Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โสวัฒนธรรมอีสานในงานวิจัย

Description: โสวัฒนธรรมอีสานในงานวิจัย

Search

Read the Text Version

200 โสวฒั นธรรม กรรมชาวนาในภาคอสี าน พบวา่ เกษตรกรสว่ นใหญเ่ ปน็ เกษตรกรรายยอ่ ยการทำ� นา เปน็ อาชพี หลกั เนอ่ื งจากไมร่ ชู้ อ่ งทางในการประกอบอาชพี อน่ื การทำ� นาในปจั จบุ นั ต้องใช้ต้นทุนสงู ขายผลผลติ ได้ราคาไม่คุ้มการลงทุน จึงมีหนีส้ ินเพิ่มมากข้นึ สภาพ ครอบครัวต้องหาเช้ากินค�่ำ อดอยากไม่พอกิน ผลงานวิจัยของภาสกร ภูแต้มนิล (2540) เรอ่ื งผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีแผนใหม่ในการปลกู แตงโม : กรณบี ้าน ดอนยานาง จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ พบว่า การใช้เทคโนโลยแี ผนใหม่ส่งผลทางเศรษฐกิจ ในเชิงบวกคือท�ำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ด้านสังคมท�ำให้วัฒนธรรมการ ไหว้วานอาศัยกันเปล่ียนเป็นการว่าจ้าง ด้านสุขภาพอนามัยพบว่าหากชาวบ้าน ปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำของเจ้าหน้าท่ีในการใช้สารเคมีอย่างเคร่งครัดจะไม่ได้รับ อันตรายจากสารเคมีตกค้าง นันทิยา ชุตานุวัตรและณรงค์ ชุตานุวัตร (2547) วิจัยเรือ่ งเกษตรกรรมยั่งยืน กระบวนทศั น์ กระบวนการและตัวช้ีวัด : กรณศี ึกษา จงั หวดั ยโสธร พบวา่ แนวความคดิ ของชมุ ชนชาวนาจงั หวดั ยโสธร มกี ารปรบั เปลย่ี น กระบวนการผลติ การรวมกลมุ่ การพง่ึ พาอาศยั ซงึ่ กนั และกนั การพฒั นาทชี่ มุ ชนมี ส่วนร่วมจะน�ำไปสู่การพฒั นาเกษตรกรรมที่ย่งั ยืน งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปญั หาความยากจนของชมุ ชนในภาคตะวนั ออกเฉยี ง เหนือ มีจ�ำนวน 17 เร่ือง เช่นผลงานวิจัยของณฐั พร วงศ์อาจ (2543) ได้ท�ำการ วิจัยเรอ่ื งปัจจยั ทางครอบครวั ท่มี ีผลต่อการเร่ร่อน:ศกึ ษาเฉพาะกรณีสถานคุ้มครอง สวสั ดภิ าพเดก็ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พบวา่ สภาพโดยทว่ั ไปของเดก็ และเยาวชน ทอี่ อกเรร่ อ่ นทอี่ ยใู่ นสถานคมุ้ ครองเดก็ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สว่ นใหญม่ อี ายุ 14- 18 ปี ระดบั การศกึ ษา ป.1-ป.3 ส่วนใหญ่บดิ ามารดามีอาชพี รับจ้างทัว่ ไปมีรายได้ ไม่แน่นอน กิตติ วรกิจรัตน์ (2544) วิจัยการย้ายถิ่นของชาวชนบทภาคตะวันออก เฉยี งเหนอื เขา้ สเู่ ขตเทศบาลเมอื งนครปฐมหลงั ภาวะวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ พบวา่ มปี ญั หา มาจากปจั จยั ทางเศรษฐกจิ มฐี านะยากจนขาดทดี่ นิ ท�ำกนิ มหี นส้ี นิ นอกระบบ สว่ น ปัจจัยทางสังคมมีหลายสาเหตุ เช่น การติดหนก้ี ารพนนั การหย่าร้าง และค่านยิ ม ในการไปท�ำงานในเมืองโดยผ่านเครือข่ายทางสังคมเป็นสาเหตุของการย้ายถ่ิน ผู้ย้ายถิ่นโดยมากมีประสบการณ์ในการย้ายถิ่นก่อนหน้าท่ีจะย้ายเข้ามานครปฐม เมอื่ ผยู้ า้ ยถน่ิ เขา้ มาประกอบอาชพี ทแี่ ตกตา่ งจากอาชพี เดมิ ของตน เชน่ เกบ็ ของเกา่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 201 ขาย รบั จ้าง ถีบสามล้อ ด้านเศรษฐกจิ ก่อนหน้าภาวะวิกฤตเิ ศรษฐกิจผู้ย้ายถ่นิ ใน ระยะเวลาสน้ั ๆ โดยเกดิ จากความแห้งแล้งจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ จากผล งานวจิ ยั 17 เรอ่ื งนน้ั สามารถสรปุ ภาพโดยรวมได้ว่า สภาพเศรษฐกจิ ของครอบชาว อสี านทย่ี ากจนนนั้ มอี าชพี หลกั 2 อาชพี คอื อาชพี เกษตรกรรมและอาชพี รบั จา้ ง สว่ น สาเหตุทท่ี �ำให้ฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ทตี่ ่�ำนนั้ มีสาเหตุหลายประการ อาทิ เชน่ พนื้ ฐานครอบครวั มฐี านะยากจน การศกึ ษาตำ�่ ขาดการวางแผนชวี ติ ทด่ี ี มที ด่ี นิ ท�ำกินน้อยหรือไม่มีท่ีดินท�ำกิน จึงก่อให้เกิดภาวะหน้ีสินซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นหนี้สิน นอกระบบ จากปญั หาความยากจนดงั กลา่ วรฐั พยายามทจ่ี ะแกป้ ญั หาความยากจน ให้ลดลงจงึ มีการจดั ตั้งหน่วยงานต่างๆ ข้ึนมาเพ่ือให้ความช่วยเหลอื เช่นการจดั ต้ัง กองทนุ หมบู่ า้ นละลา้ น โครงการ SME การสง่ เสรมิ สนิ คา้ OTOP และอาชพี เสรมิ ตา่ งๆ อกี เป็นจ�ำนวนมากแต่ปัญหาความยากจนกย็ ังไม่ลดลงตามเป้าหมายของรัฐบาล การศึกษาวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับแรงงานภาคอีสานในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2535-2545) ที่ผ่านมาจะมีผลงานทเ่ี ก่ยี วข้องกบั แรงงานโดยรวม จำ� นวน 35 เรอื่ ง เชน่ ผลงานวจิ ยั ของบณั ฑติ ถน่ิ คำ� รพ (2538-2539) เรอ่ื งปญั หาสงั คมและสาธารณสขุ ของคนงานกอ่ สรา้ ง : การศกึ ษาเปรยี บเทยี บระหวา่ งขอนแกน่ และหนองคาย ผลงาน วิจัยของผ่องเพ็ญ เจียมสาธิต (2539) เร่ืองปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัว ของแรงงานไทยในสิงคโปร์ ผลงานวิจัยของประภัสสร สุธรรมวิจิตร (2541) เร่ือง การดูแลสุขภาพของผู้ใช้แรงงานก่อสร้าง : ศึกษาเฉพาะกรณีแรงงานก่อสร้างใน เขตเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น จากผลงานวจิ ยั เหล่านนั้ มกี าร กล่าวถึงประเด็นต่างๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับแรงงานพอสรปุ ได้ดังนคี้ ือ 1. สาเหตุ เปน็ การกลา่ วถงึ สาเหตทุ น่ี �ำไปส่กู ารเขา้ สอู่ าชพี ขายแรงงานว่ามี สาเหตหุ ลายประการเชน่ การขาดทด่ี นิ ท�ำกนิ มภี าระหนสี้ นิ ความยากจน ดนิ ท�ำกนิ ขาดความอุดมสมบูรณ์ ภาวะแปรปรวนของธรรมชาติ อาชีพด้านการเกษตรไม่พอ เลี้ยงครอบครัว มีปัญหาครอบครัว ค่าตอบแทนค่าแรงงานสูงกว่าภาคการเกษตร ถกู ชกั ชวน ลอ่ ลวง เลยี นแบบหรอื เอาอยา่ ง คนในชมุ ชนทปี่ ระสบผลสำ� เรจ็ ทมี่ ฐี านะ ความเป็นอยู่ดขี ้ึน

202 โสวัฒนธรรม 2. ลักษณะการไปท�ำงาน มีหลายลักษณะคือ ไปเช้า – เย็นกลับ ไปเฉพาะฤดูกาลท่ีว่างเว้นจากการท�ำนา ไปชั่วคราวและมีเกษตรกรเปลี่ยนอาชีพ ไปขายแรงงานเป็นการถาวรกม็ ีจ�ำนวนมากและมีแนวโน้มจ�ำนวนทจ่ี ะทวีขึ้นเรือ่ ยๆ 3. สถานที่ไปท�ำงาน มีท้ังในตัวจังหวัดที่ตนมีภูมิล�ำเนา ต่างจังหวัดท้ัง ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคอนื่ ๆ แต่ทน่ี ิยมไปขายแรงงานมากทสี่ ดุ ได้แก่ ทก่ี รงุ เทพฯ และเขตปรมิ ณฑล แตก่ ม็ จี ำ� นวนไมน่ อ้ ยทไี่ ปขายแรงงานในตา่ งประเทศ ทั้งในแบบท่ีไปโดยสมัครใจ ไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่หลายคนที่ไปขาย แรงงานในตา่ งแดนเพราะถกู ลอ่ ลวงโดยนายหนา้ จดั หางานหรอื ถกู คนทรี่ ้จู กั คนุ้ เคย หลอกลวงกม็ ีเป็นจ�ำนวนมาก 4. ประเภทงานทที่ ำ� ปรากฏวา่ มอี าชพี ทหี่ ลากหลายทงั้ ประเภทงานทต่ี อ้ ง ใช้ฝีมอื ได้ค่าตอบแทนสูงและแรงงานไร้ฝีมือที่ได้ค่าตอบแทนตำ่� ท้งั นข้ี ึน้ อยู่ที่ความ สามารถเฉพาะตวั ของแรงงานแต่ละคน อาชพี ต่างพอสรุปได้ดงั นคี้ อื งานก่อสร้าง ตัดเย็บเสื้อ-ผ้า ทอแห อวน ร้านอาหาร พนักงานบริการ เสริมสวย คนรับใช้ แมบ่ า้ น ขายอาหารพนื้ เมอื ง เรข่ ายสนิ คา้ พน้ื เมอื ง หรอื แมแ้ ตอ่ าชพี เสรมิ พเิ ศษตา่ งๆ ทีข่ ัดต่อหลกั ศีลธรรมกม็ เี ป็นจำ� นวนมาก 5. การเปล่ียนงาน เนื่องจากคนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากภาค การเกษตรเมอื่ เขา้ สแู่ รงงานแขนงอนื่ ทำ� ใหข้ าดทกั ษะไรฝ้ มี อื กม็ ผี ลกระทบตอ่ รายได้ แรงงานบางส่วนจึงตัดสินใจเปล่ียนงานที่ตนถนดั ท่ีสุดเพื่อให้มีรายได้ค่าตอบแทน ที่สูงกว่าการเกษตร แต่การเปล่ียนงานของคนงานบางคน ค่าตอบแทนหรือเงิน เดือนไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ท�ำให้คนงานตัดสินใจเปลี่ยนงาน หากแต่ยังมีสาเหตุอีก หลายประการ เช่น งานหนกั ถกู เอารัดเอาเปรยี บ นายจ้างจู้จข้ี ีบ้ ่น สวัสดกิ ารไม่ดี ส่ิงแวดล้อมไม่ดี ถูกบีบให้ออก ปลดออก เลิกจ้างเพราะหมดสัญญาจ้าง บริษัท ปิดกิจการ ฯลฯ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ขายแรงงานบางส่วนตัดสินใจ เปลยี่ นงาน บางสว่ นตดั สนิ ใจกลบั ภมู ลิ ำ� เนา ตอ่ ความรสู้ กึ ของคนงานทต่ี อ้ งเปลย่ี น งาน และบางรายตอ้ งเปลยี่ นสภาพกลายเปน็ คนตกงานในทสี่ ดุ ผลการวจิ ยั ปรากฏ ว่าแรงงานบางส่วนมีความรู้สึกว่าเสียใจเพียงเล็กน้อย บางคนบอกว่ามีความรู้สึก

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 203 เฉยๆ เพราะไม่ได้ขายแรงงานเป็นอาชีพหลัก หากแต่เข้ามาขายแรงงานเพียงเพื่อ เป็นอาชีพเสริม หรือเข้ามาหาประสบการณ์ เม่ือมีสภาพกลายเป็นคนตกงานก็ยัง มอี าชพี ภาคการเกษตรรองรับจงึ ไม่รู้สกึ เสยี ใจมากมายแต่อย่างใด การวจิ ยั การเปลยี่ นอาชพี จากภาคการเกษตรไปสภู่ าคแรงงาน มผี ลกระทบ โดยรวม คอื ผลดี ได้รับประสบการณ์มากขึ้น มคี วามรู้มีทกั ษะสงู ขึน้ และทส่ี ำ� คัญ คือมีรายได้เพ่ิมข้ึนส่วนผลเสีย ท�ำให้ขาดแรงงานในท้องถ่ิน สมองไหล ค่าใช้จ่าย ฟมุ่ เฟอื ย เกดิ ปญั หาสงั คม/ปญั หาครอบครวั สญู เสยี เอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมของ ท้องถิ่น 6. ความพึงพอใจของนายจ้าง ผลการวิจัยปรากฏว่า นายจ้างมีความ พึงพอใจในแรงงานหญิงมากกว่าแรงงานชายโดยเฉพาะในด้านความขยัน ตรงต่อ เวลา การทำ� งานตามคำ� สง่ั ของนายจา้ งไดป้ ราณตี กวา่ มมี นษุ ยสมั พนั ธต์ อ่ สว่ นรวม และนายจ้างดีกว่า ตลอดจนไม่เปล่ยี นแรงงานบ่อย 7. ความตระหนกั ของแรงงานต่อความปลอดภัย ผลการวิจัยพบว่า คนงานส่วนใหญ่มีความตระหนักต่อสุขภาพและความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์ตำ่� ไม่มีการเตรียมป้องกันภัยอันตรายที่อาจเกิดจากการทำ� งานไว้ล่วงหน้า และเมื่อมี อุบัตเิ หตถุ ้าไม่รนุ แรงจนเกินไปกจ็ ะรักษาตัวเองตามมีตามเกดิ ไม่ไปพบหมอหรือไป โรงพยาบาล 4.3 การพัฒนาชุมชน ในรอบทศวรรษท่ีผ่านมา (2535-2545) มีผลงานเก่ียวกับการพัฒนา ชุมชนจ�ำนวน 41 เรื่อง เช่นผลงานของไพบูลย์ ด่านวิรทัย (2535) เร่ืองการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาตกิ บั ความขดั แยง้ ทางสงั คม : พลวตั ของการเปน็ นคิ กบั ทางเลอื ก ทางพฒั นา ผลงานวจิ ยั ของสถาบนั วจิ ยั สงั คม จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั (2535) การ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติกับความขัดแย้งทางสังคม : พลวัตของการเป็นนคิ กับทาง เลอื กทางพฒั นา สุวิทย์ ธีรศาศวตั และคณะ (2538) เรอื่ งป่าชุมชน (ป่าวฒั นธรรม)

204 โสวัฒนธรรม อสี าน วรี ะ ภาคอุทยั และคนอนื่ ๆ (2538) วิจัยเรอื่ งแผนการจัดการป่าไม้จากเบอื้ ง ลา่ ง อรทยั ศรที องธรรม (2541) เรอ่ื งวฒั นธรรมความเชอื่ หมบู่ า้ นอสี านในการอนรุ กั ษ์ ปา่ ชมุ ชน และงานวจิ ยั ของชน่ื ศรสี วสั ด์ิ (2545) เรอ่ื งการจดั การปา่ ไมโ้ ดยใชม้ ติ ทิ าง วฒั นธรรม: กรณศี กึ ษาชมุ ชนในจงั หวดั อบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ ซงึ่ สามารถแบง่ หวั ขอ้ วิจยั ออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เป็น 4 กลุ่มดังนค้ี ือ 1. การพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง จ�ำนวน 8 เร่ือง ที่กล่าวถึงกระบวนการ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือเช่น ผลงานวิจัยของ ปฤษฎา บุญเจือ (2536) เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน : ศกึ ษาเฉพาะกรณโี ครงการประสานความรว่ มมอื พฒั นาทงุ่ กลุ ารอ้ งไหจ้ งั หวดั รอ้ ยเอด็ พบว่าประชาชนในโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนใน ระดับปานกลาง เพศ รายได้ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน การ เป็นสมาชิก กลุ่มกิจกรรมการพัฒนา ความเป็นผู้นำ� และการคาดหวังผลตอบแทน มีความสัมพันธ์กบั การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน งานของวราคนา วงศ์มหาชัย (2536) เร่อื งบทบาทผู้น�ำในการพัฒนาองค์กร ประชาชน : ศกึ ษาเฉพาะกรณกี ารพฒั นาองคก์ รประชาชนระหวา่ งชมุ ชนของมลู นธิ ิ พฒั นาอสี าน พบวา่ บทบาทของผนู้ �ำในการพฒั นากลมุ่ มขี นั้ การกอ่ ตวั ของกลมุ่ เปน็ บทบาทของการประชุมให้ข้อมูลข่าวสาร ข้ันการด�ำเนนิ การของกลุ่มเป็นบทบาทผู้ บริหารวางแบบแผนด�ำเนนิ การจัดสรรทรัพยากรบุคคลให้เหมาะสม ขั้นการเจริญ เตบิ โตของกลุ่มเป็นบทบาทผู้บริหารเป็นผู้รบั ปรบั ปรุงระเบียบ กฎ และการด�ำเนนิ การของกลุ่มให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ปัญหาและอปุ สรรคผู้นำ� มปี ัญหาในการ แสวงบทบาทในเรื่องการวางแผน งานของกฤตกร กลอ่ มจติ (2537) เรอ่ื งการศกึ ษาผลกระทบการจดั การศกึ ษา ขององคก์ รตา่ งๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การพฒั นาหมบู่ า้ นในชนบทอสี าน พบวา่ ผลกระทบของ การจดั การศกึ ษาขององคก์ รตา่ งๆ ทม่ี ีผลตอ่ การพฒั นาชนบท หม่บู า้ นทมี่ ีกจิ กรรม ทางการศกึ ษามากจะมกี ารพฒั นาทงั้ บคุ คลและชมุ ชนมาก และหมบู่ า้ นทมี่ กี จิ กรรม ทางการศกึ ษาน้อยจะมีการพฒั นาบคุ คลและชุมชนน้อย

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 205 ชุมชนมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้น และยึดถือความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับ การใช้ทรัพยากรป่าไม้และยึดถือประเพณดี ั้งเดิม สตรีในชุมชนนี้มีสภาพเป็นแม่ เมยี และลูกสาวใน 3 บทบาทคอื เป็นแม่ศรีเรือน หารายได้เสรมิ ให้ครอบครัว เป็น แรงงานของครอบครัวในการท�ำการเกษตร มโนทัศน์ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติมีความชัดเจน และเข้มแข็งมากเนื่องจากมีความใกล้ชิดกับ สมาชกิ ในชมุ ชน สมพันธ์ เตชะอธิก (2540) วิจัยเรื่อง การพัฒนาความเข้มแข็งขององค์กร ชาวบ้าน งานช้ินน้ี ศกึ ษาเก่ียวกับองค์กรชาวบ้านในชนบททส่ี ่วนใหญ่มีอาชพี ทาง เกษตรกรรม เพื่อผลักดันให้หมู่บ้านมีความเข้มแข็งพร้อมท่ีจะพัฒนาโดยศึกษา จากองค์กรชาวบ้าน 9 กลุ่มคอื กลุ่มเซยี งน้อยเพอ่ื การพัฒนา องค์กรชาวบ้านเพื่อ การพฒั นาภาคอีสาน กลุ่มอโี ต้น้อย กลุ่มเกษตรกรโนนทราย มูลนธิ ิเกษตรกรไทย สหกรณ์การเกษตรท่านางแมว สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน และงานของ พระมหาอนนั ต์ ดอนนอก (2540) วจิ ยั เรอ่ื งบทบาทของพระสงฆใ์ นการพฒั นาชมุ ชน ตามโครงการอบรมประชาชนประจ�ำตำ� บล (อ.ป.ต.) ในจงั หวดั นครราชสีมา พบว่า ประชากรส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมีประสบการณ์ท�ำงาน พฒั นาชมุ ชน ซง่ึ เปน็ การพฒั นาชมุ ชนทงั้ ดา้ นวตั ถคุ อื การพฒั นาดา้ นสาธารณปู โภค พัฒนาด้านจิตใจมีการรณรงค์ต่อต้านอบายมุขและเสริมสร้างความสามัคคีให้แก่ ประชาชน พระสงฆ์เข้ามามีบทบาทในด้านการเป็นผู้สนับสนนุ ให้ค�ำปรึกษาและ ประสานงานกบั หน่วยงานของราชการและองค์กรเอกชน เนื่องจากพระสงฆ์ศกึ ษา หลักพุทธธรรมและคุ้นเคยกับประชาชนในชุมชน จากผลงานดังกล่าวสรุปได้ว่า การสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็งนน้ั ผู้น�ำชุมชนและกรรมการจะต้องมีการจัดท�ำ แผนแม่บทเพ่ือก�ำหนดทิศทางในการพัฒนาชุมชนให้เป็นไปในเชิงรุกก่อน เพราะ กระบวนการจดั ทำ� แผนแมบ่ ทชมุ ชนนนั้ เปน็ เครอ่ื งมอื ในการคน้ หาความตอ้ งการของ ชมุ ชนในการพฒั นาศกั ยภาพของตน โดยปจั จยั ทสี่ ง่ เสรมิ ความเขม้ แขง็ ใหแ้ กช่ มุ ชน นน้ั พบว่ากลุ่มผู้น�ำชุมชนเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญทสี่ ดุ

206 โสวัฒนธรรม 2. พลังชุมชน มีผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับพลังชุมชนจ�ำนวน 14 เร่ือง เช่น ผลงานวิจัยของวิเวศ ศรีพุทธา (2541) การพัฒนาคุณภาพและบทบาทผู้นำ� สตรีระดบั หมู่บ้านเพือ่ การพัฒนาชมุ ชน จงั หวัดหนองคาย พบว่าลักษณะสำ� คัญท่ี แสดงถึงการเป็นผู้น�ำสตรที ่ีมีคณุ ภาพ ได้แก่การเป็นผู้มีความจงรกั ภกั ดตี ่อสถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ม่ัวสุมอบายมุข ซ่ือสัตย์สุจริต จริงจังในการ ท�ำงาน รับผิดชอบต่อหน้าท่ีและเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี ผลงานของพระมหาชูศักดิ์ น้อยสันเทียะ (2545) บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชนบทในภาคตะวันออก เฉยี งเหนือ พบว่าพระสงฆ์มีบทบาทตามอุดมคติทางศาสนา มีการเผยแผ่ การ อบรมสั่งสอนศีลธรรม เป็นผู้น�ำด้านพิธีกรรมทางศาสนาส่วนบทบาทตามความ รู้สกึ ได้แก่ ด้านการพัฒนาจิตใจ เศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมแก่ ชุมชนอยู่ในระดับมาก และผลงานของโสพิศ หมัดป้องตัว (2546) ปัจจัยส่งเสริม ความเข้มแข็งให้กลุ่มผู้รับงานไปท�ำท่ีบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่า สมาชิกกลุ่ม ผู้น�ำกลุ่ม และเจ้าหน้าที่ท่ีเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้รับงานไปท�ำที่บ้านมี ความคิดเห็นต่อปัจจัยท่ีส่งเสริมความเข้มแข็งแตกต่างกันไปบ้าง สมาชิกกลุ่มเห็น ว่าปัจจัยท่ีส�ำคัญที่สุดคือผู้น�ำกลุ่มเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญที่สุดในการส่งเสริมความ เข้มแข็งให้กลุ่มทุกข้ันตอนการด�ำเนินงานของกลุ่ม ท้ังน้ีเนื่องจากกลุ่มผู้รับงาน ไปท�ำท่ีบ้านเป็นก�ำลังแรงงานนอกระบบ การเอาใจใส่กันเองระหว่างผู้น�ำกับ สมาชิกกลุ่มมีความจ�ำเป็นและสมาชิกต้องการ นอกเหนือค่าตอบแทนท่ีกลุ่ม ได้รับคือคุณค่าทางสังคม ท่ีผู้รับงานไปท�ำที่บ้านมีโอกาสดูแลครอบครัวไม่ต้อง ย้ายถนิ่ ฐานไปหางาน มีทักษะได้รับความรู้ใหม่ๆ โดยผลการวจิ ัยพบว่า นอกเหนือ จากกลุ่มผู้น�ำชุมชนที่ถือว่าเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ชุมชนแล้ว กลุ่มพระสงฆ์และกลุ่มสตรี ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการ ระดมพลงั มวลชนใหอ้ อกมามสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาชมุ ชนใหม้ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ มคี ณุ ภาพชีวิตและการบริการด้านสวัสดิการต่างๆ ในชุมชนได้เป็นอย่างดยี ิง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ถือได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการให้ ค�ำปรึกษาและประสานงานกับประชาชนหรือหน่วยงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ท้ังน้ี

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 207 เน่ืองจากสถาบันทางศาสนาเป็นสัญลักษณ์แห่งความดี จึงได้รับความเคารพ ความศรัทธาจากประชาชนอันเป็นบ่อเกิดแห่งพลังในการพัฒนาชุมชนท้ังในด้าน การจดั การป่าไม้ เป็นผู้ให้การศึกษา เป็นผู้น�ำในการพัฒนาชุมชน เป็นผู้น�ำในการ พฒั นาจติ ใจ พฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรมและสงิ่ แวดลอ้ ม โดยบรู ณาการเขา้ กบั ความเช่อื ทางศาสนาได้อย่างลงตัว ส่วนบทบาทของสตรนี น้ั พบว่าสตรีเป็นผู้มี บทบาทส�ำคญั ยง่ิ ในการรว่ มกจิ กรรมในการพฒั นาของชมุ ชน โดยเฉพาะสตรที ก่ี ้าว ขนึ้ มาเปน็ ผนู้ ำ� ในทอ้ งถน่ิ กลายเปน็ หวั หอกสำ� คญั ในการระดมพลงั ของชมุ ชนมารว่ ม กนั พฒั นาทอ้ งถนิ่ อยา่ งทมุ่ เทและเสยี สละ สว่ นสาเหตทุ ที่ ำ� ใหผ้ นู้ ำ� ทเ่ี ปน็ สตรที ำ� งาน อย่างทุ่มเทนน้ั ผลการวจิ ัยพบว่า ผู้นำ� สตรเี หล่านนั้ มรี ากฐานมาจากครอบครัวทม่ี ี ชาตติ ระกลู ดี มที รพั ยส์ นิ หรอื มบี ารมขี องสามสี งู และเปน็ ผอู้ ทุ ศิ ตนท�ำประโยชนต์ อ่ ส่วนรวมจนได้รบั การยอมรบั จากชุมชน จากปัจจัยดงั กล่าวได้ส่งผลให้ตรกี ลายมา เป็นพลังสำ� คัญในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง 3. การมีส่วนร่วม มีรายงานวิจัยจ�ำนวน 15 เร่ือง กล่าวถึงการเข้ามามี ส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาชุมชนโดยมีรูปแบบท่ี หลากหลาย อาทิเช่น ผลงานของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น (2540) เรื่ององค์กรชุมชน : กลไกเพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมงานช้ินนี้ศึกษา เก่ียวกับองค์กรชุมชนโดยรวบรวมบทความทางวิชาการเพื่อชี้ให้เห็นถึงทฤษฎีและ การปฏิบัติที่ป็นอยู่ในชุมชน พร้อมท้ังนำ� เสนอกลยุทธ์ในการพัฒนาองค์กรชุมชน ทงั้ ทางด้านการจัดการและพฒั นากจิ กรรม โครงสร้างองค์กร บคุ ลากร การพฒั นา เครอื ขา่ ยและแนวรว่ มทจ่ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การก�ำหนดนโยบายและผปู้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ความเข้าใจในการดำ� เนนิ งาน จรญั ญา วงศ์พรหม (2541) ศกึ ษาผู้หญงิ อสี าน : ทางเลอื ก ศกั ยภาพและ แนวทางการพฒั นา : รวมบทความและบทวเิ คราะหป์ ระสบการณแ์ ละความรเู้ กย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ในงานชนิ้ นี้ ศกึ ษาเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ในสงั คมอสี านทมี่ กั ประสบชะตากรรม การ ถูกเอาเปรียบทางเพศในรูปแบบต่างๆ เสมอ แต่ก็มีพลังความแกร่งที่แอบแฝงอยู่ และเผยแพร่ให้เห็นจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมผู้หญิงอีสานยังมีบทบาทใน

208 โสวัฒนธรรม กระบวนการเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ และสังคมของภมู ภิ าค และเศรษฐกิจของ ไทยทั้งในบทบาทเดิมในภาคเกษตรกรรมไปถึงบทบาทใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรม และควรสนับสนนุ สร้างจิตส�ำนกึ ความภาคภูมิใจของผู้หญิงอีสาน เพ่ือพัฒนา ศักยภาพที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถ่ินและมูลนธิ ิพัฒนาอีสาน (2541) ได้จัดการ สมั มนาเร่ือง “ชุมชนกบั ระบบเงนิ ตราเพ่ือการพึ่งพาตนเอง” ชุมชนภาคอีสาน งาน ช้ินนี้ศึกษาเกี่ยวกับทางเลือกทางเศรษฐกิจใหม่ของชุมชน โดยการคิดค้นระบบ เงินตราให้กับชุมชน โดยอาศัยการแลกเปล่ียนประสบการณ์การพ่ึงตนเองของ ชุมชนจากต่างประเทศ คือ ระบบ ETS (Local Employment and Trading System) ของประเทศแคนาดาโดยอาศัยหลักท่ีให้ชุมชนเข้มแข็งสามารถอยู่ด้วยตนเอง แต่ ต้องมีการจ่ายภาษใี ห้รัฐ ร่วมกันดูแลชมุ ชนและไม่เอาเปรียบกันและต้องดูแลกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสด้วยเช่นกัน 4. ความขดั แยง้ มผี ลงานวจิ ยั ทศ่ี กึ ษาถงึ ความขดั แยง้ มจี ำ� นวน 4 เรอื่ ง ซง่ึ ขอ้ ขดั แยง้ สว่ นใหญเ่ ปน็ ความขดั แยง้ ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะความ ขัดแย้งทีเ่ กีย่ วกับท่ดี นิ สาธารณประโยชน์ คู่กรณีมักเป็นชมุ ชนกบั หน่วยงานของรฐั ที่เหลือเป็นความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อ วิถีชีวติ และส่ิงแวดล้อมในชุมชน 4.4 สง่ิ แวดล้อมและสขุ ภาพ การศึกษาวิจยั เกยี่ วกับส่งิ แวดล้อมภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ในรอบ 10 ปี (2535-2545) ท่ีผ่านมามกี ารศึกษาวจิ ัยจากองค์กร สถาบันการศึกษาและนกั วิจัย มี เปน็ จำ� นวนมากถงึ 71 เรอ่ื ง ผลงานวจิ ยั ของศาสตรี เสาวคนธ์ (2536) เรอ่ื งการพงึ่ พงิ ป่าและผลิตภัณฑ์จากป่า งานวิจัยของไพศาล ช่วงฉำ่� (2536) ระบบนิเวศป่าไม้ กับภัยแล้งอสี าน งานวจิ ยั ของดวงฤดี แสงไกร (2539) การจัดการทรัพยากรป่าไม้ โดยสถาบันศาสนา : กรณีศึกษาวัดอุดมคงคาคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น งานวิจัย ของสเุ ทพ สกั ทอง (2542) การจดั การทรพั ยากรปา่ ไม้โดยวดั : กรณศี กึ ษาวดั ถำ้� ผาปู่ จงั หวดั เลยและพระมหาจำ� เนยี ร ผะคงั ควิ (2543) เรอ่ื งการอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชนแนวพทุ ธ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 209 : กรณศี กึ ษาวดั ปา่ บา้ นชาด จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ โดยสามารถจดั หมวดหมขู่ องการวจิ ยั เก่ยี วกบั ส่ิงแวดล้อมได้ 3 กลุ่มใหญ่คอื 1. ทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบด้วยทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรน้�ำ กรณกี ารศกึ ษาวจิ ยั เกยี่ วกบั ปา่ ไมน้ น้ั สว่ นใหญจ่ ะใหค้ วามสำ� คญั เกย่ี วกบั การจดั การ ปา่ ชมุ ชน ซง่ึ จะกลา่ วถงึ พฒั นาการของปา่ ชมุ ชนวา่ มพี ฒั นาการส�ำคญั 2 ระยะ คอื ยคุ ทส่ี งั คมเปน็ บา้ นปา่ สภาพปา่ ไมม้ คี วามอดุ มสมบรู ณถ์ อื ไดว้ า่ ปา่ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ตอ่ วถิ ชี าวบา้ นอยา่ งแทจ้ รงิ ชาวบา้ นสามารถเขา้ ไปเกบ็ เกย่ี วผลประโยชนจ์ ากปา่ ได้ อย่างเตม็ ท่ี มีอสิ ระ ระบบความเชอื่ เรอ่ื งพระภมู ิเจ้าทผ่ี ปี ู่ตาจะช่วยป้องกนั ป่าไม้ไม่ ให้ถูกทำ� ลาย ด้วยเกรงว่าถ้าตัดไม้จากป่าจะถกู ปู่ตาลงโทษต้องมอี นั เป็นไป ป่าไม้ ในชุมชนจึงไม่ถูกท�ำลาย ในยุคต่อมาเรียกว่ายุคบุกเบิกป่า ซ่ึงมีผลมาจากการใช้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการพยายามท่ีจะพัฒนาให้ประเทศมี ความเจรญิ กา้ วหนา้ พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนใหด้ ขี น้ึ รฐั มนี โยบายสง่ เสรมิ ให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจในเชิงพาณชิ ย์ จากผลพวงดังกล่าวท�ำให้ประชาชน หนั มาแผ้วถางป่าเพยี งเพอ่ื ต้องการพืน้ ทใ่ี นการเพาะปลกู จึงทำ� ให้ป่าไม้ถูกท�ำลาย ลงอย่างรวดเร็ว เม่ือป่าไม้ถูกท�ำลายอย่างรวดเร็วก็ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและ สง่ิ แวดลอ้ มตา่ งๆ อยา่ งมากมาย เชน่ ฝนไมต่ กถกู ตอ้ งตามฤดกู าล อณุ หภมู โิ ลกสงู ข้นึ วถิ ชี ีวติ ของชมุ ชนเปล่ยี นแปลงไป ฯลฯ ดงั นน้ั รฐั จงึ ไดเ้ ขา้ มาจดั การปา่ ไม้โดยตรง มกี ารตรากฎหมายมาบงั คบั ใช้ มี เจ้าหน้าที่ มหี น่วยงานเข้ามารบั ผิดชอบมากขึ้น แต่กไ็ ม่สามารถแก้ปัญหาป่าไม้ได้ ทงั้ หมด ฉะนน้ั ชมุ ชนจงึ ตอ้ งเขา้ ไปมบี ทบาทในการจดั การปา่ ไมใ้ นลกั ษณะปา่ ชมุ ชน ซึ่งเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของพระสงฆ์ คณะกรรมการหมู่บ้านและชาวบ้าน ร่วมกันก�ำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ในการใช้ประโยชน์จากป่าและร่วมกันสร้าง จิตส�ำนึกให้ชุมชนเห็นความส�ำคัญของป่า โดยน�ำเอากระบวนทางสังคมและ วัฒนธรรมประเพณีมาเป็นเคร่ืองมือในการอนุรักษ์ป่า อย่างเช่นกิจกรรมการบวช ต้นไม้ เป็นต้น

210 โสวฒั นธรรม จากผลงานการวิจัยเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ภาคอีสานผู้ท่ีมีบทบาท ส�ำคัญหรือเป็นผู้น�ำในการอนุรักษ์ป่า ปรากฎว่าพระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญ ในการอนุรักษ์โดยได้รับความร่วมมือจากชุมชนเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะชาวอีสาน มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีความเชื่อในเรื่องบาปบุญและศรัทธาต่อ พระสงฆ์ จึงให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ไว้เป็นมรดกให้แก่ ลกู หลานได้เป็นอย่างดี สว่ นกรณขี องทรพั ยากรนำ�้ นนั้ มผี ลงานวจิ ยั 15 เรอ่ื ง ทศี่ กึ ษาถงึ สถานการณ์ และแนวโน้มของแหล่งน้�ำในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือซ่ึงจะพบปัญหาส�ำคัญคือ แหล่งนำ้� ตื้นเขิน มีมลภาวะทางน�้ำ การแพร่ขยายของวัชพชื ความขัดแย้งระหว่าง หน่วยงานของรัฐกบั ประชาชนในการเข้าไปจดั การแหล่งน้�ำ แล้วกระทบต่อวิถีชวี ิต ของชาวบา้ น ดงั ตวั อยา่ งเหตกุ ารณท์ เี่ ขอ่ื นปากมลู จงั หวดั อบุ ลราชธานี เขอ่ื นราศไี ศล จงั หวดั ศรสี ะเกษ เป็นต้น 2. ชุมชนแออัดในสังคมเมือง ซึ่งมีผลงานวิจัย จ�ำนวน 14 เรื่อง ท่ี สำ� คญั ได้แก่ ผลงานวจิ ยั ของชพู กั ตร์ สุทธิสา (2541) เรื่องสภาพชมุ ชนแออัดเมือง มหาสารคาม งานวจิ ยั ของเกรกิ ไกร แกว้ ลว้ น (2536) การศกึ ษาชมุ ชนแออดั ในเมอื ง หลักภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ : กรณศี ึกษาเมืองอดุ รธานี ผลงานวจิ ยั ของพิธนั ดร นติ ยสทุ ธ์ิ (2547) เรือ่ งสทิ ธิพลเมืองกบั ส่ิงแวดล้อมธรรมชาตภิ ายใต้ภาวการณ์ขยะ มลู ฝอยของเทศบาลนครขอนแกน่ ทก่ี ลา่ วถงึ สาเหตแุ หง่ ปญั หาเกดิ จากชาวชนบทท่ี มฐี านะยากจน ละทงิ้ อาชพี ภาคการเกษตรทไ่ี มพ่ อเลยี้ งครอบครวั อพยพเขา้ มาขาย แรงงานในเมอื งใหญ่ แตด่ ว้ ยรายไดจ้ ากการขายแรงงานอยใู่ นเกณฑค์ อ่ นขา้ งต�่ำ จงึ ทำ� ใหก้ ารจดั การเรอ่ื งทพ่ี กั อาศยั มคี ณุ ภาพตำ่� ลงเชน่ กนั มกี ารปลกู บา้ นเรอื นอยอู่ ยา่ ง แออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ การกระจายตวั ของชมุ ชนไม่เป็นระเบียบ การบรกิ ารด้าน สาธารณะไม่ทวั่ ถงึ บางแห่งไม่มีน�้ำประปา ไม่มไี ฟฟ้าใช้ ถนนหนทางเป็นหลมุ เป็น บ่อ นำ�้ ทว่ มขงั ไมม่ ที างระบายนำ้� ทำ� ใหน้ ำ้� เนา่ ขยะเนา่ เหมน็ เนอื่ งจากระบบการจดั เกบ็ ไมด่ ี ซงึ่ ปญั หาเหลา่ นท้ี วคี วามรนุ แรงเพมิ่ มากขน้ึ และขยายไปยงั เมอื งใหญห่ ลาย แห่งในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 211 3. การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ มกี ารศกึ ษาวจิ ยั จำ� นวน 5 เรื่อง โดย การศึกษาวิจยั นนั้ จะให้ความส�ำคญั ต่อสตรีในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ โดย งานวิจัยจะน�ำเสนอถึงบทบาทของสตรีกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม พบวา่ การเขา้ รว่ มในขบวนการทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ มมี มุ มองตอ่ รฐั และสงั คมในเชงิ วพิ ากษ์ มากข้ึน และสตรีในชนบทมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิง แวดล้อมท้งั ในระดบั ครอบครัวและชุมชนมากขนึ้ ในปัจจุบนั ด้านสขุ ภาพมผี ลงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั สขุ ภาพของประชาชนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือในช่วง 10 ปี (2535-2545) มจี �ำนวนมากถึง 52 เร่ือง โดยแบ่งกลุ่ม ของงานวจิ ยั ออกเป็น 3 กลุ่ม ดงั นค้ี ือ 1. กลมุ่ อาหาร มงี านวิจัยเก่ยี วกับอาหารอสี านจำ� นวน 22 เรอ่ื ง ท่ีสำ� คญั ได้แก่ผลงานวิจัยของพิษณุ อุตมะเวทิน (2538) วิจัยเรื่องพฤตกรรมบรโิ ภคอาหาร กับโรคท่ีพบบ่อยในชาวชนบทอีสาน พบว่าสาเหตุหลักของโรคมักเกี่ยวข้องกับ อาหารการกนิ ไม่ว่าจะเป็นโรคอุจจาระร่วง บิด อาหารเป็นพษิ โรคขาดสารอาหาร และโรคพยาธลิ ว้ นมสี าเหตมุ าจากพฤตกิ รรมในการบรโิ ภคอาหารทงั้ สนิ้ โดยเฉพาะ ชาวชนบทและผู้ท่ีอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดในเขตเมือง และในปีพ.ศ.2542 พิษณุ อตุ มะเวทนิ ได้ท�ำการวจิ ยั เรอ่ื งพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของชาวชนบทอสี านอกี ครง้ั หนงึ่ งานชนิ้ นไ้ี ดศ้ กึ ษาพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของชาวชนบทอสี านโดยแบง่ ออกเป็น 5 ประเภท คอื ข้อห้าม ความเช่ือ ความนิยม นิสัยและการบรโิ ภคอาหาร ซงึ่ เปน็ พฤตกิ รรมทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ เฉพาะตวั บคุ คลหรอื ไดร้ บั การถา่ ยทอดทางวฒั นธรรม งานวิจัยของอุดม บัวศรี (2544) เร่ืองหนง่ึ ทศวรรษกับการพัฒนางานควบคุมโรค พยาธิใบไม้ในตับ พบว่า ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คนอีสานมีพฤติกรรมการ บรโิ ภคปลาดบิ ประเภทกอ้ ยปลาดบิ ซงึ่ เปน็ สาเหตหุ ลกั ของการเกดิ โรคพยาธใิ บไมใ้ น ตับลดลง เหลือเพียงบางพ้ืนที่เท่านนั้ ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เก่ียวกับสาเหตุ และความรุนแรงของโรคในระดับดีมากคิดเป็นร้อยละ 84.3 นอกจากน้ียังมี ผลงานวจิ ยั อนื่ ๆ ทไี่ ดก้ ลา่ วถงึ ความเปน็ มา วตั ถดุ บิ กระบวนการทำ� อาหาร ตลอดจน สรรพคุณของอาหารอีสานท่ีหลากหลาย ซ่ึงอาหารอีสานส่วนใหญ่จะมีรสจัด

212 โสวฒั นธรรม นอกจากนงี้ านวจิ ยั บางเรอื่ งไดก้ ลา่ วถงึ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของชาวอสี านวา่ ในอดตี มพี ฤตกิ รรมในการบรโิ ภคอาหารแบบสกุ ๆ ดบิ ๆ ประเภทลาบ ก้อยและปลา ดิบ จึงเป็นสาเหตใุ ห้เกดิ โรคพยาธิต่างๆ แต่ในปัจจบุ ันพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร แบบสกุ ๆ ดบิ ๆ นน้ั เรมิ่ ลดลง สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหพ้ ฤตกิ รรมการบรโิ ภคทไ่ี มถ่ กู สขุ ลกั ษณะ ลดลงนนั้ สืบเน่ืองมาจากการท่ีชาวอสี านได้รบั การศึกษาสงู ข้ึน การประชาสมั พนั ธ์ ดา้ นสาธารณสขุ ของรฐั เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเขา้ ถงึ ทกุ ชมุ ชนทกุ หมบู่ า้ นนนั่ เอง สำ� หรบั โรคทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารทไี่ มเ่ หมาะสมทพี่ บเหน็ บอ่ ยๆ ในหมคู่ นอสี านคอื โรคอจุ จาระรว่ ง โรคบดิ อาหารเปน็ พษิ โรคพยาธติ า่ งและ โรคขาดสารอาหาร เป็นต้น 2. กลมุ่ การปอ้ งกนั มจี ำ� นวนผลงานวจิ ยั 13 เรอื่ ง ซงึ่ กลา่ วถงึ การปอ้ งกนั ตน ให้พ้นจากโรคภัยต่างๆ ที่เกิดข้ึนและอยู่ในความสนใจของประชาชนในขณะนนั้ เช่นโรคไข้เลือดออก โรคฉหี่ นู เป็นต้น โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นหน่วยงาน หลักในการรณรงค์ให้ความรู้ ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี ทำ� ให้ประชาชนรู้เท่าทันโรค ท่ีเกิดขึ้นและรู้จักวิธีการป้องกันตนให้ปลอดภัยจากโรคร้ายต่างๆ ได้ดีข้ึน ดังเช่น ผลงานวิจัยของรุ่งทิพย์ ชาญชัยศิริกุล (2546) เร่ืองสตรีแม่บ้านในวัฒนธรรมเขมร กบั บทบาทการดูแลรักษาสุขภาพ : กรณีศกึ ษาบ้านตลงุ เก่าจังหวดั บุรีรัมย์ พบว่า บทบาทของผหู้ ญงิ ทเี่ ปน็ แมบ่ า้ นในชมุ ชนถกู กำ� หนดโดยปจั จยั ทางสรรี วทิ ยา ปจั จยั ทางสงั คมวฒั นธรรม ทมี่ กี ารผสมผสานกนั อยา่ งลกึ ซงึ้ เปน็ ผมู้ บี ทบาทสำ� คญั ในการ ดูแลสุขภาพทั้งด้านการส่งเสริมและการป้องกันสุขภาพให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรงอยู่เสมอ วงศา เลาหศริ ิและคณะ (2548) วจิ ยั เรือ่ งบทบาทองค์การบรหิ าร สว่ นตำ� บลในงานสาธารณสขุ ทอ้ งถน่ิ : กรณศี กึ ษาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พบ ว่าองค์การบริหารส่วนต�ำบลมีบทบาทในด้านการควบคุมและป้องกันโรคท่ีส�ำคัญ เช่น โรคไข้เลอื ดออก โรคฉหี่ นู การจดั การสขุ าภิบาลสง่ิ แวดล้อม 3. กลุ่มการดูแลรักษา ผลงานวิจัยท่ีจัดอยู่ในกลุ่มการดูแลรักษาน้นั มี จำ� นวน 17 เร่อื ง เป็นท่ีน่าสงั เกตว่างานวจิ ัยส่วนใหญ่จะเน้นในเรอ่ื งการดแู ลรักษา ผู้ป่วยท่ีตดิ เชือ้ HIV หรือเอดส์ โดยเสนอแนะวธิ ีในการดแู ลผู้ป่วยโดยวิธีการให้รู้จัก

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 213 ท�ำใจปล่อยวางและบ�ำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรง พร้อมท้ังเสนอแนวทางรักษา เยยี วยาว่า ผู้ป่วยควรมที างเลอื กในการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพร หรือผสมผสานกนั ระหวา่ งยาแผนปจั จบุ นั กบั ยาสมนุ ไพรควบคไู่ ปกบั การทำ� สมาธิ และขอใหค้ รอบครวั ชมุ ชนได้ให้กำ� ลังใจแก่ผู้ป่วยโดยไม่แสดงอาการรงั เกียจ เช่น ผลงานวจิ ยั ของสร้อย อนุสรณ์ธีรกุลและคณะ (2537-2538) เรือ่ งการรับรู้เจตคตแิ ละพฤติกรรมป้องกนั โรค เอดส์ของชายไทยในระดับหมู่บ้าน จังหวัดขอนแก่น งานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมการ ดแู ลรกั ษาตนเองในผตู้ ดิ เชอื้ HIV การศกึ ษาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของไทยโดย บำ� เพญ็ แสงชาติ (2540) งานวจิ ยั ของวรรณชนก จนั ทชมุ และคณะ (2540-2541) เรอ่ื ง การมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนและการสนบั สนนุ ทางสงั คมในการปอ้ งกนั โรคเอดส์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ยงิ่ ยง เทาประเสรฐิ (2542) บทเรยี นเอดสภ์ าคเหนอื : สกู่ ารปรบั ใชใ้ นชมุ ชน อีสาน ศิริมา นามประเสริฐ (2544) การสนับสนนุ ทางสังคมครอบครัวและชุมชน ต่อผู้ป่วยเอดส์ และงานวิจยั ของดษุ ฎี อายวุ ฒั น์ (2546) ผลการแก้ปัญหาเร่งด่วน กลุ่มผู้ยากล�ำบาก: กรณศี ึกษาเครือข่ายผู้ติดเชือ้ เอดส์ จังหวดั ขอนแก่น เป็นต้น 4.5 ศาสนา ความเชอ่ื วัฒนธรรมและการท่องเทย่ี ว ในระยะเวลาหน่ึงทศวรรษท่ีผ่านมามีผลงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อและวฒั นธรรมจ�ำนวน 27 เร่ือง โดยแบ่งเป็นด้านศาสนาและวัฒนธรรม จำ� นวน 15 เรอ่ื ง อกี จำ� นวน 12 เร่อื งทีเ่ หลอื เป็นงานวิจยั ด้านความเชอ่ื ทเ่ี กี่ยวข้อง กับโลกทัศน์ของชาวอีสาน ผลงานการวิจัยด้านศาสนาและวัฒนธรรมนน้ั สามารถ จดั เป็นหมวดหมู่เป็นดังน้ี คอื ในด้านการอนุรักษ์ มีหน่วยงานองค์กรต่างๆ ท่ีเข้ามามีบทบาทในการ อนุรักษ์ศิลปะวฒั นธรรมทส่ี �ำคัญได้แก่ 1) บทบาทของพระสงฆ์ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม พบว่าพระสงฆ์ยัง ไม่เข้าใจบทบาทและการให้ความส�ำคัญต่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพ้ืนบ้านอยู่ ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ�

214 โสวัฒนธรรม 2) บทบาทของประชาชนหรือชาวบ้าน ภาพโดยรวมพบว่า ชาวบ้านได้ให้ ความสำ� คญั และใหค้ วามรว่ มมอื ในการอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมพนื้ บา้ นอยใู่ นเกณฑ์ ดี โดยเฉพาะประเพณคี วามเชอื่ เกีย่ วกับฮตี สบิ สองทม่ี ีการยึดถือปฏิบตั สิ ืบทอดกัน มาจนปัจจุบัน 3) บทบาทของภาครัฐ อันประกอบโดยโรงเรียน ส�ำนักงานศึกษาธิการ หน่วยงานภาครัฐได้ให้การส่งเสริมการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมมาด้วยดีและ สบื เนอื่ งมาโดยตลอด นกั เรยี นมจี ติ สำ� นกึ ในคณุ คา่ วฒั นธรรมอยใู่ นระดบั ดี แตม่ กี าร ปฏิบัตอิ ยู่ในระดับปานกลาง โลกทัศน์และความเชื่อ ผลการวิจัยพบว่าชาวอีสานยังคงมีโลกทัศน์ท่ี มน่ั คงเหนยี วแนน่ ตอ่ ระบบความเชอ่ื ตา่ งๆ ในดา้ นศาสนา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และวัฒนธรรมที่จะมีผลท้ังต่อคน ต่อธรรมชาติ และอ�ำนาจเหนือธรรมชาติ อาทิ เช่น ความเชื่อเร่ือง ดอนปู่ตา ซึ่งเป็นกุศโลบายที่จะสร้างความสมานสามัคคีของ สมาชิกในชุมชน ในการที่จะรักษาทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรอ่ืนๆ ในบริเวณ ดอนปู่ตาไม่ให้ถูกท�ำลายโดยอ้างอ�ำนาจเหนือธรรมชาติว่าเป็นผู้ให้คุณให้โทษ ต่อชุมชน ต่อพฤติกรรมของสมาชิกชุมชนท่ีปฏิบัติต่อกันและต่อศาลปู่ตาหรือ ความเชื่อเร่ืองบุญผะเหวด ที่มุ่งเน้นให้รู้จักการบริจาคหรือให้ทาน หรือวัฒนธรรม ข้าวที่พยายามช้ีให้เห็นว่าข้าวไม่ใช่แค่เพยี งอาหารธรรมดาท่ีใช้เพยี งเพือ่ การบรโิ ภค เทา่ นน้ั หากแตข่ า้ วยงั เปน็ เครอื่ งหมายทางวฒั ธรรมและเปน็ สญั ลกั ษณข์ องพลงั ชวี ติ อีกด้วย การศึกษาวิจัยด้านการท่องเท่ียวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นท่ี น่าสังเกตว่ามีผลงานจ�ำนวนน้อยจะมีเพียงผลงานวิจัยของอุดม บัวศรี (2538) การท่องเท่ียวกับกระแสวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงศึกษาเกี่ยวกับการท่องเท่ียวกับ กระแสวัฒนธรรมที่เปล่ียนแปลง โดยเรื่องส�ำคัญท่ีก�ำลังพูดกันในวงการของการ ท่องเท่ียวคือ การท่องเที่ยวในปัจจุบันนท้ี ำ� ลายวัฒนธรรมด้ังเดิมของชุมชนท�ำให้ ชนบทซ่ึงมีวัฒนธรรมดั้งเดิมท่ีสัมพันธ์กันชีวิตเราต้องเปล่ียนแปลงตามความ ต้องการของนกั ท่องเที่ยว จนกลายเป็นการขายวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวไปใน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 215 ที่สุด วัฒนธรรมในชุมชนต่างๆ ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์นนั้ ย่อมไม่หยุคนง่ิ ยัง เปล่ียนแปลงและปรับตัวไปอย่างต่อเน่ือง การปรับเปล่ียนของวัฒนธรมท้องถิ่น นนั้ เกิดจากการรับรู้ข่าวสารและการคิดค้นและความละเอียดของสติปัญญาของ คนในสังคมมากข้ึน เพราะปัจจุบันน้ีโลกมีลักษณะไร้พรมแดนแล้ว ข่าวสารต่างๆ ทกุ คนจงึ มสี ทิ ธร์ิ บั รเู้ ทา่ เทยี มกนั สงิ เหลา่ นท้ี ำ� ใหค้ นในสงั คมไดเ้ รยี นรวู้ ถิ ที างกา้ วหนา้ ของแต่ละสังคม จงึ เกดิ การเปล่ียนแปลงในสังคมนน้ั ๆ อย่างต่อเนื่องหันมาสู่อีสาน การทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย(2545) ไดท้ ำ� รายงานความก้าวหนา้ โครงการ วจิ ยั ปที ่ี 1 เรอื่ งศกั ยภาพการทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศตามลำ� แมน่ ำ�้ งานชนิ้ นศี้ กึ ษาเกย่ี วกบั ล�ำน้�ำมูล โดยศึกษาถึงศักยภาพของล�ำน�้ำมูลในการท่ีจะส่งเสริมพัฒนาให้เป็น แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศบนเสน้ ทางนำ้� สายอารยธรรมแหง่ ภาคอสี าน โดยการศกึ ษา วจิ ยั นจ้ี ะเปน็ การสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มเกดิ เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วใหม่ สรา้ ง รายได้ให้กับผู้คนในชุมชน และน�ำประโยชน์เชิงเศรษฐกิจการท่องเท่ียวมาให้กับ ภูมิภาคอีสานโดยงานช้ินนจี้ ะประกอบด้วย 4 โครงการย่อยในลักษณะการวิจัย สหสาขาวชิ าการ ทมี่ ใิ ชเ่ ปน็ สาขาวชิ าทใี่ กลช้ ดิ กนั และ ผลงานของนาถฤดี มณเี นตร (2546) ปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ แรงจงู ใจทท่ี �ำใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี วเดนิ ทางไปทอ่ งเทย่ี วบรเิ วณ พรมแดนด่านตรวจคนเข้าเมืองมุกดาหารศึกษาเก่ียวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแรง จงู ใจทที่ ำ� ใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี วเดนิ ทางไปทอ่ งเทย่ี วบรเิ วณพรมแดนดา่ นตรวจคนเขา้ เมอื ง มุกดาหาร โดยสุ่มตัวอย่างจากนกั ท่องเที่ยวชาวไทยท่ีก�ำลังเที่ยวบริเวณพรมแดน ด่านตรวจคนเข้าเมอื งมุกดาหาร ความพึงพอใจบรรยากาศด้านศักยภาพกายภาพ ไม่มีความแตกต่างกันด้านเพศ แต่มีความแตกต่างกันตามอายุและรายได้อย่างมี นยั ส�ำคญั ที่ระดบั .05 ความพึงพอใจบรรยากาศด้านจิตใจที่มอี ทิ ธพิ ลต่อแรงจูงใจ นักท่องเท่ียวเดินทางไปท่องเท่ียว ไม่มีความแตกต่างกันด้านเพศ แต่มีความ แตกต่างตามอายุและรายได้อย่างมนี ัยส�ำคัญท่ีระดับ .05 และ ผลงานของนาถฤดี มณเี นตรและชมนาด ไชยประสทิ ธิ์ (2547) การศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั ทอ่ งเทยี่ ว ท่มี ตี ่อสถานบรกิ ารท่พี กั แรมแบบประหยัด ในเขตอำ� เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่นผล การวิจัยพบว่า นกั ท่องเท่ียวท่ีเข้าพักในสถานบริการที่พักแรมแบบประหยัดในเขต

216 โสวัฒนธรรม อำ� เภอเมืองขอนแก่น ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มอี ายุระหว่าง 21-30 ปี มีสถานภาพ สมรส จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอาชีพรับจ้างหรือเป็นพนกั งานบริษัทและ ยังมีนกั ท่องเท่ียวชาวต่างประเทศอีกด้วย ระดับความพึงพอใจของนกั ท่องเที่ยว ขึ้นกับ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา และอาชีพของนักท่องเที่ยวมี ผลงานวิจัยบางช้ินได้ศึกษาถึงการท่องเที่ยวกับกระแสวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง พบวา่ การทอ่ งเทย่ี วในปจั จบุ นั มกี ารท�ำลายเอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมของชมุ ชนจน กลายเป็นการขายวฒั นธรรมเพ่ือการท่องเที่ยวไปในท่ีสดุ 4.6 แนวความคิดวฒั นธรรมเพือ่ การพฒั นา การอภปิ รายสถานภาพองคค์ วามรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรมกบั การพฒั นาเปน็ การ นำ� เสนอความคดิ เหน็ ตอ่ การสงั เคราะหส์ ถานภาพองคค์ วามรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรมกบั การพฒั นา ซงึ่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ ความเขา้ ใจมมุ มองทหี่ ลากหลายจนสามารถพฒั นา เป็นองค์ความรู้การวิจัยวฒั นธรรมกบั การพฒั นาต่อไป การดำ� เนนิ งานด้านวฒั นธรรมพื้นบ้านที่ผ่านมา อยู่ในความดแู ลรบั ผดิ ชอบ ของหน่วยงานราชการเกือบทั้งหมด กรมศิลปากรและส�ำนกั งานคณะกรรรมการ วฒั นธรรมแหง่ ชาตขิ องกระทรวงศกึ ษาธกิ าร รว่ มกบั โรงเรยี นมธั ยม มหาวทิ ยาลยั ใน ภมู ภิ าค และหนว่ ยงานราชการประจำ� จงั หวดั ตา่ งๆ ทำ� การรวบรวมศลิ ปะ โบราณวตั ถุ ส่ิงของเคร่ืองใช้ในท้องถิ่นเก็บไว้ และจัดงานส่งเสริมวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน มหาวิทยาลัยท�ำหน้าที่ศึกษาวิจัย การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยส่งเสริมสถานที่ ท่องเท่ียวและจัดงานบุญประเพณที ้องถ่ินระดับจังหวัดและระดับชาติ การดำ� เนนิ งานทง้ั หมดอยใู่ นกรอบกระบวนทรรศนส์ งั คมใหม่ มองวฒั นธรรมพนื้ บา้ นในลกั ษณะ ที่เป็น “เอกลักษณ์” ท้องถ่ินท่ีสวยงาม แปลก น่ารักษาไว้แสดงให้คนอื่นชาติอ่ืน รู้ว่าแต่ละท้องถิ่นก็มี “ของดี” สร้างความภูมิใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ของตนเอง เพอ่ื แสดงด้วยว่า ท้องถน่ิ ไม่ได้ถูก “กลืน” ไป นอกจากนี้บรรดาศิลปะ วฒั นธรรมยงั สามารถดงึ ดดู นกั ทอ่ งเทย่ี วไดจ้ �ำนวนมาก ผเู้ กบ็ รวบรวมสง่ิ ของเครอ่ื ง ใช้ ศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ งราวพนื้ บา้ น ไมว่ า่ จะเปน็ การละเลน่ เพลงกลอ่ มเดก็ นทิ านตำ� นาน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 217 คำ� บอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ กพ็ อใจในผลงานของตนเอง ถอื วา่ ได้ทำ� ประโยชนใ์ น การอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมพ้ืนบ้านไว้ไม่ให้ “สญู หาย” หรอื ถูกกลืนเพราะได้บนั ทึกหรอื ได้รวบรวมเก็บไว้แล้ว การคิดและท�ำเช่นน้ีย่อมไม่แปลกส�ำหรับคนท่ีมีกระบวนทรรศน์ใหม่และ มองวฒั นธรรมพน้ื บ้านจากจุดยืนของตนเอง โดยเชื่อว่าการดำ� เนนิ งานของท้องถน่ิ มีส่วนช่วยพัฒนาประเทศ ท�ำให้คนได้เรียนรู้เร่ืองราวในอดีตของชุมชน ก่อให้เกิด ความภาคภูมิใจและท�ำให้คนมีรายได้เพิ่มข้ึนจากการขายของท่ีระลึก ขายสินค้า พื้นเมอื งให้แก่นกั ท่องเทยี่ ว แต่มกั มีค�ำถามตามมาเสมอว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่ง เป็น “เจ้าของ” วัฒนธรรมพ้ืนบ้านเหล่านน้ั ได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใด ชีวิต พวกเขาดีข้ึนหรือไม่ ก็คงจะตอบได้ไม่ยาก เพราะภาพโดยรวมแล้วชาวบ้านได้รับ ประโยชน์โดยตรงจากการด�ำเนนิ งานด้านวัฒนธรรมพ้ืนบ้านน้อยมาก ส่วนใหญ่ ชาวบา้ นมกั “ถกู ใช”้ เปน็ เครอ่ื งมอื เพอื่ ประโยชนข์ องผทู้ อ่ี า้ งวา่ สนบั สนนุ วฒั นธรรม พน้ื บา้ น กเ็ ชน่ เดยี วกบั เรอ่ื งอนื่ ๆ ซงึ่ คนทม่ี อี ำ� นาจมากกวา่ ไมว่ า่ ทางเศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองย่อมเอาเปรียบผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่า ตักตวงเอาทรัพยากรของผู้ท่ี เสยี เปรยี บไมว่ า่ จะเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติ แรงงาน และวฒั นธรรมไปจากชมุ ชนจน แทบไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ภาคภูมใิ จ จดุ มงุ่ หมายของการดำ� เนนิ งานดา้ นวฒั นธรรมพน้ื บา้ น คอื การเออื้ ประโยชน์ แก่ชาวบ้านผู้เป็น “เจ้าของ” เป็นอันดับแรก ปัจจัยส�ำคัญที่สุดคือให้ชาวบ้านมี ส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการท้ังหมด การมีส่วนร่วมไม่ได้หมายถึงการท่ี ฝ่ายหน่ึงคิดวางแผน แล้วเกณฑ์ชาวบ้านให้มาร่วมท�ำ เหมือนการแห่งบ้ังไฟ แห่เทียนเข้าพรรษา ปราสาทผ้งึ หรอื ฝ่ายหนงึ่ เข้าไปในหมู่บ้านแล้วเกบ็ ข้อมลู ถาม ให้ชาวบ้านตอบ เหมอื นการส�ำรวจวิจัยทว่ั ไปท�ำกนั หรอื การไปจ้างชาวบ้านทอผ้า จักสาน ด้วยลายและแบบเพื่อตลาดภายนอก ให้ค่าแรงงานชาวบ้าน แต่การให้ โอกาสชาวบ้านได้มีส่วนในการก�ำหนด การตดั สนิ ใจ การวางแผน และการดำ� เนนิ การเป็นการให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการเอาวัฒนธรรมไปพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างแท้จรงิ และถ้าส่งเสรมิ ให้สภาตำ� บลค้นคดิ เรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรมเพ่ือการ

218 โสวัฒนธรรม ท่องเท่ียว สภาฯก็อาจจะคิดออกมาแตกต่างจากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และฝ่ายปกครองของจังหวัดคิด กล่าวคือข้อแตกต่างจะอยู่ท่ีชาวบ้านมีส่วนเป็น เจ้าของงานนนั้ มีบทบาทในการจัดสรรประโยชน์ท่ีจะเกิดขึ้นจากการจัดงานนนั้ พวกเขาจะแสดงออกอย่างเป็น “ธรรมชาต”ิ มากกว่า เพราะงานทก่ี ำ� หนดขึน้ ไม่ใช่ “การแสดง” แต่เป็นส่วนหนงึ่ ของประเพณพี วกเขาท�ำอยู่แล้ว การศึกษาวิจัยเร่ืองวัฒนธรรมพ้ืนบ้านท่ีชาวบ้านมีส่วนร่วม คือการวิจัยท่ี สร้างส�ำนกึ ให้กับชุมชน และสร้างพลังในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่ีพวกเขาประสบ อยู่ นกั วจิ ยั อาจไม่ใช่นกั พัฒนาก็จรงิ แต่นกั วิจัยสามารถร่วมมอื กับนกั พัฒนาท้ังรัฐ หรอื เอกชนในกระบวนการวจิ ยั เพอื่ จติ ส�ำนกึ ซ่ึงท�ำให้งานนนั้ สมั พนั ธ์กบั บรบิ ททาง เศรษฐกิจสงั คมของอดีตและปัจจบุ ันของหมู่บ้าน จติ ส�ำนกึ คือ พลังสำ� คญั ในการ พฒั นา และวธิ กี ารทค่ี วรไปเรมิ่ ทห่ี มบู่ า้ น ไมใ่ ชจ่ ากมหาวทิ ยาลยั จากแนวคดิ ทฤษฎี หรอื แม้แต่ผลงานวิจยั ที่เคยท�ำมาก่อน การส่งเสริมหัตถกรรมพ้ืนบ้านเป็นเรื่องดี แต่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการ ก�ำหนดรูปแบบ เนื้อหา วิธกี าร และราคาสนิ ค้า เพราะไม่มกี �ำลังต่อรอง ไม่ได้รบั การสนบั สนนุ ใหม้ คี วามรู้ ความสามารถและทนุ ในการจดั การทรพั ยากรของตนเอง พวกเขาไมค่ นุ้ เคยกบั การคา้ แบบใหม่ จงึ ตอ้ งตกเปน็ เบย้ี ลา่ งของพอ่ คา้ อยตู่ ลอดเวลา การด�ำเนนิ งานเกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นบ้านหากจะมีเป้าหมายในการพัฒนา คณุ ภาพชวี ิตชาวบ้านจรงิ ๆ แล้วก็ต้องเรม่ิ ท่ีแนวคดิ ต้องเปลยี่ นความคิดใหม่ ต้อง เอาชาวบ้านเป็น “ตวั ตัง้ ” ต้องเร่มิ ต้นทหี่ มู่บ้านและตัวชาวบ้าน เรม่ิ ทำ� ความเข้าใจ กบั รากเหงา้ ของชมุ ชนหมบู่ า้ นพยายามเขา้ ใจกระบวนทรรศนด์ ง้ั เดมิ ซงึ่ เปน็ รากฐาน ชีวิตของหมู่บ้าน ปรับวิธีคิดให้เชื่อและศรัทธาชาวบ้านดวงตาจะได้เห็นภูมิปัญญา และศกั ยภาพชาวบ้านมากยงิ่ ข้ึน การเปลย่ี นความคดิ เชน่ นไ้ี มไ่ ดป้ ฏเิ สธหรอื ตอ่ ตา้ นการด�ำเนนิ การทท่ี ำ� กนั อยู่ ตรงกนั ขา้ ม งานบญุ วฒั นธรรมจะมมี ากขนึ้ ทง้ั ทางปรมิ าณและคณุ ภาพงานวจิ ยั จะ มมี ากขนึ้ เพราะจะ “สนกุ ” และไดป้ ระโยชนท์ กุ ฝา่ ย ทงั้ ชาวบา้ นและคนทำ� วจิ ยั จะ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 219 มี “ศูนย์วัฒนธรรม” มากขึ้น โดยจะไม่อยู่แต่เพียงในเมืองหรือในสถานที่ราชการ แต่อยู่ในหมู่บ้าน ในท่ขี องชาวบ้านจะมี “ของ” มากขึน้ และชาวบ้านไปแวะเวยี น เยีย่ มชมมากข้ึนเพราะเขามีส่วนร่วมในการสร้างมนั ขน้ึ มา เขาเป็น “เจ้าของ” ด้วย เชน่ กนั หตั ถกรรมพน้ื บา้ นจะเฟอ่ื งฟู ใหท้ ง้ั รายไดแ้ ละความภมู ใิ จกบั ชาวบา้ นทก่ี ลาย เป็นผู้ด�ำเนนิ การและเจ้าของเอง 4.7 ผลกระทบจากการใชว้ ัฒนธรรมเป็นเครอ่ื งมอื ในการพัฒนา หัวใจของการพัฒนาประเทศนนั้ ผู้บริหารจะถือเอาความสุขของมนุษย์เป็น เปา้ หมายสงู สดุ เกณฑใ์ นการวนิ จิ ฉยั ความสำ� เรจ็ ของการพฒั นา คอื สภาวะทมี่ นษุ ย์ สามารถดำ� รงชวี ติ อยไู่ ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ บนพน้ื ฐานของความมศี กั ดศ์ิ รแี หง่ ตน เพราะ หลกั คดิ สำ� คญั ของวฒั นธรรมชมุ ชนของไทยในอดตี ถอื วา่ ไมม่ สี ง่ิ ใดมคี า่ และมคี วาม สำ� คญั เทา่ กบั ชวี ติ มนษุ ย์ ดงั นนั้ จะเหน็ วา่ ศลิ ปะวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ใดๆ ของไทย ล้วนเกี่ยวข้องกบั ชวี ติ คนและความสุขของคนทัง้ ส้นิ การพัฒนาใดๆ ที่เร่ิมต้นจากทุนทางวัฒนธรรมที่ชุมชนมีอยู่แล้ว เปรียบ เสมอื นการปลกู ตน้ ไมท้ มี่ รี ากแกว้ หยง่ั ลกึ ลงไปในเนอ้ื ดนิ อนั มผี ลท�ำใหล้ ำ� ตน้ ทรงตวั ได้อย่างม่ันคง แม้จะเผชิญพายุลมแรงสักเพียงใด แต่การพัฒนาประเทศไทยใน ปัจจุบัน มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำ� ให้วัฒนธรรมยังถูกมองเป็นเพียง เงอ่ื นไขหรอื ปจั จยั หนง่ึ ของการผลติ เทา่ นนั้ แนวคดิ การพฒั นาโดยใชก้ ระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ เปน็ แนวคดิ หลกั ทผี่ มู้ อี �ำนาจหรอื ผบู้ รหิ ารประเทศใชเ้ ปน็ บรรทดั ฐานใน การพฒั นาจงึ สง่ ผลใหว้ ทิ ยาศาสตร์เข้ามาครอบงำ� วฒั นธรรมพน้ื บ้าน ทำ� ให้ผลของ การพัฒนาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ ของชนบทอย่างรุนแรง เช่น ป่าถูกท�ำลายจนถึงจุดวิกฤติเพ่ือให้พื้นท่ีแก่การเกษตรกรรมราคาถูก ต้องใช้ สารเคมเี ขา้ มาใชใ้ นการเกษตรเปน็ จ�ำนวนมากและกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และมนุษย์ เป็นการเพิม่ รายจ่ายให้แก่เกษตรกร เกษตรกรต้องทำ� งานหนกั ขนึ้ แต่ ขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน ก่อให้เกิดภาวะเครียดและปัญหาต่างๆ ตามมา

220 โสวฒั นธรรม จากปญั หาตา่ งๆ ดงั กลา่ วทำ� ใหน้ กั วชิ าการทเี่ ปน็ นกั ปฏบิ ตั งิ านพฒั นา อยา่ ง เสรี พงศพ์ ศิ ประเวศ วะสแี ละคนอน่ื ๆ ไดเ้ รยี กรอ้ งใหผ้ นู้ ำ� รฐั บาลหนั กลบั มาทบทวน กระบวนการพฒั นาประเทศชาติ โดยใชว้ ฒั นธรรมเปน็ เครอ่ื งมอื อนั จะยงั ประโยชน์ แก่สงั คมโดยรวมหลายประการคอื 1) เป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือวัฒนธรรมมีลักษณะท่ี หลากหลายกระจายไปตามชุมชนท้องถิน่ ต่างๆ ดังนนั้ ในการพัฒนาท้องถนิ่ จะต้อง ใหช้ มุ ชนแตล่ ะแหง่ มสี ว่ นสำ� คญั ในการรว่ มคดิ รว่ มตดั สนิ ใจและรว่ มรบั ผลประโยชน์ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นการน�ำเอาวัฒนธรรมมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวทาง ประชาธิปไตย บนพน้ื ฐานแห่งความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม 2) เปน็ การสรา้ งความเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกจิ ใหแ้ กช่ มุ ชนและประเทศชาติ ใน ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ประเทศไทยถูกบังคับให้ต้องกระโจนเข้าสู่ภาวะการ แขง่ ขนั ทางเศรษฐกจิ กบั ประชาคมโลกอยา่ งไมม่ ที างหลกี เลยี่ งไดท้ ง้ั ในระดบั ภมู ภิ าค และระดบั โลก การแข่งขนั ทางการค้ากบั ประเทศต่างๆ นนั้ ประเทศไทยต้องคิดหา วิธีการท่ีจะเอาชนะหรือให้ได้เปรียบคู่แข่งให้ได้ ซึ่งก็เป็นเร่ืองยากที่ประเทศไทยจะ เอาชนะชาตมิ หาอำ� นาจทางเศรษฐกจิ อยา่ งสหรฐั อเมรกิ า ญป่ี นุ่ หรอื กลมุ่ ประชาคม เศรษฐกจิ ยโุ รปได้ สง่ิ ทต่ี อ้ งระลกึ อยเู่ สมอวา่ ถา้ จะแขง่ ขนั ในจดุ แขง็ ของคนอนื่ กย็ าก ทจี่ ะเอาชนะได้ เพราะทนุ และเทคโนโลยไี มใ่ ชจ่ ดุ แขง็ ของประเทศไทย แตจ่ ดุ แขง็ ของ ประเทศไทยทช่ี นชาตอิ นื่ ไมม่ กี ค็ อื วฒั นธรรมไทย จงึ สมควรอยา่ งยง่ิ ทา่ จะตอ้ งน�ำเอา เรอ่ื งเศรษฐกจิ กบั วฒั นธรรมมาเชอื่ มตอ่ กนั ใหไ้ ด้ ดว้ ยมวี ฒั นธรรมไทยหลายแขนงที่ จะสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ รายไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ไมม่ ชี นชาตใิ ดในโลกทจ่ี ะมาแขง่ ขนั กบั คนไทยได้ เพราะสนิ คา้ วฒั นธรรมเปน็ ภมู ปิ ญั ญาทสี่ บื ทอดจากบรรพชนมาสอู่ นชุ นไทยนานนบั พนั ปี จึงท�ำให้คนไทยมคี วามเชี่ยวชาญ ชำ่� ชอง ในการผลิตสินค้าวฒั นธรรมท่ีชาติ อื่นไม่อาจสู้ได้ เช่น ธรุ กิจการนวดแผนไทย อาหารไทย ศลิ ปวัฒนธรรมไทย รวมไป ถงึ วฒั นธรรมการบรกิ ารและรอยยมิ้ ทอ่ี อ่ นหวานทเ่ี ปย่ี มไปดว้ ยมติ รภาพของคนไทย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จ�ำนวนมหาศาลและท่ีส�ำคัญธุรกิจเหล่านี้ไม่ ท�ำลายทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมของประเทศชาตแิ ต่อย่างใด

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 221 ดงั นน้ั ถา้ หากภาครฐั สง่ เสรมิ ภมู ปิ ญั ญาไทยหรอื วฒั นธรรมไทยใหแ้ พรห่ ลาย ไปต่างประเทศ จะท�ำให้ประเทศไทยมีรายได้จ�ำนวนมหาศาล ประชาชนก็จะมี คณุ ภาพชีวติ ท่ดี ีข้นึ ตามมา 3) ส่งเสริมศักด์ิศรีของชุมชนท้องถิ่น ด้วยวัฒนธรรมเป็นภูมิปัญญา ท้องถ่นิ ดังนน้ั วฒั นธรรมย่อมเป็นศกั ด์ิศรขี องท้องถน่ิ การรวมอำ� นาจการปกครอง และอำ� นาจทางการเงนิ ไวท้ ศ่ี นู ยก์ ลางหรอื เมอื งหลวง ทำ� ใหช้ มุ ชนทอ้ งถน่ิ ไมม่ ศี กั ดศ์ิ รี เปน็ เพยี งบา้ นนอกหรอื บรวิ ารของกรงุ เทพฯ การทผ่ี คู้ นจะมคี วามสขุ ไมไ่ ดข้ นึ้ อยทู่ เ่ี งนิ หรอื อำ� นาจเทา่ นน้ั แตข่ นึ้ อยกู่ บั ศกั ดศ์ิ รดี ว้ ย ถา้ หากทอ้ งถนิ่ หรอื ชมุ ชนศกั ดศิ์ รคี นทง้ั ประเทศมีเกียรติ มีความสขุ และมสี นั ติสขุ กต็ ามมา 4) การพัฒนาแบบบูรณาการ การพัฒนาประเทศชาติในอดีตแต่ละหน่วย งานต่างคนต่างท�ำแบบแยกส่วน จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาไม่มีท่ีส้ินสุด วัฒนธรรมเป็นเรื่องของความเชื่อมโยง อย่างเป็นบูรณาการทุกมิติ วัฒนธรรมเป็น เรื่องของคนท้ังหมดในชุมชนหรือสังคมท่ีมีความเชื่อและการปฏิบัติร่วมกัน การ ปฏิบตั นิ นั้ เป็นทั้งเร่ืองเศรษฐกจิ การเมอื ง จิตใจ สงั คมและส่งิ แวดล้อม ฯลฯ พร้อม กนั ในคราวเดียวทัง้ หมด นน้ั คือการท�ำงานทีก่ ่อให้เกิดการบูรณาการ 5) สร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน วัฒนธรรมกับการพัฒนาก่อให้เกิดการ ท�ำงานแบบบูรณาการ มีความผสมผสานสอดคล้องกันระหว่างคนในท้องถิ่นท่ี อุทิศทั้งก�ำลังกายและก�ำลังใจให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการปฏิสัมพันธ์ กนั ตามธรรมชาติ และธรรมชาตนิ น้ั หมายถงึ ความหลากหลายและทงั้ หมด (Holism) ความหลากหลายและความเปน็ ทง้ั หมด กอ่ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ เมอื่ เกดิ ความสมดลุ ก็เกิดความม่ันคง อย่างยั่งยืน ดังนนั้ จะเห็นได้ว่าสังคมในอดีตซึ่งด�ำเนนิ ไปตาม พ้นื ฐานทางวัฒนธรรมจงึ มคี วามย่ังยืน แต่การพฒั นาในปัจจบุ นั เป็นแบบแยกส่วน ไม่ประสานสมั พันธ์กันการพฒั นาจงึ ไม่มีความยง่ั ยนื 6) ก่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและจิตวิญญาณอันลึกซ้ึง กล่าวคือ การ พัฒนาทางวัตถุท่ีไม่ค�ำนงึ ถึงคุณค่าทางจิตใจและจิตวิญญาณ เช่น การก่อสร้าง

222 โสวฒั นธรรม คอนโดมเิ นยี มสงู ค้�ำโบสถ์ บดบงั ทศั นยี ภาพของโบราณสถาน การอนญุ าตใหแ้ หลง่ อบายมุขสถานบันเทิงสร้างใกล้วัดหรือใกล้สถานที่ศักดิ์สิทธิ อันเป็นศูนย์ธรรม จิตใจของคนในชุมชน เป็นการท�ำลายคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างน่าเสียดาย แต่ วัฒนธรรมค�ำนงึ ถึงเร่ืองจิตใจ และจิตวิญญาณอันลึกซ้ึงความงามของศิลปกรรม ก่อให้เกดิ ความสขุ ของจติ ใจ ศาสนากอ่ ให้เกดิ คณุ คา่ อนั ลกึ ซง้ึ สงู ส่ง เป็นเครอ่ื งชว่ ย การยกระดับจิตใจของคนให้สงู ข้นึ 7) ส่งเสรมิ ความเข้มแข็งทางสงั คม ต้นเหตุของความเสื่อมเสยี ทางศลี ธรรม เกิดจากอ�ำนาจในสังคม ขาดความสมดุล ดังนั้น หากต้องการสร้างสังคมให้ เข้มแข็ง จึงต้องถ่วงดุลด้วยการบูรณะฟื้นฟูศีลธรรมขึ้นมา โดยใช้วัฒนธรรมเป็น เครอ่ื งสง่ เสรมิ ความเขม้ แขง็ ของสงั คม เพราะวฒั นธรรมมชี มุ ชนเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ ความ เป็นชมุ ชนต้องมอี งค์กรชุมชน การมีองค์กรชมุ ชนท�ำให้ชมุ ชนหรอื สงั คมเข้มแขง็ การพัฒนาประเทศในปัจจุบันท�ำให้ผู้คนตื่นเต้นกับตัวเลขของการเติบโต ทางเศรษฐกจิ แต่ในความเป็นจรงิ แล้ว ผู้ท่ไี ด้รับประโยชน์จากการพัฒนาทผ่ี ่านมา มีเพียงคนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียว ขณะท่ีผู้คนอีกหลายสิบล้านคนยังต้องยากจนและ ล�ำบากย่ิงข้ึน มีเพียงภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเท่านน้ั ท่ีเติบโต ส่วนภาค การเกษตรไม่ได้โตตามไปด้วย ภาคอุตสาหกรรมเองก็ไม่ได้สัมพันธ์กับภาคเกษตร เพราะไม่ได้แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรในประเทศ แต่สั่งวัตถุดิบจากต่าง ประเทศเข้ามาแปรรูปแล้วส่งออกไปขาย พง่ึ ตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เพราะผคู้ นในประเทศไมม่ กี ำ� ลงั ซอื้ ซง่ึ เปน็ การเตบิ โตทอี่ นั ตราย เปน็ การเตบิ โตทกี่ า้ ว กระโดดโดยขาดฐานท่ีม่ันคง เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศและภาคเกษตรไม่เป็น ฐานในการผลิต หวังต่างประเทศซ่ึงมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ย่อมน่าเป็นห่วง แสดงว่า ประเทศไทยเองไม่สามารถ “พงึ่ ตนเอง” ได้ ตราบใดท่ีรัฐยังคิดว่า ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจการจัดการเป็นภาคที่ ส�ำคัญที่สุด ละเลยภาคเกษตรและคิดว่าระบบราชการเป็นกลไกลท่ีสำ� คัญที่สุด ละเลยภาคเอกชนและองค์กรประชาชน การพัฒนาท่ีมั่นคงยั่งยืนจะไม่เกิดขึ้น ประชาชนชาวบ้านในชนบทจะต้องดิ้นต่อสู้หาทางช่วยตัวเอง โดยไม่อาจหวังพ่ึง

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 223 อะไรจากรัฐได้ และขณะนชี้ าวบ้านในชนบทส่วนใหญ่ หันมาผลิตเพื่อครอบครัว ชาวบา้ นทที่ ำ� กลมุ่ ออมทรพั ย์ สรา้ งเครอื ขา่ ยเพอ่ื บรหิ ารจดั การทรพั ยากรของตน เรม่ิ มองเหน็ วา่ หากชาวบา้ นซงึ่ เปน็ คนสว่ นใหญส่ ามารถรวมตวั กนั ได้ การเปลย่ี นแปลง ยอ่ มเกดิ ขน้ึ ไดเ้ ชน่ กนั ดงั นน้ั รากฐานส�ำคญั ของการรวมตวั กนั เพอ่ื แกป้ ญั หาและน�ำ ไปสู่การพัฒนา คอื วัฒนธรรมพนื้ บ้านนนั่ เอง การน�ำเอาวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในปัจจุบันยัง มีน้อยมาก เพราะกระแสหลักของประเทศมักเน้นกระแสพัฒนาเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยม วัฒนธรรมจึงถูกมองเป็นเพียงเง่ือนไขหรือปัจจัยหนงึ่ ของการผลิตเท่านน้ั กระบวนทรรศน์ใหม่จึงมีฐานอยู่ที่แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นแนวคิดหลักที่ผู้มี อ�ำนาจและผู้บริหารประเทศใช้เป็นบรรทัดฐานในการพัฒนา ดังนน้ั วิทยาศาสตร์ จึงครอบง�ำวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานของกระบวนทรรศน์แบบดั้งเดิมของ สังคมไทย วัฒนธรรมจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเป้าหมายเพื่อประโยชน์แก่คนเพียง กลุ่มน้อย ไม่ได้ถงึ ประชาชนส่วนใหญ่ผู้เป็นเจ้าของ หรือมีสิทธิโดยตรง วฒั นธรรม พนื้ บา้ นทส่ี งั คมสมยั ใหมน่ ส้ี นใจ จงึ ตอ้ งเปน็ วฒั นธรรมทมี่ ี “สสี นั ” “มคี วามแปลก” “สวยงาม” และ “พิสดาร” เท่านนั้ ที่ “ขายได้” น่าเสียดายอย่างยิ่งท่ีวัฒนธรรมพ้ืนบ้านมีความหมายแต่เพียงแค่นี้ เพราะ ที่จริงแล้วทรัพยากรที่ส�ำคัญท่ีสุดในการพัฒนาประเทศคือวัฒนธรรมพ้ืนบ้านนี้เอง หมู่บ้านไม่ได้มีแต่เพียงที่ดิน ทุ่งนาป่าไม้ หรือแรงงาน แต่มีมรดกทางวัฒนธรรม อนั ลำ�้ คา่ และมคี า่ มากกวา่ การนำ� ไป “ขาย” เพราะนคี่ อื รากฐานการพฒั นาประเทศ ทแ่ี ทจ้ รงิ หากรากฐานนไี้ มม่ น่ั คง ยงั ล�ำบากยากเขญ็ ไมไ่ ดร้ บั การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ให้พงึ่ ตนเองได้ ถกู เอารดั เอาเปรียบ ถูก ใช้ โดยคนบางกลุ่มที่มีโอกาสและอำ� นาจ มากกว่า การพฒั นาประเทศก็ไม่มนั่ คง หากการดำ� เนนิ งานด้านวฒั นธรรมพน้ื บา้ นมเี ปา้ หมายเพอื่ การเพมิ่ คณุ ภาพ ชีวิตชาวบ้านอย่างแท้จริงแล้ว วิธีการด�ำเนนิ งานต้องปรับเปล่ียนจากการบริหาร จัดการเองในทุกเรื่องทุกอย่างทุกขั้นตอน มาสู่การกระจายบทบาทหน้าท่ีไปสู่ ประชาชน ชาวบ้าน ภาคเอกชน หน่วยงานราชการและข้าราชการทเี่ ก่ยี วข้องต้อง

224 โสวฒั นธรรม ปรบั บทบาทจากผู้ด�ำเนนิ การเอง มาเป็นผู้เชอ่ื มประสาน สร้างเงอื่ นไขและส่งเสริม ให้ชาวบ้านและเอกชนมบี ทบาทมากทส่ี ุด ถ้าเป็นเช่นนไ้ี ด้ การดำ� เนนิ งานด้านนจี้ ะ ได้ “บุคลากร” “งบประมาณ” และได้ “ผลงาน” เป็นเท่าทวีคูณ เพราะรฐั จะเพม่ิ หนว่ ยงาน เพมิ่ งบประมาณมากเพยี งใดกย็ งิ่ จะไมไ่ ดม้ ากเทา่ กบั การได้ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน และงบประมาณ ทเี่ กดิ จากการทช่ี าวบา้ นช่วยกนั ระดมสรรพกำ� ลงั ทงั้ หลายมาช่วย และผลงานทเี่ กดิ ขนึ้ กจ็ ะยง่ั ยนื มน่ั คง และเปน็ รากฐานของการพฒั นาสงั คมโดยรวม เพราะงานวัฒนธรรม คือ การสร้างส�ำนึกของการสืบทอดคุณค่าแบบประเพณี ปรับเปล่ยี นให้เข้ากับยุคสมยั แห่งการเปลยี่ นแปลง ทำ� ให้ชาวบ้านเกิดความเชือ่ ม่ัน ในตวั เอง และค้นหาหนทางการพฒั นาทน่ี �ำไปสู่การพ่งึ ตนเองได้ในที่สดุ วธิ กี ารกบั เป้าหมายของการด�ำเนนิ ด้านวัฒนธรรมจะต้องสอดคล้องกัน วิธี การนน้ั จะต้องเป็นส่วนหนง่ึ ของเป้าหมาย เป็นกระบวนการพัฒนา ส่ิงแรกท่ีต้อง ทำ� คอื การ “กระจาย” อ�ำนาจในการด�ำเนนิ งานไปสู่ประชาชน ไปสู่ “ชาวบ้าน” เพอื่ เพม่ิ “บคุ ลากร” ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพใหม้ ากทสี่ ดุ วธิ กี ารคอื สบื คน้ “ผรู้ ”ู้ หรอื ผนู้ ำ� ชาวบา้ น ผมู้ ภี มู ปิ ญั ญาและบารมบี างคนมคี วามสามารถรอบดา้ น เปน็ ทง้ั ผนู้ ำ� เปน็ หมอยา เป็นครู เป็นผู้เชีย่ วชาญด้านศลิ ปะหรือหตั ถกรรม บางคนมคี วามสามารถ เพียงด้านเดียว คนเหล่านีพ้ ร้อมท่ีจะให้ความร่วมมอื ดำ� เนนิ การ และริเริม่ หากได้ รับการยอมรับและให้การสนบั สนนุ เมอื่ สบื คน้ บคุ คลเหลา่ นแ้ี ลว้ กค็ วรศกึ ษาวจิ ยั แนวคดิ และประสบการณข์ อง เขาในบรบิ ทชมุ ชนวฒั นธรรมทเี่ ขาอยู่ นำ� มาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บรว่ มกบั กรณอี นื่ ๆ ทไี่ ดส้ บื คน้ วจิ ยั มา จากนน้ั จงึ ประสานงานใหค้ นเหลา่ นไี้ ดม้ าพบกนั รว่ มแสดงความ คิดเห็นแลกเปลย่ี นประสบการณ์กนั รวมทงั้ “วิจารณ์” งานวจิ ัยและการวิเคราะห์ ท่ีเกี่ยวข้องกับพวกเขา ถ้าหากมีการแยกประเด็นความรู้ความสามารถของผู้รู้ชาวบ้าน การเชิญ บุคคลเหล่าน้ีมาร่วมงานก็อาจจะง่ายข้นึ ทำ� ให้ได้ประเดน็ ร่วมทจี่ ะโยงไปสู่ประเด็น อ่นื ได้ไม่ยาก เพราะชีวติ ชาวบ้านไม่ได้แยกประเด็นอยู่แล้ว เช่น การรักษาพืน้ บ้าน จะโยงไปถึงเร่ืองการท�ำมาหากิน พิธีกรรม และความเชื่ออื่นๆ ผู้รู้ด้านศิลปะและ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 225 หัตถกรรมก็โยงไปถึงคุณค่าของวิถีการด�ำเนนิ ชีวิต กฎเกณฑ์ในการอยู่รวมกันใน ชุมชน และงานบุญประเพณีเป็นต้น นอกนน้ั ยังจะโยงไปถึงประสบการณ์ในการ ประยุกต์วัฒนธรรม การรับเอาความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การบริหาร จัดการแหล่งน้ำ� เพอื่ การเกษตร คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า การด�ำเนนิ งานด้านวัฒนธรรมพื้นบ้าน น่าจะ เก่ยี วกบั ศาสตร์และศิลป์บรสิ ุทธ์ิ ไม่ควรไปยุ่งเกย่ี วกบั การพฒั นา ยกตัวอย่าง การ ศกึ ษาเรอื่ งนทิ านพนื้ บา้ น เพลงกล่อมเดก็ ดนตรพี น้ื บา้ นจะไปเกยี่ วกบั กระบวนการ พฒั นาไดอ้ ยา่ งไร ถา้ ไมแ่ ยกสง่ิ เหลา่ นอ้ี อกจากบรบิ ทชวี ติ ของชาวบา้ นทง้ั หมด เรอื่ ง เหล่านกี้ ็คือส่วนหนงึ่ ของวัฒนธรรมและการพัฒนา การสนทนากับชาวบ้านด้วย ความสนทิ สนมประหนง่ึ ญาติ นอกจากจะท�ำให้ผู้ศึกษาเข้าถงึ ไม่เพียงแต่ “ข้อมลู ” แต่สามารถเข้าถึงความรู้สึกนกึ คิดหรือ “วิญญาณ” ของข้อมูลนน้ั การสนทนา จะมีสีสันและปลุกเร้าพลังของวิญญาณด้ังเดิม ให้กลับมีชีวิต เป็นส�ำนึกทาง ประวตั ศิ าสตร์ เป็นพลงั ทางวฒั นธรรม ที่ท�ำให้ชาวบ้านเกดิ ความเช่ือมน่ั ในตนเอง ไมร่ สู้ กึ ตำ�่ ตอ้ ยหรอื ไมม่ คี ณุ คา่ พรอ้ มทจ่ี ะอนรุ กั ษ์ ฟน้ื ฟู และประยกุ ตค์ ณุ คา่ เหลา่ นนั้ เพื่อการพัฒนาตนเองต่อไป ศรทั ธาและความเชอื่ เปน็ พลงั ทป่ี ระหลาด คนทมี่ สี งิ่ เหลา่ นอ้ี ยา่ งแนว่ แน่ ยอ่ ม สามารถสร้าง “ปาฏิหาริย์” ได้ เรื่องเช่นน้ีไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในแวดวงการรักษา โรคแบบพน้ื บ้านเท่านน้ั หากแต่เกิดขึ้นในเร่อื งอน่ื ๆ ของชีวิตชุมชน ถ้าผู้ด�ำเนนิ งาน ดา้ นวฒั นธรรมพนื้ บา้ นมศี รทั ธาและเชอื่ มน่ั ในชาวบา้ น ใหพ้ วกเขามสี ว่ นรว่ มและมี บทบาทส�ำคัญ งานด้านนจ้ี ะสร้างมิตใิ หม่ ไม่เพยี งแต่ในแวดวงการศึกษา แต่จะมี คุณค่าในกระบวนการเรียนรู้และการพฒั นาท้ังระดบั ท้องถิน่ และระดบั ชาติ

226 โสวฒั นธรรม 4.8 บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ ในการสังเคราะห์งานวิจัยในหัวข้อเร่ืองวัฒนธรรมกับการพัฒนาของภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในกรอบระยะเวลายอ้ นหลงั ไปเปน็ ระยะ 10 ปี นบั เปน็ โครงการ ที่ดีท�ำให้ได้ทราบว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการศึกษาวิจัยงานด้านวัฒนธรรมใน แง่มุมใดไปบ้าง มีความก้าวหน้าและครอบคลุมประเด็นใดบ้างหรือยังมีประเด็น ใดบา้ งทย่ี งั มกี ารศกึ ษาวจิ ยั นอ้ ยเพอื่ ทผ่ี เู้ กย่ี วขอ้ งจะไดเ้ รง่ สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั เพมิ่ มากขึ้นก่อนทมี่ รดกทางวัฒนธรรมอนั มีค่าของท้องถ่นิ จะสูญหายไป การสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ในครงั้ นเ้ี ปน็ การสงั เคราะหจ์ ากเอกสารบรรณานทิ ศั น์ ที่สถาบันการศึกษาและหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชนได้เก็บรวบรวมไว้ซึ่ง บรรณานทิ ศั น์เหล่านน้ั มเี น้อื หาค่อนข้างจ�ำกดั มีความยาวเพยี ง 4-5 บรรทัดเท่านนั้ ประกอบกับในบรรณานิทัศน์แต่ละเร่ืองให้ข้อมูลเพียงเบ้ืองต้นว่าเป็นเร่ืองอะไร ใครเป็นผู้วจิ ัยแล้วสรปุ ประเด็นปัญหาและข้อที่ค้นพบเพียงสัน้ ๆ เท่านนั้ จึงเป็นการ ยากทจ่ี ะวเิ คราะหถ์ งึ แนวคดิ และทฤษฎแี ละกระบวนการวจิ ยั ตา่ งๆ ทผี่ วู้ จิ ยั นำ� มาใช้ ในการศึกษา ดงั นน้ั ในการสงั เคราะหง์ านในครง้ั นจ้ี งึ เปน็ เพยี งแตน่ �ำเสนอใหท้ ราบวา่ ในชว่ ง ระยะ 10 ปีท่ีผ่านมา สถานภาพของงานวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมกับการพัฒนาใน ภาคอีสานมีอยู่ก่ีเรื่อง มีใครเป็นผู้วิจัย จากนนั้ จึงจ�ำแนกแบ่งเป็นหมวดหมู่เพ่ือให้ นกั วจิ ยั ทส่ี นใจไดท้ ำ� การศกึ ษาตอ่ ยอดใหค้ รอบคลมุ งานวฒั นธรรมในทกุ แขนงตอ่ ไป จากการสังเคราะห์ผลงานวิจัยผ่านทางบรรณานทิ ัศน์ของภาคตะวันออก เฉยี งเหนือในคร้ังนี้ ท�ำให้พบว่าผลงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยท่ีน�ำเสนอข้อมูล เบอ้ื งตน้ ทฉี่ ายภาพใหเ้ หน็ เพยี งกระบวนการในการศกึ ษาวจิ ยั และภาพบรบิ ทชมุ ชน และผลสมั ฤทธขิ์ องกจิ กรรมเปน็ สำ� คญั ยงั ไมป่ รากฏผลงานวจิ ยั ชน้ิ ใดทเี่ สนอใหเ้ หน็ วา่ ผลจากการศกึ ษาวจิ ยั สามารถน�ำไปใชเ้ ปน็ ตน้ แบบใหแ้ กช่ มุ ชนอน่ื เพอ่ื แกไ้ ขวกิ ฤติ ทางวฒั นธรรมท่ีเกดิ ขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนน้ั จึงอาจกล่าวได้ว่าในการวิจัยวัฒนธรรมกับการพัฒนาของภาคตะวัน ออกเฉยี งเหนือ ควรน�ำเสนอประเดน็ ส�ำคญั ต่างๆ ดงั นค้ี ือ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 227 1. ควรนยิ ามความหมายของวฒั นธรรมทสี่ อดคลอ้ งกบั สภาพความเปน็ จรงิ กล่าวคือ ผู้วิจัยควรปรับกระบวนทัศน์ของประชาชนโดยท่ัวไปให้เกิดความเข้าใจ ความหมายของของวฒั นธรรมเสียใหม่ว่า วัฒนธรรมไม่ได้หมายถงึ เพยี งการแสดง การละเล่น การร้องร�ำท�ำเพลง ศิลปวัตถุและพิธีการต่างๆ ในวันส�ำคัญของชาติ เทา่ นน้ั หากมองกรอบของวฒั นธรรมอยใู่ นวงแคบเชน่ น้ี จะทำ� ใหม้ องไมเ่ หน็ แนวทาง ท่จี ะท�ำให้วัฒนธรรมมพี ลงั เพ่ือนำ� ไปสู่การพัฒนาชุมชนหรือสงั คมได้ 2. การวเิ คราะห์หรอื การตโี จทยข์ องวฒั นธรรม ในการทจี่ ะนำ� เอาวฒั นธรรม ไปเปน็ เครอื่ งมอื ในการพฒั นานน้ั ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งวเิ คราะหห์ รอื ตโี จทยค์ วามหมายของ วัฒนธรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนเพราะความเข้าใจเป็นพลังหรืออ�ำนาจ อันย่ิงใหญ่ท่ีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การท่ีมนุษย์สามารถด�ำรงอยู่ได้มาจนถึง ปัจจุบันน้ีแสดงว่าจะต้องมีปัญญาที่เรียกว่าปัญญาของชุมชนหรือปัญญาสังคม ถ้าไม่มีปัญญาคงจะด�ำรงอยู่ไม่ได้นาน การปฏิบัติหรือพฤติกรรมของชุมชนหรือ วิถีชุมชนก็คือวัฒนธรรม ซ่ึงสะท้อนถึงภูมิปัญญาของชุมชนหรือสังคมที่มาจาก ประสบการณ์จริงท่ีกล่ันกรอง ลองใช้และถ่ายทอดด้วยการปฏิบัติสืบต่อกันมา ดังนน้ั วฒั นธรรมกค็ ือภูมปิ ัญญาดั้งเดิมนนั่ เอง 3. ผลงานวจิ ยั ยงั ไมช่ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ ในทอ้ งถน่ิ หรอื ภาคเดยี วกนั อาจมวี ฒั นธรรมท่ี แตกตา่ งกนั ตามวถิ ขี องแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ความแตกตา่ งนนั้ ไมใ่ ชป่ ระเดน็ ทน่ี �ำไป ส่คู วามแตกแยกในสงั คม หากแต่ความแตกต่างนน้ั เป็นความงดงามตามธรรมชาติ บนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถ้าประชาชนในท้องถ่ินหรือประเทศชาติมี ความเขา้ ใจจะท�ำใหส้ มาชกิ ชมุ ชนอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งปรกตสิ ขุ บนพนื้ ฐานของความ แตกต่างที่มเี อกภาพ 4. ไมป่ รากฏผลงานวจิ ยั ชน้ิ ใดทชี่ ใี้ หเ้ หน็ วา่ วฒั นธรรมเปน็ ภมู ปิ ญั ญาทผี่ กู ตดิ กบั แผน่ ดนิ หากมกี ารอธบิ ายใหเ้ หน็ วา่ วฒั นธรรมคอื ภมู ปิ ญั ญาซง่ึ แปลวา่ ปญั ญาท่ี ผกู ตดิ อยกู่ บั แผน่ ดนิ หรอื ทอ้ งถน่ิ แลว้ ประชาชนจะเกดิ ความภาคภมู ใิ จเกดิ ความรกั หวงแหนและสบื สานมรดกทางวัฒนธรรมอนั ดงี ามของท้องถน่ิ ให้ยนื ยาวสืบต่อไป

228 โสวฒั นธรรม 5. ยังไม่ปรากฏผลงานวิจยั ชนิ้ ใดมุ่งสร้างความเข้าใจต่อชุมชนให้เห็นความ ส�ำคัญของของภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาของมนุษย์ว่าไม่จ�ำเป็นท่ีจะต้อง เกิดข้ึนเฉพาะในห้องเรียนหรือห้องทดลองวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่กระแสของ ปญั ญาเปน็ กระแสทถี่ า่ ยทอดประสบการณแ์ หง่ การเรยี นรจู้ ากรนุ่ สรู่ นุ่ ทม่ี รี ะยะเวลา ที่ยาวนานกว่า กว้างกว่าและมีความลึกซ้ึงมากกว่าการเรียนในช้ันเรียนเพราะการ เรยี นในชน้ั เรยี นนน้ั เปน็ เพยี งกระบวนการในการถา่ ยทอดทางเทคโนโลยมี ากกวา่ การ พัฒนาปัญญาเป็นการแสวงหาความรู้ในวงแคบและส้นั แต่วฒั นธรรมเป็นปัญญา ทเี่ กดิ จากการเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ ตง้ั แตด่ กึ ด�ำบรรพท์ ถี่ า่ ยทอดมาหลายชว่ั อายคุ น จงึ เป็นการสืบทอดท่ีเป็นกระแสธารปัญญาท่ียาวนานกว่า กว้างไกลกว่า ที่กล่าวว่า กวา้ งไกลกวา่ กเ็ พราะวา่ วฒั นธรรมเปน็ ความรเู้ ชงิ บรู ณาการทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ยใ์ นทกุ ๆ ดา้ นทงั้ ในดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมและสงิ่ แวดลอ้ มและทกี่ ลา่ ววา่ มีความลึกซึ้งกว่ากันก็เพราะวัฒนธรรมมีมิติทางจิตใจและจิตวิญญาณท่ีประกอบ ด้วยคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมอนั เป็นความสุขทีป่ ระณตี และงดงาม 6. ผลงานวิจัยยังไม่ได้ช้ีให้เห็นว่าฐานของสังคมคือวัฒนธรรมโดยการ เปรียบเทียบให้เห็นว่า ถ้าสถาปัตยกรรมทางสังคมยิ่งสูงขึ้น ยิ่งต้องมีฐานที่มั่นคง แน่นหนา ถ้าฐานของสงั คมไม่แน่นพอสงั คมก็จะแกว่งและล่มได้ง่าย 7. จากผลการวิจัยยังไม่ปรากฏแนวคิดอันแสดงให้สังคมท้องถ่ินได้ทราบ วา่ การศกึ ษาทเี่ นน้ การเรยี นเฉพาะความรจู้ ากหนงั สอื ซงึ่ ไมม่ รี ากฐานอยใู่ นวฒั นธรรม จึงเท่ากับการตัดคนออกจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง วัฒนธรรมที่ขาด การปฏบิ ตั กิ จ็ ะสญู สลายไปในทส่ี ดุ และจะไมม่ กี ารหวนกลบั คนื มาอกี เปน็ การทำ� ลาย มรดกทางภูมิปัญญาของบรรพชนอย่างน่าเสียดายยิ่ง ดังนนั้ นกั วิจัยจะต้องชี้ให้ สังคมได้ทราบและตระหนกั ถึงคุณค่าของวัฒนธรรมว่า ถ้าวัฒนธรรมสูญหายไป จากแผน่ ดนิ ไทย กจ็ ะตรงกบั พระราชดำ� รสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทวี่ า่ การ สญู สียวัฒนธรรมคือการสูญเสียชาติ 8. การวจิ ัยควรช้ีให้เห็นว่า การพฒั นาที่ตัดขาดจากรากฐานทางวฒั นธรรม ของตนเอง จะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี หายตอ่ ทอ้ งถน่ิ และประเทศชาตโิ ดยรวมสดุ คณานบั

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 229 จำ� เปน็ ทผี่ นู้ ำ� ทง้ั ภาครฐั และเอกชนและทอ้ งถนิ่ จะตอ้ งทบทวนและสรา้ งความเขา้ ใจ ถงึ การพฒั นาทไ่ี มต่ ดั รากทางวฒั นธรรมของตนเอง นคี่ อื ความหมายของวฒั นธรรม กับการพัฒนา 9. ในการสังเคราะห์งานวิจัยในครง้ั นท้ี �ำให้มองเหน็ ว่า แนวความคิดในการ วจิ ยั วฒั นธรรมกบั การพฒั นานน้ั เป็นแนวความคดิ แบบแยกเปน็ ส่วนๆ เช่นแยกเปน็ เศรษฐกจิ จิตใจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและส่งิ แวดล้อม เป็นต้น ซ่งึ แนวคิด การพฒั นาแบบแยกส่วนนนั้ มกั ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอกี มากมาย โดยธรรมชาติ แล้วสรรพสิ่งท้ังหลายไม่แยกส่วน แต่จะเช่ือมโยงกันเป็นหนงึ่ เดียวกัน เศรษฐกิจ จิตใจ การเมือง สังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ล้วนเช่ือมโยงเป็นเร่ืองเดียวกัน ถ้าองค์ประกอบเหล่านี้เช่ือมโยงกันเป็นบูรณาการก็จะก่อเกิดความสมดุลซึ่งจะ ก่อให้เกดิ ความมั่นคงท่ยี ง่ั ยืน 10. แหล่งข้อมูลงานวิจัยมสี ภาพอยู่กระจดั กระจาย ตามสถาบนั การศึกษา องค์กรต่างๆ ทั้งภาครฐั เอกชนและหน่วยงานทีใ่ ห้ทนุ วิจัย นอกจากน้ยี งั มผี ลงาน จำ� นวนมากที่ยังไม่ได้ตีพมิ พ์เผยแพร่จงึ ทำ� ให้ยากแก่การเข้าถึงแหล่งข้อมลู 11. การศึกษาวิจัยส่วนมากจะมีหัวข้อเรื่องเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน เปน็ จำ� นวนมาก จะแตกตา่ งกนั บา้ งเฉพาะพนื้ ทที่ �ำการวจิ ยั ทำ� ใหง้ านวจิ ยั มลี กั ษณะ ซำ้� ซ้อนกนั ก่อให้เกดิ การสญู เสียท้งั เวลาและการลงทนุ 12. การสังเคราะห์ข้อมูลบรรณานิทัศน์ในคร้ังนี้มีข้อจ�ำกัดในเร่ือง รายละเอยี ดของขอ้ มลู ขอ้ มลู ขาดความชดั เจนเพราะสาระทนี่ �ำเสนอสน้ั มาก กลา่ วคอื บรรณานทิ ศั น์แต่ละเรอื่ งมคี วามยาวเพียง 4-5 บรรทดั จึงเป็นการยากท่จี ะอธบิ าย ให้เหน็ ถึงแนวคิดทฤษฎีและกระบวนการในการด�ำเนนิ งานของผู้วจิ ัยได้ การศึกษาสังเคราะห์ความรู้งานวิจัยเร่ืองวัฒนธรรมกับการพัฒนานนั้ ยังมี ข้อจ�ำกัดหลายประการที่ใคร่เสนอแนะไว้ดงั นคี้ ือ 1. เพื่อให้การศึกษาสังเคราะห์ความรู้ แนวคิดทฤษฎีและข้อค้นพบใน ครั้งต่อไป ควรท�ำการสังเคราะห์จากบทคัดย่อของงานวิจัยเพราะมีรายละเอียด มากกว่าจะท�ำให้สามารถทราบถงึ แนวคดิ ทฤษฎที ี่ใช้ในการวจิ ยั

230 โสวฒั นธรรม 2. หนว่ ยงานภาครฐั และเอกชน ควรสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั ให้ เพมิ่ มากขน้ึ ดว้ ยการเพมิ่ งบประมาณใหส้ ถาบนั ตา่ งๆ ทำ� การรวมรวมผลงานวจิ ยั ใน ทุกแขนงไว้ให้ได้มากท่สี ุดเพอ่ื ให้นกั ศกึ ษาและบคุ คลทั่วไปได้ใช้ศึกษา 3. การศึกษางานวิจัยด้านวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ยังมี จำ� นวนคอ่ นขา้ งนอ้ ยและกระจกุ อยใู่ นกลมุ่ ของนกั วจิ ยั ในมหาวทิ ยาลยั เปน็ สว่ นใหญ่ นกั วิจัยท้องถิ่นหรือคนในท้องที่ยังขาดโอกาสท่ีจะท�ำการศึกษาวิจัยทั้งน้ีเพราะไม่มี ทนุ สนบั สนนุ หรือเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก 4. ควรมีการสร้างนกั วิจัยรุ่นใหม่ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นกั วิจัยท้องถิ่นได้มี ส่วนร่วมในการท�ำงานวจิ ยั ให้มากขึน้ 5. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรจัดสรรงบประมาณสนับสนนุ งานวิจัย ให้มจี �ำนวนมากขน้ึ 6. ผลงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยท่ีเป็นองค์ความรู้เบ้ืองต้นเท่านนั้ ไม่ สามารถนำ� ไปเปน็ แมแ่ บบทสี่ ามารถนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ทิ ไ่ี ดผ้ ลจรงิ ทำ� ใหผ้ ลประโยชน์ ท่ไี ด้รบั ไม่คุ้มค่ากับเวลาและทนุ ที่ลงไป 7. ผลงานสว่ นใหญห่ ลงั การสงั เคราะหข์ อ้ มลู ภาคสนามแลว้ ไมไ่ ดส้ ง่ ใหช้ มุ ชน หรือผู้มสี ่วนได้เสียตรวจสอบความถกู ต้อง 8. ในโอกาสต่อไปควรมีการศึกษาสังเคราะห์งานวิจัยย้อนหลังให้ได้มาก ทส่ี ดุ เพอื่ ทจ่ี ะมองเหน็ ภาพพฒั นาการของงานวจิ ยั ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรอื ประกาศได้ชดั เจนยง่ิ ข้ึน

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 231 เอกสารอา้ งองิ กรรณิการ์ ศรีฉลวย (2536) หมอนขิดท่ีบ้านศรีฐาน อ�ำเภอป่ าติว้ จงั หวดั ยโสธร, วิทยานิพนธ์ศิลป ศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาไทยคดีศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม การทอ่ งเที่ยวแหง่ ประเทศไทย (2545) รายงานความก้าวหน้าโครงการวจิ ยั ปี ท่ี 1 เร่ืองศักยภาพ การท่องเท่ยี วเชงิ นิเวศตามลำ� แม่น�ำ้ มูล [ม.ป.ท.:ม.ป.พ.] กิตติ วรกิจรัตน์ (2544) การย้ายถิ่นของชาวชนบทภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเข้าสเู่ ขตเทศบาลเมือง นครปฐมหลงั ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ, วิทยานิพนธ์สงั คมวิทยามหาบณั ฑิต คณะรัฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั กฤตกร กลอ่ มจติ (2537) การศกึ ษาผลกระทบการจดั การศกึ ษาขององค์กรตา่ งๆ ทม่ี ผี ลตอ่ การพฒั นา หมบู่ ้านในชนบทอีสาน, วารสารข่าววจิ ยั และพฒั นา 8(6):2-3 โกเมท บุญไชย 2542 พฒั นาการชุมชนริมฝั่งแม่น�ำ้ ชี : ศึกษากรณีบ้านท่าไคร้ อ�ำเภอเสลภูมิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดีศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม เกริกไกร แก้วล้วน (2536) การศกึ ษาชมุ ชนแออดั ในเมืองหลกั ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ : ศกึ ษา กรณีเมอื งอดุ รธาน,ี วทิ ยานพิ นธ์การศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ (วชิ าเอกภมู ศิ าสตร์) มหาวทิ ยาลยั ศรีนคริทรวโิ รฒ ประสานมิตร จรัญญา วงศ์พรหม (2541) ผู้หญิงอีสาน:ทางเลือก ศักยภาพและแนวทางการพัฒนา:รวม บทความและบทวิเคราะห์ประสบการณ์และความรู้เก่ียวกับผู้หญิง, สถาบนั วิจยั และ พฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น จงั หวดั หนองคาย (2540) หนองคาย, กรุงเทพฯ : มงั กรการพิมพ์ จีระ ศรเสนา (2541) การพฒั นาอาชีพเสริมของกลมุ่ เกษตรกรท�ำนาโคกส�ำราญ,วิทยานิพนธ์ศิลป ศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาพฒั นาสงั คม) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น จรุ ีรัตน์ ผลดี (2544) การเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการหาปลาของชุมชนลุ่มน�ำ้ มูลตอนปลาย ภายหลังการสร้างเข่ือนปากมูล, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั มหิดล ชื่น ศรีสวสั ดิ์ (2545) การจดั การป่ าไม้โดยใช้มิติทางวฒั นธรรม : กรณีศึกษาป่ าชมุ ชนในจงั หวดั อบุ ลราชธานี, วารสารวชิ าการเฉลมิ พระเกียรติ 75 พรรษามหาราช (ม.ค. 2546):101-109 ชพู กั ตร์ สทุ ธิสา (2541) สภาพอำ� เภอโกสุมพสิ ัย จงั หวัดมหาสารคาม, มหาสารคาม : สำ� นกั งาน ป่ าไม้จงั หวดั มหาสารคาม ชอบ ดสี วนโคก (2543) ธรรมทรรศน์; วฒั นธรรม การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรม อีสาน, วารสารธรรมทรรศน์ 1(1):75-78 ชอบ ดีสวนโคก (2547) คำ� หลายความ:รวบรวมบทความเพ่อื การศกึ ษาด้านสังคมวัฒนธรรม อีสาน, [ขอนแก่น] : ส�ำนกั วฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น

232 โสวฒั นธรรม ณฐั พร วงศ์อาจ (2543) ปัจจยั ทางครอบครัวที่มีผลตอ่ การเร่ร่อน:ศกึ ษาเฉพาะกรณีสถานค้มุ ครอง สวสั ดิภาพเด็กภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (รัฐศาสตร์) บณั ฑิตวทิ ยาลมั หาวทิ ยาลยั -207 เกษตรศาสตร์ ดษุ ฎี อายวุ ฒั น์ (2546) ผลการแก้ปัญหาเร่งดว่ นกลมุ่ ผ้ยู ากล�ำบาก:กรณีศกึ ษาเครือข่ายผ้ตู ิดเชือ้ เอดส์ จงั หวดั ขอนแก่น,วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 20(2):43-57 ดวงฤดี แสงไกร (2539) การจดั การทรัพยากรป่ าไม้โดยสถาบนั ศาสนา:กรณีศกึ ษาวดั อดุ มคงคาคีรี เขต อ�ำเภอมญั จาคีรี จงั หวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น นนั ทิยา ชตุ านวุ ตั รและณรงค์ ชตุ านวุ ตั ร (2547) เกษตรกรรมย่งั ยนื กระบวนทศั น์ กระบวนการ และตวั ชีว้ ัด, กรุงเทพฯ : มลู นิธิเกษตรกรรมยงั่ ยืน ประเทศไทย นาถฤดี มณีเนตร (2546) ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อแรงจงู ใจที่ท�ำให้นกั ท่องเท่ียวเดินทางไปท่องเที่ยว บริเวณพรมแดนดา่ นตรวจคนเข้าเมืองมกุ ดาหาร, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 20(2):58 นาถฤดี มณีเนตรและชมนาด ไชยประสิทธิ์ (2547) การศึกษาความพึงพอใจของนกั ท่องเท่ียว ที่มีต่อสถานบริการท่ีพกั แรมแบบประหยดั ในเขตอ�ำเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น,วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 21(4): 103-119 บณั ฑิต ถิ่นค�ำรพ (2538-2539) ปัญหาสังคมและสาธารณสุขของคนงานก่อสร้าง : การ ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างขอนแก่นและหนองคาย, ขอนแก่น : ภาควิชาสถิติและ ประชากรศาสตร์ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น บ�ำเพญ็ แสงชาติ (2540) วฒั นธรรมการดแู ลตนเองในผ้ตู ดิ เชือ้ เอชไอวีและเอดสื การศกึ ษาในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย, วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรดษุ ฎีบณั ฑิต บณั ฑิต วิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล บวั พนั ธ์ พรหมพกั พิง (2546) รายงานการวจิ ยั เร่ือง การก่อเกดิ การผลติ ซ�ำ้ และการขยายตวั ทนุ ทางสังคมในชนบทอีสาน ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั ประภสั สร สธุ รรมวจิ ติ ร (2541) การดแู ลสขุ ภาพของผ้ใู ช้แรงงานกอ่ สร้าง : ศกึ ษาเฉพาะกรณีแรงงาน ก่อสร้างในเขตเทศบาลนครขอนแก่น จงั หวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวชิ าสงั คมวิทยาการพฒั นา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ปฤษฎา บญุ เจือ (2536) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชมุ ชน : ศึกษาเฉพาะกรณี โครงการประสานความร่วมมือพฒั นาทงุ่ กลุ าร้องไห้จงั หวดั ร้อยเอด็ , วทิ ยานิพนธ์พฒั นบริหาร ศาสตรมหาบณั ฑิต พฒั นาสงั คม สถาบนั พฒั นบริหารศาสตร์ ปรุงศรี วลั ลโิ ภดม (2544) วฒั นธรรม พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณ์และภมู ปิ ัญญา จงั หวัดมุกดาหาร, กรุงเทพฯ]:คณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะ กรรมการการอ�ำนวยการจดั งานเฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 233 ผ่องเพ็ญ เจียมสาธิต (2539) ปัจจยั ท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั การปรับตวั ของแรงงานไทยในสิงคโปร์, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาสงั คมวิทยาการพฒั นา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น พระมหาจ�ำเนียร ผะคงั ควิ (2543) การอนรุ ักษ์ป่ าชมุ ชนแนวพทุ ธ:กรณีศกึ ษาวดั ป่ าบ้านชาด ต�ำบล นาคู ก่ิงอำ� เภอนาคู จงั หวดั กาฬสนิ ธ์,ุ วทิ ยานพิ นธ์สงั คมศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาสงิ่ แวดล้อม) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล พระมหาชศู กั ดิ์ น้อยสนั เทียะ (2545) บทบาทพระสงฆ์ในการพฒั นาชนบทในภาคตะวนั ออกเฉียง เหนือ, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาพฒั นาชนบทศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล พระมหาอนนั ต์ ดอนนอก (2540) บทบาทของพระสงฆ์ในการพฒั นาชุมชนตามโครงการอบรม ประชาชนประจ�ำต�ำบล (อ.ป.ต.)ในจงั หวดั นครราชสีมา, วิทยานิพนธ์สงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาบณั ฑิต คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ พชั รินทร์ ลาภานนั ท์ (2547) ผ้หู ญิงชนบทกบั ขบวนการเคล่ือนไหวส่ิงแวดล้อม:วิธีคิดและ “พืน้ ท่ี การตอ่ ส้”ู , วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 20(1): 30-40 พิษณุ อุตตมะเวทิน (2538) พฤติกรรมการบริโภคอาหารกับโรคที่พบบ่อยในชาวชนบทอีสาน, วารสารศูนย์การศกึ ษาต่อเน่ือง มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 3(3): 16-18 พิธนั ดร นิตยสทุ ธิ์ (2547) สทิ ธิพลเมืองกบั สง่ิ แวดล้อมธรรมชาติภายใต้ภาวการณ์ขยะมลู ฝอยของ เทศบาลนครขอนแก่น, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 22(1):95-108 พงศา ศุภจริยาวตั ร (2540) ปัญหาที่ดินท�ำกินบ้านหนองโนกับบ้านหนองอีด�ำ ต�ำบลหนองโน อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม, วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาวชิ าไทยคดศี กึ ษา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม พรเพ็ญ ทบั เปลี่ยน (2541) การวิเคราะห์การอยู่รอดของชุมชนในระบบเศรษฐกิจเพ่ือการค้า, วิทยานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต (สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์) มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ไพบลู ย์ ดา่ นวริ ทยั (2535) การใช้ทรัพยากรธรรมชาตกิ ับความขัดแย้งทางสังคม : พลวัตของ การเป็ นนิคกบั ทางเลอื กทางพฒั นา, กรุงเทพฯ : สถาบนั วจิ ยั สงั คมจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ไพศาล ชว่ งฉ่�ำ (2536) ระบบนิเวศป่ าไม้กบั ภยั แล้งอีสาน, จุลสารสภาวะแวดล้อม 12(1): 15-22 พวงรัตน์ วทิ ยตมาภรณ์ (2541) การศกึ ษาการใช้แหลง่ ความรู้ในชมุ ชนในการเรียนการสอนกลมุ่ สร้าง เสริมประสบการณ์ชีวติ (สงั คมศกึ ษา) ในโรงเรียนประถมศกึ ษา สงั กดั ส�ำนกั งานประถมศกึ ษา จงั หวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาสงั คมศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

234 โสวัฒนธรรม ภคภมู ิ บตุ รโพธิ์ (2540) ผลกระทบตอ่ ชมุ ชนจากอตุ สาหกรรมโรงโม่ บด และยอ่ ยหิน ก่ิงอ�ำเภอนาวงั และอ�ำเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ล�ำภ,ู วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดี ศกึ ษา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ภาสกร ภแู ต้มนิล (2540) ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีแผนใหม่ในการปลกู แตงโม : กรณีบ้าน ดอนยานาง ต�ำบลดอนสมบรู ณ์ อ�ำเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตร มหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดีศกึ ษา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มณีมยั ทองอยู่ (2546) การเปลย่ี นแปลงของเศรษฐกิจชาวนาอสี าน:กรณีชาวนาลมุ่ น�ำ้ พอง, วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 20(3): 40-52 มลู นิธิพฒั นาอีสาน (2541) การสัมมนาเร่ือง “ชุมชนกับระบบเงนิ ตราเพ่ือการพ่งึ พาตนเอง” (ชมุ ชนภาคอีสาน), โครงการระบบเงินตราชมุ ชน มลู นิธิพฒั นาอีสานและอื่นๆ ยิ่งยง เทาประเสริฐ (2542) บทเรียนเอดส์ภาคเหนือ:สู่การปรับใช้ในชุมชนอีสาน, ขอนแก่น : ศนู ย์ฝึกอบรมและพฒั นาการสาธารณสขุ มลู ฐาน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ฤทธิ์ชยั ภตู ะวนั ,ทวี หอมหวนและปราณี มคั ศนนั ท์ (2546) ชะตากรรมชาวนาไทยในภาคอีสาน, กรุงเทพฯ:ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั ชดุ โครงการการพฒั นาระบบสวสั ดิการส�ำหรับ คนจนและคนด้อยโอกาสในสงั คมไทย รุ่ง ชาญทพิ ย์ ชยั ศริ ิกลุ (2546) สตรีแมบ่ ้านในชมุ ชนวฒั นธรรมเขมรกบั บทบาทการดแู ลรักษาสขุ ภาพ : กรณีศกึ ษาบ้านตลงุ เกา่ ตำ� บลโคกม้า อำ� เภอประโคนชยั จงั หวดั บรุ ีรัมย์,วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตร มหาบณั ฑิต (สาขาวิชาการพฒั นาสงั คม) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ลนิ ดา เพยี วริทซ์ (2541) ความจริงทางประวตั ศิ าสตร์หรือภาพมายา ประวตั ศิ าสตร์เศรษฐกจิ ครอบครวั อีสาน:กรณีหมบู่ ้านแหง่ หนงึ่ ในจงั หวดั ชยั ภมู ,ิ วทิ ยานิพนธ์อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทย ศกึ ษา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ทรงศิริ (2539) แหล่งผลิตเลือกสมยั โบราณล่มุ น�ำ้ สงคราม,วารสารเมืองโบราณ 22(4):39-52 วราคนา วงศม์ หาชยั (2536) บทบาทผ้นู ำ� ในการพฒั นาองคก์ รประชาชน:ศกึ ษาเฉพาะกรณีการพฒั นา องคก์ รประชาชนระหวา่ งชมุ ชนของมลู นธิ ิพฒั นาอสี าน, วทิ ยานพิ นธ์สงั คมสงเคราะห์ศาสตรมหา บณั ฑิต คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ วราภรณ์ นวลเพญ็ (2539) การเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกิจและสงั คมของชาวบ้านเขอื ง ต�ำบลเขืองกิ่ง อ�ำเภอขวญั จงั หวดั ร้อยเอ็ด, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (ไทยคดีศึกษา) บณั ฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม วิลาวลั ย์ เอือ้ วงศ์กลู (2541) ความสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการของเมืองกับการเปล่ียนแปลง วัฒนธรรม : กรณีศกึ ษาเมืองเรณูนคร, กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั วิเวศ ศรีพทุ ธา (2541) การพฒั นาครุ ภาพและบทบาทผ้นู �ำสตรีระดบั หมบู่ ้านเพื่อการพฒั นาชมุ ชน, วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาวชิ าพฒั นาสงั คม)บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 235 วรี ะพล ชยั มะดนั (2538) การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรม : ศกึ ษาเฉพาะ กรณีบ้านหนองหว้า ตำ� บลช่ืนชม อำ� เภอเชียงยนื จงั หวดั มหาสารคาม, บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม วีระพล นนตรี (2543) การเปลยี่ นแปลงวิถีการผลติ ของชาวนาในลมุ่ น�ำ้ ชี อ�ำเภอกนั ทรวิชยั จงั หวดั มหาสารคาม พ.ศ.2504-2539, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดีศกึ ษา) บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม วงศา เลาหศริ ิวงศ์ (2548) บทบาทองค์การบริหารสว่ นตำ� บล(อบต.) ในงานสาธารณสขุ ท้องถ่ิน:กรณี ศึกษาในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ, ขอนแก่น: รวมบทคัดย่อผลงานวิจัย โครงการวิจยั 2544-2547 ฝ่ ายวจิ ยั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ศรีรตั นะ จงั หวดั ศรีสะเกษ วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาไทยคดศี กึ ษา) บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ศาสตรี เสาวคนธ์ (2536) การพ่งึ พงิ ป่ าและผลติ ภณั ฑ์จากป่ า, ขอนแกน่ : สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ศิริมา นามประเสริฐ (2544) การสนับสนุนทางสงั คมของครอบครัวและชุมชนต่อผู้ป่ วยเอดส์, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ขอนแก่น สถาบนั วิจยั สงั คม จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั (2535) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติกับความขัด แย้งทางสังคม : พลวัตของการเป็ นนิคกับทางเลือกทางพฒั นา, กรุงเทพฯ : สถาบนั วิจยั สงั คม จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั สถาบนั วิจยั และพฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น (2540) องค์กรชุมชน : กลไกเพ่อื แก้ปัญหาและ พฒั นาสังคม, กรุงเทพฯ:ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั สกุ ญั ญา เอมอมิ่ ธรรม (2546) การประกอบธรุ กจิ ชมุ ชนเพอื่ การพฒั นาอาชพี , วารสารมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 18(33): 87-99 สเุ ทพ สกั ทอง (2542) การจดั การทรัพยากรป่ าไม้โดยวดั :กรณีศกึ ษาวดั ถ�ำ้ ผาป่ ู ต�ำบลนาอ้อ อ�ำเภอ เมอื ง จงั หวดั เลย, วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ สทุ นิ สนองผนั (2540) จากเมอื งสบิ เอด็ ฝักตูสบิ แปดป่ องเอยี ้ ม ซาวเก้าแมข่ นั้ ได:เมอื งทม่ี ชี อื่ ประหลาด ในดนิ แดนอสี าน สคู่ วามสมั พนั ธ์กบั เครือขา่ ยทางสงั คมใกล้เคยี ง, วารสารมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 5(2): 53-66 สพุ จน์ หารพรม (2540) ศกั ยภาพเชิงเศรษฐกิจของกล่มุ แม่บ้านเกษตรกรผลิตสมนุ ไพรผงบ้าน ห้วยซ้อทรัพย์สมบรู ณ์ อ�ำเภอภผู ามา่ น จงั หวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดีศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม สปุ ราณี ลกั ษณะศิโย (2540) กระบวนการประกอบอาชีพตดั เย็บเสือ้ ผ้าสตรีในเขตเทศบาลเมือง มหาสารคาม อ�ำเภอเมือง มหาสารคาม, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาไทยคดี ศกึ ษา) บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม

236 โสวัฒนธรรม สวุ ิทย์ ธีรศาศวตั และชอบ ดีสวนโคก (2536) รายงานการวิจัยเร่ือง การเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและ หลงั มแี ผนพฒั นาเศรษฐกจิ แห่งชาต,ิ ขอนแกน่ :ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดี คณะ มนษุ ยศาสตร์และสงั คม ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น สวุ ิทย์ ธีรศาศวตั และปรีชา อยุ ตระกลู (2536) ประวตั ิศาสตร์อีสาน:พรมแดนแห่งความรู้,วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 11(1):19-39 สวุ ทิ ย์ ธีรศาศวตั (2538) ป่ าชมุ ชน (ป่ าวฒั นธรรม) อีสาน,วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 12(2): 79-83 สวุ ทิ ย์ ธีรศาศวตั (2539) การเปลยี่ นแปลงอาชีพของชาวอสี านในชมุ ชนชานเมืองหลกั ตงั้ แตต่ งั้ ชมุ ชน จนถงึ ปัจจบุ นั ,วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 14(1):97-114 สร้อย อนสุ รณ์ธีรกุล,มณเฑิรา เขียวย่ิง,สชุ าดา สวุ รรณค�ำ(2537-2538) การรับรู้เจตคติและ พฤติกรรมป้ องกันโรคเอดส์ของชายไทยในระดับหมู่บ้านขอนแก่น, ขอนแก่น : คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น สพสนั ต์ เพชรค�ำ (2540) ปากยาม:หมู่บ้านประมงในลุ่มน�ำ้ สงครามกับการเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกจิ และสงั คม,วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาไทยคดศี กึ ษา) บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม สมคดิ พรมจ้ยุ (2546) เศรษฐกจิ ชมุ ชนหมบู่ ้านอสี านใต้:ความอยรู่ อดของชมุ ชนทา่ มกลางกระแสความ เปลยี่ นแปลง, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 20(3):53-58 สมชาย พงษ์เทพิน (2542) สภาพทางเศรษฐกิจและสงั คมของผ้นู �ำกบั การท�ำงานของผ้นู �ำเครือขา่ ย องคก์ รชมุ ชนในเขตเมอื ง ศกึ ษาเฉพาะกรณี:เครือขา่ ยสหชมุ ชนนครขอนแกน่ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น วิทยานิพนธ์พฒั นาชมุ ชนมหาบณั ฑิต คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สมศกั ด์ิ ศรีสนั ตสิ ขุ (2534) ลกั ษณะการเปลีย่ นแปลงของชมุ ชนและปัจจยั เส่ยี งทางสงั คมของโรคอุ จาระร่วงในเดก็ : การศกึ ษาเปรียบเทียบเฉพาะกรณี 10 หมบู่ ้านในจงั หวดั ขอนแก่น, วารสาร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 9(1): 83-90 สมศกั ดิ์ ศรีสนั ตสิ ขุ , สรุ นาท ขมะณรงคแ์ ละสำ� เริง จนั ทรสวุ รรณ (2536- 2537) วารสารมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 11(2): 70-75 สมศกั ดิ์ ศรีสนั ตสิ ขุ (2546) การประเมนิ ความยากจนแบบมสี ว่ นร่วมในกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์กุ ะเลงิ บ้านทราย แก้ว ต�ำบลกดุ บาก อ�ำเภอกดุ บาก จงั หวดั สกลนคร, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 20(2): 40-44 สมศรี ชัยวณิชย์ (2542) เขื่อนปากมูล:เหตุแห่งความขัดแย้งในสังคม (พ.ศ.2530-2538), วารสารวชิ าการ ม.อบ. 2(1):44-52 สมพนั ธ์ เตชะอธิก (2540) การพฒั นาความเข้มแขง็ ขององค์กรชาวบ้าน, สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 237 โสพศิ หมดั ป้ องตวั (2546) ปัจจยั สง่ เสริมความเข้มแขง็ ให้กลมุ่ ผ้รู ับงานไปท�ำท่ีบ้านในภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือ วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบณั ฑิต คณะรัฐศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ อนงค์นชุ เทียนทองและประภสั สร เตชะประเสริฐวิทยา(2542)การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและ สงั คมกบั การถือครองพนื ้ ทด่ี นิ วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 17(1): 7-13 อดุ ม บวั ศรี (2538) การท่องเท่ียวกบั กระแสวฒั นธรรมท่ีเปลี่ยนแปลง วารสารศูนย์การศึกษา ต่อเน่ือง 3(1): 4-8 อดุ ม บวั ศรี (2544) “ปี ผา่ นไป คนอีสานหนั หลงั ให้อาหารยอดนิยม ลาบ ก้อย ปลาดบิ ”วารสารข่าว สำ� นักงานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ 42(437): 17 อรทัย ศรีทองธรรม(2541)วัฒนธรรมความเช่ือหมู่บ้านอีสานในการอนุรักษณ์ป่ าชุมชน กรณี ศกึ ษา:หมบู่ ้านในอ�ำเภอเดชอดุ ม จงั หวดั อบุ ลราชธานี วารสารนิเวศวทิ ยา 25(1): 19-33



บทท่ี 5 พลังวัฒนธรรมในศลิ ปะอสี าน ชลติ ชัยครรชติ 5.1 บทนำ� ตลอดชว่ งหลายทศวรรษทผี่ า่ นมา “วฒั นธรรม” ไดถ้ กู นยิ ามในความหมาย ท่หี ลากหลาย นับต้งั แต่ความหมายของความเจริญงอกงาม มาจนถงึ กระบวนการ ทางความคดิ ความรแู้ ละสงิ่ ทเี่ ปน็ ผลผลติ ทางสงั คม การทมี่ นี ยิ ามมากมายเชน่ นี้ ไม่ ได้หมายความว่ามันขดั แย้งกนั นยิ ามส่วนมากจะคล้ายๆ กัน และอาจแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การนิยามวฒั นธรรมว่าเป็นสิ่งมีตัวตน (realistic) ส่วนอีก ประเภทหนงึ่ จะนิยามวฒั นธรรมว่าเป็นวัฒนธรรมในอดุ มคติ ไม่มตี ัวตน (idealistic) ค�ำว่า เรียลลิสติค (realistic) หมายถึงความคิดที่ว่าส่ิงต่างๆ อาจถือเป็นส่ิงที่มีอยู่ อยา่ งอสิ ระและแตกตา่ งไปจากความรคู้ วามสามารถของสมองทรี่ บั ความรไู้ ว้ สว่ นคำ� วา่ ไอเดยี ลสิ ตคิ (idealistic) คอื ความคดิ ทวี่ า่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเปน็ สว่ นหนง่ึ ของความรู้ ของมนษุ ย์ และของสมองทค่ี ดิ สรา้ งมนั ขน้ึ มา วฒั นธรรมในอดุ มคตจิ ะมาในรปู แบบ ของแผนวัฒนธรรมต่างๆ รวมทั้งกฎเกณฑ์ท่ีเอามาจากพฤติกรรมท่ีสังเกตเห็นได้ วัฒนธรรมจึงเป็นการจดั ระเบยี บของกฎเกณฑ์ข้อบังคบั ต่างๆ และของบรรทัดฐาน ทม่ี ีอยู่ในสมองของผู้สร้างวฒั นธรรม และได้ถ่ายทอดไปให้ลกู หลาน การให้ความ หมายวัฒนธรรมว่าเป็นวัฒนธรรมในอุดมคตินนั้ เป็นการมองวัฒนธรรมว่าเป็นส่ิง ทไี่ ม่มตี วั ตนเพราะมนั เป็นนามธรรม

240 โสวฒั นธรรม ศิลปวัฒนธรรม (Art and Culture) เป็นค�ำร่วมสมัยที่ใช้ในปัจจุบัน โดยมี ความหมายท่ีแคบลงมากกว่าค�ำว่าวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าค�ำนิยาม ดงั กลา่ วจะไมป่ รากฏในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศกั ราช (2542) แต่ การใช้ค�ำน้ีโดยทั่วไปมีความหมายถึง ศิลปะและวัฒนธรรม อันหมายถึง ผลผลิต ทางวฒั นธรรม ทม่ี าจากการแสดงออก ทงั้ ในดา้ นศลิ ปะ ศลิ ปะดง้ั เดมิ และรว่ มสมยั สถาปัตยกรรมอันเป็นผลผลติ จากความรู้และภูมปิ ัญญา จติ รกรรม ประตมิ ากรรม หัตถกรรม ตลอดจนศิลปะการแสดง ท่ีเป็นเป็นผลสะท้อนถึงการส่ังสมความรู้ ความคิด รวมทัง้ โลกทัศน์ของคนในแต่ละท้องถ่ิน ภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรอื ภมู ภิ าคอสี านของประเทศไทย เปน็ ดนิ แดน ทไี่ ดร้ บั การกลา่ วถงึ ในฐานะของดนิ แดนทเี่ ปน็ แอง่ อารยธรรม มกี ารสงั่ สมวฒั นธรรม มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในอีกฐานะหนงึ่ คือการเป็นอาณาบริเวณที่มีความ หลากหลายทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การเป็นดินแดนท่ีมี ผลผลิตทางด้านวัฒนธรรมอันหลากหลาย ทั้งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น และผลผลติ ทเ่ี กดิ จากการผสมผสานกบั วฒั นธรรมท้องถิน่ อื่นๆ ผลผลติ ทางศิลปะ และวัฒนธรรมท้งั หลายเหล่านี้ ได้มีการส่งั สม สบื ทอดและการปรับเปลีย่ นไปตาม สภาพการณ์ทางสังคม ตลอดชว่ งทศวรรษทผ่ี า่ นมา ไดม้ กี ารสนบั สนนุ การศกึ ษา รวบรวม ตลอดจน การคน้ ควา้ และวจิ ยั ผลงานอนั เปน็ ผลผลติ ทางดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมของภมู ภิ าค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทั้งทเี่ ป็นผลงานวิจัยจากนกั วิชาการภายในภูมิภาค ภูมภิ าค อ่ืน รวมทั้งงานวิจัยของสถาบันการศึกษาในระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต อย่างไรก็ตามยังไม่มีการรวบรวมผลงานเหล่านี้ในลักษณะการศึกษาในเชิง สังเคราะห์เพ่ือการประเมินสถานะภาพของการศึกษางานศิลปวัฒนธรรมในช่วง ทศวรรษทีผ่ ่านมา ความเข้าใจในสถานะงานวจิ ยั ว่าได้มีการศกึ ษาด้านใดบ้างและ มคี วามครอบคลมุ ครบถว้ นในทกุ ดา้ นหรอื ไมอ่ ยา่ งไร ซงึ่ การรวบรวมและศกึ ษาครง้ั นี้ นอกจากการเข้าใจสถานะภาพการวิจัยในช่วงระยะเวลาท่ีผ่านมาแล้ว ยังจะเป็น ประโยชน์ต่อการก�ำหนดทิศทางการวิจัย ตลอดจนการสนับสนนุ ทุนในการศึกษา วจิ ัยด้านศลิ ปวัฒนธรรมในโอกาสต่อไปด้วย

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 241 การประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยด้านศิลป วัฒนธรรม ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ มีวัตถุประสงค์ท่ีส�ำคัญคือ การประเมิน สถานภาพความจ�ำเป็นของการวิจัยวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมการ วิเคราะห์ สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมการอภิปรายแนวคิด ทฤษฎี และปญั หาการวจิ ยั ในมติ ทิ างวธิ วี ทิ ยาของการวจิ ยั ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม เพอ่ื การเสนอแนะแนวทางพฒั นาการวจิ ยั วัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมในอนาคต ศิลปวัฒนธรรมเป็นผลผลิตทางสังคมท่ีสะท้อนเอกลักษณ์ของความเป็น ชาติและลักษณะทางสังคม วิถีชีวิต ทางโลกทัศน์และการปรับตัวกับระบบนิเวศ ทางสังคมกบั สภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ในช่วงทผี่ ่านมา งานด้านศลิ ปวัฒนธรรม ได้มุ่งเน้นไปที่ การอนุรักษ์ ส่งเสริมและการสืบสานเป็นหลัก อันเป็นผลท�ำให้ งานวัฒนธรรมบางอย่างได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุผลที่ผลผลิตทาง วัฒนธรรมไม่ได้ท�ำหน้าท่ีตอบสนองสังคมได้โดยตรง ท้ังการใช้ประโยชน์และการ ทำ� หน้าทตี่ อบสนองในแต่ละสังคม ซ่ึงเป็นเหตผุ ลของการเปลี่ยนแปลงสงั คมในยคุ โลกาภิวัฒน์และสังคมข่าวสารทไี่ ร้พรมแดน ท่ามกลางปัญหาของโลกในกระแสทนุ นยิ ม หลายชาติในโลกต่างเรม่ิ หนั มา ทบทวน การพฒั นาอยา่ งมนั่ คงทา่ มกลางรากฐานทางวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาของ ท้องถิน่ ตนเอง ก่อนก้าวไปตามกระแสของสงั คมอ่ืน อันเป็นผลทำ� ให้เกิดวิกฤตทาง เศรษฐกิจและสังคมตามมา ส�ำหรับสังคมไทยแล้วประเด็นส�ำคัญของการพัฒนา สังคมบนรากฐานทางภูมิปัญญาของตนเองคือ การทบทวนความรู้ภูมิปัญญา ท้องถิน่ การสร้างความตระหนกั เกยี่ วกบั รากฐานทางวัฒนธรรม เป็นสงิ่ ท่นี ำ� มาซึง่ รากฐานของความเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกจิ อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นการสรา้ งความเขม้ แขง็ บนรากฐานทางเศรษฐกิจ จ�ำเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องทบทวนความรู้และภูมิปัญญา ของแต่ละท้องถิ่นเพ่ือให้เข้าใจศิลปะและวัฒนธรรมในหลายมิติ กล่าวคือ ต้อง ศกึ ษาคน้ หาองคค์ วามรทู้ างศลิ ปวฒั นธรรม ท�ำใหเ้ กดิ การรบั รคู้ ณุ คา่ กอ่ นท�ำใหเ้ กดิ มลู คา่ จากวฒั นธรรม โดยเฉพาะการเกดิ แนวคดิ ทางเศรษฐกจิ รว่ มสมยั คอื การสรา้ ง เศรษฐกิจบนพื้นฐานของภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินและทนุ ทางวฒั นธรรม

242 โสวัฒนธรรม “ทุนทางวัฒนธรรม” เป็นแนวคิดท่ีเกิดข้ึนจากนกั วิชาการในยุโรป จากนกั การศกึ ษาเชน่ ปอล วลิ ลสิ (Paul Willis) และโรบนิ นาช (Robin Nash) ทอ่ี ธบิ ายเรอื่ งการรบั รู้ ของนักเรียนว่า การมีภูมิหลังจากครอบครัวท่ีต่างกัน การเรียนรู้จากภูมิหลังท่ี แตกตา่ งกนั ทำ� ใหก้ ารรบั รขู้ องนกั เรยี นมคี วามแตกตา่ งกนั การขดั เกลาทางครอบครวั และสังคมถือว่าเป็นทุนทางวัฒนธรรม ในกลุ่มนกั วิชาการยุคใหม่ที่มองเห็นความ ส�ำคัญท่ีมีอยู่ในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในกลุ่มนกั วิชาการทางเศรษฐศาสตร์ อธิบายถึงความส�ำคัญของส่ิงท่ีมีอยู่ในมนุษย์ทุกสังคมคือทุนทางวัฒนธรรมและ ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับคุณค่า ความรู้ ภูมิปัญญาตลอดจน งานสร้างสรรค์ทเ่ี กดิ จากท้องถน่ิ รวมทั้งค่านยิ มและความเชอื่ ท่ีผกู พันสงั คม ท�ำให้ เกดิ การจดั ระเบยี บทางสงั คม การสรา้ งกฎกตกิ าทเ่ี ปน็ คณุ ตอ่ สงั คมโดยรวม รวมถงึ กิจกรรมท่ีถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง ทุนทางวัฒนธรรมท่ีเป็น องคค์ วามรเู้ ชน่ สมนุ ไพร การถนอมอาหาร เทคโนโลยี หตั ถกรรมและสถาปตั ยกรรม พื้นบ้าน ฯลฯ หรือในส่วนที่เป็นกิจกรรมท่ีเป็นทุนทางวัฒนธรรมเช่น ความเชื่อ พธิ กี รรม ประเพณี การละเล่น ตลอดจนดนตรีและศลิ ปะการแสดง ฯลฯ แนวความคดิ หลกั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทนุ ทางวฒั นธรรมคอื การเขา้ ใจคณุ คา่ และ ตระหนกั ถึงคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่น เพ่ือใช้ทุนทางทางวัฒนธรรมเพ่ือสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ อันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างม่ันคงภายใต้รากฐาน ความรู้จากท้องถิ่นโดยตรง ทรอสบี (Thosby 2001) นยิ ามคำ� ว่าทนุ ทางวฒั นธรรม หมายถึงทรัพย์สินทางปัญญาท่ีสั่งสมมาในอดีต มีคุณค่าต่อมนุษย์และความ ต้องการของสังคม นอกเหนอื จากการให้มลู ค่าทางเศรษฐกจิ นกั วชิ าการฝรัง่ ปิแอร์ บรู ์ดิเออ (Pierre Bourdieu) อธิบายว่า ทนุ ทางวัฒนธรรมปรากฏในสามรูปแบบคอื ในตัวคนหรือกลุ่มคนเช่นความคิด จินตนาการ ความรเิ รมิ่ สง่ิ ท่มี ีผลเป็นรปู ลักษณ์ เป็นตัวตนเช่น งานศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี สิ่งคิดค้น สถานที่ท่ีเป็นมรดกทาง วฒั นธรรม และความเป็นสถาบัน หมายถงึ กติกาทางสังคม การยอมรบั ในสถาบนั วดั โรงเรียน ผู้ทรงความรู้

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 243 ทุนทางวัฒนธรรมในความหมายตามนิยามดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับ ความนิยามตามความหมายในประเทศทางตะวันออกก็คือ นิยามของภูมิปัญญา ท้องถน่ิ (Local Wisdom) อันหมายถงึ ความรู้ของชาวบ้านในท้องถน่ิ ซ่ึงได้มาจาก ประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความรู้ท่ีส่ังสมมาแต่ บรรพบรุ ษุ สบื ทอดจากคนรนุ่ หนงึ่ ไปสคู่ นอกี รนุ่ หนง่ึ ระหวา่ งการสบื ทอดมกี ารปรบั ประยุกต์และเปลี่ยนแปลง จนอาจเกิดเป็นความรู้ใหม่ตามสภาพการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และสงิ่ แวดล้อม ภูมิปัญญาเป็นความรู้ท่ีประกอบไปด้วยคุณธรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิต ดงั้ เดมิ ของชาวบา้ นในวถิ ดี งั้ เดมิ นน้ั ชวี ติ ของชาวบ้านไม่ได้แบง่ แยกเปน็ ส่วนๆ หาก แต่ทกุ อย่างมีความสมั พันธ์กัน การท�ำมาหากิน การอยู่ร่วมกนั ในชมุ ชน ความรู้ใน เชงิ นเิ วศ สมนุ ไพร หตั ถกรรม สถาปตั ยกรรม การปฏบิ ตั ศิ าสนา พธิ กี รรม ประเพณี ศิลปะและการแสดง ความต่างระหว่างนิยามทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถ่ินก็คือทุนทางวัฒนธรรมได้รวมความคิดของการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญา ท้องถิ่น เพ่ือให้ท้องถิ่นมองเห็นคุณค่าและน�ำความรู้ภูมิปัญญามาเพิ่มมูลค่าเป็น ต้นทนุ ทางเศรษฐกจิ การจ�ำแนกผลงานศิลปวัฒนธรรมเป็นปัญหาประเด็นแรกในการพิจารณา รวบรวมผลงานเพ่ือการประเมินในครั้งน้ี ลักษณะผลงานทางด้านศิลปวัฒนธรรม ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ มีทั้งลักษณะท่ีคล้ายคลึงและแตกต่างจากภูมิภาค อื่น จากการส�ำรวจงานวิจัยพบประเด็นแตกต่างประการแรกคือไม่มีงานวิจัยผล งานศลิ ปะรว่ มสมยั ในภมู ภิ าค ทำ� ใหป้ ระเดน็ การอธบิ ายสนุ ทรศี าสตรแ์ บบตะวนั ตก ที่เป็นมุมมองท่ีใช้ในการพิจารณาผลงาน ได้รับการพิจารณาว่ามีความเหมาะสม หรอื ไม่ เนอ่ื งจากผลงานสว่ นใหญท่ ปี่ รากฏเปน็ การศกึ ษางานศลิ ปะในแบบประเพณี นยิ มทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การศกึ ษาจติ รกรรมฝาผนงั หรอื ฮปู แตม้ ตามผนงั สมิ อีสาน เนื่องจากสุนทรียศาสตร์เป็นความงามท่ีเกิดจากคุณค่าและความหมายใน มิติทางวัฒนธรรม ซ่ึงผู้วิจัยได้นำ� มาเป็นกรอบแนวคิดหลักในการอภิปราย เป็นที่

244 โสวฒั นธรรม น่าสังเกตว่างานศิลปะร่วมสมัยและการศึกษาศิลปินร่วมสมัยไม่ปรากฏเช่นดัง ภมู ภิ าคอนื่ เช่น ภาคกลางและภาคเหนอื ศลิ ปะการแสดงหมอลำ� เปน็ เรอ่ื งทไี่ ดร้ บั ความสนใจศกึ ษามากกวา่ ศลิ ปะการ แสดงพ้ืนบ้านอื่น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอ่ืนนาฏศิลป์และศิลปะการแสดง เป็นเรื่องท่ีได้รับความสนใจมากในส่วนงานศิลปวัฒนธรรม เหตุผลประการสำ� คัญ อาจเน่ืองมาจากการแสดงหมอล�ำ มีความเข้มแข็งจากการท่ีสามารถด�ำรงอยู่ ทา่ มกลางกระแสสงั คมทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลงและรบั วฒั นธรรมความทนั สมยั มาจาก ภายนอกภมู ิภาค ทั้งนค้ี วามสนใจศึกษาหมอล�ำมาจากการทห่ี มอล�ำมีการปรับตวั และพัฒนาการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อันเป็นคำ� ถามท่ี ผวู้ จิ ยั ตงั้ เปน็ ประเดน็ ค�ำถามทส่ี �ำคญั เช่นเดยี วกบั นกั วจิ ยั ทส่ี นใจศกึ ษาเรอ่ื งราวของ หมอลำ� ทง้ั การปรบั ตวั ด้านรูปแบบ เนอ้ื หาสาระ วธิ กี ารนำ� เสนอแต่เหตุใด หมอล�ำ ยงั คงรกั ษาอัตลักษณ์และกล่นิ อายของวัฒนธรรมความเป็นหมอล�ำไว้ได้ ในส่วนศิลปะการแสดงและนาฏศิลป์พ้ืนบ้าน ปรากฏความหลากหลายใน ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ในภูมิภาคน้ี ดนตรีและการแสดงมีลักษณะ พิเศษคือ การสะท้อนทั้งสุนทรียภาพส่วนบุคคลและสุนทรียภาพที่เป็นที่ยอมรับ ของสังคมภูมิภาคดนตรีและการแสดงจึงเก่ียวข้องกับท้ังพิธีกรรมและการละเล่น เพ่อื ความบนั เทงิ โดยความเป็นวัฒนธรรมราษฎร์หรอื วัฒนธรรมในวถิ ีชาวบ้าน จงึ ไม่มีแบบแผนตามจารตี ท่ีเป็นกฎเกณฑ์ แต่กลับมีความยดื หยุ่นตามสถานการณ์ท่ี เป็นความน่าสนใจ งานศิลปวัฒนธรรมท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกับภูมิภาคอ่ืนคือ งาน สถาปัตยกรรมและหัตถกรรม ท้ังน้ีเน่ืองจากโดยลักษณะของสังคมไทยมีพ้ืนฐาน ทางสงั คมในวถิ เี ดยี วกนั คอื ความเป็นสงั คมชาวนา มลี กั ษณะอาชพี เดยี วกนั คอื การ มพี น้ื ฐานการเปน็ เกษตรกรเพาะปลกู ขา้ ว พนื้ ฐานลกั ษณะทางนเิ วศเดยี วกนั คอื การ เป็นสังคม ไม้ไผ่ หวาย และพืชธรรมชาติที่สามารถถักทอได้เช่นเดียวกัน ส่วนที่ แตกตา่ งกนั บา้ งคอื งานสถาปตั ยกรรมบา้ นเรอื นทอี่ ยอู่ าศยั ซงึ่ มรี ายละเอยี ดแตกตา่ ง กนั บ้างตามลักษณะภูมนิ เิ วศและวิถคี วามเชื่อของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์แต่ละกลุ่ม

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 245 สาเหตุใดท่ีงานศิลปวัฒนธรรมจึงควรได้รับความสนใจและเป็นประเด็นใน การศกึ ษาสถานภาพองคค์ วามรตู้ ลอดจนงานวจิ ยั ในชว่ งทผ่ี า่ นมา นอกจากความรู้ ความเข้าใจว่าในช่วงที่ผ่านมา มีการวิจัยทางด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างไรแล้ว การสังเคราะห์งานศึกษาวิจัยยังเป็นประโยชน์ในการก�ำหนดทิศทางการวิจัยใน อนาคตด้านศิลปวัฒนธรรม การประมวลงานวิจัยและการสังเคราะห์งานวิจัย ยัง ให้ความเข้าใจถึงกระบวนการวิจัยท่ีผ่านมาว่าใช้วิธีวิทยาใด กระบวนการศึกษา ได้ใช้กรอบแนวคิดใดบ้างในการ วิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาและท่ีส�ำคัญคือ มีข้อเสนอแนะในการศึกษา ค้นคว้าในแต่ละประเด็นอย่างไร ก่อนการก�ำหนดทิศทางและนโยบายการวิจัยทางศิลปวัฒนธรรม มีความ จ�ำเป็นอย่างยง่ิ ที่จะต้องมกี ารประมวลความรู้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์สถานภาพ และสถานการณ์ทางศิลปวัฒนธรรม ข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิจากการ สำ� รวจศกึ ษา จงึ เปน็ แหลง่ ความรพู้ น้ื ฐานทสี่ ำ� คญั ในการคน้ หาจดุ เดน่ และจดุ ทตี่ อ้ ง ปรับปรุง เพ่ือเสริมสร้างความเข้มแข็งของการวิจัยทางศิลปวัฒนธรรมในอนาคต ยง่ิ กวา่ นน้ั การสำ� รวจสถานภาพและการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ศลิ ปวฒั นธรรมในครง้ั น้ี ยังเป็นประโยชน์ต่อการเสนอแนะองค์กรทางวัฒนธรรม หน่วยงานก�ำกับดูแลงาน ดา้ นวฒั นธรรม องคก์ รสถาบนั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ไดเ้ ขา้ ใจจดุ แขง็ ทางศลิ ป วัฒนธรรมมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท้ังงานศิลปวัฒนธรรมและใช้ผลจากงาน ด้านศิลปวัฒนธรรมมาเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ผลจากการสำ� รวจและ สงั เคราะหย์ งั นำ� มาสู่ การจดั ทำ� ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายในการพฒั นางานวจิ ยั ดา้ น ศิลปวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งในการใช้ทุนทางวัฒนธรรมอย่างย่ังยืน ตอ่ ไป อยา่ งไรกต็ ามยงั มผี ลทตี่ ามมาคอื การเขา้ สทู่ ศวรรษแหง่ การรอ้ื ฟน้ื วฒั นธรรม และภูมิปัญญา ในการส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าวิจัยศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้ง ภาคส่วนท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพ่ือให้ปราชญ์ชุมชนและชุมชนได้สร้าง ความเข้มแข็งทางวฒั นธรรมของแต่ละภูมภิ าคในโอกาสต่อไป

246 โสวฒั นธรรม ชว่ งทศวรรษทผี่ า่ นมาเปน็ ยคุ แหง่ การรอื้ ฟน้ื วฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาดง้ั เดมิ ของไทย มงี านค้นคว้าวิจยั ปรากฏอยู่ในประเทศเป็นจ�ำนวนมาก ท้ังการศึกษาวจิ ยั อย่างไม่เป็นทางการและการศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างเป็นทางการ การสร้างกระแส การแสวงหาความรู้โดยท้องถ่ินท่ีเรียกว่า “วัฒนธรรมชุมชน” โดยองค์กรท้องถิ่น พพิ ิธภัณฑ์ สถาบนั การศกึ ษา ศนู ย์วฒั นธรรมท้องถนิ่ ปราชญ์ผู้รู้ท้องถนิ่ ตลอดจน การมศี นู ยว์ ฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ในทอ้ งถนิ่ โรงเรยี น วดั ชมุ ชน ท�ำใหก้ ารแสวงหาความรู้ ทางวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เกดิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อยา่ งไรกต็ ามการละเลย ในคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนรุ่นใหม่กลับเป็นสาเหตุส�ำคัญของการน�ำ ความรู้ทางวฒั นธรรมเพอื่ มาประยุกต์ใช้ในการพฒั นาอย่างยั่งยืน แม้ในเป้าหมาย ของการพัฒนาในปัจจุบันจะได้มุ่งเน้นการพัฒนาที่มาจากความเข้มแข็งทาง วฒั นธรรมของชมุ ชนก็ตาม การให้นิยามความหมายทางวัฒนธรรมในลักษณะนามธรรม ก็อาจเป็น เหตุผลส�ำคัญประการหนงึ่ ในการใช้มิติวัฒนธรรมในการพัฒนา ส�ำหรับในกรอบ การประเมนิ ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ไดก้ �ำหนดใชก้ รอบในการประเมนิ โดยใหค้ วาม หมายของค�ำว่าศิลปวัฒนธรรม อันหมายถึงการศึกษาผลงานที่เป็นการแสดงออก ของการเป็นสมาชิกทางสังคมอันประกอบไปด้วย ความรู้ ภูมิปัญญา หัตถกรรม การช่าง การทอผ้า การน�ำความรู้ทางวฒั นธรรมมาแปลงเป็นผลิตภณั ฑ์ใหม่ ดงั นน้ั การประเมนิ ผลงานดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ตามกรอบการรวบรวมผลงาน เพอื่ การประมวลผลงานในช่วงทศวรรษท่ผี ่านมา จึงครอบคลุมศลิ ปวัฒนธรรม ใน ความหมายถึงการศึกษาเรื่องราวที่เก่ียวข้องกับการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เก่ียวข้อง กับวิถีชีวิตท้ังในส่วนท่ีเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม วัฒนธรรมท่ีเป็น วถิ ชี วี ติ ของชมุ ชน ดงั นนั้ ในการรวบรวมผลงานในกรอบศลิ ปวฒั นธรรมจงึ ครอบคลมุ ทงั้ งานวจิ ยั ทางดา้ นการดำ� รงชพี ผลผลติ ทางวฒั นธรรมทเ่ี ป็นรปู ธรรมเชน่ งานศลิ ป หตั ถกรรม คา่ นยิ ม ความคดิ ความเชอื่ และศาสนา จารตี ประเพณี องคค์ วามรทู้ เ่ี ปน็ ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ศลิ ปะการแสดง รวมทัง้ สถาปัตยกรรม ทงั้ น้ีรวมถึงผลงานการ วจิ ยั วิทยานิพนธ์ บทความ หนงั สือทางวิชาการ

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 247 ความส�ำคัญของการส�ำรวจและประเมินสถานภาพงานวิจัยทางด้านศิลปะ และวฒั นธรรมคอื การส�ำรวจองคค์ วามรใู้ นการศกึ ษาทางดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรม ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากการรวบรวมผลงานเพ่ือประเมินผลการวิจัย ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว การประเมินผลงานและสังเคราะห์ผลการศึกษาท่ีผ่านมา นอกจากจะท�ำให้สามารถเข้าใจในสถานภาพการศึกษาวิจัยในช่วงที่ผ่านมาแล้ว จนถึงปัจจุบัน ผลจากการประมวลงานวิจัยยังสามารถน�ำมาวิเคราะห์เพื่อก�ำหนด กรอบแนวคดิ ทศิ ทางและเป้าหมายการวิจัยในอนาคตได้อกี ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญหาของประเด็นการศึกษาภายใต้กรอบแนวทางการ สงั เคราะหใ์ นประเดน็ ศลิ ปวฒั นธรรมกย็ งั เปน็ ปญั หาของการกำ� หนดแนวทางของการ รวบรวมและคดั เลอื กผลงานในระยะแรก เนอ่ื งจากความหมายของศลิ ปวฒั นธรรม เป็นประเดน็ ความหมายทกี่ วา้ ง ประเดน็ ปัญหาคอื งานลกั ษณะใดทจี่ ดั เป็นผลงาน ด้านศิลปวัฒนธรรม งานศลิ ปะทเี่ ป็นการสร้างสรรค์โดยปัจเจกจัดเข้ากลุ่มลักษณะ งานดังกล่าวหรือไม่ วรรณกรรมหากศึกษาเฉพาะผลงานโดยไม่มีบริบททางสังคม สามารถจดั เข้ากลุ่มได้หรือไม่ หรือแม้แต่งานวจิ ยั ทางด้านการศกึ ษา งานวจิ ยั และ ผลงานบางชิ้นยังมีความเก่ียวข้องกับประเด็นอ่ืนๆ เช่น วัฒนธรรมกับการพัฒนา จากวตั ถปุ ระสงคข์ องงานวจิ ยั ทตี่ อ้ งการพฒั นาผลผลติ ทางวฒั นธรรม ภายใตบ้ รบิ ท ทางสงั คมทีเ่ ปลย่ี นแปลง ศิลปวัฒนธรรมในวิถีชุมชนกลุ่มชาติพันธ์ุ ผลจากการประเมินเอกสารพบว่าผลงานโดยส่วนใหญ่เป็นการส�ำรวจ องค์ความร้แู ละเป็นกรณศี กึ ษาเปน็ พนื้ ฐานหลกั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมาผลงานการศึกษาส่วนใหญ่เป็นวิทยานิพนธ์ในระดับมหาบัณฑิต ของ สถาบันการศึกษาภายในภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับผลงานการศึกษาวัฒนธรรม ในเชิงเปรียบเทียบที่เป็นการวิจัยเฉพาะกรณีในเชิงเปรียบเทียบมีอยู่เป็นจ�ำนวน รองลงมา การสำ� รวจองคค์ วามรใู้ นแตล่ ะดา้ นปรากฏอยทู่ งั้ ในผลงานการศกึ ษาวจิ ยั วทิ ยานพิ นธแ์ ละเอกสารตา่ งๆ ซง่ึ สรปุ ไดว้ า่ ผลงานทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมในชว่ งท่ี ศึกษาส่วนใหญ่เป็นการวิจยั และศึกษาข้นั พน้ื ฐานเป็นหลัก

248 โสวัฒนธรรม 5.2 ศิลปกรรม ศิลปะและสนุ ทรียศาสตร์ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา งานด้านศิลปกรรมร่วมสมัยไม่ค่อยเด่นชัดนัก ถึงแม้ว่าจะมีสถาบันการศึกษาท่ีสอนศิลปกรรมร่วมสมัยในระดับอุดมศึกษาหลาย แหง่ ทง้ั สถาบนั ราชมงคล สถาบนั ราชภฏั รวมทงั้ สถาบนั การศกึ ษาหลกั ของภมู ภิ าค เช่น มหาวิทยาลัยมหาสารคามและมหาวิทยาลัยขอนแก่น อาจเนื่องจากสถาบัน การศกึ ษาหลกั ทง้ั สองแหง่ เพง่ิ เรมิ่ จดั ตง้ั และยงั อยรู่ ะหวา่ งการเรมิ่ ตน้ สงั่ สมงานวจิ ยั ศภุ ชยั สงิ หย์ ะบศุ ย์ (2541) ศกึ ษาเกยี่ วกบั ศลิ ปะสมยั ใหมใ่ นภาคอสี านในสามทศวรรษ พบว่า ความโดดเด่นของขบวนการกลุ่มศลิ ปินไท-อีสาน คอื การมฐี านที่ม่ันคงด้าน วชิ าการจากคณาจารย์ศลิ ปะแทบทกุ สถาบนั โดยเฉพาะมหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงส่งผลต่อความม่ันคงในก้าวย่างท่ีชัดเจนต่อการช่วย ขยายองค์กรกลุ่มศิลปินและพัฒนาวงการศิลปะสมัยใหม่ให้คงอยู่ในภมู ิภาคแห่งน้ี ได้และมกี ารเปิดโอกาสให้ศลิ ปินทุกรุ่นได้เข้ามาร่วมภารกิจศลิ ปินไท-อสี าน นอกจากนน้ั ธีระวัฒน์ คะนะมะ (2545) ได้กล่าวถึงผลงานภาพเขียนเพ่ือ การเชดิ ชเู กยี รตศิ ลิ ปนิ ของอสี าน ซง่ึ ขอ้ เขยี นนเี้ ปน็ ค�ำทสี่ ำ� แดงทศั นะแห่งหลกั คดิ ถงึ คณุ คา่ ผลงานและเชญิ ชวนใหส้ มั ผสั รบั รสทสี่ นุ ทรยี ะรว่ มกนั แรงบนั ดาลใจขงิ ผลงาน นน้ั ทง้ั หมดมาจากสภาพแวดลอ้ มรอบตวั ตงั้ แตม่ วลมาลเี กสรสวยจนถงึ กอหนามรา้ ย จากต่�ำเต้ียตามดินหรือซากอิฐแดง ก�ำแพงพังจนสูงเสียดเทียมฟ้าเกยก่ายเมฆา ทุกอย่างได้ถูกบันทึกไว้ตลอดช่วงวัยของศิลปินตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ในงาน ทกุ ชน้ิ จงึ ไดส้ �ำแดงตนตามล�ำดบั กระบวนการและพรรณนาอารมณไ์ ดอ้ ยา่ งหมดจด ไม่มีเทจ็ รวมทั้งหลักเหล่ยี ม การรวมผลงานเพ่ือเชิดชูเกียรติศิลปินท้องถ่ิน เริ่มปรากฏในช่วงทศวรรษน้ี สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน (2545) จัดงานเชิดชูเกียรติศิลปินพื้นบ้าน อีสาน เนื่องในวันศิลปินแห่งชาติ 24 กุมภาพันธ์ (2545) สถาบันวิจัยศิลปะและ วฒั นธรรมอสี าน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ไดจ้ ดั โครงการวนั ศลิ ปนิ พนื้ บา้ นอสี าน แห่งชาติข้ึนเพ่ือประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติโดยศิลปินพ้ืนบ้านอีสานท่ีได้รับการ คดั เลอื กมจี ำ� นวน 8 ทา่ น คอื นายทวี รชั นกี ร และนายธรี ะวฒั น์ คะนะมะ สาขาทศั นศลิ ป์

งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 249 นางส�ำรวม ดีสม (น�้ำผ้ึง เมืองสุรินทร์) และนางผมหอม สกุลไทย สาขาศิลปะ การแสดง นายก�ำปั่น ข่อยนอก (ก�ำปั่น บ้านแท่น) สาขาศิลปะและสื่อพ้ืนบ้าน เพื่อการส่ือสารมวลชนนายสมบัติ สิมหล้า สาขาดนตรีพ้ืนบ้าน นายสุภณ สมจติ ศรปี ญั ญา และนายมนสั สขุ สาย สาขาวรรณศลิ ป์ ซงึ่ ไดเ้ สนอประวตั แิ ละผล งานของศลิ ปินแต่ละท่าน การศกึ ษาลวดลายบนงานหตั ถกรรมของประพฒั นศ์ ลิ ป์ อนิ่ แกว้ (2546) ศกึ ษา ประวัติความเป็นมาของผ้าลายกาบบัว ซึ่งถือเป็นผ้าประจ�ำจังหวัดอุบลราชธานี ตามตำ� นานวรรณกรรมอสี านและประวตั เิ มอื งอบุ ลทปี่ รากฏใหเ้ หน็ เปน็ หลกั ฐานคอื ความสวยงามเปน็ เอกลกั ษณ์ของผ้าเมอื งอบุ ล มลี วดลายเฉพาะตวั ทไ่ี ม่เหมอื นใคร เมอื่ ปพี .ศ.(2543) จงั หวดั อบุ ลราชธานไี ดร้ เิ รม่ิ ด�ำเนนิ โครงการ สบื สานผา้ ไทย สายใย เมอื งอบุ ล “ผ้ากาบบัว” จงึ มเี อกลักษณ์และได้มกี ารประกาศเมอื่ วนั ที่ 25 เมษายน (2543) เป็นต้นมา ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.(2544) จังหวัดได้ประชาสัมพันธ์ให้องค์ภาครัฐ และเอกชนแต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้ากาบบวั สีกลบี บัว ในวนั องั คารของทุกสัปดาห์ จติ รกรรมรว่ มสมยั จากประเพณที างพทุ ธศาสนาของ พรพสิ ฐิ ทกั ษณิ (2540) ศกึ ษาเรอื่ งพระเวสสนั ดรชาดกในผา้ ผะเหวด องคป์ ระกอบของจติ รกรรมผา้ ผะเหวด และศึกษาภาพสะท้อนวิถีชีวิตและคติความเช่ือในผ้าผะเหวด พบว่าเรื่อง พระเวสสันดรชาดกท่ีปรากฏในผ้าผะเหวดทั้ง 10 วัดท่ีศึกษามีการเสนอเรื่องราว ครบทัง้ 13 กัณฑ์ และพบว่ามีการนำ� เสนอภาพเกยี่ วกับพระพุทธศาสนาท่ีเรียกว่า “สังกาส” องค์ประกอบของจิตรกรรมผ้าผะเหวดนนั้ ได้รับแนวคิดทางพุทธศาสนา เป็นส�ำคัญ รูปแบบท่ีปรากฏมี 2 รูปแบบ คือ แบบเกลี่ยสีเรียบ และไม่เรียบ สว่ นภาพสะทอ้ นวถิ ชี วี ติ นนั้ ผา้ ผะเหวดสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ วถิ ชี วี ติ แบบไทยโบราณ คติ ความเชื่อเกี่ยวกับนรกสวรรค์ สมุ าลี เอกชนนยิ ม (2546) ศกึ ษาแนวคดิ ในการสรา้ งงานจติ รกรรมฝาผนงั ใน การออกแบบโครงสร้างภาพ การถ่ายทอดเรอื่ งราว รูปแบบ การใช้สี การใช้กลวิธี และน�ำผลท่ีได้มาพัฒนาสร้างสรรค์งานจิตรกรรมร่วมสมัย โดยศึกษาจากภาพท่ี ผนงั อุโบสถเป็นตัวก�ำหนดแบบนิยมใช้รูปทรงขนาดใหญ่แสดงความต่อเนื่องของ