ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย (Cross Culture and Minorities in Thailand) ผู้ชว่ ยศาสตราจารยป์ ระจวบ ประเสรฐิ สังข์ ป.ธ.๖, ศน.บ., พช.ม. ภาควิชาสังคมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย
ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย (Cross Culture and Minorities in Thailand) ISBN : 978-616-208-070-8 เรยี บเรยี งโดย : ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ประจวบ ประเสรฐิ สงั ข์ สงวนลขิ สิทธิ์ : ตาม พ.ร.บ.ลขิ สิทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗ พิมพ์ครั้งท่ี ๑ : พฤศจิกายน ๒๕๕๖ จ�ำนวนพิมพ์ : ๕๐๐ เล่ม จัดพิมพ์โดย : โครงการผลิตสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ตามแนวทางปฏิรปู การศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถ. ศาลายา-นครชยั ศรี ต. ศาลายา อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม ๗๓๑๐๗
คำ� น�ำ ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย (Cross Culture and Minorities in Thailand) เป็น รายวิชาที่มีการเรียนการสอนใน สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั มขี อบขา่ ยเนอ้ื หาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความหมายขอบเขต ลกั ษณะทาง เชื้อชาติและวัฒนธรรมและของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยเน้นชนกลุ่มน้อยที่เด่นทาง วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่ การผสมกลมกลืนด้านสถาบันสังคม ท่สี �ำคญั ปญั หาทส่ี มั พันธ์กบั ชนกลุ่มนอ้ ยและวธิ ีการแกไ้ ข หนงั สอื เล่มน้ี ไดร้ วบรวมและเรียบเรียงขึน้ จากตำ� ราทางวชิ าการของสถาบนั ต่าง ๆ เว็บไซตท์ ี่ เกี่ยวข้อง และข้อมูลจากการศึกษาดูงานกลุ่มชาติพันธ์ุทางภาคเหนือ ได้รวบรวมเนื้อหาที่มีความ เกี่ยวข้องกับขอบข่ายของรายวิชาชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย โดยเลือกเฉพาะชนเผ่าท่ีเด่น ทางวัฒนธรรมอย่างเห็นได้ชัด และวิชาการท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาชาวเขา เพ่ือให้ผู้เรียนได้เข้าถึง จุดมุ่งหมายของการเรียนอย่างแท้จริง และสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ได้กับกระบวนการเรียนการสอน วชิ าอ่ืน ๆ อกี ดว้ ย ผศ.ประจวบ ประเสรฐิ สงั ข์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั
สารบัญ ๙ ๙ บทท่ี ๑ ชนกลุม่ นอ้ ยและชาวเขา ๙ บทน�ำ ๑๔ ความหมายชนกลุ่มน้อย ๑๕ ความเปน็ ชาติพันธุ์ (Ethnicity) ๑๗ การเมืองของความสัมพนั ธท์ างชาติพันธ์ุ ๑๘ ความหลากหลายทางชาตพิ ันธุ์ในพหสุ งั คม ๒๑ เชอ้ื ชาติ : ชาตวิ งศ์วิทยา ๒๔ ภาษา ๒๕ สถานการณ์ทั่วไปเกี่ยวกบั ชาวเขาในไทย ๒๗ ความเป็นมาทางประวตั ศิ าสตร์ ๒๗ ๒๘ บทที่ ๒ กะเหรีย่ ง ๒๙ ประวตั คิ วามเปน็ มาของชนเผา่ กะเหรี่ยง ๓๑ การตั้งถิ่นฐาน ๓๓ วิถีชีวิต ๓๔ ประเพณแี ละความเชื่อ ๔๑ การแตง่ กาย ๔๑ การประกอบอาชีพ ๔๒ ๔๒ บทที่ ๓ ม้ง (แม้ว) Hmong (Meo) ๔๖ ประวตั ิความเปน็ มาของชนเผา่ ม้ง ๕๑ การตัง้ ถน่ิ ฐาน ๕๓ วิถีชวี ิต ๕๗ ประเพณีและความเชื่อ ๕๗ การแตง่ กาย ๕๗ การประกอบอาชีพ บทที่ ๔ เมยี่ น ประวัตคิ วามเป็นมาของชนเผา่ เมยี่ น การตง้ั ถน่ิ ฐาน
วิถชี วี ติ ๕๙ ประเพณีและความเชื่อ ๖๗ การแต่งกาย ๗๘ การประกอบอาชีพ ๘๑ บทที่ ๕ อาขา่ ๘๕ ประวัตคิ วามเปน็ มา ๘๕ การตงั้ ถ่นิ ฐาน ๘๕ วถิ ชี ีวิต ๘๖ ประเพณีและความเชื่อ ๙๐ การแตง่ กาย ๑๑๕ การประกอบอาชพี ๑๑๗ บทที่ ๖ ลาหู ่ ๑๑๙ ประวัตคิ วามเปน็ มา ๑๑๙ การตั้งถ่นิ ฐาน ๑๒๐ วิถชี วี ติ ๑๒๑ ประเพณีและความเชื่อ ๑๒๔ การแตง่ กาย ๑๒๙ การประกอบอาชพี ๑๓๑ บทท่ี ๗ ลซี ู ๑๓๕ ประวัติความเปน็ มา ๑๓๕ การตัง้ ถนิ่ ฐาน ๑๓๖ วถิ ีชีวติ ๑๓๖ ประเพณีและความเชอ่ื ๑๔๔ การแต่งกาย ๑๕๕ การประกอบอาชพี ๑๖๐ บทท่ี ๘ ลวั ะ ๑๖๓ ประวตั ิความเปน็ มา ๑๖๓ การตงั้ ถิ่นฐาน ๑๖๕ วถิ ีชวี ิต ๑๖๘ ประเพณแี ละความเช่ือ ๑๗๒
การแตง่ กาย ๑๗๙ การประกอบอาชพี ๑๘๐ บทท่ี ๙ สถานการณช์ าวเขา : ปญั หาและการแก้ไข ๑๘๕ สถานการณ์ปญั หาทสี่ มั พันธ์กับชาวเขา ๑๘๕ การดำ� เนนิ งานเพอื่ พฒั นาชาวเขา ๑๘๕ วิธกี ารด�ำเนินการกับชาวเขา ๑๘๖ การด�ำเนนิ งานของประชาสงเคราะหเ์ กี่ยวกับชาวเขา ๑๘๗ การด�ำเนินงานดา้ นสง่ เสริมอาชพี ชาวเขา ๑๘๘ การดำ� เนินงานด้านการศกึ ษาและอนามยั ๑๘๙ การดำ� เนนิ งานดา้ นการปกครองและทะเบียน ๑๙๐ การด�ำเนนิ งานของ บช. ต.ช.ด. เก่ียวกับชาวเขา ๑๙๐ การดำ� เนินงานของ กรป.กลาง ๑๙๐ การด�ำเนนิ งานของกรมป่าไม ้ ๑๙๑ โครงการพระบรมราชานเุ คราะหช์ าวเขาและโครงการชว่ ยเหลอื ชาวเขา ด้านการเกษตร๑ ๙๑ บทท่ี ๑๐ โครงการหลวง : การแกป้ ัญหาและพฒั นาชาวเขาท่ียัง่ ยืน ๑๙๓ ความเปน็ มาของโครงการหลวง ๑๙๓ พัฒนาการแห่งโครงการ ๑๙๓ การด�ำเนนิ งานดา้ นการวิจยั ๑๙๘ ๑. สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ๑๙๘ ๒. โครงการหลวงดอยอนิ ทนนท ์ ๒๐๑ ๓. สถานีเกษตรหลวงปางดะ ๒๐๔ ๔. สถานวี จิ ัยและส่งเสรมิ กาแฟอราบกิ า้ แมห่ ลอด ๒๐๕ การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม ๒๐๖ การแปรรปู ผลผลติ การเกษตร ๒๐๗ การดำ� เนนิ การด้านการตลาด ๒๐๘ การก่อต้ังมลู นธิ โิ ครงการหลวง ๒๐๙ ความส�ำเรจ็ ของโครงการหลวง ๒๑๐ รางวลั แม็กไซไซ ๒๑๓ บรรณานุกรม ๒๑๕
บทท่ี ๑ ชนกลุ่มน้อยและชาวเขา บทนำ� ประเทศไทยมสี ภาพภมู ปิ ระเทศทหี่ ลากหลาย โดยเฉพาะภาคเหนอื โดยมากมสี ภาพเปน็ ภเู ขาสงู การพัฒนาประเทศในยุคแรก ๆ จึงไปไม่ถึงกลุ่มชนท่ีอาศัยอยู่บนภูเขาหรือพ้ืนท่ีสูง ซ่ึงเป็นกลุ่มชนท่ีมี เช้ือชาติ ภาษาและวัฒนธรรม แตกต่างไปจากประชาชนในพ้ืนราบ กลุ่มชนที่อยู่บนภูเขาเหล่าน้ัน จึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อย และมักถูกกีดกันจากชนกลุ่มใหญ่ ถูกบีบคั้นท้ังทางตรงและทางอ้อมในด้าน เศรษฐกิจ สงั คม และการเมือง รวมทง้ั ไมไ่ ดร้ บั ความเอาใจใส่ เหลียวแลจากรฐั บาลเท่าทค่ี วร จากการท่ีชาวเขาอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณพ้ืนท่ีป่าเขา และบริเวณที่มีอาณาเขต ติดต่อกับชายแดนติดกับประเทศพม่าและลาว เป็นบริเวณท่ีมีกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ อพยพลงมาจากทาง เหนือและประเทศจีนผ่านเข้ามาในประเทศไทย ผลพวงของการอพยพท�ำให้ชนกลุ่มน้ีขาดการศึกษา ยากจนและขาดการรกั ษาสขุ ภาพอนามยั การศึกษาเรื่องชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะชาวเขาในประเทศไทยได้เริ่มต้นข้ึนเม่ือ พ.ศ.๒๔๖๓ โดยสยามสมาคม จากการศึกษาครั้งนั้น ผลท่ีไดร้ ับยงั ไม่เป็นทีน่ ่าพอใจ ทัง้ นี้เพราะปัญหาตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนจากชาวเขายังไม่เป็นปัญหาใหญ่พอที่จะท�ำให้หน่วยงานท่ีรับผิดชอบเข้าไปแก้ไป หรือสืบเนื่องมา จากชาวเขายังมปี ริมาณไมม่ าก ปัญหาทเี่ กิดขึน้ ยังไมร่ ้ายแรง ต่อมาได้มีการส�ำรวจพบว่าป่าไม้ถูกท�ำลายเป็นจ�ำนวนมาก เพราะการท�ำไร่เลื่อนลอยของ ชาวเขาที่อพยพ ไม่มีการอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งถาวร ประกอบกับปัญหาคอมมิวนิสต์ได้แทรกซึม บ่อนท�ำลายในหมู่ชาวเขา จึงท�ำให้รัฐหันมาสนใจให้การพัฒนาและสงเคราะห์ เพ่ือหาทางแก้ปัญหา ต่าง ๆ เหลา่ น้นั ความหมายชนกลมุ่ นอ้ ย คำ� จ�ำกัดความของสำ� นกั ทะเบยี นราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จากเอกสารของสำ� นักทะเบยี นราษฎร กรมการปกครอง ทสี่ รปุ สถติ ทิ ะเบียนประวตั แิ ละบตั ร ประจำ� ตวั ของชนกลมุ่ นอ้ ย๒ ไดใ้ หค้ ำ� จำ� กดั ความชนกลมุ่ นอ้ ยวา่ ชนกลมุ่ ทม่ี ใิ ชค่ นไทย มจี ำ� นวนนอ้ ยกวา่ ๑ ขจดั ภยั บรุ ษุ พฒั น‚์ ปญั หาชนกลมุ่ น้อยในประเทศไทย‚ (พระนคร : แพร่พิทยา‚ ๒๕๑๕).น ๖๔ ๒ กรมการปกครอง‚ บันทกึ เรื่องประวัติความเป็นมาของการใหส้ ัญชาตไิ ทยแกช่ าวเขา (๒๕๓๙)
10 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย เจา้ ของประเทศ และมีวัฒนธรรมแตกต่างกนั ไป อาศัยอยใู่ นประเทศไทย อาจเป็นชนกลุ่มนอ้ ยด้ังเดิม เชน่ ชาวเขา หรอื ผอู้ พยพเขา้ มา หลบหนเี ข้าเมือง หรือเข้ามาพักช่ัวคราว รวม ๑๑ กลมุ่ หลัก คอื ๑. ญวนอพยพ คือ คนเวียดนามท่ีหนีการปราบปรามของฝร่ังเศสในปีพ.ศ.๒๔๘๘-๒๔๘๙ มาอยู่ใน ๑๓ จังหวัด คือ นครพนม มุกดาหาร หนองคาย อุบลราชธานี อุดรธานี ยโสธร สกลนคร ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง หนองบัวล�ำภู สระแก้ว อ�ำนาจเจริญ มีจ�ำนวนโดยรวมตั้งแต่รุ่นแรก จนถงึ ชน้ั หลาน ๓๙,๖๙๓ คน กลมุ่ นจี้ ะคอ่ ย ๆ หมดไปเรอื่ ย ๆ เพราะลกู หลานเกดิ ในประเทศไทย กำ� ลงั เริ่มต้นด�ำเนนิ การใหไ้ ดร้ บั สญั ชาตไิ ทย ๒. จนี แบ่งเปน็ หลายกลุม่ ยอ่ ย ดงั น้ี ๒.๑ อดตี ทหารจีนคณะชาติ คอื อดตี ทหารกองพล ๙๓ และครอบครวั ของจนี ไตห้ วัน ท่ีหลบหนีคอมมิวนิสต์เขา้ มาอยู่ในเขตจังหวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย และแมฮ่ อ่ งสอน ตัง้ แต่ปพี .ศ.๒๔๙๗ มจี �ำนวน ๑๓,๑๔๓ คน ไดร้ บั สัญชาตไิ ทยไปแลว้ ๓,๐๐๐ คน ๒.๒ จีนฮ่ออพยพ คือ คนจีนอพยพพร้อมครอบครัวต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๓-๒๕๐๔ ในจงั หวัดเชียงใหม่ เชยี งราย แม่ฮอ่ งสอน มจี �ำนวน ๗,๘๑๔ คน ๒.๓ จนี ฮ่ออสิ ระ คือคนจีนทีอ่ า้ งวา่ เปน็ ญาตขิ อง ๒ กลุ่มแรกหรือหลบหนีเขา้ เมอื งเอง บ้างตงั้ แต่ พ.ศ.๒๕๐๕-๒๕๓๒ ปจั จบุ ันถกู ควบคุมใหอ้ ยภู่ ายในพน้ื ท่ี จ.เชยี งใหม่ เชยี งราย แม่ฮอ่ งสอน และพะเยา ยงั ถอื เปน็ ผหู้ ลบหนจี ากประเทศจนี ไมม่ นี โยบายจะใหส้ ญั ชาตเิ หมอื นกบั จนี ฮอ่ ๒ กลมุ่ แรก ทางราชการไดส้ �ำรวจท�ำทะเบียนประวตั ิไว้จำ� นวน ๑๖,๕๘๑ คน ๓. อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (อดีต จคม.) คือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยท่ีเคยอยู่ พรรคคอมมวิ นสิ ต์มลายาเกา่ ในจงั หวดั ยะลา นราธวิ าสและสงขลา และไดเ้ ข้ามามอบตัวเม่อื ปี ๒๕๓๐ มีจ�ำนวน ๘๕๑ คน ๔. ไทยลอื้ คือ คนเช้ือสายไทยในแควน้ สบิ สองปันนา มณฑลยนู านประเทศจีน ท่อี พยพมาอยู่ ในเขตจังหวัดเชยี งใหม่ เชยี งราย พะเยา ประมาณ ๓๐๐ ปีมาแลว้ จ�ำนวน ๓,๒๔๕ คน ๕. ลาวอพยพ คือ คนลาวจากประเทศลาวท่ีอพยพมาโดยเฉพาะข้างหลังปี ๒๕๑๗ ท่ีลาว เปล่ยี นแปลงการปกครอง มาอย่ใู นจังหวดั หนองคาย อุบลราชธานี เลย อุตรดติ ถ์ นครพนม มกุ ดาหาร พะเยา เชียงราย นา่ น จ�ำนวน ๑๕,๗๑๓ คน ๖. เนปาลอพยพ คือ คนเนปาลท่ีอยู่ในพม่าสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษและถูกขับไล่ออกมา หลงั จากพมา่ ไดร้ บั อสิ รภาพ ปจั จบุ นั จำ� กดั พนื้ ทใี่ หอ้ ยใู่ นอำ� เภอทองผาภมู ิ กาญจนบรุ แี หง่ เดยี ว ผอ่ นผนั ให้ท�ำงานได้โดยขออนญุ าตปีตอ่ ปี มจี ำ� นวนประมาณ ๑,๕๐๐ คน แตเ่ ม่อื ปี ๒๕๓๗ มาต่อบตั รประจ�ำ ตวั เพียง ๙๕๗ คน
ชนกลุ่มนอ้ ยและชาวเขา 11 ๗. ชนกลุ่มนอ้ ยชาวพมา่ ๗.๑ ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า คือบุคคลในประเทศพม่าและเชื้อชาติท่ีอพยพเข้ามา กอ่ น ๙ มนี าคม ๒๕๑๙ หลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเปน็ ระบอบสงั คมนยิ มโดยนายพลเนวิน อาศัยอยู่ใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรและ ระนอง แตเ่ ดมิ ในปี ๒๕๓๖ ทำ� ทะเบียนไวไ้ ด้ ๔๗,๗๓๕ คน ส่วนเม่อื ๒๕๓๗ มาตอ่ บัตรประจ�ำตวั เพียง ๑๓,๘๒๔ คน ๗.๒ ผ้หู ลบหนีเขา้ เมอื งสัญชาติพมา่ คือผหู้ ลบหนเี ข้าเมืองมาหลงั ๙ มีนาคม ๒๕๑๙ ทม่ี ีหลักแหลง่ ถาวรใน ๙ จงั หวดั เดิม ลา่ สดุ กรมการปกครองท�ำบัตรประจำ� ตวั ได้ ๑๓๐,๐๐๐ คน ๗.๓ ผู้ใช้แรงงานจากพม่า คือบุคคลสัญชาติพม่าที่เข้ามาใช้แรงงานแถบชายแดน และอาศัยอยู่กับนายจ้าง โดยรัฐบาลมีนโยบายผ่อนผันให้อาศัยอยู่ได้ชั่วคราวกรมการปกครอง ทำ� ทะเบยี นประวัตไิ ว้ ๑๐๑,๘๔๕ คน ๗.๔ ผหู้ ลบหนจี ากการสรู้ บในพมา่ คอื บคุ คลเชอื้ ชาตติ า่ ง ๆ ทหี่ ลบหนกี ารปราบปราม ชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลทหารพม่ามาอยู่ในพ้ืนท่ีพักพิง ทางรัฐยังไม่มีนโยบายจะท�ำทะเบียนประวัติ หรือบตั ร มีประมาณ ๙๑,๕๐๐ คน แตค่ าดวา่ จะมีจ�ำนวนเพ่มิ ขึน้ เรอ่ื ย ๆ หลังจากปี ๒๕๔๐ เนอื่ งจาก ยังคงมีการสู้รบในเขตพม่า และยังคงมีคนเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มข้ึนอีก เปน็ หลักหมืน่ เชน่ กนั ๗.๕ นักศึกษาพม่าทีห่ ลบหนกี ารปราบปรามของรฐั บาลพม่า เร่มิ เขา้ มาหลงั การเรยี ก รอ้ งประชาธปิ ไตยปี ๒๕๓๑ มารายงานกบั กระทรวงมหาดไทย ๑,๓๕๕ คน มารายงานตวั ในเขตควบคมุ อำ� เภอปากทอ่ ราชบุรี ๑๔๒ คน ปจั จุบนั ไมท่ ราบจ�ำนวนแน่ชัด แตส่ �ำนกั งานความมัน่ คงแหง่ ชาตเิ ปน็ ผู้คมุ ตัวเลขไว้ และไม่มนี โยบายจะท�ำทะเบียนประวตั ิหรอื บัตรประจ�ำตวั ๘. ผู้อพยพเชอื้ สายไทยจากเกาะกง กัมพชู า คือ คนไทยจากเกาะกง แตเ่ ดิมเคยเป็นดนิ แดน ของไทย เม่ือปี ๒๕๑๗ กัมพูชาเปล่ียนแปลงการปกครอง จึงได้อพยพเข้ามาในจังหวัดตราด มติคณะ รฐั มนตรี ๑๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๓๔ ใหบ้ คุ คลเหล่าน้ีแปลงสัญชาติเปน็ ไทยได้ แต่ยงั คงเหลือท่พี ิสจู นไ์ ม่ได้ แนช่ ดั ว่าเป็นคนไทย ๕,๔๗๐ คน ๙. ผหู้ ลบหนเี ขา้ เมอื งจากกมั พชู า คอื คนเชอื้ สายกมั พชู าทอ่ี พยพเขา้ มาในประเทศไทย มาทำ� ทะเบียนประวตั กิ ับกรมการปกครองไว้ ๖,๒๖๕ คน ๑๐. ผ้ผู ลัดถ่ินพมา่ เช้อื สายไทย คือคนไทยทอ่ี าศยั อยใู่ นดนิ แดนท่ถี กู องั กฤษปักปันเขตกลาย เปน็ ของพมา่ หรอื คนไทยทเี่ ขา้ ไปทำ� งานในพมา่ เมอื่ ๔๐-๕๐ ปกี อ่ น เมอื่ ประเทศมคี วามไมส่ งบนานปั การ
12 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย ประการกอ็ พยพกลบั มาเมอื งไทย โดยอยใู่ นเขต จ.ประจวบครี ขี นั ธ์ ระนอง ตาก ชมุ พร มจี ำ� นวนประมาณ ๗,๘๔๙ คน รฐั บาลมีนโยบายใหแ้ ปลงสญั ชาตไิ ทยเหมือนคนไทยจากเกาะกง ๑๑. บคุ คลบนพื้นทส่ี ูงหรือชาวเขา ชาวเขา คือ ชนกลุ่มน้อยท่ีตั้งถิ่นฐานบริเวณป่าในเขตพื้นที่ภาคเหนือและตะวันตก รวม ๒๐ จงั หวดั คอื เชยี งใหม่ เชยี งราย แมฮ่ อ่ งสอน ลำ� พนู ลำ� ปาง พะเยา ตาก สโุ ขทยั นา่ น กำ� แพงเพชร แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย อทุ ยั ธานี กาญจนบุรี สพุ รรณบรุ ี ราชบุรี เพชรบรุ แี ละประจวบครี ขี นั ธ์ แบ่งเปน็ เผ่าส�ำคญั ๙ เผา่ คอื มง้ อกี ้อ (อาขา่ ) เยา้ (เมีย่ น) กะเหรีย่ ง ลีซอ มเู ซอ ลัวะ ถิน่ ขมุ นอกจากนี้ชาวเขายังถกู แบ่งเป็น ๑. ชาวไทยภูเขา คือชาวเขาท่ีมีถิ่นฐานด้ังเดิมในประเทศไทยเป็นคนไทยบางกลุ่มได้รับการ พิจารณาให้สัญชาติแล้ว ประมาณ ๑๘๒,๐๖๕ คน แต่บางกลุ่มยังไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ เน่ืองจากตกส�ำรวจ หรือมีถ่ินท่ีอยู่ห่างไกลไม่สามารถติดต่อกับทางราชการได้ ซ่ึงต้องด�ำเนินการตาม ระเบยี บสำ� นกั ทะเบยี นกลางวา่ ดว้ ย การพจิ ารณาลงรายการสญั ชาตไิ ทยในทะเบยี นบา้ นใหแ้ กช่ าวไทย ภเู ขา ปี ๒๕๓๕ ตอ่ ไป ๒. ชาวเขาอพยพจากนอกประเทศ ลูกหลานของชาวเขากลุ่มนี้ และกลุ่มชาวเขาท่ีอพยพ จากนอกประเทศ ไม่ได้รับสัญชาติไทย เพราะผลของพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๒) ๒๕๓๕ ปัจจุบันทางราชการได้ก�ำหนดคุณสมบัติให้บางกลุ่มสามารถไปขอสถานะบุคคลต่างด้าวเข้าเมือง ถูกกฎหมายแลว้ ๔. ประชากรชาวเขาท่ีไดร้ บั สัญชาตไิ ทยแลว้ ประมาณ ๑๙๗,๙๘๙ คนและมีชาวเขาที่ได้รบั การจัดท�ำทะเบียนประวัติ และบัตรประจ�ำตัวบุคคลบนพ้ืนที่สูง (๒๕๓๓-๓๕๓๔) ๒๔๗,๗๗๕ คน โดยเจ้าหน้าที่คาดประมาณเด็กเกิดใหม่ภายในช่วง ๒๕๓๔-๒๕๓๙ ไว้ราว ๆ ๓๐,๐๐๐ คน ดังน้ัน เมื่อยึดจากจ�ำนวนเต็ม ๘ แสนกว่าน้ี กรมการปกครองก็จะนับจ�ำนวนที่เหลืออีก ๓๗๒,๑๐๒ คนเป็น ผู้หลบหนีเข้าเมืองใหม่ท้ังสิ้น (ในขณะที่ สล.อขส. ไม่ได้นับว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองใหม่ แต่เป็นการ ตคี วามของกรมการปกครองที่เช่ือในการด�ำเนนิ การของตน) ค�ำจ�ำกดั ความของกองสงเคราะหช์ าวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดกิ ารสังคม ชมุ ชนบนพน้ื ทส่ี งู หมายถงึ ชมุ ชนทชี่ าวเขาชาตพิ นั ธตุ์ า่ ง ๆ และชนกลมุ่ อน่ื ๆ ขน้ึ ไปอยอู่ าศยั ทำ� กนิ ปะปนกบั ชาวเขา โดยทช่ี าวเขาหมายถงึ กลมุ่ ชนชาตสิ ว่ นนอ้ ยทอ่ี าศยั ตามในพนื้ ทสี่ งู และทรุ กนั ดาร
ชนกลุ่มนอ้ ยและชาวเขา 13 เช่นภาคเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ไทย มีภาษา ค่านิยม ความเช่ือ ประเพณีวัฒนธรรม แตกตา่ งจากชาวไทยพ้ืนราบ มีจำ� นวน ๗๔๕,๕๑๐ คน๓ โดยแบ่งเปน็ ๙ เผา่ หลกั คือ ๑. กะเหรี่ยง เป็นเผ่าท่ีอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยมากกว่า ๒๐๐ ปีข้ึนไป ในประเทศไทยแบ่ง เปน็ กลมุ่ สะกอ (ปะกากะญอ) และโปว์ รวมตวั หนาแนน่ ทางดา้ นปา่ ตะวนั ตกเชอ่ื มตอ่ กบั แผน่ ดนิ ประเทศ พมา่ มีจ�ำนวนมากที่สุดประมาณ ๓๕๓,๑๑๐ คน ๒. แม้ว (ม้ง) กระจายตัวอยู่ในแถบประเทศจีน เวียดนาม ลาวและไทย มีจ�ำนวนประมาณ ๑๑๑,๖ คน ๓. เยา้ (เม่ยี น) อาศัยอยใู่ นจีน เวียดนาม ลาว พม่า ไทย ปจั จบุ นั มีประชากร ๘๒,๑๕๘ คน ๔. อกี ้อ (อาข่า) ปจั จุบนั อย่ใู นจนี ลาว พมา่ และ อพยพเข้ามาในประเทศไทยเกือบ ๑๐๐ ปี มาแลว้ และปจั จุบันมีกลมุ่ ท่อี พยพมาจากพม่าเร่ือย ๆ มจี ำ� นวน ๔๙,๙๐๓ คน ๕. มเู ซอ (ลาห่)ู อาศยั อยูใ่ นจนี พม่า ลาวและไทย มีประชากร ๘๒,๑๕๘ คน ๖. ลซี อ (ลีซอ) เข้ามาอยู่ในไทยราว ๖๐-๗๐ ปีมาแลว้ ปัจจบุ ันมีประชากร ๓๑,๔๖๓ คน ๗. ลัวะ เชื่อกันว่าเป็นเจ้าของดินแดนแถบลุ่มน้�ำปิงมาก่อนท่ีชาวไทยจะมาครอบครอง ปจั จุบันสว่ นใหญ่ไดผ้ สมกลมกลนื กับชาวไทย มปี ระชากรประมาณ ๑๗,๓๔๖ คน ๘. ถ่นิ (ลัวะเมืองนา่ น) มีจำ� นวน ๔๘,๐๒๕ คน ๙. ขมุ ถ่ินฐานอยู่แถบลมุ่ แมน่ ้�ำโขง ไทย-ลาว ปัจจุบันได้ผสมกลมกลนื ประชาชนเผา่ อ่นื และ คนไทยมา มจี ำ� นวน ๑๐,๑๙๘ คน ๑๐. ตองซู (กะเหร่ียงปะโอ) จ�ำนวน ๒๗๖ คน ๑๑. ตองเหลือง (มลาบรี) มีจ�ำนวน ๕๗ คนในจังหวดั แพร่ สองกลมุ่ หลงั นเ้ี พงิ่ ถกู เพม่ิ ในทำ� เนยี บชมุ ชนบนพน้ื ทสี่ งู ฉบบั ๒๕๓๔ ของกองสงเคราะหช์ าวเขา จากการให้ค�ำจ�ำกัดความของชนกลุ่มน้อยและชาวเขาของหน่วยงานของรัฐที่มีส่วนเก่ียวข้อง ในการแกป้ ญั หาชนกลมุ่ นอ้ ยแลว้ สามารถสรปุ ไดว้ า่ ชนกลมุ่ นอ้ ย (Minority group) ไดแ้ กช่ นทม่ี เี ชอ้ื ชาติ ภาษาและวัฒนธรรม แตกต่างจากประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศ ทั้งท่ีอพยพมาจากนอก ประเทศ และมีถนิ่ กำ� เนดิ ในประเทศไทย ๓ กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดกิ ารสังคม ทำ�เนียบชุมชนบนพนื้ ทีส่ ูง ๒๐ จังหวัดในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐. (นนทบุรี : สหพริ้นติง้ การพมิ พ‚์ ๒๕๔๑). น. ๑๕.
14 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย การกล่าวถึงชนกลุ่มน้อยในที่น้ี หมายถึงเฉพาะชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงที่มีความ แตกตา่ งทางวัฒนธรรมทชี่ ัดเจน ซึง่ เรียกวา่ “ชาวเขา” เท่านนั้ ความเปน็ ชาตพิ นั ธุ์ (Ethnicity) ความพยายามของมนุษย์ท่ีจะแยกแยะความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีมานานแล้ว ในระยะ แรก ๆ นนั้ มกั จะแยกแยะกันตามลักษณะรูปธรรมของวัฒนธรรมที่มองเห็นได้ชดั เจน เชน่ ความแตก ต่างของภาษาพูดบ้าง เครื่องแต่งกายบ้าง และวิธีการด�ำรงชีวิตบ้าง แต่หลังจากลัทธิล่าอาณานิคมได้ ขยายตวั ออกไปทวั่ โลก ชาวยโุ รปตะวนั ตกไดเ้ รม่ิ ใชอ้ คตทิ างชาตพิ นั ธ์ุ (Ethnocentrism) มาเปน็ พน้ื ฐาน ในการแยกแยะความแตกตา่ งทางวฒั นธรรมมากขนึ้ ดว้ ยการจดั แบง่ ประชากรในโลกออกเปน็ เชอ้ื ชาติ ตามสีผิว (Race) ซึ่งแฝงนัยของล�ำดับช้ันของความยิ่งใหญ่ไว้ด้วย เพราะมักจะจัดให้ชาวผิวขาวของ ตนเองนั้นเปน็ เชอื้ ชาติทย่ี ิ่งใหญท่ ีส่ ดุ ส่วนชาวสีผวิ อ่ืน ๆ ก็จะลดลำ� ดับความสำ� คัญรอง ๆ ลงมา แตช่ าว ผิวสีด�ำจะถูกจัดให้อยู่ในล�ำดับต่�ำท่ีสุดในระยะต่อ ๆ มา การจัดล�ำดับเช่นน้ีก็ถูกท�ำให้เป็นจริงเป็นจัง มากขน้ึ เรอื่ ย ๆ จนยดึ ถอื กนั เสมอื นวา่ เปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ โดยไมม่ กี ารตง้ั คำ� ถามใด ๆ ทง้ั ตวั เหยอ่ื เอง และผไู้ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากการจดั ลำ� ดบั เชน่ นี้ ในทส่ี ดุ กก็ อ่ ใหเ้ กดิ ลทั ธนิ ยิ มเชอ้ื ชาตติ ามสผี วิ อยา่ งบา้ คลงั่ หรือ ลัทธิเหยยี ดสผี วิ (Racism) ซึง่ เปน็ สาเหตขุ องโศกนาฏกรรมในการฆา่ ลา้ งเผา่ พันธุ์ที่เกิดข้ึนมาจน นับคร้ังไม่ถว้ นในประวัติศาสตร๔์ ต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๘๐ เป็นต้นมา นักมานุษยวิทยาคนส�ำคัญของอเมริกาคือ Franz Boas ได้ค้นพบจากการวจิ ยั ว่า สายพนั ธุ์ทางชวี วิทยากับวัฒนธรรมและภาษาไมจ่ ำ� เปน็ จะสอดคลอ้ งต้องกนั เสมอไป และเสนอให้แยกประเด็นของเชื้อชาติตามสีผิวออกจากภาษาและวัฒนธรรม พร้อม ๆ กับ ตอ่ ตา้ นลทั ธเิ หยยี ดสีผิว จนกระทง่ั ในช่วงทศวรรษท่ี ๑๙๕๐ ความคิดของ Franz Boas กเ็ ป็นท่ยี อมรับ อยา่ งกวา้ งขวางในอเมรกิ า และตงั้ แตช่ ว่ งทศวรรษท่ี ๑๙๖๐ เปน็ ตน้ มา นกั มานษุ ยวทิ ยาสว่ นใหญก่ ย็ นื ยนั ตรงกันว่า การจัดล�ำดับเชื้อชาติตามสีผิวน้ันเป็นไปไม่ได้ ส่วนลัทธิเหยียดสีผิวน้ันมีอยู่จริง หลังจาก ปี ค.ศ. ๑๙๗๐ นกั มานษุ ยวทิ ยาจงึ เสนอใหห้ นั มาเนน้ การศกึ ษาเกยี่ วกบั ความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ (Ethnicity) เพราะเป็นกระบวนการแสดงความเป็นตัวตนทางวัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน แทนการจัดล�ำดับเช้ือชาติตามสีผิว ซึ่งถือเป็นกระบวนการกีดกันทางสังคม พร้อม ๆ กันนั้น นักมานุษยวิทยาตะวันตกก็เสนอให้เรียกกลุ่มชน ที่แสดงความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมว่า กลุ่ม ชาติพันธุ์ (Ethnic Groups) แทน ชนเผ่า (Tribe) ซ่ึงแฝงไว้ด้วยแนวความคิดวิวัฒนาการ ท่ีจัดให้ชน เผ่าเป็นกลุ่มชนบทในสังคมแบบบุพกาลด้ังเดิม ในความหมายท่ีล้าหลังและแฝงนัยในเชิงดูถูกดูแคลน ๔ อกนันท์ กาญจนพนั ธ์ุ‚ แนวความคิดพ้ืนฐานทางสังคมและวฒั นธรรม‚ (เชียงใหม:่ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม‚่ ๒๕๔๘) น. ๔๓
ชนกล่มุ น้อยและชาวเขา 15 ไว้ด้วย เพราะเป็นข้ันตอนแรกของวิวัฒนาการของสังคมที่ยังไม่มีรัฐ ก่อนที่จะก้าวไปสู่สังคมรัฐแบบ จารตี และสงั คมทันสมยั ในที่สุด ทง้ั นี้ก็เนือ่ งจากวา่ แนวความคิดวิวฒั นาการเป็นเพยี งการคาดคะเนที่ เตม็ ไปดว้ ยอคตติ า่ ง ๆ โดยไมส่ ามารถหาหลกั ฐานมายนื ยนั ในเชงิ ประวตั ศิ าสตรไ์ ดเ้ สมอไป เชน่ ชาวเขา ในประเทศไทยมกั จะถกู เรยี กวา่ เปน็ ชนเผา่ ทงั้ ๆ ทใ่ี นประวตั ศิ าสตร์ ชาวเขาบางกลมุ่ ไมว่ า่ จะเปน็ ชาวอา ขา่ กด็ ี ชาวลซี อกด็ ี หรอื ชาวลาหกู่ ด็ ี ลว้ นสบื ทอดวฒั นธรรมเดยี วกนั กบั กลมุ่ ชนทเ่ี คยปกครองอาณาจกั ร นา่ นเจ้าในอดตี มาก่อน อยา่ งไรก็ตาม ในเร่อื งน้ีอาจยังไม่มขี ้อยุติ เพราะในภาษาไทย คำ� ว่าชนเผา่ มีนัย แตกต่างจากความหมายชนเผ่าของชาวตะวันตกอยบู่ ้าง ตรงทีค่ นทว่ั ไปจะใช้กบั ชนเผ่าไทยด้วย ซง่ึ น่า จะแสดงว่า ภาษาทัว่ ไปใชค้ ำ� วา่ ชนเผา่ ในความหมายเดยี วกับกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นทางวิชาการดว้ ย ดังนน้ั ชนเผ่าในภาษาไทยจึงน่าจะมีสองนัย แต่เพื่อหลีกเล่ียงนัยในเชิงดูถูกที่อาจเกิดข้ึนได้จากการใช้ค�ำว่า ชนเผา่ ในงานทางวชิ าการจึงควรใช้กลุ่มชาติพันธุ์เมอื่ พดู ถงึ กลุ่มชนทีแ่ ตกตา่ งกันทางวฒั นธรรม การเมืองของความสมั พนั ธ์ทางชาตพิ ันธ์ุ ในปจั จบุ ันการเมอื งของความสัมพันธ์ทางชาตพิ ันธ์ุ นบั ว่าเปน็ ประเด็นส�ำคัญอย่างมากในการ ศึกษาความเป็นชาติพันธุ์ เพราะกลายเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของการสร้างความหมาย เพ่ือการ แยกแยะกลุ่มชนต่าง ๆ บนพื้นฐานของความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ ในกรณีของสังคมไทย การเมืองใน ลักษณะเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของกระบวนการสร้างรัฐประชาชาติ เม่ือผู้น�ำทางการเมืองและ การปกครองในกรงุ เทพฯ ทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลางของอำ� นาจ เรมิ่ สรา้ งภาพของ ความเปน็ คนอนื่ (The Other- ness) ใหก้ บั กลมุ่ ชนตา่ ง ๆ ในชาติ ดว้ ยการมองวา่ กลมุ่ ชนทอ่ี ยหู่ า่ งออกไปจากศนู ยก์ ลางเปน็ คนบา้ นนอก และถา้ อยหู่ า่ งออกไปอกี กถ็ งึ กบั เรยี กวา่ เปน็ คนปา่ ทงั้ ๆ ทพี่ วกเขาตา่ งกอ็ ยรู่ ว่ มในรฐั ประชาชาตเิ ดยี วกนั นยั ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการสรา้ งภาพดงั กลา่ ว ไดก้ ลายเปน็ วาทกรรม (Discourse) หรอื การนยิ ามความหมาย เชิงอ�ำนาจ ที่ผลักดันให้กลุ่มชนที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของอ�ำนาจ ต้องตกอยู่ในสภาวะไร้อ�ำนาจ หรือท่ีเรียกว่า สภาวะชายขอบของสังคม (Marginality) ซึ่งเท่ากับเป็นกระบวนการกีดกันให้กลุ่มชน ที่อยู่ห่างไกลเหล่าน้ัน ต้องสูญเสียสิทธิต่าง ๆ ที่พึงมีพึงได้จากการพัฒนาต่าง ๆ ในรัฐชาติ ในทาง สงั คมวทิ ยาจะเรยี กกระบวนการเชน่ นว้ี า่ กระบวนการสรา้ งสภาวะความเปน็ ชายขอบ (Marginalization) ซ่ึงสามารถเกิดข้ึนได้กับกลุ่มชนท่ีอยู่ห่างไกลจากอ�ำนาจ ทั้งในแง่ของระยะทางและความสัมพันธ์ ดังจะพบว่าในปัจจุบัน แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่คนในชุมชนแออัดก็ต้องตกอยู่ในสภาวะเป็นคน ชายขอบ เพราะอยู่ห่างไกลจากความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ ส�ำหรับกลุ่มชนท่ีอยู่ห่างไกลจากอ�ำนาจ ในแงร่ ะยะทางดว้ ยแล้ว กจ็ ะยิ่งไรอ้ �ำนาจมากขึน้ เชน่ ในกรณขี องชาวเขาในภาคเหนอื ๕ ๕ สวุ ิทย์ สทุ ธานกุ ูล‚ การพฒั นาชาวเขาทางภาคเหนอื ของไทยกบั ความมั่นคงแหง่ ชาติ (วิทยานพิ นธ์)‚ (วิทยาลยั การทพั - บก‚ กองทัพบก‚ พระนคร‚ ๒๕๑๒) น. ๒๑.
16 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย ยงิ่ กวา่ นนั้ ความเปน็ คนชายขอบของชาวเขามกั จะถกู ตอกยำ�้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดมาเปน็ ระยะ เวลานาน ภายใต้การเมืองของความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ ดังปรากฏให้เห็นได้จากวาทกรรม ท่ีสร้าง ภาพให้ชาวเขาเป็นต้นตอของภัยต่าง ๆ ท้ังในแง่ของความมั่นคง ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ กอ่ การรา้ ย ผอู้ พยพ และพวกผปู้ ลกู ฝน่ิ และในแงข่ องผลกระทบตอ่ ธรรมชาติ ในฐานะทที่ ำ� ไรเ่ ลอื่ นลอย และตัดไม้ท�ำลายป่า แม้ว่าภาพเหล่านี้จะเป็นเพียงความรู้สึก ท่ีไม่สามารถยืนยันได้ในทางวิชาการ ซ่งึ พยายามอธิบายถงึ เงื่อนไขทีซ่ ับซ้อนและการมองปัญหาอย่างแยกแยะ แตอ่ คตทิ างชาติพันธท์ุ ีส่ ะสม มานาน ทำ� ใหม้ องภาพของชาวเขาอย่างตายตัว ในฐานะเป็นคนอืน่ และเปน็ ภัยฝังลึกอยู่ในสงั คมไทย ผลทต่ี ามมาก็คอื ชาวเขามักจะถกู กดี กันตา่ ง ๆ นานา ทงั้ ในแงข่ องสทิ ธใิ นความเปน็ พลเมอื ง สิทธิในการตั้งถ่ินฐาน และสิทธิในการจัดการทรัพยากร จนขยายตัวเป็นปัญหาของความขัดแย้งอย่าง รุนแรงในปัจจุบัน เม่ือชาวเขาต้องถูกคุกคามและถูกกดดันให้ย้ายต้ังถ่ินฐานออกจากป่า เพราะรัฐไม่ รบั รองสิทธขิ องชาวเขาในการตัง้ ถิ่นฐานอยู่ในป่า ท้ัง ๆ ท่ีพวกเขาอย่อู าศยั มาก่อน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามท่ีจะหาประโยชน์จากวัฒนธรรมของชาวเขา ดังปรากฏในรูป ของกระบวนการท�ำให้ชาติพันธุ์เป็นสินค้า ซ่ึงหมายถึงการใช้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสินค้า สำ� หรับการหารายไดจ้ ากการทอ่ งเทย่ี วในรูปต่าง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นเครอื่ งแต่งกาย หัตถกรรม และวิถชี ีวติ ในกระบวนการดังกล่าวจะมีการสร้างภาพของชาวเขาให้เป็นเสมือนชุมชนดั้งเดิมที่น่าทึ่ง เพื่อดึงดูด นกั ทอ่ งเทยี่ วใหม้ าสมั ผสั ความแปลกทแ่ี ทจ้ รงิ จงึ เทา่ กบั ยงิ่ ตอกยำ�้ ภาพของชาวเขาทหี่ ยดุ นง่ิ ตายตวั มากขนึ้ ในปัจจุบนั การเมืองของความสัมพนั ธท์ างชาตพิ ันธุ์ ไดข้ ยายตัวออกไปอยา่ งหลากหลายและ ซบั ซอ้ น เมือ่ กลุม่ ชาติพนั ธ์ุต่าง ๆ บนทสี่ ูงไมย่ อมต้ังรับแตฝ่ ่ายเดยี วเช่นในยุคกอ่ น แต่หนั มารวมตัวกัน เพ่ือเรียกร้องสทิ ธิตา่ ง ๆ ทพี่ ึงมีพงึ ไดใ้ นฐานะพลเมืองไทย พรอ้ ม ๆ กับการออกมาแสดง ความมีตัวตน ทางชาตพิ นั ธ์ุ (Ethnic Identity) ดว้ ยการสรา้ งอตั ลกั ษณข์ องชาวเขาผา่ นทงั้ พธิ กี รรมและการแสดงออก ตา่ ง ๆ ทแี่ สดงวา่ ชาวเขานนั้ มคี วามรแู้ ละศกั ยภาพในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ในดา้ นหนง่ึ กเ็ พอ่ื ตอบโต้ อคติต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวาทกรรมของรัฐ ในอีกด้านหนึ่งก็เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ ชาวเขาเอง ซง่ึ ในทางสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยาเรยี กกระบวนการขา้ งตน้ นวี้ า่ การเปดิ พนื้ ทท่ี างสงั คม และวฒั นธรรม (Social and Cultural Space) ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ทเี่ ปรยี บเสมอื นพนื้ ทใ่ี นการแสดงออก ของสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Rights) รวมท้ัง ภูมิปัญญาความรู้ (Indigenous Knowledge) เพื่อนิยามการด�ำรงอยู่ทางวัฒนธรรมอย่างแตกต่าง และก�ำหนดความสัมพันธ์ทางสังคมของตนเอง กับกลุ่มอ่ืน ๆ ในสังคม แทนท่ีจะปล่อยให้ผู้อ่ืนเป็นผู้ก�ำหนดฝ่ายเดียว ซ่ึงก็ถือได้ว่าเป็นสิทธิชุมชน อยา่ งหนงึ่ ท่รี ัฐในระบอบประชาธิปไตยจะต้องยอมรบั ในฐานะทีเ่ ป็นส่วนหนงึ่ ของประชาสังคม
ชนกล่มุ นอ้ ยและชาวเขา 17 นอกจากบทบาทของกลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ องแลว้ ในการเมอื งของความสมั พนั ธท์ างชาตพิ นั ธย์ งั ตอ้ ง รวมเอาบทบาทของกลุ่มทางสังคมอ่ืน ๆ ไว้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มองกลุ่มชาติพันธุ์ในเชิงบวก เช่น นกั วชิ าการและองค์กรพฒั นาเอกชน (Non – Govermental Organization, NGO) ซึง่ มักจะท�ำงาน ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์เอง เพราะกลุ่มต่าง ๆ เหล่าน้ีมีส่วนก่อให้เกิดความซับซ้อนมากข้ึน ด้วยความ พยายามสร้าง ภาพตัวแทน (Representation) ของกลุ่มชาติพันธุ์ข้ึนมาแทนที่ภาพอคติ แต่ก็มักจะ เป็นภาพท่ีแผงความหมายในเชิงอุดมคติที่หยุดนิ่งและตายตัว เช่นเดียวกับภาพอคติท่ีเคยมีมาแต่เดิม เชน่ การใหภ้ าพชาวปกาเกอญอเปน็ กลมุ่ ชนทมี่ วี ถิ ชี วี ติ กลมกลนื กบั ธรรมชาติ แมจ้ ะเปน็ ในเชงิ บวกกต็ าม แต่ภาพท�ำนองนี้ขาดพลังเพราะมักจะขาดนัยของการเปลี่ยนแปลงและการขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นจริงใน ประวัติศาสตร์ ท�ำให้เป็นเพียงวาทกรรมส�ำหรับการโต้ตอบกันแต่จะขาดน�้ำหนักส�ำหรับการผลักดัน การเปลยี่ นแปลง ทง้ั ในแงน่ โยบายและกฎหมาย ทง้ั ในแงน่ โยบายและกฎหมาย ซงึ่ ทำ� ใหไ้ มม่ ผี ลตอ่ การ ยกระดับสทิ ธิของกลุ่มชาตพิ ันธใ์ุ นสังคมเทา่ ทีค่ วร ความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ใุ นพหสุ งั คม ดังน้ันการศึกษาความเป็นชาติพันธุ์ในเชิงวิชาการ ได้หันมาให้ความส�ำคัญมากขึ้นกับปัญหา การเปลย่ี นแปลง ทเี่ กดิ ขนึ้ ภายใตบ้ รบิ ทและเงอื่ นไขทแ่ี ตกตา่ งกนั พรอ้ ม ๆ กบั ทำ� ความเขา้ ใจกบั พลวตั ของกลุ่มชาติพันธุ์ในการต่อสู้และปรับตัวต่อแรงกดดันต่าง ๆ ในสภาพความเป็นจริงของช่วงเวลา หน่ึง ๆ โดยให้ความสนใจต่อการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับ สิทธิ ความมีตัวตน และภูมิปัญญาของ ทุก ๆ กลุ่มชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ผลของการศึกษานั้นมีพลังอย่างแท้จริง ในการเสนอ ทางเลอื กทมี่ ลี กั ษณะหลากหลาย ใหก้ บั การเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ทจี่ ะนำ� ไปสกู่ าร สรา้ งสรรคพ์ หสุ งั คม และการมสี ว่ นรว่ มอยา่ งเสมอภาคกบั ทกุ กลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นพหสุ งั คมนนั้ เพราะความ เป็นจริงของรัฐประชาชาติในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์ทั้งสิ้น การปฏิเสธ และการไมย่ อมรับความจริงในขอ้ นี้ นับวันกจ็ ะเพ่มิ ความขัดแย้งและรนุ แรงข้นึ ในสังคมโดยไมจ่ ำ� เป็น ดังจะเห็นได้ว่า เกือบทุกประเทศในโลกนี้จะมีประชากรท่ีประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อย่าง หลากหลาย เนอื่ งจากมปี ระวตั ศิ าสตรข์ องความสมั พนั ธ์ ซงึ่ ทำ� ใหเ้ กดิ การแลกเปลยี่ นและการผสมผสาน กันทางวัฒนธรรมกันมานาน ก่อนที่จะเกิดรัฐประชาชาติขึ้น เม่ือร้อยกว่าปีท่ีผ่านมาน้ีเอง แต่การอยู่ รว่ มกนั ของกลมุ่ ชนชาตกิ ไ็ มไ่ ดก้ อ่ นใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ เสมอไป หากไมม่ คี วามพยายามเอาเปรยี บซง่ึ กนั และกัน ในทางตรงกันข้าม กลับพบว่าในบางสังคมจะมีการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมได้อย่างดี ขณะทใ่ี นอกี หลายสงั คมกอ็ ยรู่ ว่ มกนั ได้ แมว้ า่ จะคงความแตกตา่ งของแตล่ ะชาตพิ นั ธเ์ุ อาไว้ ทงั้ นกี้ เ็ พราะ ว่าสังคมนั้น ๆ ได้เคารพสิทธิของความแตกต่างทางชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียมกัน ท่ีจริงแล้วสังคมหน่ึง สามารถเคารพในความแตกตา่ งไดอ้ ยา่ งหลากหลาย นอกจากชาติพันธแ์ุ ลว้ กอ็ าจจะเคารพความแตก ต่างในทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น ความแตกต่างในความรู้ และความแตกต่างในความเช่ือเป็นต้น
18 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ในทางวิชาการจะเรียกสังคมที่เคารพในความแตกต่างอย่างหลากหลายน้ีว่าพหุสังคม ซ่ึงมักจะเกิดขึ้น ไดอ้ ย่างแท้จรงิ เม่ือสงั คมนัน้ ๆ ได้พฒั นาความเป็นประชาธปิ ไตยมากข้นึ ๖ เชือ้ ชาติ : ชาตวิ งศ์วทิ ยา เม่ือกล่าวถึงวิชาการเกี่ยวกับมนุษย์ทางมานุษยวิทยาย่อมเริ่มต้นด้วยเช้ือชาติก่อน ถัดไปคือ เรื่องภาษา และวัฒนธรรม เร่ืองเช้ือชาติเกี่ยวกับวิชามานุษยวิทยาภาคร่างกาย ซ่ึงเราแบ่งออกเป็น ๓ สาขาวิชา คอื ๗ ๑. ทางสตั ววิทยา (zoology) อนั เปน็ สาขาหนึ่งของชีววิทยา (biology) มกี ารศึกษาค้นคว้า โดยวิธีเปรียบเทียบถึงลักษณะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ตามหลักวิชากายวิภาค (anatomy) ว่าจะ สงเคราะห์มนุษย์เข้าในสัตว์พวกไหนหมู่ไหน เช่นตามสัตววิทยา เขาจัดพวกมนุษย์เข้าในหมู่ (group) สตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ในประเภท (class) สตั ว์เลีย้ งลูกด้วยนม ในอนั ดบั พวก (order) สตั ว์มนษุ ยว์ านร (Primates) ในวงศ์ (family) คน (Homo) และในชนดิ (species) คนมีความคิด (Homo Sapiens) ๒. ทางวชิ าว่าดว้ ยชวี ิตสมัยดกึ ด�ำบรรพ์ (paleontology) มกี ารศึกษาเรอ่ื งความเกา่ แกข่ อง มนุษยชาติ โดยอาศัยหลักฐานทางธรณีวิทยา (geology) และกายวภิ าค ซึ่งมีซากของมนุษยเ์ หลืออยู่ ๓. ทางวิชาชาติวงศ์วิทยา มีการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะร่างกายของมนุษย์ระหว่างเชื้อ ชาตติ า่ ง ๆ เรอื่ งจดั แบง่ มนษุ ยชาตอิ อกเปน็ ตระกลู และชนดิ ตามลกั ษณะของเชอื้ ชาติ และตามลกั ษณะ ของแผ่นดินท่ีอยู่ อิทธิพลของส่ิงแวดล้อมมีดินฟ้าอากาศเป็นต้น ท่ีท�ำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไป หลกั แหง่ วชิ ามานษุ ยมติ ิ (anthropometry) หลกั แหง่ วชิ าสรรี วทิ ยา (physiology) เกยี่ วกบั เรอื่ งอารมณ์ ความรสู้ กึ ความรู้เกีย่ วกบั เรื่องวชิ าเหล่านี้ แต่ละสาขาวิชาเป็นเรือ่ งทจี่ ะต้องศกึ ษากนั เปน็ เวลานานและ ผลของงานทไ่ี ดส้ อบสวนคน้ คว้ามาแล้ว มีอยเู่ ปน็ จ�ำนวนไม่น้อย คนธรรมดาท่ไี ม่มคี วามรู้ กไ็ ด้พ่ึงเรื่อง ความรู้เหล่านี้เป็นแนวทางส�ำหรับการศึกษาของตนต่อไป แต่ในท่ีน้ีจะไม่น�ำเรื่องสาขาวิชาต่าง ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ มากล่าวขยายความออกไปเพราะเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่จะแปลและย่อความเอาออก มาเปน็ ภาษาไทยกก็ นิ ขนาดหนา้ หนงั สอื ไมใ่ ชเ่ พยี งนอ้ ยหนา้ จงึ จะยกไว้ จะกลา่ วแตเ่ ฉพาะวชิ ามานษุ ยมติ ิ คือการวัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ที่เป็นส่วนส�ำคัญของลักษณะมนุษย์บางประการที่เห็นได้เด่น เชน่ รูปสณั ฐานของกะโหลกศีรษะและอ่นื ๆ ว่ามคี วามแตกต่างกันอยา่ งไรบา้ ง เชน่ ๖ สเุ ทพ สุนทรเภสชั ‚ สังคมและวฒั นธรรมลานนาไทย รวมผลงานวิจัยทางสงั คมศาสตรใ์ นภาคเหนอื ของประเทศไทย‚ (เชยี งใหม่ : สยามการพิมพ์‚ ๒๕๑๓) น. ๕๔. ๗ ชิดพงษ์ สยามเนตร‚ การบริหารงานพฒั นาและสงเคราะหช์ าวเขาของกรมประชาสงเคราะห์ (วทิ ยานพิ นธ)์ ‚ (คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์‚ ๒๕๐๘) น. ๓๗.
ชนกล่มุ น้อยและชาวเขา 19 ขนาดกายตัวสงู ต�่ำเปน็ รายเฉลี่ยอย่ใู นขนาดระดบั ไหน ขนาดกะโหลกศรี ษะ มคี วามยาวและความกวา้ งผา่ ศนู ยก์ ลางแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ตามธรรมดา เขาแบ่งขนาดกะโหลกศีรษะออกเป็น ๓ ขนาด คือ พวกกะโหลกศีรษะกลม (brachycephalic) พวกกะโหลกศีรษะนาดกลาง (mesocephalic) และพวกกะโหลกศีรษะยาว (dolichocephalic) ขนาดความจุของกะโหลกศรี ษะหนา้ ผากตัง้ หรือลาดมาก ลกั ษณะของผม เชน่ ผมเส้นคดกรีชอยา่ งชนชาตผิ วิ ขาว เส้นเหยยี ดตรงอยา่ งชนชาตผิ ิวเหลอื ง หรือเส้นหยิกอย่างชนชาตินิโกร รูปลักษณะของผมเม่ือผ่าศูนย์กลางแล้วส่องดูในกล้องจุลทรรศน์ วา่ เปน็ รูปกลม รปู ไข่ หรอื อยา่ งไร มีสีของผมเปน็ อย่างไร และมีขนและหนวดเคราดกหรอื นอ้ ย ลักษณะตาเป็นชนิดสิงชั้นหรือชั้นเดียว รูปจมูกมีลักษณะอย่างไร คางป้านหรือแหลมกระดูก แกม้ ราบหรือย่ืนแหลมออกมา ทกี่ น้ เมอ่ื ยังเปน็ ทารกอยมู่ ีเปน็ ปานหรอื ไม่เหลา่ นีเ้ ป็นต้น ขอ้ ความทน่ี ำ� มากลา่ วน้ี เกบ็ เอามาจากวชิ ามานษุ ยมติ อิ ยา่ งยอ่ ทส่ี ดุ พอใหท้ ราบเปน็ ทางวา่ เขา จดั ทำ� กนั อยา่ งไรเทา่ นน้ั เมอื่ ไดส้ ำ� รวจรปู ลกั ษณะของมนษุ ยต์ า่ ง ๆ ตามแนวในวชิ านจี้ ะปรากฏวา่ มนษุ ย์ ตา่ ง ๆ ไม่วา่ พวกไหน มลี ักษณะตา่ ง ๆ ดงั กล่าวข้างตน้ แมใ้ นพวกเดียวกนั กไ็ มใ่ ช่วา่ เหมือนกนั ทงั้ หมด เพราะด้วยมีการผสมพันธุ์ไม่มากก็น้อย แต่ก็พอประมวลลักษณะส่วนใหญ่ท่ีเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เป็นรายตัวแล้วแบ่งมนุษยชาติอย่างคร่าว ๆ ออกได้เป็นสามพวกใหญ่ คือมนุษย์พวกคอเคเซียน หรือคอเคซอยด์ (caucasoid) หรือพวกผิวขาว พวกมองโกลอยด์ (mongoloid) หรือพวกผิวเหลือง และพวกนีกรอยด์ (negroid) หรือพวกผิวด�ำ พวกผิวขาว ได้แก่พวกตะวันตกและพวกฮินดู พวกผิว เหลืองได้แก่พวกจีนเป็นต้น พวกผิวด�ำได้แก่พวกนิโกรเป็นต้น ท่ีแบ่งเช่นนี้เป็นประมาณเท่าน้ัน ถ้าจะ เปรยี บกเ็ หมอื นเขยี นเปน็ ปา้ ยขนึ้ ไว้ ไมใ่ ชว่ า่ ปา้ ยทบ่ี อกกบั ตวั คนทเ่ี อาปา้ ยไปตดิ ไวจ้ ะมลี กั ษณะตรงตาม ปา้ ยเสมอไปกห็ าไม่ เชน่ ชาวฮนิ ดซู งึ่ จดั เขา้ อยใู่ นพวกมองโกลอยดผ์ วิ เหลอื ง ชาวฮนิ ดบู างคนจะมผี วิ ขาว น้อยกว่าชาวจีนก็ไมม่ นี ้อย แตเ่ พื่อสะดวกในการแบง่ เชอ้ื ชาติ จึงเอาป้ายผวิ ขาวไปติดไวใ้ หเ้ ทา่ น้ัน ไม่ต้องดูอ่ืนไกล ชนชาติไทยก็มีผิวและลักษณะอ่ืนต่าง ๆ กัน แต่เราก็ต้องติดป้ายว่าเป็น ชาวไทยด้วยกัน ชนชาวอินเดียท่ีมีเชื้อชาติคอเคเซียน ถ้าเป็นชาวเบงคาลีและชาวอัสสัม ซึ่งอยู่ทาง ตะวนั ออกของอนิ เดีย จะมผี ิวพรรณและขนาดความสงู ใกล้ไปทางพวกมองโกเลียน ซงึ่ ไม่มที ่ีสงสัยวา่ คงมีการผสมกนั กบั ทเิ บต เนปาล และพวกอ่นื ๆ ซี่งอยใู่ นตระกูลน้ี ถดั ไปในมธั ยมประเทศ เช่น ชาวพา ราณสี จะมรี ูปร่างสูงใหญ่ และผิวพรรณขาวกว่าพวกเบงคาลี และอัสสมั เชน่ พวกทเี่ ราเรียกกนั วา่ ฮินดู โดยเฉพาะ ถัดไปทางตะวันตกในแควน้ ปญั จาบ ชาวอินเดียในแคว้นนี้ เช่นพวกซิก จะมีรปู ร่างสูงใหญ่ และผวิ พรรณขาวกวา่ พวกท่กี ลา่ วมาแล้ว เพราะฉะนั้นป้ายท่ีบอกว่าเปน็ พวกคอเคเซยี นจึงเป็นอนุโลม เพอ่ื สะดวกเท่านน้ั
20 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย ในบางตำ� รายังใหค้ วามเหน็ เปน็ เชิงสนั นิษฐานไว้ว่ามนุษยท์ ่ีมีหนวดเคราดก มกั จะมคี วามลา้ น ชนดิ ทเ่ี รยี กวา่ ชะโดตแี ปลงมากกวา่ เพอ่ื น ทผี่ หู้ ญงิ มคี วามลา้ นนอ้ ยกวา่ ผชู้ าย กเ็ พราะดว้ ยเรอื่ งไมม่ หี นวด เครานเ่ี อง บางตำ� ราวา่ ชนชาตผิ วิ ดำ� มหี นา้ ผากลาดมาก เกอื บจะเปน็ หนา้ ผากตง้ั ของลงิ สว่ นของชนชาติ ผิวเหลือง มีหน้าผากไม่สู้ลาดมากนัก แต่ของชนชาติผิวขาวมีหน้าผากต้ังจึงหากมากจากลักษณะหน้า ผากของลงิ ทงั้ ผมกม็ ลี กั ษณะเปน็ เสน้ คดกรชี ผดิ กบั ลงิ มาก ไมเ่ หมอื นกบั ผมของชาวมองโกเลยี นวงี เปน็ เส้นเหยียดตรงใกล้กับลิงมาก แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์ที่มีเส้นผมห่างไกลจากผมของลิงมาก ควรจะให้ เกยี รตแิ กพ่ วกนโิ กรซงึ่ มผี มหยกิ เปน็ อยา่ งพรหม มากกวา่ จะใหก้ บั พวกทมี่ ผี มเสน้ คดกรชี เสยี อกี ทงั้ พวก นิโกรก็มีขนตามร่างกายแทบจะไม่มีก็ว่าได้ ควรได้รับเกียรติว่ามีลักษณะห่างไกลจากลิง ดีกว่ามนุษย์ พวกทีม่ ขี นตามรา่ งกายดกเสียอีก ตามหลกั วชิ ามานษุ ยมติ ิ แบง่ มนษุ ยท์ ม่ี อี ยใู่ นปจั จบุ นั นอ้ี ยา่ งกวา้ ง ๆ ออกเปน็ ๔ เชอื้ ชาตดิ งั น้ี๘ ๑. พวกคอเคเซยี น หรอื มนุษยผ์ วิ ขาว มี ก. พวกนอร์ดิก ไดแ้ กช่ นชาตติ า่ ง ๆ ในทวีปยโุ รปตอนเหนือ ข. พวกแอลปนิ ได้แกช่ นชาติตา่ ง ๆ ในทวีปยโุ รปตอนกลาง ค. พวกเมดิเตอร์เรเนยี น ได้แก่ ชนชาตติ ่าง ๆ ที่อยใู่ กลท้ ะเลเมดเิ ตอร์เรเนยี น ง. พวกฮนิ ดู และอิหร่าน ๒. พวกมองโกลอยด์ หรือมนษุ ย์ผิวเหลอื ง ก. พวกมองโกเลียน ได้แก่ชนชาตทิ ่ีเรยี กวา่ ตาด เกาหลี ญ่ีป่นุ จนี ไทย ทเิ บต พม่า ข. พวกมาเลเนเซยี น ได้แก่ชนชาติ ญวน ชวา มลายู ฟิลิปปนิ ส์ เป็นตน้ ค. พวกอินเดยี แดงในทวีปอเมริกา ๓. พวกนกิ รอยด์ หรอื มนุษย์ผวิ ดำ� ก. พวกนิโกร และรวมทงั้ พวกเงาะท่เี รียกวา่ พวกกรโิ ตดว้ ย ข. พวกเมลาเนเซียน ได้แก่ชนชาวหมู่เกาะเมลาเนเซียน อยู่ถัดทวีปออสเตรเลียไปทาง ตะวนั ออกและตะวันออกเฉยี งเหนือ ค. พวกคนแคระในทวปี แอฟรกิ า ง. พวกบชู แมน (Bushman) ในทวปี แอฟรกิ า ๘ อรษา เรอื งศลิ ป์, การดำ�เนินงานกับชาวเขาโดยหน่วยพฒั นาและสงเคราะห์เครื่อนท่ี (วิทยานพิ นธ)์ , (คณะสงเคราะห์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๑๕) น. ๒๗.
ชนกลมุ่ น้อยและชาวเขา 21 ๔. พวกที่ยงั กำ� หนดเชื้อชาตไิ มไ่ ด้แน่ ก. พวกออสตราลอยด์ ไดแ้ ก่ชนชาตผิ วิ ด�ำ ซงึ่ เปน็ ชาวพืน้ เมืองในทวปี ออสเตรเลยี ข. พวกเวดอยด์ (Vedoid) ไดแ้ กพ่ วกเวดดา้ (Veddah) ในกลางเกาะลงั กา พวกมณุ ฑใ์ น ประเทศอินเดยี พวกมว้ ย หรอื ขา่ ในแหลมอิโดจีน เป็นต้น ค. พวกปอลิเนเชียน ได้แกพ่ วกชาวเกาะในทะเลใต้ ง. พวกอินูในประเทศญป่ี นุ่ การแบง่ มนษุ ยอ์ อกเปน็ เชอื้ ชาตติ า่ ง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้นนี้ ไม่ใชว่ ่ามนุษยท์ ่แี บง่ เป็นประเภท แล้วนี้ จะมีลักษณะต่าง ๆ เหมือนกันทั้งหมดก็หาไม่ ย่อมจะต้องมีผิดแผกกันในลักษณะต่าง ๆ ของร่างกายดงั กลา่ วมาแล้วไมม่ ากกน็ ้อย ทงั้ นก้ี ็เนอื่ งจากการผสมพันธก์ุ ันยงุ่ เพราะฉะน้ันจงึ ตอ้ งแยก ประเภทย่อยลงไปอีกเปน็ ขน้ั ๆ ดูแตช่ นชาตไิ ทย ซึง่ ในทางชาตวิ งศว์ ิทยาจดั เขา้ ไว้ในพวกมองโกลอยด์ กย็ ังมลี ักษณะรูปร่างหน้าตาผิวพรรณตา่ งกนั แม้กระนน้ั ก็พอสังเกตได้ว่า มลี ักษณะบางประการท่เี หน็ เดน่ รว่ มกนั ว่า ไมใ่ ชช่ นชาตพิ วกคอเคเซยี นหรอื พวกนกิ รอยดถ์ ้าบางคนจะมีเชอ้ื ชาตเิ หลา่ น้ผี สมอยู่บ้าง กเ็ ปน็ แตส่ ว่ นนอ้ ยเทา่ นนั้ ชนชาตไิ ทยแตล่ ะทอ้ งถนิ่ แมเ้ มอ่ื วา่ ในสว่ นรวมจะเหมอื นกนั แตก่ ม็ บี างลกั ษณะ ในทางรา่ งกายท่ใี หเ้ หน็ เด่นเปน็ เฉพาะ วา่ เป็นชาวไทยถน่ิ ไหนแควน้ ไหน การศกึ ษาเรอื่ งเชอื้ ชาตใิ นทางมานษุ ยวทิ ยา เปน็ เรอ่ื งเกย่ี วกบั เลอื ดเนอ้ื เชอื้ ไขทางกรรมพนั ธจ์ุ งึ ตกอยแู่ กว่ ชิ าชวี วทิ ยา เพราะฉะนนั้ เชอ้ื ชาตใิ นทน่ี จี้ งึ ผดิ กบั ชนชาตซิ งึ่ เปน็ ไปในทางวฒั นธรรมและสงั คม ที่กล่าวกันเป็นสามัญเช่น ชนชาติไทย อาจหมายถึงเชื้อชาติหรือทางกรรมพันธุ์ก็ได้ อาจหมายถึงทาง วัฒนธรรมและสังคมก็ได้ ถ้าจะกล่าวทางวิชาชีววิทยาและทางประวัติศาสตร์ชนชาติไทยท่ีอยู่ใน ประเทศไทย กเ็ ปน็ ประชาชาตหิ รอื ประเทศชาตไิ ทย ซงึ่ ประกอบดว้ ยคนหลายเชอื้ ชาตผิ สมกนั และเขา้ กนั ไดด้ มี คี วามเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั กม็ ี ทผี่ สมเขา้ กนั ยงั ไมก่ ลมกลนื กม็ ี วา่ ในทางวฒั นธรรมและสงั คม กเ็ ปน็ ทำ� นองเดยี วกนั เมอื่ นกึ ถงึ เรอื่ งชาติ คนธรรมดากม็ กั นกึ ไปถงึ เรอ่ื งเชอื้ ชาตมิ ากกวา่ นกึ ถงึ เรอื่ งชาติ ในทางวฒั นธรรมและสงั คม เมอื่ พดู วา่ รกั ชาติ กค็ อื รกั ถนิ่ ทอี่ ยแู่ ละรกั วฒั นธรรมและสงั คมของตนนนั่ เอง มากกว่าจะเป็นไปในเร่อื งรักเชอื้ ชาติ ภาษา ภาษาคอื การแสดงออกซงึ่ ความในใจ จากคนหนง่ึ ไปยงั อกี คนหนง่ึ หรอื หลายคน การแสดงออก มหี ลายวิธี แตใ่ นที่น้ีหมายเฉพาะถงึ วิธีพูดและเขียนเปน็ ตัวหนังสอื เท่านน้ั ค�ำพูดจะเกิดเป็นภาษาพูดขึ้นได้ ก็ต่อเม่ือมีคนเปล่งเป็นเสียงออกมาทางล�ำคอ ต่อเน่ืองได้ ระเบียบเป็นประโยคประธานและมีความหมาย และต้องมีผู้ได้ยินรับรู้เป็นที่เข้าใจ ตรงกับความหมาย ทีผ่ ู้พดู ตง้ั ใจไว้ ท้ังผ้ไู ด้ยินและรับรู้ ถ้าจะตอ้ งพูดตอบ กส็ ามารถพูดไดใ้ นท�ำนองเดียวกนั
22 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ภาษาหนงั สอื คอื การแสดงออกซง่ึ ความในใจ แทนเสยี งเปลง่ ออกมา โดยวธิ เี ขยี นเปน็ ตวั หนงั สอื อันเป็นเครอื่ งหมายทีไ่ ด้ตกลงกนั โดยปรยิ ายในสงั คม ภาษาในโลกนี้มีมากมาย แต่เม่ือสอบสวนในทางวิเคราะห์และเปรียบเทียบกัน ตามหลักวิชา นิรุกติศาสตร์ (philology) หรือวิชาภาษาศาสตร์ (linguistic) อาจประมวลและแบ่งรูปภาษาต่าง ๆ ออกได้ ๔ ประเภท คอื ๑. ภาษามีวภิ ัติตปิ จั จยั (inflectional language) ๒. ภาษาตดิ ต่อคำ� (agglutinative language) ๓. ภาษาค�ำโดด (isolating language) ๔. ภาษาควบมากคำ� (polysynthetic language) ลกั ษณะของภาษาทงั้ ๔ ประเภทมแี ตกตา่ งกนั อยา่ งไรจะยกไว้ เพราะเปน็ เรอื่ งทางวชิ าโดยตรง ไม่เหมาะแก่ท่ีจะน�ำมากล่าวในที่นี้ ท่ีควรกล่าวแต่ย่อก็คือภาษาส่วนใหญ่ของชนชาติชาวตะวันตก อาหรับ เปอร์เซีย และอินเดีย มภี าษาบาลี และสันสกฤตเปน็ ตน้ มีรปู เปน็ ภาษาในประเภทแรก ภาษา ตาด ญ่ีปุ่น เกาหลี อินเดียตอนใต้ ฮังการี ตุรกี และทวีปแอฟริกาตอนใต้ เป็นต้น มีรูปเป็นภาษาใน ประเภท ๒ ภาษาจีน และไทย หรอื กล่าวอย่างกว้าง ๆ ภาษาต่าง ๆ สว่ นใหญ่ทางภาคเอเซยี อาคเนย์ มรี ปู เปน็ ภาษาในประเภท ๓ ภาษาชาวพนื้ เดมิ ในทวปี อเมรกิ าและพวกเอสกโิ มมรี ปู เปน็ ภาษาในประเภท ๔ ภาษาต่าง ๆ ในประเภทเหล่านี้ จะมีรูปบริสุทธิ์อยู่ในประเภททั้ง ๔ น้ี แต่ประเภทใดประเภทหน่ึง อาจกลา่ วไดว้ า่ ไมม่ ี เพราะดว้ ยการผสมกนั อยา่ งเดยี วกบั เรอื่ งเชอื้ ชาตมิ ากบา้ งนอ้ ยบา้ งแลว้ แตเ่ หตกุ ารณ์ ทางประวตั ศิ าสตร์ นอกจากแบ่งภาษาเป็นรูปต่าง ๆ ออกเป็น ๔ ประเภทดังกล่าวมาข้างต้น เขายังจัดแบ่งและ รวมภาษาตา่ ง ๆ ออกเปน็ ตระกลู ภาษาโดยเอารูปภาษาทีก่ ลา่ วเป็นหลกั และตรวจสอบดคู �ำสามัญท่ใี ช้ กันอยู่มาแต่ดั้งเดิม มาเปรียบเทียบกันดูตามหลักของวิชาสัทศาสตร์ (phonetic) และวิชาว่าด้วย ความหมาย ถ้าภาษาใดมีค�ำเหล่าน้ี เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมาก และถ้าสืบสาวเร่ือง วิวัฒนาการในทางประวัติศาสตร์ได้ด้วย ก็จัดภาษาเหล่านี้ไว้ในตระกูลภาษาเดียวกัน คนท่ีใช้ภาษาใน ตระกูลเดียวกัน ไม่เกี่ยวกับตระกูลเช้ือชาติ คนเช้ือชาติเดียวกันถ้าอยู่ด้วยกันมานาน ก็เป็นธรรมดาท่ี ตอ้ งพดู ภาษาเดยี วกนั แตค่ นเชอ้ื ชาตอิ น่ื อนั อาจใชภ้ าษาทไี่ มใ่ ชข่ องเชอื้ ชาตติ นกไ็ ด้ เชน่ คนเชอ้ื ชาตนิ โิ กร ในทวีปอเมริกาเป็นต้น ภาษามีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ แม้จะได้รับอิทธิพลจากภาษาอื่นมาผสมอยู่ด้วยก็ไม่ เปล่ียนรูปเดิมในภาษาของตนไป เช่นภาษาไทยมีรูปภาษาในประเภทค�ำโดด แม้จะได้รับอิทธิพลจาก
ชนกล่มุ น้อยและชาวเขา 23 ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤต ซง่ึ มรี ปู ภาษาในประเภทมวี ภิ ตั ตปิ จั จยั กย็ งั รกั ษาลกั ษณะเดมิ ในรปู ภาษา ของตนไวไ้ ด้ เชน่ รปู จะแปลงเปน็ รปู งั รปู า รเู ปน แตเ่ มอื่ รบั มาเปน็ คำ� ไทยกไ็ มเ่ ปลยี่ นรปู ไปตามไวยากรณ์ ของบาลี เพราะไม่เขา้ กบั จติ ใจในภาษาของไทยซ่ึงมรี ปู ภาษาเป็นค�ำโดด ไมใ่ ช่มีรปู ภาษามวี ภิ ัตติปัจจัย อยา่ งบาลี แม้จะแปลงเขา้ หารปู บาลใี นบางค�ำ เชน่ นิสิต (ชาย) – นสิ ิตา (หญิง) ในท่ีสุดก็เหลอื แต่นสิ ติ คำ� เดียว ถ้าตอ้ งการทราบวา่ เป็นหญงิ หรอื ชาย ก็เติมค�ำอ่ืนต่อลงไปเปน็ นิสิตชายนสิ ติ หญิง กเ็ ตมิ คำ� อน่ื ตอ่ ลงไปเป็นนิสิตชายนิสิตหญิง ใหเ้ ขา้ กบั จติ ใจในภาษาของตน เนื่องด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ การแบ่งชนชาติต่าง ๆ ออกเป็นพวก ๆ เขาจึงใช้การแบ่งตระกูล ภาษา เป็นการแบ่งชนชาติด้วย ว่าเฉพาะชนชาติต่าง ๆ ในภาคเอเชียอาคเนย์เขาแบ่งชนชาติเหล่าน้ี ออกเป็น ๓ ตระกลู ภาษาคอื ๑. ตระกูลจนี -ทเิ บต (Sino-Thibet) ซึ่งแยกเป็น ก. ทเิ บต-พมา่ (Thibeto-Burman) มีทิเบตและพมา่ เปน็ ต้น ข. ไทย-จีน มจี นี และไทยเปน็ ต้น ๒. ตระกูลออสตรกิ (Austric languagc) ซึง่ แยกเปน็ ก. ออสโตรเอเชยี ตกิ (Austro-Asiatic) มพี วก มอญ-เขมร (Mon-Khamer) ได้แกม่ อญ เขมร ปะหลอ่ ง ละวา้ ข่า เป็นต้น ข. ออสโตรเนเชียน (Austronesian) มชี วา-มลายู ฟลิ ิปปนิ ส์ เป็นต้น ๓. ตระกลู อนื่ ๆ ที่จัดเข้าข้างตน้ ยงั ไมไ่ ด้ เชน่ ก. กะเหร่ียง และต้องซู่ ซ่ึงเดิมเอาไว้ในตระกูล จีน-ทิเบต แต่จะอยู่ในพวกทิเบต-พม่า หรือไทย-จนี ยงั เถียงกนั อยู่ ข. ญวน เดิมเอาไว้ในตระกูลออสโตรเอเชียติกในพวกมอญ-เขมร ต่อมาแก้เป็นอยู่ใน ตระกลู จนี -ทเิ บต ในพวกไทย-จนี มาบดั นนี้ กั มานษุ ยวทิ ยาอเมรกิ นั บางคนจดั เอาไวใ้ นตระกลู ออสโตรเน เชยี นในพวกชวา-มลายโู ดยเฉพาะอินโดเนเชยี น ค. แมว้ เย้า ยังไม่จัดเขา้ พวกใดเปน็ เฉพาะ ง. นกิ รโิ ต พวกเงาะเซมงั และชาวน�้ำในแหลมมลายู ทต่ี ้องนำ� การแบง่ แยกเรอ่ื งตระกลู ภาษาต่าง ๆ ในแหลมอนิ โดจีน มากล่าวไว้เปน็ เอกเทศด้วย เพ่อื สะดวกในการบรรยายเร่ืองต่อไป
24 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย สถานการณ์ท่ัวไปเก่ยี วกบั ชาวเขาในไทย ค�ำว่าชาวเขาตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Hill Tribes” ซ่ึงหมายถึงชนเผ่าที่ว่าด้วยความเจริญ และอาศยั อยใู่ นเขตบริเวณท่ีเปน็ ภูเขาของ British India โดยเฉพาะบริเวณ Kolo , Oraons , Iodas และใน Veddash ของซลี อน โดยปกตพิ วกนม้ี กั มคี วามเชอ่ื ถอื ในเรอื่ งภตู ผปี ศี าจ และเชอ่ื วา่ ตน้ ไม้ หนิ ลม เป็นสิ่งท่ีมีชีวิตจิตใจ เพ่ือให้เข้าใจค�ำว่าชาวเขาอย่างละเอียดย่ิงข้ึน ควรจะได้ท�ำความเข้าใจค�ำศัพท์ ท้ัง Hill และ Tribes อยา่ งละเอยี ด๙ Hill หมายถึงบริเวณผืนแผ่นดินท่ีมีระดับสูงขึ้นตามธรรมชาติ โดยปกติมักมีพ้ืนฐานกลมและ อยูร่ วมกนั หลาย ๆ ลูก ยอดปา้ นไม่แหลม สำ� หรับระดบั ความสงู ไมแ่ นน่ นอน ในองั กฤษระดบั ความสงู ตั้งแต่ ๒,๐๐๐ - ๔,๔๐๐ ฟุต ถือว่าเป็น Hill ในอเมริกา Black hill สูงถึง ๗,๒๑๖ ฟุต ใน อินเดีย เทือกเขาตา่ ง ๆ ท่สี งู ระหวา่ ง ๕,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ ฟตุ ถอื เปน็ Hill สูงกว่านน้ั เรียก mountain Tribes หมายถงึ ประชาชนทมี่ าอยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ มขี นบธรรมเนยี มประเพณรี ว่ มกนั อยภู่ าย ใตก้ ารปกครองอนั เดยี วกนั มคี วามเชอื่ เหมอื นกนั แตแ่ ตกตา่ งจากกลมุ่ อนื่ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ในดา้ นชาตพิ นั ธ์ุ และความเชื่อถือ ในสมัยโรมัน Tribes ถือเป็นกลุ่มชนซึ่งมีฐานะด้อยกว่าพลเมือง และต้องมีการส่ง สิ่งของเป็นบรรณาการแก่เผ่าที่อยู่สูงกว่าเพ่ือความคุ้มครองจากเผ่าใหญ่ (ซึ่งในสมัยน้ันชาวโรมันเป็น เจ้าของประเทศ) พ.ต.อ. ทวีป ด�ำรงสัตย์ รองหัวหน้าสนับสนุนต�ำรวจภูธรชายแดน ซึ่งเป็นผู้ที่คลุกคลีกับงาน ด้านชาวเขามาเป็นเวลานาน ให้ความเห็นว่า “ชาวเขาในประเทศไทย” น่าจะหมายถึงกลุ่มชนซึ่งต้ัง ถิ่นฐานบ้านเรอื นอยูใ่ นบริเวณซง่ึ สูงกว่าระดับพนื้ ดิน โดยปกติมภี าษาพูดและขนบธรรมเนยี มประเพณี แตกตา่ งไปจากคนไทยโดยทัว่ ไป ส่วนใหญม่ ีความเช่อื ในเร่ืองภตู ผีปีศาจ จากความหมายของรากศัพท์ทั้งสองค�ำน้ี และข้อคิดเห็นของ พ.ต.อ. ทวีป ด�ำรงสัตย์ พอจะ สรุปได้ว่าชาวเขา หมายถึงชนกลุ่มน้อยซึ่งตั้งถ่ินฐานบ้านเรือนอยู่ในอาณาบริเวณพ้ืนท่ีที่เป็นเทือกเขา ซงึ่ สงู ไมเ่ กนิ ๑๐,๐๐๐ ฟตุ จากระดบั นำ้� ทะเล มขี นบธรรมเนยี มประเพณี ภาษาพดู ความเชอ่ื ถอื อาชพี และอปุ นสิ ยั ใจคอคลา้ ยคลงึ กนั มกี ารปกครองรว่ มกนั แตแ่ ตกตา่ งกนั ออกไปอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั จากประชากร เจ้าของประเทศในด้านชาติพันธุ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาพูด และมีความเช่ือถือในเร่ือง ภูตผีปศี าจ ๙ ขจดั ภัย บุรุษพัฒน์ “ข้อคดิ บางประการเกี่ยวกับนโยบายตอ่ ชาวเขาและการพฒั นาชาวเขา” ชวี ติ บนยอด รวบรวม โดยชมรมศกึ ษาและวิจัยชาวเขา (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ๒๕๑๗) น. ๓
ชนกลมุ่ นอ้ ยและชาวเขา 25 สภาพทางภมู ศิ าสตร์ ชาวเขาในประเทศไทยเปน็ ชนกลมุ่ นอ้ ยอาศยั อยกู่ ระจดั กระจายตามทอ้ งทสี่ ว่ นใหญใ่ นจงั หวดั ภาคเหนอื และบางจงั หวดั ในภาคกลาง รวม ๒๒ จงั หวดั ๘๗ อ�ำเภอ สำ� หรบั ทางภาคเหนือน้นั อาศัยอยู่ บนภูเขาสูงกวา่ ระดับน้�ำทะเลประมาณ ๘๐๐ – ๑,๕๐๐ เมตร เป็นเนือ้ ท่ปี ระมาณ ๑๑๐,๐๐๐ ตาราง กิโลเมตร ซ่ึงเป็นอาณาบรเิ วณที่เกิดของตน้ นำ้� ลำ� ธารของแมน่ �้ำ ในที่ราบภาคกลาง ชาวเขาบางพวก เช่น กะเหร่ียง และละวา้ เป็นต้น อาจจะอาศัยอยไู่ มถ่ งึ ๘๐๐ เมตร ซึ่งชาวเขามักจะต้ังบ้านเรือนอาศัยเป็นระดับตามความสูงจากระดับน�้ำทะเล ซ่ึง พัทยา สายหู ได้ทำ� การศึกษาในเรือ่ งชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย ไดแ้ สดงแผนภูมิการต้ังถิ่นฐานของ ชาวเขา แสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างเผา่ พันธ์ุชาวเขากับความสงู ของระดับน�ำ้ ทะเล ความเปน็ มาทางประวัตศิ าสตร์ ชาวเขาในภาคเหนอื ของประเทศไทยนน้ั พจิ ารณาจากระยะเวลาการอพยพเขา้ มาอาศยั อยใู่ น ประเทศไทยแลว้ แบง่ แยกออกเปน็ ๒ พวกดว้ ยกนั คอื ชนชาตทิ เี่ ขา้ มาอาศยั อยใู่ นภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก และชนชาติซึ่งอพยพมาจากพม่า จีน และลาว เข้ามาอาศัยอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยใน ชว่ั ระยะเวลาหน่ึงศตวรรษท่ีผ่านมานี้ ซ่ึงได้แกช่ าวเขาในตระกลู ธิเบต – พมา่ และจนี เดมิ กอ่ นทช่ี นชาตไิ ทยนอ้ ยไทยใหญแ่ ละลาว จะอพยพเขา้ มาอาศยั ในเอเชยี อาคเนยเ์ จา้ ของถนิ่ เดมิ ของภมู ภิ าคน้ี ได้แกช่ นชาติในตระกูลมอญ – เขมร หลงั จากนนั้ พวกเจา้ ของถน่ิ เดิมดังกล่าวไดถ้ ูกกลนื ชาติไปบ้าง บางพวกได้อพยพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และมีบางพวกได้อพยพหนีเข้าไปตามป่าเขา ชนพวกหลังนี้เองได้แก่ชาวเขาในตระกูลเอเชียตะวันออก ชาวเขาในภาคเหนือซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก ตระกูลนี้ได้แก่ พวกละวา้ ขมุ คะฉ่ิน ผีตองหลอื ง และขา่ ฮอ่ กล่าวอกี นยั หน่ึง ชาวเขาในตระกลู เอเชยี ตะวนั ออกนไี้ ดเ้ ข้ามาอาศัยอย่ใู นบรเิ วณเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ก่อนชนชาตไิ ทยเมือ่ ประมาณ ๒,๐๐๐ ปลี ่วงมาแลว้ ชาวเขาพวกท่ีสองซ่ึงอพยพมาจากพม่า จีน และลาวเข้ามาอาศัยอยู่ในภาคเหนือของ ประเทศไทย หลังพวกเอเชียตะวันออกได้แก่ ชาวเขาในตระกูลธิเบต – พม่า และจีนเดิม พวกแรกได้ รับอิทธิพลของชาวธิเบตอยู่เป็นส่วนมาก ส่วนพวกหลังมีคุณสมบัติโดยทั่วไปคล้ายคลึงกับชนชาติจีน มิใช่น้อย เป็นที่ยอมรับกันว่าท่ีอยู่ดั้งเดิมของชาวเขาในตระกูลธิเบต – พม่านั้นได้แก่ ดินแดนในตอน เหนือของพม่าและไทย ส�ำหรับชาวเขาในตระกูลจีนด้ังเดิมน้ัน เคยตั้งรกรากในมณฑลต่าง ๆ ของจีน เชน่ ไกวเจา ยนู าน ฮุนหนำ� เปน็ ตน้ ชาวเขาเหลา่ นี้อพยพลงใต้ผ่านตงั เก๋ีย ลาว และพมา่ เข้ามาอาศัย อย่ใู นภาคเหนือของไทย เม่อื ประมาณ ๑๐๐ ปมี าน้เี อง
26 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย กล่าวโดยสรปุ แล้วชาวเขาในประเทศไทยแบง่ ออกเปน็ ๒ พวก คือ พวกทีอ่ าศยั อยใู่ นบรเิ วณ นมี้ ากอ่ นชนชาตไิ ทย กบั พวกทเ่ี พงิ่ อพยพเขา้ มาสปู่ ระเทศไทย ซง่ึ เปน็ การจำ� แนกตามระยะเวลาทอ่ี พยพ เขา้ มาสปู่ ระเทศไทย สำ� หรบั การใชท้ ศิ ทางการอพยพแลว้ กอ็ าจแบง่ ชาวเขาในภาคเหนอื ของประเทศไทย โดยสงั เขป ออกเป็น ๒ สาขา และในสาขาใหญ่ ๒ สาขานี้ ประกอบด้วยชาวเขาเผ่าต่าง ๆ จ�ำนวนถึง ๒๐ เผ่า ด้วยกนั ดังตอ่ ไปน้ี ก. ชนชาติท่ีอพยพจากทิศเหนือไปสู่ภูมิภาคทางใต้ ชนชาติเหล่านี้ได้แก่พวกจีนธิเบต (Sino – Tibetan) ไดอ้ พยพลงใตต้ ามเสน้ ทางขนานกบั การอพยพ จากเหนอื ลงมาทางใตข้ องชนชาตไิ ทย แตม่ าในระดบั สงู กวา่ ในขณะทช่ี นชาตไิ ทยอพยพเขา้ มาอาศยั อยใู่ นทรี่ าบลมุ่ ชนพวกนไี้ ดอ้ พยพตามเสน้ เขา้ อนั คดเคย้ี ว ซงึ่ ทำ� ใหก้ ารเคลอ่ื นยา้ ยเปน็ ไปโดยลา่ ชา้ และไดอ้ าศยั อยใู่ นภาคเหนอื ของไทย ประมาณ ๑๐๐ ปีมาน้ีเอง พวกจนี – ธิเบตนี้แยกสาขาออกไปเปน็ ๒ พวกดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. พวกธิเบต – พม่า (Tibeto – Burman) ๒. พวกจีนเดมิ (Main Chiness) ข. ชนชาตทิ อ่ี พยพจากทางทศิ ใตไ้ ปสภู่ มู ภิ าคทางทศิ เหนอื ชนพวกนเ้ี รยี กวา่ พวกเอเชยี ตะวนั ออก หรือตระกูล ออสโตรเนเซยี น (Austronesia Stock) ซ่งึ ไดแ้ กพ่ วกชนชาติมอญ – เขมร ตัวอย่างของชน พวกนไ้ี ดแ้ กช่ นทีม่ ีเชื้อสายเดียวกบั พวกว้า (Wa) ซงึ่ ตกคา้ งอยใู่ นภาคเหนือ เชน่ พวกละว้า ขมุ คะฉน่ิ และผีตองเหลอื ง
บทที่ ๒ กะเหรี่ยง ประวัติความเปน็ มาของชนเผ่ากะเหร่ยี ง กะเหรย่ี ง (กะยนิ ยาง) Karen ตระกลู ภาษายอ่ ยทเิ บต-พมา่ (Tibeto-Burman) สาขากะเหรย่ี ง (Karenic Branch) Synonyms : Kareang, Kariang, Karieng, Kayin, Yang กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใน ๑๕ จังหวัด ซ่ึงเป็นจังหวัดชายแดนด้านตะวันตกของภาคเหนือและ ภาคกลางถงึ จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์๑ ชนเผา่ กระเหรยี่ งในประเทศพมา่ ไมถ่ อื วา่ เปน็ ชนกลมุ่ นอ้ ย เพราะ มรี ฐั ของตนเองเชน่ เดียวกบั มอญ ว้า และฉาน อย่ตู ิดกบั ประเทศไทยดา้ นอำ� เภอแม่สอด จังหวัดตาก กะเหรยี่ ง เปน็ คำ� เรยี กของคนไทยภาคกลาง ในพมา่ เรยี ก กะยนิ (Kayin) คนพน้ื เมอื งภาคเหนอื และไทยใหญ่เรยี ก ยาง ส่วนชาวตะวนั ตกเรียก Karen นักประวัติศาสตร์บางทา่ นสนั นษิ ฐานวา่ ชนชาติ กะเหรีย่ งมถี ิน่ เดมิ อยใู่ นดินแดน ตะวันออกของทิเบต แล้วเขา้ มาตั้งอาณาจกั รในประเทศจีนเมอื่ ๗๓๓ ปีก่อนพุทธกาล ชาวจีนเรียกว่า ชนชาติโจว ภายหลังถูกกษัตริย์จีนรุกราน เม่ือ พ.ศ. ๒๐๗ จึงพากัน แตกพ่าย พ่ายหนีลงมาอยู่บริเวณลุ่มน�้ำแยงซี ต่อมาเกิดปะทะกับชนชาติไทจึงถอยร่นลงมาอยู่ตาม ลมุ่ นำ้� โขงและ แมน่ ำ�้ สาละวนิ ในเขตพมา่ กะเหรย่ี งเคลอื่ นยา้ ยลงมาอยตู่ อนใตก้ อ่ นชนชาตไิ ท แตม่ าอยู่ ภายหลงั พวกตระกลู มอญ-เขมร๒ ชนชาติกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในเขตไทยก่อนชนชาติไทยจะเคลื่อนย้ายลงมาสู่แหลมสุวรรณภูมิ การอพยพคร้ังส�ำคัญของกะเหรี่ยง เกิดขึ้นในสมัย พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าท�ำสงครามกับมอญ พวกกะเหรยี่ งซงึ่ มคี วามสมั พนั ธอ์ นั ดกี บั มอญกช็ ว่ ยเหลอื ใหท้ ห่ี ลบภยั กบั มอญ เมอ่ื พมา่ ยกทพั ตดิ ตามมา พวกกะเหร่ียงหว่ันเกรงภัยท่ีจะเกิดขึ้นจึงอพยพเข้าสู่เขตไทย นอกจากนี้ ยังมีการอพยพเนื่องจากการ ทำ� มาหากินทางเขตพม่าฝดื เคอื ง พวกนีจ้ ึงเขา้ มาหาทท่ี �ำกินใหมใ่ นเขตไทย ๑ สงเคราะห์ชาวเขา, กอง. กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวสั ดิการสงั คม ทำ�เนยี บชุมชนบนพืน้ ที่สงู ๒๐ จงั หวดั ในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐. (นนทบุรี : สหพริ้นติ้งการพิมพ)์ , ๒๕๔๑ น. ๒๗ ๒ ขจัดภยั บุรษุ พฒั น.์ ชาวเขาในประเทศไทย, (กรงุ เทพฯ : แพร่พทิ ยา ๒๕๓๘), น. ๖๗
28 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย กะเหร่ียงเป็นชนเผ่าที่จัดได้ว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ หลายภาษา มีการนับถือศาสนาที่ต่างกัน แตก่ ะเหรย่ี งดงั้ เดมิ จะนบั ถอื ผี เชอื่ เรอื่ งตน้ ไมป้ า่ ใหญ่ ภายหลงั หนั มานบั ถอื พทุ ธ ครสิ ต์ เปน็ ตน้ กะเหรยี่ ง ที่อาศยั อยู่ในประเทศไทย แบง่ ออกได้เป็น ๔ กลมุ่ ย่อย ๑. กะเหร่ยี งสะกอ หรอื ท่ีเรยี กตัวเองว่า ปะกากะญอ เปน็ กลมุ่ ทม่ี ีจำ� นวนมากทสี่ ดุ มภี าษา เขียนเป็นของตนเอง โดยมีมิชชันนารีเป็นผู้คิดค้นดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสมภาษาโรมัน กลุม่ นห้ี ันมานับถอื ศาสนาคริสต์เปน็ ส่วนใหญ่ ๒. กะเหรี่ยงโป หรือที่เรียกตนเองว่า โพล่ง เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเคร่งครัดในประเพณี อาศัย อยูท่ ี่ อ�ำเภอแมส่ ะเรียง จังหวดั แม่ฮ่องสอน และอำ� เภออมก๋อย จงั หวัดเชยี งใหม่ ๓. กะเหร่ียงบเว หรือคะยา อาศัยอยู่ในเขตอ�ำเภอขุนยวม แม่ฮ่องสอน กะเหรี่ยงคะยาใน ประเทศพมา่ มกี ารปกครองเป็นรฐั เรียกว่ารฐั คะยา อยตู่ ิดกบั จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ๔. กะเหร่ียงปะโอ หรือตองสู เป็นกะเหรี่ยงท่ีพบน้อยที่สุดในประเทศไทย กะเหรี่ยงปะโอ (Pa’o Karen) ในประเทศพม่าอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฉาน อาศัยอยู่ในประเทศไทยเขต จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน เรียกวา่ ภาษาปะโอเหนอื ส่วนใหญน่ บั ถือศาสนาพุทธควบคกู่ ับความเช่ือด้ังเดมิ การต้งั ถิ่นฐาน ที่ตั้งบ้านเรือนของชนเผ่ากะเหร่ียง ตั้งอยู่ที่ภูเขา ทั้งในหุบเขา ไหล่เขา และพ้ืนท่ีราบในเขต เทอื กเขาโดยมากอยใู่ นจงั หวดั เชยี งใหม่ เปน็ ชนเผา่ ทมี่ ที อ่ี ยถู่ าวรเปน็ หลกั แหลง่ บางหมบู่ า้ นอยมู่ านาน หลายช่ัวอายุคนแลว้ ก็มี ถิน่ ทอ่ี ยูอ่ าศัยและบ้านเรือนของกะเหรย่ี ง มักอาศยั อยู่รวมกนั เป็นหมู่บ้าน ทกุ ครอบครัวจะมี ยุ้งข้าวซ่ึงปลูกไว้ต่างหาก บ้านของกะเหรี่ยง ถ้าเป็นชุมชนดั้งเดิมนิยมสร้างด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยหญ้าคา หรือใบเก๊าะ (พืชตระกูลปาล์ม) เรียกว่า โขน ยกพ้ืน ด้วยเสาไม้สูง ๕-๖ ฟุต บริเวณบ้านไม่มีรั้ว สตั วเ์ ลย้ี งตา่ ง ๆ จะปลอ่ ยใหห้ ากนิ ในหมบู่ า้ น กะเหรย่ี งสะกอและโปว์ จะมแี บบแผนบา้ นเรอื น คลา้ ยกนั ส่วนพวกตองสู จะตงั้ บ้าน เรอื นอยเู่ นินเขาสงู กวา่ ระดบั นำ�้ ทะเล ๓,๐๐๐-๓,๕๐๐ ฟตุ แบบบ้านคล้าย ชาวไทยใหญ๓่ หมู่บ้านของกะเหรี่ยงโดยมากจะมีวัดที่เรียกว่าอาศรมพระธรรมจาริกประจ�ำหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ ภายใตก้ ารบรหิ ารของโครงการพระธรรมจาริกส่วนภมู ิภาค จงั หวดั เชยี งใหม่ ๓ สมภพ ลาชโรชน์. ความรทู้ ั่วไปเกี่ยวกบั ชาวเขาเผ่ากะเหร่ียง. (เอกสารอัดเผยแพร่ สถาบนั วิจัยชาวเขา, อดั สำ�เนา) น. ๑๓๐
กะเหรยี่ ง (กะยนิ ยาง) Karen 29 ระบบครอบครัวและตระกูลของกะเหร่ียง โดยทั่วไปเป็นครอบครัวเดี่ยว ปกติคู่สมรสจะตั้ง ครอบครัวของตนภายหลังที่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ชาวกะเหร่ียงกล่าวกันว่าต้องสร้าง หลังเล็ก หลังแต่งงานและต่อเติมให้ใหญ่ขึ้นเม่ือมีบุตร กะเหร่ียงเชื่อว่าบ้านเป็นสถานที่ทางวิญญาณ ของฝ่ายภรรยา โดยต้องมีพิธีเตอะเซี่ยหลังจากภรรยาย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เพื่อแจ้งแก่วิญญาณฝ่าย มารดาใหท้ ราบถงึ การแต่งงาน วิถชี วี ิต การเกดิ เมอ่ื หญงิ กะเหรย่ี งตง้ั ครรภ์ กจ็ ะตอ้ งปฏบิ ตั อิ ยา่ งระมดั ระวงั อยา่ งเครง่ ครดั เพอื่ มใิ หค้ ลอดบตุ ร ยากเป็นอันตรายแกแ่ ม่และเดก็ อาหารเป็นเรอื่ งส�ำคัญ หญิงมคี รรภต์ อ้ งไม่รับประทานอาหาร ท่ไี ม่ค้นุ เคยหรือที่คนอ่ืนท�ำมาขาย การดื่มเหล้า เชื่อว่าจะท�ำให้แท้ง และการกินขนุนจะท�ำให้ทารก ในครรภ์เกิดมาเปน็ โรงผิวหนัง นอกจากนนี้ ั้นยงั หา้ มหญิงมีครรภไ์ ปงานศพ เพราะวิญญาณผ้ตู าย ไปสู่ โลกได้ง่าย ๆ หากเผอิญไปเห็นศพหรือคนตายเข้า ก็จะต้องท�ำพิธีเรียกขวัญกันอย่างด่วน และคนใน หมบู่ า้ นกจ็ ะชว่ ยกนั ระมดั ระวงั มใิ หเ้ กดิ เหตกุ ารณใ์ ด ๆ มารงั ควานหญงิ มคี รรภ์ เชน่ ไมล่ ม้ ตน้ ไมข้ วางทาง เดินไว้ เพราะจะท�ำให้ผู้ไปพบคลอดบุตรยาก ต้องปัดรังควานหรือขอขมา มารดาเม่ือมีครรภ์จะมี ขอ้ หา้ มและขอ้ ปฏิบัตคิ อื ๑) หา้ มกินตวั ออ่ นของตวั ตอ่ ๒) หา้ มกินอาหารทม่ี ียาง เชน่ เผือก ขนนุ ๓) ห้ามกนิ เนื้อหมปู ่าและสัตวท์ ีถ่ ูกเสือกดั ตาย ๔) หา้ มนอนหลบั มากเกินไปและท�ำงานหนกั เกินไป ข้อพึงปฏิบัติส�ำหรับบิดาและมารดา มารดาจะต้องกินผักบ�ำรุงร่างกาย รักษาความสะอาด ทำ� งานใหพ้ อเหมาะ และรกั ษาอารมณใ์ หด้ อี ยเู่ สมอ สำ� หรบั บดิ าใหร้ กั ษาอารมณ์ จติ ใจใหแ้ จม่ ใสอยเู่ สมอ และจดั อาหารใหเ้ หมาะสมแก่ภรรยา ตามปกติหญิงกะเหร่ียงจะให้ก�ำเนิดทารก ในบ้านของตนเองโดยมีสามี มารดา และญาติ อื่น ๆ คอยช่วยเหลือ เม่ือทารกพ้นออกจากครรภ์ เขาจะตัดสายสะดือด้วยผิวไม้ไผ่ และห่อรกด้วยผ้า บรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ น�ำไปแขวนไว้บนต้นไม้ในป่า ต้นไม้ต้นนี้เรียกว่า “ป่าเดปอ” ซ่ึงเป็นต้นไม้ท่ี ใช้เก็บขวัญเด็ก ห้ามตัดต้นไม้ต้นน้ีเพราะจะท�ำให้เด็กล้มป่วย หากมีการตัดต้นไม้น้ันด้วยเหตุใดก็ตาม จะตอ้ งทำ� การเรียกขวัญเดก็ ทันที
30 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย มารดาหลงั คลอดนยิ มการอยไู่ ฟเปน็ เวลาอยา่ งนอ้ ยสามวนั ระหวา่ งการอยไู่ ฟจะเรม่ิ ทานอาหาร อ่อน ๆ เช่นข้าวต้ม ใส่เกลือเพียงเล็กน้อย ไม่ทานอาหารรสจัด เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการน่ังอยู่ ข้างกองไฟ แม่บางคนจะน�ำหินไปอ้ังไฟให้พออุ่นแนบไว้ที่ท้อง อาบนำ�้ อุ่น ระหว่างการอยู่ไฟจะมีการ ทำ� พธิ รี บั ขวญั แมแ่ ละลกู นอ้ ย ดว้ ยการพรมนาํ้ มนตโ์ ดยหมอพน้ื บา้ น อาหารสำ� หรบั ลกู นอ้ ยทพ่ี ง่ึ คลอดนน้ั จะปอ้ นขา้ วทแี่ มเ่ คยี้ วผสมเกลอื เพยี งเลก็ นอ้ ยปอ้ นเพอื่ ใหร้ จู้ กั การกนิ เมอ่ื สายสะดอื เดก็ หลดุ กจ็ ะทำ� พธิ ี ผูกข้อมืออีกคร้ัง บางครอบครัวจะท�ำสร้อยคอร้อยลูกปัดหินให้เป็นการอวยพรให้แข็งแรงโตเร็ว การเจาะหูเป็นความเชื่อโบราณเพื่อเป็นสัญญาณว่าทารกนี้เป็นคนมิใช่ลิงจะกระท�ำเม่ือเด็กครบเดือน พรอ้ มกบั การต้งั ช่ือ แตป่ ัจจุบันการตงั้ ชอ่ื ท�ำเมอ่ื ไปแจ้งเกดิ ท่ีอำ� เภอตามระเบียบของราชการ การแตง่ งาน การแต่งงานเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว ซ่ึงเป็นกฎเคร่งครัดส�ำหรับชาวกะเหร่ียงทุกเผ่า การหย่าร้างจะมีน้อย เม่ือหนุ่มสาวรักใคร่ชอบพอกัน หากจะมีการสู่ขอหรือหม้ันหมายตามประเพณี พอ่ แมแ่ ละญาตพิ นี่ อ้ งของฝา่ ยหญงิ จะสง่ คนไปหาฝา่ ยชาย เพอ่ื เปน็ การทาบทามและกำ� หนดวนั แตง่ งาน ตามประเพณี การหมนั้ หมายและงานแตง่ จะจดั ขน้ึ ในเวลาทไี่ ลเ่ ลยี่ กนั อาจจะหนงึ่ วนั หลงั จากมกี ารหมนั้ แลว้ หากแต่งงานกับคนนอกเผ่าหรอื คนพน้ื ราบมกั จัดตามประเพณขี องฝา่ ยหญิง พิธแี ต่งงาน ที่บ้านเจ้าบ่าวจะท�ำพิธีไหว้ผีประจ�ำตระกูลเพ่ือขอพร ก่อนเคล่ือนขบวนไปยังบ้านเจ้าสาว ระหวา่ งนน้ั อาจมกี ารรอ้ งร�ำตามประเพณีเพอื่ ให้สนกุ สนาน หรอื เคลื่อนขบวนไปอยา่ งสงบก็ได้ เมอ่ื ถึง ก็จะมีการต้อนรับจากญาติของเจ้าสาวด้วยเหล้า เรียกว่า พิธีด่ืมหัวเหล้า (เหล้าขวดแรกท่ีใช้ด่ืมในพิธี) หลังจากนั้นกจ็ ะขน้ึ ไปสบู่ า้ นเจ้าสาว ผู้มาร่วมงานจะไดร้ บั การเล้ยี งต้อนรบั เป็นอยา่ งดที ุกคน พิธสี ่ขู วัญ จะมีขึ้นหลังจากเสร็จจากการเลี้ยงต้อนรับ หากเป็นประเพณีโบราณการสู่ขวัญจะมีขึ้นหลังจากท่ี เจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้อยู่ด้วยกันครบสามคืนแล้ว เป็นการท�ำภายในครอบครัวและเครือญาติของ ทั้งสองฝา่ ย การตาย หากมีผู้คนในหมู่บ้านเสียชีวิตลง เพื่อนบ้านทุกคนจะหยุดงาน ถือเป็นประเพณีท่ีถือสืบ ๆ กันมาอย่างเคร่งครัด ทุกคนจะมาร่วมงานเพื่อช่วยเหลือเจ้าภาพในการตระเตรียมส่ิงของและเคร่ือง ประกอบในพิธี การอาบน�้ำศพจะมีขึ้นในวันน้ันและแต่งตัวให้ด้วยเส้ือผ้าใหม่ ตามประเพณีโบราณจะ ไม่นิยมน�ำศพใส่ในโลง แต่จะห่อด้วยเส่ือส�ำหรับนวดข้าว (เป็นเสื่อท่ีสานด้วยผิวไม้ไผ่เป็นฝืนใหญ่ใช้ ส�ำหรับการนวดขา้ วซง่ึ มอี ยูท่ ุกบา้ น) ปัจจบุ ันนยิ มใสใ่ นโลงศพทมี่ ีจ�ำหนา่ ยท่วั ไปและหาไดง้ า่ ย
กะเหรีย่ ง (กะยนิ ยาง) Karen 31 ศพของกะเหรยี่ งนยิ มเกบ็ ไวแ้ คค่ นื เดยี ว ระหวา่ งทย่ี งั ไมม่ กี ารปลงศพคนในหมบู่ า้ นจะยงั ไมอ่ อก ไปประกอบอาชีพ กลางคืนจะมีพิธีร่ายหรือขับบทเพลงโดยผู้ชายในหมู่บ้านสับเปล่ียนกันตลอดเวลา พรอ้ ม ๆ กบั การละเลน่ ตามประเพณี บทสวดนมี้ ชี อ่ื เรยี กวา่ “ทาโหรค่ วา” พร การปลงศพปจั จบุ นั นยิ ม เผาแทนการฝงั จะมีการอทุ ิศอุปกรณใ์ นการประกอบอาชีพให้กับผลู้ ่วงลบั ดว้ ยซึง่ นำ� ไปว่างไว้ใกลก้ บั ที่ เผาศพ หรือแขวนไวท้ ตี่ ้นไม้บริเวณน้ัน ความเชอื่ ที่ถือสืบ ๆ กนั มา กค็ อื ชาวกะเหรีย่ งเผา่ สะกอเช่ือว่าหลงั จากปลงศพผีของผู้ตายยัง วนเวียนอยู่รอบหมู่บ้านจนกว่าจะพ้นวันท่ีเก็บศพหรือเผาศพแล้ว หากผู้ใดออกนอกหมู่บ้านในช่วงน้ี ผีผ้ตู ายอาจเหน็ เข้าและจบั ขวญั ของผู้นัน้ ไป ซงึ่ จะทำ� ให้ผนู้ นั้ ล้มปว่ ยลงได้ ประเพณแี ละความเช่อื พธิ ขี ึ้นปีใหม่ หรอื นซ่ี อโค่ (กะเหร่ียงพุทธ) วันข้ึนปใี หม่ ภาษากะเหร่ยี งเรียกวา่ นี่ซอโค่ เปน็ ประเพณีทจ่ี ดั ขึน้ พรอ้ ม ๆ กบั ปใี หมส่ ากลคอื วนั ท่ี ๑ มกราคมของทกุ ปี แต่ก่อนจดั ในชว่ งสงกรานตพ์ รอ้ ม ๆ กับปใี หม่ไทยและพมา่ ตกกลางคืนของก่อนวันข้ึนปีใหม่ ผู้น�ำศาสนาที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “ฮ่ีโข่” จะท�ำการเรียก เหลา่ ชาวบา้ นมาชมุ นมุ ในแตล่ ะบา้ นจะสง่ ตวั แทนบา้ นละหนง่ึ คน คอื หวั หนา้ ครอบครวั (ตอ้ งเปน็ ผชู้ าย) ตอนไปชุมนุมจะต้องเตรยี มเหล้า บ้านละหนง่ึ ขวดไปยงั บ้านของผู้นำ� ศาสนา (ฮีโ่ ข)่ ด้วย เมอื่ มาพร้อม กนั ทงั้ คน และเหลา้ แลว้ ฮโ่ี ขจ่ ะเรมิ่ ทำ� พธิ กี รรม พธิ กี รรมนชี้ าวกะเหรยี่ งเรยี กวา่ พธิ กี นิ หวั เหลา้ (เอาะซโิ ค) โดยตอนแรกจะนำ� ขวดเหลา้ มารวมกนั โดยฮโี่ ขจ่ ะทำ� การอธษิ ฐาน จากนน้ั จะรนิ เหลา้ ลงในแกว้ แลว้ ให้ คนทมี่ ารว่ มพธิ ดี มื่ วธิ กี ารดม่ื คอื เอาขวดแรกของคนทมี่ าถงึ กอ่ น ฮโี ขจ่ ะเอามาเทลงแกว้ แลว้ ฮโี่ ขจ่ ะจบิ เป็นคนแรก จากนน้ั กใ็ ห้คนต่อไปจิบต่อ จิบเชน่ นี้ไปเร่อื ย ๆ จนครบทกุ คนทม่ี าร่วมงาน แลว้ วนกลับมา ถึงควิ ฮ่ีโข่ ฮี่โขจ่ ะทำ� การเททิ้งพรอ้ มอธษิ ฐานใหพ้ ร แด่เจา้ บา้ นและครอบครวั ของเจา้ ของเหล้าขวดทไี่ ด้ เทไปแลว้ จะทำ� เชน่ นี้ไปเร่อื ย ๆ จนครบทกุ ขวดของทุกบา้ นทมี่ ารว่ มงาน บางคร้ังบางทหี มู่บ้านไหนที่ มหี ลงั คาเรอื นเยอะอาจทำ� ถงึ เชา้ เลยกว็ า่ ได้ เช้าวนั ขนึ้ ปีใหม่ ชาวกะเหร่ียงจะต่ืนแต่เช้าแล้วมาฆ่าหมู ฆ่าไก่ เพื่อจะน�ำมาประกอบพิธีในวันรุ่งเช้า โดยเริ่ม จากการนำ� ไกท่ ฆี่ า่ แลว้ พรอ้ มเหลา้ หนง่ึ ขวดมาตงั้ ทขี่ นั โตก เพอื่ จะประกอบพธิ มี ดั ขอ้ มอื หรอื เรยี กขวญั ของลูกหลานในแต่ละบ้าน โดยผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวจะเป็นผู้ประกอบพิธีน้ี เวลาน้ีสมาชิกทุกคนใน ครอบครวั จะอยู่กันครบหนา้ (คลา้ ย ๆ กับการรดนำ้� ด�ำหัว) ผู้เฒา่ ผู้แกเ่ ร่มิ มดั ขอ้ มอื ลูกหลาน โดยจะน�ำ ไม้มาเคาะทขี่ ันโตก เช่ือว่า เป็นการเรียกขวัญของลกู หลานใหก้ ลับมาอยกู่ บั เน้อื กบั ตัว จากนน้ั ก็มดั ขอ้ มือพร้อมอธิษฐานให้พร ในค�ำอธิษฐานน้ัน จะกล่าวให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข หลุดพ้นจากส่ิง ชัว่ ร้าย มสี ขุ ภาพรา่ งกายทีแ่ ข็งแรง หลงั จากมดั ข้อมอื เสรจ็ แล้วจะรบั ประทานอาหาร
32 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย กะเหร่ยี งคริสต์ กะเหรี่ยงคริสต์จะมีพิธีกรรมในแบบ ศาสนาของตนเอง คือเข้าโบสถ์ อธิษฐานเสร็จ และรับ ประทานอาหารเขา้ รว่ มกนั จากนน้ั จะมกี ารประมลู ราคาขา้ วของเครอื่ งใชท้ คี่ นในหมบู่ า้ นนำ� มาสว่ นหนง่ึ และอีกสว่ นหนึ่งมาจากภานนอกชุมชน มีการจดั กลุ่มแขง่ กีฬาพื้นบ้านชนดิ ตา่ ง ๆ ตอนกลางคนื มีการ แสดงละครสรา้ งความบนั เทงิ จะไมม่ กี ารไมม่ กี ารดม่ื เหลา้ ในวนั ปใี หม่ ในชว่ งนจี้ ะมกี ารอธษิ ฐานทกุ คนื จนครบ ๗ คนื จงึ จะถอื วา่ สิน้ สดุ พธิ ีข้นึ ปีใหม๔่ วันอสี เตอร์ พธิ กี รรมวันอิสเตอร์ เป็นวนั ทีส่ ำ� คญั ของกะเหร่ยี ง เผ่าสะกอ ทนี่ บั ถอื ศาสนาครสิ ตอ์ กี พธิ ีหนง่ึ จากข้อมูลท่ไี ดจ้ ากผ้ปู ระกอบพิธที างศาสนา ได้เลา่ ถงึ เรอื่ งราวความเปน็ มา และการประกอบพิธกี รรม ในวันอิสเตอร์ ความส�ำคัญวันอิสเตอร์เป็นวันที่พระเจ้าทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ซึ่งมีหลักการ นับวัน และเวลาอยู่ในช่วงวันอาทิตย์ หลังพระจันทร์เต็มดวงของวันท่ี ๒๑ เดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี ตามหลักท่ีพระคัมภีร์ท่ีได้บัญญัติไว้ จึงท�ำให้เกิดความเชื่อในเร่ืองวันอิสเตอร์ เชื่อกันว่าพระเยซูยอม ให้ทหารโรมันแห่งชนชาติอิสราเอลตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เพ่ือถ่ายบาปให้กับมนุษย์โลก หลังจาก ที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลงพระศพของพระองค์ถูกเคล่ือนย้ายเก็บไว้ในอุโมงค์ ก่อนท่ีจะน�ำไปฝัง หลังพระองคส์ นิ้ พระชนมไ์ ดส้ ามวนั พระองค์ไดฟ้ ื้นคนื ชีพในเชา้ มดื ของวันอาทติ ย์ เหตุผลเชื่อกันว่าช่วงเวลาท่ีศพของพระองค์ได้ถูกเก็บไว้ในอุโมงค์ มารี หญิงชาวมักดาลา และสะโลเมเป็นสาวกของพระเยซู หญิงเหล่านี้จะตื่นแต่เช้ามืด เพ่ือท่ีจะน�ำน้�ำมันหอมมารินลงบน พระศพของพระองค์ เป็นการชว่ ยรักษาศพให้คงสภาพไมเ่ นา่ เปอ่ื ย ฉะน้นั เมอ่ื ถงึ วนั อสิ เตอรท์ ุกคนจะ ตนื่ แตเ่ ชา้ มดื เพอ่ื ทจี่ ะไปยงั สสุ านของแตล่ ะครอบครวั จะนำ� ดอกไมท้ เี่ ตรยี มไวน้ ำ� ไปเคารพศพของบรรพ ชนของตนเอง เมื่อทกุ คนทำ� ธุระของตวั เองเสรจ็ ทุกคนในหม่บู ้านมาครบ อาจารยศ์ าสนาจะเปน็ ผเู้ รม่ิ กลา่ วเปิด และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ประเพณบี ุญสญั จร๕ บญุ สญั จร หมายถงึ การไปรว่ มงานบญุ ตา่ งหมบู่ า้ น เปน็ ประเพณขี องกะเหรยี่ งชาวพทุ ธจดั ขนึ้ เป็นประจ�ำปีละหน่ึงคร้ังของแต่ละหมู่บ้าน เช่นเดียวกับงานบุญตานก๋วยสลากของทางภาคเหนือ และงานบญุ ใหญ่ หรอื บุญผะเหวดของภาคอีสาน ๔ วจิ ยั ชาวเขา, ศนู ย.์ ยรรณนทิ ศั น์ ๕ สภาพของชาวเขาในประเทศไทย. กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๒๖. ๕ ประจวบ ประเสรฐิ สงั ข์, เอกสารบรรยาย วชิ า ชนกลุ่มนอ้ ยในประเทศไทย, คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั . ๒๕๔๘, น. ๔๕
กะเหรยี่ ง (กะยนิ ยาง) Karen 33 การจดั ประเพณี หมบู่ า้ นทจี่ ะจดั ประเพณบี ญุ สญั จร จะตอ้ งประชมุ ชาวบา้ นเพอ่ื กำ� หนดวนั งาน และไม่ให้ตรงกับหมู่บ้านอื่น หลังจากได้วันแล้ว ก็จะมีฎีกาแจ้งให้กับหมู่บ้านอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงทราบ เพอ่ื ใหม้ ารว่ มงาน และเปน็ การจองวนั เพ่อื ไม่ให้หม่บู ้านอน่ื จดั ทบั ซอ้ นในวันเดียวกัน ในวันงานน้ัน หมู่บ้านท่ีเป็นเจ้าของงานจะต้องรอต้อนรับ ผู้มาร่วมงานจากต่างหมู่บ้าน โดยการจดั เตรยี มอาหารไวท้ บี่ า้ นของตน เมอ่ื มแี ขกตา่ งหมบู่ า้ นมากจ็ ะเชญิ ไปรบั ประทานอาหารตามบา้ น ไมม่ ีการจัดโรงครัว หลงั จากพระสงฆฉ์ นั ภตั ตาหารเพลเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ กจ็ ะมกี ารประชมุ ฟงั เทศน์ และประชมุ เสวนาเก่ียวกับปญั หาการด�ำรงชีวติ และขอ้ มูลการพฒั นาทอ้ งถิ่นโดย ผนู้ �ำชุมชน มี อบต. เปน็ ตน้ ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติในทุกวนั นี้ ในเขตพน้ื ที่ ต�ำบลวดั จันทร์ อ.แมแ่ จ่ม จ.เชียงใหม่ การแต่งกาย กะเหรี่ยงในประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กะเหร่ียงสะกอ กะเหร่ียงโป และ อกี ๒ กลมุ่ คอื คะยา หรอื บะเว และตองสู หรอื พะโอ กะเหรยี่ งกลมุ่ ตา่ ง ๆ เหลา่ นมี้ วี ฒั นธรรมคลา้ ยคลงึ กัน แต่การแต่งกายของแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะของตนเองท่ีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉะน้ัน ลกั ษณะการแตง่ กายจงึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ทส่ี ามารถบง่ ชใี้ หเ้ หน็ ไดช้ ดั เจนถงึ เอกลกั ษณข์ องกะเหรยี่ งแตล่ ะที่ แตล่ ะกลุ่ม ปัจจุบันกลุ่มกะเหร่ียงท่ียังคงสวมใส่เคร่ืองแต่งกายประจ�ำเผ่าในวิถีชีวิตปกติ มีเพียงกลุ่มโป และสะกอเท่าน้ัน ส่วนกลุ่มคะยา และตองสูไม่สวมใส่ชุดประจ�ำเผ่าในชีวิตประจ�ำวันแล้ว กะเหร่ียง แต่ละกลุ่ม นอกจากจะมกี ารแต่งกายที่แตกตา่ งกัน กะเหรีย่ งกล่มุ เดียวกันแตอ่ ย่ตู า่ งพน้ื ที่ กม็ ีลกั ษณะ การแตง่ กายไมเ่ หมอื นกนั ดว้ ย เชน่ กะเหรย่ี งโปแถบอำ� เภอแมเ่ สรยี ง จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน แตง่ กายมสี สี นั มากกวา่ แถบจังหวัดเชยี งใหม่ หญงิ กะเหรย่ี งสะกอแถบจงั หวดั แม่ฮ่องสอน และอ�ำเภอแม่แจ่ม จังหวัด เชยี งใหม่ ตกแตง่ เสอ้ื มลี วดลายหลากหลาย และละเอยี ดมากกวา่ แถบจงั หวดั ตาก หรอื กะเหรย่ี งโปแถบ จังหวัด กาญจนบุรี ก็มีลวดลายตกแต่งเสื้อผ้าแตกต่างจากภาคเหนือ อย่างเชียงรายที่มีการน�ำแฟช่ัน ใหม่ ๆ มาทำ� ซง่ึ มลี กั ษณะทแ่ี ปลก และแหวกแนวออกไป เชน่ ทำ� ผา้ ปโู ตะ๊ ทมี่ ลี วดลายใหม่ ๆ ทป่ี ระยกุ ต์ และมีลายปักแบบลายไทย บ้างก็ท�ำสไบ เพ่ือขายออกยังมีลูกเล่นลวดลายอื่น ๆ ท่ีเพิ่มอีกมากมายซ่ึง เปน็ ไปตามยคุ สมยั และการพฒั นาของเทคโนโลยี อยา่ งไรกต็ ามกลมุ่ กะเหรย่ี งสะกอ และโปในทกุ จงั หวดั ของประเทศไทย ยังคงรักษาลักษณะร่วมที่แสดงสถานะของหญิงสาว และหญิงแม่เรือน เช่นเดียวกัน คือ หญิงทุกวัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้องสวมชุดยาวสีขาว (เช ควา) เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องเปล่ียนมา เป็นสวมใสเ่ สอ้ื สดี ำ� หรอื ทเี่ รยี กวา่ “เช โม่ ซ”ู และผา้ ถงุ คนละทอ่ นเทา่ นนั้ หา้ มกลบั ไปสวมใสช่ ดุ ยาว สขี าวอกี ส่วนผ้ชู ายทง้ั กลมุ่ โป และสะกอแถบภาคเหนอื มักสวมกางเกงสีด�ำ และสนี �ำ้ เงนิ หรือกรมท่า
34 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ในขณะที่แถบจังหวัดตาก และอ�ำเภอลี้ จงั หวัดล�ำพนู มกั สวมโสร่ง ลักษณะเส้ือผ้ชู ายวัยหนมุ่ ใช้สแี ดง ทกุ กลมุ่ แตม่ ลี วดลายมากนอ้ ย ตา่ งกนั การแตง่ กายในโอกาสพเิ ศษ เชน่ พธิ ปี ใี หม่ พธิ แี ตง่ งาน เนน้ สวมใส่ เส้อื ผา้ ใหม่ จะเห็นชัดวา่ ชายหนมุ่ และหญงิ สาวจะพถิ พี ถิ นั แต่งกายสวยงามเป็นพเิ ศษ การประกอบอาชพี กะเหรย่ี ง หรอื “ ปกากะญอ” ขนึ้ ชอื่ วา่ เปน็ ชนเผา่ ทรี่ กั ความสนั โดษ อยอู่ ยา่ งเงยี บ ๆ ชอบใชช้ วี ติ อยกู่ บั ปา่ ไมล้ ำ� เนาไพร ยดึ ถอื อาชพี ทเ่ี ปน็ อสิ ระ กะเหรย่ี งดงั้ เดมิ สว่ นใหญจ่ ะประกอบอาชพี ทำ� ไร่ ทำ� นา อยู่ตามป่าตามเขา ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล ส่วนสัตว์เล้ียงก็จะเล้ียงไว้เพ่ือเป็นอาหารมากกว่า การค้าขาย ใช้ชวี ิตแบบพ่ึงปา่ พ่ึงน�ำ้ อาศัยอยรู่ วมกันเป็นกลุม่ ใหญ๖่ การเกษตรในอดตี อาชีพการเกษตรเป็นอาชีพท่ีชนเผ่ากะเหรี่ยงจะยึดเป็นอาชีพหลัก เช่น การท�ำไร่ ท�ำนา สมัยก่อนจะชอบท�ำไร่เล่ือนลอย แต่ภายหลังหันมาด�ำนา โดยใช้ช้างเป็นเคร่ืองมือบุกเบิก นอกจาก ท�ำนา ท�ำไร่แลว้ ยังปลูกพืชผกั สวนครวั เอาไว้กินเอง พืชทน่ี ิยมปลกู เป็นจำ� พวก ถ่ัว ข้าวโพด ขิง มะเขอื หัวหอม ผักประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ยังปลูกฝ้ายเอาไว้เองในครัวเรือน เพื่อถักทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม บา้ งก็ปลกู เพอ่ื สง่ ออกในตลาดเพื่อมาเป็นเงนิ จุนเจือครอบครวั การเกษตรปัจจบุ นั อาชีพการเกษตรของชนเผ่ากะเหรี่ยง เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตท่ีเคยปลูกไว้กินไว้ใช้ แต่ภายหลังเริ่มมีการปลูกในปริมาณท่ีเพิ่มมากข้ึน เพ่ือส่งออกในตลาด และนอกจากนี้ยังมีการ เปล่ียนแปลงทางด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร อย่างเห็นได้ชัดว่า สมัยก่อนจะใช้ควายในการไถนา เปน็ หลกั แตป่ จั จบุ นั ไดม้ กี ารใชร้ ถไถเดนิ ตามเขา้ มาแทนทค่ี วาย ทำ� ใหก้ ารเรง่ ทจี่ ะเพม่ิ ผลผลติ ตอ้ งผา่ น กระบวนการแข่งขันทางการตลาดเพ่ิมมากขน้ึ ในสงั คมของชนเผ่ากะเหรี่ยง การรับจา้ งในอดตี ไมม่ กี ารรบั จ้างแต่จะเปน็ การชว่ ยเหลือกนั มากกว่า โดยภาษา ปกากะญอ เรยี กว่า “มาเด๊าะ มากะ” หมายความว่า การลงแขก ซ่ึงลักษณะจะเป็นแบบการเวียนกันในบ้านแต่ละหลัง ซ่ึงเม่ือบ้าน หลงั แรกทำ� งานบา้ นอนื่ ๆ กจ็ ะมาชว่ ยกนั และผลดั เปลยี่ นกนั ไปจนครบทกุ บา้ น การตอบแทนกจ็ ะเปน็ ข้าว อาหาร ทีน่ �ำมาเลีย้ งสูก่ ัน ๖ ปน่ิ แกว้ เหลอื งอรา่ มศร,ี ภมู ปิ ญั ญานเิ วศวทิ ยาชนพน้ื เมอื ง : ศกึ ษากรณชี มุ ชนกะเหรย่ี งในทงุ่ ปา่ ใหญน่ เรศวร, (นนทบรุ ี : สำ�นกั พมิ พโ์ ลกดลุ ยภาพ, ๒๕๓๙) น. ๔๓
กะเหรย่ี ง (กะยนิ ยาง) Karen 35 การรับจ้างปัจจบุ ัน เป็นการท�ำงานรับจ้างแบบขายแรงงาน คอื การท�ำงานจะตอ้ งมีการจา้ งวานกัน และไดร้ บั คา่ ตอบแทนเปน็ เงิน ตามกาลเวลาที่เปลย่ี นไป การเลี้ยงสัตวใ์ นอดตี การเลยี้ งสัตวจ์ ะนิยมเลี้ยงสตั วจ์ ำ� พวกเปด็ ไก่ สกุ ร เพอ่ื น�ำมาเป็นอาหาร โค กระบอื น�ำมาใช้ ไถนา และช้าง น�ำมาใช้ในงานลากไม้ซุง นอกจากนั้นแล้วสัตว์ชนิดต่าง ๆ ยังถูกน�ำมาใช้ในงานพิธี ตา่ ง ๆ ดว้ ย เชน่ งานแต่งงาน ก็จะมกี ารฆา่ หมเู ล้ียงแขก เปน็ ต้น การเลี้ยงสตั วป์ จั จุบัน แรงงานสตั วถ์ กู นำ� มาใชใ้ นเชงิ ธรุ กจิ การทอ่ งเทยี่ วมากขนึ้ เชน่ ชา้ ง กจ็ ะเปน็ การนำ� มาใชใ้ นการ ท�ำทวั ร์ โดยการนำ� นกั ทอ่ งเทยี่ วข้นึ หลัง และเดนิ ชมธรรมชาติ ชมววิ ตามปา่ เขา เป็ด ไก่ สุกร กม็ ีการ เลีย้ งเพือ่ สง่ เข้าโรงฆ่าสัตว์ และน�ำเนอ้ื ท่ไี ด้มาขายให้กบั นกั ทอ่ งเทย่ี วเปน็ หลกั การทอผา้ การทอผา้ ของกะเหรย่ี งกอ่ นทีจ่ ะข้นึ เครือ่ งทอ จ�ำเปน็ จะตอ้ งก�ำหนดวตั ถุประสงคข์ องการทอ กอ่ นวา่ จะทอเพอื่ ใชท้ ำ� อะไร เชน่ ทอยา่ ม ทอเสอ้ื ทอผา้ ถงุ ฯลฯ และตอ้ งกำ� หนดขนาดไปพรอ้ มกนั ดว้ ย ทงั้ นเี้ นอื่ งจากลกั ษณะของเครอ่ื งนงุ่ หม่ ของชนเผา่ กะเหรย่ี ง เปน็ การนำ� ผา้ แตล่ ะชนิ้ มาเยบ็ ประกอบกนั โดยไม่มีการตัด (ยกเว้นความยาว) ดังนั้นการทอผ้าแต่ละครั้งจึงต้องกะให้ได้ขนาดท่ีจะน�ำมาเย็บ แล้วสวมได้พอดีตัว กะเหรี่ยงไม่มีเครื่องมือท่ีใช้เป็นมาตรฐานในการวัด จึงต้องใช้วิธีกะประมาณ โดยอาศัยความเคยชิน การกะขนาดของผ้าที่จะทอแต่ละคร้ัง ผู้ทอจะยึดรูปร่างของตนเป็นมาตรฐาน วา่ เมอื่ ขนึ้ เครอื่ งทอเพอื่ ทอเสอื้ ของตนตอ้ งเรยี งดา้ ยสงู ประมาณเทา่ ไหรข่ องไมท้ เ่ี สยี บบน “แท แบร อะ” หรือไม้ขึ้นเคร่ืองทอ เช่นประมาณว่า “คร่ึงไม้” หรือ “ค่อนไม้” เป็นต้น ฉะน้ันเมื่อต้องทอให้ผู้อื่นจึง ต้องเพ่ิม หรือลดขนาดของด้ายลง โดยอาศัยการเปรียบเทียบจากรูปร่างของผู้ทอดังกล่าว ปกติแล้ว ความกวา้ งของผ้าท่ที อไดม้ ขี นาดเพียง ๑ ใน ๔ ของรอบอก ผสู้ วมใส่ อย่างหลวม ๆ ถา้ ทอผา้ หม่ ความ กว้างอาจเท่ากับ ๑/๒ หรือ ๑/๓ ของความกว้างที่ต้องการก็ได้ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับการน�ำไปประกอบเป็น เครอ่ื งนงุ่ หม่ เชน่ ผนื ผา้ ทท่ี อจะเทา่ กนั ๔ เทา่ ของความยาวแทจ้ รงิ ของเสอ้ื หรอื ชดุ ยาวกจ็ ะทอผา้ ขนาด เดียวกัน คือ ๒ ผืน โดยแต่ละผืนมีความยาว ๒ เท่าของความยาวที่แท้จริง เป็นต้น เครื่องทอผ้าไม่มี หลักฐานท่ีแสดงว่าแต่เดิมรูปแบบของการทอผ้าของกะเหร่ียงเป็นแบบใด แต่เท่าที่ปรากฏให้เห็นมา จนถึงปัจจุบันพบว่าเป็นแบบทอมัดเอว หรือห้างหลังเช่นเดียวกับการทอผ้าของลัวะ และลาหู่ ซึ่งลักษณะการทอผ้าน้ีคล้ายของชาวเปรูสมัยโบราณ ชนเผ่าแถบกัวเตมาลา ฟิลิปปินส์ และแมกซิโก ก็พบวา่ มีการทอผา้ ด้วยเคร่ืองทอแบบห้างหลงั เช่นกัน
36 ชนตา่ งวัฒนธรรมในประเทศไทย การทอผา้ ของกะเหรี่ยง มี ๒ ชนดิ ๑) การทอธรรมดาหรือทอลายขัด คือการสอดด้ายขวางเข้าไประหว่างด้ายยืน ซึ่งแยกสลับ กันข้ึน ๑ ลง ๑ หรือข้ึน ๒ ลง ๒ ตามจ�ำนวนเส้นด้ายท่ีเรียงเมื่อขึ้นเคร่ืองทอ ผ้าท่ีได้เนื้อผ้าจะเรียบ สมำ�่ เสมอ และเปน็ สเี ดยี วกนั ตลอดผนื ใชส้ ำ� หรบั เยบ็ ชดุ เดก็ หญงิ กะเหรย่ี งสะกอ และเยบ็ กางเกงผชู้ าย เท่านั้น โดยปกตดิ ้ายยืน และดา้ ยขวางทใี่ ชใ้ นการทอแบบธรรมดาจะมีจ�ำนวนเท่ากัน ยกเวน้ กรณีท่ใี ช้ ด้าต่างชนดิ กัน เชน่ ด้ายยนื เปน็ ด้ายสำ� เรจ็ รูปซ่ึงเส้นเลก็ และด้ายขวางพ้นื เมือง มขี นาดเสน้ ใหญ่ ตอ้ ง ใช้ดา้ ยยนื จำ� นวนมากกวา่ ดา้ ยขวาง ๒) การทอเป็นลวดลายผ้าท่ีกะเหร่ียงทอใช้ส่วนใหญ่จะมีลวดลายประกอบ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับ การใช้ประโยชน์และความนิยม เช่น ชุดหญิงสาวสะกอจะมีลายขวางบริเวณเหนืออก ผ้าถุงของหญิง แตง่ งานแล้วจะทอลวดลายบรเิ วณไหลอ่ ยา่ งสวยงาม เปน็ ตน้ การทอเปน็ ลวดลายจะเปน็ ทนี่ ยิ มในกล่มุ ผู้หญิงโปมากกว่าผหู้ ญงิ สะกอ การท�ำไรห่ มนุ เวียน๗ ระบบการทำ� ไร่ของชาวกะเหร่ยี ง เปน็ ระบบการทำ� ไรล่ ักษณะหมนุ เวียน โดยมีการหมนุ เวยี น ใชเ้ วลาประมาณ ๗-๑๐ ปีเพอ่ื ท�ำให้ระบบนิเวศที่ถูกทำ� ลายไปเหล่าน้ัน มกี ารฟ้นื ตัวกลบั สู่สภาพเดมิ มี การปลกู พชื หลายชนดิ ในไร่ เชน่ พนั ธข์ุ า้ วประมาณ ๒-๓ ชนดิ ถวั่ ประมาณ ๒-๓ ชนดิ แตงกวา ฟกั ทอง ฟักเขียว และเครอ่ื งเทศหลายชนิด อยา่ งไรกต็ ามชาวกะเหรย่ี ง มีความเช่ือวา่ การท�ำไร่เปรยี บเสมือน การเหยียบบนท่อนไม้ไผ่ อันหมายถึง ความไม่แน่นอนในด้านผลผลิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ของดิน และสภาพดินฟา้ อากาศของแตล่ ะปี ในดา้ นเรอ่ื งราวหรอื ต�ำนานที่เก่ียวกบั การทำ� ไรห่ มนุ เวียน มหี ลายเรอ่ื ง เชน่ หนอ่ สอ่ ซริ (คนกบั ผ)ี จอ ปา จอ โผ่ แฆ (กษตั รยิ ก์ บั ยาจก) กอ แกละ (สิงห์โตกบั เดก็ สาว) ขัน้ ตอนและวัฎจักรการท�ำไรห่ มุนเวียน ๑) การเลือกที่ถางไร่ ประมาณตน้ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ชาวกะเหรย่ี งจะเรมิ่ ตน้ เลอื กหาพนื้ ทส่ี ำ� หรบั ถางไร่ ซงึ่ หมายความ วา่ การผลติ และวงจรชวี ติ เรมิ่ ตน้ ในรอบปใี หมม่ าถงึ อกี ครงั้ หนงึ่ หลงั จากไดพ้ น้ื ทแี่ ลว้ กจ็ ะทำ� เครอื่ งหมาย เอาไว้ โดยจะทำ� เครอื่ งหมายกากบาทไวท้ ต่ี น้ ไม้ เพอ่ื แสดงใหร้ เู้ หน็ กนั วา่ พน้ื ทตี่ รงนม้ี เี จา้ ของจบั จองแลว้ กระบวนการคดั เลอื กพื้นท่ที ำ� ไร่มีดังนี้ ๗ วถิ ไี ถก่ ะเหรย่ี ง : หมนุ เวยี นมใิ ชเ่ ลอ่ื นลอย, http://www.seub.or.th/greennote/greennote-idoo๘.thm, เขา้ ถงึ เมอ่ื วนั ท่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘.
กะเหรีย่ ง (กะยิน ยาง) Karen 37 * ไมเ่ ปน็ พ้นื ทป่ี า่ ตอ้ งหา้ มตามประเพณี * ไมเ่ ป็นขอ้ หา้ มตามประเพณีในการเลือกพ้นื ทท่ี ำ� ไร่ * ไม่มีลางบอกเหตุ อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงเวลาลงมือฟันไร่ ก่อนลงมือฟันไร่หัวหน้าครอบครัวจะอธิษฐาน ภาวนามีใจความวา่ “ผเี อย๋ จงออกไป เทพยดาเอ๋ยจงออกไป ปัญหาอุปสรรคเ์ อย๋ จงออกไปจากพนื้ ทน่ี ี้ เพราะข้าจะฟันไร่และท�ำมาหากินท่ีน่ี เกรงว่าเจ้าจะไม่มีท่ีอยู่อาศัย ต้นไม้ตายให้แตกหน่อ ไม้ไผ่ตาย ให้แตกหน่อ เพราะนี่คือถิ่นท่ีบรรพบุรุษเคยท�ำมาหากินมาก่อน” จากน้ันจะลงมือฟันไร่สักหน่อยหนึ่ง แลว้ กก็ ลบั บ้าน ๒) การปลกู ข้าวไร่ การท�ำมาหากินของชาวกะเหรี่ยงตามประเพณีจะมีการลงแขก เม่ือถึงเวลาหว่านข้าวก็จะไป ช่วยกันให้เสร็จทีละครอบครัว การลงมือหว่านข้าวเจ้าของไร่จะเตรียมพ้ืนที่ส�ำหรับการปลูกแม่ข้าว โดยชายหนมุ่ จะปกั หลมุ และหญงิ สาวจะหยอดขา้ ว ชายหนมุ่ ผซู้ ง่ึ ปกั หลมุ จะไมส่ ามารถหยอดขา้ วไดเ้ ลย ในตลอดวนั นนั้ และหญงิ สาวผซู้ ง่ึ หยอดขา้ วจะไมส่ ามารถปกั หลมุ ได้ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ หากยงั มเี ชอื้ ขา้ วเหลอื อยู่ในมือของผู้หยอดข้าว เจา้ ของไร่จะบอกกบั พวกเขา ใหเ้ กบ็ รวมกันไว้ในกระชุ หญงิ สาวผู้หยอดขา้ ว แรกจะหยบิ มาหน่อยหน่ึง แล้วหยอดเป็นหลุมสุดทา้ ย จากนนั้ กจ็ ะแยกยา้ ยกนั กลับบ้าน พธิ กี รรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ๑) กินเชือ้ ขา้ ว เช้ือข้าวที่เหลือจากการหว่านข้าวเจ้าของไร่จะกลับไปต้มเหล้า เรียกชายหนุ่มและหญิงสาว ทป่ี กั หลมุ และหยอดขา้ วแรกมาดม่ื ดว้ ย พรอ้ มกบั ขอเชญิ ผเู้ ฒา่ ผหู้ นง่ึ มาทำ� พธิ รี นิ หวั เหลา้ และอธษิ ฐาน ขอพรจากเทพยดา ให้ลงมาดมื่ หวั เหล้าและมาโปรดใหข้ ้าวเจริญงอกงามดี พธิ ีกรรมนีเ้ รียกว่า “พิธีกนิ เชือ้ ข้าว” ๒) พธิ เี ลีย้ งผีไร่ เมอ่ื ขา้ วงอกงามเขยี วชอมุ่ เตม็ ทอ้ งไรอ่ ายปุ ระมาณ ๒ เดอื น จะมพี ธิ อี กี อยา่ งหนงึ่ คอื พธิ เี ลยี้ งไร่ พิธีเลี้ยงไร่มีพิธีย่อยอีกหลายพิธีแยกตามวัตถุประสงค์ ได้แก่พิธีเล้ียงไร่ขอพร พิธีเลี้ยงไร่ปัดรังควาญ พธิ เี ลย้ี งไฟ พธิ เี ลยี้ งขวญั ขา้ ว และพธิ เี ลย้ี งไรไ่ ลค่ วามชวั่ ทงั้ หมดนจี้ ะใชเ้ ครอื่ งเซน่ ไหว้ และการทำ� พธิ จี ะ เหมอื นกัน แต่จะตา่ งกนั ทคี่ �ำอธษิ ฐาน ซ่ึงได้บ่งบอกถงึ วตั ถุประสงค์ของแต่ละพธิ ีเอาไว้
38 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ๓) พิธีเลีย้ งผไี รข่ อพร พธิ เี ลย้ี งผไี รข่ อพรเปน็ พธิ ยี อ่ ยขน้ั แรก วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ขอพรจากเทพยดาใหล้ งมาโปรดใหข้ า้ ว งอกงามเจริญเติบโตและได้ผลผลิตที่ดี เคร่ืองเซ่นไหว้ในพิธีประกอบด้วยไก่หน่ึงตัว เหล้าสองขวด หมากสองค�ำ บุหร่ีสองมวน พริก เกลือและปูนขณะท�ำพิธีจะมีการอธิฐานดังนี้ “เจ้าแห่งโลกเจ้าแห่ง แผน่ ดนิ เอ๋ย วันน้เี ล้ียงทา่ น โปรดลงมาด่ืมหัวเหลา้ กนิ หวั ข้าวด้วยเถดิ จงบนั ดาลให้ข้าวเจริญงอกงามดี เพื่อขา้ และครอบครวั จะไดเ้ ป็นเจา้ ของย้งุ เจ้าของฉางด้วยเถดิ ” ๔) พิธีเลย้ี งไร่ปัดรงั ควาญ ค�ำอธิฐานของพิธีกล่าวว่า “ไร่เอ๋ยขณะที่ข้าท�ำมาหากินบนเจ้าอาจจะมีสัตว์ป่า เก้งร้องทัก เสอื รอ้ งทกั งเู ลอ้ื ยผา่ น ตะขาบเลอื้ ยขา้ ม ทำ� ใหเ้ จา้ ไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น วนั นขี้ า้ มาเลยี้ งปดั รงั ควาญใหเ้ จา้ ใหเ้ จ้าจงได้รบั ความสงบร่มเย็นกลับคืนมาดว้ ยเถิด” ๕) พิธเี ลี้ยงเทพอคั คี ค�ำอธิฐานของพิธีกล่าวว่า “ไฟเอ๋ย ใช้เจ้าให้เผาไหม้รอยมีดรอยขวาน ตนไม้นอนราบต้นไผ่ นอนลง ท�ำให้เจ้ามีความรุ่มร้อน วันน้ีข้ามาเล้ียงเจ้าให้สงบและเย็นลง อย่าได้ร้อนถึงข้าว อย่าได้ร้อน ถึงพชื พรรณต่าง ๆ ในไรเ่ ลย” ๖) พิธีเล้ยี งเทพขวัญขา้ ว คำ� อธิฐานของพธิ กี ลา่ ววา่ “ปรอื ..ขวญั ข้าวเอ๋ย จงกลับมาเถดิ พนั ธ์ุขา้ วสิบอยา่ ง พนั ธุ์ขา้ วจาก ทิศเหนือ จากทิศใต้ ขอจงกลับมาวันนี้ กลับมาอยู่ในไร่กลับมาอยู่ในนา ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เต็ม ท้องไรด่ ้วยเถดิ ๗) พิธไี ลค่ วามช่ัวในไร่ คำ� อธฐิ านของพธิ กี ลา่ ววา่ “ไรเ่ อย๋ วนั นข้ี า้ มาเลย้ี งเจา้ เพอ่ื ปดั เปา่ ความชวั่ รา้ ยใหห้ มดสนิ้ ไป ปดั เป่านก ปัดเป่าหนู ปัดเป่าปลวกให้ออกไป หากมีสิ่งใดมากินเจ้า ขอให้ความเห่ียวเฉาจงตามส่ิงน้ันไป เถิด” พิธีกรรมเกี่ยวกับการท�ำไร่ในสมัยน้ีเริ่มเลือนหายไปจากชนเผ่ากะเหรี่ยง เนื่องจากกะเหร่ียง ส่วนใหญ่ได้หันมายึดอาชีพท�ำนาข้าวแทนไร่ข้าว และเม่ือมีความเจริญเข้ามามาก วิถีชีวิตแบบเก่า ๆ ก็เรม่ิ จางหายไปตามกาลเวลา อาชพี ใหม่ ๆ ก็เร่ิมมาบดบังความเป็นอดตี ของชนเผ่ากะเหรย่ี ง
กะเหรี่ยง (กะยิน ยาง) Karen 39 ปกากะญอกับช้าง ๑) ความสมั พันธ์ของคนกับช้าง ถ้าพดู ถงึ คนกับชา้ ง กะเหรี่ยง จะอย่กู บั ชา้ งมาตลอด ตั้งแต่สมยั ก่อนแลว้ จากคำ� บอกเลา่ ของ พ่อเฒ่า ชัย กาทู ผู้ก่อต้ังทัวร์ช้าง บ้านรวมมิตร จ.เชียงราย กล่าวว่า “ถ้าพูดตรง ๆ คนกับช้างจะอยู่ รว่ มกันมา ต้งั แต่สมยั บรรพบุรุษมาแล้ว ลาวกบั กะเหร่ยี งและคนเมอื งทางใต้ ทางอตุ รดติ ถ์ จะมีความ ผูกพันกับช้างมาเป็นเวลายาวนาน และเลี้ยงช้างมาโดยตลอด” ตัวอย่างเช่น กะเหรี่ยงทาง จังหวัด แมฮ่ อ่ งสอน จะอยกู่ บั ชา้ งมานาน เรม่ิ ตง้ั แตร่ นุ่ ปทู่ วดมาแตก่ อ่ นแลว้ ทางแมส่ ะเรยี ง กะเหรย่ี งทนี่ น่ั เลยี้ ง ช้างแบบปล่อยไว้ เพราะเมื่อก่อน ถนนหนทางยังไม่มีและไม่มีทางรถผ่านเข้าไป หมู่บ้านที่นั่นจะเป็น ทางป่าเป็นส่วนใหญ่ ล�ำบากต่อการขนส่งเสบียงอาหาร กะเหรี่ยงท่ีนั่นจึงเลี้ยงช้างไว้เพื่อใช้เป็นยาน พาหนะ ในการเดินทางไปยังท่ตี ่าง ๆ จนกระทงั่ ใชล้ ากไม้ซงุ ทำ� บา้ นเรือน ชว่ งปลูกขา้ วเก่ียวขา้ วเสร็จ จะใช้แรงงานช้างในการขนส่งมาเก็บไว้ในยุ้งฉาง การทำ� งานทุกอย่างแทบที่จะใช้แรงงานช้างเป็นส่วน ใหญ่ ฉะน้ัน ช้างจึงเปรียบเสมอื นเพอ่ื นคูช่ ีพของชนเผ่ากะเหรยี่ งมาจนถงึ ปัจจุบัน ๒) ต�ำนานของกะเหรย่ี งกบั ช้าง มีต�ำนานเร่ืองหน่ึงของชาวกะเหรี่ยงว่า เม่ือสมัยก่อนมีเด็กพี่น้องอยู่สองคน วันหนึ่งแม่ส่ังให้ อยบู่ า้ นเฝา้ บา้ นไว้ กอ่ นทแี่ มจ่ ะออกไป แมไ่ ดส้ งั่ เดก็ ทงั้ สองไวว้ า่ อยา่ เปดิ ฝากระบอกไมไ้ ผ่ ซง่ึ มแี มลงวนั อยูใ่ นนนั้ แลว้ แมก่ ็ออกไป แต่ดว้ ยความซุกซนของเด็กทงั้ สอง จึงลองเปดิ ฝากระบอกไมไ้ ผ่นั้นดู ทนั ใด นน้ั แมลงวันจงึ บนิ ออกมาจากกระบอกไมไ้ ผ่ และบินเข้าไปในจมกู ของเด็กทง้ั สองนน้ั ทันที จากนน้ั เดก็ ทง้ั สองเรม่ิ มอี าการคนั ตามเอวตามตวั แขง้ ขาเรม่ิ ใหญย่ าวขนึ้ จมกู เรมิ่ ยาวขนึ้ เมอื่ แมก่ ลบั มาเหน็ กต็ กใจ เห็นทา่ ทเี ดก็ สองคนนี้ใชไ้ มไ่ ด้แลว้ เอาข้าวใหก้ ินก็ไมก่ นิ เอานํา้ ให้กนิ ก็ไม่กิน จากนั้นไมน่ านเด็กทั้งสอง คนก็เร่ิมออกจากบ้านหาหญ้ากิน ตัวโตข้ึนเร่ือย ๆ และกลายพันธ์ุมาเป็นช้าง ในขณะเดียวกันมี ผู้เฒ่า ๒ คน มาเห็นเข้าแล้วได้กล่าวว่า คนที่กลายเป็นช้าง จะอยู่ร่วมกันไม้ได้ คนต้องใช้แรงงานช้าง เพราะช้างพูดภาษาคนไม่ได้แล้ว พอนึกได้ดังน้ันจึงเรียกเด็กท้ังสองที่กลายเป็นช้างแล้วมา แล้วให้ แลบลิ้นออก แล้วจึงท�ำการทอนลิ้นช้าง แล้วเสียบกลับด้านกัน (ถ้าสังเกตดูดี ๆ ช้างจะมีล้ินกลับด้าน กนั ไมเ่ หมอื นสตั วป์ ระเภทอนื่ ) จากนน้ั ชา้ งกเ็ รมิ่ กลายพนั ธม์ุ าเรอื่ ย สบื พนั ธก์ุ นั มาเรอื่ ย ๆ จนถงึ ปจั จบุ นั นี้ ๓) ทัวร์ชา้ ง จากค�ำบอกเล่าของผู้จัดการทัวร์ช้างชาวกะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร จังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า สมยั กอ่ นชนเผา่ กะเหรย่ี งจะใชช้ า้ งลากไมซ้ งุ ทำ� ปา่ ชลประทาน แตม่ าปจั จบุ นั นเ้ี จา้ หนา้ ทป่ี า่ ไมไ้ ดท้ ำ� การ ปิดป่าเป็นป่าสงวน ตั้งแต่แรกเร่ิม คนเฒ่าคนแก่ เม่ือก่อนเขาท�ำไม้มา ภายหลังมีการปิดป่า จึงเลิก ท�ำไม้ เห็นว่า หมู่บ้านรวมมิตร จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีดีอยู่จุดหนึ่ง จะมาทางเรือก็ได้
40 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย หรอื มาทางรถกไ็ ดอ้ ยบู่ า้ นรวมมติ รสามารถไปทย่ี งั หมบู่ า้ นชาวเขาไดห้ ลายท่ี อยา่ งเชน่ จะไปหมบู่ า้ นลา หู่กไ็ ด้ ไปอาขา่ ก็ได้ ไปบา้ นเมี่ยนกไ็ ด้ รอบหมบู่ ้านกไ็ ด้ ฉะนนั้ นักทอ่ งเท่ยี วจงึ แลเหน็ ความสะดวกสบาย ก็เลยมาเทีย่ วเพมิ่ ขนึ้ เรื่อย ๆ จนมาถงึ ทุกวันนี้ แหล่งที่มาของช้างท่นี ำ� มาท�ำเป็นทวั ร์ สว่ นใหญ่จะเป็น ช้างที่มาจาก อ.แม่สะเรียง และ อ.แมฮ่ ่องสอน ชา้ งเหลา่ นี้ถกู เลย้ี งเพือ่ ใช้ลากไม้ซงุ ในสมัยกอ่ นเมอ่ื เลกิ ท�ำไม้ จงึ นำ� มาท�ำเป็นทัวร์ช้างเพ่ือจะไดร้ กั ษาชา้ งไว้ให้คกู่ บั กะเหรี่ยงตลอดไป ๔) ความรกั ความผกู พนั จากค�ำให้สัมภาษณ์ของควาญช้างชาวกะเหร่ียงได้กล่าวว่า “ถ้าพูดถึงช้าง จะรักเหมือนลูก เหมอื นเมยี คนหนึ่ง บางครัง้ กลางดึก ได้ยินเสียงช้างร้องในป่ากต็ ้องวงิ่ ไปดูจะมดื จะคา่ํ ก็ต้องไป” ถ้าพูด ถึงความรักก็จะรักมาก บางครั้งเอากลับมาจากปา่ ต้องดูแลอยา่ งดี หากตดิ โรคผวิ หนังกลับมา ก็ตอ้ งหา ซือ้ ยามาใสใ่ ห้ รกั เขาเหมอื นลกู ดูแลเขาเหมือนเดก็ คนหนงึ่ ท่ีบางคร้ังเลบ็ มือเล็บเทา้ แตก ต้องรีบหายา มาใสใ่ ห้ เมอื่ กอ่ นเคยมชี า้ งตาย ๑ ตวั เสยี ใจและรอ้ งไหม้ ากเหมอื นญาตขิ องเราเสยี คนหนงึ่ ไมเ่ คยเรยี น หนังสืออยู่กับช้างมาตั้งแต่ยังเล็กจนโต ไม่เคยทอดทิ้งหรือห่างเหินกันมาก่อนเลย ถ้าไม่ได้เห็นน่ากัน ก็เหมือนไม่มีความสุข จะเปรียบเทียบก็เหมือนครูไปสอนหนังสือเด็กทุกวัน หากวันใดไม่ได้ไปสอน กเ็ หมอื นขาดอะไรไปสกั อยา่ งหนงึ่ เหมอื นไมม่ คี วามสขุ บางวนั ไดเ้ งนิ บา้ ง หรอื ไมไ่ ดเ้ ลย กข็ อใหไ้ ดด้ แู ลเขา ไดไ้ ปย้ายทเ่ี ขา ไดเ้ อานํ้าให้กินแค่นมี้ นั กเ็ ปน็ สขุ แลว้ ๕) การดแู ลและการใหอ้ าหารชา้ ง ในแต่ละวัน หน้าท่ีของควาญช้าง (คนเลี้ยงช้าง) จะต้องต่ืนแต่เช้าเข้าไปในป่าเพื่อท่ีจะไปรับ ช้างของตวั เองกลบั มาในหมบู่ ้าน เม่ือกลับมาถึงจะพาช้างไปอาบนา้ํ การอาบน้ําจะอาบกบั นาํ้ ธรรมดา ใช้มือล้างข้ีดินออกจากตัวช้าง บางคร้ังก็ใช้เครือหมาบ้า (เป็นพันธ์ุไม้ชนิดหน่ึงที่อยู่ในป่า) ถูให้กับช้าง เพอื่ ปอ้ งกนั แมลงตา่ ง ๆ ทอ่ี ยใู่ ตผ้ วิ หนงั ใหอ้ อกจากตวั ชา้ ง หลงั จากถเู สรจ็ กเ็ อาทน่ี ง่ั ใสห่ ลงั ชา้ ง แลว้ กลบั เข้าคิวเพื่อรอรับนักท่องเที่ยว เมื่อรับนักท่องเที่ยวเสร็จ ตกเย็นก็เอาที่น่ังออก จากนั้นก็อาบนํ้าช้าง อกี รอบหนงึ่ เมอ่ื เสรจ็ กจ็ ะพาไปปลอ่ ยในปา่ บางคนกจ็ ะผกู ไวก้ บั เสาบา้ น แลว้ หาอาหารใหก้ นิ เอง สำ� หรบั อาหารช้าง จะมีอาหารท่ีช้างหากินได้เองตามป่า ได้แก่ พวกหญ้า ใบไม้ไผ่ ต้นกล้วยป่า ต้นกก และ อีกหลายอยา่ งทีก่ นิ ได้ ส่วนอาหารท่เี ป็นอาหารเสรมิ ได้แก่ ต้นอ้อย สัปปะรด กลว้ ยสกุ หรอื ขา้ วโพด อยา่ งอนื่ อกี หลายอยา่ งทเี่ ปน็ ผลไม้ “ควาญชา้ งไดก้ ลา่ วอกี วา่ เราเลย้ี งชา้ งถา้ เราไมด่ แู ลเขา และหาอาหาร ดี ๆ มาให้เขา ช้างก็จะไม่มีพละก�ำลังที่ดีและจะล้มป่วยได้ง่าย” ท้ังหมดท่ีกล่าวมาเป็นส่ิงเห็นอย่าง ชัดเจนว่า เผ่ากะเหรี่ยงเป็นเผ่าที่ผูกพันและอยู่กับช้างมาต้ังแต่บรรพบุรุษ และจะยังคงอยู่คู่กับช้างไป ตราบช่วั ลกู ช่ัวหลาน
บทท่ี ๓ มง้ (แมว้ ) Hmong (Meo) ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน หรือ แม้ว-เย้า (Hmong-Mien or Meo-YaoLanguage Family) Synonyms: H’moong, Meau, Mong, Miao อาศยั อยใู่ น ๑๓ จังหวัดภาคเหนือ๑ ประวตั คิ วามเปน็ มา แมว้ เปน็ ชาวเขาสายจนี -ธเิ บต เรยี กตนเองวา่ มง้ ในยคุ ของขงจอ้ื เอกสารจนี เลม่ หนง่ึ ไดก้ ลา่ ว ถงึ ชนพวกนว้ี า่ เปน็ “พวกอนารยชนแหง่ ขนุ เขา” และเปน็ พวกกบฎ ทพ่ี งึ รงั เกยี จของจนี ในระยะแรกของ การรวมเปน็ เผา่ พนั ธ์ุ ชาวมง้ ไดส้ รา้ งวฒั นธรรม ประจำ� เผา่ ของตนเองไวอ้ ยา่ งมนั่ คงแลว้ ซง่ึ ยงั คงปรากฏ อยู่จนทุกวนั นี้ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ และ ๒๔ ชาวม้งได้อพยพมาทางตอนใต้ เข้าสู่ตังเก๋ียและ ประเทศญวน ได้มีการสู้รบกับพวกญวน แต่ต่อมา พวกม้งก็ได้ถอนตัวออกจากท่ีราบ ซ่ึงมีอากาศช้ืน ดว้ ยความสมัครใจ ของพวกเขาเอง คอ่ ย ๆ ถอยกลับข้นึ สู่ภูเขา และไดอ้ ยู่ตอ่ มาจนปจั จุบนั นอกจากน้ี กม็ มี ง้ อกี พวกหนงึ่ อพยพเขา้ สพู่ มา่ และตงั้ ถน่ิ ฐานอยบู่ รเิ วณภเู ขาเชน่ เดยี วกนั มชี าวมง้ บางสว่ นไดอ้ พยพ จากประเทศลาวและพมา่ เขา้ สู่ประเทศไทย มาอาศยั อยทู่ างเหนือของประเทศไทย มง้ ในประเทศไทย แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กลมุ่ คอื มง้ นำ� เงนิ (มง้ ลาย มง้ ดำ� มง้ ดอก) และมง้ ขาว การแบง่ มง้ เปน็ ๒ สาขาดงั กลา่ วนี้ ก็โดยอาศัยความแตกต่างทางภาษา เคร่ืองแต่งกาย และชื่อท่ีพวกเขาเรียกตัวเอง ม้งในประเทศไทย อาศัยกระจัดกระจายกันอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือ เช่น ในจังหวัดน่าน เชียงราย เชียงใหม่ และยงั พบหมบู่ า้ นมง้ ตงั้ ถนิ่ ฐานอยใู่ นจงั หวดั ตาก แพร่ เพชรบรู ณ์ และพษิ ณโุ ลก ชาวมง้ ในประเทศไทย มสี ายสมั พนั ธก์ ับพวกม้งขาว ในประเทศจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นพวกทอ่ี พยพมากท่ีสุดในชว่ งปลายศตวรรษ ที่ ๑๙ ม้งในประเทศไทยพูดภาษาท่ีมีความคล้ายคลึงกับภาษาท่ีใช้อยู่ทางตอนใต้ ของประเทศจีน ภาษาพูดของมง้ กลมุ่ ยอ่ ยต่าง ๆ ในประเทศไทย สามารถจะใช้ตดิ ตอ่ กนั ไดแ้ ม้ว่าจะมีความแตกต่างกนั ๑ สงเคราะหช์ าวเขา, กอง. กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม ทำ�เนยี บชมุ ชนพน้ื ทส่ี งู ๒๐ จงั หวดั ในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐. (นนทบรุ ี : สหพรน้ิ ตง้ิ การพมิ พ)์ , ๒๕๔๑. น. ๓๒
42 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย การตั้งถนิ่ ฐาน จะตั้งบ้านเรือนบนภูเขาสูงห่างไกลจากชาวเขาเผ่าอ่ืน ๆ บ้านเรือนปลูกเป็นโรงติดกับพ้ืนดิน ฝาเรือนท�ำจากไม้ฟากตั้ง คนมีฐานะจะใช้ไม้กระดาน ต้งั เรียงกนั ขนาบด้วยไม้ไผ่ หลงั คาใช้ไม้ไผผ่ ่าครง่ึ ตามทางยาว บางหมบู่ ้าน มงุ หลงั คาด้วยใบคาหรือใบก้อ ภายในบา้ นมีเตาไฟ โดยใช้ดินก่อส�ำหรับวาง ภาชนะ ครกตำ� ขา้ วอยู่ในบา้ นทางดา้ นหน้า ขา้ ง ๆ ครกมรี ้านยกสูง ๑ ศอก ใช้เป็นท่ีเก็บขา้ วไร่ ข้าวโพด เครื่องมือเพาะปลูก ประตูหลังมีแท่นบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ หรือผีเรือน ติดกับตัวบ้านเป็นโรงม้า คอกหมู เลา้ ไก่ สรา้ งดว้ ยไมไ้ ผ่ ไมม่ รี ้ัวบ้านหรือรั้วหมบู่ า้ น เหมอื นชาวอาขา่ (กอ้ )๒ วิถีชีวติ การเกิด ในอดีตม้งมีความเช่ือว่า การต้ังครรภ์เกิดจากผีพ่อผีแม่ให้เด็กมาเกิด เวลาใกล้คลอดหญิงมี ครรภจ์ ะไมไ่ ปไหนมาไหนโดยลำ� พัง จะตอ้ งมีเพ่อื นไปด้วยอย่างน้อย ๑ คน การคลอดบุตรเปน็ ไปตาม ธรรมชาติ โดยหญงิ ตงั้ ครรภจ์ ะนง่ั อยบู่ นมา้ นงั่ ขนาดเลก็ หนา้ หอ้ งนอนเอนตวั พงิ สามี ปดิ ประตบู า้ นหา้ ม เดก็ เข้าไปยุง่ ในบา้ น หลงั จากคลอดเสรจ็ จะทำ� ความสะอาดเดก็ ตดั รกดว้ ยกรรไกร ถา้ เปน็ เดก็ ชายจะนำ� รกไปฝงั ไว้ ทเี่ สากลางบ้าน ซ่ึงเปน็ เสาท่มี ผี ีเสาสถติ อยู่ เพราะเดก็ ผชู้ ายควรจะรเู้ รือ่ งผี ถ้าบุตรเป็นหญิงจะฝังรกไว้ ใต้แคร่นอนของมารดาเพราะต้องการให้ลูกสาวรู้จักรักนวลสงวนตัวและรู้จักการบ้านการเรือน เด็กที่ เกดิ ได้ ๓ วัน บดิ าจะทำ� พธิ ตี ั้งช่อื โดยต้องนำ� ไก่มาเซน่ ไหว้ผีบรรพบรุ ษุ ๒ ตวั และขอบคุณผีพอ่ ผีแมท่ ี่ สง่ เดก็ มาเกดิ พรอ้ มทงั้ บอกผบี า้ นขอใหค้ มุ้ ครองเดก็ และรบั ไวเ้ ปน็ สมาชกิ ของครอบครวั ของวงศต์ ระกลู ม้งเชื่อวา่ ถ้าเด็กท่เี กดิ มายังไมค่ รบ ๓ วนั ยังไมเ่ ปน็ มนษุ ย์ หรือยังเป็นลกู ผีอยู่ จึงยงั ไม่ต้ังชอ่ื ให้ หากเด็ก นน้ั ตายลงจะไมท่ ำ� บญุ ศพใหต้ ามประเพณแี ละสามารถนำ� ไปฝงั ไดเ้ ลยในปจั จบุ นั นม้ี ง้ ทเี่ ปน็ ผเู้ ฒา่ ผใู้ หญ่ บางคนยังมีความเช่อื นี้อยู่ แต่ม้งทีไ่ ด้รบั การศึกษา จะไม่คอ่ ยมีความเชอ่ื เช่นนี้ แตเ่ ดก็ หรือบตุ รทเี่ กดิ มา จะต้องมีการท�ำพิธีตามประเพณีของม้งทุกประการ ส่วนการเกิดในปัจจุบันน้ี ส่วนใหญ่จะไปคลอดท่ี โรงพยาบาลเท่านั้น ม้งจะไม่คลอดเองตามธรรมชาติ เนื่องจากเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายต่อหญิง ต้ังครรภไ์ ด้ดว้ ย การแต่งงาน การแตง่ งานของมง้ ฝา่ ยชายจะเปน็ ผไู้ ปสขู่ อฝา่ ยหญงิ เมอ่ื สขู่ อไดแ้ ลว้ จงึ นยิ มจดั พธิ แี ตง่ งานใน วนั เดียวกัน พธิ ีแต่งงานมักนิยมกระท�ำกนั ในตอนเชา้ ท่ีบา้ นของฝา่ ยหญิง โดยทางฝ่ายชายเปน็ ผูจ้ ัดหา ๒ ขจดั ภยั บรุ ษุ พฒั น,์ ชาวเขา, (กรงุ เทพฯ : แพรพ่ ทิ ยา, ๒๕๓๘). น. ๓๙
มง้ (แม้ว) Hmong (Meo) 43 หมแู ละไกม่ าใหฝ้ า่ ยหญงิ สำ� หรบั เลย้ี งแขก และถา้ หากเปน็ ไปไดจ้ ะมกี ารฆา่ ววั เลยี้ งแขกทม่ี าในงานดว้ ย งานเล้ียงจะนานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานภาพทางครอบครัวของฝ่ายชาย เหล้าท่ีต้มเองก็จะถูกริน แจกจ่ายไปอย่างทั่วถึงในงานเลี้ยงน้ี ท่ีบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าวจะมีการจัดหาเถ้าแก่ของตนไว้สองคน เม่ือฆ่าไก่ และต้มไก่เรียบร้อยแล้ว จะอัญเชิญผีบ้านมากินไก่เครื่องเซ่นท่ีเตรียมไว้ หลังจากนั้นจึงเชิญ เถา้ แก่ท้ังสองให้นงั่ ด่ืมเหล้า และรับประทานไก่ที่โตะ๊ ด่งั การเซ่นผีบา้ น เงนิ สินสอด เงินสนิ สอดของม้งในอดีตนยิ มใชเ้ ปน็ เงินแท่งหรอื เงินเหรยี ญอินโดจีน โดยปกติบิดามารดาจะ เป็นผู้จัดหาเงินสินสอดนี้ให้ เงินสินสอดจะถูกแบ่งให้กับญาติ ปัจจุบันเงินสินสอดมีการใช้ธนบัตรแทน การใชเ้ งนิ แท่ง สินสมรส ในอดตี สนิ สมรสมง้ คอื สนิ สมรสทบี่ ดิ าของฝา่ ยเจา้ สาวมอบใหก้ บั คบู่ า่ ว-สาวนำ� ไปเปน็ ทนุ ทรพั ย์ ในการด�ำรงชีวิต จะมอบให้หลังจากเสร็จพิธีแต่งงาน บิดาของเจ้าสาวจะมอบสินสมรส ซึ่งโดยปกติ ประกอบด้วย วัว หมู ห่วงคอเงิน และเส้ือผ้าให้แก่คู่สมรสโดยผ่านเถ้าแก่ของฝ่ายชาย หรืออาจมอบ เป็นเงินแท่งก็ได้ ส�ำหรับวัวซ่ึงเป็นสินสมรสน้ี ถ้าต่อมาภรรยาถึงแก่กรรม เพื่อเป็นเกียรติแก่ภรรยา สามีจะส่งข่าวให้บิดาหรือญาติของภรรยาเป็นผู้มาฆ่าวัว หากภรรยาย้ายไปแต่งงานใหม่ ม้งนิยมมอบ สินสมรสให้แก่บดิ ามารดาของสามคี นเดมิ ซึง่ ในปจั จุบันยงั คงยึดถือเปน็ กฎหรือขอ้ บังคบั เรียกวา่ จารตี ประเพณี การตาย ม้งเชื่อว่าพิธีศพท่ีครบถ้วนถูกต้อง จึงจะส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ และควรท่ีจะตายในบ้าน ของตน หรอื บา้ นญาตกิ ย็ งั ดี เมอ่ื ทราบแนช่ ดั วา่ บคุ คลนน้ั ใกลเ้ สยี ชวี ติ แลว้ บรรดาญาตสิ นทิ จะมาชมุ นมุ พร้อมเพียงกัน เพื่อท่ีจะได้มาดูแลคนท่ีใกล้จะเสียชีวิต ม้งมีความเชื่อว่าการตายในบ้านของตนเองน้ัน เป็นผู้มีบุญมาก เพราะได้เห็นลูกหลานของตนเองกอ่ นตาย ผตู้ ายจะไดน้ อนตายตาหลบั พรอ้ มกบั หมด หว่ งทกุ อยา่ ง เมอื่ แนใ่ จวา่ สน้ิ ลมหายใจแลว้ ญาตจิ ะยงิ ปนื ขนึ้ ไปบนฟา้ ๓ นดั เปน็ สญั ญาณบอกวา่ มกี าร ตายเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นชาวบ้าน หรือญาติใกล้เคียงจะมาช่วยกันจัดงานให้กับผู้ตาย โดยอาบน�้ำ ให้ศพก่อน จากนน้ั ก็จะแต่งกายใหศ้ พ ด้วยเส้ือผ้าท่ีลกู หลานไดเ้ ตรยี มไว้ใหก้ อ่ นตาย ซึ่งเปน็ ผ้าปักดว้ ย ลวดลายงดงาม มีผ้ารองศีรษะต่างหมอน หากว่าเป็นผู้ชายจะมีผ้าคาดเอว หรือปกเส้ือ หากว่าเป็น ผู้หญิงบริเวณใบหน้าจะคลุมด้วยผ้าแดง ผู้ชายจะให้แต่งกายด้วยเคร่ืองแต่งกายของผู้หญิง ส่วนผู้ตาย ท่เี ปน็ ผู้หญงิ จะให้แต่งกายดว้ ยเครอ่ื งแตง่ กายของผู้ชาย แล้วนำ� ศพไปวางนอนขนานกบั ฝาบา้ นดา้ นใน ซ่ึงอยู่ตรงกันข้ามกับประตูบ้าน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละนามสกุลที่แตกต่างกันออกไป จะมี
44 ชนตา่ งวฒั นธรรมในประเทศไทย การผูกข้อมือญาติทุกคนด้วยผ้าสีแดง ห้ามแกะออกจนกว่าจะเสร็จงานศพ บางแซ่จะมีการคาดศีรษะ ดว้ ยผา้ สขี าว ชาวมง้ เชอื่ วา่ เมอ่ื มเี ดก็ หรอื ใครกต็ ามทหี่ กลม้ บรเิ วณบา้ นของผตู้ าย ใหร้ บี ทำ� พธิ เี รยี กขวญั บคุ คลนนั้ กลบั มา มฉิ ะนน้ั วญิ ญาณของผตู้ ายจะนำ� วญิ ญาณของผหู้ กลม้ ไปดว้ ย มกี ารสวมรองเทา้ ใหศ้ พ ศพจะถูกจัดวางบนแครห่ ามสูงจากพืน้ ประมาณ ๑ เมตร ต้งั บนพน้ื ใกลห้ ิ้งผบี รรพชน ภาษามง้ เรียกวา่ “สือ ก๋าง-xwm kaab” รอให้ญาติมารวมกันครบ ระหว่างรอญาติเดินทางมา จะมีการต้ังข้าวให้ศพ วนั ละ ๓ เวลา แตล่ ะครง้ั จะต้องยิงปนื ๓ นัด และมีการจดุ ตะเกยี งวางไวท้ ลี่ ำ� ตัวของศพ หากผู้ตายยงั มหี นีส้ ินอยู่ ญาตจิ ะชว่ ยกันชำ� ระหน้ีแทนให้เรยี บร้อยก่อนจะฝงั ศพ เพ่อื ให้ผู้ตาย มีชีวิตท่ีเป็นอิสระ ม่ังค่ัง และมีความสุขในชาติหน้า (ปัจจุบันได้เปล่ียนเป็นการน�ำศพไว้ในโลง เพื่อไม่ ให้ศพมีสภาพทไ่ี มน่ า่ ดู แตท่ ง้ั นีก้ ็ข้ึนอย่กู บั ความเชือ่ และฐานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครัวนั้น ๆ ด้วย) เมือ่ ญาตมิ ากนั ครบแล้ว จงึ นำ� แครว่ างศพตั้งในท่สี ูงเหนือพนื้ และฆา่ ไกส่ �ำหรับเซ่นไหวน้ �ำไปวางไว้ขา้ ง ศรี ษะศพ ผเู้ ฒา่ ซงึ่ เปน็ หมอผใี นการทำ� พธิ สี วดใหผ้ ตู้ ายไปสู่ ในระหวา่ งจดั พธิ ศี พนน้ั จะมกี ารพบั กระดาษ เป็นรูปเรือหรือเงินของคนจีน กระดาษท่ีใช้จะเป็นกระดาษเงิน กระดาษทอง หากผู้ตายเป็นผู้สูงอายุ ลูกหลานจะรวมตัวกัน เพ่ือคาราวะศพทุกวนั เช้า และเย็น ภาษามง้ เรียกวา่ “ซอม-xyom” มีพิธีการ มอบผ้าปัก เป็นผ้าส่ีเหลี่ยมสีแดง มีการปักเป็นลวดลายต่าง ๆ ภาษาม้งเรียกว่า “น๋อง จ๋อง-noob ncoos” ซ่ึงผ้าเหล่านี้จะท�ำให้วิญญาณมีไร่ มีนา มีทรัพย์สิน มั่งคั่งร�่ำรวยในชาติหน้า ผู้ที่จะให้ นอ๋ ง จอ๋ ง-noob ncoos นคี้ อื ลกู สาวของผตู้ ายจะเปน็ ผทู้ ที่ ำ� ให้ มกี ารตดั กระดาษแขวนไวข้ า้ งฝาทง้ั สอง ขา้ งของตวั บา้ น เพอ่ื ทจ่ี ะเผา และเปน็ การสง่ ตวั ผตู้ ายใหไ้ ปถงึ ทห่ี มายดว้ ย (ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารนำ� พวงหรดี ไว้อาลัยร่วมกับการแขวนกระดาษด้วย) พิธีศพของม้งบรรดาญาติ และผู้คนท้ังที่อยู่ในหมู่บ้านนั้น ๆ และตา่ งหมบู่ า้ นจะมาชว่ ยเหลอื พธิ กี รรมดว้ ยทกุ คนื โดยเฉพาะสมาชกิ ในบา้ นทเ่ี ปน็ ผชู้ าย ภาษามง้ เรยี ก ว่า “เปา้ หย้นุ -txwg tuag” ซ่ึงเชอื่ กันว่า เม่อื เราไดใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื เขา และเม่ือครอบครัวของเรามี งานศพจะได้มีคนอื่นมาช่วยอีก เป็นการแสดงน�้ำใจอย่างหนึ่งของชาวม้ง หากผู้ตายเป็นบุคคลท่ีมี ชื่อเสียง และเป็นท่ีนับหน้าถือตาแก่บคุ คลท่วั ไป จะจดั พธิ ใี หญโ่ ต และครบถ้วนแขกเหรื่อ หรอื บคุ คลท่ี รู้จักกับผู้ตาย จะมาร่วมแสดงความอาลัยอย่างสุดซ้ึงต่อหน้าผู้ตาย โดยทายาทของผู้ตายจะเป็นผู้ไป รับแขกด้วยตัวเองถึงประตูบ้าน และเชิญให้แขกมายังตัวศพเพ่ือร่วมไว้อาลัย เมื่อมีแขกที่ให้ความช่วย เหลือทุนทรัพย์ในการจัดพิธีศพ ทายาทของผู้ตายซ่ึงเป็นเจ้าภาพจะต้องกล่าวขอบคุณแขกผู้นั้นด้วย ซง่ึ ในคนื กอ่ นวนั ทจี่ ะนำ� ศพไปฝงั จะมกี ารสวด และบอกเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ในภาษามง้ เรยี กวา่ “ฮา่ จดื สาย- has txwv xaiv” โดยจะมีคนหน่ึง ซ่ึงร�่ำเรียนมาทางด้านการสวดโดยเฉพาะเป็นผู้บอกกล่าว นิยมท�ำ กันกรณที ี่ผูต้ ายเปน็ ผใู้ หญท่ ี่มีลูกหลาน หรือญาติพ่นี อ้ งเยอะ และผตู้ ายเป็นบุคคลท่มี ชี ือ่ เสยี งเปน็ ทนี่ ับ หน้าถือตา ทุกคืนที่มีการสวดจะมีบรรดาเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมารวมตัวกัน เพ่ือฟังการสวดด้วย วันที่จะน�ำศพไปฝัง ช่วงเช้าจะให้ลูกหลานของผู้ตายท�ำความสะอาดศพอีกรอบ โดยจะล้างมือของศพ
มง้ (แมว้ ) Hmong (Meo) 45 ให้ครบทุกคน จะมีการฆา่ ววั เพื่อบูชาศพ บางแซ่ญาตนิ ำ� คานมาหามแครว่ างศพออกจากเรือน เพือ่ น�ำ ไปยงั ลานทไ่ี ดเ้ ตรยี มไวเ้ พอ่ื ทำ� พธิ กี รรมอกี รอบ ซงึ่ เรยี กวา่ “ชอื ฉา้ -tswm tshaav” แตบ่ างแซจ่ ะไมม่ กี าร “ชือ ฉ้า-tswm tshaav” เมื่อท�ำพธิ ีเสร็จแลว้ ญาตจิ ะนำ� คานมาหามศพไปฝังในสสุ านในช่วงเวลาบ่าย ในขบวนแหศ่ พจะมผี นู้ ำ� ขบวนเดนิ เปา่ แคนไมซ้ างตลอดทาง ตามดว้ ยสาวถอื คบเพลงิ เพอื่ สอ่ งทางใหศ้ พ แต่เม่ือน�ำศพผ่านพ้นเขตหมู่บ้าน สาวจะโยนคบเพลิงทิ้งแล้ววิ่งหนีกลับบ้านไป ซ่ึงเช่ือว่าจะท�ำให้ วิญญาณไมส่ ามารถย้อนกลับเขา้ บ้านได้ เมอ่ื ขบวนถึงสุสาน จะมีผเู้ ฒา่ สวดทำ� พธิ ีอกี ครงั้ หนง่ึ ศพจะถกู หย่อนลงในหลุมท่ีเตรียมไว้ ซึ่งหลุมศพนี้จะดูจากต�ำราฮวงจุ้ย หรือผู้เฒ่าท่ีเชี่ยวชาญเร่ืองฮวงจุ้ย ในหมบู่ า้ นนน้ั ๆ บางครงั้ กเ็ ปน็ สถานทฝี่ งั ศพผตู้ ายไดต้ ระเตรยี มบอกกลา่ วลว่ งหนา้ แกล่ กู หลาน จากนนั้ ญาติจะกลบดินปิดปากหลุม แล้วจัดวางก้อนหินเหนือหลุมศพ รวมท้ังปิดด้วยกิ่งไม้เพื่อไม่ให้สัตว์มา คยุ้ เขย่ี หลมุ ศพ แลว้ จงึ จดั การเผากระดาษ หรอื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทม่ี อบใหก้ บั ศพ เมอื่ ครงั้ จดั พธิ ที บี่ า้ นสว่ น แครท่ ่หี ามศพมานนั้ จะถูกตดั ครง่ึ เพือ่ ไมใ่ ห้กลับบา้ นไป พาคนอื่นสู่ปรโลกอีก ในระหวา่ งทางน้ัน ห้ามไมใ่ ห้เดด็ ดอกไม้ หรือใบหญ้าใด ๆ ท้ังสน้ิ เพอ่ื ใหว้ ญิ ญาณไดไ้ ปสู่สคุ ติ และห้ามไม่ให้ลูกหลาน หรือญาติร้องไห้ในระหว่างทาง มิฉะน้ันวิญญาณจะกังวลใจในการไปสู่ปรโลก สำ� หรบั ศพของผมู้ อี ายจุ ะถกู ฝงั ตามไหล่เขา ซงึ่ มีสนั เขาขนานอยูร่ อบดา้ น สันเขาดา้ นซา้ ยหากหันหน้า ไปทางทิศตะวันออก จะมีบริเวณฝังศพของญาติฝ่ายหญิง ด้านขวาของสันเขาเป็นของญาติฝ่ายชาย ทิวเขาที่รายล้อมรอบเขาท่ีฝังศพ ส่งผลต่อลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยนับจากทิวเขาที่อยู่ด้านซ้ายของ ศพ เปน็ ฝั่งทบ่ี อกถงึ ความเจรญิ รุง่ เรือง สขุ ภาพ และความม่งั มศี รีสขุ หากมีทิวเขาทีอ่ ยดู่ ้านซ้ายของศพ ยาวมากกวา่ หรือสงู กว่าอีกฝั่ง แสดงว่าจะมีความเจรญิ รงุ่ เรืองมากกวา่ ม้งห้ามฝังศพลูกในวันคล้ายวันฝังบิดามารดา เพราะเชื่อว่าจะท�ำให้การท�ำมาหากินไม่เจริญ และห้ามน�ำศพอนื่ ไปฝงั ในระดบั เดียวกนั อีกในไหล่เขานั้น เว้นแตจ่ ะฝังใหต้ ำ�่ กวา่ หรือเยื้องไปจากศพที่ ฝังไว้ก่อน ถ้าฝังอยู่ในระดับเดียวกันจะท�ำให้ผู้ตายแย่งที่ท�ำกินกัน และจะกลับมารบกวนท�ำให้ญาติ พี่น้องเจ็บป่วย ห้ามฝังศพไว้บนไหล่เขาซ่ึงมีหมู่บ้านตั้งอยู่ ส�ำหรับศพเด็กนิยมฝังไว้ในบริเวณเดียวกัน เพ่ือให้เป็นเพื่อนเล่นกันแก้เหงา ม้งเชื่อว่าเด็กน้ันยังกลัวผีมาก ฉะน้ันจึงน�ำไปฝังที่ใกล้ ๆ กัน หรือท่ี เดียวกัน บางครอบครัวอาจจะล้อมรั้วบริเวณหลุมศพ เพื่อไม่ให้สัตว์ หรือแมลงต่าง ๆ มาคุ้ยเข่ีย หลุมศพได้ พอหลังจากนี้แล้วห้ามไม่ให้ญาติไปดูแลหลุมศพของผู้ตายอีก เม่ือครบ ๑๓ วัน จะมีการ ทำ� พธิ ีปลดปลอ่ ยดวงวิญญาณของผู้ตายใหไ้ ปผดุ ไปเกดิ และหากเมอ่ื พ้น ๑๓ วนั ไปแล้ว จึงจะสามารถ ไปดูแลหลุมศพ หรือสร้างสุสาน (ฮวงซุ้ย) ได้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับความเช่ือของแต่ละนามสกุลด้วยเช่นกัน ท่จี ะทง้ิ ช่วงเป็นระยะเวลาก่วี นั กี่ปี จงึ จะไปดแู ลหลมุ ศพได้ ชาวมง้ เชอื่ วา่ หลมุ ศพ หรอื สสุ านทมี่ หี ญา้ รก ๆ เชน่ ผกั โขม (ทม่ี หี นาม) จะทำ� ใหค้ รอบครวั ญาติ พ่ีนอ้ งของผูต้ ายอยูด่ ีมสี ุข อย่างไรก็ตาม ความเช่ือส�ำหรับกรณีท่นี เ่ี สียชีวติ ด้วยอุบัติเหตุ หรือถกู ท�ำร้าย
46 ชนต่างวฒั นธรรมในประเทศไทย ดว้ ยอาวธุ บางนามสกลุ ญาตจิ ะไมน่ ำ� ศพเขา้ บา้ น แตจ่ ะจดั สรุ าอาหารออกไปเซน่ ไหวใ้ หไ้ กลจากตวั บา้ น ออกไป กอ่ นจะฝงั ศพในลกั ษณะเดยี วกบั ศพทวั่ ไป แตบ่ างนามสกลุ กจ็ ดั พธิ ใี นบา้ นเชน่ เดยี วกบั ศพทวั่ ไป เช่นกนั การไวท้ ุกข์ ญาตพิ น่ี อ้ งจะไวท้ กุ ขใ์ หผ้ ตู้ ายประมาณ ๑๓ วนั ไมม่ กี ารแตง่ ตวั เปน็ พเิ ศษแตอ่ ยา่ งใด คงเป็นไปตามปกติ แต่ห้ามปฏิบัติกิจบางอย่างซึ่งจะท�ำให้ผู้ตายไปเกิดไม่ได้ กล่าวคือ ห้ามซักเสื้อผ้า และหวผี ม เพราะสง่ิ สกปรกในผา้ จะเขา้ ไปในอาหารของผตู้ าย หา้ มตอ่ ดา้ ยเพราะดา้ ยจะพนั แขง้ ขาของ ผู้ตาย ห้ามเย็บผ้าเพราะเชื่อว่าผู้ตายจะถูกเข็มแทง ถ้าสามีหรือภรรยาตาย ห้ามแต่งงานใหม่ในทันที จนกว่าจะพน้ ๑๓ วันไปแล้ว เพราะจะท�ำใหผ้ ้ตู ายมคี วามกงั วลในสามี หรือภารยาของตน ในปจั จบุ นั ม้งยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมน้ีไว้ไม่มีการเปล่ียนแปลง จะเปล่ียนก็คือมีการน�ำศพมาบรรจุไว้ในโลงศพ เพื่อให้แขกท่ีมาแสดงความเสียใจจะได้มีความรู้สึกที่ดีไปด้วยส่วนในอดีตนั้นไม่มีการน�ำศพมาใส่โลง และจะนำ� มาใสแ่ คร่ไม้แทน ประเพณี และความเช่อื มีความเชื่อในผีบรรพบุรุษ และวิญญาณ ผีที่ม้งนับถือมี ๒ ชนิด คือ ผีฟ้า หมายถึง ผู้สร้าง แผ่นดนิ มนุษยแ์ ละสตั ว์ บนั ดาลใหเ้ กดิ และตายได้ ผีเรอื น คือ วิญญาณของบรรพบุรษุ ท�ำหน้าทีป่ กปกั รักษามิให้เกิดอันตราย อ�ำนวยความสุข ความร่�ำรวย และอาจท�ำให้เจ็บป่วย และยากจนได้เช่นกัน ผีเรือนของม้งมี ๖ ตนเรียงล�ำดับตามอาวุโส คือ ผีปู่ย่าตาทวด ผีเสากลางบ้าน ผีเตาไฟ ผีเตาข้าวหมู ผีประตู และผีห้องนอน ม้งเช่ือว่า มนุษย์ตายไปแล้ว วิญญาณยังคงเวียนว่ายอยู่ระหว่างบ้านของตน กับหลมุ ฝังศพ ชาวมง้ จึงท�ำแท่น บชู าผีเรือนไว้ทกุ บา้ นและมกี ารเซน่ ไหวเ้ ปน็ ประจำ� นอกจากนัน้ ม้งยัง เชื่อในผีร้าย เช่น ผีป่า (นะก่อ) ผีไร่ (นาเต๊) ผีกระสือ (ด้ังจ่อ) เมื่อมีผีป่าเข้าสิงร่าง ม้งจะมีพิธีขับไล่ พิธนี เี้ รยี กว่า “ฉะดา้ ” คือ เอาดนิ เหนยี วมาปั้นเปน็ รูปมนษุ ย์และสัตวว์ างบน แผน่ ไม้สานแล้วยกไปทิง้ ข้างทางเดนิ นอกจากน้นั ยงั มีการ เซ่นผีปา่ โดยการฆ่าสุนขั เอาเลอื ดสุนขั ทามดี ไม้ เอาหวั และขาสนุ ัข มดั แขวน กบั ปกี ไก่ หัวไก่ หอ้ ยไวท้ ่ปี ระตูหา่ งจากหมบู่ า้ น ราว ๑ กิโลเมตร ผู้ประกอบพธิ ที างศาสนาของมง้ หมอผี เชื่อว่าเป็นผู้มีอ�ำนาจเหนือธรรมชาติ มีหน้าที่เซ่นสังเวยผีต่าง ๆ รักษาผู้ป่วย ขับไล่ผี ที่มาสิงมนุษย์ อ่านลางและท�ำนายความฝัน ท�ำเครื่องรางของศักด์ิสิทธ์ิต่าง ๆ ในหมู่บ้านหนึ่งอาจมี หมอผีหลายคน หรอื หัวหนา้ หม่บู า้ นบางคนอาจเป็นหมอผดี ้วยกไ็ ด้ การรกั ษาโรค ม้งมีความเชื่อว่าพิธีไสยศาสตร์เหล่าน้ีจะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้องและท�ำการรักษาได้ผล เพราะความเจ็บป่วย ทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นผลมาจากการผิดผี ท�ำให้ผีเดือดดาลมาแก้แค้นลงโทษให้
มง้ (แม้ว) Hmong (Meo) 47 เจบ็ ปว่ ย จงึ ตอ้ งใชว้ ธิ จี ดั การกบั ผใี หค้ นไขห้ ายจากโรค หากวา่ คนทรงเจา้ รายงานวา่ คนไขท้ ล่ี ม้ ปว่ ยเพราะ ขวัญหนี กจ็ ะตอ้ งทำ� พิธีเรียกขวัญกลบั เขา้ สู่รา่ งของบุคคลนนั้ แต่การทจี่ ะเรียกขวัญกลับมาน้นั จะตอ้ ง มพี ธิ กี รรมในการปฏบิ ตั มิ ากมาย บางครงั้ บางพธิ กี รรมกม็ คี วามยงุ่ ยากในการปฏบิ ตั ิ แตม่ ง้ กไ็ มย่ อ่ ทอ้ ตอ่ อุปสรรคเหล่านั้น ม้งเชอื่ วา่ การท่มี ีรา่ งกายสมบูรณแ์ ข็งแรง โดยไม่มโี รคภัยมาเบยี ดเบยี น นน่ั คอื ความ สขุ อนั ยง่ิ ใหญข่ องมง้ ฉะนน้ั มง้ จงึ ตอ้ งทำ� ทกุ อยา่ งเพอ่ื เปน็ การรกั ษาใหห้ าย จากโรคเหลา่ นน้ั ซง่ึ พธิ กี รรม ในการรักษาโรคของม้งน้ันมีอยู่หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็รักษาโรคแต่ละโรค แตกต่างกันออกไป การท่ีจะท�ำพิธีกรรมการรักษาได้นั้นต้องดูอาการของผู้ป่วยว่าอาการเป็นเช่นไร แล้วจึงจะเลือกวิธีการ รกั ษาโดยวธิ ีใดถึงจะถกู ต้อง ๑) การท�ำผี หรือการลงผี (การอ๊ัวเน้ง) เป็นการรักษาอีกประเภทหน่ึงของม้ง การอ๊ัวเน้ง (การท�ำผีหรือลงผี) การอ๊ัวเน้งน้ันมีอยู่ ๓ ประเภท คอื การอว๊ั เนง้ ขอ่ ยชว๊ั ะ การอวั๊ เนง้ เกรอ่ ทงั่ การอวั๊ เนง้ ไซใย่ ซงึ่ การอว๊ั เนง้ แตกตา่ งกนั ออกไป การรักษาก็แตกต่างกันไปด้วย การจะอั๊วเน้งได้เม่ือมีคนในครอบครัวเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุเป็น การรักษาอีกประเภทหน่ึง ดังน้ันม้งมักจะนิยมอั๊วเน้งเพ่ือการเรียกขวัญที่หายไปหรือมีผีพาไปให้กลับ คืนมาเท่านัน้ ซงึ่ มง้ เชอ่ื ว่าการเจบ็ ปว่ ยเกิดจากขวัญทีอ่ ยู่ในตวั หายไป วธิ ีการรักษา เวลาอ๊ัวเน้งหรือท�ำผีน้ัน คนที่เป็นพ่อหมอจะเริ่มไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วร่ายเวทมนต์คาถาต่าง ๆ พร้อมกับติดต่อ สื่อสารกับผีแล้วไปคล่ีคลายเร่ืองราวต่าง ๆ กับผี ถ้าคล่ีคลายได้แล้วจะมีการฆ่าหมู แตก่ อ่ นจะฆา่ หมนู นั้ จะตอ้ งใหค้ นไขไ้ ปนง่ั อยขู่ า้ งหลงั พอ่ หมอ แลว้ ผกู ขอ้ มอื จากนน้ั นำ� หมมู าไวข้ า้ งหลงั คนไข้ แล้วพ่อหมอจะส่ังให้ฆ่าหมู การที่จะฆ่าหมูได้น้ันจะต้องมีคนหน่ึงซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อหมอ และสามารถฟงั เรอ่ื งราวของการอว๊ั เนง้ ได้ รวู้ า่ ตอนนพ้ี อ่ หมอตอ้ งการอะไร หรอื สง่ั ใหท้ ำ� อะไร เมอื่ พอ่ หมอ สั่งลงมา คนที่เป็นตัวแทนต้องบอกกับคนในครอบครัว ให้ท�ำตามค�ำบอกกล่าวของพ่อหมอ เม่ือส่ังให้ ฆ่าหมูก็ต้องน�ำหมูมาฆ่า แล้วจะน�ำกัวะมาจุ่มกับเลือดหมู พร้อมกับมาปะท่ีหลังคนไข้ แล้วพ่อหมอจะ เปา่ เวทมนตใ์ ห้ จากนน้ั จะนำ� กวั ะไปจมุ่ เลอื ดหมู เพอื่ ไปเซน่ ไหวท้ ผี่ นงั ทเี่ ปน็ ทรี่ วมของของบชู าเหลา่ นนั้ ๒) การรกั ษาคนตกใจ (การไซเ่ จง) เปน็ การรกั ษาอกี ประเภทหนง่ึ ของมง้ การไซเ่ จงจะกระทำ� เมอื่ มคี นปว่ ยทตี่ วั เยน็ เทา้ เยน็ ใบหเู ยน็ มอื เยน็ ซงึ่ มง้ เชอ่ื วา่ การทเ่ี ทา้ เยน็ มอื เยน็ หรอื ตวั เยน็ เกดิ จากขวญั ในตวั คนไดห้ ลน่ หายไป หรอื ไปทำ� ให้ ผกี ลวั แลว้ ผีกแ็ กล้งท�ำใหบ้ คุ คลนน้ั ไม่สบาย มีวิธกี ารรักษาดงั น้ี พ่อหมอจะน�ำเอาขิงมานวดตามเส้นประสาท ได้แก่ บริเวณปลายจมูกตรงไปที่หน้าผาก นวดแล้วยอ้ นกลบั ไปที่ใบหู แลว้ นวดบรเิ วณหนา้ ผากไปท่ีใบหซู ้ำ� ๓ คร้ัง จากนั้นเปลย่ี นเป็นการนวดที่ เส้นประสาทมือ คือจะนวดที่ปลายนิ้วมือไล่ไปท่ีข้อมือท�ำซ�้ำทุกนิ้วมือ แล้วรวมกันท่ีข้อมือนวด
48 ชนต่างวัฒนธรรมในประเทศไทย และหมุนรอบที่ข้อมือ ซึ่งขณะนวดต้องเป่าคาถาด้วย และบริเวณฝ่าเท้าให้นวดเหมือนกัน ต้องท�ำซ�้ำ กัน ๓ คร้ัง ซึ่งการรักษาไซ่เจงน้ีจะท�ำการรักษา ๓ วัน เม่ือเสร็จจากการรักษาแล้ว ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็หาวธิ อี ืน่ ๆ มารักษาตอ่ เช่น อั๊วเน้งหรอื การฮูปรี เป็นตน้ ๓) การรกั ษาดว้ ยการเปา่ ดว้ ยน้�ำ (การเช้อแด้ะ) เป็นการรักษาอีกประเภทหนึ่งของม้ง การเช้อแด้ะจะเป็นการกระท�ำเมื่อมีคนในครอบครัวท่ี ปว่ ยร้องไห้ไมห่ ยดุ และตกใจมากเป็นพเิ ศษ โดยไมร่ ูส้ าเหตุ หรอื เหมอื นว่าคนปว่ ยเหน็ อะไรสักอย่างที่ ท�ำใหเ้ ขากลวั มาก มวี ธิ ีการรกั ษาดงั น้ี คนที่เป็นพ่อหมอหรือแม่หมอ จะให้คนป่วยอาการดังกล่าวไปน่ังใกล้กับกองไฟหรือเตาไฟ แลว้ เอาถว้ ยหนึง่ ใบ ใส่น�้ำให้เรยี บร้อยมาตั้งไว้ขา้ ง ๆ พอ่ หมอหรอื แมห่ มอ คือ ผู้ท่ีจะท�ำการรกั ษาจะใช้ ตะเกียบคู่หน่ึงหนีบก้อนถ่าน ท่ีก�ำลังรุกไหม้เป็นสีแดงข้ึนมา แล้วเป่าก้อนถ่าน จากน้ันเร่ิมท่องคาถา แลว้ นำ� กอ้ นถา่ นกอ้ นนนั้ ไปวนบนหวั ของคนปว่ ย ขณะวนั นนั้ สวดคาถาดว้ ย เมอ่ื วนเสรจ็ กจ็ ะเอากอ้ นถา่ น กอ้ นนนั้ ไปใสใ่ นถว้ ยทเี่ ตรยี มไว้ พรอ้ มกบั ปดิ ฝาดว้ ย ใหท้ ำ� ซำ�้ กนั แบบนส้ี ามรอบ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ จบั มอื คน ป่วยข้นึ มาเปา่ พร้อมท่องคาถา เมอ่ื เสรจ็ สน้ิ แล้ว จะเอามือชบุ น�ำ้ ท่อี ยใู่ นถว้ ยข้นึ มาลบู หน้าของคนปว่ ย หรอื ลบู แขนคนปว่ ย เมอื่ ทำ� เสรจ็ แลว้ อาการของคนปว่ ยจะทเุ ลาลง มง้ จะนำ� วธิ รี กั ษานม้ี าใชใ้ นการรกั ษา คนไข้ที่ตกใจมาก และปัจจุบันนี้ม้งก็ยังคงยึดถือและปฏิบัติกันอยู่ แต่ก็มีบ้างที่อาการหนักมากจนไม่ สามารถท่ีจะรกั ษาใหห้ ายขาดได้ แลว้ จงึ จะนำ� ไปรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลตอ่ ไป ๔) การรกั ษาดว้ ยการเรยี กขวญั (การฮูปร)ี เป็นการรักษาอีกประเภทหนึ่งของม้ง การฮูปรีจะกระท�ำเม่ือคนในครอบครัวไม่สบายหรือ เป็นไข้ ม้งมีความเชื่อว่าเม่ือมีคนไม่สบายหรือเป็นไข้ เกิดจากขวัญที่อยู่ในตัวน้ัน มีขวัญใดขวัญหน่ึง หลน่ หายไป หรอื ไมอ่ ยใู่ นรา่ งของบคุ คลนน้ั ทำ� ใหบ้ คุ คลนนั้ ไมส่ บาย มง้ จงึ ตอ้ งมกี ารฮปู รหี รอื เรยี กขวญั เข้ามาในตัว เพื่อให้ขวัญอยู่ครบ บางครั้งที่มีการฮูปรีเสร็จอาการก็จะหาย แต่บางครั้งก็ไม่หาย ถ้าไม่ หายมง้ จะนิยม รอสกั ระยะแลว้ จะท�ำการฮูปรีใหม่ แต่ถ้าไมห่ ายจรงิ ๆ กจ็ ะท�ำการทำ� ผีหรอื อัว๊ เนง้ เปน็ ข้ันตอนต่อไป เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการฮูปรีน้ันประกอบด้วย ไก่ ๑ ตัว ไข่ ๑ ฟอง และกั๊ว ๑ คู่ ซึ่งกั๊วน้ันใช้ในการเส่ียงทายกับผีนรกว่าจะรับหรือไม่รับ ส่วนไก่ที่ใช้ในการรักษานั้น หากว่า คนป่วยที่ เปน็ ผูห้ ญิงก็จะใชไ้ ก่ตัวผู้ ส่วนคนปว่ ยทีเ่ ปน็ ผชู้ ายจะใช้ไกต่ วั เมยี ในการท�ำพธิ รี ักษา ๕) การปดั กวาดส่งิ ทไ่ี ม่ดีออกไป เป็นการรักษาอีกวิธีหน่ึงของม้งที่จะปฏิบัติในช่วงข้ึนปีใหม่เท่านั้น คือในหน่ึงรอบปีที่ผ่านมา ครอบครัวจะเจอสิ่งท่ีไม่ดี ดังน้ันจึงมีการหรือซู้เพื่อปัดเป่า หรือกวาดส่ิงที่ไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228