Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาค ก กศน กรณีทั่วไป

ภาค ก กศน กรณีทั่วไป

Published by watpleng, 2020-08-02 04:12:43

Description: ภาค ก กศน

Search

Read the Text Version

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 246 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 247 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 248 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 249 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 250 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 251 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 252 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 253 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 254 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 255 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 256 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 257 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 258 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 259 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา รับราชการ ตำแหนงครูผชู วย ตามหลกั เกณฑใ หม 260 เตรยี มสอบครผู ูชวย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 261 สว่ นท่ี 2 ภาษาองั กฤษพนื้ ฐานท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การปฏิบัตงิ าน ตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทมี ฮักแพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

ค่มู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 262 ภาษาองั กฤษพนื้ ฐานทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการปฏบิ ัติงานตำแหน่งครผู ู้ชว่ ย Article Article คือ คำท่ีใชน้ ำหน้านาม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ คำนำหนา้ นามท่มี ีความหมายท่วั ไป (Indefinite Article) คือ AและAn และคำนำหน้านามทม่ี ีความหมายเฉพาะเจาะจง (Definite Article) คอื The • การใช้ A ใชน้ ำหน้าคำนามที่เป็นเอกพจนท์ ี่นับได้ ขน้ึ ต้นด้วยพยัญชนะ และมคี วามหมายทวั่ ไป เชน่ a book, a man, a bus, a fan เปน็ ต้น ขอ้ ยกเว้นในการใช้ A 1. คำนามบางตวั แม้ขึน้ ตน้ ดว้ ยพยญั ชนะแตก่ ลับอา่ นออกเสียงสระที่อย่ถู ดั ไป ซงึ่ นามตวั นั้นให้ใช้ An นำหน้า แทน (ส่วนมากจะเปน็ คำนามทม่ี ีตวั H ข้ึนตน้ ) เชน่ an hour, an honest man, an honorable guest เปน็ ต้น 2. คำนามทน่ี บั ไม่ได้ เชน่ sugar, water, bread เป็นตน้ 3. คำนามพหพู จน์ เช่น two cats, five books, ten flowers เป็นต้น • การใช้ An ใชน้ ำหน้าคำนามทีเ่ ป็นเอกพจนท์ น่ี บั ได้ ข้ึนตน้ ด้วยสระ (A, E, I, O, และU) และมีความหมายทว่ั ไป เช่น an apple, an orange, an elephant, an ant เปน็ ตน้ ข้อยกเวน้ ในการใช้ An 1. คำนามบางตวั แม้จะขนึ้ ต้นดว้ ยสระแต่กลับอ่านออกเสียงสระทีข่ นึ้ ต้นนั้นเปน็ เสียงพยัญชนะ ‘ย’ ซ่ึงนามตวั นั้นให้ใช้ A นำหนา้ แทน (ส่วนมากจะเปน็ คำนามท่ีข้ึนต้นด้วย U และE) เชน่ a uniform, a university, a European เปน็ ต้น 2. คำนามทน่ี บั ไม่ได้ เชน่ sugar, water, bread เป็นต้น 3. คำนามพหพู จน์ เชน่ two cats, five books, ten flowers เปน็ ตน้ • การใช้ The ใชน้ ำหน้าคำนามได้ทุกชนิดและทุกประเภท โดยมีเง่ือนไข ดังน้ี 1. สามารถใช้ The นำหนา้ ไดท้ งั้ คำนามท่เี ป็นเอกพจน์และพหพู จน์ 2. คำนามท่ีข้ึนต้นดว้ ยพยัญชนะและสระสามารถนำหนา้ ด้วย The ไดแ้ ตใ่ นคำนามที่ข้ึนตน้ ดว้ ยสระให้อ่านออก เสยี งวา่ ดิ 3. คำนามนับได้และนบั ไมไ่ ด้สามรถใช้ The นำหนา้ ได้ 4. คำนามใด ๆ เม่ือใช้ The นำหน้าแล้ว จะตอ้ งมคี วามหมายทีช่ ี้เฉพาะเจาะจง เช่น Close a door กบั Close the door หมายถงึ ปดิ ประตเู หมอื นกัน แตป่ ระโยคแรกเป็นการกลา่ ววา่ ใหป้ ดิ ประตูซ่ึงเป็นประตูบาน ใดกไ็ ด้ ส่วนในประโยคที่สองกล่าวถึงประตบู านนน้ั ทผี่ ้พู ดู และฟังรกู้ นั ดี จะเปน็ บานอน่ื ไมไ่ ด้ เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ ือเตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 263 ขอ้ ควรระวงั 1. สำนวนเกีย่ วกบั การใช้จำนวนนับ ให้ใช้ AและAn นำหนา้ เชน่ a dozen (หนงึ่ โหล), a hundred (หนึง่ ร้อย), a thousand (หนง่ึ พนั ), a million (หนึง่ ลา้ น), และ a lot of (จำนวนมาก) เป็นต้น 2. สำนวนที่เกย่ี วกับราคา, อัตราสว่ น, ความเร็ว, ใช้ AและAa นำหน้า เชน่ sixty miles an hour (60 ไมล์ตอ่ ช่ัวโมง), ten kilometers an hour (10 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง), four times a day (วนั ละ 4 ครง้ั ) เปน็ ตน้ 3. สำนวนทีเ่ กย่ี วกับการอุทานให้ใช้ A นำหน้า เชน่ What a hot day is it! (วนั นร้ี ้อนอะไรอย่างน้!ี ), What a pretty good girl she is! (หลอ่ นเป็นเดก็ หญงิ ทนี่ า่ รักอะไรอยา่ งน!ี้ ) เปน็ ต้น 4. สำนวนทเ่ี กย่ี วกับการเจ็บปว่ ยให้ใช้ AและAn นำหน้า เชน่ have a fever (เปน็ ไข้), have a sore throat (เจบ็ คอ), have a cold (เปน็ หวัด) เป็นต้น 5. คำนามท่ตี ามหลัง quite, hardly, scarcely, และrather ต้องใช้ AและAn นำหน้าเสมอ quite a new (คอ่ นข้างใหม่เลยทเี ดยี ว), rather be a good man (ค่อนข้างเป็นคนดี) เป็นต้น 6. คำนามเอกพจนท์ นี่ ับได้ทตี่ ามหลงั คำว่า such ใหใ้ ช้ AและAn นำหนา้ เช่น such a beautiful girl (คน สวย), such a good man (คนด)ี เปน็ ต้น 7. คำนามทเี่ ปน็ ช่ือเฉพาะ เช่น ชอ่ื คน ชอ่ื สถานท่ี ชอ่ื ตำแหนง่ สำคัญ ชือ่ ประเทศ ช่อื ภูมภิ าค ให้ใช้ The นำหนา้ เสมอ เช่น The Prime Minister (นายกรฐั มนตรี), The United Kingdom (สหราชอาณาจกั ร), The Northeast (ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ), The Central World (หา้ งสรรพสนิ คา้ เซนทรลั เวลิ ด์ ) เป็นตน้ 8. คำคณุ ศัพทข์ ัน้ สูงสดุ (Superlative degree) ใหใ้ ช้ The นำหนา้ เสมอ เช่น the most beautiful woman (ผู้หญิงทสี่ วยทสี่ ดุ ), the best thing (สง่ิ ที่ดที ่สี ุด), the fastest animal (สตั วท์ ร่ี วดเร็วทีส่ ุด) เปน็ ตน้ 9. ตัวเลขที่แสดงลำดบั ที่ (Ordinal Number) ให้ใช้ The นำหนา้ เสมอ เชน่ the first (ลำดับแรก), the fifth (ลำดับที่ 5), the twentieth (ลำดบั ที่ 20) เปน็ ต้น 10. คำคณุ ศัพท์ทน่ี ำมาใช้เป็นคำนามในประโยคใหใ้ ช้ The นำหน้าและใหถ้ ือว่าคำนามนั้นเปน็ พหพู จน์ด้วย เช่น the rich (เหล่าคนรวย), the poor (เหล่าคนจน), the intelligent (เหล่าคนทีฉ่ ลาดหลกั แหลม) เปน็ ต้น 11. คำนามทีท่ ำหน้าทเ่ี ปน็ นามซ้อน (in apposition) ของนามท่ีอยขู่ า้ งหนา้ ใหใ้ ช้ The นำหนา้ เสมอ เช่น Thailand, the country in Southeast Asia, is my hometown. (ประเทศไทย ประเทศที่อยูใ่ นทวปี เอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต้เปน็ บ้านเกดิ ของฉนั เอง) เปน็ ต้น 12. สำนวนแบ่งภาคเวลากลางวัน ให้ใช้ The นำหนา้ เสมอ ไดแ้ ก่ in the morning (ในช่วงเช้า), the afternoon (ในชว่ งบ่าย), และ the evening (ในช่วงเย็น) 13. สำนวนตอ่ ไปนี้ให้ใช้ The นำหน้าเสมอ เชน่ in/at the end (ในทสี่ ุด), in/at the beginning (ในตอน แรก), tell the time (บอกเวลา), the present time (เวลาน้)ี , และ tell the truth (พดู ความจรงิ ) เปน็ ต้น Part of Speech part of speech คอื คำประเภทต่าง ๆ ซ่งึ มีด้วยกนั 8 ชนดิ สามารถแบ่ง part of speech ออกเป็น 8 ชนิดหลกั ดังต่อไปน้ี เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คมู่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 264 1. Noun คำนาม 2. Pronoun คำสรรพนาม 3. Verb คำกรยิ า 4. Adjective คำคณุ ศัพท์ 5. Adverb คำกริยาวเิ ศษณ์ 6. Preposition คำบพุ บท 7. Conjunction คำสันธาน 8. Interjection คำอุทาน โดยหนา้ ทหี่ ลกั คอื การรวมตัวกนั เปน็ วลี หรือประโยคเพื่อใชใ้ นการส่ือสาร ซ่ึงคำแตะ่ ละประเภทกม็ ีหนา้ ที่ Functions แตกตา่ งกันกันออกไปเชน่ noun ทำหนา้ ท่ีเปน็ ประธานและกรรมของประโยค verb ทำหนา้ ทบี่ ง่ บอกการกระทำของประธาน preposition ทำหนา้ ทเ่ี ช่ือมคำ เป็นต้น 1. Noun (คำนาม) คือ ชอ่ื ทใ่ี ช้เรียกแทน คน สตั ว์ สง่ิ ของ สถานที่ เหตกุ ารณ์ คณุ สมบัติ นามธรรมท่จี ับต้อง ไมไ่ ดอ้ ยา่ ง อารมณ์ ความคิด ความรู้สกึ รวมถึงชือ่ ของคน สตั วแ์ ละสิง่ ของต่าง ๆ • คน เชน่ boy girl man student doctor king father/ John Sam Ted Tom • สัตว์ เช่น dog cat bird tiger / Simba Kitty • สิ่งของ เช่น TV radio fan car soap / Sony Samsung Lux • สถานที่ เช่น market bank city country / London Thailand England คำนามสามารถแบง่ ออกเป็นอีก 5 ชนดิ ดงั นี้ 1.1 Common Noun (สามานยานาม) คือ นามทีเ่ ปน็ ชอื่ ของคนสัตว์ สง่ิ ของ และสถานทที่ ัว่ ๆ ไปไมช่ ้ี เฉพาะเจาะจง เชน่ • คน เชน่ boy girl man student doctor king father • สัตว์ เชน่ dog cat bird tiger • สง่ิ ของ เชน่ TV radio fan car soap • สถานท่ี เชน่ market bank city country 1.2 Proper Noun (วิสามานยานาม) คอื นามท่เี ป็นชอ่ื เฉพาะของคน สตั ว์ ส่งิ ของ และสถานที่ • คน เช่น John Sam Ted Tom • สัตว์ เชน่ Simba Kitty • สง่ิ ของ เชน่ Sony Samsung Lux • สถานท่ี เชน่ London Thailand England เตรียมสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คู่มอื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารับราชการ ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 265 1.3 Collective Noun (สมหุ นาม) คอื นามท่ีเป็นช่อื ของหมูค่ ณะ, กลุ่ม, ฝงู เปน็ ตน้ สว่ นมากมักคน่ั ดว้ ยคำ วา่ of และสมหุ นามนนั้ ถือเป็นนามพหูพจน์ คำกรยิ าจังตอ้ งใช้ให้สอดคลอ้ งกนั เช่น a group of students, a flock of sheep, a gang of thieves เปน็ ต้น นอกจากน้ียังมคี ำอ่นื ทนี่ อกเหนือจากคำที่มี of คน่ั โดยอาจเป็นคำคำเดยี วได้ เชน่ government, staff, jury, family, team, committee เปน็ ต้น 1.4 Material Noun (วัตถุนาม) คอื นามทเ่ี ป็นชือ่ ของเน้ือวัตถุ ซึ่งส่วนมากเป็นของเหลว, แร่, ธาตุ, โลหะ เช่น gold, salt, tin, silver, sand, meat, air, ice, water, wood, soil เป็นตน้ 1.5 Abstract Noun (อาการนาม) คอื นามทเี่ ปน้ ชื่อของลักษณะ, สภาวะ, และการกระทำ ซึง่ นามจำพวกนี้ ไม่มตี วั ตน จับตอ้ งและสมั ผัสไม่ได้ โดยมักมคำวา่ ‘การ’ และ ‘ความ’ ขน้ึ ตน้ โดยนามประเภทนมี้ ที ี่มาจากคำ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ คำกริยา, คำคุณศัพท,์ และคำนาม เช่น • ลักษณะ เชน่ beauty, happiness, kindness, goodness เป็นตน้ • สภาวะ เชน่ monkhood, slavery, friendship, childhood เปน็ ตน้ • การกระทำ เช่น conversation, action, drinking, eating เป็นตน้ เพ่ิมเติม นอกจากนค้ี ำนามยงั สามารถเป็นออกได้อีก 2 ประเภทตามลักษณะการนบั คอื นามนับได้ (Countable Noun) และนามนับไมไ่ ด้ (Uncountable Noun) โดยคำนามนับไดจ้ ะสามารถเปลีย่ นไปอยู่ในรูปของนามท่เี ป็น พหูพจน์ได้ สว่ นนามท่ีนับไมไ่ ดจ้ ะไม่สามรถเปน็ นามพหูพจน์ได้และจะต้องมีหน่วยการนับกำกบั อยูเ่ สมอ เช่น ** นามนับได้ เช่น cat – two cats, dog – five dogs, book – ten books เป็นต้น ** นามนับไมไ่ ด้ เชน่ sugar – a kilogram of sugar, chocolate – ten bars of chocolate, bread – six loaves of bread เป็นต้น การเปลยี่ นจากนามเอกพจน์เปน็ พหพู จน์ สามารถทำไดห้ ลายกรณี ดังนี้ 1.1 เติม –s ทา้ ยคำนามไดเ้ ลย เช่น cat – cats, dog -dogs, house - houses 1.2 คำนามลงทา้ ยดว้ ย ch, s, ss, sh, x, และ z ตอ้ งเตมิ -es ทา้ ยคำนัน้ ๆ เชน่ bus – buses, dress - dresses 1.3 คำนามทีล่ งทา้ ยดว้ ย O แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ เตมิ –s หรือ เติม –es • ส่วนมากแล้วคำนามทล่ี งท้ายด้วย –o มักจะเติม –s ได้เลย เช่น studio – studios, zoo – zoos • บางคำท่ีลงทา้ ยด้วย –o จะต้องเติม –es เชน่ buffalo – buffaloes, hero – heroes 1.4 คำนามทีล่ งท้ายด้วย –y แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื เติม-s หรือเตมิ –es • ถ้าหน้า –y เป็นสระ –a, -e, -i, -o, -u คำนามตวั นน้ั จะต้องเติม –s เช่น boy – boys, monkey - monkeys • ถา้ หนา้ –y เปน็ พยัญชนะ เราต้องตัด y เป็น i แล้วเติม –es เชน่ fly – flies, enemy – enemies เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครผู ู้ช่วย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 266 1.5 คำนามทลี่ งท้ายดว้ ย –f หรอื –fe ให้เปลยี่ นตวั –f หรอื –fe เปน็ –v แล้วเติม –es เช่น life – lives, loaf – loaves 1.6 คำนามบางคำ เวลาทำใหเ้ ป็นพหพู จน์ เราต้องเปลีย่ นรูปคำน้ันทนั ที เชน่ child – children, man – men, foot – feet 1.7 คำนามบางคำ สามารถใชร้ ูปเดิมไดท้ ง้ั เวลาเป็นเอกพจนห์ รอื พหพู จน์ เช่น fish, deer, sheep 1.8 คำนามบางคำเปน็ พหูพจนอ์ ย่เู สมอ เชน่ scissors, pants, clothes, jeans, glasses 2. Pronoun (สรรพนาม) คือ คำทีใ่ ชเ้ รียกแทนคำนาม เพ่ือท่เี ราจะไดไ้ ม่ตอ้ งเรยี กชื่อซ้ำไปซ้ำมา เวลาพดู ถึง อีกในประโยคอื่น ๆ คำสรรพนามกอ็ ยา่ งเชน่ I, You, We, They, He, She และ It เปน็ ตน้ โดยคำสรรพนาม ในภาษาองั กฤษน้นั แบ่งออกเป็น 8 ชนิด ดังนี้ 2.1 บุรุษสรรพนาม (Personal Pronouns) ไดแ้ ก่ สรรพนามที่ใช้แทนชือ่ ของผ้พู ูด, ผฟู้ งั , และผู้ท่ีถูก กลา่ วถึง บรุ ุษสรรพนามมีหนา้ ที่ คอื เปน็ ประธานในประโยค และ เปน็ ส่วนสมบูรณข์ องกริยา แบง่ ออกเปน็ 2 พจน์ 3 บุรษุ ดงั น้ี เอกพจน์ พหูพจน์ บุรษุ ท่ี 1 ไดแ้ ก่ I (ฉนั , ผม) We (เรา, พวกเรา) - ใชแ้ ทนชอื่ ผพู้ ดู คนเดยี ว - ใชแ้ ทนชื่อผพู้ ดู หลายคน บุรษุ ที่ 2 ไดแ้ ก่ You (คณุ , ท่าน) You (พวกคุณ, พวกทา่ น) - ใชแ้ ทนชื่อผทู้ ี่เราสนทนาด้วย - ใช้แทนชื่อผทู้ เ่ี ราสนทนาด้วยหลายคน บรุ ุษท่ี 3 ไดแ้ ก่ He (เขาผูช้ าย), She (เขาผ้หู ญงิ ), It They (พวกมนั , พวกเขา) (มนั ใชก้ บั สตั วห์ รอื ส่ิงของ) - ใช้แทนชื่อผทู้ ่ถี กู กล่าวถงึ ทม่ี ีหลายคน - ใชแ้ ทนชื่อผทู้ ่ีถกู กลา่ วถงึ ทม่ี ีเพยี งคนเดียว 2.2 สรรพนามแสดงความเปน็ เจา้ ของ (Possessive Pronoun) คือ สรรพนามทีใ่ ชแ้ สดงความเปน็ เจา้ ของ ไดแ้ ก่ mine, ours, yours, his, hers, its, theirs ทำหนา้ ท่ี 3 อย่าง คอื เป็นประธานของประโยค, เป็นส่วน สมบูรณข์ องกรยิ าในประโยค, และใช้เรียงตามหลังบพุ บท of เพื่อเน้นความเป็นเจา้ ของให้ชดั เจนขน้ึ 2.3 นิยมสรรพนาม (Definite Pronoun) คือ สรรพนามช้ีเฉพาะและใช้แทนนามได้ ได้แก่ this, these, that, those, one, ones จำแนกการใชไ้ ดด้ งั นี้ this, that, one ใชแ้ ทนคำนามท่เี ปน็ เอกพจน์ these, those, ones ใช้แทนคำนามทีเ่ ป็นพหูพจน์ นยิ มสรรพนามทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ เป็นประธานของประโยคและเป็นกรรมของประโยค 2.4 อนิยมสรรพนาม (Indefinite Pronoun) คือ สรรพนามท่ใี ช้แทนนามท่ัวไปได้อยา่ งไมเ่ ฉพาะเจาะจง ได้แก่ some, any, none, all, someone, somebody, anybody, few, everyone, many, nobody, everybody, others, etc. เตรียมสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มือเตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครูผชู้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 267 2.5 ปฤจฉาสรรพนาม (Interrogative Pronoun) คือ สรรพนามท่ีใชเ้ ป็นคำถามและตอ้ งไม่มนี ามตามหลัง ด้วย จึงถอื ว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม ไดแ้ ก่ who, whom, whose, what, which 2.6 ประพนั ธส์ รรพนาม (Relative Pronoun) คือ สรรพนามท่ีใช้แทนนามท่ีอย่ขู ้างหน้า และใน ขณะเดียวกันก็ทำหนา้ ทเ่ี ชื่อมประโยค หรอื อาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ ไดแ้ ก่ who, whom, whose, which, where, what, why, that 2.7 สรรพนามสะทอ้ นหรอื เนน้ (Reflexive Pronoun) คือ สรรพนามท่ีใช้ในการสะหอ้ นหรือเน้นคำนาม นน้ั ๆ ไดแ้ ก่ myself, yourself, yourselves, ourselves, itself, himself, herself, themselves โดยทำ หนา้ ที่เนน้ การกระทำของประธานในประโยค, เนน้ ผลของการกระทำของกรยิ านน้ั ให้ตกแกผ่ กู้ ระทำ, เน้นกรรม ของประโยค, และแสดงว่าประธานของประโยคเปน็ ผกู้ ระทำกรยิ านนั้ แตเ่ พยี งผ้เู ดยี ว 2.8 วภิ าคสรรพนาม (Distributive Pronoun) คอื สรรพนามทใ่ี ชแ้ ทนคำนามในการแบ่งหรอื จำแนก ออกเปน็ คร้งั หน่งึ ส่ิงหนง่ึ คนหนึ่ง หรือตวั หนึง่ ซ่ึงทนี่ ิยมใชก้ ันมาก คือ each (แต่ละ), either (คนใดคนหน่ึง), และneither (ไม่ใช่ทงั้ สอง) 3. Adjective (คุณศพั ท์) คอื คำทใ่ี ชข้ ยายคำนาม หรอื ประกอบคำนาม หรอื สรรพนาม เพ่ือให้เราเหน็ ความหมายของคณุ สมบัติคำนามไดช้ ดั เจนยิง่ ขนึ้ เช่น good, dirty, new, old, hot, easy, busy เปน็ ตน้ โดย แบง่ ออกเปน็ 8 ชนิดคอื . 3.1 Descriptive Adjective คณุ ศพั ท์บอกลักษณะ (หรอื คณุ ภาพ) เช่น Good, fat, tall, thin, rich, etc. 3.2 Proper Adjective คณุ ศพั ทบ์ อกชือ่ เฉพาะ (บอกสญั ชาต)ิ คือ เปน็ คำคุณศพั ทท์ ม่ี รี ปู มาจาก คำนามที่เปน็ ช่อื เฉพาะ เชน่ Thai (มาจาก Thailand) และEnglish (มาจาก England) 3.3 Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ (วา่ มากหรือนอ้ ยเทา่ น้นั ) ได้แกค่ ำวา่ many, much, little, some, any, all. เช่น He has many friend. (เขามีเพือ่ นมาก) 3.4 Numeral Adjective คุณศพั ทท์ ี่บอกจำนวน (ว่ามเี ท่าไร) ไดแ้ ก่คำวา่ One, Two, Three … 3.5 Demonstrative Adjective คุณศัพทช์ เี้ ฉพาะ (เจาะจงวา่ เปน็ คนน้นั คนนี้ไม่ใชค่ นอืน่ ) ไดแ้ ก่ คำว่า the, same, this, that, these, those, such, such a. เชน่ He is in the same room. (เขาอยูห่ ้อง เดยี วกัน) 3.6 Possessive Adjective คณุ ศัพทบ์ อกเจา้ ของ (มรี ูปมาจากบุรุษสรรพนามที่ 3) แตเ่ วลาใช้ จะตอ้ งมีนามตามหลงั ดว้ ยเสมอ ไดแ้ กค่ ำว่า my, your, our, his, her, its, there. เชน่ His dog is white. (สนุ ขั ของเขาสีขาว) 3.7 Interrogative Adjective คณุ ศัพทค์ ำถาม (ใช้ขยายนามเพอ่ื ให้เปน็ คำถาม ต้องวางไว้หน้านาม เสมอ ถ้าไม่มนี ามตามหลงั มนั จะเป็นปฤจฉาสรรพนาม) ไดแ้ ก่คำวา่ What (อะไร), Which (อนั ไหน) ,Whose (ของใคร) เชน่ Whose house is that? (นนั้ คือบา้ นของใคร?) เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คมู่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 268 3.8 Distributive Adj. คุณศพั ท์แบง่ แยก(ใชข้ ยายนามเพ่ือแบง่ แยกใหเ้ ปน็ รายบคุ คลหรอื รายสิง่ ตามทผ่ี ูพ้ ูดต้องการ) และนามท่ีถูกขยายนั้นตอ้ งเปน็ เอกพจนต์ ลอดไป ไดแ้ ก่คำวา่ each (แต่ละ), either (อัน ใดอนั หนง่ึ , คนใดคนหนงึ่ ), neither (ไม่ทง้ั สอง), every (ทุกๆ) เชน่ Either blank is flooded. (แตล่ ะฝงั่ ของ แมน่ ้ำถูกน้ำท่วม) 4. Verb (กรยิ า) คือ คำหรอื กล่มุ คำที่ใชแ้ สดงการกระทำ ทง้ั การแสดงอาการทางกาย ทางใจ เช่น be, have, go, work, come, run, hope, decide เป็นต้น แบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ ได้แก่ 4.1 สกรรมกรยิ า (Transitive Verb) คือ คอื กรยิ าทตี่ อ้ งมกี รรมมารับจงึ จะได้เน้ือความสมบูรณ์ เชน่ Kick (เตะ), Eat (กนิ ) เปน็ ต้น คำที่นำมาเปน็ กรรมของสกรรมกรยิ าได้ก็คือ 1. นามทุกชนดิ เช่น A mango. 2. สรรพนาม เช่น Him. 3. กรยิ าสภาวมาลา(สภาวะทเี่ กิดอยูก่ ับชีวติ ) เช่น To study. 4. กริยาที่เตมิ ing แล้วนำมาใช้เปน็ นาม เชน่ sleeping. 5. วลีทกุ ชนิด เชน่ I don’t know what to do. 6. อนปุ ระโยค เช่น I know who will come tomorrow. *สกรรมกริยาบางตวั หรือบางประโยค ตอ้ งมตี ัวขยายกรรมมารับ จึงจะไดเ้ นอื้ ความสมบูรณ์ เชน่ The people made him king. (ประชาชนแตง่ ตัง้ ใหเ้ ขาเป็นพระราชา) เป็นต้น. 4.2 อกรรมกริยา (Intransitive Verb) คือ กรยิ าทม่ี เี น้ือความอยใู่ นตัวสมบรู ณแ์ ลว้ ไมต่ ้องมีกรรมมา รับ เชน่ run, sleep, swim, sit เปน็ ต้น แตอ่ กรรมกรยิ าบางตวั ก็ตอ้ งมีตวั ขยายกริ ิยาเพอ่ื ให้ประโยคไดใ้ จความ สมบูรณ์ ซึ่งอกรรมกรยิ านน้ั กไ็ ดแ้ ก่ Verb to be (เปน็ , อย,ู่ คือ) Verb to have (เฉพาะแปลวา่ ม)ี , Become (กลายเปน็ ), Seem (ดเู หมือนวา่ ), Feel (รสู้ กึ ), Look (ดูเหมือน), Taste (มีรส), Appear (ปรากฏ,ร้สู ึก), Smell (มีกลน่ิ ), Grow (เจรญิ ) เป็นต้น. 4.3 กรยิ านเุ คราะหห์ รอื กริยาช่วย (Auxiliary Verb) คือ กริยาที่ช่วยใหก้ ริยาตวั อ่นื ส่อื ความหมาย ออกมา โดยทำหน้าทเ่ี ปน็ กรยิ าแทใ้ นประโยค ไดแ้ ก่ verb to be, verb to have, verb to do, will, shall, would, should, may, might, need, dare, ought to, used to 4.3.1 Verb to be (Is/Am/Are) แปลว่า “เป็น, อย,ู่ คือ” ซ่ึง Is ใชก้ ับประธานในประโยคที่ เปน็ He/She/Itและนามเอกพจน์ สว่ น Are ใช้กับประธานในประโยคท่เี ป็นYou/We/Theyและนามพหพู จน์ และ Am ใชก้ บั ประโยคท่ีมีประธานเป็น I เทา่ นน้ั Verb to be มี 3 หนา้ ที่ คือ • วางไว้หน้ากริยาท่เี ติม -ing เพ่ือทำใหเ้ ปน็ Continuous Tense ทแ่ี สดงถึงการกระทำที่ “กำลงั กระทำอย”ู่ เชน่ I study English. (ฉนั เรยี นภาษาอังกฤษ) I’m studying English. (ฉันกำลังเรียนภาษาองั กฤษ) เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮักแพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มือเตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 269 • วางไวห้ น้ากริยาช่องที่ 3 ทำให้ประโยคน้ันมีประธานเปน็ ผู้ถกู กระทำ เชน่ I hit dog. (ฉันตีสุนัข) A dog was hit by me. (สนุ ขั ถกู ฉันต)ี • วางไวห้ นา้ คำกรยิ าทีเ่ ป็น infinitive เพื่อแสดงถงึ สงิ่ ที่เกดิ ขึ้นในอนาคตแสดงถึงความจงใจ หรอื ตงั้ ใจ เชน่ He meets his friend at school today. (เขาพบเพอ่ื นท่โี รงเรยี นวนั น)ี้ He is to meet his friend at school today. (เขาจะตอ้ งพบเพื่อนของเขาท่ี โรงเรยี นวันน้ี) 4.3.2 Verb to have (Has/Have) แปลวา่ “ม”ี โดย Have ใชก้ บั ประธานของประโยคที่ เป็น I/You/We/Theyและนามที่เป็นพหูพจน์ สว่ น Has ใชก้ บั ประโยคทม่ี ีประธานของประโยคเป็น He/She/Itและนามท่ีเป็นเอกพจน์ Verb to have มี 3 หนา้ ท่ี คือ • วางหน้ากริยาชอ่ งที่ 3 ทำใหป้ ระโยคนน้ั เปน็ Perfect Tense เช่น I have opened the door. (ฉนั ได้เปดิ ประตไู ว้แลว้ -> แสดงว่าตอนนี้ประตทู ถี่ ูกเปิดโดยฉนั น้นั ยงั คงเปดิ อยู่) • วางหนา้ คำกรยิ าทเ่ี ปน็ infinitive แปลว่า “ต้อง” เชน่ He has to do it by himself. (เขาตอ้ งทำมนั ด้วยตนเอง) • ทำใหป้ ระโยคนนั้ เปน็ การให้ผ้อู ่ืนกระทำการอยา่ งใดอย่างหน่งึ ให้ โดยมรี ูปประโยค เปน็ Have/Has + คำนาม + กริยาช่องท่ี 3 เช่น She has her house repaired. (เธอให้ช่างซ่อมแซมบ้าน ของเธอ) 4.3.3 Verb to do (Do/Does) แปลว่า “ทำ” โดย Do ใช้กับประธานของประโยคทีเ่ ป็น I/You/We/Theyและนามทเี่ ปน็ พหูพจน์ สว่ น Does ใช้กบั ประโยคทมี่ ปี ระธานของประโยคเปน็ He/She/It และนามที่เป็นเอกพจน์ Verb to do มี 5 หน้าท่ี คือ • ชว่ ยใหป้ ระโยคบอกเล่าเปน็ ประโยคคำถามในกรณที ป่ี ระโยคนัน้ ไมม่ ี Verb to be และ Verb to have โดยท่กี รยิ าในประโยคน้นั ไมต่ อ้ งเติม -s,-es เชน่ He goes to school. (เขาไปโรงเรยี น) -> Does he go to school? (เขา ไปโรงเรียนรึป่าว?) I go to market every day. (ฉนั ไปตลาดทกุ วัน) -> Do you go to market every day? (คณุ ไปตลาดทุกวนั รึปา่ ว?) • ช่วยทำใหป้ ระโยคบอกเลา่ เปน็ ประโยคปฏิเสธ ในกรณีทป่ี ระโยคนั้นไมม่ ี Verb to be และ Verb to have เช่น He plays football. (เขาเลน่ ฟตุ บอล) -> He doesn’t play football. (เขาไม่ได้เลน่ ฟุตบอล) เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครูผชู้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 270 They speak Chinese. (พวกเขาพูดภาษาจนี )-> They don’t speak Chinese. (พวกเขา ไมไ่ ดพ้ ูดภาษาจนี ) ใช้เน้นความสำคญั ของคำกริยานัน้ ๆ เชน่ I love you. (ฉนั รักคณุ ) -> I do love you. (ฉนั รักคุณจริง ๆ นะ) They visit you in the afternoon. -> They do visit you in the afternoon. (พวกเขาจะไปหาคณุ ตอนบา่ ย) (พวกเขาจะไปหาคุณตอนบ่ายจริง ๆ นะ) • ใช้แทนกริยาตวั อืน่ ที่อยใู่ นประโยคเดียวกัน เช่น You learn English and I do too. (คุณเรยี น ภาษาอังกฤษและฉนั ก็เรียนภาษาอังกฤษเหมือนกัน) • Verb to do นำมาใชเ้ ปน็ กริยาแท้ แปลวา่ “ทำ” เชน่ I do homework every day. (ฉันทำ การบ้านทุกวัน) 4.3.4 Will/Shall/Would/Should • Will ทำหน้าทช่ี ว่ ยให้กริยาตัวอ่นื กลายเป็นอนาคต ใชก้ บั ประธานท่ีเป็น You/They/He/She/It เช่น They go to school. (พวกเขาไปโรงเรียน) -> They will go to school. (พวกเขาจะไปโรงเรยี น) • Shall ทำหนา้ ทีช่ ว่ ยให้กริยาตัวอ่นื กลายเป็นอนาคต ใชก้ บั ประธานทเ่ี ปน็ I/We เช่น We have dinner together. -> We shall have dinner together. (พวกเราทานมื้อเย็นดว้ ยกนั ) (พวกเราจะทานม้ือเยน็ ดว้ ยกนั ) • Would เปน็ รูปอดีตของ will ใชเ้ ป็นกริยาช่วยในสำนวนการพดู มีความหมายว่า “อยากจะ, อยากให้” นอกจากน้ยี ังใช้ในสำนวนการพดู วา่ “ควรจะ...ดกี ว่า” ร่วมกบั คำวา่ better หรอื rather สามารถใชไ้ ด้กบั ประธานทกุ ตวั • Should เป็นรปู อดีตของ shall ใชเ้ ปน็ กริยาช่วยในสำนวนการพดู มีความหมายวา่ “ควร” หรือ “ควรจะ” 4.3.5 May/Might • May นำมาชว่ ยได้ ดงั น.้ี -เพอ่ื แสดงความม่งุ หมาย (เพอ่ื ) -เม่อื แสดงความปรารถนา หรอื อวยพรให้(ขอให)้ *ต้องวางไว้หน้าประโยค. -เพ่ือชว่ ยถงึ การอนญุ าต หรอื ขออนญุ าต(ควรจะ) -เพ่ือแสดงความคาดคะเน (อาจจะ). -ชว่ ยเพ่ือแสดงความสงสยั (อาจจะ). • Might นำมาช่วยได้ ดงั น.ี้ -ใช้เป็นอดตี ของ May. -ใชใ้ นกรณีท่ีผพู้ ดู ไม่แนใ่ จวา่ เขาจะทาอยา่ งนนั้ จรงิ (แตถ่ า้ แน่ใจใช้ May แทน) เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหน่งครผู ้ชู ่วย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 271 4.3.6 Need/Dare/Ought to/Used to Need ถา้ เปน็ กรยิ าชว่ ยแปลวา่ “จำเปน็ ตอ้ ง” ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์ (ส่วนมากใชเ้ ป็น กรยิ าช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏเิ สธเท่านน้ั และกริยาแทท้ ต่ี ามหลัง Need ไมต่ ้องใช้ To นำหน้า) Need ถา้ เปน็ กริยาแทแ้ ปลวา่ \"ต้องการ\" และใชเ้ หมอื นกรยิ าแทท้ วั่ ๆ ไป (ต้องมี To ตามหลัง Need ตลอดไป) Dear ถ้าเปน็ กริยาชว่ ยแปลว่า “กลา้ ” ใชไ้ ดก้ บั ทกุ บุรุษและทกุ พจน์ และเปน็ “ปจั จุบันกาล” คำ ตามหลังไมม่ ี To Ought to แปลวา่ “ควรจะ” เปน็ กรยิ าพเิ ศษเหมือน is หรอื do นน่ั เอง อาจใช้ should แทนก็ได้ แตค่ วามหมายอาจจะอ่อนกวา่ Used to แปลว่า “เคย” เปน็ กรยิ าพเิ ศษหมายความว่า “เคยกระทำอย่างใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ ประจำ แต่ บดั น้ไี มไ่ ดก้ ระทำแลว้ ” (กริยาตามหลงั ตอ้ งเปน็ กริยาช่อง 1 เสมอ และใช้ used to เหมอื น is หรอื do) 5. Adverb (กรยิ าวิเศษณ)์ คือ คำท่ีใชข้ ยายคำกริยา คำคณุ ศัพท์ คำวิเศษณ์ อธิบายว่าการกระทำน้นั ๆ เกิด อยา่ งไร ท่ีไหน และเม่ือไหร่ เพอื่ ใหเ้ ราเห็นภาพไดอ้ ย่างชัดเจนมากยิ่งขึน้ เชน่ today, up, here, back, in, most, around เปน็ ต้น โดยหลกั การใช้ Adverbs มีดังนี้ - ถา้ ขยายกริยา ให้เรียงไวห้ ลงั กรยิ า เชน่ The old man walk slowly. - ถา้ ขยายคุณศัพท์ ให้เรียงไวห้ น้าคณุ ศัพท์ เชน่ Dang is very strong. - ถ้าขยาย Adverbs ให้เรยี งไวห้ น้า Adverbs เชน่ The train runs very fast. Adverbs แบง่ ออกเปน็ หมวดใหญ่ๆได้ 3 หมวด คือ 5.1 Simple Adverbs กรยิ าวิเศษณส์ ามญั ใช้ขยายกรยิ าธรรมดาน่ีเอง แบ่งได้ 6 หมวดคือ 5.1.1 Adverbs of time กรยิ าวิเศษณ์บอกเวลา ได้แก่คำว่า now, ago, yesterday, … 5.1.2 Adverbs of place กรยิ าวิเศษณ์บอกสถานท่ี ไดแ้ กค่ ำวา่ near, far, in, out, … 5.1.3 Adverbs of frequency กรยิ าวิเศษณ์บอกความสมำ่ เสมอ ไดแ้ กค่ ำวา่ always, often, again, และusually 5.1.4 Adverbs of Manner กริยาวเิ ศษณบ์ อกอาการ ได้แก่คำว่า well, slowly, quickly, fast.. 5.1.5 Adverbs of Quantity กรยิ าวิเศษณบ์ อกปรมิ าณมากนอ้ ย ได้แกค่ ำวา่ Many, much, very, too, quite… 5.1.6 Adverbs of affirmation or negation กรยิ าวเิ ศษณ์บอกการรบั หรอื ปฏิเสธ ไดแ้ กค่ ำ ว่า yes, no, not, not at all… 5.2 Interrogative Adverbs กริยาวเิ ศษณค์ ำถาม ใชข้ ยายกรยิ าเพือ่ ให้เป็นคำถาม (ต้องวางไว้หนา้ ประโยคเสมอ) แบง่ ได้ 6 หมวด คือ 5.2.1 บอกเวลา ไดแ้ กค่ ำว่า When (เมอ่ื ไร), How long (นานเทา่ ไร) เตรียมสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

ค่มู อื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครูผู้ชว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 272 5.2.2 บอกสถานท่ี ไดแ้ กค่ ำว่า Where (ท่ไี หน) 5.2.3 บอกจำนวน ได้แก่คำว่า How many (มากเทา่ ไร), How often (กค่ี รง้ั ).. 5.2.4 บอกกรยิ าอาการ ได้แกค่ ำวา่ How (อย่างไร)(ใช้กับ do). 5.2.5 บอกปรมิ าณ ไดแ้ ก่คำว่า How much (มากเทา่ ไร) 5.2.6 บอกเหตุผล ได้แกค่ ำวา่ Why (ทำไม). 5.3 Conjunctive Adverbs กริยาวิเศษณส์ นั ธาน ใช้เชื่อมประโยคหนา้ และหลงั ใหส้ ัมพนั ธ์กัน ได้แก่ คำว่า Why, Where, When, How, Whenever, While , As, Wherever.. *หมายเหตุ กรยิ าวเิ ศษณบ์ างคำมีรูปเช่นเดยี วกบั คำคุณศัพท์ แตก่ ารใชต้ ่างกัน เช่น fast, hard, low, right, etc ซ่งึ เราจะสังเกตได้จากการวาง คือ • เมอ่ื วางไว้หน้านาม หรือหลงั Verb to be กจ็ ะเป็นคำคณุ ศพั ท์ • ถา้ วางไวห้ ลังคำกริยาท่ัว ๆ ไปกจ็ ะเปน็ กริยาวเิ ศษณ์ 6. Conjunction (คำสันธาน) คือ คำที่ใชเ้ ชื่อมระหวา่ ง คำ (Words) กล่มุ คำ (Phases) หรอื ประโยค (Sentences) หรอื ระหว่างกริยาต่อกริยา เขา้ ดว้ ยกนั เช่น for, but, or, and, so, after, because เปน็ ตน้ โดยแบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คอื 6.1 Conjunction คำเดียวทพี่ บเห็นบ่อย และใช้กนั แพร่หลายมดี งั นี้ and, or, but, because, so, as, for, whether, until, after, before, if, though, that, when, beside เช่น He is sick so he go to see doctor. เขาไมส่ บายดงั นนั้ เขาจึงไปหาหมอ. 6.2 Conjunction วลี หรือคำผสมท่ีพบเหน็ บ่อย ๆ ไดแ้ กค่ ำตอ่ ไปนี้ คือ • Either….or แปลว่า “ไม่อนั ใดก็อันหนง่ึ ” ใช้เลือกเอาอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ถ้าไปควบประธาน 2 คำ จะใชก้ รยิ าเป็นรปู เอกพจน์หรือพหูพจน์นนั้ ขึ้นอย่กู บั ประธานตัวหลัง เช่น Either he or I am mistaken. (ไม่เขากผ็ มเปน็ ผผู้ ดิ ) Neither…..or แปลว่า “ไมท่ ้งั สอง” ไว้สำหรบั ปฏเิ สธโดยส้ินเชิง(กริยาถอื ตามประธานตวั หลัง).เช่น Neither you nor he studies mathematics. (ทัง้ คุณและเขาไมไ่ ดเ้ รยี นคณิตศาสตร)์ • As well as แปลว่า \"เชน่ เดยี วกันกับ\" (กรยิ าถือตามประธานตัวหนา้ ) เช่น He as well as I is sick. (เขาก็เชน่ เดยี วกันกบั ผมไมส่ บาย). • Not only………but also แปลวา่ “ ไม่เพยี งแต…่ …..เท่านน้ั แต่ยงั อกี ดว้ ย” ใช้เน้นนำ้ หนกั ข้อความ ทั้งสองให้เดน่ ชดั (แตต่ ้องมีความหมายทางเดยี วกัน ถ้ามีประธาน 2 ตวั ใชก้ ริยาตามประธานตวั หลัง) เช่น Malisa is not only beautiful but also clever. (มาลสิ าไม่เพียงแต่สวยเทา่ น้นั แตย่ ังฉลาดอีกดว้ ย) 7.1.1 การใช้ in, at, on บรุ พบทท่ีใช้กบั เวลามหี ลักดงั น้ี. เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรยี บเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ อื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารับราชการ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 273 7. Preposition (คำบรุ พบท) คือ คำทใี่ ชเ้ ช่อื มคำนาม สรรพนาม และวลเี ข้าด้วยกนั เพือ่ ให้ความหมาย สมบรู ณ์และมคี วามสละสลวยมากยิ่งขน้ึ เชน่ above, before, in, on, past, under, with, without เปน็ ตน้ ซงึ่ ในในภาษาองั กฤษคำบรุ พบทแบ่งออกเปน็ 2 ชนิดคือ. 7.1 Preposition คำเดียวที่พบเหน็ บอ่ ยๆและนยิ มใชก้ นั มากมีอยู่ 44 คำคือ in, on, at, under, to, from, of, off, since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from…to, with, without, by, up, down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below, underneath, during, between, among, from…until, within, forwards • In: ใชบ้ อกเวลาทเ่ี ป็นช่อื เดอื น, ปี, ฤดกู าล, และส่วนของวนั เชน่ I like to swim in the morning. (ผมชอบวา่ ยนำ้ ในเวลาเช้า) • At: ใช้เพือ่ บอกเวลาเกยี่ วกับชัว่ โมง, noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพือ่ บอกเวลาเฉพาะเจาะจง เชน่ They want home at three o’clock. (พวกเขากลบั บ้านเวลา 15.00 น.) • On: ใช้เพอ่ื บอกเวลาท่เี ป็นวนั ของสปั ดาห์ และวนั ท่ี วันสำคัญทางราชการ และวนั สำคญั ทางศาสนา เช่น On Sunday, On New Year’s Day, On King’s Birthday, etc. • On time แปลว่า ตรงเวลาพอดี เชน่ He come on time. (เขามาตรงเวลาพอด)ี • In time แปลว่า ทนั เวลา (กอ่ นเวลา, กอ่ นกำหนด) เช่น The train arrived at the station in time. (รถไฟมาถงึ สถานีทนั เวลา(มาถึงกอ่ นเวลา) 7.1.2 การใช้ at, in บรุ พบททใี่ ชเ้ กีย่ วกบั สถานท่มี ีหลักดังน้ี • at: ใชบ้ อกสถานท่ีทไ่ี ม่ใหญโ่ ตนัก ทจ่ี ำกดั แนน่ อน เช่น at school, at the hotel…. • in: ใชบ้ อกสถานทท่ี ใ่ี หญโ่ ตกไ็ ด้ เชน่ in Thailand. หรอื ใชบ้ อกสถานทที่ ี่เจาะจงภายในแหง่ ใดแหง่ หนงึ่ ไมว่ า่ ใหญห่ รอื โตก็ได้ เชน่ In the house, in a country เป็นต้น. 7.1.3 การใช้ During, between, among มหี ลกั เกณฑด์ ังน้ี คำทง้ั 3 แปลวา่ “ ระหว่าง” แต่ใชต้ า่ งกันดังน้ี • During: ใชส้ ำหรบั บอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนง่ึ ตามท่ีระบุไว้ในประโยคเชน่ During visiting Thailand, I had seen the Emerald Buddha Temple. (ระหวา่ งการมาเที่ยวประเทศ ไทย ฉนั ไดไ้ ปชมวดั พระแก้ว) เป็นต้น. • Between: ใช้สำหรับครนั่ ระหวา่ งของสองอยา่ ง หรือคนสองคน เชน่ She is standing between you and me. (หล่อนยนื อยู่ระหวา่ งคุณและผม) *เมื่อใช้ between ตอ้ งมี and ตามเสมอ • Among: ใชส้ ำหรับคร่ันหรอื เช่ือมนาม ทีม่ จี ำนวนต้งั แต่ 3 ขน้ึ ไป เช่น The teacher is standing among us. เป็นต้น เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ ือเตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครผู ้ชู ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 274 7.1.4 การใช้ in, on, by กับยานพาหนะ • in : ใช้กบั ยานพาหนะทีม่ สี ภาพปดิ กำบงั เช่น in the bus, in the plane… • on : ใชก้ บั ยานพาหนะท่ีมีสภาพเปดิ โลง่ แจง้ ไม่ปกปดิ กำบัง เช่น on a house, on a motor-cycle.. • by: ใชไ้ ดท้ ั้งปิดและเปดิ แต่ตอ้ งไม่มี Article นำหน้า เช่น by bus, by train 7.1.5 การใช้ on, over, above มหี ลกั ดงั นhี • on: ใชบ้ อกวา่ ของทอี่ ย่บู นทตี่ ดิ อยู่กบั อันลา่ ง. • over: ใชบ้ อกวา่ ของอย่เู หนือหัวพอด.ี • above: ใชบ้ อกวา่ ของนั้นอยดู่ า้ นบน(กว้างๆ) 7.2 Preposition วลี Preposition วลี คือ บรุ พบทตงั้ แต่ 2 ตวั ขนึ้ ไปมารวมอยดู่ ว้ ยกัน และมคี วามหมายเสมอื นเปน็ บุรพบทคำเดยี ว แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คือ 7.2.1 บุรพบทชนดิ 2 ตัว ได้แก่บรุ พบทตอ่ ไปนคี้ ือ according to ตาม, instead of แทน, แทนท่ี because of เพราะว่า, owing to เน่อื งจาก. 7.2.2 บรุ พบทชนดิ 3 ตวั ได้แกบ่ ุรพบทตอ่ ไปนีค้ อื in order to: เพ่ือท่จี ะ, by means of : โดยอาศัย on account of: เนอ่ื งจาก, in spite of : ถึงแม้ว่า in front of: ขา้ งหนา้ , in back of : ขา้ งหลัง for the sake of: เพือ่ เห็นแก,่ of the point of : เกือบจะ on the point of: เกอื บจะ, in consequence of : เนื่องจากว่า * หมายเหตุ ในเรื่องการใช้บุรพบทน้ี ยังมี กริยาบางตวั ที่มขี ้อบงั คับว่าต้องใช้บรุ พบทตัวใดตามหลังอกี ด้วย อย่างเช่น belong to (เป็นของ ) , arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask…. for (ขอ), agree with (เห็น ด้วย ตกลงด้วย), consist of (ประกอบด้วย) protect from (ป้องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็นอาหาร) , make of (ทำด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว) เป็นต้น ซึ่งเราควรค้นคว้าศึกษาไว้ ถา้ มโี อกาส. 8. Interjection (คำอุทาน) คือ คำที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด ไม่ว่าจะเป็นอาการตกใจ ตื่นเต้น ดใี จ เชน่ Oh!, Hurrah, Wow, Ugh!, Ho!, Dam!, eh เปน็ ต้น เตรียมสอบครูผู้ชว่ ย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ ือเตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารับราชการ ตำแหน่งครผู ูช้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 275 Agreement of subject and verb Agreement of Subject and Verb คือ การใช้กรยิ า(Verb)ใหส้ อดคล้องกบั พจน์ของตัวประธาน (Subject) คือ เมอ่ื ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาก็ต้องเป็นเอกพจนด์ ว้ ย เม่ือประธานเป็นพหูพจน์ กริยากต็ อ้ ง เปน็ พหพู จนด์ ้วย หลกั โดยท่ัวไปในการจะรูว้ ่านามตวั ใดเป็นเอกพจนห์ รอื พหพู จน์กค็ อื 1. ถ้าท้ายศัพทน์ ้นั ไม่เติม s ให้ถอื ว่าเปน็ เอกพจน์ เชน่ book, dog, cat 2. ถ้าท้ายศัพทเ์ ตมิ s ใหถ้ ือว่าเปน็ พหูพจน์ เชน่ books, dogs, cats นามต่อไปน้ีมขี อ้ ยกเว้นวา่ จะเป็นเอกพจนห์ รือพหพู จนซ์ ึ่งตอ้ งจำไว้คือ 1. นามเอกพจน์ 2 ตวั ที่เชื่อดว้ ย and ให้ถอื ว่าเปน็ พหูพจน์ เช่น Deang and Dam are friend. *ยกเวน้ นามบางตัวท่ีแม้จะเชอ่ื มดว้ ย and แล้วแต่ก็ยงั เป็นเอกพจนอ์ ยเู่ พราะเม่อื นำมาใช้ยงั ถอื ว่าเป็นหน่วย เดยี วกัน เช่น Rice and curry is her favorite meal. ข้าวราดแกงเป็นอาหารโปรดของเธอ 2. นามเอกพจน์ท่ีเชือ่ มด้วย and โดยนามตวั ที่ 2 ไมม่ ี Article นำหน้า แลว้ นำมาใช้หมายถงึ คนๆ เดยี ว นามน้นั ถือว่าเป็นเอกพจน์ เชน่ : The manager and owner of this company is to Hong Kong soon : ผู้จัดการและเจา้ ของบรษิ ทั แหง่ นจี้ ะไปฮ่องกงเรว็ ๆน้ี (เป็นคนคนเดียวกัน) *หมายเหตุ แตถ่ า้ มี Article นำหน้าท้ัง 2 ตวั นามนั้นถือว่าเป็นพหูพจน์ เช่น. : The manager and the owner of this school are going to England now. (ผจู้ ดั การและเจ้าของ โรงเรยี นนกี้ ำลงั ไปอังกฤษเดย๋ี วน้ี ซง่ึ ผจู้ ดั การและเจา้ ของโรงเรยี นเป็นคนละคน) 3. นามเอกพจนท์ ีม่ คี ณุ ศัพทบ์ อกสหี รือบอกขนาดมาขยายอยขู่ า้ งหน้า จะถอื วา่ เป็นเอกพจน์หรือ พหูพจน์ ให้สงั เกตดังนี้ 3.1 ถา้ คณุ ศพั ทน์ ้ันมี Article นำหนา้ เฉพาะคุณศพั ท์ตัวหนึ่ง สว่ นตวั ท่สี องไม่มี Article นำหน้า นามตัวน้นั ถอื ว่าเปน็ เอกพจน์ เช่น A white and black cat is sleeping the table. แมวสขี าวดำ กำลงั นอนหลบั อย่ใู ต้โต๊ะ 3.2 แตถ่ ้าคณุ ศพั ท์น้นั มี Article นำหน้าด้วยกันทง้ั สอง นามเอกพจนน์ ั้นใหถ้ ือว่าเปน็ พหูพจน์ เชน่ A white and a black cat are playing under the table. แมวขาวและแมวดำกำลงั เล่นอยใู่ ต้โต๊ะ 4. นามที่มคี ำต่อไปน้ีมาขยายตามหลัง จะใชก้ รยิ าเปน็ เอกพจนห์ รือพหูพจนน์ ั้น ให้ถอื ตามคำนามท่วี าง อยหู่ นา้ คำเหล่านเี้ ป็นเกณฑ์ ได้แก่ with, together with, along with, as well as, including, in addition to, accompanied by, etc เชน่ Manu, with his friend, is doing exercises. มนูพรอ้ มดว้ ยเพอ่ื นของเขา กำลงั ทำแบบฝกึ หดั 5. กริยาที่ตามหลงั There และ Here จะใชร้ ูปเอกพจนห์ รือพหพู จนน์ ั้นให้ถอื เอาตามคำนามท่ี ตามหลังคำทง้ั 2 น้ี เชน่ There is a rubber on the table. (เอกพจน)์ There are rubbers on the table. (พหพู จน)์ หมายเหตุ และแม้คำสรรพนามด้วยเช่น : There she goes alone. (เอกพจน)์ : There they play football. (พหพู จน)์ เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

ค่มู อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 276 6. วลี (Phrase) หรืออนุประโยค (Subordinate Clause) ทไี่ ปขยายอยู่หลงั ประธานไม่มีส่วนทำให้ ประธานนนั้ เปน็ เอกพจนห์ รอื พหพู จน์ ดงั นน้ั จะใช้กริยาเปน็ เอกพจนห์ รอื พหูพจนจ์ ะต้องถือเอาตามประธานที่ อยหู่ นา้ วลีหรอื หน้าอนปุ ระโยคที่ไปทำหน้าทข่ี ยาย เช่น The boy who is reading these books is very wise. (เอกพจน)์ 7. สรรพนามผสมตอ่ ไปนี้ถอื เป็นเอกพจน์ตลอดไป ไดแ้ ก่ someone anyone everyone no one somebody anybody everybody no body something anything everything nothing somewhere anywhere everywhrer 8. เมอื่ ประธาน(subject) ใดมีสันธาน(Conjuction)ต่อไปนีม้ าเชือ่ ม จะใช้กริยาเปน็ เอกพจนห์ รือ พหพู จนน์ ้ัน ใหถ้ อื ตามประธานที่อยหู่ ลงั คำสันธานเหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ or(หรอื ) ,either….or(ไม่อันใดก็อันหนึ่ง) neither…..nor (ไม่ทงั้ สอง) not only…….but also…… (ไมเ่ พยี งแต่ ....เท่านัน้ แต.่ ..อีกดว้ ย) 9. กริยาของ who, which, where ในประโยค Adjective Class จะใชก้ รยิ าเปน็ เอกพจนห์ รือ พหูพจน์ตอ้ งถือเอาตามนามหรอื สรรพนามทว่ี างอยู่หนา้ คำท้งั 3 น้ี 10. A number of + นามพหพู จน์ (plural Noun) เมือ่ ไปทำหนา้ ทเี่ ป็นประธาน กริยาต้องใชร้ ปู พหูพจน์, ส่วน The number of + นามพหพู จน์ (plural Noun) เม่ือไปทำหนา้ ทีเ่ ปน็ ประธาน กริยาต้องใช้รปู เอกพจน์ 11. จำนวนเงนิ ของสกุลตา่ งๆและการวดั ระยะทาง จะมีรูปเปน็ เอกพจน์ หรอื พหพู จนก์ ็ตาม เม่ือไปทำ หนา้ ทเ่ี ป็นประธานใหถ้ อื วา่ เป็นเอกพจน์ตลอดไป 12. ชื่อเรื่อง,ชื่อหนังสือ,และชื่อเพลง ที่มีรูปเป็นพหูพจน์เมื่อนำมาใช้เป็นประธานในประโยคให้ถือว่า เป็นเอกพจนต์ ลอดไป 13. เศษส่วนของนามที่เป็นพหูพจน์ ตอ้ งใชก้ รยิ าเป็นพหพู จน์, เศษสาวนของนามทเ่ี ป็นเอกพจน์หรือ นามท่ีนับไมไ่ ด้ ตอ้ งใช้กรยิ าเปน็ เอกพจน์ตลอดไป 14. คำต่อไปน้เี มือ่ เปน็ Pronoun (สรรพนาม) คือใช้แต่มันลอยๆไม่มนี ามอ่ืนตามหลัง ตอ้ งถือเป็น พหพู จนต์ ลอดไป กรยิ าจึงตอ้ งใชร้ ปู พหูพจน์ตามไปดว้ ย ได้แกค่ ำวา่ all, both, few,(หรอื a few), many, some, several, none of 15. นามต่อไปนเี้ ปน็ รปู เอกพจน์ แต่ใช้เปน็ พหูพจน์ เชน่ people, police, cattle(วัวควาย) children(เด็กๆ) etc. 16. นามตอ่ ไปนรี้ ปู ศัพทเ์ ป็นพหพู จน์ แตใ่ ชเ้ ป็นเอกพจน์ เชน่ news, physics, mathematic etc. 17. นามตอ่ ไปนม้ี ีรปู เปน็ พหพู จน์ และกใ็ ช้เปน็ พหูพจน์ดว้ ย แม้บางครั้งของสงิ่ นัน้ จะมเี พยี งอันเดียว ก็ตาม เชน่ trousers (กางเกงขายาว) shorts (กางเกงขาสั้น) tongs (คีม) etc. เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

ค่มู อื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหน่งครผู ูช้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 277 18. นามต่อไปนม้ี รี ูปเหมือนกนั ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ไดแ้ ก่ fish ปลา sheep แกะ deer กวาง trout ปลาเทรา้ ต์ salmon ปลาแซลมอน bison ววั กระทิง None – finite Verb None – finite Verb คือ คำกรยิ าทมี่ ิไดท้ ำหนา้ ทเ่ี ป็นกรยิ าจริง แมจ้ ะมรี ูปมาจากกริยาก็ตาม แต่กลบั ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ นามบ้าง , เปน็ คณุ ศัพท์บา้ ง, เปน็ กริยาวเิ ศษณบ์ า้ ง ,หรือเปน็ อื่นใดก็ได้ อันไมใ่ ชก่ รยิ าแท.้ None – finite Verb แบง่ ออกเปน็ 3 ชนิด คือ. 1. Infinitive [ to Verb 1]. 2. Gerund [Verb + ing] 3. Participle [ Verb + ing , Verb 3] Infinitive คอื คำกริยาชอ่ งที่ 1 ทมี่ ี To นำหน้า ทำหนา้ ทไ่ี ด้ 6 อย่างคือ 1. เปน็ ประธานของกรยิ าก็ได้ เชน่ To walk in the morning is good for health. 2. เปน็ กรรมของกริยากไ็ ด้ เช่น He like to speak English with his friend. 3. เปน็ สว่ นสมบรู ณข์ องกริยากไ็ ด้ เชน่ She has to go now. 4. เป็นคณุ ศัพทข์ ยายนามกไ็ ด(้ แตต่ ้องเรยี งไวห้ ลังนาม) 5. เมอ่ื เรียงตามหลงั อกรรมกรยิ า เปน็ กริยาวเิ ศษณ์ของอกรรมกรยิ าตวั นน้ั . 6. เมอื่ เรยี งตามหลังกริยาวิเศษณ์ หรือคณุ ศพั ท์ ย่อมเปน็ กริยาวิเศษณ์ขยายคำทอี่ ยู่หน้ามนั *ยงั มี Infinitive บางตัวทไ่ี มต่ ้องใช้ To นำหนา้ เรยี กว่า Infinitive with out to ในกรณที ่นี ำมาใชต้ ามหลัง หรือขยายนามทต่ี ามหลังคำกรยิ าพเิ ศษต่อไปน้ี do, does, did , will, would, shall, should, can, could, may, might, must, need, dear ไมต่ ้องใช้ to นำหน้า (แตถ่ ้าเปน็ กริยาพเิ ศษ is, am, are, was, were, has, have, had, นน้ั infinitive ที่ตามหลังต้องใช้ to นำหน้าตลอดไป) และยังมีรายละเอียดอีกมากซึง่ เราควร คนั้ คว้าในโอกาสต่อไป. Gerund คือ คำกรยิ าทเี่ ติม ing แล้วนำมาใช้อยา่ งนาม(กรยิ านาม) Verbal noun เช่น Walking, studying etc. ทำหน้าทไ่ี ด้ 5 อย่าง คือ 1. ใชเ้ ป็นประธานของกริยาในประโยคกไ็ ด้ เชน่ Swimming is a good exercise. 2. ใชเ้ ป็นกรรมของสกรรมกรยิ ากไ็ ด้ เชน่ She remembered seeing me. 3. ใช้เปน็ กรรมของบรุ พบทได้ เชน่ We are found of learning English. 4. ใชท้ ำหน้าทเี่ ป็นส่วนสมบรู ณข์ องกรยิ าได้ เชน่ His duty is cleaning. 5. ใชท้ ำหน้าทเ่ี ปน็ คำนามผสม(หรอื คุณศพั ท์) และนยิ มใช้ Hyphen (-) มาคัน่ ไว้เสมอ เชน่ Reading- room, Swimming pool …etc. เตรียมสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

ค่มู ือเตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 278 *โดยปรกตทิ วั่ ๆ ไปแล้ว Gerund และ Infinitive สามารถใชแ้ ทนกนั ได้ ในทุกกรณแี ละมีความหมาย เหมือนกัน ท้งั นี้สดุ แล้วแตผ่ ใู้ ช้ แตย่ งั มกี รยิ าบางตัวที่มี Gerund และ Infinitive มาเปน็ กรรมแล้วจะมี ความหมายตา่ งกันมาก ซ่งึ เราควรศกึ ษากันในภายหลงั . Participle คอื คำกริยาทเี่ ตมิ ing บา้ ง หรอื เปน็ รูปกริยาชอ่ ง 3 บา้ ง แลว้ นำมาใชท้ ำหน้าท่อี ย่างอ่นื มไิ ด้ใช้เปน็ กรยิ าจรงิ แบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ คือ. 1. Present Participle คือกรยิ าชอ่ งท่ี 1 เติม ing แล้วนำมาใชเ้ ป็นครง่ึ กรยิ าคร่งึ คุณศพั ท์ ไดแ้ ก่คำว่า Going, walking, eating, sleeping, coming, etc. ซึง่ มวี ธิ ใี ช้ดงั น.ี้ 1. เรียงตามหลงั Verb to be ทำใหป้ ระโยคนน้ั เป็น Continuous tense. 2. เรียงไว้หนา้ นาม เป็นคุณศพั ท์ของนามน้นั . 3. เรียงตามหลังกรยิ า เปน็ สว่ นสมบูรณ์ของกรยิ า(มสี ำเนยี งแปลวา่ ”นา่ ”). 4. เรียงตามหลังกรรมเป็นคำขยายกรรมนน้ั . 2. Past Participle คือกริยาช่องที่ 3 ซง่ึ อาจมีรูปมทาจากการเตมิ ed. ก็ได้ หรอื มรี ูปมาจาก การผนั กไ็ ด้ ไดแ้ ก่ กริยาต่อไปนี้ Walked, slept, gone . ..etc. มีวิธีใช้ดงั น้ี. 1. เรยี งไว้หลงั Verb to have ทำใหป้ ระโยคน้ันเป็น Perfect tense. 2. เรยี งตามหลงั Verb to be ทำให้ประโยคนั้นเปน็ กรรมวาจก(Passive voice)ตลอดไป. 3. เรยี งไวห้ น้านามเปน็ คณุ ศพั ทข์ องนามนนั้ . 4. ใชเ้ ป็นส่วนสมบูรณ์ของกรยิ าได.้ 5. ใช้เรียงตามหลังนามกไ็ ด้ แต่ต้องมบี ุรพบทวลมี าขยายเสมอ. 3. Perfect Participle คือ “ Having + Verb 3” เชน่ Having finish …+ Past Simple Tense เปน็ ตน้ ซงึ่ Perfect Participle น้ี ทำหนา้ ทเี่ ป็นคุณศพั ทข์ องประธานในประโยคหลัง และต้องมีเครอ่ื งหมาย (,) ดว้ ย ซึง่ มี หลกั การใช้มากมายซึ่งควรศกึ ษาในภายหลงั Comparison of adjective and adverb Comparison of adjective and adverb คือ การเปรียบเทยี บนามของ adjectiveหรอื adverb เพื่อใหร้ วู้ า่ นามของ adjective หรอื adverb นัน้ มคี วามเหมอื นกนั หรอื ดเี ด่นกวา่ กนั อย่างไร การเปรียบเทียบ adjective และ adverb มอี ยู่ 3 ชนดิ คอื 1. การเปรยี บเทยี บทเ่ี สมอกนั (มนี ามแค่ 2) 2. การเปรยี บเทียบที่สงู กว่า (มนี ามแค่ 2) 3. การเปรยี บเทียบทส่ี งู ที่สดุ (มีนามต้ังแต่ 3 ขึน้ ไป) Comparison of adjective การเปรยี บเทียบคำคุณศัพท์ Comparison of adjective เปน็ การเปรียบเทียบคณุ ภาพของนามตอ่ นาม เช่น นายดำต่ำกวา่ นายแดง เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มอื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครูผ้ชู ่วย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 279 1. การเปรยี บเทยี บคุณศัพทท์ ี่เสมอกัน จะใช้รปู ดงั น้ี as + Adjective + as = แปลว่า “เทา่ กนั กบั หรอื เชน่ เดียวกันกับ” เชน่ as long as , as tall as, as beautiful as , as well as เปน็ ตน้ เชน่ This chair is as long as that one. (เก้าอตี้ ัวนีใ้ หญ่เท่ากับตัวน้ัน (Adjective)) *หมายเหตุ ในประโยคปฏเิ สธใหใ้ ชร้ ปู ดงั นี้ not so + adjective + as = แปลวา่ ”ไม่เทา่ กันกบั ,ไมเ่ ชน่ เดยี วกนั กับ” ตวั อย่างเช่น: This chair is not so big as that one. (เกา้ อี้ตวั นไ้ี มใ่ หญ่เชน่ เดียวกันกบั ตวั นน้ั (Adjective)) : I don’t work so hard as you did. (ผมไม่ทำงานหนกั เช่นเดียวกันกับคณุ (Adverb)) 2. การเปรียบเทียบคุณศพั ทท์ ีส่ งู กว่าจะใช้รปู ดงั นี้ Comparative adjective + than = แปลวา่ “....มากกวา่ ....กวา่ ” เชน่ taller than, bigger than, more beautiful than etc. เชน่ You are taller than I am. คณุ สูงกว่าผม *หมายเหตุ การเปรียบเทยี บคณุ ศพั ทข์ ั้นกวา่ นี้ สรรพนามท่อี ยขู่ า้ งหลัง ต้องเป็นรปู ประธานเสมอ เช่น He is taller than I ( ไมใ่ ช่ than me), You are cleverer than we.(ไมใ่ ช่ than us) 3. การเปรียบเทียบคุณศพั ทข์ ั้นสูงสดุ น้ีจะใชส้ ำหรบั เปรยี บเทยี บนามที่มตี ัง้ แต่ 3 ขนึ้ ไป (หากมีเพยี ง 2 ใชข้ ัน้ กว่ามาเปรยี บเทียบ) และยังต้องใช้ the นำหนา้ เสมอ โดยใชร้ ูปดังนี้ the + Superlative adjective = แปลว่า “...ทส่ี ดุ ” เช่น the most beautiful girl, the tallest man , the biggest boy etc. เชน่ John is the tallest boy in the class. จอนห์เปน็ เด็กทีส่ ูงทีส่ ุดในชั้น(ท่มี อี ยู่หลาย คน). เปน็ ต้น หลกั การสร้างคำคณุ ศพั ทข์ ้ันปกตใิ ห้เป็นขั้นกว่าและข้ันสูงสุด -ทำไดโ้ ดยการเตมิ ปัจจัย er และ est ดงั นี้ ก. เตมิ er ท่คี ณุ ศัพทข์ ัน้ ปกติให้เปน็ ข้นั กว่า ข. เติม est ทท่ี ่ีคณุ ศัพท์ข้นั ปกตใิ หเ้ ป็นข้นั สงู สุด เชน่ tall -> taller -> tallest (สงู ), small -> smaller -> smallest (เล็ก) เป็นตน้ (หลักในการเติม er และ est น้นั มอี ยูห่ ลายขอ้ อกี ทั้งยงั มคี ุณศพั ทบ์ างคำที่เป็นคำขั้นปกติ ขัน้ กวา่ และขนั้ สูงสดุ อย่แู ล้วโดยกำเนดิ ซ่ึงจะไมก่ ล่าวถึง) Comparison of adverb การเปรียบเทยี บคำกริยาวเิ ศษณ์ Comparison of adverb เปน็ การเปรยี บเทยี บการกระทำของนามต่อนาม เช่น นายดำเดินเร็วกวา่ นายแดง เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คู่มอื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครผู ูช้ ่วย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 280 1. การเปรยี บเทยี บกริยาวิเศษณ์ทเ่ี สมอกัน จะใช้รูปดังนี้ as + Adverb + as = แปลวา่ “เทา่ กนั หรอื เช่นเดยี วกัน” เช่น He speaks English as well as I do. เขาพดู ภาษาอังกฤษไดด้ ีเช่นเดยี วกันกับผม. 2. การเปรียบเทยี บกรยิ าวเิ ศษณ์ทสี่ งู กวา่ จะใชร้ ปู ดงั น้ี Comparative adverb + than = แปลว่า “....มากกวา่ ....กว่า” เช่น He speaks French faster than I do. เขาพูดภาษาอังกฤษเร็วกว่าผม. *หมายเหตุ การเปรยี บเทียบกริยาวิเศษณข์ ัน้ กวา่ นี้ สรรพนามทอี่ ยูข่ ้างหลงั than นั้นจะใช้รูปประธาน (Subject) ก็ได้ หรอื กรรม (Object) กไ็ ด้ แล้วแตใ่ จความ เช่น He loves you more than I. เขารกั คณุ มากกวา่ ผม, She loves you more than me. เธอรักคุณมากกว่าผม. 3. การเปรียบเทยี บกรยิ าวิเศษณ์ขั้นสงู สดุ นี้จะใชส้ ำหรับเปรยี บเทียบนามทีม่ ตี ั้งแต่ 3 ข้นึ ไป (หากมีเพียง 2 ใชข้ ้นั กวา่ มาเปรียบเทียบ) โดยใช้รูปดงั น้ี Superlative adverb = แปลว่า “...ที่สดุ ” เช่น Fastest, most slowly, hardest, most beautifully etc . เชน่ Of three us, you speak loudest. ระหวา่ งเรา 3 คนนี้ คณุ พูดเสยี งดังท่สี ุด. หลักการสร้างคำกริยาวเิ ศษณข์ ้นั ปกติใหเ้ ปน็ ขนั้ กว่าและขั้นสูงสุด -ทำไดโ้ ดยการเตมิ ปัจจัย er และ est ดงั นี้ ก. เตมิ er ที่คณุ ศัพทข์ นั้ ปกตใิ ห้เป็นขั้นกวา่ ข. เตมิ est ทที่ ี่คณุ ศพั ท์ขนั้ ปกตใิ ห้เปน็ ขั้นสงู สุด เช่น hard -> harder -> hardest (ยาก, หนกั ), fast -> faster -> fastest (เร็ว) (หลกั ในการเตมิ er และ est นน้ั มีอยูห่ ลายข้ออีกทงั้ ยังมกี ริยาวิเศษณ์บางคำที่เป็นคำขัน้ ปกติ ข้นั กวา่ และ ขั้นสูงสดุ อย่แู ล้วโดยกำเนดิ ซ่งึ จะไมก่ ลา่ วถึง) Sentence and clause Sentence คือ ขอ้ ความท่ีพูดออกมาแลว้ ไดค้ วามหมายสมบรู ณ์ ฟงั รเู้ รอ่ื งซึง่ สว่ นมากจะมปี ระธาน (Subject) และกรยิ า(Verb)มาดว้ ยกันเสมอ เชน่ The bird flied. นกบนิ หรืออาจจะเปน็ คำคำเดยี วกไ็ ด้ ถ้า ฟงั กนั รูเ้ รือ่ ง โดยเฉพาะประโยคคำสัง่ ที่มักจะเป็นคำกรยิ าคำเดยี ว เชน่ Shoot. ยงิ ได,้ Go. ไปซิ, Come here. มาน่ี, Look out. ระวัง เปน็ ต้น Clause คือประโยค Sentence หลายประโยครวมกนั อยู่ คือถา้ อยูต่ ามลำพงั จะเป็น Sentence ถ้า รวมกนั อย่จู งึ จะเปน็ Clause. เชน่ เปน็ Sentence เพราะอยูต่ ามลำพงั : I know. ผมรู้ : How old is he ? เขาอายุเทา่ ไร? เปน็ Clause เพราะรวมกนั อยู่ : I know how old he is. ผมรู้เขาอายุเท่าไร. เตรียมสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มอื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครผู ู้ชว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 281 ชนดิ ของ Sentenc แบง่ ออกเปน็ 4 ชนดิ คอื 1. Simple Sentence (เอกตั ถะประโยค) หมายถงึ ประโยคทีม่ ีกริยาแทห้ รอื กรยิ าสำคัญเพียงตัวเดยี ว (คือจะมปี ระธานกับกรยิ า) ส่วนอยา่ งอ่นื จะมมี ากหรือนอ้ ยอย่างไรก็ได้ เช่น That girl cooks her breakfast by herself. (เดก็ หญงิ คนน้นั ทำอาหารเช้าของเธอดว้ ยตัวเธอเอง) 2. Compound Sentence (อเนกัตถะประโยค) หมายถงึ ประโยคใหญท่ ปี่ ระกอบข้ึนดว้ ยประโยคเล็ก ของ Simple Sentence ตัง้ แต่ 2 ประโยคข้นึ ไป โดยอาศยั Conjunction (and, or, as, but) เปน็ ตวั เช่ือม เช่น (Simple Sentence) = He open the door. (เขาเปิดประต)ู (Simple Sentence) = He walked into the room. (เขาเดนิ เขา้ ไปในห้อง) (Compound Sentence) = He open the door and walked into the room. (เขา เปิดประตแู ละเดนิ เขา้ ไปในห้อง) 3. Complex Sentence (สงั กรประโยค) หมายถงึ ประโยคใหญท่ ปี่ ระกอบดว้ ยประโยคเล็ก 2 ประโยค โดย 2 ประโยคนมี้ คี วามสำคัญไมเ่ ทา่ กัน น่นั คอื ประโยคหลกั Main Clause (มุขยประโยค) ทีม่ ี ใจความสมบรู ณ์ และประโยครอง Subordinate Clause(อนุประโยค) ที่ตอ้ งอาศยั ประโยค Main Clause จึง จะไดใ้ จความสมบรู ณ์ เช่น Complex Sentence = This is the house that I bought last year. (นี่คอื บา้ นทผ่ี มซื้อ ไว้เมอื่ ปีที่แล้ว) Main Clause = This is the house. Subordinate Clause = that I bought last year. 4. Compound Complex Sentence (อเนกัตถะสังกรประโยค) หมายถึงประโยคใหญ่ตั้งแต่ 2 ประโยคข้ึนไปมารวมกันอยู่ โดยอกี ประโยคใหญ่ท่อนหน่ึงน้ันจะมปี ระโยคเล็กแทรกซอ้ นอยภู่ ายใน เชน่ Compound Complex Sentence = I couldn’t remember what his name is, but I will ask him. = (ฉันจำไม่ไดว้ า่ เขาชื่ออะไร แต่ฉนั จะถามเขา) ชนิดของ Subordinate Clause Subordinate Clause (อนปุ ระโยค) คอื ประโยคท่ีไมม่ ีเนอื้ ความสมบรู ณ์ในตัวเอง จะต้องไปอาศยั ประโยคหลักหรอื ประโยคใหญ่เสียก่อน แลว้ เนือ้ ความของมันจึงจะฟังเขา้ ใจ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คอื 1. Noun Clause (นามานุประโยค) คือประโยคน้นั ทงั้ ประโยคถูกนำมาใชท้ ำหน้าท่เี ป็นนาม หรอื เสมอื นนาม ซ่งึ ลักษณะของประโยค Noun Clause จะขน้ึ ต้นประโยคของมนั เองดว้ ยคำต่อไปน้ี คือ :- what, that, which, where, when, why, who, whom, whose, how. ซ่ึง Noun Clause นย้ี อ่ มทำหนา้ ทีไ่ ด้ หลายอย่างในหลกั ไวยากรณ์ เช่นเดยี วกบั นามทว่ั ไป คือ (1) เป็นประธานของกริยา เชน่ Where he stays is not answered. (2) เป็นกรรมของกรยิ า เช่น.. I know where he lives. (3) เปน็ กรรมของ Preposition เช่น She is waiting for what she wants. เตรียมสอบครผู ู้ช่วย By ทมี ฮักแพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คู่มอื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครผู ชู้ ว่ ย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 282 (4) เป็นสว่ นสมบรู ณ์ของกรยิ า เช่น The books are what they want. (5) เป็นนามซ้อนนามของนามที่อยู่ขา้ งหนา้ เชน่ The news that he was dead is not true. 2. Adjective Clause (คุณานปุ ระโยค) คอื ประโยคนัน้ ท้งั ประโยคทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ (Adjective)ขยายนามท่ีอยขู่ า้ งหน้าของมนั ซึ่งลักษณะของ Adjective Clause น้นั จะตอ้ งขน้ึ ต้นประโยคดว้ ย คำต่อไปนี้ คือ which, where, when, why, who, whom, whose, of which, that(และอาจจะขน้ึ ตน้ ดว้ ย คำเหลา่ น้ีด้วย คือ as(เชน่ เดียวกนั กับ), but(ผูซ้ ึ่งไม่), before(ก่อนวนั ที่), after(หลงั จากวนั ท)ี่ และหนา้ คำ เหล่านี้ตอ้ งเป็นคำนามดว้ ย (หากหนา้ คำเหลา่ นเ้ี ป็นคำกรยิ า ไม่ใชน่ าม ประโยคนัน้ ก็จะเป็นประโยค Noun Clause ไป) เช่น He reads the book which I gave him. เขาอ่านหนงั สอื ทผี่ มไดใ้ หเ้ ขาไป 3. Adverb Clause (วเิ ศษณานุประโยค) คอื ประโยคนน้ั ทั้งประโยคทำหน้าทเี่ หมือน Adverb (กริยา วเิ ศษณ)์ ทว่ั ๆไป เพอื่ ทำหน้าที่ขยายกรยิ าในประโยคหลกั (Main Clause) ซงึ่ Adverb Clause แบง่ ออกเป็น 9 ชนิดคอื 1. Adverb Clause ทแ่ี สดงลกั ษณะอาการ(Manner) จะขึน้ ตน้ ดว้ ยคำวา่ as, as if, as hough. 2. Adverb Clause ทแ่ี สดงสถานที่(Place)จะขึ้นต้นดว้ ยคำว่า where, wherever, as far as, as near as. 3. Adverb Clause ทแ่ี สดงเวลา(Time)จะขึ้นตน้ ดว้ ยคำว่า when, e, while, since, as, before, after, until, as soon as, as long as, all the time(that). 4. Adverb Clause ทแ่ี สดงเหตผุ ล(Reason)จะขึน้ ต้นดว้ ยคำวา่ because, as, since, seeing, that, now that. 5. Adverb Clause ทแ่ี สดงความมุ่งหมาย(Purpose)จะขน้ึ ต้นด้วยคำว่า so as, in order that, for the purpose, that, for fear that. 6. Adverb Clause ทแี่ สดงการยอมรบั (Concession)จะข้นึ ต้นด้วยคำวา่ although, thought, even thought, even if. 7. Adverb Clause ทแี่ สดง การเปรียบเทียบ(Comparison)จะขึ้นต้นด้วยคำวา่ as + Adjective + as, as + Adverb + as, not so + Adjective + as, not so + adverb + as. 8. Adverb Clause ทแ่ี สดง เงือ่ นไขหรอื สมมติ(Condition)จะข้นึ ตน้ ดว้ ยคำวา่ if, if only, unless, whether, supposing that, provided that, on condition that, in case. 9. Adverb Clause ทแ่ี สดงผล(Result)จะขนึ้ ต้นดว้ ยคำว่า so that, so….that, such….that, so…as to. เตรียมสอบครูผู้ชว่ ย By ทมี ฮักแพง เรยี บเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารับราชการ ตำแหน่งครูผ้ชู ว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 283 Question tags Question tags คือ การตั้งคำถามตามประโยคบอกเลา่ หรอื ตามหลงั ประโยคปฏิเสธ หลกั การสรา้ งประโยค Question tags 1. ใส่เครอ่ื งหมาย Comma (,) ครน่ั ระหวา่ งประโยคหนา้ และประโยค Question tags 2. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็นประโยคบอกเล่า ประโยค Question tags ท่ีตามหลงั ตอ้ งเป็นคำถาม ปฏิเสธ. 3. ถา้ ประโยคท่อนหนา้ เปน็ ประโยคปฏิเสธ ประโยค Question tags ท่ตี ามหลงั ตอ้ งเป็นคำถาม ธรรมดา 4. ถา้ ประโยคท่อนหนา้ มีกรยิ าชว่ ย 24 ตัว ตวั ใดตวั หน่งึ ปรากฏอยู่ เมอ่ื ทำเปน็ ประโยค Question tagsให้ใชก้ ริยาชว่ ยตัวนน้ั มารทำเป็นประโยคคำถาม 5. ถา้ ประโยคท่อนหนา้ ไม่มีกรยิ าช่วย 24 ตวั ตัวใดตวั หนงึ่ ปรากฏอยู่ เม่อื ทำเป็นประโยค Question tagsตอ่ ท้ายใหใ้ ช้ Verb to do มาช่วย. 6. ถ้าประโยคทอ่ นหน้าเป็น Question tags อะไร ประโยค Question tags ท่ีตามหลงั ก็ตอ้ งใช้ Question tags ในระดับเดียวกนั นน้ั . 7. ประโยค Question tags ท่ถี ามเปน็ ปฏเิ สธนั้น ระหวา่ งกรยิ าชว่ ย 24 ตัวกบั คำวา่ not ตอ้ งใช้รปู ยอ่ เสมอ คือ do not = don’t does not = doesn’t will not = won’t shall not = shan’t are not = aren’t etc. *ข้อสงั เกต need, dear เมอ่ื นำมาใช้เป็นกริยาแท้แลว้ จะเอามาต้งั เปน็ Question tagsไม่ได้ ตอ้ งใช้ Verb to do มาแทน. *อน่งึ กรยิ า Used to เม่ือทำเป็น Question tags ไมน่ ิยมใช้ used ขนึ้ ต้นประโยคของมัน แตน่ ิยมใช้ did มาแทนทกุ คร้งั (เชน่ เดียวกบั Verb to have ถา้ แปลวา่ รับประธาน, ได้รับ โดยมิได้แปลวา่ ม)ี การใช้ Question tags ตามหลงั ประโยคคำสงั่ ถา้ ประโยคบอกเล่านั้นเป็นประโยคคำสง่ั , คำเตือน, ขอรอ้ ง, เช้ือเชญิ เพ่อื ให้ประโยนน้ั สุภาพ ยง่ิ ขน้ึ ตอ้ งใช้รูปเดยี วคือ …………………………., Will you ? การใช้ Question tags ตามหลังสำนวน Let’s, Let me ประโยค Question tags ยงั ใช้ตามหลังสำนวน Let’s , Let me ทม่ี สี ำนวนการพูดอันหนึง่ สำหรับใช้ชกั ชวนได้ แต่ต้องใชร้ ูปเดยี วคอื ...........…………………, Shall we ? เตรยี มสอบครูผู้ชว่ ย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ อื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครูผูช้ ่วย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 284 ถา้ ประโยคข้างหน้าข้นึ ต้นดว้ ย Let me ประโยค Question tags ตอ้ งใชร้ ปู เดยี วคือ ……………………………, Will you ? การตอบประโยคคำถามทีเ่ ปน็ Question tags ใหต้ อบดว้ ย Yes, หรอื No เท่านน้ั และตอบได้ 2 อยา่ งคอื 1. ตอบแบบสน้ั [Short Answer]. ตัวอย่าง : แบบส้ัน Yes, I am , No, he isn’t. 2. ตอบแบบยาว [long Answer]. ตวั อย่าง : แบบยาว Yes, I am a student. , No he isn’t here. Tense Tense คือ รูปแบบ(หรอื โครงสร้าง)ของกรยิ า ที่แสดงใหเ้ ราทราบวา่ การกระทำหรือเหตุการณ์น้นั ๆ เกิดขึน้ เม่อื ใด ซ่งึ เรอ่ื ง tense นเ้ี ปน็ เรอ่ื งสำคญั ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เรากจ็ ะส่ือภาษากับเขาไมไ่ ด้ เพราะใน ประโยคภาษาอังกฤษน้ันจะอยู่ในรปู ของ tense เสมอ ซ่ึงต่างกบั ภาษาไทยทเ่ี ราจะมีขอ้ ความบอกว่าเกิดขึ้น เม่ือใดมาช่วยเสมอ Tense ในภาษาอังกฤษนจ้ี ะแบง่ ออกเปน็ 3 tense ใหญ่ๆ ดังนี้ 1. Present tense ปจั จบุ ัน 2. Past tense อดีตกาล 3. Future tense อนาคตกาล ในแต่ละ tense ยงั แยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ 1. Simple tense ธรรมดา (ง่ายๆตรงๆไม่ซบั ซ้อน). 2. Continuous tense กำลงั กระทำอยู่ (กำลงั เกดิ อย)ู่ 3. Perfect tense สมบูรณ์ (ทำเรยี บร้อยแลว้ ). 4. Perfect continuous tense สมบรู ณก์ ำลงั กระทำ (ทำเรียบร้อยแลว้ และกำลงั ดำเนินอยดู่ ว้ ย). โครงสร้างของ Tense ท้งั 12 มีดงั น้ี [1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจรงิ ท่เี กิดขึ้นง่ายๆตรงๆไม่ซับซอ้ น). [Present] [1.2] S + is,am,are + Verb 1 ing + …(บอกว่าเดย๋ี วน้กี ำลงั เกดิ อะไรอยู่). [1.3] S + has,have + Verb 3 + ….(บอกว่าไดท้ ำมาแล้วจนถงึ ปัจจบุ นั ). [1.4] S + has,have + been + Verb 1 ing +…(บอกวา่ ได้ทำมาแลว้ และกำลังทำตอ่ ไปอีก). [2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องทเี่ คยเกิดมาแลว้ ในอดตี ). [Past] [2.2] S + was,were + Verb 1 +…(บอกเรือ่ งท่กี ำลงั ทำอย่ใู นอดตี ). [2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรอื่ งทท่ี ำมาแล้วในอดีตในชว่ งเวลาใดเวลาหนึง่ ). [2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเร่ืองท่ที ำมาแล้วอย่างต่อเน่อื งไมห่ ยุด). เตรียมสอบครผู ู้ชว่ ย By ทีมฮักแพง เรยี บเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

ค่มู อื เตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 285 [3.1] S + will,shall + verb 1 +….(บอกเรอ่ื งทจ่ี ะเกิดขน้ึ ในอนาคต). [Feature] [3.2] S + will,shall + be + Verb 1 ing +….(บอกว่าอนาคตนนั้ ๆกำลังทำอะไรอยู่). [3.3] S + will,shall + have + Verb 3 +…(บอกเรอื่ งท่จี ะเกดิ หรอื สำเร็จในชว่ งเวลาใด เวลาหนงึ่ ). [3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรอื่ งทจ่ี ะทำอยา่ งตอ่ เนือ่ ง ในเวลาใดเวลาหนง่ึ ในอนาคตและจะทำตอ่ ไปเร่อื ยขา้ งหน้า). หลักการใช้แต่ละ tense มดี งั นี้ [1.1] Present simple tense เชน่ He walks. เขาเดิน, 1. ใช้กับเหตุการณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ตามความจริงของธรรมชาติ และคำสภุ าษิตคำ พังเพย. 2. ใช้กับเหตุการณท์ ่ีเป็นความจริงในขณะทพ่ี ดู (ก่อนหรอื หลงั จะไมจ่ ริงก็ตาม). 3. ใช้กบั กริยาทที่ ำนานไมไ่ ด้ เช่น รัก, เขา้ ใจ, รู้ เป็นต้น. 4. ใช้กับการกระทำทีค่ ิดว่าจะเกหิดขน้ึ ในอนาคตอนั ใกล(้ จะมคี ำวเิ ศษณบ์ อกอนาคตรว่ มดว้ ย). 5. ใช้ในการเลา่ สรุปเรื่องตา่ งๆในอดตี เช่นนยิ าย นิทาน. 6. ใช้ในประโยคเง่อื นไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นตน้ ด้วยคำวา่ If (ถ้า), unless (เวน้ เสยี แต่วา่ ), as soon as (เมือ่ ,ขณะท)่ี , till (จนกระท่ัง), whenever (เมอ่ื ไรก็ตาม), while (ขณะท)ี่ เป็นตน้ . 7. ใช้กบั เรื่องทกี่ ระทำอยา่ งสม่ำเสมอ และมคี ำวิเศษณ์บอกเวลาทสี่ ม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทกุ ๆวัน) เป็นต้น. 8. ใชใ้ นประโยคท่ีคล้อยตามทีเ่ ปน็ [1.1] ประโยคตามตอ้ งใช้ [1.1] ด้วยเสมอ. [1.2] Present continuous tense เชน่ He is walking. เขากำลงั เดิน. 1. ใช้ในเหตกุ ารณท์ ีก่ ำลังกระทำอยูใ่ นขณะทีพ่ ดู (ใช้ now รว่ มดว้ ยก็ได้ โดยใสไ่ ว้ต้นประโยค, หลงั กรยิ า หรือสดุ ประโยคกไ็ ด)้ . 2. ใช้ในเหตกุ ารณท์ ก่ี ำลังกระทำอย่ใู นระยะเวลาอันยาวนาน เชน่ ในวันนี้ ,ในปีน้ี . 3. ใช้กับเหตกุ ารณ์ท่ผี พู้ ูดมัน่ ใจว่าจะตอ้ งเกิดข้นึ ในอนาคตอันใกล้ เชน่ เรว็ ๆน,ี้ พร่งุ น.ี้ *หมายเหตุ กรยิ าทท่ี ำนานไม่ได้ เชน่ รัก ,เขา้ ใจ, ร,ู้ ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense น้ไี มไ่ ด.้ [1.3] Present perfect tense เชน่ He has walk เขาได้เดนิ แล้ว. 1. ใชก้ ับเหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ขึน้ แล้วในอดีต และตอ่ เน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน และจะมคี ำว่า Since (ตัง้ แต)่ และ for (เปน็ เวลา) มาใชร้ ว่ มด้วยเสมอ. 2. ใช้กับเหตกุ ารณท์ ไี่ ด้เคยทำมาแลว้ ในอดตี (จะก่ีคร้ังกไ็ ด้ หรือจะทำอีกในปัจจบุ นั หรอื จะทำใน อนาคตกไ็ ด้)และจะมีคำวา่ ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใชร้ ่วมดว้ ย. 3. ใช้กับเหตุการณ์ทจี่ บลงแลว้ แต่ผู้พดู ยงั ประทับใจอยู่ (ถา้ ไม่ประทบั ใจก็ใช้ Tense 4. ใชก้ ับเหตกุ ารณท์ เ่ี พงิ่ จบไปแล้วไม่นาน(ไม่ไดป้ ระทับใจอย)ู่ ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมดว้ ยเสมอ คอื Just (เพง่ิ จะ), already (เรยี บร้อยแลว้ ), yet (ยงั ), finally (ในท่ีสดุ ) เปน็ ต้น. เตรยี มสอบครผู ู้ชว่ ย By ทมี ฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มอื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 286 [1.4] Present perfect continuous tense เชน่ He has been walking . เขาได้กำลังเดนิ แล้ว. มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทกุ ประการ เพยี งแตว่ า่ เน้นวา่ จะทำตอ่ ไปในอนาคตด้วย ซ่งึ [1.3] นนั้ ไมเ่ นน้ วา่ ได้ กระทำอยา่ งต่อเน่อื งหรือไม่ ส่วน [1.4] นีเ้ นน้ วา่ กระทำมาอยา่ งต่อเนอ่ื งและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกดว้ ย. [2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดินแล้ว. 1. ใชก้ บั เหตกุ ารณท์ เี่ กิดข้นึ และจบลงแล้วในอดีต มไิ ด้ตอ่ เน่อื งมาถงึ ขณะทพ่ี ูด และมักมคี ำต่อไปนี้ มารว่ มด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น. 2. ใชก้ ับเหตุการณ์ท่ีทำเปน็ ประจำในอดีตทผ่ี ่านมาในคร้งั นนั้ ๆ ซึง่ ตอ้ งมีคำวิเศษณ์บอกความถ่ี (เช่น Always, every day ) กบั คำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อยา่ งมารว่ มอยู่ดว้ ยเสมอ. 3. ใช้กับเหตกุ ารณ์ทีไ่ ด้เคยเกิดขึน้ มาแลว้ ในอดตี แต่ปัจจบุ นั ไมไ่ ดเ้ กดิ อยู่ หรือไมไ่ ด้เปน็ ดั่งในอดตี นน้ั แลว้ ซงึ่ จะมคี ำวา่ ago น้ีร่วมอยู่ด้วย. 4. ใชใ้ นประโยคทคี่ ลอ้ ยตามท่เี ปน็ [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็น [2.1] ดว้ ย [2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลงั เดนิ แลว้ 1. ใช้กับเหตกุ ารณ์ 2 อยา่ งทเ่ี กิดข้นึ ไม่พร้อมกนั ( 2.2 นไี้ ม่นิยมใช้ตามลำพงั - ถ้าเกดิ กอ่ นใช้ 2.2 - ถา้ เกดิ ทหี ลังใช้ 2.1). 2. ใชก้ บั เหตุการณ์ทีใ่ ดกระทำตดิ ต่อกนั ตลอดเวลาท่ีไดร้ ะบไุ วใ้ นประโยค ซึง่ จะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ ดว้ ยในประโยค เช่น all day yesterday etc. 3. ใชก้ บั เหตุการณ์ 2 อย่างทก่ี ำลังทำในเวลาเดียวกนั (ใชเ้ ฉพาะกรยิ าทีท่ ำได้นานเท่านัน้ หากเปน็ กรยิ า ที่ทำนานไม่ไดก้ ็ใช้หลกั ขอ้ 1 ) ถา้ แต่งดว้ ย 2.1 กบั 2.2 จะดูจดื ชดื เชน่ He was cleaning the house while I was cooking breakfast. [2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาไดเ้ ดินแล้ว. 1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อยา่ งทเ่ี กิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดตี มีหลักการใช้ดงั น.้ี เกดิ กอ่ นใช้ 2.3 เกดิ ทหี ลังใช้ 2.1. 2. ใช้กบั เหตุการณห์ รอื การกระทำอนั เดียวกไ็ ดใ้ นอดตี แต่ตอ้ งระบชุ ่ัวโมงและวนั ใหแ้ นช่ ดั ไวใ้ นทุก ประโยคด้วยทุกครงั้ เชน่ She had breakfast at eight o’ clock yesterday. [2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking. มีหลักการใชเ้ หมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพยี งแต่ tense น้ี ตอ้ งการยำ้ ถึงความตอ่ เนอื่ งของการกระทำที่ 1 ว่าได้ กระทำตอ่ เนอื่ งไปจนถงึ การกระทำท่ี 2 โดยมิไดห้ ยดุ เชน่ When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เม่อื พวกเราไปถึงท่ปี ระชมุ ผ้บู รรยายได้พูดมาแลว้ เปน็ เวลา 1 ช่วั โมง. [3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน. ใชก้ บั เหตุการณท์ ่ีจะเกิดข้นึ ในอนาคต ซึง่ จะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เปน็ ตน้ มาร่วมอยู่ดว้ ย. * Shall ใชก้ ับ I , we. เตรยี มสอบครูผู้ช่วย By ทมี ฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหน่งครผู ชู้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 287 Will ใชก้ บั บุรุษที่ 2 และนามทว่ั ๆไป. Will, shall จะใช้สลบั กันในกรณีที่จะใหค้ ำมน่ั สญั ญา, ขม่ ขู่บงั คบั , ตกลงใจแน่วแน.่ Will, shall ใช้กับเหตุการณท์ เี่ กดิ ขึน้ โดยธรรมชาติหรอื จงใจก็ได้. Be going to (จะ) ใชก้ ับความจงใจของมนษุ ย์เท่านนั้ หา้ มใชก้ บั เหตกุ ารณ์ของธรรมชาตแิ ละนยิ มใช้ ในประโยคเงื่อนไข. [3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลงั จะเดิน. 1. ใช้ในการบอกกลา่ ววา่ ในอนาคตน้นั กำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแนน่ อนดว้ ยเสมอ). 2. ใชก้ บั เหตุการณ์ 2 อย่างทจ่ี ะเกิดขึ้นไม่พร้อมกนั ในอนาคต มกี ลักการใช้ดังน.ี้ - เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing. - เกดิ ทหี ลังใช้ 1.1 S + Verb 1 . [3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว. 1. ใชก้ ับเหตกุ ารณท์ ีจ่ ะเกดิ ข้นึ หรอื สำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนงึ่ ในอนาคต โดยจะมคี ำวา่ by นำหน้า กลุ่มคำท่บี อกเวลาดว้ ย เช่น by tomorrow , by next week เป็นต้น. 2. ใช้กบั เหตุการณ์ 2 อย่างทจ่ี ะเกิดขึน้ ไม่พรอ้ มกันในอนาคต มหี ลกั ดังน.้ี - เกดิ ก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3. - เกดิ ท่ีหลงั ใช้ 1.1 S + Verb 1. [3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลงั เดินแล้ว. ใช้เหมือน 3.3 ตา่ งกนั เพยี งแต่วา่ 3.4 นเ้ี นน้ ถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำตอ่ เนอื่ งมาจนถงึ การกระทำที่ 2 และจะ กระทำตอ่ ไปในอนาคตอีกดว้ ย. * Tense นไ้ี มค่ ่อยนยิ มใชบ้ ่อยนกั โดยเฉพาะกรยิ าท่ที ำนานไมไ่ ด้ อยา่ นำมาแต่งใน Tense นเี้ ด็ดขาด. Direct and indirect Speech Direct Speech คือ การเอาคำพดู ของผู้อนื่ ที่ตวั เองไดย้ ินมาเลา่ ให้คสู่ นทนาฟัง โดยมิไดเ้ ปลี่ยนแปลงคำพูด นั้นแมแ้ ตส่ ว่ นใดส่วนหนึง่ เลย เชน่ Chamras said “it is my pen” จำรัสพดู ว่า “มันเป็นปากกาของฉัน” indirect Speech คือ การเอาคำพดู ของผอู้ น่ื ทตี่ ัวเองไดย้ นิ มาเลา่ ให้คู่สนทนาฟัง โดยดดั แปลงเป็นคำพดู ของ ผเู้ ล่าอกี ทหี นง่ึ เชน่ Chamras said that it was his pen. จำรัสพูดว่า มันเป็นปากกาของเขา รูปแบบของ Direct Speech รปู แบบการใชป้ ระโยค Direct Speech นั้นมอี ยู่ 3 ชนิด คอื รูปแบบท่ี 1 1. วางประโยคนำ(เช่น He said หรือขอ้ ความอน่ื ใดท่คี ลา้ ยกันน้ี) ไว้ต้นประโยคทุกครัง้ ไป 2. ขา้ งหลงั ประโยคนำตอ้ งใส่เครอื่ งหมาย Comma ( , ) ทกุ ครัง้ ไป หรอื ( : ) หรอื ( ; ) กไ็ ด้ เตรียมสอบครูผู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คูม่ ือเตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ตามหลักเกณฑใ์ หม่ 288 3. ประโยคทอ่ี ยู่ในเคร่ืองหมายคำพูดตามแบบการใชแ้ บบที่ 1 น้ี ตอ้ งนำด้วยตวั อักษรใหญข่ ้นึ ตน้ ประโยคเสมอ เชน่ He said “The first heroine in Thai history was Tao Suranaree”. (เขาพดู ว่า “วีระสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยคอื ทา้ วสรุ นาร”ี ) รปู แบบท่ี 2 1. วางประโยคนำ(เชน่ He said หรอื ข้อความอน่ื ใดท่ีคล้ายกนั น้ี) ไวท้ ้ายประโยคทุกคร้ังไป 2. ใสเ่ ครื่องหมาย Comma ( , ) ไวห้ นา้ ประโยคที่วางอย่ทู า้ ยประโยคเสมอ 3. จะเปลี่ยนรปู ประโยคนำจาก He said เปน็ said he กไ็ ด้ และประโยคในเครื่องหมายคำพุดต้อง เขียนขน้ึ ตน้ ดว้ ยอักษรตัวใหญเ่ สมอ เช่น “The first heroine in Thai history was Tao Suranaree” he said. (or said he). (“วีระสตรคี นแรกในประวตั ศิ าสตร์ไทยคือท้าวสุรนาร”ี เขาพูด) รปู แบบท่ี 3 1. วางประโยคนำ(เช่น He said หรอื ขอ้ ความอื่นใดทคี่ ล้ายกันนี)้ แทรกไวต้ รงกลางขอ้ ความท่อี ย่ใู น เครือ่ งหมายคำพูด 2. ข้างหน้าคำว่า he said และหลังคำวา่ he said ต้องใสเครอื่ งหมาย Comma ( , ) ด้วยกนั ทัง้ สอง ตลอดไป 3. จบขอ้ ความที่อยใู่ นเครือ่ งหมายคำพดู ซงึ่ วางตามหลงั he said ต้องใสเครอ่ื งหมายจบประโยคคอื ( . ) Full stop ทันที เชน่ “The first heroine in Thai history” he said “was Tao Suranaree” (“วรี ะ สตรีคนแรกในประวัติศาสตรไ์ ทย” เขาพูด “ คอื ทา้ วสรุ นาร”ี ) หลักการเปลยี่ นประโยค Direct Speech เป็น indirect Speech หลักการเปล่ียนประโยค Direct Speech เป็น indirect Speech จะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ 4 ตำแหนง่ คือ 1. เปลยี่ นแปลงกริยาของประโยคนำ say เปน็ say that said เป็น said that say to + บุคคล เปน็ tell + บุคคล + that said to + บคุ คล เปน็ tell + บุคคล + that 2. เปลยี่ นแปลงสรรพนามบคุ คล(ประโยคในคำพูด) I เป็น he or she me เปน็ him or her my เปน็ his or her mine เปน็ his or hers myself เปน็ himself or herself we เป็น they us เป็น them our เป็น their เตรียมสอบครผู ู้ช่วย By ทมี ฮกั แพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

ค่มู อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 289 ours เปน็ theirs Indirect speech เป็น ourselves เป็น themselves Past Simple you (subject) เป็น I Past Continuous you (object) เป็น me Past perfect your เป็น my Past perfect yours เปน็ mine Would yourself เป็น myself Should Could 3. เปลย่ี น Tense Might Had to Direct speech เป็น Present Simple Present Continuous Present perfect Past Simple Will Shall Can May Must 4. เปลี่ยนแปลงถอ้ ยคำท่แี สดงความใกล้ เป็นถ้อยคำทแี่ สดงความหา่ งไกล มดี งั ต่อไปน้ี today , tonight that day, that night yesterday the day before, the previous day last night the night before last week the week before last month the month before last year the year before the day before yesterday two day after, in two day’s time the day after two day after, in two day’s after tomorrow the next day, the following day next week, next month the week after, the month after next year the year after เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ อื เตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารับราชการ ตำแหน่งครผู ชู้ ่วย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 290 thus so now then, at that time ago before recently shortly, before then this, these, here, come that, those, there, go *ขอ้ ยกเวน้ ถ้าประโยคนำเป็น Present Simple Tens ประโยคในเคร่ืองหมายคำพูดเปน็ Tens อะไรกค็ งไว้ตาม Tens นัน้ หา้ มนำกฎการเปล่ียนแปลง Tens มาใช้บังคบั โดยเดด็ ขาด เชน่ Direct = She says “I am reading a book now.” หลอ่ นพดู วา่ “ดฉิ ันกำลังอ่านหนงั สืออยู่ขณะน้ี” Indirect = She says that she is reading a book then. หล่อนพูดวา่ หลอ่ นกำลงั อ่านหนงั สอื อยู่ขณะน้ี เมอื่ ประโยค Direct Speech เป็นคำถาม หากเปลยี่ นเป็นประโยค Indirect Speech ให้ทำดังต่อไปน้ี 1. เปลยี่ นกรยิ าของประโยคนำเสียใหม่ ตามกฎดงั นี้ say เป็น ask said เป็น asked say to + บคุ คล เปน็ ask + บคุ คล said to + บคุ คล เปน็ asked + บุคคล 2. ถ้าประโยค Direct Speech ซ่งึ เปน็ คำถามน้นั ขนึ้ ตน้ ประโยคด้วยคำทเี่ ปน็ คำถามอยแู่ ลว้ ก็ใหค้ งไว้ คงเดิม และไมต่ อ้ งใส่ that เข้ามารว่ มอีก 3. ถา้ ประโยค Direct Speech ซง่ึ เปน็ คำถามน้นั ขึ้นต้นดว้ ยกรยิ าชว่ ย 24 ตัว ตัวใดตวั หนง่ึ โดยมี Question Words มาร่วมอยู่ดว้ ย ในกรณีเชน่ นีใ้ หใ้ ชค้ ำเช่ือมตวั อ่นื มาแทน ไดแ้ ก่ Whether หรอื if (แปลว่า “หรอื ไม”่ ) และกไ็ ม่ต้องใส่ that เข้ามาอกี 4. เปลย่ี นรูปประโยคโครงสรา้ งของ Direct Speech ซ่งึ เป็นคำถามน้นั ใหก้ ลับเป้นโครงสรา้ งของ ประโยคบอกเล่า 5. กฎการเปลย่ี นแปลงสรรพนามบุคคล, การเปล่ยี นแปลง Tens และการเปล่ยี นคำใกล้เป็นคำไกลน้นั ให้นำมาใชไ้ ดต้ ามปกติ โดยไมม่ ขี อ้ ยกเวน้ อะไรทงั้ สนิ้ เชน่ .. Direct : He said to me, Why did you come here yesterday?. (หล่อนพูดกบั ผมวา่ “ทำไมคณุ จึงมาทนี่ เ่ี มอื วานน?ี้ ”) Indirect : he asked me why I had gone there the day before. (หล่อนถามผมวา่ ทำไมคุณจงึ ไปทีน่ ่ันเมื่อวันกอ่ น) เม่ือประโยค Direct Speech เปน็ ประโยคคำส่ัง การทำประโยค Direct Speech เปน็ ประโยคคำสั่ง คำเตอื น ฯลฯ เป็นต้นให้เปน็ Indirect Speech ให้ทำดังนี้ เตรยี มสอบครูผู้ชว่ ย By ทมี ฮักแพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คมู่ ือเตรยี มสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ตามหลกั เกณฑใ์ หม่ 291 1. ตอ้ งเปล่ียนกรยิ าของประโยคนำไปเปน็ กรยิ าท่ีมลี ักษณะเป็นคำสัง่ ตัวใดตวั หนึ่ง ท้ังนี้ใหเ้ หมาะสม กบั ตำแหนง่ ฐานะของผ้อู อกคำสัง่ 2. จะตอ้ งระบุผ้ถู กู ส่งั หรอื ผถู้ กู ขอร้องขึ้นมาเป็นตัวกรรม(Object) ของกรยิ าในประโยคนำเสมอ 3. สัง่ ให้ทำอะไร ขอร้องใหท้ ำอะไร ใหเ้ ติม to เขา้ ขา้ งหน้ากริยาในประโยคคำสัง่ ที่อยู่ใน Direct Speech นนั้ แลว้ มันก็จะกลายเปน็ ประโยคคำสัง่ ของ Direct Speech ทันที เช่น Direct : He said to his servant, “Cook breakfast for me”. (เขาพดู กบั คนใช้ของเขาว่า, “ทำอาหารเช้าให้ฉันหนอ่ ย”) Indirect : He order his servant to cook breakfast for him. (เขาสัง่ ให้คนใชข้ องเขาทำอาหารเช้าใหเ้ ขา) กริยาตอ่ ไปน้ีนำมาใชเ้ ปน็ กรยิ าในประโยคคำสัง่ ได้ Order ส่ัง(ธรรมดา) เชน่ นายสัง่ บ่าว สง่ั ลกู น้องเป็นตน้ Command สง่ั (เฉยี บขาด) เช่น ผบู้ ังคบั บัญชาสั่งลกู นอ้ ง Tell บอก(ให้กระทำ) ใช้ไดท้ ว่ั ไป Ask ขอรอ้ ง(ให้กระทำ) จะใชใ้ นกรณที ่ีมีคำวา่ please อยเู่ ท่านั้น และเมอ่ื เปลย่ี นเป็น indirect Speech กใ็ ห้ตดั คำว่า please ออกและ มาใช้ ask แทน) Beg ขอ, ขอรอ้ ง, วิงวอน (ให้กระทำ) (เหมือน ask แต่ความหมายออ่ นกวา่ ) Advise ตักเตือน, แนะนำ, บอก(ให้กระทำ) นยิ มใชใ้ นกรณบี อกด้วยความหวงั ดี *ถ้าประโยคคำสั่งนนั้ เปน็ ประโยคคำสง่ั ห้าม หรือคำสงั่ ปฏิเสธ เมอื่ เป็นประโยค Indirect Speech ใหใ้ ช้ not to มาครนั่ ระหวา่ งประโยคนำกบั ประโยคคำส่ังห้าม สว่ นคำว่า don’t หรอื do not นัน้ ใหล้ บทงิ้ เสยี ไมต่ ้อง นำมาเขียนในประโยคทีเ่ ปล่ยี นเป็น Indirect Speed สว่ นกฎการเปล่ียนอืน่ ๆยังคงใช้ตามปกติ เชน่ ... Direct : My friend said to me, “Don’t bring my book here.” (เพื่อนของผมพดู วา่ “อย่านำเอาหนงั สอื ของฉนั มาไว้ทนี่ ”ี่ ) Indirect : My friend asked me not to bring his book there. (เพือ่ นของผมขอรอ้ งผมว่าอยา่ นำหนังสือของเขาไปไวท้ ี่นั่น) Prefixes and suffixes prefixes แปลว่า อุปสรรค หมายถึงคำทีใ่ ชเ้ ติมเขา้ ข้างหน้าคำอ่ืนแลว้ ทำให้คำเดมิ น้นั มีความหมายผดิ ไปจากเดมิ prefixes ที่พบเหน็ บอ่ ยมอี ยู่ 10 คำ คอื (1) Un (ไม่) ใช้เตมิ หนา้ คณุ ศพั ท์ (adj.) หรือกริยาวเิ ศษณ(์ adv.) แลว้ ทำใหค้ ำนน้ั มคี วามหมายตรงขา้ ม เช่น… happy (มคี วามสขุ ) -> unhappy (ไมม่ ีความสุข) wise (ฉลาด) -> unwise (ไมฉ่ ลาด) suitable (เหมาะสม) -> unsuitable (ไม่เหมาะสม) เตรียมสอบครผู ู้ชว่ ย By ทมี ฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ ือเตรยี มสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการ ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 292 (2) Im (ไม่) ใชเ้ ตมิ หน้าคำคณุ ศพั ท์ ( adj.) เทา่ นน้ั แล้วทำใหม้ คี วามหมายตรงขา้ ม เช่น… possible (เป็นไปได้) -> impossible (เป็นไปไมไ่ ด้) proper (ถกู ต้อง) -> improper (ไม่ถูกต้อง) pure (บรสิ ทุ ธ)์ิ -> impure (ไม่บรสิ ทุ ธ์)ิ (3) In (ไม่) ใช้เติมหน้าคณุ ศพั ท์ (adj.) เท่านนั้ แลว้ ทำให้มีความหมายตรงขา้ ม เช่น… direct (ตรง) -> indirect (ไม่ตรง) complete (สมบูรณ)์ -> incomplete (ไม่สมบูรณ)์ expensive (แพง) -> inexpensive (ไม่แพง) (4) Re (อกี ) ใช้เติมหนา้ คำกรยิ า หรอื คำนามท่มี าจากกรยิ าเทา่ นัน้ แล้วทำใหม้ ีความหมายว่า “ทำอกี ” เชน่ write (เขยี น) -> rewrite (เขียนใหม่) speak (พดู ) -> respeak (พดู อีก) birth (เกดิ ) -> rebirth (เกิดอกี ) (5) Dis (ไม่) ใชเ้ ตมิ หนา้ กรยิ า หรือเติมหนา้ คุณศพั ท์ แล้วทำใหม้ คี วามหมายตรงกันขา้ ม เชน่ … like (ชอบ) -> dislike (ไม่ชอบ) appear (ปรากฏ) -> disappear(ไมป่ รากฏ) agree (เห็นดว้ ย) -> disagree (ไมเ่ ห็นดว้ ย) use (ใช้) -> disuse (เลกิ ใช)้ (6) Mis (ผดิ ) ใชเ้ ตมิ หน้าคำกริยาเทา่ นน้ั แล้วทำใหม้ ีความหมายวา่ ”กระทำผิด” เช่น … understand (เขา้ ใจ) -> misunderstand(เข้าใจผดิ ) spell (สะกดตัว) -> misspell (สะกดตัวผดิ ) call (เรียก) -> miscall (เรียกผิด) (7) per (กอ่ น) ใชเ้ ตมิ หนา้ คำนาม หรือกรยิ าใหม้ คี วามหมายว่า “ก่อน”หรอื “ทำก่อน” เช่น… pay (จา่ ย) -> prepay (จา่ ยล่วงหนา้ ) history (ประวตั ศิ าสตร)์ -> prehistory (กอ่ นประวตั ิศาสตร)์ (8) Tri (สาม) ใช้เติมหนา้ คำนาม แลว้ ทำให้มคี วามหมายว่า”สาม” เช่น… angle (เหลีย่ ม) -> triangle (สามเหลีย่ ม) cycle (จักรยาน) -> tricycle (รถสามลอ้ ) (9) Bi (สอง) ใชเ้ ติมหนา้ คำนาม แลว้ ทำใหม้ คี วามหมายวา่ ”สอง” เชน่ … cycle (จกั รยาน) -> bicycle (จกั รยานสองล้อ) เตรียมสอบครูผู้ชว่ ย By ทีมฮักแพง เรียบเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คู่มอื เตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 293 polar (ขัว้ โลก) -> bipolar (มีสองขว้ั โลก) sexual (เพศ) -> bisexual (มสี องเพศ) (10) En ใชเ้ ตมิ หน้าคำนาม หรือคุณศัพท์ให้คำนน้ั กลบั เปน็ กรยิ า เชน่ … camp (คา่ ยพัก) -> encamp (ตงั้ ค่าย) sure (แนใ่ จ) -> ensure (รบั ประกัน) large (ใหญ)่ -> enlarge (ขยายใหใ้ หญ่) Suffix แปลวา่ ปจั จยั สำหรบั ปรงุ แตง่ คำอน่ื ใหเ้ ป็นนามบ้าง เปน็ กริยาบา้ ง แล้วมคี วามหมายเปลยี่ นไป (โดยการเตมิ ขา้ งหลงั คำต่างๆ) ทพี่ บเหน็ บอ่ ยๆมีอยู่ 8 ตวั คือ. 1. er (ผ)ู้ ใช้เตมิ ขา้ งหลังกรยิ า หรอื คำนาม ให้หมายถึงบคุ คลหรือผ้กู ระทำ เช่น… teach (สอน) -> teacher (ผ้สู อน,คร)ู run (ว่ิง) -> runner (ผู้ว่งิ ) speak (พดู ) -> speaker (ผูพ้ ดู ) 2. or (ผู้) ใช้สำหรับเตมิ ข้างหลงั กรยิ าอย่างเดยี ว เชน่ … act (กระทำ) -> actor (ผแู้ สดง) govern (ปกครอง) -> governor (ผ้ปู กครอง,ผู้ว่า) direct (ควบคุม) -> director(ผอู้ ำนวยการ) 3. en (ทำดว้ ย) ใช้เตมิ หลงั คำนามให้กลายเป็นกริยา เชน่ …. gold (ทอง) -> golden (ทำดว้ ยทอง) wood (ไม้) -> wooden (ทำดว้ ยไม)้ light (แสงสวา่ ง) -> lighten (ทำใหม้ ีแสงสวา่ ง) 4. ly (อย่าง) ใชเ้ ตมิ หลังคุณศพั ท์ ให้กลายเปน็ กริยาวเิ ศษณ์ เช่น… slow (ช้า) -> slowly (อย่างช้า) quick (เรว็ ) -> quickly (อยา่ งเร็ว) happy (มคี วามสขุ ) -> happily (อย่างมีความสุข) 5 ful (มี) ใช้เตมิ หลังนามบา้ ง กรยิ าบ้าง ใหก้ ลายเป็นคุณศพั ท์ เช่น…. beauty (ความสวย) -> beautiful(มีความสวย) use (ใช)้ -> useful (มปี ระโยชน)์ wonder (สงสยั ) -> wonderful(ความประหลาดใจ) 6. less (ปราศจาก ไมม่ ี) ใชเ้ ตมิ หลังนาม ใหก้ ลายเป็นคุณศพั ท์ เชน่ ... job(งาน) -> jobless (ไม่มีงาน) live (ชวี ิต) -> lifeless (ไมม่ ชี วี ิต) could (เมฆ) -> coldness(ปราศจากเมฆ) เตรยี มสอบครูผู้ชว่ ย By ทีมฮักแพง เรยี บเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง

คู่มือเตรียมสอบบรรจเุ ข้ารบั ราชการ ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ใหม่ 294 7. ness (ความ) ใช้เติมหลังคุณศพั ท์ ให้เปน็ คำนาม เชน่ … happy (มคี วามสขุ ) -> happiness (ความสุข) light (เบา) -> lightness (ความเบา) soft (นมุ่ ) -> softness (ความนุ่ม) 8. y (ม)ี ใชเ้ ติมหลงั คำนาม ใหเ้ ป็นคุณศพั ท์ เชน่ … sun (ดวงอาทิตย)์ -> sunny (มีแสงแดด) stone (หนิ ) -> stony (มีหนิ มาก) storm (พาย)ุ -> stormy (มพี ายุมาก) If clause and wish form การใช้ประโยค If clause If clause คอื ประโยคคะเน หรอื ประโยคสมมติ คอื สมมตวิ ่า ถ้ามเี หตุการณน์ ี้เกดิ ขน้ึ กจ็ ะมเี หตุการณ์ เชน่ นั้นเกิดขนึ้ ตามมา” แบ่งออกเปน็ 3 ชนดิ คอื 1. สมมตใิ นส่งิ ทเ่ี ป็นจริงเสมอ หรือเปน็ ไปไดเ้ สมอ 2. สมมตใิ นสิ่งที่ไมเ่ ปน็ จริง หรืออาจเป็นจรงิ ก็ได(้ หากมนั่ ใจ) 3. สมมติในส่ิงทต่ี รงขา้ มกบั ความจรงิ ประโยค If clause นัน้ จะประกอบด้วยประโยค 2 ประโยค คือ 1. ประโยค Main clause (ประโยคหลกั ) 2. ประโยค If clause (ประโยคสมมติ) ถ้ามปี ระโยค If clause แล้วจะต้องมีประโยค Main clause แต่จะใชป้ ระโยค Main clause อย่าง เดยี วได้ ซงึ่ การสร้างประโยค If clause นี้จะตอ้ งใช้ Tens ใหถ้ กู ตอ้ งดงั นี้ ตารางการใช้ Tens ประโยค If clause กับประโยค Main clause เงือ่ นไขทส่ี มมติเป็น ถา้ ประโยคสมมติเป็น ประโยคหลักเปน็ (If clause) (Main clause) 1. เป็นจรงิ เสมอ Future Simple 2. เปน็ จริงหรอื ไม่เป็นจริงก็ได้ Present Simple Future in the Past 3. ตรงขา้ มกบั ความเปน็ จรงิ เสมอ Past Simple Future Perfect in the Past Past Perfect เตรยี มสอบครูผู้ชว่ ย By ทีมฮกั แพง เรยี บเรยี งโดย อ.ใจนำพา ศรทั ธานำทาง

คมู่ อื เตรียมสอบบรรจเุ ขา้ รบั ราชการ ตำแหน่งครผู ู้ชว่ ย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ 295 วิธใี ช้ 1. เง่ือนไขท่สี มมติในสง่ิ ทเ่ี ปน็ จริงเสมอ เชน่ If the sun rise, it will be a day. (ถ้าพระอาทติ ย์ขน้ึ มนั ก็จะเปน็ กลางวัน (ไมม่ ีใครคดั ค้านได)้ ) *ประโยคคำสงั่ (Imperative) ก็ให้ใช้ประโยคIf clause ทีเ่ ปน็ Present Simple Tens ตลอดไป จะใช้กบั Tens อนื่ ไม่ได้ เชน่ If you see the teacher, ask him that problem. (ถา้ คณุ พบคุณครู ก็ถามปญั หาน้ัน กบั คุณครซู ิ) 2. เงอื่ นไขสมมติในสง่ิ ทเ่ี ปน็ จริงหรอื ไม่เป็นจรงิ ก็ได(้ แบง่ รับแบ่งส้)ู เชน่ If you came here yesterday, you would see her. (ถา้ คุณมาทน่ี ่เี มือ่ วานนี้ คณุ กจ็ ะได้พบ เธอ(หรอื อาจไมพ่ บกไ็ ด้ถ้าเธอกลบั ไปก่อน)) If she were a bird, she would sing all day. (ถา้ หลอ่ นเป็น นก หล่อนกจ็ ะรอ้ งเพลงทุกวัน(เป็นจรงิ ไมไ่ ด้เด็ดขาด)) *ขอ้ สังเกต เฉพาะ Verb to be ท่ีนำมาใชใ้ นการสมมตใิ นส่ิงที่เป็นไปไม่ได้นี้ ต้องใช้รูปเดียวคือ were ตลอดไป ไมว่ ่าประธานจะเป็นบุรษุ อะไร หรอื พจนอ์ ะไรกต็ าม 3.เง่ือนไขสมมติในสิ่งท่ีตรงข้ามกบั ความเป็นจรงิ เสมอ เช่น If he hadn’t gone there, he wouldn’t have been killed. ( ถา้ เขาไม่ได้ไปทน่ี ่ัน เขากจ็ ะไม่ถกู ฆา่ ตาย) การใชป้ ระโยค Wish form Wish form คอื ประโยคที่แสดงความปรารถนาหรือความต้องการของผูพ้ ูด ซง่ึ ความจรงิ นัน้ เป็นอย่าง หนง่ึ แต่ผพู้ ดู อยากให้เป็นอกี อย่างหนึ่ง ซ่ึงแบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ คือ 1. ความปรารถนาท่ใี ห้เปน็ ไปในปจั จุบัน (Present Time) ให้ใชร้ ูป Wish Form + Past Simple Tens เช่น I am a poor man. I wish I were a rich man. (ฉนั เปน็ คนจน (แต)่ ฉันปรารถนาให้ ฉันเปน็ คนรวย) *หมายเหตุ ประโยคทต่ี ามหลงั Wish แม้จะใชก้ ริยาเปน็ Past Simple Tens แต่ความหมายยงั เป็นปัจจุบัน อย่าได้เขา้ ใจว่าเป็นอดีต 2. ความปรารถนาท่ใี ห้เป็นไปในอดตี (Past Time) ให้ใช้รปู Wish Form + Past perfect Tens เชน่ I was a poor man last year. I wish I had been a rich man last year. (เมอื ปีที่ แล้วฉันเปน็ คนจน (แต่ตอนน)ี้ เม่อื ปที แ่ี ลว้ ฉันปรารถนาใหฉ้ นั เปน็ คนรวย.) 3. ความปรารถนาทใี่ หเ้ ปน็ ไปในอนาคต (Future Time) ใหใ้ ชร้ ปู Wish Form + Future Simple in the Past เชน่ I shall study mathematics tomorrow. I wish I should study English tomorrow. (ผมจะเรียนคณติ ศาสตร์วนั พรงุ่ นี้ ผมปรารถนาใหผ้ มเรียนภาษาอังกฤษวนั พรุง่ น)้ี เตรยี มสอบครผู ู้ช่วย By ทีมฮกั แพง เรยี บเรียงโดย อ.ใจนำพา ศรัทธานำทาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook