งานวชิ าการเพอ่ื ศกึ ษาเรยี นรู้ประวตั ศิ าสตร์ศรลี งั กา เลม่ ๑
พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ : ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติความเชื่อ และความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์/ พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ๑. ประวัติศาสตร์ศรีลังกา.....สมัยโกฏเฏ ๒. คติความเช่ือ...ศรีลังกา ๓. ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ ๔. พุทธศาสนา...ศรีลังกา เลขมาตรฐานสากลประจ�าหนังสือ : 978-616-7821-48-1 พิมพ์คร้ังท่ี ๑ : พฤษภาคม ๒๕๕๙ จ�านวนพิมพ์ : ๒๐๐ เล่ม กองบรรณาธิการ : พระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. พระมหาถนอม อานนฺโท ดร. ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ พัสริน ไชยโคตร วันเพ็ญ พรมเมือง เอมมิกา แก้วสรดี พยุง จันทะรังษี พิสูจน์อักษร : พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ออกแบบปก : เอนก เอื้อ-การุณวงศ์ ด�าเนินการจัดพิมพ์ : สาละพิมพการ ๙/๖๐๙ ซอยกระทุ่มล้ม ๖ ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐-๒๔๒๙๒๔๕๒, ๐๘๕-๔๒๙๔๘๗๑ email:[email protected]
ค�านา� ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่ปรากฏเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ถือว่า เปน็ บรรณาการจากประเทศศรลี งั กา เพราะสมยั อดตี นนั้ ประเทศแหง่ นเ้ี ปน็ ศนู ยก์ ลางการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาแทนชมพูทวีป หลักฐานท่ีเห็นกันเป็นรูปธรรม ได้แก่ วรรณกรรมภาษาบาลีที่ พระภิกษุสามเณรไทยศึกษากันอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นผลผลิตมาจากศรีลังกา นอกจากนั้น ยังมี วฒั นธรรมประเพณี และคตคิ วามเชอ่ื อกี หลายอยา่ ง เชน่ การบชู าพระบรมสารรี กิ ธาตุ การนบั ถอื ต้นโพธ์ิ หรือแม้แต่การสวดมนต์ก็เป็นของศรีลังกาเช่นกัน การจะศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย จ�าเป็นต้องย้อนกลับไป ศึกษาประวัติศาสตร์ของศรีลังกา ซ่ึงถือว่าเป็นแหล่งก�าเนิดอันแท้จริง แต่หนังสือต�าราเกี่ยวกับ ศรีลังกามีน้อยนัก ส่วนใหญ่เป็นหนังสือท่องเท่ียวเป็นหลัก จะหาหนังสือเป็นวิชาการพอได้ อ้างอิงแทบไม่ค่อยเห็น ถ้ามีก็เป็นภาษาอังกฤษย่อมยากท่ีจะเข้าใจ จึงเป็นเหตุให้นักศึกษาไทย ไม่ค่อยสนใจประเทศศรีลังกา แม้รู้กันอยู่ว่าเป็นต้นก�าเนิดพระพุทธศาสนาของประเทศไทย เป็นเร่ืองน่ายินดีเป็นอย่างย่ิงที่พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญเก่ียวกับ ประเทศศรีลังกาได้มาเป็นอาจารย์ประจ�าหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธ ศาสนา และแปลงานวิจัยจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ท�าให้เราสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์ ศรีลังกาได้ง่ายขึ้น ขออนุโมทนาขอบคุณ พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ที่วิริยะอุตสาหะแปลงานวิจัยเรื่อง ”ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ: ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติความเช่ือ และความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์„ ซ่ึงได้รับทุนจากวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ตีพิมพ์ด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อนักวิชาการและผู้สนใจเก่ียวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน ประเทศศรีลังกา (พระศรีปริยัติธาดา) ผู้อ�านวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์
คำ� นิยม ”ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ: ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติความ เช่ือ และความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์„ ถือเป็นผลงานแปลท่ีทรงคุณค่าอีกเล่มหน่ึง อย่างน้อยท่ีสุดจะเป็นการช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาให้กับวงการศึกษา พระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ดีอีกเล่มหนึ่ง ผู้แปล, พระมหาพจน์ สุวโจ.ดร. ได้เคยคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่ในศรีลังกามาเป็นระยะ เวลานานพอสมควร ท�ำให้เข้าใจบริบททางด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี และวัฒนธรรมเป็น อย่างดี ซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ส�ำคัญ และจ�ำเป็นที่จะช่วยท�ำให้งานแปลมีความถูกต้อง สมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น ซ่ึงในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผู้แปลได้สร้างสรรค์ผลงานแปล และงานนิพนธ์เก่ียวกับ พระพุทธศาสนาในศรีลังกาออกสู่บรรณพิภพเป็นระยะ ๆ ไม่ขาดสาย ที่ได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่แล้ว เช่น ตามรอยพระอุบาลีไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาท่ีศรีลังกา (๒๕๕๒), กรณี พระสงฆ์ศรีลังกาเล่นการเมือง (๒๕๕๓), ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี (๒๕๕๔) เป็นต้น ถือได้ว่า ”งานพิสูจน์คน„ อยู่ในตัวอยู่แล้ว โดยส่วนตัว ได้อ่านงานแปลเรื่องนี้มารอบหน่ึงแล้วตั้งปี ๒๕๕๗ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ๑ ใน ๔ ที่ได้รับมอบหมายให้อ่านตรวจทานต้นฉบับ ต้องยอมรับว่า ต้นฉบับที่น�ำมาแปลมีความยุ่งยากอยู่พอสมควร ล�ำพังเพียงการ ถอดศัพท์เฉพาะท่ีเป็นช่ือบุคคลสถานท่ีอย่างเดียวก็น่าเวียนหัวอยู่ไม่น้อย เช่น u ในค�ำว่า Tibbot.uváv~e Buddharakkhita และ Malvatu Viháraya ออกเสียง อะ ขณะท่ีส่วนใหญ่ หากไม่มีตัวสะกด มักถ่ายเสียงเป็น อุ, p จะออกเสียงเป็น พ หรือ ป จึงจะถูกต้องตามความ
เป็นจริง เช่นชื่อคน ศัพท์เดียวกันถอดเป็นวิชิตพาละก็ได้ เป็นวิชิตปาละก็ได้ แต่จะให้ความ หมายต่างกัน กล่าวคือค�าแรกหมายถึงชนะพาล ส่วนค�าหลังหมายถึงผู้รักษาชัยชนะ ปัญหาท่ี ผู้แปลเลือกถ่ายเสียงเป็นอะไรได้หมด เพราะมีองค์ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และบริบท ที่เกี่ยวข้องดีแล้ว แม้ประเด็นปัญหาอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องก็ท�านองเดียวกัน ต้องขออนุโมทนาและชื่นชมพระมหาพจน์ สุวโจร,ดร. ผู้แปล ที่มีความเพียรพยายาม และได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกามาให้พวกเราได้อ่าน เป็นระยะ ๆ ไม่ขาดสาย (พระครูศรีปัญญาวิกรม,ดร.) รองผู้อ�านวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์
กล่าวนำ� ประเทศศรีลังกาเป็นเกาะขนาดเล็กแม้จ�ำกัดด้วยผู้คน แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะ สามารถสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชมพูทวีปดินแดนแห่งมาตุภูมิ โดยเฉพาะพระพุทธ ศาสนานั้นกลายเป็นสายธารส่งต่อหล่อเลี้ยงประเทศแห่งดินแดนอุษาคเนย์แทบท้ังหมด กล่าวเฉพาะประเทศไทยน้ันพระพุทธศาสนาที่ยังด�ำรงคงอยู่ปัจจุบันจะเรียกว่าลังกาวงศ์ก็คง ไม่ผิดนัก เหตุเพราะเกิดการถ่ายเทลังกาวงศ์สู่ประเทศไทยหลายต่อหลายคร้ัง จนกลายเป็น ประเพณีวัฒนธรรมแบบไทยแท้เรียกว่าสยามวงศ์ ว่าตามหลักฐานแล้วพระพุทธศาสนาเข้าสู่เกาะลังกาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่ง ชมพูทวีป ซ่ึงสมัยนั้นกษัตริย์แห่งเกาะลังกาพระนามว่าพระเจ้าติสสะ แต่เหตุที่เป็นพระสหาย ของกันและกันมาตั้งแต่ยังเป็นพระยุพราช พระเจ้าอโศกมหาราชจึงประทานพระนามแห่ง บูรพกษัตริย์ของพระองค์ กษัตริย์ศรีลังกาจึงมีพระนามเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายว่าเทวานัม ปิยติสสะ ด้วยความผูกพันใกล้ชิดเช่นนี้เอง จึงเป็นเหตุให้พระเจ้าอโศกมหาราชโปรดให้จัดส่ง พระสมณทูตโดยการน�ำของพระมหินทเถระ ผู้เป็นพระราชโอรส เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธ ศาสนายังเกาะลังกา ต�ำนานบรรยายเชิงสรรเสริญว่าการประดิษฐานพระพุทธศาสนาบนเกาะลังกาครานั้น ประสบความส�ำเร็จเป็นอย่างดี ผู้คนทั้งสิ้นท้ังปวงตั้งแต่กษัตริย์ราชวงศ์จนถึงสามัญชนต่างหัน มาสมาทานนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาหมดสน้ิ มกี ลุ บตุ รชาวศรลี งั กาเกดิ ศรทั ธาหนั มาประพฤตวิ ตั ร เลียนแบบพระสงฆ์อินเดีย ออกบวชเป็นพระสงฆ์ในทางพระพุทธศาสนาเป็นจ�ำนวนมาก จนกษัตริย์ลังกาต้องสร้างอารามวิหารเป็นจ�ำนวนมาก เพื่อให้เพียงพอต่อการพ�ำนักพักอาศัย ของพระสงฆ์เหล่านั้น หากวิเคราะห์เจาะลึกจะพบว่าพระพุทธศาสนาสมัยน้ัน เป็นการประพฤติปฏิบัติเลียน แบบสมณทูตอินเดีย กล่าวคือเน้นเป้าหมายแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่คร้ันกาลเวลา ผ่านไป พระสงฆ์รุ่นหลังต่างพากันประยุกต์ดัดแปลงวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบใหม่ โดยอาศัยระบบการเรียนการสอนที่ทรงประสิทธิภาพ โดยการสอดแทรกเพิ่มเติมเร่ืองราว เก่ียวกับศรีลังกาเข้าสู่คัมภีร์สำ� คัญ โดยเฉพาะคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ขณะท่ีพระพุทธพจน์ก็พากัน
รักษาเอาไว้ไม่กล้าเปล่ียนแปลงแต่อย่างใด การเพิ่มเติมเน้ือหาในคัมภีร์ช้ันอรรถกถาดังกล่าว เน้นเรื่องราวท่ีโดดเด่นเป็นหลัก ซ่ึงก็ไม่พ้นเร่ืองสถาบันกษัตริย์และความเป็นไปของคณะสงฆ์ แต่เรื่องราวเหล่านั้นเป็นท่ีรับรู้เพียงหมู่ชนชาวเกาะลังกาเท่านั้น ต่อเมื่อพระพุทธโฆษาจารย์ได้เดินทางมาปริวรรตคัมภีร์น้อยใหญ่เหล่านั้น เร่ืองราว ของชาวเกาะลังกาท้ังหมดจึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายท่ัวโลกนับถึงปรัตยุบันสมัย ผลงานของ พระพุทธโฆษจารย์ท�ำให้เราทราบถึงความย่ิงใหญ่แห่งอารยธรรมพระพุทธศาสนาแบบศรีลังกา โดยครอบคลุมทุกบริบทของผู้คนบนเกาะลังกา นับต้ังแต่วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนแวดวงวรรณกรรม แต่สิ่งหนึ่งซึ่งลืมมิได้คือ สถาบันสงฆ์ด�ำรงอยู่ได้เพราะอาศัยสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นผู้อุปถัมภ์ค�้ำชู หลายต่อหลายคร้ังท่ีสถาบันกษัตริย์อ่อนแอ พระพุทธศาสนาก็ทรุดโทรม ล่มสลายเช่นกัน หากสถาบันกษัตริย์เข้มแข็งให้ความอุปถัมภ์คณะสงฆ์อย่างเต็มที่ พระศาสนา กร็ งุ่ เรอื งมนั่ คง กลายเปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจของคนทง้ั เกาะ หรอื เปน็ ศนู ยก์ ลางการเชอ่ื มโยงระหวา่ ง ชนชั้นสูงกับชนช้ันล่าง หนังสือเก่ียวกับประวัติศาสตร์ศรีลังกามีหลายต่อหลายเล่ม แต่ละเล่มล้วนมีจุดเด่น มีเน้ือหาสาระแตกต่างกันออกไป แต่ผู้แปลเลือกแปลเล่มน้ี เหตุเพราะเป็นเร่ืองราวสืบทอดต่อ จากงานเขียนของผู้แปลเอง ถือว่าเป็นการต่อยอดสอดรับกับเรื่องราวท่ีกล่าวไว้แล้ว แม้จะเป็น เร่ืองราวนับจากปลายไปหาต้น แต่ก็เป็นเรื่อง่ายต่อการท�ำความเข้าใจ เหตุเพราะประวัติศาสตร์ ศรีลังกามีหลักฐานอ้างอิงมากมายกว่าใคร หนังสือแปลเล่มน้ีเป็นงานวิจัยระดับดุษฎีนิพนธ์ กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองเฉพาะ ยุคโกฏเฏ ซ่ึงเป็นยุคที่ศรีลังการุ่งเรืองครั้งสุดท้ายก่อนท่ีละล่มสลายกลายเป็นเมืองขึ้นของ อาณานิคมตะวันตก ยุคน้ีพระพุทธศาสนาเริ่มผสมกลมกลืนกับลัทธิฮินดูอย่างเด่นชัด เหตุ เพราะการอพยพโยกย้ายของพวกทมิฬประการหนึ่ง เพราะชาวทมิฬเข้าไปมีบทบาทส�ำคัญ ในราชส�ำนักประการหน่ึง เพราะพระสงฆ์หันไปสนใจฝักใฝ่พิธีกรรมแบบฮินดูประการหนึ่ง ซงึ่ ปจั จยั เหลา่ นตี้ า่ งเกอื้ กลู หนนุ สง่ กนั และกนั สว่ นสาเหตหุ ลกั นนั้ มาจากสถาบนั กษตั รยิ พ์ ยายาม ประนีประนอมชาวสิงหลและชาวทมิฬให้รวมกันเป็นหน่ึงเดียว เพราะต้องการคานอ�ำนาจ ทั้งสองกลุ่มไม่ให้มีอิทธิพลมากจนเกินควบคุม
ความโดดเด่นของคณะสงฆ์ยุคน้ีคือการจัดการศึกษาอย่างส�าเร็จเป็นรูปธรรม แม้จะ เน้นศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก แต่ก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาฆราวาส ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาทางโลกด้วย ความใจกว้างเช่นน้ีเป็นเหตุให้การศึกษาสงฆ์เป็นที่รู้จัก แพร่หลาย โด่งดังไปไกลจนถึงชมพูทวีปและดินแดนอุษาคเนย์ เป็นเหตุให้มีนักศึกษาเดินทาง มาร่�าเรียนและประพฤติตามแบบศรีลังกาเป็นจ�านวนมาก ครั้นกลับมาตุภูมิแล้วได้น�าเอา วัฒนธรรมศรีลังกาไปเผยแผ่จนมั่นคงแพร่หลาย การศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพเป็นเหตุให้มีพระสงฆ์นักปราชญ์พากันผลิตวรรณกรรม เป็นจ�านวนมาก โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ประเภทสันเดศยะน้ัน ถือว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่ง วรรณกรรมศรีลังกาเลยทีเดียว แม้เนื้อหาจะเจือปนด้วยคติความเช่ือฮินดู โดยเน้นสรรเสริญ เทพน้อยใหญ่ก็จริง แต่รสความและรสค�าแห่งกวีนิพนธ์เหล่าน้ัน ล้วนได้รับการยอมรับจาก นักปราชญ์น้อยใหญ่ว่างดงามอ่อนช้อยและลุ่มลึกด้วยอรรถรสภาษาไม่แพ้วรรณกรรมอมตะ ระดับโลก ผู้แปลขอขอบพระคุณพระศรีปริยัติธาดา ผู้อ�านวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ที่เห็น ความส�าคัญประวัติศาสตร์ศรีลังกาด้วยการอนุมัติให้ทุนส�าหรับการพิมพ์ครั้งนี้ อีกทั้งเขียน ค�านา� ให้ดว้ ยความเมตตายิ่ง ขอบคุณพระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. รองผู้อ�านวยการฝา่ ยวชิ าการ ท่ีกระตุ้นให้ผลิตผลงานด้านศรีลังกาเพื่อให้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย อีกทั้งเสียสละเวลาเขียน ค�านิยมให้อย่างรวดเร็วทันใจ และขอบคุณพระมหาถนอม อานนฺโท ผู้อ�านวยการส�านักงาน วิทยาลัย ท่ีคอยถามไถ่ความคืบหน้างานแปลเสมอมา (พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร.) อาจารย์ประจ�าวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
สารบญั หน้า ค�ำน�ำ ค�ำนิยม ต�ำราอ้างอิง ๒ กล่าวน�ำ ความเป็นมา ๘ วรรณคดีภาษาสิงหล ๑๕ บทที่ ๑ กวีนิพนธ์สันเดศยะ ๒๑ หลักฐานจากพระบรมราชูทิศ ๒๒ วรรณกรรมต่างชาติ ๓๔ เรื่องราวแห่งอาณาจักร ๓๙ ก�ำเนิดอาณาจักรโกฏเฏ ๔๒ ความวุ่นวายภายใน ๔๔ บทที่ ๒ โกฏเฏภายใต้โปรตุเกส กษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี ๕๒ ๕๗ เร่ืองราวของคณะสงฆ์ ๖๑ วนวาสีกับคามวาสี ๖๗ บทบาทของพระสงฆ์คามวาสี ๖๙ บทท่ี ๓ สถาบันการศึกษาสงฆ์ ๗๑ คณะในหมู่สงฆ์ ๗๗ พัฒนาการแห่งธรรมกีรติวงศ์ อิทธิพลวรรณะเหนือคณะสงฆ์ วรรณะกับมรดกของอารามวิหาร
บทท่ี ๔ อาณาจักรกับศาสนจักร ๙๒ การช�ำระอธิกรณ์สงฆ์ ๙๕ ศาสนูปถัมภ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ ๙๙ เค้าลางความเส่ือมปรากฏ ๑๐๓ ความขัดแย้งแห่งราชวงศ์ ๑๐๕ พระเจ้าราชสิงหะท่ี ๑ ๑๐๘ ความเสื่อมโทรมของพระศาสนา ๑๒๐ บทที่ ๕ การศึกษาคณะสงฆ์ ๑๒๓ ปริเวณะ : ก�ำเนิดและพัฒนาการ ๑๒๖ ปริเวณะยุคโกฏเฏ ๑๓๐ การศึกษาสงฆ์ ๑๓๒ อิทธิพลสันสกฤต ๑๓๔ วิชาทางโลก บรรยากาศตามปริเวณะ ๑๔๖ ๑๕๑ บทท่ี ๖ ความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์ ๑๕๓ ความสัมพันธ์กับพม่า ๑๕๗ ความสัมพันธ์กับมอญ ความสัมพันธ์กับไทย ความสัมพันธ์กับประเทศเหล่าอื่น
บทที่ ๗ คติความเช่ือเกี่ยวกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ๑๖๔ ความเช่ือพระเข้ียวแก้ว ๑๖๗ คติการบูชาพระพุทธรูป ๑๖๙ เทพนาถะแห่งโตฏคามุวะ ๑๗๒ เทพอุบลวันแห่งเดวินูวะระ ๑๗๗ เทพสามันแห่งรัตนปุระ ๑๘๑ เทพวิภีศะณะแห่งเกลาณียะ ๑๘๓ เทพกตรคามะแห่งกตรคามะ ๑๘๕ เทพฮินดูเหล่าอ่ืน ๒๐๔ บทที่ ๘ สรุป ๒๐๕ รายนามกษัตริย์ บรรณานุกรม
๑ ตำ� ราอา้ งองิ
ความเป็นมา ดุษฎีนิพนธ์เล่มน้ีผู้เขียนพยายามรวบรวมประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ พร้อมอธิบายเสริมบางประเด็นเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากข้ึน นักปราชญ์ผู้เริ่มเขียนประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในศรีลังกาอย่างเป็นระบบคนแรกคืออธิการัม ซึ่งได้จัดท�ำดุษฎีนิพนธ์ชื่อว่าประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในศรีลังกายุคแรกเริ่ม ตีพิมพ์เม่ือ พ.ศ.๒๔๘๙ ต่อมาพระวัลโปละราหุลเถระ ได้จัดท�ำวิทยานิพนธ์เรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ในศรีลังกา มีเนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๓-๙ ตีพิมพ์เม่ือ พ.ศ.๒๔๙๙ งานวิจัยเล่มที่สามมีเนื้อหาว่าด้วยพระพุทธศาสนาเช่นกันเป็นผลงานของคุณวรรธนะ ช่ือว่า ประวตั ศิ าสตร์คณะสงฆศ์ รลี ังกาต้ังแตส่ มยั พระเจา้ เสนะท่ี ๑ จนถงึ การรุกรานของพระเจา้ มาฆะ (พ.ศ.๑๓๔๓-๑๗๕๘) ได้ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ในช่ือว่าจีวรและงอนไถ เล่มสุดท้ายเป็น ผลงานของพระธรรมวิสุทธิเถระ ช่ือว่าคณะสงฆ์ศรีลังกา พ.ศ.๑๗๔๓-๑๙๔๓ ซ่ึงเป็นระยะเวลา ก่อนงานเขียนเล่มนี้ งานวิจัยเหล่าน้ีล้วนเป็นข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับผู้วิจัยในการสอบสวนวิเคราะห์ จุดประสงค์หลักของดุษฎีนิพนธ์เล่มนี้คือต้องการสืบค้นประวัติศาสตร์พระพุทธ ศาสนาในประเทศศรีลังการะหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เพื่อให้สอดคล้องและสอดรับ ต่อจากงานวิจัยที่กล่าวถึงแล้วเบื้องต้น โดยมีเน้ือหาพยายามครอบคลุมระยะเวลาสองศตวรรษ ซง่ึ ระหวา่ งนนั้ ศนู ยก์ ลางการปกครองของเกาะลงั กาอยทู่ เ่ี มอื งชยั วรรธนปรุ ะหรอื เรยี กอกี ชอื่ หนงึ่ ว่าโกฏเฏ ซ่ึงถือว่าเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางวัฒนธรรม ตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตก เฉียงใต้ของเกาะลังกา
ต�าราอ้างอิง 3 กอ่ นหนา้ นมี้ หี ลกั ฐานพาดพงิ กลา่ วถงึ อาณาจกั รโกฏเฏบา้ งแลว้ ในฐานะเปน็ ศนู ยก์ ลาง ความรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา ตามเอกสารหลักฐานที่ปรากฏเห็นกันดาษด่ืน การศึกษาระยะ เวลาสองศตวรรษถือว่าเป็นการย้อนไปดูพัฒนาการด้านศาสนา กล่าวคือการรวมคณะสงฆ์ให้ เป็นหนึ่งเดียวเหมือนครั้งสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ผู้เป็นกษัตริย์มหาราชแห่งอาณาจักร โปโฬนนารุวะ พัฒนาการคร้ังนี้เดินหน้าเคียงคู่ไปพร้อมกับการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ แต่คร้ันกษัตริย์พระองค์ต่อมาได้ละท้ิงอาณาจักรโปโฬนนารุวะซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม สิงหลเสีย คณะสงฆ์ซ่ึงอยู่ภายใต้การดูแลของพระเถระผู้ใหญ่ได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม แต่สุดท้ายพัฒนามาเป็นสองกลุ่มใหญ่ ช่ือว่าคามวาสีและวนวาสี ยุคน้ีไม่มีศาสนสถานย่ิงใหญ่ปรากฏให้เห็นยกเว้นวัดลังกาติลกะและวัดคฑลาเดนิยะ ที่เมืองคัมโปละ ซึ่งสร้างสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ กษัตริย์สิงหลยุคนี้ขาดความศรัทธาต่อ พระเขี้ยวแก้ว ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นกษัตริย์โดยชอบธรรม ลักษณะเด่นอย่างหน่ึง ของยุคน้ีคือการไร้เสถียรภาพด้านการฟื้นฟูคณะสงฆ์ จึงไม่มีการสร้างสิ่งใดไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้ภาคภูมิใจ ส�าหรับดุษฎีนิพนธ์เล่มนี้ผู้เขียนได้เน้นการศึกษาวิเคราะห์ตอนปลายของยุคกลาง (พ.ศ.๒๑๔๓) เพราะเหตุผลหลายประการ ประการแรกทศวรรษสดุ ท้ายของพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ ถือว่าเป็นการส้ินสุดของอาณาจักรโกฏเฏ ในฐานะเป็นศูนย์กลางอ�านาจของชาวสิงหล และเป็น จุดเร่ิมต้นราชวงศ์แห่งเมืองแคนดีภายใต้การปกครองของพระเจ้าวิมลธรรมสูริยะที่ ๑ และตาม มาด้วยการยึดครองของโปรตุเกสบริเวณหัวเมืองชายทะเลรอบเกาะลังกา ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้ การปกครองของอาณาจกั รโกฏเฏและอาณาจกั รสตี าวะกะ ระยะเวลาชว่ งนน้ี า� ไปสปู่ ระวตั ศิ าสตร์ หน้าใหม่ของศรีลังกา ประการที่สองคือยุคนี้มีการฟื้นฟูอุปสมบทวิธีข้ึนใหม่เหมือนสมัยของ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๑ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๖) โดยกษัตริย์ลังกาได้ขอพระสงฆ์จากเมืองยะไข่มา ประกอบพิธีอุปสมบท ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์คร้ังส�าคัญกลายเป็นจุดเร่ิมต้นของพุทธศตวรรษ ท่ี ๒๒ ส�าหรับการน�ารูปแบบใหม่ของการอุปสมบทเข้าสู่ศรีลังกาได้มีนักวิชาการกล่าวถึงมา ก่อนแล้ว๑ ประการท่ีสามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนายุคต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ มีกล่าวถึง แล้วในงานวิจัยของพระวาจิสสรเถระ ชื่อเร่ืองว่าพระสรณังกรกับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในศรีลังกา๒ โดยเน้ือหาสืบค้นสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาก่อนและหลัง พระสังฆราชสรณังกร อีกเล่มหน่ึงเป็นผลงานของมิรันโดชื่อว่าพระพุทธศาสนาในศรีลังกาสมัย พุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ซึ่งอ้างอิงเฉพาะวรรณกรรมภาษาสิงหล๓
4 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ งานวิจัยดังกล่าวเหล่าน้ีเป็นสะพานเชื่อมโยงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของเกาะ ลังกาอย่างครบถ้วนชัดเจน ก่อนหน้านี้หามีผู้ศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนายุคน้ีอย่างละเอียดชัดเจนไม่ มีกล่าวถึงบ้างแต่ก็น้อยนัก ในบทนี้ว่าด้วยอารยธรรมยุคก่อนการล่มสลายของอาณาจักร โปโฬนนารุวะ๔ ปรณวิตานะเป็นผู้เสนอบทความการพัฒนาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของ พระพุทธศาสนาถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ต่อมาวินเซ็นต์บัณฑิตได้เขียนสรุปเก่ียวกับพุทธศาสนา ในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ ชอื่ วา่ โกฏเฏ ยคุ เย เบาธะ ตตั วายะ โดยเนอื้ หาเนน้ เกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตร์ เป็นหลัก๕ ซึ่งเป็นผลงานอย่างเป็นทางการของกระทรวงวัฒนธรรมสมัยนั้น นอกจากนั้นยังมี ผลงานเช่นเดียวกันน้ีอีกหลายเล่ม เร่ิมต้นจากหนังสือเร่ืองวรรณคดีภาษาบาลีของโคดกัมบุระ วัฒนธรรมศรีลังกายุคกลางของไกเกอร์ ซึ่งเรียบเรียงโดยเบเชอร์ หนังสือประวัติศาสตร์ วรรณคดบี าลี และหนงั สอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาท สองเลม่ นเ้ี ปน็ ผลงานของพระพทุ ธทตั ตเถระ หนังสือประวัติศาสตร์อาณาจักรโกฏเฏของวิกรมสิงหะ หนังสือประวัติศาสตร์คัมภีร์สันเดศยะ ภาษาสิงหลและประวัติศาสตร์สิงหลวังสะ ซ่ึงเป็นผลงานของพระสันนังคลเถระ ถัดมาเป็น หนังสือประวัติศาสตร์ทางการเมืองสมัยอาณาจักรโกฏเฏของโสมรัตนะ๖ และสุดท้ายหนังสือ การปฏิรูปและประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ในอินเดียพร้อมอ้างถึงคณะสงฆ์ในศรีลังกาของปะนะ โบกเก๗ หนังสือเหล่านี้ล้วนถือว่าเป็นหลักฐานที่น่าสนใจสืบค้นเป็นอย่างย่ิง การสบื คน้ เหตกุ ารณพ์ ระพทุ ธศาสนาในศรลี งั กายคุ นี้ ผวู้ จิ ยั ไดข้ อ้ มลู มากมายมหาศาล จากต�านาน ศิลาจารึก และเอกสารทางราชการ ซึ่งได้มีการเก็บรักษาเป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิง เหล่าน้ีล้วนเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และเป็นท่ีรู้จักกันดีของนักศึกษาประวัติศาสตร์ศรีลังกา ผ่านการแลกเปล่ียนเรียนรู้และเปรียบเทียบจากนักวิชาการหลายท่าน ส�าหรับการวิเคราะห์ ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของยุคนี้นั้น ผู้วิจัยไม่ได้เน้นเป็นกรณีพิเศษ แต่จะเน้นเรื่องราวทาง ศาสนาเป็นหลัก นอกจากหลักฐานท่ีอ้างถึงเบ้ืองต้นแล้ว ยังมีงานเขียนก่ึงประวัติศาสตร์และวรรณ กรรมร่วมสมัย ซึ่งมีข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ อีกทั้งงานเขียนของชาวต่างชาติ เช่นงานเขียนของ นักเขียนชาวพม่า ต�านานภาษาบาลีจากเมืองเชียงใหม่ เอกสารจีนและโปรตุเกส ซ่ึงล้วนสามารถ น�ามาใช้โดยศึกษาอย่างรอบคอบ
ต�าราอ้างอิง 5 การศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศศรีลังกายุคกลางก็คล้ายคลึงกับการศึกษา ประวัติศาสตร์เกือบจะทั้งหมด เพราะมีเน้ือหาสืบเน่ืองมาจากคัมภีร์มหาวงศ์แต่เรียกว่าจุลวงศ์ ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลส�าคัญ คัมภีร์เล่มนี้แบ่งเป็นสามภาคโดยนักเขียนต่างยุคต่างสมัย๘ ไกเกอร์เป็นผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ยืนยันความแน่นอนของคัมภีร์มหาวงศ์ แต่ก็ชี้ให้เห็นถึง ความบกพร่องของเนื้อหา๙ ภาคแรกว่าด้วยประวัติศาสตร์ศรีลังกาตั้งแต่ยุคอนุราธปุระตอน กลางจนสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ เน้ือหา ภาคสองกล่าวถึงต่อเน่ืองมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละ สว่ นภาคสามแตง่ สมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ ในรชั สมยั ของพระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะแหง่ อาณาจกั ร แคนดี เน้ือหาในปัจฉิมบทบอกว่าภาคน้ีเขียนข้ึนตามค�าอาราธนานิมนต์ของพระเจ้าแผ่นดิน๑๐ ไกเกอร์แสดงความเห็นว่าภาคสามนี้แต่งโดยพระติบโบฏวาเวพุทธรักขิตเถระ ผู้เป็นสมภาร เจ้าอาวาสวัดมัลวัตตมหาวิหารแห่งเมืองเสงกันฑเสลปุระหรือเมืองแคนดีในปัจจุบัน คัมภีร์จุลวงศ์ภาคสามนี้มุ่งเน้นประวัติศาสตร์ของเกาะลังกา ต้ังแต่รัชสมัยของ พระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๓ จนถึงรัชสมัยของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ เน้ือหาท้ังหมดประกอบด้วย ๑๐ บท๑๑ จากการสืบค้นคัมภีร์เล่มน้ีอย่างละเอียดพบว่า ผู้แต่งมิได้มีวัตถุประสงค์ท่ีจะบันทึก ประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเป็นหลัก แต่ต้องการเชิดชูพระราชกรณียกิจทางพระศาสนาของ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ เพราะเน้ือหาเกินกว่าคร่ึงโดยเฉพาะสองบทสุดท้ายกล่าวถึงรัชสมัย ของกษัตริย์พระองค์นี้เท่าน้ัน๑๒ แม้บทเหล่านี้ก็ไม่สนใจที่จะบันทึกเหตุการณ์ทางการเมือง ท่ีส�าคัญเลย เมื่อกล่าวถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะก็กลับเน้น การบรรยายประวัตศิ าสตรข์ องอาณาจักรแคนดี การอธบิ ายกย็ ดื ยาวเนน้ การกล่าวถงึ ราชปู ถมั ภ์ ของกษัตริย์เป็นหลัก เน้ือหาสี่บทแรกมีกล่าวถึงการครองราชย์ของกษัตริย์องค์อื่น๑๓ ภาคสามของคัมภีร์เล่มน้ีมีสามบทซ่ึงประกอบด้วย ๘๔ พระคาถา ครอบคลุมสอง ศตวรรษ๑๔ บทเหล่าน้ีดูเหมือนว่าผู้เขียนจะละเลยประเด็นส�าคัญหลายอย่าง ที่เป็นเหตุการณ์ ส�าคัญทางการเมืองสมัยน้ัน ตัวอย่างเช่นการบุกรุกของจีนในทศวรรษแรกของพุทธศตวรรษ ท่ี ๒๐ พร้อมจับกษัตริย์ศรีลังกาจองจ�าน�าไปสู่ประเทศจีน เหตุการณ์คร้ังน้ันมิใช่เป็นเร่ืองทาง การเมืองเท่าน้ันแต่ถือว่ามีนัยทางศาสนาด้วย แต่กลับถูกละเลยมิพูดถึงอย่างน่าเสียดาย จึงดู เหมือนว่าเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ส�าคัญทางประวัติศาสตร์ศรีลังกาต้องยืมหลักฐานจากจีน เท่าน้ัน๑๕ ผู้แต่งคัมภีร์จุลวงศ์ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์น้ีเลย แต่ก้าวข้ามไปรัชสมัยพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ ระบุให้รู้เพียงพระนามของพระราชมารดาว่าสุเนตรา เท่าน้ัน๑๖
6 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ นอกจากนั้นผู้แต่งยังไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ส�าคัญทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัย ของกษัตริย์พระองค์น้ีอีกด้วย ไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์แห่งการครองราชย์ของพระเจ้า ปรากรมพาหทุ ี่ ๖ เหนอื อาณาจกั รสงิ หล มใิ ชค่ มั ภรี จ์ ลุ วงศเ์ ลม่ เดยี วทไ่ี มม่ กี ารกลา่ วถงึ เหตกุ ารณ์ ครั้งน้ี แม้งานเขียนของนักปราชญ์หลายท่านในรัชสมัยอันยาวนานของพระองค์ ก็มิได้กล่าวถึง เหตุการณ์ส�าคัญทางการเมืองเลย ยกเว้นกรณีการมีชัยเหนืออาณาจักรทมิฬของกษัตริย์จัฟฟ์นา และผู้บุกรุกจากอินเดียใต้๑๗ การครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์นี้เช่นกันก็ไม่กล่าวถึงใน คัมภีร์สัทธรรมรัตนาการยะ๑๘ แต่ก็มีความเคลือบแคลงสงสัยหลายนัยยะ๑๙ แม้จะมีข้อมูลหลักฐานน้อยนิดแต่คัมภีร์จุลวงศ์ก็พยายามอธิบายถึงสถานการณ์ทาง ศาสนาในสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ด้วยการบรรยายอย่างยืดยาวเร่ืองราชูปถัมภ์ โดย เฉพาะพระราชศรัทธาต่อพระเข้ียวแก้วและพระกรุณาคุณต่อคณะสงฆ์ คัมภีร์จุลวงศ์แทบ ไม่กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาของพระสงฆ์ ซึ่งสร้างประโยชน์มหาศาลและ มีช่ือเสียงโด่งดังแพร่หลายสมัยตอนต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ส่วนการบรรยายคุณูปการของ พระกษัตริย์พระองค์น้ีต่อคณะสงฆ์นั้น คัมภีร์บรรยายไว้ว่า พระองค์ทรงร�าลึกนึกถึงพระราช มารดาจึงโปรดให้สร้างสวนปัปปตะ (ปัจจุบันเรียกว่าแปปิลิยานะ) นามว่าสุเนตราปริเวณะตาม พระนามของพระราชมารดา และสร้างอารามเพื่อเป็นท่ีพ�านักพักอาศัยของพระสงฆ์ พร้อมท้ัง น้อมถวายหมู่บ้านและที่ดินเป็นจ�านวนมากแก่พระสงฆ์ด้วย๒๐ แต่คัมภีร์ขาดการอธิบายการ ก่อต้ังสถาบันการศึกษาของสงฆ์และสถาบันการศึกษาเหล่าอื่น กลับอธิบายการบูรณะซ่อมแซม ศาสนสถานท่ัวเกาะลังกาภายใต้ราชูปถัมภ์๒๑ แม้จะพบความบกพร่องดังวิเคราะห์มาแล้ว แต่ข้อมูลส่วนนี้ก็ถือว่าทรงคุณค่าอย่างย่ิงส�าหรับการศึกษา หลังรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ กษัตริย์เจ็ดพระองค์แห่งอาณาจักรโกฏเฏมี กล่าวถึงใน ๕ พระคาถาเท่าน้ัน (บทท่ี ๖๒) นอกนั้นเป็นเร่ืองราวสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๙ ผู้ครองราชย์ก่อนการเข้ามาของโปรตุเกส (พ.ศ.๒๐๔๘) หลังจากกล่าวถึงกษัตริย์เจ็ดพระองค์ แล้ว ดูเหมือนว่าผู้แต่งต�านานพยายามเชิดชูเกียรติพระเจ้าวิกรมพาหุ ผู้ปกครองอาณาจักรแคนดี ตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ทัศนคติของผู้แต่งคัมภีร์จุลวงศ์ภาคน้ีคือ นอกจากไม่กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมือง แลว้ ยงั ไมก่ ลา่ วถงึ โปรตเุ กสเลยจนกระทงั่ สมยั พระเจา้ เสนารตั มกี ารบนั ทกึ ชอ่ื วา่ ปรงั คปี ระมาณ หน่ึงศตวรรษหลังการเข้ามาของโปรตุเกส๒๒ อาจเป็นไปได้ว่าผู้เขียนเกิดความลังเลท่ีจะกล่าว ถึงโปรตุเกสซ่ึงท�าสงครามกับพระเจ้าเสนารัต จนพระองค์ต้องละท้ิงอาณาจักรแคนดีช่ัวคราว
ต�าราอ้างอิง 7 สงครามคร้ังน้ันเป็นผลงานการบุกรุกของนายพลอซาเวโด๒๓ ช่วงเวลาน้ีโปรตุเกสบุกรุกย่�ายี อาณาจักรแคนดีหลายคร้ัง พร้อมเผาท�าลายหมู่บ้านตามชายแดน แต่ไม่รุนแรงเหมือน ก่อนการครองราชย์ของพระเจ้าเสนารัต เหตุการณ์เช่นน้ีน่าจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของ นักบันทึกต�านานและนักเขียนสมัยน้ันไม่มากก็น้อย คัมภีร์จุลวงศ์บรรยายไว้ว่าสมัยนั้นพ่อค้า แห่งโคลัมโบ ผู้พักแรมเป็นเวลาเนิ่นนานได้กลายเป็นที่รู้จักแพร่หลาย พวกเขาเหล่าน้ันมี นามว่าปรังคี เป็นปีศาจผู้โหดร้ายและป่าเถ่ือน พวกเขาได้เผยแพร่หลักค�าสอนแห่งพระเยซูเจ้า ตามหัวเมืองชายทะเลหลายแห่ง ได้ท�าลายข้าวและพืชไร่ เผาหมู่บ้าน บุกท�าลายบ้านของเหล่า ขุนนาง เป็นผู้น�าความฉิบหายมาสู่สิงหลอย่างแท้จริง๒๔ เหตุการณ์คร้ังนี้เป็นช่วงท่ีโปรตุเกสยึดครองหัวเมืองชายทะเลของเกาะลังกาแล้ว บริเวณหัวเมืองเหล่าน้ันเป็นดินแดนของอาณาจักรโกฏเฏหรืออาณาจักรสีตาวะกะจนถึงการ สวรรคตของพระเจ้าธรรมปาละ บางทีเหตุการณ์เช่นน้ีอาจจะเป็นเหตุให้นักเขียนต�านานดูถูก ผลงานการบันทึกของโปรตุเกสก็เป็นได้ ผู้แต่งคัมภีร์จุลวงศ์พยายามปิดบังเหตุการณ์ทางการ เมืองคร้ังนี้ พระเจ้าธรรมปาละผู้เป็นกษัตริย์หุ่นของโปรตุเกส ได้อาศัยอยู่กับโปรตุเกสในป้อม ปราการโคลัมโบ การเข้ารีตเป็นคริสต์ของพระองค์ไม่มีกล่าวถึงในคัมภีร์จุลวงศ์เลย แม้พระเจ้า มายาดุนเนผู้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ในฐานะท�าให้พระพุทธศาสนามีอิทธิพลเหนืออาณา จักรโกฏเฏ นักแต่งต�านานก็ละเลยโดยเอ่ยถึงแต่เพียงพระนามเท่าน้ัน๒๕ เม่ือวิเคราะห์คัมภีร์จุลวงศ์จะเห็นว่าข้อมูลส่วนใหญ่อาศัยคัมภีร์ราชรัตนากรยะเป็น หลัก โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองของเกาะลังกาจนสิ้นสุดพุทธศตวรรษที่ ๒๐ การย่อ ความขนาดสัน้ และความผิดพลาดท่ีพบเหน็ ในคมั ภีร์ดงั กล่าวกป็ รากฏเห็นในคมั ภีร์จลุ วงศ์ดว้ ย อย่างไรก็ตามรายละเอียดท่ีกล่าวถึงพระราชกรณียกิจทางศาสนาของกษัตริย์บางพระองค์ของ ยุคนี้ล้วนทรงคุณค่าย่ิง สันนิษฐานว่าหลักฐานส่วนน้ีน่าจะน�ามาจากข้อมูลที่เอกเทศต่างหาก กล่าวคือคัมภีร์ปุญญาโปตถกะ๒๖ ซึ่งเป็นหนังสือกล่าวถึงการบ�าเพ็ญพระราชกุศล เป็นที่สังเกต ว่าคัมภีร์จุลวงศ์อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการถวายทานและพระราชกุศลหลายอย่างของ พระเจ้าวีรวิกรมพาหุมากกว่าพบเห็นในคัมภีร์ราชารัตนากรยะ๒๗
8 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ วรรณคดีภาษาสิงหล ยังมีหลักฐานอีกสว่ นหน่งึ แสดงใหเ้ ห็นวา่ การบันทึกพระราชกศุ ลเป็นทน่ี ยิ มแพรห่ ลาย ในพุทธศตวรรษท่ี ๒๒-๒๓ คัมภีร์เหล่านี้เรียกว่าปินวัฏโฏรุวัส หรือดินโปตัส๒๘ คาดเดาว่าการ บันทึกเหล่านี้เป็นผลงานของนักแต่งต�านาน แต่มีข้อมูลเปรียบเทียบน้อยนัก ซึ่งล้วนรวบรวม จากหลักฐานที่พบเห็นในต�านาน ลักษณะเนื้อหาเหมือนศึกษาเชิงเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ ศาสนา จึงสามารถสรุปว่า แม้เบ้ืองต้นความต่อเนื่องของต�านานอันย่ิงใหญ่ของชาวลังกาจะเป็น ท่ีรู้จักรับรู้ แต่ภาคท่ีสามของคัมภีร์จุลวงศ์กลับมีคุณค่าเล็กน้อยจึงสมควรหยิบยกน�ามา วิเคราะห์ในโอกาสต่อไป งานเขียนเชิงประวัติศาสตร์ยุคเดียวกัน ซึ่งถือว่ามีข้อมูลอันทรงคุณค่าคือคัมภีร์ ราชรัตนากรยะ เป็นงานเขียนภาษาสิงหลไม่ทราบว่าแต่งสมัยไหน โคดกุมบุระบอกว่าเขียน ประมาณตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หรือตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เพราะกล่าวถึง พระราชกรณียกิจของพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุแห่งอาณาจักรแคนดี๒๙ บทส่งท้ายได้ระบุ ชื่อของผู้เขียนว่าพระมหาเถระแห่งส�านักวัลคัมปายะ เน้ือหาเน้นพิสูจน์การอ้างความชอบธรรม การปกครองบ้านเมืองของพระเจ้าวิกรมพาหุ ดูเหมือนว่าผู้เขียนเพียรพยายามเพื่อสืบค้นหา เชื้อสายของกษัตริย์พระองค์นี้ ข้อมูลเล่มน้ีเก่ียวข้องกับยุคสมัยก่อนเร่ิมต้นจากอาณาจักร โกฏเฏ ซ่ึงหยิบยืมมาจากงานเขียนยุคก่อน กล่าวคือคัมภีร์นิกายสังครหยะและภาคที่สองของ คัมภีร์จุลวงศ์ พระนามของพระเจ้าธรรมปรากรมพาหุได้หายไปจากรายนามของกษัตริย์ลังกา หลังจากสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ เหตุการณ์ส�าคัญทางการเมืองก็ไม่ได้บันทึกไว้ กล่าวถึงเพียงพระราชกุศลของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ และกษัตริย์พระองค์ต่อมาเท่าน้ัน การบรรยายราชูปถัมภ์ของกษัตริย์ทุกพระองค์เหมือนข้อมูลที่กล่าวในภาคท่ีสามของคัมภีร์ จุลวงศ์ ซ่ึงส่วนใหญ่น�ามาจากคัมภีร์ราชารัตนากรยะอีกทอดหน่ึง คมั ภรี ร์ าชารตั นากรยะมคี ณุ คา่ ในฐานะเปน็ งานสมยั เดยี วกนั ซงึ่ เกย่ี วกบั พระราโชบาย ด้านศาสนาของพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุแห่งอาณาจักรแคนดี การพัฒนาอาณาจักรทีละ เล็กละน้อยเพ่ือให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแบบสิงหล และความไม่ม่ันคงทางการเมืองของ อาณาจักรโกฏเฏสามารถสืบค้นได้จากหนังสือเล่มน้ีเช่นกัน เพราะอธิบายอย่างละเอียดเก่ียว กับศาสนูปถัมภ์ของพระเจ้าวิกรมพาหุ๓๐ ข้อมูลอ้างอิงส�าคัญคือการสังคายนาคณะสงฆ์โดย ราชูปถัมภ์ของกษัตริย์พระองค์น้ี๓๑ นอกจากความสมบูรณ์ด้านเนื้อหาและความโดดเด่น ด้านการเขียนแล้ว คัมภีร์เล่มน้ียังเป็นแหล่งข้อมูลอันทรงคุณค่าด้วย
ต�าราอ้างอิง 9 ส�าหรับหนังสือเกี่ยวกับต�านานภาษาสิงหลยุคต่อมาเห็นสมควรกล่าวถึงคัมภีร์ราชา วลิยะ แปลว่าวงศ์แห่งกษัตริย์ โคดกุมบุระแสดงความเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของเน้ือหาว่า หากอ้างถึงคัมภีร์เล่มน้ีในฐานะเป็นคัมภีร์หลัก ควรเข้าใจว่าไม่มีเพียงเล่มเดียว แต่หากมีอีก หลายส�านวนและมีลักษณะเฉพาะตามคัมภีร์๓๒ โดยแบ่งคัมภีร์เล่มนี้ออกเป็น ๗ กลุ่ม๓๓ และแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าความจริงคัมภีร์เล่มนี้มีก�าเนิดมาจากเร่ืองราวของหัวเมืองน้อย ใหญ่แล้วค่อยพัฒนามาเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง รู้จักกันในนามมหาราชาวลิยะ แล้ว ตัดทอนเป็นคัมภีร์ราชาวลิยะอีกทอดหนึ่ง ปัจจุบันมีการพิมพ์หลายส�านวนและแตกต่างจาก คัมภีร์ฉบับเดิมค่อนข้างมาก คุณเสกะระก็แปลส�านวนหน่ึงต่างหาก๓๔ ส่วนพระวตุวัตเตเปม นันทเถระก็เลือกใช้ส�านวนอ่ืนเรียบเรียง๓๕ อีกส�านวนหน่ึงตีพิมพ์ในช่ือว่าอลเกศวรยุทธยะ๓๖ ส่วนหลักฐานข้อมูลของชาวต่างชาติน้ัน งานเรียบเรียงอันทรงคุณค่าเป็นของ นักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสนามว่าดิเอโก โด เคาโต และนักประวัติศาสตร์ชาวฮอลันดา นามว่าวาเลนติน๓๗ คัมภีร์ราชาวลิยะซ่ึงแปลโดยอูพัมมีส่วนคล้ายคลึงกับฉบับของคุณเสกะระค่อนข้าง มาก๓๘ เน้ือหาทั้งหมดส้ินสุดสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสูริยะที่ ๒ แห่งอาณาจักรแคนดี และรวมลง เป็นแผนกหนึ่ง๓๙ ส่วนเล่มอ่ืนเช่นคัมภีร์วันนิราชาวลิยะ และคัมภีร์วิชิตแวลเลราชาวลิยะ ได้เพ่ิมเติมเนื้อหาจนถึงสมัยอังกฤษก็รวมเป็นอีกแผนกหน่ึง คัมภีร์ราชาวลิยะนั้นไม่สามารถรู้ ได้ว่าใครเป็นผู้แต่ง ได้แต่ตั้งข้อสังเกตจากงานเขียนที่มีการสืบต่อมาหลายคน๔๐ การต้ังข้อ สงั เกตเชน่ นถ้ี อื เอาตามลกั ษณะการแตง่ ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งทางภาษาและสา� นวน สว่ นการบนั ทกึ ผสมผสานกันระหว่างพุทธศักราชและศกศักราชรวมถึงคริสต์ศักราช๔๑ ข้อความบางตอนแสดง ให้เห็นว่าผู้แต่งเป็นชาวคริสต์ ตัวอย่างเช่นเรื่องราวเก่ียวข้องกับการเข้ามาของโปรตุเกสได้ บรรยายไว้ว่า สมัยประสูติกาลของพระเยซูเจ้าล่วงแล้วคริสต์ศักราช ๑๕๕๒ มีเรือส�าเภา เดินทางจากโปรตุเกสมายังเมืองโคลัมโบ และตั้งม่ันบริเวณดินแดนชมพูทวีป ด้วยพลานุภาพ ของพระเยซูเจ้าจึงสามารถรอดพ้นจากภยันตรายอันร้ายกาจได้๔๒ โคดกุมบุระตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งกันด้านหลักฐานเช่นนี้ อาจจะมาจากการคัดลอกข้อมูลหลายแห่ง และคนแต่งท่ี ต่างกันย่อมไม่ได้แบ่งข้อมูลให้ตรงกับเน้ือหาของคัมภีร์เชิงต�านานได้๔๓ เนื้อหาของคัมภีร์ราชาวลิยะกล่าวถึงการครองราชย์ของกษัตริย์ลังกาต้ังแต่ยุคเริ่มต้น ประวัติศาสตร์ จากนั้นอธิบายเร่ืองจักรวาล และการสืบสันตติวงศ์ของกษัตริย์ ซึ่งคาดเดาเอา ว่าเร่ิมต้นจากพระเจ้ามหาสมมตผู้ได้รับการเลือกจากประชาชนจนถึงพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒
10 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ เนื้อหาในคัมภีร์สอดคล้องกับเน้ือหาหลักของคัมภีร์เชิงต�านาน เล่มอื่น ดังเช่นคัมภีร์ปูชาวลิยะและคัมภีร์นิกายสังครหยะ สังเกตว่าตอนต้นของคัมภีร์แม้จะมี วธิ กี ารจดั เรยี งขอ้ มลู อยา่ งดี แตก่ เ็ หน็ ไดช้ ดั วา่ เลยี นแบบคมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะ เพราะสงั เกตเหน็ ความ เหมือนกันบางแห่ง คัมภีร์ราชาวลิยะถือว่าทรงคุณค่ายิ่งด้านประวัติศาสตร์การเมืองยุคโกฏเฏ อันเนื่องจากคัมภีร์จุลวงศ์กล่าวถึงเหตุการณ์ยุคโกฏเฏน้อยมาก น่าสังเกตอย่างหน่ึงว่าผู้เขียน คัมภีร์เล่มน้ีหลงลืมความส�าคัญสมัยอาณาจักรกุรุแณคะละ เพราะไม่มีข้อมูลกล่าวถึงแม้แต่ ครั้งเดียว ยิ่งกว่าน้ันดูเหมือนว่าคัมภีร์เล่มน้ีไม่ทราบประวัติของกษัตริย์แห่งอาณาจักรคัมโปละ เลย กล่าวถึงเพียงว่าอาณาจักรคัมโปละเกิดขึ้นหลังอลเกศวรผู้ย่ิงใหญ่๔๔ ส่วนโสมรัตนะช้ีประเด็นถึงความไม่ลงรอยกันของเน้ือหาเก่ียวกับการรุกรานของจีน ในส�านวนแต่ละฉบับ ซ่ึงเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐๔๕ แม้เนื้อหาของคัมภีร์ เก่ียวกับยุคโกฏเฏจะผิดพลาดบ้างโดยเฉพาะการระบุว่าพระราชบิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุ ที่ ๖ เป็นกษัตริย์พระนามว่าวิชัยพาหุ๔๖ เพ่ือแสดงความน่าเช่ือถือของข้อมูลจากคัมภีร์เล่มนี้ นักวิชาการรุ่นใหม่พยายามพิสูจน์ว่า พระราชบิดาของพระองค์เป็นกษัตริย์พระนามวิชัยพาหุ จริงหรือไม่๔๗ คัมภีร์วรตรัตนากรปัญชิกา ซ่ึงแต่งเป็นภาษาสันสกฤตสมัยเดียวกันบอกว่า พระราชบดิ าของกษตั รยิ พ์ ระองคน์ พ้ี ระนามวา่ มหาปติ ขอ้ มลู ในคมั ภรี ด์ งั กลา่ วไดร้ บั การยอมรบั จากนักวิชาการเพราะสามารถน�ามาพิจารณาเชิงเหตุผลได้๔๘ มีความคิดเห็นอีกว่าผู้ถูกแม่ทัพ เรือจีนนามว่าเจิ้งเหอจับคือกษัตริย์พระองค์นี้ แต่คัมภีร์ภาษาสิงหลนามว่าสัทธรรมรัตนากรยะ ได้ระบุว่าผู้ถูกแม่ทัพเรือจีนจับตัวไปว่าชื่อวีรอเลศวรมิใช่วิชัยพาห๔ุ ๙ งานเขียนในสมัยเดียวกัน อีกเล่มหน่ึงกล่าวว่าพระราชบิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ พระนามว่าชัยมหาเลนะ ส่วน พระราชมารดาพระนามวา่ สเุ นตรา๕๐ ไซมอนเดอซิลวาโตแ้ ยง้ วา่ ไมม่ ีกษัตริยพ์ ระนามว่าวชิ ยั พาหุ ก่อนการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ และหลังจากการสวรรคตของพระเจ้า ภูวเนกพาหุท่ี ๖๕๑ คัมภีร์ราชาวลิยะพยายามให้รายละเอียดรายนามกษัตริย์ลังกาต้ังแต่ยุคแรกเร่ิมโดย ไม่ขาดสาย เน้นเนื้อหาว่าด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก แต่ละเลยประวัติศาสตร์ ทางศาสนาเสีย เรื่องราวส�าคัญเหล่านี้กระจัดกระจายหลายแห่ง แต่ก็ยังทรงคุณค่าต่อการ วิเคราะห์สืบค้น ตัวอย่างเช่น การกล่าวถึงสมัยเยาว์วัยของพระจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ซ่ึงไม่มี กล่าวถึงในแหล่งข้อมูลเล่มใดเลย อาจแสดงนัยยะถึงรัฐเหนือคณะสงฆ์๕๒ พระวีทาคมมหาสามี เป็นผู้ท�าหน้าที่ดูแลเจ้าชายปรากรมจนเติบใหญ่ เป็นผู้มีอ�านาจทางการเมืองสูงส่งตอนต้น
ต�าราอ้างอิง 11 พุทธศตวรรษที่ ๒๐ โนเคาโตกล่าวว่าอลเกศวรผู้ย่ิงใหญ่ถึงอสัญกรรมโดยไม่มีทายาทสืบต่อ อ�านาจทางการเมืองจึงตกแก่พระสงฆ์๕๓ ช่ือพระวีทาคมมหาสามีกล่าวถึงในคัมภีร์ราชาวลิยะ เช่นกัน หลักฐานจากคัมภีร์ท้ังสองบอกว่าพระเถระรูปนี้เป็นผู้ผลักดันเจ้าชายปรากรมให้ข้ึน ครองราชย์เหนืออาณาจักรโกฏเฏ นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ส�าคัญเกี่ยวกับการครองราชย์ ของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๗ ซ่ึงปกครองอาณาจักรโกฏเฏด้วยความช่วยเหลือของโปรตุเกสด้วย รายละเอียดตรงนี้เป็นนัยส�าคัญยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาและนโยบายการบริหาร ของกษัตริย์พระองค์นี้ ประเด็นหนึ่งท่ีคัมภีร์ราชาวลิยะวิจารณ์พระเจ้าภูวเนกพาหุคือ หลัง ครองราชยไ์ ดส้ องทศวรรษ พระองคไ์ ดน้ า� หายนะมาสบู่ า้ นเมอื งโดยมอบอา� นาจใหค้ นแปลกหนา้ แล้วดูถูกเหยียดหยามศาสนาแห่งตน๕๔ เหตุการณ์ส�าคัญดังกล่าวน้ีท�าให้คนรุ่นหลังมีความรู้สึก แง่ลบต่อพระองค์ อีกส่วนหนึ่งราชูปถัมภ์ของกษัตริย์พระองค์นี้ก็มีกล่าวถึงน้อยมาก คัมภีร์อีกเล่มหน่ึงที่อธิบายรายละเอียดเรื่องราวของยุคนี้เช่นกันชื่อว่าสัทธรรมรัตนากรยะ เป็นคัมภีร์กวีนิพนธ์ภาษาสิงหลแต่งในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ถือว่าเป็นแหล่ง ข้อมูลอันทรงคุณค่ามหาศาลย่ิง๕๕ ผู้เขียนเป็นพระสงฆ์นามว่าธรรมทินนวิมลกีรติเถระ สังกัด สา� นกั อนั โดง่ ดงั นามวา่ ธรรมกรี ตแิ หง่ ขนุ เขาปลาพตั คะละ๕๖ หากวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาจะเหน็ วา่ ผเู้ ขยี น ต้องการรวบรวมพระธรรมค�าสอนให้เป็นภาษาเรียบง่ายเหมาะส�าหรับชาวบ้าน ส่วนผู้อาราธนา คือพระเถระนามว่าวิกรมพาหุและอุบาสกนามว่าวีรสุนทรกุมาร๕๗ คัมภีร์เน้นอธิบายเกี่ยวกับ เรื่องธรรมะเป็นหลัก จึงขาดคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างน่าเสียดาย เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓๖ บท แต่ละบทมีความแตกต่างกันข้ึนอยู่กับเรื่องราวที่กล่าวถึง๕๘ บทที่ ๑๒ ชื่อว่าธรรมาภูต สังคหกถา ว่าด้วยอ�านาจอันวิเศษของพระธรรม เบ้ืองต้นเป็นเร่ืองราวเกี่ยวกับการสังคายนา ครั้งที่ ๑ ซึ่งท�าหน้าที่โดยพระมหากัศยปเถระภายหลังพุทธปรินิพพานไม่นาน ต่อมาอธิบาย ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์โดยย่อ เนื้อหาบทน้ีผู้เขียนพยายามบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับกษัตริย์ สิงหลสมัยอดีต ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเถรวาท โดยพยายามแจกแจงรายละเอียด และชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเชอ่ื นอกรตี สา� หรบั รายละเอยี ดของคมั ภรี น์ น้ั สว่ นมากสอดคลอ้ งกบั เนอื้ หา ของคัมภีร์นิกายสังครหยะ๕๙ แต่ก็ถือว่าคัมภีร์สัทธรรมรัตนาการยะทรงคุณค่าแก่นักวิชาการ สมัยใหม่ เพราะมีผู้สนใจตีความเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษแรกของพุทธ ศตวรรษท่ี ๒๐ ตัวอย่างเช่น การยอมรับรายนามครอบครัวของอลเกศวร ผู้ทรงอ�านาจทางการ เมืองก่อนพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๖๐ ว่าเป็นคนเดียวกันกับแม่ทัพเรือเจ้ิงเหอจับตัวไปประเทศ จีน เมื่อ พ.ศ.๑๙๕๓-๑๙๕๔๖๑
12 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เน้ือหาท่ีมีประโยชน์มากสุดของคัมภีร์เล่มน้ีมาจากส่วนท้ายสุดของบทท่ี ๑๒ ซึ่งให้ รายละเอียดเก่ียวกับพระราชกรณียกิจทางศาสนาของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๖๒ ถือว่าเป็น เหตุการณ์ยุคเดียวกันที่ได้อธิบายมาแล้ว หลักฐานบอกว่าคัมภีร์แต่งขึ้นตามค�าเช้ือเชิญ ในปีที่ เจ็ดแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แต่สันนิษฐานว่าข้อมูลดังกล่าวอาจเขียน ขนึ้ ในยคุ หลงั เพราะสมมตุ ฐิ านขดั แยง้ กบั ความจรงิ วา่ ผเู้ ขยี นกลา่ วถงึ กษตั รยิ พ์ ระองคน์ ว้ี า่ โปรด ให้สร้างวัดที่แปปิลิยานะโดยขนานนามว่าสุเนตรา เพื่อน้อมถวายเป็นที่ระลึกถึงพระราชมารดา ของพระองค์๖๓ จารึกแปปิลิยานะหลักท่ี ๑ ระบุว่าการก่อสร้างวัดเกิดขึ้นในปีท่ีเจ็ดแห่งการ ครองราชย์ของพระองค์๖๔ และการสถาปนาวัดแห่งนี้ยังมีบันทึกไว้ในจารึกแปปิลิยานะหลักที่ ๒ ว่าสร้างในปีที่ ๔๕ แห่งการครองราชย์๖๕ แม้เนื้อหาในคัมภีร์เล่มนี้จะย่อสั้นแต่ก็กล่าวถึง รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างวัดอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนั้นจึงสามารถคาดเดาได้ว่าคัมภีร์เล่มน้ี อาจเขียนเสร็จในปีที่ ๗ หรือไม่นานหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ บางที เน้ือหาตอนสุดท้ายของบทท่ี ๑๒ อาจมีการเขียนขึ้นในปีถัดมา หลักฐานที่แน่นอนคือ พระราโชบายด้านศาสนาของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ สอดคล้องกับหลักฐานในพระบรม ราชูทิศมหาสามันเทวาลัย๖๖ และจารึกมุนเนศวรัมเทวาลัย๖๗ ปัจฉิมบทของคัมภีร์อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการสืบสายของพระธรรมกีรติเถระ แห่งส�านักปลาพัตคะละ๖๘ ซ่ึงผู้เขียนเป็นศิษย์สังกัดส�านักน้ี ถือได้ว่าเป็นการสรุปงานวรรณคดี ที่สืบต่อมาและให้ความรู้หลากหลายผ่านการเผยแผ่พระศาสนา และค�าอธิบายเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อการสืบค้นเรื่องราวของสมณศักด์ิในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ เป็นท่ีน่าสังเกตว่า แม้คัมภีร์เล่มน้ีจะอ้างถึงแปปิลิยานะปริเวณะซ่ึงสร้างถวายโดยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ แต่ มิกล่าวถึงการศึกษาสงฆ์เฉกเช่นส�านักแห่งอื่นสมัยเดียวกัน จึงต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งอ่ืน มาศึกษาทดแทน คัมภีร์ส�าคัญอีกเล่มหนึ่งซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนายุคน้ันคือคัมภีร์อลุต นูวะระเดวาเลกรวิมะ ซ่ึงอธิบายรายละเอียดความเป็นมาเกี่ยวกับเทวาลัยของเทพอุบลวันแห่ง เมืองอลุตนูวะระ ใกล้หมู่บ้านมาวะแนลละแห่งมณฑลสบรคามุวะ๖๙ ผู้เขียนและระยะเวลาเขียน ไม่สามารถรู้ได้แน่นอน แต่หากตรวจสอบสารบัญอย่างละเอียดก็สามารถต้ังข้อสังเกตได้ว่า อาจจะเขียนในช่วงไม่เกินต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ หลักฐานส�าคัญของคัมภีร์เล่มน้ีคือข้อมูล ท่ีสนับสนุนพระราชกรณียกิจด้านศาสนาของกษัตริย์ตั้งแต่ราชวงศ์ดัมพเดณิยะถึงพระเจ้า วิมลธรรมสูริยะท่ี ๑ แห่งอาณาจักรแคนดี บางส่วนของคัมภีร์เล่มน้ีพิมพ์โดยชัยติลก ช่ือว่า
ต�าราอ้างอิง 13 บันทึกประวัติศาสตร์สิงหล๗๐ จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีต้นฉบับอื่นอีกเลยนอกจากฉบับท่ี เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ๗๑ เนื้อหาบางส่วนของคัมภีร์เล่มนี้ตีพิมพ์แจกใน เทศกาลแอศะฬะแห่งเดวินูวะระเทวาลัย ชัยติลกตั้งข้อสังเกตว่าการครองราชย์ของพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๒ เป็นเหตุให้ผู้เขียนประทับใจจึงแต่งต�าราเล่มนี้ขึ้น แต่การวิเคราะห์เช่นนั้น อาจง่ายเกินไป เพราะกษัตริย์พระองค์สุดท้ายท่ีกล่าวถึงในคัมภีร์เล่มน้ีคือพระเจ้าวิมลธรรม สูริยะท่ี ๑ ซ่ึงระยะเวลาการครองราชย์ของพระองค์คือ พ.ศ.๒๑๓๕-๒๑๔๗๗๒ ตรงนี้อาจ ขัดแย้งกับความจริงว่าคัมภีร์เล่มนี้ไม่น่าจะแต่งก่อนสิ้นสุดพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ คัมภีร์เล่มนี้ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ซ่ึงระยะเวลาแห่งการข้ึนครองราชย์ของพระองค์ตรงกับพุทธศักราช ๑๗๗๙ จึงสามารถต้ังข้อ สังเกตได้ว่าช่วงเวลานี้สอดคล้องกับหลักฐานเล่มอ่ืนกล่าวคือจารึกเดวินูวะระของกษัตริย์ พระองค์นี้เช่นกัน๗๓ จึงต้ังข้อสังเกตไว้ว่าผู้เขียนคัมภีร์เล่มน้ีได้ให้ข้อมูลอันน่าเช่ือถือจากคัมภีร์ เลม่ อนื่ โดยนา� มารวบรวมเปน็ เอกสารเบอื้ งตน้ หลงั จบเรอ่ื งของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๒ ผเู้ ขยี น ได้ผ่านเลยไปถึงศาสนสถานท่ีสร้างโดยพระเจ้าภูวเนกพาหุ (พ.ศ.๑๘๑๗-๑๘๒๗) นอกจากน้ัน ยังกล่าวถึงการถวายท่ีดินและภาษีแก่เทวาลัยโดยกษัตริย์ชาวสิงหลพระองค์ต่อมา จากนั้น สรุปด้วยการพาดพิงถึงเหตุการณ์ทางการเมืองซ่ึงเกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์หลายพระองค์ ดังเช่น พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ พระเจ้ามายาดุนเน และพระเจ้าราชสิงหะ ที่ ๑ แห่งอาณาจักรสีตาวะกะ คัมภีร์เล่มน้ีระบุระยะเวลาการครองราชย์ตามศกศักราช และยัง กล่าวถึงเจ้าเมืองตามชนบทด้วย เช่น สกลกลาวัลลภะแห่งเมืองอุดุคัมโปละ ซึ่งครองเมืองตอน เริ่มต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๑๗๔ เร่ืองดังกล่าวนี้ผู้เขียนอธิบายรายละเอียดค่อนข้างชัดเจนเหมือน กับคัมภีร์ราชาวลิยะ๗๕ หลักฐานที่กล่าวถึงอลุตนูวะระและเดวินูวะระ ซึ่งเป็นเทวาลัยของเทพอุบลวันน้ัน ถือว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะสามารถสืบค้นประวัติความเป็นมาของศาสนสถานส�าคัญ สองแห่ง ย่ิงกว่านั้นยังกล่าวถึงความรุ่งเรืองแพร่หลายของเทพอุบลวันยุคกลางด้วย และยังมี ข้อมูลเกี่ยวกับคณะสงฆ์จากยุคดัมพเดณิยะจนถึงสิ้นสุดพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ตัวอย่างเช่น สถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์นามว่าคละตุรุมูละ ซ่ึงเป็นผู้ดูแลเทวาลัยเทพอุบลวันท่ีอลุตนูวะระ ด้วย และกล่าวถึงหน้าท่ีของพระสงฆ์และการเก็บภาษีภายใต้ราชูปถัมภ์๗๖ ข้อมูลส่วนน้ีท�าให้ สามารถทราบถึงการบริหารจัดการและการดูแลอารามวิหารน้อยใหญ่สมัยกลางได้เป็นอย่างดี
14 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ส่วนคัมภีร์ที่อธิบายรายละเอียดประวัติศาสตร์ศาสนาของศรีลังกาที่ส�าคัญสูงสุดช่ือ ว่า นิกายสังครหยะ ซ่ึงเป็นงานกวีนิพนธ์นามอุโฆษอีกเล่มหน่ึง๗๗ บางทีเรียกชื่อว่าสาสนาวตาระ แต่งโดยพระเถระนามว่าชัยพาหุเทวรักษิตะแห่งส�านักคฑลาเดณิยะ ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยการ อธิบายประวัติศาสตร์ศาสนาต้ังแต่ครั้งพุทธปรินิพพานจนถึงปีที่ ๑๕ แห่งการครองราชย์ของ พระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ (พ.ศ.๑๙๑๘) เนื้อหาน�ามาจากข้อมูลหลายแห่ง ดังเช่น คัมภีร์อรรถกถา และวรรณคดีเกี่ยวกับต�านาน ซึ่งเป็นเน้ือหาเบื้องต้นของคัมภีร์ ส่วนสุดท้ายผู้เขียนน�าข้อมูล มาจากคัมภีร์จุลวงศ์ กติกาวัตร และคัมภีร์ปูชาวลิยะ ซึ่งสูญหายไปแต่ผู้เขียนน�ามาบันทึกไว้๗๘ เนื้อหาของคัมภีร์เริ่มต้นด้วยการเน้นเรื่องการพระศาสนาต้ังแต่เริ่มต้นจนถึงปีท่ี ๑๕ แห่งการ ครองราชย์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ และอธิบายเร่ือยมาจนถึงสมัยพระเจ้าวีรพาหุ ผู้ช�าระ อธิกรณ์สงฆ์และฟื้นฟูการพระศาสนาในปี พ.ศ.๑๙๓๙๗๙ ขณะแต่งคัมภีร์เล่มน้ีผู้เขียนรั้งต�าแหน่งหัวหน้าคณะสงฆ์แทนพระธรรมกีรติท่ี ๒ ผู้เป็นอาจารย์แห่งตน และครองต�าแหน่งธรรมกีรติแทนอาจารย์ด้วยอีกต�าแหน่งหนึ่ง๘๐ การบันทึกประวัติศาสตร์พระศาสนาครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะเน้นย�้าบทบาทของคณะสงฆ์แห่ง ส�านักมหาวิหาร เร่ืองราวการต่ืนตัวของพระสงฆ์นอกรีต และความพยายามก�าจัดกลุ่มพระสงฆ์ นอกรีต เนื้อหาเน้นย้�าอย่างเด่นชัดเกี่ยวกับการช�าระพระศาสนาและการขับไล่พระสงฆ์นอกรีต ต้ังแต่สมัยแรกเร่ิมจนส้ินสุดพุทธศตวรรษที่ ๑๙ คัมภีร์ระบุว่าการช�าระอธิกรณ์สงฆ์คร้ังสุดท้าย ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๙๔๑๘๑ เป็นที่แน่นอนว่าผู้เขียนได้เห็นการช�าระอธิกรณ์สงฆ์ท้ังสองครั้ง ซ่ึงคร้ังแรกเกิดขึ้นตอนท้ายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๙๑๒ ส่วนครั้งที่สอง ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๙๓๙ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้เขียนจึงประณามพระสงฆ์ผู้ถูกขับไล่ออกจาก คณะสงฆ์ว่าเป็นทุศีลหรืออลัชชี๘๒ แต่ไม่ได้บอกสาเหตุว่าพระสงฆ์เหล่านั้นถูกขับไล่ออกจาก หมู่คณะด้วยเร่ืองอันใด ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนย่อมท�าให้เข้าใจคลุมเครือเก่ียวกับสถานการณ์ คณะสงฆ์สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘ เน่ืองจากการย่อส้ันและสรุปท่ีไม่ชัดเจนของคัมภีร์ประเภทต�านาน จึงจ�าเป็นต้อง รวบรวมและค้นหาข้อมูลจากวรรณคดีเล่มอ่ืนรวมถึงวรรณคดีประเภทกวีนิพนธ์ด้วย
ต�าราอ้างอิง 15 กวีนิพนธ์สันเดศยะ ความจริงแล้วลักษณะอันเด่นชัดของวรรณคดีภาษาสิงหลสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ คือพยายามแต่งเน้นเป็นกาพย์กลอน วรรณคดีลักษณะน้ีสามารถวินิจฉัยเชิงคุณค่านับตั้งแต่ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ นบั วา่ เปน็ เรอื่ งดอี ยา่ งยงิ่ ทม่ี คี มั ภรี ป์ ระเภทกาพยก์ ลอนเปน็ จา� นวนมาก จึงสามารถเทียบเคียงข้อมูลมากมายจนกลายเป็นคุณค่าด้านศาสนาแห่งยุคกลาง คัมภีร์ประเภทกาพย์กลอนดังกล่าวเรียกว่าสันเดศยะ หรืออีกนามว่าทูตกาวยะ เป็น ที่รู้จักแพร่หลายและโดดเด่นมากสุดสมัยนั้น คัมภีร์สันเดศยะน้ันว่าตามลักษณะเป็น วรรณกรรมเก่าแก่มีมาตั้งแต่ยุคแรกเร่ิม ดังเช่น คัมภีร์มยูรสันเดศยะหรือสาสน์จากนกยูง๘๓ เชื่อว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่ยุคคัมโปละ๘๔ คัมภีร์เหล่านี้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายสูงสุดสมัยโกฏเฏ จนกลายเป็นธรรมเนียมนิยม จุดเด่นของคัมภีร์สันเดศยะว่าด้วยคติโลกซ่ึงตรงกันข้ามกับ วรรณคดียคุ กอ่ น มอี สิ ระภาพต่อการแสดงความรู้สกึ โดยใชฉ้ ันทภ์ าษาสงิ หลเป็นสือ่ หากสังเกต จะเห็นว่าผู้แต่งจะเริ่มต้นอธิบายชีวิตของผู้คนยุคนั้น สิ่งที่พบเห็นรอบตัว ความสวยงามของ ธรรมชาติ เทพเจ้าส�าหรับเคารพบูชา ศูนย์กลางการศึกษาคณะสงฆ์ และผู้คนชนช้ันสูง เป็นต้น ลักษณะเนื้อหาเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมีมาก่อน จุดประสงค์หลักของคัมภีร์สันเดศยะคือการ ส่งสาสน์ถึงเทพเจ้าน้อยใหญ่หรือบุคคลพิเศษของบ้านเมือง นักปราชญ์ยอมรับกันว่าคัมภีร์ ประเภทนเี้ ปน็ หลกั ฐานอนั ทรงคณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์ เพราะเนน้ อธบิ ายภาพแหง่ ความศรทั ธา ของผู้คนสมัยน้ัน ด้วยเหตุน้ันการศึกษาคัมภีร์สันเดศยะอย่างละเอียด จะช่วยให้ทราบชัดถึง พัฒนาการและการฟื้นฟูการพระศาสนาสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐-๒๑ เป็นอย่างดี เริ่มต้นเห็นสมควรกล่าวถึงคัมภีร์หังสสันเดศยะเป็นปฐม เช่ือกันว่าคัมภีร์เล่มนี้ เป็นเล่มแรกเกิดมีข้ึนต้ังแต่สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๐๘๕ จุดประสงค์ของผู้เขียนคัมภีร์เล่มนี้ ต้องการส่งสาสน์ผ่านหงส์ไปถึงพระวนรัตนเถระแห่งแครคะละ เพ่ือให้พระเถระสาธยายรัตนสูตร หนึ่งหม่ืนเท่ียว และอ้อนวอนเทพเจ้าให้ประทานพรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ซ่ึงเป็นกษัตริย์ ผู้ย่ิงใหญ่แห่งอาณาจักรโกฏเฏ๘๖ หลักฐานชี้บอกว่าสมัยน้ันพระวนรัตนเถระร้ังต�าแหน่ง พระสงั ฆราชไดไ้ มน่ าน เปน็ สมยั เรมิ่ ตน้ แหง่ การครองราชยข์ องพระองค๘์ ๗ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ คมั ภรี ์ กาพย์เล่มน้ีแต่งข้ึนต้ังแต่สมัยแรกแห่งการครองราชย์ของพระองค์ บทส่งท้ายของคัมภีร์บอก ว่าแต่งโดยพระวีทาคมไมตรียเถระแห่งมหาเนตปามูละเมืองรยิคามะ๘๘ คัมภีร์เล่มนี้อธิบาย รายละเอยี ดอย่างชดั เจนเกย่ี วกบั พระราชส�านกั ของพระเจ้าปรากรมพาหทุ ่ี ๖ ถอื วา่ เป็นหลักฐาน ทรงคุณค่าด้านการศึกษาสถาบันทางการเมืองสมัยนั้น นอกจากนั้นการบรรยายถึงปัทมาวตี ปรเิ วณะทเี่ มอื งแครคะละ ก็ทา� ให้สามารถมองเห็นภาพรวมของศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์
16 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ซ่ึงพระองค์ทรงทุ่มเทอุปถัมภ์อย่างเต็มที่๘๙ อีกทั้งคัมภีร์เล่มน้ียังกล่าวถึงคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสี ซ่ึงพยายามปกปักรักษาความบริสุทธ์ิของเถรวาทจากอิทธิพลความเช่ือมหายานและลัทธิฮินดู คัมภีร์ปเรวิสันเดศยะเป็นกวีนิพนธ์ภาษาสิงหลอีกเล่มหนึ่ง แต่งโดยพระสงฆ์ นักปราชญ์นามอุโฆษชื่อว่าพระศรีราหุลเถระแห่งโตฏคามุวะ เชื่อว่าเป็นระยะเวลาเร่ิมแรก ในการเขียนวรรณกรรมของท่าน๙๐ เนื้อหาของคัมภีร์เป็นการร้องขอเทพอุบลวันแห่งเมือง เดวินูวะระให้ประสาทพรแก่พระนางจันทราวดี ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๖๙๑ ให้ได้อภิเษกสมรสกับพระสวามีผู้ทรงสติปัญญาฉลาดสามารถ และประทานบุตรผู้ เพียบพร้อมด้วยโชควาสนา เพื่อสามารถปกครองดูแลอาณาจักรหลังการสวรรคตของพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๖ แต่การอ้อนวอนดังกล่าวหาได้ส�าเร็จตามความประสงค์ไม่ นอกจากน้ันผู้แต่ง ยงั ไดอ้ อ้ นวอนใหเ้ ทพเจา้ ปกปอ้ งพระเถระ พระมหากษตั รยิ ์ พรอ้ มเสนาอา� มาตยอ์ กี ทง้ั กองทพั ๙๒ หากศึกษาเนื้อหาโดยภาพรวมจะเห็นความส�าคัญของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีว่าเป็นศูนย์กลาง ทางการเมืองแห่งยุค ลักษณะส�าคัญของคัมภีร์เล่มนี้คือผู้เขียนเชื่อเรื่องโชคลางและชะตาราศี ถือว่าเป็น การลดทอนพระพทุ ธศาสนาใหต้ กตา่� แสดงใหเ้ หน็ ถงึ อทิ ธพิ ลความเชอ่ื อนั เกลอื่ นกลน่ หลากหลาย ภายในคณะสงฆ์ยุคน้ัน คัมภีร์เล่มน้ีถือว่าให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประเทศค่อนข้างละเอียด เพราะ ผู้เขียนได้อธิบายเนื้อหาครอบคลุมจากเมืองโกฏเฏจนถึงเมืองเดวินูวะระ การเดินทางไกลเช่นน้ี และการบรรยายขอ้ มลู เกย่ี วกบั ศาสนสถานถอื วา่ เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมาก โดยเฉพาะรายละเอยี ด เก่ียวกับภูมิประเทศของเมืองเดวินูวะระนั้น ท�าให้นักโบราณคดีรุ่นใหม่สามารถเข้าใจว่าเมืองนี้ มีสภาพเช่นเดียวกับพุทธศตวรรษท่ี ๒๐๙๓ นอกจากนั้นการสรรเสริญเทพอุบลวันยังช่วยให้ ทราบถึงอิทธิพลของลัทธิฮินดูและเทพนิยายของมหายาน ซึ่งมีอิทธิพลต่อคณะสงฆ์สมัยน้ัน ด้วย๙๔ ส�าหรับคัมภีร์แสฬลิหิณีสันเดศยะก็เป็นกวีนิพนธ์ภาษาสิงหลเช่นกัน เป็นหนึ่งใน สามผลงานวรรณกรรมของพระศรีราหุลเถระ แต่งในปีที่ ๓๕ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้า ปรากรมพาหทุ ี่ ๖๙๕ เนอ้ื หาของคมั ภรี เ์ ลม่ นี้มคี วามคลา้ ยคลึงกับคัมภีร์ปเรวสิ ันเดศยะ โดยกลา่ ว ถึงการออ้ นวอนเทพวภิ ีศะณะแหง่ วัดเกลาณยี ะให้ประทานบุตรผูท้ รงเดชแกพ่ ระนางอุลกุฑยเทวี ผู้เป็นพระราชธิดาอีกพระองค์หน่ึงของพระเจ้าปรากรมพาหุ ส่วนสาสน์น้ันส่งโดยนันนูรุตุเนยยัน ผู้เป็นพระสวามีของพระนาง ซ่ึงด�ารงต�าแหน่งอ�ามาตย์ของกษัตริย์ด้วย๙๖ คัมภีร์เล่มน้ีอธิบาย วัดเกลาณียะสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ อย่างหลากหลายด้าน ซ่ึงเป็นระยะเวลาประมาณร้อยปี ก่อนการเผาท�าลายของโปรตุเกส๙๗
ต�าราอ้างอิง 17 ถัดมาเป็นคัมภีร์นามว่าคิรสันเดศยะโดยมีนกแก้วท�าหน้าที่เป็นผู้ส่งสาสน์ คัมภีร์เล่มน้ี แต่งโดยนักเขียนนิรนามแห่งเมืองชัยวรรธนปุรโกฏเฏ๙๘ เน้ือหาหลักของคัมภีร์ต้องการขอร้อง พระศรีราหุลเถระ ผู้เป็นเจ้าส�านักแห่งวิชัยพาหุปริเวณะแห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะ ให้อ้อนวอน เทพนาถะคุ้มครองปกป้องพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ และอาณาประชาราษฎร์พร้อมท้ัง พระศาสนา๙๙ แม้ไม่ทราบช่ือผู้แต่งแต่นักวิชาการส่วนใหญ่ตั้งข้อสังเกตว่าผู้เขียนให้ความ เคารพศรัทธาต่อพระศรีราหุลเถระอย่างสูง๑๐๐ เนื้อหาของคัมภีร์เล่มน้ีมีลักษณะเหมือน เปลี่ยนแปลงการเขียนคัมภีร์ประเภทสันเดศยะ เน้นกล่าวถึงการอ้อนวอนขอพรเทพเจ้าให้ คุ้มครองกษัตริย์ ตลอดการครองราชย์ของพระองค์ไม่ให้ประสบความยุ่งยาก สอดคล้องกับ ขอ้ มลู เลม่ อน่ื ทกี่ ลา่ ววา่ พระองคท์ รงครองราชยเ์ หนอื เกาะลงั กาดว้ ยเดชานภุ าพอนั ยงิ่ ใหญเ่ กรยี ง ไกร๑๐๑ เน้ือหาส่วนหน่ึงชื่อว่าอัมบลเมสังวาทยะหรือการสนทนาตามศาลาริมทาง เป็นข้อมูลทาง ประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ายิ่ง เพราะเป็นการบรรยายพระราชกรณียกิจทางการเมืองของ พระองค์ ซึ่งถือว่าไม่เคยพบเห็นจากคัมภีร์เล่มอื่นใดสมัยเดียวกัน๑๐๒ ส�าหรับการบรรยายเก่ียวกับวัดที่แปปิลิยานะ ผู้เขียนกล่าวถูกต้องว่าสร้างโดยพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๖๑๐๓ แต่ก็ผิดพลาดเรื่องสถานที่ตั้งของสุเนตราเทวีปริเวณะ อาจเป็นไปได้ว่า ยุคนี้ปริเวณะแห่งนี้มีความส�าคัญน้อยกว่าวิชัยพาหุปริเวณะแห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะ๑๐๔ คัมภีร์ เล่มน้ีอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับวิชัยพาหุปริเวณะแห่งหมู่บ้านโตฏคามุวะว่า เป็นมหาวิทยาลัย เปิดสอนหลากหลายสาขาวิชาทางโลก๑๐๕ นักศึกษาของสถาบันแห่งน้ีมีพราหมณ์หนุ่มจาก ประเทศอินเดียด้วย ผู้ก�าหนดหลักสูตรคือพระศรีราหุลเถระ ส่วนการเรียนการสอนมี หลากหลายสาขาวิชามากกว่าส�านักเรียนอ่ืนสมัยเดียวกัน คัมภีร์สันเดศยะอีกเล่มหนึ่งช่ือว่าโกกิลสันเดศยะ มีเนื้อหายาวกว่าคัมภีร์เล่มอื่นสมัย เดียวกัน๑๐๖ ผู้แต่งกล่าวไว้ในปัจฉิมบทว่าเป็นอาจารย์ใหญ่แห่งติลกปริเวณะท่ีเดวินูวะระ๑๐๗ เป็นผู้มีความรู้ภาษาทมิฬเป็นอย่างดี ผู้เขียนเชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์จากหัวเมืองตอนใต้สุด ถึงเมืองจัฟฟ์นา ซึ่งนักเขียนยุคเดียวกันต่างพากันละเลย เน้ือหาของคัมภีร์เน้นให้เห็นความ ส�าคัญของเจ้าชายสุปุมัลผู้ครองเมืองจัฟฟ์นา ในฐานะพระอุปราชของพระเจ้าปรากรมพาหุ ท่ี ๖๑๐๘ ผู้เขียนพยายามอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับศาสนสถานทุกแห่งหนตามเส้นทางจาก เมืองเดวินูวะระจนถึงเมืองจัฟฟ์นา ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะเป็นพระสงฆ์แต่ก็ไม่หลงลืมที่จะกล่าวถึง ศรัทธาและศาสนสถานของศาสนาอื่น ผู้เขียนร้องขอผู้น�าสาสน์ให้พบกับนาคโกวิละแห่งเมือง แวลเลมฑมะ๑๐๙ ซ่ึงเป็นเทวาลัยของเทพคเณศใกล้เมืองโปตุปิฏิยะ๑๑๐ เทวาลัยปัตตินิใกล้เมือง โกฏเฏ๑๑๑ มุนเนศวรัมใกล้เมืองชิเลาว์๑๑๒ และวิหารอัยยนาร์ท่ีมาวตุปัฏฏนัม๑๑๓
18 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ บรรดาคัมภีร์ประเภทสันเดศยะนั้น นักปราชญ์ให้ความเช่ือถือคัมภีร์โกกิลสันเดศยะ มากกว่าวรรณคดีเล่มอื่นใด เพราะมีเน้ือหาทางประวัติศาสตร์ทอดยาวตั้งแต่จุดใต้สุดของเกาะ ลังกาจนถึงเหนือสุดของประเทศ คัมภีร์ประเภทสันเดศยะเล่มสุดท้ายคือแสวุลสันเดศยะ แต่งสมัยพระเจ้าราชสิงหะ ท่ี ๑ แห่งอาณาจักรสีตาวะกะ๑๑๔ ผู้เขียนคืออลคิยวันนามุกเวฏฏ๑ิ ๑๕ เนื้อหาของคัมภีร์อธิบายถึง ไก่ผู้ท�าหน้าท่ีน�าสาสน์จากเมืองสีตาวะกะส่งถึงเทพสามันแห่งสบรปุระ (ปัจจุบันเรียกว่ารัตนปุระ) อ้อนวอนให้ปกปักรักษาพระเจ้าราชสิงหะและกองทัพของพระองค์ สันนิษฐานว่าผู้เขียนน่าจะ ร่วมกองทัพต่อสู้กับโปรตุเกสด้วย สมัยนั้นเทวาลัยของเทพอุบลวันอยู่ที่เมืองเดวินูวะระและ เทวาลัยของเทพวิภีศะณะอยู่ท่ีวัดเกลาณียะ ถูกเผาท�าลายโดยโปรตุเกสเรียบร้อยแล้ว นอกจาก นั้นคัมภีร์ยังกล่าวถึงอารามวิหารอีกหลายแห่งและพระเถระผู้ใหญ่อีกหลายรูปสมัยพระเจ้า ราชสิงหะ๑๑๖ กษัตริย์พระองค์น้ีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ท�าลายล้างพระพุทธศาสนาและสังหาร พระภิกษุสามเณรเป็นจ�านวนมาก การกล่าวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นจากผู้แต่งคัมภีร์จุลวงศ์ ส�าหรับ ความจริงและความสมเหตุสมผลจะกล่าวต่อไปในบทหน้า๑๑๗ ส่วนคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ด้านพระศาสนาท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์ประเภทสันเดศยะ คงไมส่ ามารถละทง้ิ คมั ภรี ว์ ตุ ตมาลาสนั เดศสตกะได้ ผแู้ ตง่ คอื พระคตาราปรเิ วณะอปุ ตปสั สเี ถระ๑๑๘ บทส่งท้ายผู้เขียนเรียกตัวเองว่าหลานชายของพระสรสิคามมูลมหาสามีซ่ึงเป็นพระสังฆราช สมัยนั้น และรั้งต�าแหน่งสมภารเจ้าอาวาสวัดราชมหาวิหารที่แดดิคามะด้วย๑๑๙ มาลาลาเสเกรา และนักวิชาการอีกหลายท่านเชื่อว่าคัมภีร์เล่มนี้แต่งในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ เพราะเน้ือหาเบื้องต้นบอกว่ามีจุดประสงค์เพ่ือน�าสาสน์ส่งถึงเทพวิภีศะณะที่วัดเกลาณียะ เพื่อ อ้อนวอนให้ปกปักรักษากษัตริย์พระนามว่าปรากรมและพระราชมารดาผู้ประทับอยู่ท่ีแดดิคามะ ใหร้ อดพน้ จากอรริ าชศตั รู๑๒๐ ประเดน็ นยี้ ากทจี่ ะยอมรบั เพราะไมม่ วี รรณคดเี ลม่ ใดสมยั เดยี วกนั ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ เคยสร้างเมืองแดดิคามะเป็นเมืองหลวง คัมภีร์ติสรสันเดศยะ ระบุว่ากษัตริย์พระองค์หน่ึงนามว่าแปรกัมประทับอยู่ที่เมืองแดดิคามะ๑๒๑ คัมภีร์เล่มนี้ถือว่า เป็นกวีนิพนธ์ภาษาสิงหลท่ีเก่าแก่ที่สุด และเช่ือว่าเกิดมีขึ้นสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๕ แห่งเมืองแดดิคามะ๑๒๒ จุดประสงค์ของคัมภีร์ติสรสันเดศยะคือการน�าข่าวสาสน์ของหงส์จากเมืองเดวินูวะระ ส่งถึงพระเจ้าปรากรมพาหุแห่งแดดิคามะ เพื่อกราบทูลรายงานว่าพระสงฆ์ผู้อยู่อาศัยที่เมือง เดวนิ วู ะระไดส้ วดมนตอ์ อ้ นวอนขอพรเทพอบุ ลวนั ผทู้ รงมเหศกั ดใิ์ หป้ กปกั รกั ษาและประสาทพร
ต�าราอ้างอิง 19 ใหพ้ ระองคม์ ชี ยั เหนอื อรริ าชศตั รู และประทานพรแดพ่ ระราชมารดานามวา่ สมุ ติ รา พรอ้ มขา้ ทาส บริวารทั้งสิ้นท้ังปวง๑๒๓ ข้อมูลตรงน้ีเปิดเผยว่าพระราชมารดาแห่งกษัตริย์ผู้ครองเมืองแดดิคามะ พระนามว่าสุมิตรา ตรงกันข้ามกับหลักฐานสมัยเดียวกันที่ระบุว่าพระราชมารดาของพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ ๖ พระนามว่าสุเนตรา๑๒๔ เหตุนั้นจึงสรุปลงได้ว่ากษัตริย์ที่กล่าวถึงในคัมภีร์ วุตตมาลาสันเดศสตกะคือพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๕ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละ คัมภีร์วุตตมาลาสันเดศสตกะทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ คณะสงฆ์สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ หลังจากอธิบายเมืองแดดิคามะเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียน กล่าวชมเชยกษัตริย์และพระราชมารดา แล้วต่อด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับราชมหาวิหารที่ เมืองแดดิคามะ ซึ่งอาจเป็นศูนย์กลางการบริหารคณะสงฆ์สมัยนั้น๑๒๕ จากน้ันผู้เขียนยังได้ สรรเสริญพระเถระผู้ใหญ่สมัยน้ันและพระสงฆ์ผู้ทรงปราชญ์อีกหลายรูปซ่ึงสังกัดมูละหลาย แห่ง๑๒๖ หากเปรียบเทียบกับข้อมูลเล่มอื่นคัมภีร์เล่มน้ีมีประโยชน์อย่างสูงต่อการสืบค้นหา ประวัติของมูละสมัยเสื่อมโทรมหายไป นอกจากคัมภีร์ประเภทสันเดศยะดังกล่าวแล้ว ยังมีวรรณกรรมท่ีมีความส�าคัญน้อย กว่าซงึ่ แต่งสมัยเดยี วกัน เร่มิ ตน้ จากคมั ภีร์บดุ ุคณุ าลงั การยะ ผแู้ ต่งนามวา่ พระวีทาคมไมตรยี เถระ โดยแต่งสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ ถือว่าเป็นคัมภีร์ท่ีทรงคุณค่าอย่างย่ิง๑๒๗กวีนิพนธ์เล่มนี้ กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จเมืองไวศาลีของชาววัชชี เพ่ือขจัดปัดเป่าความทุกข์สามประการ กล่าวคือ ทุพภิกขภัย โรคภัยไข้เจ็บ และปีศาจร้าย ซ่ึงสิงสู่อยู่ภายในเมืองเป็นจ�านวนมาก ผู้แต่ง ไดใ้ ชเ้ กรด็ เลก็ เกรด็ นอ้ ยในการสรรเสรญิ พระวสิ ทุ ธคิ ณุ และชใี้ หเ้ หน็ วา่ เทพเจา้ ของพวกพราหมณ์ พร้อมนักบวชเจ้าลัทธิล้วนไร้สาระ หากพูดด้วยความเคารพคัมภีร์เล่มนี้โดดเด่นมาก เพราะ พยายามบรรยายภาพพระภิกษุสงฆ์สมัยนั้น ด้วยการอ่อนน้อมต่อเทพเจ้าด้วยการสรรค์สร้าง พิธีกรรมหลากหลาย กลายเป็นการผูกรัดยึดติดโดยเฉพาะพระเถระผู้ใหญ่หลายรูป หากศึกษา อย่างละเอียดจะเห็นว่าผู้แต่งต้องการประณามพวกพราหมณ์ซ่ึงทรงอิทธิพลสูงสุดสมัยนั้น นอกจากน้ันยังมีคัมภีร์กาวยเสขรยะซึ่งแต่งโดยพระศรีราหุลเถระแห่งโตฏคามุวะ ถือว่าเป็นคัมภีร์กวีนิพนธ์ภาษาสิงหลเล่มสองของท่าน๑๒๘ คัมภีร์เล่มนี้ให้ข้อมูลอันมีค่ายิ่งเกี่ยว กับประวัติของผู้เขียนและเบ้ืองลึกเกี่ยวกับความเป็นปราชญ์ของท่าน หากตรวจสอบอย่าง ละเอียดจะทราบถึงหลักฐานอันเป็นประโยชน์เก่ียวกับการศึกษาของคณะสงฆ์สมัยนั้นด้วย อีกเล่มหน่ึงคือคัมภีร์คุตติลกาวยยะ๑๒๙ ไม่ทราบนามผู้แต่งแต่ก็ถือว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะ ใหข้ อ้ มลู กลา่ วถงึ งานดา้ นพระศาสนา ซงึ่ นา� สบื ตอ่ มาโดยสลาวะตะชยั พาละ ผเู้ ปน็ เสนาบดผี ใู้ หญ่
20 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ท่านหนึ่งของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๑๓๐ ส่วนคัมภีร์กุรุเวณิอัสนะเป็นวรรณคดีเชิงพิธีกรรม เขียนขึ้นเพื่อเป็นคู่มือส�าหรับพิธีการไหว้ผีว่าด้วยเวทมนตร์คาถา และเพ่ือชัยชนะและประทาน พรแก่พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖๑๓๑ คัมภีร์เล่มนี้เช่ือว่าเป็นผลงานของพระสงฆ์ซึ่งด�ารงต�าแหน่ง สัทธาสาปรเมศวรอุตตรมูลมหาเถระ๑๓๒ นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าพระเถระรูปนี้คือพระศรีราหุล เถระแห่งโตฏคามุวะน่ันเอง๑๓๓ คัมภีร์ปทสาธนฎีกาหรืออีกนามหนึ่งว่าพุทธิปสาทินีฎีกา เป็น คัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีของพระศรีราหุลเถระ เป็นคัมภีร์ท่ีมีคุณค่าส�าหรับสืบค้นหาความ เก่ียวข้องระหว่างพระเถระกับพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๑๓๔ และลูกศิษย์ชาวอินเดียคนหนึ่งของ พระศรีราหุลเถระนามว่าศรีรามจันทราภาวติ ได้เขียนต�าราภาษาสันสกฤตนามว่าวริตตรัตนากร ปัญชิกา เพื่อสรรเสริญพระเถระนามว่ารัมมังโกดะทีปังกร ซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือในการตัดสินใจ บางเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ นอกจากน้ันยังกล่าวถึงสมณศักดิ์ของพระเถระผู้ใหญ่ยุค น้ันด้วย คมั ภรี เ์ ลม่ ตอ่ มาชอื่ วา่ มนั ทารมั ปรุ ะไดใ้ หข้ อ้ มลู เปน็ ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาอทิ ธพิ ลฮนิ ดู ต่อสังคมสมัยนั้น๑๓๕ แต่งโดยพระวิกุมแอดุรุเถระในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๒ แต่งเพิ่มเติมโดย พระอุนัมบุเวยติเถระ และนักเขียนอีกคนหนึ่งสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ เนื้อหาส่วนใหญ่ว่าด้วย ความเป็นไปของชาวบา้ นเหมือนคัมภีร์ปชู าวลยิ ะจึงมขี ้อสงสยั หลายประเดน็ สว่ นเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์ ต�านานทางพระพุทธศาสนา และเร่ืองราวของอาณาจักรแคนดีล้วนคลุมเครือ แต่เนื้อหาก็ยังทรงคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าวิจัย เป็นท่ีน่าสนใจคือคัมภีร์เล่มนี้ กลา่ วถงึ พวกนกั บวชฮนิ ดกู อ่ กบฏตอ่ ตา้ นพระเจา้ วมิ ลธรรมสรู ยิ ะท่ี ๑ ถอื วา่ มเี พยี งเลม่ เดยี วเทา่ นนั้ ทกี่ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นี้ หลกั ฐานเกย่ี วกบั เรอ่ื งนย้ี นื ยนั ไดจ้ ากแผน่ ทองแดงทป่ี ดยิ แปแลละ๑๓๖ ถือว่าโชคดีท่ีมีแหล่งข้อมูลจ�านวนมากส�าหรับน�ามาวิเคราะห์ โดยเฉพาะเร่ืองเก่ียวกับ ยุคสมัยที่ก�าลังศึกษาค้นคว้า ถึงแม้ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นหลักฐานเชิงวรรณคดีก็ตาม แต่ก็ เช่ือได้ว่าคัมภีร์สมัยนั้นล้วนน�าเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเท่ียงตรงและเป็นประโยชน์อย่างย่ิง คัมภีร์ เหล่านี้จึงมีค่าล�้าเกินค�าบรรยายโดยเฉพาะการบริหารสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ยุคนั้น๑๓๗ หากศึกษาเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันสถานการณ์ด้านการศึกษาคณะสงฆ์ก็ไม่มีความแตกต่าง กันนัก เน้ือหาส่วนใหญ่ของคัมภีร์เหล่าน้ีว่าด้วยราชูปถัมภ์ด้านการรักษาและส่งเสริมสถาบัน การศึกษาคณะสงฆ์ ซ่ึงบางคร้ังมีเน้ือหายาวกว่าวรรณคดีสมัยอดีต แต่ก็เต็มด้วยความ ระมัดระวังในการอธิบายขอบเขตโดยเฉพาะการมอบถวายท่ีดินหรือทรัพย์สินเหล่าอื่นแก่ คณะสงฆ์
ต�าราอ้างอิง 21 หลักฐานจากพระบรมราชูทิศ การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์รู้จักกันในนามพระบรมราชูทิศ (สันนสะ) มีกล่าวถึง น้อยมาก จุดประสงค์ของพระบรมราชูทิศก็เพื่อต้องการมอบถวายท่ีดินแก่สงฆ์หรือแก่ขุนนาง บางคน ปกติจะโปรดมีการจารลงในแผ่นทองแดง แต่บางครั้งก็เป็นแผ่นทองและแผ่นเงิน แต่ใบลานไม่ค่อยนิยมมากนัก กษัตริย์ผู้ถวายส่วนใหญ่ก�าลังครองราชย์ เน้ือหาในพระบรม ราชูทิศจึงบอกถึงระยะเวลาการครองราชย์ได้ แต่บางครั้งข้อมูลก็สับสนกันเองโดยเฉพาะชื่อ ของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น ยุคเดียวกับพระเจ้าปรากรมพาหุมีถึง ๔ พระองค์ และพระเจ้าภูวเนก พาหุมีถึง ๓ พระองค์ เพราะปกติการบันทึกจะใช้ชื่อคล้ายคลึงกัน ดังเช่น ตริภุวนาธิปติ และ ศรีสังฆโพธิ เวลาวิเคราะห์จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ บ่อยครั้งวรรณคดียุคน้ีนิยม กล่าวถึงฉายาว่าธรรมหรือวีระเพ่ือบ่งถึงพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุน้ันเมื่อเปรียบเทียบหลักฐาน สองดา้ นจงึ สามารถสรปุ จบั ความได้ นอกจากนนั้ การบนั ทกึ ระยะเวลาการครองราชยเ์ ปน็ ศกศกั ราช หรือพุทธศักราช ย่ิงช่วยให้ก�าหนดกรอบของเวลาเรื่องการถวายท่ีดินชัดเจนมากข้ึน การศึกษาวิเคราะห์คร้ังน้ีจ�าเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลด้านอื่นด้วย กล่าวคือ จารึก แปปิลิยานะหลักท่ี ๑ ซ่ึงเขียนขึ้นในปีที่ ๔๔ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ ถือว่าเป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าย่ิงเก่ียวกับพระราชกรณียกิจด้านศาสนูปถัมภ์๑๓๘ เน้ือหาสาระ กล่าวถึงการสร้างวัดแปปิลิยานะ และการมอบถวายท่ีดินและภาษีแก่วัด หากตรวจสอบเทียบ เคียงกับจารึกพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัย ก็จะช่วยให้เห็นเน้ือหาของจารึกพระเจ้า มหินทะท่ี ๔ ณ มิหินตะเลชัดเจนสมบูรณ์มากขึ้น๑๓๙ เพราะล้วนกล่าวถึงการบริหารและการเก็บ ภาษีของคณะสงฆ์ ซ่ึงได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์และชาวบ้าน เนื้อหาบางแห่งของ จารึกมีส่วนคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมากกับดัมพเดณิกติกาวัตรของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แหง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ๑๔๐ ดว้ ยเหตนุ น้ั ยงั เกย่ี วขอ้ งกบั กฎกตกิ าของคณะสงฆไ์ ดอ้ กี ทางหนง่ึ ด้วย๑๔๑ ส่วนจารึกพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยแต่งในปีท่ี ๓๙ แห่งการครองราชย์ของ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖๑๔๒ เป็นหลักฐานส�าคัญยิ่งเพราะอธิบายถึงการดูแลรักษามหาสามัน เทวาลัยแห่งเมืองรัตนปุระและเรื่องราวของคณะสงฆ์ จารึกพระบรมราชูทิศแห่งน้ียังเพิ่มเติม เร่ืองการซ่อมแซมและต่อเติมเทวาลัยโดยนีลเปรุมัล ผู้เป็นหลานชายของพราหมณ์นามว่า อรยกามเทวะ และกล่าวถึงพระราชด�ารัสเร่ืองการดูแลรักษาเทวาลัยของพระมหากษัตริย์ อีกหลายพระองค์ นอกจากนั้นยังกล่าวถึงพระเถระเจ้าอาวาสผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นคลเตรสามี
22 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ซึ่งเป็นสมภารเจ้าวัดผู้ด�ารงต�าแหน่งพิเศษ หลักฐานบอกว่าท่านเป็นศิษย์ของพระสังฆราชคล ตุรุมุละเมธังกรเถระ หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความนิยมแพร่หลายของคติความเช่ือนอกรีต ท่ีสามารถเคียงคู่อยู่กับพระพุทธศาสนา จารึกบันทึกไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินได้น้อมถวายหมู่บ้าน ๒๖ แห่งแก่เทพสามัน และแต่งต้ังต�าแหน่งพิเศษท�าหน้าที่ดูแลเทวาลัยและหมู่บ้านรอบเทวาลัย นอกจากน้ันยังกล่าวถึงการเก็บภาษีบริเวณรอบเทวาลัยเพื่อบ�ารุงรักษาต้นโพธ์ิ ๓ ต้น๑๔๓ และ อธิบายถึงการดูแลรักษาเทวาลัยของเทพสามันพร้อมมเหสีและเทพบุตร อีกท้ังอธิบายถึง กฎเกณฑ์และข้อบังคับเก่ียวกับการบริหารเทวาลัยด้วย จารกึ มนุ เนศวรมั เทวาลยั เปน็ หลกั ฐานอกี แหง่ หนงึ่ ซง่ึ ทรงคณุ คา่ อยา่ งยงิ่ เพราะอธบิ าย รายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลรักษาเทวาลัยของลัทธิฮินดูสมัยนั้น๑๔๔ หลักฐานระบุว่าได้จารึก ในปที ี่ ๒๘ แหง่ การครองราชยข์ องพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๖ ซง่ึ เปน็ เวลาหนง่ึ ปกี อ่ นจารกึ พระบรม ราชูทิศมหาสามันเทวาลัย ถึงแม้เนื้อหาจะมีส่วนคล้ายคลึงกับจารึกพระบรมราชูทิศสามัน เทวาลัยก็จริง แต่ต�าแหน่งขุนนางกลับมีความแตกต่างอย่างชัดเจน กล่าวคือขุนนางผู้ดูแล มหาสามันเทวาลัยมีนามว่าบัณฑารนายกะ แต่ต�าแหน่งผู้ดูแลมุนเนศวรัมเป็นชาวทมิฬช่ือว่า โมดันโมยิ วรรณกรรมต่างชาติ ส่วนหลักฐานของต่างชาติที่เก่ียวข้องกับยุคนี้ก็เห็นสมควรน�ามาวิเคราะห์เช่นกัน คัมภีร์เล่มแรกคือวรรณกรรมภาษาบาลีจากเชียงใหม่นามว่าชินกาลมาลีปกรณ์๑๔๕ เน้ือหาใน คัมภีร์บอกว่าแต่งโดยพระรัตนปัญญามหาเถระแห่งรัตตวนวิหารเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าต�ารา เล่มน้ีจะเขียนข้ึน พ.ศ.๒๐๕๙ แต่ก็มาส�าเร็จ พ.ศ.๒๐๗๑๑๔๖ คัมภีร์เล่มนี้รวบรวมต�านานทาง พระพทุ ธศาสนา โดยบรรยายประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาจากเรมิ่ ตน้ จนถงึ สมยั ผแู้ ตง่ เนอ้ื หา หลักว่าด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากศรีลังกาสู่ดินแดนอุษาคเนย์ แม้ผู้เขียนจะตัดทอน ข้อมูลจากหลักฐานหลากหลายที่แตกต่าง ก็ระมัดระวังการตีความตามหลักฐาน แต่ปัญหา ยุ่งยากของนักวิชาการรุ่นใหม่คือการตีความเชิงต�านาน ชัยวิกรมชี้ให้เห็นถึงความยุ่งยากในการ เป็นภาษาอังกฤษ๑๔๗ คัมภีร์เล่มน้ีมีประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่าง ศรลี งั กากบั ดนิ แดนอษุ าคเนย์ โดยเฉพาะประเทศไทย เนอ้ื หาเรม่ิ ตน้ รายละเอยี ดของสหี ลศาสนา ทางภาคเหนือของไทย ซึ่งถือว่าเป็นแก่นแกนของเรื่อง และให้รายละเอียดเก่ียวกับสีหลปฏิมา
ต�าราอ้างอิง 23 ค่อนข้างยาว ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์สงเคราะห์จากพระเจ้าโรจราชแห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งมอบถวาย โดยพระเจา้ สริ ธิ รรมแห่งสริ ธิ รรมนครอกี ทหี นง่ึ ๑๔๘ นักวิชาการบางท่านเหน็ ว่าเนือ้ หาส่วนน้กี ล่าว ถงึ ความสมั พนั ธข์ องศรลี งั กากบั อาณาจกั รตามพรลงิ คบ์ รเิ วณคาบสมทุ รมาเลยส์ มยั ของพระเจา้ ปรากรมพาหุที่ ๒ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ๑๔๙ เน้ือหาแต่ละปริเฉทของคัมภีร์เล่มนี้ล้วนกล่าว ถึงยุคสมัยการน�าพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้าไปเผยแผ่ยังประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน มีบทหน่ึงกล่าวถึงคณะสมณทูตไทยโดยการน�าของพระเมธังกรเถระได้เดินทางมาศรีลังกาเพ่ือ บวชแปลงเป็นสิงหลนิกาย พระสงฆ์กลุ่มนี้ประกอบด้วยพระไทย พระกัมพูชา และพระพม่า ได้พากันเดินทางถึงศรีลังกา เม่ือ พ.ศ.๑๙๖๗ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าเหตุการณ์ส�าคัญครั้งนั้นไม่มีกล่าวถึงในต�านานของลังกาเลย ส่วน วรรณกรรมศรีลังกาเล่มอื่นก็เพิกเฉยเสีย สันนิษฐานว่าคงมิใช่เหตุการณ์ส�าคัญทางประวัติ ศาสตร์ศาสนาของศรีลังกา แต่การฟื้นฟูพิธีอุปสมบทสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔ (สมัย อาณาจกั รแคนด)ี กลบั เปน็ เรอ่ื งราวสา� คญั ใหญโ่ ต ถอื ไดว้ า่ คมั ภรี เ์ ลม่ นใ้ี หร้ ายละเอยี ดดา้ นความ สัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับไทยและอาณาจักรใกล้เคียงเป็นอย่างดี ซ่ึงไม่มีกล่าวถึง ในคัมภีร์เล่มอ่ืนใด คัมภีร์อีกเล่มคือกัลยาณีประกรณะ ซ่ึงบรรจุในจารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ แห่งเมืองหงสาวดี โดยจารึกเมื่อ พ.ศ.๒๐๑๖ ที่เมืองเชียงเคียน ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของ เมืองหงสาวดี๑๕๐ ต้นฉบับของจารึกเล่มน้ีมีเก็บรักษาไว้ในแผนกของเก่าอินเดีย ช่ือว่าการศึกษา เบื้องต้นเก่ียวกับจารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์๑๕๑ ตอว์เซียนโกได้ใช้ต้นฉบับขณะศึกษา อยู่ในประเทศพม่า ส�านวนจารึกฉบับศรีลังกาว่าด้วยกัลยาณีประกรณะได้เก็บรักษาตามวัด หลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่สังกัดคณะสงฆ์อมรปุรนิกาย เพราะมีความใกล้ชิดกับพม่ามาตั้งแต่เริ่ม ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ ฉบบั ตพี มิ พเ์ รยี บเรยี งโดยพระคนิ โตตะเมธงั กรเถระ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๖๗๑๕๒ จารึกกัลยาณีเน้นกล่าวถึงการออกกฎกติกาเพื่อควบคุมคณะสงฆ์ และอธิบายสังฆกรรมซ่ึง จัดท�าสีมาเรียกว่ากัลยาณีสีมา๑๕๓ กัลยาณีสีมามาจากค�าว่าเตลิงแปลว่าพระมอญ ซึ่งได้รับการ อุปสมบทคร้ังท่ีสองภายใต้การดูแลของพระสงฆ์ผู้สืบทอดมาจากส�านักมหาวิหาร ซ่ึงเป็นผู้น�า จิตวิญญาณสืบต่อมาจากพระมหินทเถระ การอุปสมบทคร้ังน้ันจัดขึ้นบริเวณอุทกุกเขปสีมา เหนือแม่น้�ากัลยาณีใกล้เมืองโคลัมโบ ข้อมูลส่วนน้ีจึงมีคุณค่าอย่างย่ิงต่อการศึกษา เพราะ อธิบายถึงคณะสงฆ์มอญเดินทางเข้ามาศรีลังกาสมัยพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๖ แห่งอาณาจักร โกฏเฏ การอุปสมบทจัดข้ึนโดยพระสังฆราชและพระเถระผู้ใหญ่แห่งคณะสงฆ์ศรีลังกา
24 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ เมื่อ พ.ศ.๒๐๑๗ แต่น่าเสียดายการอุปสมบทกรรมครั้งนี้ไม่ปรากฏมีในต�านานของศรีลังกาเลย ศรีลังกาจึงเป็นหนี้จารึกกัลยาณีเพราะมีข้อมูลให้ศึกษาด้านความเก่ียวข้องระหว่างศรีลังกากับ เมืองหงสาวดี นอกจากนั้น ยังมีคัมภีร์อีกเล่มหน่ึงชื่อว่าสาสนวงศ์ แต่งโดยพระสงฆ์ชาวพม่านามว่า พระปัญญาสามี เม่ือ พ.ศ.๒๔๐๔ ผู้แต่งเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้ามินดง และเป็นศิษย์ของ คณะสงฆ์แห่งมัณฑะเลย์๑๕๔ ต้นฉบับของคัมภีร์เล่มนี้เรียบเรียงโดยมาเบลโบดและตีพิมพ์ใน นามสมาคมบาลีปกรณ์๑๕๕ นอกจากนั้นโบดยังตีพิมพ์งานวิจัยอันทรงคุณค่าอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในพม่า๑๕๖ ปัจจุบันคัมภีร์สาสนวงศ์มีการแปลออกเป็นภาษา อังกฤษโดยลอว์ ช่ือว่าประวัติศาสตร์ศาสนาของพระพุทธเจ้า๑๕๗ ผู้สนใจศึกษาต้นฉบับเห็น สมควรอ่านไดจ้ ากคา� แนะน�าในคัมภรี ์สาสนวังสทีปิกา๑๕๘ และคมั ภรี ส์ าสนวงั สทปี ะยะ๑๕๙ คมั ภีร์ สองเล่มนี้ตีพิมพ์ในประเทศศรีลังกา ซึ่งล้วนอธิบายความตามคัมภีร์มหาวงศ์ท้ังส้ิน สารบัญ ของคัมภีร์สองเล่มนี้กล่าวถึงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ซ่ึงคัดลอกมาจากคัมภีร์ภาษาบาลี ดังเช่น คัมภีร์อรรถกถา คัมภีร์วินัยปิฎก คัมภีร์มหาวงศ์ และคัมภีร์ทีปวงศ์ โดยกล่าวถึง เหตุการณ์เริ่มต้ังแต่การสังคายนาคร้ังท่ี ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชจนถึงการส่งสมณทูต ออกไปประกาศศาสนา เนื้อหามีทั้งหมด ๙ บท แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาคแรกประกอบด้วยต�านานซึ่งรวบรวมมา จากคัมภีร์อรรถกถา คัมภีร์ทีปวงศ์ และงานเขียนเหล่าอ่ืน เฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับศรีลังกา และพม่ามีความน่าเชื่อถือมาก ส่วนภาคสองครอบคลุมเน้ือหางานเขียนหลายเล่ม แต่อธิบาย ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในพม่าอย่างเดียว การศึกษาวิเคราะห์หนังสือเล่มนี้ผู้วิจัยเน้นศึกษาเฉพาะภาคสุดท้ายเท่าน้ัน เพราะ สามารถสืบค้นหลักฐานความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับพม่าสมัยกลาง เก่ียวกับ ต้นฉบับนั้นโบดแสดงความเห็นว่าขอบข่ายมีเนื้อหาค่อนข้างจ�ากัด หน่ึงนั้นแสดงความเป็น เถรวาทด้วยการอ้างถอยหลังถึงบูรพาจารย์ยุคเก่าก่อน อีกหน่ึงน้ันแสดงความภาคภูมิใจความ เป็นชาติแห่งตนมากเกินงาม แต่หากศึกษาอย่างละเอียดย่อมทราบชัดถึงเรื่องความเกี่ยวข้อง ระหว่างศรีลังกากับพม่า ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ไม่มีกล่าวถึงในวรรณกรรมของลังกาเลย
ต�าราอ้างอิง 25 เชิงอรรถ 1 K.Wachissara, Valivita Saranankara and the Revival of Buddhism in Ceylon, (unpublished thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy of the University of London), 1961; Sin. tr. Saranankara Sangharaja Samaya, Colombo, 1963. 2 Ibid. 3 Unpublished thesis submitted to University of London, 1968. 4 History of Ceylon. University of Ceylon, Colombo, 1960, vol.1, part.2, pp.745-749. (UCHC). 5 Sahityaya, Journal of the Ministry of Cultural Affairs, vol.1, 1957, pp.66-71. 6 Unpublished thesis submitted to University of London, 1968. 7 Unpublished thesis submitted to University of Lancaster, 1968. 8 UCHC., p.52. 9 W. Geiger, ‘The Trustwothiness of the Mahavamsa’, Indian Historical Quarterly, vol.6, (1950), pp.205-228. 10 Cv.,99-100. 11 Cv.,91-100. 12 Cv.,99-100. 13 Cv.,95-98. 14 Cv.,91-93. 15 Journal of the Royal Asiatic Society, (Ceylon Branch), JRASCB, vol.xxiv, no.68, p.98ff; vol.xxvii, no.68, p.98ff; vol.xxvii, no.73, p.31ff. 16 Cv.,91-24. 17 Gira Sandesaya, ed. M. Kumararatunga, Colombo, 1955, v.124ff. 18 Saddarmaratnakaraya, ed. K. Nanavimala, Panadura, 1931, p.299. 19 UCHC., pp.669-70; Political History of the Kingdom of Kotte, p.173ff. 20 Cv.,91-24. 21 Cv.,91, 28-35. 22 Cv.,95.5. 23 P.E. Peiris, Ceylon; the Portuguese Era, vol.1, pp.373-391. 24 Cv.,95.4-7. 25 Cv.,93.3.
26 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 26 See, for the Punnapotthakas used by the author of the Mahavamsa, Mahavamsa, ed., W. Geiger, (PTS), London, 1908, 35.25ff. 27 Cv.,92.24-30; cf. Rajaratnakaraya, p.54ff. 28 Madavala Vihare Pinvattoruva; เนื้อหาของหลักฐานชิ้นนี้ช้ีบอกถึงการบันทึกประโยชน์ ของวัดเมดวะละ ซ่ึงได้รับจากพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ Epigraphia Zeylanica, vol.5. no.48. Moratota Dinapotra; หลักฐานชิ้นนี้ต้องการบันทึกผลทานของพระโมรโตตะธัมมัก ขันธเถระแห่งวัดมัลวัตตมหาวิหารเมืองแคนดี ผู้เป็นพระมหานายกแห่งนิกายมัลวัตตะแห่ง สยามนิกาย Ceylon Government Archives, Or. Ms.125. (N). 29 C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, Colombo, 1955, p.127; see also H.W. Codrington, “Some Documents of Vikramabahu of Kandy’, JCBRAS, vol.xxxii, no.84, 1931, pp.64-75. 30 Rajaratnakaraya, ed. Simon de Silva, Colombo, 1930, p.1. 31 Rjrt., p.56ff. 32 C.E. Godakumbura, ‘Historical writing in Sinhalese’, Historians of India, Pakistan and Ceylon, ed. C.H. Phillips, London, 1962, p.76. 33 Ibid., p.76. 34 Rajavaliya, ed. B. Gunasekara, Colombo, 1953 (reprinted; tr. B. Gunasekara, Colombo, 1954, (reprinted) 35 Rajavaliya, ed. Vatuvatte Pemananda, Colombo, 1945. 36 Alakesvarayuddha, ed. A.V. Suraweera, Colombo, 1956. 37 Diego do Couto, Da Asia, Dos fei tos que os Portuguea fizeram na conquistae descombimento das larrase mare do Oriente, Decadas, iv-xii, 10 parts in 15 Volumes. Lisbon, 1778-1788; ภาคท่ีเก่ียวข้องกับศรีลังกาแปลโดย Donald Perguson in JCBRAS, xx, no.60, 1908, p.56ff; Valentijn. F. Oud en niew Cost Indian, Amasterdam, vol.5, 1726. การแปลงานของวาเลนตินที่เก่ียวกับศรีลังกาตีพิมพ์ในวารสาร JCBRAS, xxii, no.65, p.36ff. ส่วนการแปลฉบับย่อความช่ือว่า A.M. Philatethess History of Ceylon, chapter three and four, London, 1817. 38 Edward Upham, The Mahavansi, the Rajaratnakari and the Rajavali, Londdon, 1833. 39 C.E. Godakumbura, Historical of India, Pakistan and Ceylon, p.76. 40 R.S. Hardy, Manual of Buddhism, London, 1880, p.539; G. Turnour, Epitome of History of Ceylon, London, 1859, p.4; UCHC, p.53.
ต�าราอ้างอิง 27 41 Rjv., p.48. and p.69. 42 Rjv., p.53. 43 C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, Colombo, 1955, p.129. 44 Rjv., p.37. 45 Somaratna, op.cit., p.35ff. 46 Rjv., p.47. 47 E.W. Perera, ‘Age of Sri Parakramabahu VI’, JCBRAS, xxii, no.63. 1912, p.12; H.C. Bell, Report on the Kegalle District Sessional Papers, Colombo, 1892, xxi, p.91. 48 Vrttaratnakara-panjika, ed. C.A. Seelakkhandha, Bombay, 1908, p.20; K.D.P. Wickramasinghe, Kotte Yugaye Sinhala Sahityaya, Colombo, 1960, p.33ff. 49 Sshrt., p.24. 50 Parakumba Sirita, C. de. Silva, Kandy, 1957, v.27. 51 Simon de Silva, ‘Vijayabahu VI’, JCBRAS, xxii. no.65, 1912, pp.312-328. 52 Rjv., p.48. 53 The History of Ceylon from the Earliest times to 1000 A.D., as related by Joan de Barros and Diego Do Couto., tr. and edited by Donald Ferguson, JCBRAS, xx, no.60.1908, p.56ff. 54 Rjv., p.57. 55 Saddhammaratnakaraya, ed. K. Nanavimala, Panadura, 1931. 56 Sdkrt., p.501. 57 Sdkrt., p.72. 58 C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, p.96. 59 Sdkrt., p.499ff. 60 Nikayasangrahaya, ed. D.P.R. Samaranayaka, Colombo, 1960; Sdhrt., p.253ff. 61 JCBRAS., xxiv, no.68, p.13; UCHC, p.664; Somaratna, Political History of the Kingdom of Kotte, p.94. 62 Sbhrt., p.294; UCHC, p.664. 63 Sdhrt., p.71. 64 Sdhrt., p.296. 65 Vidyodaya., vol.3, no.8. 1931, p.37ff. 66 Katikavat Sangara, ed. D.B. Jayatilaka, Kelaniya, 1955, pp.40-43.
28 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 67 Ceylon Antiquary and Literary Register, vol.2. part.1. p.42f. 68 Sdhrt., p.499ff. 69 Alutnuvara Devale Karavima, Br.Mus.Ms. no. Or.6606 (125). 70 D.B. Jayatilaka, Sinhala Sahitaya Lipi, Kelaniya, 1959, (reprinted), pp.70-71. 71 คัมภีร์เล่มนี้ไม่ปรากฏเห็นในรายชื่อคัมภีร์ต้นฉบับตามห้องสมุดของวัด เรียบเรียงโดย K.D. Somadasa, Colombo, 1959. 72 H.W. Codrington, A Short History of Ceylon, Colombo, 1947, (reprinted), p.87. 73 A. Liyanagamage, The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya, Colombo, 1968, p.29. 74 A.D.K. folio. Kau(a). 75 Cf. Rjv., p.50ff. 76 A.D.K., folio, ki(a). 77 Nikayasangrahaya, ed. D.P.R. Samaranayaka, Colombo, 1960. 78 UCHC., p.57. 79 Nks., p.96. 80 Sdhrt., p.500. 81 Nks., p.96. 82 Ibid. 83 Mayura-sandesaya, ed. W.F. Gunawardhana, Colombo, 1938, introduction, p.4. 84 P.B. Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.10ff. 85 C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, p.189. 86 Hansa-sandesaya, ed. C.E. Godakumbura, Colombo, 1953, v.201f. 87 นามผู้เขียนและระยะเวลาการเขียนวิเคราะห์แล้วโดยโคดกุมบุระ See Hms., intr. p.xiv. 88 Hms.,v.48ff. 89 Ibid.,v.49ff. 90 Parevi-sandesaya, ed. M. Kumaranatunga, Colombo, 1942, intro, p.xiv and v.208; C.E. Godakumbura, Sinhalese Literature, p.191. 91 Prs.,v.203. 92 Prs.,v.201-202. 93 Prs.,v.165ff. 94 Ibid. v.165ff. 95 Salalihini-sandesaya, K.D.P. Wickramasingha, Colombo, 1956, v.109.
ต�าราอ้างอิง 29 96 Sls.,vv.93-107. 97 Sls.,vv.60-71.Gira-sadesaya, ed. M.Kumaratunga, Colombo, 1944, vv. 250-252. 98 Gira-sadesaya, ed. M.Kumaratunga, Colombo, 1944, vv. 250-252.Grs.,vv.250-252. 99 Grs.,vv.250-252.Grs., intro, p.4; P.B. Sannasgala, Sandesaya Sahityaya, p.24. 100 Grs., intro, p.4; P.B. Sannasgala, Sandesaya Sahityaya, p.24.Grs.,v.40ff; UCHC, p.675. 101 Grs.,v.40ff; UCHC, p.675. 102 Grs.,vv.126-156. 103 Grs.,v.69. 104 Grs.,vv.217-227. 105 See chapter five. 106 Kokila-sandesaya, ed. H.H. Pannatissa, Colombo, 1945. 107 Kks.,v.291. 108 Kks.,v.268; UCHC., p.675. 109 Kks.,v.44. 110 Kks.,v.101. 111 Kks.,v.118. 112 Kks.,v.185. 113 Kks.,v.198. 114 Savul-sandesaya, ed. U. Dhammasiri and S. Gamage, Delgoda, 1968. 115 P.B. Sannasgala, Sinhala Sahitya Vamsaya, Colombo, 1961, p.297. 116 Svls.,v.122 and 170. 117 See chapter four. 118 Vuttamala-sandesa-sataka, R. Batuvatudave, Colombo, 1923. 119 Vss.,v.103. 120 G.P. Malalasekara, Pali Literature of Ceylon, London, 1928, p.254; A.P. Buddhadatta, Theravadi Bauddhacaryayo, Colombo, 1960, p.149. 121 Tisara-sandesaya, ed. D.B. Jayatilaka, 1935, v.179ff.Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.13f. 122 Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.13f. 123 Tss.,v.177ff. Sdhrt., p.296. 124 Vidyodaya., vol.1, no.8, p.295; Vrttaratnakara-panjika, p.13.
30 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ 125 Vas.,v.31ff. 126 Vas.,v.42ff. 127 Budugunalankaraya, ed D.B. Jayatilaka, Kelaniya, 1948. 128 Kavyasekharaya, ed. R. Sri. Dharmarama, Kelaniya, 1935. Guttika-Kavyaya, ed. D. Sumanajoti, Kelaniya, 1956; Sannasgala, Sinhala Sahitya Vamsaya, p.435. 129 Guttika-Kavyaya, ed. D. Sumanajoti, Kelaniya, 1956; Sannasgala, Sinhala Sahitya Vamsaya, p.435. 130 Guttila-kavyaya.,v.16. 131 Kuveni-asna., p.7. 132 Sannasgala, Sinhala Sahitya Vamsaya, p.249. 133 D.M.de Z. Wickramasingha, Catalogue of the Sinhalese Manuscripts and Printed Books in the British Museum, London, 1901, vol.2. p.101. Padasadhana-tika, ed. Sri Dharmmarama, Kelaniya, 1937., vv.1-7. 134 Padasadhana-tika, ed. Sri Dharmmarama, Kelaniya, 1937., vv.1-7. Mandarampura -puvata, ed. L. Lankananda, Panadura, 1956. 135 Mandarampura-puvata, ed. L. Lankananda, Panadura, 1956.Epigraphia Zeylanica, vol.5. part.3., p.113f. 136 Epigraphia Zeylanica, vol.5. part.3., p.113f.P.E.E. Fernando, ‘Development of the Sinhalese Script from the 18th century A.D. to the 15th century A.D.’, University of Ceylon Review, vol.3., pp.222-242. 137 P.E.E. Fernando, ‘Development of the Sinhalese Script from the 18th century A.D. to the 15th century A.D.’, University of Ceylon Review, vol.3., pp.222-242. 138 จารึกแปปิลิยานะซึ่งน�ามาศึกษาแบ่งเป็น ๒ หลัก ถูกโปรตุเกสท�าลายเสียหายแต่โชคดีมีการจารึกลง ในใบลาน จารึกหลักที่ ๑ ดูใน Vidyodaya, vol.1., no.6. 1931, pp.295ff and vol.1. no.10, p.374ff; ส่วนจารึกหลักที่ ๒ ดูใน Katikavat Sangara, pp.40-43 and Vidyodaya, vol.1. nos.11,12., p.413ff. 139 EZ., 1, p.85ff. 140 Kts., p.7ff. 141 จารึกพระบรมราชูทิศถูกท�าลายโดยโปรตุเกสแต่มีการจารึกลงในใบลาน See Ceylon Antiquary and Literary Register, 1924, vol.2. part.1., pp.42-49. 142 Vidyodaya, 3. no.8, p.230f. and no.9., p.269f. 143 Ibid. p.270.
ต�าราอ้างอิง 31 144 Ibid. p.270. 145 Jinakalamali., ed. A.P. Buddhadatta, (PTS), London, 1962. 146 The Sheaf of Garlands of the Epochs of the Conqueror, (Being a translation of Jinakalamalipakranam), translated by N.A. Jayawickrama, (PTS), London, 1968, introduction, p.xxix. 147 Jkm., p.86ff.S. 148 Epigraphia Burmanica, 3, part.2, 1928, Rangoon, pp.76ff. 149 S. Paranavitana, Ceylon and Malaysia, Colombo, 1966, p.54. 150 Kalyanipakarana, ed. Gintota Medhankara, Colombo, 1924. 151 IA, 12, p.13. 152 M.H. Bode, The Pali Literature of Burma, London, 1909, p.91. 153 Ibid. p.91. 154 Sasanavamsa, ed. M.H. Bode (PTS), London, 1897. 155 A Burmese Historian of Buddhism, London, 1898. 156 B.C. Law, The History of the Buddha’s Religion, London, 1952. 157 Sasanavamsa-dipika, ed. K. Saddhammavamsa, Colombo, 2472 B.E. 158 Sasanavamsa-padipaya, ed. A. Vimalasara, Colombo, 2473 B.E. 159 B.C. Law, op.cit., introduction, p.ix.
๒ เรื่องราวแหง่ อาณาจกั ร
ก�ำเนิดอาณาจักรโกฏเฏ เมืองหลวงของอาณาจักรสิงหลสมัยน้ีมีนามว่าชัยวรรธนะปุระหรือโกฏเฏ ต้ังอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะลังกา สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ โดยเสนาบดีชื่อว่า อลเกศวร ซึ่งปกครองกึ่งแยกตัวเป็นอิสระจากกษัตริย์ เดิมท่านมีถิ่นฐานอยู่ท่ีหมู่บ้านเปราเดณิยะ ใกล้เมืองแคนดี๑ รายละเอียดเก่ียวกับการสร้างเมืองโกฏเฏมีกล่าวถึงแล้วในคัมภีร์จุลวงศ์๒ ปรณวิตานะผู้สืบค้นความรุ่งเรืองของอลเกศวรบอกว่าเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ท่านน้ีอาจชื่อว่า อลเกศวรที่ ๓๓ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะของพระวิมลกีรติเถระก็บอกว่าอลเกศวรได้สร้าง เมืองโกฏเฏเช่นกัน ซ่ึงตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ แห่งอาณาจักรคัมโปละ๔ การสร้างศูนย์กลางทางฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงใต้นั้น หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวถึงค่อนข้าง คลุมเครือ บอกเพียงว่าเหตุที่สร้างป้อมปราการก็เพื่อป้องกันการข่มขู่จากพระเจ้าอารยจักรวรัติ ผู้เป็นกษัตริย์ทมิฬแห่งอาณาจักรจัฟฟ์นา๕ หรืออาจเป็นไปได้ว่าการสร้างป้อมปราการเป็นการ รกั ษาเมอื งโคลมั โบ ซงึ่ สมยั นน้ั กลายเปน็ เมอื งทา่ สำ� คญั บางครงั้ บางคราวกถ็ กู ควบคมุ โดยพอ่ คา้ ชาวมุสลิม๖ คมั ภรี น์ กิ ายสงั ครหยะและคมั ภรี ร์ าชาวลยิ ะอธบิ ายถงึ การสรา้ งเมอื งโกฏเฏและกองทพั อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหนือกษัตริย์ทมิฬของเสนาบดีอลเกศวรท่ี ๒๗ ข้อมูลเหล่าน้ีช่วยให้เห็น ความส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของอาณาจักรโกฏเฏสมัยอลเกศวร ซึ่งสมัยน้ัน ถือว่าท่านเป็นผู้น�ำแนวหน้าทางการเมือง เพราะสามารถบดบังรัศมีของกษัตริย์ผู้ซ่อนตัวอยู่ เพียงเบื้องหลัง กล่าวโดยพฤตินัยอลเกศวรได้ปกครองอาณาจักรสิงหลเกือบครึ่งหน่ึงของ เกาะลังกา๘ ท่านเป็นผู้ปกครองที่ทรงพลานุภาพมากสุดของศรีลังกาตอนท้ายของพุทธศตวรรษ ที่ ๑๙ แม้ท่านจะมิได้ท�ำพิธีราชาภิเษกเพียงแต่ร้ังต�ำแหน่งเจ้าเมืองก็จริง๙ แต่ก็สร้างความมั่นใจ
เร่ืองราวแห่งอาณาจักร 35 ให้แก่ชนชาวสิงหล และสามารถต่อต้านการเรืองอ�านาจของพระเจ้าอารยจักรวรัติได้ การสร้าง ป้อมปราการที่เมืองโกฏเฏและการขับไล่กองทัพของพระเจ้าอารยจักรวรัติจนแตกพ่าย ท�าให้ ท่านเป็นผู้วางพื้นฐานการรวมเกาะลังกาให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้กษัตริย์สิงหลผู้มีพระปรีชา สามารถพระองค์ต่อมา กล่าวคือพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวถึงเหตุการณ์ทางการเมืองยุคนี้น้อยมาก ด้วยเหตุน้ีจ�าต้องอาศัย หลักฐานจากเล่มอ่ืนมาอธิบายเสริม โดยเฉพาะคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะ แม้คัมภีร์เล่มนี้จะให้ ข้อมูลย่อส้ันแต่ก็กล่าวถึงรายละเอียดค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางการเมืองหน่ึง ศตวรรษก่อนการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ เน้ือความตามคัมภีร์ระบุว่าผู้สืบทอด ต�าแหน่งต่อจากพระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๓ คือพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๕ (พ.ศ.๑๙๑๕)๑๐ หากเป็น เช่นน้ันพระองค์ต้องเสวยราชสมบัติปีพุทธศักราช ๑๙๑๔-๑๙๔๕ ความเก่ียวข้องระหว่าง พระเจ้าภูวเนกพาหุและพระเจ้าวิกรมพาหุไม่ปรากฏแน่ชัด สันนิษฐานว่าพระเจ้าวิกรมพาหุ อาจจะเกย่ี วขอ้ งกับเสนาบดนี ามวา่ เสนาลงั กาธิการะ๑๑ ความสัมพนั ธ์ระหว่างพระเจา้ ภูวเนกพาหุ กับพระเจ้าวิกรมพาหุจึงเช่ือได้ยาก ช่วงสองปีท้ายแห่งการครองราชย์ของพระองค์ ผู้ท่ีมีอ�านาจ สูงสุดทางการเมืองคืออลเกศวร จารึกเวคิริยเดวาเล ซึ่งบันทึกปีพุทธศักราช ๑๙๕๘ ให้รายละเอียดเก่ียวกับพระบรม ราชูทิศของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ ซึ่งพระองค์ทรงน้อมถวายแก่เทวาลัยในปีท่ี ๒๐, ๓๔ และ ๓๖ แห่งการครองราชย์๑๒ พระองค์อาจจะปกครองบ้านเมืองจนถึงพุทธศักราช ๑๙๕๐-๑๙๕๑ แม้พระองค์จะเป็นกษัตริย์ผู้ผ่านพิธีราชาภิเษกก็จริง แต่อ�านาจทางการเมืองตกอยู่ในเง้ือมมือ ของผู้สืบทอดต�าแหน่งต่อจากเสนาบดีอลเกศวรที่ ๓ คนแรกเป็นบุตรนามว่ากุมารอลเกศวร ก่อนหน้านั้นมีอลเกศวรอีกคนหนึ่งนามว่าวีรอลเกศวร ผู้เป็นบุตรน้องสาวของอลเกศวรเป็นผู้ คุมอ�านาจท้ังหมด ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ากุมารอลเกศวรอยู่ในต�าแหน่งนานเท่าใด และด้วยเหตุใด จึงหลุดจากอ�านาจ แต่หลังจากน้ันไม่นานอลเกศวรอีกคนหน่ึงนามว่าวีรพาหุแอทิปาทะ ซึ่งเป็น น้องชายสุดท้องของวีรอลเกศวรก็ใช้ก�าลังแย่งชิงอ�านาจแล้วขึ้นรั้งต�าแหน่งสืบแทน คัมภีร์นิกายสังครหยะซึ่งแต่งในปีท่ี ๒๐ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าภูวเนกพาหุ บอกวา่ วรี พาหแุ อทปิ าทะเปน็ อปุ ราชรว่ มกบั นอ้ งชาย๑๓ ซงึ่ ครองอา� นาจยาวนานถงึ ๑๕ ปี ระหวา่ ง นี้วีรพาหุแอทิปาทะต้องพบกับการปะทะครั้งใหญ่จากพวกทมิฬและมุสลิม และจากพี่ชายของ ตนเองนามว่าวีรอลเกศวร ซึ่งหลบหนีไปอาศัยกษัตริย์อินเดียทางตอนใต้๑๔ คัมภีร์เล่มน้ียัง
36 ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ สรรเสริญท่านด้วยภาษาอันสละสลวยในฐานะเป็นผู้รวมเกาะลังกาให้อยู่ภายใต้เศวตฉัตร อันเดียวกัน แต่ยังมีความสงสัยกันว่าอาณาจักรทางเหนือสุดยังอยู่ภายใต้การปกครองของ พระเจ้าอารยจักรวรัติอยู่หรือไม่ เหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่ปรากฏช่ือของเสนาบดีท่านน้ีคือ พุทธศักราช ๑๙๓๙ เพราะตรงกับปีแห่งการสังคายนาคณะสงฆ์ภายใต้ราชูปถัมภ์๑๕ คัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะบันทึกไว้ว่าผู้สืบทอดต�าแหน่งของวีรพาหุแอทิปาทะคือ บุตรสองคนนามว่าวิชัยอาปาและตุนเยสะ๑๖ ทั้งสองท่านปกครองเหนือชาวสิงหลได้เพียง ๓ ปี ไม่นานวีรอลเกศวรได้กลับคืนสู่ลังกาและยึดครองอ�านาจสืบต่อ โสมรัตนะช้ีว่าวีรอลเกศวรได้ ขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์วิชัยนครเพื่อต่อสู้ยึดอ�านาจกลับคืน๑๗ น้ีถือว่าเป็นครั้งท่ีสองของ การครองอ�านาจของวีรอลเกศวร คัมภีร์เล่มนี้บันทึกไว้ว่า ท่านถูกจับและจองจ�าน�าไปประเทศ จีนอันเน่ืองจากอดีตกรรมแต่หนหลัง๑๘ หลักฐานฝ่ายจีนบอกว่าผู้ปกครองเกาะลังกาถูกจับไป จีนในพทุ ธศกั ราช ๑๙๕๔๑๙ นกั บันทกึ ประวตั ศิ าสตร์จนี นามว่าเพียงอิเทียนบอกวา่ กษตั รยิ ์ลังกา สมัยน้ันพระนามว่าอลิโกนัยโอว์ เป็นผู้ประพฤตินอกรีตไม่เล่ือมใสศรัทธาพระเข้ียวแก้ว โหดร้ายต่ออาณาประชาราษฎร์ และไม่ยกยอพระพุทธศาสนา เมื่อแม่ทัพเรือนามว่าเจิ้งเหอ เดินทางถึงลังกาได้พยายามแนะน�าอลิโกนัยโอว์ให้เปล่ียนความคิดหันมาศรัทธาต่อค�าสอน ของพระพุทธเจ้า แต่กษัตริย์ลังกาแสดงอาการหยาบคายพร้อมตัดสินใจให้กองทัพเข้าโจมตี กองทัพเรือของจีน หลังจากต่อสู้อย่างหนักแม่ทัพเรือนามเจ้ิงเหอประสบความส�าเร็จสามารถ จับกษัตริย์ลังกาพร้อมส่งไปเมืองจีน๒๐ บุคคลที่เอ่ยถึงในนามอลิโกนัยโอว์ในงานเล่มนี้และอีก ช่อื หนึง่ วา่ ยาเอยี กนุ ัยอาร์ในหนังสอื ของมินซงิ อาจพสิ จู นว์ า่ เปน็ วรี อลเกศวรตามคัมภีรส์ ทั ธรรม รัตนากรยะของลังกา ส่วนเล่มอื่นก็ระบุว่าสมัยของท่านมีความเก่ียวข้องกับประเทศจีนจริง๒๑ หลักฐานชี้ว่าการท่ีเพียงอิเทียนกล่าวหาวีรอลเกศวรว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทาง พระศาสนาค่อนข้างมีความเป็นจริง๒๒ เพราะวีรอลเกศวรถูกน้องชายนามว่าวีรพาหุแอทิปาทะ บังคับให้ออกจากลังกา หากยอมรับตามคัมภีร์นิกายสังครหยะซ่ึงผู้เขียนได้รับความอุปถัมภ์ จากพระเจ้าวีรพาหุ ผู้เป็นศาสนูปถัมภกองค์ส�าคัญ๒๓ ความจริงคือวีรอลเกศวรถูกเนรเทศไป อย่อู ินเดยี ใตเ้ กินกวา่ แปดปีระหว่างการปกครองของพระเจา้ วีรพาหุ หลงั จากยดึ ครองเกาะลังกา ในปีพุทธศักราช ๑๙๔๓ เสนาบดีท่านนี้อาจมีนโยบายตรงกันข้ามกับพระเจ้าวีรพาหุก็เป็นได้ ปรณวิตานะแสดงความเห็นไว้ว่าหากวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของวีรอลเกศวรจากหลักฐาน ฝ่ายจีน ดเู หมือนวา่ ไร้ความยตุ ธิ รรมเพราะงานเขยี นภาษาสงิ หลกลับไมพ่ บหลกั ฐานตามท่กี ล่าว ถึงเลย๒๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228