอื่ ความสะดวกสบายและ ความสขุ ของตนเอง ในบางคร้งั เครอื่ งวัตถุสิ่งประดษิ ฐ์ เช่น รถ มือถือ คอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ ยงั กลับมา ท�าอันตรายท�าร้ายเจ้าของเอง เพราะถ้าหากใช้ไม่เป็นใช้ไปในทางท่ีผิด หรือพกพาติดตัวน�าไปก็อาจ สร้างปัญหาภัยอันตรายให้กับตัวเอง อาจถูกทุบตีแย่งชิงท�าร้ายหรือฆ่า แม้มีแต่ตัวร่างกายก็ยังเป็น ภยั อนั ตรายไมป่ ลอดภยั แลว้ ทสี่ ดุ มนษุ ยแ์ ละสงั คมโลกกพ็ บกบั ปญั หาหรอื ทางตนั อกี ครง้ั หนงึ่ จงึ พยายาม คดิ หาทางแก้ไขปอ้ งกันปญั หากนั ตอ่ ไป ก็คงไม่พ้นเรอื่ งมนษุ ย์ จิตมนษุ ย์ ความเปน็ มนษุ ย์ แบบลักษณะ มนษุ ย์ และศลี ธรรมจรยิ ธรรม แต่ก็เป็นเรอ่ื งทนี่ ่าเศร้าใจ การศึกษาวทิ ยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถเขา้ ถงึ ความจริงนี้ได้ จึงไม่สามารถให้ค�าตอบที่ถูกต้องแม่นย�าได้ จึงมีการศึกษาพูดคุยถกเถียงกันมาอย่าง ตอ่ เนอ่ื งถงึ ปจั จบุ ันนี้เชน่ กนั จึงตอ้ งศึกษาวจิ ยั ทา� กันต่อไป
บทที่ ๒ นักสังคมวทิ ยา กล่าวโดยท่ัวไป เมื่อมนุษย์ท้ังหลายมาอยู่รวมกัน ก็คงเกิดปัญหาท้ังหลายต่าง ๆ มากมาย แล้วมนษุ ยก์ ็ต้องการรเู้ ขา้ ใจปญั หาน้นั จากน้ัน ก็หาทางก�าจัดปอ้ งกันแก้ไขกันมาอย่างต่อเน่ือง ในสมัย แรกเริ่ม นักสังคมวิทยาทั้งหลายได้พยายามคิดวิเคราะห์อธิบายมนุษย์ มนุษย์เป็นใคร มาจากไหน ประกอบไปด้วยอะไร อะไรคือธาตุแท้หรือความเป็นมนุษย์ สังคมคืออะไร ประกอบไปด้วยอะไร และจะอยูก่ ันอยา่ งไร โดยใชห้ ลกั ศาสนาและปรชั ญา พยายามทกุ วิถีทางทจี่ ะรู้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ท้งั หลาย รอบข้างตนเอง เพ่ือน�ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดความถูกต้องเหมาะสมกับชีวิตและสังคม เกิดชีวิตที่ดีงาม ประเสรฐิ และสงั คมทีน่ ่าอยู่อาศยั เพราะในยุคดึกดา� บรรพ์ มนุษย์ยังไมร่ เู้ ข้าใจอะไร แม้แต่ตัวเองก็ไมร่ ู้ เข้าใจ คงไม่แตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลาย คงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับสัตว์ท้ังหลายในป่าตามธรรมชาติ อยู่มาวันหน่ึง คงมีคนเจ้าปัญญาเกิดความสงสัยต้องการอยากรู้คิดถามตัวเองว่า เอ๊ะ นี่อะไร นั่นอะไร เราเป็นใคร มาจากไหน มาเพื่ออะไร มาแล้วจะไปไหน คิดเดาคาดคะเนไปต่าง ๆ นานา เกิดแนวคิด ทฤษฎเี กยี่ วกบั สงั คมมนษุ ยม์ ากมาย โดยสว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งของธรรมชาตกิ บั เทพเจา้ ผยู้ งิ่ ใหญ่ เปน็ ผสู้ รา้ ง ก�าหนดแสดง เรอื่ งของพระเจา้ สรา้ งโลกและมนุษย์จึงมใี นแทบทุกสังคมศาสนาและวฒั นธรรม ครั้นสังคมมนุษย์เจริญพัฒนามาตามลา� ดับ จึงได้พยายามคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถ่ีถ้วนลึก ซงึ้ มเี หตผุ ลบนฐานของความจรงิ ถกู ตอ้ ง ศกึ ษาวเิ คราะหอ์ ธบิ ายความจรงิ สงั คมมนษุ ย์ การเปลย่ี นแปลง ท้ังหลาย พฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ ลักษณะคุณภาพคุณค่าความหมายของมนุษย์ มุ่งศึกษา วิเคราะห์เหตุปัจจัยต่าง ๆ ท้ังหลาย ท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเกิดข้ึนในปรากฏการณ์ทางสังคมท้ังหลาย เพือ่ ความร้เู ข้าใจความจริงถกู ต้องดงี ามของชวี ิตและสังคมย่งิ ๆ ขนึ้ ไป เพอ่ื แกไ้ ขปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลง ใหเ้ หมาะสม เพอื่ จดั การแกไ้ ขปญั หาทง้ั หลายทเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ มกี ารศกึ ษาคดิ วเิ คราะหเ์ กยี่ วกบั สงั คมมนษุ ย์ มาตามล�าดับถึงปัจจุบัน โดยอาศัยเคร่ืองมือท่ีทันสมัยช่วยในการศึกษาและหาค�าตอบให้ถูกต้องมาก ทสี่ ดุ กเ็ พอื่ ความรเู้ ขา้ ใจอยา่ งแจม่ แจง้ ชดั เจน การดา� เนนิ ชวี ติ ทถี่ กู ตอ้ งดงี าม สมั พนั ธส์ มดลุ และบรู ณาการ จงึ จ�าเป็นตอ้ งคิดวเิ คราะห์ตรวจสอบข้อเทจ็ จริงเหตุผลคา� สอนแนวคดิ ทฤษฎที ้ังหลายตอ่ ไปนี้ พระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าเองก็ได้พยายามรู้เข้าใจคนสังคมการเมืองหรือส่ิงท้ังหลายตามความเป็นจริง แต่การเห็นรู้เข้าใจของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เหมือนกับนักปราชญ์ท่านอ่ืน ๆ การทรงเห็นความจริงส่ิง ทั้งหลายหรือโลกสังคม เป็นการเห็นแจ้งด้วยการตรัสรู้ (Enlightenment of the Buddha) ไม่ใช่
22 สงั คมวิทยาเบอื้ งต้น ความรแู้ บบปรชั ญาและวทิ ยาศาสตร์ แตเ่ ปน็ ความรทู้ เี่ กดิ จากจติ หรอื ปญั ญาชน้ั สงู เปน็ เรอ่ื งของบคุ คล ผมู้ ีศีล ไมใ่ ชอ่ ื่นไกลไปจากตวั มนุษยเ์ อง เปน็ เร่ืองของปญั ญาและการลงมอื ปฏิบัติ พระองคท์ รงบา� เพ็ญ สมาธิ ละกิเลสท่ีเรียกว่านิวรณ์ ๕ ได้ เป็นจิตสะอาด (ด้วยอ�านาจศีลประพฤติเป็นปกติไม่เบียดเบียน ฆ่าท�าลาย) สงบ (ด้วยอ�านาจสมาธิฝึกฝนอบรมพัฒนาให้มีคุณภาพจิต) สว่าง (ด้วยอ�านาจปัญญารู้สิ่ง ทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ ) แลว้ บรรลฌุ าน ๑-๒-๓-๔ ตามลา� ดบั นอ้ มจติ ทส่ี งบหรอื ควรแกก่ ารงานนน้ั ไปเพง่ ดอู ะไร (ญาณทสั สนะ) กจ็ ะรเู้ หน็ สง่ิ นนั้ ดว้ ยปญั ญาตามความเปน็ จรงิ (สมาหโิ ต ยถาภตู งั ปชานาต-ิ วิปัสสติ) เกิดการรู้แจ้งสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง (วิปัสสนาญาณ) เหมือนกับคนเราเดินเข้าไปใน ที่มืดหรือห้องมืด แล้วเปิดไฟ ความสว่างก็จะท�าลายความมืด แล้วสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย ได้แจม่ แจ้งชดั เจน สรรพสงิ่ ไม่ว่าจะเปน็ สัตว์ บคุ คล หรือส่งิ ของ มชี ีวิตหรือไมม่ ีชีวติ เปน็ รูปธรรมหรอื นามธรรม ไมว่ า่ อดตี ปจั จบุ นั อนาคต ลว้ นเกดิ ขนึ้ เปน็ อยเู่ ปน็ ไปตามกฎธรรมชาตหิ รอื ธรรมดาเหตปุ จั จยั กลา่ วคอื มสี าเหตแุ ละปจั จยั สงิ่ เกอ้ื หนนุ หลายอยา่ งทา� ใหเ้ กดิ ขนึ้ คงอยแู่ ตกดบั ตายไป เปน็ เรอ่ื งของเหตผุ ล ท่ีโยงใยสัมพันธ์กันเกิดข้ึน เรียกว่าความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เร่ืองเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ดลบันดาล ให้เป็นไป ผู้เขียนจึงอยากจะชักชวนให้ผู้อ่านศึกษาคิดพิจารณาตรวจสอบปัญญาธรรมชาติแบบพุทธ ในแบบลักษณะน้ีให้แจ่มแจ้งชัดเจน ก็เพ่ือความรู้เข้าใจและมั่นคงในศาสนา ในอัคคัญญสูตร พระไตรปฎิ ก เล่มที่ ๑๑ และคมั ภีร์วสิ ุทธมิ รรคกล่าวไวว้ า่ โลกท่ีเราอาศยั อย่นู ้ี สักวันหนง่ึ จะหมนุ เวียน เปลย่ี นไปสคู่ วามแตกพนิ าศดบั สลาย สตั วท์ งั้ หลายบางพวกจะไปเกดิ ในพรหมโลกชนั้ อาภสั สร รอจนกวา่ โลกเยน็ ก็มฝี นตกลงมาถกู เถ้าผงธลุ ที ัง้ หลาย มีลมพัดมนี ้�าคลุกเคลา้ เถา้ ผงธลุ ีเข้าดว้ ยกนั เมื่อน้�าลดกจ็ ะ มีดนิ โผลข่ น้ึ จากผวิ นา้� พรอ้ มกบั มีง้วนดินหรือรสดนิ อันโอชะมีสีและกลิ่น แล้วสตั วเ์ หล่าน้ันก็จะมาเกิด ในโลกน้ี มแี สงสวา่ งในตวั ไปมาในอากาศ มกี เิ ลสตณั หาความอยาก มงี ว้ นดนิ เปน็ อาหาร (อาหารประเภท แรกของมนุษย์) กินไปกินมา แสงสว่างในตัวหายไป ก็มีแสงดวงดาว ดวงจันทร์ พระอาทิตย์ มีวันคืน ฤดู เดือน ปี เมือ่ กนิ ง้วนดินเป็นอาหาร ก็มรี ูปรา่ งกายเกดิ ข้ึน มผี ิวพรรณปรากฏ เกิดการยึดมั่นถือตัว เกิดการดูถูกเหยียดหยามกันในเรื่องแบบรูปร่างลักษณะผิวพรรณ เม่ือง้วนดินหาย ก็เกิดสะเก็ดดินข้ึน สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ก็กินสะเก็ดดินเป็นอาหาร ลักษณะรูปร่างผิวพรรณก็มีการเจริญพัฒนา ปรากฏชัดขน้ึ ตามลา� ดับ ตามดว้ ยการถอื ตวั ดถู กู เหยยี ดหยามกนั มากข้ึนตามลา� ดับ เม่อื สะเกด็ ดนิ หายไป ก็มีต้นไม้หรือเถ้าไม้เกิดข้ึนตามมา ก็กินต้นไม้เป็นอาหาร เม่ือเถ้าไม้ปรากฏหายไป ก็มีข้าวสาลี ไม่มี เปลือกแตม่ กี ลิ่นหอมเปน็ เมด็ เกดิ ขน้ึ แทน ก็กินข้าวสาลีเป็นอาหาร ข้าวนีเ้ กบ็ เชา้ เย็นกง็ อกเกดิ ขึน้ แทน เกบ็ เยน็ งอกเช้า ไม่ปรากฏหมดพรอ่ งไปเลย มีการเจรญิ พฒั นาแบบรูปร่างลกั ษณะผิวพรรณปรากฏชัด มากยิ่งข้ึน รู้จักการเก็บสะสมข้าวสาลีและอาหารเพ่ือวันข้างหน้า ๒-๔-๘ วันบ้าง เก็บสะสมมากขึ้น ขา้ วสาลจี งึ งอกขน้ึ ไมท่ นั จงึ มกี ารประชมุ ปรกึ ษาหารอื กา� หนดแบง่ เขตทดี่ นิ แสดงความเปน็ เจา้ ของดแู ล รักษา และมีการพัฒนาทางร่างกายกลายมีเพศเป็นหญิงและชาย มีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกัน
นกั สงั คมวทิ ยา 23 มีความอยากก�าหนัดเร่าร้อนต้องการ มีเพศสัมพันธ์ในท่ีแจ้งเปิดเผยอย่างไม่ละอาย เป็นท่ีรังเกียจ ไม่ยอมรับกัน จึงพากันต�าหนิติเตียนขว้างปาส่ิงของเข้าใส่ จึงพยายามหาท่ีก�าบังปกปิดซ่อนเร้น รจู้ กั สรา้ งทอ่ี ยอู่ าศยั บา้ นเรอื น กลายเปน็ กลมุ่ คน ชมุ ชน และสงั คม มกี ารตอ่ สแู้ กง่ แยง่ แขง่ ขนั มกี ารเอารดั เอาเปรียบเห็นแก่ตัว มีการโกหกพูดเท็จ มีการลักขโมย มีการฆ่าท�าลาย เป็นแบบลักษณะอธรรมเกิด แล้วจึงมีธรรมเกดิ ข้นึ ตามมา เมื่อสิง่ นีม้ ี สิง่ น้จี ึงมี จงึ มกี ารสรรหาเลือกผมู้ ปี ัญญาดีและความประพฤติดี เป็นแบบคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ต้องการ มาเป็นหัวหน้าผู้น�าทางสังคมและผู้น�าทางการเมือง การปกครอง ทง้ั หมดเกดิ ขนึ้ เปน็ ไปเพราะเหตปุ จั จยั และโดยธรรมตามความเปน็ จรงิ จงึ มปี รากฏการณ์ ทางสังคมต่าง ๆ ทั้งหลายเกิดข้ึนโดยธรรมหรือธรรมดา ความจริงของโลกสังคมหรือความจริงตาม ธรรมชาตมิ ีอยู่ ๕ (Five natural laws or origins) ประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี้ ๑. กฎธรรมชาติท่ีเกีย่ วกบั ส่งิ ไม่มีชีวติ (อุตุนิยาม, Physical laws) ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ที่เกี่ยวกับอุณหภมู ิหรอื ความเป็นไปของโลกวตั ถุทั้งหลาย กระบวนการเป็นไปเคล่ือนไหวเปล่ยี นแปลง ตามธรรมชาตหิ รือตามเหตปุ จั จัยของดนิ น�้า ไฟ ฟ้า อากาศ เย็น รอ้ น น้า� ร้อน นา�้ เดือด น้า� ระเหยกลาย เป็นเมฆ หมอก ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุ ลมพดั กลางวนั กลางคืน ฤดกู าล วัน เดอื นปี โลกกลมหมนุ รอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ เป็นต้น เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีอยู่รอบตัวเรา มนุษย์พยายามรู้ เข้าใจปรากฏการณ์เหล่าน้ัน เพ่ือความรู้เข้าใจที่ถูกต้องมีเหตุผล เป็นประโยชน์เก้ือกูลในการด�ารงอยู่ ของมนุษยแ์ ละสังคม โดยธรรมชาติท่ัวไป นา�้ เป็นของเหลวทีร่ ะเหยได้ โดยทโ่ี มเลกุลน�้าทอ่ี ยู่ผวิ น้า� ระเหยกลายเป็น ไอลอยไปในอากาศ ในอากาศมไี อนา�้ อยเู่ สมอแมจ้ ะเปน็ วนั ทรี่ อ้ นและเยน็ แตเ่ ราไมส่ ามารถมองเหน็ มนั ได้ด้วยตาเปล่า อากาศอุ่นอุ้มเอาไอน้�าเอาไว้ได้ดีกว่าอากาศเย็น ไอน้�าลอยสูงข้ึนไปอยู่บนท้องฟ้า รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ เม่ืออากาศเย็น มีก้อนเมฆขนาดใหญ่ อากาศไม่สามารถพยุงละอองน้�าน้ัน เอาไว้ได้ ก็จะตกลงมาสู่พื้นดิน ที่เรียกว่าฝน ฝนตกเป็นกระบวนการตามธรรมชาติหรือธรรมดา ไม่ใช่ เทพเจา้ ดลบันดาลประทานนา�้ ฝนลงมาให้เพาะปลกู ดมื่ กนิ ตามความเชอ่ื สมัยโบราณ ฟ้าร้องฟา้ ผ่ากไ็ ม่ใชเ่ พราะเทพเจา้ ผมู้ ีอ�านาจดลบนั ดาล ไมใ่ ชเ่ พราะอา� นาจของนางเมขลาเอา แก้วมาหลอกล่อให้ท่านรามสูรเอาขวานปาแก้วเกิดเสียงดังข้ึน หากเป็นเพราะปรากฏการณ์ตาม ธรรมชาติหรือธรรมดา คือเกิดจากประจุไฟฟ้าในอากาศหรือในท้องฟ้า ว่ิงจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งด้วย ความเรว็ สงู มาก เกดิ การเสยี ดสกี นั ในอากาศ หรอื เสยี ดสรี ะหวา่ งกอ้ นเมฆกบั อากาศ ทา� ใหเ้ กดิ ไฟฟา้ สถติ เกดิ เสยี งดงั ขน้ึ ประจไุ ฟฟา้ ในอากาศดงั กลา่ ว วงิ่ ลงสพู่ น้ื ดนิ ทพ่ี น้ื ดนิ มกี ระแสรบั กเ็ กดิ เสยี งดงั ขน้ึ เชน่ กนั ท่ีเราเรียกว่าฟา้ แลบ ฟา้ รอ้ ง ฟ้าผา่ ท�าให้เกิดทุกข์โทษภยั อนั ตรายไดเ้ ช่นกนั พายุลมพัดก็เป็นเร่ืองของธรรมดาเหตุผล บนพ้ืนผิวโลกมีการเคล่ือนไหวข้ึนลงตลอดเวลา ซ่ึงเกิดจากรังสีความร้อนของดวงพระอาทิตย์ท่ีส่องมากระทบยังโลก ความร้อนท�าให้อากาศอุ่นเย็น
24 สงั คมวทิ ยาเบือ้ งต้น ไมเ่ ท่ากนั ในส่วนของพ้นื โลก อากาศอนุ่ จะเบากวา่ อากาศเย็น และมักลอยตัวขนึ้ สเู่ บอื้ งสงู อากาศเยน็ ก็จะลอยเข้ามาแทนท่ี ท�าให้เกิดความกดดันท่ีแตกต่างกันของอากาศ แล้วเกิดมีการเคลื่อนไหวของ อากาศกลายเป็นกระแสลมพัด ถ้าแตกต่างกันมากมีการเคลื่อนไหวเร็วก็จะมีกระแสลมพัดแรง ที่เรา เข้าใจว่าลมพายุ แต่ก่อนเราเช่ือกันว่า โลกแบนมีเหลี่ยมมีมุมไม่หมุนหยุดอยู่กับที่ ปัจจุบัน เราทราบกันดีว่า โลกกลมหมุนรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์อย่างสม�่าเสมอ (นิโคลัส โคเปอร์นิคัส, Nicolaus Copernicus, ๑๔๗๓-๑๕๔๓) และกาลเิ ลโอ กาลเิ ลอ,ี Galileo Galilei, ๑๕๖๔-๑๖๔๒) แต่เรากไ็ มร่ ู้ สึกว่าโลกหมุน ดูเหมือนว่าโลกหยุดน่ิง เพราะโลกมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า หากโลกหมุนจริง แลว้ ทา� ไมตวั เราไมห่ ลดุ ลอยปลวิ ออกไปจากโลก เพราะแรงโนม้ ถว่ งของโลกทด่ี งึ ดดู ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเขา้ สู่ ตัวโลก การหมุนรอบตวั เองของโลกทา� ให้เกิดกลางวันและกลางคนื หากโลกไม่หมุนรอบตัวเอง ด้านท่ี หันเข้าหาดวงพระอาทิตย์ก็จะเป็นกลางวันสว่างตลอดเวลา ด้านที่หันออก ก็จะมืดเป็นกลางคืน ส่วนการหมุนของโลกรอบดวงพระอาทิตย์ เราเรียกว่า ๑ ปีมี ๓๖๕ วัน ใน ๑ ปี มีการเปล่ียนแปลง อากาศฤดกู าล มฤี ดฝู น หนาว และร้อน แมแ้ ตพ่ ืชพนั ธ์กุ ย็ ังมกี ารผลใิ บออกดอกให้ผล ใบโกรน๋ หลน่ รว่ ง จนหมดต้น ผุพังเน่าเปื่อยหมุนเวียนตามฤดูกาลที่เปล่ียนแปลง เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติหรือ ธรรมดาเหตุผลท่ปี รากฏอย่ทู ัว่ ไป ๒. กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพืชพันธุ์ (พีชนิยาม, Biological laws) กฎเกณฑ์ธรรมดาเกี่ยว กับสิ่งมีชีวิต กฎธรรมชาติท่ีเกี่ยวกับการเกิดสืบพันธุ์ ความเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต้นไม้ สตั ว์ และมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ เรอ่ื งการสบื พนั ธ์ุ เกดิ และเจรญิ เตบิ โตพฒั นาการตามธรรมดาเหตผุ ลของ สิง่ มชี วี ติ ทั้งหลาย ๓. กฎธรรมชาติท่เี กย่ี วกบั จิต (จติ นยิ าม, Mental laws or processes) กฎเกณฑ์ท่เี ก่ยี ว กับจิตหรือวิญญาณ อันเป็นกระบวนการทางจิต พระพุทธศาสนาก็มองเห็นความจริงชีวิตมนุษย์ ประกอบดว้ ย ๒ สว่ นใหญ่ ๆ คอื กายกบั จติ จติ เปน็ นามธรรม มรี า่ งกายเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ไมม่ รี ปู รา่ งขนาด น้�าหนัก เที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว มีการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมชาติที่ฝึกฝน พฒั นาได้ จติ เป็นใหญเ่ ปน็ หัวหนา้ จติ ส�าคญั กวา่ กาย ทุกส่งิ ทกุ อยา่ งลว้ นเกดิ จากจติ โลกน้เี ปน็ ไปตาม อ�านาจของจิตหรอื เจตจ�านง จติ หรอื วญิ ญาณมหี น้าทร่ี ูแ้ จ้งอารมณ์ รบั ทราบแลว้ เกบ็ อารมณ์ความรู้สึก เอาไว้ รับทราบเหตุการณ์เรื่องราวภายนอกที่มากระทบผ่านเข้ามา แล้วเก็บบันทึกเหตุการณ์เร่ืองราว เหล่าน้ันเอาไว้ เชน่ ไดเ้ หน็ ไดย้ นิ ไดศ้ กึ ษาอะไร กเ็ กบ็ บนั ทกึ ทรงจา� สง่ิ นน้ั เอาไว้ บคุ คลเกบ็ สะสมอะไร เอาไว้มาก ๆ ส่ิงน้ันก็จะเป็นนิสัยและอุปนิสัยของเขา เก็บสะสมความเมตตา หรือความโกรธเอาไว้ เมอื่ มอี ะไรมากระทบ กจ็ ะแสดงอาการอารมณน์ น้ั ออกมา จะเหน็ วา่ คนบางคนสขุ มุ เยอื กเยน็ หนกั แนน่ มน่ั คงดจุ ขนุ เขา ในขณะทบ่ี างคนหลกุ หลกิ เหลวไหลเหลาะแหละเลอ่ื นลอยเบาเหมอื นกระดาษ กเ็ พราะ คุณภาพของจติ น้เี อง
นกั สงั คมวิทยา 25 ๔. กฎธรรมชาตทิ ี่เก่ียวกับพฤตกิ รรมการกระท�าของมนษุ ย์ (กรรมนยิ าม, Moral-behav- ioral laws) เป็นกฎเกณฑ์ท่ีเก่ียวกับกรรมพฤติกรรมมนุษย์ กระบวนการชีวิตมนุษย์ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง สมั พนั ธก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มทอี่ ยรู่ อบขา้ งตวั เขาทง้ั ทม่ี ชี วี ติ และไมม่ ชี วี ติ แลว้ เกดิ การเรยี นรปู้ ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง มนุษย์และสิ่งแวดล้อม ท�าให้มนุษย์และสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน จะสร้างสรรค์พัฒนา พฤติกรรมมนุษย์ก็ด้วยการศึกษาเรียนรู้สภาพแวดล้อมภายนอก หรือความจริงส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลาย ให้รู้จักคิดวิเคราะห์พิจารณาแยกแยะสิ่งเหล่าน้ันตามความเป็นจริง แล้วลงมือกระท�าประพฤติปฏิบัติ อยา่ งถกู ตอ้ งมเี หตผุ ลเพยี งพอตอ่ เนอ่ื ง ตวั มนษุ ยเ์ องเปน็ ผมู้ บี ทบาทสา� คญั ในการสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาความ จรงิ และรปู แบบพฤตกิ รรม การศกึ ษาเรยี นรกู้ ค็ อื กระบวนการพฒั นาเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม มนษุ ยเ์ อง เกิดมาแล้วต้องศึกษาเรียนรู้ รู้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลายตามความเป็นจริง เกิดความคิดเห็นถูกต้อง มีเหตุผล แล้วแสดงพฤติกรรมให้ดีถูกต้องเหมาะสม การศึกษาเรียนรู้พัฒนาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของมนุษย์ต้องกระท�าอย่างต่อเนื่องพอเพียงตลอดชีวิต ในกระบวนการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ พระพุทธศาสนาถือการกระท�าทางจิต (เจตนา) ส�าคัญกว่าพฤติกรรมทางร่างกาย พฤติกรรมการ กระท�าท่ีประกอบด้วยเจตนาเป็นกระบวนการขัดเกลาปรุงแต่งสร้างสรรค์ก�าหนดทิศทางชีวิตให้ดี หรอื เลว ให้ฉลาดหรอื โง่ ให้เปน็ อจั ฉริยบุคคลหรอื ไอง้ ง่ั มปี ญั หาหรอื ไร้ปัญหา ๕. กฎธรรมชาตทิ เ่ี กีย่ วกับธรรมดาหรือธรรมชาติ (ธรรมนยิ าม, Laws of cause and ef- fect) เปน็ กฎธรรมดาเหตผุ ล ธรรมดาของสงิ่ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลายเกดิ ขน้ึ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั เปน็ กฎเกณฑ์ ทแ่ี น่นอน เปน็ ความจรงิ มอี ยู่อยา่ งน้นั ไม่มใี ครสามารถแกไ้ ขเปล่ยี นแปลงได้ เช่นว่า สิง่ ทั้งหลายมกี าร เกิดข้ึน ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ชีวิตมนุษย์เรามีการเกิดข้ึน ด�ารงอยู่ เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย แล้วก็ตายไป ในที่สุด เป็นเรื่องธรรมดาลักษณะทั่วไปของส่ิงทั้งหลาย เป็นกฎใหญ่ส�าคัญเป็นท่ีรวมของกฎทั่วไป ท้งั หลาย (สุมงั คลวิลาสนิ ี อรรถกถา เลม่ ที่ ๒, หนา้ ที่ ๔๔) เป็นการเห็นสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริงอย่างละเอียด สามารถคิดตามตรวจสอบได้ ไม่มี เปล่ียนแปลง ท้าให้พิสจู นไ์ ด้ดว้ ยตวั มนษุ ยเ์ อง ลงมือทา� ปฏิบัตกิ จ็ ะเหน็ ผลเอง ความจริงท้งั ๕ ประการ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นความจริงมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นความจริงอย่างน้ันไม่เปล่ียนแปลง พระพุทธเจ้าจะอุบัติข้ึนหรือไม่ก็ตาม ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ พระองค์เป็นเพียงผู้มาค้นพบบัญญัติ บอกกล่าวแสดง เมื่อเป็นความจริงแท้ ก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าอยู่ท่ีไหนก็มีเป็นอย่างนั้น เป็นใครอยูท่ ่ีไหน รเู้ ขา้ ใจตามความเป็นจริง ก็สามารถนา� เอาไปใชไ้ ด้ ไมม่ กี ารยกเว้น ไม่มกี ารแบง่ แยก เพราะมนั เปน็ สจั ธรรมและจรยิ ธรรม เปน็ กฎธรรมดาเหตผุ ลเหตปุ จั จยั เกดิ ขน้ึ เปน็ ไปและดบั ไปตามเหตุ ปัจจัย เป็นกระบวนการธรรมชาติ เป็นปัญหาใหญ่ส�าคัญอย่างหนึ่งที่พูดคุยถกเถียงในวงกว้างอย่าง ตอ่ เน่ือง อะไรคือความจรงิ แท้ท่สี ดุ ของโลกใบน้ี หรือโลกใบน้ปี ระกอบไปด้วยความจริงแทอ้ ะไร
26 สังคมวิทยาเบ้อื งต้น ความจริงของชวี ิตมนษุ ย์ นอกจากความจรงิ ในระดบั กวา้ งหรอื แบบองคร์ วมภาพใหญ่ พระพทุ ธเจา้ ทรงมองเหน็ ความจรงิ ของชีวิตมนุษย์ระดับเล็ก เป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง เป็นกระบวนการธรรมดา ที่เกดิ ขน้ึ เพราะเหตุปัจจัย ประกอบด้วยส่วนตา่ ง ๆ มารวมกนั เกิดขึ้น เช่นเดียวกันกบั “รถ” หรือวตั ถุ อื่นที่มีส่วนต่าง ๆ น�ามาประกอบกันเกิดข้ึน แล้วเรียกกันว่า “รถ” หากแยกส่วนประกอบทั้งหมด ออกจากกนั กจ็ ะหาตวั ตนของรถไมไ่ ดเ้ ลย ชีวติ มนุษย์ประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ อยู่ ๕ สว่ น คอื รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ทัง้ ๕ สว่ นน้ี ยอ่ ลงเปน็ ๒ คือ รูปกบั นามหรือกายกับจิต กระบวนการชีวิตน้ีเป็นกระบวนการธรรมชาติ ที่ยืดยาวมีการเวียนว่ายตายเกิดหลายภพหลายชาติ ด้วยอ�านาจกิเลส กรรม วิบาก หรือความอยาก ตอ้ งการ ความรูแ้ ละไมร่ ู้ การกระท�าและผลแหง่ การกระท�า เป็นกระบวนการทีเ่ กดิ ขนึ้ ตัง้ อยู่ แล้วก็ดับ ไปตามเหตุปัจจัย ความตายเป็นเพียงการยุติของกระบวนการชีวิตชั่วระยะหน่ึง ในชีวิตหนึ่งชาติหน่ึง ภพหนึ่งเท่านั้น จากนั้น กิเลส กรรม วิบากก็จะส่งผลให้ไปเกิดในชาติใหม่ภพใหม่อีกต่อ ๆ ไปไม่มี ที่สิ้นสุด กระบวนการธรรมชาตินี้จะสิ้นสุดลงจริง ๆ ก็ต่อเมื่อคนเราละความช่ัวทั้งหลาย กระท�า ความดีทั้งปวงให้ถึงท่ีสุด และประการสุดท้ายให้ละทั้งความดีและความชั่วท้ังหมด อันหมายถึง “การบรรลุพระนิพพาน” คือการไม่มีกิเลสตัณหา ดับราคะ โทสะ โมหะ ดับทุกข์หรือดับภพดับชาติ ไมม่ กี ารเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี ตอ่ ไปในโลกทางสงั คม สว่ นกระบวนการชวี ติ ของปถุ ชุ นชนคนมกี เิ ลสทวั่ ไป ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เกิดในภพและชาติต่าง ๆ ทั้งหลาย สูงบ้างต�่าบ้าง ดีบ้าง เลวบ้าง คอื เกดิ ในนรกบา้ ง เกดิ เปน็ สตั ว์เดรัจฉานบา้ ง เปน็ เปรตบ้าง เปน็ อสุรกายบ้าง เป็นมนษุ ย์บ้าง เปน็ เทวดาบา้ ง หรอื เปน็ พรหมบา้ ง ตามแรงเหวยี่ งของกเิ ลส กรรม และวบิ ากทตี่ นทา� เอาไว้ กระบวนการ ชีวิตจะเกิดจะดับจะมีปญั หาหรือไมม่ ีปญั หาขึน้ อยูก่ บั เหตุปจั จัยท่ีอาศยั กันเกดิ ขึ้น เพอ่ื ความเขา้ ใจชวี ติ มนษุ ยช์ ดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ ซงึ่ การศกึ ษาสว่ นใหญเ่ หน็ และยอมรบั วา่ มกี ายกบั จติ เทา่ นนั้ แตส่ า� หรบั พระพทุ ธเจา้ สามารถมองเหน็ ในรายละเอยี ดหรอื พสิ ดารได้ เพอ่ื ความรเู้ ขา้ ใจมนษุ ย์ ตนเองหรือคนอื่น เป็นประโยชน์ในการศึกษาเรียนรู้ สร้างสรรค์พัฒนา สามารถด�าเนินชีวิตได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม ตามธรรมชาติแบบพุทธ ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ ๕ ส่วน (ขนั ธ์ ๕ หรือเบญจขนั ธ์) คอื ๑. รปู (Corporeality) หมายถึงรปู รา่ ง รา่ งกาย ตวั ตนเนอ้ื หนังมงั สาที่ก่อเกดิ ข้ึนเพราะเหตุ ปจั จยั สสารและพลงั งานทงั้ หลาย สว่ นประกอบของรปู ทงั้ หมด รวมไปถงึ แบบลกั ษณะคณุ สมบตั กิ ริ ยิ า อาการพฤติกรรมทัง้ หลาย ๒. เวทนา (Sensation) ไดแ้ กค่ วามรสู้ กึ สขุ ทกุ ข์ หรอื ความรสู้ กึ เฉย ๆ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ อารมณ์ ความรู้สึกท่ีเกิดจากประสาทสัมผัส ความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดข้ึนรับรู้ เม่ือมีสิ่งมาสัมผัสกระทบก็จะเกิด
นกั สงั คมวทิ ยา 27 ความรู้สึกสบายใจ ไม่สบายใจ ถูกใจ ผิดใจ ช่ืนชมยินดี เจ็บปวดรวดร้าว เช่น คนเรามองเห็นรูปที่ดี สวยงาม หรือได้ยินเสียงดี ๆ ไพเราะ ก็เกิดความยินดีพึงพอใจชอบใจสุขใจ หากไม่ดีสวยงาม หรือไม่ ไพเราะ กเ็ กิดความไม่ชอบใจสบายใจหรอื ทกุ ขใ์ จ เปน็ ต้น ๓. สัญญา (Perception) คือการก�าหนดได้ จ�าได้ รู้จัก จ�าได้รู้จักอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งหลาย กา� หนดอาการเครอื่ งหมายลักษณะต่าง ๆ กา� หนดจดจา� รูป เสียง กลนิ่ รส ส่ิงทม่ี ากระทบสมั ผสั ได้ ๔. สังขาร (Mental processes) ในที่นี้ หมายถึงสภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดี ช่ัว หรือเป็น กลาง ๆ ไม่ดีไม่ช่ัว ปรุงแต่งแนวคิดและพฤติกรรมการกระท�า ปรุงแต่งสร้างสรรค์กระบวนการชีวิต ทางสังคม เป็นแบบลักษณะบุคลิกภาพคุณภาพชีวิต อันเกิดจากการศึกษาฝึกฝนอบรมพัฒนาจิต อันมีผลต่อพฤติกรรมการกระท�าแสดงออกของมนุษย์ สภาพปรุงแต่งจิตให้คิดเป็น ท�าถูก ตั้งอยู่ใน ความดีมีคุณธรรม ปรุงแต่งจิตให้คิดไม่เป็น ท�าไม่ดี ไม่มีคุณธรรม เช่น มีปัญญา ความคิดความเช่ือ มีความโง่งมงาย มีความเมตตา กรุณา ปรานี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความโลภอยากได้เกินความพอดี เหน็ แกต่ วั ไมเ่ สยี สละ มคี วามโกรธอาฆาตพยาบาท ไมม่ คี วามโกรธอาฆาตพยาบาท เปน็ ตน้ คนจะดา� เนนิ ชีวิตทางสังคมมีปัญหาหรือไร้ปัญหาก็เพราะคุณภาพของจิต (เจตนาคือ ความตั้งใจ จงใจ) ที่ผ่าน กระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือกระบวนการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่องพอเพียง เป็นแรงกระตุ้น จูงใจ หรือเป็นแกนน�าในการกระท�าแสดงพฤติกรรมทั้งหลาย ในบางครั้งบางแห่ง สังขาร หมายถึง ทุกส่ิงทุกอย่างท้ังที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตท่ีถูกสร้างท�าปรุงแต่งข้ึนเพราะเหตุปัจจัยท้ังหลาย ส่วนค�าว่า อสังขารหรืออสังขตะ คือไม่มีอะไรสร้างท�าปรุงแต่งข้ึน ไม่มีรูปร่างขนาดน้�าหนัก และไม่มีตัวตน ในบางครงั้ บางแห่ง หมายถึงพระนิพพาน ๕. วิญญาณ (Consciousness or mind) ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงภูตผีปีศาจสิ่งลี้ลับน่ากลัว แต่หมายถึงความรู้แจ้งอารมณ์ หรือธรรมชาติคิดและรู้ส่ิงท้ังหลาย เม่ือมีลักษณะอย่างน้ี วิญญาณ กค็ ือจติ (=Mind soul self=จติ มโน วญิ ญาณ มานสั หทยั อัตตา ความหมายเดยี วกนั ใชแ้ ทนกนั ได้) ซ่ึงมีหน้าที่คิดรู้แล้วเก็บอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ รับทราบเหตุการณ์เร่ืองราวภายนอกท่ีมากระทบผ่าน เขา้ มา แล้วเกบ็ บนั ทกึ เหตกุ ารณเ์ รอื่ งราวเหลา่ นั้นเอาไว้ เช่น ไดเ้ หน็ ได้ยนิ ได้ศกึ ษาอะไร ก็เกบ็ บนั ทกึ ทรงจา� สงิ่ นนั้ เอาไว้ บคุ คลเกบ็ สะสมอะไรเอาไวม้ าก ๆ สง่ิ นน้ั กจ็ ะเปน็ นสิ ยั และอปุ นสิ ยั ของเขา เกบ็ สะสม ความเมตตา หรอื ความโกรธเอาไว้ เมอ่ื มอี ะไรมากระทบ กจ็ ะแสดงอาการอารมณน์ นั้ ออกมา จะเหน็ วา่ คนบางคนสุขุมเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงดุจขุนเขา ในขณะท่ีบางคนหลุกหลิกเหลวไหลเหลาะแหละ เลื่อนลอยเบาเหมือนกระดาษ (อภิธัมมปิฎก วิภังค์ พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๓๕, ข้อที่ ๑, หน้าท่ี ๑) ในสังคมตะวันตกในยุคแรก ๆ นิยมเรียกว่า วิญญาณ (Soul ปัจจุบันนิยมใช้ Mind) แต่ในสังคมไทย ปัจจุบนั เมือ่ พดู ถงึ วญิ ญาณ มกั นยิ มนกึ คดิ ถงึ สิ่งล้ลี ับมหัศจรรย์นา่ กลัว แทท้ จ่ี ริงเป็นเรอ่ื งเดยี วกัน
28 สังคมวิทยาเบ้ืองต้น เพื่อความแจ่มแจ้งชัดเจน องค์ประกอบ ๕ ส่วนน้ี รูปก็คือรูปร่างกาย ส่วนเวทนา สัญญา และสังขารจัดเป็นวิญญาณหรือจิต เป็นส่วนที่เกิดข้ึนประกอบจิต เป็นเหตุปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นเป็น กระบวนการชวี ติ ชวี ติ กค็ อื ธรรมชาตหิ รอื ธรรมดาของเหตปุ จั จยั เปน็ ไปตามเหตผุ ลของมนั ตอ้ งรเู้ ขา้ ใจ ตามความเป็นจริง ก่อนท่ีจะไปรู้เรื่องอื่น ที่มีปัญหากันอยู่ทุกวัน เพราะไม่รู้และไม่สนใจ ชีวิตเป็นสิ่ง ส�าคัญและเร่ืองใหญ่มาทุกยุคทุกสมัย ต้องรู้เข้าใจปฏิบัติให้ถูกต้องสัมพันธ์กับสิ่งท้ังหลาย ไม่ข้ึนอยู่กับ ผสู้ รา้ งผมู้ อี า� นาจบนั ดาลใหเ้ ปน็ ไป ตวั ของเราเทา่ นน้ั ทจี่ ะสรา้ งบนั ดาลใหเ้ ปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั กายและ จิตท�างานประสานสอดคล้องสัมพันธ์กันตามหน้าท่ี ชีวิตจึงคงอยู่ด�าเนินเป็นไปได้ บางคร้ังท่ีมีการท�า หน้าที่ผิดพลาดบกพร่อง ก็จะแสดงอาการออกมาให้เห็น กล่าวโดยย่อ พระพุทธศาสนามองเห็นชีวิต มนุษย์ประกอบด้วย ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ กายกับจิต จิตส�าคัญกว่ากาย จิตเป็นหัวหน้า๑ เป็นใหญ่เป็น ประธาน ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งลว้ นเกดิ จากจติ โลกนเี้ ปน็ ไปตามอา� นาจของจติ หรอื เจตจา� นง จติ ใชก้ ายเหมอื น กปั ตันขับเรือ สารถขี ับรถ จอ๊ กกีข้ ีบ่ ังคับม้า ในสังคมปัจจุบัน การศึกษาท้ังหลายทั้งฝ่ายตะวันตกและออก แม้แต่การศึกษาแบบพุทธ ได้เห็นและยอมรับว่า จิตหรือวิญญาณมีอยู่จริงท้ังในมนุษย์และสัตว์ เป็นนามธรรมหรือธรรมชาติ อยา่ งหนง่ึ ปญั หาทง้ั หลายตอ่ ไปกจ็ ะถามถงึ แบบลกั ษณะและทอี่ ยอู่ าศยั ของจติ โดยเฉพาะจติ ของมนษุ ย์ มันคืออะไรและอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วก็ได้แสวงหาความรู้เก่ียวกับจิต ต่างก็ได้เสนอความรู้เร่ืองจิต ทคี่ รอบคลมุ ในหลายแงม่ มุ บา้ งกบ็ อกวา่ จติ เปน็ สสาร พลงั งาน กระแส ธาตุ หรอื ธรรมชาติ จติ มรี า่ งกาย สมอง หรือหวั ใจเปน็ ที่อย่อู าศัย สร้างปญั หาความสบั สนและยากทจ่ี ะหาขอ้ ยุติสรุปกนั ได้ เพื่อความรู้เข้าใจจิตมนุษย์มากยิ่งข้ึน เป็นประโยชน์ในการศึกษาเรียนรู้สร้างสรรค์พัฒนาตน ไปสู่ความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ตามการศึกษาท้ังหลาย โดยเฉพาะแบบพุทธเห็นและยอมรับว่า มนุษย์ท้ังหลายเกิดมาแล้ว นอกจากจะกินเสพบริโภคหรือกินกามเกียรติแล้ว จ�าต้องศึกษาเรียนรู้ เพ่อื สร้างสรรค์พัฒนาตนใหม้ คี ณุ ภาพ เพราะฉะนน้ั จงึ ขอเสนอการศกึ ษาหรือความรเู้ ร่ืองจิตแบบพทุ ธ จติ มโน หรอื วญิ ญาณอนั เปน็ เรอื่ งเดยี วกนั พระพทุ ธเจา้ ตรสั เอาไวห้ ลายแหง่ หลายแบบลกั ษณะประเภท ๑ มโนปุพพฺ งคฺ มา ธมฺมา มโนเสฏฺ า มโนมยา มโนปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ า มโนมยา มนสา เจ ปทฏุ ฺเ น ภาสติ วา กโรติ วา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต น� ทกุ ขฺ มเนวฺ ติ จกกฺ �ว วหโต ปท�ฯ ตโต น� สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายนิ ีฯ ความจรงิ สง่ิ ทง้ั หลาย มีใจเปน็ หัวหนา้ เปน็ ใหญ่ ความจริงสิง่ ทัง้ หลาย มีใจเปน็ หัวหน้า เป็นใหญ่ ส�าเร็จไดด้ ว้ ยใจ เม่ือมีใจร้ายไมด่ ี จะพูดจะทา� สา� เรจ็ ได้ดว้ ยใจ เม่อื มใี จดบี รสิ ุทธ์ิ จะพูด จะท�า ก็มีแต่ความทุกข์เป็นปญั หา เหมอื นกยั ล้อหมุนไป ก็มีแต่ความสขุ ไรป้ ัญหา เหมือนเงาติดตามตัวไป ตามรอยเทา้ โคตวั ลากเกวียนไป ฉะนน้ั เป็นเสน้ ทางและชีวิตที่ไร้ปัญหา เบาสบายไรก้ งั วล เป็นชวี ิตและเส้นทาง ไมด่ ีมแี ตป่ ญั หา จิตใจเปน็ ทีม่ าของส่ิงทัง้ หลาย (ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทคาถา พระไตรปฎิ ก เล่มที่ ๒๕, ข้อท่ี ๑๑, หน้าที่ ๑๕)
นกั สงั คมวทิ ยา 29 อย่างเช่น ในร่างกายหรือขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ (จิต) ในปฏิจจสมุปบาท (๑๒) ได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ แต่ในท่ีน้ี จะขอน�าเสนอแบบลักษณะของจิตและการปฏิบัติต่อจิต ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก๒ ช่ือขุททกนิกาย เล่มที่ ๒๕ ข้อท่ี ๑๓ หน้าท่ี ๑๙ ดังมีใจความดังต่อไปน้ี จิตเป็นธรรมชาตดิ ิน้ รน ดน้ิ รนไปในอารมณต์ ่าง ๆ ท้ังหลาย มอี ยากรู้อยากเห็น เป็นต้น กวัดแกวง่ หรอื หวั่นไหว ไม่อาจอยู่ในอารมณ์เดียวได้นาน เหมือนกับเด็กทารกไม่สามารถอยู่ในอิริยาบถเดียวได้นาน รักษายาก รักษาให้อยู่ในทางท่ีดีถูกต้องได้ยาก ห้ามยาก ห้ามไม่ให้ซ่านไปในอารมณ์ท้ังหลายยาก แต่ผู้มีปัญญาต้องฝึกท�าจิตให้ดีถูกต้อง เหมือนกับช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น จิตนี้ย่อมด้ินรนไปมา ในกามคุณทั้งหลาย ดุจปลาที่ยกข้ึนจากน้�าแล้วโยนไปบนบก เพราะฉะน้ัน ผู้มีปัญญาต้องละบ่วง แห่งมารหรือพยายามละวงจรกิเลส ความโลภ โกรธ หลง และยึดม่ันเกินไป เป็นต้น การฝึกฝนจิต ทค่ี วบคมุ ขม่ ใจไดย้ าก เปลย่ี นแปลงงา่ ยหรอื เกดิ ดบั เรว็ ชอบใฝห่ าอารมณท์ ปี่ รารถนาตอ้ งการ ถอื วา่ เปน็ ความดีถูกต้อง เพราะจิตท่ีฝึกฝนดีแล้ว ย่อมน�าแต่ความดี-สุขมาให้ ผู้มีปัญญาควรรักษาจิต ท่ีรู้เข้าใจ ได้ยาก ละเอยี ดออ่ น ใฝห่ าแตอ่ ารมณท์ ปี่ รารถนาตอ้ งการ เพราะจติ ทบี่ คุ คลคมุ้ ครองดแี ลว้ นา� สขุ มาให้ คนเหลา่ ใดส�ารวมระมัดระวังจิต ที่เท่ียวไปไกลหรือไปรับอารมณ์ได้ไกล เท่ียวไปดวงเดียวหรือเกิดดับ ขึน้ ลงไมแ่ น่นอน ไมม่ รี ูปร่างหรอื รปู ทรงและสี เปน็ ต้น แต่อาศัยอยูใ่ นถา้� หรือหัวใจ หทยั วตั ถุหรอื หัวใจ เป็นท่ีอยู่อาศัยของวิญญาณธาตุหรือจิตวิญญาณ คนเหล่าน้ันจะพ้นเคร่ืองผูกแห่งมารทุกข์หรือปัญหา กลา่ วคอื กิเลสและวัฏฏะทั้งหลาย แน่นอนชัดเจน จิตเป็นนามธรรมหรือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่รู้เข้าใจ ไดย้ าก หากรเู้ ขา้ ใจธรรมชาตจิ ติ แลว้ ยอ่ มอยเู่ ปน็ สขุ ไรป้ ญั หา เปน็ ธรรมชาตทิ ที่ กุ คนสามารถคดิ พจิ ารณา สงั เกตตรวจสอบไดอ้ ยา่ งมเี หตุผล จากหลักฐานที่กล่าวมานี้ จึงพอก�าหนดสรุปได้ว่า หัวใจ (Heart) ท่ีเรารู้เข้าใจว่าเป็นอวัยวะ ที่สูบฉีดโลหิตไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ให้ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด (โลหิตเลือดมีทั้งเลือดน่ิงและ หมุนเวียน) การสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ท�าให้เกิดแรงดันให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ๒ ผนฺทน� จปล� จิตตฺ � ทุรกขฺ � ทุนฺนิวารย� จติ ที่เปน็ ธรรมชาตินด้ี ้ินรน กวดั เกวง่ รักษายาก ห้ามยาก อชุ �ุ กโรติ เมธาวี อสุ กุ าโรว เตชน� ผูม้ ปี ญั ญาต้องทา� ให้ดี เหมือนนายช่างศรดดั ลูกศร วาริ โชว ถเล ขิตโฺ ต โอกโมกตอุพฺภโต เหมอื นปลายกขน้ึ จากน้�าแล้วโยนข้นึ บก ปรผิ นทฺ ตทิ � จติ ตฺ � มารเธยฺย� ปหาตเวฯ จติ น้ยี ่อมด้ินรน ผ้รู ูย้ ่อมละบว่ งแห่งมาร ทุนฺนิคฺคหสสฺ ลหโุ น ยตฺถ กามนิปาติโน จดั ควบคมุ ไดย้ าก เปลีย่ นแปลงง่าย ใฝ่หาอารมณ์ จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺต� ทนฺต� สุขาวหฯ� การฝกึ จติ เปน็ ความดี จิตที่ฝึกแล้วน�าสุขมาให้ สุทุทฺทส� สุนปิ ุณ� ยตฺถ กามนิปาตนิ � ทีร่ ไู้ ด้ยาก ละเอยี ดออ่ น แสห่ าอารมณ์ จิตตฺ � รกฺเขถ เมธาวี จติ ฺต� คุตตฺ � สขุ าวหฯ� บัณฑติ พงึ รักษาจิต จิตท่คี มุ้ ครองดีแลว้ น�าสุขมาให้ ทรู งคฺ ม� เอกจร� อสรรี � คุหาสย� จิตเทย่ี วไปไกล ดวงเดียว ไม่มีรูปรา่ ง แต่มีถ�้าเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั เย จิตตฺ � สญฺ เมสสฺ นฺติ โมกฺขนฺติ มารพนธฺ นาฯ ผู้ที่สา� รวมจิตจะพ้นเครอื่ งผกู แห่งมาร
30 สังคมวิทยาเบ้อื งตน้ ของรา่ งกาย แลว้ ไหลกลบั คนื สหู่ วั ใจ หวั ใจของคนเราตง้ั อยใู่ นทรวงอกระหวา่ งปอดทง้ั สองขา้ ง สตั วเ์ ลย้ี ง ลกู ดว้ ยนมจะมหี วั ใจ ๔ หอ้ ง หอ้ งบนสองหอ้ ง มผี นงั บาง สว่ นสองหอ้ งลา่ งมขี นาดใหญก่ วา่ และผนงั หนา เพอื่ ความรเู้ ขา้ ใจใหแ้ จม่ แจง้ ชดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ จงึ ขอเสนอเพม่ิ เตมิ รายละเอยี ดหรอื ความรเู้ กยี่ วกบั หวั ใจ ตามแนวพุทธ ดังมีปรากฏในวิสุทธิมรรค ภาคท่ี ๒ หน้าท่ี ๓๘ อันมีใจความดังต่อไปนี้ ค�าว่า หัวใจ (หทย�หรือหทยวตฺถุ) เนื้อหัวใจน้ัน ว่าโดยสี จะเป็นสีแดงดังสีหลังกลีบปทุมหรือบัวหลวง โดยสัณฐาน มีรูปทรงดังดอกปทุมตูมท่ีเขาปลิดกลีบชั้นนอกออกแล้วต้ังคว�่าลง ภายนอกจะเกล้ียง ข้างในเป็น (รัง) เช่นดังภายในบวบขม ของพวกคนมีปัญญาจะแย้มหน่อยหน่ึง ของพวกคนปัญญาอ่อนหรือทึบจะมี ลักษณะตมู อน่ึง ข้างในหวั ใจนั้นมีหลุม (ถา�้ ) ขนาดจเุ มลด็ ในบุนนาคได้ เปน็ ที่ขงั อยแู่ หง่ โลหติ ประมาณ ก่ึงซองมือ ซึ่งมโนธาตุมโนวิญญาณธาตุหรือจิตวิญญาณได้อาศัยเป็นไป โลหิตคอยเลี้ยงรักษาเอาไว้ อันเป็นแบบลักษณะหัวใจอาศัยโลหิต โลหิตช่วยอุปการะค�้าจุนร่างกายจิตเอาไว้ ถ้าร่างกายขาดโลหิต ก็อยู่ไม่ได้ เป็นแบบลักษณะเกิดอาศัยกันข้ึนตามเหตุปัจจัย จึงจะสมดุลและบูรณาการ ก็โลหิตท่ีว่านี้ ของพวกคนราคจริตรักสวยรักงามจะเป็นสีแดง ของคนโทสจริตหงุดหงิดใจร้อนเป็นสีด�า ของคนโมห จริตคนเขลาเหงาโงง่ มงายเป็นสเี ชน่ ดังนา�้ ลา้ งเน้ือ ของคนวิตกจริตคดิ กงั วลลงั เลจบั จดฟุ้งซ่านเปน็ สดี ัง เย่ือถ่ัวพู ของคนสัทธาจริตเลื่อมใสเช่ือง่ายเป็นสีดังดอกกรรณิการ์ และของพวกคนปัญญาหรือ พุทธิจริตผู้หนักไปในการคิดพิจารณาตรวจสอบอย่างมีเหตุผลผ่องใสไม่หมองมัว ขาวบริสุทธิ์ ดจุ แกว้ มณที เี่ จยี ระไนแลว้ วา่ โดยทศิ ทาง จะอยเู่ บอ้ื งบนของรา่ งกาย และวา่ โดยโอกาส จะตงั้ อยรู่ ะหวา่ ง กลางนมทงั้ ๒ ภายในร่างกาย จะจริงแทป้ ระการใดน้นั การศึกษาทางแพทยแ์ ละวทิ ยาศาสตร์สามารถ รเู้ ขา้ ใจไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การศกึ ษาความรทู้ ง้ั หลายจะประสานสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั หรอื ไมน่ น้ั ขอไดโ้ ปรด ศกึ ษาคิดพจิ ารณาตดั สนิ ใจเอาเองเทอญ หลกั ส�าคัญในการด�าเนนิ ชวี ิตทางสังคม แน่นอนชัดเจน ในสงั คมมนษุ ยท์ ้งั หลาย มนษุ ยท์ ุกคนเกิดมาแลว้ ไมร่ ้อู ะไร ไม่รเู้ หตุ-ผล ไมร่ ู้วา่ อะไรดหี รอื ชวั่ อะไรถกู หรอื ผดิ เปน็ ประโยชนห์ รอื ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ไมร่ จู้ ะประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ อ่ สงิ่ ทงั้ หลาย ในสงั คมไดถ้ กู ตอ้ งอยา่ งไร เพราะยงั ไมม่ กี ารศกึ ษาเรยี นรมู้ ปี ระสบการณท์ างสงั คม การใชช้ วี ติ ทางสงั คม สัมพันธ์กับสิ่งท้ังหลายก็ติดขัดคับข้องก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนสับสนวุ่นวาย เม่ือไม่มีการศึกษา เรยี นรฝู้ กึ ฝนอบรมพฒั นาตนเอง กจ็ ะไมร่ เู้ ขา้ ใจในสงิ่ ทงั้ หลายตามความเปน็ จรงิ ไมส่ ามารถรเู้ ขา้ ใจเหตผุ ล บาปบญุ คณุ โทษ ไมร่ จู้ ะปฏบิ ตั ติ นตอ่ สง่ิ ทงั้ หลายอยา่ งไร กลายเปน็ ผโู้ งเ่ ขลาอยากผดิ หลงผดิ ทา� ผดิ มแี ต่ ความกระหายอยากต้องการเปน็ แรงขบั ในการกระท�าแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ท้งั หลาย พฤติกรรมของ มนษุ ยเ์ ปน็ ไปตามอา� นาจของกเิ ลสตณั หาความกระหายอยากตอ้ งการ ไมม่ เี หตผุ ลถกู ตอ้ งชอบธรรมไมม่ ี การควบคุมไม่มีความอดทนอดกล้ัน ไม่แตกต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เป็นอยู่เป็นไปด้วย สัญชาตญาณและความอยากต้องการที่ติดตัวมาแต่ก�าเนิด มนุษย์จ�าเป็นต้องมีการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝน
นักสงั คมวทิ ยา 31 อบรมพฒั นาตนเอง ใหม้ ปี ญั ญาอยา่ งแทจ้ รงิ ปญั ญาทรี่ ดู้ รี ชู้ วั่ รถู้ กู รผู้ ดิ รปู้ ระโยชนแ์ ละไมเ่ ปน็ ประโยชน์ แลว้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั ปรากฏการณท์ างสงั คมตามความเปน็ จรงิ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม ก็จะสามารถด�าเนินชีวติ อย่างถูกตอ้ งดงี ามประเสริฐได้ พระพทุ ธเจา้ เองกส็ อนหลกั การดา� เนนิ ชวี ติ ไวม้ ากมายแกค่ นทกุ ชนชนั้ หมเู่ หลา่ ทงั้ นก้ี ข็ นึ้ อยกู่ บั เหตุปัจจัยบุคคลหรือสถานการณ์ การด�าเนินชีวิตทางสังคมที่ดีงามประเสริฐ ต้องเร่ิมต้นด้วยการการ เรียนรู้หรือขัดเกลาทางสังคมที่ถูกต้อง เริ่มจากปัจจัยภายนอกทางสังคม อันได้แก่ กัลยาณมิตรที่ดี มีพ่อแม่ ครูอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อน และส่ือทั้งหลาย ช่วยในการอบรม สงั่ สอนปลกู ฝงั ซมึ ซบั ในคณุ งามความดี ความคดิ ความเชอื่ ทศั นคตคิ า่ นยิ มและการปฏบิ ตั ิ ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยอาศัยปัญญาปัจจัยภายในของมนุษย์ ช่วยคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผล ตามสภาพความเปน็ จรงิ ของโลกทางสงั คมและตามความสอดคลอ้ งสมั พนั ธแ์ หง่ เหตปุ จั จยั ปจั จยั ภายใน และภายนอกท้ังสองเป็นปจั จยั สา� คญั ช่วยให้มนษุ ย์คิดเป็นทา� ถูกต้อง ช่วยให้มนษุ ย์ด�าเนนิ ชวี ิตได้อยา่ ง ถูกต้อง เกิดความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิตทางสังคม ด�าเนินไปสู่เป้าหมายของชีวิตทางสังคม เปน็ อยเู่ ปน็ ไปเพอื่ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู และความสขุ แกต่ นเองและผอู้ น่ื แมม้ หี ลกั การมากมาย กลา่ วโดยสรปุ พระพทุ ธเจา้ วางหลกั การประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ แหง่ ชวี ติ มนษุ ย์ (Actual practices of all people) สา� หรับทกุ ชนช้นั หมเู่ หล่า ๓ ประการ (สกิ ขา หรือไตรสิกขา ๓) ดังน้ี ๑. มนุษย์ต้องมีพฤติกรรมดี (ศีล, behavioral processes) จึงจะมีความสะอาดด้าน พฤตกิ รรม พฤตกิ รรมการกระทา� เกดิ จากกระบวนการเรยี นรปู้ ระสบการณท์ างสงั คม ศกึ ษาเรยี นรเู้ ขา้ ใจ ฝกึ ฝนอบรมพัฒนาอยา่ งตอ่ เนื่อง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤตกิ รรม กลายเป็นบคุ ลกิ ภาพเอกลักษณ์ เฉพาะบคุ คลในการกระท�าแสดงพฤตกิ รรมต่าง ๆ ทงั้ หลาย พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทง้ั หลายของมนษุ ยส์ ่วน ใหญ่เกิดจากการเรยี นรมู้ ากกว่าท่จี ะเกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ เรยี นร้เู ขา้ ใจความจริงของโลกทางสังคม เพ่ือแสดงพฤติกรรมใหถ้ ูกต้องเหมาะสมในสังคม เป็นการฝกึ ฝนพัฒนามนษุ ยใ์ นดา้ นพฤตกิ รรม ให้เกดิ ความเคยชินเป็นนิสัยมีระเบียบวินัย ให้ประพฤติสุจริตทางกายและวาจา การฝึกฝนพัฒนาพฤติกรรม เป็นการเริ่มต้นในการพัฒนาชีวิตทางสังคม เป็นการจัดระเบียบชีวิตทางสังคม ในการเป็นอยู่เป็นไป สัมพันธ์กันทางสังคม ให้มีพฤติกรรมการกระท�าระหว่างกันทางสังคมอย่างถูกต้อง ให้ปฏิบัติหน้าท่ีรับ ผิดชอบต่อสิ่งทั้งหลายตามเหตุปัจจัย ประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลเป็นประโยชน์ไร้ปัญหา มีพฤติกรรมปกติ ไม่เสียหายไม่เบียดเบียนฆ่าท�าลาย ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤตินอกใจสามีภรรยา ไม่พูดเท็จ ไม่เสพสุรา สิ่งเสพติด ไม่ท�าลายชีวิตทางสังคมและสภาพแวดล้อมทางสังคม พฤติกรรมดีมีระเบียบวินัย ไม่เบียดเบยี นท�าลาย ช่วยสนับสนนุ ส่งเสริมเพ่ิมพนู โอกาสชวี ิตทางสังคมให้ดงี ามไรป้ ัญหา เพ่อื คุณงาม ความดีคณุ คา่ ความหมายชีวิตทางสังคมตอ่ ไป
32 สังคมวทิ ยาเบือ้ งตน้ ๒. มจี ติ ใจดมี คี ณุ ธรรม (สมาธ,ิ mental processes) จงึ จะมคี วามสงบสขุ มุ มจี ติ ใจงามหรอื มสี ขุ ภาพจติ ดี เปน็ ลกั ษณะของบคุ คลทม่ี คี ณุ ธรรม มคี วามอดทนอดกลน้ั หนกั แนน่ ไมห่ วน่ั ไหวกบั ปญั หา ชวี ติ ทางสงั คมและการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมทเ่ี กดิ ขน้ึ สามารถควบคมุ อารมณท์ า� ใจได้ สามารถปรบั ปรงุ แกไ้ ขเปลย่ี นแปลงตวั เองตามเหตปุ จั จยั ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตวั เองใหม้ คี วามสขุ ตามความเหมาะสมกบั สภาพ แวดลอ้ มทางสงั คม ปรบั ตวั เปน็ อยเู่ ปน็ ไปอยา่ งมเี หตผุ ลสมดลุ มปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล ภายใตก้ ระแส การเปลี่ยนแปลงของโลกทางสังคม สุขภาพจิตดีย่อมส่งผลให้สุขภาพพลานามัยดี มีบุคลิกลักษณะใน ชีวิตทางสังคมดี สุขภาพจิตดีเป็นสิ่งส�าคัญจ�าเป็นส�าหรับทุกคน ชีวิตทางสังคมจะด�าเนินเป็นไปเจริญ กา้ วหนา้ หรอื เสอื่ มถอยมปี ญั หาสว่ นหนงึ่ มาจากสขุ ภาพจติ และการปรบั ตวั ในชวี ติ ทางสงั คม ทกุ คนตอ้ ง ฝกึ ฝนอบรมพฒั นาจติ ใหเ้ กดิ ความเขม้ แขง็ หนกั แนน่ มน่ั คง อดทนอดกลนั้ ยบั ยงั้ ตวั เองได้ เปน็ การสรา้ ง พลังชีวิต เป็นการฝึกจิตให้มีคุณภาพ ฝึกจิตให้มีคุณธรรมต่าง ๆ ทั้งหลาย เช่น มีความอดทนอดกล้ัน ข่มจติ ขม่ ใจได้ ความขยันหม่ันเพียร ความกระตือรอื รน้ ความรับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี ความซือ่ สตั ย์สจุ รติ ยุตธิ รรม ความรักเมตตากรณุ า ความกตัญญูรคู้ ุณ ความจรงิ ใจ การให้เสียสละเอ้ือเฟ้ือเก้ือกูล เปน็ ตน้ คนทม่ี คี ณุ ธรรม คอื คนทม่ี จี ติ ใจงามมกั ทา� อะไรใหด้ เี รยี บรอ้ ยสมบรู ณ์ มคี วามรบั ผดิ ชอบเตม็ ทต่ี อ่ หนา้ ที่ และทา� หนา้ ทใี่ หถ้ กู ตอ้ งดพี รอ้ มสมบรู ณ์ อนั เปน็ คณุ ธรรมเกอ้ื หนนุ ใหท้ า� ถกู ตอ้ งดงี าม คณุ ธรรมกบั หนา้ ที่ อาศัยซ่ึงกันและกันไม่สามารถแยกกันได้ การท�าหน้าที่ให้ถูกต้องสมบูรณ์ก็เป็นการบ่งบอกถึงการมี คุณธรรม ๓. มีปัญญาดี (ปญั ญา, Wisdom or wisdom development) จงึ จะมคี วามสว่าง ปญั ญา คอื แสงสวา่ งในโลก เปน็ ความรอบรเู้ ขา้ ใจถกู ตอ้ งชดั เจนถอ่ งแท้ รสู้ ง่ิ ทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ รเู้ หตผุ ล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่าควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ว่าประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ เป็นความฉลาดสามารถรู้ เขา้ ใจสง่ิ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลายอยา่ งถกู ตอ้ งแมน่ ยา� สามารถคดิ วเิ คราะหพ์ จิ ารณาไตรต่ รองตรวจสอบแกป้ ญั หา ได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลเป็นธรรม ปัญญาเป็นเร่ืองการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้รู้เข้าใจ ความจริงของโลกทางสังคม รู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิตทางสังคมตามสภาพความเป็นจริง หรอื มโี ลกทศั นแ์ ละชวี ทิ ศั นท์ ถี่ กู ตอ้ งตามเหตปุ จั จยั ความรเู้ ขา้ ใจชวี ติ ทางสงั คม เปน็ ความรอู้ นั ประเสรฐิ แม้จะมีความรู้ต่าง ๆ มากมาย แต่ขาดความรู้เข้าใจชีวิตทางสังคม ชีวิตก็ด�าเนินเป็นอยู่เป็นไปติดขัด ไมร่ าบรนื่ เพราะความจรงิ ชวี ติ ทางสงั คมกเ็ ปน็ ปญั หาอยแู่ ลว้ การรเู้ ขา้ ใจชวี ติ ทางสงั คม กเ็ พอ่ื ปฏบิ ตั ติ อ่ ส่ิงทั้งหลายได้ถูกต้อง เพื่อให้ปัญหาชีวิตทางสังคมบรรเทาเบาบางลดน้อยลง เม่ือมีปัญญารู้เห็นตาม ความเป็นจริง ก็รู้จักน�าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตทางสังคมให้เกิดประโยชน์ ก็จะส่งผลช่วยในการด�าเนิน ชวี ติ ทางสงั คมสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั สง่ิ ตา่ ง ๆ ทงั้ หลายถกู ตอ้ งตามเหตผุ ล สามารถดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คม ด้วยความรู้เข้าใจตามธรรมดาเหตุผล ก็จะเกิดแต่ประโยชน์สุขเกื้อกูลฝ่ายเดียว ปัญญาจึงเป็นสิ่งท่ีมี คุณค่าความหมายส�าคัญจ�าเป็นต่อมนุษย์ ท�าให้ชีวิตของมนุษย์แตกต่างไปจากการเป็นอยู่ของสัตว์ เดรจั ฉานทง้ั หลาย ในชวี ติ ทางสงั คม บณั ฑติ ผมู้ ปี ญั ญายอ่ มดา� เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมไรป้ ญั หา
นักสังคมวิทยา 33 ส่วนผู้ไม่มีปัญญาย่อมเป็นอยู่เป็นไปในทางที่ผิดมีแต่ปัญหา เหมือนกับโคกระบือตาบอดเดินเท่ียวไป ในป่าอย่างไร้ทิศทางจุดหมายปลาย ย่อมได้รับแต่ภัยอันตรายอย่างเดียว ดังน้ัน การเสื่อมจากวัตถุ ทรัพย์สมบัติ ถือว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อย แต่ความเสื่อมจากปัญญา ถือว่าเป็นเร่ืองใหญ่ส�าคัญ เพราะการเส่ือมจากปัญญา เป็นเหตุให้เส่ือมจากส่ิงท้ังหลายตามมา ปัญญาจึงเป็นปัจจัยส�าคัญ อย่างมากต่อการด�าเนินชีวิตมนุษย์ในสังคมดังกล่าว (ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑, ขอ้ ท่ี ๒๒๘, หนา้ ที่ ๒๓๒) จากขอ้ ความข้างตน้ ดงั กล่าว เท่ากับว่า มนษุ ย์ทงั้ หลายเกดิ มาไม่รอู้ ะไร แต่จา� เป็นต้องรเู้ ขา้ ใจ โดยเฉพาะตนเองต้องรู้เข้าใจตัวเองก่อนสิ่งอ่ืนใด จัดการกับชีวิตตนเองให้เรียบร้อยก่อน ก่อนที่จะไป จัดการกบั ส่ิงอ่นื ช่วยเหลอื ตนเองกอ่ น ก่อนทจ่ี ะไปช่วยเหลอื คนอื่น จงึ จา� เป็นตอ้ งศกึ ษาเรียนรู้ รู้จกั คดิ วิเคราะห์พิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย ให้เกิดปัญญารู้เข้าใจส่ิงท้ังหลายเหล่านั้นอย่างแท้จริง รู้เข้าใจโลก ชีวิต สังคม ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหลาย เกิดข้ึนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เม่ือรู้เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลายตามความเป็นจริง ส่งผลให้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องเหมาะสมมีเหตุผลเพียงพอ ก่อให้เกิดการ ด�าเนินชีวิตดีงามประเสริฐ ชีวิตมนุษย์ที่ดีเลิศประเสริฐน้ัน ต้องดีพร้อมสมบูรณ์แบบได้ด้วยการศึกษา เรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเต็มที่ให้มีความรู้ดีและประพฤติดี เป็นแบบลักษณะที่ดีถูกต้องสมบูรณ์ เปน็ บคุ คลทดี่ เี ลศิ ประเสรฐิ อยา่ งแทจ้ รงิ ในสงั คมมนษุ ย์ ผทู้ ฝ่ี กึ ฝนอบรมตนดแี ลว้ คอื ผปู้ ระเสรฐิ สดุ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยความรแู้ ละประพฤตดิ ี เปน็ ผดู้ เี ลศิ ประเสรฐิ สดุ ในหมขู่ องเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ การ ยืนยันความรดู้ ีและประพฤติดี ปญั ญาและการกระท�าของมนษุ ยอ์ ย่างตอ่ เน่อื งชดั เจน แบบลักษณะมนุษยท์ ่พี ึงประสงค์ จากปรากฏการณศ์ ึกษาสังคมการเมอื งทั้งหลาย โดยเฉพาะทางตะวันตก ไดพ้ ดู ถึงและได้ถาม ถึงความเป็นมนุษย์ แบบลักษณะมนุษย์กันมาอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ในสังคมไทย อาจใช้ค�าว่า เกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การศึกษาหรือสังคมวิทยาสมัยใหม่ (Modem study or sociology) ก็ยังสนใจศึกษาเร่ืองความเป็นมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ และลักษณะมนุษย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) และยังเป็นปัญหาที่พูดคุยถกเถียงกันไม่รู้จบส้ิน และยังหาข้อยุติปัญหาแบบลักษณะมนุษย์นี้ไม่ได้ แม้ว่าสังคมโลกเจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด ผู้เขียนเห็น วา่ มีมานานแล้ว ไม่ใช่จะเพง่ิ มี ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัตขิ นึ้ หรอื ในสมยั พระพทุ ธเจา้ กย็ ังมปี ัญหา ปัญหา เก่ียวกับแบบลักษณะความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบน้ัน ก็มีการพูดคุยถกเถียงกันเช่นกัน ดงั ปรากฏในโสณทณั ฑสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ที่ ๙ ข้อที่ ๑๘๖ วา่ เมอื่ โสณทณั ฑพราหมณผ์ ู้รอบรู้เรียน จบไตรเพทคัมภีร์ของพราหมณ์และท่านก็เป็นปรมาจารย์ของมหาชนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็เกิด ความวิตกกังวลในการถามตอบปัญหา เพราะถ้าหากถูกถามปัญหาแล้วตอบผิดพลาดไม่ได้ดี ก็จะถูก กล่าวหาว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ท�าให้ผู้คนเส่ือมศรัทธาไม่เคารพนับถือ เป็นสาเหตุให้เสื่อมจาก
34 สงั คมวทิ ยาเบอื้ งต้น ลาภสักการะชื่อเสียงเกียรติยศ พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของพราหมณ์ว่าท่านก�าลังคิดอะไรอยู่ จงึ เลอื กถามปญั หาทโี่ สณทณั ฑพราหมณร์ เู้ ขา้ ใจเชยี่ วชาญ โดยถามวา่ อะไรทา� ใหค้ นเปน็ พราหมณห์ รอื เป็นผู้ประเสริฐ หรือคุณลักษณะท่ีดีเลิศประเสริฐของมนุษย์เป็นอย่างไร โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่า ส่ิงหรอื คุณธรรมทที่ �าให้คนเปน็ คนดเี ลิศประเสริฐนั้นมอี ยู่ ๕ ประการ คือ ๑. มชี าติตระกลู ดี คือเกิดมา จากมารดาบิดาเปน็ พราหมณ์ สืบเชือ้ สายกันมา ๗ ช่ัวโคตรบรรพบรุ ษุ ๒. เป็นผเู้ ลา่ เรยี น ทรงจา� มนต์ รู้จบไตรเพท ๓. เป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาดีงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรไปด้วยผิวพรรณงามผุดผ่องย่ิงนัก ๔. มีศีลคือความประพฤติดี ๕. มีปัญญาคือความรู้ดี พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า ในคุณธรรม ๕ ประการนน้ั ถา้ ลดลง ๑ เหลือ ๔ จะได้ไหม โสณทณั ฑพราหมณ์ตอบวา่ ก็พอได้ ตดั ลดขอ้ ท่ีวา่ มบี ุคลกิ รปู ร่างหนา้ ตาดี ตรัสถามตอ่ วา่ หากลดลงอกี ๑ เหลอื ๓ จะได้อีกไหม ตอบวา่ พอได้ ให้ตดั ลดข้อทีว่ ่า สามารถทอ่ งจา� มนต์ในคมั ภรี ์พระเวทได้ ตรสั ถามอกี ว่า ถ้าลดลงอีก ๑ เหลือ ๒ จะตดั ลดอะไร ตอบวา่ ตัดลดข้อท่ีมีชาตติ ระกลู ดี คอื เกดิ มาจากมารดาบดิ าเปน็ พราหมณ์ สบื สายกนั มา ๗ ชว่ั โคตรบรรพบรุ ษุ พอมาถงึ ตรงนี้ กจ็ ะเหลือคุณธรรมอยู่ ๒ ประการ ในขณะเดยี วกัน โสณทัณฑพราหมณ์กเ็ กิดความกลัว ลังเลสับสน และพระพุทธเจ้าก็ตรัสถามต่อไปอีกว่า ถ้าจะลดลง ๑ เหลือ ๑ พอจะก�าหนดได้ไหม โสณทัณฑพราหมณ์ตั้งสตินึกคิดทบทวน เออ เรามีหลานอยู่คนหนึ่ง ช่ืออังคกะมาณพ เกิดมาจากพ่อ แม่ผู้เป็นพราหมณ์มีชาติตระกูลดี มีรูปร่างหน้าตาดี บุคลิกภาพดี ผิวพรรณดี และยังสามารถท่องจ�า คัมภีร์พระเวทได้เจนจบ แต่มีความประพฤติเสียหายไม่ดี ชอบดื่มเหล้าเมายา โกหกพูดเท็จ ผิดลูก ผดิ เมยี คนอน่ื ลกั เลก็ ขโมย และมักฆ่าสัตว์ตัดชีวติ คณุ ธรรมท้งั ๓ ประการทกี่ ลา่ วมา ไม่ได้ช่วยอะไรให้ คนเป็นคนดีได้ ตอ่ เม่อื ใดคนเรายึดม่นั ในคุณธรรม ๒ ประการ คอื มีศลี คอื ความประพฤติดี และปญั ญา คือความรู้ดี จึงจะสมควรเรียกว่า พราหมณ์ผู้ประเสริฐ จึงตัดสินใจตอบว่า ตัดลดต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นคุณธรรมอาศัยเก้ือหนุนสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ศีลอาศัยปัญญา ปัญญาอาศัยศีล หรอื ศลี ชา� ระปญั ญา ปญั ญาชา� ระศลี เปรยี บเสมอื นคนเราลา้ งมอื ใชม้ อื ลา้ งมอื จงึ จะสะอาดได้ ทใี่ ดมศี ลี ท่ีนั้นก็มีปัญญา ศีลกับปัญญาเป็นคุณธรรมส�าคัญท�าให้คนเป็นมนุษย์ที่ดีงามประเสริฐสุด บริสุทธ์ิ สมบูรณ์แบบ อันเป็นแบบลักษณะท่ีแท้จริงของมนุษย์ในสังคมโลกน้ี ที่เป็นปัญหาแบบลักษณะมนุษย์ มาจนถงึ ปัจจบุ ัน ความจริงปญั หานพี้ ระพุทธศาสนาได้ใหค้ า� ตอบเอาไว้นานแล้ว เพลโต เพลโต (Plato, ๔๒๗-๓๔๗ BC, พ.ศ. ๑๑๖-๑๙๖) เกิดเม่ือปี พ.ศ. ๑๑๖ หรือ ๔๒๗ ก่อนคริสต์ศักราช ท่ีเมืองเอเธนส์ (Athens) ประเทศกรีซ (Greece) และเสียชีวิตในปี ๓๔๗ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ทบ่ี า้ นเกดิ ทา่ น รวมอายไุ ด้ ๘๐ ปี เพลโตเ้ ปน็ นกั ปรชั ญากรกี ผยู้ งิ่ ใหญข่ องโลกตะวนั ตก เชน่ เดียวกับโสเครตสี (Socrates, ๔๖๙-๓๙๙ BC) ผ้ซู ึง่ เป็นอาจารย์ของทา่ น เพลโตเ้ ป็นบุคคลสา� คัญ
นกั สงั คมวิทยา 35 ของโลกคนหนง่ึ มผี ลงานสา� คญั มากมาย อนั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความพยายามคดิ วเิ คราะหเ์ กยี่ วกบั สงั คม มนุษย์อย่างเป็นระบบระเบียบแบบแผนมีเหตุผลบนฐานความจริง เป็นการศึกษาค้นคว้าปัญหาสังคม พน้ื ฐานดว้ ยปัญญา เพลโตมองเห็นความจรงิ ของโลกสงั คม เปน็ ๒ ประเภท คอื ๑. โลกวตั ถหุ รอื โลกเทยี ม (The world of matter) โดยทวั่ ไป เรารเู้ ขา้ ใจวา่ โลกวตั ถมุ สี สาร ตัวตนรูปร่างขนาดน้�าหนัก เช่น คน สัตว์ และวัตถุสิ่งของ เป็นต้น ล้วนไม่เท่ียงมีการเปลี่ยนแปลง ไมค่ งทนถาวร ในความหมายของเพลโต วตั ถสุ สารเปน็ ลกั ษณะวา่ งเปลา่ คลา้ ยกบั ใบกระดาษทว่ี า่ งเปลา่ ทร่ี อการเขยี นแบบหรอื ประทบั รอยแบบ กลายเปน็ โลกผสั สะประสบการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ โดยการอาศยั สง่ิ อนื่ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง ทีร่ ู้เหน็ ไดท้ างประสาทสมั ผสั คือทางตา หู จมูก ล้นิ และกาย แม้กอ่ เกิดปรากฏแบบ ต่าง ๆ บนสสารในโลกแห่งผัสสะ กไ็ มเ่ ปน็ ความจริงเปน็ โลกเทยี ม เป็นโลกแห่งความไมส่ มบรู ณ์ แมม้ ี ความจรงิ อยบู่ า้ งแตก่ ไ็ มร่ อ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์ เปน็ การยอมรบั ความจรงิ พยี งสว่ นเดยี ว โลกวตั ถเุ ปน็ สว่ นไมจ่ รงิ แท้ไม่ส�าคัญมากนัก ยังต้องรอการแต่งเติมสีสันเข้าไป จึงจะดีพร้อมสมบูรณ์ เปรียบเสมือนคนเราเกิด มาแล้วสักแต่ว่าเป็นวัตถุ จ�าต้องศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนอบรมพัฒนาเข้าไป ให้เป็นวัตถุและแบบที่สมบูรณ์ เพราะโลกวตั ถยุ งั มคี วามจรงิ แทอ้ กี ดา้ นหนง่ึ ความจรงิ แทย้ งั ตอ้ งประกอบดว้ ยสว่ นสา� คญั หลายสง่ิ เกดิ ขน้ึ (Dualism) เช่น กายกับจิต (matter and mind) ร่างกายกับการเลี้ยงดูฝึกฝนอบรม (nature and nurture) ถึงจะดีพร้อมสมบูรณ์ได้ ๒. โลกแห่งแบบหรือโลกแท้ (The world of form) เป็นส่วนลักษณะที่จริงแท้สมบูรณ์ เป็นลักษณะสากลทั่วไป เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่างขนาดน�้าหนัก ไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ รู้ได้ด้วย จิตหรือปัญญา เป็นโลกแห่งมโนภาพ (Ideas) หรือแบบ (Forms) อันเป็นแบบหรือลกั ษณะทัว่ ไปของ สรรพส่ิง โลกแหง่ แบบกม็ มี ากมายเหมือนกับโลกวัตถุ มแี บบของคน (คนเอเชีย คนยุโรป ไม่วา่ คนชาติ ไหนกม็ ีแบบสากลคือความเป็นคน) สตั ว์ (แบบของโค กระบือ ชา้ ง มา้ สุนขั แมว เป็นตน้ ) และแบบ สิ่งของ (แบบของบ้าน รถ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ ตู้เย็น โทรทัศน์ โทรศัพท์ เป็นต้น) คนและสัตว์ก็มีแบบ รูปร่างและผิวพรรณแตกต่างกัน มีสูงและต�่า อ้วนและผอม ด�าและขาว ในแบบลักษณะของคนน้ัน กม็ หี ลายแบบลักษณะ มแี บบดี เลว แบบเก่ง ไมเ่ กง่ กลา้ ขี้ขลาด ขยัน เกียจครา้ น เป็นตน้ เม่ือเราพูด ถึงแบบคนดี ก็จะสามารถรู้เข้าใจได้ ไม่ว่าเป็นใครอยู่ท่ีไหน เพราะเป็นความจริงมีคุณลักษณะสากล ทั่วไป วัตถุสสารมีการเปลี่ยนแปลงแตกสลายไปตามกาลเวลา คนและสัตว์ตายแล้วตายเล่า แต่แบบ ของคนสตั ว์สง่ิ ของกย็ งั คงอยู่ โลกแหง่ แบบเปน็ โลกแหง่ ความจริง เปน็ แบบอมตะไมเ่ ปล่ยี นแปลง แบบ ตา่ ง ๆ ทง้ั หลายทก่ี ลา่ วมานี้ ใครเปน็ ผสู้ รา้ งกา� หนดแสดง คา� ตอบในสมยั นน้ั กค็ งไมพ่ น้ เรอื่ งพระเจา้ เปน็ ผู้ก�าหนดแสดง แนวคิดทฤษฎีเรื่องแบบคุณลักษณะของมนุษย์ คืออะไร เกิดข้ึนได้อย่างไร ใครเป็นผู้ สร้างก�าหนดแสดง ยังเป็นข้อถกเถียงกันในกลุ่มนักคิดท้ังหลาย โดยเฉาะนักสังคมวิทยาและ นกั วิทยาศาสตร์ และยังไมส่ ามารถยุตปิ ัญหานี้ไดจ้ นถึงปัจจุบนั
36 สงั คมวิทยาเบ้อื งต้น ความจริงของชวี ิตมนษุ ย์ การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหลายเห็นว่า ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยส่วนส�าคัญ คือกายกับจิต หรือวิญญาณ กายกับจิตหรือวิญญาณท�างานสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นเรื่องท่ีถกเถียงกันมาเป็นเวลา ยาวนาน ส�าหรับเพลโต ชีวิตมนุษย์เกิดข้ึนประกอบไปด้วยส่วนส�าคัญใหญ่ ๆ ๒ ส่วน คือ กายกับ วิญญาณหรือจิต ร่างกายเป็นสิ่งท่ีเทพเจ้าสร้างสรรค์ขึ้นมาตามความเหมาะสมกับวิญญาณแต่ละดวง รา่ งกายเปน็ วตั ถสุ สารเหมอื นกบั สง่ิ ของทว่ั ไป ลา� พงั รา่ งกายเพยี งอยา่ งเดยี วไมอ่ าจมชี วี ติ และเคลอ่ื นไหวได้ จา� ตอ้ งมวี ญิ ญาณทที่ า� ใหร้ า่ งกายขบั เคลอ่ื นไปได้ ทา� ใหช้ วี ติ มนษุ ยแ์ ตกตา่ งไปจากวตั ถกุ อ้ นอฐิ หนิ ดนิ ทราย วิญญาณเป็นตัวการส�าคัญท�าให้มีชีวิตและการเคล่ือนไหว วิญญาณหรือจิตดังกล่าวมี ๒ ประเภท คือ วิญญาณมเี หตุผลและวิญญาณไรเ้ หตุผล (Rational soul and irrational soul) วิญญาณมเี หตผุ ล เปน็ วญิ ญาณแทส้ งิ สถติ อยใู่ นรา่ งกาย เปน็ สว่ นสา� คญั ทส่ี ดุ ในตวั มนษุ ย์ มหี นา้ ทสี่ า� คญั รบั รแู้ บบความจรงิ สิง่ สากล ท�าให้รู้เขา้ ใจความจริงแทแ้ ห่งชวี ิตและสงั คม ดา� เนนิ ชีวิตอยา่ งถูกตอ้ งประเสริฐ เปน็ วิญญาณ แบบอมตะไมเ่ ส่อื มสลายไปได้ สามารถอยไู่ ดโ้ ดยไม่ต้องอาศยั กายเนื้อ วิญญาณไรเ้ หตุผล เป็นส่วนของ รา่ งกาย เกดิ และดบั พรอ้ มกบั ร่างกาย ไม่เปน็ อมตะไม่เที่ยงแทแ้ นน่ อน มี ๒ ลักษณะ คอื วญิ ญาณแหง่ ความตอ้ งการ (Appetitive soul) ตอบสนองความตอ้ งการทางรา่ งกาย เกดิ ขนึ้ เปน็ ไปตามสญั ชาตญาณ เปน็ พลงั สญั ชาตญาณทางชวี ภาพทก่ี ระตนุ้ ผลกั ดนั ใหแ้ สดงพฤตกิ รรม เปน็ สญั ชาตญาณหรอื แรงขบั ทาง สญั ชาตญาณของมนุษย์ เปน็ ลักษณะสญั ชาตญาณด้ังเดิมที่มมี าแตก่ �าเนิด มีหิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องการพักผ่อนนอนหลับ ความสะดวกสบาย และปลอดภัย เป็นต้น และวิญญาณแห่ง เจตนารมณ์ (Spirited soul) ตอบสนองอารมณท์ ีไ่ ดส้ ัมผสั ประสบพบเจอ แล้วแสดงอาการความรู้สึก ออกมา เช่น โกรธ เกลยี ด รกั ชอบ พอใจ ไมพ่ อใจ ขยนั เกียจครา้ น อดทน กลา้ หาญ เสยี สละ เป็นต้น จากทก่ี ลา่ วมา จงึ พอสรปุ ไดว้ า่ จติ หรอื วญิ ญาณของมนษุ ยม์ อี ยู่ ๓ สว่ น คอื วญิ ญาณแหง่ ความ ตอ้ งการ เปน็ สว่ นพน้ื ฐานเบอ้ื งตน้ สว่ นทเ่ี ปน็ ตณั หาความอยากปรารถนาตอ้ งการทางรา่ งกาย วญิ ญาณ แห่งเจตนารมณ์ สว่ นประกอบจติ อารมณ์ความรูส้ กึ ทางจิต และวิญญาณมเี หตผุ ล เป็นสว่ นแหง่ ปญั ญา รคู้ วามจริงมเี หตผุ ล ปฏบิ ตั ใิ ห้ถกู ตอ้ ง ก่อใหเ้ กดิ ความดีงามถกู ตอ้ งสมบูรณ์ ทา� ให้มนษุ ย์แตกต่างไปจาก สตั วท์ งั้ หลาย ตามกระบวนการแสดงพฤตกิ รรมทง้ั หลาย คนเราจะทา� อะไรจะตอ้ งมแี รงกระตนุ้ จงู ใจเปน็ แกนส�าคัญในการกระท�า โดยส่วนต่าง ๆ ของจิตหรือวิญญาณ ภายในจิตมนุษย์จะมีการต่อสู้ขัดแย้ง ของส่วนจิตตลอดเวลา เมื่อใดมีพลังส่วนวิญญาณไร้เหตุผลมากกว่า ก็จะเป็นแรงผลักดันให้แสดง พฤติกรรมตามความต้องการยินดีพอใจอย่างไร้เหตุผล ไม่ค�านึงถึงความจริงถูกต้องดีงาม เป็นไปตาม สัญชาตญาณไม่ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานท้ังหลาย เม่ือใดบุคคลมีพลังส่วนวิญญาณมีเหตุผลมากกว่า กจ็ ะเปน็ แรงกระตนุ้ จงู ใจใหท้ า� ตามหลกั ความจรงิ มเี หตผุ ลพอประมาณ สอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั ความจรงิ ทง้ั หลาย คา� นงึ ถงึ ความดบี รสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณ์ พฤตกิ รรมการกระทา� ของมนษุ ยจ์ งึ ขนึ้ อยกู่ บั ปรมิ าณและความ เข้มของส่วนจติ นนั้ ๆ
นกั สงั คมวทิ ยา 37 หลกั ส�าคัญในการด�าเนนิ ชวี ติ ทางสงั คม ส�าหรับเพลโต หลักส�าคัญในการด�าเนินชีวิตทางสังคมที่ส�าคัญอย่างหนึ่งนั้นต้องประกอบไป ด้วยปัญญามีเหตุผล เหมือนกับแนวของพระพุทธเจ้า การด�าเนินชีวิตด้วยปัญญาเป็นชีวิตท่ีดีงาม ประเสรฐิ มนษุ ยค์ นหนงึ่ ไมเ่ พยี งรวู้ า่ อะไรดหี รอื ชวั่ อะไรถกู หรอื ผดิ เปน็ ประโยชนห์ รอื ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ และจ�าต้องรู้เข้าใจในวิธีการปฏิบัติเพ่ือบรรลุเป้าหมายน้ันให้ได้ คนดีต้องท�าดีตลอดไปไม่หยุดยั้งไม่ว่า ตอ่ หน้าหรือลับหลัง หลักการด�าเนนิ ชีวติ ทางสังคมท่ดี งี าม ต้องเร่ิมต้นดว้ ยการศกึ ษาเรยี นรใู้ หเ้ ขา้ ใจถูก ต้องมีเหตุผล ด�าเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายของชีวิตทางสังคม เป็นอยู่เป็นไปเพ่ือประโยชน์เกื้อกูลและ ความสุขแกต่ นเองและสงั คม หลกั การประพฤตปิ ฏิบัติได้จรงิ แห่งชีวิตทางสงั คมมี ๒ ประเภท คอื ๑. ทา� หน้าท่ีตอ่ ตวั เอง (Individual rights or duties) แต่ละบุคคลจา� ต้องรบู้ ทบาทหนา้ ท่ี พึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง การประพฤตปิ ฏิบตั ทิ ถี่ ูกตอ้ ง ต้องมาจากปญั ญาพิจารณาหาความจริงสง่ิ ตา่ ง ๆ ท้งั หลาย รเู้ ข้าใจอย่างถ่องแทใ้ นคณุ ค่าความจงึ กระทา� เรยี กว่าคุณธรรมทางปรชั ญา เปน็ แบบ ทพ่ี งึ ประสงคต์ อ้ งการ บคุ คลพงึ กระทา� ดเี พอ่ื ความดี ไมใ่ ชเ่ พอ่ื หวงั ผลประโยชนล์ าภสกั การะสงิ่ ตอบแทน ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ความสนุกสนาน ไม่ใช่เกิดจากความยินดีพึงพอใจ ไม่ใช่เพราะคนอื่นหรือค่านิยม ทางสังคม เห็นคนส่วนใหญ่เขาท�าก็ท�าตามโดยปราศจากความรู้เข้าใจไร้ปัญญาเหตุผล สักแต่ว่าท�า ตาม ๆ กันไปเหมือนกับผ้ึงและมด เป็นคุณธรรมทางสังคม เป็นแบบท่ีไม่พึงประสงค์ต้องการ เพลโต สอนใหย้ ดึ มน่ั ในการทา� ดมี ปี ญั หาเหตผุ ล เกดิ ผลดงี ามตอ่ ตนเอง เปน็ การทา� ดเี พอ่ื ความดงี ามอยา่ งแทจ้ รงิ เป็นการทา� ตามหน้าท่ีหรอื ธรรมชาติ ไมใ่ ช่เพอ่ื หน้าตาทางสังคม ๒. ทา� หนา้ ทีต่ ่อสงั คม (Social rights or duties) มนษุ ย์เปน็ สตั ว์สังคม ไม่อาจอยู่ตามลา� พัง คนเดยี วได้ เพราะตอ้ งการความชว่ ยเหลอื และปลอดภยั ในสงั คม ในบางครง้ั ในสงั คมมนษุ ย์ เกดิ มปี ญั หา ไรร้ ะเบยี บเหตผุ ลถกู ตอ้ ง จา� ตอ้ งรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื แกไ้ ขปอ้ งกนั โดยดว่ น ถอื เปน็ หนา้ ทสี่ า� คญั ทกุ คนชว่ ย กันและแก้ปัญหาสังคมให้ดีงามเรียบร้อยมั่นคงปลอดภัย แม้จะเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไปบ้างก็เพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม เพื่อความเป็นระเบียบปลอดภัยม่ังคงของสังคม เมื่อสังคมมีระเบียบเรียบร้อยสงบ ชวี ติ ทางสงั คมกอ็ ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ ปลอดภยั เปน็ แบบหนา้ ทที่ พ่ี งึ ประสงคต์ อ้ งการ เปน็ การแสดง ความกตญั ญูรับผดิ ชอบต่อสังคมรว่ มกัน ความจรงิ ในสังคมการเมือง มนุษย์เกดิ มาตอ้ งรจู้ ักหน้าที่และ ท�าตามหนา้ ท่ี เรยี กไดว้ า่ ปฏบิ ัตติ ามธรรม ไมใ่ ชต่ ามเทพ อนั มที ัง้ หน้าทีต่ อ่ ตนเอง สงั คมและธรรมชาติ หากไม่รูจ้ ักหน้าทีท่ า� ตามหนา้ ที่ ก็จะมโี ทษเสยี หายเกิดขน้ึ ตามมาอยา่ งแน่นอน ในสงั คมการเมือง มีไฟ มนุษย์รู้จักไฟ ไฟเป็นของร้อน ถ้าจะจับต้องไฟ ต้องรู้จักวิธี ถ้าไม่รู้จักวิธี ไฟก็จะเผาไหม้เอา ในเร่ือง อน่ื ๆ กเ็ ชน่ เดยี วกัน
38 สงั คมวทิ ยาเบอ้ื งตน้ หลักการด�าเนินชีวิตทางสังคม ต้องด�าเนินชีวิตไปด้วยปัญญา รู้ว่าอะไรไม่ดีจ�าต้องละลดเลิก รวู้ า่ อะไรดจี า� ตอ้ งยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ และทสี่ า� คญั ตอ้ งรจู้ กั หาวธิ กี ารทา� ใหไ้ ดท้ า� ใหส้ า� เรจ็ เพอื่ บรรลเุ ปา้ หมาย ความสุขของชีวิต ชีวิตท่ีดีคือชีวิตท่ีมีความสุข ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตท่ีมีคุณธรรม การยึดม่ันอยู่ใน คณุ ธรรมเป็นสงิ่ ดีงามสา� หรบั มนษุ ย์ ในความหมายของเพลโต คุณธรรมคอื ความรู้ (Virtue is knowl- edge) ท่ีได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากโสเครตีส ความรู้จริงมีเหตุผลเป็นรากฐานส�าคัญของคุณธรรม การหลุดพ้นจากสิ่งช่ัวร้ายท้ังหลายก็มาจากคุณธรรมคือปัญญา มนุษย์ทุกคนในสังคมจ�าต้องแสวงหา ยึดมัน่ ในคณุ ธรรมอนั เปน็ หลักประพฤติปฏิบัตไิ ด้จรงิ ๔ ประการ ดงั นี้ ๑. ปัญญา (Wisdom) หรือวิญญาณมีเหตุผล ความรู้จริงมีเหตุผล รู้เข้าใจความดีถูกต้อง ชดั เจนถ่องแท้ รู้สง่ิ ท้ังหลายตามความเป็นจริง ปญั ญาเป็นผชู้ นี้ า� พฤติกรรมการกระท�าต่าง ๆ ท้ังหลาย ใหด้ ถี กู ตอ้ งสมบรู ณห์ ลดุ พน้ จากความชวั่ ทงั้ หลาย ทา� ใหเ้ กดิ ชวี ติ ทดี่ งี ามมคี วามสขุ เพราะโดยธรรมชาติ มนษุ ยเ์ กดิ มาโงเ่ ขลาไมม่ ปี ญั ญา ไมร่ คู้ วามจรงิ เหตผุ ล ความโงเ่ ขลาไมร่ เู้ ปน็ ผชู้ น้ี า� พฤตกิ รรมไปในทางผดิ เสยี หาย ทา� ใหม้ นษุ ยป์ ระสบพบกบั ความทกุ ขต์ า่ ง ๆ ทงั้ หลาย ดงั นนั้ มนษุ ยท์ กุ คนจงึ จา� เปน็ ตอ้ งแสวงหา ศกึ ษาเรยี นรฝู้ กึ ฝนอบรมพฒั นาเสรา้ งเสรมิ ชวี ติ ใหด้ พี รอ้ มสมบรู ณแ์ บบ เพอ่ื ชวี ติ ทดี่ งี ามประเสรฐิ ในสงั คม ๒. ความกลา้ หาญ (Courage) หรือวิญญาณแหง่ เจตนารมณ์ เป็นคุณธรรมส�าคัญอยา่ งหนงึ่ ของมนุษย์ เป็นความกล้าหาญที่ถูกต้องมีเหตุผล กล้าท�าในส่ิงท่ีควรกล้า ไม่ใช่ความกล้าอย่างบ้าบิ่น เป็นความกล้าที่จะท�าดีในท่ีทุกสถานในกาลทุกเม่ือ ถ้าเห็นว่าถูกต้องมีเหตุผลเพียงพอ กล้าตัดสินใจ ท�าโดยไม่ต้องลังเลสงสัย แม้ว่ามีโทษอันตรายเส่ียงภัยถึงกับชีวิต กล้าไม่กลัวไม่ท้อถอย เพื่อรักษา ความจริงถูกต้องดีงาม ผู้กล้าที่แท้จริงต้องกล้าคิดท�าและตัดสินใจ แม้มีความทุกข์มาครอบง�าก็ไม่กลัว หว่ันไหว และแม้มีความตายมาคุกคามก็ไม่กลัวสะทกสะท้าน ส�าหรับพระพุทธศาสนาก็ยกย่อง ความกล้า ความกล้าหาญเป็นคุณลักษณะอย่างหน่ึงของมนุษย์ และเห็นว่ามนุษย์มีความกล้าและ สามารถเลือกท�ากรรมมากกวา่ เทพหรอื เทวดา ๓. ความอดทนขม่ ใจ (Temperance) หรอื วญิ ญาณแหง่ เจตนารมณ์ เปน็ การควบคมุ ตนเอง อยู่ในความดีมีเหตุผล ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงใหลไปกับกระแสของกิเลสตัณหาความอยากและ กระแสทางสังคมค่านิยม อดทนข่มใจควบคุมปรับปรุงตนเองให้ดีเจริญก้าวหน้าพัฒนายิ่ง ๆ ข้ึนไป เหมอื นกบั ปลาวา่ ยทวนกระแสนา�้ ไมต่ กเปน็ ทาสของอารมณแ์ ละคา่ นยิ ม ตลอดถงึ อดทนในการทา� ความ ดไี มท่ อ้ ถอย ขยนั อดทนศกึ ษาเลา่ เรยี น และทา� งาน เพราะมนั่ ใจในความดมี เี ปา้ หมาย อดทนไมห่ วนั่ ไหว ไม่ท้อถอย เพือ่ รักษาความดเี หมือนเกลือรักษาความเคม็ ในพระพุทธศาสนากย็ กยอ่ งขันตคิ วามอดทน ความอดทนเปน็ ตบะความเพยี รพยายามข่มกเิ ลสตณั หาอยา่ งยง่ิ เปน็ คุณลักษณะอยา่ งหน่ึงของมนษุ ย์ เช่นกัน ผู้มีความอดทนจะได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ เป็นที่รักชอบพอของคนหมู่มาก ไม่มีเวรภัย อันตราย ไมม่ โี ทษเสยี หาย ไมโ่ ง่หลงงมงาย ตายไปก็ไปสู่ภพภูมิทดี่ มี ีโลกมนุษย์และสวรรค์ เปน็ ต้น
นักสังคมวทิ ยา 39 ๔. ความยุติธรรม (Justice) หรือวิญญาณแห่งเจตนารมณ์ เป็นสภาวะสมดุลของจิตใจ เป็นความไม่ล�าเอียงในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นการเคารพสิทธิและหน้าที่ของผู้อ่ืนอย่างถูกต้องมีเหตุผล ไม่ก้าวก่ายไม่ยอมกระท�าผิดต่อคนอ่ืนอย่างไร้เหตุผล ปฏิบัติหน้าอย่างประสานกลมกลืนกับคนอื่น อันประกอบไปด้วยความรู้ รัก และอดทน เป็นการรักษาความถูกต้อง เอกภาพและสัมพันธภาพอันดี ระหว่างกัน ในครอบครัว พ่อแม่ล�าเอียงไร้ยุติธรรม ก็แตกสามัคคี ในองค์กรสังคมการเมือง หากไม่ ยุตธิ รรม ก็ทา� ให้แตกความสามคั คี มแี ต่ปัญหาไม่สงบสุข ผเู้ ขียนตง้ั ข้อสังเกตว่า ในสังคมการเมอื งและ บรหิ ารจดั การปกครอง จะคดิ จะพดู หรอื จะเสนอหลกั การอะไร ๆ สดุ ทา้ ย ตอ้ งจบลงดว้ ย ความยตุ ธิ รรม ไม่วา่ พระพทุ ธเจ้า โสเครตีส และเพลโต เป็นต้น จึงพอกลา่ วได้วา่ ความยุติธรรม เป็นหลกั ธรรมแห่งฟา้ เปน็ คุณธรรมแห่งแผ่นดิน และเปน็ หลักสามัคคีแหง่ สังคมการเมอื ง อริสโตเตลิ อรสิ โตเติล (Aristotle, ๓๘๔-๓๒๒ BC) เป็นศษิ ย์เอกของเพลโต เกดิ เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๕๙ หรอื ปี ๓๘๔ ก่อนคริสต์ศักราช ท่ีเมืองสตากิรุส (Stagirus) ในแคล้นเธรช (Thrace) เป็นนักปรัชญากรีก ท�าการศึกษาค้นคว้าสังคมมนุษย์แบบวิทยาศาสตร์ และได้เขียนหนังสือเก่ียวกับสังคมและการเมืองไว้ มากมายหลายเล่ม ซงึ่ ผลงานท้ังหลายเหลา่ นนั้ ลว้ นมอี ทิ ธพิ ลต่อสังคมในกาลต่อมา ถอื ไดว้ า่ เป็นบคุ คล สา� คญั ของโลกอีกคนหน่งึ อริสโตเติลมองเห็น ความจริงของโลกสังคมแบบวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าส่ิงต่าง ๆ ท้ังหลายโดยการสงั เกต เปรยี บเทียบ วเิ คราะห์ แลว้ สรุปผลการศกึ ษา ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งเป็นวตั ถุไม่มีชีวติ และสงิ่ มชี วี ติ มกี ารเคลอ่ื นไหว การขบั เคลอื่ นไปของสรรพสงิ่ มจี ดุ หมายปลายทาง สรรพสง่ิ ในโลกสงั คม มีความจริงหลายอย่างประกอบกันเกิดขึ้น ความจริงแท้ไม่มีสิ่งเดียว ทุกส่ิงต้องการความเจริญพัฒนา ไปสู่แบบคุณลักษณะที่ดีงามบริสุทธ์ิบริบูรณ์ อันเป็นจุดหมายปลายทางของสรรพสิ่งในโลกสังคม ความจริงของสรรพสิง่ ในโลกสงั คมมี ๒ ประเภท คอื ๑. สง่ิ ทไี่ มม่ ชี วี ติ หรอื อนนิ ทรยี สาร (Inorganic matter) วตั ถสุ งิ่ ของทง้ั หลายทไ่ี มม่ ชี วี ติ และ เคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยส่ิงอื่นในการเคล่ือนไหว แต่ก็เป็นวัตถุสสารไม่เที่ยงแท้แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงแตกสลายได้ตามกาลเวลา มีดิน อฐิ หิน ปนู ทราย เปน็ ต้น ๒. ส่ิงมีชีวิต หรืออินทรียสาร (Organic matte) สรรพสิ่งมีชีวิตและเคล่ือนไหวได้ด้วยตัว เอง ไม่ต้องอาศัยส่ิงอ่ืนในการเคล่ือนไหว มีการเจริญพัฒนาเปล่ียนแปลงตามเหตุปัจจัย และสามารถ แตกสลายไปได้ในท่ีสดุ ส่ิงมีชวี ติ ทงั้ หลายเหล่าน้ียังสามารถแบ่งออกเปน็ ๓ ระดบั คือ
40 สังคมวิทยาเบ้อื งตน้ ๒.๑ ระดับต�า่ ได้แก่ พืช เป็นส่งิ มชี ีวิตทต่ี อ้ งการอาหารปุ๋ย ตอ้ งการความเจรญิ เตบิ โต และสบื ขยายพนั ธ์ุ ไมส่ ามารถรบั รู้เข้าใจอะไรได้ พชื แมม้ ีวญิ ญาณกจ็ ริงแต่เปน็ วญิ ญาณมีคุณภาพต่�า ท�าหนา้ ท่ี ไดเ้ พยี งแคด่ ดู ซบั อาหารมาหลอ่ เลย้ี งชวี ติ (อาหารวญิ ญาณ, Nutritive soul) เปน็ ความจรงิ ธรรมดาหรอื ธรรมชาติที่มีปรากฏให้เห็น ๒.๒ ระดบั กลาง ระดบั สงู กวา่ พชื คอื สตั วเ์ ดรจั ฉาน เปน็ สงิ่ มชี วี ติ ทต่ี อ้ งการอาหาร ความเจรญิ เติบโต และสืบขยายพันธุ์เหมือนกับพืช หากแตกต่างไปจากพืชตรงที่สัตว์สามารถรับรู้ทางประสาท สัมผสั ทา� ใหเ้ กิดความรู้สกึ และความจา� ได้ (ผัสสวญิ ญาณ, Sensitive soul) พฤติกรรมการกระท�าเป็น ไปตามอ�านาจพลงั ความอยากตามธรรมชาตหิ รอื สญั ชาตญาณ ไมไ่ ดเ้ กิดจากการเรยี นรู้และวัฒนธรรม โดยตรง ๒.๓ ระดบั สูง คอื มนษุ ย์ สิง่ ทเ่ี หมอื นกนั พชื สัตว์ และมนษุ ยต์ ้องการกินอาหาร ความเจรญิ เติบโต และสืบขยายพันธุ์เหมือนกัน แต่ส่ิงที่พิเศษสุดส�าหรับมนุษย์ ก็คือมนุษย์มีปัญญาภาษาและ วัฒนธรรม (Rational soul, language and culture) มีการศึกษาเรียนรู้หาความจริง ฝึกฝนอบรม พฒั นาอยา่ งมเี หตผุ ลระบบ หาประสบการณจ์ ริงท้งั โดยตรงและโดยอ้อม เกิดพฤตกิ รรมการกระท�าถูก ต้องดีงาม ยึดถือหลักความดีปฏิบัติสืบทอดกันมา เกิดความสัมพันธ์อันดีงามกับสิ่งแวดล้อมอย่างมี เหตุผลเพียงพอตอ่ เน่อื ง เจรญิ พัฒนาไปสู่แบบบริสุทธ์สิ มบรู ณ์ตามล�าดับ จนถึงระดบั สงู สุดคือพระเจา้ หรอื พระอริยเจา้ ซึง่ เป็นจุดหมายปลายทางสุดทา้ ยของชีวติ ทางสงั คม หลกั ส�าคญั ในการดา� เนนิ ชวี ิตทางสงั คม อรสิ โตเติลมองเห็นว่า โลกมีจุดหมาย ทุกส่งิ ทุกอย่างมเี ป้าหมาย หรือชีวิตทางสงั คมก็มีจดุ หมายปลายทางเชน่ กนั เรมิ่ ตง้ั แตเ่ ราตอ้ งการพกั ผอ่ นนอนหลบั กเ็ พอ่ื สขุ ภาพรา่ งกายทดี่ แี ขง็ แรงสมบรู ณ์ เช้าต่ืนนอนล้างหน้าแปรงฟันอาบน้�า ก็เพ่ือช�าระท�าความสะอาดร่างกาย เดินออกไปจากประตูบ้าน ก็เพ่ือส่ิงอื่นคือเรียนหรือท�างาน คนเราท�างานก็เพื่อเงิน ได้เงินมาก็น�าไปซื้อปัจจัยสี่มาบ�ารุงรักษา หล่อเล้ียงชีวิต หรือซ้ือส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายมาปรนเปรอชีวิต ก็เพื่อความสุขของชีวิต อันเป็นจุดหมาย ปลายทางทที่ กุ คนแสวงหาตอ้ งการ การแสวงหาของมนษุ ยอ์ าจมวี ธิ กี ารตา่ ง ๆ มากมาย แตก่ ม็ เี ปา้ หมาย สดุ ทา้ ยเดียวกัน คือความสขุ หรือความดี (Happiness or goodness) ความรา�่ รวยมัง่ คง่ั หรือชือ่ เสียง เกียติยศไม่ใช่ความสุข แต่เป็นเหตุปัจจัยอย่างหน่ึงน�าไปสู่ความสุข เงินไม่สามารถซ้ือความสุขได้ ความสุขเกิดจากปัญญา เกิดจากการกระท�าที่ถูกต้องมีเหตุผล คนมีความสุขคือคนท่ีด�าเนินชีวิตด้วย คุณธรรมคอื ปญั ญา ความสุขหรือความดขี องชวี ติ มี ๒ ประเภท คอื
นกั สงั คมวิทยา 41 ๑. ความสุขทางร่างกาย หรือสังคม (Physiological or social happiness) เปน็ ความ สุขท่ีเกิดจากการก�าเนิดมาดี มีหน้าตาดี บุคลิกลักษณะดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บไข้ได้ ป่วย มีครอบครัวดี อาชีพการงานดี มที รพั ยส์ นิ เงินทอง มฐี านะทางสงั คมและเศรษฐกิจดี มพี ่อแม่ญาติ พนี่ ้องเพือ่ นมิตรดี มคี วามสัมพันธท์ างสงั คมดี มียศตา� แหน่งอา� นาจเกียรตชิ ่ือเสยี งเป็นทยี่ อมรบั มกี าร อยู่ดีกินดี มีความสุขทางเน้ือหนัง เป็นความสุขท่ีเกิดจากการเสพบริโภค เป็นความสุขท่ีอิงอาศัยวัตถุ หรอื ปัจจยั ภายนอกต่าง ๆ ทัง้ หลาย ๒. ความสุขทางจิตใจ (Mental happiness) ความสุขท่ีเกิดจากคุณงามความดีและ คุณธรรม ความสุขที่เกิดจากการท�าดีต่าง ๆ ท้ังหลาย ความสุขทางจิตใจอิงอาศัยความสุขประเภทที่ หนง่ึ คอื ความสขุ ทางร่างกายหรือความสขุ ทเ่ี กิดจากการเสพบริโภควัตถุ เป็นความสขุ ทีเ่ กิดจากการไม่ กระทา� ความชว่ั ทง้ั หลาย ไมป่ ระพฤตเิ สยี หาย ไมส่ รา้ งปญั หากอ่ ความเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายสบั สน เปน็ ความ สขุ ทีเ่ กิดจากการกระท�าความดมี ีคณุ ธรรม ประพฤตปิ ฏบิ ัตถิ กู ตอ้ งมีปัญญาเหตผุ ล เชน่ มีอารมณ์ดีอัน เปน็ ทางสายระหวา่ งอารมณไ์ มด่ หี รอื เฉย ๆ และอารมณโ์ กรธ มคี วามกลา้ หาญทอ่ี ยกู่ ลางระหวา่ งความ บ้าบ่ินและขลาดกลัว มีความโอบอ้อมอารีเสียสละอันเป็นทางสายกลางระหว่างความใจแคบขี้เหนียว เหน็ แกต่ วั และใจกวา้ งฟมุ่ เฟอื ยจา่ ยไรเ้ หตผุ ล เปน็ ตน้ เปน็ ความสขุ ภายในเกดิ จากคณุ ธรรมภายใน บคุ คล ผู้ต้องการความสุขประเภทน้ี จะต้องรู้เข้าใจควบคุมปรับจิตให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ควบคุมปรับ จติ ใจเปน็ ทางสายกลางอย่าตึงและหยอ่ นเกินไป ทา� อะไรใหร้ ู้จักความพอดมี เี หตผุ ล ความสขุ หรอื ความดที ง้ั สองประเภทนเ้ี ปน็ ความสขุ ทอี่ งิ อาศยั ซงึ่ กนั และกนั เปน็ ปจั จยั เกอ้ื หนนุ ซึ่งกันและกัน การที่มนุษย์ท้ังหลายแสวงหาความดีงามหรือความสุข ต้องการความสุขของชีวิต ทางสงั คม พยายามดิ้นรนตอ่ สู้แสวงหาส่งิ ต่าง ๆ ท้ังหลายเพือ่ บรรลุความสขุ ตอ้ งการส่ิงนสี้ ิ่งน้ันกเ็ พื่อ ความสุข เลยประสบปัญหาเรื่องความสุข เพราะไม่รู้เข้าใจชีวิตและความสุขคืออะไร หากรู้เข้าใจชีวิต และความสุขเป็นอย่างไร ก็จะบรรลุความสุขที่แท้จริงได้ ความสุขทางร่างกายหรือความสุขที่เกิดจาก วัตถุ ได้วัตถุมาเสพปรนเปรอตนเกดิ ความพงึ พอใจมคี วามสขุ จา� ตอ้ งรสู้ า� รวมระมดั ระวงั ขม่ จติ หกั หา้ มใจ รู้จักประมาณพอเพียงในการเสพบริโภค ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุและค่านิยมทางสังคม ความสุขทาง จิตใจเป็นความสุขที่เกิดจากการท�าดีต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลถูกต้องเพียงพอ ได้ท�าประโยชน์เก้ือกูลแก่ ตนเองและสังคม เปน็ ความสุขทีเ่ กดิ จากความดมี ีคุณธรรมทัง้ หลาย ในชีวิตทางสังคม ความดีไม่ได้ติดตัวมนุษย์ตั้งแต่เกิด ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องท�าเอง ต้องรู้จักแสวงหาเรียนรู้ท�าให้มีให้เกิดข้ึนให้ได้ ได้คุณธรรมโดยการฝึกฝนอบรมพัฒนา ลงมือประพฤติ ปฏิบัติเอง หลักการด�าเนินชีวิตทางสังคมที่ดีงาม ต้องด�าเนินชีวิตไปด้วยปัญญา เพ่ือบรรลุเป้าหมาย ความสุขหรือความดีของชีวิต มนุษย์ทั้งหลายจ�าต้องแสวงหายึดม่ันในคุณธรรมอันเป็นหลักประพฤติ ปฏิบัตไิ ด้จริง ๒ ประการ ดงั นี้
42 สงั คมวทิ ยาเบ้อื งตน้ ๑. มปี ญั ญา หรอื คณุ ธรรมทางปญั ญา (Intellectual virtue) ความรอบรเู้ ขา้ ใจสงิ่ ทงั้ หลาย ตามความเป็นจริงมีเหตุผล รู้ดีรู้ช่ัว รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่าควรไม่ควร รู้ว่าประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ รู้เข้าใจส่ิง สากลต่าง ๆ ท้ังหลายอย่างถูกต้อง เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม เกิดจากการ อบรมส่ังสอนปลูกฝังถ่ายทอด ปัญญาเป็นเร่ืองการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้รู้เข้าใจความจริงของโลกทาง สงั คม รเู้ ท่าทนั ธรรมดาตามสภาพความเปน็ จรงิ มีโลกทัศน์และชีวิทัศนท์ ีถ่ ูกต้อง ความรเู้ ขา้ ใจชีวติ ทาง สังคม เป็นความรอู้ ันประเสริฐ ปัญญาจงึ เป็นสิ่งทีม่ คี ณุ คา่ ความหมายส�าคัญจ�าเปน็ ต่อชวี ติ ทางสงั คม ๒. มีศีลธรรม หรือคุณธรรมทางศีลธรรม (Moral virtue) เม่ือรู้เข้าใจความจริงมีเหตุผล กน็ า� มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ อ่ สงิ่ ทงั้ หลายใหถ้ กู ตอ้ งมเี หตผุ ล ฝกึ ฝนพฒั นาจนเกดิ เปน็ ความเคยชนิ เปน็ นสิ ยั มรี ะเบยี บวนิ ยั อนั เปน็ แบบคณุ ลกั ษณะทส่ี งั คมยอมรบั ตอ้ งการ สามารถดา� เนนิ ชวี ติ ทางสงั คมดว้ ยความ รู้เข้าใจตามธรรมดาเหตุผล ก็จะส่งผลช่วยในการด�าเนินชีวิตทางสังคมสอดคล้องสัมพันธ์กับส่ิงต่าง ๆ ทง้ั หลายถกู ตอ้ งตามเหตผุ ล อนั กอ่ เกดิ แตป่ ระโยชนส์ ขุ เกอ้ื กลู มชี วี ติ ทดี่ งี ามประเสรฐิ สมบรู ณ์ คลา้ ยกบั แนวการประพฤตปิ ฏิบตั ิของพระพุทธเจา้ ออกสุ ต์ คองต์ ออกสุ ต์ คองต์ (August Comte, ๑๗๙๘-๑๘๕๗, พ.ศ. ๑๒๕๕-๑๓๑๔) นกั สังคมวิทยาชาว ฝร่งั เศส บดิ าของสังคมวทิ ยา ไดศ้ ึกษาตรวจสอบสงั คมมนษุ ย์เชิงวิทยาศาสตร์ (Science) ท่เี รยี กกันวา่ การศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Positivism) โดยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ด้วยการศึกษาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ (Historical analysis) สังเกต (Observation) เปรียบเทียบ (Comparison) และพสิ จู นท์ ดลอง (Experiment) แลว้ สรปุ ผลการศกึ ษาอธบิ ายปรากฏการณท์ างสงั คม เพ่อื ความรูจ้ ริงมีเหตผุ ลถูกต้อง ส�าหรบั คองต์ ความรูจ้ รงิ คือความทางวิทยาศาสตร์ (The only true knowledge is scientific knowledge) คองต์ได้พยายามศึกษาสังคมและวัฒนธรรม วิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและกฎทางสังคมและ วัฒนธรรม เพราะปรากฏการณ์ทางสังคมก็เหมือนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ มีการเกิดขึ้น ด�ารงอยู่ พฒั นา และเปลย่ี นแปลงไป อนั เปน็ กฎสากลธรรมดาทว่ั ไป สา� หรบั คองต์ วทิ ยาศาสตรถ์ อื เปน็ สงิ่ สา� คญั จ�าเป็นต่อการศึกษาสังคมวิทยา เพราะนักวิทยาศาสตร์ท่ีศึกษาตรวจสอบปรากฏการณ์ธรรมชาติ มีฟิสกิ ส์ เคมี ชีววิทยา และดาราศาสตร์ เปน็ ต้น ได้ค้นพบกฎหลกั การความสัมพนั ธ์ระหวา่ งธรรมชาติ ได้ประสบความส�าเร็จในการสร้างต้ังกฎและทฤษฎี ช่วยในการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ ท�าให้ เกดิ ความรเู้ ขา้ ใจความจรงิ มเี หตผุ ล เปน็ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ (คดิ เขา้ ใจ มหี ลกั การ ตง้ั กฎและทฤษฎ)ี สง่ ผลใหเ้ กดิ สง่ิ ประดษิ ฐท์ างวทิ ยาศาสตรต์ า่ ง ๆ ทง้ั หลาย อนั แสดงถงึ ความจรงิ เจรญิ กา้ วหนา้ วทิ ยาการ ต่าง ๆ ทั้งหลาย คองต์ได้พยายามศึกษาวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมแบบองค์รวม แยกศึกษาแล้ว
นกั สงั คมวิทยา 43 โยงใยเข้าหากัน เพื่อองค์ความรู้ท่ีถูกต้องสมบูรณ์ หากแยกศึกษาเป็นเร่ือง ๆ ต่างหาก แล้วไม่โยงใย เข้าหากัน อาจท�าให้เกิดความผิดพลาดเสียหายได้ ได้องค์ความรู้ท่ีไม่ถูกต้องแน่นอน เพ่ือให้เกิดองค์ ความรู้ที่ถูกตอ้ งมีเหตผุ ลและน่าเช่อื ถอื คองตจ์ ึงเร่ิมศกึ ษาคน้ ควา้ กฎ ๓ ข้นั ท่วี ่าดว้ ยความเจริญพฒั นา สังคมและวิทยาการทั้งหลาย ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ขนั้ ทางศาสนาหรอื เทววทิ ยา (Theological or fictitious stage, ๑๓๐๐) เปน็ การศกึ ษา ตรวจสอบระบบทางสงั คมและวฒั นธรรม ความเชอ่ื และการปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ทงั้ หลาย พลงั อา� นาจสงิ่ ลกึ ลบั มหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ ภตู ผปี ีศาจ วญิ ญาณ เทพเจา้ ทมี่ ีอ�านาจอิทธิพลในการควบคมุ จัดการสงั คม ศึกษานกั บวช นกั พรต พอ่ มด หมอผี ผมู้ ีอิทธิพลบทบาทหน้าที่ในสงั คม ตลอดถงึ ศกึ ษาวิเคราะห์ระบบ ครอบครวั รูปแบบประพฤตกิ รรมและความสัมพนั ธท์ างสงั คม อันเป็นบ่อเกดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยดีงาม สัมพันธ์สมดุลบูรณาการทางสังคมการเมือง ความรู้ทางศาสนาจึงเป็นจุดเร่ิมต้นแห่งการศึกษา สังคมวิทยา โดยเฉพาะศาสนาท่ีเปิดเผยขึ้นโดยพระเจ้า (Religion of polytheism) ศาสนาท่ีบูชา เทพเจ้าด้วยความศรัทธา (Worship religion of God) อันมีต้นก�าเนิดท่ีประเทศกรีซและอาณาจักร โรมนั ถอื ไดว้ า่ เปน็ แหลง่ วฒั นธรรมและอารยธรรมสา� คญั ของโลกตะวนั ตก เปน็ ขนั้ การศกึ ษาตรวจสอบ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า หรือระหว่างพลังศรัทธากับเทพเจ้า เป็นศรัทธาที่ปราศจาก ปญั ญา หรือความเชอ่ื ไม่มเี หตุผล ๒. ข้ันอภิปรัชญา (Metaphysical stage, ๑๓๐๐-๑๘๐๐) พยายามรู้เข้าใจความจริงส่ิง สากล ความจริงธรรมชาติด้วยปัญญา เป็นการศึกษาวิเคราะห์ความจริงของมนุษย์ ความดี-ความช่ัว ความถกู -ความผดิ ใหร้ เู้ ขา้ ใจถกู ตอ้ งเพอ่ื ทจ่ี ะปฏเิ สธพลงั อา� นาจสงิ่ มหศั จรรยล์ กึ ลบั เหนอื ธรรมชาติ ศกึ ษา จากนักปรัชญาเมธีคนส�าคัญ ศึกษาสังคมรัฐ ระเบียบกฎเกณฑ์กติกาและกฎหมาย อันเป็นเครื่องมือ ช่วยในการจัดระเบียบทางสังคม สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ปัจจัยท่ีส�าคัญอย่าง หนึง่ ทที่ �าให้สงั คมและวฒั นธรรมเปล่ยี นแปลงคือวทิ ยาการความร้ปู ญั ญา ๓. ข้ันวิทยาศาสตร์ (Positivistic or scientific stage, in ๑๘๐๐) ศกึ ษาค้นคว้าหาความ จริงมีเหตุผลแล้วจัดเป็นระเบียบแบบแผน ทางที่จะเข้าถึงความจริงได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก�าหนดปัญหา ต้ังสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตทดลองเปรียบเทียบ วิเคราะห์ข้อมูล อธิบายสรุปผล ศึกษาสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลายตามความเป็นจริงมีเหตุผล ตั้งกฎอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคมน้นั ได้ ความรู้ทีเ่ กิดจากประสาทสัมผัสอาจเปน็ จรงิ หรอื เท็จได้ เปน็ การปฏิเสธ การนกึ เดาคาดคะเนและความรทู้ างประสาทสมั ผสั บางอยา่ ง เปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ จากนกั วทิ ยาศาสตร์ ศึกษาองค์กรทางสังคมการเมือง และข้อมลู ขา่ วสาร เป็นต้น ทา� ให้ทราบวา่ นอกจากวิทยาการความรู้ ปัญญาแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยหลายอย่างท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก อันหมายถึงความจริง
44 สงั คมวทิ ยาเบ้ืองต้น ของโลกสงั คมไมใ่ ชม่ สี งิ่ เดยี ว ยงั มคี วามจรงิ หลายอยา่ งเกดิ ประกอบกนั ขน้ึ เปน็ ขน้ั ใชป้ ญั ญาและเหตผุ ล ทางวิทยาศาสตร์ เพราะอิทธิพลวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ จึงเกิดการคิดใหม่ท�าใหม่อย่างกว้างขวาง ในวงวิชาการ สง่ ผลมีอทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ นักสงั คมการเมืองทัง้ หลายในกาลต่อมาถงึ ปจั จุบัน การศกึ ษาวเิ คราะห์สงั คมและวฒั นธรรมแบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ เพอื่ องคค์ วามรใู้ หมท่ ถี่ กู ต้องมีเหตุผล ต้องอาศัยหลักวิชาการ เวลา และความอดทน เนื่องจากมีกระบวนการและข้ันตอน ท่ียุ่งยาก ส�าหรับคองต์ กระบวนการและขั้นตอนของวิทยาศาสตร์ที่ส�าคัญ คือ -การศึกษาวิเคราะห์ ประวตั ศิ าสตร์ (Historical analysis) เปน็ การศกึ ษาตรวจสอบเหตกุ ารณเ์ รอ่ื งราวตา่ ง ๆ ทง้ั หลายทเ่ี กดิ ขึ้นในอดีต หรือปรากฏการณ์สังคมประวัติศาสตร์ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากเอกสาร จารกึ วตั ถุ หรอื วตั ถุโบราณ โดยการเปรยี บเทยี บระหวา่ งกาลเวลาบคุ คลและยคุ สมัย - การสงั เกต (Observation) เฝา้ ดมู องปรากฏการณแ์ ละการเปลยี่ นแปลงสงั คมและวฒั นธรรม ท้งั หลายอยา่ งละเอียดถกู ตอ้ งแมน่ ยา� โดยใช้ประสาทสัมผัสท้ัง ๕ คอื ตา หู จมกู ล้นิ กาย และเคร่ือง มอื ทางวทิ ยาศาสตรช์ ว่ ยในการศกึ ษาคน้ ควา้ ตามกรอบแนวคดิ ทฤษฎหี รอื สมมตฐิ าน นา� ไปสขู่ อ้ เทจ็ จรงิ และองค์ความรู้ใหม่ สามารถอธิบายความสัมพันธ์แห่งเหตุผล อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ทัง้ หลายได้จรงิ มีเหตผุ ล แล้วก็สรุปผลการศกึ ษา - การเปรยี บเทยี บ (Comparison) ศกึ ษาเปรยี บเทยี บระหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์ มนษุ ยก์ บั สตั ว์ สัตว์กับสัตว์ สัตว์กับมนุษย์ สังคมกับสังคม ประเทศกับประเทศ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง กาลเวลา ยคุ สมยั บคุ คล และสถานท่ี เปน็ วิธีการศึกษาอยา่ งหน่ึงทจ่ี ะชว่ ยใหร้ ูเ้ ข้าใจความจรงิ ได้ - และพิสูจน์ทดลอง (Experiment) เป็นการศึกษาด้วยตนเองหลายครั้ง ตามหลักวิชาการ และตามกรอบแนวคิดและทฤษฎี ให้ประจักษ์แน่นอนชัดเจน เป็นการศึกษาที่นิยมในระหว่าง นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย แต่ในทางสังคมวิทยามักมีปัญหา เพราะมีข้อจ�ากัดทางสังคมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองศีลธรรม วัฒนธรรม และกฎหมาย เช่น เม่ือคนป่วยเป็นโรคร้ายแรง เป็นโรคเอดส์ ก็ไม่กล้าที่จะเอามนุษย์ท่ีป่วยเป็นโรคเอดส์มาท�าการพิสูจน์ทดลองตามหลักวิชาการ แล้วน�าข้อมูลที่ ได้มาทดลองวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลรอบคอบแล้วสรุปรายงานผลการศึกษา ท�าให้เกิดแนวคิดทฤษฎี และพัฒนาทฤษฎีที่มีอยู่แล้ว แนวคิดทฤษฎีช่วยให้การศึกษาวิจัยมีประสิทธิภาพประสิทธิผล หากผล การศึกษาวิจัยยืนยันก็แสดงว่า แนวคิดทฤษฎีมีเหตุผลถูกต้องแม่นย�า หากปฏิเสธไม่ยอมรับ ก็จะเกิด แนวคิดทฤษฎีใหม่ แสวงหาองค์ความรใู้ หมต่ อ่ ไป เพราะอทิ ธพิ ลการศกึ ษาทางชวี วทิ ยา มคี วามจรงิ หลายอยา่ งทป่ี ระกอบกนั เกดิ ขนึ้ คองตจ์ งึ ได้ ศึกษาวิเคราะหป์ รากฏการณ์ทางสงั คม (Social phenomena) เปน็ ระบบแบบองค์รวม ศกึ ษาคน้ คว้า ประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ ความคิด ความเช่ือ การปฏิบัติ กฎเกณฑ์กติกา กฎหมาย และองค์กร สถาบนั ทางสงั คมการเมอื ง เปน็ ตน้ เพอื่ คน้ หาความจรงิ โครงสรา้ งหนา้ ทแี่ ละววิ ฒั นาการการเปลย่ี นแปลง
นักสงั คมวทิ ยา 45 ความจริงท่ีว่านี้เหมือนกับเหรียญสองหน้า ในด้านหน่ึง มีความจริงทางโครงสร้างและบูรณาการ ทางสังคม อีกด้านหนึ่ง มีข้ันตอนการวิวัฒนาการเปล่ียนแปลง โดยแบ่งการศึกษาสังคมออกเป็น ๒ ประเภท คอื ๑. สังคมสถิต (Social statics) เป็นการศกึ ษาตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสงั คม ความเปน็ ระเบียบเรียบร้อยของสังคม เป็นลักษณะมีเสถียรภาพม่ันคง มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ ศึกษา พฤตกิ รรมการกระทา� และปฏกิ ริ ยิ าตอบโตส้ งั คม โครงสรา้ งและสถาบนั ทางสงั คมทงั้ ระดบั เลก็ และใหญ่ (ครอบครัว กลุ่มคน สังคม ประเทศชาติ และสถาบนั ศาสนา การศกึ ษา เศรษฐกิจ การเมือง) ศึกษาการ ดา� เนนิ ไปและการดา� รงอยแู่ บบสมดลุ บรู ณาการทางสงั คม เหตปุ จั จยั ของการดา� เนนิ ไปและดา� รงอยขู่ อง สังคมการเมือง เหตุปัจจัยส�าคัญทางสังคมคือ ภาษา ศาสนา หน้าท่ีหรือการแบ่งงาน และอ�านาจรัฐ เป็นปัจจัยส�าคัญช่วยในการจัดระเบียบทางสังคม ให้สมดุลบูรณาการ และให้ด�าเนินไปได้อย่างสงบ เรยี บรอ้ ย ๒. สงั คมพลวตั (Social dynamics) เปน็ การศกึ ษาวเิ คราะหถ์ งึ การเปลย่ี นแปลงพฒั นาของ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงทางปัญญาหรือความคิดมนุษย์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความเชอ่ื คา่ นยิ มการปฏบิ ตั แิ ละววิ ฒั นาการสงั คม ดไู ดจ้ ากการววิ ฒั นาการทางสงั คมและปญั ญา ๓ ขน้ั เพื่อให้เกิดความสมดุลบูรณาการของสังคม อันเป็นปรากฏการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วจากยุค สู่ยุค ยากท่จี ะรเู้ ขา้ ใจลว่ งหนา้ ได้ ศกึ ษาพลงั อา� นาจท้งั หลายท่เี กิดขึน้ ในสังคมมนษุ ย์ พลังอา� นาจท่เี ป็น แรงกระตุ้นผลักดันมนุษย์ให้กระท�าสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย อันส่งผลเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ หรอื เปน็ สขุ และทกุ ขข์ องสงั คม พลงั อา� นาจทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยสามคั คแี ละเดอื ดรอ้ นวนุ่ วาย แตกแยก เฮอรเ์ บริ ท์ สเปนเซอร์ เฮอรเ์ บริ ท์ สเปนเซอร์ (Herbert Spencer, ๑๘๒๐-๑๙๐๓) เปน็ นักสงั คมวทิ ยาชาวองั กฤษ เกิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๒๐ เสียชวี ติ ในปี ค.ศ. ๑๙๐๓ รวมอายุได้ ๘๓ ปี ได้ศึกษาสังคมโดยอาศยั หลกั การ วิทยาศาสตร์ ด้วยการสังเกตให้รู้เข้าใจมากกว่าท่ีจะใช้ทฤษฎี (Empirical observation) ด้วยการ เปรยี บเทยี บ (Comparison) ศกึ ษาแบบนริ นยั (Deduction) กลา่ วคอื วเิ คราะหเ์ หตผุ ลขอ้ เทจ็ จรงิ จาก ส่วนรวมไปหาส่วนย่อยแล้วสรุปผลการศึกษาโดยอนุมาน คือคิดคาดคะเนตามหลักความจริงมีเหตุผล เชน่ คนทท่ี า� งานดว้ ยความขยนั อดทน ยอ่ มมที รพั ยม์ าก ดงั นน้ั นายขนั ตเิ ปน็ คนอดทนขยนั จงึ มที รพั ยม์ าก และศกึ ษาแบบอปุ นยั (Induction) ตรวจสอบเหตผุ ลโดยอาศยั ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ มลู ทงั้ หลายแลว้ สรปุ ผลตงั้ เปน็ กฎ เปน็ การสรปุ ผลเชงิ อปุ มานเปรยี บเทยี บลกั ษณะจากสว่ นยอ่ ยไปหาสว่ นรวม กอ่ นทเี่ ราจะ สรุปว่า นายขันติเป็นคนอดทนขยันจึงมีทรัพย์มาก ต้องพิจารณาวิเคราะห์ส่วนย่อยประกอบการสรุป ผลศึกษา เปน็ ตน้ วา่ งานอะไร ท�าทไี่ หน เมื่อไร ท�ากับใคร หรอื ฉลาดทา� งานตอ่ เนือ่ งดมี เี หตผุ ลไหม
46 สงั คมวทิ ยาเบอ้ื งต้น สเปนเซอร์นักประจักนิยม ได้รับอิทธิพลมาจากแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นผลมา จากการวิวัฒนาการทางวิทยาการต่าง ๆ ทั้งหลาย เขาเชื่อว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติท้ังหลาย สังคม และวัฒนธรรม (Society and culture) ส่ิงมีชีวิตและไม่มีชีวิต (Organism and inorganism) มกี ฎสากลลกั ษณะท่วั ไปเหมอื นกนั ไม่มขี ้อยกเวน้ มีกระบวนการเกดิ ขึ้น เปลี่ยนแปลง และววิ ัฒนาการ อยา่ งสมั พนั ธม์ เี หตผุ ลรว่ มกนั เมอื่ สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ในระบบเดยี วกนั เกดิ เปลย่ี นแปลง กจ็ ะสง่ ผลกระทบ ไปยังอกี ส่วนหนง่ึ ตัวอย่าง ในกระบวนการศึกษา ท่ดี �าเนนิ ไปในแตล่ ะปีและแห่งของการศกึ ษา หากมี การปรับปรุงเปลย่ี นแปลงหลกั สตู ร ครผู ูส้ อน ตารางเรยี น เวลาสอน วิธกี ารสอน สอบและประเมินผล และอะไรอกี อน่ื ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั เมอ่ื สว่ นใดสว่ นหนง่ึ เปลยี่ นแปลง กจ็ ะสง่ ผลกระทบกระเทอื น ไปยงั สว่ นอ่ืน ๆ ทัง้ นี้ ขนึ้ อย่กู ับเหตุปจั จยั แล้วแตก่ รณี สเปนเซอรม์ องเหน็ ความจริงสงั คมเหมอื นกับส่ิงมีชวี ติ คอื รา่ งกาย (Organic analogy or organism) ระบบสังคมก็เหมือนกับระบบร่างกาย ท่ีประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายส่วน มีการเจริญ เปลี่ยนแปลง ท�างานเปน็ ระบบระเบยี บแบบแผน มปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล เพอ่ื ให้เกิดผลความ สมดุลบูรณาการ เขาพยายามศึกษาอธิบายสังคมในความหมายหน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ที่มนุษย์กระท�า อนั มผี ลตอ่ การดา� รงคงอยขู่ องกฎเกณฑ์ บรรทดั ฐาน คณุ คา่ วฒั นธรรม และโครงสรา้ งทางสงั คมการเมอื ง สงั คมเปน็ ระบบทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ ดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ทส่ี มั พนั ธซ์ งึ่ กนั และกนั แตล่ ะสว่ นตา่ งทา� หนา้ ทส่ี นบั สนนุ ส่งเสริมกระบวนการทางสังคม การหน้าท่ีของสังคมก็เช่นเดียวกับการหน้าท่ีของอวัยวะร่างกาย เช่น การหน้าท่ขี องตา ทา� หน้าท่ีมองเห็น หูฟังเสยี ง จมูกดมกล่ิน ลนิ่ ลิ้มรส กายสัมผสั จิตหรือปญั ญารู้ ความจรงิ ไตทา� หนา้ ทขี่ บั ของเสยี จากเลอื ดไปทางปสั สาวะ หรอื หวั ใจทา� หนา้ ทส่ี ง่ เลอื ดไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของอวยั วะรา่ งกาย เปน็ ต้น สว่ นต่าง ๆ ของอวัยวะรา่ งกายเหลา่ นที้ า� หน้าท่ีสมั พนั ธก์ ัน หากตาบอดก็ จะมองไม่เห็น หูหนวกฟังไม่ได้ยินเสียง ฯลฯ ไตท�างานไม่ปกติหรือหัวใจล้มเหลว ก็จะส่งผลเสียต่อ ร่างกายหรือมนุษย์อาจจะตายไปในท่ีสุด ท�านองเดียวกัน สถาบันทางสังคมการเมือง เช่น สถาบัน ครอบครัว การศึกษา และเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัวมีหน้าท่ีส�าคัญในการฝึกฝนอบรมเล้ียงดูบุตร ให้การศึกษาบตุ ร จนกระทัง่ เขาเตบิ ใหญส่ ามารถอยูพ่ งึ่ ตนเองได้ สถาบันการศกึ ษาท�าหน้าทใี่ หค้ วามรู้ วิชาการตา่ ง ๆ ใหก้ ารฝกึ อบรมพฒั นาจนเกดิ ความช�านาญในอาชพี ทั้งหลาย และเศรษฐกิจรบั ผดิ ชอบ ในการผลิตเคร่ืองนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ย่ิงไปกว่าน้ี ยังช่วยในการสร้างสนับสนุนส่ง เสริมรักษาบทบาท หน้าท่ี บรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม และวัฒนธรรม ในปัจจุบัน แนวคิดทฤษฎีนี้ เรยี กวา่ ทฤษฎกี ารหนา้ ที่ (Functionalist Theory) ลกั ษณะการหนา้ ท่ี คอื ทา� ตามหนา้ ทอ่ี ยา่ เปน็ ระบบ ระเบียบ เกิดการควบคุม และเกิดความสัมพันธ์สมบูรณ์ เป็นการเน้นแบ่งงานตามหน้าที่ มีความ ซับซ้อนหลากหลาย ระบบความสมั พนั ธเ์ อกภาพ และมวี วิ ัฒนาการทีด่ ีสมบรู ณ์ เพื่อให้เกดิ ความสมดลุ ด�ารงอยู่ได้
นักสงั คมวทิ ยา 47 ตามแนวคิดทฤษฎีของสเปนเซอร์ กระบวนการสังคมก็เหมือนกับกระบวนการชีวิตร่างกาย กระบวนการทางสงั คมดงั กลา่ วนถ้ี กู ควบคมุ ดว้ ยปจั จยั สา� คญั ทางสงั คม ๔ ประการ คอื ศาสนา (Religion) ศีลธรรม (Morality) วัฒนธรรม (Culture) และการเมืองการปกครอง (Government) และมีสิทธิ หน้าทท่ี างสังคมส�าคัญ ๒ ประการ คอื สทิ ธสิ ่วนบคุ คล (Personal or individual rights) และสิทธทิ าง สงั คม (Public or social rights) เปน็ ตวั แกนสา� คญั ในการจดั ระเบยี บทางสงั คม ทา� ใหเ้ กดิ สมดลุ บรู ณา การทางสงั คม เกิดคงอยอู่ ย่างมัน่ คงถาวร จา� ต้องรู้เข้าใจในระบบและโครงสร้าง ดังน้ี มกี ระบวนการที่ สลับซบั ซอ้ น มีส่วนเลก็ ส่วนน้อยและสว่ นใหญส่ า� คัญ มีการเจริญเติบโตปรับปรุงเปล่ยี นแปลงตามเหตุ ปัจจัย จากง่ายไปสู่ยากหรือจากเล็กไปสใู่ หญ่ ท�าให้เกิดความหลากหลายในบทบาทหน้าที่ แต่ละสว่ น ระบบบทบาทหน้าท่ีท�างานสัมพันธ์อาศัยเก้ือกูลซึ่งกันและกัน มีศูนย์กลางส�าคัญควบคุมการท�างาน ท�างานอย่างตอ่ เน่อื งเพ่ือใหเ้ กิดความสมดลุ คงดา� รงอยู่ได้ ไม่สามารถแยกออกจากกนั ได้ หากส่วนหรือ ระบบหนงึ่ เปลย่ี นแปลงทา� งานผดิ พลาดกจ็ ะสง่ ผลกระทบไปยงั สว่ นหรอื ระบบอนื่ ทง้ั น้ี ขนึ้ อยกู่ บั ความ ส�าคญั ของส่วนหรอื ระบบน้ัน ๆ การศกึ ษาตรวจสอบสงั คมเปรยี บเทยี บกบั สงิ่ มชี วี ติ หรอื รา่ งกาย โดยเนน้ ไปทโ่ี ครงสรา้ งหนา้ ท่ี และกระบวนการวิวัฒนาการ สังคมมีบทบาทหน้าท่ีซับซ้อนหลากหลาย ช่วยให้เกิดสมดุลบูรณาการ ทางสงั คมการเมอื ง ชว่ ยใหค้ งอยดู่ า� เนนิ ตอ่ ไปได้ มกี ระบวนการและขน้ั ตอนววิ ฒั นาการจากงา่ ยไปหายาก มีความซับซ้อนมากย่ิงขึ้น ส�าหรับสเปนเซอร์ เขาได้แบ่งการศึกษาสังคมออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. สงั คมทหาร (Military society) ทหารกเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม เปน็ ประชาชนคนหนงึ่ ในระบบสงั คม มคี วามอดทนกลา้ หาย มคี วามสมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งสงั คมรฐั และประชาชน มฐี านะตา� แหนง่ บทบาทหนา้ ที่ ทางสังคม เป็นบุคคลที่มีเกียรติสังคมยอมรับ ท�าหน้าที่ป้องกันสังคมประเทศ สนับสนุนส่งเสริมความ ม่ันคงปลอดภยั สังคมประเทศ และ ๒. สังคมอตุ สาหกรรม (Industrial society) พอ่ ค้านกั ธุรกิจก็เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม เปน็ ประชาชนคนหนงึ่ ในระบบสงั คม มคี วามขยนั อดทนฉลาดซอื่ สตั ย์ มคี วามสมั พนั ธ์ กันทางสังคม มีฐานะต�าแหน่งบทบาทหน้าท่ีทางสังคม ท�าหน้าท่ีผลิตจัดหาค้าขายและบริการต่าง ๆ ท้ังหลาย สนับสนุนส่งเสริมเศรษฐกิจการเป็นอยู่ ตลาด และระบบการค้า ท�าให้เกิดความมีระเบียบ เรยี บรอ้ ยสงบมกี ารกนิ ดมี สี ขุ ในสงั คม ตา่ งคนตา่ งทา� หนา้ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล เกดิ ความสมั พนั ธ์ อนั ดงี ามระหว่างกัน สนบั สนุนเกื้อกลู สังคมการเมือง เกิดผลถกู ตอ้ งดีงามเป็นประโยชน์รว่ มกนั อมี ลิ เดอรไ์ คม์ อีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim, ๑๘๕๘-๑๙๑๗) เกิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๕๘ เสียชีวิตใน ปี ค.ศ. ๑๙๑๗ รวมอายุ ๕๙ ปี เป็นนักสังคมวิทยาชาวฝร่ังเศสเช้ือสายยิว เกิดในครอบครัวที่นับถือ ศาสนายูดาย แรกมีความสนใจในด้านศาสนา แต่ต่อมากลับสนใจศึกษากฎหมายและวิทยาศาสตร์ เพราะเขาเชื่อม่ันว่า มนุษย์จะเจริญก้าวหน้าพัฒนาก็เพราะความรู้จริงมีเหตุผล หรือวิทยาศาสตร์ จงึ สนใจศกึ ษาค้นควา้ ความจรงิ สังคมแบบวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ
48 สงั คมวิทยาเบ้ืองต้น เดอรไ์ คมส์ นใจศกึ ษาคน้ ควา้ ความจรงิ ทางสงั คม (Moral facts or social facts) เปน็ ลกั ษณะ กระบวนการเชิงเหตุผล สนใจศึกษามนุษย์กับสิ่งท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมนุษย์ อันเป็นกระบวนการ ปรากฏการณ์ทางสงั คมการเมอื ง โดยหลักวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ส�าหรับเดอร์ไคม์ ข้อเท็จจรงิ สงั คม มี ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ มนษุ ยแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ มหรอื ปจั จัยนอก (Individuals and externalities) แตใ่ นความหมายของเดอรไ์ คม์ เขาอธบิ ายวา่ นอกจากมนษุ ยแ์ ต่ละคนแลว้ ยังมีปัจจยั ภายนอกอืน่ อีก อันเป็นข้อเท็จจริงทางสังคม มีอิทธิพลส�าคัญต่อมนุษย์ เป็นพลังอ�านาจภายนอกท่ีควบคุมพฤติกรรม มนษุ ย์ เปน็ ลกั ษณะประกอบพฤตกิ รรม ในเวลาทคี่ ดิ พดู และทา� ของมนษุ ย์ (ถกู -ผดิ หรอื ด-ี ชว่ั ) อนั เปน็ รปู แบบพฤตกิ รรมการกระทา� อนั เปน็ กระบวนการทางจติ (Mental processes) เปน็ สง่ิ แวดลอ้ มปจั จยั ภายนอกของมนุษย์ อันหมายถึงความคิด ความเช่ือ บรรทัดฐาน คุณค่าทางสังคม ทัศนคติ ประเพณี และวัฒนธรรมอื่น ๆ ช่วยเปน็ พลังอา� นาจและแรงกระตุน้ ผลักดันให้มนุษยแ์ สดงพฤตกิ รรมการกระท�า ตา่ ง ๆ ทง้ั หลาย อนั เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทางสงั คมอยา่ งหนงึ่ ทอี่ าจเรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ ปจั จยั ทางสงั คมและ วัฒนธรรม โดยนัยน้ี ข้อเท็จจริงทางสังคม จึงมีข้อเท็จจริงทางวัตถุ กล่าวคือ บุคคล องค์กรสถาบัน เหมือนกับมนุษย์และเซลล์ต่าง ๆ ทั้งหลายของร่างกายมนุษย์ และข้อเท็จจริงทางวัฒนธรรม ข้อเท็จ จริงท่ไี ม่ใช่วัตถุ อันเป็นข้อเทจ็ จรงิ เก่ียวกบั จติ จงึ พอจะสรุปได้ว่า ความจริงของมนุษยม์ ีกายกับจิตหรือ วญิ ญาณ ความจรงิ โลกสงั คมมมี นษุ ยก์ บั สงิ่ แวดลอ้ ม อนั เปน็ ปจั จยั ภายนอกสา� คญั ในการสรา้ งความจรงิ สร้างแบบลักษณะความเป็นมนุษย์ เป็นเร่ืองท่ีนักสังคมวิทยาพูดคุยถกเถียงกันมาทุกยุคทุกสมัย มนุษย์คือใคร ประกอบไปด้วยอะไร มีความสัมพันธ์ทางสังคมการเมืองกันอย่างไร และคุณลักษณะ มนุษยท์ ่แี ทจ้ ริงเปน็ อยา่ งไร ปรากฏการณ์ทางสังคมเป็นข้อเทจ็ จริงทมี่ อี ยู่จรงิ ตามธรรมชาติ เปน็ สิ่งประจกั ษห์ รอื รปู ธรรม ปรากฏในสงั คม มลี กั ษณะความจรงิ เหตผุ ลเปน็ แบบองคร์ วม ทสี่ ามารถรเู้ หน็ ไดใ้ น ๓ ดา้ น คอื โครงสรา้ ง หนา้ ที่ และกระบวนการทางสงั คม (Social structure, function and process) โครงสรา้ งทางสงั คม อันหมายถึง รูปแบบพฤติกรรม กิจกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างกัน หน้าท่ีทางสังคม การแบ่งกัน ท�ารับผิดชอบของแต่ละคน ตามฐานะ อายุ เพศ วัย และความเหมาะสม ท�าให้เกิดความเรียบร้อย สมบูรณ์ เกิดความสมั พนั ธ์เปน็ เอกภาพ เป็นปัจจยั สา� คัญทา� ให้เกิดสมดุลบรู ณาการทางสังคมการเมอื ง ส�าหรบั เดอรไ์ คม์ แนวคดิ การแบง่ งานทางสงั คม ถือวา่ เป็นปจั จัยสา� คญั ในการเปลย่ี นแปลงและพฒั นา สงั คม และกระบวนการทางสงั คม เป็นการปรับปรุงเปลย่ี นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม จะต้องเป็น ไปอยา่ งมเี หตผุ ลถกู ตอ้ งเพยี งพอ จงึ จะเกดิ ความดงี ามมปี ระโยชนเ์ กอื้ กลู มคี วามสมั พนั ธท์ ด่ี ี มกี ารดา� เนนิ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล เกิดผลความเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบในสังคมการเมืองแบบ สมดุลบูรณาอยา่ งแท้จริง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232