250 โสวฒั นธรรม เหตุการณ์สีเส้น เร่ืองราวสร้างความกลมกลืน ได้แก่ เร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธ ศาสนา เร่ืองเล่าท่ีเป็นนทิ านพื้นบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่ จิตรกรรมและวัฒนธรรม แบบจารีตในทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสานในช่วง 100 ปีท่ีผ่านมาปรากฏ หลักฐานจากการศึกษาโดย เสมอ อนุรัตน์วิชัยกุล (2536) ศึกษาองค์ประกอบ ทางเร่ืองราว รูปแบบการแต่งกายและความสัมพันธ์ของเครื่องแต่งกายกับวิถีชีวิต ในสังคมที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนงั พบว่าจิตรกรได้รับแรงบันดาลใจจาก อิทธิพลการสร้างศิลปกรรมตามศิลปะรัตนโกสินทร์ การแต่งกายของภาพบุคคล แสดงให้เหน็ วิถีชีวิตเกย่ี วกับสถานภาพทางสงั คมของชาวพทุ ธ เทพและกษัตริย์ใน ภาพเขียนฉลองพระองค์ด้วยเครื่องสูงตามแบบศลิ ปะรัตนโกสินทร์ สำ� หรบั จติ รกรรมทวี่ ดั ตะคุ นวิ สั กองเพยี ร(2539) ไดอ้ ธบิ ายรปู ภาพจติ รกรรม ฝาผนงั ทวี่ ดั หน้าพระธาตุ หรอื วดั ตะคุ ตามทชี่ าวบา้ นอำ� เภอปักธงชยั เรยี กกนั เปน็ ภาพที่เขียนแบบสีเดียว อยู่เบ้ืองไกลข้างหลังสาวสองนางเป็นโทนสีส้มร้อนแรง แม้รูปเขียนเพียงแต่หน้าและหัวไหล่กู้ยังเห็นว่าสาวอีสานสะเทิ้นอายหวาดหว่ัน ดงึ ตวั หนอี อ้ มกอด จติ รกรรมฝาผนงั ทวี่ ดั ตะคนุ ไี้ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ งานจติ รกรรม ทม่ี ีความเป็นเลศิ ยงิ่ ในกระบวนจิตรกรรมฝาผนงั อีสานทั้งภาค ช่างแต้มท้องถนิ่ ท่มี ี ฝีมอื ทัดเทยี มช่างหลวง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีอสิ ระในการทำ� งาน กัลญานี กิจโชติประเสริฐ (2542) กล่าวถึงสิมพ้ืนบ้าน ฮูปแต้มพื้นถ่ิน ท่ีบ้านนาพึง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ในหุบเขามีสันเขาเตี้ยๆ ล้อมรอบ คนท่ีนี่เป็น ชาวไทยเลย อพยพมาจากฝั่งลาวทางอ�ำเภอเชียงคาน มาต้ังบ้านเรือนบริเวณที่มี ต้นหมากพงึ จงึ ได้ชื่อว่า บ้านนาพงึ ที่นม่ี วี ดั เก่าโบราณท่ีต้งั มาก่อนตั้งหมู่บ้านช่ือ วัดโพธ์ิชัย ซึ่งมีสิ่งศิลปวัตถุและสิ่งก่อสร้างน่าสนใจมากมาย ต้ังแต่หอไตรเสาสูง ซุ้มประตวู ดั มีรปู ปั้นสัตว์ป่าหิมพานต์ เสาหลักธรรมหรอื ท่ภี าษท้องถิ่นเรียกว่าหลัก ค�ำไปจนถึงสีมาหรือคนอีสานเรียกว่าสิมเก่าแก่ที่มีจิตรกรรมฝาผนงั ท่ีงดงามฝีมือ ช่างท้องถ่ิน ภาพจิตรกรรมฝาผนงั หรอื ทภี่ าษาท้องถนิ่ เรียกว่า ฮปู แต้ม ได้สะท้อน ให้เห็นภาพชีวิตความเป็นอยู่และความเช่ือทางศาสนาของชาวบ้านนอกจากนกี้ าร ใช้ลายเส้นและสสี นั ยงั บ่งบอกความเป็นเอกลกั ษณ์ของพ้นื ถ่ิน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 251 การศกึ ษาองคป์ ระกอบของจติ รกรรมฝาผนงั ของ เพญ็ ผกา นนั ทดลิ ก (2541) เร่ืองมหาเวสสันดรชาดกตามลักษณะแนวคิด รูปทรง หลักและวิธีการเขียนภาพ ตลอดจนคุณค่าของจิตรกรรมในวิถีชีวิตของชาวบ้านยาง พบว่าภาพจิตรกรรม เร่ืองมหาเวสสันดรชาดกเม่ือเทียบกับเรื่องอ่ืนๆ บนผนงั สิมด้านนอกมีจ�ำนวนภาพ มากกว่าเรื่องอน่ื เขยี นขึ้นโดยชาวบ้านและพระสงฆ์เม่อื พ.ศ.2465 เพอ่ื เป็นเครื่อง บูชาคุณพระศรีรัตนตรัย การจัดองค์ประกอบของภาพนนั้ ได้จัดเรื่องมหาเวสสันดร ชาดกเป็น 13 กัณฑ์ โดยเรยี งจากซ้ายไปขวา และพบว่าจิตรกรรมฝาผนงั เร่อื งมหา เวสสันดรชาดก สิมวัดบ้านยาง สัมพันธ์กับประเพณกี ารทำ� บุญมหาชาติของชาว บา้ นซงึ่ กระท�ำในเดอื นสที่ กุ ปี สว่ นการศกึ ษาองคป์ ระกอบของจติ รกรรมซงึ่ ประเทศ ปัจจังคะตา (2541) ภาพสะท้อนที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนงั สิมวัดป่าเรไรย์ จังหวัดมหาสารคาม พบว่าจิตรกรรมฝาผนงั ภายในสิมเป็นเร่ืองราวพุทธประวัติ และภายนอกเป็นพุทธศาสนนทิ าน การกำ� หนดองค์ประกอบในการสร้างจติ รกรรม ภายในจะกำ� หนดบนบรเิ วณระหวา่ งชอ่ งวา่ งระหวา่ งหอ้ ง สว่ นภายนอกจะเรยี งลำ� ดบั จากขวาไปซ้าย การสร้างจนิ ตนาการนีส้ ะท้อนให้เหน็ ถงึ ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สถาปัตยกรรมสิมหรืออุโบสถจากงานของ ศิริพันธ์ ตาบเพ็ชร (2541) ทพ่ี บวา่ ในภาคอสี านมสี ถาปตั ยกรรมพนื้ ถน่ิ ทนี่ า่ สนใจ คอื สมิ หรอื อโุ บสถ มรี ปู แบบ เฉพาะตัวที่มักสร้างให้มีขาดเล็กกะทัดรัดเพียงพอแก่ประโยชน์ใช้สอยในการ ประกอบพธิ กี รรมสำ� หรบั พระภกิ ษุ ประมาณ 6-10 รปู เทา่ นนั้ แสดงถงึ ความเรยี บงา่ ย และสมถะ สิมตามประเพณีด้ังเดิมของชาวอีสานมีสองรูปแบบคือ สิมโปร่ง กับสิมทึบ ซ่ึงสิมทึบน้ีเองที่ปรากฏศิลปกรรมพื้นถิ่นท่ีมีเสน่ห์ย่ิง นน่ั คือการประดับ ตกแต่งด้วยภาพเขยี นทัง้ บนผนงั ด้านนอกและด้านใน ภาพเขยี นนี้เรยี กว่า ฮปู แต้ม ในส่วนประดับของสถาปตยกรรมทางศาสนา ช�ำนาญ เล็กบรรจง (2545) ศึกษา ลกั ษณะและรปู แบบลวดลายประดบั สถาปตั ยกรรมทางศาสนาในภาคอสี าน พบวา่ ลกั ษณะของลวดลายประดบั สถาปตั ยกรรมทางศาสนาเปน็ ลวดลายทชี่ า่ งไดแ้ นวคดิ จากธรรมชาติและลายไทยถ่ายทอดสืบต่อกันมาแบบตระกูลช่ังสามารถประยุกต์ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับลกั ษณะสถาปัตยกรรมไทยได้ดี การเรยี กชือ่ ลวดลายและ
252 โสวัฒนธรรม เรยี กตามทไ่ี ดม้ าของครชู า่ ง ลกั ษณะคณุ คา่ ความงามของลวดลายชา่ งจะออกแบบ ให้มสี ่วนประกอบของศิลปะปรากฏอยู่ในแต่ละลวดลายได้แก่ ความงามที่เกิดจาก เส้นรปู ร่าง รูปทรง แสง-เงา พ้ืนผวิ ช่องว่าง และสีผสมผสานกนั อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม ผลงานที่พบมากในช่วงทศวรรษที่ 2540-2550 กลับเป็น ผลงานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดีและศิลปะแบบจารีตท้องถ่ิน รวมทั้ง ประเดน็ ในการอนรุ กั ษศ์ ลิ ปกรรมทอ้ งถนิ่ เปน็ หลกั บทความของประกอบ มโี คตรกอง (2544) เสนอผลทเ่ี กย่ี วกบั พระสงฆก์ บั การอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมพน้ื บา้ น กรณกี าร อนรุ กั ษจ์ ติ รกรรมฝาผนงั วดั ไชยศรี บา้ นสาวะถี อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่ ชาวอีสานได้สืบทอดวัฒนธรรมร่วมกับอาณาจักรล้านช้างท่ีเรียกว่า วัฒนธรรมลุ่ม น�ำ้ โขง มาตง้ั แต่โบราณ จงึ มีรูปแบบของวัฒนธรรมเฉพาะของประชาชนลุ่มนำ้� โขง เช่น ภาษาท้องถ่นิ ตัวอักษร และวรรณกรรม วรรณกรรมพื้นบ้านเหล่านช้ี าวบ้าน ได้อนุรักษ์สืบทอดต่อๆ กันมาโดยวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นสถานที่เก็บรักษา เป็น พพิ ธิ ภณั ฑใ์ ชอ้ า่ นหรอื เทศนใ์ หช้ าวบา้ นฟงั รวมทงั้ เปน็ ศนู ยก์ ลางของการสรา้ งสรรค์ วรรณกรรมพนื้ บา้ น สว่ นจติ รกรรมฝาผนงั สมิ (โบสถ)์ วดั ไชยศรแี หง่ นี้ จะอยรู่ อบนอก อโุ บสถ ซง่ึ ตามความเชอื่ ของชาวบา้ นอสี านวา่ สภุ าพสตรจี ะขน้ึ ไปบนสมิ ไมไ่ ดเ้ พราะ เป็นทีท่ ำ� สังฆกรรมของพระสงฆ์ วทิ ยานพิ นธใ์ นระดบั บณั ฑติ ของธรรมศกั ด์ิ ชติ ทรงสวสั ดิ์ (2543) ศกึ ษาความรู้ ทั่วไปเกย่ี วกบั คนจนี ในจงั หวดั ร้อยเอด็ รูปแบบและความหมายท่ปี รากฏในผลงาน ศลิ ปะแบบอยา่ งจนี คตคิ วามเชอ่ื ทป่ี รากฏในผลงานศลิ ปะ พบวา่ ชาวจนี เคลอ่ื นยา้ ย เข้ามาอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ดอยู่ 2 ทาง คือทางแรกผ่านทางจังหวัดนครราชสีมา มหาสารคาม โดยอาศยั ขบวนววั ตา่ งๆ และทางทสี่ องผา่ นทาง จงั หวดั นครราชสมี า สุรินทร์ โดยอาศัยรถไฟเป็นพาหนะเดนิ ทาง ส่วนรปู แบบและความหมายศิลปะนน้ั ดูได้จากที่อยู่อาศัย ศาลเจ้าจีน และสถานท่ีเคารพอ่ืนของคนไทย เช่น วัดไทย ศาลหลักเมือง ส่วนคติความเชื่อที่ปรากฏในผลงานศิลปะแบบอย่างจีนนนั้ ที อาทิ เช่ือเกี่ยวกับการมอี ายุยนื ในการศกึ ษาประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะไชยยศ วนั อทุ า (2537) ศกึ ษารปู แบบและ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 253 คตคิ วามเชอ่ื เกยี่ วกบั ใบเสมาเมอื งฟา้ แดดสงยาง ต�ำบลหนองแปน อำ� เภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสินธ์ุ พบว่าใบเสมาที่น�ำมาศึกษาจ�ำนวน 165 แผ่น มีลักษณะแตกต่าง กนั หกรูปแบบ คือ แบบแผ่นกนิ หน้าเรยี บสม�่ำเสมอ แบบสลกั เป็นสันนนู ตรงกลาง แผ่น แบบสลักเป็นรูปสถูปเจดีย์ตรงกลางแผ่น แบบแท่งหินทรงส่ีเหลี่ยมด้านเท่า แบบแทง่ หนิ แปดเหลย่ี ม และแบบแผน่ หนิ สลกั เปน็ ภาพเลา่ เรอ่ื งนนู ต�่ำ สว่ นคตคิ วาม เชอื่ พบวา่ ใบเสมาดงั กลา่ วสรา้ งขนึ้ เพอ่ื ใชก้ ำ� หนดเขตทำ� สงั ฆกรรมตามความเชอื่ ทาง พุทธศาสนา และสร้างเพอ่ื ถวายเป็นการกศุ ล ซ่งึ ต่อมาชาวบ้านเช่อื ว่าเป็นวัตถทุ ม่ี ี ความศักด์ิสิทธิ์ จึงมีการน�ำใบเสมาบางแผ่นไปใช้ตามสถานท่ีต่างๆ เพื่อบูชาและ ประกอบพิธกี รรมตามประเพณขี องชาวบ้าน เชน่ เดยี วกบั การตคี วามทางศลิ ปะและประตมิ านวทิ ยาของอรณุ ศกั ดิ์ กง่ิ มณี (2546) เก่ียวกับใบเสมาบ้านหนองห้าง อ�ำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า ใบเสมา แผ่นน้ีสลกั จากหินทรายสีขาวอมเหลืองมขี นาดสงู 162 เซนติเมตร กว้าง 58 เซนติเมตร และหนา 20 เซนติเมตร ลักษณะเป็นทรงโค้งแบบกลีบบัว ด้านหน้าสลักเป็นภาพคนอยู่ทางด้านบน เย้ืองมาทางขวาเป็นภาพบุรุษยนื ตรงบน แท่น นอกจากน้ียังมีบุคคลอยู่ด้านล่างเยื้องมาทางซ้าย จากภาพเมื่อตรวจสอบ แลว้ พบวา่ นา่ จะเปน็ ภาพเลา่ เรอื่ งมหานารทกสั สปชาดก อนั เปน็ ล�ำดบั ท่ี 544 ผาสขุ อนิ ทราวธุ และคณะ (2544) ขดุ คน้ เมอื งโบราณฟา้ แดดสงยางซงึ่ ตงั้ อยอู่ ำ� เภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ พบวา่ ในอดตี มกี ารปลงศพโดยการฝงั ยาว ตอ่ มาเรมิ่ มพี ฒั นาการ ทางเทคโนโลยสี งู ขนึ้ ร้จู กั ผลติ ภาชนะดนิ เผาจากเตาเผาประเภททร่ี ะบายความรอ้ น ในแนวระนาบ ถลงุ เหลก็ นำ� มาทำ� เป็นเครอ่ื งมอื เครอื่ งใช้ นยิ มปลงศพโดยการฝงั ใน ไห และพฒั นาการเจรญิ รงุ่ เรอื งทางพทุ ธศาสนา และหนั มาเปลย่ี นคตนิ ยิ มเกยี่ วกบั การปลงศพคือการเผาแล้วเก็บในอัฐิใส่โกศดินฝังไว้ใต้ศาสนสถาน ตามลำ� ดับ ที่ เมอื งฟ้าแดดสงู ยาง มกี ารศกึ ษาทางประติมานวิทยาโดยอรุณศกั ด์ิ ก่งิ มณี (2540) ใบเสมา ซึ่งสลักภาพ “ภรู ทิ ัตชาดก” ที่จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ พบว่า ใบเสมาสลักภาพ ซงึ่ ค้นพบจากเมืองฟ้าแดดสงยางน้สี นั นิษฐานว่า คงเป็นภาพสลกั ซ่ึงสลักภาพใน มหานบิ าตชาดกเก่ียวกบั พระภรู ทิ ัต(ภูริทตั ชาดก) อนั ถือเป็น 1 ใน 10 พระชาติท่ี
254 โสวัฒนธรรม ส�ำคัญยิ่งในอดีตของพระพุทธองค์ ใบเสมาหินที่พบจากเมืองฟ้าแดดสงยางเหล่า นค้ี งมอี ายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 14-15 นยิ ม วงษพ์ งษค์ ำ� (2540) ศกึ ษาลกั ษณะรปู แบบ ขนบธรรมเนยี ม คตคิ วามเชอ่ื และความสัมพันธ์ของชาวบ้านเปือยน้อย กับประติมากรรมท่ีพบในปราสาท เปอื ยนอ้ ย พบวา่ ลกั ษณะของภาพสลกั หนิ แบง่ เปน็ 3 ลกั ษณะ คอื เกยี่ วกบั ภาพสลกั บุคคล เก่ยี วกบั สตั ว์ และเกย่ี วกับลวดลายประดับตกแต่ง และมคี วามสมั พนั ธ์กับ ชาวบา้ นในอำ� เภอเปอื ยนอ้ ยมาก เพราะชาวบา้ นเชอื่ วา่ มวี ญิ ญาณของคนชน้ั สงู สถติ อยู่ รายงานทางวัฒนธรรมในอดีตท่ีปรากฏสัมพันธ์กับการเป็นแอ่งอารยธรรมของ ภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พจนา วรรณจนั ทร์ (2540) ศกึ ษารปู แบบและคตคิ วามเชอื่ เกยี่ วกบั ประตมิ ากรรมแบบเขมรท่ีปราสาทหนิ พนมวัน จังหวัดนครราชสมี า พบว่า ประติมากรรมในศิลปะแบบเขมรท่ีปราสาทหินพนมวันได้สร้างขึ้นมาเพ่ือประกอบ สถาปัตยกรรมเป็นประติมากรรมนนู ต่�ำ ในส่วนที่เป็นทับหลัง หน้าบัน และกลีบ ขนนุ ปรางคเ์ ปน็ ความเชอื่ ในศาสนาพราหมณ์ สว่ นประตมิ ากรรมลอยตวั ทพ่ี บอยใู่ น บรเิ วณปราสาท เปน็ พระพทุ ธรปู เทวรปู และพาหนะเครอื่ งใชข้ องเทพ เปน็ ความเชอ่ื ท้งั ในศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนา ซ่ึงได้สร้างเพือ่ ประกอบความเช่ือทนี่ บั ถือ ของมนษุ ยอ์ ดตี อยา่ งตอ่ เนอื่ งกนั มา 200 ปี ตงั้ แต่ พ.ศ.1425-2330 ในศลิ ปกรรมเขมร แบบประโค บาแคง็ เกาะแกร์ แปรรปู บันทายเสรี คลัง และบาปวน ด้านคติความเชื่อทางประติมาณวิทยา ผกา เบญจกาญจน์ (2540) การศกึ ษารปู แบบและคตคิ วามเชอ่ื ของประตมิ ากรรมเทพร�ำทป่ี ราสาทหนิ พมิ ายและ ศกึ ษารปู แบบทา่ ทางการรา่ ยรำ� ของภาพเทพรำ� ทมี่ สี ว่ นสมั พนั ธก์ บั ทา่ รำ� ในแมท่ า่ รำ� ของนาฏศลิ ปไ์ ทย พบวา่ ภาพประตมิ ากรรมทสี่ ลกั เปน็ เทพรำ� แสดงใหเ้ หน็ นาฏตลลี า สองชนดิ คือ การฟ้อนร�ำ และการแสดงอริ ยิ าบถต่างๆ ของบุคคลชนั้ สงู ลีลาการ ร่ายร�ำสะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือของคนเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้ายของเทพ ทั้งในศาสนาพทุ ธและพราหมณ์ ในมมุ กว้างทางวฒั นธรรมโบราณศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม (2546) เสนอเร่อื งราว
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 255 ของแอ่งอารยธรรมอีสานอันเต็มไปด้วยร่องรอยและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่พร้อมจะพลิกให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของประวัติศาสตร์ไทยและ ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอาคเนย์ ประกอบด้วยบทความได้แก่ อีสาน 2 แอ่ง : แอ่งสกลนคร-แอ่งโคราช ธรี พงษ์ จตุรพาณชิ ย์ (2548) ศกึ ษาทมี่ าและลักษณะพระ พมิ พ์เมืองกนั ทรวิชัย พระพิมพ์นาดูนและพระพมิ พ์เมืองไพร ซ่ึงเป็นพระพมิ พ์ท่ถี กู คน้ พบในภาคอสี านตอนกลาง ซงึ่ ไดแ้ ก่ จงั หวดั มหาสารคาม กาฬสนิ ธแ์ุ ละรอ้ ยเอด็ พระพมิ พ์ หมายถงึ พระพทุ ธรปู ทส่ี รา้ งขนึ้ ตามแมพ่ มิ พ์ เปน็ อเุ ทสกิ ะเจดยี อ์ ยา่ งในคติ ความเชอื่ ทางพทุ ธศาสนาจากความเช่ือของชาวบ้าน ทำ� ให้เกดิ การประกอบอาชีพ ทำ� พระพมิ พ์ใหม่เลยี นแบบของเก่า ให้เช่าแก่ผู้ทสี่ นใจ นำ� ไปบูชาของเก่าทห่ี าไม่ได้ หรอื มคี ่าแพง นบั ได้ว่าพระพิมพ์เป็นอเุ ทสิกเจดยี ์ทำ� ให้ผู้พบเหน็ เกิดพทุ ธานุสติ สมเดช ลลี ามโนธรรม (2543) ศกึ ษาหลกั หนิ ทคี่ น้ พบในเขตภาคอสี าน เชน่ ท่ี บา้ นโนนตอื้ ตำ� บลเสมาใหญ่ อำ� เภอบวั ใหญ่ บา้ นเดน่ิ เหด็ หนิ อำ� เภอโนนสงู จงั หวดั นครราชสมี า เปน็ ตน้ หลกั หนิ ทกี่ ลา่ วมาท�ำดว้ ยหนิ ทราย สขี าวหรอื แดงหรอื ศลิ าแลง ลักษณะเป็นแท่งส่ีเหล่ียม ส่วนยอดโค้งมน หรือเป็นยอดแหลม บางหลักมีการ สลักภาพพระพุทธรูปยืนท้ังสี่ด้าน ส�ำหรับหน้าท่ีการใช้งานของแท่งหินเหล่าน้ีมีข้อ สันนษิ ฐาน คือ ใช้เป็นหลกั เขตของศาสนสถานหรือชมุ ชน เพราะการปกครองของ กษตั รยิ ์ในวฒั นธรรมเขมรมกั มกี ารสร้างศาสนถานประจำ� ชมุ ชนขนึ้ และมกี ารถวาย ทด่ี นิ ขา้ ทาส สตั ว์ ฯลฯแกเ่ ทพเจา้ ทปี่ ระทบั อยใู่ นศาสนสถานนน้ั ใชเ้ ปน็ หลกั กำ� หนด เส้นทางติดต่อระหว่างชุมชน งานศึกษษวัฒนธรรมราณ คัคนางค์ รองหานาม (2543) ศกึ ษารปู แบบลวดลายสลกั หนิ และความสมั พนั ธใ์ นการตกแตง่ ลวดลายสลกั หนิ ในสถาปัตยกรรมกู่กาสงิ ห์ อ�ำเภอเกษตรวิสยั จงั หวัดร้อยเอ็ด พบว่า กุ่กาสิงห์ เป็นสถาปัตยกรรมท่ีสร้างขึ้นตามอิทธิพลทางศิลปะเขมรในพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา สร้างด้วยวัสดุท่ีเป็นศิลาแลงหินทราย และอิฐ ลวดลายส่วนใหญ่สลัก บนหนิ ทรายและไดร้ ปู แบบมาจากปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ผนวกกบั จนิ ตนาการ ทางความเชอ่ื ในศาสนาพราหมณท์ ส่ี บื ทอดมาในอดตี เปน็ ประตมิ ากรรมในรปู แบบ ของภาพบุคคล สัตว์และสิ่งของ การสร้างประติมากรรมสลักหิน การศึกษาเตา
256 โสวฒั นธรรม เครอ่ื งปน้ั โบราณ วลยั ลกั ษณ์ ทรงศริ (ิ 2539) กลมุ่ เตาเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาลมุ่ น�้ำสงคราม มลี กั ษณะเดน่ ของผลติ ภณั ฑค์ อื การท�ำภาชนะเนอ้ื แกรง่ ประเภทไหขอบปากสงู และ เคลือบสีน้�ำตาล ไหลักษณะนี้ส�ำรวจพบเป็นจ�ำนวนมากในชุมชนโบราณต่างๆ ใน แอง่ สกลนครทรี่ ะบวุ า่ เปน็ ชมุ ชนลาว โดยใชเ้ ปน็ ไหใสก่ ระดกู มนษุ ย์ นำ� ไปฝงั อยตู่ าม ท้องไร่ท้องนาบ้าง แอ่งสกลนครในอดีต อรณุ ศักดิ์ ก่งิ มณี (2540) รวบรวมข้อมูลหลักฐานทาง โบราณคดขี องสกลนครประกอบดว้ ย วฒั นธรรมบา้ นเชยี ง ผลการขดุ คน้ และศกึ ษา โบราณคดีทแี่ หล่งโบราณคดวี ดั ชยั มงคล รวมทง้ั เรื่องราวด้านประวตั ิศาสตร์ศิลปะ และโบราณคดขี องเมอื งสกลนคร ซงึ่ จากหลกั ฐานวา่ “สกลนคร” เปน็ แหลง่ สะสมทาง วฒั นธรรม มหี ลกั ฐานของวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมไทย-ลาว ดงั ทมี่ ีแหล่งโบราณคดี โบราณสถาน โบราณวัตถุ ปรากฏอยู่มากมาย สมควรที่จะ นำ� มาเชื่อมโยงปะตดิ ปะต่อกนั เป็นภมู หิ ลงั ของเมอื งสกลนคร โดยภาพรวมของการ ท่องเทยี วทางศลิ ปวฒั นธรรมโบราณ อภินนั ท์ อดุลยพิเชฏฐ์ (2542) ศกึ ษาเก่ียวกับ ปราสาทหนิ ซง่ึ เปน็ หนงึ่ ในสถานทท่ี อ่ งเทยี่ วทสี่ ำ� คญั ของอสี านและมอี ยมู่ ากในแถบ ลมุ่ นำ�้ มลู ตอนลา่ งและเขตอสี านใต้ นำ� เสนอเรอ่ื งราวของปราสาทหนิ ในรปู แบบของ การนำ� เทยี่ วชมใหเ้ หน็ ภาพและบอกเลา่ เรอื่ งราวคณุ คา่ และความหมายทแี่ ทจ้ รงิ ของ ปราสาทหิน 5.3 วฒั นธรรมหมอลำ� ในศลิ ปะการแสดงและดนตรี ดนตรแี ละศลิ ปะการแสดงของคนอสี านมคี วามเปน็ เอกลกั ษณข์ องตนเองทง้ั ความหลากหลายของเครอื่ งดนตรี ทว่ งทำ� นอง ซง่ึ สว่ นใหญม่ กั จะใหค้ วามสนกุ สนาน จงั หวะทเี่ ร้าใจอันแย้งกบั ความแห้งแล้งของสภาพแวดล้อม ความทกุ ข์ยากลำ� บาก ของคนอสี านไมไ่ ดเ้ ปน็ ตวั กน้ั กางความคดิ สรา้ งสรรคท์ จี่ ะประดษิ ฐค์ ดิ คน้ เครอ่ื งดนตรี การละเลน่ ตา่ งๆ ออกมา แตก่ ลบั ชว่ ยผลติ ผลงานทมี่ คี ณุ คา่ ในตนเองอออกมาอยา่ ง วจิ ติ ร เสยี งดนตรที สี่ ะทอ้ นออกมาชว่ ยบง่ บอกลกั ษณะอปุ นสิ ยั ของคนอสี านออกมา สว่ นหนง่ึ ซง่ึ ในปจั จบุ นั นล้ี กั ษณะของศลิ ปะการแสดงพนื้ บา้ นอสี านซงึ่ เปน็ ทท่ี ราบกนั
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 257 สว่ นใหญม่ กั จะเปน็ ในลกั ษณะการขบั รอ้ งหรอื ศลิ ปะการใชเ้ สยี งประกอบการแสดง ดงั เช่นการแสดงหมอล�ำประเภทต่างๆ เช่น หมอล�ำหมู่ หมอลำ� เพลนิ เป็นต้น ซึง่ นอกจากทีก่ ล่าวมาแล้วนี้ยงั มกี ารแสดงอกี ประเภทหนงึ่ ทเ่ี รยี กว่า การฟ้อน ซ่งึ การ ฟ้อนของชาวอีสานนน้ั เป็นการคดิ ประดิษฐ์ข้ึนจากท่าทางลลี าต่างๆ ซง่ึ มาจากท่า ที่มมี าแต่ดัง้ เดมิ หรือเลยี นแบบจากอากัปกิรยิ าของร่างกายต่างๆ ตามธรรมชาตทิ ่ี มอี ยู่ทัง้ จากคน สัตว์ หรือจากจินตนาการ โดยพยายามคดิ ดัดแปลงให้มีลลี าอ่อน ชอ้ ยสวยงาม เชน่ ทา่ ยงู ลำ� แพน ทา่ สาวปะแปง้ ทา่ ลำ� เพลนิ ทา่ หงสบ์ นิ เวนิ เปน็ อาทิ การนำ� อาการของสง่ิ ต่างๆ ดงั กลา่ วนม้ี าประยกุ ต์ใช้ ชาวอสี านเรยี กว่า การ ฟอ้ น ซงึ่ การฟอ้ นนนั้ ในอดตี ดงั้ เดมิ นน้ั จะเปน็ การนำ� ไปประกอบการเซง้ิ ตา่ งๆ โดยจะ มบี ทขบั เรยี กวา่ กาพยเ์ ซง้ิ เชน่ เซง้ิ บง้ั ไฟ เซงิ้ นางแมว เซงิ้ นางดง้ เปน็ ตน้ ครน้ั ตอ่ มา จึงได้มีการน�ำเอาดนตรีเข้าไปประกอบในการฟ้อนด้วย และได้มีการประดิษฐ์ ทา่ ฟอ้ นจากทา่ พน้ื บา้ นใหส้ วยงามมากขน้ึ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งในทว่ งท�ำนองและ จงั หวะของดนตรที น่ี �ำมาประกอบ ซงึ่ ปจั จบุ นั จะเหน็ วา่ การฟ้อนประกอบดนตรขี อง อสี านมอี ยู่หลายชดุ เช่น ฟ้อนแพรวา ฟ้อนภไู ท 3 เผ่า ฟ้อนบายศรี เป็นต้น ส�ำหรับดนตรีพื้นบ้านอีสานน้นั ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ในกิจวัตร ความเป็นอยู่ในวิถีชีวิตประจ�ำวัน อันเกิดจากการประกอบอาชีพประจ�ำฤดูกาล ตา่ งๆ เชน่ การจบั สตั วน์ ้�ำ สตั วบ์ ก การทำ� ไรไ่ ถนา หรอื สมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งกบั ประเพณี พธิ กี รรมและความเชอื่ ตลอดจนสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ อนั เกดิ จากอุปนิสัยใจคอท่ามกลางวิถีชีวิตของสังคมอีสาน ท้ังนี้ในส่วนของลักษณะของ ดนตรีพื้นบ้านอีสานจะมีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรมของท้องถิ่นนนั้ ๆ กล่าวคอื กลุ่มวฒั นธรรมไทย - ลาว (อสี านเหนือ) และกลุ่มวฒั นธรรมไทย - เขมร (อีสานใต้) ซึ่งจะมีความแตกต่างทางด้านสุ้มเสียง ส�ำเนียงดนตรีตลอดจนรูปแบบ ซึ่งจะมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะแตกต่างกนั ไป เช่น ท�ำนอง ทางอีสานเหนอื จะ เรียกว่า ลายเพลง ส่วนทางอสี านใต้จะเรียกว่า บอดเพลง เป็นต้น
258 โสวฒั นธรรม อตั ชวี ประวตั แิ ละผลงานศลิ ปนิ หมอลำ� ไดม้ กี ารวจิ ยั เพอ่ื ศกึ ษาศลิ ปนิ หมอลำ� ต้นแบบท่ีส�ำคัญในกลุ่มท่ีเป็นศิลปินแห่งชาติ เช่น บัณฑิตวงศ์ ทองกลม (2539) ศึกษาชีวิตและผลงานของนายทองมาก จันทะลือ โดยศึกษาจากชีวิตและผลงาน ด้านกลอนล�ำ พบว่านายทองมาก เติบโตในชนบทด้วยความยากจนและค่านิยม ทำ� ใหส้ นใจอาชพี หมอลำ� กลอน เรม่ิ เรยี นหมอลำ� จากวดั และจากอาจารยห์ ลายทา่ น จนมคี วามรู้ข้ันล�ำแตกฉาน มีพรสวรรค์ทางการแสดง เสียงมเี สน่ห์ ไหวพริบดี จึง มีชอ่ื เสียงอย่างรวดเร็วมีบทบาทในฐานะศลิ ปิน ล�ำเพ่อื ให้ความรู้ความบนั เทิง รู้จกั ใช้กลอนล�ำให้เหมาะสม ฐานะส่ือมวลชนเป็นนกั จัดรายการวิทยุ รายการเพลง พื้นเมืองอีสาน มีลีลาการพูดเป็นเอกลักษณ์คือการใช้ภาษาถิ่นอีสาน ฐานะนกั การเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จัดตั้งสมาพันธ์หมอลำ� แห่งประเทศไทย ฐานะนกั สังคมสงเคราะห์ได้อุทิศตนเพื่อสังคม จัดสร้างบ้านพักญาติผู้ป่วย ช่วย เหลือหน่วยงานราชการ เอกชนในการเผยแพร่ความรู้ แก้ไขปัญหาสาธารณสุข ประชาธปิ ไตย ยาเสพติด วทิ ยานพิ นธ์ระดบั มหาบณั ฑติ โอสถ บตุ รมารศรี (2538) ศกึ ษาภาพสะท้อน ของสงั คมอสี านจากกลอนล�ำของหมอลำ� แคน ดาเหลา โดยศกึ ษาวเิ คราะหก์ ลอนล�ำ ท่ีสะท้อนภาพของสังคมอีสานด้านต่างๆ คือ ด้านการเมืองการปกครองสะท้อน ความจงรกั ภกั ดี ดา้ นเศรษฐกจิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ การถกู กดขจี่ ากพอ่ คา้ คนกลาง ปญั หา สภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศ ปญั หาการเดนิ ทางไปทำ� งานตา่ งประเทศ ดา้ นศาสนา ความเชื่อสะท้อนให้เห็นการยึดมั่นในค�ำสอนของศาสนา กล่าวถึงวัดและพระสงฆ์ ด้านความเชอ่ื สะท้อนให้เห็นเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ความฝัน ด้านการศกึ ษาสะท้อน ให้เห็นการสอนพ่อแม่ให้เอาใจใส่ลูก การประพฤติตนของวัยรุ่นและผู้หญิง ด้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีสะท้อนให้เห็นการปฏิบัติตามฮีตคองของอีสาน ด้านการ ด�ำเนนิ ชีวิตสะท้อนเก่ียวกับปัจจัยสี่ อาหารที่อยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค และภาพสะท้อนอ่ืนๆ ได้แก่ อาชีพทำ� นา ท�ำสวน รับราชการ และสภาพความ เป็นอยู่ของคนอีสาน เห็นได้ว่ากลอนล�ำของหมอลำ� เคน ดาเหลา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 259 บทบาทการทำ� งานของ หมอลำ� ฉววี รรณ ดำ� เนนิ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะ การแสดงพนื้ บ้านโดย ศริ าภรณ์ ปทุมวัน (2542) ในการสร้างเสริมการเป็นนกั แสดง จนท�ำให้มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับจากมหาชน บทบาทด้านการถ่ายทอดศิลปะ พื้นบ้าน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การถ่ายทอดศิลปะด้านนาฏศิลป์พื้นบ้าน อีสานและการถ่ายทอดศิลปะการล�ำมีลูกศิษย์เป็นนกั ศึกษาในสถาบันการศึกษา หลายแหง่ โดยเฉพาะวทิ ยาลยั นาฏศลิ ป์ มคี วามสามารถในการแตง่ กลอนล�ำทางสน้ั กลอนล�ำทางยาวและล�ำเต้ย เช่นเดียวกับ การศึกษาภูมิปัญญาทางคีตศิลป์ของ หมอลำ� ป.ฉลาดน้อย (ชยั นาทร์ มาเพช็ ร : (2545)) ในด้านเสยี ง ค�ำรอ้ ง จงั หวะ การ หายใจ อารมณ์ และองค์ประกอบในการล�ำ ด้านรปู แบบการประพันธ์ ศิลปะการ ใช้ภาษา พบว่าคีตศิลป์ในกลอนลำ� ของหมอล�ำ ป.ฉลาดน้อย แบ่งเป็น 6 ประเภท คือ เสียงของหมอล�ำ ป.ฉลาดน้อยเป็นเสียงท่ชี ัดเจน เสียงแคนออกถ้อยคำ� ชดั เจน ลำ� ไดเ้ ตม็ เสยี งระดบั เสยี งสม�่ำเสมอ มกี ำ� ลงั เสยี งมาก กำ� หนดลมหายใจยาว ค�ำรอ้ ง มคี วามหมายของคำ� ชดั เจน ความดงั ของเสยี งเออื้ นทำ� ใหผ้ ฟู้ งั ไดยนิ เสยี งสระชดั เจน จงั หวะในการลำ� สมำ�่ เสมอเขา้ กบั เสยี งแคน การหายใจการแบง่ วรรคหายใจสามารถ หายใจลึกเสยี งมคี วามยาว สื่อความรู้สกึ ทางอารมณ์ได้ดี เนือ้ หากลอนล�ำจะสอน ชายหญงิ มากท่ีสดุ ด้านการถ่ายทอดและสืบทอด จิราวัลย์ ซาเหลา (2546) ศึกษาเกี่ยวกับ กระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดศิลปะการแสดงของหมอล�ำอาชีพ พบว่า กระบวนการเรียนรู้ของศิลปินหมอล�ำทุกอาชีพแขนง จะมีกระบวนการเรียนรู้ที่ คล้ายคลงึ กัน คอื ผู้เรยี นต้องมีใจรัก บดิ ามารดาเป็นหมอลำ� และฐานะครอบครัว ยากจนตอ้ งการหารายได้ โดยเรม่ิ จากเรยี นรจู้ ากการไปแสวงหาครผู สู้ อนและสมคั ร เป็นลูกศิษย์ ทดสอบน�้ำเสียง ฝึกซ้อมร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนฝึกฝนพัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง ส�ำหรับกระบวนการถ่ายทอดของศิลปินหมอล�ำอาชีพนนั้ มีวิธีการ ถ่ายทอดตามท่ีตนเองได้ฝึกฝนและเรียนรู้มา ในยคุ รว่ มสมยั ทหี่ มอลำ� มกี ารปรบั ตวั และเปลย่ี นแปลง แกว้ ตา จนั ทรานสุ รณ์ (2546) ศึกษาเก่ียวกบั การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงโลกทศั น์และปัจจยั ทท่ี ำ� ให้เกิด
260 โสวฒั นธรรม การเปล่ียนแปลงโลกทัศน์ในกลอนล�ำเรื่องร่วมสมัย โดยศึกษาจากกลอนล�ำเร่ือง แนวใหม่ท่ีแต่งข้นึ ในปีพ.ศ.2537 - 2543 จำ� นวน 19 เร่อื ง พบว่า กลอนล�ำเร่อื งแนว ใหม่ท่ีแต่งร่วมสมัยมีลักษณะร่วมกันด้านองค์ประกอบดังนี้ ลักษณะโครงเร่ืองนำ� เสนอภาพปัญหาชีวิตของชาวบ้านในชนบทอีสาน แสดงความคิดและปรารถนาที่ ยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ ใหด้ ขี นึ้ ลกั ษณะตงั ละครสว่ นใหญย่ ากจน เรอื่ งกระชบั รวดเรว็ และสะท้อนภาพการเปล่ียนแปลงทางสงั คมวัฒนธรรม หมอล�ำท�ำนองขอนแก่น เป็นกลุ่มหมอล�ำยุคแรกท่ีมีหางเครื่อง ปัทมาวดี ชาญสุวรรณ (2542) ศึกษาพัฒนาการของหางเคร่ืองหมอลำ� หมู่วาดขอนแก่น พบ วา่ เรมิ่ จากการออกมาฟอ้ นคลา้ ยกบั การออกแขกของลเิ กกอ่ นการแสดงหมอล�ำ ครนั้ อิทธิพลของวงดนตรีลูกทุ่งแพร่กระจายเข้ามา หมอล�ำหมู่จะเร่ิมน�ำเคร่ืองดนตรี สากลมาบรรเลงและมีหางเครื่องมาเต้นประกอบการร้องเพลง ตลอดจนปรับปรุง เวที ประมวล พมิ พเ์ สน (2543) รวบรวมกลอนล�ำมาจดั พมิ พเ์ ป็นรปู เลม่ เพอื่ สง่ เสรมิ กลุ่มหมอลำ� และผู้ทสี่ นใจท่ัวไปให้มีกลอนล�ำโดย ล�ำเต้ย เป็นหมอล�ำประเภทหนง่ึ ในอดีตมีการแสดงทั่วไปในจังหวัดขอนแก่น โดยเฉพาะต�ำบลพระลับ และมีการ แสดงมากทส่ี ดุ ทบี่ า้ นโนนทนั จนบางครง้ั ชาวขอนแกน่ เรยี กลำ� เตย้ โนนทนั การลำ� เตย้ เป็นการละเล่นพ้ืนบ้านท่ีสนกุ สนานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่าง กลุ่มได้ยอดเยี่ยม ศูนย์วัฒนธรรม จ.ขอนแก่นจึงได้สนับสนนุ ให้มีการรื้อฟื้นกลับ คืนมาอีกคร้งั หนงึ่ การแสดงตลกในหมอล�ำได้รบั ความสนใจโดย วราพร แก้วใส(2544) ศึกษา ลักษณะการแสดงตลกหมอล�ำหมู่ในเขตอ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จากคณะ หมอลำ� หมู่ทไ่ี ด้รับความนิยม 9 คณะ พบว่าลกั ษณะการแสดงตลกของหมอลำ� หมู่ เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมโดยรับเอาวัฒนธรรมและการเปล่ียนแปลงของ วงดนตรีลกู ทุ่งมาปรบั ปรุงประยุกต์กบั วัฒนธรรมของตนเองโดยการเลยี นแบบและ พัฒนาขึ้นด้วยเหตุผลจากอิทธิพลความนิยมของกลุ่มผู้ชมเป็นตัวก�ำหนดเงื่อนไข แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ต่อเนื่องมีการจัดวางระเบียบขั้นตอนในการแสดง มีการสร้าง “มขุ ตลก”
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 261 ผู้ที่เป็นหมอล�ำและนักวิชาการหมอล�ำ ราตรี ศรีวิไลและเจริญชัย ชนไพโรจน์ (2545) เลา่ เรอื่ งเกยี่ วกบั หมอลำ� :ความหมาย หนา้ ท่ี คณุ คา่ จรรยาบรรณ และการเรยี น พบว่า หมอล�ำคอื ผู้ช�ำนาญการความสามารถท่องจ�ำเน้อื เร่ืองหรอื บทกลอนจากนทิ านตา่ งๆ เหลา่ นไี้ ดด้ ว้ ยความชำ� นาญ หมอลำ� มหี นา้ ทแี่ ละคณุ ปู ถมั ภ์ แก่สังคมอีสานท้ังทางตรงและทางอ้อม ซึ่งได้แก่ การให้ความรู้และความบันเทิง นอกจากนกี้ ารแสดงหมอลำ� กอ่ ประโยชน์แกส่ งั คมอกี มากมาย เช่น เปน็ สอ่ื ของการ เรยี นและสบื ทอดพทุ ธศาสนา ภาษาวรรณคดี เพลงแคน ประเพณี ทสี่ �ำคญั คอื ชว่ ย กล่อมเกลาให้ประชาชนมีคุณธรรม มีความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มี สมั มาคาราวะ และมคี วามเอื้อเฟื้อเผือ่ แผ่ต่อกัน ส่วนการปฏบิ ัตติ นในฐานะท่ีเป็น ศลิ ปินหมอล�ำ พรี ะศลิ ป์ ชนิ สอน(2540) ศกึ ษาองคป์ ระกอบของส�ำนกั งานสง่ เสรมิ หมอล�ำ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบทบาทของสำ� นกั งานสง่ เสรมิ หมอลำ� กบั การเปลย่ี นแปลง ทางสังคม พบว่าส�ำนกั งานส่งเสรมิ หมอล�ำประกอบด้วย อาคารสถานที่ บคุ ลากร วสั ดอุ ปุ กรณ์ เครอื่ งอำ� นวยความสะดวกและระยะเวลาในการดำ� เนนิ งาน สว่ นความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งบทบาทของสำ� นกั งานสง่ เสรมิ หมอลำ� เดมิ มบี ทบาทรบั งานแสดงให้ แกห่ มอลำ� แตเ่ มอ่ื สภาพสงั คมเปลย่ี นไปทำ� ใหเ้ พมิ่ บทบาทเปน็ สำ� นกั งานฝกึ หดั เรยี น ลำ� จัดตั้งคณะหมอล�ำ ให้เช่าชดุ หมอล�ำ รุ่งอรณุ บุญสายนั ต์(2543) ศกึ ษารปู แบบ การเรยี นรแู้ ละการสบื ทอดการสสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปวฒั นธรรมหมอล�ำของศลิ ปนิ แห่งชาตภิ าคอีสาน ด้านแรงจงู ใจที่มีต่อการสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมหมอลำ� ของศิลปินแห่งชาติ รูปแบบการเรียนรู้และการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมหมอล�ำสู่ อนชุ นรุ่นหลงั การพัฒนาการของรูปแบบหมอล�ำหลัง พุทธศักราช 2528 ท�ำให้ สนอง คลังพระศรี (2541) สนใจศึกษาประวัติและพัฒนาการของหมอล�ำในภาคอีสาน องคป์ ระกอบดนตรแี ละการแสดงหมอล�ำซง่ิ บทบาทหมอลำ� ซง่ิ ในบรบิ ทสงั คม และ วัฒนธรรมอีสาน กระบวนการปรับเปล่ียนทางวัฒนธรรมดนตรีของหมอล�ำในภาค อีสาน ปัญหาและแนวโน้มในการแสดงหมอล�ำซิ่งผลจากการวิจัยพบว่า หมอล�ำ
262 โสวฒั นธรรม มีประวัติและพัฒนาการ 3 ทาง คือ พัฒนามาจากลัทธิบูชาพญาแถนหรือผีฟ้า พัฒนามาจากประเพณคี วามเช่ือในพระพุทธศาสนา และพัฒนามาจากประเพณี เก้ียวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว ด้านกระบวนการปรับเปล่ียนทางวัฒนธรรมดนตรี ของหมอล�ำพบว่า เกิดจากปัจจยั หลายด้าน กับการผสมผสานภมู ปิ ัญญาพ้นื บ้าน นทิ ราพร ทพิ า (2539) วเิ คราะหเ์ นอื้ หาของเพลงพน้ื บา้ นหมอล�ำทส่ี ะทอ้ นถงึ ความเชอื่ ค่านยิ ม ขนบธรรมเนยี มประเพณี การดำ� เนนิ ชวี ติ และความรู้ด้านต่างๆ ของชาว อีสาน เพลงพ้นื บ้านหมอลำ� ท่ีน�ำมาวิเคราะห์มีจ�ำนวนทั้งส้นิ 25 ชุด รวม 267 เพลง โดยรวบรวมจากเทปเพลงพ้ืนบานหมอล�ำ ที่วางจ�ำหน่ายในประเทศไทย ในช่วง เดอื นมกราคม-ธนั วาคม (2538) ส่วนดนตรีและการแสดง ในสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความ หลากหลายทางวัฒนธรรมดนตรีการแสดงท่ามกลางความหลากหลายทาง วฒั นธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ปิยพนั ธ์ แสนทวสี ขุ (2541) การสร้างฐานข้อมลู ทาง ดนตรแี ละศลิ ปะการแสดงพน้ื บา้ นอสี าน โดยเนอื้ หามี 2 สว่ นคอื ดา้ นเครอื่ งดนตรพี น้ื บา้ นอสี าน มเี นอื้ หา 34 เรอ่ื ง และดา้ นศลิ ปะการแสดงพน้ื บา้ นอสี าน มเี นอ้ื หา 32 เรอื่ ง เมอ่ื พจิ ารณาความเหมาะสมของโปรแกรมรายดา้ นพบวา่ ดา้ นกายภาพของ CD-ROM มีความเหมาะสมมาก ด้านเนื้อหาของฐานข้อมูล พบว่าเสียงดนตรีประกอบและ การแบ่งเน้ือหาสามารถสร้างความเข้าใจเนื้อหาเหมาะสมระดับมากด้านรูปแบบ กราฟฟิกและมัลติมีเดีย พบว่าความเข้าใจในการอ่านหน้าจด/ปุ่มการใช้งาน เหมาะสมมาก คมกรชิ การนิ ทร์ (2542) กลา่ วถงึ เกย่ี วกบั ดนตรขี องชาวภไู ท จงั หวดั กาฬสินธุ์ ซ่ึงดนตรีของชาวภูไทกลุ่มน้ีส่วนใหญ่เป็นการเล่นเพ่ือความบันเทิงหรือ เล่นเพ่ือประเพณชี ีวิต เช่น พอถึงยามค�่ำคืน หนุ่มสาวชาวภูไทต่างพากันเป่าแคน ดดี พณิ ไปตามบ้านทม่ี ีสาวๆ เพื่อไปพูดคยุ บางทีก็ไปตามตบู (กระท่อม) หรือไป ตามข่วง (ลานบ้าน) ท่มี ีสาวๆ ลงมาเข็นฝ้าย คริสเตียน บาวเวอร์ (2536) ศกึ ษาการแสดงเจรียงเบรญิ เป็นเพลงพ้ืนฐาน เขมรทมี่ ลี กั ษณะการขบั เหมอื นกบั การขบั ลำ� ของหมอลำ� ลาว มงกฎ แกน่ เดยี ว (2537) กล่าวถงึ กันตรึม ดนตรีไทย เช้อื สายเขมร เป็นดนตรีพนื้ เมอื งในท้องถ่ินทป่ี ระชาชน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 263 พดู ภาษาเขมร (จ.บรุ รี มั ย,์ สรุ นิ ทร,์ ศรสี ะเกษ) มเี ครอ่ื งดนตรคี อื ซอกลาง 1 อนั ป่ีออ้ 1 เลา กลองกนั ตรมึ 2 ใบ สว่ นภายหลงั มฉี ง่ิ ฉาบ หรอื ตะเฆผ่ สมดว้ ยนนั้ เปน็ ผลของ ววิ ฒั นาการในระยะหลงั ตอ่ มา กนั ตรมึ นอกจากเลน่ เพอ่ื ทรงเจา้ แลว้ ในสมยั โบราณ ยังเล่นเพื่อกล่อมหอในพิธีแต่งงานอีกด้วย ปัจจุบันคนเล่นดนตรีพ้ืนบ้านประยุกต์ แล้วเรียกตนเองว่า นกั กันตรึมส่วนมากไม่ได้เรียนจากครโู ดยตรง มกั เรียนจากเทป บทความเกี่ยวกับการฟ้อนสะเองิ ของชาวไทยกูย กนกวรรณ ระลกึ (2545) พบว่า การฟอ้ นสะเองิ มี 2 รปู แบบคอื การฟอ้ นเพอื่ การรกั ษาโรค และการฟอ้ นเพอื่ สกั การะ ผีสะเอิงหรือการลงข่วง การฟ้อนเพื่อการรักษาโรค เป็นการฟ้อนของแม่สะเอิง ใหม่ หมายถงึ การประกอบพิธีกรรม เข้าทรงผีสะเอิงเป็นครั้งแรก เพือ่ รักษาโรคภัย ไข้เจ็บ การฟ้อนเพื่อสักการะผีสะเอิงหรือการลงข่วง หมายถึง การฟ้อนเพื่อไหว้ ผสี ะเอิงประจำ� ปีของแม่สะเองิ เก่า อมั พร ยะวรรณ (2543) ศกึ ษาองคป์ ระกอบและขน้ั ตอนของประเพณคี วามเชอ่ื ที่ปรากฏในประเพณีการเต้นสากกับกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของกลุ่ม ชาตพิ นั ธ์ุแสก บ้านอาจสามารถ อ�ำเภอเมือง จังหวดั นครพนม พบว่าแสกเต้นสาก ประกอบด้วยผู้เต้นสาก ไม้สากที่ใช้เต้น เคร่ืองดนตรีท่ีใช้บรรเลง เพลงท่ีใช้ร้อง ประกอบเปน็ ภาษาแสก ขนั้ ตอนแบง่ เปน็ ขน้ั เตรยี มการ และขน้ั ดำ� เนนิ การ ประเพณี การเตน้ สากเปน็ กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมทมี่ อี ทิ ธพิ ลตง้ั แตว่ ยั เดก็ จนถงึ วยั ชรา เครอื มาส บญุ ธรรม (2537) ศกึ ษาการฟอ้ นโปงลางของจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ เปน็ ทา่ ฟอ้ น ท่ีประดิษฐ์ข้ึนจากจินตนาการของชาวบ้านท่ีมีช่ือเสียง จังหวะและท�ำนองของ โปงลางในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเรียกเป็นภาษาถ่ินว่า “ลาย” แต่ละลายมีช่ือตาม ความหมาย เชน่ ลายไหวค้ รู ลายชา้ งขนึ้ ภู ลายนกไซบนิ ขา้ มทงุ่ ลายผไู้ ทยเลาะตบุ ลายเต้นโขง ซ่ึงแต่ละลายสามารถน�ำมาประกอบกับการฟ้อนในชุดการแต่งกาย พน้ื เมอื งตา่ งๆ ดว้ ยทา่ ทางทแ่ี สดงออกใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธอ์ ยา่ งเหมาะสมกบั เนอื้ หา ของลายนน้ั ๆ ส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ (2540) ศึกษาเกย่ี วกับประวตั ิ และผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งทางคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้
264 โสวฒั นธรรม ประกาศยกย่องเชดิ ชเุ กยี รตแิ ก่บคุ คล คอื นายสวน ผ่องแผ้ว ผู้ซ่ึงเป็นหัวหน้าคณะ ละครหุ่นอีสาน “เพชรหนองเรือ” นอกจากนี้ภายในหนงั สือเล่มนี้ยังมีบทความท่ี เกี่ยวกับวัฒนธรรม ได้แก่ โครงการสบื สานวัฒนธรรมไทย 2538 - 2540 ซงึ่ กล่าวถึง ภมู หิ ลงั สภาพปจั จบุ นั และปญั หาทางวฒั นธรรม ตลอดจนยงั มปี ระวตั คิ วามเปน็ มา หนงั ตะลงุ อสี าน ละครหนุ่ อสี าน และยงั มบี ทความเกย่ี วกบั วฒั นธรรมในด้านตา่ งๆ ศลิ ปะการแสดงทแี่ พรอ่ ทิ ธพิ ลมาจากทางภาคใตม้ าเปน็ การแสดงทอ้ งถนิ่ คอื หนงั ตะลงุ อสี านหรอื หนงั ประโมทยั สรุ ยิ า สมทุ คปุ ตแ์ิ ละคณะ (2535) ศกึ ษาเกย่ี วกบั หนงั ประโมทัยของคณะหนงั ประโมทัยจากบ้านสระแก้ว ต.บ้านฝาง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ที่ได้รับอิทธิพลจากหนงั ตะลุงภาคใต้ โดยผ่านประสบการณ์ในการใช้ ชีวิตช่วงท�ำงานนอกหมู่บ้าน แล้วจึงประยุกต์หนงั ตะลุงให้เข้ากับลักษณะท้องถิ่น อีสาน โดยเฉพาะในการแสดงหมอลำ� และมีชาวบ้านกลุ่มหนงึ่ ดำ� รงชีวิตด้วยการ ออกเร่แสดงประโมทัยเพอื่ หารายได้นอกฤดูกาลท�ำนา ในส่วนของดนตรี รัชวิทย์ มุสิการุณ (2544) ศึกษาเก่ียวกับแคน พบว่า แคน เป็นเครอ่ื งดนตรีตระกูลเป่าชนิ้ เดียวในโลกทบ่ี รรเลงในครั้งเดยี วได้หลายเสยี ง ประสานพร้อมกันในลักษณะการประสานเสียงเพลง ได้ถึง 11 เสียงและสามารถ ท�ำให้เกิดเสียงยาวนานติดต่อกันได้ตลอดการบรรเลง ด้วยความสัมพันธ์ต่อกัน ชา้ นานของประเทศไทยและประเทศสาธารณรฐั ประชาชนลาว เปน็ เมอื งพเี่ มอื งนอ้ ง แคนจึงเป็นดนตรีที่นิยมเล่นกันมากใน 2 ประเทศแห่งลุ่มน�้ำโขง กล่าวได้ว่า เป็น เครื่องดนตรีที่มี “รากร่วม” ทางวัฒนธรรมและมี “รากเริ่ม” จากที่เดียวกัน ด้วย เหตนุ เี้ องมนต์เสียงแคนจากแดนจำ� ปาเป็นเรอื่ ง “สดุ สะแนน” และอยู่ในความนยิ ม ของคนลาวอย่างไม่เส่อื มคลาย เนอ่ื งมาจากค่านิยมและคณุ ค่าของแคน การด�ำรง ชวี ติ อย่อู ยา่ งเพยี งพอของศลิ ปนิ และการรบั วฒั นธรรม การดนตรลี กู ท่งุ หมอลำ� จาก ประเทศไทย ทั้งนีใ้ นบทความของวศิ ิษฏ์ ดวงสงค์ (2541) เกี่ยวกบั แคน ยอดดนตรี พนื้ เมอื งไทยอสี าน พบวา่ เครอ่ื งดนตรเี รยี กวา่ แคนของชาวพนื้ เมอื งไทยอสี านมคี วาม เป็นมาไม่แน่ชัด มีแต่เรอ่ื งปรัมปราทีเ่ ล่าขานสืบๆ กันมาแคนของชาวพ้นื เมอื งไทย อสี านมอี ยู่ 4 ชนดิ ดงั นคี้ อื แคนหก แคนเจด็ แคนแปด และแคนเกา้ แคนจดั เปน็ ยอด
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 265 ดนตรีพ้ืนเมืองชาวไทยอีสานสายล้านช้าง ด้วยถือว่ามีเสียงท่ีไพเราะจับใจย่ิงกว่า เสยี งดนตรพี น้ื เมอื งชนดิ อนื่ ใดทง้ั สน้ิ ชาวพนื้ เมอื งนยิ มใชแ้ คนเปา่ บรรเลงเพลง ดงั น้ี คือ ใช้เป่าหรอื เดี่ยวเพลงในเชิงเกีย้ วพาราสหี นุ่มสาว ใช้เป่าประสานเสยี งหมอล�ำ สนอง คลงั พระศรี (2540) เขยี นบทความเกยี่ วกบั แคนวา่ แคน เรยี กเปน็ ดว้ ง ไมใ่ ชเ่ ตา้ ขอ้ ทกั ทว้ งทคี่ วรพจิ ารณา ซงึ่ คนสว่ นใหญน่ ยิ มเรยี กลกั ษณะนามของแคน ว่าเต้า แต่ชาวอสี านซงึ่ เปน็ กลมุ่ ทน่ี ยิ มเล่นแคนมากกว่ากล่มุ อนื่ ๆ กลบั เรยี กแคนว่า “ดวง” เพราะหลักฐานในหนงั สอื ไตรภมู พิ ระร่วง บ่งชีช้ ัดว่า เครือ่ งดนตรที ่ที ำ� ด้วย ลูกน�้ำเต้า เช่น พิณ คนโบราณเรียกเป็นดวง ซึ่งเรียกตามรูปร่างสัณฐานของวัสดุ ไมใ่ ชเ่ รยี กตามวสั ดทุ ใี่ ชท้ ำ� ดงั นน้ั การทชี่ าวบา้ นในทอ้ งถนิ่ อสี านยงั คงเรยี กวา่ “ดวง” จึงฟังดูมีเหตุผลและสอดคล้องกับหลักฐานเป็นอย่างย่ิง สงัด ภูเขาทอง (2540) กล่าวถงึ โปงลางในทัศนะของคนต่างถ่ิน ซึ่งน่าจะมาจากวัตถุทมี่ ีรปู ร่าง กลวงเป็น โพรง หรอื คลา้ ยราง เวลาเคาะจะมเี สยี งดงั กงั วาน หมายถงึ การตงั้ ชอื่ ไปตามรปู รา่ ง ลักษณะ ดังนนั้ ความหมายของค�ำว่า “โปงลาง” คอื เครือ่ งดนตรที ่มี ลี กั ษณะเป็น โพรงหรือไม่กเ็ ป็นรางนนั่ เอง คือต้องมลี กั ษณะเป็นกลวง มีเสียงกังวาน แต่ในภาค เหนอื อ�ำเภอแม่แตง จงั หวัดเชียงใหม่ ชาวบ้านนยิ มเรียกว่า “ผางลาง” ชาวบ้าน เชื่อว่าเป็นเสยี งแห่งความมงคล อดุ ม บวั ศรี (2540) กล่าวถงึ ดนตรีในพธิ กี รรมอสี านว่า เครื่องดนตรที ีน่ ิยม ใชป้ ระกอบพธิ กี รรม อนั ไดแ้ ก่ แคน เปน็ ดนตรที ใี่ ชป้ ระกอบพธิ กี รรม เชน่ รำ� ทรงหรอื ร�ำผีฟ้าหรอื หมอเหยา ถือว่าแคน เป็นสอื่ อย่างหนงึ่ ที่สำ� คญั , กลอง อีสานมีกลอง หลายชนดิ ไดแ้ ก่ กลองเพล กลองเดกิ กลองโฮม กลองบงั สกุ ลุ กลองต้มุ กลองเทงิ้ กลองตะโพน กลองจ่ิง กลองท้วง กลองสะบัดชัย และกลองยาว ซึง่ นำ� มาใช้แตก ต่างกนั ขึ้นอยู่กบั วัตถปุ ระสงค์ทจ่ี ะใช้ เพลงโคราช การแสดงขอกลุ่มคนไทยโคราช พชร สุวรรณภาชน์ (2543) ศึกษาเพลงโคราช ซึ่งเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น นับเป็นการร้องเพลงพ้ืนบ้านโต้ตอบ ระหว่างชายและหญิง ซ่ึงต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของหมอเพลงหรือผู้ ร้องเป็นอย่างสูง มีเน้ือร้อง และท่วงท�ำนองท่ีเป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงวัฒนธรรม
266 โสวัฒนธรรม ของชาวไทยโคราช ศึกษาอาศัยวีธีการคิด แนวคิด ทฤษฎีทางมานุษยวิทยาการ ดนตรี โดยศึกษาถึงรูปแบบเนื้อหา วิธีการเล่นเพลงและเนื้อร้อง เพื่อดูพัฒนาการ ของเพลงต้ังแต่อดตี ถงึ ปัจจุบัน พบว่าเพลงโคราช มีการพัฒนาการเปลี่ยนรปู แบบ เนอ้ื หา และวธิ กี ารเล่นเพลงมาตลอด เพราะความคดิ สร้างสรรคข์ องหมอเพลงและ รสนิยมของผู้ฟัง ทีส่ ำ� คญั คอื การเปล่ยี นแปลงทางสงั คมและวัฒนธรรมของชุมชน ไทยโคราช ท�ำให้เกิดมีเพลงโคราชแบบต่างๆ เพ่ิม รวมท้ัง วรี ะ เลศิ จนั ทกึ (2541) ศึกษาเพลงโคราชในกระแสโลกาภิวัตน์ พบว่า องค์ประกอบและศิลปะการแสดง เพลงโคราชของหมอเพลงรนุ่ ครู และหมอเพลงอาชพี ทแี่ สดงแบบดง้ั เดมิ ยงั คงรกั ษา ขนบเดมิ คอื ฉนั ทลกั ษณข์ องเพลงยงั คงสมั ผสั อยู่ ใชภ้ าษาโคราชทเี่ ปน็ ศพั ทเ์ ฉพาะ ศลิ ปะการแสดงยงั คงยดึ ถอื ความเชอื่ เดมิ วเิ ศษ ชาญประโคน (2539) ศกึ ษาวเิ คราะห์ องค์ประกอบและคุณค่าทางสังคมของกันตรมึ โดยศกึ ษาเชิงคณุ ภาพ พบว่า ด้าน คณุ คา่ ทางสงั คมของกนั ตรมึ สะทอ้ น 3 ดา้ นคอื วถิ ชี วี ติ ระบบครอบครวั และเครอื ญาติ สงั คมและวฒั นธรรม โดยชาวอสี านใตท้ �ำนาเปน็ อาชพี หลกั ทอผา้ และเลยี้ งสง่ เสรมิ มคี วามเชอื่ และศรทั ธาในพทุ ธศาสนา เชอื่ โหราศาสตร์ คา่ นยิ ม เลอื กคนวิ ดำ� เปน็ คู่ มีคติสอนใจชายหญิงเร่ืองครองรักให้ม่ันคงในรักให้เกียรติกัน ด้านครอบครัว เครือญาติมีลักษณะระบบขยาย ชายเป็นหัวหน้า แบ่งหน้าท่ีกันชัดเจน ยึดมั่นใน ธรรมเนยี มประเพณอี ยา่ งเครง่ ครดั โฆสติ ดสี ม(2544) ศกึ ษาพฒั นาการของกนั ตรมึ บ้านดงมัน ต�ำบลคอโค อ�ำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในวิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร มหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม เกยี่ วกบั การบรรเลงเพลง การขบั ร้องและ การฟ้อนรำ� ของกนั ตรมึ บ้านดงมัน ต.คอโค อ.เมือง จ.สุรินทร์ พบว่ากันตรึมบ้าน ดงมัน เดิมมีองค์ประกอบดนตรีแบบดั้งเดิม ต่อมาได้พัฒนาการโดยน�ำเอาเคร่ือง ดนตรีสากลเข้ามาประกอบในการบรรเลง องค์ประกอบด้านบทเพลง แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ บทเพลงประกอบการไหว้ครู บทเพลงส�ำหรับขบวนแห่ บทเพลง เบ็ดเตล็ด บทเพลงในพธิ ีกรรม บทเพลงกนั ตรมึ ใช้ประกอบการแสดง บทเพลงกัน ตรึมประยุกต์ ซ่ึงได้พัฒนาองค์ประกอบด้านบทเพลงข้ึนตามโอกาสต่างๆ มีการ พัฒนารูปแบบและมีการลงทุนเตรียมการปรับปรุงรุปแบบวงกันตรึมอยู่ตลอดเวลา พรรณราย คำ� โสภา (2542) ศกึ ษาวเิ คราะหเ์ พลงประกอบการแสดงพนื้ บา้ น บทเพลง
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 267 ประกอบการแสดงโดยการใช้วงกันตรึมบรรเลง เพ่ือศึกษาวิเคราะห์ในด้านประวัติ ความเป็นมา การแต่งกาย โอกาสและวิธีการแสดง มาตราเสียง ค�ำร้อง ท�ำนอง โครงสร้างของท�ำนองเพลง พบว่าดนตรีพ้นื บ้านกันตรมึ แต่เดิมมจี ดุ ประสงค์ในการ บรรเลงเพอื่ ความสนกุ สนานรา่ เรงิ ของชาวบา้ นเปน็ ทำ� นองสนั้ ๆ ตอ่ มาพฒั นาใหเ้ ปน็ รปู แบบมากขน้ึ นำ� เอาเพลงเกา่ ทไี่ พเราะสนกุ สนานไดร้ บั ความนยิ มในชมุ ชนทง้ั งาน มงคลและอวมงคล แตเ่ ดมิ ไมไ่ ดค้ ำ� นงึ ถงึ การแตง่ กาย ต่อมาแตง่ ตามประเพณนี ยิ ม สวยงามขน้ึ เสยี งเพลงกนั ตรมึ เปลย่ี นไปใกลเ้ คยี งมาตราเสยี งสากลมากขน้ึ สพุ รรณี เหลือบุญชู (2546) ได้วิจัยดนตรีอีสานใต้โดยน�ำเอาบทเพลงพ้ืนบ้านอีสานใต้มา วิเคราะห์ตามหลักดุริยางคศิลป์ด้านองค์ประกอบทางดนตรี ได้แก่ เพลงอมตูก เพลงร�ำเปย เพลงกโนปตงิ ตอง และเพลงระบ�ำสุ่ม (อนั รจุ ) โดยวิเคราะห์ตามหลัก ดรุ ยิ างคศลิ ปด์ า้ นองคป์ ระกอบทางดา้ น ดนตรี ไดแ้ ก่ จงั หวะ ทำ� นอง เสยี งประสาน การศึกษาการด�ำรงอยู่ของการแสดงพ้ืนบ้านภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ มี การศกึ ษาของ สมบัติ ทับทิมทอง(2544) เกยี่ วกับพฒั นาการกับปัจจยั การเกดิ และ การด�ำรงอยู่ของคณะกลองยาว อ.วาปีปทมุ จ.มหาสารคาม พบว่าคณะกลองยาว อ�ำเภอวาปีปทุมมีพัฒนาการเป็นสามช่วง ช่วงแรกเป็นแบบไม่มีรูปแบบ เกิดจาก ความสนกุ สนานร่าเริงของชาวบ้านผสมผสานกับความเชื่อและศรัทธา ช่วงที่สอง เปน็ แบบดง้ั เดมิ ซงึ่ ใชเ้ ครอ่ื งดนตรปี ระกอบขบวนแหง่ านประเพณสี �ำคญั ของทอ้ งถน่ิ เครอ่ื งดนตรีประกอบด้วยกลองยาว ร�ำมะนาและฉาบ บรรเลงเพลงพ้ืนบ้านอสี าน ยงั ไม่มเี ครอ่ื งดนตรที ใ่ี ช้บรรเลงทำ� นองเพลง ช่วงทสี่ ามเป็นคณะกลองยาวประยกุ ต์ เพอ่ื รบั จา้ งและแสดงทวั่ ไป นำ� ออรแ์ กน เบส กลองชดุ 3 ใบและพณิ เปน็ เครอ่ื งดนตรี ประกอบการบรรเลงเพม่ิ ขน้ึ การประดษิ ฐค์ ดิ การแสดงใหมๆ่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพ สังคมร่วมสมัยในปัจจุบัน สุภาวดี สำ� ลีพันธ์ (2540) ศึกษาท่าฟ้อนพื้นบ้านอีสาน และศกึ ษาวถิ ชี วี ติ ทป่ี รากฏในการฟอ้ นพน้ื บา้ นอสี านของวทิ ยาลยั นาฏศลิ ปร์ อ้ ยเอด็ พบวา่ ทา่ ฟอ้ นทใี่ ชป้ ระกอบการแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ นมที ง้ั หมด 81 ทา่ เปน็ ทา่ ฟอ้ น พื้นบ้านอีสาน 68 ท่า และท่าร�ำไทย 13 ท่า ส่วนวิถีชีวิตท่ีปรากฏในการฟ้อน พ้นื บ้านพบว่ามี 6 ด้าน คอื การประกอบอาชพี ด้านลกั ษณะนิสัย
268 โสวฒั นธรรม 5.4 พลงั วฒั นธรรมในงานสถาปัตยกรรมและหตั ถกรรม งานสถาปัตยกรรมในภูมิภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ โดยส่วนใหญ่เป็นการ ศึกษาเชิงประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ท้ังส่วนท่ีเป็นพัฒนาการและการศึกษา คติความเชื่อท่ีเก่ียวข้องกับงานสถาปัตยกรรม ท่ามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ความน่าสนใจของงานสถาปัตยกรรมคือความ หลากหลายทางรปู แบบและคตนิ ยิ ม ตลอดจนคตนิ ยิ มของการสร้างสถาปัตยกรรม ของชมุ ชนแตล่ ะกลมุ่ นพดล ตง้ั สกลุ และจนั ทนยี ์ วงศค์ ำ� (2546) ศกึ ษาถงึ คตคิ วามเชอ่ื และระบบสังคมกับการปลูกสร้างเรือนพ้ืนบ้านและชุมชนผู้ไทน้ัน พบว่า “คติ ความเชื่อ” เป็นกลไกในการก�ำหนดกรอบแนวและระบบสังคมผ่านทางวัฒนธรรม ประเพณีและพิธีกรรมสะท้อนในวิถีชีวิตและพฤติกรรม แม้ลักษณะทางกายภาพ และชุมชนและบ้านเรือนมีความแตกต่างออกไปแต่กระบวนแนวคิดในการแสดง ความหมาย การศึกษาของจันทนีย์ วงศ์คำ� (2544) ศึกษาพัฒนาการของเรือนพื้น บ้านกะเลงิ : กรณีศกึ ษาบ้านหนองหนาว จังหวัดมกุ ดาหาร เป็นการศกึ ษาค้นคว้า เอกลักษณ์ในเรือนพื้นถิ่นเพื่อนำ� ไปสู่การศึกษาเรือนพื้นถ่ินร่วมสมัยมีความจำ� เป็น ต้องค้นคว้าถึงเน้ือหาจากรากฐานแต่ละชุมชนนั้นอย่างแท้จริงและมิอาจใช้การ อ้างอิงเพ่ือใช้กับแหล่งที่ตั้งอื่นๆ ได้ เนื่องด้วยแต่ละพื้นที่ย่อมมีความแตกต่าง แม้ เพยี งเลก็ นอ้ ยกม็ ผี ลตอ่ พฒั นาการของเรอื นในแตล่ ะชมุ ชนนนั้ การศกึ ษาพฒั นาการ เรือนเป็นแนวทางหนง่ึ ท่ีจะท�ำให้เกิดองค์ความรู้และเข้าใจถึงรูปแบบเรือนวิถีชีวิต ความเปน็ อยู่ ตลอดจนลกั ษณะและขอ้ ก�ำหนดตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วข้องและยงั ขาดการน�ำ มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์เพอื่ ให้ได้เรอื นท่ผี สมผสานของเรอื นกะเลิง บ้านหอ นงหนาว อ�ำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เพ่ือมุ่งหมายให้เข้าใจถึงทิศทางและ รูปแบบของพัฒนาการเรือนรวมถึงปัจจัยท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงนน้ั และเพ่ือค้นหา ว่าการสร้างเรือนในช่วงเวลาใดทสี่ ามารถสะท้อนลกั ษณะด้ังเดิมของเรือนในชุมชน โดยการใช้กรอบศึกษาที่ยึดกับระยะเวลาการสร้างเรือนเป็นหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา คือ เรอื นกลุ่มใหม่ (0-30 ปี)
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 269 ตกึ ดนิ ของชมุ ชนชาวจนี ในวทิ ยานพิ นธร์ ะดบั มหาบณั ฑติ ของ นริ าศ ศรขี าวรส (2541) โดยศึกษาพัฒนาการด้านรูปแบบของสถาปัตยกรรมด้านที่อยู่อาศัยและ ความสัมพันธ์กบั วถิ ชี วี ติ ของชาวจนี ในเขตเทศบาลเมอื งร้อยเอด็ พบว่าพฒั นาการ ด้านรูปแบบท่ีอยู่อาศัยเป็นแบบด้ังเดิมถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษมาสู่สมัยใหม่ แบ่งได้ 2 ช่วง ก่อนสงครามโลกคร้งั ที่ 2 เป็นแบบตกึ ดิน ต่อมาได้พัฒนาการเป็น ห้องแถวไม้ 2 ช้ัน และช่วงสงครามโลกครั้งท่ี 2 เป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้จนกลาย มาเป็นอาคารพาณชิ ย์สมัยใหม่ ส่วนความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตนนั้ ชาวจีนจะยึดถือ ครอบครัวเป็นหน่วยที่ส�ำคัญ อยู่รวมกันหลายคน การปลูกบ้านจึงมีขนาดใหญ่ ธีรพงษ์ จตุรพาณชิ ย์ (2546) ศกึ ษาความเป็นมาของตึกดินในจังหวดั ร้อยเอ็ด โดย ศึกษาจากพงศาวดารหัวเมอื ง มณฑลอสี าน ฉบบั หม่อมอมรวงษ์วจิ ติ ร พบว่า ใน สมัยรัชกาลท่ี 4-5 มีพ่อค้าชาวจนี เดนิ ทางมาค้าขายในเมืองร้อยเอ็ด โดยรบั ซ้อื ของ ปา่ สง่ ไปขายทเี่ มอื งนครราชสมี า ตอ่ มาชาวจนี เหลา่ นไ้ี ดแ้ ตง่ งานกบั สตรพี นื้ เมอื งและ ตง้ั ถน่ิ ฐานแถวชนั้ เดยี ว ผนงั กอ่ ดว้ ยอฐิ ดนิ ดบิ ไมเ่ ผา แบง่ หอ้ งเปน็ สามสว่ น สว่ นแรก เป็นที่ค้าขาย ส่วนทีส่ องเป็นห้องนอน ส่วนทีส่ ามเป็นศาลเจ้าประจำ� บ้าน ยุคต่อมา หลงั คามงุ สงั กะสี เปลย่ี นพน้ื ดนิ เปน็ ไมก้ ระดานและปนู ซเี มนตต์ ามลำ� ดบั ตกึ ดนิ เปน็ งานสถาปตั ยกรรมดงั้ เดมิ ทไี่ ดร้ บั ความสนใจอยา่ งมาก สมชาย นลิ อาธิ (2536) กลา่ วถงึ ตึกดิน..สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านอีสาน จากการส�ำรวจศึกษาสถาปัตยกรรมที่เป็น สิ่งก่อสร้างต่างๆ ในอีสานพบว่า นอกจากสิ่งก่อสร้างทางความเช่ือศาสนาทั่วไป แล้ว ยงั มีสงิ่ ก่อสร้างที่เป็นทอ่ี ยู่อาศัยอกี หลายลกั ษณะด้วยกนั เช่น เรือนพกั อาศยั แบบต่างๆ ทง้ั ในชนบทและชานเมอื ง ตลอดจนเถียงนา ศาลากลางบ้าน และทีอ่ ยู่ อาศยั ประเภทอาคารรา้ นคา้ ทเี่ รยี กกนั ทวั่ ไปวา่ ตกึ ดนิ รวมอยดู่ ว้ ย “ตกึ ดนิ ” รากฐาน สถาปัตยกรรมแห่งพ้ืนบ้านถิ่นท่ีราบสูงที่แสดงเอกลักษณ์ของย่านชุมชนเมืองใน ยคุ นน้ั ได้พัฒนาคล่คี ลายมาสู่ยคุ ทวี พรมมา(2541) ศึกษาเรือนไทยด�ำบ้านนาป่าหนาด ต�ำบลเขาแก้ว อ�ำเภอเชียงคาม จงั หวดั เลย ทัง้ การศกึ ษาพฒั นาการด้านรูปแบบ โครงสร้าง และ สว่ นประกอบทางสถาปตั ยกรรมของเรอื นไทยดำ� และศกึ ษาความสมั พนั ธข์ องเรอื น
270 โสวฒั นธรรม กับวิถีชีวิตของชาวไทยด�ำ พบว่า เรือนไทยด�ำแบบดั้งเดิมเป็นเรือนผูกท่ีมีเสาสูง หลงั คาเปน็ ทรงกระโจมคลมุ ตำ่� มหี ง้ิ บชู าผเี รอื น ซงึ่ ชาวไทยดำ� เรยี กวา่ “กะลอ่ หอ้ ง” แต่ เมอ่ื สภาพทางภมู ศิ าสตรเ์ ปลย่ี นไปทำ� ให้มอี ทิ ธพิ ลตอ่ วธิ กี ารปลกู สร้าง เช่นเดยี วกบั งานของปรัชญาวฒั น์ ประจัญ (2542) ว่าด้วยเฮอื น(เรอื น) ของชาวข่าเลงิ หมู่บ้าน บวั กบั หมบู่ า้ นทรายแกว้ อ.กดุ บาก จ.สกลนคร และบรบิ ทชวี ติ และสงั คมเครอื ญาติ พบว่าหมู่บ้านบวั ทรายแก้ว มีชาวข่าเลิง อาศัยอยู่เป็นชุมชนรกั ความสงบและชอบ ใช้ชีวิตอยู่ตามป่าตามเขา แต่ในปัจจุบันยังคงด�ำรงอยู่อย่างสมถะเรียบง่าย โดย ผกู พนั ปจั จยั สข่ี องชวี ติ ไวก้ บั ผนื ปา่ เปน็ หลกั อกี ทง้ั ยงั นยิ มแตง่ งานกนั ภายในหมบู่ า้ น ส่งผลให้ชาวข่าเลิงชุมชนนี้มีความรักความผูกพันและความเป็นปึกแผ่นเกินกว่า หมู่บ้านอ่ืนใดพึงจะมี โดยเฉพาะเม่ือผสานกับการสร้างเรือนของข่าเลิงกลุ่มนท้ี ี่ยึด เอาความสมั พันธ์ประโยชน์ใช้สอยและตอบสนองความอบ ในกลมุ่ ชมุ ชนอสี านรว่ มสมยั วทิ ยานพิ นธ์ พรมมา ไขแสง (2541) ศกึ ษาเรอื น พน้ื บา้ นในเขตอำ� เภอหนองกงุ ศรี จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ รปู แบบ ขนบธรรมเนยี มประเพณี คติความเชื่อท่ีมีต่อสถาปัตยกรรมประเภทท่ีอยู่อาศัย และความสัมพันธ์ระหว่าง ผอู้ ยอู่ าศยั และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ยอู่ าศยั และการใชส้ อย พบวา่ เรอื นพน้ื บา้ น ในเขตอ�ำเภอหนองกุงศรี เป็นบ้านช้ันเดียวยกพื้นสูงตัวเรือนโปร่งมีฝาท้ังส่ีด้าน ตวั หนา้ เรอื นเปดิ ครงึ่ เดยี ว หลงั คาใชก้ ระเบอื้ งไม้ และมกั ปลกู บา้ นตามฝมี อื ชา่ งและ คตคิ วามเชอ่ื ทจี่ ะทำ� ใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ แตป่ จั จบุ นั ถกู จ�ำกดั ในเรอื่ งวสั ดกุ อ่ สรา้ งทต่ี อ้ ง ซอ้ื หาในท้องตลาด ท�ำให้คตคิ วามเชื่อแบบเดมิ เปลย่ี นไป ความพยายามในการศกึ ษาเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม โสภณ จงสมจิต (2537) พบว่าเรือนพื้นบ้านอีสานเป็นสิ่งท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศาสนา ประเพณี และธรรมชาติอย่างหน่ึงของคนอีสาน และเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมท่ีก�ำลังถูกทอดท้ิงไปเน่ืองจากความนิยมบ้านเรือนสมัยใหม่ ซึ่งขัดแย้ง กบั สภาพสงั คมเกษตรกรรม สว่ นลกั ษณะเรอื นพน้ื บา้ นอสี าน พบวา่ มลี กั ษณะทาง สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่นิ เป็นบ้านชั้นเดยี วมใี ต้ถนุ สงู และเต้ยี วัสดทุ ใ่ี ช้ก่อสร้างบ้านใช้ ไม้ชนดิ ต่างๆ เช่น ใบจาก ไม้ไผ่ หญ้าคา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 271 เจรญิ ตนั มหาพราน (2536) ศกึ ษาลกั ษณะเรอื นอสี านโดยทว่ั ไปมี 3 ลกั ษณะ คือ 1.เฮือนใหญ่หรือเรือนเกย 2.เฮือนโข่ง ซึ่งมีโครงสร้างแยกออกจากเฮือนใหญ่ 3.เฮอื นแฝด มโี ครงสรา้ งทงั้ ขอื่ และคานจะฝากกบั เฮอื นใหญ่ และระดบั พน้ื จะเทา่ กนั เฮอื นทงั้ 3 อาจมสี ว่ นประกอบเพอื่ เพม่ิ เนอ้ื ทใี่ ชส้ อยตา่ งๆ ไดด้ งั นี้ ชานแดด เปน็ ชาน โล่งท่ียื่นออกมาและลดระดับลงจากตัวเรือน ใช้นง่ั พักผ่อนและรับประทานอาหาร เฮอื นไฟ (ครวั ) ฮา้ งนำ�้ (รา้ นนำ�้ ) ลกั ษณะเปน็ เพงิ มรี า้ งวางแอง่ นำ�้ ดนิ เผาไวด้ ม่ื เลา้ ขา้ ว (ยงุ้ เล้า) จะมพี นื้ เลา้ สงู พอดกี บั การเทยี มเกวยี น เพอ่ื ขนขา้ วเขา้ ยงุ้ ลกั ษณะเดน่ ของ เรือนอีสานอยู่ท่ีจ่ัว นอกจากนี้ยังมีกรอบปั้นลมประกอบหลังคาเรือนทั้งสองด้าน เช่นเดยี วกบั จันทนยี ์ วงศ์ค�ำ(2545) ศึกษาวฒั นธรรมกับการเปลยี่ นแปลงของเรอื น อสี าน พบวา่ เรอื นพน้ื ถนิ่ ของแตล่ ะกลมุ่ ตา่ งๆ ในภาคอสี านลว้ นมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั และมีความคล้ายกันเรอื นพื้นถน่ิ ในลาวด้วยทงั้ ในรูปแบบและผงั เรือน เน่ืองมาจากความเป็นกลุ่มชนท่ีมีการจดจ�ำรูปแบบทางสถาปัตยกรรมมา ตง้ั แตค่ รงั้ อดตี และสบื ทอดตอ่ กนั มาเรอ่ื ยๆ โดยมกี ารเปลยี่ นแปลงบางอยา่ งใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดล้อมและทรัพยากรทหี่ าได้ในท้องถน่ิ รวมไปถึงผสมผสานรปู แบบเดิม วิชิต คลังบุญครองและไพโรจน์ เพชรสังหาร (2537) ศึกษาเกี่ยวกับเฮือน (เรอื น) ในภาคอีสาน พบว่า เฮือน (เรอื น) ในภาคอีสาน หมายถึง ท่พี ัก ทอ่ี าศยั ท่ีมีการยกเสาสูงใต้ถุนโล่ง (มีใต้ล่าง) การแบ่งประโยชน์การใช้ที่ดินในภาคอีสาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) บรเิ วณชมุ ชนหมู่บ้าน เป็นการใช้ทีด่ นิ ทต่ี งั้ ชมุ ชนและอยู่กันเป็นกลุ่มโดยเลอื กทำ� เลเป็นท่ตี ง้ั เนนิ สูง นำ�้ ท่วมไม่ถงึ สามารถปลกู พชื ยนื ต้นได้ 2) บริเวณการเกษตร ส่วนมากจะเป็นนา ไร่ สวนตามแต่ภูมิประเทศ จะอยู่โดยรอบหมู่บ้าน ส่วนด้านสังคมครอบครัวและเฮือนอีสาน ซ่ึงการปลูกเรือน ของชาวอีสานจะดูฤกษ์ดูยามท�ำพิธีการปลูกเรือนและช่วยกันปลูกโดยขอความ ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั โดยชาวบา้ นจะชว่ ยกนั เขา้ ไปในดง (ปา่ ) เพอ่ื เลอื กไมแ้ ก่ ออ่ น ชนดิ ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้ สังคมในครัวเรือนแต่ละครัวเรือนจะปลูกเรือน ให้มเี นือ้ ทีใ่ ช้สอยขนาดพอเหมาะ
272 โสวัฒนธรรม จากการทสี่ ถาปตั ยกรรม เฮอื นหรอื เรอื น ทกี่ ำ� ลงั จะคอ่ ยเลอื นหายไป ชำ� นาญ บุญญาพุทธิพงศ์ (2546) ศึกษาเก่ียวกับเฮือนอีสานและวิถีชาวบ้านที่เลือนหาย พบว่า มเี ฮอื นอีสานสี่ห้าหลงั รมิ ทางหลวงอุบลราชธาน-ี พบิ ลู มงั สาหาร ซ่ึงเป็นถนน สายส�ำคัญเป็นปัจจัยท่ีน�ำความเจริญทางวัตถุท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ทางสถาปัตยกรรมชนบทแถบนี้แต่เฮือนเหล่าน้ีอาจะไม่สามารรถเป็นตัวแทน สถาปัตยกรรมในท้องถิ่นอีสานได้ท้ังหมดแต่สามารถสูดดมกลิ่นไอของรูปแบบ สถาปัตยกรรมเดิมๆ จากภูมิปัญญาชาวบ้านจริงๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถสื่อถึง ความเปน็ อยแู่ บบเดมิ ๆ สว่ นใตถ้ นุ มกั จะทำ� กจิ กรรมในชว่ งกลางวนั บางสว่ นถกู แบง่ ไวเ้ ลยี้ งสตั ว์ เฮอื นอสี านในอดตี ไมม่ หี อ้ งนำ้� ในตวั ในระยะหลงั แสดงถงึ การผสมผสาน ของความเกา่ และใหม่ คอื สว่ นอาบน�้ำทเ่ี ปดิ โลง่ ดขู า้ งๆ นำ�้ บอ่ และบอ่ นำ�้ บาดาลและ มีท่อประปาใช้ภาพสะท้อนความแตกต่างของยุคสมยั อีกด้านหนึ่งการศึกษาสถาปัตยกรรมท่ีเป็นศาสนคารก็ได้รับความสนใจ ศกึ ษาดงั ปรากฏจากการศกึ ษาหลายชนิ้ นบั ตง้ั แตง่ านของพนั ค�ำทอง สวุ รรณธาดา (2545) ศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงขนบประเพณีในการสร้างพระธาตดุ ้านรูปแบบ ด้าน วิธีการก่อสร้างหน้าท่ีและประโยชน์ คติความเชื่อและปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่มีผลกระ ทบตอ่ ขนบประเพณใี นการสรา้ งพระมหาธาตแุ กน่ นครวดั หนองแวงพระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมอื ง จ.ขอนแก่น พบว่าได้มกี ารสร้างเป็นพระธาตุรูปแบบเปิด มกี าร ใช้เครอ่ื งมอื ทท่ี นั สมยั ใชว้ สั ดทุ คี่ งทนผสมผสานเทคโนโลยภี ายในพระธาตเุ ป็นทโ่ี ล่ง กว้างสามารถประกอบกิจกรรมคณะสงฆ์และปฏิบตั ศิ าสนากิจของพทุ ธศาสนกิ ชน ได้ และได้ออกแบบสูงเก้าช้ันในแต่ละห้องมีภาพเขียน แกะสลักไม้เป็นระวัติเมือง ขอนแกน่ เปน็ ตน้ ดา้ นคตคิ วามเชอ่ื มกี ารเปลยี่ นแปลงคอื มกี ารสรา้ งจลุ ธาตเุ พอ่ื บรรจุ อัฐพิ ุทธศาสนกิ ชน ปัจจยั ท่ีท�ำให้เกิดการเปลยี่ นแปลง ศภุ ชัย สงิ ห์ยะบศุ ย์ (2544) ศึกษาภมู ิปัญญาของกลุ่มช่างทปี่ รากฏในพทุ ธ อุโบสถและพุทธประติมากรรมในเขตภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนกลาง ซึ่งก็คือ เขตจงั หวดั รอ้ ยเอด็ กาฬสนิ ธ์ุ และมหาสารคาม เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของกลมุ่ ชา่ งผสู้ รา้ ง พระอโุ บสถ และสรา้ งพทุ ธประตมิ ากรรมประดบั ตกแตง่ อโุ บสถ ตามบรเิ วณหนา้ บนั
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 273 บานประตู และบานหน้าต่างอุโบสถ เพื่อรองรับและเก้ือหนนุ ต่อความเล่ือมใส ศรัทธาพุทธศาสนาในชุมชนของตน ซงึ่ ภูมิปัญญานน้ั จ�ำแนกได้ 2 ลักษณะ วรยุทธ จนั ทมูล (2542) ศึกษาลักษณะรปู แบบทางสถาปัตยกรรม การประดับตกแต่ง และ ศึกษาความสัมพันธ์ของธรรมาสน์กับวิถีชีวิตของชาวบ้านในจังหวัดมหาสารคาม พบว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพ่ือเป็นสถานท่ีนง่ั แสดงพระธรรมเทศนาของ พระสงฆ์ในงาบุญมหาชาติ โครงสร้างเป็นไม้ และจากรูปแบบธรรมาสน์ท่ีปรากฏ นนั้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อทางพุทธศาสนาในเร่ืองเวสสันดรชาดก ซ่ึงเป็นเน้ือหา หลักในการประดับตกแต่ง และเนื้อหารอง คือ รูปบุคคลและสัตว์ สะท้อนให้เห็น ถงึ ความเชือ่ วถิ ีชาวบ้าน อาคารหอแจกหรือศาลาการเปรียญอีสาน เป็นศาสนคารที่ สรรเสริญ สรุ วาทศลิ ป์ (2545) ศกึ ษาและพบวา่ รปู แบบโครงสรา้ งคตคิ วามเชอ่ื และบทบาทของ หอแจกทมี่ ตี อ่ ชมุ ชนในอ.เกษตรวสิ ยั จ.รอ้ ยเอด็ พบวา่ รปู แบบโครงสรา้ งของหอแจก มีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างของบ้านเรือนโดยทั่วไปแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าบ้าน รปู แบบทางสถาปตั ยกรรมสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความคดิ การออกแบบ ศลิ ปวฒั นธรรม พนื้ บา้ น คตคิ วามเชอ่ื ของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ ซงึ่ มคี ตคิ วามเชอื่ บางอยา่ งกค็ ลายความเชอ่ื ลง ทง้ั นีเ้ น่ืองมาจากความเจรญิ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม ธาดา สทุ ธธิ รรม(2540) ศกึ ษารปู แบบทางสถาปตั ยกรรมของหอแจกสามารถ จำ� แนก เป็นแบบตา่ งๆ คอื หอแจกไม้ ไมเ้ ปน็ วสั ดทุ ใ่ี ช้สรา้ งหอแจกตงั้ แต่การก�ำเนดิ หอแจกในภาคอสี านเมอ่ื ประมาณ 200 กวา่ ปกี อ่ น หอแจกปนู หมายถงึ หอแจกกอ่ อิฐฉาบปูน ทม่ี ีการก่อสร้างในช่วงประมาณ 30-60 ปีมานี้ การก่อสร้างหอแจกด้วย อฐิ และฉาบปนู ทำ� ใหพ้ ฒั นาการทางรปู แบบของหอแจกมรี ปู แบบเฉพาะตวั หอแจก คอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นหอแจกที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี จะพบหอแจกท่ีมีโครงสร้าง เสาและคานเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนงั เป็นอิฐซีเมนต์บล็อกหรืออิฐมอญฉาบ ปูนซีเมนต์ มีลักษณะการตกแต่งแบบสถาปัตยกรรมภาคกลาง เป็นหอแจกท่ีพบ อยู่อย่างดาษดื่นในปัจจุบัน
274 โสวฒั นธรรม ส่วนการศึกษาธาตุอีสาน มีนกั วิชาการให้ความสนใจในการศึกษาอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง นบั ตง้ั แต่ วโิ รฒ ศรสี โุ ร (2538) นำ� เสนอเกย่ี วกบั พระธาตศุ รสี องรกั อนสุ รณ์ แห่งมติ รภาพ และไมตรขี องสองฝั่งโขง ซง่ึ ปัจจบุ นั ตงั้ อย่ใู นเขตอำ� เภอดา่ นซ้าย เปน็ อ�ำเภอหนงึ่ ของจังหวัดเลย ซึ่งเป็นจังหวัดหนงึ่ ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือค่อนไป ทางภาคเหนือ (อีสานเหนือ) พบว่าประชาชนชาวจังหวัดเลยด้ังเดิมและส่วนใหญ่ เป็นชนเผ่าไทยลื้อ ซึ่งเป็นไทยเผ่าใหญ่เผ่าหนง่ึ ท่ีต้ังฐานอยู่ในอาณาจักรล้านช้าง สมัยโบราณส�ำเนียงพูดของคนพื้นเมืองจังหวัดเลยจึงมีสำ� เนียงคล้ายประชาชนใน แคว้นหลวงพระบาง และแขวงไชยบุรี (จังหวัดลานข้างเดิม) พระธาตุศรีสองรัก : ปูชนียสถานและท่ีพ่ึงทางใจนอกจากพระธาตุศรีสองรักจะเป็นอนุสรณ์สถานของ ความสัมพันธ์ทางมิตรภาพและไมตรีอันดียิ่งระหว่างไทย-ลาว ในประวัติศาสตร์ แลว้ ยงั เปน็ ปชู นยี สถานอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ เี่ ปน็ ทพี่ ง่ึ ทางใจของประชาชนจงั หวดั เลยและ ใกล้เคียง รวมท้ังชาวลาวส่วนหนง่ึ ด้วยพระธาตุศรีสองรักได้รับการซ่อมแซมอยู่ เสมอ และกรมศลิ ปากรได้ขนึ้ ทะเบยี นเป็นโบราณสถานไว้แล้ว ผลงานวจิ ยั ชน้ิ สำ� คญั ของวโิ รฒ ศรสี โุ ร (2538) เรอ่ื งธาตอุ สี าน ศกึ ษาเกยี่ วกบั “ธาตุ” และ “พระธาตุ” เป็นภาษาถิ่นของภาคอีสานท่ีใช้เรียกอนุสาวรีย์หรือ สงิ่ กอ่ สรา้ งเพอื่ บรรจอุ ฐั ธิ าตขุ องผวู้ ายชนม์ มคี วามหมายอยา่ งเดยี วกบั “เจดยี ”์ หรอื “สถปู ” ในภาษากลางหากเรยี กวา่ “ธาต”ุ ยอ่ มหมายถงึ ทบ่ี รรจกุ ระดกู ของบคุ คลธรรมดา สามัญไปจนถึงเจ้าเมือง และพระสงฆ์องค์เจ้า “พระธาตุ” หมายถึงสิ่งก่อสร้างท่ี ประดษิ ฐานแตเ่ ฉาพะอฐั ธาตขุ ององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ “ธาต”ุ สามญั ชนทวั่ ไป ในครงั้ แรกนยิ มใชไ้ มจ้ งึ เรยี กวา่ “ธาตไุ ม”้ ซงึ่ ไมส่ ามารถทำ� ใหใ้ หญโ่ ตได้ ตอ่ มาพฒั นา โดยการก่ออฐิ สอปูนจงึ สามารถท�ำให้ใหญ่โตและแขง็ แรงยงิ่ ขึ้น เรยี กว่า “ธาตปุ ูน” ธาดา สุทธิธรรม (2542) ศึกษาเกี่ยวกับสิมของวัดสุวรรณาวาส จังหวัด มหาสารคาม พบว่า สิมวัดสุวรรณาวาส เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนเป็นลักษณะ สิมอีสานทไี่ ด้รบั อทิ ธพิ ลจากฝั่งลาวซง่ึ รับมาจากฝร่ังเศสในฐานะอาณานคิ มในการ ก่อสร้างอาคารก่ออิฐฉาบปูน โดยมีช่างญวนเป็นผู้ท�ำงานปูนต่างๆ ซุ้มประตูด้าน หนา้ เปน็ ลวดลายปนู ปน้ั ปางพระพทธเจา้ ปางเลไลย์ เหน็ เปน็ ภาพลงิ และชา้ งเลอื นๆ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 275 คนั ทวยไม้แกะสลักเป็นรปู ภาพพญานาคงดงามอ่อนช้อย ตามแบบศิลปกรรมไทย อีสาน ซ่ึงทรุดโทรมลงมาก แต่ต่อมาการอนุรักษ์สิมวัดสุวรรณาวาสจึงสำ� เร็จด้วย การบรจิ าคแรงงาน สิง่ ของ และเงนิ จากญาตมิ ติ ร ผู้มจี ิตศรัทธา วโิ รฒ ศรีสโุ รและ ธาดา สุทธธิ รรม (2543) ศึกษาหลักบ้านและพบว่า การออกแบบ “หลกั บ้าน” นนั้ คำ� นงึ ถงึ หลกั เกณฑ์ 3 หวั ขอ้ คอื 1.รปู แบบ มกั นยิ มทำ� เปน็ เสาไมก้ ลมหรอื ไมป้ าดมมุ ใหเ้ ปน็ รปู 8 เหลย่ี ม ไมก่ ำ� หนดขนาดและความสงู สว่ นใหญข่ นั้ หวั ใหเ้ ปน็ รปู เสาหวั ดมุ หรือรูปทรงบัวตูมโดยหยาบ ไม่พิถีพิถันนัก แบ่งออกเป็นแบบหลักปลายแหลม ธรรมดา แบบหยกั ปลายไมม่ ลี วดลายแบบหยกั ปลายตกแตง่ ลวดลายแบบประยกุ ต์ 2.วสั ดุ แตเ่ ดมิ นน้ั ใชไ้ มท้ ง้ั สน้ิ ไมท้ นี่ ยิ มท�ำตอ้ งเปน็ ไมม้ งคล เชน่ คณู ยอ ถา้ หาไมไ่ ด้ อาจใชไ้ มแ้ คน (ตะเคยี น) ไมเ้ ตง็ เปน็ ตน้ นอกจากนช้ี า่ งพน้ื บา้ นยงั นยิ มน�ำซเี มนตม์ าทำ� แทนไม้ เนอื่ งจากทนทานและสามารถท�ำลวดลายไดง้ า่ ย 3.การตกแตง่ หากเปน็ วสั ดุ ทท่ี ำ� จากไมช้ า่ งนยิ มสลกั หยาบๆ เปน็ เสมอื นรอยขดี ซอ้ นกนั ลงไปในเนอื้ ไม้ บางครง้ั กม็ กี ารหยกั ปลายอยา่ งทชี่ า่ งพนื้ บา้ นเรยี กวา่ “แอวขนั ” โดยแบง่ เปน็ สว่ นปลายและ ส่วนลำ� ตัว ส่วนปลายจะถาก ปาดยอดให้เป็นทรงบัวเหลยี่ มแล้วสลักเป็นลายกาบ (คล้ายกระจงั ) ซ้อนกนั เหมือนกาบของหน่อไม้ทีเ่ จริญงอกงามโผล่จากผิวดนิ ช�ำนาญ เล็กบรรจง (2545) ศึกษาลักษณะและรูปแบบลวดลายประดับ สถาปัตยกรรมทางศาสนาในภาคอีสาน พบว่า ลักษณะของลวดลายประดับ สถาปัตยกรรมทางศาสนาเป็นลวดลายที่ช่างได้แนวคิดจากธรรมชาติและลายไทย ถ่ายทอดสืบต่อกันมาแบบตระกูลช่งสามารถประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ ลกั ษณะสถาปตั ยกรรมไทยไดด้ ี การเรยี กชอื่ ลวดลายและเรยี กตามทไ่ี ดม้ าของครชู า่ ง ลกั ษณะคณุ คา่ ความงามของลวดลายชา่ งจะออกแบบใหม้ สี ว่ นประกอบของศลิ ปะ ปรากฏอยู่ในแต่ละลวดลายได้แก่ ความงามที่เกิดจากเส้นรูปร่าง รปู ทรง แสง-เงา พ้นื ผวิ ช่องว่าง และสีผสมผสานกันอย่างลงตัว วิโรฒ ศรสี ุโร (2539) ศึกษาหอไตร ของอีสานในด้านคุณค่าและเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน กล่าวถึงหอไตร หมายถึง อาคารที่สร้างข้ึนเพ่ือเก็บรวบรวมพระไตรปิฎก อันมีพระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก(พระสูตร) และพระวินัยปิฎก เพ่ือให้พระสงฆ์ได้เล่าเรียนศึกษา
276 โสวฒั นธรรม สร้างไว้กลางน้�ำสามารถป้องกนั มดปลวกข้ึนไปทำ� ลาย “หนงั สือผูก” เหล่านอี้ ย่าง ได้ผล สถาปนกิ พืน้ บ้านมกั ออกแบบให้เป็นเรอื นหลงั เดียวโดดๆ ดังนน้ั หอไตร จึง เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาและเป็นทั้งปูชนียสถานท่ีควรแก่การ กราบไหว้ของพุทธบรษิ ัทอีกด้วย สพุ าสน์ แสงสุรนิ ทร์ (2542) ศกึ ษาองค์ประกอบ ทางศลิ ปะ รปู แบบ ลวดลายและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งซมุ้ ประตโู ขงวดั กบั วถิ ชี วี ติ ชาว บ้าน พบว่าองค์ประกอบหลกั ได้แก่ โครงสร้าง รูปแบบ ขนาดและวสั ดุทใ่ี ช้ในการ สร้างซมุ้ ประตโู ขงและองคป์ ระกอบเสรมิ ได้แก่ ลวดลายและวสั ดทุ ใี่ ชใ้ นการตกแตง่ ลวดลายทส่ี ะท้อนให้เห็นความอดุ มสมบูรณ์ของท้องถนิ่ มุมมองของวิกฤตของสมิ อสี าน ลักขณา จินดาวงษ์ (2546) ศกึ ษาลกั ษณะ ท่ัวไปของสิมอีสาน ซึ่งได้แก่ สิมโปร่ง(สิมโกง) เป็นสิมท้องถิ่นแบบด้ังเดิม จะก่อ ผนงั ปดิ ทบึ เฉพาะสว่ นดา้ นหลงั ของพระประธานและสมิ ทบึ เปน็ สมิ รนุ่ ใหม่ บางครงั้ เรียกว่า “สิมมหาอดุ ” จะก่อผนงั ทบึ ด้วยอิฐทงั้ สีด่ ้านยกเว้นช่องประตูและหน้าต่าง สิมมักสร้างพร้อมกับหอแจกและหอไตร แรงงานและก�ำลังทรัพย์ได้มาจากการ บอกบญุ ชาวบา้ น สถาปตั ยกรรมพทุ ธสถานจงึ เปรยี บเสมอื นตวั แทนของจติ วญิ ญาณ ความศรัทธา ความเช่ือ โลกทศั น์ของบรรพบุรษุ อีสาน สถานการณ์สิมในปัจจุบนั สิมได้ช�ำรุดทรุดโทรมไปตามเวลาประกอบกับเกิดการเปล่ียนแปลงด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ปิยะศักดิ์ ปักโคทานัง (2540) ศึกษารูปแบบโครงสร้างและ ความหมายของบทบาทธรรมาสน์สิงห์กับวิถีชีวิตชาวบ้าน พบว่าธรรมาสน์สิงห์ สร้างระหว่างพ.ศ.2468-2470 โยความร่วมมือของชาวเวียดนามและชาวบ้านใน ท้องถ่ิน เพ่ือให้เป็นสถาปัตยกรรมท่ีใช้แสดงธรรมเทศนาในประเพณบี ุญมหาชาติ รูปแบบและโครงสร้างมีฐานปูนปั้นเป็นรูปสิงห์รองรับเรือนธรรมาสน์ท่ีก่อด้วยอิฐ ถอื ปนู มกี ารประดบั ตกแตง่ ฐานและตวั เรอื นใหเ้ ปน็ ภาพจติ รกรรมแบบผสม หลงั คา มีโครงสร้างเป็นไม้ ศลิ ปะได้รับอทิ ธิพลจากจีนและเวยี ดนามผสมผสานกบั ท้องถิ่น สำ� หรบั การศกึ ษาหตั ถกรรมประกอบดว้ ยการศกึ ษา หตั ถกรรมในฐานะของ องค์ความรู้และการพฒั นา ศภุ ชยั สิงห์ยะบุศย์และคณะ (2545) ศึกษาถงึ รูปแบบ ศิลปะและการจัดการทอผ้าท่ีส่งผลต่อความเข้มแข็งและการพ่ึงตนเองของชุมชน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 277 ท้องถ่ิน ศึกษากรณีผ้าไหมแพรวาสายวัฒนธรรมผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า รปู แบบศลิ ปะผา้ ไหมแพรวามี 3 ลกั ษณะรปู แบบใหญค่ อื ผา้ ทอลว่ ง ผา้ จกดาวและ ผา้ เกาะ มลี กั ษณะการทอ ลวดลาย แตกตา่ งกนั แต่มกี �ำเนดิ มาจากผา้ แพรวาแบบ ดั้งเดมิ วธิ ีการใช้น้วิ เกาะ มไี หมสีพนื้ คือสแี ดงเข้ม และชาวผู้ไทใช้เป็นผ้าสไบเบีย่ ง ไปรว่ มพธิ กี ารสำ� คญั ดา้ นการจดั การผลติ ผา้ แพรวา เรมิ่ ตงั้ แตก่ ารผลติ สง่ ใหส้ มเดจ็ พระราชนิ นี าถแลว้ กระจายสสู่ าธารณชนทวั่ ไปอยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวางไดพ้ ฒั นา รปู แบบหลากหลายมากขน้ึ ลกั ขณา จตโุ พธ์ิ (2541) ศกึ ษากระบวนการทำ� เครอื่ งจกั สานไมไ้ ผ่ และคณุ คา่ ของเคร่ืองจักสานไม้ไผ่ต่อวิถีชีวิตของชาวผู้ไทยบ้านโพน อ�ำเภอค�ำม่วง จังหวัด กาฬสินธุ์ พบว่าชาวผู้ไทยบ้านโพนยึดแนวทางศิลปหัตถกรรมแบบด้ังเดิมที่ว่า “ผหู้ ญงิ ทอผา้ ทม่ี คี วามงามทางดา้ นลวดลาย สว่ นผชู้ ายท�ำเครอ่ื งจกั สานดว้ ยความ ประณตี ” ดังนน้ั การท�ำเครื่องจักสานไม้ไผ่ประเภทเคร่ืองใช้สอยภายในบ้านจึงมี ความละเอียดในการสานเพราะใช้เป็นประจ�ำ ส่วนประเภทเครื่องมือจับสัตว์จะท�ำ แบบง่าย และได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องจักสานไม้ไผ่ในการพกพาและใช้แสวงหา อาหารในท้องถิน่ ส่วนการศึกษาเร่ืองผ้า ทรงคุณ จนั ทจรและคณะ (2536) ศกึ ษา เกยี่ วกบั ผา้ ชาวโส้ กรณชี าวโส้ อ.ดงหลวง จ.มกุ ดาหาร และอ.กสุ มุ าลย์ จ.สกลนคร พบว่า ประวัติความเป็นมาของผ้าชาวโสัมีหลายยุค ได้แก่ ยุคโบราณ ยุคแลก เปลี่ยนวัฒนธรรมการทอผ้า ยุคพัฒนาการทอผ้า และยุคปัจจุบัน และมีข้ันตอน ดังน้ี คอื การปลูกฝ้าย การเก็บฝ้าย การท�ำเส้นฝ้าย การย้อมสฝี ้าย ซงึ่ เป็นสีท่ไี ด้ จากธรรมชาตแิ ละมเี ทคนคิ วธิ ใี นการทอผา้ คอื การทอผา้ สเ่ี ขา การทอผา้ ขดิ การทอ ผา้ แกบ็ การทอผา้ มดั หมี่ และการผลติ ผา้ และมลี ายผา้ 4 ลกั ษณะคอื ลายทไ่ี ดจ้ าก ธรรมชาติ ลายทไ่ี ดจ้ ากอทิ ธพิ ลของศาสนา การเปรยี บเทยี บรปู แบบผา้ ทอของ ชศู กั ดิ์ ศุกรนนั ท์ (2541) ศึกษาผ้าทอซึ่งเป็นงานหัตถกรรมของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ไท-ลาว-เขมร พบวา่ ชาวอสี านกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ท-ลาว-เขมร ดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ งเรยี บงา่ ยมาโดยตลอด มีน้�ำใจงามโอบอ้อมอารี ยึดม่ันในพุทธศาสนา รักษาศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะ ทางด้านหัตถศิลป์ การทอผ้าของชาวอีสานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล�้ำค่าที่
278 โสวฒั นธรรม สรา้ งสรรคข์ นึ้ มาจากภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น สบื สานกนั มาจนถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะการ ทอผ้าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยแบ่งตามชาติพันธุ์และวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม คือ กลุ่มชนชาติสายลาว นิยมทอผ้าไหมและผ้าฝ้ายด้วยวิธีการขิดและมัดหม่ีกลุ่มชน เชือ้ สายผู้ไทหรือภไู ทนิยมทอผ้าด้วยวธิ กี ารขิด ดาเรศ ฆารพันธ์ (2544) ศึกษาผลกระทบทางด้านเศรษฐกจิ และสังคมของ การประกอบอาชีพผลิตและค้าผ้าไหมแพรวาชาวบ้านโพน อำ� เภอค�ำม่วง จังหวัด กาฬสนิ ธ์ุ พบวา่ ผลกระทบทางดา้ นเศรษฐกจิ มกี ารลงทนุ และการแสวงหาเงนิ ลงทนุ เพอ่ื ประกอบอาชพี ผลติ และคา้ ผา้ ไหมแพรวา ผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมแพรวานยิ มนำ� ไปตดั ชดุ เสอื้ ผา้ มากทส่ี ดุ ลกั ษณะการขายมที งั้ ปลกี และสง่ ผลจากการขายผา้ ไหมแพรวา ทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ ของครอบครวั และสว่ นรวมดขี นึ้ ผลกระทบทางดา้ นสงั คม ชาวบา้ น โพนสว่ นใหญม่ กี ารประกอบอาชพี ผลติ และคา้ ผา้ ไหมแพรวารอ้ ยละ 95.55 สว่ นการ ศกึ ษารปู แบบและการผลติ ผา้ ของชาติ วรรณกลุ และคณะ (2541) เกยี่ วกบั การทำ� ผา้ ไหมแพรวาในจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ เพอ่ื ใหร้ สู้ ภาพการท�ำ รปู แบบของผา้ ลกั ษณะลายผา้ และชนดิ ของลายผ้าไหมแพรวา ตลอดจนผลทางการเงินของการท�ำผ้าไหมแพรวา โดยทำ� การศกึ ษา 3 อำ� เภอ คอื สหสั ขนั ธ์ สามชยั และค�ำมว่ ง พบวา่ ผทู้ อผา้ ไหมแพร วาไมม่ กี ารปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหมแต่ได้ไหมมาโดยการซอื้ ผ้ทู อนน้ั มที ง้ั ทอของตนเอง และรบั จ้างทอ โดยมีรายได้ผลตอบแทนของโครงการเฉลี่ย เป็นท่นี ่าพอใจสามารถ น�ำผลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจ ลงทุน และวางแผนพัฒนาการทอผ้าไหมแพวาได้ สรุ จติ ร อู่ตะเภา (2540) ศึกษาเกี่ยวกบั ข้อมลู ท่วั ไปของสตรแี ละปัจจยั ท่สี มั พันธ์กบั การมสี ว่ นรว่ มของสตรที อผา้ ไหมในโครงการสง่ เสรมิ ศลิ ปาชพี อ.เขาวง จ.กาฬสนิ ธ์ุ จำ� นวน 103 คน พบวา่ สตรสี ว่ นใหญอ่ ายุ 25-65 ปี จบป.6 ทอผา้ ไหมเปน็ อาชพี เสรมิ รายได้ 10,001-15,000 บาทตอ่ ปี เปน็ ครอบครวั เดยี่ ว ตอ้ งการใหม้ กี ารพฒั นาเพอ่ื เพม่ิ รายไดจ้ ากการทอผา้ ไหมคา่ นยิ มเชงิ พทุ ธของสตรสี ว่ นใหญท่ ำ� บญุ ตกั บาตรพระสงฆ์ ตอนเชา้ รกั ษาศลี 5 ขอ้ ปฏบิ ตั สิ มภาวนา แสวงหาผชู้ ว่ ยแนะนำ� การภาวนามากกวา่ กจิ กรรมอนื่ ๆ ปจั จยั ทส่ี มั พนั ธก์ บั การมสี ว่ นรว่ ม คอื การศกึ ษา ประเภทครอบครวั การ ชว่ ยเหลอื ของญาติ สว่ นทศั นคตมิ คี วามสมั พนั ธก์ บั การมสี ว่ นรว่ มเฉพาะในการทอผา้
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 279 ไหมและการขาย ส่วนค่านิยมเชิงพุทธในด้านภาวนา คำ� ประเคียน โพธ์ิเพชรเล็บ (2545) ศึกษาความเชื่อและปรัชญาการใช้ผ้าไหมมัดหม่ีของชาวอ�ำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น พบว่าการทอผ้าไหมมัดหมี่ของชุมชนนี้ยังคงรักษารูปแบบและ ลวดลายท่เี ป็นเอกลักษณ์ ผ้าไหมชนบทแตกต่างจากผ้าไหมทอี่ ืน่ คือ พนื้ ผ้าหมแี่ ข็ง เนอื้ แน่นไม่อ่อนพลวิ้ นิยมท�ำลวดลายทีเ่ กดิ จากความเช่ือทางพทุ ธศาสนา จากพชื จากสัตว์ จากสิ่งของเคร่ืองใช้ และจากความคิดสร้างสรรค์ สมัยก่อนชาวชนบท ทอผ้า เพอ่ื ไว้ใช้ในครอบครวั ผืนดีๆ จะเกบ็ รักษาเพอ่ื เป็นมรดกตกทอดกบั ลกู หลาน ผใู้ ชผ้ า้ ไหมมดั หมจี่ ะเลอื กใชผ้ า้ ทส่ี บื ทอดมาจากบรรพบรุ ษุ และความเชอ่ื สว่ นบคุ คล ประทปี สหี านาม (2547) ศึกษาการด�ำเนนิ งานของกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้าน อู่โลก หมู่ 6 ต�ำบลอู่โลก อ�ำเภอล�ำดวน จังหวัดสุรินทร์ พบว่าหมู่บ้านมีอายุ ประมาณ 76 ปี มอี าชพี หลกั คอื การทำ� นา สว่ นอาชพี รองลงมาคอื รบั จา้ งและทอผา้ ซ่ึงการทอผ้านนั้ เป็นอาชีพที่มีความส�ำคัญมากต่อชุมชน กลุ่มทอผ้าต้ังขึ้นเมื่อปี พ.ศ.(2539) มสี มาชกิ 23 คน เสน้ ไหมในการผลติ เปน็ เสน้ ไหมทม่ี าจากอตุ สาหกรรม มี 3 ชนดิ คือ ไหมจลุ ไหมสน และไหมธรรมดา สมาชิกสามารถผลิตได้ 30 ผนื /ปี นอกจากท�ำให้เศรษฐกิจชุมชนมคี วามมั่นคงสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว ทางกลุ่ม ยังให้ความส�ำคัญในภูมิปัญญาท่ีต้องมีการรักษาให้ไว้กับชุมชนและลูกหลานสืบ ต่อไป โดยต้องมีการเปิดการเรียนการสอนการทอผ้าไหมมัดหม่ีให้กับเยาวชนเพื่อ เป็นการอนุรักษ์และสร้างงานให้กบั ชุมชนอกี ส่วนผ้าในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร เครือจติ ศรบี ญุ นาค (2545) ศกึ ษาพฒั นารูปแบบผ้าทอมือไทย-เขมรสุรินทร์ มจี ุดมุ่งหมาย เพ่ือศึกษาบริบทชุมชนเก่ียวกับปัญหาและแนวทางพัฒนารูปแบบผ้าทอมือ ไทย-เขมรสุรินทร์ โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายกับพหุภาคีให้เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ พฒั นารปู แบบสแี ละเทคนคิ การทอผา้ ไหมทยี่ งั คงเอกลกั ษณล์ วดลายดง้ั เดมิ โดยเนน้ การเพ่มิ คณุ ค่าของผ้าไหมตามความเหมาะสมและความต้องการของตลาด ยงยทุ ธ บรุ าสทิ ธ์ิ (2544) ศกึ ษาเกยี่ วกบั การเลยี้ งไหมอสี าน พบวา่ การเลยี้ ง ไหมเป็นอาชีพเก่าแก่ของกลุ่มชาวไทยอีสานท่ีนิยมเลี้ยงสืบต่อกันมานานนับพันปี ผู้หญงิ อสี านในสมยั ก่อนจะต้องเลยี้ งหม่อนไหมและทอผ้าไหมโดยการสืบทอดการ
280 โสวัฒนธรรม เรียนรู้มาจากบรรพบรุ ษุ ต่อเนอื่ งกนั มา จนถือว่า “การเลีย้ งไหม” เป็นกระบวนการ ขัดเกลาทางสังคมท่ีมีต่อผู้หญิงท่ีถ่ายทอดสืบเน่ืองกันมา นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญา พ้นื บ้านทีส่ ูงส่งอีกอย่างหนงึ่ ของชาวอีสานในการที่จะพึง่ ตนเอง โดยไม่จ�ำเป็นต้อง หลงใหลไปตามกระแสวัตถุนิยม ดังนนั้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “ผ้าไหม” จึงมี บทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้คนชาวอีสานในด้านต่างๆ คือ เพ่ือสนองต่อความจ�ำเป็น ขัน้ พืน้ ฐานของการด�ำรงชวี ติ วราพรรณ ชัยชนะศิริ (2540) ศึกษาวิวัฒนาการการ ทอผ้าขิด ลวดลาย ผ้าขิด และบทบาทผ้าขิดในวิถีชีวิตของชาวบ้าน พบว่าวิธี การปลูกฝ้าย การทอผ้าขิด และรุปแบบของลวดลายขิดได้รับการถ่ายทอดมา จากบรรพบุรุษที่นิยมท�ำใช้ในครัวเรือน ต่อมาเม่ือการคมนาคมสะดวกเร่ิมน�ำมา เป็นสินค้า และเม่ือตลาดมีความต้องการชาวบ้านจึงเพิ่มปริมาณการผลิตและ เปลี่ยนแปลงวิธีการท�ำผ้าขิดแบบสมัยใหม่ คือ ใช้สีเคมีและใช้เส้นใยสังเคราะห์ แทนฝ้าย แต่ยังพบว่ามกี ารหนั มาใช้สธี รรมชาติแบบเดมิ เม่ือตลาดต้องการ ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความหลากหลายด้านงานช่างฝีมือ หัตถกรรม (โครงการต�ำราคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ : (2543) งานช่าง ของอีสานประกอบด้วยงานจักสานและงานไม้ไผ่ การถักทอย้อม การปั้นดินเผา งานประดิษฐ์ใบตองและงานใบ งานจักสานและงานไม้ไผ่จะนำ� เนื้อไม้ไผ่หรือไม้ที่ คล้ายไม้ไผ่ มาท�ำเป็นตอก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ตอกย้ังและตอกสาน มี ลวดลายต่างๆ กัน เช่น ลายขัด ลายสอง ลายสองขดั บี ลายสาม ลายส่ี ลายตา มะกอก ลายไขว้ ฯลฯ ซงึ่ เครอ่ื งจกั สานแต่ละประเภท จะมคี วามเชอื่ ทแ่ี ตกต่างออก ไป ส่วนเคร่ืองไม้ไผ่สามารถจ�ำแนกประเภทเคร่ืองไม้ออกเป็น เครือ่ งใช้ภายในบ้าน เครอ่ื งมือจบั สตั ว์ สร้างบ้านเรือน เครื่องมือเพาะปลกู สร้างเคร่อื งสนั ทนาการ ท�ำ เป็นเครื่องถักทอ การทอจะมีการทอผ้าไหม โดยไหมท่ีมีคุณภาพดีเริ่มต้ังแต่การ ปลูกหม่อน การเลยี้ งไหม การสาวไหม การฟอกไหม และมีการทอผ้าฝ้าย ผ้าขดิ อสี าน การขดิ หมายถงึ การงัดซ้อนข้ึน การทอผ้าขิดเป็นกระบวนการทย่ี ุ่งยากกว่า การทอผ้าธรรมดา เพ็ญประภา วงศ์เกษมศักด์ิ (2542) ศกึ ษากระบวนการประกอบ อาชพี สานกระตบิ ข้าวทีม่ ผี ลต่อเศรษฐกจิ และสังคมของชาวบ้านโนนมะเยา พบว่า
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 281 เป็นการผลิตเพื่อจ�ำหน่าย โดยถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ปัจจัยท่ีท�ำให้ชาวบ้าน ประกอบอาชีพน้ี คือ มีวัตถุดบิ ในท้องถ่ินอย่างเพยี งพอ อีกท้ังมพี ่อค้ามารบั ซื้อถึง ในหมู่บ้าน ทำ� ให้มรี ายได้เพยี งพอต่อการใช้ในชีวิตประจ�ำวนั แรงงานส่วนใหญ่อยู่ ในหมู่บ้าน ทำ� ให้ครอบครัวมคี วามอบอุ่น การศึกษาผ้าทอเอกลักษณ์ท้องถ่ิน ของ ประพัฒน์ศิลป์ อ่ินแก้ว (2546) สืบสานต�ำนานผ้าลายกทศ่ี กึ ษาประวัติความเป็นมาของผ้าลายกาบบัว ซึง่ ถอื เป็น ผ้าประจ�ำจังหวัดอุบลราชธานตี ามต�ำนานวรรณกรรมอีสานและประวัติเมืองอุบล ท่ปี รากฏให้เหน็ เป็นหลกั ฐานคือ ความสวยงามเป็นเอกลกั ษณ์ของผ้าเมืองอบุ ล มี ลวดลายเฉพาะตวั ทไ่ี มเ่ หมอื นใคร เมอื่ ปพี .ศ.2543 จงั หวดั อบุ ลราชธานไี ดร้ เิ รม่ิ ด�ำเนนิ โครงการ สบื สานผ้าไทย สายใยเมืองอบุ ล “ผ้ากาบบวั ” จงึ มเี อกลกั ษณ์และได้มี การประกาศเม่ือวันท่ี 25 เมษายน (2543) เป็นต้นมา ต่อมาเมือ่ ปีพ.ศ.2544 จงั หวัด ได้ประชาสัมพันธ์ให้องค์ภาครฐั และเอกชนแต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้ากาบบวั สกี ลีบ บัว ในวนั องั คารของทุกสปั ดาห์ ทางด้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา นริศศรี แววคล้ายหงส์ (2539) ศึกษา กระบวนการผลิตและจ�ำหน่ายเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน และผลกระทบของ การประกอบอาชีพหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า กระบวนการผลิตเคร่ืองปั้นดินเผานนั้ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผลิตโดยค�ำนงึ ถึง ตลาด ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสงั คมพบว่ามสี ่วนทำ� ให้สังคมเปลีย่ นแปลง มีการปรับปรุงระบบการท�ำงาน กระบวนการผลิต และวิถีการด�ำเนนิ ชีวิตของผู้ท่ี เก่ียวข้องมีความเป็นอยู่ท่ดี ีข้นึ ศภุ ชัย สิงห์ยะบุศย์ (2545) ศกึ ษาการถ่ายทอดวธิ ี คดิ และกระบวนการผลติ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาเชงิ พฒั นาในชมุ ชนทผี่ ลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา แบบด้ังเดิมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สมาชิกท่ีเข้าร่วมโครงการได้ พัฒนารูปแบบและวิธีการผลิตของตนได้หลากหลาย จากลักษณะรูปแบบและวิธี การผลิตเครื่องปั้นดินเผาอย่างเดิมตอบสนองตลาดกลุ่มเดิม วิถีและวิธีการผลิต เครื่องปั้นดินเผาที่บ่มเพาะสืบทออดมาตั้งแต่บรรพชน ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนา ลักษณะรูปแบบที่เป็นจุดเร่ิมต้นและทิศทางการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองให้ได้ผลอย่าง
282 โสวฒั นธรรม บรรจบกนั กอ่ นหนา้ นี้ ศภุ ชยั สงิ หย์ ะบศุ ย์ (2543) กไ็ ดท้ ำ� การศกึ ษาการเปรยี บเทยี บ ลักษณะรูปแบบศิลปะและการจัดการเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสมี า กบั บ้านหม้อ อ.เมือง จ.มหาสารคาม พบว่า มีความแตกต่างกัน กันในด้านรูปทรง วิธีการขึ้นรูป ชนดิ เคร่ืองปั้นดินเผา การนำ� ไปใช้ประโยชน์ เพื่อ การใช้สอยในครัวเรือนเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ สามารถใช้ตกแต่งโดยตรง ใช้วิธีการผสมผสานภูมิปัญญาการผลิตแบบด้ังเดมิ กับ แบบใหมไ่ ดอ้ ยา่ งกลมกลนื แตเ่ ครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาบา้ นหมอ้ พนั ธศ์ กั ดิ์ พว่ งพงษ(์ 2537) ศกึ ษาการทำ� เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาบา้ นหมอ้ ตำ� บลเขวา อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม พบวา่ เหตผุ ลทช่ี าวบา้ นยดึ อาชพี ท�ำเครอื่ งปน้ั ดนิ เผา เพราะวา่ ไดร้ บั การถา่ ยทอดมา จากบรรพบรุ ษุ ซงึ่ เปน็ ชาวโคราช วธิ ที นี่ ยิ ม คอื การขนึ้ รปู ดว้ ยหนิ ดปุ ระกอบไมต้ เี ผา กลางแจง้ เปน็ วธิ ดี งั้ เดมิ วสั ดทุ นี่ ำ� มาทำ� นนั้ หาไดใ้ นทอ้ งถนิ่ ลกั ษณะรปู แบบเปน็ ทรง ภาชนะทเ่ี หมาะสมแก่การน�ำไปใช้ในครวั เรือน หัตถกรรมจักสาน เป็นผลผลิตท่ีอยู่ในวิถชี วี ิตและพธิ ีกรรม วบิ ลู ย์ ล้สี ุวรรณ (2540) ศึกษาเก่ียวกับก่องข้าวและกระติบข้าว ซึ่งเป็นเครื่องจักสานที่นำ� มาใช้ใส่ ขา้ วเหนยี วนง่ึ ภาชนะทใ่ี ชใ้ สข่ า้ วเหนยี วนง่ึ เหมอื นกนั ของชาวอสี านและชาวลา้ นนา แต่จะเรยี กต่างกันคือ ภาชนะท่ีสานด้วยไม้ไผ่ รูปร่างคล้ายโถมีฝาและก้น เรียกว่า “กอ่ งขา้ ว” แตถ่ า้ สานตรง กระบอกมฝี าปดิ เรยี กวา่ “กระตบิ ” ทกุ บา้ นจะตอ้ งมกี อ่ งขา้ ว หรอื กระตบิ ทุกครวั เรือน บ้านฝาง ต.หวั เรอื อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นแหล่ง ผลติ กอ่ งขา้ วทส่ี ำ� คญั ของภาคอสี าน มรี ปู แบบสวยงาม มเี อกลกั ษณเ์ ปน็ ของตนเอง ประกอบไปดว้ ย 3 สว่ น คอื 1) ตวั กอ่ งขา้ วรปู รา่ งเหมอื นโถ สานดว้ ยไมไ้ ผ่ 2) ฝากอ่ งขา้ ว รปู รา่ งคลา้ ยฝาชี 3) ตนี หรอื ฐาน เปน็ แผน่ ไมก้ ากบาทไขวก้ นั กติ ตศิ กั ดิ์ แสนประดษิ ฐ์ (2539) ศึกษาการประกอบอาชีพหัตถกรรมสานกระติบข้าวของชาวบ้านนาสะไมย์ ต�ำบลนาสะไมย์ อำ� เภอเมือง จงั หวัดยโสธร พบว่า การประกอบอาชีพหัตถกรรม สานกระติบข้าวนี้มวี ตั ถุประสงค์เพือ่ ขาย ทุกครัวเรือนมอี าชีพนี้ แรงจงู ใจ คือ การ สบื ทอดมาจากบรรพบรุ ษุ และทำ� ใหม้ รี ายไดห้ ลกั จากอาชพี นี้ ผลจากการทำ� อาชพี น้ี ท�ำให้เกิดความสัมพันธ์ในครอบครัว เกิดความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน บุญเลิศ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 283 มรกตและกฤตกร กลอ่ มจติ (2545) ศกึ ษาเกย่ี วกบั หตั ถกรรมจกั สานครนุ อ้ ย อำ� เภอ ขขุ นั ธ์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ พบวา่ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั วฒั นธรรมในวถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นสะอาง อ.ขขุ นั ธ์ จ.ศรสี ะเกษในอดตี นนั้ ใชภ้ มู ปิ ญั ญาเพอ่ื ชว่ ยเหลอื ตวั เอง ผลติ ปจั จยั การดำ� รงชวี ติ ไมว่ า่ จะเปน็ อาหารหรอื เครอ่ื งมอื เครอื่ งใชต้ า่ งๆ เชน่ ครตุ กั น�้ำ ไว้ใช้สอยในครัวเรือน โดยท�ำจากไม้สะแบงและต้นจิก ในปัจจุบันไม่นิยมใช้ครุไป ตักน้�ำเน่ืองจากมีครุสังกะสีที่คงทนกว่า ต่อมาจึงมีผู้ดัดแปลงการสานขนาดครุให้ มขี นาดเล็กลง เรยี กว่าครุน้อย และจนเป็นที่ยอมรับกบั คนทั่วไป งานช่างและหัตถกรรมอื่นเช่นการศึกษาของ ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ (2540) ศึกษาเกี่ยวกับช่างสลักไม้บ้านาสะไมย์ จังหวัดยโสธร พบว่ามีช่างแกะสลักบาน ประตู-หน้าต่างโบสถ์อยู่จ�ำนวนมาก และพบว่าการสลักไม้ของชายบ้านาสะไมย์ พฒั นามาจากการทำ� เกวยี นเทยี มววั เวลาตอ่ มาเมอื่ เกวยี นเทยี มไมใ่ ชพ่ าหนะคคู่ รวั เรอื นของผคู้ นอกี ตอ่ ไป แตย่ งิ่ เพมิ่ ฝมี อื ใหก้ บั ชา่ งสลกั ไม้ ประมาณปพี .ศ.2513 เรมิ่ มผี ู้ หนั มาสลกั บานประตหู นา้ ตา่ งใหก้ บั โบสถว์ ดั ประจำ� หมบู่ า้ น วบิ ลู ย์ ลส้ี วุ รรณ (2541) ศึกษาเก่ียวกับเช่ียนหมากไม้ของภาคอีสาน พบว่าเป็นภาชนะส�ำหรับใส่เครื่องกิน หมากและอปุ กรณก์ ารกนิ หมาก นอกจากนนั้ ยงั เปน็ สงิ่ แสดงฐานะของเจ้าของดว้ ย มลี กั ษณะเปน็ ภาชนะคลา้ ยกระบะอาจจะกลมหรอื สเี่ หลย่ี ม อาจแบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ เชี่ยนหมากของชนช้ันสงู ท่ีทำ� ด้วยของมีค่า เช่น นาก เงนิ ทอง และเช่ียนหมาก พื้นบ้านมักท�ำด้วยวัสดุที่หาได้ในท้องถ่ินเช่น ไม้ ไม้ไผ่ หวาย เป็นต้น ส่วนเช่ียน หมากอสี าน ชาวบา้ นนยิ มใชก้ นั มี 2 แบบ คอื ทรงสเี่ หลย่ี ม และทรงกระบะสเ่ี หลย่ี ม เอวเชี่ยนคอดตีนเชย่ี นผายออก ธนสทิ ธ์ิ จนั ทะรี (2537) ศกึ ษาเกยี่ วกบั รปู แบบผลติ ภณั ฑโ์ ลหะพนื้ บา้ นในภาค อสี าน กรณศี กึ ษาบา้ นปะอาว อบุ ลราชธานี พบวา่ รปู แบบเครอื่ งทองเหลอื ง บา้ นปะอาว เป็นเคร่ืองใช้ในวิถีชีวิตของคนอีสานในอดีต และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน รูปทรง มีลักษณะสมมาตรโดยใช้วิธีการผลิตด้วยกระบวนการกลึง มีรูปแบบต่างๆ คือ ขันหมากหรือเชี่ยนหมาก ผอบ เป็นต้น ซึ่งลวดลายบนทองเหลืองเป็นลวดลายท่ี เปน็ มรดกตกทอดไดแ้ รงบนั ดาลใจจากธรรมชาตแิ ลว้ น�ำมาประยกุ ตใ์ หเ้ ปน็ ลวดลาย
284 โสวฒั นธรรม 5.5 แนวคดิ ทฤษฎี และวิธีวทิ ยากบั ปัญหาการวิจยั จากการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ศลิ ปวฒั นธรรมในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในบท ที่ผ่านมา เป็นการรวบรวมงานวจิ ัยภายใต้ 3 ประเดน็ หลักคือ ประเดน็ แรกเป็นการ ศึกษา ศิลปกรรม ศิลปะและสุนทรียศาสตร์ ที่รวมถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ ศลิ ปะแบบประเพณนี ยิ มของทอ้ งถนิ่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะและโบราณคดี ประเด็นทีส่ องศลิ ปะการแสดง หมอล�ำและดนตรี ซง่ึ รวมถึงประวตั ขิ องศลิ ปิน ผล งาน พัฒนาการของการสร้างสรรค์ผลงาน ดนตรีการแสดงทั้งในกลุ่มวัฒนธรรม หลกั ดนตรกี ารแสดงในกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ และประเดน็ ทสี่ ามผลงานการศกึ ษาวจิ ยั ทาง สถาปัตยกรรม หัตถกรรมเป็นการรวบรวมงานวิจัยวัฒนธรรม ด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมทป่ี รากฏในท้องถน่ิ บทบาทหน้าทข่ี องสถาปัตยกรรมแบบจารตี ทอ้ ง ถนิ่ งานดา้ นหตั ถกรรมของชา่ งพนื้ บา้ นทงั้ ทเี่ ปน็ แบบทใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั สว่ นทเ่ี ปน็ ประโยชนใ์ นพธิ กี รรม ตลอดจนพฒั นาการของหตั ถกรรมทเ่ี ปน็ ทนุ ทางวฒั นธรรมและ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ผลงานทศี่ กึ ษาครง้ั นม้ี ปี ระเดน็ และเนอ้ื หาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ประเดน็ อ่ืนเช่น ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พลังความคิดและภูมิปัญญาในบางเร่ือง ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากผลงานทางศลิ ปวฒั นธรรมในภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งมคี วามเกย่ี วขอ้ ง กับหลายประเด็น เนอ่ื งจากภมู ิภาคนี้มคี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมและความ หลากหลายทางชาติพันธุ์ดงั ท่เี คยได้กล่าวถึงมาแล้ว ผลจากการสังเคราะห์วิธีวิทยาในการศึกษาครั้งน้ีพบว่า กระบวนการวิจัย ส่วนใหญ่เป็นการวิจยั เชิงประวตั ศิ าสตร์ (Historical research) เพื่อค้นหาข้อเทจ็ จริง ของเหตุการณ์ท่ีผ่านมาแล้วในอดีต โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะบันทึกอดีตอย่างมี ระบบ และมีความเป็นปรนัยจากการรวบรวมประเมนิ ผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์ เหตกุ ารณเ์ พอื่ คน้ หาขอ้ เทจ็ จรงิ ในอนั ทจ่ี ะนำ� มาสรปุ อยา่ งมเี หตผุ ล การวจิ ยั ประเภท นี้ต้องอ้างอิงเอกสารและวัตถุโบราณที่มีเหลืออยู่ และการวิจัยเชิงบรรยายหรือ พรรณนา (Descriptive research) เป็นการวิจัยเพ่ือค้นหาข้อเท็จจรงิ ในสภาพการณ์ หรือภาวการณ์ของส่ิงท่ีเป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร งานประเภทน้ีมักจะท�ำการส�ำรวจ หรอื หาความสมั พนั ธต์ า่ งๆ อยา่ งไรกต็ ามในงานสว่ นใหญไ่ ดร้ บั การก�ำหนดวธิ วี ทิ ยา
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 285 ในการน�ำเสนอว่าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซ่ึงเป็นการวิจัย ท่ีน�ำเอาข้อมูลทางด้านคุณภาพมาวิเคราะห์ ข้อมูลทางด้านคุณภาพเป็นข้อมูลที่ ไม่เป็นตัวเลขแต่จะเป็นข้อความบรรยายลักษณะสภาพเหตุการณ์ของสิ่งต่างๆ ท่ี เกยี่ วขอ้ ง และการเสนอผลการวจิ ยั กจ็ ะออกมาในรปู ของข้อความทไ่ี มม่ ตี วั เลขทาง สถิติสนับสนนุ เช่นเดียวกัน การวิจัยประเภทนจ้ี ึงมุ่งบรรยายหรืออธิบายเหตุการณ์ ต่างๆ โดยอาศยั ความคดิ วิเคราะห์ เพือ่ ประเมินผลหรือสรุปผลนนั่ เอง มปี ระเดน็ ทเ่ี ปน็ ขอ้ ถกเถยี งทางวธิ วี ทิ ยาของการศกึ ษาวจิ ยั ทางวฒั นธรรมคอื การใชง้ านวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทเ่ี ปน็ วจิ ยั เชงิ พรรณนา เนอ่ื งจากงานดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ส่วนใหญ่เป็นวิทยานิพนธ์ในระดับบัณฑิตศึกษาซ่ึงก�ำหนดระเบียบวิธีวิจัยเป็นการ วิจัยเชิงคุณภาพ โดยข้อมูลมาจากการสัมภาษณ์ สังเกตและสังเกตการณ์อย่าง มีส่วนร่วม พบประเด็นที่เป็นข้อสังเกตคือข้อมูลส่วนใหญ่น่าจะมาจากการสังเกต มากกว่าการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ระดับการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ในการวิจัยวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยาต้องอยู่ในระดับของการเป็นส่วนหนงึ่ ของ กิจกรรมและเสมือนนักวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการในชุมชน ดังน้ันการ พบการเสนอวิธีการวิจัยดังกล่าวแต่ระดับของผลการศึกษาเป็นเพียงผลจากการ สังเกตการณ์ จึงมีอยู่เป็นจ�ำนวนไม่น้อย ประเด็นคือ ท่ีปรึกษาหรือนกั วิจัยเข้าใจ ประเดน็ การสังเกตการณ์อย่างมสี ่วนร่วมไม่ชดั เจนและครบถ้วน รูปแบบการวางกรอบแนวคิด ทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรม เป็น แบบแผนของระเบยี บวธิ กี ารวจิ ยั แตใ่ นบางผลงานการวจิ ยั งานทบทวนวรรณกรรม กลายเป็นเพียงประเพณขี องการน�ำเสนอเพียงเพ่ือให้ครบถ้วน ท้ังที่การก�ำหนด แนวคิด ทฤษฎีตลอดจนการทบทวนวรรณกรรมเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และ อภปิ รายในเชงิ เปรยี บเทยี บ ในการอภปิ รายโดยทไ่ี มไ่ ดน้ �ำกรอบแนวคดิ ทฤษฎแี ละ การเปรียบเทียบกับวรรณกรรมอ่ืน ย่อมท�ำให้ผลงานการศึกษาขาดน�้ำหนกั ในการ วิเคราะห์ เหลือเพียงการน�ำเอาข้อมูลท่ีได้จากการศึกษามาบรรยายเชิงพรรณนา เท่านน้ั
286 โสวัฒนธรรม การวิเคราะห์งานทางศิลปะด้วยกรอบการคิดการศึกษา ศิลปะแบบจารีต ในวฒั นธรรมดง้ั เดมิ สนุ ทรยี ศาสตรม์ าจากมมุ มองภายในและการตอบสนองความ พอใจของผู้ผลิตและเจ้าของวัฒนธรรม โดยความรู้สึกร่วมของสังคม ต่างจาก สุนทรียศาสตร์สมัยใหม่แบบตะวันตกที่สุนทรียศาสตร์เป็นมุมมองของความรู้สึกที่ เปน็ ความงามในมมุ มองแบบอตั วสิ ยั มคี วามเปน็ ปจั เจกบคุ คลสงู กวา่ ความรสู้ กึ รว่ ม และสำ� นกึ รว่ มทางสงั คม ในทกุ สงั คมมคี า่ นยิ มทางสนุ ทรยี ศาสตรข์ องตนเอง เราไม่ สามารถทจี่ ะหากฎเกณฑม์ าตรฐานทางสนุ ทรยี ศาสตรข์ องสงั คมแบบจารตี ได้ แตส่ งิ่ ทค่ี วรศกึ ษาคอื เทคนคิ และความรสู้ กึ เกยี่ วกบั ความงามภายใตบ้ รบิ ททางวฒั นธรรม ของผผู้ ลติ และผเู้ ปน็ เจา้ ของวฒั นธรรมมากกวา่ การหาความงามและสนุ ทรยี ะและ ความงามจึงขน้ึ อยู่กบั ผู้สร้างและสายตาของคนในกลุ่มนน้ั หากมองสนุ ทรยี ศาสตรแ์ บบสงั คมตะวนั ออก เราจะเหน็ ความงามของศลิ ปะ พื้นถิ่นภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์กับเทคนคิ ความหมายและรปู ลกั ษณข์ องตวั ผลงานเอง งานศลิ ปะแบบจารตี จงึ มาคา่ นยิ มและ การกั ษารปู ลกั ษณเ์ ดมิ เปน็ หลกั ความงามคอื ความดแี ละมปี ระโยชน์ ไมม่ คี วามรสู้ กึ ของศลิ ปินแต่มีความรู้สึกทางสังคม ดังนน้ั ในงานของภูมภิ าคตะวันออกเฉยี งเหนือ จงึ เหน็ ความเขา้ ใจคณุ คา่ และความมปี ระโยชนใ์ นทางประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม อนั สร้างความภมู ิใจมากกว่าความรู้สึกงามทางสุนทรยะ หนา้ ทนี่ ยิ ม สญั ลกั ษณน์ ยิ มเปน็ กรอบแนวคดิ หลกั ทน่ี ำ� มาเปน็ กรอบคดิ และ มมุ มองในการศกึ ษาทางวฒั นธรรมโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ผลผลติ ทางวฒั นธรรมทเี่ ป็น งานศลิ ปกรรม สถาปตั ยกรรมและงานหตั ถกรรม อยา่ งไรกต็ ามมนี กั วชิ าการไทยและ นกั วิชาการในแต่ละภูมิภาคจ�ำนวนน้อยที่ใช้กรอบแนวคิดหลักดังกล่าว เป็นกรอบ แนวคิดและทฤษฎีในการวิเคราะห์ผลงานด้านศิลปวัฒนธรรม การศึกษาศิลปะใน ทางส่ือสัญลักษณ์และความหมาย รูปแบบทางศิลปะและศิลปินในสังคม หากไม่ ไดเ้ ปน็ ตามแนวคดิ หลกั ดงั กลา่ ว อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ การไดอ้ รรถาธบิ ายถงึ ประวตั ศิ าสตร์ ทางวัฒนธรรมและการประเมินสถานการณ์การเปล่ียนแปลงทางศิลปวัฒนธรรม ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาด้านศลิ ปวัฒนธรรมของภมู ภิ าคนพ้ี อสมควร
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 287 ตลอดช่วงทศวรรษทผ่ี ่านมา ผลงานการวจิ ยั ทางศิลปะร่วมสมยั ไม่โดดเด่น มากนกั ถึงแม้ว่าได้มีการรวมกลุ่มของบรรดาศิลปินร่วมสมัยในภูมิภาค แต่ส่วน ใหญ่ผลผลิตที่เกดิ ขึ้นยังขาดการศกึ ษาทางวชิ าการ การวจิ ยั ตลอดจนการวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งน้ีอาจเนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาในช่วงทศวรรษก่อนหน้านี้ ต่างมุ่ง ผลติ นกั ศิลปะทเ่ี น้นการผลติ ผลงานและนกั เรียนศิลปะเพือ่ การผลติ ครูผู้สอนศิลปะ เป็นหลัก การเกิดคณะศิลปกรรมในสถาบันอุดมศึกษาหลักสองแห่งในภูมิภาคคือ ท่ีมหาวิทยาลัยมหาสารคามและมหาวิทยาลัยขอนแก่นในช่วงหลังปีพุทธศักราช 2535 นับเป็นจุดเร่ิมต้นของการเรียนรู้วิชาการศิลปะสมัยใหม่ พร้อมกับการเรียน รู้กระบวนการวิจัยทางศิลปะอย่างเป็นระบบ ศาสตราจารย์ก�ำจร สุนพงษ์ศรี นกั วิชาการอาวุโสทางศิลปะได้เคยแนะน�ำนกั วิชาการรุ่นใหม่ในสถาบันทั้งสองแห่ง วา่ การวจิ ยั ทางศลิ ปะคอื การศกึ ษาและอธบิ ายผลงานทงั้ หลายอยา่ งเปน็ ระบบ มกี าร น�ำเอาแนวคิดทฤษฎตี ่างๆ มาวพิ ากษ์ วิจารณ์ผลงานของตนเอง ผลงานของผู้อ่นื และสามารถอธิบายความหมายทางสุนทรียศาสตร์ของผลงานให้ผู้อ่ืนเข้าใจอย่าง เป็นระบบและเป็นลายลกั ษณ์อักษร ก็นบั ได้ว่าเป็นการสร้างผลงานวิจยั ทางศิลปะ ดังเช่น ศภุ ชยั สงิ ห์ยะบศุ ย์ (2541) ได้กล่าวไว้ว่า ในภูมิภาคตะวนั ออกเฉยี ง เหนอื ได้เกดิ สถาบันหลกั ท้งั สองแห่ง ท่มี ีการเรยี นการสอนทางศลิ ปะในเชิงวิชาการ จะน�ำพาสู่การสร้างความโดเด่นและม่ันคงทางวิชาการศิลปะภายในภูมิภาค นอกจากนั้นยังเป็นการเสริมศักยภาพกลุ่มศิลปินอีสานท่ีมีการรวมกลุ่มกันมา ยาวนาน อย่างไรก็ตามศภุ ชยั ได้ให้ความเหน็ ว่า เน่ืองจากสถาบันหลักทงั้ สองแห่ง เพ่งิ เร่มิ จดั ตง้ั ในระยะนจ้ี งึ เป็นระยะของการเรม่ิ ส่ังสมงานวจิ ยั เช่นเดยี วกบั ศิลปิน ธีระวฒั น์ คะนะมะ ที่ได้กระตุ้นให้ผู้ท�ำงานทางศิลปะและบรรดาศิลปินในภูมิภาค ได้ร่วมกันผลติ และศึกษาค้นคว้างานด้านศลิ ปะ อย่างน้อยในท่สี ุดในช่วงปลายทศวรรษท่ีอยู่ระหว่างการสงั เคราะห์งานวจิ ยั ครงั้ น้ี เดชา ศริ ภิ าษณไ์ ดเ้ รมิ่ ใหค้ วามสนใจในการท�ำวจิ ยั ตวั ศลิ ปนิ ผลงานและบรบิ ท ท่ีมีอิทธิพลต่อการผลิตผลงานของบรรดาเหล่าศิลปินในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงนกั วิชาการรุ่นใหม่ท่ีมีความพยายามในการวิจัยเพ่ือใช้ภูมิความรู้
288 โสวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ินในการประยุกต์เพื่อสร้างผลงานร่วมสมัย ซ่ึงคาดว่าผลงานใน ลักษณะดังกล่าวจะเร่ิมปรากฏอย่างเป็นรปู ธรรมในช่วงทศวรรษต่อไป ความโดดเด่นของการศึกษาศิลปะพื้นถิ่นในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือคือ ความพยายามใช้ความหลากหลายทางทฤษฎีและความหลากหลายทางมิติใน การศึกษาจิตรกรรมฝาผนงั วิธีวิทยาหลักในการศึกษางานในกลุ่มนค้ี ือการศึกษา และพรรณนาเชิงพัฒนาการและพัฒนาการของรูปแบบ อันเป็นวิธีวิทยาหลักของ การศึกษาทางประวัติศาสตร์ศิลปะ นอกจากนนั้ ยังมีกระบวนการศึกษาเกี่ยวกับสี โครงสรา้ งรปู แบบและแนวคดิ ทน่ี �ำเสนอมาใชก้ บั งานศลิ ปะรว่ มสมยั ความพยายาม ในการถอดรหสั ความคดิ กระบวนการสรา้ งสรรคข์ องสกลุ ชา่ งทอ้ งถนิ่ ผผู้ ลติ ผลงาน จิตรกรรม อย่างไรก็ตามแนวคิดท่ีขาดหายไปจากงานทั้งหลายเหล่านคี้ ือ การใช้ แนวคิดการแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์และการใช้แนวความคิดบทบาทหน้าท่ี นิยม ซงึ่ จะทำ� ให้ผลงานมคี วามโดดเด่นมากย่ิงข้ึน การตคี วามทางศลิ ปะและประตมิ านวทิ ยา เปน็ กระแสหลกั ของการวจิ ยั ทาง ประวัติศาสตร์ศิลปะในภูมิภาคน้ี ในช่วงสองทศวรรษก่อนหน้านี้ มีการวิจัยทาง โบราณคดโี ดยนกั วชิ าการไทยและนกั โบราณคดตี า่ งประเทศเขา้ มาคน้ ควา้ วจิ ยั ทาง โบราณคดีอย่างต่อเนื่อง แต่งานการศกึ ษาของศรีศกั ร วัลลโิ ภดม กลับเป็นงานท่มี ี อิทธิพลต่อการศึกษาวัฒนธรรมต่อนกั วิชาการที่ค้นคว้าทางวัฒนธรรมโบราณใน ระยะต่อมา เนือ่ งมาจากการที่ผลงานของศรีศักร เป็นงานที่มกี ารบรู ณาการความ รู้ ความหลากหลายทางวธิ วี ทิ ยาและมมุ มอง มาใชใ้ นการตคี วามวฒั นธรรมในอดตี ของภมู ภิ าค เมอ่ื ยอ้ นกลบั มามองงานดา้ นประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปะกพ็ บวา่ นกั วชิ าการ ทางดา้ นศลิ ปะเองเปน็ ผใู้ หค้ วามสนใจในการศกึ ษาประตมิ าณวทิ ยาของผลผลติ ทาง ศลิ ปะในอดตี ประตมิ านวทิ ยาเปน็ เรอ่ื งของการศกึ ษารปู แบบทางศลิ ปะทถี่ า่ ยทอด มาเป็นผลงานประตมิ ากรรม ที่มีเบื้องหลังคือ ความคิด ความเช่ือและคตนิ ิยมใน ทางศาสนา ประติมานวิทยาทางประวัติศาสตร์ศิลปะภาคตะวันออกเฉยี งเหนือจึง เกยี่ วขอ้ งกบั คตทิ างพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณห์ รอื ฮนิ ดโู บราณ ทปี่ รากฏจาก หลักฐานทางโบราณคดีในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม หากสามารถพัมนานกั วิชาการ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 289 ท้องถน่ิ ใหม้ คี วามร้แู ละความสามารถในการศกึ ษาวจิ ยั ทางประตมิ านวทิ ยาไดม้ าก ข้ึน ก็จะเป็นคุณูปการต่อการพัฒนาความรู้เร่ืองราวของท้องถิ่นที่มีหลักฐานทาง โบราณคดีและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ศลิ ปะทมี่ ีอยู่เป็นจ�ำนวนมาก หมอลำ� ศลิ ปะการแสดงและดนตรีในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซง่ึ นับเป็น ศิลปวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะของท้องถ่ิน มีทั้งที่เกิดขึ้น ภายใต้บริบททางวัฒนธรรมของชุมชนท้องถ่ินและศิลปวัฒนธรรมท่ีมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงจากวัฒนธรรมภายนอกภูมิภาคกลายเป็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมการแสดงในวิถีชีวิตของชุมชนภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ จึงเป็นท้ัง ดนตรี การแสดงในพธิ กี รรม เครอ่ื งมอื สอื่ สารและนนั ทนาการ ในทางมานษุ ยวทิ ยา แนวคดิ หลกั ในการวเิ คราะหด์ นตรกี ารแสดงทม่ี กี ารศกึ ษาอยโู่ ดยทวั่ ไปคอื ดนตรแี ละ การแสดงในฐานะหนา้ ทข่ี องพธิ กี รรม การศกึ ษาดนตรใี นมมุ มองของสญั ลกั ษณส์ อื่ ความหมาย ดนตรกี ารแสดงในฐานะของเครื่องมอื นนั ทนาการทางสงั คม เอกลักษณ์การแสดงท่ีโดดเด่นของศิลปวัฒนธรรมการแสดงของภูมิภาค ตะวันออกเฉียงเหนือคือ หมอล�ำ หมอล�ำมีต้นก�ำเนิดจากการใช้ภาษาท่ีมีค�ำ สอดคล้องสละสลวย มาประกอบกับท่วงทำ� นองดนตรี ก�ำเนดิ หมอล�ำอาจกล่าว ได้ว่ามาจากบทร้องในพธิ ีกรรมและมาจากการเล่านทิ านคำ� กลอน ซ่งึ เป็นนทิ านค�ำ กลอนจากใบลาน ประกอบกบั เครอื่ งดนตรคี อื แคน จากนน้ั การขบั นทิ านกบั ดนตรจี งึ ได้พัฒนาการมาเป็นการการลำ� ในอีกทางหนงึ่ ภาษาในการพรรณนาได้พฒั นาการ มาเป็นกลอนยาว พฒั นาการมาเป็นล�ำล่องหรือล�ำทางยาวในระยะต่อมา ล�ำฝีฟ้า คือการขับล�ำในพิธีกรรมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยมีผู้ทรงหรือ นางเทียมท�ำหน้าทอ่ี ัญเชิญผีฟ้าลงมาบำ� บดั รกั ษา ในพธิ ีกรรมคือการอญั เชิญผีฟ้า ลงมารกั ษาดว้ ยการขบั ลำ� เปน็ กลอนประกอบจงั หวะดนตรคี อื แคน การลำ� ประเภทนี้ เป็นบทกลอนอัญเชิญผีฟ้าเป็นกลอนค�ำด้งั เดมิ ทคี่ นรุ่นหลงั เข้าใจยาก ช่วงก่อนปีพุทธศักราช 2500 หมอล�ำในอีสานมีอยู่เพียงสองประเภทหลัก คือ หมอล�ำพ้ืนและหมอล�ำกลอน หมอล�ำพ้ืน เริ่มต้นจากการน�ำเอากลอนนทิ าน
290 โสวฒั นธรรม ที่แต่งเป็นค�ำสอนจากใบลานและนทิ านค�ำกลอน มาแสดงโดยมีผู้แสดงคนเดียว สวมบทบาทเป็นตัวละครทุกตัว ไม่มีฉากประกอบมีเพียงแคนหนึ่งเต้าบรรเลง ประกอบกลอนล�ำ การแต่งกายของผู้แสดงก็ใช้ผ้าเป็นสัญลักษณ์เช่น นุ่งโสร่ง ตอนแสดงเป็นผู้หญงิ กใ็ ช้ผ้าท�ำสไบเฉยี ง ตอนเป็นคนแก่กเ็ อาผ้าพาดบ่า เป็นเสนา ก็เอาผ้าคาดพุง เป็นพระเอกไม่ต้องคาดหรือพาดผ้า ต่อมาหมอล�ำพื้นได้มี พฒั นาการมาเป็นผู้แสดง 2-3 คนแบ่งบทบาทหน้าทก่ี ารแสดงตามความเหมาะสม คำ� วา่ ลำ� พน้ื นา่ จะมาจาก นทิ านพนื้ บา้ น พนื้ เมอื งและการล�ำประวตั ิ นทิ านทนี่ ยิ มมา แสดงหมอลำ� พืน้ คือ การะเกด จำ� ปาสี่ต้น สินไซ ฯลฯ โดยเฉพาะการล�ำเรื่องสินไซ ได้พัฒนามาเป็นหมอล�ำสินไซซ่ึงมีการแสดงในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น (ต�ำบล สาวะถแี ละพนื้ ทใ่ี กลเ้ คยี ง) และในเขตอำ� เภอเชยี งยนื จงั หวดั มหาสารคาม เนอื่ งจาก การแสดงหมอล�ำเร่ืองสินไซ มีตัวละครมากอีกท้ังหลากหลายอรรถรสเช่น การ เดินเร่ืองในเมือง การเกี้ยวพาราสี การเดินทางเข้าป่าไพร จึงต้องมีจังหวะการลำ� หลากหลาย เช่น การเกยี้ วพาราสดี ้วยการลำ� ทางสัน้ และลำ� เต้ย การเดนิ ดงพงไพร ด้วยกลอนเดินดง มีดนตรีประกอบมากขึ้นจากแคนการมีจังหวะหลากหลายท�ำให้ เกิดการใช้กลองและฉิ่ง เป็นองค์ประกอบเพิ่มข้ึน อย่างไรก็ตามการแสดงหมอลำ� สินไซ ยังคงรักษาแบบแผนของหมอล�ำพ้ืนเป็นแม่บท ซึ่งการแสดงหมอล�ำสินไซ กไ็ ด้พฒั นาการมาเป็น หมอล�ำท�ำนองขอนแก่นในปัจจบุ ัน สว่ นหมอลำ� กลอน เปน็ การนำ� โคลงกลอนมารอ้ ยใหส้ ละสลวย โดยมแี คนเปน็ ดนตรีประกอบการล�ำกลอนมีทั้งแบบล�ำเดี่ยวคือศิลปินเด่ียวและการล�ำคู่ หมอล�ำ กลอนเป็นที่นิยมในเขตจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวดใกล้เคียง การล�ำกลอนถ้า เป็นล�ำเด่ียวส่วนใหญ่เป็นล�ำทางยาวคือบทกลอนที่ร้อยเรียงมีความยาวมากพอ สมควร ในการลำ� กลอนนนั้ หมอลำ� นอกจากจะมคี วามจำ� ในกลอนเปน็ เลศิ แลว้ ตอ้ ง มปี ฏภิ าณและไหวพรบิ ในการแตง่ และประยกุ ตส์ งิ่ แวดลอ้ มทพ่ี บเหน็ และเหตกุ ารณ์ ต่างๆ ท่ีพบเห็นมาร้อยเรียงเป็นกลอนล�ำอีกด้วย ส่วนล�ำกลอนที่เป็นหมอล�ำคู่ เป็นการล�ำทงั้ ทแ่ี บง่ เนอื้ หาการล�ำและการล�ำปฏพิ ากย์คอื โต้ตอบกนั หมอล�ำกลอน มหี ลายประเภทเชน่ ลำ� ประชนั ลำ� เกยี้ วหรอื ลำ� ชงิ ชู้ ลำ� ชงิ ผวั (ภายหลงั ไมไ่ ดร้ บั ความ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 291 นยิ มเพราะคนอสี านเหน็ ว่าไม่เหมาะสม) ล�ำโจทย์แก้ ภายหลงั ได้มพี ฒั นาการเป็น หมอล�ำเร่ืองต่อกลอนหรอื หมอล�ำหมู่ รวมทง้ั หมอล�ำซิง่ ในปัจจุบนั ในช่วงปีพุทธศักราช 2500 เป็นต้นมา การแสดงหมอล�ำได้รับความนิยม มากสูงสุดในอีสาน ได้เร่ิมมีการจัดต้ังคณะหมอล�ำขึ้น คณะอัศวินสีหมอก ก่อต้ัง ขน้ึ ทจี่ งั หวดั ขอนแก่นและได้พฒั นาการแสดงทม่ี เี วทแี ละฉาก การแตง่ กายกเ็ ปลย่ี น จากการแต่งกายตามแบบนทิ านพื้นบ้านมาเป็นการแต่งองค์ทรงเคร่ือง โดยได้รับ อิทธิพลการแต่งเคร่ืองแบบลิเกจากทางภาคกลาง คณะอัศวินสีทองโด่งดังมากที่ เวียงจนั ทน์ ประเทศลาว ซึ่งมกี ารเปิดการแสดงทลี่ าวมากกว่าทางฝั่งอสี าน คณะ อัศวินสีหมอกถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกการแสดงหมอล�ำในประเทศลาวและก็ยังส่งผล ให้หมอลำ� รุ่นต่อๆ มาได้เข้าไปแสดงในประเทศลาวและเป็นท่รี ู้จกั จนถงึ ปัจจบุ นั ใน ช่วงปีพุทธศักราช 2505 ได้มีการต้ังคณะหมอล�ำหลายคณะ หมอล�ำได้มีโอกาส เผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้มีโอกาสแสดงทางสถานี วิทยโุ ทรทศั น์ช่อง 4 ขอนแก่น (สถานโี ทรทัศน์ช่อง 11 สำ� นกั ประชาสัมพนั ธ์เขต 1 ขอนแก่นในปัจจบุ นั ) การมีสมาคมหมอลำ� ที่ขอนแก่น การมีส�ำนกั งานหมอลำ� บ้าน พกั ทมั ใจ ทสี่ นบั สนนุ โดยบรษิ ทั โอสถสภา จำ� กดั ทจี่ งั หวดั ขอนแก่นจงึ ถอื ว่าเป็นยคุ โอกาสทองของบรรดาศิลปินหมอล�ำ การที่มีการจัดตั้งสมาคมและส�ำนกั งานหมอล�ำข้ึนหลายแห่งในภาคอีสาน นอกจากการไดม้ โี อกาสแสดงตามสถานวี ทิ ยแุ ละโทรทศั น์แล้ว หมอล�ำหลายคนได้ มีโอกาสบนั ทึกแผ่นเสียงอกี ด้วย ในยคุ นน้ั หมอล�ำเคน ดาเหลา หมอล�ำทองมาก จนั ทะลอื หมอลำ� บญุ เพง็ ไฝผิวชัย หมอล�ำฉวีวรรณ ด�ำเนนิ ฯลฯ เป็นท่ีรู้จักอย่าง กว้างขวาง การมีส�ำนกั งานหมอล�ำท�ำให้มีการรวมตัวจัดต้ังคณะหมอล�ำข้ึนหลาย คณะ ทม่ี ชี อื่ เสยี งโดง่ ดงั เปน็ ทรี่ จู้ กั มากทสี่ ดุ คอื คณะรงั สมิ นั ต์ ทมี่ หี มอลำ� ทองคำ� เพง็ ดแี ละหมอลำ� ฉววี รรณ ดำ� เนนิ เปน็ คเู่ อกชโู รงนอกจากนนั้ ยงั มคี ณะอบุ ลพฒั นา คณะ ยอดมงกฎุ เพชร คณะ พ.สมสมศรี คณะขวญั ใจจกั รวาล คณะเพชรบรู พา ฯลฯ โดย เฉพาะยคุ ตอ่ มาในชว่ งปพี ทุ ธศกั ราช 2514 ป.ฉลาดนอ้ ย สง่ เสรมิ องั คณางค์ คณุ ไชย สไบแพร บัวสด สุภาพ ดาวดวงเด่น ศกั ด์สิ ยาม เพชรชมพู กม็ ชี ือ่ เสียงตามมา โดย
292 โสวฒั นธรรม กลมุ่ หมอลำ� หมคู่ ณะตา่ งๆ เหลา่ นถี้ อื กำ� เนดิ จากการรวมกลมุ่ ของศลิ ปนิ กลมุ่ หมอล�ำ กลอนทีพ่ ัฒนาเป็นหมอล�ำเรือ่ งเป็นหลกั ในเวลาเดียวกันกลุ่มหมอลำ� ที่เป็นหมอล�ำพื้นมาก่อน ก็ได้มีการพัฒนามา เปน็ หมอลำ� หมู่ นบั ตงั้ แตห่ มอลำ� อนิ ตา ไทยราษฎร์ คณะแสงอรณุ คณะบวั แกว้ วเิ ศษ คณะประสงค์ศิลป์ คณะประถมบนั เทงิ ศลิ ป์ ฯลฯ กลุ่มทพ่ี ฒั นาจากหมอลำ� พืน้ นนั้ สว่ นใหญเ่ ปน็ คณะในเขตจงั หวดั ขอนแกน่ ซง่ึ กลมุ่ นแี้ สดงหมอล�ำเรอ่ื งมากอ่ นอยแู่ ลว้ เพยี งแตม่ าเพมิ่ ฉากการแสดงและการแตง่ กายเทา่ นน้ั ส�ำหรบั หมอล�ำกลมุ่ ทพี่ ฒั นา มาจากหมอลำ� พนื้ นน้ั ในกลมุ่ หมอล�ำเรยี กวา่ หมอลำ� ทำ� นองขอนแกน่ เนอ่ื งจากการ แสดงเปน็ กลอนทางสน้ั และสว่ นใหญใ่ ชก่ ลอนทเ่ี ปน็ แมบ่ ทกลอนนทิ านในการล�ำและ ยงั มที ว่ งทำ� นองรวดเรว็ เชน่ ลำ� เตย้ และลำ� เดนิ ดงสลบั กนั ไป(ศลิ ปนิ หมอลำ� ในยคุ นน้ั บางคนเรียกท�ำนองขอนแก่นว่า ท�ำนองแบบกาเต้นก้อน) หลงั พทุ ธศกั ราช 2520 เปน็ ยคุ ซบเซาของหมอลำ� ในอสี าน เนอ่ื งจากวงดนตรี ลูกทุ่งเข้ามาเป็นที่นิยมแทนที่หมอล�ำ หลังการแยกตัวของนกั ร้องดังในวงดนตรี จฬุ ารตั น์ ในระหวา่ งปี 2513-2514 นกั รอ้ งหลายคนตง้ั วงดนตรขี องตนเองและเขา้ มา แสดงในภูมิภาคอีสานมากขึ้น รวมท้ังเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่แพร่เข้ามาสู่คนรุ่น หนมุ่ สาวคอื หนงั กลางแปลง หมอล�ำหลายคณะยบุ เลกิ และสลายตวั ไป ทปี่ รบั ตวั ได้ กเ็ รม่ิ คิดปรับปรงุ คณะหมอลำ� เป็นลูกทุ่งหมอลำ� ทัง้ ท่ีปรับตัวจากเดมิ เช่น รตั นศลิ ป์ อนิ ตาไทยราษฎร์ ประถมบนั เทงิ ศลิ ป์ ระเบยี บวาทศลิ ป์ ฯลฯ ซงึ่ ไดพ้ ฒั นาคณะเพอื่ ให้เป็นลูกทุ่งหมอล�ำท่ีเอาความเป็นวงดนตรีลูกทุ่งผสมผสานกับการแสดงหมอล�ำ เช่นเดียวกันในช่วงปี 2528 ราตรี อุ่นทะยาหรือราตรี ศรีวิไล ก็ได้ปรับให้หมอล�ำ กลอนปฏิพากย์ มีจังหวะการล�ำท่ีรวดเร็วข้ึนพร้อมกับการน�ำเคร่ืองดนตรีสากล มาประกอบ กลายเป็น “หมอล�ำซิ่ง” ขวัญใจวัยรุ่นอสี านในปัจจบุ ัน หมอล�ำที่เป็นศิลปินแห่งชาติได้ถูกเลือกให้เป็นต้นแบบในการศึกษา อตั ชวี ประวตั เิ ชน่ ทองมาก จนั ทะลอื เคน ดาเหลา ฉววี รรณ ดำ� เนนิ และป.ฉลาดนอ้ ย สง่ เสรมิ นอกจากอตั ชวี ประวตั ิ การวเิ คราะหภ์ าพสะทอ้ นทางสงั คมของเคน ดาเหลา นับว่าเป็นงานวิจัยอัตชีวประวัติท่ีค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะได้เข้าใจโลกทัศน์และ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 293 มมุ มองทางสงั คมทส่ี ะทอ้ นผา่ นการบอกเลา่ ดว้ ยการล�ำ ในสงั คมแตล่ ะยคุ สมยั เปน็ อยา่ งดี ในอดตี กลา่ วกนั วา่ หมอล�ำเคน ดาเหลาเปน็ ผทู้ เ่ี ลา่ เรอ่ื งราวผา่ นกลอนล�ำที่ ไดร้ บั ความสนใจมากทส่ี ดุ เพราะสามารถเลา่ เรอ่ื งราวประสบการณจ์ ากสง่ิ ทพี่ บเหน็ มาเป็นกลอนล�ำในการแสดงแต่ละท้องถ่ินไดอย่างกลมกลืน ที่เป็นจุดเด่นในการ ศกึ ษาหมอลำ� คอื ไดพ้ บการศกึ ษาหมอล�ำในหลากหลายมติ ิ นบั ตงั้ แตอ่ ตั ชวี ประวตั ิ สาระความรู้จากการแสดงหมอล�ำ การสืบทอดและการเปล่ียนแปลงหมอล�ำใน ยุคสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ตามประเด็นท่ีน่าสนใจท่ียังไม่ปรากฏคือ งานวิจัยที่ เขา้ ถงึ แกน่ แกนของหมอลำ� กระบวนการเขา้ สกู่ ารเปน็ หมอลำ� แนวคดิ ในการสอ่ื สาร ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งหมอลำ� ผแู้ สดงดดยผา่ นกระบวนการสอื่ สารของผทู้ �ำหนา้ ทสี่ อ่ื กบั ผู้ชมท่ีเป็นผู้รับส่ือ การศึกษาหมอล�ำในมิติของพัฒนาการทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนกระบวนศึกษาบทบาทหน้าท่ี หมอล�ำในแต่ละช่วงเวลา การแสดงและดนตรีของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีรากฐานมา จากบทบาทหน้าท่ีในพิธีกรรม ที่ได้พัฒนาการมาเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นการ นันทนาการ จากรูปแบบที่เรียบง่ายได้พัฒนาให้มีความซับซ้อนมากข้ึน การมี องคป์ ระกอบทม่ี ากขน้ึ จากการบรู ณาการศลิ ปวฒั นธรรมของภมู ภิ าคอน่ื งานวจิ ยั ใน กระแสหลกั ตลอดชว่ งทศวรรษทศ่ี กึ ษา ใหค้ วามสนใจรปู แบบมากกวา่ บทบาทหนา้ ท่ี และความหมายเชงิ สญั ลกั ษณข์ องดนตรแี ละการแสดงทม่ี ตี อ่ สงั คม การใชป้ ระโยชน์ จากดนตรีในพิธีกรรมและโอกาสต่าง อิทธิพลจากสังคมภายนอกท่มี ีผลต่อรูปแบบ ของศลิ ปะการแสดงและดนตรี แนวคดิ และทฤษฎบี ทบาทหนา้ ที่ การสอ่ื สญั ลกั ษณ์ และการสื่อสารจึงไม่ได้เป็นประเด็นท่ีได้รับการน�ำมาวิเคราะห์และประเมินในการ วิจัยในแต่ละผลงาน ส่วนท่ีขาดหายไปในการมองศิลปะการแสดงคือการแสวงหา ความรู้ในมิติทางประวัติศาสตร์ ภาพองค์รวมของศิลปะการแสดงต่อสังคม งาน วิจัยท่ีจะเป็นแบบของการใช้วิธีวิทยาของการวิจัยทางวัฒนธรรมมีอยู่ค่อนข้างน้อย เท่าท่ีปรากฏอยู่ในช่วงนคี้ ือการศึกษาศิลปะการแสดงหมอล�ำ และหนงั ประโมทัย ของสุริยา สมุทคุปต์และคณะ ที่ได้ใช้วิธีวิทยาของการวิจัยทางมานุษยวิทยามา เป็นมมุ มองและการวเิ คราะห์
294 โสวัฒนธรรม เนอ่ื งจากผลงานการวจิ ยั ดา้ นสถาปตั ยกรรม งานหตั ถกรรมในภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนือท่ีน�ำมาสังเคราะห์ในคร้ังนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นผลงานของผู้วิจัยท่ีมี พน้ื ฐานทางสถาปตั ยกรรมและนกั วจิ ยั ทม่ี พี น้ื ฐานทางดา้ นศลิ ปะ ในการใชว้ ธิ วี ทิ ยา ในการศึกษาจึงเน้นท่ี รูปแบบและพัฒนาการเป็นส�ำคัญ ทางด้านสถาปัตยกรรม พน้ื ถนิ่ จดุ เดน่ ของการวจิ ยั ในชว่ งระยะนอ้ี ยทู่ กี่ ารศกึ ษาลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรม ของกลุ่มชนหลากหลายชาติพันธุ์ โดยเห็นสาระส�ำคัญของความแตกต่างทาง รปู แบบของสถาปตั ยกรรม การปรบั ตวั ของชมุ ชนตอ่ ระบบนเิ วศทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ รปู แบบ สถาปตั ยกรรม สง่ิ ทข่ี าดหายไปคอื มติ ทิ างสงั คม การศกึ ษาสถาปตั ยกรรมบา้ นเรอื น หรอื เฮอื นอยอู่ าศยั ยอ่ มมคี วามสมั พนั ธก์ บั ผเู้ ปน็ เจา้ ของ หากบา้ นถกู มองใหเ้ ปน็ เวที ชวี ติ ผคู้ นหลากหลายชวี ติ ในแตล่ ะครวั เรอื นยอ่ มมกี จิ กรรมบนเวทชี วี ติ แหง่ น้ี แตล่ ะ ชีวิตมีความเก่ียวข้องในบทบาทหน้าท่ีอย่างไร บ้านได้ท�ำหน้าท่ีตอบสนองสังคม ขนาดเล็กสังคมหนง่ึ ในแต่ละช่วงเวลาอย่างไร มีการตอบสนองของชุมชนอย่างไร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีผลต่อบ้านหรือเฮือนท้องถ่ินอย่างไร ย่อมท�ำให้การ วิจัยบ้านมีชีวิตของผู้คนเป็นส่วนส�ำคัญ และท�ำให้งานวิจัยมีชีวิตผู้คนที่อยู่ข้างใน อย่างแท้จริง ในส่วนการศึกษาสถาปัตยกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนา มีความโดดเด่น กว่าการศึกษา สถาปัตยกรรมเรือนเช่น การศึกษาสิมอีสาน การศึกษาธาตุอีสาน สถาปัตยกรรมหอแจก หอไตร รวมท้ังการศึกษาวิจัยสถาปัตยกรรมธรรมาสน์ ที่ ผลงานวจิ ัยส่วนใหญ่นอกจากการทีผ่ ู้วจิ ัยได้จ�ำแนกรปู แบบ อิทธพิ ลทีม่ ีต่อรปู แบบ สถาปัตยกรรมแล้ว ยังได้เข้าใจถึงกระบวนการความคิดความเชื่อและบทบาท ทางสถาปัตยกรรมท่ีมีต่อชุมชนด้วย เช่นเดียวกับงานวิจัยด้านหัตถกรรม ยังเห็น ภาพความหยุคนิง่ และการจ�ำแนกแยกแยะรูปแบบ มากกว่าที่จะเห็นหัตถกรรม ในฐานะของผลผลิตที่ตอบสนองชุมชนและสังคม ในแง่มุมของบทบาทหน้าท่ี กระบวนการจ�ำแนกแรงงาน กระแสโลกภายนอกที่มีผลต่อกระบวนการผลิต หรือ แม้แต่กระบวนการวิจัยท่ีจะท�ำให้งานหัตกรรมเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อการ พฒั นาท่ีทำ� ให้เกิดความยง่ั ยืนของชมุ ชนในภมู ิภาค
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 295 5.6 บทสรุป กระบวนการแสวงหาความรู้เป็นส่ิงที่เกิดขึ้นในบริบทของสังคมไทยมา ยาว ดังนน้ั การบันทึกงานเขียนและเร่ืองราวทางศิลปวัฒนธรรมจึงปรากฏอยู่ใน เอกสาร หนงั สือท่ีเผยแพร่มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานเช่นเดียวกัน ผลงานด้าน ศิลปวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงท่ีมีการบันทึกเรื่องราวเป็น สงิ่ พมิ พใ์ นระยะแรก จงึ เป็นบนั ทกึ ของผ้รู หู้ รอื ปราชญ์ทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ด้จดจ�ำและบนั ทกึ เรื่องราวทั้งหลายมาเผยแพร่เพ่ือการถ่ายทอดเพ่ือไม่ให้เรื่องราวต่างๆ สูญหายไป กับกาลเวลา ปราชญ์ท้องถิ่นเหล่านค้ี ือผู้รู้ท่ีได้รับการศึกษาเล่าเรียนในระบบการ ศกึ ษามากกว่าคนอืน่ ในยคุ สมยั เวลานน้ั นับตัง้ แต่มหาสิลา วีระวงศ์ ปราชญ์แห่ง ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ผู้กลายเป็นปราชญ์เมอื งลาวในระยะต่อมา เติม วภิ าคย์พจนกิจ ผเู้ ขยี นประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซง่ึ ผลงานไดก้ ลายเปน็ ตน้ แบบ ส�ำหรบั นกั วชิ าการยคุ หลังในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ท้องถนิ่ การวิจัย เป็นกระบวนการใหม่ที่เข้ามาในภูมิภาคผ่านระบบการศึกษาจาก นักวิชาการท่ีได้รับอบรมวิธีการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีวิทยาแบบตะวันตก โดย เฉพาะอย่างยิ่งนกั วิชาการในสถาบันอุดมศึกษาเร่ิมต้นจากสถาบันอุดมศึกษาจาก สว่ นกลางของประเทศ หลงั จากการจดั ตงั้ สถาบนั อดุ มศกึ ษาในภมู ภิ าค วธิ วี ทิ ยาใน การวิจัยแบบตะวันตกได้เข้ามามสี ่วนในกระบวนการจัดการศึกษาและค้นคว้าด้วย อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากนโยบายการพัฒนาของรัฐในขณะนนั้ มุ่งเน้นการพัฒนา ทางเศรษฐกจิ และกายภาพตามวธิ คี ดิ แบบตะวันตก ทำ� ให้การส่งเสรมิ ทางวชิ าการ มงุ่ เนน้ ไปทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทำ� ใหก้ ารแสวงหาความรแู้ ละการวจิ ยั ทาง มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ไม่รบั การส่งเสริมสนับสนนุ มากเท่าท่ีควร ดงั นน้ั ใน ชว่ งระยะเวลาดงั กล่าวจงึ มแี ต่นกั วชิ าการตะวนั ตกและนกั วชิ าการญปี่ นุ่ ทสี่ นใจเขา้ มาท�ำงานวิจัยในภูมิภาค ส่วนนกั วิชาการไทยที่เข้ามาศึกษาทางสังคมศาสตร์ใน ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ในระยะนน้ั คอื สเุ ทพ สนุ ทรเภสชั ซงึ่ ผลงานการศกึ ษาของทา่ นยงั ไดร้ บั การตพี มิ พเ์ ผยแพรแ่ ละเปน็ องคค์ วามรทู้ างประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมของสงั คมภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เปน็ อยา่ งดี อกี บคุ คลหนงึ่ คอื ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม ผบู้ กุ เบกิ ความรู้
296 โสวฒั นธรรม ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและโบราณคดีท้องถ่ินอย่างบูรณาการ จุดเด่นของท่าน คอื ความพยายามในการไม่ใช้กรอบและสายตาตะวนั ตกมองวฒั นธรรมในภูมิภาค แรงผลกั ดนั จากการสนบั สนนุ การศกึ ษาทางมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ จากปัญหาของการที่เกิดค�ำถามมากมากมายที่เกิด จากความไม่ประสบความส�ำเร็จในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน ภูมิภาค ปัญหาของสถาบันอุดมศึกษาท้องถิ่นที่ผลิตบุคลากรทางการศึกษาที่เป็น สถาบันท้องถิ่นแต่ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนทุนในการวิจัยท้องถ่ินอย่างจริงจัง จากปีพุทธศักราช 2521 เป็นยุคแห่งการบุกเบิกกระบวนการศึกษาชุมชนท้องถิ่น นกั วิชาการทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ท้องถ่ินเริ่มต้นเข้ามาเร่ิมการศึกษา ค้นคว้าวิจัยในช่วงทศวรรษน้ี ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เป็นหนงึ่ ในนกั วิชาการหลักที่ มีบทบาทต่อการศึกษาวิจัยชุมชนท้องถิ่น ไม่เพียงแต่การเข้ามาท�ำการวิจัยใน ท้องถ่ินภาคตะวันออกเฉยี งเหนือเท่านน้ั ท่านยังได้เข้ามาสู่การทำ� งานในท้องถิ่น อย่างแท้จริงจากการย้ายเข้ามารับราชการในมหาวิทยาลัยขอนแก่นจนหมดวาระ การบรหิ ารสถาบันวจิ ัยและพัฒนาของมหาวทิ ยาลยั ดงั นน้ั จากภมู หิ ลงั ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ดงั ทกี่ ลา่ วมาแลว้ งานศกึ ษาดา้ นศลิ ป วัฒนธรรมในภมู ภิ าคตะวันออกเฉยี งเหนือจึงปรากฏอยู่ใน 2 มติ ิคอื ด้านหนงึ่ เป็น สาระความรทู้ ม่ี าจากการรวบรวมของปราชญท์ อ้ งถนิ่ รวมทง้ั ผสู้ นใจแสวงหาความรใู้ น ทอ้ งถนิ่ ทงั้ นรี้ วมทงั้ ความพยายามในการรวบรวมขอ้ มลู จดั ทำ� ตำ� รา ตลอดจนฐานขอ้ มลู วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ในอกี ดา้ นหนงึ่ ความรทู้ างศลิ ปวฒั นธรรมทม่ี าจากการวจิ ยั ดว้ ยวธิ ี วทิ ายทางมนษุ ยศาสตร์ สงั คมวทิ ยา มานษุ ยวทิ ยา ซงึ่ ในกรณหี ลงั นคี้ อ่ นขา้ งประสบ ปญั หาเนอื่ งจากการวจิ ยั ทางมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตรไ์ มค่ อ่ ยไดร้ บั การสนบั สนนุ มากนกั เหตผุ ลเนอ่ื งจากความเขา้ ใจวา่ งานดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม เปน็ เพยี งการละเลน่ การ แสดงและดนตรี ไมม่ คี วามสำ� คญั และไมม่ คี วามจำ� เปน็ ในทางการพฒั นาเศรษฐกจิ ดังนนั้ ผลงานทางด้านศิลปวัฒนธรรมอันมีหลักฐานเป็นท่ีประจักษ์ในช่วง ทศวรรษนี้ จงึ เปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ เพอ่ื รวบรวมและเรยี บเรยี งองคค์ วามรู้ อาจกลา่ ว ได้ว่ากระบวนการแสวงหาความรู้ในลักษณะน้ีเป็นการวิจัยความรู้ท้องถิ่น จากคน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 297 ท้องถิ่นภายใต้กระบวนการแสวงหาความรู้ที่ไม่ได้ใช้กรอบแนวคิดการวิจัยแบบ นักวิชาการที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้การวิจัยตามแบบอย่างทางวิชาการแบบ ตะวนั ตก การรวบรวมงานศลิ ปวฒั นธรรมนอกระบบการวจิ ยั ทน่ี า่ สนใจเชน่ หนงั สอื ชดุ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ เรอื่ ง พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลักษณ์และภูมปัญญา จังหวัดต่างๆ ทั้ง 19 จังหวัด 19 ชุดจัดพิมพ์โดย กรมศลิ ปากร ระหวา่ งปพี ทุ ธศกั ราช (2542)-(2544) ผลงานทง้ั 19 จงั หวดั มาจากการ ค้นคว้า รวบรวมและเรียบเรียงโดยนกั วิชาการในท้องถิ่นแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะ อย่างย่งิ ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมและภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน เมื่อเปรยี บเทียบกับงาน วจิ ยั ตามวธิ วี ทิ ยาของการวจิ ยั งานวจิ ยั สว่ นใหญเ่ ปน็ วทิ ยานพิ นธข์ องการศกึ ษาของ ในระดบั มหาบณั ฑิตและดุษฎบี ณั ฑติ ของสถาบนั อุดมศกึ ษาหลกั ในภมู ภิ าคเช่นใน หลกั สตู รไทยคดศี กึ ษา หลกั สตู รไทยศกึ ษาและบางสว่ นทเ่ี ปน็ การศกึ ษาในหลกั สตู ร สถาปัตยกรรมศาสตร์ สงั คมศาสตร์และศิลปศาสตร์ เมอื่ เทยี บสดั ส่วนกบั งานวิจัย ของนกั วิจัยท่ีได้รับจากแหล่งทุนท่ีสนับสนนุ การวิจัยทางศิลปวัฒนธรรมถือว่ามีผล งานจำ� นวนน้อยกว่า ส�ำหรับการส�ำรวจความรู้การวิจัยวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมมีทิศทาง การวิจยั ทหี่ ลากหลาย ทง้ั ในประเดน็ เนือ้ หารวมท้ังกลุ่มตวั อย่างตลอดจนขอบเขต พนื้ ทข่ี องการศกึ ษา จากการประมวลผลงานการศกึ ษาคน้ ควา้ และวจิ ยั ทางดา้ นศลิ ป วฒั นธรรมในช่วงทศวรรษ (2540) ได้ข้อสรุปท่ีส�ำคญั 3 ประการคือ ประการแรก ประเด็นการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมในส่วนของงานศิลปะ ร่วมสมัย ยังไม่ปรากฏในช่วงทศวรรษนี้ แต่สถาบันการศึกษาในภูมิภาคได้เร่ิม มีการจัดต้ังหอนทิ รรศการศิลปะในช่วงต้นศตวรรษ (2540) ได้มีการจัดกิจกรรม เชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยและนิทรรศการแสดงผลงาน อันเป็นจุดเร่ิมต้นที่จะ ท�ำให้เกิดกระบวนการวิจัยต่อไป ผลงานทางศิลปะส่วนใหญ่เป็นการศึกษาทาง ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะท้องถน่ิ โดยเฉพาะงานจติ รกรรมฝาผนงั สมิ หรอื โบสถ์ อย่างไร กต็ ามกระบวนการคดิ ซำ�้ ในดา้ นวธิ วี ทิ ยาในการศกึ ษา กลบั กลายเปน็ ผลใหง้ านวจิ ยั ดังกล่าวมีความน่าสนใจน้อยลง เพราะเกือบท้ังหมดของผลงานต่างมุ่งให้ความ สนใจไปที่รูปแบบ สี และกระบวนการเล่าเร่ืองราวที่ปรากฏในงานจิตรกรรม ท้ังท่ี
298 โสวฒั นธรรม ความสนใจมีมากกว่าประเด็นดังกล่าวเช่น ความสมั พันธ์ของเรื่องเล่าในจิตรกรรม กับบริบททางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนที่อยู่รอบวัดท่ีมีจิตรกรรม อิทธิพลของ รูปแบบท่ีมีต่อช่างเขียนพื้นบ้านในแต่ละสกุลช่าง หรือแม้แต่ทัศนคติของชุมชน ปัจจุบันที่มีต่อจิตรกรรมโบราณ การศึกษาให้รู้ถึงคุณค่าย่อมเป็นประโยชน์ต่อ ความเข้าใจของชุมชนในการรักษาและการหาแนวทางให้จิตรกรรมฝาผนงั ได้ยังคง ทำ� หน้าทต่ี ่อชุมชนในปัจจบุ นั เช่นเดียวกับการศึกษาในประเดน็ ของศลิ ปะการแสดงหมอลำ� กระบวนการ ผลิตซ�้ำภายใต้การใช้กรอบในการศึกษารูปแบเดียวกันทำ� ให้ไม่เห็นภาพของความ หลากหลาย ทงั้ ทกี่ ารแสดงหมอลำ� มคี วามหลากหลายรปู แบบแนวทางและคตนิ ยิ ม เช่น หมอล�ำกลอนท�ำนองอุบลราชธานี หมอล�ำท�ำนองขอนแก่น ท�ำนองร้อยเอ็ด ทำ� นองกาฬสนิ ธ์ุ ท�ำนองอดุ ร ฯลฯ รวมทง้ั รแู บบของการแสดงทมี่ คี วามหลากหลาย เช่นเดียวกัน กรณกี ารวิจัยหมอล�ำที่เห็นชัดที่สุดที่นกั วิจัยเองสับสนในประเด็นของ ปัญหาคือการตัง้ ประเดน็ ท่แี คบ แต่ตัวอย่างในการศึกษากลบั มีขอบเขตที่กว้างเช่น การศึกษาโลกทัศน์ในกลอนล�ำของหมอล�ำ ซึ่งการท่ีหมอล�ำมีหลายกลุ่มหลาย รูปแบบ การใช้เฉพาะบางกลุ่มตัวอย่างย่อมไม่ใช่ตัวแทนของหมอล�ำทั้งหมด อีก กรณที เ่ี ป็นประเดน็ ทนี่ ่าสนใจคอื การค้นหาอตั ลกั ษณข์ องศลิ ปะการแสดงของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ งานวจิ ยั ทง้ั หมดทพ่ี บไมส่ ามารถคน้ หาอตั ลกั ษณข์ องดนตรแี ละการแสดง ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ดเ้ ชน่ ความเปน็ ศลิ ปะการแสดงกะเลงิ มอี ะไรทสี่ ะทอ้ นความเปน็ กะเลงิ มคี วามต่างจากการแสดงของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์อื่นในภูมิภาคนอ้ี ย่างไร อะไรที่ สะท้อนความเป็นผู้ไท ความเป็นกะโส้ ความเป็นย้อหรือโย้ย เป็นต้น ประการที่สอง วิธีวิทยาในการวิจัยเป็นประเด็นปัญหาส�ำคัญที่พบจากการ วจิ ยั ตลอดชว่ งทศวรรษ (2540) ถงึ แมว้ า่ งานวจิ ยั สว่ นใหญก่ ำ� หนดการวจิ ยั เปน็ การ วิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลัก แต่ผลจากการวิจัยกลับพบว่าได้อภิปรายผลในเชิง พรรณนา มากกวา่ ใชห้ ลกั การวจิ ยั การเปรยี บเทยี บแนวคดิ ทฤษฎมี าใชเ้ ปน็ มมุ มอง ขอ้ ถกเถยี งและประเดน็ การวเิ คราะหใ์ นเชงิ วชิ าการ ดงั นนั้ คณุ ภาพงานวจิ ยั จงึ ไมค่ อ่ ย แตกตา่ งจากงานเขยี นของปราชญท์ อ้ งถน่ิ และอาจดอ้ ยกวา่ ในความล่มุ ทางความรู้ ในบางเนอื้ หาสาระ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 299 ทงั้ นส้ี ง่ิ ทขี่ าดหายไปอยา่ งชดั เจนคอื การวจิ ยั ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมจากปราชญ์ ท้องถ่ิน ซ่ึงการวิจัยลักษณะนจ้ี ะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา การมองตนและการ หาแนวทางพัฒนา อันเป็นการส่งเสริมคนในวัฒนธรรมให้มีโอกาสวิจัยและเสนอ ผลงานอย่างลุ่มลึกในด้านนนั้ ๆ ประการทส่ี าม การไมม่ ที ศิ ทางการวจิ ยั ทช่ี ดั เจน ท�ำใหน้ กั วจิ ยั เสนอประเดน็ การวิจัยในเฉพาะประเด็นท่ีตนเองมีความถนดั และให้สนใจ ประเด็นท่ีไม่มีความ ซับซ้อนในการวิจัย กลายเป็นประเด็นท่ีนกั วิจัยให้ความสนใจเหมือนกันหรือคล้าย กัน ทำ� ให้เกิดกระบวนการวจิ ัยแบบผลิตซ�้ำทางด้านศลิ ปวัฒนธรรม ทำ� ให้ประเดน็ ท่ีเป็นการค้นหาใหม่ ข้อคิดใหม่และข้อเสนอใหม่ไม่เกิดข้ึนในการวิจัยด้านศิลป วัฒนธรรม อยา่ งไรกต็ ามผวู้ จิ ยั มขี อ้ เสนอแนะแนวทางในการพฒั นางานวจิ ยั วฒั นธรรมดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรมในภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในอนาคตโดยมสี าระสำ� คญั คอื 1. ควรมนี โยบายและทศิ ทางในการวจิ ยั วฒั นธรรมดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมอยา่ ง ชดั เจนเปน็ รปู ธรรมวา่ มเี ปา้ ประสงคด์ า้ นใดเชน่ การสง่ เสรมิ การอนรุ กั ษ์ การพฒั นา 2. การส่งเสริมสนับสนนุ ทุนการวิจัยและการสนับสนนุ การวิจัยด้านศิลป วฒั นธรรม ควรเนน้ การสนบั สนนุ การวจิ ยั ทม่ี กี ารบรู ณาการ กลมุ่ สาระหรอื ชดุ ความรู้ ทม่ี กี ารวจิ ัยแบบบูรณาการ 3. ควรสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การวจิ ยั ทที่ ำ� ใหต้ ระหนกั ถงึ คณุ คา่ เพอ่ื การสง่ เสรมิ การ พัฒนาให้เกิดมูลค่าโดยการประยกุ ต์ทนุ ความรู้ทางศลิ ปวัฒนธรรมทีม่ ีอยู่ 4. ควรส่งเสรมิ การวจิ ยั ทม่ี กี ารศกึ ษารว่ มกบั ปราชญท์ ้องถนิ่ เพอ่ื รว่ มกนั และ เปลย่ี นเรยี นรู้และพฒั นาด้านศิลปวัฒนธรรม 5. ควรสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การพฒั นานกั วจิ ยั ใหม่ สง่ เสรมิ สนบั สนนุ การใหค้ วามรู้ วิธีการวิจัยด้านศิลปวัฒนธรรมให้มากข้ึน เพื่อตอบสนองนโยบายและแนวทาง ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนโดยใช้ ประโยชน์จากทนุ วฒั นธรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317