Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โสวัฒนธรรมอีสานในงานวิจัย

Description: โสวัฒนธรรมอีสานในงานวิจัย

Search

Read the Text Version

100 โสวัฒนธรรม การนำ� เสนอความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาทางดา้ นพลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญา นจี้ ะได้สร้างความม่นั ใจ ความเข้าใจ ท่ีมาและพ้นื หลงั ของแต่ละวัฒนธรรมให้กล้า ทจ่ี ะแสดงออกและเกดิ ความภาคภมู ใิ จในวฒั นธรรมของตนเอง และในทส่ี ดุ สงั คมก็ จะเปิดโอกาส ยอมรับ ไม่มองว่าวัฒนธรรมเป็นแค่สนิ ค้าเชิงพาณชิ ย์ท่แี ค่จะบรโิ ภค เหมอื นไมใ่ ชม่ นษุ ยเ์ ทา่ นน้ั แตส่ งั คมจะเคารพในความเปน็ วฒั นธรรมและไดเ้ ขา้ ใจวา่ ในสงั คมมวี ฒั นธรรมมากมายทมี่ คี วามงามอยใู่ นตวั ของวฒั นธรรมนน้ั ๆ สงั คมกจ็ ะ เป็นสงั คมทีน่ ่าอยู่ และนโยบายการพฒั นาต่างๆ กจ็ ะตระหนกั และให้ความสำ� คญั กับวัฒนธรรมย่อยๆ มากขึ้น เพื่อความผาสุกและอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนใน สังคมต่อไป งานวิจัยวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า มีมากมายอาทิ บทความวชิ าการและงานวจิ ยั ของอาจารย์ นกั วชิ าการ และวทิ ยานพิ นธข์ องนกั ศกึ ษา ระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา และยงั พบวา่ ความหลากหลายของงานเปน็ งานทเี่ นน้ ศกึ ษาหา องคค์ วามรทู้ างดา้ นวฒั นธรรมดา้ นความคดิ และภมู ปิ ญั ญาของชาวอสี านเปน็ หลกั ท่ีมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีการถ่ายทอด สืบต่อหรือการ อนรุ กั ษใ์ หค้ งอยจู่ ากบรรพบรุ ษุ ไมว่ า่ จะดว้ ยการอนรุ กั ษท์ เี่ ปน็ การอนรุ กั ษใ์ นรปู แบบ ท่ีปรับเปลี่ยนไปแต่ก็ยังถือว่าเป็นการอนุรักษ์ให้คงอยู่ ซ่ึงอาจจะแตกต่างใน รายละเอยี ดบา้ งดว้ ยเพราะบรบิ ททปี่ รบั เปลยี่ นไป อยา่ งไรกต็ ามงานชนิ้ นไี้ ดร้ วบรวม งานวิจัยทางด้านวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อการท�ำความเข้าใจ ในกรอบรายละเอียดของการสังเคราะห์งานภายใต้ประเด็นพลังความคิดและ ภูมปิ ัญญา 3.2 พลงั ความคดิ และอุดมการณ์ งานศึกษาวิจัยทางด้านวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ที่จัดอยู่ใน กลมุ่ ของการศกึ ษาพลงั ความคดิ และอดุ มการณ์ ดงั เชน่ ยงยทุ ธ ตรนี ชุ กร และทมี งาน ศนู ยอ์ นิ แปง จงั หวดั สกลนคร (2542) ทไ่ี ดศ้ กึ ษาภมู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ น : กรณศี กึ ษาอาหาร พน้ื บา้ นไทย บา้ นบวั อำ� เภอกดุ บาก จงั หวดั สกลนคร โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษา

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 101 ระบบอาหารของชาวกะเลงิ ตงั้ แตอ่ ดตี – ปจั จบุ นั ตำ� รบั อาหารพน้ื บา้ น คณุ คา่ อาหาร การคงอยู่และการหมดไปของระบบอาหารพื้นบ้าน ปัจจัยและกระบวนการฟื้นฟู ระบบอาหารพนื้ บ้านของชาวกะเลงิ ผลการวิจยั พบว่า ระบบอาหารของชาวกะเลิง แบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ชว่ งเวลา คอื ชว่ งท่ี 1 ชว่ งการสรา้ งบา้ นแปงเมอื ง ผลติ อาหารเอง มกี าร ปลกู ขา้ ว ผลติ ฝา้ ย หมากแหนง่ เลยี้ งสตั ว์ ท�ำสวนผลไม้ และสวนครวั ชว่ งท่ี 2 เรมิ่ มี วฒั นธรรมกนิ เนอื้ ดบิ มโี รงสขี า้ ว มโี รงเรยี นแทนวดั มกี ารปลกู ปอ และมนั ส�ำปะหลงั ช่วงท่ี 3 มรี ้านค้าในชุมชนมากขนึ้ ชาวบ้านพยายามหาเงินมาซ้อื เหล้า เบียร์ บหุ ร่ี อาหารต่างๆ และเมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่ ช่วงท่ี 4 มีกระบวนการพัฒนาบนหลักการ สร้างกระบวนการเรียนรู้จนเกิดองค์กรชาวบ้านคอื ศนู ย์อินแปง โดยมหี ลกั การ คอื ให้สมาชิกรู้จักการกินอย่างมีคุณค่า ท�ำมาหากินอย่างเพียงพอ ถ้ายังพอเหลือก็ สามารถแปรรูปขาย ส่วนต�ำรับอาหารพ้ืนบ้านของชาวกะเลิง แบ่งเป็น 6 หมวด 24 วิธี ได้แก่ นงึ่ หลาม ลวก อุ เอาะ อ่อม ซุป แกง ต้ม เผา ย่าง ปิ้ง จ่ี หมกข้ีเถ้า หมกใบตอง ต�ำ เม่ยี ง และแจ่ว คุณค่าในมติ ิของอาหารพนื้ บ้าน สรุปได้ 9 ประการ 1. เป็นอาการท่ีปลอดสารเคมี 2. คุณค่าด้านที่เป็นยา 3. คุณค่าด้านการส่งเสริม แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง 4. คณุ ค่าด้านทีก่ ่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ 5. คณุ คา่ ดา้ นมติ อิ าหารบำ� รงุ สขุ ภาพ 6. คณุ คา่ ดา้ นมติ เิ ชงิ วฒั นธรรมการอยรู่ ว่ มกนั 7. คณุ คา่ ดา้ นมติ กิ ารประหยดั 8. คณุ คา่ ดา้ นมกี ารนำ� พชื บางชนดิ มาปรงุ เชน่ เดยี วกบั เนอ้ื สตั ว์ เชน่ ลาบใบหมานอ้ ย ซปุ เหด็ กระดา้ ง และ 9. คณุ คา่ ดา้ นมติ คิ วามภาคภมู ใิ จ ในภมู ปิ ัญญาของบรรพบรุ ุษ ส่วนอศิ ราพร จันทร์ทอง (2543) ได้ศกึ ษาเรอ่ื ง มนายปาเล : ภาพสะท้อน ความสัมพันธ์ของพฤติกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมในหมู่ชาวกูย โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาวรรณกรรมมุขปาฐะของชาวกูยท่ีเรียกว่า “มนายปาเล” อันประกอบด้วย นทิ าน ปรศิ นาค�ำทาย เพลง สภุ าษิต ค�ำพังเพยและพญาปาเล ผลการวจิ ยั พบวา่ “มนายปาเล” มบี ทบาทในการอบรมสงั่ สอนจรยิ ธรรม และสะทอ้ น วิถีชีวิต ความเข้าใจต่อสภาวะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความกลมเกลียว ในชมุ ชน การอบรมจรยิ ธรรม เชน่ ความกตญั ญตู อ่ บพุ การี เชอื่ ฟงั ผใู้ หญ่ และความ

102 โสวฒั นธรรม ซอื่ สตั ย์ เป็นต้น ส�ำหรับชลฤทัย ผ่านทอง (2545) ได้ศึกษาเรื่อง ภูมปิ ัญญาอีสาน : นิทานมุขตลกไม่ใช่แค่เร่ืองตลก เน้นศึกษาเก่ียวกับภูมิปัญญาอีสานของนิทาน มขุ ตลกท่ไี ม่ใช่แค่เร่อื งตลก พบว่า การศึกษานทิ านในเชงิ มานษุ ยวิทยาวัฒนธรรม โดยการใช้ ทฤษฎโี ครงสร้างหน้าที่ มาเป็นกรอบในการศกึ ษาอธบิ ายความสมั พนั ธ์ ระหว่างนทิ านกับสังคมวัฒนธรรมท้องถ่ินเป็นแนวทางหนงึ่ ท่ีสามารถสร้างความ เขา้ ใจถงึ บทบาทและคณุ คา่ ของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ประเภทวรรณกรรมนทิ านใหเ้ กดิ ความชัดเจนยิ่งขึ้นได้ ทางภาคอีสานมีวรรณกรรมนทิ านมุขตลกเป็นจ�ำนวนมาก สว่ นใหญเ่ ปน็ นทิ านมขุ ตลกทมี่ เี นอื้ หาเกยี่ วกบั ระบบครอบครวั เครอื ญาติ ซง่ึ สะทอ้ น ใหเ้ หน็ สภาพวฒั นธรรมชมุ ชนอสี านไดเ้ ปน็ อยา่ งดี วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของนทิ านเหลา่ น้ีเกิดมาเพือ่ สร้างอารมณ์หรรษาเพลดิ เพลนิ บนั เทิงใจเป็นหลัก นอกจากน้ี วรี ะ สดุ สงั ข์ (2542) ศึกษาการเล่นสะเองของชาวกูยศรสี ะเกษ งานชิ้นน้ี ศึกษาพิธีกรรมการเล่นสะเองในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพิธีกรรมของ ชาวกูย เน่ืองจากชาวกูยหรือกวยนน้ั มักสร้างชุมชนอยู่ตามป่าตามเขา พึ่งพาสิ่ง ลี้ลับของธรรมชาติ จึงเล่นสะเองเพื่อขอพรจากส่ิงศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณของ บรรพบรุ ษุ ใหป้ กปกั รกั ษา เปน็ การตดิ ตอ่ สอ่ื สารระหวา่ งผทู้ ย่ี งั มชี วี ติ อยกู่ บั ผลู้ ว่ งลบั ไปแล้ว โดยผ่านร่างทรงของแม่สะเอง และเล่นเพื่อร�ำลึกถึงคุณงามความดีของ บรรพบุรุษชาวเขมรเรียกการเล่นแบบนี้ว่า แมมว็ด (ชาวไทยเรียกว่าแม่มด) แปล ไดว้ า่ แมผ่ พู้ ดู แมผ่ บู้ อกเสยี งไปถงึ เทพาอารกั ษ์ การเลน่ สะเองิ ของชาวกยู จะมกี ลอง และฆ้อง ผู้ชายตีกลองและฆ้อง ส�ำหรับบรรทมทิพย์ มีชัย (2540) ศึกษาภูมิปัญญาลูกกรู ต�ำบลชุมเห็ด อ�ำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ทำ� ให้ทราบถึง วิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของลูกกรูใน พ้ืนที่ต�ำบลชุมเห็ด ได้พบว่า จ�ำนวนวันในการรักษาจะใช้เวลาต่างกันตามอาการ ส่วนช่วงเวลาท�ำการรกั ษากระท�ำได้ตลอดท้ังวนั ยกเว้นตอนเที่ยงเพราะเป็นข้อห้าม ของลกู กรู สถานท่ใี ช้บ้านของลกู กรูหรือบ้านผู้ป่วย วตั ถุสง่ิ ของมี สมุนไพร น้�ำมนั เวทมนต์ และเคร่ืองบูชาลูกกรู ส่วนข้ันตอนมีขั้นเตรียมการ ข้ันด�ำเนนิ การ และ ขั้นติดตามการรักษา ค�ำว่า “ลูกกรู” เป็นค�ำเรียกของกลุ่มไทย-เขมร เรียกผู้ที่มี

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 103 วชิ าอาคมเกยี่ วกบั การรกั ษาโรคหรอื ทวั่ ไปเรยี กวา่ “หมอพนื้ บา้ น” สว่ นความเชอ่ื ใน การรกั ษานนั้ พบวา่ มี 2 ประเดน็ คอื ลกู กรจู ะเชอื่ ในเวทยม์ นตค์ าถา ตวั ยา เชอื่ ตอ่ เวลาและสถานทที่ ีใ่ ช้ในการรกั ษา เช่นเดียวกบั ประสาน สงิ ห์ทอง (2540) ได้ศกึ ษาเรื่อง การเคยี้ วหมากในวถิ ี ชีวิตของชาวผู้ไทย ต�ำบลหนองสูง อ�ำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร โดยศึกษา องค์ประกอบพฤติกรรมการเคีย้ วหมาก และความสมั พันธ์ของวฒั นธรรมการเคีย้ ว หมากกบั วถิ ชี วี ติ ของชาวผไู้ ทย ตำ� บลหนองสงู พบวา่ เพศหญงิ เคย้ี วหมากมากกวา่ เพศชาย เครื่องประกอบการเคี้ยวหมาก ได้แก่ หมาก พลู แก่นคูน ยาเส้น นวด และสีเสียด ส่วนอปุ กรณ์ ได้แก่ กระบอกปูน มดี สนาก ตลบั นวด และตะบันหมาก สงิ่ เหลา่ นจ้ี ะจดั วาง ไวบ้ นขนั หมาก สว่ นความสมั พนั ธข์ องวฒั นธรรมการเคย้ี วหมาก กบั วถิ ชี วี ติ มี 2 ลกั ษณะ คอื ในวถิ ชี วี ติ พบวา่ จะเคย้ี วหมากหลงั รบั ประทานอาหาร และประเพณีพิธกี รรม นอกจากนี้รุ่งทิพย์ ชาญชัยศิริกุล (2546) ได้ศึกษาสตรีแม่บ้านในชุมชน วฒั นธรรมเขมรกับบทบาทการดแู ลรกั ษาสุขภาพ : กรณศี ึกษาบ้านตลงุ เก่า ต�ำบล โคกม้า อ�ำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ งานช้ินนี้ศึกษาสตรีแม่บ้านในชุมชน วัฒนธรรมเขมรกับบทบาทรักษาสุขภาพ : กรณีศึกษาบ้านตลุงเก่า ต�ำบลโคกม้า อำ� เภอประโคนชยั จงั หวดั บรุ รี มั ย์ พบวา่ บทบาทของผหู้ ญงิ ทเี่ ปน็ แมบ่ า้ นในชมุ ชนถกู กำ� หนดโดยปัจจยั ทางสรรี วทิ ยา (Sex) ปจั จยั ทางสงั คมวฒั นธรรม (Gender) ทมี่ กี าร ผสมผสานกันอย่างลึกซ้ึงในการเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการดูแลสุขภาพท้ังด้าน การส่งเสริมและการป้องกันสุขภาพในสภาวะร่างกายที่ปกติเพ่ือให้ร่างกายมี ความสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ และมีบทบาทในการดูแลรักษาเม่ือเจ็บป่วยโดยใช้ องค์ความรู้และประสบการณ์ท่ีส่ังสมอยู่ในความคิด ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก วัฒนธรรมเขมร เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพ และบทความของ ไพรวลั ย์ เตชะโกศล, สมศกั ดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ และบวั พนั ธ์ พรหมพกั พงิ (2547) เรอ่ื ง การ จัดการสขุ ภาพของชุมชนในจงั หวัดขอนแก่น พบว่า การจดั การสุขภาพของชุมชน อยู่ในระดบั ที่มากคิดเป็นร้อยละ 69.8 สามารถแยกเป็นหลายด้าน ได้แก่ ชมุ ชนมี

104 โสวัฒนธรรม การจดั การดา้ นการปอ้ งกนั โรคมากกวา่ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ และมตี วั แปรทสี่ มั พนั ธ์ ตอ่ การจดั การสขุ ภาพของชมุ ชน ไดแ้ ก่ การมสี ว่ นรว่ มในการระดมทรพั ยากร ความ สัมพันธ์ของสมาชิกในชุมชน ประสบการณ์การจัดการทรัพยากรทางด้านสุขภาพ การไดร้ บั สนบั สนนุ ดา้ นขอ้ มลู ขา่ วสาร การไดร้ บั สนบั สนนุ ดา้ นทรพั ยากร สว่ นศริ มิ า นามประเสรฐิ (2544) ได้ศกึ ษาการสนบั สนนุ ทางสังคมของครอบครวั และชุมชนต่อ ผู้ป่วยเอดส์ พบว่า ครอบครวั ให้การสนับสนนุ ต่อผู้ป่วยทัง้ ทางด้านอารมณ์ ข้อมลู ข่าวสาร วัตถุสิ่งของในระดับที่ค่อนข้างสูง ส่วนชุมชนให้การสนับสนนุ ด้านข้อมูล ข่าวสารมากท่ีสุด รองลงมาคือด้านอารมณ์ และด้านสิ่งของน้อยท่ีสุด ปัจจัยที่มี อทิ ธพิ ลตอ่ การสนบั สนนุ ทางสงั คมของครอบครวั และชมุ ชนคอื ระดบั การศกึ ษาของ ผู้ป่วย ระดบั ความรุนแรงของโรค รายได้ของครอบครวั ความสมั พนั ธ์ในครอบครัว การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรคในครอบครวั ความสามารถในการเผชญิ ปัญหา ภาวะ วกิ ฤติของครอบครัว สว่ นทพิ ยส์ ดุ า พรรณสหพาณชิ ย์ (2545) ไดศ้ กึ ษาเรอ่ื ง บทบาทสตรชี าวผไู้ ทย ในพธิ กี รรมเหยา ตำ� บลปา่ ไร่ อำ� เภอดอนตาล จงั หวดั มกุ ดาหาร พบวา่ สตรมี บี ทบาท โดยตรงในการประกอบพธิ กี รรมรกั ษาผปู้ ว่ ย เชน่ การแตง่ กาย การเชญิ ผี เจรจาตอ่ รอง การรักษาแบบแพทย์สมัยใหม่จะรักษาเฉพาะร่างกาย ไม่ค�ำนงึ ถึงด้านจิตใจ แต่ บทบาทหมอเหยาจะคำ� นงึ ถงึ องคร์ วมของผปู้ ว่ ย นบั ตงั้ แตผ่ ปู้ ว่ ย ครอบครวั ชมุ ชน ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะการแพทยแ์ บบ “แมช่ ว่ ยลกู ” หรอื เรยี กวา่ เปน็ การแพทยแ์ บบวฒั นธรรม สตรีสามารถท�ำได้ถ้าผ่านการคุมผีลง นอกจากน้ีเยาวดี วิเศษรัตน์ (2541) ได้ ศึกษา เร่ือง ภูมิปัญญาพ้ืนบ้านในการบ�ำบัดรักษาความเจ็บป่วยของผู้ไทยบ้าน ดงยาง ต�ำบลห้องแซง อ�ำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พบว่า บุคคลทเ่ี ข้าร่วมใน การรักษา มหี มอพนื้ บ้าน ผู้เจบ็ ป่วย และญาติ เครื่องบชู า สมุนไพร และเวทมนต์ คาถา บรกิ ารไดท้ กุ วนั เวลา สถานทใี่ ชบ้ า้ นของผปู้ ว่ ยและบา้ นของหมอพนื้ บา้ น สว่ น คตคิ วามเชอื่ นน้ั ชาวบ้านเชอ่ื ว่า การเจบ็ ป่วยมาจากธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ และเชื่อว่าหมอพื้นบ้านจะช่วยบ�ำบัดรักษาได้ เช่นเดียวกับประไพ เจริงบญุ (2540) ได้ศึกษาเรื่อง การผสมผสานวัฒนธรรมชาวไทย-ลาว และชาวไทย-เขมร ในพิธี

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 105 มงกว็ ลจองไดทบ่ี า้ นดม อำ� เภอสงั ขะ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ พบวา่ เปน็ พธิ กี รรมหนงึ่ ทคี่ นทง้ั สองกลุ่มเชือ่ ว่าเป็นเรือ่ งการสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ชวี ิต โดยหมอสูตร จะทำ� พธิ อี ญั เชญิ เทวดา สขู่ วญั สว่ นวตั ถสุ งิ่ ของจะมเี ครอื่ งเซน่ สงั เวย เพอ่ื บอกผบี รรพบรุ ษุ และเวลาตอ้ งท�ำใหถ้ กู ตอ้ ง สถานทจี่ ะท�ำทบ่ี า้ นของผรู้ บั การสขู่ วญั ส�ำหรบั การผสม ผสานทางวฒั นธรรม พบ 6 ด้าน คอื คน วัตถุสง่ิ ของ เวลา สถานท่ี และขัน้ ตอนใน การทำ� พธิ กี รรม สว่ นกง่ิ แกว้ เกษโกวทิ และคณะ (2542) ทำ� วจิ ยั เรอ่ื งการดแู ลสขุ ภาพ ตนเองของชาวชนบทอสี าน พบว่าในเรอ่ื งของการดแู ลสขุ ภาพเดก็ อายุ 0-5 ปี การ อยู่ไฟของหญิงหลังคลอด สุขภาพผู้สูงอายุ ตลอดจนการดูแลสุขภาพตนเองโดย การป้องกันสารพิษจากการใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ และการป้องกันตนเองจาก ยาเสพตดิ ซงึ่ เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของวถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นทสี่ บื ทอดปฏบิ ตั ิ กันมาจึงแสดงออกในรปู ของความเชือ่ บางอย่าง สำ� หรบั วาสนา ตอ่ ชาติ (2545) ไดศ้ กึ ษาเรอื่ ง การจดั การทรพั ยากรปา่ ชมุ ชน ของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทบ้านค�ำโพน ต�ำบลค�ำโพน อ�ำเภอปทุมราชวงศา จังหวัด อ�ำนาจเจริญ พบว่า วิถีชีวิตชาวผู้ไทบ้านค�ำโพนกับป่าชุมชน มีการใช้ทรัพยากร อยา่ งมปี ระโยชนแ์ ละคมุ้ คา่ โดยเนน้ พนั ธไ์ุ มท้ บ่ี รรพบรุ ษุ เลอื กสรรวา่ เปน็ พนั ธไ์ุ มท้ เี่ ปน็ มงคลตอ่ ชวี ติ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ ทสี่ งั่ สมมาตง้ั แตอ่ ดตี น�ำมาใชใ้ นพธิ กี รรม ต่างๆ เช่นเดียวกับทรงคุณ จันทจร (2544) ได้ศึกษาเร่ืองการถ่ายทอดภูมิปัญญา พื้นบ้านเร่ืองทรัพยากรดิน น�้ำ ป่าไม้ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาออสโตรอาเชียติค ในกลุ่ม มอญ – เขมร แตป่ จั จบุ นั ใชภ้ าษาไทย – ลาว เดมิ มถี นิ่ ฐานอยใู่ นประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว เขา้ มาในไทยสมยั รชั กาลที่ 5 และอาศยั อยใู่ นเทอื กเขา ภพู าน จ. สกลนคร ใชช้ วี ติ โดยการพง่ึ พงิ ธรรมชาติ มคี วามเชอื่ ในศาสนา ผี ศาสนา พทุ ธ มอี งคค์ วามรขู้ องภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นในดา้ นการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากร ดนิ นำ�้ ปา่ ไม้ ไดแ้ ก่ องคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั การเกบ็ ของปา่ ลา่ สตั ว์ การสรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั ทำ� ไรห่ มนุ เวยี น การท�ำนา การทำ� ฝายกน้ั นำ�้ วธิ กี ารถา่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ น ใชว้ ธิ ี ผา่ นทางพธิ กี รรม ผา่ นการให้ลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ผ่านหลกั ค�ำสอนในพระพทุ ธศาสนา การแลกเปลีย่ นประสบการณ์ นทิ านพ้ืนบ้านต่างๆ

106 โสวัฒนธรรม ส่วนเอกวิทย์ ณ ถลาง (2544) ได้กล่าวถึงภูมิปัญญาอีสาน ซ่ึงเป็นการ ประมวลวิเคราะห์วิวัฒนาการของภูมิปัญญาอันเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมทาง ธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่ได้ก่อตัวและวิวัฒนาการมายาวนาน อันได้แก่ ภูมิปัญญาในการต้ังถ่ินฐานของชาวอีสานภูมิปัญญาในการเลือกหลักแหล่งทำ� มา หากนิ วถิ ชี วี ติ ในการพง่ึ พาตนเอง การจดั ระบบความสมั พนั ธข์ องชมุ ชนอสี าน และ หนงั สอื ก้อม ซงึ่ เป็นแหลง่ บนั ทกึ และประมวลภมู ปิ ัญญาอสี านฮตี สบิ สองคองสบิ สี่ นอกจากนี้สุพรรณ ภบู ุญเติม (2540) ได้ศกึ ษารปู แบบ โครงสร้าง ประโยชน์ ใช้สอย พิธีกรรม และคติความเชื่อเก่ียวกับเล้าข้าว พบว่า เล้าข้าวมีรูปส่ีเหล่ียม ผืนผ้า หลงั คาทรงจ่ัวยกพ้ืนสูง มโี ครงสร้างทีม่ ีเสาเป็นตัวรัดโครงสร้างอน่ื ไว้ภายใน ประโยชน์ใช้สอยคือ เพื่อเก็บรักษาข้าวเปลือก ส่วนพิธีกรรมและคติความเชื่อ คือ พิธีกรรมเอาข้าวขึ้นเล้า มีข้อห้าม คือ ห้ามเปิดประตูเล้าหรือตักข้าวจากเล้าใน วันพระ ส่วนบุญเกดิ พมิ พ์วรเมธากลุ และนภาพร พมิ พ์วรเมธากลุ (2546) ได้เขียน หนงั สอื คอื ฮตี -คอง-คะลำ� วถิ ชี วี ติ ของคนไทยอสี าน ทเี่ ปน็ ขนบธรรมเนยี มประเพณขี อง ชาวอสี าน และทใ่ี ชเ้ ปน็ กฎระเบยี บในการควบคมุ ความประพฤตแิ ละการกระทำ� ของ คนอสี าน กลา่ วคอื ในอดตี ชาวอสี านไดป้ ระพฤตติ นตามฮตี ตามคอง และละเวน้ เรอ่ื ง คะลำ� มาโดยตลอด จงึ ทำ� ใหม้ แี ตค่ วามรม่ เยน็ เปน็ สขุ รรู้ กั สามคั คี และมคี วามเออื้ เฟอ้ื เผอื่ แผแ่ ละชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั แตใ่ นปจั จบุ นั ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ติ นตามฮตี ตามคองและ ไมล่ ะเวน้ เรอื่ งคะลำ� ทเ่ี คยถอื กนั มา เนอื่ งจากอทิ ธพิ ลจากสอ่ื ตา่ งๆ ทที่ นั สมยั และหนั ไปรับเอาวัฒนธรรมต่างๆ มาปฏิบัติซึ่งท�ำให้เกิดข้อขัดแย้งเกือบทุกด้านในสังคม ชาวอีสาน ดังนนั้ ควรมีบางส่วนหรือบางข้อท่ีล้าสมัยไม่เหมาะกับยุคโลกาภิวัตน์ อาจถูกเลิกใช้ หรอื บางข้ออาจมปี ระโยชน์อยู่บ้าง จติ กร เอมพนั ธ์ (2545) ศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ ง พญานาค เจา้ แหง่ แมน่ ้�ำโขง : พธิ กี รรม กบั ระบบความเชอื่ พน้ื บา้ นแหง่ วฒั นธรรมอสี าน ซง่ึ มงุ่ ศกึ ษาระบบความเชอื่ พนื้ บา้ น เร่ืองพญานาค และศึกษาบทบาทความเชือ่ เร่ืองพญานาค ทมี่ ีอทิ ธพิ ลในการดำ� รง ชีวิตของชาวอีสาน โดยศึกษาจากนิทานปรัมปราว่าด้วยเร่ืองพญานาคอันเป็น คตชิ นวทิ ยา พบวา่ ระบบสญั ลกั ษณข์ องพญานาคแบง่ เปน็ 3 ประการ คอื พญานาค

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 107 เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนดงั้ เดมิ เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแผ่นดนิ และน�ำ้ เป็นลัทธิ ทางศาสนาการศกึ ษาแบบมสี ว่ นรว่ มในพธิ กี รรมบวงสรวง บชู าบง้ั ไฟพญานาคในหมู่ บ้านอาฮง อ�ำเภอบงึ กาฬ จงั หวดั หนองคาย นอกจากนพ้ี บวา่ พญานาคปรากฏอยู่ ใน “ลทั ธคิ วามอุดมสมบูรณ์” ของสงั คมวัฒนธรรมอีสานผสมผสานความเช่ือเดมิ และความเชือ่ ทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนพบว่า ระบบสญั ลักษณ์ของพิธีกรรม แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ท่ีมนุษย์มีต่ออ�ำนาจเหนือธรรมชาติ ส่วนสุพิชฌาย์ จินดาวัฒนภูมิ (2542)เรื่อง ความเชื่อเร่ืองนาคของชุมชนอีสานลุ่มน้�ำโขง (ปลาย พทุ ธศตวรรษท่ี 19 จนถงึ ปจั จบุ นั ) งานชนิ้ นศี้ กึ ษาความเชอื่ เรอ่ื งนาค พบวา่ ความเชอื่ มีอทิ ธพิ ลต่อชุมชนอสี านลุ่มแม่น้�ำโขง ได้รับอิทธพิ ลในลกั ษณะผสมผสานระหว่าง ลทั ธบิ ชู างู ทเ่ี ป็นของชนพน้ื เมอื งเดมิ กบั อทิ ธพิ ลความเชอื่ เรอ่ื งนาคทางพทุ ธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ เข้าสู่ดนิ แดนรวมทง้ั ความเช่อื ของสมยั ลพบรุ ี ความเชอ่ื เรือ่ ง นาคท่ีรับมาจากล้านช้าง พัฒนาการความเชื่อเร่ืองนาคของชุมชนเห็นได้จากการ พัฒนาความเช่ือให้ศักด์ิสิทธ์ิและส�ำคัญต่อวิถีชีวิต ท้ังด้านการเมืองการปกครอง โดยเชื่อว่า นาคมีอ�ำนาจฐานการปกครองให้สังคมปกติ นาคยังเก่ียวข้องกับ เศรษฐกจิ ในฐานะสัญลกั ษณ์ของน�้ำ ความอุดมสมบรู ณ์ รวมทั้งสญั ลักษณ์สำ� คัญ ทางพระพุทธศาสนา เหตุน้ีความเชื่อเร่ืองนาคจึงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตพัฒนา ความเชื่อมาเป็นประเพณขี องพิธกี รรมจนถงึ ปัจจุบนั ส�ำหรับศิริรักษ์ จรัณยานนท์ (2542) ได้ศึกษา ความเช่ือเรื่องผีปู่ตาของ ชาวบา้ นหนองตาตนื่ ตำ� บลเขวา อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม พบวา่ ชาวบา้ น มีความเช่ือเกี่ยวกับผีปู่ตามาก โดยเช่ือว่าถ้าบนบานจะประสบความสำ� เร็จ วิธี การสื่อสารจะกระท�ำผ่านจ้�ำ โดยมีการน�ำเครื่องเซ่นไหว้ไปบนบาน ความเช่ือมี บทบาทต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน คือ ปู่ตาเป็นสถาบันทางความเชื่อของครอบครัว และชุมชน เม่ือมปี ัญหามกั บอกกล่าวแก่ปู่ตาทราบ ให้ช่วยแก้ปัญหา บทบาทต่อ ชุมชนเป็นบทบาทต่อโครงสร้างทางศาสนา ชาวบ้านนับถือพุทธ ในขณะท่ีนับถือ ผีปู่ตาด้วย และผีปู่ตายังเป็นเสมือนมาตรการในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และโครงสร้างระบบนิเวศน์ของชุมชนให้คงอยู่อกี ด้วย เช่นเดยี วกับปรชี า จันทราช

108 โสวัฒนธรรม (2542) ได้ศึกษาพิธีกรรมข้ึนเฮือนใหม่ของชาวบ้าน : ศึกษากรณีชาวบ้านเกิ้ง ต�ำบลบ้านเก้ิง อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม พบว่า องค์ประกอบของ พิธีกรรม ได้แก่ ฤกษ์ยามนิยมเป็นเดือนคู่ ยกเว้นเดือนแปดและเดือนสิบ นิยมใช้ วัสดุส่ิงของท่ีมีชื่อเป็นมงคล บุคคลท่ีประกอบพิธี ประกอบด้วยเจ้าของบ้าน และ ผู้ร่วมพิธี มีความเชื่อในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดได้จาก การเตรียมฤกษ์ยาม พิธีข้ึนเรือนใหม่ ตอกตะปูที่เสาขวัญเพื่อแขวนย่าม ส�ำหรับสุรัตน์ จงดา (2541) เรื่อง “ฟ้อนผีฟ้านางเทียม” : การฟ้อนร�ำในพิธีกรรมและความเชื่อชาวอีสาน การวิจัยมุ่งศึกษาการฟ้อนผีฟ้าในกลุ่มนางเทียม อ.พระยืน จ.ขอนแก่น ผลการ ศึกษาพบว่า กลุ่มนางเทียมในพิธีฟ้อนผีฟ้าได้รับเช้ือสายมาจากเวียงจันทร์ การ ฟ้อนมี 2 ลักษณะ คือ ฟ้อนผีฟ้าในการรักษาโรคเม่ือมีการเจ็บป่วยในครอบครัว และในการบชู าผฟี ้าในพธิ ใี หญ่ประจ�ำปี คอื วันที่ 13–15 เมษายน พธิ ีจะฟ้อนกนั 3 วนั 3 คนื ท่าฟ้อนผีฟ้ามีลกั ษณะ ใกล้เคยี งกับท่าฟ้อนอีสานในการแสดงหมอลำ� ดนตรใี นการฟอ้ นใชแ้ คนแปดเพยี งอยา่ งเดยี ว สว่ นลายหรอื เพลงลายทางยาวในการ ขับล�ำเชิญผีฟ้า ส่วนการฟ้อนใช้ลายทางสั้น การแต่งกายใช้แบบพ้ืนเมืองอีสาน สง่ิ ท่จี �ำเป็นในการแต่งกาย คือ ผ้าสไบ ส่วนกมล วงษ์ค�ำ (2545) ได้ศึกษาคติความเช่ือเกี่ยวกับการสร้างเรือนไม้ พื้นบ้านอีสาน ในจังหวัดมหาสารคาม พบว่า เรือนไม้พื้นบ้านอีสานในจังหวัด มหาสารคามมี 2 ลกั ษณะ คอื เรอื นใหญแ่ ละเรอื นใหญม่ โี ขง่ ชาวบา้ นมคี ตคิ วามเชอ่ื ว่าห้ามใช้ไม้กระบก กระบากและแต้สร้างเรอื น เพราะชอ่ื ไม่เป็นมงคล นอกจากนนั้ ยังมีความเช่ือเกี่ยวกับการถือฤกษ์ยามในการปลูกสร้าง ส่วนจิรพร ศรีบุญลือ (2546) ไดศ้ กึ ษาการสอ่ื สารและการถา่ ยทอดของผญาหรอื ภาษติ อสี านของคนอสี าน ความหมายและการสะท้อนถึงอัตลักษณ์ ความเช่ือ ค่านิยม วิถีชีวิต ภูมิปัญญา ของคนอสี านโดยผา่ นผญาหรอื ภาษติ อสี าน โดยศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพใชก้ ารวเิ คราะห์ เนือ้ หา พบว่า ผญามีทัง้ หมด 480 บท วิธีการส่ือสารหรือถ่ายทอดผญาได้ใช้การ จดจ�ำการบอกเล่าของผู้อาวุโสปู่ย่าตายาย มากกว่าการจดบันทึก ส่ิงท่ีสะท้อน ให้เห็นชัดเจนถึงอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของคนอีสานคือความเชื่อในส่ิงที่อยู่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 109 เหนือธรรมชาติยึดม่ันในศาสนา และเช่ือในกฎแห่งกรรมโดยน�ำเอาความเชื่อน้ี มาใช้สื่อในการสั่งสอนโดยผ่านเนื้อหาของผญา ทั้งน้ีประสิทธิผลของการสื่อสาร ขน้ึ อยู่กบั ความรู้ความสามารถของผู้ส่ือและผู้รบั ภาระหน้าท่ีของภาษาคอื สงิ่ ที่สื่อ ความหมายท่ที �ำให้มนุษย์เข้าใจกนั นอกจากนจี้ ตุพร ไชยทองศรี (2544) ได้ศึกษา เปรียบเทียบความเช่ือเรื่อง การนบั ถอื ผที มี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ จรยิ ธรรม การดำ� รงชวี ติ ของบคุ คลในทอ้ งถน่ิ ทง้ั ภาคอสี าน และภาคใต้ พบวา่ ผปี ตู่ ามาจากวญิ ญาณบรรพบรุ ษุ สถาบนั ผปี ตู่ า มผี ปี ตู่ า ศาลปตู่ า ทใ่ี ชเ้ ปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ดอนปตู่ าทมี่ ขี อบเขตอาณาบรเิ วณถงึ 15 ไร่ เฒา่ จำ้� ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ สอื่ กลางระหวา่ งชาวบา้ นกบั ผปี ตู่ า ความสำ� คญั ของผปี ตู่ าในระดบั ชมุ ชน ผตี ายาย คอื วญิ ญาณของพ่อแม่บรรพบรุ ุษผู้ล่วงลบั สถาบันประกอบไปด้วย ผีตายาย หิง้ ที่ อยู่ในบ้าน ร่างทรง มคี วามสำ� คัญอยู่ในระดับครอบครัวมีพิธีกรรม และความเช่ือ แตกต่างกันไป ในด้านอิทธิพลล้วนมีอิทธิพลต่อสังคม คือสะท้อนโครงสร้างของ สงั คมเกษตรกรรมเป็นทพ่ี งึ่ ทางใจมอี ทิ ธพิ ลตอ่ เศรษฐกจิ ส่วนผปี ตู่ าชว่ ยอนรุ กั ษ์ป่า ไม้ ส�ำหรับพิทักษ์ น้อยวังคลัง (2545) ได้วิจัยเร่ือง การศึกษารูปแบบและ คติความเช่ือเกี่ยวกับธรรมาสน์ริมฝั่งโขง งานช้ินนี้ ศึกษาเก่ียวกับรูปแบบและ คติความเช่ือเกี่ยวกับธรรมาสน์ริมฝั่งโขง โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและการ สังเกต ซึ่งได้แก่จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อ�ำนาจเจริญและ อุบลราชธานี พบว่า สามารถจ�ำแนกธรรมาสน์ได้ 3 รูปแบบคือ ธรรมาสน์ต่ัง ธรรมาสน์เตียง และหอธรรมาสน์ แต่ละรูปแบบมีองค์ประกอบที่ส�ำคัญ ได้แก่ ส่วนประกอบโครงสร้างและส่วนประกอบทางศิลปกรรม แสดงให้เห็นถึงความ เรียบง่ายและความอลังการ สถาบันทางสังคมได้มีการประยุกต์ให้สอดคล้อง กับการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันและคตินิยมของท้องถิ่น คติการสร้างธรรมาสน์ ผู้สร้างและผู้เกี่ยวข้องล้วนเป็นพุทธบริษัท สร้างความศรัทธาในพุทธศาสนา และวีรยุทธ ไชยเพชร (2542) ได้ศึกษาประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนาง พบว่า สถานท่ีท่ีใช้ประกอบพิธีกรรมมีแห่งเดียว คือ ศาลเจ้าแม่สองนางจังหวัด

110 โสวฒั นธรรม มุกดาหาร ส่ิงของท่ีใช้ประกอบพิธีกรรมมีดอกไม้ธูปเทียน และเป็นส่ิงของท่ีใช้ได้ ทุกพิธีกรรมเก่ียวกบั เร่อื งผมี ากทีส่ ุด ผสมกบั ความเช่ือทางพทุ ธศาสนา นอกจากนจ้ี �ำเนียร พันทวี (2540) ได้ศึกษาพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ของ ชาวบ้านหมู พบว่า เป็นพิธีกรรมอย่างหนง่ึ ท่ีชาวบ้านนับถือสืบทอดกันมานาน บนพื้นฐานแห่งความเชื่อในอ�ำนาจอันลึกลับและส่ิงศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่า เทวดา ภูตผีและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท้ังหลายสามารถขจัดปัดเป่าสิ่งช่ัวร้ายหรือความทุกข์ร้อน ออกจากรา่ งกาย และดลบนั ดาลใหค้ นประสบความสขุ ความเจรญิ ในชวี ติ ได้ ขน้ั ตอน ในการทำ� พธิ กี รรม คอื ภายหลงั การเตรยี มสงิ่ ของพรอ้ มแลว้ “หมอสตู ร” กน็ �ำสง่ิ ของ ใสใ่ นกระทงใหค้ รบ 9 กระทง จากนน้ั ประพรมนำ้� มนตแ์ ละใชด้ า้ ยผกู ขอ้ มอื ใหแ้ กผ่ รู้ บั การสะเดาะเคราะห์ เสร็จแล้วผู้รบั การสะเดาะเคราะห์นำ� กระทงไปทิง้ นอกหมู่บ้าน เช่นเดียวกับกฤษณา กุลทรัพย์ศักด์ิ (2540) ได้ศึกษาเก่ียวกับบทบาทหน้าที่และ ขนั้ ตอนในประเพณพี ธิ กี รรมการบวชควายฮา้ ในวถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นในตำ� บลหมมู น่ กงิ่ อำ� เภอเชียงขวญั จงั หวัดร้อยเอ็ด พบว่า เป็นพิธกี รรมย่อยในประเพณบี ุญบัง้ ไฟ พธิ กี รรมควายฮา้ มอี งคป์ ระกอบดา้ นบคุ ลากร ไดแ้ ก่ เฒา่ จ้�ำซง่ึ เปน็ บคุ คลทบ่ี วชเปน็ ควาย คนเล้ียงควาย แม่บัวระบัดควาย แม่นางวัวซึ่งต้องหาบห่อข้าวไปนาพร้อม เครอื่ งมอื จบั ปลา กลมุ่ ผถู้ อื ศาสตราวธุ และคณุ แมน่ างววั ซงึ่ เปน็ พาหนะของเจา้ พอ่ โฮงแดง นอกจากนนั้ ยงั มฤี กษย์ าม สถานทปี่ ระกอบพธิ กี รรม วตั ถสุ งิ่ ของไดแ้ กเ่ ครอื่ ง สักการะ การท�ำพิธีควายฮ้านน้ั เป็นการสร้างขวัญก�ำลังใจในการประกอบอาชีพ ทำ� นาของชาวบา้ น และพวงเพชร ชปุ วา (2542) ไดศ้ กึ ษากระบวนการทำ� ธงุ ผะเหวดและ ความสัมพันธ์ระหว่างธุงผะเหวดกับวิถีชีวิตของชาวบ้านหนองดู่ พบว่าธุงผะเหวด เป็นเครื่องแสดงสัญลักษณ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้ร่วมกันว่าเวลาน้ีและสถานที่นี้ จะ ท�ำการประกอบพิธีกรรม คือ บุญผะเหวด ธุงผะเหวดนน้ั ทอด้วยกี่ท่ีมีหน้ากว้าง ๓๐-๖๐ เซนตเิ มตร ภาระการทำ� ผนื ธงเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ส่วนผู้ชายมีหน้าท่ที ำ� เสาธง ทำ� เพอ่ื ไปถวายวดั ไปใชใ้ นงานบญุ ประเพณแี ละเพอื่ เปน็ การไถบ่ าปของตนเอง ตามความเชอื่ ในพทุ ธศาสนา และนยิ มทำ� ธงุ ผะเหวดถวายเปน็ คู่ เพอื่ ปรารถนาความ สมบรู ณท์ างดา้ นการครองเรอื น นอกจากนว้ี มิ ล ภศู รี (2542) ไดศ้ กึ ษาวถิ กี ารดำ� เนนิ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 111 ชีวิตตามฮีตคองของชาวบ้านขวาว พบว่า วิถีครอบครัว มีการปฏิบัติต่อกันของ บคุ คลในวงศ์เครอื ญาตเิ ลก็ ๆ พ่อแม่ทำ� หน้าทอ่ี บรมส่ังสอนลูกให้เข้าใจและยอมรบั แผนของสงั คมวถิ เี ครอื ญาติ บคุ คลในเครอื ญาตมิ หี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามศลี ธรรมฮตี คอง คอื รจู้ กั หนา้ ท่ี รจู้ กั สถานภาพฐานะ การมสี มั มาคารวะ แสวงหาความรใู้ สต่ วั เมอื่ อยู่ ในวยั เยาว์ และขยนั หมั่นเพียรเล้ียงดตู นเองและครอบครัว วถิ ีสงั คมบคุ คลมีความ สมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกนั ทง้ั ในกิจการพ้นื ฐานและองค์กรในชุมชน ผลงานวจิ ยั ของพระครอู รญั เขตพทิ กั ษ์ (2546) ไดศ้ กึ ษาพระสงฆก์ บั ความเชอ่ื เรอื่ งนรกกบั สวรรค์ : กรณศี กึ ษาพระสงฆใ์ นเขต อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เลย ผลการวจิ ยั พบวา่ ความเชอื่ เรอื่ งนรก สวรรค์ เปน็ ความเชอื่ ทปี่ รากฏในหลกั ธรรมค�ำสอนในทาง พระพุทธศาสนา ซ่งึ มใี นพระไตรปิฎกโดยเฉพาะในพระสตุ ตนั ตปิฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค และวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น คัมภีร์โลกศาสตร์ จกั รวาฬทีปนี โลกทีปนี โลกบญั ญัติและไตรภมู พิ ระร่วง ความเชื่อเรอื่ งนรกสวรรค์ ซ่ึงเป็นส่วนหนง่ึ ในหลักค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จัดอยู่ในปริยัติสัทธรรม และ สืบทอดค�ำสอนจากรุ่นหนงึ่ ไปอกี รุ่นหนง่ึ โดยผ่านสื่อสญั ลักษณ์ต่างๆ สว่ นสมศกั ด์ิ บญุ ชบุ (2543) พบวา่ การผลติ และจำ� หนา่ ยปลาสม้ พฒั นาการ มาจากสงั คมเดมิ ทวี่ ถิ กี ารด�ำรงชวี ติ อาศยั แหลง่ วตั ถดุ บิ จากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ล�ำนำ�้ ชี เหลอื จากการประกอบอาหารน�ำมาถนอมอาหารดว้ ยกระบวนการหมกั ไวเ้ พอื่ บรโิ ภค และแลกเปลย่ี นส่ิงของระหว่างญาตพิ ่นี ้อง และประเสรฐิ ปาณนี จิ (2542) ได้วจิ ยั เร่ือง พิธีกรรมดารของชาวบ้านกระหาด ตำ� บลกระหาด อ�ำเภอจอมพระ จังหวัด สุรินทร์ งานชิ้นนี้ได้ศึกษาพิธีกรรมดารของชาวบ้านกระหาด จุดประสงค์ของการ ประกอบพิธีกรรมเพ่ือเป็นบรรทัดฐานทางสังคมแสดงความเคารพ ความกตัญญู ต่อผู้มีพระคุณ ความเช่ือเก่ยี วกบั พธิ ีกรรม ชาวบ้านเชือ่ ว่าการประกอบพิธีกรรมจะ ชว่ ยใหผ้ บี รรพบรุ ษุ มกี นิ มใี ชแ้ ละไปเกดิ ในภพใหมท่ ดี่ กี วา่ เดมิ และเชอื่ วา่ ผบี รรพบรุ ษุ จะอวยชยั ให้พรกบั ครอบครวั นอกจากนกี้ รองพร ชาญศรี (2541) พบวา่ อาหารคาว เก่ียวกบั อาหารของชาวไทยเขมรบ้านท่าสว่าง ต�ำบลท่าสว่าง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สุรินทร์ นิยมใช้ขมิ้นและกระชายเป็นเคร่ืองเทศในการปรุง ใช้เน้ือวัวและไก่ ไม่ใช้

112 โสวฒั นธรรม เน้ือวัวและแมลงทุกชนดิ ปลาจ่อมที่ทำ� จากกุ้งฝอยหมักเกลือแล้วใส่ข้าวค่ัว เป็น อาหารยอดนยิ ม นยิ มบรโิ ภคข้าวจ้าว ส่วนความเชือ่ ทม่ี ตี ่ออาหารในชีวติ ประจำ� วนั นนั้ เป็นความเชื่อที่เก่ียวกับสภาพแวดล้อมประสบการณ์ สุขภาพ และเช่ือต่อสิ่ง เหนอื ธรรมชาติ อาหารทใ่ี ชใ้ นงานมงคลนยิ มอาหารทมี่ เี สน้ เพอ่ื แสดงถงึ ความยนื ยาว ส�ำหรับเสริม ผลเพิ่ม (2541) ได้ศึกษาข้อมูลจากเอกสารและภาคสนาม 3 แหง่ คอื อำ� เภอเมอื ง อำ� เภอเขมราฐและอำ� เภอพบิ ลู มงั สาหาร พบวา่ การสว่ งเฮอื (การแข่งเรือ) เป็นกิจกรรมหนง่ึ ในช่วงเทศกาลออกพรรษา เชือ่ ว่า เฮือส่วงแต่ละลำ� นนั้ มีสิ่งศักด์ิสิทธิ์สถิตอยู่ ดังนน้ั การขุดเฮือส่วงและการใช้จึงมีความเก่ียวพันกับ พธิ กี รรมและความเชอื่ ในทกุ ขน้ั ตอน สว่ นธดิ ารตั น์ ดวงสนิ ธ์ุ (2546) เรอื่ ง แนวคดิ เชงิ ปรชั ญาทป่ี รากฏในประเพณแี หเ่ ทยี นพรรษาของประชาชนอำ� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาแนวคิดทางอภิปรชั ญา จริยศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์ ทางอภปิ รชั ญา ซงึ่ ไดแ้ ก่ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยแ์ ละเจตจำ� นงเสรี การทำ� เทยี นพรรษา เป็นการสร้างสรรค์ด้านจิตใจ ท�ำให้จิตใจเป็นสุขและได้ปัญญา การถวายเทียน เป็นการสร้างบุญ เพ่ือให้ตนเองมีปัญญาและเฉลียวฉลาดทั้งในชาตินี้และชาติ หน้า ด้านจริยศาสตร์ สะท้อนถึงความคิดว่าด้วยอุดมคติของชีวิตมนุษย์ และ เกณฑ์ตัดสินทางจริยธรรม ด้านสุนทรียศาสตร์คือความศรัทธา และเกณฑ์ตัดสิน คณุ ค่าทางสุนทรียศาสตร์ข้นึ กบั ความรู้สึกและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ส่วน สาเหตแุ หง่ การเปลย่ี นแปลงมี 2 ปจั จยั คอื ปจั จยั ภายในและปจั จยั ภายนอก ปจั จยั ภายในเกดิ จากความคดิ และคา่ นยิ มของมนษุ ย์ สว่ นปจั จยั ภายนอก ไดแ้ ก่ การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม สุริยา สมุทคปติ์ พัฒนา กิตติอาษา ศิลปะกิจ ต่ีขันติกุล และจันทนา สุระพินจิ (2540) ได้ท�ำการวิจัยเร่ือง พิธีกรรม “ข่วงผีฟ้อน” ของ “ลาวข้าวเจ้า” จังหวัดนครราชสีมา โดยศึกษาตรวจสอบ น�ำเสนอรูปแบบและเน้ือหาส�ำคัญ “วิธีคิดของคนไทย” ในระดับชาติต้ังแต่สมัยของรัชกาลที่ 4 น�ำเสนอข้อค้นพบ เกี่ยวกับ “วีธีคิด” ของชาวบ้านในชนบทอีสาน พบว่า “วีธีคิด” เป็นผลผลิตทาง ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อทางการเมืองไม่ใช่อยู่ตามธรรมชาติ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 113 ได้รับการน�ำเสนอโดยชนช้ันผู้น�ำ กษัตริย์ ขุนนางและปัญญาชนมาตลอด ระยะเวลาของประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่เพื่อสร้างชาติ พัฒนาประเทศ พิธีกรรม ข่วงผีฟ้อนของชาวบ้านเรียกตัวเองว่า “ลาวข้าวเจ้า” สะท้อนให้เห็น “วิธีคิดแบบ พ่งึ พา” อ�ำนาจภายนอกท้งั ที่เป็นอ�ำนาจผแี ละอ�ำนาจของข้าราชการ นกั การเมือง และนายทุน แสดงให้เห็น “วิธีคิด” บทความของสุริยา สมุทคุปต์ิและพัฒนา กิตติอาษา (2546) เร่ือง คนอีสานในอดีตใช้ผ้าซิ่นห่อคัมภีร์ใบลาน ได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตชาวอสี านได้ใช้ผ้าซ่นิ ซ่งึ เป็นเครือ่ งนุ่งห่มร่างกายท่อนล่างของผู้หญิงมาห่อ คมั ภรี ์ใบลานซง่ึ เปน็ ของสงู และศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ไดร้ บั การรกั ษาในมณฑลทางศาสนาและ อ�ำนาจของผู้ชายมาโดยตลอด นั่นแสดงว่าคนอีสานคิดและท�ำในสิ่งที่แย้งกับ ความเช่อื และโลกทศั น์ในวัฒนธรรมของตนเองมาต้ังแต่คร้ังอดีต บทความของชอบ ดีสวนโคก (2544) เรื่อง \"แม่ญิง\" หมอล�ำทรง/หมอล�ำ ผฟี ้า:มิตกิ ารรกั ษาพยาบาล กล่าวว่า ชาวอสี านมีความเช่ือผูกพันอยู่กับวิญญาณ ท่ีมีอ�ำนาจลึกลับท่ีเรียกว่าผีมาช้านาน วิถีชีวิตเข้าไปโยงใยอยู่กับเร่ืองนตี้ ั้งแต่เกิด จนตาย จนทำ� ให้กำ� หนดได้ว่า ผีมถี ่นิ ทอ่ี ยู่มีภาระหน้าที่ มบี ุคลกิ ต่างกนั ออกไป คือ 1) ผฟี า้ หมายถงึ ผไี ท้ ผแี ถน มหี นา้ ทปี่ น้ั หลอ่ คมุ้ ครองปกปกั รกั ษามนษุ ย์ ผเี ชอื้ หรอื ผบี รรพบรุ ษุ มหี นา้ ทคี่ มุ้ ครองปกปักรกั ษาลกู หลาน เมอ่ื ทำ� ผดิ กล็ งโทษ เปน็ ผชี น้ั สงู 2) ผบี ้าน หมายถึง ผีปู่ตา ท�ำหน้าท่คี ุ้มครองหมู่บ้านไม่ให้ผีภายนอกเข้าไปภายใน 3) ผเี จา้ ท่ี หมายถงึ ผนี ำ�้ ผภี ู ผไี ร่ ผนี า ผปี า่ ผดี ง เปน็ ผที ม่ี หี นา้ ทรี่ กั ษาภมู ฐิ าน เปน็ ผี ชนั้ กลาง 4) ผพี เนจร หมายถงึ ผเี ผด (เปรต) ผหี ลอกไมม่ ที อี่ ยทู่ แี่ นน่ อน เปน็ ผชี น้ั เลว 5) ผบี า้ หมายถงึ คนทม่ี อี าการขาดสตสิ มั ปชั ชญั ญะเปน็ พวกคนผบี า้ ผปู้ ว่ ยเปน็ โรค ผแี ปงประเภทที่ 1 ถงึ ที่ 3 เปน็ หนา้ ทขี่ องหมอลำ� ทรงหรอื หมอลำ� ผฟี า้ หรอื หมอลำ� คณุ จะไดผ้ ลดที สี่ ดุ สว่ นบทความของวเิ ชยี ร มบี ญุ (2541) เรอ่ื ง พธิ กี รรมการจบั ปลาบกึ ในแม่นำ�้ โขง กล่าวว่า ในอดีตชาวลาวและชาวอีสานเชื่อกนั ว่าปลาบึกเป็นปลาเจ้า ลา่ ไมไ่ ดต้ อ้ งขออยา่ งเดยี ว วฒั นธรรมการบรโิ ภคปลาบกึ ของชาวลาวและชาวอสี าน ในอดตี ตอ้ งการบรโิ ภคแตพ่ อเปน็ บญุ เทา่ นนั้ แตใ่ นปจั จบุ นั แตล่ ะปที ผี่ า่ นมาไดม้ กี าร จบั ปลาบกึ ปีละ 1 ครง้ั โดยมพี ิธกี รรมทีย่ ่งิ ใหญ่ สร้างศาลเพยี งตาในบริเวณหาดที่

114 โสวัฒนธรรม จบั ปลาบกึ เข้าร่วมพธิ กี รรม การท�ำพธิ ีกรรมจะแยกท�ำเปน็ สองครง้ั คอื ก่อนทจ่ี ะจบั ปลาบกึ และหลงั จบั ปลาบกึ ส�ำหรบั ตอนหลงั ทำ� เฉพาะผทู้ จ่ี บั ปลาบกึ ไดเ้ ทา่ นนั้ โดย ทำ� พธิ บี วงสรวง แม่ย่านางเรอื นอกจากน้ีบทความของลักขณา จินดาวงษ์ (2543) เรื่อง แยกฝ้าย เก็บ ไหมมัดหม่ี พบว่า เครอ่ื งอดี ฝ้าย เป็นเครอ่ื งมือของชาวบ้านท่ใี ช้ภูมปิ ัญญาในการ สรา้ งสรรคเ์ ครอื่ งมอื เครอื่ งใชเ้ พอ่ื ความสะดวกสบายและทนุ่ แรงในการแยกเมลด็ ฝา้ ย ออกจากปยุ ฝา้ ย ปจั จบุ นั เครอื่ งอดี ฝา้ ยหาดไู ดย้ าก เพราะคนสว่ นใหญไ่ มไ่ ดท้ อผา้ ใช้ เอง สว่ นอกั และคอนอกั เปน็ เครอื่ งมอื เครอื่ งใชใ้ นการทอผา้ คอนอกั คอื หลกั ส�ำหรบั กระสวย อักคือกระสวยไม้ขนาดใหญ่ ใช้ส�ำหรับกรอหรือม้วนจัดเก็บเส้นไหมหรือ ฝ้ายท่ียังเป็นกลุ่มเป็นก้อนให้คล่ีคลายเป็นเส้น โดยการหมุนบนอักเพ่ือจัดเก็บเส้น ไหมหรอื ฝา้ ยใหเ้ ปน็ ไจกอ่ นนำ� ไปเขา้ หกู ทอผา้ และหลกั ดนั หมห่ี รอื โฮงหมี่ สว่ นปกรณ์ คณุ ารกั ษ์ (2543) พบวา่ เปงิ บา้ นหรอื หอ้ งเปงิ เปน็ มติ หิ นง่ึ ของความเชอ่ื ของชาวไทย อสี าน ทย่ี งั คงยดึ มัน่ อยู่อย่างเหนยี วแน่น ต่างจากสังคมเมืองหรอื คนรุ่นใหม่ “เปิง” เป็นภาษาไทยอีสานดง้ั เดมิ เป็นค�ำท่มี คี วามหมายลกึ ซง้ึ นอกจากจะใช้เป็นค�ำนาม เรยี กสงิ่ ของ บรเิ วณหรอื อาณาเขตแลว้ เปงิ คอื ความเชอื่ ทเี่ จอื ดว้ ยอารมณห์ รอื ความ รู้สึก ความเกรงกลวั ความเคารพในสิทธิอ�ำนาจทีแ่ ฝงอยู่ เป็นความเชอ่ื ท่มี อี ำ� นาจ เหนอื ความรู้สึก และต้องปฏิบตั ติ ามไร้ข้อกังขาใดๆ ท้ังส้ิน ดงั นนั้ “เปิงบ้าน” ถือ เปน็ ครรลองของหมบู่ า้ น เปน็ ความเชอ่ื ของหมบู่ า้ นทถ่ี กู ถา่ ยทอดมาจากเจา้ บา้ นเจา้ เฮอื นตง้ั แต่อดีต นอกจากนบี้ ทความของวัชรินทร์ เขจรวงศ์ (2547) เรื่อง ครกมอง หรือครกกระเด่ือง ภูมิปัญญาไทยอีสานคู่บ้านชาวนาไทย กล่าวว่า ครกต�ำข้าว หรือครกมอง นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินของจังหวัดร้อยเอ็ด และพบว่า คำ� ว่า “ครกมอง” นน้ั มคี วามหมายมาจากค�ำกรยิ าการตำ� ขา้ วจะมองดตู งั ครกขณะการต�ำ ในสมัยโบราณบ้านของเกษตรกรในภาคอีสานจะมีครกมองประจ�ำครัวเรือน ส่วนประกอบของครกมองประกอบด้วย ตัวครก แม่ครก เสา แอวหรือคาน และ สาก ปัจจุบนั ถูกประยกุ ต์มาเป็นเคร่อื งมอื ตำ� ข้าวกล้อง

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 115 งานวจิ ยั ของธาดา สทิ ธธิ รรม (2542) เรอื่ ง รปู แบบและระบบนเิ วศวฒั นธรรม ของผงั บ้านชาวอสี านตอนบน ท่ีมุ่งศกึ ษาลกั ษณะชมุ ชนอสี าน ประเพณีและความ เชื่อท่ีเกี่ยวข้องกับผังบ้าน ลักษณะและองค์ประกอบของผังบ้านและระบบนิเวศ วัฒนธรรมของผังบ้านใน 5 ประเด็น คือ ระบบการใช้ที่ดิน ระบบการปลูกพืช ระบบการใช้น้�ำและระบายน�้ำ ระบบการบ�ำบัดของเสียและสิ่งปฏิกูล ระบบ การใช้พลังงานในครัวเรือน ผลการวิจัยพบว่า ในแต่ละครั้งเรือนมีระบบต่างๆ ท่ี เก้ือหนนุ และสอดคล้องก่อให้เกิดผลิตผลในการด�ำเนนิ ชีวิต และไม่สร้างมลพิษต่อ สภาพแวดล้อม วรจนั ทร์ วฒั เนสก์ (2541) ท�ำการวจิ ยั เร่อื ง รปู แบบและระบบนเิ วศ วัฒนธรรมของผังบ้านชาวอีสานตอนบน ได้ศึกษารูปแบบระบบนิเวศวัฒนธรรม ของผังบ้านชาวอีสานตอนบนในด้านประเพณีและความเช่ือที่เกี่ยวข้องกับผังบ้าน ลักษณะและองค์ประกอบของผังบ้าน และระบบนิเวศวัฒนธรรมของผังบ้านใน 5 ประเด็น คือ ระบบการใช้ที่ดิน ระบบการปลูกพืช ระบบการใช้น้�ำ ระบบการ ระบายน�้ำ ระบบการบ�ำบัดของเสียและสิ่งปฏิกูล และสุริยา บรรพลา (2544) ได้วิจัยเรอ่ื ง พธิ ีกรรมเลีย้ งผี อ�ำเภอวงั สะพุง จังหวัดเลย มีวัตถุประสงค์เพ่ือศกึ ษา องคป์ ระกอบ ความเชอื่ ในพธิ กี รรมเลย้ี งผี โดยเลอื กหมบู่ า้ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง 4 หมบู่ า้ น เป็นพ้ืนท่ีศึกษาได้แก่ บ้านทรายขาว บ้านนาวัว บ้านปากปวน และบ้านวังสะพุง ผลการวิจัยพบว่า หมู่บ้านท่ีใช้เป็นพื้นท่ีในการศึกษาเป็นหมู่บ้านท่ีมีประวัติการ กอ่ ตง้ั ชมุ ชนเปน็ เวลานาน มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี ในการนบั ถอื ผเี จา้ นาย และผี บรรพบรุ ษุ เมอื่ ครบรอบวนั เลยี้ งประจำ� ปี ตอ้ งดำ� เนนิ การจดั งานเลยี้ งผดี ว้ ยความเชอื่ ว่าผเี จ้านายและผบี รรพบุรุษจะช่วยคุ้มครองชีวิตให้ด�ำเนนิ ไปอย่างปกตสิ ุข นอกจากนงี้ านวจิ ัยของศรีศักร วัลลโิ ภดม (2541) เรอ่ื งวฒั นธรรมปลาแดก ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาในภาคอีสาน ท่ีปลาและการจับ ปลามคี วามสำ� คญั ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของชมุ ชน การใหเ้ วลาในเรอ่ื งของปลา จบั ปลา กินปลา ขายปลา จึงมากกว่ากจิ กรรมอ่นื ๆ ในรอบปี ทำ� ให้เร่ืองปลานี้เข้าไปพวั พนั กบั มติ อิ น่ื ๆ ทง้ั ในทางสงั คมและวฒั นธรรมของชาวนาทอ่ี ยใู่ กลช้ ดิ กบั แหลง่ นำ�้ ตา่ งๆ แต่ภาคอีสานในหน้าแล้งจะขาดแคลนน�้ำ ท�ำให้ชาวนาต้องกระตือรือร้นในฤดูฝน

116 โสวฒั นธรรม ปลูกข้าวและจับปลาอย่างพอเพียง เพื่อกักเก็บไว้ในฤดูแล้ง โดยเก็บด้วยวิธีหมัก ดองแบบปลาแดกข้าว โดยศึกษาจากชุมชนลุ่มน้�ำหนองหารสกลนคร ชุมชนแม่นำ้� สงครามตอนบน บทความของ ว.ศรสี โุ ร (นามแฝง) (2540) เรอ่ื ง เลา้ ขา้ ว ยงุ้ ฉางแหง่ ภมู ปิ ญั ญา อีสาน เป็นบทความท่ีอธิบายถึงการศึกษาลักษณะรูปแบบหรือโครงสร้างและคติ ความเชอ่ื เกยี่ วกบั เลา้ ขา้ วในภาคอสี าน ในสงั คมชมุ ชนของอสี าน “เลา้ ขา้ ว” มคี วาม จ�ำเป็นมากเพื่อเก็บรักษาพืชผลของตนเองเม่ือหมดส้ินฤดูกาลเพาะปลูก ลักษณะ ของเล้าข้าวคือมีโครงสร้างอยู่ภายนอก เช่น เสา เคร่าฝา กะทอด อยู่ด้านนอก ของผนงั มกั นยิ มใช้ไม้ไผ่ขนาดเล็กมาสานขัดทางตั้ง แล้วทาด้วยเปี๋ย (ขค้ี วายคลุก แกลบและดนิ เหนยี ว) ภายในจนปดิ รอ่ งของไมไ้ ผแ่ ละมกั นยิ มนำ� ใบไมท้ เ่ี ปน็ มงคลคอื คนู , ยอ มาเสยี บด้านหน้าข้างประตเู ล้า นอกจากนี้ยงั มกี ารทำ� พิธี “ท�ำขวญั เล้า” ซึ่งต้องเอาข้าวข้ึนเล้าให้แล้วเสร็จก่อนเดือน 3 และบทความของประสพสุข ฤทธิเดช (2543) เรอื่ ง นาตาแฮกในวฒั นธรรมอีสาน ได้ศึกษาเกยี่ วกบั การปลูกข้าว ในนาตาแฮกต้องท�ำก่อนแปลงนาผืนใหญ่ทั้งหมด ชาวอีสานเช่ือว่าถ้าข้าวในนา ตาแฮกเจริญงอกงามปราศจากศัตรูข้าวท�ำลาย มีผลผลิตมากย่อมส่งผลถึงข้าว ในแปลงนาทั้งหมดเจริญงอกงามได้ผลผลิตมากเช่นกัน นาตาแฮกมีความสำ� คัญ ต่อวิถีชีวิตชาวนาอีสานกับการท�ำนามานาน ดังภาษิตอีสานท่ีกล่าวว่า \"ทุกข์บ่มี เสอ้ื ผา้ ฝาเฮอื นดพี อลอี้ ยู่ ทกุ ขบ์ ม่ ขี า้ วใสท่ อ้ ง นอนลอ้ี ยบู่ เ่ ปน็ \" (ความทกุ ขไ์ มม่ ขี า้ วกนิ เป็นความทุกข์ที่ทนไม่ได้) ภาษิตอีสานดังกล่าวแสดงให้เห็นความส�ำคัญของการ ท�ำนามากกว่าการมีเคร่ืองแต่งกายประดับร่างกาย การท�ำนาของชาวอีสานได้ใช้ ภมู ปิ ัญญาพื้นบ้านมาตงั้ แต่อดตี จนถึงปัจจบุ ัน สว่ นบทความของจรี วรรณ หสั โรค (2542) เรอ่ื ง วฒั นธรรมกบั การบรโิภคอาหาร ในฮีตสิบสองของชาวอีสาน ได้ศึกษาเก่ียวกับวัฒนธรรมการบรโิ ภคอาหารใน ฮตี สบิ สองของชาวอสี าน พบวา่ อาหารในงานบญุ ประเพณขี องชาวอสี าน โดยทว่ั ไป จะคล้ายกันและอาหารที่ขาดไม่ได้คือ ขนมจีนน�้ำยาปลาหรือแกงไก่ ข้าวต้มโค่น แกงอ่อม ลาบ ก้อย ขนมหวาน เช่นลอดช่อง บวชมนั และสาคู ขนมเทยี น เป็นต้น

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 117 แตม่ งี านบญุ ในฮตี สบิ สองของชาวอสี านทมี่ ลี กั ษณะพเิ ศษแปลกไปจากงานบญุ อนื่ ๆ คือ งานบญุ เดือน 3 ที่ชาวอีสานเรยี กว่า “บญุ ข้าวจี”่ ที่ชาวอีสานจะน�ำข้าวทตี่ น เกบ็ เกยี่ วได้ในปนี นั้ ๆ นำ� มาทำ� “ข้าวเขยี บ” เพอ่ื นำ� ไปถวายพระทว่ี ดั และบทความ ของพวงพกิ ลุ มชั ฌมิ า (2547) เรอ่ื ง ปลาแดก ในวฒั นธรรมการบรโิ ภคของชาวอสี าน กล่าวว่าปลาแดกหรอื ปลาร้าเป็นอาหารพืน้ บ้านของชาวอีสาน ปัจจุบันเป็นอาหาร ทส่ี ามารถสง่ ออกเปน็ สนิ คา้ ทท่ี ำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศจำ� นวนมหาศาล ชาวอสี านจงึ ให้ ความสำ� คญั ในการแปรรปู อาหารเพอ่ื เกบ็ ไวบ้ รโิ ภคซงึ่ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ ที่ถ่ายทอดไว้แก่ลูกหลานสืบมา ในเน้ือหาของบทความ จะเสนอวิธีการท�ำอาหาร ท่ีท�ำจากปลาแดก เช่น ปลาแดกบอง ส่วนบทความของไทยวัฒน์ นลิ เขต (2543) เรอื่ ง นาวาน : ฤาจะเป็นการแบ่งปันแค่ในต�ำนาน กล่าวว่า ค�ำว่า “นาวาน” ใน บรบิ ทของชาวชนบทไท-ลาว หมายถงึ การทคี่ นหลายคนรว่ มกนั ทำ� กจิ กรรมอนั ใดอนั หนง่ึ เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลสำ� เรจ็ ตามทเี่ จา้ ของงานไดท้ ำ� การเชญิ ไวก้ อ่ นแลว้ โดยไมม่ กี าร จา่ ยคา่ จา้ งแรงงาน ทง้ั นเ้ี จา้ ของงานจะท�ำการจดั เตรยี มขา้ วปลาอาหารไวเ้ ลยี้ งผมู้ า ช่วยงาน ซึง่ มีความหมายตรงกับภาษาไทยว่า “ลงแขก” โดยทั่วไปนาวาน จะเกิด ในลกั ษณะกจิ การภายในของคนในหมู่บ้านเป็นส่วนมาก งานท่ที ำ� จ�ำเป็นต้องเสร็จ ภายในเร็ววัน และเหลือบ่ากว่าแรงที่เจ้าของงานจะทำ� คนเดียวภายในระยะเวลา อนั สน้ั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ชาวบา้ นสามารถบรหิ ารสภาพชวี ติ ของชมุ ชนอยา่ งมคี วามสขุ ในลกั ษณะของการให้ความช่วยเหลือ ถ้อยทถี ้อยอาศัยกัน และจดั สรรด้านรายได้ อย่างนุ่มนวล โดยได้เนื้องานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปัจจุบันนาวานก�ำลังเลือน หายไปจากสังคมอีสาน เนื่องจากการน�ำเทคโนโลยีเข้ามาใช้แทนแรงงาน เช่น ควายเหลก็ นอกจากนบี้ ทความของทองสนุ ทร์ คามนา (2540) เรื่อง แอแล-อีหลบุ ได้ ศกึ ษาเกยี่ วกบั แอแล-อหี ลบุ พบวา่ แอแล ในภาษาอสี าน หมายถงึ เครอื่ งดกั ลอ่ ปลา ชนิดหนึ่งสานด้วยไม้ไผ่หรือไม้ตระกูลไผ่อ่ืนๆ มีลักษณะคล้ายกะโสบหรือ กะโถกเกวียนหรือบางถิ่นเรียกว่า กระเซอเกวียน ส่วนเคร่ืองมือดักจับปลา ที่ชื่อ \"อีหลุบ\" เป็นเคร่ืองมือประเภทเคร่ืองจักสาน เพราะอีหลุบจะสาน ด้วยไม้ไผ่หรือไม้ตระกูลไผ่เกือบท้ังหมดจะใช้ไม้เน้ือแข็งเฉพาะโครงร่าง

118 โสวฒั นธรรม ของอีหลุบ เช่น ไม้คาบลาบ หรือด้ามจับตรงขอบปากของอีหลุบและไม้โครงที่ ท�ำหน้าที่เหมือนกรอบตรงท่ีติดกับพื้น 2 อัน ยาวไปถึงก้นอีหลุบเพื่อทำ� ให้อีหลุบ แขง็ แรงเท่านน้ั ส่วนอหี ลุบจะสานด้วยไม้ไผ่มรี ูปร่างคล้ายๆ บุ้งกค๋ี ว�่ำหน้า ส�ำหรับบทความของ ปกรณ์ คณุ ารกั ษ์ (2544) เร่อื ง การปันมูล(แบ่งมรดก) เป็นบทความเชิงวิชาการเก่ียวกับการปันมูล (แบ่งมรดก) พบว่า พ่อแม่ปันมูลให้ กบั ลูกๆ ทกุ คนและมคี วามแตกต่างกันคือ 1) ปันมูลท่ดี ินเพ่อื การเกษตร คอื ทีน่ า ทส่ี วนใหก้ บั ลกู สาวเทา่ นน้ั 2) ลกู สาวคนสดุ ทอ้ งจะไดร้ บั มลู มากกวา่ ทกุ คนโดยเฉพาะ บา้ นและทดี่ นิ ทพ่ี อ่ แมอ่ าศยั อยู่ และลกู สาวคนเลก็ นจี้ ะเลยี้ งดพู อ่ แมแ่ ละอยกู่ บั พอ่ แม่ 3) ลกู ชายจะไดร้ บั เฉพาะสตั วใ์ หญ่ เชน่ ววั ควาย และเงนิ จำ� นวนหนง่ึ ตอนแตง่ งาน หรือตอนหมั้น ส่วนท่ีเกยี่ วข้องกบั ทัศนะในการปันมลู นนั้ คือ 1) พ่อแม่ต้องการแบ่ง ให้กับลูกๆ เท่าเทียมกันและยังคงเก็บส่วนหนงึ่ ไว้ให้กับตนเองแก้ปัญหาในวัยชรา เรียกว่า “เบ้ียเผาปี” 2) พ่อแม่มีความประสงค์ท่ีจะอยู่กับลูกสาวคนเล็กมากกว่า ลูกสาวคนอ่นื และบทความของนพิ ัทธ์พร เพง็ แก้ว (2542) เรื่อง ไทบ้านดดู าว เป็น บทความเกี่ยวกับไทบ้านดูดาว กล่าวถึง คนอีสานเรียกชาวบ้านว่า “ไทบ้าน” หมายถงึ ชาวบา้ นทวั่ ๆ ไปทหี่ าอยหู่ ากนิ รอบๆ ตวั มวี ฒั นธรรมวถิ ชี วี ติ ทส่ี งั่ สมมานาน แตบ่ รรพชน องคค์ วามรขู้ องไทบา้ นนน้ั หลากหลาย มที กุ เรอ่ื งราวเตม็ ไปดว้ ยขอ้ สงั เกต ธรรมชาตอิ ยา่ งลมุ่ ลกึ และแมน่ ยำ� ดวงดาวบนทอ้ งฟา้ กเ็ ชน่ กนั ไทบา้ นแตล่ ะทอ้ งถน่ิ ท่ัวภูมิภาคของเมืองไทยได้ใช้ภูมิปัญญาเข้าใจ ค้นหาสาระจากดวงดาวและ ปรากฏการณ์ตา่ งๆ ของทอ้ งฟ้า อนั จะยงั ความ “ปกต”ิ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ในชวี ติ ประจ�ำวนั ความเขา้ ใจของพวกไทบา้ นหรอื คนไทยชาวบา้ นอนั เกยี่ วพนั กบั ทอ้ งฟา้ และดวงดาว สว่ นบทความของพระมหาสมใจ อว้ นแกว้ (2546) เรอื่ ง พธี กี รรมทางศาสนา นิยมในวิถีชาวพุทธพ้ืนบ้าน กรณกี ารบูชาศาลเจ้าปู่หลุบ เป็นบทความเกี่ยวกับ พธิ กี รรมทางวญิ ญาณนยิ มในวถิ ชี วี ติ ชาวพทุ ธพนื้ บา้ น กรณกี ารบชู าศาลเจา้ ปหู่ ลบุ ตงั้ อยบู่ รเิ วณดอนหนั บา้ นหว้ ยเชยี ง รมิ ถนนหนองบวั ลำ� ภ-ู อดุ รธานี เปน็ สถานทพ่ี กั ผ่อนหย่อนใจที่ร่มรนื่ ด้วยป่าไม้นานาพนั ธ์ุและโขดหินรปู ร่างต่างๆ แปลกตาบริเวณ ใกลเ้ คยี งมศี าลเจา้ “ปหู่ ลบุ ” ซง่ึ เปน็ ทเ่ี คารพและศรทั ธาของประชาชนทว่ั ไป การท�ำ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 119 พธิ กี รรมบชู าศาลเจา้ ป่หู ลบุ นนั้ มอี ยปู่ ระจำ� ทกุ ปี คอื ในวนั พธุ แรกของเดอื นหก โดย ทำ� พรอ้ มกนั กบั การทำ� พธิ บี ชู าศาลพระวอพระตา ในพธิ จี ะมกี ารเสยี่ งทายชะตาเมอื ง ว่าในปีนจี้ ะร่มเยน็ เป็นสุขหรอื ไม่ โดยดูได้จากการใช้คมดาบสองเล่มประกบกนั ถ้า คมดาบตั้งอยู่โดยไม่ล้ม แสดงถึงบ้านเมืองจะอุดมสมบูรณ์และร่มเย็นเป็นสุข พิธีกรรมยังเป็นกระบวนการทางอ้อมท่ีให้การศึกษาหลักค�ำสอน และปกรณ์ คุณารักษ์ (2543) ได้ศึกษาเก่ียวกับแหล่งน�้ำที่เชื่อมต่อจากแหล่งน�้ำใหญ่ ท่ีภาษา อสี านเรยี กวา่ “กดุ ” มลี กั ษณะคลา้ ยเปน็ อมุ่ น้�ำเลก็ ของแมน่ ำ�้ ใหญ่ เปน็ แหลง่ อาหาร ธรรมชาติท่ีทกุ ครวั เรือนต้องพ่ึงพา โดยการใช้สวิงโฉบหรือช้อนตกั ใต้จอกแหน เพอ่ื หากงุ้ ฝอยและปลาตวั เลก็ ๆ และการใช้ “ลนั ” เทา่ นน้ั ทจี่ ะสามารถจบั ปลาตวั ใหญ่ จากกุดได้ ด้วยความสมดลุ ทางธรรมชาตินเี้ อง กุด จงึ เป็นอุ่มนำ้� ท่ีมวลสตั ว์นำ้� ต่าง ใช้เป็นทีพ่ ักตนเอง และวางไข่ของกุ้ง หอย ปู ปลา เต่าและเหล่านกนานาพนั ธุ์ นอกจากน้ีบุญสม ยอดมาลี (2540) พบว่า ข้าวเหนียวมีความสัมพันธ์กับ ชีวติ คนอีสานตั้งแต่เกดิ จนตาย เด็กแรกเกิดวัย 2-3 เดือน แม่ก็เรมิ่ ป้อนข้าวย�่ำแล้ว (ขา้ วบด) สว่ นตอนบน้ั ปลายชวี ติ นนั้ บา้ นเรายงั คงมขี า้ วตอกแตกส�ำหรบั โปรยหวา่ น ขณะนำ� ศพคนตายไปวดั หรอื ปา่ ชา้ จะเหน็ ไดว้ า่ ขา้ วเหนยี วมสี ว่ นสมั พนั ธแ์ ละสำ� คญั ตอ่ ชวี ติ คนอสี าน เปน็ อาหารทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ของคนอสี าน ในหนงึ่ วนั คนอสี านจะนงึ่ ขา้ ว 2 ครงั้ คือ ตอนเช้าและตอนเย็น และธาณี วงค์คงเดช (2542) ได้ศึกษาถึงศกั ยภาพ ของลำ� นำ้� มลู ในการทจ่ี ะสง่ เสรมิ พฒั นาใหเ้ ปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ นเิ วศบนเสน้ ทางนำ�้ สายอารยธรรมแห่งภาคอีสาน โดยการศึกษาวจิ ยั น้ี จะเป็นการส่งเสริมให้เกดิ การ รกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม เกดิ เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วใหม่ สรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผคู้ นในชมุ ชน และนำ� ประโยชนเ์ ชงิ เศรษฐกจิ การทอ่ งเทย่ี วมาใหก้ บั ภมู ภิ าคอสี าน โดยงานชน้ิ นจี้ ะประกอบ ด้วย 4 โครงการย่อย ในลักษณะการวิจัยสหสาขาวิชาการ ที่มิใช่เป็นสาขาวิชาท่ี ใกล้ชิดกัน แต่ทุกสาขาวิชาจะได้น�ำความรู้เฉพาะสาขาของตนมาประกอบกันเพ่ือ ประโยชน์ในการพฒั นาทรัพยากรท่องเทยี่ วอีกด้วย งานวิจัยของคนึงนิตย์ จันทบุตร และบุญธรรม ทองเรือง (2542) เรื่อง ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นอบุ ลราชธานี กรณเี ทคโนโลยพี นื้ บา้ น มวี ตั ถปุ ระสงคจ์ ะรวบรวม

120 โสวฒั นธรรม องค์ความรู้เก่ียวกับกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีพ้ืนบ้าน จังหวัดอุบลราชธานี เพอื่ เปน็ การพฒั นาและปรบั ปรงุ รปู แบบ และประโยชนใ์ ชส้ อยใหส้ อดคลอ้ งกบั ความ ต้องการในปัจจุบัน เพื่อเผยแพร่แนวความรู้ด้านการผลิตและเทคโนโลยีพ้ืนบ้าน แก่สาธารณชน และเพ่ือเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านด้านศิลปหัตถกรรม ขอบเขตของการวจิ ยั แบ่งออกเปน็ 5 เรอ่ื งไดแ้ ก่ 1. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการปน้ั หมอ้ โดย ศกึ ษากรณบี า้ นทา่ ขอ้ งเหลก็ อำ� เภอวารนิ ชำ� ราบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี 2. ภมู ปิ ญั ญา ด้านการปั้นไห โดยศึกษากรณีบ้านท่าไห อ�ำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี 3. ภูมิปัญญาด้านการท�ำฆ้อง โดยศกึ ษากรณบี ้านทรายมลู อำ� เภอพบิ ูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี 4. ภูมิปัญญาด้านการการแกะสลักไม้ประดับกระดูกสัตว์ โดยศึกษากรณีบ้านหนองไข่นก อ�ำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และ 5. ภูมิปัญญาด้านการหล่อทองเหลือง โดยศึกษากรณบี ้านปะอาว อำ� เภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ภูมิปัญญาส่วนใหญ่ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้มือ (หตั ถกรรม) เพอ่ื อ�ำนวยความสะดวก ในการด�ำรงชวี ิตตามวัตถุประสงค์และความ เหมาะสมในท้องถ่ิน โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีจากหยาบสู่ละเอียด จากความ ง่ายสู่ความซับซ้อน และงานวจิ ยั ของ ดนยั วโิ รจน์อุไรเรอื ง (2544) เรอ่ื ง การศึกษา เทคโนโลยีท้องถ่ินจังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล เทคโนโลยี และวฒั นธรรมอนั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี และคน้ หา ความรู้จากเทคโนโลยเี หล่านน้ั โดยใช้วิธีสากล คือ หลักการทฤษฎที างฟิสกิ ส์ ผู้ให้ ขอ้ มลู จำ� นวน 29 คน ไดจ้ ากการเลอื กแบบเจาะจงจากกลมุ่ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ในพนื้ ท่ี จังหวัดอุบลราชธานี ผลการศึกษาได้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 19 ชนดิ คือ ครก กระเดอ่ื ง เครื่องนวดข้าว เกวียน แคน อว้ิ หลี่ บั้งไฟ ตะไล ขลุ่ยนก โหวด พณิ ซอ ขกิ ควาย เครอื่ งดกั หนู กบั ดกั หนู (เพนยี ด) บง้ั ไฟหมน่ื บงั้ ไฟแสน ลกู กลงิ้ ปลกู หอบ สำ� หรบั รชนี กรกระหวดั (2542) เขยี นบทความเกยี่ วกบั การเชดิ หนงั แลกพรกิ แลกขา้ วหนงั ตะลงุ ของชาวอสี านบา้ นสระแกว้ อำ� เภอฝาง จงั หวดั ขอนแกน่ กลา่ ววา่ ในอดีตบ้านสระแก้วมีความอุดมสมบูรณ์ ป่าไม้ชนดิ ต่างๆ ขึ้นหนาแน่น และมี ชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่จากบ้านใกล้เคียง เรม่ิ ตั้งหมู่บ้านกต็ ัดไม้ขยายนาที่ทำ� กิน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 121 ป่าไม้เร่ิมลดลง ชาวบ้านก็เริ่มประสบภัยแล้งหากินหาอยู่อย่างล�ำบาก จึงเกิดการ อพยพแรงงานไปต่างบ้าน ต่างภูมิภาคต่างๆ ท�ำให้ชาวบ้านส่ังสมประสบการณ์ ความรู้ความสามารถน�ำมาปรับเปล่ียนวิถีชีวิตเดิม แก้ปัญหาต่างๆ ท่ีเผชิญอยู่ หนังประโมทัยหรือหนงั ตะลุงอีสานเป็นหนทางหน่งึ เลือกเป็นหนทางประทังชีวิต และถอื เป็นศิลปะการแสดงท่เี กดิ จากชาวนาอสี าน กล่าวคือ การนำ� เอาหมอลำ� กบั หนังตะลุงมาผสมผสานกันโดยเอารูปหนังมาเชิดแทนตัวคนน่ันเองและเกิดการ ตระเวนแลกพรกิ แลกข้าวเพ่ือความอยู่รอดด้วย อาจกล่าวได้ว่างานวิจัยทางด้านวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นน้ั ในส่วนของประเด็นการศึกษาพลังความคิดและอุดมการณ์พบว่า ส่วนใหญ่ ยังเป็นงานวิจัยที่เน้นค้นหาองค์ความรู้ในเร่ืองของวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ท�ำให้ทราบถึงระบบคิดของคนอีสานและพบถึงพลังและ อุดมการณ์ของคนอีสานผ่านวัฒนธรรมท่ีแสดงออก อาทิ งานประเพณที ่ีสืบทอด กันมา การรักษาโรคโดยใช้สมุนไพรพ้ืนบ้านหรือพิธีกรรมต่างๆ เช่นงานของชอบ ดสี วนโคก (2544) เร่ือง “แม่ญิง” หมอลำ� ทรง/หมอล�ำผีฟ้า : มติ ิการรักษาพยาบาล ท่ีกล่าวว่า ชาวอสี านมคี วามเช่ือผูกพนั อยู่กับวิญญาณท่มี ีอำ� นาจลกึ ลับที่เรยี กว่าผี มาชา้ นาน วถิ ชี วี ติ เขา้ ไปโยงใยอยกู่ บั เรอื่ งนต้ี ง้ั แตเ่ กดิ จนตาย จนท�ำใหก้ ำ� หนดไดว้ า่ ผีมีถ่ินที่อยู่ มีภาระหน้าท่ี มีบุคลิกต่างกันออกไป ดังนนั้ ชาวอีสานจึงใช้เร่ืองของ ความเช่ือมาใช้ในการรักษา ซึ่งอาจจะใช้ได้ดีในแง่ของการบ�ำบัดทางจิตท่ีเห็นได้ เด่นชัด ถึงแม้ว่าในทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะไม่สามารถยอมรับได้หรือ ไมส่ ามารถพสิ จู นไ์ ดเ้ บด็ เสรจ็ วา่ สามารถรกั ษาไดจ้ รงิ หรอื ไม่ แตใ่ นทางของสงั คมและ วฒั นธรรมของคนในชมุ ชนแลว้ นนั้ การรกั ษาดว้ ยความเชอื่ ในเรอื่ งเหนอื ธรรมชาตนิ นั้ อย่างน้อยๆ กส็ ามารถช่วยบ�ำบัดทางด้านจิตใจของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี เม่ือท�ำความเข้าใจในเร่ืองของงานวิจัยวัฒนธรรมของภาคตะวันออก เฉียงเหนือแล้วน้ัน พบว่า ไปสอดคล้องกับแนวความคิดของนักคิดใน สายสังคมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่าง ยศ สนั ตสมบตั ิ (2537:-34-35) ท่กี ล่าวไว้ว่า แนวคิดนิเวศน์วิทยาวัฒนธรรมมองสังคมในลักษณะเป็นพลวัตหรือเปลี่ยนแปลง

122 โสวฒั นธรรม ตลอดเวลา การเปล่ียนแปลงเป็นผลมาจากการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยมีพื้นฐานส�ำคัญซึ่งเป็นเง่ือนไขหลักก�ำหนดกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการ ปรบั ตวั ของสงั คมวฒั นธรรม คอื เทคโนโลยกี ารผลติ โครงสรา้ งทางสงั คม และลกั ษณะ ของสภาพแวดลอ้ มธรรมชาติ การศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม จงึ ควรใหค้ วามส�ำคญั กบั การวเิ คราะห์ 1) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมกบั เทคโนโลยีการผลิต ซึ่งเป็นตัวก�ำหนดท่ีส�ำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม 2) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเทคโนโลยกี บั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ และ 3) ผลกระทบของการ เปลย่ี นแปลงทางเทคโนโลยตี อ่ วฒั นธรรม การเปลยี่ นแปลงจากวฒั นธรรมชมุ ชนไปสู่ วัฒนธรรมองค์กรแบบทุนนิยม สมาชิกในสังคมท่ีมีปัญหาย่อมหาทางปรับตัว ไปตามรูปแบบลักษณะเฉพาะตน เพ่ือให้อยู่ในภาวะท่ีพอเหมาะกับสิ่งแวดล้อม จากเดิมท่ีใช้ชีวิตในวัฒนธรรมชุมชน มาใช้ชีวิตในวัฒนธรรมองค์กรแบบทุนนิยม ซึ่งปรากฎการณ์ทางสังคมที่เปล่ียนแปลงไปนนั้ พบได้จากผลงานวิจัย หลายช้ิน ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเพื่อให้เราได้ทำ� ความเข้าใจสังคม อีสานได้เป็นอย่างดี 3.3 พลังภูมิปัญญาดา้ นทุนเศรษฐกจิ งานศึกษาวิจัยทางด้านวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ท่ีจัดอยู่ใน กลุ่มของการศึกษาภูมิปัญญาด้านทุนเศรษฐกิจ ได้พบงานศึกษาหลายช้ิน เช่น ครรชิต จุประพัทธศรี (2545) ได้ศึกษาเง่ือนไขและปัจจัยด้านวัฒนธรรมความเชื่อ ตอ่ การจดั การปา่ ชมุ ชนในหมบู่ า้ นอสี าน : กรณศี กึ ษาเปรยี บเทยี บระหวา่ ง 2 หมบู่ า้ น ในจังหวัดสกลนคร พบว่า ชุมชนอีสานสามารถรักษาป่าชุมชนดั้งเดิมไว้ได้ อาทิ ดอนหอและป่าช้าในเขตหมู่บ้านที่อยู่นอกเขตป่าอนุรักษ์ โดยใช้วัฒนธรรมและ ความเชอื่ มเี งอ่ื นไขและปจั จยั อะไรทที่ �ำใหป้ า่ ดำ� รงอยไู่ ดแ้ ละไมไ่ ด้ นอกจากนช้ี มุ ชน ทั้งสองได้ใช้วัฒนธรรมความเช่ือท่ีสืบทอดกันมานานในการดูแลรักษาป่าดอนหอ และปา่ ชา้ มเี งอื่ นไขปจั จยั มาชว่ ยเสรมิ คอื การมแี หลง่ ทรพั ยากรแหลง่ อน่ื มารองรบั การมเี ศรษฐกจิ และมรี ะบบเกษตรทดี่ ี และมกี ารผลติ ซำ้� ทางวฒั นธรรมและความเชอ่ื ทั้งหมดนที้ ำ� ให้ป่าคงอยู่แต่ป่าชมุ ชนนถ้ี ูกบุกรุกจบั จองถางและถูกใช้ประโยชน์

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 123 สว่ นศริ พิ ร บณุ ยะกาญจน (2542) ไดศ้ กึ ษาการผลติ หตั ถกรรมไมไ้ ผข่ องชาว ผู้ไทบ้านหนองห้าง ต�ำบลหนองห้าง อ�ำเภอกุฉนิ ารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า เป็นการผลติ เพอ่ื จำ� หนา่ ยและใชส้ อยในครวั เรอื นและสบื ทอดวธิ กี ารจากบรรพบรุ ษุ มผี ลติ ภณั ฑค์ อื กระตบิ ขา้ ว ขอ้ ง กระบงุ กระดง้ มวยนงึ่ ขา้ ว ซอน และกระเปา๋ ลายขดิ ชาวบ้านมีรายได้ประมาณเดอื นละ 500-2,400 บาท ทำ� ให้ชาวบ้านมีรายได้เพ่ิมข้นึ มีการเก็บออม ภาระหนี้สินลดลงไม่มีการอพยพไปต่างถิ่น ครอบครัวอบอุ่น และ ปิยะมาศ เม็ดไธสง (2544) ได้ศกึ ษาแนวทางการจัดการขัน้ พ้นื ฐานเพื่อการพัฒนา คณุ ภาพชวี ติ ของชาวกูยใน จังหวัดสุรินทร์ ผลการวจิ ยั พบว่า ชาวกูยช้าง กูยเขมร กูยลาว รู้คุณภาพชีวิตตรงกัน 6 ด้าน คือ รายได้ การประกอบอาชีพ สุขภาพ อนามยั การศึกษา การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนกับประเพณีวฒั นธรรม และ ความเชื่อ ท้ัง 3 กลุ่ม เห็นว่า การประกอบอาชีพและรายได้มีความส�ำคัญที่สุด ในขณะทคี่ ณุ ภาพชวี ติ ดา้ นการศกึ ษา อยใู่ นลำ� ดบั กลาง ชาวกยู ทง้ั 3 เหน็ วา่ การศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐานเป็นหน้าทข่ี องภาครฐั โรงเรยี นควรสอนให้รู้หนงั สอื และให้ความรูท้ ่ชี ่วย ใหม้ งี านทำ� การจดั กจิ กรรมนอกโรงเรยี นควรเนน้ ความรดู้ า้ นการประกอบอาชพี และ ถ่ายทอดภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ เช่น ชาวกูยช้างเสนอให้มีโรงเรียนควาญช้าง นอกจากนี้ ควรให้ความส�ำคญั ด้านการถ่ายทอดศลิ ปะและวฒั นธรรมด้วย นอกจากน้ีเพลินพิศ เจริญศักด์ิขจร (2540) ได้ศึกษา การเปล่ียนแปลง กระบวนการผลติ ผา้ หม่ เหยยี บ บา้ นสงยาง ตำ� บลกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ พบวา่ การผลติ ผา้ หม่ เหยยี บเกดิ จากความพยายามในการแกป้ ญั หาความยากจน โดยทำ� เป็นอาชีพเสริม ลายผ้าและสีนนั้ มีการประยุกต์ให้สวยงามส่วนบุคคล ผลกระทบ กบั วถิ ชี าวบา้ น คอื ทำ� ใหห้ นส้ี นิ ลดลง ไมม่ กี ารเคลอ่ื นยา้ ยแรงงาน เกดิ ความสมั พนั ธ์ ทางครอบครวั และเครอื ญาตมิ ากขน้ึ สำ� หรบั ฉตั รชยั แฝงสาเคน (2538) ไดศ้ กึ ษาความ สมั พนั ธข์ องกระบวนการผลติ ผา้ ไหมมดั หมกี่ บั วถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นก�ำพี้ อำ� เภอบรบอื จงั หวดั มหาสารคาม พบวา่ เปน็ กระบวนการผลติ ทไี่ ดร้ บั การถา่ ยทอดมาจากบรรพชน โดยผลิตไว้ใช้ในครัวเรือน มาระยะหลังกระบวนการผลิตเร่ิมมีการน�ำเทคโนโลยี สมัยใหม่เข้ามา ท�ำให้เกิดระบบเศรษฐกิจเพ่ือขาย ชาวบ้านจึงมีรายได้เพิ่มข้ึน

124 โสวัฒนธรรม และการทอผ้าไหมมัดหมี่ยังมีการสืบทอดวัฒนธรรม โดยเห็นความสัมพันธ์กับ วถิ ชี วี ติ มกี ารแบง่ งานกนั ทำ� ในครวั เรอื น นอกจากนนั้ ยงั เปน็ ผลงานทแี่ สดงถงึ ลกั ษณะ นิสัยท่ีประณตี และเรียบ รัชสมบัติ (2542) ได้ศึกษาเห็ดกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน หัวหนอง ต�ำบลดอนหว่าน อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม พบว่า แหล่งท่ีมา ของเห็ดมี 2 แหล่ง คือ เกิดตามพุ่มไม้ท่ีผุพัง และเห็ดท่ีเกิดตามพ้ืนดินท้ังบริเวณ พ้ืนหญ้าและป่าโคก เห็ดกับวิถีชีวิตชาวบ้านมีความเก่ียวข้องกันท้ังในด้านอาหาร และด้านเศรษฐกิจ จนต่อมามีแนวคิดเก่ียวกับเศรษฐกิจพื้นบ้านมีการรวมตัวกัน เพื่อขายเหด็ ซึ่งจดั ในรปู แบบตลาดขายเหด็ ในฤดฝู น นอกจากน้ีบุญรอด ศิริทอง (2542) ได้ศึกษาการสานฝาบ้านอุดม ต�ำบล หนองไผ่ อ�ำเภอธวัชบุรี จังหวดั ร้อยเอ็ด พบว่า แรงจูงใจในการประกอบอาชพี คือ ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มข้ึน แรงงานมีประสบการณ์ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจาก บรรพบุรุษ วัสดเุ ป็นไม้ไผ่หาง่ายในท้องถิน่ การสานบ้านมี 2 ลาย คือ ลายคบุ และ ลายสาม สภาพการเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คม ชาวบ้านมีรายได้ หนี้สนิ ลดลง มเี งนิ ออมมากข้ึน ส�ำหรับพวงพะยอม เหรียญทอง (2541) ได้ศึกษาการประกอบอาชีพแบบ พึ่งพาตนเองของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรมีปัญหาด้านการประกอบอาชีพ ที่ส�ำคัญคือทุนไม่เพียงพอ ขาดการรวมกลุ่มอาชีพ ผลผลิตราคาต่�ำ ขาดการ สนับสนนุ จากนกั วิชาการภาครัฐและเอกชน เกษตรกรมีความต้องการประกอบ อาชีพด้านการปลูกผักปลอดสารพิษ เลี้ยงไก่พื้นเมือง ทอผ้า และแปรรูปเกษตร การจัดกิจกรรมแทรกแซงท�ำให้เกษตรกรมีความรู้ในการประกอบอาชีพแบบ พ่ึงตนเองดีขึ้น มีแนวโน้มท่ีจะพ่ึงตนเองในด้านต่างๆ มากข้ึน ลักษณะอาชีพท่ีมี แนวโน้มพง่ึ ตนเองได้มากกว่าอย่างอื่นคอื การปลูกผักปลอดสารพิษ บทความของ เกษม คนไว (2546) เรื่อง เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน : ทางออกหน้ีสิน ของชุมชนใน ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิต วิธีคิดเกี่ยวกับการท�ำมาหากิน การใช้หน้ี สินของคนอีสาน จากความคิดของพ่อเล็ก กุดวงศ์แก้ว พบว่า การที่ชาวอีสานมี หน้ีสินมากมายในสังคมปัจจุบัน เพราะว่าชาวบ้านได้สูญเสียทางความคิด คือไม่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 125 สามารถคดิ เองไดว้ า่ ตวั เองจะท�ำอยา่ งไรใหช้ วี ติ อยรู่ อด มอี ยมู่ กี นิ ได้ ซง่ึ การหนั กลบั มาคิดเร่ืองภูมิปัญญาพื้นบ้าน ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้านท่ีมีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น จะเป็นแนวทางให้ชาวบ้านนน้ั มอี ยู่มกี ิน ไม่เป็นหนกี้ ารเฮด็ อยู่เฮ็ดกนิ นน้ั คือการท�ำ เพ่ือทดแทนสิ่งทีเ่ ราใช้ไปนน่ั เอง โดยการท�ำเกษตรแบบธรรมชาติ อยู่กบั ธรรมชาติ และเกือ้ กูลกนั ปลกู พชื หลายๆ ชนดิ ท่เี รากินได้ ใช้ประโยชน์ได้ แบ่งปันคนอื่นได้ เชน่ เดยี วกบั งานวจิ ยั ของทศั น์ ทศั นยี านนท์ (2546) เรอ่ื ง ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น เพอ่ื เพม่ิ รายไดแ้ กช่ มุ ชน : กรณที ำ� เจย้ี กระดาษจากตน้ ปอเตา่ ให้ การวจิ ยั พบวา่ ตน้ ปอเต่าให้ เป็นพชื ธรรมชาติ ขึ้นได้ในป่าดิบแล้งทม่ี ีพน้ื ทเี่ ป็นดินทรายและมปี รมิ าณ นำ้� ฝนไมม่ ากนกั เปน็ พชื เลย้ี งงา่ ย โตเรว็ นอกจากเปลอื กจะใชท้ �ำกระดาษแลว้ ราก ยงั ใช้เปน็ ยาระบายและยาถา่ ยให้สตั ว์เลย้ี งได้ ชาวบ้านรจู้ กั การทำ� กระดาษจากต้น ปอเต่าให้ โดยจะท�ำในเทศกาลออกพรรษา โดยน�ำกระดาษที่ท�ำจากต้นปอเต่าให้ มาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแล้วน�ำไปห่อผงธูปที่ท�ำจากขุยมะพร้าวผสมกับผงตังตุ่น และใบอมุ้ ทมี่ กี ลนิ่ หอมแลว้ หอ่ พนั เปน็ มวนเหมอื นบหุ รก่ี อ่ นวนั เขา้ พรรษา วดั จะเปน็ ศนู ยก์ ลางระดมชาวบา้ นทำ� ธปู เจยี้ แจกจา่ ยกนั ทว่ั หมบู่ า้ น เมอ่ื ถงึ วนั ออกพรรษากจ็ ะ นำ� ธปู เจย้ี ไปรวมกนั จดุ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า แต่ภายหลงั เมอื่ มกี ารผลติ ธปู สมยั ใหม่ท่ี มีกรรมวิธีไม่ยุ่งยากและราคาถกู เป็นสาเหตใุ ห้ชาวบ้านละทง้ิ ประเพณกี ารท�ำเจีย้ ส่วนงานวิจัยของสินี ช่วงฉำ�่ (2545) เรื่อง อุตสาหกรรมชุมชน : 3 ปีบน เส้นทางการพัฒนา เรียนรู้ สู่การขยายผล เป็นงานที่ศึกษาเก่ียวกับการพัฒนา อุตสาหกรรมในชุมชน โดยสรุปข้อมูลจากการด�ำเนนิ งานของโครงการต่างๆ เช่น การแปรรูปผลไม้พื้นบ้าน การทอผ้าพื้นบ้าน การตัดเย็บเส้ือผ้าของกลุ่มแม่บ้าน เป็นต้น ในระยะเวลา 3 ปีของการด�ำเนนิ งาน ท�ำให้สมาชิกชุมชนรวมตัวกันท�ำ กจิ กรรม ร่วมทุนประกอบอาชีพสร้างรายได้ในท้องถ่ินโดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม ในการผลติ การตลาด การบรหิ ารจดั การ การเงนิ การบญั ชี การปรบั ปรงุ เทคโนโลยี ตามความสอดคล้องและทักษะของสมาชิก และยังเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของชุมชน ประสานความร่วมมือ ระหว่างชุมชน หน่วยงานต่างๆ

126 โสวัฒนธรรม สำ� หรบั สุภาวดี ตุ้มเงิน (2538) ได้ศกึ ษาการทอผ้าแพรวาท่บี ้านโพน อำ� เภอ ม่วง จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ พบว่า การทอผ้าแพรวาท่บี ้านโพนทงั้ หมดมผี ู้หญิงทำ� หน้าที่ เป็นผู้ทอ และยังใช้วิธีการทอแบบด้ังเดิมท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ โดยมีล�ำดับ ขน้ั ตอนทีส่ �ำคญั อยู่สามประการ คอื การเตรยี มเส้นใย การทอเส้นใยเข้าเป็นผนื ผ้า และการทอประดิษฐ์ลวดลาย ทางด้านความเช่ือของชาวบ้านโพนนน้ั เช่ือว่า การ ทอผา้ แพรวาคอื กระบวนการท�ำงานทชี่ ว่ ยฝกึ ฝนลกู ผหู้ ญงิ ใหม้ คี ณุ สมบตั ขิ องความ เป็นกุลสตรีได้อย่างเหมาะสม ส่วนลวดลายท่ีปรากฏบนผืนผ้าแพรวาล้วนแต่มี ความหมายทเ่ี กย่ี วข้องในเรือ่ งความเป็นสริ ิมงคลทงั้ สิ้น สำ� หรบั วชั รนิ ทร์ ศรรี กั ษาและคณะ (2538) ไดศ้ กึ ษาเทคนคิ การผลติ หมอนขดิ แบบครบวงจรของหมู่บ้านศรีฐาน อ�ำเภอป่าต้ิว จังหวัดยโสธร พบว่า การท�ำ หมอนขิดของหมู่บ้านศรีฐาน เป็นการพัฒนาจากเดิมที่บรรพบุรุษได้ท�ำไว้ใช้เองใน ครอบครัวแล้วปรับปรุงการท�ำมาเพ่ือใช้ส�ำหรับถวายพระ เพ่ือใช้ในเทศกาลงาน บุญประเพณตี ่างๆ และโอกาสต่างๆ จากนน้ั ก็พัฒนาเป็นกิจกรรมในครัวเรือนขึ้น มีการท�ำกันแทบทุกครัวเรือน การท�ำใช้ในครัวเรือนและใช้ในหมู่บ้าน จนไปสู่การ ผลิตเพ่ือการค้า และบทความของจรัญญา วงษ์พรหม (2542) เร่ือง แรงงานสตรี อสี าน การรบั ชว่ งการผลติ ของอตุ สาหกรรมดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ พบวา่ งานรบั ชว่ งการ ผลติ เกดิ ขน้ึ ตามกระแสของการคา้ เสรใี นระบบเศรษฐกจิ ทนุ นยิ มซงึ่ ผลกั ดนั ใหเ้ ข้าสู่ การแขง่ ขนั ในตลาดโลก ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ โดยธรรมชาตขิ องการจา้ งงาน แตเ่ กดิ จากความ พยายามลดต้นทนุ การผลติ ของโรงงาน ประกอบกับสภาพชนบทในปัจจุบัน ทีเ่ อ้อื ต่อการรับงานตามระบบนี้ การติดต่อการจ้างท�ำงานเป็นไปในลักษณะของความ สมั พนั ธส์ ว่ นตวั ระบบเครอื ญาติ และเพอ่ื นบา้ นใกลช้ ดิ กอ่ น สภาพชมุ ชนและสภาพ ทางเศรษฐกจิ ของผเู้ ปน็ แรงงานรบั ชว่ งช่าง มสี ว่ นสำ� คญั ต่อการรบั งาน เวลาในการ ท�ำงาน รายได้ ตลอดจนผลกระทบทางด้านสขุ ภาพซง่ึ แรงงานผู้รับช่วงเป็นผู้หญิง และส่วนใหญ่มีครอบครัวแล้ว นอกจากนบี้ ทความของสุจิตรา ขันตชี ู (2540) เร่ือง ครกหิน พบว่า “ครก” เปน็ ผลติ ภณั ฑอ์ กี อยา่ งหนง่ึ ทท่ี ำ� มาจากหนิ ซง่ึ คนทำ� ตอ้ งทำ� อยา่ งประณตี และตอ้ งใช้

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 127 กำ� ลงั และความอดทนสงู ครกหนิ ทำ� กนั มากทบ่ี า้ นนาแขม ตำ� บลนาแขม อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เลย ต้งั แต่ในอดตี แต่ไม่ค่อยเป็นทร่ี ู้จักกนั มากนกั ในปัจจบุ นั ครกหนิ เป็นท่ี นิยมแพร่หลายและมีช่ือเสียง ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพอีกอาชีพหนง่ึ ของชาวจังหวัดเลย ในช่วงที่ว่างเว้นจากการเกษตร ส�ำหรับคนท่ีไม่ต้องการไปท�ำงานที่กรุงเทพฯ ก็ จะมารับจ้างตีหินที่หมู่บ้านนี้ ซ่ึงถือเป็นหมู่บ้านตัวอย่างในจังหวัดเลยที่สามารถ รวมกลุ่มกนั ท�ำอาชีพเสริมจนประสบความส�ำเรจ็ ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนบทความ ของปรารถนา มงคลธวชั (2545) เรอื่ งผตี าโขน ทำ� ดว้ ยกะลามะพรา้ วอกี ชน้ิ งานหนงึ่ ของภมู ปิ ญั ญาไทย พบวา่ ประเพณผี ตี าโขน ทอ่ี ำ� เภอดา่ นซา้ ย ไดส้ บื ทอดและยดึ มน่ั ในประเพณผี ีตาโขนมายาวนาน และในทุกปีหลังวัน 15 ค่�ำเดือน 6 (มิถนุ ายน) จะ มงี านพิธีเปิดอปุ คตุ ขบวนแห่ผีตาโขนซึง่ เป็นส่วนหนงึ่ ของงานบุญหลวงจะออกมา สนกุ สนานกัน ท�ำให้อ�ำเภอด่านซ้ายเป็นท่ีรู้จักของคนไทยท่ัวไปและนกั ท่องเท่ียว ชาวตา่ งชาติ และบทความของวนั ชยั ปานพมิ พ์ (2543) เรอ่ื ง ไวนอ์ สี าน ภมู ปิ ญั ญา ไทย ขายใตด้ นิ กลา่ วไวว้ า่ ไวนท์ ผี่ ลติ กนั ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มี 2 ประเภท คอื ประเภททที่ ำ� มาจากข้าว โดยเฉพาะข้าวเหนยี วหรอื สาโทมเี กอื บทกุ จงั หวดั โดย เฉพาะหนา้ เทศกาลงานประเพณตี า่ งๆ ทำ� มากในแถบดา่ นซา้ ย จงั หวดั เลย อกี ชนดิ หนง่ึ คือ อุเหล้า หรือ เหล้าแกลบ (ข้าว) จะทำ� กันในแถบท่ีมีเช้ือสายผู้ไทอยู่ เช่น สกลนคร กาฬสินธุ์ โดยเฉพาะที่อ�ำเภอเรณนู คร จังหวัดนครพนม ใช้ในพิธีกรรม ไหว้ผีตามประเพณขี องชาวผู้ไท ส่วนประเภททสี่ อง คือไวน์ท่ีท�ำจากผลไม้ ซึ่งเป็น ผลไมใ้ นทอ้ งถนิ่ นน้ั ๆ เมอ่ื รฐั บาลใหเ้ อกชนและคนตา่ งชาตผิ กู ขาดการผลติ จ�ำหนา่ ย และนำ� เข้าเครือ่ งดืม่ ท่ีผลิตได้จากภมู ิปัญญาไทย สว่ นศวิ ะ ศภุ วบิ ลู ย์ (2542) ไดศ้ กึ ษาการประกอบอาชพี หตั ถกรรมทำ� ของทร่ี ะลกึ ของชาวบ้านอ�ำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า เดิมชาวบ้านท�ำเคร่ืองมือ หัตถกรรมไว้ใช้ในครัวเรือน ต่อมาหน่วยงานของรัฐมีส�ำนักงานพัฒนาชุมชน อ�ำเภอ นายอ�ำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เข้ามาแนะน�ำและอบรมชาวบ้านและ พฒั นาผลติ ภณั ฑห์ ตั ถกรรมทำ� ของทร่ี ะลกึ เพอ่ื จำ� หนา่ ย มผี ลติ ภณั ฑไ์ ดแ้ ก่ พวงองนุ่ ในกรอบรูป เข็มกลัดติดเส้ือ ช่อดอกไม้ เกวียนน้อย และผลิตภัณฑ์จากใบตาล

128 โสวฒั นธรรม ท�ำให้ปัจจุบันชาวบ้านมีงานท�ำและมีรายได้เพิ่มข้ึน ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการทำ� งาน ด้านน้ี ได้แก่ รายได้ดี มกี ารใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ และชัยศักดิ์ ภูมลู (2543) ได้ศกึ ษาการผลติ แคนเชงิ ธุรกิจ ศกึ ษากรณบี ้านท่าเรือ ต�ำบลท่าเรือ อ�ำเภอนาหว้า จังหวดั นครพนม พบว่า เป็นการประกอบอาชีพทส่ี บื ต่อมาจากบรรพบรุ ุษ ปัจจบุ นั ผลิตเพ่ือจ�ำหน่ายเป็นส�ำคัญ มีผู้ประกอบการรายย่อยเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายทั้ง ในและนอกชุมชน แคนที่ผลิตแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ แคนใช้งานและแคนประยุกต์ ตลาดการค้าแคนท่สี �ำคัญยังคงเป็นตลาดภายในประเทศไทย งานวจิ ยั ของทวี ถาวโร (2541) เรอ่ื ง การสรา้ งงานและการกระจายรายไดข้ อง หมอลำ� ไดศ้ กึ ษาเกย่ี วกบั ศกั ยภาพการสรา้ งงานของคณะหมอลำ� และกระบวนการ ท�ำงานของคณะหมอล�ำ ในจังหวัดมหาสารคาม พบว่า หมอลำ� คณะหนงึ่ ใช้เงิน ลงทุนโดยเฉล่ียประมาณ 3,445,000 บาท รับงานแสดงได้โดยเฉลี่ยปีละ 70 คร้ัง สร้างงานแก่คนงานได้โดยเฉล่ียคณะละ 113 คนต่อปี ปัจจุบันคณะหมอล�ำหมู่ ล�ำเพลิน ทั้งหมดมีประมาณ 350 คณะ จ่ายค่าตอบแทนบุคลากรในหน้าท่ี ต่างๆ เฉล่ียรวม 29,050 บาทต่อคนต่อปี หารคิดรวมการสร้างงานของหมอล�ำ ทุกประเภทคาดว่าสร้างงานให้แก่คนได้ไม่น้อยกว่า 40,000 คน ส่วนงานวิจัยของ ทพิ ยอ์ าภา รตั นวโรภาส (2541) เรอื่ ง ศลิ ปหตั ถกรรมผา้ ไหม ในโครงการศนู ยศ์ ลิ ปาชพี บ้านกุดนาขาม จังหวดั สกลนคร : กรณศี กึ ษาเกีย่ วกบั การส่งเสริมศลิ ปหัตถกรรม ท้องถิ่น เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษากระบวนการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมท้องถิ่น เพ่ือ เสรมิ รายได้แก่ สตรีในชนบท กรณีผ้าไหมในศูนย์ศิลปาชีพ บ้านกุดนาขาม อ�ำเภอ เจรญิ ศลิ ป์ จงั หวดั สกลนคร ผลการวจิ ยั พบวา่ ศนู ยศ์ ลิ ปาชพี บา้ นกดุ นาขาม กอ่ ตงั้ เมอ่ื 19 ตลุ าคม 2526 เพอ่ื แกป้ ญั หาความเดอื ดรอ้ นของราษฎรบา้ นกดุ นาขาม โดย กอ่ ตง้ั บนเนอื้ ท่ี 40 ไรเ่ ศษ จดุ ประสงคใ์ หร้ าษฎรมอี าชพี เสรมิ ยกระดบั รายไดข้ องตน โดยไมต่ อ้ งละทงิ้ ถน่ิ ฐาน อนรุ กั ษป์ า่ ไมแ้ ละสภาพแวดลอ้ ม และเพอ่ื เปน็ การสง่ เสรมิ อาชีพการทอผ้าไหม จึงจัดต้ังแผนกทอผ้าไหมที่ศูนย์ศิลปาชีพ มีเจ้าหน้าท่ีซึ่ง เป็นข้าราชการทหารเป็นผู้บริหารประจ�ำศูนย์ โดยมีหน้าท่ีให้ค�ำปรึกษาแนะน�ำ จัดระเบียบการทอผ้าไหม ส่งเสริมตัวแทนจ�ำหน่ายของศูนย์ และส่งไปจ�ำหน่ายที่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 129 สวนจติ รลดา กรงุ เทพมหานคร รายไดจ้ ากการจำ� หนา่ ยทางศนู ยไ์ ดจ้ ดั แบง่ ใหส้ มาชกิ เป็นค่าแรงและค่าเส้นไหม สำ� หรบั สมเดช บญุ สาง (2546) ไดศ้ กึ ษาเศรษฐกจิ ชมุ ชน : กรณศี กึ ษาเครอื่ ง จกั สานบา้ นทงุ่ นางโจก ตำ� บลทงุ่ นาโจก อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ยโสธร พบวา่ เศรษฐกจิ เครื่องจกั สานบ้านทุ่งนางโจก ได้รับการถ่ายทอดมาจาก นายอ่อน ทองปัง ซ่ึงเดมิ อยทู่ ภี่ แู ดนชา้ ง อำ� เภอเขาวงศ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ผลของเศรษฐกจิ ชมุ ชนของหมบู่ า้ น ท�ำให้ชาวบ้านมีรายได้เพ่ิมขึ้น มีการส่งบุตรธิดา ศึกษาเล่าเรียน มีความสามัคคี และสภาพสงั คมของชมุ ชนดีขน้ึ กล่าวโดยสรุปในประเด็นของงานศึกษาวิจัยทางด้านวัฒนธรรมในภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทจ่ี ดั อยใู่ นกลมุ่ ของการศกึ ษาภมู ปิ ญั ญาดา้ นทนุ เศรษฐกจิ นน้ั เหน็ ไดช้ ดั ว่า ชาวอสี านมที นุ ด้านเศรษฐกจิ อยมู่ ากมายโดยไดด้ งึ ภมู ปิ ัญญาทส่ี ง่ั สม มาใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ประเพณแี ละวฒั นธรรมหรอื การละเล่นพนื้ บ้านก็สามารถน�ำมาประยุกต์ เพื่อใช้เป็นจดุ ขายทางด้านวัฒนธรรม ได้มากมาย หรอื การท�ำหัตถกรรมพ้นื บ้านท่ีใช้วัสดุจากธรรมชาติท่มี ีและหาได้จาก ท้องถิ่นของตนเอง นอกนนั้ ชาวอีสานยังมวี ิถีชีวิตแบบพออยู่พอกิน ไม่หลงไปตาม กระแสโลกาภิวัตน์ ยังยึดการใช้ชีวิตแบบด้ังเดิมท่ีพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ งานวิจัย หลายช้ินในประเด็นของภูมิปัญญาด้านทุนเศรษฐกิจน้ีได้สะท้อนให้เห็นภาพของ ชาวอีสานได้เป็นอย่างดี 3.4 ภูมปิ ัญญาในฐานพลงั ชมุ ชน งานวิจัยภายใต้หัวข้อการศึกษาภูมิปัญญาในฐานพลังชุมชน นับได้ว่าเป็น หวั ข้อท่สี ามารถรวบรวมงานวจิ ยั บทความ งานวทิ ยานพิ นธ์ได้จำ� นวนมาก เพราะ เมอ่ื วเิ คราะหถ์ งึ วฒั นธรรมของชาวอสี านแลว้ นน้ั ลว้ นอยภู่ ายใตก้ รอบของภมู ปิ ญั ญา ทเี่ ป็นฐานพลงั ของชุมชนแทบจะทั้งส้นิ งานวิจัยของชอบ ดีสวนโคก (2540) เรอ่ื ง ของเก่าบ่เล่ามันลมื : เฮียนธรรม น�ำค�ำโบฮานอีสานเป็นงานที่รวบรวมและจัดท�ำข้ึนเพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่หันมา

130 โสวัฒนธรรม สนใจเรยี นรอู้ กั ษรโบราณอสี าน ทไ่ี ดพ้ ยายามจดั รปู แบบ และเนอื้ หาแบบงา่ ยสะดวก เพ่ือจะน�ำไปสู่ขุมทรัพย์ทางปัญญาด้านอีสานศึกษา เพื่อทบทวนและกระตุ้น จิตส�ำนกึ คนรุ่นใหม่ให้ตระหนกั ถึงภูมิปัญญาของบรรพชน ที่ถ่ายทอดสู่สังคมผ่าน คำ� ประพนั ธ์ เพอ่ื ฟน้ื ฟู อนรุ กั ษ์ ทง้ั หนงั สอื ธรรมทงั้ ค�ำสง่ั สอนของบรรพชนอสี าน และ เพอ่ื ผลติ เอกสารดา้ นศกึ ษาออกสบู่ รรณพภิ พซงึ่ ถอื เปน็ การทำ� งานบำ� รงุ สง่ เสรมิ การ ศกึ ษาคน้ ควา้ ศลิ ปวฒั นธรรมของชาติ โดยเนอื้ หาไดจ้ ดั แบง่ เปน็ 3 สว่ น ทสี่ �ำคญั คอื ส่วนที่ 1 ว่าด้วยการอ่าน การเขียนหนงั สือธรรมแบบง่ายๆ ส่วนท่ี 2 ว่าด้วยสาระ คำ� ประพนั ธอ์ สี านทเี่ ปน็ ผญา ภาษติ กลอน และงานศกึ ษาของกง่ิ แกว้ เกษโกวทิ และ คณะ (2548) เรอื่ ง ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นทยี่ งั คงสบื ทอดของหญงิ ตงั้ ครรภ์ หญงิ หลงั คลอด และการเลี้ยงดูเด็กในเขตอ�ำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ศึกษาลักษณะการ สืบทอดภูมปิ ัญญาของหญิงหลงั คลอดและการเลยี้ งดูเดก็ แรกเกิดถึง 1 ปี เป็นการ วิจัยเชงิ พรรณนาแบบภาคตัดขวาง เกบ็ ข้อมลู เชิงคณุ ภาพและเชงิ ปรมิ าณ ผลการ ศกึ ษาพบวา่ หญงิ ตง้ั ครรภย์ งั คงปฏบิ ตั ติ ามภมู ปิ ญั ญาเดมิ อยา่ งเครง่ ครดั ในการดมื่ นำ้� มะพร้าวเพ่ิมมากขึน้ ร้อยละ 63 ท�ำงานบ้าน และงานอาชพี เหมอื นเดิม ร้อยละ 88 และร้อยละ 74 ไม่ไปงานศพ ร้อยละ 82 หญิงหลังคลอดไม่อยู่ไฟร้อยละ 59 กนิ อาหารประเภทหวั ปลเี พอ่ื เพมิ่ นำ�้ นมรอ้ ยละ 80 ไมก่ นิ เปด็ เทศรอ้ ยละ 50 สว่ นการ เลย้ี งดเู ดก็ แรกเกดิ ถงึ 1 ปี ยงั คงปฏบิ ตั ติ ามภมู ปิ ญั ญาเดมิ ดา้ นการปอ้ นอาหารเสรมิ ร้อยละ 39 และพาเดก็ ไปครอบของรกั ษาร้อยละ 82 บทความของวรรณชนก จันทชุม และคณะ (2545) ได้ศึกษาการพัฒนา ภูมิปัญญาท้องถ่ินในการใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพเบื้องต้น โดยศึกษากลุ่ม อสม. บ้านเสยี ว ตำ� บลวังชัย อ�ำเภอน�้ำพอง จังหวดั ขอนแก่น พบว่า อสม. ยังขาด ความรู้เก่ียวกับสมุนไพร ชาวบ้านนิยมใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพน้อยลง นยิ ม ใชย้ าแผนปจั จบุ นั มากกวา่ เนอื่ งจากการดำ� เนนิ งานไมม่ คี วามตอ่ เนอ่ื งและไมป่ ระสบ ผลส�ำเร็จ ดังนน้ั ได้ร่วมหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา และบทความของ การณุ นั ทน์ รตั นแสนวงษ์ (2543) เร่ือง คตชิ น : ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านด้านการดูแล รักษาสุขอนามัย กรณีศึกษา อำ� เภอกระนวน จงั หวดั ขอนแก่น พบว่า วิถแี ห่งการ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 131 ดแู ลรกั ษาอนามยั ในท้องถน่ิ สะท้อนใหเ้ หน็ สภาพวถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นในด้านต่างๆ ได้แก่ ความเชอ่ื ค่านยิ ม ประเพณี อาชพี และเศรษฐกจิ ได้เป็นอยา่ งดี หมอพน้ื บ้าน ยงั เปน็ บคุ คลสำ� คญั ทมี่ บี ทบาทตอ่ วถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นเปน็ อยา่ งยงิ่ ชว่ ยสรา้ งความ รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างหมอพื้นบ้านกับผู้ป่วย ช่วยรักษาแบบของ วฒั นธรรมทดี่ งี าม และสรา้ งความอบอนุ่ ใหก้ บั ครอบครวั ตลอดจนสรา้ งภมู ปิ ญั ญา ท้องถนิ่ ในการรักษาโรค เป็นพนื้ ฐาน นอกจากนบ้ี ทความของบศุ รา กาญจนบตั รและคณะ (2545) เรอ่ื ง การพฒั นา กลวธิ กี ารผสมผสานบรกิ ารการแพทยแ์ ผนไทยเขา้ กบั บรกิ ารการแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ของ อสม. เรอื่ ง การศกึ ษาเกย่ี วกบั ระบบความคดิ และความเชอื่ ของ อสม.เกย่ี วกบั การบริการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจบุ นั รวมถงึ การพฒั นากลวธิ ีการผสมผสาน ระหว่างการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันของ อสม. ศกึ ษา อสม. 60 คน จาก 3 อ�ำเภอ ในจังหวดั ขอนแก่น คือ น�้ำพอง สชี มพู และกิง่ อ�ำเภอโคกโพธช์ิ ยั พบว่า อสม.ส่วนใหญ่มีการรับรู้เกี่ยวกับสาเหตุความเจ็บป่วยตามแนวคิดของการแพทย์ แผนปัจจุบันมาจากการได้รับเช้ือโรคเข้าสู่ร่างกาย มีบางส่วนอาจมีสาเหตุมาจาก ความไม่สมดุลของธาตุ อ�ำนาจเหนือธรรมขาติ จึงมุ่งเน้นการใช้บริการการแพทย์ แผนปจั จบุ นั มากกวา่ สำ� หรบั รปู แบบการรกั ษาความเจบ็ ปว่ ยชาวบา้ นมกั พง่ึ ตนเอง กอ่ น โดยการใชย้ าแผนปจั จบุ นั และบางสว่ นใชส้ มนุ ไพรในการรกั ษาสขุ ภาพเบอื้ งตน้ จากระบบความคิดและความเช่ือเป็นแนวทางสร้างกลวิธีผสมผสานท้ังสองระบบ ในการดูแลสุขภาพ และบทความของอภิวันท์ มนิมนากร (2544) เร่ือง ผลของ การออกก�ำลังกายโดยท่าร�ำประกอบเพลงพื้นเมืองอีสานประยุกต์ ต่ออัตราการ ใช้ออกซิเจนสูงสุดและความพึงพอใจในคนสูงอายุ ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลของการ ออกก�ำลังกายโดยท่าร�ำประกอบเพลงพื้นเมืองอีสานประยุกต์ ต่อความสามารถ ในการใช้ออกซิเจนสูงสุดและความพึงพอใจในผู้สูงอายุ การศึกษาเชิงพรรณนาวิธี การศึกษาโดยอาสาสมคั รคนสูงอายุ สขุ ภาพแขง็ แรง จำ� นวน 26 คน (ชาย 10 คน หญิง 26 คน) อายุ 60-75 ปี พบว่า เพศหญิงมีอตั ราการใช้ออกซิเจนสูงสุดเพ่มิ ขึน้ ภายหลังจากการออกก�ำลังกาย และการออกก�ำลังกายช่วยผ่อนคลายความ

132 โสวัฒนธรรม ตงึ เครียดได้ สรปุ แล้ว การออกกำ� ลังกายโดยวธิ กี ารใช้ท่ารำ� ประกอบเพลงพน้ื เมือง อสี านประยุกต์นี้ มีผลต่อการเพิม่ อตั ราการใช้ออกซเิ จนสงู สว่ นบทความของจารวุ รรณ ธรรมวตั ร (2540) เรอื่ ง การเฝา้ ไขอ้ สี าน อกี รปู แบบ ของวัฒนธรรมท่ีโรงพยาบาลควรเอาใจใส่ กล่าวว่า การเฝ้าไข้ของคนอีสาน สังคมไทยโดยเฉพาะอย่างย่ิงชุมชนอีสานให้ความส�ำคัญกับการนับถือเครือญาติ มาก โดยเฉพาะในภาวะเจบ็ ป่วย ครอบครัวเครอื ญาติจะต้องช่วยเหลือกนั และกัน ญาติพี่น้องจะต้องช่วยกันดูแลทุกข์สุขไม่ปล่อยให้อยู่โดดเด่ียว หากไม่ไปดูแล ถอื วา่ บกพรอ่ ง เปน็ การพสิ จู นน์ ้�ำใจและความจรงิ ใจ เมอื่ พจิ ารณาคตคิ วามเชอื่ ชาว อสี านยงั มคี วามเชอ่ื ถอื เรอ่ื งผบี รรพบรุ ษุ การผดิ ผี ท�ำใหเ้ กดิ ความเจบ็ ปว่ ยตอ้ งรกั ษา โดยการล�ำส่อง ล�ำทรงหรือการเหยา และบทความของอุดม บัวศรี (2541) เร่ือง ไมข้ ม่ เหง ไดศ้ กึ ษาเกยี่ วกบั ไมข้ ม่ เหง พบวา่ เมอ่ื มคี นตายชาวบา้ นจะไปตดั ไมท้ สี่ วน หรอื ตามปา่ เขาหรอื ปา่ ชา้ เพอื่ มาท�ำไมข้ ม่ เหง ตดั มาแลว้ กอ่ นเผาใชไ้ มน้ พ้ี าดโลงศพ ข้างละท่อนจึงเผาโดยถอื คติเป็น 2 ประการ 1) เป็นการเตอื นชวี ติ ต้องทนกับความ เจบ็ ป่วย การทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยโรคร้าย เสมือนหนง่ึ ว่าไร้อิสรภาพ มี แตค่ นขม่ เหง แมต้ ายกย็ งั มไี มข้ ม่ เหงไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ จงึ ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดา 2) เปน็ การ แสดงภูมิปัญญาของคนอีสาน ที่รับเผาศพภายใน 3 วัน ศพท่ียังดีๆ อยู่ในช่วงนี้ เม่ือถกู เผาจะเกรง็ ตวั ข้นึ ทะลโุ ลงน่าเกลยี ดจงึ มีไม้ข่มเหงเพือ่ กนั ไม่ให้ศพกระเด้งข้ึน นอกจากนี้บทความของบ�ำเพ็ญ ไชยรักษ์ (2542) เกี่ยวกับการถ่ายโยง ภูมิปัญญาของชาวนาสะไมย์ ต�ำบลนาสะไมย์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดยโสธร ซงึ่ เป็น ชุมชนที่มีอายุกว่าศตวรรษ และเป็นชุมชนท่ีมีอ�ำนาจในการจัดการทรัพยากร ทุน แรงงาน ในชมุ ชนของตนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั บรรพชนมวี ธิ ี การถา่ ยโยงประสบการณแ์ กส่ มาชกิ รนุ่ ใหมข่ องชมุ ชนอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยเปดิ โอกาส ให้เข้าร่วมท�ำงานแล้วเกดิ กระบวนการเรียนรู้ และมอบหมายความรบั ผิดชอบตาม ก�ำลังความสามารถเพอื่ ให้เกดิ ศักยภาพ ทง้ั ยังเกิดปฏิสมั พันธ์อันดีระหว่างสมาชิก และยังมีบทความของลักขณา จินดาวงษ์ (2545) เร่ือง หมอนำ�้ มัน ภูมิปัญญา โบราณในการรกั ษาโรคของชาวรอ้ ยเอด็ ศกึ ษาเกยี่ วกบั ภมู ปิ ญั ญาของชาวรอ้ ยเอด็

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 133 ในการรกั ษาโรคทสี่ บื ทอดมาแตโ่ บราณโดยหมอพน้ื บา้ นทเี่ ชย่ี วชาญในหลายๆ ดา้ น หมอสมุนไพรหรือหมอรากไม้ หมอนวดหรือหมอเย็น หมอกระดูกหรือหมอน้�ำมัน ตัวยาที่ส�ำคัญของน�้ำมันรักษาโรคกระดูก คือ หัวไพล บอระเพ็ด ชันสีห์หรือจุนสี สีเสียดเลือด พิมเสน การบูร มะพร้าวสด น�้ำมันมะพร้าว น�้ำมันงา น�ำส่วนผสม ทงั้ หมดมาตม้ และเคยี่ วจนขน้ กรองดว้ ยผา้ ขาวบางเอาเฉพาะนำ�้ นำ� มาเคย่ี วอกี ครง้ั หมอน�้ำมันจะจับกระดูกจับเส้นเอ็นจนเข้าที่พร้อมทั้งทาน้�ำมันและเป่ามนต์คาถา และบทความของวลี ลือประเสริฐ (2541) เร่ือง หม้อคราม การกลับฟื้นคนื ชพี ใหม่ ทบี่ า้ นนาดี สกลนคร ภมู ปิ ญั ญาดา้ นเทคโนโลยชี วี ภาพของชนบทไทย เปน็ บทความ ทเี่ กย่ี วกบั หมอ้ คราม การกลบั ฟน้ื คนื ชพี ใหม่ทบ่ี ้านนาดี สกลนคร กลา่ วว่า สดุ ยอด แหง่ ศลิ ปะและศาสตรก์ ารทอผา้ ฝา้ ยยอ้ มสคี รามนนั้ สง่ิ สำ� คญั คอื การกอ่ หมอ้ คราม สีจากต้นคราม สีน�้ำเงินที่เกาะติดใยฝ้ายที่ถักทอขึ้นอย่างประณีตด้วยฝีมือของ ชาวบ้านและด้วยเทคโนโลยีที่ตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคนนน้ั เป็นท่ีนิยมอย่าง กว้างขวางในหมู่คนไทยที่มีรสนิยมและชาวต่างชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่นและชาวยุโรป การย้อมให้มีคุณภาพดี สีเข้มท่ีออกเฉดได้หลากหลาย และมีสีท่ีไม่ตกซีด เป็น ความลับท่ีตกทอดมาจนปัจจุบันและเกือบจะสูญหายไปจากหมู่บ้านเชิงเขาภูพาน ด้านอ�ำเภอพรรณนานคิ ม งานวิจยั ของหาญชยั อมั ภาผล (2545) เรื่อง การศกึ ษากลยทุ ธ์เพื่อยกระดับ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ : กรณศี กึ ษาสมนุ ไพรนวดหนา้ นวดผวิ เนยี น บา้ นระกาใต้ ต�ำบล บ้านปรือ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยการวิจัยมีวัตถุประสงค์จะศึกษากระบวนการพัฒนา เคร่ืองส�ำอางสมุนไพรนวดหน้า นวดผิวเนียน การบริหารจัดการ การผลิตและ จ�ำหน่าย การน�ำกลยุทธ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในกระบวนการผลิต และศกึ ษาปจั จยั แหง่ ความสำ� เรจ็ ของเครอื่ งสำ� อางสมนุ ไพรในกลมุ่ สตรี บา้ นระกาใต้ อำ� เภอกระสัง จงั หวัดบรุ รี มั ย์ ผลการวิจยั พบว่า ภมู ิปัญญา เครื่องส�ำอางสมนุ ไพร นวดหน้า นวดผวิ เนยี น เปน็ วธิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ และกระบวนการเรยี นร้ขู องชาวบา้ น การปรับเปล่ียน การสร้างความรู้ เกิดเป็นแนวคิดทฤษฎี กระบวนการพัฒนา เครื่องส�ำอางสมุนไพร ประกอบด้วยตัวบ่งช้ี ได้แก่ การอบรมเรื่องหลักเกณฑ์

134 โสวัฒนธรรม วธิ กี ารทด่ี ใี นการผลติ เครอื่ งสำ� อางวา่ ดว้ ยสขุ ลกั ษณะทวั่ ไป ประเมนิ กระบวนการผลติ นอกจากนงี้ านวิจัยของสุมนา ศรีชลาลัย และคณะ (2545) เร่ือง ผญาในมิติของ การดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาของผญา ที่มีความ สอดคล้องกับการดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิตในด้านความฉลาดทางอารมณ์ โดย ด�ำเนนิ การเก็บข้อมลู จาก 3 ส่วนคอื จากเอกสาร จากภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ และจาก ประชาชนในพ้ืนท่ีสาธารณสุขเขต 7 ผลการศึกษาพบว่า มีผญาที่สอดคล้องกับ แนวคดิ ความฉลาดทางอารมณ์องค์ประกอบดี 198 คน องค์ประกอบเก่ง 167 คน องค์ประกอบ “สุข” 106 คน และนกั ปราชญ์ และประชาชน ใช้ผญาส่งเสริมสุข ภาพจิตด้านอารมณ์มากที่สดุ นอกจากนท้ี รรศตวรรณ เดชมาลา (2541) ได้ศึกษา หมอน�้ำมันงากับการ รักษาโรคของชาวบ้านหัวขวาง อ�ำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ได้ศึกษา องค์ประกอบและข้ันตอนการรักษาผู้ป่วยด้วยนำ้� มันงา และศึกษาคติความเช่ือใน การรักษา พบว่าเม่ือชาวบ้านเจบ็ ไข้ได้ป่วย หมอน้�ำมันงายังเป็นทีน่ ยิ ม โดยเฉพาะ เมอื่ เกดิ อบุ ตั เิ หตเุ ชอ่ื วา่ สามารถรกั ษาไดด้ กี วา่ โรงพยาบาล และเชอ่ื วา่ หมอนำ้� มนั งา สามารถรกั ษาแผลไมใ่ หเ้ กดิ การอกั เสบได้ ทงั้ ยงั สามารถประสานกระดกู ไดเ้ รว็ และ มชี ยั จรยิ ะนรวชิ ช์ (2543) เรอ่ื ง ภมู ปิ ญั ญาของหมอพนื้ บา้ นในการรกั ษาโรคกระดกู ศึกษากรณอี �ำเภอเมอื ง จังหวดั มหาสารคาม งานช้ินนศ้ี ึกษาองค์ประกอบ วิธกี าร ขนั้ ตอน และแนวความคดิ ความเชอื่ ในการรกั ษาโรคกระดกู ของหมอพนื้ บา้ น ในเขต อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม โดยพบว่าฐานคิดในเรือ่ งการรกั ษาคอื การรกั ษา ผปู้ ว่ ยทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ แวดลอ้ มอยใู่ นบรบิ ทของสงั คมทอ้ งถน่ิ การรกั ษาโดย การดามด้วยเฝือกไม้ไผ่ การใช้น้�ำมันงาทาชโลมรกั ษา บ�ำรงุ เชอื่ มประสานกระดูก การจดั ดงึ กระดกู ทห่ี กั ใหเ้ ขา้ ทกี่ อ่ นการบำ� บดั รกั ษา การใชย้ าบรรเทาอาการปวดหรอื อกั เสบ และการแนะนำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยทำ� กายภาพบำ� บดั อยา่ งงา่ ย ความเชอ่ื อน่ื ๆ และการ งดเว้นพฤติกรรมบางอย่าง ซง่ึ ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้การรกั ษาโรคกระดกู หักได้ผลดี เชน่ เดยี วกบั บทความของเมขลา สอนสภุ ี (2540) เรอื่ ง เปน็ บทความเกยี่ วกบั ผีฟ้า พบว่า “ผีฟ้า” เป็นหมอรกั ษาคนป่วย ซ่ึงชาวบ้านจะเรยี กง่ายๆ ว่า หมอล�ำ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 135 ท่ีเรียกว่า หมอล�ำน้ีเพราะลักษณะการรักษาผู้ป่วยจะคล้ายกับหมอล�ำ ซ่ึงเป็น ศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสานอีกอย่างหนง่ึ คือในการทำ� การรักษานนั้ ผีฟ้าจะท่อง คาถาเป็นทำ� นองของหมอลำ� กลอนสมัยก่อน ผฟี ้าเป็นทเ่ี ชอ่ื ถอื ศรทั ธาของชาวบ้าน บางกลุ่มมาก ซึง่ ถ้ามผี ู้ป่วยก็จะพามารกั ษา ส่วนมากที่ทำ� การรักษากบั ผีฟ้ามักจะ เป็นผู้สูงอายุ หรอื ผู้ทีม่ คี วามเคารพนบั ถอื ผฟี ้า ส�ำหรับงานวิจัยของพิสิษฐ์ บุญไชย (2542) เรื่อง ความรู้และความเช่ือ ในการใช้สมุนไพรรักษาสุขภาพของผู้ไทย เป็นงานวิจัยมุ่งศึกษาพฤติกรรมการใช้ สมนุ ไพรรกั ษาสขุ ภาพของชาวผไู้ ทย จ.ยโสธร ตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ผลการวจิ ยั พบว่า ชาวผู้ไทย ทีอ่ าศยั ใน จ.ยโสธร เดมิ เป็นกลุ่มชาตพิ ันธ์ุทีม่ ีวฒั นธรรมรุ่งเรือง มาก่อน ได้อพยพมาจากลาวในสมยั รชั กาลท่ี 3 โดยเข้ามาอาศัยในภาคตะวนั ออก เฉยี งเหนือ ปัญหาที่เกี่ยวกับยาสมุนไพรพบว่า ในกระบวนการเก็บยังขาดความรู้ ในการอนรุ ักษ์สมนุ ไพร สมุนไพรบางอย่างกำ� ลังหมดไปเพราะมคี นน�ำไปใช้มากขึน้ แต่ขาดการอนุรักษ์หรือปลูกทดแทน และงานวิจัยของทัศน์ ทัศนียานนท์ (2547) เร่ือง ภูมิปัญญาชาวบ้านเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต : กรณกี ารท�ำยาและน�้ำยา ไลแ่ มลงจากสมนุ ไพรใกลต้ วั การวจิ ยั มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาการท�ำยาและน�้ำยา ไล่แมลงจากสมุนไพรใกล้ตัว โดยเลือกเอาเปลือกส้มเขียวหวานท่ีแม่ค้าน�้ำส้มค้ัน ทิ้งไว้ เป็นวัตถุดิบในการสกัดน�้ำมันหอมระเหยในเขต อ.เมือง อ.วารินช�ำราบ จ.อุบลราชธานี โดยใช้กลวิธีกลั่นแบบดั้งเดิมของชาวบ้าน ผู้วิจัยได้ทดลองเอา น�้ำมันผิวส้มเข้มข้นไปใช้ในการป้องกันและไล่แมลง โดยหยดลงบนผ้าหรือสำ� ลี 4 – 5 หยด เชด็ ตามภาชนะทต่ี อ้ งการ ขาโตะ๊ ตกู้ บั ขา้ ว พบวา่ สามารถปอ้ งกนั และ ขับไล่แมลงได้นานกว่า 3 ชว่ั โมง งานวจิ ยั ของจุลพงษ์ พันธ์ุสมบตั ิ (2541) เรอ่ื ง สมุนไพรกับวถิ ชี วี ิตของชาว บ้านเชือก ต�ำบลเขวา อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีวัตถุประสงค์จะศึกษา สมนุ ไพรกบั วถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นเชอื ก ต�ำบลเขวา อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม ผลการวจิ ยั พบวา่ องคป์ ระกอบของการผลติ สมนุ ไพร คอื ผเู้ กบ็ สมนุ ไพร ผปู้ ระกอบ ตวั ยาสมนุ ไพร และระยะเวลาในการผลิตยาสมุนไพร เกดิ จากการเรยี นรู้ และการ

136 โสวฒั นธรรม สบื ทอดภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ ของหมอยารนุ่ ก่อน ฝึกฝนจนเกดิ ความชำ� นาญ สบื ทอด ไปในแตล่ ะครอบครวั ขน้ั ตอนการผลติ สมนุ ไพรมหี ลกั การส�ำคญั คอื การเขา้ ยาหรอื ปรุงยา การรู้จักมาตราชั่ง ตวง วัด การรู้จักหลักการสรรพคุณของตัวยาสมุนไพร เกย่ี วข้องกับวิถีชีวิตชาวบ้านท้ังด้านความเชอื่ ขนบธรรมเนยี มประเพณี นอกจากนี้วัฒนา นลิ ทะราช (2540) ได้ศึกษาภูมปิ ัญญาการรกั ษาโรคด้วย สมนุ ไพร : ศกึ ษากรณบี า้ นสวาท ตำ� บลสวาท อำ� เภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร พบวา่ มีคติความเช่ือมาจากบรรพบุรุษโดยเช่ือว่า สาเหตุของการเกิดโรคมี 2 อย่าง คือ เกิดจากอ�ำนาจเหนือธรรมชาติและอ�ำนาจจากธรรมชาติ วิธีการรักษาด้วย สมนุ ไพร สว่ นหนง่ึ ไดจ้ ากการเชอื่ มโยงภมู ปิ ญั ญาจากทอ้ งถนิ่ อน่ื มาบรู ณาการเพอื่ ให้ เหมาะสมกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมของหมู่บ้าน เสริมสร้างโครงสร้าง หมบู่ า้ นใหเ้ ขม้ แขง็ สว่ นกติ ตไ์ พฑรู ย์ สมบรรณ (2540) ไดศ้ กึ ษารปู แบบการรกั ษาอาการ แพต้ น้ น้�ำเกลยี้ ง อ�ำเภอขนุ หาญ จงั หวดั ศรี สะเกษ พบวา่ สาเหตเุ กดิ จากการสมั ผสั ส่วนใดส่วนหนงึ่ ของต้นน้�ำเกล้ียงหรือพืชสกุลรัก อาการเร่ิมแรก คือ จะมีตุ่มผื่น คันเล็กๆ เป็นผดุ ๆ คล้ายผวิ คางคก แต่จะเป็นปื้นหนาลุกลามไปทั่วจะคัน จากนนั้ จะบวมแดง รู้สกึ จุกหน้าอก ถ้าเกาจะเกดิ น้�ำเหลืองไหล คติความเชอ่ื ในการรักษา คือ สาเหตุมาจากธรรมชาติและสาเหตุจากสิ่งเหนือธรรมชาติ คติความเชื่อใน ไสยศาสตร์และพธิ ีกรรม คือ ความเชอ่ื ในเร่ืองเวทมนต์และเชือ่ ในพธิ กี รรมการแต่ง แก้โดยใช้ขี้เถ้า บทความของ ยูกิโอ ฮายาชิ (2541) เร่ือง รูปลักษณ์ใหม่ของผีคุ้มครอง หมู่บ้านในหมู่บ้านชาวไทย-ลาว ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย งาน ชนิ้ นศี้ กึ ษาเกย่ี วกบั ความเชอื่ การนบั ถอื ในผชี าวบ้านไทย-ลาว ในภาคอสี าน ซงึ่ จะ นับถือผีปู่ตาเป็นผีคุ้มครองหมู่บ้านเม่ือก่อต้ังชุมชน การนับถือผีปู่ตาจึงมีส่วนช่วย สร้างความสมั พนั ธอ์ นั ดภี ายในชมุ ชนนน้ั ๆ โดยนบั ถอื เป็นล�ำดบั แรกในผที เี่ กยี่ วขอ้ ง กับกิจกรรมทางการเกษตรและมีการจัดพิธีกรรมประจ�ำปีให้กับผีปู่ตาด้วย ส่วน ผมี เหศกั ดจ์ิ ะเปน็ เสาหลกั ของหมบู่ า้ นทชี่ ว่ ยดแู ลความสงบสขุ ของหมบู่ า้ น จะมกี าร เลย้ี งผมี เหศกั ดใ์ิ นบญุ ซำ� ฮะประจำ� ปใี นพธิ กี รรมชำ� ระลา้ งสง่ิ ไมด่ งี ามในวนั เพญ็ เดอื น

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 137 เจ็ด และถาวร ด�ำเนตร (2545) ได้ศกึ ษาคตคิ วามเชื่อในประเพณีพธิ ีกรรมเกยี่ วกับ เจ้าจอมปากช่องภูเวยี ง อ�ำเภอภูเวียง จงั หวดั ขอนแก่น โดยศึกษาจากเอกสารและ ภาคสนามสัมภาษณ์จากผู้รู้ในท้องถ่ิน ผู้น�ำพิธีกรรมและผู้ร่วมพิธีกรรม จ�ำนวน 150 คน พบว่าองค์ประกอบของพิธีกรรมมี 2 พิธีกรรม คือ พิธีกรรมส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ การบอกกลา่ ว หรอื บา๋ และพธิ กี รรมชมุ ชนจะเปน็ การบวงสรวงดวงวญิ ญาณ เจา้ จอมปากชอ่ งภเู วยี ง ดา้ นคตคิ วามเชอื่ พบวา่ เปน็ ความเชอื่ ในเรอื่ งผขี องเจา้ จอม ปากชอ่ งภเู วยี งจะคอยปกปอ้ งคมุ้ ครอง เชอ่ื วา่ เปน็ ผชี น้ั สงู นอกจากนคี้ วามศรทั ธาที่ มีต่อเจ้าจอมปากช่องภเู วียงน�ำไปปรบั ใช้กบั วถิ ชี วี ติ ของคนในท้องถ่นิ ในหลายด้าน ส่วนสมร ศรบี ญุ เรอื ง (2543) เรื่อง การปรับเปลย่ี นวิธกี ารรักษาอาการปวด ศรี ษะดว้ ยพธิ สี อ่ นตะเวน็ ของชาวบา้ นในเขตอ�ำเภอกระนวน จงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่ เป็นพิธีกรรมที่จัดข้ึนตามความเชื่อในเร่ืองอำ� นาจเหนือธรรมชาติ มีหมอธรรมเป็น ผู้น�ำพิธี ท�ำในวันอังคาร มี 3 ขั้นตอน คือ การเตรียมการ การสู่ขวัญ และการ เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์ การปรับเปล่ียนพิธีกรรม พบว่า ในเรื่องวันได้เพ่ิมวันพฤหัส เข้ามา ลดข้ันตอนในการสู่ขวัญ แต่ความเช่ือในอ�ำนาจส่ิงศักดิ์สิทธ์ิยังคงอยู่ และ วิรัตน์ สมใจ (2540) ได้ศึกษาประเพณีพิธีกรรมเลี้ยงเดือนเลี้ยงปีของชาวอำ� เภอ คอนสาร จงั หวัดชยั ภมู ิ พบว่า พธิ กี รรมมี 4 องค์ประกอบ คอื บุคคล อปุ กรณ์ใน การประกอบพธิ ี สถานท่ี และระยะเวลา ดา้ นความสมั พนั ธก์ บั วถิ ชี วี ติ พบวา่ สมั พนั ธ์ ด้านคติความเช่ือว่าวันที่ประกอบพิธีจะต้องท�ำในวันท่ีก�ำหนดเท่านนั้ จึงสามารถ ติดต่อกับผีบรรพบุรุษได้ และพิธีกรรมจะเก่ียวข้องกับปัจจัยสี่ คือ อาหารท่ีน�ำมา เซ่นไหว้ เครอื่ งนุ่งห่มของร่างทรง ทีอ่ ยู่อาศัยของผบี รรพบุรุษ นอกจากนกี้ นั ฑมิ า เรไร (2543) ไดศ้ กึ ษาพธิ กี รรมเกย่ี วกบั ความตายของชาว บ้านลาด ตำ� บลยางกลัก อำ� เภอเทพสถติ จังหวดั ชยั ภูมิ พบว่า พธิ ีกรรมในอดตี นน้ั เมอ่ื มคี นตายชาวบา้ นจะนำ� ฟากไมไ้ ผม่ าหอ่ หมุ้ ศพ นำ� ไปฝงั ใกลบ้ รเิ วณบา้ น จากนนั้ จะร้ือถอนบ้านไปปลูกใหม่ไม่ไกลจากเดิมนกั จะปลงศพแบบฝังไม่มีพิธีกรรมทาง ศาสนาเพราะนับถือผี ต่อมาเมื่อมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว ไทยโคราชเข้ามาอาศัย รวมด้วย จึงเริ่มมีการปรับเปล่ียนเป็นแบบเผา พิธีกรรมได้สะท้อนให้เห็นถึงความ

138 โสวฒั นธรรม สมั พนั ธร์ ะหวา่ งพธิ กี รรมกบั กลมุ่ คนทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ทง้ั เชอื้ ชาติ ศาสนา ภาษา ส่วนเฉลียว ดอนกวนเจ้า (2543) ได้ศึกษาการปรับเปลี่ยนพิธีกรรมเลี้ยงผีของ ชาวไทญ้อ จังหวัดนครพนม พบว่า พิธีกรรมเล้ียงผีเป็นความเชื่อที่ปฏิบัติสืบต่อ กันมา เพ่ือแสดงความกตัญญูต่อผีที่ให้คุณประโยชน์ทางด้านความเจ็บป่วยและ ท�ำให้เกิดก�ำลังใจในการท�ำการเกษตร พิธีกรรมจะท�ำขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึง เดอื นเมษายนของทกุ ปเี ปน็ เวลา 1 วนั การปรบั เปลย่ี นพบวา่ มกี ารปรบั ดา้ นอปุ กรณ์ ในการประกอบพธิ ีเพือ่ ให้สะดวก สว่ นงานวจิ ยั ของนติ นิ นั ท์ พนั ทวี (2544) ไดศ้ กึ ษาการศกึ ษาพธิ กี รรมทอ้ งถน่ิ ในฐานะเพ่ือการพัฒนาชุมชน ผลการวิจัยพบว่า คุณค่าในองค์ประกอบพิธีกรรม ไดแ้ ก่ ผนู้ ำ� ผรู้ ว่ มพธิ ี บทสขู่ วญั เครอื่ งสงั เวย คณุ คา่ ของพธิ กี รรมทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ่ บคุ คล ได้แก่ สมาธิ ความสบายใจ ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความมี น�้ำใจงาม คุณค่าของพิธีกรรมได้แก่ คุณค่าในฐานะกระจกเงาสะท้อนวัฒนธรรม ทางภาษา และให้ความบันเทิงแก่ชุมชน ควบคุม รักษาแบบแผนทางสังคมของ ชุมชน พิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญเป็นเคร่ืองมือที่คนในชุมชนใช้เป็นทุนทางวัฒนธรรม ในการสร้างสมั พนั ธ์ท่ีถกู ต้องสร้างสรรค์ สำ� หรับนภิ าวดี ทะไกรราช (2544) ได้ศึกษานิเวศวัฒนธรรม : ศึกษาเฉพาะ กรณบี ้านโคกกลาง หมู่ที่ 5 ต�ำบลแคน อ�ำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม การวิจัยมีวัตถุประสงค์จะศึกษาความสัมพันธ์ของชาวบ้านโคกกลาง กับระบบ นิเวศป่าชุนโคกใหญ่ โดยศึกษาพัฒนาการ ผลกระทบของการทำ� เกษตรกรรมท่ีมี ต่อระบบนเิ วศ การใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติ ของชาวบ้านโคกกลางที่มี ในระบบนเิ วศป่าชมุ ชน ผลการวจิ ัยพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านโคกกลางเป็น 1 ใน 20 หมู่บ้าน ทใ่ี ช้ประโยชน์จากป่าชมุ ชนโคกใหญ่ มกี ารดำ� รงชวี ติ ที่สัมพันธ์กบั การ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศท่ีตั้งถิ่นฐานมีการจ�ำแนกพื้นที่ใน การใชป้ ระโยชน์ มกี ารปรบั ตวั มกี ารใชภ้ มู ปิ ญั ญา ความคดิ ความเชอ่ื เปน็ เครอ่ื งมอื ในการด�ำรงอยู่อย่างสัมพันธ์ภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของคนใน ชุมชนเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมในทกุ ขน้ั ตอนทเี่ ป็นประโยชน์ร่วมกนั ของชุมชน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 139 ส�ำหรับชาติชัย ฉายมงคล (2543) ได้ศึกษาการปรับเปล่ียนพิธีกรรม การฟ้อนผีหมอชาวบ้านโส้ อ�ำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พบว่า เป็นพิธี สืบทอดกันมาต้ังแต่บรรพบุรุษ ท�ำในเดือนสี่ของทุกๆ ปี โดยใช้เวลา 2 วันกับ 1 คนื เป็นการแสดงความกตัญญแู ละความเคารพต่อผีบรรพบุรษุ ชาวโส้เช่ือว่าจะ ท�ำให้อยู่เย็นเป็นสุข ในส่วนการปรับเปล่ียนพิธีกรรม นอกจากนี้มีการหาซ้ือวัสดุ อปุ กรณต์ ามทอ้ งตลาด เชน่ ดอกรกั พลาสตกิ สว่ นความเชอ่ื ยงั คงเหมอื นเดมิ ดงั นนั้ การปรับเปลี่ยนจึงเป็นเพยี งเพื่อความอยู่รอดของพิธกี รรม ส่วนของศริ ิพงษ์ บญุ ถกู (2544) ได้ศึกษาการศึกษาเครือข่ายทางสังคมในกิจกรรมการทอดผ้าป่าของสังคม อีสาน พบว่า การเปลี่ยนแปลงรปู แบบการทอดผ้าป่าและวิธีการท่สี ังคมอีสาน ใช้ ในการด�ำเนนิ การทอดผ้าป่าในปัจจุบัน เป็นการวิจัยเชิงส�ำรวจ พบว่า เครือข่าย ทางสังคม มีส่วนสัมพันธ์กับกิจกรรมการทอดผ้าป่า เดิมองค์ประกอบส�ำคัญของ ผ้าป่ามีเฉพาะอัฐบริวาร แต่ปัจจุบันได้มีวัตถุทันสมัยเป็นบริวารผ้าป่าเพิ่มเติมเข้า มา กิจกรรมการทอดผ้าป่าปัจจุบันได้มีการน�ำเอาการบริหารการจัดการสมัยใหม่ มาใช้ในรูปของการก�ำหนดวตั ถุประสงค์ งานวิจัยของธาดา สุทธิธรรม (2542) เรอ่ื ง รปู แบบแผนผงั ชุมชนอีสานสาย วัฒนธรรมไท ได้ศึกษาเก่ียวกับรูปแบบแผนผังชุมชนอีสานสายวัฒนธรรมไท โดย ท�ำการส�ำรวจชุมชนจ�ำนวน 50 แห่ง และคัดเลือกเป็นชุมชนกรณีศึกษาจ�ำนวน 17 แห่ง ซ่ึงเป็นชุมชนของชนเผ่าไท 5 ชนเผ่าส�ำคัญคือ 1) ไทลาวหรือไทอีสาน 2) ไทโยย้ 3) ไทยอ้ 4) ไทผไู้ ท และ 5) ไทเลย ชมุ ชนเหลา่ นม้ี จี �ำนวน 4 แหง่ ทไ่ี ดม้ กี าร ขยายตวั ขน้ึ เปน็ ชมุ ชนเมอื งในระดบั อ�ำเภอ ทเี่ หลอื เปน็ ชมุ ชนหมบู่ า้ นในชนบท พบวา่ แม้จะต่างชนเผ่ากันล้วนมีความเช่ือพื้นฐานทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมเช่น เดยี วกัน แม้จะมีแนวทางปฏิบัติปลีกย่อยแตกต่างกันไปแต่กเ็ ป็นชนเผ่าไทเดียวกัน จงึ ทำ� ให้มมี มุ มองและแนวปฏบิ ตั ใิ นเรอื่ งทำ� เลทต่ี ง้ั ถน่ิ ฐานคลา้ ยๆ กนั และงานวจิ ยั ของอภิศกั ด์ิ ไฝทาค�ำ (2545) เรือ่ ง การศกึ ษามรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของเมอื ง ขอนแก่นเพ่ือการพัฒนา งานช้ินน้ีศึกษาเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมท้องถ่ินของ เมอื งขอนแก่นเพือ่ การพัฒนา ซึ่งผลการศกึ ษาสรุปได้ว่า 1) พฒั นาการชุมชนเมอื ง

140 โสวฒั นธรรม ขอนแก่นมีเงื่อนไขท่ีเป็นตัวเอ้ือให้เกิดการก่อร่างสร้างเมือง มีความแตกต่างกันไป ตามยคุ ตามสมยั ซงึ่ การเปลยี่ นแปลงสภาพกายภาพทห่ี อ่ หมุ้ คนทำ� ใหช้ วี ติ คนเปลย่ี น ไปดว้ ย แตค่ วามสขุ แบบชวี ติ คนเมอื งนนั้ เปน็ สง่ิ ทค่ี นเมอื งตอ้ งคดิ ตงั้ หลกั หาทางคดิ สร้างความสุขแบบท่ีเป็นตัวเอง 2) ลักษณะเฉพาะท่ีเป็นเอกลักษณ์ของเมืองและ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สภาพของเมอื งอนั ได้แก่ ภูมสิ ัญลกั ษณ์ ย่านชมุ ชน เป็นต้น 3) การพฒั นาสภาพแวดล้อมเมอื งจ�ำเป็นต้องรู้และเข้าใจรากเหง้าของเมอื ง ส่วนงานวิจัยของเขมิกา หวังสุข (2543) เร่ือง พัฒนาการทางวัฒนธรรม ในลุ่มแม่น�้ำมูล : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อ�ำเภอสูงเนนิ จังหวัด นครราชสีมา การวิจัยครั้งน้ีเพ่ือศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณ ในบริเวณลุ่มแม่น�้ำมูลโดยท�ำการศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อำ� เภอสูงเนนิ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อทราบถึงพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณ เมืองเสมา ต�ำบลเสมา อ�ำเภอสูงเนนิ จังหวัดนครราชสีมา ส�ำรวจชุมชนโบราณ ในบริเวณลุ่มแม่น้�ำมูล ชุมชนโบราณท่ีแหล่งโบราณคดีเมืองเสมาปรากฏร่องรอย การอยอู่ าศยั 2 ระยะดว้ ยกนั คอื ตงั้ แตส่ มยั แรกเรม่ิ ประวตั ศิ าสตร์ (ราวพทุ ธศตวรรษ ที่ 10-11) ประวัตศิ าสตร์ทอ่ี าศยั อยู่ในบรเิ วณลุ่มแม่น�้ำมลู โดยเฉพาะลุ่มแม่น้�ำมลู ตอนบนและตอนกลาง นอกจากนี้งานวิจัยของดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ (2543) เกี่ยวกับการ พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรข์ อง “ทอ้ งถน่ิ นยิ ม” และภมู ภิ าค งานชน้ิ นศี้ กึ ษาเกย่ี วกบั ประวัติศาสตร์อีสาน โดยการต้องการขยายมุมมองทางประวัติศาสตร์อีสานให้ หลากหลายมากยิง่ ขน้ึ โดยเนื้อหาภายในจะกล่าวถงึ ท่ีมาของคำ� ว่า “ท้องถ่ินนิยม” และ “ภมู ภิ าคนยิ ม” สภาพภมู ศิ าสตร-์ ทรพั ยากรและคมนาคมทม่ี ผี ลตอ่ พฒั นาการ ทางประวัติศาสตร์อีสาน พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ลาว-อีสาน และภูมิหลัง ของคนอีสาน การเข้ามาของรัฐส่วนกลาง กรุงเทพฯกับการสร้างความหมายของ “ท้องถิ่นนยิ ม” และ “ภมู ิภาคนิยม” ความพยายามรวมลาว “กรณีเหตกุ ารณ์เจ้า อนุวงศ์” :สำ� นกึ ในกลุ่มท้องถิ่นนิยม การขยายตวั ของรัฐ ส่วนกลางกรงุ เทพฯ ช่วง พ.ศ.2435 และการแสดงออกของพลังในท้องถนิ่ กบั การสร้างสำ� นกึ “ท้องถน่ิ นิยม”

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 141 และ “ภูมิภาคนิยม” และในตอนท้ายของเล่มก็มีบทสรุปเก่ียวกับพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ “ท้องถิ่นนิยม” และ “ภูมภิ าคนิยม” ในภาคอสี าน งานวิจัยอีกช้ินของธาดา สุทธิธรรม(2544) เร่ือง ผังเมืองในประเทศไทย ผงั ชมุ ชนและการใชท้ ด่ี นิ สายอารยธรรมเขมรในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื งานชนิ้ น้ี ศกึ ษาผังเมืองในประเทศไทย ผงั ชุมชนและการใช้ท่ีดินสายอารยธรรมเขมรในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื พบว่า การก�ำเนดิ ของชมุ ชนจ�ำนวนมากในประเทศไทยมมี า ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเลือกท�ำเลท่ีเหมาะสมท้ังทางภูมิศาสตร์และ จติ ศาสตร์ อารยธรรมเขมรไดแ้ ผข่ ยายเขา้ สภู่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จากอาณาจกั ร กัมพูชา จนกระทั่งสามารถครอบครองดินแดนท้ังหมดและบางส่วนของภูมิภาค ใกลเ้ คยี งไวไ้ ด้ โดยมกี ารวางผงั เมอื งตามฮนิ ดคู ตแิ ละความเชอื่ ในลทั ธเิ ทวราชา เมอื ง และชุมชนต่างๆ มีแผนผังองค์ประกอบซับซ้อนตามศักดิ์ของเมืองในการควบคุม ราชอาณาจักร หนงั สือของเดช ภูสองชั้น (2546) เร่ือง ประวัติศาสตร์สามัญชน ฅนทุ่งกุลา เป็นงานที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของทุ่งกุลาร้องไห้แห่งน้ี ตงั้ แตย่ งั เปน็ ยคุ ทแ่ี หง้ แลง้ จนกลายเปน็ ยคุ ขา้ วหอมมะลิ โดยสะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพพลงั ชวี ติ และจติ ใจของคนชนบททม่ี คี วามเปน็ อยใู่ นทงุ่ กวา้ ง จากทางเกวยี นมาถงึ ทางรถ ส่วนบทความของจงดี ภิรมย์ไชยและจีระวัฒน์ พืชสี (2545) เรื่องผ้ึงกับ สุขภาพ อีกหนง่ึ ภูมิปัญญาชาวบ้านสู่การพ่ึงพาตนเอง เป็นบทความเกี่ยวกับ ผ้ึง กับสุขภาพ อีกหนง่ึ ภูมิปัญญาชาวบ้านสู่การพ่ึงพาตนเองที่บ้านเพ้ียฟาน หมู่ 1 ต�ำบลบัวเงิน อ�ำเภอน�้ำพอง จังหวัดขอนแก่น พบว่า ชาวบ้านมีอาชีพหลักคือ ท�ำนาและท�ำไร่อ้อย การเล้ียงผ้ึงจึงเป็นอาชีพเสริมเพ่ิมรายได้ให้ครอบครัวอีกทาง หนงึ่ และยังเก่ียวข้องกับระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนนั้ ชมุ ชนจงึ ชว่ ยกนั ปลกู ตน้ ไมย้ นื ตน้ พวกปา่ แดง ปา่ นนุ่ ในพนื้ ทส่ี าธารณะของหมบู่ า้ น และขยายไปหมู่บ้านอ่ืน เพือ่ หาดอกไม้ให้ผ้ึงกนิ นอกจากช่วยให้ชาวบ้านมรี ายได้ เพ่มิ ขน้ึ แล้วยงั มีสขุ ภาพดีข้ึนอีกด้วย ประโยชน์ของน�้ำผง้ึ คอื ลดความเครยี ด งานวจิ ยั ของภมู ศิ กั ด์ิ พิทักษ์เขอื่ นขันธ์ และคณะ (2543) เรอื่ ง สถานภาพ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวในชนบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ศึกษา

142 โสวฒั นธรรม ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว อาทิ กระยาสารท ข้าวหลาม ขนมนางเล็ด ข้าวตอก ข้าวเม่า ขนมจีน เป็นอาหารทีม่ คี วบคู่กบั วิถีชวี ติ และขนบธรรมเนยี มประเพณขี อง ชาวชนบทในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มาเปน็ เวลาชา้ นาน การรจู้ กั นำ� ขา้ วมาแปรรปู เปน็ ขนมหรอื อาหาร นบั เปน็ ความฉลาดของผคู้ นในอดตี การแปรรปู ขา้ วอดตี จะทำ� เฉพาะการใชป้ ระกอบพธิ กี รรมตา่ งๆ และบรโิ ภคในครวั เรอื นเปน็ สว่ นใหญ่ แตป่ จั จบุ นั รฐั ส่งเสรมิ ให้มีการผลิตเพื่อจำ� หน่าย โดยมแี หล่งผลติ กระจายอยู่ทั่วไปในชนบท มี ปริมาณการผลิตและมูลค่าในการผลิตค่อนข้างสูง และศึกษาในด้านเทคโนโลยี การตลาด วัตถุดิบ และงานวิจัยของเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ (2546) เรื่องชุมชน เบี้ยกุดชุม : การแลกเปล่ียนทางวัฒนธรรมของสังคมท่ีกำ� ลังแปรเปล่ียน ภายใต้ เศรษฐกจิ และการเมอื งโลก มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ หารปู แบบใหมข่ องการพฒั นาชมุ ชน เบ้ียกุดชุม คือ ชุมชนบ้านโสกกุดชุม ต�ำบลนาโส่ อ�ำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ตลอดจนศึกษาปัญหาพัฒนาและแนวโน้มของการพัฒนา ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาแนวใหม่ทชี่ ุมชนเบี้ยกดุ ชุมใช้ ได้แก่ การริเรมิ่ จากระดบั ล่าง โดยความ สนบั สนนุ จากชนชน้ั กลาง โดยเรม่ิ จากองค์กรเอกชน (NGO) แล้วต่อมาเป็นภาครฐั ปัญหาของการพัฒนา ได้แก่ ฐานะของธุรกิจชุมชน ที่ต้องการด�ำเนนิ การท้ังด้าน ธรุ กจิ และการพฒั นาชมุ ชน ซง่ึ ตอ้ งสนใจทง้ั ดา้ นการพฒั นาเศรษฐกจิ และการพฒั นา คน ทำ� ใหย้ ากทจ่ี ะสรา้ งความสมดลุ ได้ และกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาการเมอื งในการพฒั นา ซงึ่ ได้แก่ความขัดแย้งทางความคิดและผลประโยชน์ท่เี กดิ จากการพฒั นา งานวจิ ยั ของใจสะคราญ หิรัญพฤกษ์ (2540) เรอ่ื ง กลยทุ ธ์ในการเสรมิ สร้าง ความเสมอภาคของบทบาทหญิงชายในการพัฒนาท้องถิ่นทุรกันดารอีสานใต้ งานชิ้นน้ีศึกษาเกี่ยวกับบทบาทหญิงชายในภาระงานต่างๆ ท้ังในระดับครอบครัว และชุมชน ตลอดจนการเข้าถึงและควบคุมการใช้ทรัพยากรต่างๆ โดยศึกษาจาก ลักษณะกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ และศรีสะเกษ ที่มีเช้ือสาย เขมร ส่วย และบรู พบว่า บทบาทของชายหญงิ ถกู ก�ำหนดด้วยมติ ิทางสังคมและ วฒั นธรรม ความสมั พนั ธ์หญิงชายในบริบทครอบครัวและชุมชน และรัฐบาล การ ตระหนกั ถงึ มติ ชิ ายหญงิ ผหู้ ญงิ จงึ ยงั คงรบั ภาระงานหนกั ทง้ั ในครวั เรอื นและในไรน่ า

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 143 ขาดโอกาสมสี ว่ นรว่ มในชมุ ชน การเขา้ ถงึ และควบคมุ ทรพั ยากรตา่ งๆ รวมถงึ ขอ้ มลู ข่าวสารผู้หญิง เชน่ เดยี วกบั บทความของบวั พนั ธ์ พรหมพกั พงิ (2542) เปน็ เรอ่ื งความสมั พนั ธ์ หญิงชายและสทิ ธิทางทรพั ย์สินในสังคมชนบทอีสาน ได้ศึกษาความสัมพันธ์หญิง ชายและสิทธิทางทรัพย์สินในสังคมชนบทอีสาน ผลการศึกษาพบว่า การควบคุม ก�ำกับทรัพย์สินโดยเฉพาะท่ีดินในสังคมอีสานด้ังเดิมไม่มีข้อกีดกันส�ำหรับผู้หญิง ประเพณีดังกล่าวตกทอดมาถึงปัจจุบันแต่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและการ แทรกแซงของรัฐท�ำให้สถานะของผู้หญิงเปลยี่ นไป หน่วยครวั เรือนถกู ผนวกเข้ากับ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมท�ำให้เกิดการอพยพแรงงาน แรงงานรับจ้างท้ังหญิง ชาย สามจี ะไปทำ� งานในภาคเศรษฐกจิ สมยั ใหม่ สว่ นภรรยาจะรบั ผดิ ชอบงานบา้ น อยู่ในชนบท นอกจากนบี้ ทความของพชั รนิ ทร์ ลาภานนั ท์ (2547) เร่ือง ผู้หญงิ ชนบทกับ ขบวนการเคลอื่ นไหวสง่ิ แวดลอ้ ม : วธิ คี ดิ และ “พนื้ ท่ี การตอ่ ส”ู้ เปน็ งานทศ่ี กึ ษาเกย่ี ว กบั ผู้หญิงทเี่ ข้าร่วมในขบวนการเคลอื่ นไหวทางส่งิ แวดล้อม พบว่า การเข้ามาร่วม ในขบวนการนท้ี �ำให้ผู้หญิงมีมุมมองต่อรัฐและสังคมในเชิงวิพากษ์มากขึ้น ขณะที่ การมีบทบาทเชิงรุกในเวทีสาธารณะ ผู้หญิงเหล่าน้ีต้องเผชิญกับแรงเสียดทาน ของครอบครัวและชุมชน ผู้หญงิ เหล่านตี้ ่างมองว่าความต่างระหว่างหญงิ ชายเป็น ความต่างท่ีเก้ือกูลกันและต่างก็มีความส�ำคัญต่อขบวนการเคล่ือนไหวทางสังคม ท้ังสิ้น ส่วนงานวจิ ัยของจรัญญา วงษ์พรหม (2541) เร่อื ง ผู้หญิงอีสาน : ทางเลอื ก ศักยภาพและแนวทางการพัฒนา : รวมบทความและบทวิเคราะห์ประสบการณ์ และความรู้เก่ียวกับผู้หญิง ในงานช้ินนี้ ศึกษาเกี่ยวกับผู้หญิงในสังคมอีสานท่ีมัก ประสบชะตากรรมเอาเปรียบทางเพศในรปู แบบต่างๆ เสมอ แต่กม็ ีพลังความแกร่ง ทีแ่ อบแฝงอยู่และเผยแพร่ให้เห็นจากการสืบทอดทางวัฒนธรรม ผู้หญิงอีสานยังมี บทบาทในกระบวนการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมของภูมิภาค และ เศรษฐกจิ ของไทย ทง้ั ในบทบาทเดมิ ในภาคเกษตรกรรมไปถงึ บทบาทใหมๆ่ ในภาค อุตสาหกรรม และควรสนับสนนุ สร้างจิตส�ำนกึ ความภาคภูมิใจของผู้หญิงอีสาน เพือ่ พัฒนาศักยภาพทเี่ ป็นเอกลกั ษณ์ของท้องถนิ่

144 โสวัฒนธรรม นอกจากนศี้ ริ ิพร โคตะวินนท์(2543) ได้ศกึ ษาผู้หญงิ ในขบวนการเคล่ือนไหว ของประชาชนชายขอบ กรณีศกึ ษาฝายราษไี ศล : หมู่บ้านแม่มูนมัน่ ยืน 2 และ 3 งานชิ้นน้ีศึกษาว่า มีเหตุผลเง่ือนไขใดที่ท�ำให้ผู้หญิงที่เป็นแกนน�ำและผู้หญิงทั่วไป เข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหว ในขบวนการเคล่ือนไหวนี้ผู้หญิงยอมรับบทบาท อะไรบ้าง เหตุใดยอมรับบทบาทนน้ั แล้วผู้หญิงเปล่ียนแปลงหรือได้รับผลกระทบ อะไรบ้าง จากการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า เง่ือนไขท่ีท�ำให้ผู้หญิงเข้าร่วมใน ขบวนการตอ่ สคู้ อื ผหู้ ญงิ เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ ไดร้ บั ผลกระทบจากนำ�้ ทว่ มปา่ บงุ่ ปา่ ทาม และผหู้ ญงิ ไดผ้ ่านกระบวนการเรยี นรู้ จงึ เกดิ ความเชอื่ มน่ั ในการลกุ ขน้ึ มาตอ่ สู้ เปน็ ตวั แทนของครอบครวั การพสิ จู นข์ อ้ เทจ็ จรงิ และการรสู้ กึ วา่ สแู้ ลว้ ชนะ บทบาทของ ผหู้ ญงิ ในขบวนการเคลอ่ื นไหวมหี ลากหลายทง้ั บทบาทเดมิ และขา้ มบทบาทเดมิ ใน สถานการณก์ ารเคลอื่ นไหวนค้ี วามเปน็ ผหู้ ญงิ ถกู น�ำมาใชป้ ระยกุ ตว์ ธิ กี ารตอ่ สไู้ ดจ้ าก การเข้าร่วมการเคลือ่ นไหว สำ� หรบั งานวจิ ยั ของนาตยา อย่คู ง (2542) เรอ่ื ง การเปลย่ี นแปลงสถานภาพ และบทบาทของลูกเขยในสังคมอีสาน เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ และบทบาทของลูกเขยในสังคมอีสานว่า มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างอย่างไรบ้าง ซง่ึ จะเนน้ การศกึ ษาทางด้านสงั คมและวฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ความเป็นอย่แู ละรปู แบบ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตาแม่ยายกับลูกเขย และวิเคราะห์ถึงปัจจัย เง่ือนไข ต่างๆ ของสังคมท่ีได้ก�ำหนดสถานภาพและบทบาทของลูกเขย และท่ีท�ำให้เกิด การเปล่ียนแปลงสถานภาพและบทบาทลูกเขย รวมทั้งศึกษาผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น ในปัจจุบันได้เกิดการเปล่ียนแปลงสถานภาพ และบทบาท ลูกเขย โดยมีบทบาทและมีสถานภาพสูงข้ึน เป็นแรงงานหลักที่ส�ำคัญให้กับ ครอบครัวฝ่ายหญิง เป็นผู้หารายได้หลักมาให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงได้ใช้จ่ายใน การด�ำรงชีวิต มีอิสระในการด�ำเนนิ ชีวิตมากกว่าในอดีต ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยการ ผลิตของพ่อตาแม่ยายเป็นหลักเหมือนเดิม จึงไม่จ�ำเป็นต้องตกอยู่ภายใต้อาณตั ิ ของพ่อตาแม่ยายอีกต่อไป ส�ำหรับชนนิ ทร จารุจันทร์ (2540) เรื่อง ผู้เฒ่ามีลูก : แบบชวี ติ และการปรบั ตวั ของยายเลย้ี งหลาน กรณศี กึ ษาบา้ นภเู หลก็ ตำ� บลภเู หลก็

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 145 อ�ำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น งานชิ้นนี้ศึกษาวิเคราะห์ประสบการณ์การด�ำเนนิ ชีวิตของยายเล้ียงหลาน มุ่งค้นหาแบบแผนพ้ืนฐานของกระบวนการปรับตัวของ ยายที่ต้องรับบทแม่อีกคร้ังว่า สามารถแยกเป็นข้ันตอนอย่างไร มีเง่ือนไขส�ำคัญ อะไร มุ่งสนใจความรู้สึกของยายต่อการเลี้ยงหลาน ต่อหลานและต่อตนเอง โดย ศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า แบบแผนกระบวนการพัฒนาเอกลักษณ์จากยายเป็น ผู้เฒ่ามลี กู แบ่งเป็น 3 ข้นั ตอนเวลาคอื ช่วงก่อนจะมาเลยี้ งหลาน ท่ที ำ� ให้ยายต้อง เลี้ยงหลาน คอื อยากให้ลูกทำ� งานหารายได้ อยากเป็นแม่อีกครั้ง ความรู้สกึ ผูกพัน ทางสายเลือด ช่วงปรับวิถีชีวิต ปรับตัวในเรื่องชีวิตประจำ� วันเก่ียวกับการท�ำงาน กจิ กรรมการเลยี้ งดู รายได้ รายจา่ ย ความรสู้ กึ ผกู พนั ทางใจ ชว่ งเลยี้ งหลานจนเปน็ ธรรมชาตหิ รอื ขน้ั ความผกู พนั รู้สกึ ว่าเขาคือแม่จริงๆ ของหลาน นอกจากน้บี ทความของอภิศักด์ิ โสมอินทร์ (2542) เรอื่ ง หญิงอีสาน : การ เปลยี่ นแปลงปรบั ตวั เพอ่ื อยรู่ อด ไดศ้ กึ ษาเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ อสี านในแงก่ ารเปลย่ี นแปลง และปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสังคมโลกาภิวัตน์ พบว่า มี 2 ผลกระทบ คือ ผลทางลบคือท�ำให้ระบบครอบครัวเสียไป ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ได้รับความเคารพ จากเยาวชนและผลกระทบในแง่ที่สอง มองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา ยคุ โลกาภวิ ตั นเ์ ปน็ ยคุ พระศรอี ารยิ ์ ดงั นนั้ ในกระแสอนั เชย่ี วกรากภายใตบ้ รบิ ททาง ทนุ นยิ ม ส่วนกฤช เหลอื ลมยั (2546) เร่อื ง ผวั ฝรงั่ ทีบ่ ้านส�ำโรง บทความนี้ ศึกษา เกยี่ วกบั วถิ ชี วี ติ ของหญงิ สาวในเขตอำ� เภอชมุ พลบรุ ี จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ทมี่ สี ามเี ปน็ ชาว ตา่ งประเทศหรอื ทเี่ รยี กกนั วา่ \"ผวั ฝรง่ั \" พบวา่ ปจั จบุ นั ในหมบู่ า้ นตา่ งๆ จะมหี ญงิ ไทย แตง่ งานกบั ฝรงั่ ประมาณหนง่ึ ในสามของคนในหมบู่ า้ น โดยการชกั ชวนเพอ่ื น ญาตๆิ ใหร้ จู้ กั กบั เพอ่ื นหรอื ญาตฝิ า่ ยสามี มกี ารสง่ รปู ถา่ ย ประวตั มิ าใหพ้ จิ ารณา ถา้ ผหู้ ญงิ หรอื ผู้ชายสนใจกใ็ ห้เดินทางไปแต่งงานอยู่กนิ กันได้อย่างง่ายดาย ซงึ่ ในอดตี คนใน สังคมไทยมองว่าไม่ดีแต่ปัจจบุ นั เร่มิ ยอมรบั และมองว่าเป็นเร่ืองปกติ บทความของมารโิ กะ คาโตะ (2545) เร่ือง ผลกระทบของการอ่านหนงั สือได้ ต่อการประพฤติปฏิบัติทางศาสนาของผู้หญิงในหมู่บ้านภาคอีสานประเทศไทย : ศึกษากรณจี �ำศีลผู้หญิงในช่วงเข้าพรรษา ในเอกสารประกอบการประชุมวันที่

146 โสวฒั นธรรม 27-29 มีนาคม 2545 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) งานช้ินน้ีศึกษา เพ่ือท่ีจะเข้าใจว่าผู้หญิงมีความสามารถอ่าน (ภาษาไทยกลาง) ได้อย่างไร และ เข้าถึงความรู้ทางพิธีกรรมศาสนาโดยใช้ความสามารถนี้ในการท�ำความเข้าใจและ ประพฤตปิ ฏิบตั ิทางศาสนาได้อย่างไร โดยศกึ ษาเชิงปรมิ าณพบว่า ผู้หญงิ ท่อี ยู่ใน ชนบทอสี านไดโ้ อกาสเรยี นโรงเรยี นวดั ในหมบู่ า้ นถงึ ป.4 แลว้ สามารถอา่ นภาษาไทย แตเ่ พราะไมม่ หี นงั สอื อา่ น นอกจากหนงั สอื สวดมนตก์ ใ็ ชค้ วามสามารถในการทอ่ งจ�ำ เพื่อที่จะไม่ต้องอ่านหนงั สือ ซ่ึงเป็นวีธีการท่ีสืบทอดความรู้ดั้งเดิม มีโอกาสท่ีจะ ศกึ ษาด้วยตนเอง แต่สถานการณ์ไม่สนับสนนุ ส่วนบุญเกิด มะพารัมย์ (2544) ได้ศึกษาบทบาทของพระสงฆ์กับการ พัฒนาชุนชนท่ีพูดภาษาเขมรถ่ินไทย : กรณีศึกษา บทบาทหลวงพ่อเม้า อิสสโร วดั ป่าเลไลย์ และเครือข่าย จ. บุรรี มั ย์ มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศกึ ษาแนวคดิ หลกั การ ยทุ ธศาสตร์ ปจั จยั สง่ เสรมิ และเครอื ขา่ ยการพฒั นาชนบทในชมุ ชนทพ่ี ดู ภาษาเขมร ถ่ินไทยของหลวงพ่อเม้า อิสสโร วัดป่าเลไลย์ บ้านใหม่ ต�ำบลสามแวง อ�ำเภอ ห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ผลการวิจัย พบว่า หลวงพ่อเม้าได้น�ำหลักพุทธธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน มาประยุกต์บูรณาการให้เป็นองค์ความรู้ เป็นวัฒนธรรม เป็นบรรทดั ฐานของชมุ ชน สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน และลดปัญหาให้แก่ชุมชน ได้ในระดับหนงึ่ ประกอบด้วย ท่านเป็นนกั พดู นกั คดิ นกั วิเคราะห์ นกั พฒั นา และ นกั ปฏบิ ตั กิ ารดว้ ยความเสยี สละ อดทน จรงิ ใจ และมคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเอง โครงการ ตา่ งๆ เชน่ โครงการสรา้ งชลประทานขนาดกลางประจำ� ตำ� บล การสรา้ งทางคมนาคม ไปสหู่ มบู่ า้ นหรอื ชมุ ชนตา่ งๆ และจรสั เรอื ง ศริ วิ ฒั นรตั น์ (2542) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นา แบบพง่ึ ตนเองกบั การพฒั นาเชงิ พทุ ธ กรณศี กึ ษา ศรษี ะอโศกการวจิ ยั มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือการศึกษาแนวคิดการพัฒนาแบบพ่ึงพาตนเองกับการพัฒนาในแนวค�ำสอน ของพระพุทธศาสนา ความเหมือนและความแตกต่างของการพัฒนาท้ังสอง ผลการวิจัยสรุปว่า ค�ำสอนในพระพุทธศาสนา มีความสอดคล้องและเป็นไปเพื่อ การพฒั นาแบบพึง่ พาตนเองทัง้ ส้ิน ชุมชนศรีษะอโศกเป็นชมุ ชนทกี่ ่อกำ� เนดิ มาจาก กลุ่มชนท่เี ลื่อมใสพระพุทธศาสนา ในแนวของสมณะโพธิรกั ษ์ ซง่ึ มีหลกั การพฒั นา

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 147 และจัดการภายในชุมชน โดยใช้ “ศีล” มาเป็นหลักในการพัฒนาคนในชุมชน ชาวชมุ ชนศรษี ะอโศก มศี กั ยภาพทสี่ ามารถพฒั นาสรา้ งสรรคส์ นิ ค้าอปุ โภค บรโิ ภค ทางด้านปัจจัยสี่ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมผนวกกับภูมิปัญญาชาวบ้าน และชวิพร ม่ังสุวรรณ (2543) ได้ศึกษาการยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรของ เกษตรกรในหมบู่ า้ นใกลเ้ คยี ง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตเฉลมิ พระเกยี รติ จังหวัดสกลนคร งานชิ้นน้ีศึกษาลักษณะพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม นิเวศวิทยา และการยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรของเกษตรกรในหมู่บ้าน ใกลเ้ คยี งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ปญั หาและขอ้ เสนอแนะในการพฒั นายอมรบั นวตั กรรมทางการเกษตรของเกษตรกรนน้ั เปน็ การวจิ ยั แบบสำ� รวจซง่ึ พบวา่ ตวั แปร ที่มีความสัมพันธ์กับการยอมรับนวัตกรรมทางการเกษตรคือขนาดพื้นท่ีถือครอง การเปน็ สมาชกิ กลมุ่ การไดร้ บั ขา่ วสารการเกษตร และการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมนวตั กรรม การเป็นสมาชกิ กลุ่มมีความสำ� คญั ทีส่ ดุ ข้อเสนอแนะเพ่ือการพัฒนา ด้านวิชาการ ควรจัดโครงการอบรมความรู้เร่ืองการท�ำเกษตรผสมผสาน ด้านการส่งเสริม การเกษตร ปรบั โครงสร้างการผลิต ประกันราคาผลติ ขยายวงเงนิ สินเชอ่ื ส่วนบทความของวลัยลักษณ์ ทรงศิริ (2546) เรื่อง การฝังศพครั้งท่ีสองที่ ทุ่งกุลาร้องไห้ งานชิ้นนี้ ศึกษาเกี่ยวกับการฝังศพคร้ังที่สอง ซ่ึงเป็นพิธีกรรมเกี่ยว กบั การตายในวฒั นธรรมทงุ่ กลุ ารอ้ งไห้ พบวา่ การฝงั ศพครง้ั ทส่ี องเปน็ เรอ่ื งทซี่ บั ซอ้ น กลา่ วคอื เมอื่ ฝงั ศพครง้ั แรกมาซกั ระยะหนงึ่ แลว้ กจ็ ะมกี ารขดุ รา่ งนน้ั ขน้ึ มาใหม่ เลอื ก โครงกระดูกซ่ึงอาจจะเป็นส่วนหนง่ึ ใส่ลงในภาชนะใบใหญ่ ซ่ึงมีส่ิงของเคร่ืองใช้ ภาชนะใสข่ า้ วปลาอาหารหรอื ของมคี า่ ตา่ งๆ อทุ ศิ แกผ่ ตู้ ายฝงั รวมไปดว้ ยในบรเิ วณ ซ่ึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สุสานของตระกูลหรือชุมชน การใช้พื้นที่เหล่านซี้ ้�ำแล้ว ซ้�ำเล่าเป็นความเชือ่ ในพลงั ของพ้นื ที่ศักดสิ์ ิทธ์ิทส่ี ังคมให้ความนบั ถอื ร่วมกนั สำ� หรบั บทความของธีระพงษ์ จตรุ พาณชิ ย์ (2541) เรอื่ ง พระอุปคตุ กับงาน บญุ ผะเหวด เปน็ บทความเกย่ี วกบั พระอปุ คตุ กบั งานบญุ ผะเหวด พบวา่ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มงี านบญุ ประจำ� เดอื น เรยี กวา่ ฮตี สบิ สอง (จารตี ) จะมขี น้ึ ในเดอื นสี่ ของไทย หรอื เดอื นมนี าคม ซงึ่ เรยี กตามส�ำเนยี งอสี านวา่ งานบญุ ผะเหวด หมายถงึ

148 โสวัฒนธรรม พระเวสสันดร นอกจากนี้ในงานประเพณีบุญผะเหวดมีคติความเช่ือในการ อัญเชิญพระอุปคุตมาปกป้องคุ้มครองมิให้เกิดเภทภัยอันตราย และให้โชค ลาภแก่พุทธศาสนิกชนด้วย โดยสมมติเอาก้อนหินตามห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้�ำ นอกจากนี้บทความของสมชาย นิลอาธิ (2548) เร่ือง บุญเข้ากรรม เดือน อ้าย พิธีกรรมเร่ิมต้นชีวิตใหม่ท่ีบริสุทธิ์ในวันปีใหม่ไทย งานช้ินนี้ ศึกษาประเพณี บญุ เขา้ กรรมในเดอื นอา้ ย ซงึ่ เปน็ การศกึ ษาถงึ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละขนั้ ตอนของพธิ กี รรม บุญเข้ากรรม โดยชาวอีสานและลาวเรียกเดือนอ้ายอีกช่ือหนงึ่ ว่าเดือนเจียง หรือ เดือนเจอื งนนั่ เอง และน่าจะมีความเกย่ี วข้องกบั วรรณคดเี รอ่ื ง “ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง” ซง่ึ ชาวข่าในแถบลุ่มน้�ำโขงให้ความเคารพนับถอื ท้าวเจอื งกันมาก ความศรัทธาท่มี ี ต่อท้าวเจืองมีความส�ำคัญมากจนมีการน�ำมาใช้เรียกเป็นอีกชื่อหนง่ึ ของเดือนอ้าย และบทความของสมชาย นิลอาธิ (2546) เรื่อง บวชควาย ในงานบุญบั้งไฟเห็น ร่องรอยการใช้ไถเม่ือ 2,500 ปี งานช้ินนี้ ศึกษาพิธีกรรมบวชควายซึ่งแทรกอยู่ใน วนั โฮมหรอื วนั แห่ของงานบญุ บงั้ ไฟทบ่ี า้ นแมด กงิ่ อำ� เภอเชยี งขวญั จงั หวดั ร้อยเอด็ โดยจะเรยี กคนทบ่ี วชเปน็ ควายวา่ ควายจา่ หรอื ควายฮาด ซง่ึ จะแตง่ กายโดยเปลอื ย ท่อนบนทาดนิ หม้อจนด�ำ ที่เอวจะผกู ด้วยไม้เนื้ออ่อนขนาดยาวและใหญ่ สลกั เป็น อวัยวะเพศชาย การบวชนน้ั ต้องไปบวชกับผีปู่ตาและคนที่บวชได้นนั้ ต้องได้มีการ สบื ทอดกนั ตอ่ ๆ มา คนทบี่ วชเปน็ ควายจะตอ้ งแสดงกริ ยิ าทา่ ทางตามแบบควายจรงิ ซึ่งการบวชควายนถี้ ือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนการท�ำนาและสะท้อนให้เห็นร่องรอย ที่เป็นจุดเปล่ียนของวัฒนธรรมการปลูกข้าว ตลอดจนบทความของพระมหาบุญชู สริ ิบุญโญ (2544) เร่ือง สายมง่ิ สายแนน : ศาสตร์แห่งโลกสนั นวิ าสของชาวอสี าน งานช้ินนี้เป็นบทความเชิงวิชาการเก่ียวกับสายมิ่ง สายแนน ซึ่งเป็นศาสตร์แห่ง โลกสนั นวิ าสของชาวอีสาน พบว่า ความเชื่อจนเกดิ เป็นจารตี ประเพณอี นั เกย่ี วกับ สายม่งิ สายแนน ฝังอยู่ในวถิ ีชวี ิตของชนลุ่มนำ�้ โขงตอนกลางมาเป็นเวลายาวนาน สายมง่ิ สายแนน เปน็ มติ หิ นง่ึ ของโลกสนั นวิ าส การเลอื กคคู่ รอง ซง่ึ มพี ฒั นาการขน้ึ มาเป็นล�ำดับ โดยมิได้หยคุ อยู่กบั ที่ บางสงั คมอาจจะมีพัฒนาการล่วงเลยมติ ิแห่ง สายมิ่ง สายแนนมาอยู่ในมิติของการเลือกคู่ครองแบบอื่น

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 149 สำ� หรบั โกเมท บญุ ไชย (2542) ไดศ้ กึ ษาพฒั นาการชมุ ชนรมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ชี : ศกึ ษา กรณบี า้ นทา่ ไคร้ อ�ำเภอเสลภมู ิ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ พบวา่ ชาวบา้ นอพยพเขา้ มาอยเู่ มอื่ 150 ปมี าแลว้ เมอื่ ประชากรเพม่ิ ขนึ้ จงึ ขยายตวั ออกไปตามแนวรมิ ฝง่ั แมน่ ำ้� ชี พ.ศ.2457 มีการตัดถนน จึงได้ขยายออกมาอยู่ริมถนนท่าน�้ำ ข้ามฝั่งแม่น�้ำชี พ.ศ.2485 ทางการจดั รปู แบบการจดั ตงั้ หมบู่ า้ น และพ.ศ.2494 เรม่ิ ขยายตวั ออกมาอยทู่ างเหนอื ของถนน พัฒนาการด้านเศรษฐกจิ นอกจากนีใ้ นอดตี ท�ำนา และเร่ิมมกี ารค้าขาย เพ่มิ ขึ้น ด้านสงั คมนน้ั การพงึ่ พาอาศัยกนั เรม่ิ ลดลง ส่วนปัจจยั ทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงวิถีการด�ำเนนิ ชีวิตของชุมชน ได้แก่ การสร้างส่ิงสาธารณูปโภคของ หน่วยงานภายนอก การส่งเสริมอาชีพ ส่วน ลินดา เพียวริทซ์ (2542) ได้ศึกษา ความจรงิ ทางประวตั ศิ าสตรห์ รอื ภาพมายา ประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ ครอบครวั อสี าน : กรณีหมู่บ้านแห่งหน่ึงในจังหวัดชัยภูมิ งานช้ินน้ีศึกษาข้อโต้แย้งท่ีว่าครอบครัว ชาวนาไทยในอดีตเป็นหน่วยงานที่ไม่มีหลักในการจัดองค์กรที่เป็นตัวชี้น�ำทาง เศรษฐกิจ เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพเก่ียวกับประวัติของชาวบ้านแต่ละครอบครัว โดยเน้นท่ีกระบวนการผลิตข้าว พบว่า ครอบครัวของชาวนาอีสานในอดีตเป็น หน่วยงานการผลิตทางเศรษฐกิจท่ีเกิดข้ึน จากหลักการพ้ืนฐานขององค์กรชาวนา ในอดีตเป็นหน่วยพ้ืนฐานของการผลิต และการบรโิ ภคท่ีมีความร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือกนั โดยอาศัยความชำ� นาญของแรงงานขัน้ ตำ�่ ทถี่ กู แบ่งแยกการทำ� งานตาม พน้ื ฐานความสามารถในการผลติ รปู แบบการโอนทด่ี นิ ส่วนใหญ่อย่ใู นรปู ของมรดก ตกทอด จากพอ่ แมส่ ลู่ กู หรอื การโอนอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการโดยการแตง่ งานของลกู และ เป็นทางการเนอ่ื งจากการเสียชีวิตของพ่อแม่ การท่ีครอบครวั เป็นหน่วยเศรษฐกจิ ที่ เป็นอันหนงึ่ อนั เดยี วกันสงู ท�ำให้ความสมั พนั ธ์ทางสังคมมีผลตรงต่อครอบครวั นอกจากน้สี พสนั ต์ เพชรค�ำ (2540) ได้ศกึ ษาปากยาม : หมู่บ้านประมงใน ลมุ่ นำ�้ สงครามกบั การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คม พบวา่ หมบู่ า้ นปากยาม ตงั้ อยตู่ รงทแ่ี มน่ ำ้� ยามไหลมาบรรจบกบั แมน่ ำ�้ สงคราม จงึ ทำ� ใหส้ ภาพภมู ศิ าสตรแ์ ละ สิ่งแวดล้อมมอี ิทธิพลต่อวถิ ีชีวติ ชาวบ้าน เนื่องจากมปี ลาน�้ำจืดนานาชนดิ มปี ่าบุ่ง ป่าทาม ชาวบ้านมีอาชีพจับปลาเป็นอาชีพหลัก โดยมีเครื่องมือในการจับปลา