Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พัฒนาการของวรรณคดีไทย

พัฒนาการของวรรณคดีไทย

Published by Anas Dahaleng, 2023-02-17 09:03:03

Description: พัฒนาการของวรรณคดีไทย

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน รายวิชา พัฒนาการของวรรณคดไี ทย รหสั วิชา THC2301 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. จิราภรณ์ อัจฉรยิ ะประสิทธิ์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนนั ทา ๑

(๑) คานา เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี ได้เรียบเรียงข้ึนเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน ใน รายวิชา พัฒนาการของวรรณคดีไทย ผู้เขียนแบ่งเน้ือหาครอบคลุมตามคาอธิบายรายวิชา โดยเริ่ม จากความรพู้ ื้นฐานทางวรรณคดไี ทย วรรณคดไี ทยสมยั สโุ ขทัย วรรณคดีไทยสมยั อยธุ ยา วรรณคดี ไทยสมัยกรุงธนบรุ ี วรรณคดไี ทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตง้ั แตร่ ัชกาลที่ ๑ – รัชกาลท่ี ๖ และวรรณกรรม ไทยหลังปี พ.ศ.๒๔๖๘ – ปัจจุบัน โดยในแต่ละบทจะอธิบายภูมิหลังทางสังคมวัฒนธรรม อธิบาย วรรณคดแี ตล่ ะเร่อื งเชงิ ประวัติ และสรุปลักษณะของวรรณคดีในแตล่ ะยคุ ในด้านเนื้อหาและรูปแบบ ซึ่งจะช่วยใหเ้ ห็นแนวคิดของเรื่องและแนวการแต่งวรรณคดี รวมถึงวิวัฒนาการของวรรณคดี ทั้งนี้ ผเู้ ขียนจะเนน้ อธิบายลกั ษณะวรรณคดแี ละวิวฒั นาการวรรณคดไี ทยตง้ั แต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งยังคงมีรูปแบบวรรณคดีตามขนบเป็นส่วนใหญ่ ก่อนเข้าสู่การรับ อิทธิพลจากตะวันตก ส่วนวรรณกรรมไทยหลังปี พ.ศ.๒๔๖๘ น้ัน จะขอกล่าวเพียงเบื้องต้น เพ่ือ เปน็ พน้ื ฐานในการเรียนรายวิชาวรรณกรรมปัจจุบนั หรอื วรรณกรรมร่วมสมัยต่อไป ผ้เู ขียนหวังเป็น อย่างยิง่ ว่า เอกสารประกอบการสอนเลม่ นีจ้ ะชว่ ยให้นักศกึ ษาเข้าใจเน้อื หาของรายวิชามากยิ่งขึน้ จิราภรณ์ อจั ฉรยิ ะประสทิ ธ์ิ มีนาคม ๒๕๖๐ ๒

(๒) หนา้ สารบญั (๑) คานา (๒) สารบญั แผนบริหารการสอนประจารายวชิ า (๕) แผนบริหารการสอนประจาบท บทที่ ๑ ความรู้พน้ื ฐานทางวรรณคดีไทย ๑ ๑.๑ ความหมายของวรรณคดี ๓ ๑.๒ สาเหตกุ ารสรา้ งสรรคว์ รรณคดี ๑.๓ ผแู้ ต่งวรรณคดี ๓ ๑.๔ ประเภทของวรรณคดี ๕ ๑.๕ การแบง่ ยุคสมยั วรรณคดี ๗ ๑.๖ เอกลกั ษณ์วรรณคดีไทย ๘ ๑.๗ คุณคา่ ของวรรณคดีไทย ๑๑ สรุป ๑๒ คาถามทา้ ยบท ๑๕ เอกสารอ้างองิ ๒๘ แผนบริหารการสอนประจาบท ๒๘ บทท่ี ๒ วรรณคดสี มัยสโุ ขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๒๐ ๓๐ ๒.๑ ภูมหิ ลงั ทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสงั เขป ๓๑ ๒.๒ กวแี ละวรรณคดสี มยั สโุ ขทยั ๓๓ ๒.๓ ลักษณะสาคัญของวรรณคดีสมยั สุโขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๒๐ ๓๓ สรปุ ๓๔ คาถามทา้ ยบท ๓๔ เอกสารอา้ งองิ ๔๑ แผนบรหิ ารการสอนประจาบท ๔๒ บทที่ ๓ วรรณคดสี มยั อยธุ ยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ๔๓ ๓.๑ ภูมหิ ลงั ทางสงั คมและวฒั นธรรมโดยสงั เขป ๔๔ ๓.๒ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั อยุธยาตอนตน้ ๔๖ ๔๖ ๕๑ ๓

(๓) ๓.๓ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมัยอยธุ ยาตอนกลาง ๖๒ ๓.๔ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมยั อยุธยาตอนปลาย ๗๔ ๓.๕ ลักษณะสาคัญของวรรณคดสี มัยอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ๗๙ สรปุ ๙๐ คาถามทา้ ยบท ๙๐ เอกสารอา้ งองิ ๙๑ แผนบริหารการสอนประจาบท ๙๒ บทที่ ๔ วรรณคดสี มัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๒๕ ๙๔ ๔.๑ ภูมหิ ลังทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสงั เขป ๙๔ ๔.๒ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั กรุงธนบุรี ๙๕ ๔.๓ ลกั ษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยกรงุ ธนบรุ ี พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๒๕ ๑๐๓ สรุป ๑๐๕ คาถามท้ายบท ๑๐๕ เอกสารอา้ งอิง ๑๐๖ แผนบรหิ ารการสอนประจาบท ๑๐๗ บทที่ ๕ วรรณคดสี มยั กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ ๑๐๙ ๕.๑ ภูมหิ ลงั ทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสงั เขป ๑๐๙ ๕.๒ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั รชั กาลท่ี ๑ ๑๑๔ ๕.๓ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมัยรัชกาลท่ี ๒ ๑๓๓ ๕.๔ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมยั รชั กาลท่ี ๓ ๑๖๑ ๕.๕ ลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยกรุงรตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ ๑๘๑ สรุป ๑๘๕ คาถามท้ายบท ๑๘๕ เอกสารอา้ งอิง ๑๘๖ แผนบริหารการสอนประจาบท ๑๘๗ บทท่ี ๖ วรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๑๘๙ ๖.๑ ภมู ิหลังทางสงั คมและวฒั นธรรมโดยสงั เขป ๑๘๙ ๖.๒ กวีและวรรณคดีสาคัญสมยั รัชกาลท่ี ๔ ๑๙๒ ๖.๓ กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั รชั กาลที่ ๕ ๑๙๘ ๔

(๔) ๖.๔ กวีและวรรณคดีสาคญั สมัยรัชกาลท่ี ๖ ๒๐๘ ๖.๕ ลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยกรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๒๑๙ สรปุ ๒๒๓ คาถามท้ายบท ๒๐๒ เอกสารอ้างอิง ๒๒๕ แผนบริหารการสอนประจาบท ๒๒๖ บทที่ ๗ วรรณกรรมไทยหลงั ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ – วรรณกรรมปจั จบุ นั ๒๒๗ ๗.๑ ภาพรวมการเปลย่ี นแปลงของวรรณกรรมไทยหลังปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ๒๒๗ ๗.๒ ลกั ษณะของวรรณกรรมไทยรว่ มสมยั ๒๓๒ สรุป ๒๓๕ คาถามท้ายบท ๒๓๖ เอกสารอา้ งอิง ๒๓๗ บรรณานกุ รม ๒๓๘ ๕

(๕) แผนบริหารการสอนประจาวิชา ชือ่ วิชา พัฒนาการของวรรณคดีไทย รหสั วชิ า THC2301 จานวนหนว่ ยกติ – ชว่ั โมง ๓(๓-๐-๖) เวลาเรยี น ๑๕ สัปดาห์ รวม ๔๕ ชัว่ โมง คาอธบิ ายรายวิชา พัฒนาการวรรณคดีไทยสมัยต่างๆ ต้ังแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 ในด้านรูปแบบ เนื้อหา แนวคิด คุณค่า และความสัมพันธ์ระหว่าง ประวตั ศิ าสตร์ สังคม และวรรณกรรมไทย วัตถุประสงค์ทั่วไป ๑. เพ่อื ใหน้ กั ศกึ ษามีความรคู้ วามเข้าใจความรพู้ ืน้ ฐานทางวรรณคดีไทย ๒. เพอ่ื ให้นกั ศึกษามคี วามรคู้ วามเขา้ ใจความเปน็ มา ภูมิหลงั ทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผล ตอ่ การสร้างสรรคว์ รรณคดไี ทยต้ังแต่สมยั กรุงสโุ ขทัยถึงกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ๓. เพ่ือให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเปล่ียนแปลงในด้านรูปแบบ เนื้อหา และแนวคดิ ของวรรณคดไี ทยตง้ั แตส่ มยั กรุงสโุ ขทยั ถงึ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ เนอื้ หา ๖ ชั่วโมง บทที่ ๑ ความรพู้ ้นื ฐานทางวรรณคดไี ทย ความหมายของวรรณคดี สาเหตุการสร้างสรรคว์ รรณคดี ผสู้ รา้ งวรรณคดี ประเภทของวรรณคดี การแบ่งยุควรรณคดี เอกลักษณว์ รรณคดไี ทย คุณค่าของวรรณคดไี ทย สรปุ คาถามท้ายบท ๖

(๖) บทท่ี ๒ วรรณคดสี มยั สุโขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ - ๑๙๒๐ ๓ ชั่วโมง ภูมิหลงั ทางสงั คมและวฒั นธรรม กวแี ละวรรณคดีสมัยสุโขทัย ลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มยั สุโขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๒๐ สรปุ คาถามท้ายบท บทท่ี ๓ วรรณคดีสมัยอยธุ ยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ๙ ชั่วโมง ภมู ิหลงั ทางสังคมและวัฒนธรรม กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมยั อยุธยาตอนต้น กวแี ละวรรณคดีสาคญั สมัยอยุธยาตอนกลาง กวีและวรรณคดีสาคญั สมยั อยธุ ยาตอนปลาย ลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยอยธุ ยา พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ สรุป คาถามท้ายบท บทที่ ๔ วรรณคดีสมัยกรงุ ธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๒๕ ๖ ชั่วโมง ภูมิหลังทางสงั คมและวัฒนธรรม กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมัยกรุงธนบุรี ลกั ษณะสาคญั ของวรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๒๕ สรปุ คาถามทา้ ยบท บทท่ี ๕ วรรณคดสี มัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ ๙ ช่ัวโมง ภมู ิหลงั ทางสังคมและวัฒนธรรม กวแี ละวรรณคดสี าคัญสมยั รัชกาลที่ ๑ กวีและวรรณคดสี าคญั สมยั รัชกาลที่ ๒ กวีและวรรณคดีสาคญั สมัยรชั กาลที่ ๓ ลักษณะสาคัญของวรรณคดสี มัยกรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๙๔ สรปุ คาถามท้ายบท ๗

(๗) บทที่ ๖ วรรณคดสี มยั กรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ ๙ ช่ัวโมง ภมู ิหลังทางสงั คมและวฒั นธรรม กวีและวรรณคดีสาคัญสมยั รชั กาลท่ี ๔ กวแี ละวรรณคดสี าคญั สมยั รชั กาลที่ ๕ กวีและวรรณคดีสาคญั สมัยรชั กาลท่ี ๖ ลกั ษณะสาคัญของวรรณคดีสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๖๘ สรปุ คาถามท้ายบท บทที่ ๗ วรรณกรรมไทยหลัง พ.ศ. ๒๔๖๘ ๓ ชั่วโมง ภาพรวมการเปล่ียนแปลงของวรรณกรรมไทยหลงั ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ลกั ษณะของวรรณกรรมไทยร่วมสมัย สรปุ คาถามทา้ ยบท วิธสี อนและกิจกรรมการเรยี นการสอน ๑. การบรรยาย ๒. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน ๓. การศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง/กลมุ่ สรุปผลในรูปแบบรายงานหน้าช้นั และรายงานเลม่ ๔. การอภปิ รายกลมุ่ ในเนื้อหาประจาบท ๕. การมอบหมายงานและการตอบคาถามท้ายบท สอื่ การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. เอกสารตาราทเ่ี กีย่ วข้องกับเนือ้ หา ๓. ตวั อยา่ งหรอื ตัวบทวรรณคดีไทย ๔. วีดิทัศน์ พาวเวอรพ์ อยท์ และสอ่ื อิเล็กทรอนกิ สอ์ ืน่ ๆ ๘

(๘) การวดั และการประเมนิ ผล ๑. การวัดผล - การเขา้ ช้ันเรียนและการมสี ่วนร่วมในชน้ั เรียน ๑๐ คะแนน - การรายงาน (เด่ียวและกล่มุ ) ๓๐ คะแนน - แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ ๑๐ คะแนน - สอบกลางภาค ๒๐ คะแนน - สอบปลายภาค ๓๐ คะแนน ๒. การประเมนิ ผล ใชว้ ิธีองิ เกณฑโ์ ดยเทยี บกับระดบั คะแนนทกี่ าหนดเพ่อื ใหเ้ กรด ดงั นี้ ระดบั คะแนน คา่ ระดบั คะแนน ๘๖ – ๑๐๐ A ๘๒ – ๘๕ A- ๗๘ – ๘๑ B+ ๗๔ – ๗๗ B ๗๐ – ๗๓ B- ๖๖ – ๖๙ C+ ๖๒ – ๖๕ C ๕๘ – ๖๑ C- ๕๔ – ๕๗ D+ ๕๐ – ๕๓ D ๔๖ – ๔๙ D- ๐ – ๔๕ F ๙

แผนบรหิ ารการสอนประจาบท หวั ข้อเนอื้ หาประจาบท บทที่ ๑ ความร้พู ืน้ ฐานทางวรรณคดีไทย ๑.๑ ความหมายของวรรณคดี ๑.๒ สาเหตกุ ารสร้างสรรคว์ รรณคดี ๑.๓ ผแู้ ต่งวรรณคดี ๑.๔ ประเภทของวรรณคดี ๑.๕ การแบ่งยุคสมัยวรรณคดี ๑.๖ เอกลกั ษณว์ รรณคดไี ทย ๑.๗ คณุ คา่ ของวรรณคดีไทย วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม ๑. อธิบายความหมายของวรรณคดีไทยได้ ๒. บอกสาเหตกุ ารสร้างสรรค์วรรณคดีได้ ๓. บอกประเภทของผู้แต่งวรรณคดีได้ ๔. จาแนกประเภทของวรรณคดีได้ ๕. บอกยุคสมัยของวรรณคดไี ด้ ๖. อธิบายเอกลกั ษณ์ของวรรณคดไี ทยได้ ๗. อภปิ รายบทบาทของวรรณคดไี ทยได้ วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท ๑. วิธสี อน การบรรยาย อภปิ รายกลุม่ ใชส้ ่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ประกอบการสอน ๒. กิจกรรมการเรยี นการสอนมีดงั นี้ ๒.๑ กิจกรรมก่อนเรียน นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้า อ่าน วรรณคดีเรื่องศิลาจารึกและไตรภูมิพระร่วงล่วงหน้า เตรียมแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน เมื่อถึง ชั่วโมงเรียน ก่อนเร่ิมสอน นักศึกษาทาแบบทดสอบหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน ผ่านโปรแกรม Mentimeter หรือโปรแกรมอน่ื ๆ ๒.๒ กิจกรรมระหว่างเรียน นักศึกษาฟังบรรยาย ร่วมกันอภิปรายตัวบทวรรณคดี สาคัญบางเรอ่ื ง ๑๐

๒.๓ กิจกรรมหลังเรียน นักศึกษาตอบคาถามท้ายบท และเตรียมอ่านหนังสือบท ต่อไปลว่ งหน้า นกั ศกึ ษาทบทวนความรจู้ ากคลิปการสอนท่ีบนั ทกึ ไว้ในเว็บไซตผ์ ู้สอน สอ่ื การเรยี นการสอนประจาบท ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชน่ พาวเวอรพ์ อยท์ วีดทิ ศั น์ โปรแกรม Metimeter, Vidyard ๓. ตัวบทวรรณคดไี ทย การวดั และการประเมนิ ผล ๑. สงั เกตความสนใจและมีส่วนร่วมในชัน้ เรียน ๒. การถาม-ตอบ ๓. การสอบกลางภาค ๑๑

บทท่ี ๑ ความรพู้ ้ืนฐานทางวรรณคดไี ทย วรรณคดีเป็นงานเขียนท่ีมีคุณค่า มีรูปแบบและเน้ือหาเฉพาะ มีท้ังที่เป็นรูปแบบร้อยกรอง และร้อยแก้ว เนื้อหาแบบบันเทิงคดีและสารคดี การทาความเข้าใจและมีความรู้พื้นฐานทาง วรรณคดีไทยจะเป็นพ้ืนฐานให้ผู้อ่านเข้าใจวิวัฒนาการวรรณคดีและซาบซึ้งคุณค่าของวรรณคดีได้ มากยง่ิ ขึ้น ในบทที่ ๑ น้ี จะอธิบายความรู้พ้ืนฐานทางวรรณคดีไทยเพ่ือให้ผู้อ่านมีความรู้และนาไป ประยกุ ต์ใชก้ ับการศึกษาวิวัฒนาการวรรณคดีตอ่ ไปได้ โดยแบง่ เปน็ หัวข้อต่อไปนี้ ๑.๑ ความหมายของวรรณคดี คาว่า “วรรณคดี” เป็นคายืมจากคาบาลีสันสฤต ประกอบขึ้นจากคาว่า \"วรรณ” แปลว่า \"หนังสือ” และคาว่า \"คดี\" แปลว่า \"เรื่อง” ตามรูปศัพท์ วรรณคดี จึงแปลว่า \"เร่ืองท่ีแต่งเป็น หนังสือ” อย่างไรก็ดี ตามที่เข้าใจกันท่ัวไป คาว่า วรรณคดี มักมีความหมายกว้างออกไป มี ความหมายว่า \"หนังสือท่ีแต่งดี” พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ ปี ๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ ว่า \"วรรณกรรมท่ีได้รับยกย่องว่าแต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด” โดยในพจนานุกรมได้ ยกตวั อย่างหนงั สอื ทจี่ ัดว่าเปน็ วรรณคดีไว้ด้วย เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มัทนะพาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขนุ ชา้ งขุนแผน ท้ังน้ี มีนกั วชิ าการหลายท่านให้ความหมายของวรรณคดีไว้ ดงั นี้ เสฐียรโกเศศ (๒๕๑๘, หน้า ๘) ใหค้ วามหมาย ไว้ว่า “วรรณคดี คือความรู้สึกนึกคิดของกวี ซึ่งถอดออกมาจากจิตใจให้ปรากฏเป็นรูปหนังสือ มีถ้อยคาเหมาะเจาะเพราะพร้ิง เร้าใจให้ผู้อ่าน หรือผฟู้ ังเกิดความรู้สกึ ” วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (๒๕๑๔, หน้า ๗) ให้ความหมายไว้ว่า “บทประพันธ์ที่เป็นวรรณคดี คือ บทประพันธ์ท่ีมุ่งให้ความเพลิดเพลินให้เกิดความรู้สึกนึกคิด และอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน นอกจากนี้ บทประพนั ธ์ที่เปน็ วรรณคดี จะต้องมีรปู ศิลปะ (Form)” ปัญญา บริสุทธ์ิ (๒๕๔๒, หน้า ๓) กล่าวถึงความหมายของ วรรณคดีว่า “หนังสือท่ีแต่งดี นั่นก็คือมีการใช้ภาษาอย่างดี และภาษานั้นให้ความหมายแจ่มแจ้ง เด่นชัด ทาให้เกิดการโน้มน้าว อารมณ์ผู้อ่านให้คล้อยตามไปด้วย กล่าวง่าย ๆ ก็คือ อ่านแล้วทาให้เกิดความรู้สึกซาบซ้ึง ต่ืนเต้น หรือด่มื ดาในลกั ษณะต่างๆ ซึง่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า emotion ซ่ึงลักษณะอย่างนจ้ี ะตอ้ งมีในหนังสือ ท่เี ปน็ วรรณคดีทกุ เรอ่ื ง” ๑๒

เปล้อื ง ณ นคร (๒๕๔๑, หนา้ ๑) อธบิ ายความหมายของวรรณคดี ไว้ว่า “บทประพันธ์อัน ประกอบด้วยศิลปะแห่งการนิพนธ์ และมีเน้ือเรื่องอันมีอานาจดลใจให้เกิดความรู้สึกนึกคิดและ อารมณต์ า่ ง ๆ มใิ ชเ่ ป็นเรอ่ื งใหค้ วามรู้ถา่ ยเดียว” รื่นฤทัย สจั จพันธ์ุ (๒๕๔๔, หนา้ ๓๐) กลา่ วถึงลักษณะของวรรณคดีไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า “วรรณคดีไทยก็เชน่ เดยี วกบั วรรณคดีของชาติอนื่ คอื มีลกั ษณะเฉพาะท่ีสะท้อนความเป็นไทยและมี ความเป็นสากล อันทาให้วรรณคดีไทยบางเร่ืองสร้างอารมณ์ร่วมข้ามพรมแดนของกาลเวลาและ วฒั นธรรม และมคี ณุ คา่ โดดเด่นไม่แพ้วรรณคดีชาตใิ ด” สจุ ิตรา จงสถิตยว์ ัฒนา (๒๕๕๘, หน้า ๒) กล่าวถึงวรรณคดีไว้ว่า “หนังสือที่ได้รับยกย่องว่า แตง่ ดี หรอื วรรณคดีน้ัน เป็นคาใช้เรียกเพ่อื ประเมินคุณค่าของงานเขียนน้ัน ๆ มิได้เป็นการกาหนด รูปแบบ ดังนน้ั วรรณคดอี าจจะเปน็ งานท้ังประเภทรอ้ ยแก้วหรือร้อยกรอง อาจเป็นงานเขียนของกวี โบราณ หรืองานเขียนของกวีหรือนักเขียนราวมสมัย หรืออาจเป็นงานที่แปลแต่งจากวรรณคดี ตา่ งประเทศได้อยา่ งวเิ ศษแนบเนียนก็ได้” จากการให้ความหมายข้างต้น จะเห็นว่า การนิยามคาว่า วรรณคดี จะให้ความสาคัญกับ อารมณค์ วามรู้สกึ เน้นความสาคัญในความงามด้านวรรณศิลป์ โดยไม่จากัดว่าจะต้องเป็นงานร้อย แก้วหรือร้อยกรอง ท้ังนี้ อาจสรุปความหมายของคาว่า วรรณคดี ได้ว่า หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้น จากอารมณค์ วามรสู้ ึก ความคดิ หรอื ประสบการณ์ อยู่ในรปู แบบร้อยแก้วหรือร้อยกรอง เป็นงานท่ีมี คุณค่าด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์ มุ่งให้ผู้เสพเกิดสุนทรียะ เกิดความรู้สึกคล้อยตาม มลี ักษณะเฉพาะและลกั ษณะอนั เปน็ สากล คาว่า วรรณคดี น้ี บัญญัติเพ่ือใช้แทนคาว่า Literature ในภาษาอังกฤษ ใช้ครั้งแรกใน พระราชกฤษฎีกาจัดต้ังวรรณคดีสโมสร เม่ือวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๕๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยูห่ ัว (เสถียร ลายลกั ษณ์, มปป., หนา้ ๒๘๕-๒๘๖) เป็นท่ีน่าสังเกตว่า แต่เดิมมี คาเรียกวรรณคดีหลายอยา่ ง วรรณคดีทมี่ ฉี ันทลกั ษณ์ เช่น เรยี กว่า กวีนิพนธ์ กาพย์กลอน กาพย์ กลอน ฉนั ท์ คากานท์ คาประพันธ์ คาประดับ กวีวัจนะ ฯลฯ ดังเช่น ในลิลิตยวนพ่าย ปรากฏ คาว่า “กานท” หรือในลิลิตพระลอเรียกว่า “กลอน” ซึ่งหมายถึง งานร้อยกรองหรือวรรณคดี ดงั ตวั อยา่ งในลิลิตพระลอ สรวลเสยี งขับอา่ นอ้าง ใดปาน ฟงั เสนาะใดปนู เปรียบได้ เกลากลอนกล่าวกลการ กลกล่อม ใจนา ถวายบาเรอท้าวไท้ ธริ าชผมู้ บี ญุ ฯ ๑๓

สว่ นทเ่ี ป็นวรรณคดีร้อยแก้วนยิ มเรยี กวา่ นทิ านนิยาย หรอื มุขปาฐะ คาว่า วรรณคดี มีความหมายคล้ายกับคาว่า วรรณกรรม หากแต่วรรณกรรมมักหมายถึง หนังสือทุกประเภท ซ่ึงรวมถึงหนังสือวรรณคดีด้วย ท้ังนี้ อาจมาจากความหมายตามรูปศัพท์ที่ หมายถึง ทาให้เป็นหนังสือ น่ันเอง ปัญญา บริสุทธิ์ (๒๕๔๒, หน้า ๑) กล่าวถึงลักษณะงาน วรรณกรรมซ่ึงสะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมกับวรรณคดีว่า “เม่ือวางกฎเกณฑ์ และตีกรอบใหแ้ คบเข้าเพ่อื สร้างสรรค์งานวรรณกรรมน้ันให้ดีเด่นและมีมาตรฐานสูงขึ้นจนเป็นที่ยก ย่องในคุณค่า วรรณกรรมจึงเลื่อนฐานะข้ึนเป็นวรรณคดี เป็นวรรณศิลป์ และทาให้เกิดวรรณคดี วิจักษณ์ต่อไปตามลาดับ” คากล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นนัยยะทางความหมายที่ให้ความสาคัญกับงาน เขียนที่เรียกวา่ วรรณคดีในเชิงวรรณศิลป์และการวิจักษณ์ และยังสื่อให้เห็นว่าวรรณกรรมสามารถ เลือ่ นฐานะเป็นวรรณคดไี ด้ หากปรับปรุงให้มีมาตรฐานสูงขึน้ ๑.๒ เหตุของการสรา้ งสรรค์วรรณคดี เหตุของการสรา้ งสรรคว์ รรณคดี สรุปได้กวา้ ง ๆ ดังนี้ ๑.๒.๑ การถ่ายทอดความรู้สึกของกวี แบง่ ได้ครา่ ว ๆ ดงั น้ี ๑.๒.๑.๑ ความรสู้ ึกทีม่ ีตอ่ พระมหากษัตรยิ ์ ความรสู้ กึ ต่อพระมหากษตั รยิ ์ ท่ีปรากฏในวรรณคดีไทยส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกจงรักภักดีหรือซาบซึ้งในคุณงามความดีท่ีได้ทาไว้ ใหแ้ กร่ าษฎร ซ่ึงทาให้เกิดวรรณคดีประเภทยอพระเกียรติหรือสดุดีพระมหากษัตริย์ข้ึน เช่น โคลง ย่อพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี ของนายสวน มหาดเล็ก ที่ยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนที่ ทรงสถาปนากรงุ ธนบรุ ี ทานบุ ารงุ ศาสนา ปราบหัวเมืองต่าง ๆ ทาให้ราษฎรมีความสุขเกษม ๑.๒.๑.๒ ความรู้สึกที่มีต่อชาติ ความรู้สึกต่อชาติมักปรากฏในลักษณะ ของความรักชาติ ปลกุ ใจใหร้ ักชาติ ให้สามัคคีกลมเกลียว ซึ่งทาให้เกดิ วรรณคดปี ระเภทปลกุ ใจให้รัก ชาติ เช่น พระราชนิพนธ์เร่ือง หัวใจนักรบ และพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่ของรัชกาลท่ี ๖ หรืองาน ของหลวงวิจิตรวาทการ ท้งั นวนิยาย บทละครและเพลง ส่วนใหญ่มีแนวคิดปลกุ ใจใหร้ กั ชาติ รักพวก พ้อง และเสียสละเพอ่ื ชาติเกอื บทัง้ ส้ิน ๑.๒.๑.๓ ความรูส้ กึ ที่มีต่อศาสนาและความเชอ่ื ความรสู้ กึ ตอ่ ศาสนาและ ความเชื่อมักปรากฏในลักษณะของความเล่ือมในศรัทธา ความเลื่อมใสศรัทธาน้ีส่งผลให้เกิด วรรณคดีศาสนาข้ึนหลายเล่ม เช่น มหาชาติคาหลวง เวสสันดรชาดก พระมาลัยคาหลวง และ ชาดกอ่ืน ๆ นอกจากน้ี ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า ผี หรือสิ่งศักสิทธ์ิ ยังเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดี ไทยหลายเร่ือง เช่น ไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวถึงนรก สวรรค์ และนิพพาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความ เชอ่ื ถอื ศรทั ธาพระพุทธศาสนาของคนไทย หรือชว่ งตน้ เรอ่ื งของโองการแช่งน้าที่กล่าวบูชาเทพของ ๑๔

พราหมณ์ – ฮินดู ได้แก่ พระศิวะ พระนาราย์ และพระพรหม สะท้อนให้เห็นความเช่ือในเร่ือง เทพเจ้า ๑.๒.๑.๔ ความรสู้ กึ ทมี่ ีต่อธรรมชาติ ความรูส้ กึ ต่อธรรมชาติมักปรากฏใน ลักษณะท่ีสัมพันธ์กับอารมณ์ความรู้สึกของกวีหรือตัวละคร โดยอาจสื่อถึงความรู้สึกชื่นชอบช่ืนชม ความงามของธรรมชาติ หรอื อาจใชธ้ รรมชาตสิ ะท้อนความรู้สกึ ยนิ ดีหรือความเศร้าโศกภายในจิตใจ กไ็ ด้ เชน่ วรรณคดีนิราศมักกลา่ วถึงธรรมชาติสมั พันธก์ ับความรูส้ กึ ของกวที ้งั ในดา้ นช่ืนชมความงาม และเชอื่ มโยงกบั ความเศร้าโศกของตนทต่ี อ้ งจากนางอนั เป็นที่รกั หรอื บทชมธรรมชาติทีม่ ักสะท้อน ความรู้สึกร่มรื่น ความชื่นชมชื่นชอบความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้ พรรณสัตว์ เช่น กาพย์ห่อ โคลงนิราศธารทองแดง งานพระนิพนธ์ของเจา้ ฟ้าธรรมธิเบศ ๑.๒.๒ การถ่ายทอดจิตนาการและอารมณ์ส่วนตัวของกวี วรรณคดีประเภทนี้ กวีต้องการแสดงความรู้สึกนึกคิดส่วนตัว เช่น ต้องการแสดงความรัก ความเศร้า และความโกรธ แคน้ เป็นต้น มักพบในวรรณคดนี ริ าศ เพลงยาว และดอกสรอ้ ยหรอื สักวา ซึง่ เป็นรปู แบบทสี่ ามารถ ถ่ายทอดอารมณ์ส่วนตัวของกวีได้อย่างดี หรือถ้ากวีต้องการถ่ายทอดอารมณ์ในแบบสนุกสนาน เพลิดเพลินอาจผูกเร่ืองหรือสร้างเป็นโครงเร่ืองขึ้นก็ได้ เช่น เรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ท่ีแต่ง ขึน้ จากจนิ ตนาการตามอารมณส์ ่วนตัวของกวี ๑.๒.๓ การธารงรกั ษาความงามทางวรรณศิลป์และแบบแผนการแต่งวรรณคดีไทย ลักษณะนี้ปรากฏมากในวรรณคดีสมยั รชั กาลท่ี ๖ ที่โปรดใหก้ วีที่เช่ียวชาญการแต่งกาพย์กลอนแต่ง วรรณคดีเพื่อรักษาวิชากวีไทยเอาไว้ เช่น วรรณคดีเรื่องอิลราชคาฉันท์ ของหลวงสารประเสริฐ รัชกาลท่ี ๖ โปรดเกล้า ฯ ให้แต่งข้ึนเพื่อให้ช่วยกันรักษาวิชากวีไทยไว้ และเพ่ือให้ใช้ความสามารถ ของตนแต่งหนังสือที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นไปในทางไม่เป็นแก่นสาร เพราะทรงเห็นว่า กวีในสมัย ของพระองค์น้ันมีศิลปะการแต่งย่อหย่อนกว่าสมัยเดิมเป็นอันมาก เนื่องจากผู้แต่งนิยมใช้ภาษา โวหารอย่างใหม่ ด้วยเข้าเข้าใจผิดว่าเป็นโวหารอย่างฝรั่งและทันสมัย (รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, ๒๕๕๘, หน้า ๑๐๗ - ๑๐๘) หรอื เรอ่ื ง หวั ใจนกั รบ บทละครพดู งานพระราชนิพนธ์ในรชั กาลท่ี ๖ ทไี่ ด้รบั ยก ย่องว่า เป็นบทละครพูดที่ดีและเป็นแบบฉบับที่ควรยึดถือ (ปัญญา บริสุทธิ์, ๒๕๔๒, หน้า ๗๕) วรรณคดสี โมสรยกยอ่ งให้เป็นยอดของบทละครพดู ด้วย ๑.๒.๔ การถ่ายทอดหรือแพร่กระจายทางวัฒนธรรม วรรณคดีประเภทน้ี คือ จาพวกเรื่องแปลหรือเรื่องท่ีได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีต่างประเทศ เช่น สามก๊ก ของเจ้าพระยา พระคลัง (หน) ซึ่งแปลจากพงศาวดารจีน พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ หลายเรื่องทรงแปลจาก วรรณกรรมของวิลเลียมเชกสเปียร์ เช่น เรื่องโรเมโอและจูเลียต แปลจากเรื่อง Romeo and Juliet เรื่องตามใจท่าน แปลจากเรื่อง As You Like It เร่ืองเวนิสวาณิช แปลจากเรื่อง The ๑๕

Merchant of Venice เป็นต้น นอกจากนี้ รัชกาลที่ ๖ ยังนาเร่ืองมาจากวรรณคดีภารตะมาแต่ง ข้ึนด้วย เชน่ เรอื่ งศกลุ ตลา ซง่ึ เป็นเรื่องแทรกอยู่ในมหาภารตะ เปน็ ต้น ๑.๓ ผแู้ ต่งวรรณคดี ผแู้ ต่งวรรณคดีนิยมเรยี กว่า กวี ซงึ่ คาว่า กวีนมี้ ักสอื่ ความถงึ ผูแ้ ตง่ วรรณคดีท่ีเป็นร้อยกรอง มีฉนั ทลักษณ์ สมยั ก่อนกวมี กั เป็นข้าราชการใกลช้ ดิ กบั พระมหากษตั ริย์ หรอื ทเ่ี รียกว่ากวีราชสานัก ยังมีกวีท่ีเป็นชาวบ้านหรือเป็นพระภิกษุ เช่น พระมหานาค วัดท่าทราย พระเทพโมลี (กลิ่น) เปน็ ต้น อาจแบ่งประเภทของกวีได้ดงั นี้ ๑.๓.๑ อรรถกวี คือ กวีท่ีประพันธ์เร่ืองท่ีได้มาจากเหตุการณ์และความเป็นจริง เชน่ นริ าศลอนดอน ของหมอ่ มราโชทัย นิราศนครวัด ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดารงราชานุภาพ เปน็ ต้น ๑.๓.๒ จินตกวี คือ กวีที่ประพันธ์เร่ืองตามที่จินตนาการหรือคิดประดิษฐ์ขึ้น อาจมีเค้าความจริงบ้างแต่ไม่ใช่ท้ังหมด เร่ืองส่วนใหญ่มีลักษณะเกินจริง เช่น พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ มัทนะพาธา พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว เปน็ ตน้ ๑.๓.๓ สุตกวี คือ กวีทปี่ ระพนั ธเ์ รือ่ งตามทไ่ี ด้ยินมา ได้ฟงั มาหรอื ไดอ้ ่านมา และ แตง่ เร่อื งให้ขยายออกไปหรอื ใหพ้ ศิ ดารขึ้น เช่น ลลิ ติ ตะเลงพ่าย ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมนชุ ิตชิโนรส หรือมหาชาตคิ าหลวงทีม่ าจากนิทานชาดก เปน็ ตน้ ๑.๓.๔ ปฏิภาณกวี คือ กวีที่ประพันธ์งานโดยใช้ปฏิภาณ ความฉับไวของ สตปิ ัญญาและความรอบรู้ งานท่ีปรากฏมักเป็นกลอนสด กลอนหวั เดยี ว กลอนเพลงปฏิพาทย์ เช่น สักวา ดอกสร้อย ลาตัด ฉ่อย ฯลฯ กวีท่ีจัดเป็นปฏิภาณกวี เช่น ศรีปราชญ์ คุณพุ่ม(บุษบาท่าเรือ จ้าง) พ่อเพลงแมเ่ พลงลาตัด เพลงฉ่อย และเพลงพ้ืนบา้ นที่ต้องดน้ กลอนสด นอกจาก กวี แลว้ ยังมนี ักกลอน นักประพนั ธ์ และนักเขียนด้วย นักกลอนหมายถึงผู้แต่ง ท่แี ต่งงานรอ้ ยกรองขนาดสน้ั มงุ่ ใช้ถ้อยคาถ่ายทอดความคิดหรือให้ผู้อ่านได้ความคิดมากกว่าความ สละสลวยเหมือนวรรณคดีโบราณ นักประพันธ์คือ ผู้ประพันธ์งานซ่ึงอาจเป็นสารคดี บันเทิงคดี และสาระบันเทิงก็ได้ งานส่วนใหญ่มีคุณค่าท้ังด้านความไพเราะ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ให้สาระ ความรู้ แง่คิด นักประพันธ์ที่มีช่ือเสียง เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช คุณหญิงวนิ ิตา ดถิ ียนต์ กณั หา เคียงศริ ิ เป็นต้น ส่วนนักเขียนมักส่ือความถึงผู้เขียนงานประเภท รอ้ ยแก้วเป็นหลักหรอื ทเ่ี รยี กว่า วรรณกรรม แต่งวรรณกรรมในรูปแบบเร่ืองส้ัน นวนิยาย หรืองาน สารคดีก็ได้ หากนักเขียนยังเขียนงานไม่นานหรือมีจานวนงานยังไม่มาก นิยมเรียกว่า นักเขียน สมัครเลน่ หรอื นักเขยี นหน้าใหม่ ๑๖

๑.๔ ประเภทของวรรณคดี รูปแบบหรอื ประเภทของวรรณคดีมีความสาคญั เพราะเป็นเครอ่ื งมอื ในการถ่ายทอดเน้ือความ และความคดิ ม.ล. บุญเหลอื เทพยสุวรรณ (๒๕๔๓, หนา้ ๗) กลา่ วถงึ การพจิ ารณาวรรณคดีว่าตอ้ ง พจิ ารณารปู แบบวรรณคดีด้วย “การพิจารณาศิลปกรรมทุกประเภท ต้องอาศัยรูปแบบเป็นหลักใน การพิจารณา (...) เมื่อเราพิจารณาวรรณคดี เราต้องดูว่า วรรณคดีเรื่องหนึ่ง หรือบทหนึ่ง หรือช้ิน หนึ่ง เข้าในรูปแบบอันใด” คากล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความสาคัญของประเภทวรรณกรรมและ ความสามารถของนกั อ่านหรอื นกั วิจารณ์ที่ควรจะตอ้ งรวู้ า่ วรรณคดีแต่ละเล่มใชร้ ูปแบบใด เป็นที่นา่ สังเกตว่า แตเ่ ดมิ วรรณคดีมกั แบง่ วรรณคดตี ามยุคสมยั แตท่ งั้ นี้ การจาแนกวรรณคดยี งั มอี กี หลายวธิ ี และยังไม่สามารถแยกออกจากกันได้เด็ดขาด เพราะลักษณะเน้ือหาก็ดี รูปแบบก็ดี และแนวคิด บางอย่างก็ดี วรรณคดีหลายเร่ืองมีส่วนที่พาดพิงกันอยู่ ซ่ึงแม้จะไม่เป็นการซ้าซ้อนโดยเด่นชัด แต่ บางประเภทยอ่ มมีความคลา้ ยคลึงกันบางสว่ น (ปัญญา บรสิ ุทธ์ิ, ๒๕๔๒, หน้า ๕) ในทนี่ ้ี จะจาแนก ประเภทของวรรณคดตี ามเกณฑ์ต่าง ๆ ดงั น้ี ๑.๔.๑ จาแนกตามลักษณะคาประพนั ธ์ ได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.๔.๑.๑ ร้อยแกว้ หมายถึง ความเรียงท่ีสละสลวย ไพเราะ เหมาะเจาะด้วยเสียง และความหมาย (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๒, หน้า ๙๓๑) เช่น ไตรภูมิพระร่วง ศิลาจารึก พระปฐมสมโพธกิ ถา สามก๊ก เป็นต้น ๑.๔.๑.๒ รอ้ ยกรอง หมายถงึ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ซึง่ เป็นถ้อยคาที่นามาเรียง ร้อยโดยมีการกาหนดมาตราเสียงสูงต่า เสียงหนักเบา และเสียงส้ันยาวตามแบบรูปท่ีกาหนดไว้ (เสฐียรโกเศศ, ๒๕๐๗, หน้า ๖) เป็นวรรณคดีที่แต่งโดยมีฉันทลักษณ์ควบคุม ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน รา่ ย เช่น สามคั คีเภทคาฉันท์ อเิ หนา รามเกยี รติ์ กาพยเ์ หเ่ รอื เป็นต้น ๑.๔.๒ จาแนกตามลักษณะการบันทึก ได้ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑.๔.๒.๑ วรรณคดที ไ่ี มไ่ ดจ้ ารกึ เป็นลายลักษณ์อกั ษร เปน็ วรรณคดีท่เี ลา่ ต่อ ๆ กัน มา อย่างทเ่ี รยี กว่า \"วรรณคดมี ุขปาฐะ\" ๑.๔.๒.๒ วรรณคดที ่ีจารกึ เปน็ ลายลกั ษณ์อักษร ได้แก่ วรรณคดีท่ีมีการจารึกเป็น หลักฐานแนน่ อน ไม่วา่ จะเป็นการจารลงในศลิ า สมุดข่อย ใบลาน สมดุ ไทย หรอื หนังสอื พมิ พ์ ๑.๔.๓ จาแนกตามวัตถปุ ระสงค์ ได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.๔.๓.๑ วรรณคดีแท้ หรือวรรณคดีบริสุทธิ์ เป็นวรรณคดีที่มุ่งให้ผู้อ่านเกิดความ เพลิดเพลินเป็นใหญ่ เป็นวรรณคดีที่เกิดจากอารมณ์สะเทือนใจของผู้แต่ง เช่น นิราศเร่ืองต่าง ๆ เป็นตน้ ๑๗

๑.๔.๓.๒ วรรณคดปี ระยกุ ต์ เปน็ วรรณคดีทผี่ แู้ ตง่ แตง่ ขึ้นโดยมีวตั ถุประสงค์ในการ แตง่ นอกเหนอื ไปจากความเพลดิ เพลิน แต่งข้ึนเพ่ือมุ่งประโยชน์อย่างอ่ืน เช่น บันทึกเหตุการณ์ทาง ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดกี ารแสดง วรรณคดพี ิธีกรรม เป็นตน้ ๑.๔.๔ จาแนกตามลกั ษณะเนื้อเรอ่ื ง แบง่ ได้ ๕ ประเภท ดังน้ี ๑.๔.๔.๑ วรรณคดีการละครหรือนาฏการ คือวรรณคดีท่ีมีเรื่องราว มีตัวละคร มี ฉากต่าง ๆ ท่สี ามารถนาไปประกอบการแสดงได้ เช่น อเิ หนานาไปแสดงละครรา รามเกียรต์ินาไป แสดงโขน หรอื สงั ขท์ องนาไปแสดงละครนอก ๑.๔.๔.๒ วรรณคดีเก่ียวกับศาสนาและคาสอน คือวรรณดคีที่มีเน้ือหาเก่ียวกับ ศาสนาและคาสอน เช่น พระปฐมสมโพธิกถาเป็นวรรณคดีศาสนาท่ีมีเน้ือหาบอกเล่าประวัติของ พระพทุ ธเจา้ พระมาลัยคาหลวงบอกเล่าประวตั ิพทุ ธสาวกนามวา่ พระมาลัย ๑.๔.๔.๓ วรรณคดีเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีการ คือวรรณคดีท่ีใช้ ประกอบพิธีการ หรือบอกเล่าขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น คาฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างใช้ในพิธี การกลอ่ มชา้ ง หรอื พระราชพธิ สี ิบสองเดอื นทีบ่ อกเล่าเกย่ี วกับประเพณใี นแตล่ ะเดือน ๑.๔.๔.๔ วรรณคดเี ฉลิมพระเกียรติหรอื วรรณคดีทางประวตั ิศาสตร์ คอื วรรณคดีท่ี สดุดีหรือยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ และบันทึกเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน เช่น ลิลิตยวนพ่ายยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถท่ีทาสงครามรบชนะพระเจ้าติโลกราชแห่ง เชยี งใหม่ วรรณคดเี รื่องนีไ้ ด้บนั ทึกเหตุการณก์ ารสงครามในครงั้ นน้ั ดว้ ย ๑.๔.๔.๕ วรรณคดีเกี่ยวกับอารมณ์ คือวรรณคดีท่ีเกิดจากอารมณ์ของกวี และกวี ได้ถ่ายทอดอารมณ์น้ันเป็นวรรณคดี เช่น วรรณคดีนริ าศเรื่องต่าง ๆ ท่ีกวีมกั ถา่ ยทอดอารมณ์หว่ งหา อาวรณ์นางอนั เปน็ ทร่ี กั เพราะตอ้ งจากนางไป ๑.๔.๕ จาแนกตามความคิดและอารมณ์ของกวีเป็นหลัก แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ (ประสทิ ธ์ิ กาพย์กลอน, ๒๕๑๘, หนา้ ๑๓๖) ดังนี้ ๑.๔.๕.๑ วรรณคดที แ่ี สดงความในใจของผแู้ ต่ง (subjectivity poetry หรือ lyric) เป็นคาประพนั ธท์ ถี่ า่ ยทอดความร้สู กึ ในใจ แนวคดิ ของตนออกมาโดยตรง อาจจะเป็นกาพย์ กลอนก็ ได้ หรอื แสดงความคดิ ทางปรัชญา หรอื แสดงความรูส้ กึ เศร้าหมอง กไ็ ด้ ๑.๔.๕.๒ วรรณคดีท่ีผู้แต่งแสดงตัวเป็นกลาง (objectivity poetry) เป็นคา ประพันธ์ที่ผู้แต่งวางตัวเป็นกลาง ไม่แสดงอารมณ์ของตนเอง หรือแสดงอารมณ์ของตนน้อยท่ีสุด เชน่ นทิ านคากลอน นวนิยาย เปน็ ตน้ ๑๘

๑.๔.๖ จาแนกตามเกณฑ์ของวรรณคดีสโมสร ตามความมาตรา ๗ ในพระราช กฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสรน้ัน ได้แบ่งวรรณคดีออกเป็น ๕ ประเภท (วันเนาว์ ยูเด็น, ๒๕๓๐, หน้า ๒) ไดแ้ ก่ ๑.๔.๖.๑ กวีนิพนธ์ คือ เรื่องท่ีกวีเป็นผู้แต่งขึ้นโดยใช้ฉันทลักษณ์ เช่น โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน ๑.๔.๖.๒ ละครไทย คือ เป็นละครรา โดยใชร้ ปู แบบคาประพนั ธ์เปน็ กลอนแปด มีกาหนดหน้าพากย์ ได้แก่ เพลงบรรเลงประกอบกริยาอาการเคร่ือนไหวของบุคคลและธรรมชาติ เช่น ตอนยกทพั ใชเ้ พลงกราว ตอนโศกใชเ้ พลงโศก ๑.๔.๖.๓ นิทาน คอื เรื่องราวอันผกู ข้นึ และแตง่ เปน็ รอ้ ยแก้ว ๑.๔.๖.๔ ละครพดู หรอื ละครปจั จุบนั คือ เรอ่ื งราวท่เี ขียนขนึ้ สาหรับใชแ้ สดงบน เวที เอาแบบอยา่ งมาจากตะวันตก ๑.๔.๖.๕ คาอธบิ าย คอื เอสเซย์ (essay) หรือแปมเฟลต แสดงด้วยศิลปวิทยา หรือกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง (แต่ไม่ใช่ตาราหรือแบบเรียน หรือความเรียงเรื่องโบราณคดี มี พงศาวดาร เป็นตน้ ) หนังสือหรืองานเขียนที่อยู่ใน ๕ ประเภทนี้ ให้นับว่าเป็นหนังสือท่ีควรพิจารณาใน วรรณคดีสโมสรตามพระราชกฤษฎีกาน้ี ความในมาตรา ๘ ยงั ไดก้ าหนดเนือ้ หาลกั ษณะ มีกาหนดในพระราชกฤษฎีกา ดงั น้ี ๑) เป็นหนังสือดี กล่าวคือ เป็นเรื่องราวที่เหมาะสมซึ่งสาธารณชนจะได้อ่าน โดยไม่เสียประโยชน์คือไม่เป็นเรื่องทุภาษิตหรือเป็นเรื่องที่ชักจูงความคิดผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็น แก่นสาร ๒) เป็นหนังสือแต่งดี ใช้วิธีเรียงเรียงอย่างใดอย่างใดก็ตาม แต่ต้องเป็น ภาษาไทยอนั ดี ถกู ต้องตามเย่ยี งอยา่ งทใ่ี ชใ้ นโบราณกาลหรือในปัจจุบันกาลก็ได้ ไม่ใช่ภาษาซึ่งเลียน ภาษาต่างประเทศ (เสถียร ลายลักษณ์, มปป, หนา้ ๒๘๖) จากเกณฑ์การพิจารณาหนังสือข้างต้น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะกรรมการการ วรรณคดสี โมสรจงึ สรุปว่าวรรณคดีเร่อื งใดเป็นยอดแหง่ วรรณคดีในแต่ละประเภท สรปุ ได้ดังน้ี ๑) กวีนิพนธ์ ได้แก่ (๑) ลลิ ิตพระลอ เป็นยอดของลิลติ (๒) สมทุ รโฆษคาฉันท์ เปน็ ยอดของคาฉนั ท์ (๓) เทศน์มหาชาติ เป็นยอดของกาพย์กลอน (๔) เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน เปน็ ยอดของกลอนสุภาพ ๑๙

๒) บทละคร ไดแ้ ก่ บทละครเรอ่ื งอิเหนาพระราชนพิ นธ์ในรชั กาลที่ ๒ เป็นยอดของ บทละครรา ๓) บทละครพูด ได้แก่ บทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๖ เป็น ยอดของบทละครพดู ๔) นทิ าน ได้แก่ เร่อื งสามก๊กของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นยอดของความเรยี ง เร่ือง นทิ าน ๕) อธิบาย ได้แก่ เรื่องพระราชพิธี ๑๒ เดือน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๕ เป็น ยอดของความเรียงอธิบาย ๑.๕ การแบ่งยุคสมยั วรรณคดี การแบ่งยุคสมัยวรรณคดีมีเกณฑ์ในการแบ่งหลายลักษณะ ส่วนใหญ่นิยมแบ่งตาม เหตุการณ์สาคัญท่ีเกิดข้ึนในแต่ละช่วง และแบ่งตามการก่อต้ังและสิ้นสุดอาณาจักร โดยอาจเรียง ตามลาดับเวลา การค้นพบหลักฐานทางวรรณคดี หรือลักษณะร่วมของวรรณคดีก็ได้ การแบ่งยุค สมยั จึงข้นึ อยกู่ บั ว่าใชเ้ กณฑห์ รอื เหตุผลใดเปน็ หลกั ในการแบ่ง ชลดา เรอื งรักษ์ลขิ ิต (๒๕๔๔, หน้า ๑) กล่าวถงึ ตวั อย่างการแบ่งสมยั อยธุ ยาตอนตน้ ทม่ี คี วามหลากหลาย ไวด้ งั น้ี “ตัวอย่างเชน่ การแบ่ง สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แม้นักประวัติศาสตร์จะมีความเห็นตรงกันตรงจุดเริ่มของยุคสมัย คือ นับตั้งแต่ปีเร่ิมรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ แต่ก็มีการกาหนดระยะเวลาส้ินสุดไม่ตรงกัน คือ กาหนดที่สิ้นรชั มยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถกม็ ี กาหนดทส่ี ้นิ รัชสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราชก็มี หรือกาหนดทสี่ น้ิ รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรก็มี” จะเห็นว่า การแบ่งยุคสมัยของวรรณคดียังไม่มีข้อ ยุตทิ ีช่ ัดเจน ในท่ีน้ี จะขอสรุปยุคสมัยของวรรรคดีตามลาดับเวลา โดยเร่ิมต้ังแต่อาณาจักรสุโขทัยจนถึง รตั นโกสินทร์ ดงั นี้ ๑.๕.๑ วรรณคดีสมัยสโุ ขทยั ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๒๐ (๒๐ ป)ี โดยเริม่ ต้งั แต่การ สร้างกรงุ สโุ ขทัยในสมัยพอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์ ๑.๕.๒ วรรณคดีสมัยอยุธยา ในสมัยน้ีแบ่งได้ ๓ ระยะ (ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ๒๕๔๔, หนา้ ๓) ดังน้ี ๑.๕.๒.๑ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น เร่ิมตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๐๗๒ ช่วงน้ีมี วรรณคดีปรากฏ ๓ รัชสมัย คือ รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ และรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๒ ๑.๕.๒.๒ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง เร่ิมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๒๓๑ โดยเร่ิม ตง้ั แต่รัชสมัยของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จนถงึ รัชสมัยสมเดจ็ พระนารายม์ หาราช (หลงั จากนนั้ ๒๐

วรรณคดีไดว้ า่ งเว้นไป ๔๕ ปี) ชว่ งนมี้ ีวรรณคดีปรากฏอยู่ ๓ รชั สมัย คือ รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร มหาราช รัชสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม และรชั สมัยสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ๑.๕.๒.๓ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย เร่ิมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๑๐ โดยเริ่ม ตั้งแตส่ มัยสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ จนถึงเสียกรุงศรอี ยุธยา ครง้ั ท่ี ๒ ๑.๕.๓ วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕ (๑๕ ปี) ซึ่งเป็น ระยะเวลาการปกครองบา้ นเมอื งของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช ๑.๕.๔ วรรณคดีสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ แบ่งได้ ๒ ระยะ คอื ๑.๕.๔.๑ วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๕- ๒๓๔๙ โดยเร่ิม ต้ังแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ๑.๕.๔.๒ วรรณคดีสมยั รตั นโกสินทร์ปัจจบุ ัน (สมัยรับอิทธิพลตะวันตก) เร่ิมต้ังแต่ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๔-ปจั จบุ นั โดยเรมิ่ ตง้ั แตส่ มัยสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวจนถงึ สมัยปจั จบุ ัน ๑.๖ เอกลักษณว์ รรณคดีไทย วรรณคดีไทยมีลักษณะหรือเอกลักษณ์เฉพาะท่ีโดดเด่น และเป็นลักษณะท่ีถ่ายทอดปฏิบัติ สืบเนื่องกนั มาในเร่อื งเดน่ ๆ (สุจติ รา จรจติ ร, ๒๕๔๗, หน้า ๑๑-๑๕) ดังน้ี ๑.๖.๑ บทไหว้ครู บทไหว้ครูเป็นเอกลักษณ์ทางวรรณคดีที่สาคัญ วรรณคดีไทย หลายเรื่องเรมิ่ ต้นด้วยบทไหว้ครู ซ่ึงนอกจากการแสดงความกตัญญูแล้ว ยังเป็นการสดุดีผู้เป็นเจ้า ประกาศเกียรติคุณสรรเสริญเกียรติผู้มีคุณต่อชาติบ้านเมืองหรือชมบ้านชมเมือง อีกท้ังเป็นการ แสดงความสามารถของกวีอกี ดว้ ย ดังตัวอยา่ ง บทไหว้ครูในลิลิตเพชรมงกฎุ ตอนต้นเรอื่ ง ศรีสวัสด์ิปรีดารมย์ ประนมนิ้วประณต ทศนัขประชุม ต่างโกสุมภ์สุนทเรศ โอนวร เกศอภิวาท สยมภูวนาถโมลิศ องค์จักรกฤษณ์กัมเลศ ภาณุเมศศศิธร ปิ่นอมรจักรพาฬ เทเวศพนสั สถานอารักษ์ อีกอคั รราชาธิปัตย์ ถวัลยราชกษตั รยิ พ์ ิเศษ จรรโลงเกศกรุงทวารา ศรีอยุธยายศโยค ขอนฤโศกทุกข์ภัย นฤจัญไรบาราศ จากวรอาตมวิมล ข้อยข้าจะนิพนธ์ ลิลติ โดยตานานนิตยบ์ ูรา ในปักระณาเวตาล แนะนิทานเปน็ ประถม ๑.๖.๒ บทอศั จรรย์ บทอัศจรรย์จะปรากฏส่วนใหญ่ในวรรณคดีไทยท่ีมีเน่ือเรื่อง และมีตัวละคร เป็นบทโอ้โลมหรือบทรักของตัวละคร ซ่ึงคนไทยถือว่าเป็นเร่ืองที่ไม่ควรนาเสนอ อย่างเปิดเผย หรือนาเสนออย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นกวีจึงมักถ่ายทอดเรื่องราวบทรักโดยใช้ ๒๑

สญั ลกั ษณ์แทน บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทยเปน็ บทท่ีต้องใชค้ วามประณีตอย่างย่งิ การใชส้ ญั ลกั ษณ์ ในบทอศั จรรย์ ดงั เช่น ๑.๖.๒.๑ สัญลักษณ์แทนเพศชาย ได้แก่ ว่าวกุฬา คลื่น งู ช้าง พายุ อสนุ บี าต พระอาทติ ย์ มา้ เปน็ ตน้ ๑.๖.๒.๒ สัญลักษณ์แทนเพศหญิง ได้แก่ เกาะ หาด คลอง กอหญ้า ดอกไม้ ปกั เปา้ (วา่ ว) พระจนั ทร์ เป็นต้น ๑.๖.๒.๓ คากริยาหรือวลี นยิ มใช้กรรโชก กระทบกระทั่ง พ่นฟูฟอง ดาด่ิง กราย ผาดโผน ๑.๖.๒.๔ การบรรยาย นิยมใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความเคล่ือนไหว ความนุ่มนวล กฬี า เป็นแนวเทียบเคียง ตัวอย่างบทอัศจรรย์ในเรื่องพระอภัยมณี ระหวา่ งพระอภัยมณีกับนางเงอื ก อศั จรรย์คร่ันคร้ืนเปน็ คลนื่ คลัง่ เพยี งจะพังแผน่ ผาสธุ าไหว กระฉอกฉาดหาดเหวเป็นเปลวไฟ พายุใหญเ่ ขย้อื นโยกระโชกพัด เมขลาล่อแกว้ แววสว่าง อสรู ขว้างเขว้ียงขวานประหารนัด พอฟ้าวาบปลาบแปลบแฉลบลดั เฉวียงฉวดั วงรอบขอบพระเมรุ พลาหกเทวบตุ รก็ผุดพงุ่ เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน สขี รนิ ทร์อสิ นิ ธรก็อ่อนเอน ยอดระเนนแนบนา้ แทบทาลาย ๑.๖.๓ อารมณ์ขัน อารมณ์ขันในวรรณคดีไทยมีปรากฏอยู่หลายเร่ือง โดยมัก แทรกอยู่ในเนื้อเร่ืองหรือการสนทนาของตัวละคร อย่างไรก็ดี วรรณคดีไทยบางเร่ืองมีอารมณ์ขัน เปน็ แกนหลัก เช่น เรื่องระเดน่ ลนั ได ของพระมหามนตรี(ทรัพย์) ท่ีเขียนเป็นเรื่องทานองล้อเลียน บทละครเรื่องอเิ หนา และทาให้เกิดความขาขันจากการสร้างตัวละครท่ีแตกต่างจากเร่ืองอิเหนาโดย สิ้นเชงิ ดงั ตัวอยา่ งตอนกล่าวถงึ ระเด่นลันได มาจะกลา่ วบทไป ถึงระเด่นลนั ไดอนาถา เสวยราชย์องคเ์ ดยี วเที่ยวราภา ตามตลาดเสาชงิ ชา้ หนา้ โบสถพ์ ราหมณ์ อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วน กาแพงแกว้ แล้วลว้ นด้วยเรยี วหนาม มีทหารหอนเหา่ เฝา้ โมงยาม คอยปราบปรามปจั จามิตรท่คี ิดรา้ ย เที่ยวสซี อขอขา้ วสารทุกบา้ นชอ่ ง เปน็ เสบียงเล้ยี งทอ้ งของถวาย ไมม่ ใี ครชังชงิ ท้งั หญงิ ชาย ตา่ งฝากกายฝากตัวกลัวบารมี ๒๒

พอโพลเ้ พลเ้ วลาจะสายณั ห์ ยงุ ชมุ สมุ ควนั แล้วเขา้ ท่ี บรรทมเหนือเส่ือลาแพนแท่นมณี ภูมซี บเซาเมากญั ชา ฯ ๑.๖.๔ บทลงสรง แตง่ ตวั และชมโฉม วรรณคดีไทยโดยเฉพาะบทละครจะมบี ท อาบน้า แต่งตัวของตัวละครที่สะท้อนให้เห็นค่านิยมของคนไทยท่ีนิยมชาระล้างร่างกายและแต่ง ตวั อย่างสวยงามพิถพี ิถนั ซ่งึ จะปรากฏเฉพาะตวั เอกเท่าน้ัน ตัวอย่างบทลงสรงของอิเหนา สระสรงทรงสคุ นธป์ นทอง ชมพนู ทุ ผดุ ผ่องมังสา สอดใส่สนับเพลาเพราตา ภูษาเชงิ กรวยรจุ ี ฉลององคโ์ หมดม่วงดวงระยับ เจยี ระบาดคาดทับสลับสี ปนั้ เหนง่ ลงยาราชาวดี ทับทรวงดวงมณเี จียระไน สังวาลเพชรพรรณรายสายสรอ้ ย เฟื่องห้อยพลอยแดงแสงใส ทองกรพกุ ามแก้วแววไว สอดใสเ่ นาวรตั นธ์ ามรงค์ ทรงชฎาประดับเพชรเตร็จตรัส หอ้ ยทดั พวงสุวรรณตนั หยง ถอื เชด็ หนา้ เหน็บกริชฤทธิรงค์ มาทรงมโนมัยชยั ชาญ ฯ สาหรับบทชมโฉมเป็นลักษณะเด่นแกประการหนึ่งของวรรณคดีไทย คือมักกล่าว เปรียบเทียบความงามกับสิ่งต่าง ๆ ที่มองว่างาม ความงามนี้เป็นความงามแบบอุดมคติ อาจไม่ได้ งามเหมือนสิ่งนั้นจริง ๆ ตัวอย่างบทชมโฉมพระลอ ซ่ึงช้ีให้เห็นลักษณะตัวเอกฝ่ายชายนิยมรูปร่าง หน้าตาสวยงาม เดอื นจรัสโพยมแจ่มฟา้ ผบิ ได้เห็นหนา้ ลอราชไซร้ดเู ดอื น ดุจแล พิศคิ้วพระลอราช ตาเหมือนตามฤมาศ กง่ นา ประดุจแกว้ เกาทณั ฑ์ กลกลบี บงกชแกว้ เทยี บนา พิศกรรณงามเพริศแพรว้ อกี แกม้ ปรางทอง ๑.๖.๕ กลวิธีถ่ายทอดความรู้สึก ในวรรณดคีไทยมักใช้ธรรมชาติเป็นสื่อในการ ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ไม่ว่าความสุข ร่ืนเริง หรือเศร้าโศก เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ คล้อยตาม ดังตวั อย่างในเรอ่ื งกามนิต ตอนพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพาน ๒๓

ครั้นแล้ว สิ้นพระดารัส สิ้นพระสุรเสียง หับพระโอษฐ์ หลับพระเนตร พระ อัสสาสะประสาทซ่ึงเคยระบายตามธรรมดาก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงๆ ทุกที แล้วก็ส้ินกระแส ลมโดยพระอาการสงบ พระภิกษุองคห์ น่ึงประกาศวา่ พระบรมศาสดาเสด็จปรนิ ิพพานแลว้ อนิจจา แสงเดือนเพ็ญผ่องกระจ่างจับพระพักตร์อยู่เม่ือกี้ ก็จางชีดขมุกขมัวลง ท้องฟ้าสลบั มัวพยบั ครึม้ อากาศเย็นเฉียบจบั หวั ใจ นา้ คา้ งหยดลงเผาะๆ เป็นหยาดน้าตา แหง่ สวรรค์ เกสรดอกรงั ร่วงพรูเป็นสายสหัสธาราสรงพระพุทธสรีระ จักจั่นเรไรสงัดเงียบ ดไู ม่มีแก่ใจจะทาเสยี ง ธรรมชาติรอบข้างต่างสลด หมดความคะนองทกุ ส่งิ ทุกอยา่ ง ตวั อย่างการใช้ธรรมชาติถา่ ยทอดความรู้สกึ รืน่ เรงิ หรอื ความสขุ จากเรอื่ ง พระอภยั มณี ท้งั สององค์เหนื่อยออ่ นเขา้ ผ่อนพกั หยุดพานักลาเนาภเู ขาเขนิ ครั้นหายเหนื่อยเม่อื ยลา้ อุตสา่ ห์เดิน พิศเพลนิ ม่ิงไม้ในไพรวนั บา้ งผลิดอกออกผลพวงระยา้ ปบี จาปาสุกรมนมสวรรค์ พระอภยั มณีศรีสวุ รรณ ต่างชงิ กนั เก็บพลางตามทางมา พระพ่เี กบ็ กาหลงสง่ ใหน้ ้อง เดนิ ประคองเคยี งกันดว้ ยหรรษา พระนอ้ งเก็บมลุลใี ห้พีย่ า ทงั้ สองราเดนิ ดมแลว้ ชมเชย เหน็ มะม่วงพวงผลพึง่ สุกหา่ ม ทาไมง้ ่ามน้อยน้อยสอยเสวย อรอ่ ยหวานปานเปรยี บรสนมเนย อ่ิมแลว้ เลยลว่ งทางมากลางดง จากท่ีกล่าวมาจะเห็นว่า วรรณคดีไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะ ซ่ึงเอกลักษณ์บางอย่าง อาจปรบั มาจากวรรณคดีตา่ งประเทศ เชน่ การชมโฉม ที่น่าจะได้อิทธิพลจากวรรณคดีอินเดีย แต่กวี ไทยได้ปรับใหเ้ ปน็ แบบไทย ๑.๗ คณุ คา่ ของวรรณคดไี ทย วรรณคดีไทยมีบทบาทต่อผู้อ่านผู้ฟังทั้งทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด สติปัญญา ม.ล.บญุ เหลอื เทพยสุวรรณ ( ๒๕๔๓, หน้า ๒) กล่าวถงึ วรรณคดีซึ่งสะทอ้ นให้เห็นความสาคัญของ วรรณคดไี วอ้ ยา่ งนา่ สนใจวา่ “ทุกชุมชนทุกสังคมมีวรรณคดีในรูปใดรูปหนึ่ง แล้วแต่ระดับและลักษณะความเจริญ ของชุมชนหรือสังคมนั้น ๆ สังคมกรีกเป็นสังคมท่ีเจริญทางศิลปวิทยาการเกือบทุกสาขา ก็ ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีวรรณกรรมช้ันเยี่ยมยิ่งตกทอดลงมาถึงคนในปัจจุบัน สังคมโรมเจริญ ทางการทหาร กฎหมายและการบริหาร สังคมนน้ั ก็ไมข่ าดวรรณคดี สังคมอินเดียเจรญิ ทาง ๒๔

ปรัชญาทางจิตก็มีวรรณกรรมชั้นวิศิษฏ์ สังคมจีน ญี่ปุ่น ก็เช่นกัน สังคมตะวันตกใน ปัจจบุ ันเจรญิ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรอื วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ก็มีวรรณคดีเย่ียม ยิง่ อกี จึงอาจสรปุ ไดว้ า่ วรรณคดเี ป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนษุ ย์จริง เมอื่ วรรณคดเี ปน็ ส่วนหนง่ึ ของชีวติ มนุษย์ และเราสนใจกับชีวิตมนุษย์ กต็ อ้ งศกึ ษาวรรณคดี” คากล่าวของ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ สะท้อนให้เห็นคุณค่าและความสาคัญของ วรรณคดที ี่มีอยู่ในทุกสงั คม ไม่วา่ สังคมน้ัน ๆ จะเจรญิ ทางดา้ นใดกต็ าม เพราะวรรณคดเี ป็นส่วนหนง่ึ ของชวี ติ มนษุ ย์ ในทีน่ ี้ จะสรุปความสาคญั หรอื คุณคา่ ของวรรณคดีได้กวา้ ง ๆ ดงั นี้ ๑.๗.๑ เคร่ืองบันเทิงหรือสร้างความพึงพอใจ วรรณคดีสามารถสร้างความบันเทิง และความพึงพอใจได้ ดังโคลงในลิลิตพระลอ ท่ีกล่าวถึงงานร้องกรองว่าทาให้เกิดความบันเทิงใจ สามารถกล่อมเกลาจิตใจได้ ไม่มเี สยี งใดจะเทยี บได้กบั เสียงเสนาะของร้อยกรอง สรวลเสยี งขบั อ่านอ้าง ใดปาน ฟงั เสนาะใดปนู เปรยี บได้ เกลากลอนกล่าวกลการ กลกล่อม ใจนา ถวายบาเรอท้าวไท้ ธริ าชผมู้ ีบุญ ฯ ความบันเทิงใจหรือความพึงพอใจที่มาจากวรรณคดีน้ันยังสัมพันธ์กับความพึงพอใจ ของผู้แต่งกับความพึงพอใจของผู้เสพด้วย โดยกวีส่วนใหญ่แต่งวรรณคดีข้ึนเพื่อสนองหรือเติมเต็ม ความพึงพอใจของกวีเอง ในขณะแต่ง กวียังได้เสพความงามจากการสร้างสรรค์ถ้อยคาที่มี วรรณศิลป์ และความงามจากความหมาย ซึ่งส่งต่อไปยังผู้เสพหรือผู้อ่านวรรณคดีให้ได้สัมผัสถึงรส คาและรสความนน้ั ดว้ ย ดังท่ี พระราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ หรือ น.ม.ส. ได้อธิบายไว้ ในภาคผนวก ของเรื่อง สามกรุง (๒๕๑๔, หน้า ๓๑๘) สะท้อนให้เห็นความสาคัญของการแต่ง วรรณคดกี ับการเสพวรรณคดีไวว้ า่ รสแหง่ โคลงอาจจาแนกไดเ้ ป็น ๒ อย่าง คอื รสคาและรสความ (...) โคลงที่เรียกว่าไพเราะ โดยรสคา คือโคลงท่ีผจงร้อยกรองด้วยถ้อยคาอย่างเสราะเพราะพริ้ง เป็นเคร่ืองเพลินใจ แก่ผ้อู ่านผู้ยิน ทาให้เกิดปรีดาปราโมทย์ มีโอชะเปรยี บเชน่ อาหารซง่ึ ช่างวเิ ศษปรงุ ขน้ึ อยา่ ง ประณีต อาหารชนิดเดียวกัน ถา้ ผปู้ รุงปรุงไม่เป็นกไ็ มอ่ รอ่ ย โคลงใดไม่มีรสชนิดนี้ ก็มักทา ให้เกดิ ความเบ่อื หนา่ ย เพราะความจดื ความเฝอ่ื นแลความน่าราคาญอืน่ ๆ โคลงทเ่ี รยี กวา่ ดีโดยรสความ คือโคลงท่ียกเอาแต่ใจความน่าฟังมาแต่ง อาจเป็นใจความดีทั้งเรื่อง ทั้ง ตอน ท้ังบทหรือแต่เพียงบาทเดียวก็ได้ รสความดีอาจสะกิดใจผู้อ่านให้คิด ให้นึกชม ให้ ๒๕

เห็นจริงตามที่แสดง ให้นับถือวาจาท่ีกล่าว โคลงใดไม่มีรสชนิดน้ี ก็มักจะขึ้นไม่พ้นยอด หญา้ มใี จความดาด ๆ หรอื ดงั ทฝ่ี รั่งเรียก แบน ๆ คากล่าวของ น.ม.ส. สะทอ้ นใหเ้ หน็ คณุ ค่าของการสรา้ งและการเสพวรรณคดีทีผ่ ู้สรา้ งต้อง มีฝีมือสร้างสรรค์วรรณคดีให้เกิดรสคารสความ เพ่ือให้ผู้อ่านเกิดความอ่ิมเอม พึงพอใจได้ ซึ่งเป็น ปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างผูส้ ร้างกบั ผเู้ สพวรรณคดี อย่างไรกด็ ี เพ่อื ให้เข้าใจและเหน็ ภาพชัดข้ึน ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอแบ่งลักษณะวรรณคดีท่ี เปน็ เคร่ืองบันเทิงใจเปน็ ๒ ลกั ษณะกว้าง ๆ ดงั นี้ ๑.๗.๑.๑ วรรณคดีที่มุ่งแต่งข้ึนเพ่ือให้เกิดความพึงพอใจต่อตัวผู้แต่งเอง เกิด สุนทรียะหรือความซาบซ้ึงในการแต่ง เช่น วรรณคดีนิราศท่ีมุ่งถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของกวี วรรณดคีเร่ืองเงาะป่า รัชกาลท่ี ๕ พระราชนิพนธ์ขึ้นเพ่ือให้เกิดความผ่อนคลายและสาราญพระทัย ในขณะทรงพักฟ้นื หลังประชวร ดังน้ัน แม้จะใชร้ ูปแบบของกลอนบทละครแตก่ ไ็ ม่ได้มุ่งให้แสดงแต่ อย่างใด หรือวรรณคดีประเภทยอพระเกียรติท่ีไม่เพียงแต่งขึ้นเพ่ือมุ่งแสดงการสดุดีในพระปรีชา สามารถหรือคุณงามความดีของพระมหากษัตริย์ แต่ยังตอบสนองความรู้สึกนึกคิดหรือความ จงรกั ภักดขี องผแู้ ตง่ เองด้วย เป็นท่ีน่าสังเกตว่า ภายหลังแม้จะไม่ได้มีการแต่งวรรณคดีขึ้น แต่ได้มีผู้ประสงค์ จัดพิมพ์วรรณคดีเดิมที่มีอยู่แล้ว เพ่ือแสดงความประสงค์เฉพาะหรือความพึงพอใจบางอย่างของ ผู้จัดพิมพ์เอง ดังเช่น การจัดพิมพ์บทละครเรื่องสังข์ทอง โดยราชบัณฑิตยสภา ในปี ๒๔๗๒ จดั พิมพข์ นึ้ เพราะพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ในสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เจ้าฟ้า กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ มีลายพระหัตถ์ประทานมาแต่ประเทศอังกฤษว่า ทรงใคร่จะพิมพ์ หนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพ่ียาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรม หลวงสงขลานครินทร์ เพอ่ื สนองพระเดชพระคุณที่ได้ทรงมีแด่พระองค์ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ใน กรงุ เทพฯ และท้งั เมอ่ื เสดจ็ อยู่ในยโุ รปตลอดมาเป็นอันมาก โดยหนังสือท่ีจะทรงพิมพ์นั้นทรงใคร่ให้ เปน็ บทละครเรื่องสงั ข์ทอง ดว้ ยสมเด็จเจา้ ฟา้ กรมหลวงสงขลานครินทร์โปรดว่าแต่งดีจับพระหฤทัย ยิง่ กวา่ เร่อื งอนื่ เม่ือครง้ั สดุ ท้ายทีเ่ ธอไดเ้ ฝ้าสมเด็จเจา้ ฟา้ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ก็มีพระดารัสเล่า ว่าครั้งหนึ่งต้องทรงทาปาฐกถาว่าด้วยวรรณคดีไทย ก็ได้ทรงอ้างเอาหนังสือเร่ืองสังข์ทองเป็น อุทาหรณ์ ด้วยเหตุน้ี กรรมการราชบัณฑิตยสภาอนุโมทนาในพระดาริของพระเจ้าวงวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ จุลจกั รพงษ์ จงึ จดั หนงั สอื บทละครเรือ่ งสงั ข์ทองพิมพ์ถวายตามพระประสงค์ เป็นตน้ ๑.๗.๑.๒ วรรณคดีที่มุ่งให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้เสพวรรณคดีเฉพาะบุคคลและ ผู้เสพทั่วไป การเกิดความพึงพอใจต่อผู้เสพเฉพาะบุคคลมีลักษณะคือผู้แต่งแต่งวรรณคดีเพื่อ ตอบสนองความประสงค์ของผู้เสพโดยตรง เช่น รัชกาลท่ี ๖ พระราชนิพนธ์เร่ืองลิลิตนารายณ์สิบ ๒๖

ปาง ด้วยเพราะสมเดจ็ พระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชนิ ี ทรงประสงค์ทราบเร่ืองอวตารของ พระนารายณ์โดยพิศดาร เป็นต้น ลักษณะนี้มีไม่มากนัก อีกลักษณะหนึ่งคือเกิดความพึงพอใจต่อ ผู้เสพทั่วไป เป็นลักษณะสาคัญหรือจุดมุ่งหมายของการแต่งวรรณคดีโดยท่ัวไป ที่ผู้แต่งต้องการให้ ผ้อู า่ นได้ซาบซ้ึงกับรสคารสความ หรือสนกุ ไปกับเนือ้ เรอ่ื ง ไม่จาเป็นต้องเป็นผู้เสพเฉพาะ เช่น เรื่อง ลลิ ติ พระลอ หรอื วรรณคดีทใี่ ชป้ ระกอบการแสดง ๑.๗.๒ เครื่องประเทืองปัญญา วรรณคดีไม่ใช่เป็นเพียงเคร่ืองบันเทืองใจ แต่ยังให้ ความรู้ความคิดแก่ผู้อ่านผู้ฟังอีกด้วย ร่ืนฤทัย สัจจพันธ์ุ (๒๕๔๔, หน้า ๒๐) กล่าวถึงคุณค่าของ วรรณคดีท่ีให้ความรู้ไว้ว่า “มรดกทางปัญญาอย่างหน่ึงท่ีบรรพบุรุษมอบไว้ให้เรา ก็คือวรรณคดี จานวนมากมายทตี่ กทอดผา่ นการขัดเกลาและประเมินค่าดว้ ยกาลเวลา วรรณคดีเหล่าน้ันคือหนงั สอื ดี ๆ ที่แสดงภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะล้าสมัยไปแล้วในโลกยุคปัจจุบัน แตก่ ท็ าใหเ้ ราสามารถเรยี นรคู้ วามรงุ่ เรอื งทางปญั ญาของมนุษยใ์ นสมยั กอ่ นได”้ วรรณคดีหลายเรอื่ ง ยังให้ความรู้แก่ผู้อ่านโดยตรง เช่นวรรณคดีท่ีเป็นแบบเรียน หรือตารา และอีกหลายเร่ืองที่ให้ ความรู้ความคดิ โดยอ้อม เชน่ เร่ืองลลิ ิตพระลอทีส่ ะท้อนวิถีไทยหลายเร่ือง เช่น เร่ืองกรรม การทา เสน่ห์ การทานายดวงชะตา ความงามตามอุดมคติ หรือการทาศพกษัตริย์ (สุมาลี วีระวงศ์, ๒๕๕๙) เรื่องขุนช้างขุนแผนที่ให้ความรู้ผู้อ่านเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของคนไทยในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือการเรียนรู้วิถีการดาเนินชีวิตจากวรรณคดีซึ่งผู้อ่านสามารถนามา ประยุกต์ใช้กับการดาเนินชีวติ ได้จริง ๑.๗.๓ เคร่ืองสาเริงอารมณ์ วรรณคดีเป็นเครื่องสาเริงอารมณ์แบ่งได้ ๒ ลักษณะ ดงั นี้ ๑.๗.๓.๑ สาเริงอารมณ์ตามสุนทรียรสของวรรณคดีสันสกฤต ทฤษฎีรสใน วรรณคดีสันสกฤต หมายถึง ความงามอันเกิดจากการใช้คาพรรณนาจนเกิดความรู้สึกหรืออารมณ์ ต่าง ๆ แก่ผู้อ่าน ผู้ฟัง ในคัมภีร์นาฏยศาสตร์กล่าวถึงรสไว้ว่า “การเกิดรสเน่ืองมาจากเหตุของ ภาวะ (วิภาวะ) ผลของภาวะ (อนุภาวะ) และภาวะเสริม (วยภิจาริภาวะ) ประกอบกัน ” ในที่น้ี ภาวะก็คืออารมณ์ของกวีที่ถ่ายทอดมาสู่ผู้ชม ภาวะเป็นตัวทาให้เกิดรสขึ้นในใจของผู้ชม โดย คุณค่าทางอารมณ์ท่ีผู้อ่านได้รับจากการอ่านวรรณคดีอาจเกิดขึ้นจากรสทางวรรณคดี ซึ่งเป็น ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจของผู้อ่านเม่ือได้รับรู้อารมณ์ที่กวีถ่ายทอดไว้ในวรรณคดี นัก วรรณคดีตามทฤษฎีรสมีความเห็นว่า วรรณคดีเกิดขึ้นเม่ือกวีมีอารมณ์สะเทือนใจแล้วถ่ายทอด ความรู้สึกนั้นออกมาในบทประพันธ์ อารมณ์นั้นจะกระทบใจผู้อ่าน ทาให้เกิดการรับรู้ (กุสุมา รักษมณี, ๒๕๔๙, หนา้ ๒๔) ๒๗

กุสมุ า รกั ษมณี (๒๕๔๙) อธิบายรสวรรณคดีสนั สกฤตไว้ ๙ รส สรุปได้ดงั นี้ ๑) ศฤงคารรส เป็นรสที่กล่าวถึงการซาบซ้ึงในความรัก การรับรู้ความ รักจากตัวละคร เป็นรสวรรณคดีที่เด่นท่ีสุดในรสวรรณคดีสันสกฤต การได้รับความรักมาจาก ๒ ประเภทคอื ความรกั ของผทู้ ่ีอยหู่ ่างกัน หรอื เรียกวา่ วปิ ระลัมภะ และความรักของผู้ที่ได้อยู่ด้วยกัน หรือเรียกวา่ สัมโภคะ ความรักแบบสมั โภคะนนั้ มเี หตขุ องภาวะ หรือวภิ าวะ คือ การอย่กู บั ผทู้ ี่ถูกตา ต้องใจ การอยู่ในบ้านเรอื นหรือสถานท่ีท่ีสวยงาม การอยู่ในฤดูกาลที่เอื้อต่อการแสดงความรัก การ แต่งตัวงดงาม การลูบทาด้วยของหอมและประดับด้วยมาลัย การเท่ียวชมสวนหรือเล่นสนุกสนาน การดูหรือฟังสิ่งท่ีเจริญหูเจริญตา เป็นต้น การแสดงผลของภาวะ หรืออนุภาวะ ได้แก่ พูดจา อ่อนหวาน จริตกิริยาแช่มช้อยชม้ายชายตา ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นต้น ส่วนความรักแบบวิประลัมภะ นั้นมีเหตุของภาวะ คือ การพลัดพรากจากกัน การแสดงผลของภาวะ ได้แก่ ท่าทางหมดอาลัยตาย อยาก สงสัย วิตกกังวลกระสับกระส่าย พร่าราพัน ดังตัวอย่างในอิเหนา พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ถึงไปกไ็ ม่อยนู่ าน เยาวมาลย์อยา่ โศกเศร้าหมอง พระจมุ พิตชิดเชยปรางทอง กรประคองนฤมลข้นึ บนเพลา ๒) กรุณารส เป็นรสที่กล่าวถึงความรู้สึกสงสาร ความทุกข์โศกท่ีเกิดจาก ความไมย่ ุติธรรม ความเสื่อมทรัพย์ และจากเหตุวิบัติ โดยอาจมีภาวะเสริม ได้แก่ความไม่แยแส ความเหนอ่ื ยออ่ น ความวิตก ความโหยหา ความตืน่ ตระหนก ความหลง ความออ่ นเพลีย ความ สิ้นหวัง ความอับจน ความเฉยชา ความบ้าคล่ัง ความส้ินสติ ความตาย เป็นต้น ทาให้ผู้อ่าน รู้สึกหดหู่ เห่ียวแห้ง เกิดความเห็นใจ ถึงกับน้าตาไหล พลอยเป็นทุกข์ เอาใจช่วยตัวละคร สาหรับ คนชัน้ สงู และชน้ั กลางเม่อื ประสบทุกข์โศกจะต้องกลน้ั ไวใ้ นใจไมร่ อ้ งไห้คร่าครวญ นอกจากน้ันอาจมี อนุภาวะอื่น เช่น การทอดถอนใจ ทุ่มทอดตัว ตีอกชกหัว ฯลฯ หรือมีปฏิกิริยา เช่น นิ่งตะลึงงัน ตวั ส่นั สีหน้าเปลี่ยน น้าตาไหล เสยี งเปล่ยี น เปน็ ตน้ ดังตวั อยา่ งในนริ าศพระบาท ของสนุ ทรภู่ ดังศรสักปักซ้าระกาทรวง โออ้ าลัยใจหายไม่วายห่วง เจา้ คุมแค้นแสนโกรธพโิ รธพี่ เสยี ดายดวงจันทราพะงางาม จะหน่อพระสุรยิ ์วงศท์ รงพระนาม แต่เดือนยจี่ นยา่ งเขา้ เดอื นสาม ดว้ ยเรียมรองมลุ ิกาเปน็ ข้าบาท จากอารามแรมร้างทางกนั ดาร ตามเสด็จโดยแดนแสนกนั ดาร จานริ าศร้างนชุ สดุ สงสาร นมสั การรอยบาทพระศาสดา ๒๘

๓) เราทรรส คือรสแห่งความแค้นเคือง เป็นรสที่เกิดจากการรับรู้ความ โกรธ มักเกิดกับตัวละครเช่น รากษส คนฉุนเฉียว ภาวะเสริม เช่น ความต่ืนตระหนก ความแค้น วิภาวะของความโกรด เช่น การพูดใส่ความ พูดให้เจ็บใจ ดูหม่ิน กล่าวเท็จ อนุภาวะของความ โกรธ ได้แก่ การเฆ่ียน ตัด ตี ฉีก บีบ ขว้างทาให้เลือดตก ฯลฯ และอาจมีปฏิกิริยา คือ เหงื่อออก ขนลุก ตัวสัน่ เสยี งเปลี่ยน เปน็ ตน้ เน่ืองจากความโกรธนั้นมีหลายอย่าง ได้แก่ ความโกรธที่เกิดจาก ศัตรู เกิดจากผู้ใหญ่ เกิดจากเพื่อนรัก เกิดจากคนรับใช้ และเกิดข้ึนเอง การแสดงความโกรธจึงมี ต่างกันไปด้วย ดังตัวอยา่ งในสามคั คเี ภทคาฉนั ท์ ของนายชิต บรู ทัต ทา้ วก็ทรงแสดงพระองค์ ธ ปาน พิโรธจงึ ประหนึ่งพระราชหทัยลุดาล สยองภยั กม็ าเป็น ผนั พระกายกระทบื พระบาทและองึ ประการใด พระศัพทสหี นาทพึง กห็ มน่ิ กกู ู เอออุเหม่นะมงึ ชชิ ่างกระไร ทุทาสสุถลฉะนีไ้ ฉน ศึก บ ถงึ และมึงกย็ ังมีเหน็ จะนอ้ ยจะมากจะยากจะเย็น อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ ขยาดขยันมิทนั อะไร ๔) พภี ตั สรส เป็นรสทีพ่ รรณนาถงึ ความเบอื่ ราคาญ ขยะแขยง เป็นรสท่ี เกิดจากการรบั รคู้ วามนา่ เบอื่ น่ารงั เกียจ ซึ่งมี ๒ ประเภท คือ เกิดจากสิ่งน่ารังเกียจทไี่ มส่ กปรก เช่น เลือด และส่ิงน่ารงั เกียจที่สกปรก เช่น อุจจาระ หนอน อาจมีภาวะเสริม คือ ความสิ้นสติ ความต่ืน ตระหนก ความหลงความปว่ ยไข้ ความตาย เปน็ ตน้ วภิ าวะของความนา่ เบ่ือ น่ารังเกียจ ได้แก่ สิ่งที่ ไม่สบอารมณ์หรือไม่ต้องประสงค์ ส่ิงชวนสลดใจ สิ่งสกปรก เป็นต้น อนุภาวะของความน่าเบ่ือ นา่ รังเกียจ คือการทาท่าทางขยะแขยง น่ิวหน้า อาเจียน ถ่มน้าลาย ตัวส่ัน ฯลฯ ท่ีทาให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟังชังน้าหน้าตัวละครบ้างตัว เพราะจิต(ของตัวละคร) บ้าง เพราะความโหดร้ายของตัวละครบ้าง ดงั ตวั อยา่ งในเสภาขุนชา้ งขนุ แผน ของสุนทรภู่ ไอ้เจ้าชู้ลอมปอมกระหม่อมบาง ลอยชายลากหางเที่ยวเกย้ี วหมา ชชิ ะแปง้ จันทร์น้ามันทา หยง่ หน้าสองแคมเหมือนหางเปีย ๒๙

หมามนั จะเกิดชงิ หมาเกิด มงึ ไปตายเสียเถิดอ้ายหา้ เบี้ย หน้าตาเช่นน้ีจะมเี มีย อา้ ยมะมว่ งหมาเลียไมเ่ จยี มใจ เหมือนแมลงปออวดอทิ ธว์ิ ่าฤทธส์ิ ดุ จะแขง่ ครุฑขา้ มอา่ วทะเลใหญ่ กอ้ นเสา้ หรือจะเทา่ เมรไุ กร หิ่งห้อยไพรจะแขง่ แสงสุริยง ชาติช่ัวตัวดังนกตะกรุม จะเอือ้ มอุ้มองิ อกวิหคหงส์ เขาสปิ องเล่นมจุ ลินทล์ ง ตัวพะวงตมกลับทะนงใจ ๕) ภยานกรส เป็นรสท่ีกล่าวถึงความเกรงกลัว ความน่ากลัว สยดสยองเป็นรสที่เกดิ จากการรบั รู้ความนา่ กลวั ซึ่งแบ่งเปน็ ๓ ประเภท คือ เกิดจากการหลอกลวง เกิดจากการลงโทษ และเกิดจากการข่มขู่ อาจมีภาวะเสริม คือความสงสัย ความหลง ความอับจน ความตน่ื ตระหนก ความเฉยชา ความพร่ันพรึง ความส้นิ สตคิ วามตาย ฯลฯ วิภาวะของความน่ากลัว ไดแ้ ก่ การไดย้ ินเสียงผดิ ปกติ การเห็นภูตผปี ีศาจหรอื สตั วร์ ้าย การอยูค่ นเดียว การไปในปา่ เปลย่ี วรก รา้ ง การทาผิด ฯลฯ อนภุ าวะของความนา่ กลัว ไดแ้ ก่ การว่งิ หนี การส่งเสียงร้อง เป็นต้น และอาจมี ปฏิกิริยา เช่น อาการตะลึงงัน เหงื่อออก ขนลุก ตัวส่ัน สีหน้าเปลี่ยน เสียงเปล่ียน น้าตาไหล หรือ เปน็ ลม ดังตัวอยา่ งในมหาเวสสนั ดรชาดก ตอนพระนางมัทรอี อกเทีย่ วตามหาลกู แต่แมเ่ ที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหมิ เวศทั่วประเทศทกุ ราวป่า สุดสายนัยนา ท่ีแม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วทแ่ี มจ่ ะซบั ทราบฟังสาเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่าเรียก พิไรร้อง สุดฝีเทา้ ทีแ่ มจ่ ะเย่ืองยอ่ งยกยา่ งลงเหยียบดนิ ก็สุดสนิ้ สดุ ปัญญาสดุ หาสุดคน้ เหน็ สุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จึ่งตรัสว่าเจ้าดวงมณฑา ทองทั้งคูข่ องแมเ่ อย หรือวา่ เจ้าทง้ิ ขวา้ งวางจิตไปเกดิ อ่นื เหมอื นแมฝ่ ันเม่อื คนื นี้แลว้ แล ๖) วีรรส เป็นบทที่แสดงความช่ืนชม เกิดจากการรับรู้ความมุ่งมั่นในการ แสดงความกล้าหาญอันเป็นคุณลักษณ์ของคนช้ันสูง ความกล้าหาญมี ๓ อย่าง คือ กล้าให้ (ทาน วรี ะ) กลา้ ประพฤตธิ รรมหรือหนา้ ท่ี (ธรรมวีระ) และกลา้ รบ (รณวรี ะ) อาจมภี าวะเสรมิ คือ ความม่ันคง ความพินจิ พเิ คราะห์ ความจองหอง ความตนื่ ตระหนก ความรุนแรง ความแค้น ความระลึกได้ ฯลฯ วิภาวะของความมุ่งม่ัน ไดแ้ ก่ การเอาชนะศัตรู การบงั คบั อนิ ทรีย์ของตนได้ การแสดงพละกาลัง ฯลฯ อนุภาวะของความมุ่งมัน่ ได้แก่ ทา่ ทมี ่นั คง เฉลยี วฉลาดในการงาน เข้มแขง็ ขะมักเขม้น พูดจาแข็งขัน เป็นตน้ ดงั ตัวอยา่ งในอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย เม่ือน้นั ท้าวกะหมังกุหนงิ นาถา จึงตรสั ตอบสองพระนอ้ งยา ซึง่ วา่ น้เี จ้าไม่เข้าใจ ๓๐

อนั ระเดน่ มนตรีกุเรปัน กข็ ัดขอ้ งเคอื งกนั เปน็ ขอ้ ใหญ่ ไปอยูเ่ มอื งหมนั หยากว่าปไี ป ทไ่ี หนจะยกพลมา แตก่ าหลังสิงหดั สา่ หรี จะกลวั ดเี ป็นกระไรหนักหนา ฝา่ ยเราเล่าก็สามพารา เป็นใหญ่ในชวาแว่นแควน้ ถงึ ทพั จรกาล่าสานน้ั พ่ไี ม่พร่ันใหม้ าสกั สบิ แสน จะหักโหมโจมตีใหแ้ ตกแตน พกั เดียวก็จะแลน่ เข้าปา่ ไป เจ้าอย่าย่อท้อไม่พอที่ แต่เพียงนีไ้ มพ่ รน่ั หวั่นไหว ๗) อัทภุตรส เป็นรสท่ีแสดงถึงความอัศจรรย์ใจ เป็นรสที่เกิดจากการได้ รบั รู้ความนา่ พิศวง มี ๒ ประเภท คอื เกดิ จากส่ิงทเ่ี ป็นทพิ ย์ หรอื อภนิ หิ าร และเกิดจากสิง่ ที่น่ารน่ื รมย์ อาจมีภาวะเสริม คือ ความต่ืนตระหนก ทึ่ง ตื่นเต้น ความหวั่นไหว อัศจรรย์ ความยินดี ความบ้า คลั่ง ความม่ันคง เป็นต้น วิภาวะของความน่าพิศวง ได้แก่ การพบเห็นส่ิงท่ีเป็นทิพย์ การได้รับส่ิงท่ี ปรารถนา การไปเท่ียวในสถานท่ที ่งี ดงาม น่ารมื่ รมย์ เชน่ อทุ ยาน วหิ าร การเหน็ ส่งิ ท่ีเปน็ มายา หรอื มี เวทมนตร์ ฯลฯ อนภุ าวะของความนา่ พศิ วง คือ การทาท่าประหลาดใจ หรืออุทานด้วยความแปลงใจ อาจมีปฏิกิริยา เช่น การนิ่งตะลึงงัน เหงื่อออก ขนลุก น้าตาไหล เป็นต้น ดังตัวอย่างบทพากย์ เอราวณั อินทรชิตบิดเบอื นกายิน เหมอื นองคอ์ มรินทร์ ทรงคชเอราวณั เผอื กผ่องผวิ พรรณ เศียรหนงึ่ เจ็ดงา ชา้ งนิมติ ฤทธิแรงแขง็ ขนั สระหนงึ่ ย่อมมี สีสงั ขส์ ะอาดโอฬาร์ ดอกหนึ่งแบง่ บาน เจ็ดองค์โสภา สามสบิ สามเศียรโสภา ด่งั เพชรรตั น์รจู ี งาหน่ึงเจ็ดโบกขรณี เจด็ กออุบลบันดาล กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์ มกี ลีบไดเ้ จด็ กลีบผกา กลีบหนึ่งมีเทพธดิ า แน่งน้อยลาเพานงพาล ๓๑

๘) หาสยรส เปน็ รสที่ทาใหเ้ กิดความขบขัน สนุกสนานแบ่งออกเป็น ๒ ภาวะคือ ความขบขันท่ีเกิดแก่ผู้อ่ืน และความขบขันท่ีเกิดขึ้นแก่ตัวละครเอง ซึ่งส่วนมากมัก เปน็ ไปเองโดยไม่รู้ตัว อนภุ าวะไดแ้ ก่การย้มิ หรือการหวั เราะ ซึ่งนาฏยศาสตร์กล่าวไว้ ๖ ลักษณะ คือ ย้ิมน้อย ๆ ไม่เห็นไรฟันและแย้มปากพอเห็นไรฟัน เป็นลักษณะของคนชั้นสูง หัวเราะเบา ๆ หัวเราะเฮฮาเป็นของคนชั้นกลาง หัวเราะงอหายและหัวเราะจนท้องแข็ง เป็นลักษณะของสามัญ ชนท่ัวไป อาจทาให้ผู้อ่าน ผู้ดูยิ้มกับหนังสือ ยิ้มกับภาพท่ีเห็น ถึงกับลืมทุกข์ดับกลุ้มไปชั่วขณะ ดังตัวอย่างใน ระเดน่ ลันได ของพระมหามนตรี (ทรพั ย)์ เมื่อนัน้ ทา้ วประดสู่ รุ ิยว์ งศท์ รงกระตกั เท่ยี วเลี้ยงวัวล้าเลือ่ ยเหนอ่ื ยนกั เขา้ หยดุ ยั้งนง่ั พักในศาลา หวั่นเม่อื มเหสจี ะมีเหตุ ใหก้ ระตกุ นัยนเ์ นตรท้งั ซา้ ยขวา ตุก๊ แกตกลงตรงพักตรา คลานไปคลานมาก็สิ้นใจ แมโ่ คขนึ้ สดั ผลดั โคตวั ผู้ พเิ คราะห์ดหู ลากจติ คิดสงสัย จะมีเหตแุ มน่ ม่นั พรน่ั พระทัย ก็เล้ียวไลโ่ คกลับเข้าพารา ๙) ศาสนตรส เป็นรสที่พรรณนาถึงความสงบใจ เยือกเย็น เป็นรสที่เกิด จากการได้รบั รู้ความสงบของตวั ละคร หรอื อาจเป็นการพรรณนาบรรยากาศหรอื ธรรมชาติที่สะท้อน ความสงบสุขที่เกิดกับตัวละคร และส่งผลให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง เกิดความสุขสงบ ในขณะได้เห็นได้ฟัง ตอนนัน้ ดงั ตวั อยา่ งในเสภาขนุ ช้างขนุ แผนทพี่ รรณนาความสงบของธรรมชาติ มาถึงเนินผาท่าต้นไทร นา้ เปี่ยมสระใสสะอาดนัก ท่ธี ารแก่งแรงไหลมาคกึ คกั เปน็ ชะงักชะง่อนผ่านา่ สาราญ บัวไสวใบบงั ระบดุ อก เผยออกกลา่ิ นชวยห้วยละหาน ต้นไม้สงู สะพรัง่ บงั ริมธาร ที่ดอกบานแลว้ กห็ ล่นละอองลง ๑.๗.๒.๒ สาเริงอารมณ์ตามสุนทรียลีลาหรือลีลาแห่งกาพย์กลอนไทย คือ ท่วงทานองหรือลีลาในการใช้ถ้อยคาพรรณนาให้เหมาะสมและเกิดอารมณ์คล้อยตาม หลวง ธรรมาภมิ ณฑ์ (ถึก จติ รกถกึ ) ได้ยกตัวอย่างลีลา ๔ ประเภทที่ปรากฏในเพลงยาวไวใ้ นหนงั สอื ประชมุ ลานา (๒๕๑๔, หน้า ๕๖ – ๕๘) อันได้แก่ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง และสัลปังคพิสัย ซ่ึงสะท้อนให้เห็นการใช้ถ้อยคานาเสนออารมณ์ความรู้สึกชื่นชม รัก โกรธ และเศร้าโศก เปล้ือง ณ นคร (๒๕๔๑, หน้า ๑๙) ยังอธิบายการเขียนกาพย์กลอนนิยาย ควรประกอบด้วยลีลา ๓๒

ทง้ั ๔ ลีลา โดยกวีตอ้ งใชค้ าโวหารและความนกึ คดิ ทเ่ี หมาะสม เพราะจะทาให้ไพเราะเสนาะหู ให้ ชวนฟัง ชวนคิด (เปล้อื ง ณ นคร, ๒๕๔๑, หนา้ ๑๙ – ๒๑) ลีลาทัง้ ๔ ลลี า มีดงั นี้ ๑) เสาวรจนี คือ กระบวนการชมความสวยงามของตัวละคร ธรรมชาติ สถานที่ หรือส่ิงของอ่ืน ๆ อาจเรียกว่า บทชมความงาม หรือบทชมโฉมก็ได้ ดังตัวอย่างในประชุม จารึกวัดพระเชตุพน ฯ เจ้างามนาสาผลดังกลขอ เจา้ งามศอเสมือนศอสุพรรณหงส์ เจา้ งามกรรณกลกลีบบษุ บง เจา้ งามวงวลิ าสเรยี บระเบียบไร เจ้างามปรางเปล่งปลง่ั เปรมปราโมทย์ เจ้างามโอษฐแ์ ยม้ ยวนจิตน่าพสิ มยั เจา้ งามทนต์กลนิลช่างเจียระไน เจา้ งามเกศดาประไพเพียงภมู ริน ๒) นารีปราโมทย์ คือ บทท่ีว่าด้วยการเกี้ยวพาราสี บทโอ้โลม เป็นรสแห่ง ความรักเสน่หา ดังตัวอยา่ งในพระอภยั มณี ตอนพระอภัยมณเี กีย้ วนางละเวง ถึงม้วยดนิ สน้ิ ฟา้ มหาสมทุ ร ไมส่ ้นิ สดุ ความรกั สมัครสมาน แมน้ เกดิ ในใต้ฟา้ สธุ าธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา แมน้ เนอ้ื เย็นเปน็ ห้วงมหรรณพ พ่ขี อพบศรสี วัสด์เิ ป็นมจั ฉา แม้นเป็นบวั ตัวพ่ีเปน็ ภมุ รา เชยผกาโกสมุ ปทมุ ทอง เจ้าเปน็ ถา้ ไพขอให้พี่ เปน็ ราชสหี ์สมสเู่ ปน็ คู่ครอง จะติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคคู่ รองพศิ วาสทกุ ชาตไิ ป ๓) พโิ รธวาทงั คอื บทวา่ ด้วยความโกรธเคอื ง ตดั พ้อต่อวา่ เสียดสี หึงหวง ประชดประชนั ดังตวั อย่างในขนุ ช้างขุนแผน อ้ายเจา้ ช้ลู อมปอมกระหม่อมบาง ลอยชายลากหางเท่ยี วเกยี้ วหมา ชิชะแป้งจันทนน์ า้ มันทา หยง่ หนา้ สองแคมเหมือนหางเปยี หมามันจะเกดิ ชงิ หมาเกดิ มึงไปตายเสียเถดิ อา้ ยห้าเบยี้ หน้าตาเชน่ นจี้ ะมเี มีย อ้ายมะม่วงหมาเลียไม่เจยี มใจ ๔) สัลลาปังคพิไสย คือ บทคร่าครวญราพัน เศร้าโศก อาลัย อาวรณ์ ดังตวั อย่างในนิราศภเู ขาทอง ๓๓

ถงึ หนา้ วังดงั หนึง่ ใจจะขาด คดิ ถึงบาทบพติ รอดศิ ร โอผ้ า่ นเกลา้ เจ้าประคณุ ของสนุ ทร แตป่ างก่อนเคยเฝ้าทกุ เช้าเยน็ พระนพิ พานปานประหนึง่ ศรี ษะขาด ดว้ ยไร้ญาติยากแคน้ ถงึ แสนเขญ็ ทัง้ โรคซ้ากรรมซดั วิบตั ิเป็น ไม่เล็งเห็นทีซ่ งึ่ จะพง่ึ พา จะสร้างพรตอตสา่ ห์ส่งสว่ นบญุ ถวาย ประพฤตฝิ า่ ยสมถะทั้งวสา เป็นส่ิงของฉลองคณุ มลุ กิ า ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาตไิ ป ฯ ความสาเริงอารมณ์จากรสหรือลีลาที่ผู้อ่านได้รับน้ัน ยังทาให้เกิดการรับรู้หรือ ซาบซึ้งในความงามของเสียง ของคาหรือข้อความที่มีความไพเราะร่ืนหู หรือมีการสื่อความหมายท่ี สอดคล้องกับเน้ือหาหรืออารมณ์ของตัวละครด้วย ดังจะเห็นได้ว่าวรรณคดีหลายเรื่อง กวีสรรคาได้ อยา่ งสละสลวย ลงตัวอ่านแล้วไพเราะงดงาม เป็นท่ีบันเทิงอารมณ์ของผู้อ่านผู้ฟังอย่างย่ิง เช่น โคลง นิราศนรนิ ทร์ โคลงกาสรวล หรอื กาพยห์ อ่ โคลงของเจา้ ฟ้ากุ้ง เสียงเสนาะมักเป็นสิ่งทกี่ วีให้ความใส่ ใจ และได้สถาปนาเป็นหัวใจของการสร้างและประเมินค่ากวีนิพนธ์ไทย (ธเนศ เวศร์ภาดา, ๒๕๔๙, หนา้ ๑๘) ดงั จะสงั เกตได้ว่า กวีมักใส่เสียงสัมผัสต่าง ๆ ในงานของตน ดังเช่น สุนทรภู่ให้ความสาคัญ กับเสยี งสัมผสั และพัฒนากลอนให้มีสัมผสั แพรวพราวจนกลายเป็นเอกลักษณก์ ลอนสุนทรภู่ ๑.๗.๔ ประกอบการแสดง คณุ ค่าของวรรณคดีที่ใช้ประกอบการแสดง คือวรรณคดี การละครหรือวรรณคดกี ารแสดง นยิ มแตง่ เปน็ กลอนบทละครแลว้ นาไปแสดง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ อิเหนา เป็นต้น วรรณคดีท่ีใช้ประกอบการแสดงเช่ือว่าปรากฏมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย ส่วนใหญ่เป็น มุขปาฐะ เม่ือไทยได้อิทธิพลจากการละครของอินเดีย ทาให้เกิดการแสดงราและราบาขึ้นใน ลักษณะผสมสานกบั การละเล่นพ้ืนเมืองของไทย ในสมัยอยุธยาปรากฏหลกั ฐานวรรณคดีการแสดง ท่ีเป็นลายลักษณ์อกั ษร และรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย ดังปรากฏบทละครนอกถึง ๑๔ เร่ือง และยังมีเร่ืองอิเหนาและดาหลังซ่ึงเป็นละครในปรากฏด้วย สมัยอยุธยาน้ีมีการแสดง เกดิ ขึน้ หลายอย่าง เชน่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน ซ่ึงใช้วรรณคดีเป็นตัวดาเนินเร่ือง ทา ให้เห็นว่า วรรณคดีใช้ประกอบการแสดงมานานแล้ว วรรณคดีการแสดงเช่นละครในยังเป็นเคร่ือง ราชปู โภคของกษตั ริย์อยา่ งหนงึ่ ด้วย ๑.๗.๕ ส่ังสอนช้ีแนะ วรรณคดีหลายเรื่องสั่งสอนหรือชี้แนะผู้อ่าน เช่น สุภาษิต พระรว่ ง สง่ั สอนเรื่องการใช้ชีวติ ไตรภูมิพระร่วงสงั่ สอนเรื่องการทาดี ละเวน้ ความชวั่ กฤษณาสอน น้องคาฉันท์สอนเร่ืองความประพฤตขิ องหญงิ และการใช้ชีวติ ทว่ั ไป ดังตวั อยา่ ง คาฉันทก์ ฤษณาสอน น้องคาฉันทท์ ีก่ ล่าวสอนเร่อื งการทาส่ิงท่ีเป็นคุณงามความดีหรือคุณประโยชน์ต่อสังคม ไม่ทาความ ช่วั แม้เสียชวี ิตคณุ งามความดนี ัน้ ยงั คงอยู่ ๓๔

คชสารแมม้ ้วยมงี า โคกระบอื มรณา เขาหนังก็เปน็ สาคญั สญู ส้ินสารพัน บคุ คลถงึ กาลอาสัญ คงแต่ความช่ัวกับดี หรือโคลงโลกนิติที่สอนว่าการห้ามคนพูดติฉินนินทานั้นเป็นส่ิงที่เป็นไปไม่ได้ โดยกวีกล่าวในเชิง เปรียบเทียบว่า หากสามารถหา้ มไฟไมใ่ ห้มีควนั หา้ มพระจนั ทร์พระอาทติ ยส์ ่องแสง และห้ามไมใ่ ห้ อายุมากข้ึนหรือย้อนวัยได้น้ัน จะสามารถห้ามคนนินทาได้ ซ่ึงส่ิงท่ีกวีต้องการส่ือคือ การห้ามคน กลา่ วนนิ ทานน้ั เปน็ ไปไม่ได้ ดังตวั อย่าง ห้ามเพลิงไว้อยา่ ให้ มคี วนั หา้ มสรุ ยิ ะแสงจนั ทร์ สอ่ งไซร้ หา้ มอายใุ หห้ ัน คนื เลา่ ห้ามดง่ั น้ไี ว้ได้ จ่งึ หา้ มนนิ ทา ๑.๗.๖ ใช้ในพิธีกรรม เป็นวรรณคดีที่ใช้งานพิธีต่าง ๆ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้า คา ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง เป็นต้น ดังตัวอย่าง ร่ายในลิลิตโองการแช่งน้า ซึ่งปรากฏมาต้ังแต่สมัย อยุธยาตอนต้น เป็นวรรณคดีท่ีใช้ในพิธีถือน้าพิพัฒสัตยา เพ่ือแสดงถึงความจงรักภักดีต่อองค์ พระมหากษตั ริย์ ในท่นี ี้ จะขอกล่าวถงึ เน้ือหาและขน้ั ตอนเบอื้ งตน้ ซึ่งแบ่งไดเ้ ป็น ๕ ส่วนดังนี้ ๑) สดุดีเทพเจ้าท้ัง ๓ องค์ ตามความเชื่อของฮินดู ได้แก่ พระผู้ประทับเหนือหลัง ครุฑ \"สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี\" (พระนารายณ์) พระผู้ประทับบนวัวเผือก \"เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนป่ิน\" (พระศิวะ) และผู้ประทับ \"เหนือขุนห่าน\" (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้น ๆ ดังตวั อยา่ ง โอมสิทธิสรวงศรีแกลว้ แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแทน่ แกวน่ กลนื ฟา้ กลืนดิน บิน เอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี ภีรุอวตารอสูรแลงลาญทัก ททัคนิจรนาย (แทง พระแสงศรปลัยวาต) โอมบรเมศวราย ผายผาหลวงอะคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือก เกย้ี วขา้ ง อ้างทัดจันทร์เป็นป่ิน ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง แกว่งเพชรกล้า ฆ่าพิฆน จัญไร (แทงพระแสงศรอัคนิวาต) ๓๕

โอมชัยชัยไขโสฬสพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง ผยองเหนือ ขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า หน้าจตุรทิศ ไทมิตรดามหากฤตราไตร อมไตยโลเกศ จงตรี ศกั ดิทา่ น พิญาณปรมาธิเบศ ไทธเรศสุรสิทธิพ่อ เสวยพรหมาณฑ์ใช่น้อย ประถมบุญภาร ดิเรก บรู ภพบรกู้ ร่ี ้อย กอ่ มา (แทงพระแสงศรพรหมาศ) ๒) กล่าวถึงกาเนิดโลก และสังคมมนษุ ย์ อญั เชิญเทพยดา พระรตั นตรยั และ ส่งิ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ ภูตผตี ่าง ๆ มาเปน็ พยาน ท้ังหมดนีพ้ รรณนาด้วยโคลงห้า ๓) คาสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภยันตรายนานา ทั้งหมดน้ีพรรณนาดว้ ยโคลงห้า เป็นเนื้อหาท่ียาวที่สุดในบรรดา ๕ ส่วน ๔) คาอวยพรแกผ่ ูจ้ งรักภักดแี ก่ผู้ทมี่ ีความจงรักภักดี มีเน้ือหาส้ัน ๆ ๕) ถวายพระพรเจา้ แผน่ ดนิ เป็นร่ายสั้น ๆ เพยี ง ๖ วรรค ตวั อยา่ ง การสาปแชง่ ในลิลิตโองการแชง่ น้า เขาผบู้ ซ่ือ ชื่อใครใจคด ขบถเกยี จกาย วายกระทฟู้ าดฟดั ควานแควนมัดศอก หอกดนิ้ เดา้ เท้าถก หลกเท้าให้ไปมิทันตาย หงายระงมระงม ยมบาลลากไป ไฟนรกปลาบปล้ินด้ิน พลาง เขาวางเหนืออพิจี ผู้บดีบซ่ือ ช่ือใครใจคด ขบถแก่เจ้า ผู้ผ่านเกล้าอยุธยา สมเด็จ พระรามาธิบดี ศรสี ินทรบรมมหาจกั รพรรดิศร ราชาธิราช ท่านมีอานาจมีบุญ คุณอเนกา อันอาศัยร่ม แลอาจข่มชัก หักก่ิงฆ่า อาจถอนด้วยฤทธานุภาพ บาปเบียนตน พันธุ์พวก พ้อง ญาติกามาไสร้ ไขว้ใจจอด ทอดใจรัก ชักเกลอสหาย ตนทั้งหลายมาเพ่ือจาทาขบถ ทดโทรห แกเ่ จ้าตนไสร้ จงเทพยดุ า ฝูงน้ีให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้ เคลื่อนในสามปี อย่าให้มสี ขุ สวัสดีเมือ่ ใด อย่ากนิ เขา้ เพ่อื ไฟจนตาย นอกจากลิลิตโองการแช่งน้าแล้ว คาฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเป็นวรรณคดีท่ีใช้ ประกอบพิธีคล้องช้างของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน จุดประสงค์ของการแต่ง คือ เพื่อเห่กล่อม เพือ่ ให้ช้างหมดอาลัยและลมื เลอื นที่อยู่อาศยั แต่เก่ากอ่ น และเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นช้างทรงของ องค์กษัตริย์ ดังตัวอย่างที่กล่าวถึงการกล่อมให้ช้างละพยศ อย่าทุกข์ อาวรณ์ใด ๆ ดังตัวอย่าง คาฉนั ท์ดุษฎสี งั เวยกล่อมช้าง ของขนุ เทพกระวี อา้ พอ่ จงเสยี พยศอนั รา้ ย แลอย่าขง้ึ ทรหึงหวล หลอ่ หลอนอย่าทากจิ บ ควร แลอยา่ ถีบอย่าฉัดแทง ๓๖

อ้าพ่ออยา่ เสยี พยศอันเปลือ้ ง แลอยา่ เล่ือมคาแหงแรง พอ่ จาอนั สอนจิตรอยา่ แคลง แลจงรักฟงั นายควาญ สงบเสง่ยี มแลเสยี่ มสาร จงมีจรติ สทุ ธอนั งาม บริรกั ษรกั ษา พวกพอ้ งอเนกบรพิ าร แลอย่าเศร้าอย่าโศกา ดรุ เลยจงฟงั ยิน อา้ พอ่ อย่าโศกอย่าทุกขเลย ดรโทษอนั เพื่อนกนิ อย่าไหพ้ ลิ าปจติ รอา ทังน้ยี อ่ มอาเภอกรรม์ แลพระพรหมหากสรรค์ อา้ พ่ออยา่ โทษบิดรมา ดรเล้ยี งบาเรอหใน อา้ พ่ออย่าโทษนรนรินทร์ ดรุ เดอื ดระลกึ ไพร จติ รจงสาราญรมย์ อ้าพ่ออย่าโทษชนผู้ใด มาเปนชานนิ รนิรัน จงพอ่ อยา่ ไดท้ ุกขทกุ ขา จกั นายังโรงรัตนประไพ จากท่ีกล่าวข้างต้น จะเห็นว่า วรรณคดีมีคุณค่าต่อมนุษย์ทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ สติปัญญา วรรณคดยี งั มบี ทบาทตอ่ งานพธิ ีต่าง ๆ ดว้ ย สรุป วรรณคดีไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันแฝงไปด้วยสาระความรู้และความบันเทิงใจ เป็น มรดกของสังคมไทยอันทรงคุณค่า หากศึกษาความรู้พื้นฐานทางวรรณคดีแล้วจะช่วยให้เกิดความ เข้าใจสารของวรรณคดีทสี่ ่งให้แกผ่ ู้อา่ น และชว่ ยใหเ้ กดิ ความบันเทิงใจได้ วรรณคดีมิใช่เร่ืองเฉพาะ บุคคล หากแตย่ งั มีอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คม ดังเช่น ไตรภมู พิ ระรว่ ง ทม่ี บี ทบาทในการควบคมุ พฤติกรรมของ คนในสังคมให้ประพฤติปฏิบัติดี ละเว้นการทาช่ัว ซ่ึงส่งผลให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเรียบร้อย การมคี วามรพู้ น้ื ฐานจงึ เปน็ สงิ่ นกั วรรณคดี นักเรยี น นักศกึ ษาควรตระหนัก และศึกษาอย่างถ่องแท้ คาถามท้ายบท ๑. จงอธบิ ายความหมายของวรรณคดี ๒. ท่านคดิ วา่ คาว่า วรรณกรรม กบั วรรณคดี มีความหมายเหมือนหรือตา่ งกันอย่างไร ๓. สาเหตุการสร้างสรรคว์ รรณคดีมีอะไรบา้ ง ๔. ผ้สู ร้างสรรค์วรรณคดมี ีใครบ้าง ๕. ประเภทของวรรณคดมี ีอะไรบ้าง ๖. จงอธบิ ายยคุ สมัยของวรรณคดี ๓๗

๗. เอกลักษณข์ องวรรณคดมี อี ะไรบ้าง ๘. บทลงสรงจะใช้กบั ตัวละครประเภทใด ๙. จงอธิบายคณุ ค่าของวรรณคดีทม่ี ีต่อสงั คมไทย ๑๐. จงอธิบายรสของวรรณคดีไทยและรสวรรณคดสี ันสกฤต ๓๘

รายการอ้างอิง กสุ มุ า รักษมณ.ี (๒๕๔๙). การวิเคราะห์วรรณคดไี ทยตามทฤษฎวี รรณคดสี ันสกฤต. พมิ พค์ รั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยศลิ ปากร. ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. (๒๕๔๔). วรรณคดีอยุธยาตอนต้น: ลักษณะร่วมและอิทธิพล. กรุงเทพ ฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ธเนศ เวศร์ภาดา. (๒๕๔๙). หอมโลกวรรณศิลป์: การสร้างรสสุนทรีย์แห่งวรรณคดีไทย. กรงุ เทพฯ: ปาเจรา. ธรรมาภิมณฑ์, หลวง. (๒๕๑๔). ประชุมลานา. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทาง ประวัติศาสตร์ สานักนายกรัฐมนตรี. บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, ม.ล. (๒๕๔๓). วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพ ฯ: ศยาม. ประสทิ ธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๘). แนวการศึกษาวรรณคดี ภาษากวี การวิจักษณ์และการวิจารณ์. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช. ปัญญา บริสุทธิ์. (๒๕๔๒). วิเคราะห์วรรณคดีไทยโดยประเภท. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. เปล้ือง ณ นคร. (๒๕๔๑). ประวตั วิ รรณคดีไทย. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๑๐. กรงุ เทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานชิ . พิทยาลงกรณ, พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมน่ื . (๒๕๑๔). สามกรุง. พระนคร: ศลิ ปาบรรณาคาร. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๒). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พงศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพมหานคร: นานมบี คุ๊ สพ์ ับลิเคช่นั ส์. ร่ืนฤทยั สจั จพนั ธ.์ุ (๒๕๔๔). ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ วรรณคดี. กรงุ เทพมหานคร: ประพนั ธ์สาสน์ . รนื่ ฤทยั สัจจพันธ์.ุ (๒๕๕๘). ขา้ มชาติ ขา้ มศาสตร์ ขา้ มศลิ ป์. กรงุ เทพมหานคร: แสงดาว. วันเนาว์ ยูเด็น. (๒๕๓๐). วรรณคดีเบ้อื งต้น. พิมพค์ รง้ั ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทศั น์. วิทย์ ศิวะศริยานนท์. (๒๕๑๔). วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์. พระนคร : สมาคมภาษาและ หนงั สอื แหง่ ประเทศไทย. สุจิตรา จงสถิตย์วัฒนา. (๒๕๕๘). เจิมจันทร์กังสดาล: ภาษาวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลยั . สจุ ิตรา จรจติ ร. (๒๕๔๗). มนุษย์กับวรรณกรรม. พิมพค์ รง้ั ที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร: โอเดียนสโตร์. สมุ าลี วีระวงศ์. (๒๕๕๙). วถิ ไี ทยในลลิ ติ พระลอ. กรุงเทพ ฯ : สถาพรบคุ๊ ส.์ เสฐยี รโกเศศ. (๒๕๐๗). การศึกษาวรรณคดีแงว่ รรณศิลป์. กรงุ เทพมหานคร: ราชบณั ฑิตยสถาน. เสถยี ร ลายลักษณ์. (มปป.). ประชมุ กฎหมายประจาศก. พระนคร: โรงพมิ พ์เดลเิ มล์ นตี เิ วชช์. ๓๙

แผนบรหิ ารการสอนประจาบท หัวขอ้ เน้อื หาประจาบท บทที่ ๒ วรรณคดีสมัยสโุ ขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ - ๑๙๒๐ ๒.๑ ภมู หิ ลงั ทางสงั คมและวัฒนธรรมโดยสงั เขป ๒.๒ กวีและวรรณคดสี มยั สโุ ขทยั ๒.๓ ลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มยั สุโขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ - ๑๙๒๐ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เม่อื ศกึ ษาบทท่ี ๒ แลว้ นักศึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายบรบิ ททางสังคมและวัฒนธรรมสมยั สุโขทัยได้ ๒. บอกกวีและวรรณคดีในสมัยสุโขทัยได้ ๓. อธิบายลักษณะสาคญั ของวรรณคดสี มัยสุโขทยั ได้ ๔. วเิ คราะห์วรรณคดีสมัยสโุ ขทยั ได้ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท ๑. วธิ สี อน การบรรยาย อภปิ รายกลุม่ ใช้สอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ประกอบการสอน ๒. กิจกรรมการเรยี นการสอนมีดังนี้ ๒.๑ กิจกรรมก่อนเรียน นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้า อ่าน วรรณคดีเร่ืองศิลาจารึกและไตรภูมิพระร่วงล่วงหน้า เตรียมแสดงความคิดเห็นในช้ันเรียน เม่ือถึง ช่ัวโมงเรียน ก่อนเร่ิมสอน นักศึกษาทาแบบทดสอบหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน ผา่ นโปรแกรม Mentimeter หรือโปรแกรมอ่ืน ๆ ทผ่ี สู้ อนเตรยี มไว้ ๒.๒ กิจกรรมระหว่างเรียน นักศึกษาฟังบรรยาย ร่วมกันอภิปรายตัวบทวรรณคดี สาคญั บางเร่ือง ๒.๓ กจิ กรรมหลังเรียน นักศึกษาตอบคาถามท้ายบท และเตรียมอ่านหนังสือบท ต่อไปล่วงหน้า นกั ศึกษาทบทวนความรจู้ ากคลปิ การสอนท่ีบันทกึ ไวใ้ นเวบ็ ไซตผ์ ู้สอน ส่ือการเรียนการสอนประจาบท ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ พาวเวอร์พอยท์ วดี ทิ ศั น์ โปรแกรม Mentimeter, Vidyard ๓. ตัวบทวรรณคดีไทย ๔๐

การวดั และการประเมินผล ๑. สงั เกตความสนใจและมสี ่วนรว่ มในชั้นเรยี น ๒. การถาม-ตอบ การร่วมอภิปราย ๓. การสอบกลางภาค ๔๑

บทท่ี ๒ วรรณคดสี มัยสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๒๐ ในชว่ งแรกของการสรา้ งกรุงสโุ ขทยั หลังจากพ้นอานาจขอมแลว้ วรรณคดมี บี ทบาทสาคัญย่ิง ในการสรา้ งความสงบเรยี บรอ้ ยให้แก่บ้านเมอื ง วรรณคดีในสมยั นี้จึงมักเป็นเชิงสั่งสอนและช้ีนาแนว ทางการใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีวรรณคดีที่บันทึกเรื่องราวของบ้านเมืองและประวัติศาสตร์ สมัยสุโขทัย อย่างไรก็ดี วรรณคดีไทยสมัยสุโขทัยที่ปรากฏเป็นหลักฐานมาถึงปัจจุบันมีไม่มากนัก ท้ังน้ีอาจด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายของผู้คน และการเสียอานาจการ ปกครอง ๒.๑ ภมู หิ ลังทางสงั คมและวฒั นธรรมโดยสังเขป สุโขทัยเป็นอาณาจักรท่ีตั้งอยู่ใกล้แม่น้าน่าน ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๑๗๙๒ ส้ินสุดอานาจเม่ือ พ.ศ. ๒๐๐๖ โดยถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา สมัยสุโขทัย ราษฎรนับถือกษัตริย์ คลา้ ยเป็นพอ่ โดยเรยี กวา่ พ่อขุน รูปแบบการปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลกู ในภายหลังฐานะของ กษตั รยิ ์เรียกว่า พระยา เช่น พระยาเลอไท พระยาลิไท และปกครองแบบธรรมราชา พระนามของ พระมหากษตั รยิ ์เปลยี่ นเปน็ \"พระมหาธรรมราชา\" สมัยสุโขทัยมีการแบ่งชนชั้นในสังคมออกเป็นระดับต่าง ๆ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง พระสงฆ์ และประชาชน จากข้อมลู ในศลิ าจารึกหลักที่ ๑ ได้แสดงว่าบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ผู้คนใฝ่ใจในพระพุทธศาสนา ทาบุญ ให้ทานอยู่เป็นนิจ สมัยนี้เองมีการประดิษฐ์อักษรไทย หรือท่ี เรียกว่า สายลือไทย โดยพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ข้ึน ใน พ.ศ. ๑๘๒๖ สันนิษฐานว่า ทรงดัดแปลงจากตัวอักษรขอมหวัด และอักษรมอญโบราณ อักษรไทยของพ่อขุนรามคาแหงได้มี วิวฒั นาการมาเปน็ ลาดับ จนเป็นตัวอักษรท่ใี ชก้ ันทุกวนั นี้ อาณาจกั รสโุ ขทยั มพี ระมหากษตั ริยแ์ หง่ ราชวงศพ์ ระรว่ ง รวม ๙ พระองค์ ดังนี้ ๒.๑.๑ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระนามเดิม คือ พ่อขุนบางกลางหาว ตาม ประวัติศาสตร์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองยกทัพขับไล่ขอมท่ีเมืองสุโขทัยออกไป จากนั้นพ่อขุนผาเมืองได้ให้พ่อขุนบางกลางหาวข้ึนครองเมืองสุโขทัย ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรี อินทราทติ ย์ นับเปน็ ปฐมกษัตรยิ ์ แหง่ ราชวงศ์พระรว่ ง ๒.๑.๒ พ่อขุนบานเมือง เป็นพระโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพระนาง เสอื ง เป็นพระเชษฐาของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ๔๒

๒.๑.๓ พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช เปน็ พระโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และนาง เสือง อาณาจักรสุโขทัยอขุนรามคาแหงมหาราชจึงแผ่ขยายออกไปกว้างขวาง ทรงประดิษฐ์ตัว อักษรไทยขึ้น เม่ือ พ.ศ. ๑๘๒๖ และโปรดให้จารึกตัวอักษรบนศิลาจารึกหลักที่ ๑ ทรงปกครอง บ้านเมืองแบบพ่อปกครองลูก โปรดให้มีการค้าเสรี โดยไม่เก็บภาษีค่าผ่านด่าน บ้านเมืองอุดม สมบูรณ์ ดังศิลาจารกึ กล่าววา่ \"ในน้ามปี ลา ในนามีขา้ ว\" ๒.๑.๔ พระยาเลอไทย เป็นพระโอรสของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช อาณาจักร สุโขทยั เรม่ิ เสอื่ มอานาจลงในรชั กาลน้ี และหลายเมืองได้ตงั้ ตนเปน็ อิสระ ๒.๑.๕ พระยาง่ัวนาถมุ เป็นพระโอรสของพ่อขนุ บานเมอื ง ๒.๑.๖ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย หรอื ลอื ไทย) เป็นพระโอรสของพระยาเลอ ไทย ทรงใฝ่ใจในธรรมะอย่างย่ิง จึงมีพระนามว่า พระมหาธรรมราชา คือ ราชา หรือกษัตริย์ท่ีทรง ธรรม โดยทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรมะ ทรงนิพนธ์วรรณคดีทางศาสนาเรื่องสาคัญคือ ไตรภูมิ พระร่วง ๒.๑.๗ พระมหาธรรมราชาท่ี ๒ เป็นพระโอรสของพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) และพระศรจี ฬุ าลกั ษณ์ ในรชั กาลน้ี อาณาจกั รอยุธยาซงึ่ มกี าลังเข้มแขง็ ไดส้ ง่ กาลงั มาโจมตีเมอื งตา่ ง ๆ ของสุโขทัยหลายครั้ง จนอาณาจักรสุโขทัยต้องยอมต่อกรุงศรีอยุธยา และเข้าเป็นส่วนหน่ึงของ กรุงศรอี ยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ ๒.๑.๘ พระมหาธรรมราชาท่ี ๓ (ไสยลือไทย) เป็นพระนัดดาของพระมหาธรรม ราชาท่ี ๑ (ลิไทย) ๒.๑.๙ พระมหาธรรมราชาท่ี ๔ (บรมปาล) เป็นพระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๓ ๒.๒ กวีและวรรณคดสี มัยสโุ ขทัย วรรณคดสี มัยสุโขทยั เทา่ ทป่ี รากฏหลกั ฐานมาจนถึงปัจจบุ นั มีปรากฏใน ๒ สมัย คือ สมัยพ่อ ขุนรามคาแหงมหาราช และสมัยพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พระยาลิไท) มีวรรณคดีสาคัญ ๓ เรื่อง ดงั น้ี ๒.๒.๑ ศิลาจารกึ พ่อขุนรามคาแหง หรือ ศลิ าจารึกหลกั ที่ ๑ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราช หรือ ศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นศิลาจารึกที่ บันทึกประวัติศาสตร์สมัยกรุงสุโขทัย เจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ หรือต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หวั ขณะผนวชอยู่ เปน็ ผู้ทรงคน้ พบเม่ือวันกาบสี ข้ึน ๘ ค่า เดือน ๓ จ.ศ. ๑๒๑๔ ตรงกับ วัน ศุกร์ท่ี ๑๗ มกราคม ค.ศ.๑๘๓๔ หรือ พ.ศ. ๒๓๗๖ ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อาเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย มีลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ทรงกระโจม สูง ๑๑๑ ซม. หนา ๓๕ ซม. เป็น ๔๓

หินทรายแป้งเน้ือละเอียด มีจารึกท้ังสี่ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ศิลาจารึกนี้มีผู้ศึกษาค้นคว้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ผู้ค้นคว้าชาวไทยท่ี สาคัญคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาสตราจารย์ฉ่า ทองคาวรรณ และหม่อมเจ้า สภุ ทั รดศิ ดศิ กุล ไดท้ าคาอ่านไวเ้ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน (ไพเราะ มากรักษา, ๒๕๔๘, หนา้ ๓๒) ผแู้ ตง่ สันนิษฐานว่านา่ จะมีผแู้ ตง่ มากกวา่ ๑ คน โดย ตอนที่ ๑ ตั้งแตบ่ รรทัดที่ ๑ ถงึ ๑๘ เป็นเรอ่ื งพ่อขุนรามคาแหงเล่าประวัติของพระองค์ว่าเป็นใคร จนกระท่ังได้เสวยราชสมบัติ โดยใช้คาว่า \"ก\"ู เปน็ หลัก ในส่วนน้ี สนั นษิ ฐานวา่ พอ่ ขุนรามคาแหงเปน็ ผู้บันทึกเอง ตอนที่ ๒ ไม่ได้ ใช้คาว่า \"กู\" เลย แต่ใช้คาว่า \"พ่อขุนรามคาแหง\" ในส่วนนี้จะเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดจน ขนบธรรมเนียม และเหตุการณ์สาคัญที่เกิดข้ึนของเมืองในขณะนั้น และตอนท่ี ๓ ตั้งแต่ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ ถงึ บรรทัดสดุ ท้าย เปน็ ส่วนสรรเสริญพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคาแหง และอาณาเขต เมืองในครงั้ กระโน้น เนือ้ หาในส่วนน้ี เข้าใจวา่ ไดบ้ นั ทกึ โดยคนร่นุ หลงั และคงมีระยะเวลาห่างจาก การบันทกึ ในตอนท่ี ๒ แล้วหลายปี ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นความเรียงรอ้ ยแก้ว บางตอนมสี มั ผสั คลา้ ยกลอน วตั ถปุ ระสงคใ์ นการแตง่ สนั นษิ ฐานว่าแต่งเพื่อบันทึกเหตุการณ์สาคัญ ความอุดม สมบูรณ์ ความร่มเยน็ เปน็ สขุ ของประเทศและอาณาเขตของบ้านเมอื งสมยั สโุ ขทยั เน้ือเร่อื งย่อ เน้ือหาของจารึกน้นั แบ่งได้เป็นสามตอน ได้แก่ ตอนท่ีหนึ่ง ด้านท่ี ๑ บรรทัดที่ ๑ ถึง ๑๘ เป็นการเล่าพระราชประวัติพ่อขุน รามคาแหงตั้งแตป่ ระสตู จิ นเสวยราชย์ ใช้คาว่า \"ก\"ู เป็นหลกั ตอนท่ีสอง ด้านท่ี ๒ บรรทัดท่ี ๑๘ จนถึงด้านที่ ๔ บรรทัดท่ี ๑๑ เล่าถึง เหตุการณ์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี การประดิษฐ์ลายสือไทย การสร้างพระ ธาตุ ตอนท่ีสองน้ีไมใ่ ช้คาว่า \"ก\"ู แตใ่ ชว้ า่ \"พ่อขุนรามคาแหง\" ตอนท่สี าม ด้านที่ ๔ บรรทัดท่ี ๑๒ ถึงบรรทัดสดุ ท้าย เป็นการยอพระเกยี รติพ่อ ขุนรามคาแหงว่าเป็นผู้รู้ เป็นดังครูอาจารย์ และกล่าวถึงอาณาเขตของสุโขทัยว่าแต่ละทิศจรดที่ใด เป็นที่น่าสังเกตว่า ในตอนท่ีสามนี้ ลักษณะตัวหนังสือต่างจากตอนที่หนึ่งและสองจึงสันนิษฐานว่า นา่ จะจารึกขึน้ ภายหลงั คุณค่า คุณค่าของศิลาจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงสรปุ ได้หลกั ๆ ดงั น้ี (๑) ประวัติศาสตร์ ศิลาจารึกเล่าถึงประวัติของพ่อขุนรามคาแหง และ เหตกุ ารณส์ าคัญทางประวัตศิ าสตร์ เช่น การชนช้างกบั ขนุ สามชน เจ้าเมืองฉอด ที่ยกทัพมาชิงเมือง ตาก ซงึ่ เปน็ เมอื งขน้ึ ของสโุ ขทัย พ่อขุนราชคาแหงได้แสดงพระปรีชาสามารถชนช้างชนะขุนสามชน ๔๔

เมื่อพระชนมายุดพียง ๑๙ ปี พระองค์จึงได้รับพระราชทานพระนามจากพระราชบิดา “พระ รามคาแหง” (๒) ภาษา ศิลาจารึกทาให้ทราบว่ามีการประดิษฐ์ลายสือไทยโดยพ่อขุน รามคาแหง ประเสรฐิ ณ นคร (๒๕๒๗, หน้า ๒๑) กล่าวถึงลักษณะอักษรของพ่อขุนรามคาแหงไว้ ว่า “รูปอักษรของพ่อขุนรามคาแห่งคล้ายตัวหนังสือลังกา บังคลาเทศ ขอม และเทวนาครี ฯลฯ เป็นต้นว่าตวั จ ฉ หันหน้าไปคนละทางกันอักษรขอม แต่หันไปทางเดียวกับอักษรลังกาท่ีใช้อยู่ก่อน แล้ว” ศิลาจารึกยังทาให้เห็นว่าภาษาไทยมีวิวัฒนาการมายาวนาน ดังข้อความ “เมื่อก่อนลายสอื น้ีบ่มี ๑๒๐๕ สกปีมะแม พ่อขนุ รามคาแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสืไทนี้ลายสือนี้ จึ่งมีเพื่อขุนผู้น้ันใส่ไว้” ลักษณะภาษาในศิลาจารึกยังนิยมให้คาไทยเป็นหลัก ใช้คาสั้นแต่กินความ มาก มีจังหวะคล้องจองคล้ายมีสัมผัส เช่น “ในน้ามีปลา ในนามีข้าว” “ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจัก ใครค่ า้ ชา้ งคา้ ใครจกั ใครค่ า้ เงนิ คา้ ทองคา้ ” (๓) การเมืองการปกครอง ศิลาจารึกสะท้อนให้เห็นว่ารูปแบบการ ปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก กษัตริย์มีหน้าท่ีดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิดราวบิดาดูแลบุตร ดัง จะเห็นว่าใช้คาว่า “พ่อขุน” “ลูกบ้านลูกเมือง” และ “ลูกเจ้าลูกขุน” ถ้าใครมีเร่ืองเดือดร้อน พระองค์ก็โปรดให้ไปลั่นกระด่ิงร้องทุกข์ เพ่ือพระองค์จะได้ทรงสอบสวนให้ความเป็นธรรม ดงั ขอ้ ความ “ในปากประตมู กี ดง่ิ อนั หน่งึ แขวนไวห้ น้ั ไพรฟ่ า้ หนา้ ปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจบ็ ทอ้ งขอ้ งใจ มนั จักกล่าวเถงิ เจ้าเถงิ ขนุ บ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมือง ไดย้ ินเรยี กเมอื ถาม สวนความแก่มันด้วยซ่อื ไพรใ่ นเมืองสุโขทัยนีจ้ ึ่งชม” นอกจากนี้ ในวันพระข้ึน ๑๕ ค่า หรือวันพระวันแรม ๘ ค่า พ่อขุน รามคาแหงโปรดให้พระเถระผใู้ หญ่ เทศนาส่ังสอนธรรมแก่ประชาชน ถ้าไม่ใช่วนั พระพระองค์จะทรง ประทบั เหนอื “ขดารหนิ ให้ฝงู ท่วยลกู เจา้ ลกู ขนุ ฝงู ทว่ ยถอื บ้านถือเมืองคลั ” ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง ยังสะท้อนวิธีการปกครองท่ีคล้ายกับมี กฎหมาย ไว้หลายลักษณะ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับภาษี ยกเลิกภาษีผ่านด่าน (จกอบ) ทาให้ ประชาชนค้าขายไดก้ าไรเตม็ เมด็ เตม็ หน่วย ดังขอ้ ความในจารึกดา้ นท่ี ๑ บรรทดั ท่ี ๑๙ ว่า “เจ้าเมอื ง บ่เอาจกอบในไพ่” หรือกฎหมายเกี่ยวกับการค้าขาย ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ในจารกึ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๙-๒๑ ว่า “เพ่ือนจูงวัวไปค้า ขี่มาไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจัก ใครค่ ้ามา้ ค้า ใครจกั ใคร่คา้ เงือนค้าทองค้า” หรอื กฎหมายเก่ียวกับมรดก ที่กล่าวว่า มรดกของผู้ตาย ใหต้ กอยูแ่ ก่ลกู ดงั ข้อความในจารกึ ดา้ นที่ ๑ บรรทัดท่ี ๒๑-๒๔ วา่ “ไพรฟ่ า้ ข้าไท ป่าหมากปา่ พลพู อ่ เช้ือมนั ไวแ้ ก่ลกู มนั ส้นิ ” เป็นตน้ ๔๕

(๔) ศาสนา ศิลาจารึก แสดงให้เห็นว่าชาวไทยสุโขทัยนับถือ พระพุทธศาสนาอย่างย่ิง ดังปรากฎในจารึกด้านที่ ๒ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๘-๑๘ กล่าวถึงประเพณี เขา้ พรรษาและออกพรรษา อนั เปน็ ประเพณสี าคัญในพระพุทธศาสนา และยังบรรยายเก่ยี วกับศาสน สถานและศาสนวัตถุมากมาย ดงั ข้อความ กลางเมืองสุโขทัยน้ีมีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรูป มี พระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิสัย มุตก์ มีเถร มีมหาเถรเบื้องตะวันตก เมืองสุโขทัยนี้มีอไรญิก พ่อขุนรามคาแหงกระทา โอยทานแกม่ หาเถร สังฆราชปราชญเ์ รียนจบปฎิ กไตรหลวกกวา่ ป่คู รใู นเมอื งนี้ ทกุ คนลกุ แต่เมอื งศรีธรรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันหน่ึงมนใหญ่ สูงงามแก่กลม มีพระ อัฏฐารศอันหนึ่งลุกยืน เบ้อื งตะวันออกเมอื งสุโขทยั นี้มพี ิหารมีปคู่ รู จากตัวอย่าง จะเห็นว่า คนสมัยสุโขทัยมีความใฝ่ใจในพระพุทธศาสนา มีพระสังฆราช พระภิกษุสงฆ์ พระเถระทม่ี ีความรู้ทางศาสนา และมวี ดั วาอาราม รวมถึงพระพทุ ธรปู มากมาย ๒.๒.๒ สุภาษิตพระร่วง สุภาษติ พระรว่ งหรอื เรียกอกี ช่ือหนึง่ วา่ บญั ญัตพิ ระร่วง เป็นวรรณคดีที่รวบรวมคา สอนของกษัตริย์สุโขทยั ซึ่งเป็นกษัตริย์ราชวงค์พระร่วง ท่ีทรงส่ังสอนประชาชน สุภาษิตพระร่วงน้ี เชื่อว่าจดจาและถ่ายทอดกันมาต้ังแต่สุโขทัย จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้มีการรวบรวมแต่งเติมและ จารึกอยู่ที่ผนังวิหารด้านในทางทิศเหนือ หน้ามหาเจดีย์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อ พ.ศ . ๒๓๗๙ การตีพิมพ์เรื่องสุภาษิตพระร่วง ตีพิมพ์ครั้งแรกเม่ือปี พ.ศ.๒๓๗๙ ในรัชกาลที่ ๓ (สิทธา พินจิ ภวู ดล และปรียา หริ ัญประดษิ ฐ์, ๒๕๕๙, หนา้ ๒-๑๖) ผูแ้ ต่งสภุ าษิตพระรว่ งนน้ั ยังไม่ชัดเจน มีผู้รู้สันนิษฐานกัน เช่น พระบาทสมเด็จพระ มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสนั นษิ ฐานวา่ สภุ าษิตนี้คงรวบรวมขนึ้ ในสมัย พอ่ ขนุ รามคาแหง ผู้แต่งอาจ มหี ลายคน และไมไ่ ดแ้ ต่งเสร็จคราวเดียวกัน หรือ พระวรเวทย์พิสิฐ (๒๔๙๖, หน้า ๒๘) กล่าวว่า ผู้ แต่งสุภาษิตพระร่วงคือพ่อขุนรามคาแหง เพราะลักษณะสานวนภาษาในสุภาษิตพระร่วงคล้ายคลึง กบั สานวนภาษาในศิลาจารึก ส่วน ฉันทชิ ย์ กระแสสินธุ์ (๒๕๑๓, หนา้ ๔๘๒ – ๔๘๖) สันนิษฐาน ว่า นา่ จะแต่งในสมัยพระยาลิไทย เพราะเป็นเวลาท่ีบา้ นเมืองเจรญิ รุ่งเรือง ผแู้ ต่ง ไม่ทราบผ้แู ตง่ และสมัยทแ่ี ต่งชดั เจน ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นร่ายสุภาพ จบด้วยโคลงสองสุภาพและต่อด้วยโคลงสี่ สุภาพกระทู้ ๑ บท ๔๖

วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพ่ือส่ังสอนประชาชนท่ัวไป ในด้านการประพฤติปฏิบัติ ตนและการดาเนนิ ชีวติ เนื้อเร่ืองย่อ เริ่มด้วยการกล่าวถึงพระร่วงเจ้าผู้ครองกรุงกรุงสุโขทัย ทรงบัญญัติ สุภาษิตเพ่ือให้ประชาชนยึดถือเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต มีสุภาษิตท้ังหมด ๑๕๘ บท เป็น สุภาษิตที่สอนการประพฤติปฏิบัติท้ังด้านการแสวงหาความรู้ การคบค้าสมาคม การผูกไมตรี การ วางตวั การรู้จกั ตวั เป็นต้น ปางสมเด็จพระรว่ งเจ้า เผา้ แผ่นภพสุโขทัย มลักเห็นในอนา จ่ึงผายพจนประภาษ เป็นอนุสาสนกถา สอนคณานรชน ท่วั ธราดลพงึ เพยี ร เรียนอารงุ ผดุงอาตม์ อยา่ เคลื่อนคลาดคลาถ้อย เม่อื น้อยให้เรียนวชิ า ใหห้ าสินเมือ่ ใหญ่ อย่าใฝเ่ อาทรพั ย์ท่าน อย่าริระรา่ นแกค่ วาม ประพฤตติ ามบุรพรบอบ เอาแตช่ อบเสยี ผิด อย่าประกอบกจิ เป็นพาล อยา่ อวดหาญแกเ่ พื่อน เขา้ เถ่ือนอย่าลมื พร้า หน้าศึกอยา่ นอนใจ ไปเรอื นทา่ นอยา่ นัง่ นาน และจบลงดว้ ยโคลงกระทเู้ พือ่ บอกถงึ ทีม่ าของสภุ าษิตพระร่วง ดังความว่า บัณ เจดิ จาแนกแจง้ พิศดาร ความเฮย ฑติ ยุบลบรรหาร เหตไุ ว้ พระ ปิน่ นัคราสถาน อุดรสขุ ไทยนา รว่ ง ราชนามน้ีได้ กลา่ วถอ้ ยคาสอน คุณค่า คุณค่าของสุภาษิตพระร่วงที่เด่นชัดคือเนื้อหาสามารถนาไปใช้กับการใช้ ชีวิต เปน็ แนวทางการดาเนนิ ชีวติ ทด่ี ีงาม ถูกตอ้ งตามครรลองครองธรรม ด้านการใช้ภาษา สภุ าษิต พระร่วงใช้ถ้อยคาง่าย คล้องจอง กะทัดรัด เป็นภาษิตไทยแท้ สุภาษิตพระร่วงยังมีอิทธิพล ตอ่ วรรณดคีอืน่ ดังจะเห็นวา่ กวีรุ่นหลงั นิยมนาข้อความบางตอนไปแทรกไว้ในวรรณคดี เช่น แทรก ไว้ในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ตอนนางพรหมณีบอกนางอมิตดาวา่ \"จะมารักเหากวา่ ผม จะมารัก ลมกว่าน้า อย่ารักถา้ กว่าเรือน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน” หรือตอนพระเวสสันดรตรัสต่อนางมัทรี ว่า \"เข้าเถ่ือนอย่าลืมพร้า” ซึ่งมาจากสุภาษิตพระร่วง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔๗

รัชกาลที่ ๖ ทรงนาสุภาษิตพระร่วงมา พระราชนิพนธ์ สุภาษิตพระร่วงคาโคลง สุนทรภู่เองได้นา สุภาษิตพระร่วงมาเขยี นไว้ในเพลงยาวถวายโอวาทด้วยเชน่ กนั ๒.๒.๓ ไตรภูมิพระรว่ ง ไตรภูมิพระร่วง เดิมช่ือว่า เตภูมิกถาหรือไตรภูมิกถา กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงเปล่ียนช่ือให้ใหม่เป็น ไตรภูมิพระร่วง ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและให้คู่กับ สุภาษติ พระรว่ ง ผ้แู ต่ง พระมหาธรรมราชาลไิ ท แตง่ ข้นึ ในปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ลกั ษณะการแตง่ ความเรยี งรอ้ ยแก้ว วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพ่ือแสดงธรรมโปรดพระราชมารดาและให้เป็นธรรม ทานแกร่ าษฎร เน้ือเร่ืองย่อ เก่ียวกับโลกสัณฐานที่แบ่งเป็น ๓ ภูมิ หรือ ไตรภูมิ ได้แก่ กามภูมิ (กามาวจรภูมิ) รปู ภมู ิ (รปู าวจรภมู ิ) และอรปู ภมู ิ (อรูปาวจรภมู ิ)มรี ายละเอยี ดโดยสงั เขป ดงั นี้ กามภูมิ คือ แดนท่เี กีย่ วข้องกับกามตณั หา มีการเวยี นว่ายตายเกดิ แบ่งออกเป็น ๑๑ ชนั้ ย่อย ไดแ้ ก่ ทตุ ยิ ภมู ิ ๔ ชั้น หรืออบายภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เดรัจฉาน เปรต และอสูรกาย และสุขคติ ภูมิ คอื มนุสสภมู ิ ๑ ชัน้ และฉกามาพจรภมู ิ ๖ ช้ัน ได้แก่ จาตมุ หาราชิกา ดาวดึงส์ ยามะ ดสุ ติ นิ มานรดี และปรนิมมติ วสวัตถี รูปภมู ิ คอื แดนที่ไมม่ กี ารเกยี่ วข้องกบั กามตัณหา ผทู้ เี่ กดิ ในแดนนี้ เรียกว่า พรหม มีท้งั หมด ๑๖ ชนั้ เรียกว่า โสฬสพรหม ประกอบด้วยปฐมฌาน ๓ ได้แก่ พรหมปาริสัชชา พรหมปโร หิตา และมหาพรหม ทุติยฌาน ๓ ได้แก่ ปริตตาภา อัปปมาฌาภา และอาภัสสรา และตติยฌาน ๗ ได้แก่ อสัญญีสัตตา เวทัปผลา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกุนิฎฐกา รวมเรียกตติยญานท้ัง ๗ ชั้นว่า “สทุ ธาวาส” อรูปภูมิ คือ แดนของพรหม ซึ่งไม่มีรูปกาย มีแต่ จิต มีอยู ๔ แดนได้แก่ อากาสานญั จายตนะ วญิ ญาณญั จายตนะ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ และ อากญิ จญั ญายตนะ ท้ายเรื่องกล่าวถึง นิพพานกถา ว่าด้วยเร่ืองนิพพาน วิธีที่จะพ้นไปจากภูมิ ๓ ไปให้ ถึงภูมิ ๔ คือ โลกุตรภูมิ กล่าวถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานขั้นต่าง ๆ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดา ปัตตผิ ล สกทาคามมิ รรค สกทาคามผิ ล อนาคามมิ รรค อนาคามิผล อรหตั ตมรรค อรหัตตผล คุณค่า สรุปคณุ ค่าไดด้ งั นี้ (๑) ความคิดความเชื่อทางศาสนา ไตรภูมิพระร่วงสะท้อนความเช่ือทาง พระพุทธศาสนาในเร่ืองการทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว โดยคนทาช่ัวจะตกนรก ส่วนคนทาดีจะได้ข้ึน สวรรค์ ๔๘

(๒) การเมืองการปกครอง ไตรภูมิพระร่วงเป็นเครื่องมือสาคัญที่ทาให้ บา้ นเมืองมคี วามสงบสุข โดยใช้ความเช่อื เร่ืองนรกสวรรค์หรอื ศาสนาเปน็ ตัวควบคมุ วรรณคดเี ร่อื งนี้ ได้ปลูกฝังความเช่ือเรื่องกรรมดีกรรมช่ัว และนาทางปวงชนให้มีจิตใจยึดมั่นในความดีงาม ซึ่งมี ความสาคญั อย่างมากในชว่ ยสรา้ งบ้านแปลงเมือง (๓) อิทธิพลตอ่ ศิลปกรรมแขนงอ่ืน ไตรภูมิพระร่วงมีอทิ ธพิ ลต่อศลิ ปกรรม แขนงอื่น ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ดังจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ตามวัดตา่ งๆ ท่เี ขียนเป็นภาพสวรรค์ เขาพระสเุ มรุ หรือนรกภมู ิ (๔) อิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วรรณคดีไทย จะเห็นว่าวรรณคดีในยุค ต่อมาปรากฏแนวคิด ความเช่ือ ตัวละคร หรือเหตุการณ์ที่มาจากไตรภูมิมพระร่วง เช่น ขุนช้าง ขุนแผน รามเกียรติ์ สมบัติอมรินทร์คากลอน กากีคากลอน นิราศนรินทร์ เป็นต้น ไตรภูมิพระ ร่วงนี้ยังทาให้เกิดวรรณคดีไตรภูมิที่แต่งในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ต่อมาอีก ได้แก่ ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ของ พระยาธรรมปรชี า (แก้ว) ดว้ ย (๕) ภาษา ภาษาท่ีใช้ในไตรภูมิพระร่วงมีลักษณะเป็นพรรณนาโวหาร ผ้ฟู ังผู้อ่านเกดิ จินตภาพตามไดง้ ่าย เช่น การพรรณนาโลหกมุ ภีนรก อันดบั น้ันเป็นคารบ ๕ ช่ือว่าโลหกุมภีนรก แลคนผูใ้ ดอันตีสมณพราหมณ์ผู้มีศีลไส้ คนผู้ นนั้ ตายไดไ้ ปเกิดในโลหกมุ ภนี รก ๆ มเี หลก็ แดงอันใหญ่เท่าหม้ออันใหญ่นั้น แลเต็มด้วย เหล็กแแดงเช่ือมเป็นน้าอยู่ฝูงยมบาลจับ ๒ ตีนคนนรก ผันตีนข้ึนแลหย่อนหัวเบื้องต่า แล้วและพุ่งตัวคนนั้นลงในหม้ออันใหญ่นั้น แลสัตว์นั้นร้อนนักหนาด้ินไปมาอยู่ในหม้อ นัน้ ทนเวทนาอยดู่ ังนั้นหลายคาบหลายคราแลทนอยู่กว่าจะส้ินอายุสัตว์ในนรกอันชื่อว่ โลหกุมภนี รกนน้ั แลฯ นรกบา่ วอนั ดับนัน้ เป็นคารบ ๖ ชื่อว่าโลหกุมภนรก แลคนผู้ใดฆ่า สัตว์อันมีชีวิต เชือดคอสัตว์น้ันให้ตายไส้ คนผู้นั้นครั้นว่าตายไปเกิดในนรกน้ัน แลสัตว์ นรกนั้นมีตัวอันใหญแ่ ละสูงได้ ๖ พันวา ในนรกนนั้ มหี มอ้ เหลก็ แดงใหญเ่ ทา่ ภูเขาอันใหญ่ แลฝูงยมบาลเอาเชอื กเหล็กแดงอันลกุ เปน็ เปลวไฟไล่กระวัดรัดคอเข้าแล้วตระบดิ ใหค้ อ เขานั้น ขาดออกแล้ว ๆ เอาหัวเขาทอดลงในหม้อเหล็กแดงนั้น เม่ือแลหัวเขาด้วนอยู่ ดังน้ันไส้ บดั เดี๋ยวก็บงั เกดิ หัวอันหน่งึ ข้ึนมาแทนเล่า ฝูงยมบาลจึงเอาเชือกเหล็กแดงบิด คอให้ขาด แล้วเอาหัวทอดลงไปหม้อเหล็กแดงอีกเล่า แตท่ าอยดู่ งั น้ีหลายคาบหลายครา นัก ตราบเทา่ สิ้นอายุ แลบาปกรรมแหง่ เขานั้นแลฯ อิทธิพลของภาษาในไตรภูมิพระร่วงยังทาให้เกิดสานวนพูดที่ใช้ในปัจจุบัน เช่น สงู เหมอื นเปรต คนเปน็ ชู้ตอ้ งตกนรกปตี ้นงิว้ ปากเทา่ รเู ขม็ เปน็ ตน้ ๔๙

๒.๓ ลกั ษณะสาคัญของวรรณคดีสมัยสโุ ขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๒๐ ลกั ษณะสาคัญของวรรณคดสี มัยสุโขทยั จะสงั เกตได้วา่ ในดา้ นเนื้อหาน้ัน ส่วนใหญ่เป็นเร่ือง เก่ียวกับประวัติศาสตร์ บ้านเมือง วัฒนธรรมและอบรมส่ังสอน มิได้มุ่งเพ่ือความบันเทิงโดยตรง วรรณคดีสุโขทัยบันทกึ เรอื่ งราว เหตุการณ์และสังคมลงในศิลาจารึก ดังจะเห็นจากศิลาจารึกหลักท่ี ๑ ที่สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ของพ่อขุนรามคาแหง และประวัติราชวงค์ รวมถึงบ้านเมือง นอกจากศิลาจารึกหลักท่ี ๑ แล้ว ยังมีการค้นพบศิลาจารึกจานวนมาก โดยส่วนใหญ่จารึกเก่ียวกับ เร่อื งทางศาสนา เชน่ การทาบุญ การสรา้ งพระ สร้างวัด ซง่ึ สะท้อนให้เห็นเรือ่ งราวในอดีตไดอ้ ยา่ งดี เช่น ศิลาจารึกหลักศรีชุม และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงที่กล่าวถึงการนับถือศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ หรือศิลาจารกึ เขาสุมนกฏู ทีก่ ล่าวถงึ การจาลองพระพทุ ธบาท ลกั ษณะของวรรณคดสี มัยสโุ ขทยั อีกลักษณะหนง่ึ คือ เป็นวรรณคดีคาสอน วรรณคดสี โุ ขทัย มเี น้ือหาด้านคาสอนอยู่เด่นชัด ๒ เร่ือง ได้แก่ สุภาษิตพระร่วงกับไตรภูมิพระร่วง ซึ่งสะท้อนให้เห็น ความสาคัญของวรรณคดีท่ีใช้ในการปกครองบ้านเมืองเพ่ือให้เกิดความสงบเรียบร้อย ม่ันคงในยุค เร่ิมแรกของการสร้างอาณาจักร วรรณคดีจึงมีลักษณะส่ังสอนให้คนทาดี ไม่ทาความชั่ว ขณะเดยี วกนั ก็ประกาศคณุ ธรรมของผู้ปกครองด้วยเชน่ กนั ในด้านรปู แบบการประพันธ์น้ัน นิยมแต่งเป็นความเรียงร้อยแก้ว เช่น ศิลาจารึก ไตรภูมิ พระร่วง เป็นต้น มีปรากฏที่เป็นร้องกรอง ๑ เรื่องได้แก่ สุภาษิตพระร่วง คือเป็นร่ายสุภาพ วรรณคดีในสมัยน้สี ว่ นใหญ่จะใช้ภาษาต่างประเทศหลากหลาย เช่น เขมร บาลี สันสกฤต ลีลาการ เขยี นนยิ มถอ้ ยคาสานวนกะทัดรัด สละสลวย สั้นแต่กินความมาก มีการใช้คาซ้าและแต่งประโยค คล้ายกบั มีสมั ผสั เหมือนรอ้ ยกรองแม้จะเป็นความเรยี งรอ้ ยแกว้ ก็ตาม ดงั จะเห็นจาก ศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ นอกจากนี้ ยังใช้ภาษาแบบพรรณนาโวหาร ทาให้เกิดจินตภาพได้อย่างดี ดังปรากฏในไตรภูมิ พระร่วง สรปุ วรรณคดีสมัยสุโขทัยปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในศิลาจารึก ซ่ึงบันทึกประวัติศาสตร์ทั้ง ด้านการเมืองการปกครอง เหตุการณ์สาคัญ เรื่องทางศาสนา และขอบเขตของอาณาจักรสุโขทัย ศิลาจารึกที่ค้นพบมีหลายร้อยหลัก แต่ท่ีสาคัญและสะท้อนสภาพสังคมบ้านเมืองในสมัยสุโขทัยคือ ศลิ าจารึกหลักท่ี ๑ หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง วรรณคดีสมัยน้ีนิยมเขียนเป็นร้อยแก้ว ดังเช่น ในศลิ าจารกึ ทบี่ ันทกึ โดยใชภ้ าษารอ้ ยแก้ว และมกั ใช้ถอ้ ยคางา่ ยแตก่ ินความมาก ว ร ร ณ ค ดี ส มั ย สุโขทัยสว่ นใหญ่ยงั เปน็ เครือ่ งมือสาคัญในการเมอื งการปกครองดว้ ย ๕๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook