แผนการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะ หลักสตู ร ประกาศนยี บัตรวชิ าชพี พุทธศกั ราช 2562 หมวดวชิ าสมรรถนะวชิ าชพี กลุ่มสมรรถนะวิชาชพี พน้ื ฐาน รหัสวชิ า 20001-1002 พลงั งานทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม จดั ทำโดย นางสาวอรนชุ กอสวสั ดิ์พัฒน์ วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาเพชรบรุ ี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2ข คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ได้จัดทำขึ้นเพือ่ ใช้เปน็ แนวทาง ในการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ สามารถ สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้กับการเรียนรู้ รายวิชาอื่น ๆ ได้ในเชิงบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนได้รับการ พฒั นาท้งั ด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมทีด่ ี นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างสนั ติสขุ การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ วชิ าพลงั งาน ทรัพยากร และสง่ิ แวดล้อมฉบับน้ี จัดทำขึน้ ตามหลักสตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ พทุ ธศกั ราช 2562 ตรงตามจุดประสงคร์ ายวิชาได้แก่ 1) เข้าใจหลักการวิธกี ารปอ้ งกนั แก้ไข ปญั หาและการอนุรักษ์พลังงาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ ม 2). สามารถประยกุ ตใ์ ชห้ ลักการและวธิ ีการเพื่อป้องกนั แก้ไขปัญหาและอนรุ ักษ์พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในงานอาชีพ และ 3). มเี จตคติทีด่ ีตอ่ การอนรุ ักษ์พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อมในงานอาชพี และครอบคลมุ เน้ือหาครบถ้วนตรงตามคำอธบิ ายรายวิชา ศึกษาเกย่ี วกบั พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ประเภทของพลังงานทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม ความสัมพันธ์ของพลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อมกับการดำรงชวี ติ การใชป้ ระโยชนข์ องพลงั งาน พลังงานทดแทนและทรัพยากรสถานการณ์ ปญั หาและผลกระทบทเี่ กดิ จากการใช้พลงั งานและทรพั ยากร แนวทาง ปอ้ งกันและแก้ไข ปญั หาพลังงาน ทรพั ยากร และสิง่ แวดลอ้ ม หลักการและวธิ กี ารอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม กฎหมายและนโยบายท่ีเกี่ยวข้อง แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาพลังงาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ ม ผู้จดั ทำไดอ้ อกแบบการเรยี นรดู้ ้วยเทคนคิ และวธิ กี าร สอนอยา่ งหลากหลาย เพื่อการจัดการเรยี นรูไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมสำหรับผูเ้ รยี นให้บรรลุเปา้ หมายของหลกั สูตร อรนุช กอสวสั ดพิ์ ัฒน์ พฤศจิกายน 2564
ค3 การบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง วิชาพลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม 3 หว่ ง 1. พอประมาณ ใชภ้ ูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผ้อู ื่น มีความพอดใี นการใชท้ รัพยากร 2. มเี หตุผล สามารถตดั สนิ ใจได้อย่างมีเหตุผล มีกระบวนการทำงานอย่างมเี หตผุ ลและรอบคอบ 3. มีภมู คิ ุ้มกนั มีความพร้อมในการรบั การเปลีย่ นแปลงหรอื ผลกระทบด้านต่าง ๆ นกั เรียน นักศึกษา เห็นความสำคญั ของการเรียน และประโยชนต์ อ่ การดำรงชีวิตของวชิ าน้ี นกั เรียน นักศกึ ษา สามารถวางแผนการทำงาน และคำนงึ ถึงการใช้ทรพั ยากรอย่างยั่งยนื ได้ 2 เง่อื นไข 1. ความรแู้ ละทักษะ นักเรียน นกั ศกึ ษา มคี วามรคู้ วามเข้าใจในวชิ าเรยี น นำไปใช้ได้จรงิ นักเรยี น นักศึกษา มที ักษะในวิชา สามารถปฏบิ ัตงิ านได้จรงิ 2. คณุ ธรรม นักเรยี น นกั ศกึ ษา มีมนุษยสมั พนั ธ์ ความสามัคคี นกั เรียน นกั ศึกษา มีความสนใจใฝ่รู้ นกั เรยี น นกั ศึกษา มคี วามรับผดิ ชอบ นักเรยี น นักศกึ ษา มคี วามคิดริเริม่ สรา้ งสรรค์ จากการบูรณาการทำให้ชวี ิต เศรษฐกจิ สงั คม มีความสมดุล มัน่ คง และยงั่ ยืน
4ง การบรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง วชิ าพลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม 3 หว่ ง 1. พอประมาณ การใชพ้ ลงั งานจากทรัพยากรตา่ งๆ เทา่ ท่ีจำเป็น สง่ เสรมิ การใช้พลงั งานท่ี เศรรษฐกจิ ของประเทศดีขึ้นเพราะลดการนำเข้านำ้ มันดบิ 2. มเี หตุผล พลงั งานจากน้ำมนั ปีโตรเลียมนบั วนั กำลังจะหมดไปจากโลก ควรแสวงหาแหลง่ พลังงานอืน่ ๆ มาทดแทน สิง่ แวดลอ้ ม มีมลพิษนอ้ ยลง 3. มีภมู ิคุ้มกัน ใช้พลังงานจากทรัพยากรทผี่ ลติ ไดใ้ นประเทศ ใช้พลังงานจากทรัพยากรอยา่ งประหยัด หาแหล่งพลังงานสำรองเพื่อใหล้ ูกหลานมไี ว้ใชใ้ นวันข้างหน้า สังคมดขี ้นึ เนอ่ื งจากมีแหล่งพลังงานราคาถูกและมสี าธารณปู โภคในถ่ินทรุ กันดาร 2 เงอื่ นไข 1. ความรแู้ ละทักษะ ศึกษาคุณสมบตั ิต่างๆ ของพลังงานทดแทนก่อนการนำพลงั งานมาใช้ ศึกษาผลกระทบที่ตามมาให้ดเี สยี ก่อนการนำมาใช้ ศึกษาความเป็นไปได้ของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทกอ่ นการนำพลังงานมาใช้ 2. คุณธรรม ประชาชนควรไดร้ บั รู้และถ่ายทอดขอ้ มลู ข่าวสารทเี่ ป็นความจริง ไมค่ วรมีเฉพาะชา่ วสารข้อมลู ท่ีเอ้อื ประ โยชน์ต่อคนเพียงบางกลุม่ เทา่ น้นั สร้างค่านยิ มและวัฒนธรรมที่ดใี นการใช้พลังงานทผ่ี ลิตไดใ้ นประ เทศ. จากการบรู ณาการทำให้ชีวติ เศรษฐกจิ สงั คม มีความสมดุล มัน่ คง และย่ังยนื
สารบัญ 5 เรอื่ ง จ คำนำ หน้า สารบัญ 1 ลกั ษณะรายวชิ า จดุ ประสงค์รายวิชา ส 21 มรรถนะ คำอธบิ ายรายวชิ า 35 ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตรรายวชิ า 51 กำหนดการสอนท่บี รู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 69 แผนการจดั การเรยี นรู้ 94 117 หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรยี นและรายการสอน 139 183 1 พลังงานและประเภทของพลงั งาน 206 2 ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม 225 3 ความสมั พันธข์ องพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 245 4 พลงั งานกบั การดำรงชวี ติ 5 ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลงั งาน 6 ปัญหาจากการใชพ้ ลงั งาน: สภาวะโลกร้อน 7 สถานการณ์ปัญหาพลังงาน 8 พลังงานทดแทน 9 นโยบายพลงั งาน 10 กฎหมายการอนุรักษพ์ ลังงาน 11 หลกั การและวิธกี ารอนุรักษ์พลงั งาน 12 การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม
ฉ 6 ลักษณะรายวชิ า รหัส 20001-1002 วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม หนว่ ยกิต 2-0-2 เวลาเรยี นตอ่ ภาค 36 ช่ัวโมง จดุ ประสงคร์ ายวิชา 1.เขา้ ใจหลักการวธิ กี ารป้องกัน แก้ไขปญั หาและการอนุรกั ษ์พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม 2.สามารถประยุกต์ใช้หลกั การและวธิ กี ารเพื่อปอ้ งกนั แก้ไขปญั หาและอนุรักษ์พลงั งาน ทรัพยากรและ ส่งิ แวดล้อมในงานอาชีพ 3.มเี จตคติทีด่ ีต่อการอนรุ ักษ์พลงั งานทรัพยากรและส่ิงแวดลอ้ มในงานอาชพี สมรรถนะรายวิชา 1.แสดงความรเู้ ก่ียวกับพลงั งาน ทรพั ยากร และส่งิ แวดล้อม หลกั การและวธิ ีการป้องกันแกไ้ ขปัญหาและ อนรุ ักษ์พลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม 2.วิเคราะห์สภาพปญั หาและผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้พลังงาน ทรพั ยากร และส่ิงแวดล้อม 3.วางแผนปอ้ งกันแก้ไขปญั หาและผลกระทบที่เกดิ จากการใชพ้ ลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชพี 4.วางแผนการอนรุ ักษ์พลังงาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อมในงานอาชีพ คำอธบิ ายรายวชิ า ศึกษาเกี่ยวกบั พลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ประเภทของพลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ของพลงั งานทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อมกับการดำรงชีวติ การใช้ประโยชน์ของพลงั งาน พลังงาน ทดแทนและทรัพยากร สถานการณ์ปัญหาและผลกระทบทเี่ กดิ จากการใช้พลงั งานและทรัพยากร แนวทาง ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาพลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม หลกั การและวิธกี ารอนรุ ักษ์พลังงาน ทรัพยากร และสิง่ แวดล้อม กฎหมายและนโยบายท่เี กี่ยวข้อง
ช 7 ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตร รหสั 20001-1002 วิชา พลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม (2-0-2) ชัน้ ระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ สาขาวิชา/กลุ่มวชิ า ทักษะวชิ าชีพเฉพาะ พุทธิพสิ ัย (40%) ความรู้ พฤติกรรม ความเ ้ขาใจ การนำไปใ ้ช ชื่อหน่วย การ ิวเคราะ ์ห การ ัสงเคราะห์ การประเ ิมน ทักษะพิ ัสย (30%) ิจตพิ ัสย (30%) รวม ลำดับความสำคัญ จำนวนชั่วโมง 1.พลังงานและประเภทของพลงั งาน 1 1 1 - - - 3 3 9 2 2 2.ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม 1 1 1 - - - 3 3 9 2 3.ความสมั พนั ธข์ องพลังงาน 111- - -33 9 ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม 2 4.พลังงานกับการดำรงชวี ติ 111- - -33 9 2 5.ผลกระทบจากการผลิตและการใช้ 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 พลงั งาน 2 6.ปัญหาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลก 1 1 1 1 - - 33 10 6 รอ้ น 2 2 7.สถานการณ์ปญั หาพลังงาน 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 8.พลังงานทดแทน 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 9.นโยบายพลังงาน 111- - -33 9 2 36 10.กฎหมายการอนรุ กั ษ์พลงั งาน 111- - -33 9 11.หลกั การและวิธีการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 1 1 1 - - - 3 3 9 12.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ 111- - -33 9 สง่ิ แวดล้อม สอบปลายภาค รวม 12 12 12 4 30 30 100 ลำดับความสำคญั
ซ 8 กำหนดการสอนที่บรู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ วิชา 20001-1002 วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่งิ แวดล้อม 2 ชัว่ โมงต่อสัปดาห์ สปั ดาห์ท่ี หนว่ ย ชัว่ โมง ชื่อหนว่ ย/สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ คุณธรรม จรยิ ธรรม ที่ ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะ อนั พงึ ประสงค์ 1 1 1-2 พลงั งานและประเภทของพลงั งาน 1.วิเคราะหแ์ ละสรุปความหมายของพลงั งานได้ 1.พลังงานเพอ่ื ชวี ิต 2.วเิ คราะหร์ ูปของพลงั งาน และการเปลย่ี นรปู 2.ความหมายของพลังงาน พลงั งานได้ 3.ประเภทของพลังงาน 3.วเิ คราะห์การสูญเสยี พลงั งานได้ 4.แหลง่ ของพลังงาน 4.อธิบายแหลง่ พลังงานและหนว่ ยพลังงานได้ 5.หน่วยพลงั งาน 2 2 3-4 ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 1.บอกความหมายและประเภทของส่ิงแวดล้อม 1.สง่ิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติได้2.อธิบายประโยชน์ 2.ทรัพยากรธรรมชาติ และความสำคัญของส่งิ แวดลอ้ มและ ความมมี นษุ ยสมั พันธ์ 3.การทำลายสิง่ แวดลอ้ มและ ทรพั ยากรธรรมชาติได้ ความมีวินยั ทรัพยากรธรรมชาติ 3.อธบิ ายทรพั ยากรทมี่ นษุ ยน์ ำมาใชป้ ระโยชน์ ความรบั ผิดชอบ ได้ ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง 3 3 5-6 ความสมั พันธข์ องพลังงาน 4.วิเคราะหป์ ัญหาการทำลายสิง่ แวดลอ้ ม และ ความสนใจใฝ่รู้ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาติได้ ความรกั สามัคคี 1.ระบุกฎของธรรมชาติ และความหมาย ของ ความกตญั ญกู ตเวที ระบบนิเวศได้ 1.ธรรมชาตขิ องส่ิงมีชีวิต 2.อธบิ ายกฎของพลังงาน กระบวนการ 2.กฎของธรรมชาติ พลงั งานในสิ่งมีชวี ิตและการใช้พลังงานใน 3.ระบบนิเวศ ระบบนเิ วศได้ 4.กฎของพลงั งาน 3.วเิ คราะห์ความสำคัญของพลังงานท่มี ตี อ่ 5.กระบวนการพลังงานในสงิ่ มชี ีวติ ระบบนิเวศได้ 6.การใชพ้ ลงั งานในระบบนเิ วศ 4.สำรวจระบบนิเวศและบนั ทึกการส่งผา่ น 7.ความสำคญั ของพลงั งานต่อระบบนเิ วศ พลงั งานในระบบนเิ วศได้ 4 4 7-8 พลงั งานกับการดำรงชีวิต 1.เปรียบเทยี บการใช้พลังงานในอดีตกับ 1.การใช้พลงั งานในอดีต ปจั จบุ ันได้ 2.ววิ ัฒนาการการใช้พลงั งานของมนษุ ย์ 2 วิเคราะหค์ วามสำคัญของพลงั งานท่มี ีตอ่ การ 3.ความเป็นมาของการใช้พลังงานในประเทศ ดำรงชีวติ ได้ ไทย 3.บอกความเป็นมาของการใชพ้ ลงั งาน ใน 4.การนำพลงั งานมาใช้เพ่ือพฒั นาประเทศ ประเทศไทยได้ 4.วเิ คราะหค์ วามจำเปน็ ในการใชพ้ ลังงานเพอื่ พฒั นาประเทศด้านตา่ งๆ ได้ 5.วิเคราะหจ์ ำนวนเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าในบ้าน ระยะเวลาการใชง้ าน จำนวนพลังงานไฟฟา้ ที่ใช้ และค่าใช้จา่ ยได้
ฌ 9 สัปดาห์ที่ หน่วย ช่ัวโมง ชอ่ื หน่วย/สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ท่ี ค่านิยม และคณุ ลักษณะ อันพงึ ประสงค์ 5 5 9-10 ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลังงาน 1 อธิบายปญั หาการผลติ และการใช้พลงั งาน 1.ปญั หาสิ่งแวดล้อมจากภาคผลิตไฟฟ้า จากกรณตี ัวอยา่ งได้ 2.ปญั หาส่ิงแวดล้อมจากภาคอตุ สาหกรรม 2.วเิ คราะห์สาเหตขุ องปัญหาการผลิต และการ 3.ปัญหาสิง่ แวดล้อมจากภาคคมนาคมขนสง่ ใชพ้ ลังงานจากกรณีตัวอยา่ งได้ 3.วิเคราะหผ์ ลกระทบของการผลิตและการใช้ พลังงานจากกรณีตัวอย่างได้ 4.เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาการผลติ และ การใช้พลงั งานจากกรณีตวั อยา่ งได้ 6.วิเคราะหผ์ ลกระทบจากการใชพ้ ลงั งาน และ เสนอแนวทางแกไ้ ขปัญหาได้ 7.ตระหนักถึงผลกระทบจากการใชพ้ ลงั งานใน ชีวิตประจำวัน 6 6 11- ปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกรอ้ น 1.บอกความหมายของสภาวะโลก 12 1.ความหมายของสภาวะโลกร้อน 2.ก๊าซเรอื นกระจก ร้อนได้ 3.กลมุ่ ธุรกิจกรรมททีท่ ำใหเ้ กดิ สภาวะโลก 2.อธบิ ายกา๊ ซเรือนกระจกได้ ร้อนในประเทศไทย 3.สรุปกลุ่มกิจกรรมท่ีทำให้เกิด 7 6 13- 4.ผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น สภาวะโลกรอ้ นได้ 14 5.การปอ้ งกนั แกไ้ ขผลกระทบจากสภาวะ 4.วิเคราะห์ผลกระทบและเสนอ โลกรอ้ น แนวทางป้องกนั แกไ้ ข ความมีมนุษยสัมพนั ธ์ ความมวี นิ ยั ความรับผิดชอบ 5.ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน ความเชื่อมัน่ ในตนเอง โดยใชว้ ิธีคดิ แบบหมวกหกใบได้ ความสนใจใฝ่รู้ 5.อธบิ ายการเกิดปรากฏการณ์ ความรักสามคั คี ความกตัญญกู ตเวที เรือนกระจกโดยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6.เปรยี บเทยี บความแตกต่างของ อุณหภูมิภายในและภายนอก เรอื นกระจกได้ 8 7 15- สถานการณ์ปญั หาพลงั งาน 1.วิเคราะหป์ ัญหาพลงั งานของโลกได้ 16 1.ปญั หาพลงั งานของโลก 2.วเิ คราะห์ปญั หาการใช้พลงั งานในประเทศ 2.ปญั หาการใช้พลงั งานในประเทศไทย ไทยได้ 3.ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลติ และการ 3.วเิ คราะหผ์ ลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ มจากการ ใชพ้ ลงั งานในประเทศไทย ผลิตและการใชพ้ ลังงานในประเทศไทยได้ 9 8 17- พลังงานทดแทน 1.เหน็ ความสำคัญของวกิ ฤตการณ์และ ระบุ 20 1.ความหมายของพลงั งานทดแทน แนวทางแก้ไขปญั หาได้ 2.พลงั งานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) 2.บอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ 3.พลงั งานน้ำ (Water Energy) 3.วเิ คราะห์เก่ยี วกับพลังงานทดแทนแตล่ ะ 4.พลงั งานลม (Wind Energy) ประเภทได้ 4.ทดลองโดยใชช้ ดุ ทดลองพลังงาน แสงอาทติ ยไ์ ด้
10 สัปดาห์ที่ หนว่ ย ชั่วโมง ช่อื หนว่ ย/สาระการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ คุณธรรม จรยิ ธรรม ที่ คา่ นิยม และคณุ ลักษณะ 11 8 21-22 พลงั งานทดแทน (ตอ่ ) 1.เห็นความสำคัญของวิกฤตการณ์และ ระบุ อนั พงึ ประสงค์ 5.พลงั งานความรอ้ นใต้พภิ พ (Geothermal แนวทางแกไ้ ขปญั หาได้ ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ ความมีวินยั Energy) 2.บอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ ความรับผิดชอบ ความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง 6.พลังงานชวี มวล (Biomass Energy) 3.วิเคราะหเ์ กีย่ วกบั พลังงานทดแทนแตล่ ะ ความสนใจใฝร่ ู้ ความรักสามัคคี ประเภทได้ ความกตัญญกู ตเวที 4.ทดลองโดยใช้ชุดทดลองพลังงาน แสงอาทติ ย์ได้ 12 9 23-24 นโยบายพลงั งาน 1.บอกสถานการณ์พลงั งานของประเทศไทย 1.สถานการณพ์ ลังงานของประเทศไทย ได้ 2.นโยบายพลงั งานของประเทศไทย นโยบาย 2.อธบิ ายนโยบายพลังงานของประเทศไทย พลังงาน 4.0 ได้ 3.นโยบายประหยดั พลังงาน 3.วเิ คราะห์นโยบายประหยัดพลังงานได้ 4.แผนอนุรักษพ์ ลงั งาน 20 ปี 4.ตระหนกั ในความสำคัญของการอนรุ ักษ์ (พ.ศ. 2554-2573) พลังงาน 5.แผนบรู ณาการพลงั งาน 21 ปี 5.เสนอแนวทางในการช่วยให้แผนอนรุ กั ษ์ (พ.ศ. 2558-2579) พลังงานสมั ฤทธผิ ลได้ 6.วิเคราะห์แผนบรู ณาการพลังงาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) ได้ 13 10 25-26 กฎหมายการอนุรกั ษ์พลังงาน 1.บอกความเป็นมาของกฎหมายอนรุ กั ษ์ 1.ความเป็นมา พลังงานได้ 2.กฎหมายอนุรักษพ์ ลังงาน 2.อธบิ ายกฎหมายอนุรกั ษพ์ ลังงานได้ 3.ข้อกำหนดอาคารควบคุม 3.สรปุ สาระสำคัญเก่ยี วกบั กฎหมายอนุรกั ษ์ 4.หน้าท่แี ละขัน้ ตอนการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานของ พลงั งานได้ อาคารควบคุม 4.วเิ คราะห์ข่าวเกยี่ วกับกฎหมายอนุรกั ษ์ 5.ค่าธรรมเนยี มพิเศษการใชไ้ ฟฟา้ พลงั งานได้ 6.บทกำหนดโทษสำหรับผู้ฝา่ ฝืนกฎหมาย อนรุ ักษพ์ ลงั งาน 14 11 27-28 หลกั การและวิธกี ารอนุรักษ์พลังงาน 1.อธบิ ายความหมายและความสำคญั ของ 1.ความหมายของการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน (Energy การอนุรักษพ์ ลังงานได้ Conservation) 2.อธบิ ายมาตรการ และแนวทางในการ 2.ความสำคญั ของการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน อนรุ กั ษ์พลงั งานได้ 3.มาตรการในการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 3.กำหนดแนวทางปฏิบตั เิ พ่อื อนุรักษ์พลงั งาน 4.แนวทางการอนรุ กั ษ์พลังงาน ในบา้ นได้ 4.เสนอแนวทางการอนรุ ักษ์พลังงานในภาคอ ตสุ าหกรรมได้
ญ 11 หนว่ ย คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ที่ สัปดาหท์ ่ี ชวั่ โมง ชอ่ื หน่วย/สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะ อันพงึ ประสงค์ 15 11 29-30 หลกั การและวิธกี ารอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน (ต่อ) 5.บันทึกพฤตกิ รรมตนเองในการอนรุ ักษ์ 5.วธิ กี ารอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 6.การอนุรกั ษพ์ ลังงานในภาคอุตสาหกรรม พลังงานและส่งิ แวดล้อมได้ 6.มเี จตคติทด่ี ีตอ่ การอนรุ กั ษพ์ ลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อมในงานอาชีพ 16 12 31-32 การจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ 1.บอกความสำคญั ของปัญหาส่ิงแวดล้อมได้ สง่ิ แวดลอ้ ม 1.การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและ 2.บอกความหมายและความเป็นมาของการ สิ่งแวดล้อม 2.การวิเคราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดล้อม วิเคราะห์ 3.การจัดการสิง่ แวดลอ้ ม 4.การจดั การสงิ่ แวดล้อมในระดับสากล 3.ผลกระทบสง่ิ แวดลอ้ มได้ 17 12 33- 5.การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 3.ระบขุ นาดของโครงการท่ีต้องประเมนิ ผล 34 และส่งิ แวดล้อม 6.แนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ัติการเพ่อื กระทบสิง่ แวดล้อมได้ จดั การคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม 4.บอกแนวคิดในการจดั การส่งิ แวดลอ้ มได้ ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ 5.อธบิ ายแนวทางการจัดการส่งิ แวดล้อมใน ความมวี นิ ยั ระดับสากลได้ ความรบั ผิดชอบ 6.บอกแนวทางการจัดทำแผนปฏบิ ตั ิการเพื่อ ความเช่อื มัน่ ในตนเอง จัดการคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มได้ ความสนใจใฝร่ ู้ 7.วางแผนปอ้ งกัน แก้ไขปญั หาและ ความรักสามัคคี ผลกระทบท่ีเกดิ จากการใชพ้ ลงั งาน ความกตญั ญกู ตเวที ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมในงานอาชีพ ได้ 8 วางแผนการอนุรักษ์พลังงาน ทรพั ยากร และสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชพี ได้ 18 - 35- ทบทวน/ สอบปลายภาคเรียน ตามจดุ ประสงคร์ ายวชิ า และสมรรถนะ 36 รายวชิ า การประเมนิ ผล กำหนดค่าระดบั คะแนน ตามเกณฑ์ดงั น้ี คะแนนร้อยละ 80-100 ได้เกรด 4 ได้เกรด 3.5 คะแนนร้อยละ 75-79 ไดเ้ กรด 3 ได้เกรด 2.5 คะแนนรอ้ ยละ 70-74 ได้เกรด 2 ได้เกรด 1.5 คะแนนร้อยละ 65-69 ได้เกรด 1 ได้เกรด 0 คะแนนร้อยละ 60-64 คะแนนรอ้ ยละ 55-59 คะแนนร้อยละ 50-54 คะแนนรอ้ ยละ 0-49
12 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 1 หลักสตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ สอนครั้งที่ 1 (1-2) รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ/ พลงั งานและประเภทของพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคัญ พลงั งานมีความสําคัญต่อสิ่งมีชวี ิตมากเพราะสิ่งมีชีวิตจะดาํ รงอยู่ได้ต้องอาศัยพลงั งาน เพ่ือทําให้เกดิ กระบวนการและปฏกิ ิริยาต่างๆ ในเซลล์ของสง่ิ มีชวี ิตท่ีเรียกว่า กระบวนการเมตาบอลซิ ึม ถ้าหากไม่ได้รับพลงั งาน เซลล์ที่เปน็ ส่วนประกอบของส่งิ มีชวี ติ จะตายทาํ ให้สง่ิ มชี วี ิตต้องตายไปด้วย นอกจากส่งิ มีชวี ติ จะใช้พลงั งานในรปู ของ สารอาหารในการดำรงชวี ติ แล้ว ยงั มกี ารใช้พลังงานในรูปแบบอน่ื ๆ เช่น ความร้อน แสงสว่าง เป็นต้น 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรียนสามารถวิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลงั งานได้ 2.นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์รูปของพลังงาน และการเปลย่ี นรปู พลงั งานได้ 3.นักเรยี นสามารถวเิ คราะหก์ ารสญู เสียพลงั งานได้ 4.นักเรยี นสามารถอธบิ ายแหล่งพลงั งานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.บอกจุดประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า และคำอธิบายรายวชิ าตามหลักสตู รฯ ได้ 2.บอกแนวทางวดั ผลและการประเมินผลการเรียนรู้ได้ พลงั งานและประเภทของพลังงาน 1.วิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะห์รูปของพลงั งาน และการเปลี่ยนรปู พลังงาน 3.วเิ คราะห์การสูญเสียพลงั งาน 4.อธิบายแหลง่ พลังงานและหนว่ ยพลงั งาน 5.มกี ารพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้สำเร็จการศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ท่ีครูสามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเรือ่ ง 5.1 ความมีมนุษยสมั พันธ์ 5.2 ความมวี นิ ยั 5.3 ความรับผดิ ชอบ 5.4 ความซ่อื สัตย์สจุ รติ 5.5 ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง 5.6 การประหยดั 5.7 ความสนใจใฝ่รู้ 5.8 การละเวน้ สิง่ เสพติดและการพนัน 5.9 ความรักสามัคคี 5.10 ความกตัญญูกตเวที 5.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาสิง่ แวดลอ้ ม ใจอาสา
13 4. สาระการเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวชิ าและคำอธิบายรายวชิ า 2. แนวทางวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ พลังงานและประเภทของพลังงาน 1.พลังงานเพ่ือชวี ิต 2.ความหมายของพลังงาน 3.ประเภทของพลงั งาน 4.แหล่งของพลงั งาน 5.หนว่ ยพลงั งาน 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท่.ี ..1........) ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.ครผู ู้สอนแนะนำจุดประสงค์ทผ่ี ูเ้ รยี นจะได้จากหลักสูตร โดยกำหนดใหผ้ ู้เรยี นทุกคนต้องเข้าใจหลกั การวธิ กี าร ป้องกนั แก้ไขปัญหาและการอนรุ ักษ์พลงั งาน ทรัพยากร และส่งิ แวดลอ้ ม สามารถประยุกตใ์ ช้หลักการและวธิ กี ารเพือ่ ป้องกนั แก้ไขปัญหาและอนุรกั ษพ์ ลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มในงานอาชีพ มีเจตคติทดี่ ีตอ่ การอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในงานอาชพี 2.ครสู นทนากบั เรยี นเรียนถึงพลังงาน (Energy) เปน็ ส่ิงจำเป็นสำหรับมนุษยท์ ุกคน นอกจากน้ีพลังงานยังมี ประโยชนต์ ่อการดำรงชวี ติ ของมนุษย์หลายๆ ดา้ น 3.ครูสนทนากับผู้เรียนเพอื่ ให้เห็นความสำคญั ของการเรยี นวิชาพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม ขัน้ สอน 4.ผเู้ รยี นรับฟงั คำชี้แจงสงั เขปรายวิชาและการวัดประเมนิ ผล ซักถามขอ้ ปญั หารวมทั้งแสดงความ คดิ เหน็ เก่ยี วกับการเรยี นวชิ าน้ี 5.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบ Discussion Method คอื การจัดการเรยี นรู้แบบอภปิ รายพลงั งานเพ่ือชีวิต ซง่ึ พลังงานหมายถึงพลงั ตา่ งๆ ทที่ ำมาใชใ้ ห้เกิดเป็นงานตามพระราชบญญั ตักิารพฒนั าและสง่ เสรมิพลงังาน พ.ศ. 2535 พลงั งาน หมายถึง ความสามารถในการทํางานซงึ่ มีอย่ใู นตัวของส่งิ ของ ที่อาจใหง้ านได้ ไดแ้ ก่ พลงั านหมนุ เวยี น และพลงั านส้ินเปลือง เชน่ เช้ือเพลงิ ความรอ้ น ไฟฟ้า เปน็ ต้น 6.ครูใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกลมุ่ ย่อย คือ กระบวนการเรียนรู้ทผ่ี ู้สอนจดั กลมุ่ ผู้เรยี นออกเปน็ กลุม่ ยอ่ ยประมาณ 4 – 8 คน ใหผ้ ู้เรียนในกลุม่ มีโอกาสสนทนา แลกเปลยี่ นข้อมูลความคดิ เห็น ประสบการณ์ในเร่อื ง 6.1.พลังงานเพื่อชวี ติ 6.2.ความหมายของพลงั งาน 6.3.ประเภทของพลงั งาน 6.4.แหล่งของพลังงาน 6.5.หนว่ ยพลังงาน
14 4.ครแู ละผู้เรยี นใช้เทคนิคการสอนแบบ Lecture Method การจัดการเรียนรแู้ บบบรรยาย คือ กระบวนการ เรยี นรู้ทผี่ ู้สอนเปน็ ผถู้ า่ ยทอดความรใู้ ห้แก่ผู้เรยี นโดยการพูดบอกเลา่ อธบิ ายเนื้อหาเรอ่ื งประเภทของพลังงาน ได้แก่ พลังงานศักย์ พลงงั านจลน์ และพลังงานภายใน พลังงานสามารถเปลยี่ นจากรูปแบบหนงึ่ ไปส่อู ีกรูปแบบหนึ่ง เชน่ การหงุ ตม้ อาหาร มกี ารเปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีไปเป็นพลังงานความร้อน เมือ่ มีการเปลีย่ นรูปพลงั งานมาก จะย่งิ มี การสูญเสียพลงั งานมาก หลกั การประหยดั พลังงานคือ การทําให้กระบวนการเปลี่ยนรูปพลังงานมีการสญู เสยี พลงั งาน ในรูปแบบท่ีไม่ต้องการให้น้อยท่ีสดุ 5.ผูเ้ รยี นพจิ ารณารปู ภาพทกี่ ําหนดให้ แลว้ บอกกจิ กรรมท่เี กี่ยวขอ้ งกับการใช้พลงั งาน มาไม่น้อยกว่าภาพละ 7 กิจกรรม พร้อมทง้ั ระบคุ วามหมายของพลังงาน 6.ผเู้ รยี นพจิ ารณาภาพตามท่ีกำหนดให้วา่ มพี ลังงานอะไรมาเกีย่ วข้องบ้าง และรูปภาพใดว่ามกี ารเปล่ียนแปลง พลังงานบา้ ง 8.ผู้เรียนวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปล่ียนรปู พลังงานมา 2 ภาพ และระบุวา่ เปล่ยี นรูปจากพลังงานอะไรเป็น พลงั งานอะไร 9.ผู้เรยี นทำกิจกรรมตามที่ครูกำหนดเกีย่ วกบั พลงั งาน ข้นั สรปุ และการประยุกต์ 10.ผู้เรียนวางแผนการเรยี น และนำความรู้ท่ไี ดจ้ ากรายวิชาไปประยุกต์ใช้กับงานในชีวติ ประจำวันทจ่ี ำเปน็ โดยทัว่ ไป ซ่งึ ทุกคนจะต้องวางแผนการทำงานตา่ ง ๆ ในอนาคต 11.ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกนั สรปุ เน้ือหาทเ่ี รียนเก่ยี วกับพลงั งานเพ่อื ชีวติ ความหมายของพลังงาน ประเภทของ พลังงาน แหลง่ ของพลังงาน และหนว่ ยพลังงาน โดยการถามตอบ และจัดกิจกรรมประกอบ 12.ครแู นะนำเพ่ิมเติมใหผ้ ้เู รยี นเขยี นบญั ชีแสดงรายรบั -รายจ่ายในชีวติ ประจำวนั เพอื่ สรา้ งนสิ ัยความ พอเพียงให้แก่ตนเองและครอบครวั 13.ผเู้ รียนทำกิจกรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 14.สรปุ โดยการถาม-ตอบ เพื่อประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันและประเมนิ ผูเ้ รยี นตามแบบฟอรม์ ต่อไปนี้ ช่อื ผเู้ รียน ประสบการณ์พ้นื ฐานการเรียนรู้ วธิ ีการเรยี นรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5.
15 6. สอื่ และแหลง่ การเรียนรู้ 1.หนงั สือเรียน วชิ าพลงั งาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ของสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ 2.ส่ือ Power Point, วีดีทศั น์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรียนรู้ 7.หลักฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทึกการสอนของผูส้ อน 2.ใบเชค็ รายชอื่ 3.แผนจัดการเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วธิ ีการ 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกล่มุ 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุม่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เครือ่ งมือ 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกล่มุ (โดยครู) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครแู ละผู้เรยี นรว่ มกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ 2. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ข้ึนไป) 3. เกณฑ์ผา่ นการสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรมู้ ีเกณฑผ์ ่าน และแบบฝึกปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงานมีเกณฑ์ผ่าน 50%
16 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนขนึ้ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจริง 9.บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจัดการเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................. ................................................................ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................... .............................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ............. ............................................................................................................................... ................... ............................................................................................... ................................................... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................. ..................................... ........................................................................................................................................... ....... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .....................
17 ใบความรทู้ ี่ .....1........... หน่วยท.่ี ...บทที่ 1 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท.่ี .....1 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม ช่ือเรอื่ ง พลงั งานและประเภทของพลังงาน 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.วิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะห์รปู ของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วเิ คราะห์การสูญเสยี พลังงาน 4.อธบิ ายแหลง่ พลงั งานและหน่วยพลังงาน 2. สมรรถนะ 1.นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์และสรุปความหมายของพลังงานได้ 2.นักเรยี นสามารถวเิ คราะหร์ ูปของพลังงาน และการเปลี่ยนรูปพลงั งานได้ 3.นกั เรียนสามารถวิเคราะห์การสญู เสียพลังงานได้ 4.นักเรียนสามารถอธบิ ายแหล่งพลังงานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. เนื้อหาสาระ 1. ความหมายของพลังงานและสิง่ แวดลอ้ ม พลังงาน หมายถงึ ความสามารถของส่งิ ใดสงิ่ หนึ่งทจ่ี ะทำงานได้ งาน (Work) เป็นผลของการกระทำ ของแรงเป็นเหตุให้สิ่งนั้นเคลื่อนท่ี เชน่ เปลวไฟท่ีเผากาน้ำจะเปล่ียนน้ำให้เป็นไอน้ำและแรงดันไอน้ำจะดันฝากาน้ำ เผยอขึ้นได้ งานเช่นนี้ เรียกว่า พลังงาน รถไฟเคลื่อนที่ได้เพราะมีพลังงานมนุษย์เดินได้เพราะพลังงาน พลังงาน สามารถแปรรูปไปเป็นงานได้ เช่น พลังงานความร้อน ทำให้น้ำกลายเป็นไอและไอนี้ไปช่วยให้เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานได้ พลังงานไฟฟา้ ใชใ้ นการปั่นมอเตอร์ พลังงานอะตอมใชใ้ นการขบั เคลอื่ นเรือรบและเรือรบดำน้ำ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 2.1 พลังงานใช้แล้วหมด หรือที่นักวิชาการเรียกกันว่า พลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมนั รวมท้งั หนิ นำ้ มนั ทรายน้ำมัน ถ่านหนิ และก๊าซธรรมชาติ ที่เรียกวา่ ใช้แลว้ หมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทัน การใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ขุดขึ้นมาใช้ตอนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึง เรียกวา่ พลงั งานสำรอง 2.2 พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก (ชาน)อ้อย ชวี มวล (เช่น มลู สตั ว์ และกา๊ ซชวี ภาพ) นำ้ (จากเขื่อนไหลมาหมุนกงั หนั ปนั่ ไฟ) แสงอาทิตย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าได้) ลม (หมนุ กงั หนั ลมผลิตไฟฟา้ ) และคลืน่ (กระแทกให้กังหนั หมุนปั่นไฟ) และทวี่ ่าใช้ไม่หมดก็เพราะ สามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟืน หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเลกลาง เปน็ ไอและเปน็ ฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรือแสงอาทติ ยท์ ไี่ ด้รบั จากดวงอาทติ ย์อย่างไม่มวี นั หมดสนิ้ ความสำคัญของพลังงาน มนษุ ย์นำพลงั งานมาใช้ในการดำรงชีวิตต้ังแต่สมัยโบราณ เรมิ่ จากการใช้ไฟฟ้าที่เกดิ จากการเสียดสี ของไมห้ รอื หนิ เพื่อให้เกิดความอบอุ่น แสงสว่างและการหงุ ตม้ อาหาร มนษุ ย์เริม่ รู้จักทำกงั หนั วิดน้ำ ทำกังหันลมมา
18 เพื่อยกของหนักและบดเมล็ดธัญพืช พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมสวัสดิภาพและความผาสุกของ ประชาชนแต่ละประเทศทั่วโลก พลังงานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศทั้งทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันมีการใช้พลังงานมากขึ้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขา เช่น อตุ สาหกรรม การคมนาคมขนสง่ การไฟฟา้ เป็นต้น 2. ความสมั พันธข์ องพลงั งานและส่งิ แวดล้อมกบั การดำรงชีวิตของมนษุ ย์ พลังงานกบั การดำรงชวี ิตของมนุษย์ - พลังงานไฟฟ้า ไฟฟ้าคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกแปรรูปเพื่อจัดส่งไปยังที่ต่าง ๆ โดยใช้สายไฟฟ้าเป็นตัว นำไป พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมนุษย์นำมาใช้มากที่สุด นับแต่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์ หลอดไฟสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2422 แล้ว ไฟฟ้าก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของคนโดยเฉพาะสังคมใน เมือง การติดต่อส่ือสาร การคมนาคมขนสง่ การให้ความรู้ การศกึ ษา การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเพม่ิ ผลผลิต การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหล่งบันเทิง การผลิตสินค้าและการขายสินค้า เหล่านี้ต้องอาศยั พลังงานไฟฟ้าทงั้ สน้ิ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้สอยในชีวิตประจำวัน ล้วนต้องการพลังงานในการทำงาน เช่น หลอดไฟก็ต้องการไฟฟ้าเพื่อส่องสว่าง รถยนต์ก็ต้องการน้ำมันเพื่อการขับเคลื่อน แม้แต่รถจักรยานยังตอ้ งการแรง ถีบ แต่การจะส่งพลังงานต่อไปยังพื้นที่ห่างไกล การจะนำไปส่งให้อย่างง่ายท่ีสุดคือ การแปลงพลังงานอ่ืน ๆ เป็น พลังงานไฟฟ้า และส่งไปตามสายไฟฟ้า นอกจากนี้เทคโนโลยดี ้านเคร่ืองใช้ไฟฟ้าไดม้ ีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังท่ี เห็นได้รอบตัวในทุกวันนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อทำกิจกรรมใน ชวี ติ ประจำวัน การผลติ ไฟฟ้าในปัจจุบนั และอนาคต การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า ด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ สามารถเสริมกำลังผลิตแก่กันได้ โดยในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2550 จะใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซ ธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือลิกไนต์ ถ่านหิน พลังน้ำ รับซื้อจากต่างประเทศ น้ำมันเตา และพลังงาน หมุนเวียน ตามลำดบั สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรม ภายในประเทศกำลงั เจรญิ กา้ วหน้าประกอบกบั รฐั บาลมีนโยบายแน่นอนทีจ่ ะขยายการพัฒนาไฟฟา้ ไปส่ชู นบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผนหลักและแผน ทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษา และวิจัยพลังงานตามธรรมชาติอื่น ๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ สำหรับการผลิตไฟฟา้ ในอนาคตอกี ด้วย - พลังงานเชอ้ื เพลิงสำหรบั ยานพาหนะ พลังงานเชอ้ื เพลิงที่ได้ใชเ้ ป็นน้ำมนั เช้อื เพลิงชนดิ ต่าง ๆ เติมยานพาหนะไดแ้ ตกต่างกนั ไป ดงั น้ี 1. กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพจี ี ใชส้ ำหรับรถยนต์
19 2. น้ำมันเบนซิน (ก๊าซโซลีน) น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน เช่น รถยนต์ส่วน บุคคล รถจักรยานยนต์ 3. นำ้ มันเคร่ืองบนิ ใช้สำหรับเคร่อื งบินใบพดั เคร่อื งบนิ ไอพน่ 4. น้ำมนั ดเี ซล น้ำมนั เช้ือเพลิงสำหรบั เครือ่ งยนตด์ ีเซล แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื 1) น้ำมันดีเซลหมนุ เร็ว หรือ น้ำมันโซล่า ใช้สำหรบั เครื่องยนต์ดเี ซลรอบหมนุ เร็วที่ใช้กับ ยานยนต์ เชน่ รถยนต์ รถบรรทกุ เรือประมง รถแทรกเตอร์ และเครือ่ งจักรกลหนัก 2) น้ำมันดีเซลหมุนช้า หรือ น้ำมันขี้โล้ สำหรับเครือ่ งยนต์ดเี ซลรอบหมุนปานกลางหรอื รอบหมนุ ช้า เช่น เครอื่ งยนต์ดเี ซลขับส่งกำลงั ตดิ ตัง้ อยูก่ บั ทตี่ ามโรงงานต่าง ๆ 5. ไบโอดีเซล เป็นเชื้อเพลงิ ดเี ซลทางเลือกทีผ่ ลติ จากแหลง่ ทรพั ยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมัน พืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย มีคุณสมบัติการเผาไหม้เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก สามารถใช้แทนกันได้ สามารถยอยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เปน็ พษิ 6. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ หรือที่นิยมเรียกว่า E10 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่เกิดจาก การผสมระหวา่ ง นำ้ มนั เบนซนิ 90% กบั แอลกอฮอล์ 10% 7. น้ำมันเตา นำมาใช้เปน็ เชื้อเพลิงสำหรับเรือและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังสามารถใช้กบั เครื่องยนต์ดีเซลรอบปานกลาง น้ำมันเตาช่วยลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากการเผาไหม้ที่ออกสู่บรรยากาศของ โรงงานอตุ สาหกรรม - พลงั งานเพ่ือการประกอบอาหาร ในการประกอบอาหารจำเป็นต้องทำให้อาหารนัน้ สุกเสียก่อน โดยใช้พลังงานความร้อน พลังงาน ความร้อนที่ใช้ในอดีตมักใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แกลบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้พลังงาน ความร้อนที่ได้มากจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นั่นคือ ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน หรือที่เรียกว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรอื ก๊าซแอลพจี ี (liquefied Petroleun Gas-LPG) แหล่งของพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานเป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิดพลังงานในการทำงานได้ แหล่งกำเนิดพลังงาน มี ความหมายถึง สสารหรือวัตถุที่มีพลังงานอยู่ในตัวเอง และจะถ่ายเทหรือปลดปล่อยพลังงานที่มีออกมาเมื่อผ่าน กระบวนการแปรรูป ส่งผลให้ตัวมันเองมีความสามารถในการทำงานได้ เช่น เชื้อเพลิง ต่างๆ (ถ่านหิน น้ำมัน เป็นต้น) เมื่อถูกเผาไหม้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีจากนั้นจะให้พลังงานออกมา ซ่ึงพลังงานที่ได้ออกมาเป็นพลังงานความ ร้อน เป็นต้น โดยทั่วไปแหล่งกำเนิดพลังงานจะมีมวล (Mass) มีตัวตน แหล่งกำเนิดพลังงานแบ่งออกได้หลาย ประเภท ในบทนี้จะกลา่ วถงึ พลังงานทมี่ าจากฟอสซลิ (Fossil fuels) ซงึ่ หมายถงึ แหล่งกำเนิดพลังงานท่มี ตี ้นกำเนิด มาจากการทับถมของซากพืชซากสตั ว์หรือที่เรียกกันว่าแร่ฟอสซลิ แหล่งกำเนิดพลังงานชนิดนี้เมื่อนำมาใช้แล้วจะ หา หรือผลิตทดแทนไม่ได้ หรือต้องใช้เวลานานมากจึงจะผลิตมาทดแทนได้ เป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป แหล่งกำเนดิ พลงั งานประเภทน้ี ไดแ้ ก่
20 1. ปโิ ตรเลียม (Petroleum ปิโตรเลียม (Petroleum) หรือเรยี กอีกอย่างวา่ น้ำมันดบิ เกดิ จากการทบั ถมและสลายตัวของ อินทรียสารจากพืชและสัตว์ที่คลุกเคล้าอยู่กับตะกอนในชั้นกรดวดทรายและโคลนตมใต้พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปนับ ล้านปี ตะกอนเหล่านี้จะจมตัวลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ถูกอัดแน่นด้วยความดันและความ ร้อนสูง และมปี รมิ ารออกซิเจนจำกัด จึงสลายตวั เปล่ียนสภาพเป็นแกส๊ ธรรมชาติและน้ำมันดิบแทรกอยู่ระหว่างชั้น หินที่มีรพู รนุ ปิโตรเลียมจากแหล่งต่างกันจะมีปริมารของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รวมทั้งสารประกอบของกำมะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดของซากพืชและสัตว์ที่เป็นต้นกำเนิดของปิโตรเลียม และ อทิ ธิพลของแรงที่ทบั ถมอยบู่ นตะกอน ปโิ ตรเลยี มท่เี กดิ อยู่ในช้ันหินจะมกี ารเคลื่อนตวั ออกไปตามรอยแตกและรูพรุน ของหินไปสู่ระดับความลึกน้อยกว่า แล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุนมีโพรงหรือรอยแตกในเนื้อหินท่ี สามารถให้ปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่ได้ ด้านบนเป็นหินตะกอนหรือหินดินดานเน้ือแน่นละเอียดปิดกั้นไมใ่ หป้ ิโตรเลียม ไหลลอดออกไปได้ โครงสรา้ งปิดก้ันดังกลา่ วเรียกวา่ แหลง่ กักเกบ็ ปโิ ตรเลยี ม การใช้ประโยชนจ์ ากปิโตรเลียม การนำปิโตรเลยี มไปใช้ประโยชนใ์ นรปู แบบต่าง ๆ สรปุ ได้ดังน้ี - ใช้ในการขนส่ง ประมาณร้อยละ 46 ของปิโตรเลียมได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนต์ในระบบเคร่ืองยนตเ์ ผาไหม้ภายใน ซึ่งได้แก่ น้ำมันเบนซนิ น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบินและไอพ่น น้ำมัน เตาสำหรบั รถไฟ และเรือ - ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรม ซ่ึงส่วนมากใช้น้ำมันเตา และแก๊สธรรมชาติในโรงงาน อุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน แก๊สหุงต้ม และในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ซึ่ง ส่วนมากจะใช้น้ำมนั เบา เป็นเชอื้ เพลิง - ใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อน และให้แสงสว่าง น้ำมันหนัก มักจะมีการนำมาใช้ในเครื่องกำเนิดความ ร้อนของประเทศในแถบหนาว สำหรับโรงงาน สำนักงาน และทพี่ ักอาศัย นำ้ มันเบากม็ ีความสำคัญ เชน่ กนั อาทิ น้ำมันกา๊ ด ใชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิ ให้แสงสวา่ ง และหุงตม้ ในท้องถ่ินที่ยังไม่เจรญิ หรืออยู่ห่างไกลแก๊สโพรเพน และบิวเบน ใช้เปน็ เชื้อเพลงิ หุงต้มในครัวเรอื น - ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น ประมาณร้อยละ 1-2 ของน้ำมันดิบที่ผ่านกระบวนการกลั่น จะได้รับการแปร สภาพไปเป็น น้ำมนั หลอ่ ลน่ื และจาระบี สำหรบั การขนสง่ เคร่อื งยนตแ์ ละโรงงานอตุ สาหกรรม - ประโยชน์อ่นื ๆ อาทเิ ช่น แอสฟัลต์ บิทูเมน นำ้ มันดนิ ใช้ราดถนน ฉาบหลังคา และใชเ้ ปน็ สารกนั นำ้ ขีผ้ ้ึง ใชท้ ำเทยี นไข วัสดกุ นั ซึม วสั ดขุ ดั มนั และเปน็ เชือ้ เพลงิ ใหแ้ สงสวา่ ง - สารปิโตรเลียม ปิโตรเลียมใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะนำไปสู่การผลิต พลาสติกและสารสังเคราะห์มากมายหลายชนิด เส้นใยสังเคราะห์ และส่ิงทอสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สาร คาร์บอนดำ ฯลฯ 2. ถ่านหิน (Coal) ถา่ นหิน (Coal) เปน็ เชอื้ เพลิงท่ีมปี ริมาณมากทีส่ ดุ ของประเทศไทย คอื ราว 2 ใน 3 ของเช้ือเพลิงท้ังหมด ถ่านหิน เป็นสารประกอบคาร์บอนที่เกิดจากการสะสมตัวของซากพืซตามธรรมชาติ และเกิดปฏิกิริยาทางชีววิทยา
21 และทางเคมี ภายใต้ความกดดันสูงจนทำใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงเปน็ สารประกอบคาร์บอน ถา่ นหนิ ทีม่ คี าร์บอนผสม อยู่ในปริมาณสูงถือว่ามีความบริสุทธิ์มาก ซึ่งจะให้ความร้อนสูงเมื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง การนำถ่านหินไปใช้ ประโยชนต์ ้องผ่านกระบวนการกลนั่ สลายเสียกอ่ น การกลัน่ สลายถา่ นหนิ คอื การนำถ่านหนิ ไปเผาในทซ่ี ่งึ มีอากาศ จำกัด ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ไดนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นมากกว่าการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ที่ได้จากการกล่ัน สลายคือ ถ่านโคก๊ นำไปใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานถลุงแรเ่ หล็ก ยางมะตอย เป็นต้น ปัจจุบนั สามารถแบง่ ประเภทของถา่ นหนิ ตามลำดบั ชนั้ เปน็ 5 ชนิด ไดด้ ังนี้ 1) พีต (Peat) เป็นถ่านหินที่เกิดในลำดับแรก ๆ ของกระบวนการเกิดถ่านหินยังคงสภาพการ สะสมของซากพชื มักสะสมในกลุ่มที่ช้ืนแฉะ มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 60 และมีออกซิเจน ร้อยละ 30 พีตจะถกู แบคทเี รียแปรสภาพเปน็ อินทรียวัตถุ มคี วามช้นื สูง แตเ่ ม่ือแหง้ จะตดิ ไฟไดด้ ี 2) ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่พบมากที่สุดในประเทศไทย มีคุณภาพต่ำคือให้ความร้อนได้ ต่ำ คือจะใหค้ วามรอ้ นน้อยกวา่ 8,300 บีทีย/ู ปอนด์ มีขี้เถา้ จากการเผาไหม้มาก สีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ เน้ือแข็ง มคี วามชน้ื ต่ำ ไม่ค่อยมโี ครงสร้างของพชื เหลืออยู่ มคี ารบ์ อนเป็นองคป์ ระกอบอยู่ร้อยละ 55-65 แหล่งกำเนิดที่ สำคัญคอื เหมอื งแมเ่ มาะ จังหวัดลำปาง 3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีคุณภาพต่ำกว่าบิทูมินัส มีสีดำ มีอายุการสะสมนานกว่าลิกไนต์ มีคาร์บอนร้อยละ 65-80 มีความชื้นต่ำกว่า ลิกไนต์ เมื่อเผาจะให้ค่าความร้อน 8,300-13,000 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญ คือจังหวัดลำปางและ จังหวดั ลำพูน 4) บิทูมินัส (Bitumionous Coal) เป็นถ่านหินที่ให้ความรอ้ นน้อยกว่าแอนทราไซต์ เมื่อติดไฟ จะมีเปลวไฟเป็นสีเหลือง มีสีน้ำตาลถึงดำ มีคาร์บอนประกอบอยู่ร้อยละ 80-90 และมีสารระเหย (Volatile Matter) ประกอบอยู่ด้วย มีความชน้ื ต่ำ เม่อื เผาจะให้ความร้อนต้ังแต่ 10,500 บีทยี ู/ปอนด์ข้ึนไป มีควันมาก แหลง่ กำเนดิ ท่สี ำคัญไดแ้ ก่ อำเภอลี้ จงั หวัดลำพูน อำเภอแม่ระมาด จงั หวดั ตาก 5) แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถา่ นหินทมี่ คี ณุ ภาพดีทีส่ ดุ และใหค้ วามร้อนออกมาสูงสุด มี สีดำเนื้อแข็ง มีความวาว มีคาร์บอนประกอบร้อยละ 86 ขึ้นไป ติดไฟยากแต่เมื่อเผาแล้วไม่มีควัน ให้ค่าความ ร้อนสูงที่สุดถึง 15,500 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญอยู่ที่ก่ิงอำเภอนาด้วง จังหวัดเลย แต่เป็นเซมิแอนทรา ไซต์ (Semiantracite) คือมีคุณภาพไม่สงู มากนัก ประโยชน์ของพลังงานจากถ่านหิน การใช้ถ่านหินเป็นที่นิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลายเท่าตวั เมือ่ เกดิ วกิ ฤตราคาน้ำมนั ในปี พ.ศ. 2516 ทำใหม้ ีการใชถ้ า่ นหินเปน็ เชื้อเพลงิ ทดแทนน้ำมันมากขน้ึ ท้ัง การใช้เป็นเช้ือเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟา้ และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การใชป้ ระโยชนจ์ ากถา่ นหินอาจแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 2 ประเภท คือ 1. การใช้ถา่ นหนิ เปน็ เชอ้ื เพลิง ถา่ นหนิ สว่ นใหญ่จะถกู นำมาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์โดยตรงคือ ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จาก ขอ้ มูลของสำนกั นโยบายและแผนพนงั งานเมื่อปี พ.ศ. 2546 พบวา่ ในประเทศไทยใช้ถา่ นหินลิกไนตใ์ นการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 86 ส่วนที่เหลือร้อยละ 14 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามีการใช้
22 ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าประมารร้อยละ 64 ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดขึ้นมาได้นั้นจะถูกใช้เป็น เชอื้ เพลงิ ค่อนข้างมากโดยเฉพาะการผลิตกระแสไฟฟา้ 2. การใช้ถ่านหนิ เพือ่ วัตถปุ ระสงคอ์ นื่ มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การนำมาผลิต เปน็ ถ่านโคก้ เทยี ม ถ่านกมั มันต์ ป๋ยุ ยูเรีย หรือการนำมาสกดั เอาน้ำมันดิบ เปน็ ต้น 3. ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือ เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลอย่างหนึ่ง ซึ่งพบได้ในแอ่งใต้พื้นดินหรือ อาจพบร่วมกับน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ธาตุถ่านคาร์บอน (C) กับธาตุไฮโดรเจน (H) จับตัวกันเป็นโมเลกุล โดยเกิดขึ้นเองธรรมชาติ จากการทับถมของซากสิ่งมีชวี ติ ตามชั้นหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปมี าแลว้ เช่นเดยี วกบั น้ำมนั และเน่อื งจากความร้อนและความกดดันของผิวโลกจึง แปรสภาพเปน็ กา๊ ซ ก๊าซธรรมชาติ คือส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคาร์บอน และสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในสภาวะก๊าซสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนที่พบ ในธรรมชาติได้แก่ มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น สิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่พบ ในก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซลั ไฟด์ เป็นต้น ก๊าซธรรมชาติจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น (ยกเว้นกลิ่นที่เติมเพื่อให้รู้เมื่อเกิดการรั่วไหล) และไม่มีพิษ ในสถานะ ปกติมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศจึงเบากว่า อากาศ เมือ่ เกดิ การรวั่ ไหลจะฟุง้ กระจายไปตามบรรยากาศอยา่ งรวดเรว็ จงึ ไม่มกี ารสะสมลุกไหมบ้ นพ้นื ราบ การแยกก๊าซธรรมชาติ เราสามารถนำก๊าซธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ต่าง ๆ ไดโ้ ดยผา่ นกระบวนการแยก หรือแปรสภาพกา๊ ซ ธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติทำหน้าท่ีแยกก๊าซธรรมชาติ หรอื สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ซึ่งปะปนกนั หลาย ชนดิ ตามธรรมชาติออกมาเป็นกา๊ ซชนิดต่าง ๆ เพ่อื นำไปใช้ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตามคณุ ค่าของกา๊ ซนัน้ ภายใต้ กระบวนการแยกกา๊ ซ แตใ่ นการแยกกา๊ ซต้องใช้อณุ หภมู ติ ่ำมาก ทำให้สารประกอบเหล่าน้แี ขง็ ตวั และมผี ลทำใหท้ ่อ ตนั ดังนน้ั จึงต้องกำจดั โดยผา่ นกระบวนการดังนี้ 1. หนว่ ยกำจัดสารปรอทเนื่องจากกา๊ ซธรรมชาตใิ นอ่าวไทยมีสารปรอทปนอยู่ดว้ ย ดงั น้นั โรงแยกก๊าซต้อง มหี น่วยกำจดั สารปรอท เพื่อแยกสารประกอบออกจากกา๊ ซ 2. หน่วยกำจดั ความชืน้ การขจัดความช้ืนออกจากกา๊ ซธรรมชาตเิ ปน็ สงิ่ จำเป็นเพราะความช้นื หรือไอนำ้ จะกลายเป็นน้ำแขง็ เมอ่ื เข้ากระบวนการลดอุณหภูมซิ ึง่ จะทำใหท้ ่ออุดตัน ไอนำ้ จะถกู กำจัดดว้ ยวิธกี ารทางเคมีท่ี เรียกว่า กระบวนการกรองโมเลกุล ซ่ึงเปน็ สารท่ีมีรพู รุนสงู สามารถดดู ซับน้ำออกจากก๊าซ 3. หน่วยกำจัดกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ใชส้ ารละลายโปตสั เซียมคาร์บอเนต (K2CO3) ออกจากก๊าซ ธรรมชาตดิ ว้ ยดว้ ยการลดความดันเพิ่มอุณหภูมิทำให้คารบ์ อนไดออกไซด์ถูกปลอ่ ยออก การใช้ประโยชนจ์ ากก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้ได้โดยตรงด้วย การใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ สำหรบั ผลติ กระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอตุ สาหกรรม เชน่ อตุ สาหกรรมเซรามคิ อตุ สาหกรรม
23 สขุ ภัณฑ์ ฯลฯ และเมื่อนำไปอดั ใส่ถังดว้ ยความดันสูงก็สามารถนำไปใชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิ สำหรับรถยนตไ์ ด้ (NGV) และ นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ เพราะในตวั เนือ้ ก๊าซธรรมชาติ มีสารประกอบทเ่ี ปน็ ประโยชน์อยู่มากมาย เม่อื นำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซแลว้ กจ็ ะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ดังนี้ 1. ก๊าซมีเทน (C1) ใชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถัง ด้วยความดนั สูง เรียกว่า กา๊ ซธรรมชาตอิ ดั สามารถใช้เป็นเชือ้ เพลิงในรถยนต์ 2. ก๊าซอีเทน (C2) และก๊าซโพรเพน (C3) ใช้เป็นวตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นสามารถนำไปใช้ ผลิตเมด็ พลาสตกิ เส้นใยพลาสตกิ ชนิดตา่ ง ๆ เพือ่ นำไปใชแ้ ปรรูปตอ่ ไป 3. ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) นำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็น ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว (Liquefied petroleum Gas-LPG) หรอื ท่เี รยี กวา่ กา๊ ซหงุ ตม้ สามารถนำไปใช้เปน็ เช้ือเพลิง ในครวั เรอื น ใชเ้ ชอื่ มโลหะ และใช้ในอตุ สาหกรรมบางประเภทได้อกี ด้วย 4. ไฮโดรคาร์บอนเหลว อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตขึ้น มาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท สามารถขนสง่ โดยทางเรือหรือทางทอ่ นำไปกลนั่ เปน็ น้ำมนั สำเรจ็ รูปตอ่ ไป 5. ก๊าซโซลีนธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่น ผลผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่าน กระบวนการแยกจากโรงก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีน ธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังดรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมัน สำเรจ็ รูปได้เช่นเดียวกบั คอนเดนเสท และยังเป็นตัวทำละลายซึง่ นำไปใช้ในอตุ สาหกรรมบางประเภทได้เชน่ กัน 6. กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ เมอ่ื ผ่านกระบวนการแยกแลว้ จะถกู นำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่า น้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอดั ลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่าง การขนส่ง นำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทยี มและนำไปใช้สรา้ งควันในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ การแสดง คอนเสิร์ต หรอื การถ่ายทำภาพยนตร์ คณุ สมบตั ิของก๊าซธรรมชาติ 1. เปน็ เชอ้ื เพลงิ ปโิ ตรเลยี มชนดิ หนง่ึ เกิดจากการทบั ถมของสง่ิ มีชีวติ นับลา้ นปี 2. เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบด้วยกา๊ ซมีเทนเป็นหลกั 3. ไมม่ สี ี ไม่มีกล่ิน ปราศจากพษิ (สว่ นมากกลนิ่ ท่เี ราค้นุ เคยจากก๊าซธรรมชาตเิ ป็นผล มาก จากการเตมิ สารเคมีบางประเภทลงไป เพอื่ ใหผ้ ูใ้ ชร้ ู้ไดท้ ันทว่ งทเี ม่อื เกิดเหตุการณ์ก๊าซรว่ั ) 4. เบากว่าอากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เทา่ ของอากาศ) 5. ติดไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิท่ี สามารถติดไฟได้เองคอื 650 องศาเซลเซียส ขอ้ ดขี องก๊าซธรรมชาติ 1. เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์ และไมม่ กี ากของเชือ้ เพลิงหลงั จากการเผาไหม้ 2. กา๊ ซธรรมชาติไมท่ ำลายหรือกดั กร่อนอุปกรณ์ และวัสดใุ นกระบวนการผลติ
24 3. ลดการสรา้ งกา๊ ซเรือนกระจก ซ่ึงเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เนอ่ื งจากปล่อยความร้อน สู่บรรยากาศโลกนอ้ ยกวา่ เชอื้ เพลิงชนิดอ่นื 4. มคี วามปลอดภัยสูงในการใช้งาน เน่อื งจากเบากวา่ อากาศ จึงลอยขนึ้ เม่อื เกิดการร่ัว 5. มีราคาถูกกว่าเชือ้ เพลงิ ปโิ ตรเลียมอ่ืน ๆ เชน่ นำ้ มัน น้ำมันเตา และกา๊ ซปิโตรเลยี มเหลว 6. สามารถสรา้ งมลู ค่าเพ่ิม ช่วยขับเคลอื่ นการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ 7. ไมม่ ฝี ุ่นออกไซดข์ องกำมะถันและไนโตรเจนซงึ่ เปน็ อนั ตรายต่อสขุ ภาพและสิง่ แวดล้อม 8. ขนส่งโดยทางทอ่ ทำใหเ้ กิดความปลอดภยั ต่อชุมชนและสงิ่ แวดล้อมมากกวา่ เช้ือเพลิงชนิด อ่นื ซึ่งขนส่งทางรถยนตห์ รอื ทางเรือ 9. ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญท่ ี่ใช้ในประเทศไทยผลติ ไดเ้ องจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการ นำเขา้ พลงั งานเชอื้ เพลงิ อื่นๆ และประหยดั เงินตราต่างประเทศไดม้ าก 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ จงตอบคำถามต่อไปน้ใี หถ้ ูกต้อง 1.พลังงานมีประโยชน์ตอ่ การดำรงชวี ิตของมนุษย์ในดา้ นใด 2.จงบอกความหมายของคำว่าพลงั งาน 3.พลังงานมีก่ีประเภท ได้แกอ่ ะไรบ้าง 4.พลงั งานภายในได้แก่อะไรบ้าง 5.ร่างกายมนษุ ย์ตอ้ งการพลงั งานอะไร 6.พลังงานประภทใดใชแ้ ล้วไม่มวี นั หมด 7.พลงั งานท่ีไช้ในบนเรือนเป็นพลังงานรูปแบบใด 8.ถา่ นหินท่ีพบในประหไทยส่วนใหญเ่ ปน็ ถ่นหินประแภทใด 9.แหลง่ พลังงานจำแนกตามกระบวนการผลิตได้กี่ประเภท อะไรบ้าง 10.โทรทศั นส์ ี 1 น้ิว กินไฟ 43วัตต์ (จากแผ่นป้ายหลังเคร่ือง) ใชไ้ ฟฟ้าอย่ใู นระดบั 200 หนว่ p ต่อเดือน เสียค่าไฟเฉล่ยี หน่วยละ1.6บาท เปดิ ใช้ 5 ชัว่ โมงต่อวัน จะเสียค่าไฟเดือนละเทา่ ไร ข้อสอบประจำหน่วยที่ 1 เร่ือง พลงั งานและประเภทของพลงั งาน วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำช้แี จง: 1 ข้อสอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ใหน้ ักเรียนเขยี นเคร่ืองหมาย X ขอ้ ทีเ่ ห็นวา่ ถูกต้องที่สดุ เพยี งข้อเดยี วลงในกระดาษคำตอบ 1. ข้อใดคือความหมายของคำวา่ \"พลังงาน\" ก. สสารหรอื วัตถทุ ่ีมีพลังานอยู่ในตัว ข. ความสามารถในการทำงาน ค. สง่ิ ทสี่ ามารถปล่อยพลังงานได้เม่ือเปลย่ี นรปู ง. ความสามารถท่ีก่อใหเ้ กิดแรงงาน
25 2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่พลงั งานจากแหล่งฟอสซลิ ก. หินนำ้ มัน ข. แร่นวิ เคลียร์ ค. ถ่านหิน ง. พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ 3. ถ่านไฟฉายมีพลงั งานรูปแบบใด ก. พลงั งานกล ข. พลังงานจลน์ ค. พลังงานศักย์ ง. พลังงานเคมี 4. ขอ้ ใดเปน็ แหลง่ พลังงานทตุ ิยภมู ิ ก. ก๊าชธรรมชาติ ข. นำ้ มันดิบ ค. หินนำ้ มนั ง. น้ำมันปโี ตรเลียม 5. พลงั งานประเภทใดทจี่ ะมีความสำคญั ต่อไปในอนาคต ก. พลังงานจากฟอสซลิ ข. พลงั งานหมุนเวียน ค. พลงั งานปฐมภูมิ ง. พลังงานทตุ ยิ ภูมิ 6. ความรู้เร่ืองการเปลย่ี นรปู พลังงนนำไปช้ประโยนในการอนรุ ักษ์พลงั งานได้อย่างไร ก. คดิ ประดิษฐ์อุปกรณท์ ่ีประหยดั ไฟฟา้ ข. ตัตแปลงเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้ให้ประหยดั ไฟ ค. ปรบั ปรุงมาตรวดั ไฟฟ้าให้ประหยัดค่ไฟ ง ควบคมุ การเปลี่ยนรปู พลงั งนใหญเสยี พลงั งานน้อยที่สดุ 7. พลังงานหมนุ เวยี นประเภทใดทปี่ ระทศไทยจะนำมาใช้ประโยชน์มากข้ึนในอนาคต ก. ลม บ. แสงแดด ค. คล่ืน ง. ความร้อนใต้พิภพ 8. การเปลย่ี นรปู พลงั งานที่ทำให้สญู เสียพลงั งานน้อย ทำให้เกดิ ผลดใี นข้อใด ก. ประหยัดพลังงาน ข. ประหยัดคา่ ใชจ้ ย ค. ลดมลภาวะ ง. เครื่องใช้ไฟฟ้าทนทาน
26 9. กิจการใดนำพลงั านมาไข้มากท่สี ดุ ก. การเกษตรกรรม บ. การอตุ สาหกรรม ค. การคมนาคม ง. การบริการ 10. ประเทศท่พี ัฒนาแลว้ นยิ มนำพลงั งานดมาผลติ กระแสไฟฟ้า ก. พลังงานน้ำ ข. พลังงานก๊าชธรรมชาติ ค. พลงั งานถา่ นหนิ ง. พลงั งานนวิ เคลียร์ 5. เอกสารอา้ งองิ หนังสือเรียน วิชา พลังงาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม รหสั 20001-1002 สำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยแบบทดสอบ ฯ) 1. ข้อใดคือความหมายของคำว่า \"พลงั งาน\" ข. ความสามารถในการทำงาน 2. ขอ้ ใดไม่ใช่พลงั งานจากแหล่งฟอสซิล ง. พลังงานความร้อนใต้พิภพ 3. ถา่ นไฟฉายมีพลังงานรูปแบบใด ค. พลังงานศักย์ 4. ขอ้ ใดเป็นแหล่งพลังงานทุติยภูมิ ง. น้ำมันปีโตรเลียม 5. พลังงานประเภทใดท่จี ะมคี วามสำคัญต่อไปในอนาคต ข. พลังงานหมนุ เวียน 6. ความรูเ้ รือ่ งการเปลยี่ นรปู พลังงนนำไปช้ประโยนในการอนุรกั ษ์พลังงานได้อยา่ งไร ง ควบคุมการเปลี่ยนรปู พลังงานใหญเสยี พลงั งานน้อยท่สี ุด 7. พลงั งานหมนุ เวยี นประเภทใดที่ประทศไทยจะนำมาใช้ประโยชน์มากขนึ้ ในอนาคต ข. แสงแดด 8. การเปลยี่ นรูปพลงั งานที่ทำใหส้ ญู เสียพลงั งานน้อย ทำให้เกิดผลดีในข้อใด ก. ประหยัดพลงั งาน 9. กิจการใดนำพลงั านมาไข้มากท่ีสุด ค. การคมนาคม 10. ประเทศทีพ่ ัฒนาแล้วนยิ มนำพลังงานดมาผลติ กระแสไฟฟา้ ง. พลังงานนิวเคลยี ร์
ใบงาน ท่ี ........ 1........ 27 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี หนว่ ยที่......บทท่ี 1.... รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม สอนครั้งท่.ี ...1...... ชือ่ งาน........พลงั งานและประเภทของพลงั งาน เวลา.........2.........ชม. 1. จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ผูเ้ รยี นสามารถแยกแยะชนิดของพลังงาน และการเปลีย่ นรูปจากพลงั งานอะไรเป็นพลังงานอะไรได้ 2. สมรรถนะ ผู้เรยี นสามารถระบุ ชนิดของพลังงาน และการเปลี่ยนรูปจากพลงั งานอะไรเป็นพลังงานอะไรได้ ถูกต้อง 3. เครอื่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์ ภาพกจิ กรรมการใช้พลงั งาน 4. คำแนะนำ - 5. ข้อควรระวัง - 6. ลำดับขน้ั (การทดลอง/การปฏบิ ตั ิงาน) 1.ผเู้ รยี นพิจารณารูปภาพทกี่ ําหนดให้ แล้วบอกกิจกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั การใช้พลังงาน มาไม่น้อยกว่าภาพละ 7 กิจกรรม พร้อมทงั้ ระบุความหมายของพลังงาน 2.ผู้เรียนพจิ ารณาภาพตามที่กำหนดใหว้ ่ามพี ลงั งานอะไรมาเก่ยี วข้องบ้าง และรปู ภาพใดว่ามีการเปล่ียนแปลง พลังงานบา้ ง 3.ผู้เรยี นวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปล่ียนรปู พลังงานมา 2 ภาพ และระบวุ ่าเปลย่ี นรปู จากพลังงานอะไรเปน็ พลังงานอะไร 7. ผลการศึกษา - ดูจากกจิ กรรมท่นี กั เรียนทำ และสามารถระบุพลังงานท่เี ปลย่ี นรูปไดถ้ ูกต้อง 8. สรปุ และวจิ ารณ์ผล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ........ ............................................................................................................................................................ 9. การประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
28 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม หนังสือเรยี นวิชา พลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มสำนักพมิ พเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ นต็
29 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 1 หลักสตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ สอนครั้งที่ 1 (1-2) รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ/ พลงั งานและประเภทของพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคัญ พลงั งานมีความสําคัญต่อสิ่งมีชวี ิตมากเพราะสิ่งมีชีวิตจะดาํ รงอยู่ได้ต้องอาศัยพลงั งาน เพ่ือทําให้เกดิ กระบวนการและปฏกิ ิริยาต่างๆ ในเซลล์ของสง่ิ มีชวี ิตท่ีเรียกว่า กระบวนการเมตาบอลซิ ึม ถ้าหากไม่ได้รับพลงั งาน เซลล์ที่เปน็ ส่วนประกอบของส่งิ มีชวี ติ จะตายทาํ ให้สง่ิ มชี วี ิตต้องตายไปด้วย นอกจากส่งิ มีชวี ติ จะใช้พลงั งานในรปู ของ สารอาหารในการดำรงชวี ติ แล้ว ยงั มกี ารใช้พลังงานในรูปแบบอน่ื ๆ เช่น ความร้อน แสงสว่าง เป็นต้น 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรียนสามารถวิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลงั งานได้ 2.นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์รูปของพลังงาน และการเปลย่ี นรปู พลงั งานได้ 3.นักเรยี นสามารถวเิ คราะหก์ ารสญู เสียพลงั งานได้ 4.นักเรยี นสามารถอธบิ ายแหล่งพลงั งานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.บอกจุดประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า และคำอธิบายรายวชิ าตามหลักสตู รฯ ได้ 2.บอกแนวทางวดั ผลและการประเมินผลการเรียนรู้ได้ พลงั งานและประเภทของพลังงาน 1.วิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะห์รูปของพลงั งาน และการเปลี่ยนรปู พลังงาน 3.วเิ คราะห์การสูญเสียพลงั งาน 4.อธิบายแหลง่ พลังงานและหนว่ ยพลงั งาน 5.มกี ารพัฒนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้สำเร็จการศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ท่ีครูสามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเรือ่ ง 5.1 ความมีมนุษยสมั พันธ์ 5.2 ความมวี นิ ยั 5.3 ความรับผดิ ชอบ 5.4 ความซ่อื สัตย์สจุ รติ 5.5 ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง 5.6 การประหยดั 5.7 ความสนใจใฝ่รู้ 5.8 การละเวน้ สิง่ เสพติดและการพนัน 5.9 ความรักสามัคคี 5.10 ความกตัญญูกตเวที 5.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาสิง่ แวดลอ้ ม ใจอาสา
30 4. สาระการเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวชิ าและคำอธิบายรายวชิ า 2. แนวทางวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ พลังงานและประเภทของพลังงาน 1.พลังงานเพ่ือชวี ิต 2.ความหมายของพลังงาน 3.ประเภทของพลงั งาน 4.แหล่งของพลงั งาน 5.หนว่ ยพลงั งาน 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท่.ี ..1........) ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.ครผู ู้สอนแนะนำจุดประสงค์ทผ่ี ูเ้ รยี นจะได้จากหลักสูตร โดยกำหนดใหผ้ ู้เรยี นทุกคนต้องเข้าใจหลกั การวธิ กี าร ป้องกนั แก้ไขปัญหาและการอนรุ ักษ์พลงั งาน ทรัพยากร และส่งิ แวดลอ้ ม สามารถประยุกตใ์ ช้หลักการและวธิ กี ารเพือ่ ป้องกนั แก้ไขปัญหาและอนุรกั ษพ์ ลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มในงานอาชีพ มีเจตคติทดี่ ีตอ่ การอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในงานอาชพี 2.ครสู นทนากบั เรยี นเรียนถึงพลังงาน (Energy) เปน็ ส่ิงจำเป็นสำหรับมนุษยท์ ุกคน นอกจากน้ีพลังงานยังมี ประโยชนต์ ่อการดำรงชวี ติ ของมนุษย์หลายๆ ดา้ น 3.ครูสนทนากับผู้เรียนเพอื่ ให้เห็นความสำคญั ของการเรยี นวิชาพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม ขัน้ สอน 4.ผเู้ รยี นรับฟงั คำชี้แจงสงั เขปรายวิชาและการวัดประเมนิ ผล ซักถามขอ้ ปญั หารวมทั้งแสดงความ คดิ เหน็ เก่ยี วกับการเรยี นวชิ าน้ี 5.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบ Discussion Method คอื การจัดการเรยี นรู้แบบอภปิ รายพลงั งานเพ่ือชีวิต ซง่ึ พลังงานหมายถึงพลงั ตา่ งๆ ทที่ ำมาใชใ้ ห้เกิดเป็นงานตามพระราชบญญั ตักิารพฒนั าและสง่ เสรมิพลงังาน พ.ศ. 2535 พลงั งาน หมายถึง ความสามารถในการทํางานซงึ่ มีอย่ใู นตัวของส่งิ ของ ที่อาจใหง้ านได้ ไดแ้ ก่ พลงั านหมนุ เวยี น และพลงั านส้ินเปลือง เชน่ เช้ือเพลงิ ความรอ้ น ไฟฟ้า เปน็ ต้น 6.ครูใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกลมุ่ ย่อย คือ กระบวนการเรียนรู้ทผ่ี ู้สอนจดั กลมุ่ ผู้เรยี นออกเปน็ กลุม่ ยอ่ ยประมาณ 4 – 8 คน ใหผ้ ู้เรียนในกลุม่ มีโอกาสสนทนา แลกเปลยี่ นข้อมูลความคดิ เห็น ประสบการณ์ในเร่อื ง 6.1.พลังงานเพื่อชวี ติ 6.2.ความหมายของพลงั งาน 6.3.ประเภทของพลงั งาน 6.4.แหล่งของพลังงาน 6.5.หนว่ ยพลังงาน
31 4.ครแู ละผู้เรยี นใช้เทคนิคการสอนแบบ Lecture Method การจัดการเรียนรแู้ บบบรรยาย คือ กระบวนการ เรยี นรู้ทผี่ ู้สอนเปน็ ผถู้ า่ ยทอดความรใู้ ห้แก่ผู้เรยี นโดยการพูดบอกเลา่ อธบิ ายเนื้อหาเรอ่ื งประเภทของพลังงาน ได้แก่ พลังงานศักย์ พลงงั านจลน์ และพลังงานภายใน พลังงานสามารถเปลยี่ นจากรูปแบบหนงึ่ ไปส่อู ีกรูปแบบหนึ่ง เชน่ การหงุ ตม้ อาหาร มกี ารเปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีไปเป็นพลังงานความร้อน เมือ่ มีการเปลีย่ นรูปพลงั งานมาก จะย่งิ มี การสูญเสียพลงั งานมาก หลกั การประหยดั พลังงานคือ การทําให้กระบวนการเปลี่ยนรูปพลังงานมีการสญู เสยี พลงั งาน ในรูปแบบท่ีไม่ต้องการให้น้อยท่ีสดุ 5.ผูเ้ รยี นพจิ ารณารปู ภาพทกี่ ําหนดให้ แลว้ บอกกจิ กรรมท่เี กี่ยวขอ้ งกับการใช้พลงั งาน มาไม่น้อยกว่าภาพละ 7 กิจกรรม พร้อมทง้ั ระบคุ วามหมายของพลังงาน 6.ผเู้ รยี นพจิ ารณาภาพตามท่ีกำหนดให้วา่ มพี ลังงานอะไรมาเกีย่ วข้องบ้าง และรูปภาพใดว่ามกี ารเปล่ียนแปลง พลังงานบา้ ง 8.ผู้เรียนวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปล่ียนรปู พลังงานมา 2 ภาพ และระบุวา่ เปล่ยี นรูปจากพลังงานอะไรเป็น พลงั งานอะไร 9.ผู้เรยี นทำกิจกรรมตามที่ครูกำหนดเกีย่ วกบั พลงั งาน ข้นั สรปุ และการประยุกต์ 10.ผู้เรียนวางแผนการเรยี น และนำความรู้ท่ไี ดจ้ ากรายวิชาไปประยุกต์ใช้กับงานในชีวติ ประจำวันทจ่ี ำเปน็ โดยทัว่ ไป ซ่งึ ทุกคนจะต้องวางแผนการทำงานตา่ ง ๆ ในอนาคต 11.ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกนั สรปุ เน้ือหาทเ่ี รียนเก่ยี วกับพลงั งานเพ่อื ชีวติ ความหมายของพลังงาน ประเภทของ พลังงาน แหลง่ ของพลังงาน และหนว่ ยพลังงาน โดยการถามตอบ และจัดกิจกรรมประกอบ 12.ครแู นะนำเพ่ิมเติมใหผ้ ้เู รยี นเขยี นบญั ชีแสดงรายรบั -รายจ่ายในชีวติ ประจำวนั เพอื่ สรา้ งนสิ ัยความ พอเพียงให้แก่ตนเองและครอบครวั 13.ผเู้ รียนทำกิจกรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 14.สรปุ โดยการถาม-ตอบ เพื่อประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันและประเมนิ ผูเ้ รยี นตามแบบฟอรม์ ต่อไปนี้ ช่อื ผเู้ รียน ประสบการณ์พ้นื ฐานการเรียนรู้ วธิ ีการเรยี นรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5.
32 6. ส่อื และแหล่งการเรียนรู้ 1.หนงั สอื เรียน วชิ าพลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม ของสำนักพิมพเ์ อมพันธ์ 2.ส่อื Power Point, วีดีทศั น์ 3.กิจกรรมการเรียนการสอน 4.รปู ภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บันทึกการสอนของผ้สู อน 2.ใบเชค็ รายช่ือ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วธิ กี าร 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบตั ิ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมือ 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรียน) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมินกิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครูและผู้เรียนรว่ มกัน ประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรงุ 2. เกณฑ์ผ่านการประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุม่ คือ ปานกลาง (50 % ขนึ้ ไป) 3. เกณฑ์ผา่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุม่ คือ ปานกลาง (50% ขนึ้ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรูม้ ีเกณฑผ์ ่าน และแบบฝกึ ปฏิบัติ 50% 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงานมีเกณฑ์ผ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กบั การประเมินตามสภาพจริง
33 9.บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................. ................................................................ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาทพี่ บ .................................................................................................... .............................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ............. ............................................................................................................................... ................... ............................................................................................... ................................................... 9.3 แนวทางแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................. ..................................... ........................................................................................................................................... ....... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .....................
34 ใบความรทู้ ี่ .....1........... หน่วยท.่ี ...บทที่ 1 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท.่ี .....1 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม ช่ือเรอื่ ง พลงั งานและประเภทของพลังงาน 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.วิเคราะหแ์ ละสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะห์รปู ของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วเิ คราะห์การสูญเสยี พลังงาน 4.อธบิ ายแหลง่ พลงั งานและหน่วยพลังงาน 2. สมรรถนะ 1.นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์และสรุปความหมายของพลังงานได้ 2.นักเรยี นสามารถวเิ คราะหร์ ูปของพลังงาน และการเปลี่ยนรูปพลงั งานได้ 3.นกั เรียนสามารถวิเคราะห์การสญู เสียพลังงานได้ 4.นักเรียนสามารถอธบิ ายแหล่งพลังงานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. เนื้อหาสาระ 1. ความหมายของพลังงานและสิง่ แวดลอ้ ม พลังงาน หมายถงึ ความสามารถของส่งิ ใดสงิ่ หนึ่งทจ่ี ะทำงานได้ งาน (Work) เป็นผลของการกระทำ ของแรงเป็นเหตุให้สิ่งนั้นเคลื่อนท่ี เชน่ เปลวไฟท่ีเผากาน้ำจะเปล่ียนน้ำให้เป็นไอน้ำและแรงดันไอน้ำจะดันฝากาน้ำ เผยอขึ้นได้ งานเช่นนี้ เรียกว่า พลังงาน รถไฟเคลื่อนที่ได้เพราะมีพลังงานมนุษย์เดินได้เพราะพลังงาน พลังงาน สามารถแปรรูปไปเป็นงานได้ เช่น พลังงานความร้อน ทำให้น้ำกลายเป็นไอและไอนี้ไปช่วยให้เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานได้ พลังงานไฟฟา้ ใชใ้ นการปั่นมอเตอร์ พลังงานอะตอมใชใ้ นการขบั เคลอื่ นเรือรบและเรือรบดำน้ำ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 2.1 พลังงานใช้แล้วหมด หรือที่นักวิชาการเรียกกันว่า พลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมนั รวมท้งั หนิ นำ้ มนั ทรายน้ำมัน ถ่านหนิ และก๊าซธรรมชาติ ที่เรียกวา่ ใช้แลว้ หมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทัน การใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ขุดขึ้นมาใช้ตอนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึง เรียกวา่ พลงั งานสำรอง 2.2 พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก (ชาน)อ้อย ชวี มวล (เช่น มลู สตั ว์ และกา๊ ซชวี ภาพ) นำ้ (จากเขื่อนไหลมาหมุนกงั หนั ปนั่ ไฟ) แสงอาทิตย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าได้) ลม (หมนุ กงั หนั ลมผลิตไฟฟา้ ) และคลืน่ (กระแทกให้กังหนั หมุนปั่นไฟ) และทวี่ ่าใช้ไม่หมดก็เพราะ สามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟืน หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเลกลาง เปน็ ไอและเปน็ ฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรือแสงอาทติ ยท์ ไี่ ด้รบั จากดวงอาทติ ย์อย่างไม่มวี นั หมดสนิ้ ความสำคัญของพลังงาน มนษุ ย์นำพลงั งานมาใช้ในการดำรงชีวิตต้ังแต่สมัยโบราณ เรมิ่ จากการใช้ไฟฟ้าที่เกดิ จากการเสียดสี ของไมห้ รอื หนิ เพื่อให้เกิดความอบอุ่น แสงสว่างและการหงุ ตม้ อาหาร มนษุ ย์เริม่ รู้จักทำกงั หนั วิดน้ำ ทำกังหันลมมา
35 เพื่อยกของหนักและบดเมล็ดธัญพืช พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมสวัสดิภาพและความผาสุกของ ประชาชนแต่ละประเทศทั่วโลก พลังงานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศทั้งทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันมีการใช้พลังงานมากขึ้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขา เช่น อตุ สาหกรรม การคมนาคมขนสง่ การไฟฟา้ เป็นต้น 2. ความสมั พันธข์ องพลงั งานและส่งิ แวดล้อมกบั การดำรงชีวิตของมนษุ ย์ พลังงานกบั การดำรงชวี ิตของมนุษย์ - พลังงานไฟฟ้า ไฟฟ้าคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกแปรรูปเพื่อจัดส่งไปยังที่ต่าง ๆ โดยใช้สายไฟฟ้าเป็นตัว นำไป พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมนุษย์นำมาใช้มากที่สุด นับแต่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์ หลอดไฟสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2422 แล้ว ไฟฟ้าก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของคนโดยเฉพาะสังคมใน เมือง การติดต่อส่ือสาร การคมนาคมขนสง่ การให้ความรู้ การศกึ ษา การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเพม่ิ ผลผลิต การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหล่งบันเทิง การผลิตสินค้าและการขายสินค้า เหล่านี้ต้องอาศยั พลังงานไฟฟ้าทงั้ สน้ิ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้สอยในชีวิตประจำวัน ล้วนต้องการพลังงานในการทำงาน เช่น หลอดไฟก็ต้องการไฟฟ้าเพื่อส่องสว่าง รถยนต์ก็ต้องการน้ำมันเพื่อการขับเคลื่อน แม้แต่รถจักรยานยังตอ้ งการแรง ถีบ แต่การจะส่งพลังงานต่อไปยังพื้นที่ห่างไกล การจะนำไปส่งให้อย่างง่ายท่ีสุดคือ การแปลงพลังงานอ่ืน ๆ เป็น พลังงานไฟฟ้า และส่งไปตามสายไฟฟ้า นอกจากนี้เทคโนโลยดี ้านเคร่ืองใช้ไฟฟ้าไดม้ ีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังท่ี เห็นได้รอบตัวในทุกวันนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อทำกิจกรรมใน ชวี ติ ประจำวัน การผลติ ไฟฟ้าในปัจจุบนั และอนาคต การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า ด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ สามารถเสริมกำลังผลิตแก่กันได้ โดยในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2550 จะใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซ ธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือลิกไนต์ ถ่านหิน พลังน้ำ รับซื้อจากต่างประเทศ น้ำมันเตา และพลังงาน หมุนเวียน ตามลำดบั สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรม ภายในประเทศกำลงั เจรญิ กา้ วหน้าประกอบกบั รฐั บาลมีนโยบายแน่นอนทีจ่ ะขยายการพัฒนาไฟฟา้ ไปส่ชู นบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผนหลักและแผน ทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษา และวิจัยพลังงานตามธรรมชาติอื่น ๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ สำหรับการผลิตไฟฟา้ ในอนาคตอกี ด้วย - พลังงานเชอ้ื เพลิงสำหรบั ยานพาหนะ พลังงานเชอ้ื เพลิงที่ได้ใชเ้ ป็นน้ำมนั เช้อื เพลิงชนดิ ต่าง ๆ เติมยานพาหนะไดแ้ ตกต่างกนั ไป ดงั น้ี 1. กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพจี ี ใชส้ ำหรับรถยนต์
36 2. น้ำมันเบนซิน (ก๊าซโซลีน) น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน เช่น รถยนต์ส่วน บุคคล รถจักรยานยนต์ 3. นำ้ มันเคร่ืองบนิ ใช้สำหรับเคร่อื งบินใบพดั เคร่อื งบนิ ไอพน่ 4. น้ำมนั ดเี ซล น้ำมนั เช้ือเพลิงสำหรบั เครือ่ งยนตด์ ีเซล แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื 1) น้ำมันดีเซลหมนุ เร็ว หรือ น้ำมันโซล่า ใช้สำหรบั เครื่องยนต์ดเี ซลรอบหมนุ เร็วที่ใช้กับ ยานยนต์ เชน่ รถยนต์ รถบรรทกุ เรือประมง รถแทรกเตอร์ และเครือ่ งจักรกลหนัก 2) น้ำมันดีเซลหมุนช้า หรือ น้ำมันขี้โล้ สำหรับเครือ่ งยนต์ดเี ซลรอบหมุนปานกลางหรอื รอบหมนุ ช้า เช่น เครอื่ งยนต์ดเี ซลขับส่งกำลงั ตดิ ตัง้ อยูก่ บั ทตี่ ามโรงงานต่าง ๆ 5. ไบโอดีเซล เป็นเชื้อเพลงิ ดเี ซลทางเลือกทีผ่ ลติ จากแหลง่ ทรพั ยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมัน พืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย มีคุณสมบัติการเผาไหม้เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก สามารถใช้แทนกันได้ สามารถยอยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เปน็ พษิ 6. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ หรือที่นิยมเรียกว่า E10 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่เกิดจาก การผสมระหวา่ ง นำ้ มนั เบนซนิ 90% กบั แอลกอฮอล์ 10% 7. น้ำมันเตา นำมาใช้เปน็ เชื้อเพลิงสำหรับเรือและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังสามารถใช้กบั เครื่องยนต์ดีเซลรอบปานกลาง น้ำมันเตาช่วยลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากการเผาไหม้ที่ออกสู่บรรยากาศของ โรงงานอตุ สาหกรรม - พลงั งานเพ่ือการประกอบอาหาร ในการประกอบอาหารจำเป็นต้องทำให้อาหารนัน้ สุกเสียก่อน โดยใช้พลังงานความร้อน พลังงาน ความร้อนที่ใช้ในอดีตมักใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แกลบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้พลังงาน ความร้อนที่ได้มากจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นั่นคือ ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน หรือที่เรียกว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรอื ก๊าซแอลพจี ี (liquefied Petroleun Gas-LPG) แหล่งของพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานเป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิดพลังงานในการทำงานได้ แหล่งกำเนิดพลังงาน มี ความหมายถึง สสารหรือวัตถุที่มีพลังงานอยู่ในตัวเอง และจะถ่ายเทหรือปลดปล่อยพลังงานที่มีออกมาเมื่อผ่าน กระบวนการแปรรูป ส่งผลให้ตัวมันเองมีความสามารถในการทำงานได้ เช่น เชื้อเพลิง ต่างๆ (ถ่านหิน น้ำมัน เป็นต้น) เมื่อถูกเผาไหม้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีจากนั้นจะให้พลังงานออกมา ซ่ึงพลังงานที่ได้ออกมาเป็นพลังงานความ ร้อน เป็นต้น โดยทั่วไปแหล่งกำเนิดพลังงานจะมีมวล (Mass) มีตัวตน แหล่งกำเนิดพลังงานแบ่งออกได้หลาย ประเภท ในบทนี้จะกลา่ วถงึ พลังงานทมี่ าจากฟอสซลิ (Fossil fuels) ซงึ่ หมายถงึ แหล่งกำเนิดพลังงานท่มี ตี ้นกำเนิด มาจากการทับถมของซากพืชซากสตั ว์หรือที่เรียกกันว่าแร่ฟอสซลิ แหล่งกำเนิดพลังงานชนิดนี้เมื่อนำมาใช้แล้วจะ หา หรือผลิตทดแทนไม่ได้ หรือต้องใช้เวลานานมากจึงจะผลิตมาทดแทนได้ เป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป แหล่งกำเนดิ พลงั งานประเภทน้ี ไดแ้ ก่
37 1. ปิโตรเลียม (Petroleum ปิโตรเลยี ม (Petroleum) หรือเรยี กอีกอยา่ งว่า น้ำมนั ดบิ เกิดจากการทับถมและสลายตวั ของ อินทรียสารจากพืชและสัตว์ที่คลุกเคล้าอยู่กับตะกอนในชั้นกรดวดทรายและโคลนตมใต้พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปนับ ล้านปี ตะกอนเหล่านี้จะจมตัวลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ถูกอัดแน่นด้วยความดันและความ รอ้ นสูง และมีปริมารออกซิเจนจำกัด จึงสลายตัวเปลี่ยนสภาพเป็นแกส๊ ธรรมชาติและน้ำมันดิบแทรกอยู่ระหว่างชั้น หินทีม่ ีรพู รนุ ปิโตรเลียมจากแหลง่ ต่างกันจะมีปริมารของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน รวมทั้งสารประกอบของกำมะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดของซากพืชและสัตว์ที่เป็นต้นกำเนดิ ของปิโตรเลยี ม และ อิทธิพลของแรงท่ที บั ถมอยบู่ นตะกอน ปิโตรเลยี มทเ่ี กดิ อยใู่ นชน้ั หนิ จะมีการเคล่ือนตวั ออกไปตามรอยแตกและรูพรุน ของหินไปสู่ระดับความลึกน้อยกว่า แล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุนมีโพรงหรือรอยแตกในเนื้อหินท่ี สามารถให้ปิโตรเลยี มสะสมตวั อยู่ได้ ด้านบนเป็นหินตะกอนหรือหินดินดานเน้ือแนน่ ละเอียดปิดกั้นไม่ให้ปิโตรเลียม ไหลลอดออกไปได้ โครงสร้างปิดกน้ั ดงั กล่าวเรียกวา่ แหลง่ กักเก็บปโิ ตรเลยี ม การใช้ประโยชน์จากปโิ ตรเลยี ม การนำปโิ ตรเลยี มไปใชป้ ระโยชน์ในรูปแบบตา่ ง ๆ สรปุ ได้ดังนี้ - ใช้ในการขนส่ง ประมาณร้อยละ 46 ของปิโตรเลียมได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนต์ในระบบเคร่ืองยนต์เผาไหม้ภายใน ซึ่งได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบินและไอพ่น น้ำมัน เตาสำหรับรถไฟ และเรือ - ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากใช้น้ำมันเตา และแก๊สธรรมชาติในโรงงาน อุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน แก๊สหุงต้ม และในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ซึ่ง ส่วนมากจะใชน้ ำ้ มนั เบา เป็นเชือ้ เพลิง - ใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อน และให้แสงสว่าง น้ำมันหนัก มักจะมีการนำมาใช้ในเครื่องกำเนิดความ ร้อนของประเทศในแถบหนาว สำหรบั โรงงาน สำนักงาน และทพ่ี ักอาศัย น้ำมันเบาก็มคี วามสำคญั เช่นกนั อาทิ น้ำมนั ก๊าด ใช้เป็นเชอื้ เพลงิ ให้แสงสวา่ ง และหงุ ตม้ ในท้องถ่นิ ที่ยงั ไม่เจริญหรืออยหู่ ่างไกลแกส๊ โพรเพน และบิวเบน ใช้เปน็ เช้ือเพลงิ หงุ ตม้ ในครัวเรอื น - ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น ประมาณร้อยละ 1-2 ของน้ำมันดิบที่ผ่านกระบวนการกลั่น จะได้รับการแปร สภาพไปเปน็ น้ำมันหลอ่ ล่ืน และจาระบี สำหรับการขนส่งเคร่ืองยนตแ์ ละโรงงานอุตสาหกรรม - ประโยชนอ์ ืน่ ๆ อาทิเช่น แอสฟลั ต์ บทิ ูเมน นำ้ มนั ดนิ ใช้ราดถนน ฉาบหลังคา และใช้เป็นสารกันน้ำ ขี้ผงึ้ ใชท้ ำเทียนไข วัสดุกันซึม วสั ดุขัดมนั และเปน็ เช้อื เพลงิ ให้แสงสว่าง - สารปิโตรเลียม ปิโตรเลียมใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะนำไปสู่การผลิต พลาสติกและสารสังเคราะห์มากมายหลายชนิด เส้นใยสังเคราะห์ และส่ิงทอสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สาร คาร์บอนดำ ฯลฯ
38 2. ถ่านหิน (Coal) ถา่ นหนิ (Coal) เปน็ เชื้อเพลิงที่มีปรมิ าณมากทส่ี ุดของประเทศไทย คอื ราว 2 ใน 3 ของเช้ือเพลิงท้ังหมด ถ่านหิน เป็นสารประกอบคาร์บอนที่เกิดจากการสะสมตัวของซากพืซตามธรรมชาติ และเกิดปฏิกิริยาทางชีววิทยา และทางเคมี ภายใต้ความกดดันสูงจนทำให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงเป็นสารประกอบคาร์บอน ถ่านหนิ ทม่ี คี าร์บอนผสม อยู่ในปริมาณสูงถือว่ามีความบริสุทธิ์มาก ซึ่งจะให้ความร้อนสูงเมื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง การนำถ่านหินไปใช้ ประโยชน์ต้องผา่ นกระบวนการกลั่นสลายเสียก่อน การกลนั่ สลายถ่านหนิ คอื การนำถ่านหินไปเผาในท่ซี ึง่ มีอากาศ จำกัด ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ไดนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นมากกว่าการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ที่ได้จากการกล่ัน สลายคือ ถ่านโค๊ก นำไปใช้เป็นเช้ือเพลิงในงานอตุ สาหกรรมต่างๆ เชน่ โรงงานถลงุ แรเ่ หล็ก ยางมะตอย เป็นต้น ปจั จบุ ันสามารถแบ่งประเภทของถ่านหนิ ตามลำดับช้นั เป็น 5 ชนิด ไดด้ ังนี้ 1) พีต (Peat) เป็นถ่านหินที่เกิดในลำดับแรก ๆ ของกระบวนการเกิดถ่านหินยังคงสภาพการ สะสมของซากพืช มกั สะสมในกลุ่มท่ีช้ืนแฉะ มีคารบ์ อนเป็นองค์ประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 60 และมีออกซิเจน ร้อยละ 30 พีตจะถกู แบคทเี รียแปรสภาพเป็นอนิ ทรียวตั ถุ มีความช้นื สูง แต่เมือ่ แหง้ จะติดไฟไดด้ ี 2) ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่พบมากที่สุดในประเทศไทย มีคุณภาพต่ำคือให้ความร้อนได้ ต่ำ คอื จะให้ความรอ้ นน้อยกว่า 8,300 บีทีย/ู ปอนด์ มีข้เี ถา้ จากการเผาไหม้มาก สีน้ำตาลเข้มจนถงึ ดำ เนื้อแข็ง มคี วามชนื้ ตำ่ ไมค่ ่อยมโี ครงสร้างของพชื เหลืออยู่ มีคารบ์ อนเป็นองค์ประกอบอยู่ร้อยละ 55-65 แหล่งกำเนิดท่ี สำคัญคือ เหมืองแมเ่ มาะ จังหวดั ลำปาง 3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีคุณภาพต่ำกว่าบิทูมินัส มีสีดำ มีอายุการสะสมนานกว่าลิกไนต์ มีคาร์บอนร้อยละ 65-80 มีความชื้นต่ำกว่า ลิกไนต์ เมื่อเผาจะให้ค่าความร้อน 8,300-13,000 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญ คือจังหวัดลำปางและ จังหวดั ลำพูน 4) บิทูมินัส (Bitumionous Coal) เป็นถ่านหินที่ให้ความรอ้ นน้อยกว่าแอนทราไซต์ เมื่อติดไฟ จะมีเปลวไฟเป็นสีเหลือง มีสีน้ำตาลถึงดำ มีคาร์บอนประกอบอยู่ร้อยละ 80-90 และมีสารระเหย (Volatile Matter) ประกอบอยดู่ ้วย มคี วามช้นื ต่ำ เม่ือเผาจะให้ความร้อนตั้งแต่ 10,500 บีทียู/ปอนด์ข้ึนไป มีควันมาก แหลง่ กำเนิดทส่ี ำคัญไดแ้ ก่ อำเภอล้ี จงั หวดั ลำพูน อำเภอแม่ระมาด จังหวดั ตาก 5) แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินท่ีมคี ุณภาพดีท่ีสุดและใหค้ วามร้อนออกมาสูงสุด มี สีดำเนื้อแข็ง มีความวาว มีคาร์บอนประกอบร้อยละ 86 ขึ้นไป ติดไฟยากแต่เมื่อเผาแล้วไม่มีควัน ให้ค่าความ ร้อนสูงทีส่ ดุ ถึง 15,500 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดท่ีสำคญั อยู่ท่ีก่ิงอำเภอนาด้วง จังหวัดเลย แต่เป็นเซมิแอนทรา ไซต์ (Semiantracite) คือมีคณุ ภาพไม่สงู มากนัก ประโยชนข์ องพลังงานจากถ่านหิน การใช้ถ่านหินเป็นที่นิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่งเพิ่มมากข้ึน หลายเทา่ ตวั เมอื่ เกิดวกิ ฤตราคานำ้ มนั ในปี พ.ศ. 2516 ทำให้มีการใชถ้ ่านหินเปน็ เช้อื เพลิงทดแทนน้ำมนั มากขึ้น ท้ัง การใช้เปน็ เช้ือเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟา้ และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การใช้ประโยชนจ์ ากถ่านหินอาจแบ่งได้หลัก ๆ เปน็ 2 ประเภท คือ
39 1. การใชถ้ ่านหนิ เป็นเช้อื เพลงิ ถ่านหนิ ส่วนใหญจ่ ะถูกนำมาใช้ให้เกดิ ประโยชนโ์ ดยตรงคือ ใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จาก ขอ้ มลู ของสำนักนโยบายและแผนพนังงานเม่ือปี พ.ศ. 2546 พบวา่ ในประเทศไทยใช้ถา่ นหนิ ลิกไนตใ์ นการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 86 ส่วนที่เหลือร้อยละ 14 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามีการใช้ ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าประมารร้อยละ 64 ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดขึ้นมาได้นั้นจะถูกใช้เป็น เช้ือเพลงิ ค่อนขา้ งมากโดยเฉพาะการผลติ กระแสไฟฟา้ 2. การใช้ถ่านหนิ เพอื่ วัตถปุ ระสงค์อ่ืน มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การนำมาผลิต เป็นถ่านโคก้ เทยี ม ถา่ นกมั มันต์ ป๋ยุ ยูเรยี หรอื การนำมาสกดั เอานำ้ มันดิบ เปน็ ตน้ 3. ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือ เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลอย่างหนึ่ง ซึ่งพบได้ในแอ่งใต้พื้นดินหรือ อาจพบร่วมกับน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ธาตุถ่านคาร์บอน (C) กับธาตุไฮโดรเจน (H) จับตัวกันเป็นโมเลกุล โดยเกิดขึ้นเองธรรมชาติ จากการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตตามชั้นหิน ดนิ และในทะเลหลายร้อยล้านปีมาแลว้ เชน่ เดยี วกบั น้ำมัน และเนื่องจากความร้อนและความกดดันของผิวโลกจึง แปรสภาพเปน็ ก๊าซ ก๊าซธรรมชาติ คือส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคาร์บอน และสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในสภาวะก๊าซสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนที่พบ ในธรรมชาติได้แก่ มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น สิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่พบ ในก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซลั ไฟด์ เปน็ ต้น ก๊าซธรรมชาติจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น (ยกเว้นกลิ่นที่เติมเพื่อให้รู้เมื่อเกิดการรั่วไหล) และไม่มีพิษ ในสถานะ ปกติมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศจึงเบากว่า อากาศ เม่ือเกิดการรวั่ ไหลจะฟงุ้ กระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไมม่ ีการสะสมลกุ ไหมบ้ นพืน้ ราบ การแยกกา๊ ซธรรมชาติ เราสามารถนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ไดโ้ ดยผ่านกระบวนการแยก หรือแปรสภาพก๊าซ ธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติทำหนา้ ทแี่ ยกกา๊ ซธรรมชาติ หรอื สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซง่ึ ปะปนกนั หลาย ชนดิ ตามธรรมชาติออกมาเป็นกา๊ ซชนดิ ตา่ ง ๆ เพอื่ นำไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดตามคุณคา่ ของกา๊ ซนน้ั ภายใต้ กระบวนการแยกก๊าซ แต่ในการแยกกา๊ ซต้องใช้อณุ หภูมิต่ำมาก ทำให้สารประกอบเหล่านีแ้ ขง็ ตัวและมผี ลทำใหท้ ่อ ตนั ดังนั้นจึงตอ้ งกำจัดโดยผา่ นกระบวนการดังน้ี 4. หนว่ ยกำจัดสารปรอทเนื่องจากกา๊ ซธรรมชาตใิ นอา่ วไทยมสี ารปรอทปนอย่ดู ้วย ดงั น้นั โรงแยกก๊าซตอ้ ง มีหน่วยกำจัดสารปรอท เพอ่ื แยกสารประกอบออกจากกา๊ ซ 5. หน่วยกำจัดความชน้ื การขจัดความช้ืนออกจากกา๊ ซธรรมชาตเิ ปน็ สิง่ จำเปน็ เพราะความชนื้ หรือไอนำ้ จะกลายเปน็ น้ำแข็งเมอ่ื เขา้ กระบวนการลดอุณหภูมิซ่งึ จะทำให้ท่ออดุ ตัน ไอน้ำจะถูกกำจัดดว้ ยวธิ ีการทางเคมีที่ เรียกวา่ กระบวนการกรองโมเลกุล ซง่ึ เป็นสารทม่ี ีรพู รุนสงู สามารถดูดซบั นำ้ ออกจากก๊าซ 6. หน่วยกำจัดกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ใช้สารละลายโปตสั เซียมคารบ์ อเนต (K2CO3) ออกจากกา๊ ซ ธรรมชาตดิ ้วยด้วยการลดความดนั เพ่ิมอณุ หภมู ิทำให้คารบ์ อนไดออกไซด์ถูกปลอ่ ยออก
40 การใช้ประโยชนจ์ ากกา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้ได้โดยตรงด้วย การใช้เป็นเช้ือเพลงิ สำหรับผลติ กระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเซรามิค อตุ สาหกรรม สุขภัณฑ์ ฯลฯ และเม่ือนำไปอัดใสถ่ งั ด้วยความดนั สูงก็สามารถนำไปใช้เปน็ เชื้อเพลงิ สำหรบั รถยนต์ได้ (NGV) และ นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ เพราะในตัวเน้ือกา๊ ซธรรมชาติ มีสารประกอบที่เป็นประโยชนอ์ ยู่มากมาย เม่ือนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกกา๊ ซแลว้ กจ็ ะไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ตา่ งๆ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ดังน้ี 7. กา๊ ซมีเทน (C1) ใช้เป็นเชอ้ื เพลิงสำหรบั ผลติ กระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถัง ด้วยความดนั สูง เรยี กวา่ กา๊ ซธรรมชาติอัด สามารถใชเ้ ปน็ เชือ้ เพลงิ ในรถยนต์ 8. ก๊าซอเี ทน (C2) และกา๊ ซโพรเพน (C3) ใช้เป็นวัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมีขัน้ ต้นสามารถนำไปใช้ ผลติ เมด็ พลาสติก เส้นใยพลาสตกิ ชนิดตา่ ง ๆ เพ่ือนำไปใชแ้ ปรรปู ต่อไป 9. ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) นำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum Gas-LPG) หรือทีเ่ รียกว่า กา๊ ซหงุ ตม้ สามารถนำไปใช้เป็นเช้ือเพลิง ในครัวเรอื น ใชเ้ ชอื่ มโลหะ และใช้ในอตุ สาหกรรมบางประเภทไดอ้ กี ด้วย 10. ไฮโดรคาร์บอนเหลว อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตข้ึน มาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท สามารถขนสง่ โดยทางเรือหรือทางทอ่ นำไปกลั่นเปน็ น้ำมันสำเร็จรปู ต่อไป 11. ก๊าซโซลีนธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่น ผลผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่าน กระบวนการแยกจากโรงก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีน ธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังดรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมัน สำเร็จรูปได้เชน่ เดยี วกบั คอนเดนเสท และยังเปน็ ตวั ทำละลายซึ่งนำไปใชใ้ นอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน 12. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อผา่ นกระบวนการแยกแลว้ จะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่า น้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่าง การขนส่ง นำไปเป็นวตั ถุดิบสำคญั ในการทำฝนเทียมและนำไปใช้สร้างควนั ในอุตสาหกรรมบันเทงิ อาทิ การแสดง คอนเสิร์ต หรอื การถ่ายทำภาพยนตร์ คุณสมบตั ขิ องก๊าซธรรมชาติ 6. เปน็ เชอ้ื เพลิงปิโตรเลยี มชนิดหน่งึ เกิดจากการทับถมของส่ิงมชี ีวิตนบั ล้านปี 7. เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบด้วยก๊าซมเี ทนเปน็ หลกั 8. ไม่มสี ี ไม่มีกลิ่น ปราศจากพิษ (ส่วนมากกล่ินที่เราคุ้นเคยจากก๊าซธรรมชาติเป็นผล มากจากการเติม สารเคมีบางประเภทลงไป เพอื่ ใหผ้ ใู้ ช้รู้ได้ทันท่วงทีเมอ่ื เกิดเหตกุ ารณ์ก๊าซรัว่ ) 9. เบากวา่ อากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เทา่ ของอากาศ) 10. ตดิ ไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปรมิ าตรในอากาศ และอุณหภูมทิ สี่ ามารถตดิ ไฟได้เอง คอื 650 องศาเซลเซียส
41 ขอ้ ดีของกา๊ ซธรรมชาติ 10. เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์ และไม่มีกาก ของเชื้อเพลงิ หลังจากการเผาไหม้ 11. กา๊ ซธรรมชาตไิ ม่ทำลายหรอื กัดกรอ่ นอุปกรณ์ และวัสดุในกระบวนการผลติ 12. ลดการสร้างกา๊ ซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เนื่องจากปล่อยความรอ้ นสู่บรรยากาศ โลกนอ้ ยกวา่ เช้อื เพลิงชนดิ อ่นื 13. มีความปลอดภยั สงู ในการใช้งาน เนอ่ื งจากเบากวา่ อากาศ จงึ ลอยขึน้ เมอ่ื เกิดการร่วั 14. มรี าคาถกู กวา่ เชอ้ื เพลิงปโิ ตรเลียมอน่ื ๆ เช่น นำ้ มัน น้ำมันเตา และก๊าซปิโตรเลยี มเหลว 15. สามารถสรา้ งมลู คา่ เพ่มิ ชว่ ยขับเคลือ่ นการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ของประเทศ 16. ไม่มฝี ุ่นออกไซดข์ องกำมะถันและไนโตรเจนซึ่งเปน็ อนั ตรายต่อสุขภาพและสิง่ แวดลอ้ ม 17. ขนส่งโดยทางท่อ ทำใหเ้ กิดความปลอดภัยต่อชมุ ชนและสงิ่ แวดลอ้ มมากกวา่ เช้อื เพลิงชนดิ อ่ืน ซง่ึ ขนส่ง ทางรถยนตห์ รอื ทางเรือ 18. ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้า พลงั งานเชือ้ เพลิงอนื่ ๆ และประหยดั เงนิ ตราต่างประเทศได้มาก 4. แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ จงตอบคำถามต่อไปน้ใี ห้ถูกต้อง 1.พลงั งานมปี ระโยชนต์ ่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในดา้ นใด 2.จงบอกความหมายของคำว่าพลงั งาน 3.พลังงานมีกปี่ ระเภท ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง 4.พลังงานภายในไดแ้ ก่อะไรบ้าง 5.รา่ งกายมนษุ ย์ตอ้ งการพลังงานอะไร 6.พลงั งานประภทใดใช้แลว้ ไม่มีวนั หมด 7.พลงั งานที่ไช้ในบนเรอื นเปน็ พลังงานรปู แบบใด 8.ถา่ นหนิ ท่ีพบในประหไทยส่วนใหญเ่ ปน็ ถ่นหินประแภทใด 9.แหล่งพลังงานจำแนกตามกระบวนการผลิตได้ก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง 10.โทรทศั นส์ ี 1 นวิ้ กนิ ไฟ 43วัตต์ (จากแผน่ ป้ายหลงั เครื่อง) ใช้ไฟฟา้ อย่ใู นระดับ 200 หน่วp ต่อเดือน เสียคา่ ไฟเฉล่ียหนว่ ยละ1.6บาท เปดิ ใช้ 5 ช่ัวโมงต่อวัน จะเสียค่าไฟเดือนละเทา่ ไร
42 ขอ้ สอบประจำหน่วยท่ี 1 เรอ่ื ง พลังงานและประเภทของพลงั งาน วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม รหสั 20001-1002 ระดบั ปวช. คำชี้แจง: 1 ขอ้ สอบมจี ำนวน 10 ข้อ 2. ใหน้ กั เรียนเขียนเคร่ืองหมาย X ขอ้ ทีเ่ ห็นว่าถูกต้องที่สดุ เพียงข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ 1. ขอ้ ใดคือความหมายของคำว่า \"พลังงาน\" ก. สสารหรอื วตั ถทุ มี่ ีพลังานอยใู่ นตวั ข. ความสามารถในการทำงาน ค. สิง่ ทส่ี ามารถปลอ่ ยพลังงานได้เมื่อเปลี่ยนรปู ง. ความสามารถท่ีก่อให้เกิดแรงงาน 2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่พลังงานจากแหลง่ ฟอสซิล ก. หนิ น้ำมนั ข. แรน่ ิวเคลียร์ ค. ถ่านหิน ง. พลงั งานความร้อนใต้พิภพ 3. ถ่านไฟฉายมีพลงั งานรูปแบบใด ก. พลงั งานกล ข. พลงั งานจลน์ ค. พลังงานศักย์ ง. พลังงานเคมี 4. ข้อใดเปน็ แหล่งพลงั งานทุติยภมู ิ ก. ก๊าชธรรมชาติ ข. น้ำมันดบิ ค. หนิ น้ำมนั ง. น้ำมันปีโตรเลียม 5. พลงั งานประเภทใดที่จะมีความสำคัญต่อไปในอนาคต ก. พลังงานจากฟอสซลิ ข. พลงั งานหมนุ เวียน ค. พลงั งานปฐมภูมิ ง. พลังงานทตุ ิยภูมิ 6. ความรเู้ รอ่ื งการเปลยี่ นรูปพลังงนนำไปช้ประโยนในการอนุรกั ษ์พลงั งานได้อย่างไร ก. คิดประดิษฐ์อปุ กรณ์ท่ปี ระหยัดไฟฟา้ ข. ตัตแปลงเครื่องใช้ไฟฟ้ให้ประหยัดไฟ ค. ปรบั ปรงุ มาตรวดั ไฟฟ้าให้ประหยัดค่ไฟ ง ควบคมุ การเปลี่ยนรูปพลงั งนใหญเสยี พลังงานน้อยที่สดุ 7. พลังงานหมนุ เวียนประเภทใดทป่ี ระทศไทยจะนำมาใชป้ ระโยชนม์ ากข้นึ ในอนาคต
43 ก. ลม บ. แสงแดด ค. คล่ืน ง. ความรอ้ นใต้พภิ พ 8. การเปลย่ี นรปู พลังงานท่ีทำให้สูญเสียพลังงานน้อย ทำให้เกดิ ผลดีในข้อใด ก. ประหยัดพลงั งาน ข. ประหยดั คา่ ใชจ้ ย ค. ลดมลภาวะ ง. เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าทนทาน 9. กิจการใดนำพลังานมาไข้มากท่ีสุด ก. การเกษตรกรรม บ. การอุตสาหกรรม ค. การคมนาคม ง. การบรกิ าร 10. ประเทศทีพ่ ฒั นาแล้วนยิ มนำพลังงานดมาผลติ กระแสไฟฟา้ ก. พลังงานน้ำ ข. พลังงานก๊าชธรรมชาติ ค. พลังงานถา่ นหนิ ง. พลงั งานนวิ เคลียร์ 5. เอกสารอ้างอิง หนงั สือเรยี น วิชา พลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม รหสั 20001-1002 สำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝกึ หดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ) 1. ข้อใดคือความหมายของคำว่า \"พลังงาน\" ข. ความสามารถในการทำงาน 2. ขอ้ ใดไม่ใชพ่ ลงั งานจากแหลง่ ฟอสซิล ง. พลังงานความร้อนใต้พภิ พ 3. ถ่านไฟฉายมีพลังงานรูปแบบใด ค. พลังงานศักย์ 4. ขอ้ ใดเปน็ แหล่งพลงั งานทตุ ิยภมู ิ ง. น้ำมนั ปโี ตรเลยี ม 5. พลังงานประเภทใดทจ่ี ะมีความสำคัญต่อไปในอนาคต ข. พลงั งานหมนุ เวยี น
44 6. ความรเู้ ร่ืองการเปลี่ยนรูปพลงั งนนำไปชป้ ระโยนในการอนรุ กั ษ์พลงั งานได้อย่างไร ง ควบคมุ การเปลี่ยนรูปพลงั งานใหญเสียพลงั งานน้อยทีส่ ดุ 7. พลงั งานหมนุ เวียนประเภทใดที่ประทศไทยจะนำมาใช้ประโยชนม์ ากขน้ึ ในอนาคต ข. แสงแดด 8. การเปลี่ยนรูปพลังงานที่ทำให้สูญเสียพลังงานน้อย ทำให้เกิดผลดีในข้อใด ก. ประหยดั พลงั งาน 9. กจิ การใดนำพลังานมาไข้มากที่สดุ ค. การคมนาคม 10. ประเทศท่ีพฒั นาแล้วนิยมนำพลงั งานดมาผลติ กระแสไฟฟา้ ง. พลังงานนวิ เคลยี ร์
ใบงาน ที่ ........ 1........ 45 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี หนว่ ยท่.ี .....บทท่ี 1.... รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดล้อม สอนคร้งั ท.ี่ ...1...... ชอ่ื งาน........พลงั งานและประเภทของพลงั งาน เวลา.........2.........ชม. 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ผเู้ รยี นสามารถแยกแยะชนดิ ของพลงั งาน และการเปล่ยี นรูปจากพลังงานอะไรเปน็ พลังงานอะไรได้ 2. สมรรถนะ ผเู้ รยี นสามารถระบุ ชนดิ ของพลงั งาน และการเปลยี่ นรปู จากพลงั งานอะไรเปน็ พลงั งานอะไรได้ ถูกต้อง 3. เคร่อื งมือ วัสดุ และอปุ กรณ์ ภาพกจิ กรรมการใช้พลังงาน 4. คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง - 6. ลำดบั ข้นั (การทดลอง/การปฏบิ ัติงาน) 1.ผู้เรียนพจิ ารณารูปภาพท่กี าํ หนดให้ แล้วบอกกจิ กรรมที่เกี่ยวขอ้ งกับการใช้พลงั งาน มาไมน่ อ้ ยกว่าภาพละ 7 กิจกรรม พร้อมท้ังระบุความหมายของพลงั งาน 2.ผู้เรยี นพจิ ารณาภาพตามท่ีกำหนดใหว้ า่ มพี ลังงานอะไรมาเก่ยี วข้องบ้าง และรูปภาพใดวา่ มกี ารเปลี่ยนแปลง พลังงานบา้ ง 3.ผู้เรียนวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปลยี่ นรปู พลงั งานมา 2 ภาพ และระบุว่าเปลยี่ นรปู จากพลงั งานอะไรเปน็ พลงั งานอะไร 7. ผลการศึกษา - ดูจากกจิ กรรมทน่ี กั เรียนทำ และสามารถระบุพลงั งานท่ีเปล่ยี นรูปได้ถกู ต้อง 8. สรปุ และวจิ ารณผ์ ล ....................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ........ ............................................................................................................................................................
46 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารคน้ คว้าเพิ่มเตมิ หนังสอื เรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อินเทอรเ์ นต็
47 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 3 หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ สอนครั้งท่ี 3 (5-6) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ ความสัมพันธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคัญ ดวงอาทติ ย์เป็นแหล่งทใ่ี ห้พลงั งานกับโลก โดยส่งพลงั งานในรูปของการแผ่รังสี พลงั งานจากดวงอาทิตย์น้ี พชื จะนําไปใช้ในการสร้างสารอาหาร จึงนบั ได้ว่าดวงอาทติ ย์มีบทบาทสาํ คัญ ทก่ี ่อให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์แสง และกระบวนการหายใจ พลงั งานจากดวงอาทติ ย์จะถูกส่งต่อไปยังสิ่งมชี วี ติ อื่นๆ คือ มนษุ ย์ และสตั ว์ การรบั -ส่ง พลงั งานจากพชื ไปยังสัตว์และมนษุ ย์น้ีจะมพี ลังงานส่วนหนึ่งสญู เสยี ไปกับสงิ่ แวดล้อม 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นักเรียนสามารถระบกุ ฎของธรรมชาติ และความหมาย ของระบบนิเวศได้ 2.นกั เรยี นสามารถอธบิ ายกฎของพลงั งาน กระบวนการ พลังงานในสงิ่ มีชวี ติ และการใช้พลงั งานในระบบนเิ วศ ได้ 3.นกั เรียนสามารถวเิ คราะห์ความสำคัญของพลังงานท่ีมตี ่อระบบนเิ วศได้ 4.นกั เรยี นสามารถสำรวจระบบนเิ วศและบันทึกการสง่ ผา่ นพลงั งานในระบบนิเวศได้ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.ระบุกฎของธรรมชาติ และความหมาย ของระบบนิเวศได้ 2.อธิบายกฎของพลังงาน กระบวนการ พลงั งานในส่งิ มชี ีวิตและการใช้พลังงานในระบบนิเวศได้ 3.วิเคราะหค์ วามสำคญั ของพลังงานทีม่ ีต่อระบบนิเวศได้ 4.สำรวจระบบนิเวศและบันทึกการส่งผา่ นพลังงานในระบบนิเวศได้ 5.มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้สำเร็จการศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ที่ครสู ามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเร่อื ง 5.1 ความมีมนุษยสัมพันธ์ 5.2 ความมวี นิ ัย 5.3 ความรับผิดชอบ 5.4 ความซือ่ สตั ยส์ จุ ริต 5.5 ความเชือ่ มั่นในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 5.8 การละเว้นสง่ิ เสพตดิ และการพนนั 5.9 ความรกั สามัคคี 5.10 ความกตัญญกู ตเวที 5.11 แต่งกายตามข้อตกลง ตรงเวลา รักษาสิ่งแวดล้อม ใจอาสา
48 4. สาระการเรียนรู้ 1.ธรรมชาติของสิง่ มีชวี ติ 2.กฎของธรรมชาติ 3.ระบบนิเวศ 4.กฎของพลงั งาน 5.กระบวนการพลงั งานในส่งิ มชี วี ิต 6.การใชพ้ ลังงานในระบบนิเวศ 7.ความสำคญั ของพลังงานต่อระบบนเิ วศ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท่.ี ..3........) ขนั้ นำเข้าสู่บทเรยี น 1.ครแู ละผู้สอนสนทนาเกย่ี วกับส่งิ มีชวี ติ ทกุ ชนดิ เป็นส่วนหน่ึงของสิ่งแวดล้อม มีบทบาทหน้าท่ตี อ่ สภาพแวดล้อม แตกตา่ งกนั ออกไป และในท่ีสดุ สง่ิ มชี ีวิตทกุ ชนิดกจ็ ะต้องกลบั คืนสู่สภาพแวดล้อมเพ่ือให้พชื นำมาใช้ อกี ต่อไป 2.ครแู ละผูเ้ รยี นยกตวั อยา่ งสิ่งมชี วี ติ ต่างๆ ที่อย่รู อบตัวผู้เรยี น หรอื เคยเห็นในชวี ติ ประจำวัน พร้อมแสดง รปู ภาพการหมุนเวียนของธาตุในส่ิงมชี วี ิตประกอบ ขน้ั สอน 3. ครใู ช้สือ่ Power Point และรปู ภาพประกอบการเพื่ออธิบายเร่ืองดังต่อไปน้ี 1.ธรรมชาตขิ องสิ่งมชี ีวติ 2.กฎของธรรมชาติ 3.ระบบนิเวศ 4.กฎของพลงั งาน 5.กระบวนการพลงั งานในสิง่ มชี ีวติ 6.การใช้พลงั งานในระบบนิเวศ 7.ความสำคญั ของพลังงานต่อระบบนเิ วศ 4.ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบ Discussion Method การจัดการเรยี นรูแ้ บบอภปิ รายถงึ ธรรมชาติของ ส่งิ มีชีวติ และกฎของธรรมชาติ ซ่งึ การดาํ รงชีวิตของมนุษย์ กย็ งั ตอ้ งอาศัยพลังงาน และธาตอุ าหาร จากธรรมชาติอยู่ ตลอดไป ดงั นนั้ ธรรมชาตจิ งึ เป็นแหล่งทใ่ี ห้ปัจจยั ทสี่ าํ คัญท่ีสดุ ของสงิ่ มชี ีวิตทุกชนดิ และธรรมชาติก็มีการควบคุมการ เปลย่ี นแปลงไปตามระบบของธรรมชาตซิ ง่ึ เราเรียกว่า ระบบนเิ วศ (Ecosystem)
49 5.ครูใชส้ ื่อวิดที ศั น์ ประกอบการอธิบายเรื่องระบบนิเวศ ซง่ึ ส่งิ ต่างๆ ทม่ี ีอยู่ในโลกจึงต้องมีการพึ่งพาอาศยั ซึง่ กันและกัน เรียกว่า ระบบนเิ วศ หมายถึง ระบบทีม่ ีความสมั พนั ธ์ซง่ึ กันและกนั ระหว่างสิง่ มชี วี ติ ด้วยกัน และระหว่าง สิ่งมชี ีวิตกับสง่ิ ไม่มีชีวิต ในแหล่งทีอ่ ยู่ ซ่ึงทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนสสาร และพลังงานเป็นวัฏจักร อาจสรุปความหมาย ของ ระบบนเิ วศได้ดงั น้ี 6.ครูแสดงรปู ภาพความสมั พันธข์ องสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศให้ผ้เู รียนดู 7.ครูใชเ้ ทคนคิ วิธสี อนแบบ Simulation การจัดการเรียนรู้แบบสถานการณจ์ ำลอง คอื กระบวนการเรียนรู้ท่ี ผูส้ อนใหผ้ ้เู รยี นเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ทส่ี ร้างขึน้ มาเก่ียวกับองคป์ ระกอบ คือ 7.1 องคป์ ระกอบท่ีไม่มชี ีวติ 7.2 ส่วนประกอบที่มชี ีวิต 8.ครูใช้ส่อื วดิ ที ัศน์ เพ่ืออธิบายปัจจัยทก่ี ำหนดลักษณะของระบบนเิ วศ ส่งิ มีชีวติ ในระบบนเิ วศยอ่ มเกดิ และ เลือกที่อย่อู าศยั ในที่ท่ีเหมาะสมในการดำรงชีวติ ดังน้ันปจั จัยทีก่ ำหนดลักษณะของระบบนเิ วศ ได้แก่ อุณหภมู ิ ภูมอิ ากาศ ความช้ืน แสงสว่าง ดนิ เป็นทร่ี วมของธาตอุ าหารต่างๆ ไฟปา่ เปน็ ต้น 9.ครบู อกประเภทของระบบนิเวศ ระบบนิเวศอาจมขี นาดใหญร่ ะดบั โลกท่ีเรียกว่าชวี าลัย ซึ่งเปน็ บริเวณที่ ห่อหุม้ โลกไว้ สามารถมกี ระบวนการต่าง ๆ ของสิง่ มีชีวิตเกิดขึน้ ได้ หรืออาจมีขนาดเล็กเทา่ บอ่ นา้ํ แหง่ หนงึ่ หาก จำแนกระบบนิเวศต่างๆ ในโลกตามลักษณะแหลง่ ที่อยู่ แบ่งเป็นระบบนเิ วศในนำ้ และระบบนเิ วศบนบก 10 ครูใช้เทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจดั การเรยี นรแู้ บบสาธติ เพอ่ื การถา่ ยทอด พลังงานในระบบนิเวศ โดยการเปดิ วดี ีโอ ซ่งึ ดวงอาทิตย์เปน็ แหล่งที่ใหพ้ ลังงานกบั ระบบนิเวศของโลก โลกได้รับ พลงั งานในรูปของการแผ่รงั สี รงั สีทงั้ หมดที่สง่ มาจากดวงอาทติ ยจ์ ะผา่ นชนั้ บรรยากาศของโลกเพ่อื ใชใ้ นการ สังเคราะห์แสงเพยี ง 1% เท่าน้ัน ผู้ผลติ คอื พชื ที่มีคลอโรฟิลล์จะเปลี่ยนพลงั งานแสงใหเ้ ป็นพลงั งานเคมี แล้วนำ พลังงานเคมไี ปสังเคราะห์ สารประกอบที่มโี ครงสรา้ งง่ายๆ คือ คารบ์ อนไดออกไซด์ ใหส้ ารประกอบท่ีมีโครงสร้าง ซบั ซอ้ นและมีพลงั งานสงู คือ คารโ์ บไฮเดรต 11.ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบ Discussion Method การจัดการเรยี นรู้แบบอภิปราย การถ่ายทอดพลังงานใน ระบบนเิ วศ 12. ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจัดการเรียนร้แู บบสาธติ หว่ งโซ่อาหาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดพลังงานในรปู สารอาหารจากผู้ผลติ ไปส่ผู บู้ ริโภค โดยการกินกันเป็นทอดๆ ลกั ษณะ ของห่วงโซ่อาหาร 13.ครใู ชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Discussion Method เพอ่ื อภิปรายกฎของพลังงาน ซง่ึ การเปลีย่ นแปลง พลังงานในลักษณะต่างๆ จะเป็นไปตามกฎของพลังงานหรือท่เี รียกว่ากฎของอุณหพลศาสตรด์ งั น้ี 13.1. กฎแห่งการอนุรักษ์พลงั งาน 13.2. กฎแห่งการสูญเสียพลังงาน 14.ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจัดการเรียนรแู้ บบสาธิตเรื่องกระบวนการ พลังงานในสง่ิ มีชวี ิต โดยเปดิ วีดีทัศน์ประกอบ
50 กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง และกระบวนการหายใจเป็นกระบวนการทีท่ ําให้เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีต่างๆ แตกต่างกนั ออกไปมากมาย เป็นกระบวนการททเี่ กือ้ กูลกนั ในระบบนิเวศ กล่าวคือ การสังเคราะห์ด้วยแสงให้ ออกซเิ จนแก่ระบบนิเวศและออกซิเจนทเ่ี กิดขึ้นนี้กจ็ ะถูกนำไปใช้ในกระบวนการหายใจ สว่ นคารบ์ อนไดออกไซดท์ ่ี เกดิ จากกระบวนการหายใจก็จะถูกนําไปใช้ในกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 15.ครแู ละผู้เรียนใช้เทคนิค Small Group Discussion โดยการอภิปรายกลุ่มย่อยเร่ืองการใชพ้ ลังงานใน ระบบนเิ วศ ครแู สดงรูปของระดบั การรบั -ส่งพลังงานซ่ึงมพี ืชเป็นผู้ผลิตอาหารข้ันต้นให้แกร่ ะบบนิเวศ 16.ครแู ละผู้เรยี นอธิบายความสำคญั ของพลังงานต่อระบบนิเวศ โดยเปดิ วดี ที ัศนใ์ ห้ดแู ต่ละกรณี 17.ผู้เรียนสํารวจการส่งผ่านพลังงานในระบบนิเวศที่ใกล้ตวั แล้วเขียนภาพประกอบคําอธบิ าย 18.ผู้เรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน สาํ รวจระบบนิเวศบริเวณสถานศกึ ษาตามความสนใจของแต่ละกลุ่ม โดย กําหนดขอบเขตพื้นท่ีท่จี ะศึกษาประมาณ 5x5 เมตร แล้วบันทกึ สงิ่ ท่ีสำรวจลงในแบบสำรวจ และเขยี นแผนภาพ บริเวณท่สี ำรวจแสดงความสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภคและผู้ย่อยสลาย 19.ครใู หค้ วามรู้เพ่มิ เติมนอกเหนือจากเนื้อหาการเรียนการสอน เกยี่ วกบั เง่ือนไขตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง ในการตดั สนิ ใจและการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยท้ังความรู้ และคุณธรรมเปน็ พืน้ ฐาน กล่าวคอื (1) เงื่อนไขความรู้ เป็นความรอบรู้เกี่ยวกบั วชิ าการต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวข้อง ความรอบคอบท่ีจะนำความรเู้ หล่าน้นั มาพิจารณาใหเ้ ช่ือมโยงกัน เพ่ือการวางแผน และความระมัดระวังในข้ันปฏิบตั ิ (2) เง่ือนไขคุณธรรม เปน็ สง่ิ ท่ีตอ้ งเสรมิ สร้างให้มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สจุ ริตและมีความ อดทน มีความเพยี ร ใชส้ ติปัญญาในการดำเนินชวี ิต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249