Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore B3-09-64

B3-09-64

Published by wijai 22, 2021-10-05 02:41:05

Description: B3-09-64

Search

Read the Text Version

๘๘ สำหรับรูปแบบของการถดถอยลงของกฎหมายที่คุมครองสิ่งแวดลอมอาจมีไดหลากหลายลักษณะ และสวนใหญแลวมักจะสงผลรายแรงตอการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอม ทั้งนี้ไมวาจะโดยจงใจหรือโดยขาด ความใสใ จและตระหนกั รูตอการคมุ ครองส่ิงแวดลอ มของผทู ี่เกย่ี วขอ ง โดยเฉพาะฝา ยอำนาจรฐั อาทิเชน (๑) การที่รัฐแกไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายอันเปนการลดขั้นตอนที่ใหสิทธิการมีสวนรวมของประชาชน ในทางสง่ิ แวดลอม ภายใตข ออา งท่ีวาเปนการทำใหข นั้ ตอนเหลา น้ผี อ นคลายความเขมงวดลง (๒) การที่รัฐยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงแกไขกฎหมายในลักษณะที่ลดการคุมครองสิ่งแวดลอมลง หรือ ทำใหก ลไกการคมุ ครองส่ิงแวดลอมไมสามารถใชง านได (๓) การลดบุคลากรที่ทำงานหรือมีหนาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดลอม รวมทั้งการตัดงบประมาณสำหรับ การดำเนินการเพ่อื ปกปองคมุ ครองสิง่ แวดลอ ม (๔) การไมบ ังคับใชกฎหมายหรือกฎระเบียบเกย่ี วกับสิ่งแวดลอ ม ทั้งโดยจงใจ และโดยการไมใสใจของ เจาหนา ท่ขี องรัฐท่ีเก่ียวของ (๕) การเพิกถอนสนธิสัญญาระหวางประเทศที่เกี่ยวกับสิ่งแวดลอม ดังตัวอยางที่เกิดขึ้นในกรณีที่ ประเทศแคนาดาเพกิ ถอนสตั ยาบนั ในพิธีสารเกยี วโต เม่ือเดอื นธนั วาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔) และกรณีที่ ประเทศฝรั่งเศสบอกเลิกการเขารวมในขอตกลงยุโรปและเมดิเตอรเรเนียนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สำคัญ เมื่อ เดือนกรกฎาคม ๒๐๑๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ดว ยเหตุผลเกี่ยวกับความเปนไปไดอ ยา งมากและกรณที ี่เปนไปแลวในการทม่ี าตรการทางกฎหมายเพ่ือ คุมครองสิ่งแวดลอมถูกทำใหถดถอยลงดังตัวอยางขางตน กลุมนักกฎหมายดานสิ่งแวดลอมจึงพยายามอยาง แข็งขันที่จะสรางหลกั การพื้นฐานทางกฎหมายสิง่ แวดลอมที่จะชวยสนับสนุนหลักการพื้นฐานประการอื่นไมให ถูกลดทอนคุณคาลงไป ทั้งนี้ หลักการที่วาดวยการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมตองไมมีลักษณะที่ถดถอยลงนี้ นอกจากจะเปนหลกั การทม่ี ีวตั ถปุ ระสงคเพ่ือพทิ ักษคุมครองสิ่งแวดลอ มโดยเฉพาะแลว การท่ีส่ิงแวดลอมไดรับ การคุมครองก็ยอมเปนการปองกันภยันตรายตอสุขภาพอนามัยของบุคคล ดังนั้น จึงเปนที่มาของหลักการ พื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดลอมหลักการใหมลาสุด นอกเหนือจากหลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดลอม ทั้ง ๕ ประการ ท่ีไดร บั การยอมรบั แลว ๖.๓.๒ ขอยกเวนที่รัฐอาจตรากฎหมายหรือออกระเบียบเพื่อลดระดับหรือขยายเวลาดำเนินการคุมครอง สิ่งแวดลอม หากพิจารณาการดำเนินการตาง ๆ ตามนโยบายของรัฐ จะเห็นวาลวนเปนเรื่องการบริหารจัดการ ความขัดแยงเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อประโยชนสาธารณะทั้งสิ้น โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแยงระหวาง การจัดการเพื่อการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมกับการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาประเทศและพัฒนา เศรษฐกิจ ดังตัวอยางที่พบไดทุกประเทศทั่วโลก เชน การที่รัฐเนนสงเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสราง ความเจริญทางเศรษฐกิจ ยอมกระทบตอการปกปองสิ่งแวดลอม หรือการสงเสริมธุรกิจบริการและการ ทองเทยี่ ว กอ็ าจนำมาซ่งึ การทำลายสภาพแวดลอม และกระทบความเปน อยูโดยปกตสิ ุขของผูอยูอาศัยในพ้ืนที่ ซึ่งเมื่อเกิดขอพิพาทอันเกิดจากความขัดแยงดังกลาวก็ยอมมีการฟองรองเปนคดีมาสูศาล ศาลปกครองจึงเปน ผูที่จะพิจารณาวินิจฉัยโดยอาศัยหลักกฎหมายสิ่งแวดลอม ซึ่งหลักการวาดวยการคุมครองสิ่งแวดลอมตอง ไมถดถอยลงก็เปนหลักการหนึ่งที่ศาลปกครองของประเทศฝรั่งเศสหยิบยกขึ้นมาใชพิจารณาพิพากษา

๘๙ คดีปกครองสิ่งแวดลอมหลายคดี นับตั้งแตป ค.ศ. ๒๐๑๗ (พ.ศ. ๒๕๖๐) เปนตนมา198๑๗ โดยหลักกฎหมาย สิ่งแวดลอมประการนี้ นอกจากจะไดรับการยอมรับจากศาลปกครองสูงสุดฝรั่งเศสวาเปนหลักกฎหมาย สิ่งแวดลอมทั่วไป (Des principes généraux du droit de l’environnement) แลว หลักการน้ียังไดรับการ บัญญัติไวอยางชัดเจนตามมาตรา L.110-1 ของประมวลกฎหมายสิ่งแวดลอม ที่แกไขเพิ่มเติมโดยกฎหมาย วาดวยการฟนฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สภาพธรรมชาติและภูมิทัศน ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ค.ศ. ๒๐๑๖ (พ.ศ. ๒๕๕๙) วา “...(๙) หลักการวาดวยการคุมครองสิ่งแวดลอมตองไมมีลักษณะที่ถดถอยลง เปนหลักการ พื้นฐานเพื่อการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมที่ไดรับการบัญญัติรับรองไวโดยบทบัญญัติทางกฎหมายและ กฎขอบังคับที่เกี่ยวของกับสิ่งแวดลอม โดยที่กฎหมายและกฎขอบังคับทั้งหลายดังกลาวจะตองมีวัตถุประสงค เพื่อการปรับปรุงการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมใหดีขึ้นอยางตอเนื่อง ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความรูทาง วิทยาศาสตรและเทคนคิ วิทยาการใหมทเ่ี กิดข้ึนในชว งเวลานัน้ ” ศาลปกครองฝรั่งเศสไดพิพากษาวางหลักไววา การที่รัฐจะดำเนินการตรากฎหมายหรือออกระเบียบ ขอบังคับใด ๆ อันเปนการยกเวนหลักการวาดวยการคุมครองสิ่งแวดลอมตองไมถ ดถอยลง จะกระทำไดเฉพาะ เพื่อประโยชนสาธารณะ (L’intérêt général) เทานั้น ดังเชนคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ฝรั่งเศส199๑๘ คดีเลขที่ ๔๓๙๑๙๕ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๒๑ (พ.ศ. ๒๕๖๔) ที่ศาลพิพากษาวาการที่ รัฐมนตรีผูรับผิดชอบดานการบินพลเรือนไดออกประกาศอนุญาตใหดำเนินการเที่ยวบินกลางคืน อันเปน การยกเวนขอหามการอนุญาตเที่ยวบินลงจอดเวลากลางคืนที่สนามบิน Beauvais-Tillé ตามที่รัฐมนตรีไดมี การออกประกาศหามไวกอนหนานี้ โดยที่การอนุญาตใหยกเวนขอหามดังกลาว ฝายปกครองไมไดเครงครัดตอ หลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดลอมวาดวยการไมถดถอยลงของการคุมครองสิ่งแวดลอม และ ฝายปกครองก็ไมไดแสดงใหเห็นถึงเหตุผลของการออกประกาศอนุญาตเที่ยวบินรอบกลางคืนที่เปนการยกเวน ประกาศเดิมวาเปนไปเพื่อประโยชนสาธารณะ ดังนั้น ประกาศอนุญาตใหมีเที่ยวบินกลางคืนในสนามบิน Beauvais-Tillé จึงไมชอบดวยกฎหมาย โดยคดีนี้ ศาลปกครองสูงสดุ ไดตรวจสอบความชอบดวยกฎหมายของ ประกาศลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๙ (พ.ศ. ๒๕๖๒) ของรัฐมนตรีผูรับผิดชอบดานการบินพลเรือน โดย พิจารณาความสอดคลองของประกาศดังกลาวกับหลักกฎหมายสิ่งแวดลอมวาดวยการไมถดถอยลงของการ คุมครองสิ่งแวดลอม ซึ่งเปนหลักกฎหมายสิ่งแวดลอมที่บัญญัติไวตามมาตรา L.110-1 ของประมวลกฎหมาย สิ่งแวดลอม ประกาศฉบับที่พิพาทนี้ ใหอำนาจรัฐมนตรีที่รับผิดชอบการบินพลเรือน ยกเวนขอหามตาม ประกาศ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ค.ศ. ๒๐๐๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ที่หามเที่ยวบินกลางคืนในสนามบนิ Beauvais-Tillé โดยประกาศฉบับที่พิพาทใหรฐั มนตรีอนุญาตแกสายการบินที่ดำเนินการเท่ียวบนิ ขนสงผูโดยสารปกติ เปนกรณี ๆ ไป โดยจะตองพิจารณาเรื่องเสียงรบกวนในยามวิกาล สำหรับเที่ยวบินที่มีกำหนดลงจอดระหวางเวลา ๒๑.๐๐ น. ๑๗ ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีเลขที่ ๔๐๔๓๙๑ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๗ เปนคดีแรกที่ ศาลปกครองสูงสุดฝรั่งเศส นำหลักการวาดวยการคุมครองสิ่งแวดลอมตองไมมีลักษณะที่ถดถอยลง มาใชบังคับเพื่อเพิกถอน หลักเกณฑต ามภาคผนวกตอทายมาตรา R. 122-2 ของประมวลกฎหมายส่ิงแวดลอม ทเ่ี กย่ี วกับรายละเอียดโครงการ แผนงาน และการดำเนินการเพื่อประเมินผลกระทบตอสิ่งแวดลอ ม โดยศาลพากษาวาหลักเกณฑต ามภาคผนวกดังกลาว ขัดตอหลักการ ไมถดถอยของการคุมครองสิ่งแวดลอม ที่บัญญัติรับรองไวในมาตรา L. 110-1 ของประมวลกฎหมายสิ่งแวดลอม (ขอมูลจาก http://www.arnaudgossement.com/archive/2017/12/14/principe-de-non-regression-premiere-application- par-le-conse-6008357.html) ๑๘ Conseil d’Etat, n°439195, 9 juillet 2021, l'association de Défense de l'Environnement des Riverains de l'aéroport de Beauvais-Tillé c/ la ministre de la transition écologique et solidaire, chargé des transports.

๙๐ ถึงเวลา ๒๓.๐๐ น. และมีกำหนดการบินขึ้นในวันถัดไปหลังเวลา ๐๕.๐๐ น. สิทธิในการลงจอดในเวลา กลางคืนที่สนามบิน Beauvais-Tillé โดยไมจำกัดจำนวนของกรณียกเวนการหามลงจอด ซึ่งศาลเห็นวา การดำเนินการดังกลาวเปนความบกพรองของฝายปกครองในการควบคุมดูแลการเพิ่มปริมาณการจราจรทาง อากาศในเวลากลางคนื ที่เปน ผลมาจากการอนญุ าตใหย กเวนประกาศทหี่ ามเทยี่ วบนิ กลางคืน และฝายปกครอง ไมไดแสดงเหตุผลที่เพียงพอเพื่อประโยชนสาธารณะในการที่จะอนุญาตเที่ยวบินกลางคืนซึ่งเปนการยกเวน ขอหามตามประกาศฉบับกอนหนานี้ การดำเนินการออกประกาศอนุญาตเที่ยวบินกลางคืนเชนนี้ จึงเปนการ ไมเ คารพตอหลกั การพ้ืนฐานของกฎหมายสง่ิ แวดลอ มที่วา ดว ยการไมถ ดถอยของการคมุ ครองรักษาสง่ิ แวดลอ ม กลา วโดยสรปุ หลักการวาดว ยการคมุ ครองสิ่งแวดลอมตองไมม ลี กั ษณะท่ีถดถอยลงนี้ อาจกลาวอยาง งาย ๆ วาเปนหลักกา วหนาในการปกปองคุมครองสง่ิ แวดลอ ม ทีม่ วี ตั ถปุ ระสงคเ พื่อกำกบั และช้ีนำการทำหนาท่ี ของรัฐ โดยเฉพาะการใชอำนาจในการตรากฎหมายของฝายนิติบัญญัติและการออกระเบียบขอบังคับเกี่ยวกับ สิ่งแวดลอมของฝายบริหาร หนาที่หลักของหลักการน้ีก็คือชี้นำการทำงานเชิงบรรทัดฐานของการใชอำนาจ นิติบัญญัติและการใชอำนาจของฝายบริหารในการออกกฎ รวมทั้งการกำกับดูแลการใชอำนาจรัฐ เพื่อใหหลัก กฎหมายสิ่งแวดลอมอื่น ๆ ทุกประการมีผลอยางแทจริงในทางปฏิบัติ ผลของหลักการนี้คือผูตรากฎหมายและ ผอู อกกฎขอบงั คับตอ งดำเนนิ การศกึ ษาผลกระทบเบื้องตนของมาตรการทางกฎหมายทมี่ ีอยูเดมิ และผลกระทบ ของมาตรการทางกฎหมายที่สรางขึ้นใหม เพื่อใหการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมไมลดนอยถอยลงไปจากเดิม โดยหลักกฎหมายสิ่งแวดลอมที่วาดวยการไมถดถอยลงของการปกปองคุมครองสิ่งแวดลอมนี้ ไมไดมี วัตถุประสงคเพื่อกำหนดความรับผิดชอบของเอกชนและไมมีผลกระทบตอความรับผิดทางแพงหรือทางอาญา ของบุคคล ซึ่งความรับผิดทางสิ่งแวดลอมตอเอกชนนี้เปนหนาที่ของหลักกฎหมายสิ่งแวดลอมประการอื่น คือ หลักผูกอมลพิษเปนผูจาย นอกจากนี้ หลักกฎหมายสิ่งแวดลอมประการนี้ยังกอใหเกิดการเคารพตอ ผลประโยชนสาธารณะประการอื่นดวย ไมเพียงแตยึดติดเครงครัดกับการปกปองสิ่งแวดลอมเทานั้น จึงอาจ กลาวไดวาเปนบทบาทของศาลปกครองที่จะพิจารณาตรวจสอบวาการใชอำนาจตรากฎหมายหรือออกกฎ ขอบังคับเปนไปตามหลักการนี้หรือไม รวมทั้งชั่งน้ำหนักกับการคุมครองประโยชนสาธารณะประการอื่นดวย โดยเฉพาะประโยชนสาธารณะทางเศรษฐกิจ เน่ืองจากหลกั กฎหมายส่งิ แวดลอมประการน้ี เรยี กรอ งใหร ฐั ตองมี การศึกษามาตรการทางกฎหมายที่มีอยูกอนที่ออกมาตรการทางกฎมายขึ้นมาใหม ซึ่งจะทำใหมาตรการทาง กฎหมายมีประสิทธิผลยิ่งขึ้นกวาเดิม ซึ่งประโยชนของหลักกฎหมายสิ่งแวดลอมประการนี้มีสวนชวยทำให กฎหมายสิ่งแวดลอมเขาใจงายและชัดเจนขึ้นดวย ทั้งนี้ หลักกฎหมายสิ่งแวดลอมประการการนี้ไมมีผล โดยตรงที่จะใชเปนเหตุผลกับการหามหรือการยกเลิกการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การอุตสาหกรรมหรือ การสรางนวัตกรรมใหม ๆ จึงไมใชขอควรกังวลวาจะมีผูยกหลักกฎหมายประการนี้ขึ้นมาเปนเหตุผลเพื่อใหมี การยกเลิกโครงการทางเศรษฐกิจ เพราะศาลจะพิจารณาการเคารพตอหลักการนี้ประกอบกับการคุมครอง ประโยชนสาธารณะประการอื่น โดยเฉพาะประโยชนทางเศรษฐกิจดวย และควรกลาวย้ำอีกครั้งวาหลักการ ไมถดถอยของการคุมครองสิ่งแวดลอมน้ีเปนหลักการชี้นำของกฎหมายสิ่งแวดลอมตอการกำหนดมาตรการ ทางกฎหมายของรัฐ และไมไดกำหนดความรับผิดประเภทใหมตอเอกชน กลาวโดยสรุป หลักการวาดวย การคุมครองส่ิงแวดลอมตองไมถ ดถอยลงนี้ เปนหลักทีส่ อดคลอ งกบั ทฤษฎีวงลอแหงการพัฒนา ท่ีศาลยุติธรรม แหงสหภาพยุโรปไดวางหลักไววาการคุมครองสิ่งแวดลอมเปรียบเสมือนวงลอที่หมุนไปขางหนา แตทั้งนี้ ไมมี ทฤษฎีหรอื หลักการคมุ ครองสง่ิ แวดลอ มหลักการใดทมี่ ีผลเปนการปดกน้ั การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

๙๑ บรรณานกุ รม บทความ (ออนไลน) Agathe Van Lang, “ L’hypothèse d’une action en responsabilité contre l’Etat” , RFDA, juillet- août 2019, pp.652-659 Anouchka Didier, Le dommage écologique pur en droit international, Nouvelle édition (en ligne), Genève : Granduate Institute Publications, 2013, สืบคนเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔, จาก http://books.openedition.org/iheid/667 Arnaud Gossement, “ Le principe de non-régression du droit de l’environnement est inscrit dans le code de l’environnement”, สืบคนเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔, จาก http://www. arnaudgossement.com/archive/2016/08/09/le-principe-de-non-regression-du-droit-de- l-environnement-es-5834779.html Arnaud Gossement, “Principe de non-régression : 14 juristes en droit de l’environnement adressent une contribution extérieure au Conseil constitutionnel”, สืบคนเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔, จาก http://www.arnaudgossement.com/archive/2020/11/14/principe- de-non-regression-14-universitaires-adressent-une-c-6276972.html Arnaud Gossement, “ Principe de non régression : l'administration ne peut pas revenir sur un progrès de la protection de l'environnement sans justifier de motifs d'intérêt général (Conseil d'Etat)”, สืบคนเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๔, จาก http://www.arnaudgossement.com/ archive/2021/07/14/principe-de-non-regression-l-administration-ne-peut-pas-reve-6326959.html Bernard Peignot, “ Le principe de non-régression saisi par le droit de l’environnement” , Agriculteurs de France n°227, janvier-févier 2017 Clara Tulasne, “Le principe de non-régression en droit chilien et en droit français”, (2021), สบื คน เม่อื วนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๖๔, จาก https://blogs.parisnanterre.fr/mbde/environnement Marta Torre-Schaub, Les procès climatiques à l’étranger, RFDA, juillet-août 2019, pp.660-667 Michel Prieur, “La non-régression, condition du développement durable”, (2013), สบื คนเม่อื วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔, จาก https://www.cairn.info/revue-vraiment-durable-2013-1- page-179.htm

ภาคท่ีสอง หลักการพนื้ ฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมตามกฎหมายไทย หลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นหลักการท่ีได้รับการยอมรับในระดับสากล ประเทศต่าง ๆ นําหลักการดังกล่าวมาใช้เป็นกรอบในการกําหนดนโยบาย มาตรการและกฎหมายเก่ียวกับการรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการดําเนินนโยบายและมาตรการ และการบังคับใช้กฎหมาย ในภาคน้ีจะศึกษาและวิเคราะห์ต่อไปว่า ประเทศไทยได้นําหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาบัญญัติ รับรองไว้ในกฎหมายหรือไม่ และในลักษณะใด โดยจะศกึ ษาและวิเคราะหก์ ฎหมายดังตอ่ ไปน้ี กฎหมายระหวา่ งประเทศ เก่ยี วกบั ส่งิ แวดล้อมที่มีผลบังคับในประเทศไทย รัฐธรรมนูญของประเทศไทยและกฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม ในกลุ่มกฎหมาย ๔ กลุ่ม ดังน้ี กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบทและชุมชนเมือง และการพลงั งาน รวมท้งั กฎหมายวา่ ด้วยการป้องกนั มลพษิ และการระงับเหตเุ ดือดร้อนรําคาญ จํานวน ๓๓ ฉบบั

๙๓ บทที่ ๗ กฎหมายระหวา่ งประเทศเกย่ี วกับส่ิงแวดลอ้ มทีม่ ีผลบงั คับในประเทศไทย นานาประเทศได้ตระหนักถึงความสําคัญของสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมมือกันผ่านเวทีการประชุม ระหว่างประเทศเพ่ือผลักดันและกําหนดแนวทางการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติได้ริเริ่ม ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมคร้ังแรกในปี ค.ศ. ๑๙๗๒ (พ.ศ. ๒๕๑๕) โดยจัดการประชุม สหประชาชาติว่าด้วยเรื่องส่ิงแวดล้อมของมนุษย์ (UN Conference on Human Environment) หรือ “การประชุม สตอกโฮล์ม (Stockholm Conference)” ข้ึน๑ จากการประชุมดังกล่าว ท่ีประชุมได้รับรองปฏิญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Declaration) ซึ่งกําหนดหลักการทั่วไปที่จะผลักดันและแนะแนวทางการคุ้มครองรักษาและ ส่งเสริมสงิ่ แวดล้อมของมนุษย์๒ และอีก ๒๐ ปี ต่อมา ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๕) องค์การสหประชาชาติ ได้จัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเร่ืองส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา (UN Conference on Environment and Development – UNCED) หรอื “การประชุมส่งิ แวดลอ้ มโลก (Earth Summit)” ข้นึ และทป่ี ระชมุ ได้รับรอง ปฏิญญาริโอว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) ซ่ึงยืนยันหลักการต่าง ๆ ในปฏิญญาสตอกโฮล์ม และวางหลักการท่ัวไปเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมซึ่งพัฒนามาจาก หลักการท่ีวางไว้ในปฏิญญาสตอกโฮล์ม หลักการต่าง ๆ ในปฏิญญาท้ังสองฉบับ ต่อมาได้ถูกพัฒนาเป็นหลักการ พนื้ ฐานของกฎหมายส่ิงแวดลอ้ ม และหลายประเทศได้นําหลักการดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนานโยบาย และกฎหมายด้านส่ิงแวดล้อมในประเทศ เช่น หลักการระวังไว้ก่อน หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หลักการพัฒนา ท่ียั่งยืน นอกจากปฏิญญาดังกล่าวแล้ว ประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงร่วมกันดําเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองและ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมโดยการจัดทําสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity) อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ป่าและพืชป่า ที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (Minamata Convention on Mercury) และกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change)    เน้ือหาบทที่ ๑๐ นี้ จัดทําโดยนางสาวกิติวรรณ ขันติไตรรัตน์ พนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ กลุ่มศึกษากฎหมาย มหาชน ๓ สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง (คณะทํางานโครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบบริหารงานยุติธรรม ทางปกครอง : การศกึ ษาวิเคราะห์กฎหมายท่เี กยี่ วกบั วธิ ีพิจารณาคดีปกครองสงิ่ แวดลอ้ มในระบบกฎหมายไทย) ๑ ‘United Nations Conference on the Human Environment (Stockholm Conference)’ (United Nations) https://sustainabledevelopment.un.org/milestones/humanenvironment accessed 1 May 2021. ๒ Louis B Sohn,‘THE STOCKHOLM DECLARATION ON THE HUMAN ENVIRONMENT’ (UN Environment Programme Document Repository) https://wedocs.unep.org/handle/20.500.11822/28247 accessed 1 May 2021.

๙๔ ปฏิญญาและสนธิสัญญาด้านส่ิงแวดล้อมต่างเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ซ่ึงเป็นระเบียบกฎหมายที่มี อยูใ่ นสังคมระหว่างประเทศ๓ กฎหมายระหว่างประเทศอาจเกิดจากการตกลง เช่น ข้อตกลงท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร หรอื ท่ีทาํ ด้วยวาจา หรอื ท่ีไมไ่ ด้เกิดจากการตกลง เช่น จารีตประเพณรี ะหว่างประเทศ หลักกฎหมายทั่วไป และ อาจมีค่าบังคับเป็นกฎหมายท่ีก่อให้เกิดพันธกรณีผูกพัน เช่น สนธิสัญญาระหว่างประเทศ หรืออาจไม่มีค่าบังคับ เป็นกฎหมายซ่ึงไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีผูกพันหรืออยู่ในขั้นตอนของการก่อตัวหรือการผลึกตัว เป็นกฎเกณฑ์ แบบแผนทย่ี ังไม่มคี า่ บงั คบั เป็นกฎหมาย แต่มสี ถานะของการก่อตวั เป็นกฎหมาย มีลักษณะเป็นแนวปฏิบัติหรือ ประมวลความประพฤติที่ดีต่อกัน๔ หรือเรียกกันว่าเป็นกฎหมายท่ีค่าบังคับอย่างอ่อน (soft law) ซ่ึงยังไม่มีผลบังคับ เป็นกฎหมาย๕ ส่วนใหญ่กฎหมายระหว่างประเทศด้านส่ิงแวดล้อมเกิดจากข้อตกลงระหว่างประเทศ ซ่ึงเป็น การกระทําตั้งแต่สองฝ่ายข้ึนไปเพ่ือก่อให้เกิดความผูกพันตามข้อตกลงระหว่างรัฐ หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะทําข้ึนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา ก่อให้เกิดผล ทางกฎหมายและอยู่ภายใตก้ ฎหมายระหว่างประเทศ๖ เมื่อพิจารณารูปแบบและเน้ือหาของปฏิญญาสตอกโฮล์ม และปฏิญญาริโอว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและ การพัฒนาแล้ว เห็นว่า ปฏิญญาดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ขององค์การสหประชาชาติและ รัฐสมาชิกสหประชาชาติท่ีจะร่วมมือกันสร้างความตระหนักถึงความสําคัญของสิ่งแวดล้อมและแนะแนวทาง การคุ้มครองรักษาและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมโดยการกําหนดหลักการ (Principle) เสนอแนะให้ประเทศต่าง ๆ ยึดถือและปฏิบัติตาม เอกสารดังกล่าวเป็นข้อตกลงท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรท่ีจัดทําขึ้นระหว่างรัฐแต่ไม่ได้มุ่งหมาย ทจ่ี ะก่อให้เกิดพนั ธกรณตี ามกฎหมายระหว่างประเทศ แตใ่ นทางปฏบิ ัติประเทศต่าง ๆ ได้ยึดถือหลักการในปฏิญญา ดังกล่าว ปฏิญญาท้งั สองฉบับจงึ เปน็ กฎหมายระหวา่ งประเทศท่ีมคี ่าบงั คับอย่างอ่อน (Soft Law) ซงึ่ ไมม่ ีคา่ บงั คับ เป็นกฎหมาย (Non-binding) แม้ว่าปฏิญญาดังกล่าวไม่มีผลบังคับทางกฎหมายกับประเทศไทย แต่ประเทศไทย ได้นําหลักการพื้นฐานต่าง ๆ ในปฏิญญาท้ังสองฉบับมากําหนดในนโยบายด้านส่ิงแวดล้อมและกฎหมายต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วกับสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั จะกล่าวในบทต่อไปของรายงานการศกึ ษานี้ ส่วนอนุสัญญาต่าง ๆ เก่ียวกับส่ิงแวดล้อมเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่จัดทําข้ึนระหว่างรัฐ เป็นลายลักษณ์อักษรและอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ จัดว่าเป็นสนธิสัญญาตามมาตรา ๒ วรรค ๑ เอ แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา๗ ซ่ึงเป็นข้อตกลงท่ีก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ในทางกฎหมาย ๓ ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ (เล่ม ๑, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๔, วิญญูชน ๒๕๕๑) ๓๗. ๔ เพ่ิงอ้าง. ๕ เพิ่งอ้าง. ๖ เพงิ่ อ้าง ๖๔ – ๖๕. ๗ Vienna Convention on the Law of Treaties 1969 art 2. “For the purposes of the present Convention: (a) \"Treaty\" means an international agreement concluded between States in written form and governed by international law, whether embodied in a single instrument or in two or more related instruments and whatever its particular designation;…”

๙๕ หากประเทศท่ีให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติสนธิสัญญาไม่ปฏิบัติตามย่อมทําให้เกิดความรับผิดชอบระหว่าง ประเทศ๘ อนุสัญญาดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ประเทศไทยได้ให้ สัตยาบันและภาคยานุวัติสนธิสัญญาเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมหลายฉบับ ประเทศไทยจึงมีพันธกรณีในการปฏิบัติตาม และดําเนินมาตรการท่ีกําหนดในสนธิสัญญาดังกล่าว เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดถือทฤษฎีทวินิยม ซ่ึงเห็นว่า กฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศต่างเป็นกฎหมายแต่อยู่ในต่างระบบกัน แม้กฎหมาย ภายในจะขัดกบั กฎหมายระหวา่ งประเทศ ตอ้ งใชก้ ฎหมายภายในบังคับ๙ ดงั น้นั กฎเกณฑท์ ่ีกําหนดในสนธสิ ัญญา ที่ประเทศไทยให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติจะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายภายในโดยการอนุวัติการกฎเกณฑ์น้ัน เปน็ กฎหมายภายในด้วยการตรา แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ หรือยกเลิกกฎหมายภายใน๑๐ กฎหมายระหว่างประเทศเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมที่มีผลบังคับกับประเทศไทยต่างนําหลักการพื้นฐาน ของกฎหมายส่ิงแวดล้อมในภาค ๑ ของรายงานการศึกษามากําหนดไว้ในบทบัญญัติของกฎหมาย เน่ืองจาก กฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันและภาคยานุวัติมีหลายฉบับ ในบทน้ีจึงจะขอกล่าว ถึงสนธิสัญญาฉบบั ทมี่ คี วามสาํ คญั เทา่ นน้ั โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี ๗.๑ สนธสิ ญั ญาเกยี่ วกบั การค้มุ ครองสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ ๗.๑.๑ อนสุ ัญญาว่าดว้ ยการคา้ ระหว่างประเทศซึ่งชนดิ สัตว์ปา่ และพชื ปา่ ท่ีใกลส้ ญู พนั ธ์ุ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora -CITES) อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีใกล้สูญพันธุ์หรือที่เรียกว่า “อนุสัญญาวอชิงตัน” มีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีใกล้สูญพันธุ์หรือถูกคุกคาม โดยการสร้างเครือข่ายในประเทศต่าง ๆ เพ่ือควบคุมการค้าสัตว์ป่า พืชป่าและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เม่ือวันที่ ๒๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖) อนุสัญญาฉบับนี้นําหลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาบัญญัติ ดังนี้ อารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ กล่าวถึงความสําคัญของสัตว์ป่าและพืชป่าว่าเป็นของมีค่าท่ีไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนในระบบธรรมชาติของโลก และต้องได้รับการคุ้มครองเพ่ือคนในรุ่นนี้และรุ่นต่อไป และประชาชนและประเทศต่าง ๆ เป็นและจะเป็น ผู้คุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีดีที่สุด อันเป็นแนวคิดตามหลักความเป็นสากลของสิ่งแวดล้อม นอกจากน้ี อนสุ ัญญาฯ ได้นําหลักการว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะที่ถดถอยลงมากําหนดในข้อ ๒ แห่ง อนุสัญญาฯ ซ่ึงกําหนดให้การค้าชนิดพันธุ์ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อความอยู่รอด ของชนิดพันธ์ุ และในข้อ ๘ แห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงกําหนดให้รัฐภาคีกําหนดมาตรการท่ีเหมาะสมในการบังคับ ใช้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญาฯ เพื่อป้องกันการค้าตัวอย่างพันธุ์ที่ฝ่าฝืนอนุสัญญาฯ โดยกําหนดโทษแก่ ผู้ประกอบการค้าตัวอย่างพันธุ์และ/หรือมีตัวอย่างพันธ์ุในครอบครอง และกําหนดให้มีการริบหรือส่งกลับ ๘ ประสทิ ธ์ิ เอกบุตร (เชงิ อรรถ ๓) ๗๓. ๙ เพงิ่ อ้าง ๕๒. ๑๐ เพิง่ อา้ ง ๕๓.

๙๖ ไปประเทศซึ่งส่งออกตวั อย่างพนั ธ์ุ ในกรณีท่ปี ระเทศภาคเี ห็นว่าเปน็ การจาํ เป็น ประเทศภาคีอาจกําหนดวิธีการ ชดใช้ค่าใช้จา่ ยท่ีเกิดขน้ึ จากการริบตัวอยา่ งพันธ์ทุ ี่ทําการค้าขายโดยฝา่ ฝนื มาตรการที่กําหนด ๗.๑.๒ อนุสัญญาวา่ ดว้ ยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity - CBD) อนุสญั ญาว่าดว้ ยความหลากหลายทางชวี ภาพมวี ตั ถุประสงค์ในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ระบบนิเวศ ชนิดพันธ์ุและพันธุกรรมอย่างย่ังยืน ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖) อนุสัญญาฉบับนี้ นําหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมมาบัญญัติ ดังนี้ อารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ ยืนยันว่าการอนุรักษ์ ความหลากหลายทางชีวภาพเปน็ ความห่วงใยร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ตามหลักความเป็นสากลของส่ิงแวดล้อม และในข้อ ๑๔ (เอ) ได้นําหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากําหนดไว้ โดยให้รัฐภาคี วางระเบยี บวิธีการประเมินผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ท้ังน้ี โดยคํานึงถึงการหลีกเลี่ยงหรือ การลดผลนัน้ ๆ และยอมใหส้ าธารณชนมีส่วนร่วมในวิธกี ารดงั กลา่ วในกรณที เี่ หมาะสม นอกจากน้ี อนุสัญญาฯ ได้กล่าวถึงหลักการพัฒนาท่ียั่งยืนไว้ในอารัมภบทว่ารัฐมีความรับผิดชอบ ต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและต่อการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน การพัฒนาทางสังคม และเศรษฐกิจและการกําจัดความยากจนเป็นส่ิงสําคัญอันดับแรกและอยู่เหนือส่ิงอื่นใดของประเทศกําลังพัฒนา และการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืนต้องเป็นไปเพ่ือผลประโยชน์ของคน รุ่นปัจจุบันและอนาคต อนุสัญญาฯ ยังได้กล่าวถึงหลักการบูรณาการทางสิ่งแวดล้อมในข้อ ๑๑ ซ่ึงกําหนดให้ รฐั ภาคีนํามาตรการที่เหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและสงั คมมาใชส้ รา้ งแรงจูงใจในการอนุรกั ษแ์ ละการใชป้ ระโยชน์ องค์ประกอบของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน และในข้อ ๑๔ (บี) ซ่ึงกําหนดให้รัฐภาคีจัดให้มีวิธีการ ท่ีจะทําให้ม่ันใจว่าผลทางส่ิงแวดล้อมของแผนการและนโยบายที่อาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อความหลากหลาย ทางชีวภาพจะได้รับการพิจารณา อีกทั้งกล่าวถึงหลักการระวังไว้ก่อนในอารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ ที่เห็นว่า ในกรณีท่ีมีการคุกคามจากการลดลงหรือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสําคัญ ไม่ควรอ้าง การขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีสมบูรณ์เป็นเหตุผลในการผัดผ่อนการดําเนินมาตรการเพื่อหลีกเล่ียงหรือ ลดการคุกคามน้ัน และอนุสัญญาฯ นําหลักการว่าด้วยการไม่เส่ือมถอยของสิ่งแวดล้อมมากําหนดไว้ในข้อ ๘ (เค) แห่งอนุสัญญาฯ ซึ่งกําหนดให้รัฐภาคีพัฒนาและรักษากฎหมายและ/หรือกฎระเบียบเพ่ือคุ้มครองชนิดพันธุ์ และประชากรท่ถี กู คุกคาม ๗.๒ สนธสิ ญั ญาเกยี่ วกับการคมุ้ ครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม อนสุ ัญญาว่าดว้ ยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่างประเทศในการคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติซึ่งเป็นมรดกของมนุษยชาติ ประเทศไทยไดเ้ ขา้ ร่วมเปน็ ภาคีฯ เมอื่ วนั ที่ ๑๗ ธนั วาคม ค.ศ. ๑๙๘๗ (พ.ศ. ๒๕๓๐) อนุสัญญาฉบบั น้ี นําหลกั การ

๙๗ พ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมมาบัญญัติ ดังน้ี อนุสัญญาฯ กล่าวถึงหลักความเป็นสากลของส่ิงแวดล้อม ในอารัมภบทว่าส่วนต่าง ๆ ของมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติเป็นประโยชน์ท่ีสําคัญ จึงต้อง ได้รับการอนุรักษ์ในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของมวลมนุษยชาติ และ ประชาคมระหว่างประเทศมีหน้าที่ร่วมมือกันเพ่ือคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ท่ีมีคุณค่าท่ีสําคัญในระดับสากลจากภัยอันตรายใหม่ท่ีกําลังคุกคามมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ และนาํ หลกั การวา่ ด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะที่ถดถอยลงมากําหนดไว้ในข้อ ๕ (ดี) แห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงกําหนดให้รัฐภาคีกําหนดมาตรการด้านกฎหมายที่เหมาะสมในการระบุรายละเอียด การคุ้มครอง การอนุรักษ์ การนําเสนอ และการฟื้นฟูมรดกทางวฒั นธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ๗.๓ สนธสิ ญั ญาเกี่ยวกับการป้องกันมลพษิ และการระงบั เหตเุ ดือดร้อนราํ คาญ ๗.๓.๑ อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคล่ือนย้ายข้ามแดนและการกําจัดซ่ึงของเสียอันตราย (Basel Convention on the Control of Transboundary Movements of Hazardous Wastes and Their Disposal) อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคล่ือนย้ายข้ามแดนและการกําจัดซ่ึงของเสียอันตราย มีวัตถุประสงค์ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายของเสียข้ามประเทศ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็น ภาคีอนุสัญญาฯ เม่ือวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๗ (พ.ศ. ๒๕๔๐) อนุสัญญาฉบับน้ีนําหลักการพ้ืนฐาน ของกฎหมายสิ่งแวดลอ้ มมาบัญญตั ิ ดงั นี้ อารมั ภบทแห่งอนุสญั ญาฯ บญั ญัติว่ารัฐภาคีต้องคํานึงถึงหลักการต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องในปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ รวมถึงข้อเสนอแนะ ปฏิญญา เอกสารและกฎระเบียบท่ีออกตามระบบของสหประชาชาติ นอกจากน้ี อนุสัญญาฯ ได้วางหลักการว่าด้วย การไม่เสื่อมถอยของสิ่งแวดล้อมมาไว้ในข้อ ๔ วรรคสี่ แห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงกําหนดให้รัฐภาคีกําหนดมาตรการ ทางกฎหมายท่ีเหมาะสมในการบังคับใช้อนุสัญญาฯ รวมถึงมาตรการป้องกันและลงโทษการกระทําท่ีฝ่าฝืน อนุสัญญาฯ และในข้อ ๙ วรรคห้า ซึ่งกําหนดให้รัฐภาคีออกกฎหมายภายในท่ีเหมาะสมในการป้องกันและลงโทษ การขนสง่ ที่ผดิ กฎหมาย ๗.๓.๒ อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants) อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัย ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน โดยการลดและเลิกการผลิต การใช้และการปลดปล่อย สารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันท่ี ๓๑ มกราคม ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๘) อนุสัญญาฉบับน้ีนําหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมมาบัญญัติ ดังน้ี ในอารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ บัญญัติว่ารัฐภาคีต้องคํานึงถึงหลักการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องในปฏิญญาริโอว่าด้วย สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา แผนการพัฒนาและแผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) และในข้อ ๗ และข้อ ๑๐

๙๘ แห่งอนุสัญญาฯ กําหนดให้รัฐภาคีต้องปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียภายในประเทศในการพัฒนา ดําเนินการ และปรับปรุงแผนการดําเนินการ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสารมลพิษท่ีตกค้าง ยาวนานและผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนและในการพฒั นาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม รวมถึงให้โอกาสในการเสนอข้อมูลระดับชาติเกี่ยวกับการบังคับใช้อนุสัญญาฯ และรัฐภาคีจะต้องให้ประชาชน เข้าถึงข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ เก่ียวกับสารมลพิษท่ีตกค้างยาวนาน ผลกระทบทางสุขภาพและส่ิงแวดล้อม และทางเลอื กอ่นื และตอ้ งปรบั ปรงุ ข้อมูลใหเ้ ป็นปจั จุบัน ภายใตห้ ลกั การมสี ว่ นร่วมของประชาชนเกยี่ วกับส่ิงแวดลอ้ ม นอกจากน้ี อนสุ ัญญาฯ ไดว้ างหลักการพัฒนาที่ยง่ั ยนื และหลักบรู ณาการทางสงิ่ แวดล้อมไวใ้ นอารัมภบท แห่งอนุสัญญาฯ ซึ่งยืนยันหลักการที่ ๑๖ แห่งปฏิญญาริโอฯ ที่แนะนําให้หน่วยงานรัฐส่งเสริมการผลักต้นทุน ทางส่ิงแวดล้อมให้แก่ผู้ก่อผลกระทบและการใช้เคร่ืองมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยพิจารณาวิธีการที่ผู้ก่อมลพิษ จะต้องจ่ายเพ่ือปล่อยมลพิษ ซ่ึงจะต้องคํานึงถึงประโยชน์สาธารณะและจะไม่เป็นการบิดเบือนการค้าและ การลงทุนระหว่างประเทศ และในข้อ ๗ แห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงแนะนําให้รัฐภาคีใช้และกําหนดวิธีการบูรณาการ แผนการดําเนินการเก่ียวกับสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานกับยุทธศาสตร์การพัฒนาท่ีย่ังยืน อนุสัญญาฯ ยังได้ นาํ หลกั ผ้กู อ่ มลพษิ เปน็ ผจู้ า่ ยมากําหนดในอารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงแนะนําให้รัฐภาคีกําหนดให้ผู้ก่อมลพิษ เป็นผู้รับผิดจากการปล่อยมลพิษ โดยคํานึงถึงประโยชน์สาธารณะและต้องไม่บิดเบือนการค้าและการลงทุน ระหว่างประเทศตามหลักการท่ี ๑๖ แห่งปฏิญญาริโอฯ และในข้อ ๑ แห่งอนุสัญญาฯ ซ่ึงกําหนดว่า ในการคุ้มครอง สขุ ภาพของมนุษย์และสง่ิ แวดลอ้ มจากสารมลพษิ ทต่ี กค้างยาวนานต้องคํานงึ ถึงแนวทางการระวังไวก้ ่อน ตามหลักการ ที่ ๑๕ แห่งปฏิญญาริโอฯ และในข้อ ๓ แห่งอนุสัญญาฯ กําหนดให้รัฐภาคีกําหนดมาตรการทางปกครองหรือ ทางกฎหมายที่จําเป็นเพื่อลดการผลิตหรือการใช้ รวมถึงการนําเข้าและส่งออกสารเคมีที่ระบุในบัญชีเอแนบท้าย อนสุ ญั ญาฯ และกําหนดห้ามการผลิตและใชส้ ารเคมีที่ระบุในบัญชบี ีแนบท้าย ตามหลักการว่าด้วยการคุ้มครอง สง่ิ แวดล้อมตอ้ งไม่มลี ักษณะทถ่ี ดถอยลง ๗.๓.๓ อนสุ ญั ญามนิ ามาตะวา่ ด้วยปรอท (Minamata Convention on Mercury) อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทมีวัตถุประสงค์ในการควบคุม ลดและเลิกการใช้ การปลดปล่อยและ การปล่อยสารปรอทสู่บรรยากาศ แหล่งน้ําและดิน จากกิจกรรมของมนุษย์ให้เหลือปริมาณท่ีน้อยที่สุด จนไม่อาจ กอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สุขภาพของมนษุ ยแ์ ละส่งิ แวดล้อม ประเทศไทยได้ใหก้ ารภาคยานวุ ัตอิ นสุ ัญญาฯ เม่ือวันที่ ๒๐ มิถนุ ายน ค.ศ. ๒๐๑๗ (พ.ศ. ๒๕๖๐) อนุสญั ญาฉบบั นนี้ าํ หลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมมาบัญญัติ ดังนี้ ในอารัมภบทแห่งอนุสัญญาฯ ได้บัญญัติว่ารัฐภาคีจะคํานึงถึงหลักการในปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และการพัฒนา และอนุสัญญาฯ ได้นําหลักการว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะที่ถดถอยลง มากําหนดไว้ในข้อ ๔, ข้อ ๕, ข้อ ๗ และข้อ ๙-๑๑ โดยกําหนดให้รัฐภาคีดําเนินมาตรการหรือยุทธศาสตร์ เพ่ือลดการใช้ปรอทในผลิตภัณฑ์ที่ระบุในภาคผนวกเอ จํากัดการใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอทในกระบวนการ ตามท่ีระบุในภาคผนวกบี แก้ไขการปลดปล่อยและการปล่อยปรอท หรือสารประกอบปรอทจากสถานประกอบการ ลดและเลิกการใช้ปรอทและสารประกอบปรอท และการปลดปล่อยและการปล่อยปรอทสู่ส่ิงแวดล้อมจากการ ทาํ เหมืองแรท่ องคาํ พ้ืนฐานและขนาดเลก็ รวมถึงกระบวนการทเี่ กย่ี วขอ้ ง และลดการปล่อยปรอทหรอื สารประกอบ

๙๙ ปรอทจากแหล่งกําเนิด ตลอดจนกําหนดมาตรการเพ่ือประกันว่าการกักเก็บช่ัวคราวของปรอทและสารประกอบ ปรอทเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรการจัดการของเสียปรอทอย่างเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม กําหนดให้ของเสีย ได้รับการคืนสภาพ การแปรสภาพนํากลับมาใช้ใหม่ การฟ้ืนฟูสภาพหรือการใช้ซํ้าโดยตรงและไม่ถูกขนข้ามพรมแดน ระหว่างประเทศ นอกจากน้ี ข้อ ๑๘ แห่งอนุสัญญาฯ กําหนดให้รัฐภาคีส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการเผยแพร่ ขอ้ มลู แก่ประชาชนเกยี่ วกับผลกระทบตอ่ สุขภาพและส่ิงแวดลอ้ มของปรอทและสารประกอบปรอท ทางเลือกอ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่ปรอทและสารประกอบปรอท ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคนิค เศรษฐศาสตร์และกฎหมายเก่ียวกับ ปรอทและสารประกอบปรอท รวมถงึ ขอ้ มลู ทางพิษวทิ ยา ระบบนเิ วศและความปลอดภัย และข้อมูลอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง ตามหลกั การมสี ่วนรว่ มของประชาชนเกี่ยวกับสงิ่ แวดลอ้ ม เม่อื พจิ ารณาอนสุ ัญญาขา้ งตน้ ซึ่งเปน็ กฎหมายระหวา่ งประเทศเกย่ี วกบั สง่ิ แวดลอ้ มที่บังคับในประเทศไทย แลว้ เห็นวา่ อนสุ ัญญาหลายฉบับได้นําหลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมซึ่งส่วนใหญ่มีที่มาจากปฏิญญา สตอกโฮลม์ และปริญญาริโอวา่ ด้วยการพัฒนามาบญั ญัตไิ ว้ในอารัมภบทของอนสุ ัญญาฯ เพื่อให้รัฐภาคีคํานึงถึง หลักการดังกล่าวในการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาฯ ท่ีมุ่งคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากน้ี หลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมปรากฏอยู่ในบทบัญญัติข้อต่าง ๆ แห่งอนุสัญญาซึ่งกําหนดพันธกรณี ใหร้ ฐั ภาคแี หง่ อนสุ ญั ญาตอ้ งดําเนนิ การ ในระบบกฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศไม่มีผลบังคับเป็นกฎหมายภายใน แม้ว่ากฎหมายระหว่าง ประเทศนั้นจะมีผลบังคับกับประเทศไทยแล้วก็ตาม ศาลไม่สามารถนํากฎหมายระหว่างประเทศมาวินิจฉัย ประเด็นพิพาทแห่งคดีเพ่ือพิจารณาพิพากษาคดีได้ ฝ่ายบริหารจะต้องอนุวัติการกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายภายในก่อน โดยการเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติตราหรือแก้ไขเพ่ิมเติม หรือให้ฝ่ายบริหารออกหรือแก้ไข เพม่ิ เติมกฎหมายลําดับรอง เพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศน้ัน เช่น การตราพระราชบัญญัติ อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒๑๑ โดยยกเลิกพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ การเสนอร่าง พระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. .... เพ่ืออนุวัติการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ๑๒ และการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เร่ือง การกําหนดชนิดสัตว์ป่า ซากของ สัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนําเข้าหรือส่งออก๑๓ ซ่ึงปรับปรุงบัญชีชนิดสัตว์ป่าและ ซากของสัตว์ป่าชนิดท่ีต้องได้รับใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นําเข้าหรือส่งออก เพื่ออนุวัติการอนุสัญญาว่าด้วย ๑๑ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๓๖ ตอนท่ี ๗๑ ก หน้า ๑๔๕ ลงวันท่ี ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒) ๑๒ ทศวิณห์ุ เกียรติทัตต, ‘กฎหมายนา่ รู้ โดยสํานักกฎหมาย : กฎหมายว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย’ (๒๕๖๓) สารวุฒิสภา ๒๕ <https://www.senate.go.th/assets/portals/93/fileups/253/files/article/Ssenate/1 63-1.pdf> สบื คน้ เมอ่ื ๑ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔. ๑๓ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เร่ือง การกําหนดชนิดสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า และ ผลิตภัณฑ์ท่ีทําจากซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนําเข้าหรือส่งออก (ราชกิจนุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๑๑๒ ง หน้า ๔ ลงวันท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐)

๑๐๐ การคา้ ระหวา่ งประเทศซง่ึ ชนิดสัตวป์ ่าและพืชปา่ ที่ใกล้สญู พนั ธุ์ ส่วนหลักการต่าง ๆ ทีว่ างไว้ในปฏิญญาระหว่าง ประเทศเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ปฏิญญาสตอกโฮล์ม ปฏิญญาริโอว่าด้วยการพัฒนา เป็นกฎหมายระหว่าง ประเทศท่ีไม่มีค่าบังคับ แต่เป็นการกําหนดหลักการคุ้มครองและรักษาส่ิงแวดล้อมร่วมกันระหว่างประเทศ เท่านั้น แม้ประเทศไทยไม่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้ในปฏิญญาดังกล่าว แต่ประเทศไทย ได้นําหลักการต่างๆ ในปฏิญญาทั้งสองฉบับ เช่น หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน หลักการพัฒนาท่ียั่งยืน หลักการปอ้ งกันลว่ งหน้า หลักการระวังไว้ก่อน หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มากําหนดไว้ในนโยบายและแผน ของประเทศ เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซ่ึงกําหนดยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างเติบโตบนคุณภาพชีวิต ท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม เพ่ือบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน รวมถึงกฎหมายภายในที่เกี่ยวกับส่ิงแวดล้อม ฉบับต่าง ๆ ดงั จะกล่าวในบทตอ่ ไป ประเทศไทยไม่ได้นําหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาบัญญัติไว้ในกฎหมายอย่างชัดแจ้ง อย่างเช่นประเทศสวีเดนท่ีวางหลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้ในประมวลกฎหมายสิ่งแวดล้อม โดยในหมวด ๒ ไดก้ าํ หนดหลกั เกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณา (General Rules of Consideration) เช่น หลักภาระ การพิสูจน์ หลักการระวังไว้ก่อนและเทคโนโลยีท่ีน่าจะดีท่ีสุด (Best Possible Technology) ซึ่งจะต้องนําไปใช้ กับการดําเนินการหรือมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ประมวลกฎหมาย เช่น การก่อสร้างอาคารหรือสิ่งอํานวย ความสะดวก การดําเนินกิจกรรมท่ีเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เม่ือกฎหมายไทยไม่ได้บัญญัติรับรองหลักการ พ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมไว้ในกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เห็นว่า ศาลไม่สามารถนําหลักการพ้ืนฐานของ กฎหมายสง่ิ แวดล้อมมาใชว้ นิ ิจฉัยประเด็นพพิ าทในคดไี ดโ้ ดยตรง แตส่ ามารถอ้างองิ หลกั พื้นฐานเก่ียวกับสง่ิ แวดล้อม ซึ่งวางไว้ในบทบัญญัติของกฎหมายฉบับต่าง ๆ ได้ อย่างเช่นคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๙๒๑/๒๕๖๐๑๔ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี) จะต้องออกออกประกาศให้ท้องท่ี เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะปรากฏข้อเท็จจริงว่ามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหนัก ส่วนมากเป็นสารเคมีหรือโลหะหนักหรือก๊าซพิษ หากไม่ควบคุมดูแลอย่างจริงจังอาจก่อให้เกิดผลเสียหาย ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนหรือคุณภาพส่ิงแวดล้อม ตามหลักการป้องกันล่วงหน้าในข้อ ๑๕ ของปฏิญญา รโิ อว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาฯ ๑๔ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๙๒๑/๒๕๖๐.

๑๐๑ บรรณานกุ รม หนังสือ ภาษาไทย ประสทิ ธ์ิ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ (เล่ม ๑, พมิ พค์ ร้ังที่ ๔, วญิ ญชู น ๒๕๕๑) เอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ ภาษาไทย ทศวิณห์ุ เกียรติทัตต, ‘กฎหมายน่ารู้ โดยสํานักกฎหมาย : กฎหมายว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย’ (๒๕๖๓) สารวุฒิสภา ๒๕ <https://www.senate.go.th/assets/portals/93/fileups/253/files/ article/Ssenate/1_63-1.pdf> เอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ ภาษาต่างประเทศ ‘United Nations Conference on the Human Environment (Stockholm Conference)’ (United Nations) https://sustainabledevelopment.un.org/milestones/humanenvironment accessed v1 May 2021. Louis B Sohn,‘THE STOCKHOLM DECLARATION ON THE HUMAN ENVIRONMENT’ (UN Environment Programme Document Repository) <https://wedocs.unep.org/handle/20.500.11822/28247> accessed 1 May 2021.

บทท่ี ๘ หลกั การพน้ื ฐานของกฎหมายสิง่ แวดลอ้ มตามรฐั ธรรมนญู ไทย นอกจากความผูกพันในการค้มุ ครองส่ิงแวดล้อมตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี และมีพันธสัญญาต้องดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ ๗ แล้ว ในระดับกฎหมายภายใน ประเทศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถือเป็นแม่บทที่บัญญัติหลักการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมไว้ นับตั้งแต่ รัฐธรรมนญู ฉบับปี ๒๕๑๗ ปี ๒๕๒๑ ปี ๒๕๓๔ ปี ๒๕๔๐ และปี ๒๕๕๐ จนถงึ รฐั ธรรมนญู ฉบับปจั จุบนั ปี ๒๕๖๐ ท่ีได้บัญญัติให้การปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องดําเนินการเร่งด่วน และให้เห็นผลเป็น รปู ธรรมชัดเจน สาํ หรบั บทน้ี จะไดศ้ กึ ษาแนวคดิ และความพยายามในการทาํ ใหห้ ลักการพน้ื ฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อม ท่ีกําเนิดในลักษณะเป็นหลักการสากลระหว่างประเทศได้รับการบัญญัติรับรองคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญของ ประเทศไทย รวมท้ังศึกษารายละเอียดของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทม่ี เี นอ้ื หาเกย่ี วกับหลักกฎหมายสง่ิ แวดล้อม (สารบัญญตั ิ) โดยเรม่ิ จาก ๘.๑ แนวคิด (สากล) ในการทําให้หลักการ พื้นฐานของกฎหมายสิง่ แวดลอ้ มมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ต่อด้วยการมิติทางการเมือง อันเปน็ นิตนิ โยบายทางสงิ่ แวดล้อมของประเทศไทย ในหวั ข้อ ๘.๒ สาระสําคัญของการปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อม ตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เพอื่ นํามาสมู่ ิตทิ างกฎหมายรัฐธรรมนูญในหัวข้อ ๘.๓ หลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมตามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วยหลักการพื้นฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เก่ียวกับสิ่งแวดล้อม หลักการพัฒนาที่ย่ังยืนและหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อม หลักการป้องกันล่วงหน้าและ หลักการระวังไว้ก่อน หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และหลักการว่าด้วยการไม่เสื่อมถอยของส่ิงแวดล้อม ดังรายละเอียด ตอ่ ไปนี้ ๘.๑ แนวคิดในการทําใหห้ ลกั การพน้ื ฐานของกฎหมายสงิ่ แวดล้อมมคี ่าบังคับในระดบั รฐั ธรรมนูญ ก่อนที่จะพิจารณาเน้ือหาของหลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญไทย สมควรกล่าวไว้ เป็นเบ้ืองต้นว่า เป็นท่ีประจักษ์ชัดว่าจากเวทีความร่วมมือด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างย่ิง นับแต่ปี ค.ศ. ๑๙๗๒ (พ.ศ. ๒๕๑๔) ที่มีการจัดประชุมส่ิงแวดล้อมโลก ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ได้ให้กําเนิดพันธะสัญญาระหว่างประเทศ อันได้แก่ ปฏิญญาสตอกโฮล์ม ค.ศ. ๑๙๗๒ และตามมาด้วยปฏิญญาริโอ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) รวมท้ังการสรา้ งความผูกพนั ตามกฎหมาย ของกลุ่มประเทศระดับภูมิภาค โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ท่ีมีการจัดทําอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครอง    เนื้อหาบทท่ี ๘ นี้ จัดทําโดยนางสาวอภิญญา แก้วกําเหนิด พนักงานคดีปกครองชํานาญการพิเศษ กลุ่มสนับสนุน วิชาการคดีปกครอง สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง (หัวหน้าคณะทํางานโครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบบริหาร งานยุตธิ รรมทางปกครอง : การศึกษาวิเคราะห์กฎหมายที่เก่ียวกับวธิ พี จิ ารณาคดีปกครองสง่ิ แวดลอ้ มในระบบกฎหมายไทย)

๑๐๓ สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน นํามาสู่แนวคิดทางกฎหมายท่ีสําคัญประการหน่ึงในระดับกฎหมายภายใน ประเทศของแต่ละประเทศ น่ันคือ แนวคิดในการทําให้หลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมซ่ึงกําเนิดและ พัฒนาข้ึนจากประชาคมกฎหมายในระดับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายระดับภูมิภาค (ยุโรป) ได้รับการ รับรองคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ (Constitutionalize Environmental Law/Constitutionnaliser le droit de l’environnement) อาจเรยี กได้วา่ เปน็ “กฎหมายรฐั ธรรมนูญสิง่ แวดล้อม” ที่ส่งผลให้หลักการพ้ืนฐาน ของกฎหมายส่ิงแวดล้อมทั้งหลายที่บัญญัติรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญมีค่าบังคับทางกฎหมายในระดับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซ่ึงกระบวนการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งแวดล้อมเช่นว่าน้ีมีแนวคิดสนับสนุนที่สําคัญ คือแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม ดังจะได้กล่าวในหัวข้อ ๘.๑.๑ ผสานกับบทบาทและอํานาจหน้าที่ขององค์กรตุลาการ รฐั ธรรมนูญในการพฒั นากฎหมายรัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อม ในหวั ขอ้ ๘.๑.๒ ดงั นี้ ๘.๑.๑ แนวคิดรัฐธรรมนูญนยิ มและกฎหมายรัฐธรรมนูญสง่ิ แวดลอ้ ม แนวคดิ ในการทาํ ให้หลกั การพืน้ ฐานของกฎหมายสงิ่ แวดลอ้ ม ซง่ึ กาํ เนิดและพัฒนาข้ึนจากประชาคมกฎหมาย ในระดับกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับทั่วโลกและกฎหมายระดับภูมิภาค (ยุโรป) ได้รับการรับรองคุ้มครอง ไวใ้ นรัฐธรรมนูญของแตล่ ะประเทศ หรือเรียกว่ามีสถานะเป็น “กฎหมายรัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อม” นี้ เป็นส่วนหน่ึง ของกระแสแนวความคดิ วา่ ดว้ ยรฐั ธรรมนูญนิยม ทใี่ หค้ วามสาํ คญั และความมคี ุณค่าสงู สดุ ของรัฐธรรมนญู โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่งรัฐธรรมนญู ลายลกั ษณ์อักษร โดยแนวคดิ วา่ ด้วยรัฐธรรมนญู นยิ มเปน็ ทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีความสําคัญ เช่นเดยี วกับหลักนิติรัฐ หลักประชาธิปไตยและทฤษฎรี ฐั ธรรมนูญประการอนื่ ๑ หลกั การสาํ คญั ของแนวคดิ วา่ ดว้ ยรัฐธรรมนูญนยิ ม๒ กค็ อื เป็นแนวคิดที่ทําให้เร่ืองทางการเมืองหรือนโยบาย แหง่ รฐั มคี ่าบังคับทางกฎหมายโดยผ่านกระบวนการทางกฎหมาย (Le processus de juridicisation de la politique) อกี นยั หน่ึงคอื รัฐธรรมนูญนิยมเป็นแนวความคิดและเทคนิคในการใช้กฎหมายเป็นเคร่ืองมือในการกําหนดขอบเขต และกฎเกณฑ์ทางอาํ นาจทางการเมืองและนโยบายการเมืองแห่งรัฐ (Des idéaux et des techniques de limitations juridiques du pouvoir politique) เป็นข้อความคิดท่ียึดหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ มีสถานะสูงกว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายทุกประเภทในสังคม และแน่นอนว่าเป็นกระบวนการทางกฎหมายภายใต้ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ท้ังนี้เพ่ือให้เรื่องท่ีบัญญัติหรือรับรองคุณค่าในระดับรัฐธรรมนูญ ได้รับการคุ้มครองและบังคับใช้ให้เกิดผลสูงสุด นํามาสู่แนวคิดความจําเป็นในการจัดตั้งองค์กรข้ึนมาเพ่ือดูแลปกป้อง ความเปน็ กฎหมายสูงสดุ ของรฐั ธรรมนูญ น่ันคือ การสร้างกระบวนการยุติธรรมทางรัฐธรรมนูญและองค์กรตุลาการ รัฐธรรมนญู   ๑ คําว่า “รัฐธรรมนูญนิยม” เป็นคําท่ีกําหนดข้ึนโดยนักวิชาการสายประวัติศาสตร์และปรัชญาการเมือง ในช่วงครึ่งแรก ของศตวรรษที่ ๒๐ ซ่ึงเป็นช่วงเดียวกับท่ีมีแนวคิดเก่ียวกับ “หลักนิติรัฐ” ใน Mauro Barberis, “Idéologies de la constitution – Hustoire du constitutionnalisme”, dans Traité international de droit constitutionnel, หน้า ๑๑๖ - ๑๑๗ รัฐธรรมนูญนิยม มีความหมายหลายนัย คาํ อธบิ ายในที่นเี้ ปน็ นัยหนง่ึ ของรฐั ธรรมนูญนิยม (หมายเหตุจากผู้แปล) ๒ เพง่ิ อ้าง, หนา้ ๑๑๔-๑๑๕

๑๐๔ จากกระแสความร่วมมือทางกฎหมายระดับโลกและระดับภูมิภาคของกลุ่มประเทศในทวีปเดียวกัน ในการปกป้องคุ้มครองส่ิงแวดล้อม นํามาสู่กระบวนการทําให้การคุ้มครองส่ิงแวดล้อมมีสถานะเป็นกฎหมาย ภายในประเทศของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการบัญญัติหลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้ ในรัฐธรรมนูญ ดังที่ได้เห็นตัวอย่างจากรัฐธรรมนูญของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างย่ิงรัฐธรรมนูญของ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ท่ีได้มีการผนวกกฎบตั รสิง่ แวดลอ้ ม (La Charte de l’environnement) เขา้ เป็นส่วนหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ โดยท่ีในทางรูปแบบแล้ว กฎบัตรสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงกฎหมายที่ตราข้ึนโดยฝ่ายนิติบัญญัติ แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้วินิจฉัยว่ากฎบัตรน้ีมีค่าบังคับเป็นรัฐธรรมนูญและเป็นส่วนหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝร่ังเศส กฎบัตรสิ่งแวดล้อมของฝร่ังเศสถือเป็นแม่บทของกฎหมายพื้นฐาน ว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมท่ีมีค่าบังคับในระดับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยเนื้อหาของกฎบัตรสิ่งแวดล้อม ฝรั่งเศสนอกจากจะได้รับอิทธิพลจากกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของสหภาพยุโรปแล้ว ในทาง กลบั กนั หลายหลกั การถือเปน็ นวตั กรรมใหมใ่ นทางกฎหมายสง่ิ แวดลอ้ มที่กลายเปน็ ตน้ แบบใหแ้ ก่ประชาคมโลก และประชาคมยุโรปด้วย โดยเฉพาะในเร่ืองของการทําให้หลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมมีสถานะเป็นกฎหมาย รัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อม ดังที่อดีตประธานาธิบดีของฝร่ังเศส ฌ้าค ชีรัค ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการตรา กฎบัตรว่าดว้ ยสิ่งแวดล้อมไว้ว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการรับรองสถานะของสิทธิในส่ิงแวดล้อมว่ามีสถานะ เป็นส่วนหน่ึงของ “สิทธิและเสรีภาพท่ีได้รับการรับรองคุ้มครองโดยรัฐ หรือ สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” (Des libertés publiques) แม้ว่าก่อนหน้านี้สิทธิในสิ่งแวดล้อมจะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ในฐานะท่ีเป็น “หลักกฎหมายพ้ืนฐานที่ได้รับการรับรองโดยสาธารณรัฐ” (Les principes fondamentaux, le préambule de la Constitution ou la Déclaration des droits de l'homme) อันเกิดจากคําวินิจฉัย ของคณะตลุ าการรัฐธรรมนูญของฝรง่ั เศสแล้วก็ตาม แต่การรับรองให้กฎบัตรส่ิงแวดล้อมมีสถานะในทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นการสร้างความชัดเจนมากย่ิงข้ึน ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่ากฎบัตรว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของฝร่ังเศส (la Charte de l'environnement 2004) ถือว่าเปน็ แมแ่ บบของการให้สถานะทางกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญ แก่สทิ ธใิ นสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการยอมรับในการรับรองคุ้มครองสิทธิในส่ิงแวดล้อมในฐานะที่เป็นสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ลักษณะสําคัญประการหนึ่งของกฎบัตรส่ิงแวดล้อมฝร่ังเศส คือ การกําหนดเป็นหน้าที่ในการพิทักษ์ รักษาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหน้าท่ีที่จะต้องเคารพต่อสิทธิของบุคคลอ่ืน เกิดหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Le principe pollueur-payeur) ทั้งหมดน้ีเป็นตัวอย่างของการให้คุณค่าระดับรัฐธรรมนูญแก่หลักกฎหมาย สิง่ แวดลอ้ ม โดยบัญญัตริ ับรองเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร ๘.๑.๒ บทบาทขององค์กรตุลาการรัฐธรรมนูญในการทําให้หลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อม มีคา่ บังคับในระดบั รฐั ธรรมนูญ นอกจากแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยมท่ีส่งผลให้เกิดพัฒนาการของกฎหมายรัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อม ที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว องค์กรตุลาการรัฐธรรมนูญก็มีบทบาทหน้าที่ที่สําคัญต่อความก้าวหน้าในการพัฒนา หลักกฎหมายรัฐธรรมนญู สงิ่ แวดลอ้ ม โดยเฉพาะคณะตุลาการรัฐธรรมนูญฝร่ังเศสในการทําให้หลักการพื้นฐาน ของกฎหมายส่ิงแวดล้อมมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญ แม้ก่อนจะมีการให้คุณค่าและสถานะทางรัฐธรรมนูญ

๑๐๕ แก่กฎบัตรส่ิงแวดล้อม คณะตุลาการฝร่ังเศสก็อาศัย “กรอบแห่งความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย” (Le bloc de constitutionnalité) วินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญเพ่ือคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยผ่านคําประกาศว่าด้วย สิทธิของมนุษย์และพลเมือง ปี ค.ศ. ๑๗๘๙ และอารัมภบทหรือคําปรารภของรัฐธรรมนูญ และนับต้ังแต่ ปี ค.ศ. ๒๐๐๕ ท่ีกฎบัตรส่ิงแวดล้อมมีผลใช้บังคับและมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฝร่ังเศส ประกอบกับ การสร้างระบบการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายภายหลังจากที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว หรือที่เรียกว่า ระบบ QPC (La question prioritaire de constitutionnalité) ท่ีมีผลบงั คับใชเ้ ม่อื ปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ทําให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญฝร่ังเศสมีบทบาทและหน้าท่ีสําคัญในการตรวจสอบบทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับ ส่ิงแวดลอ้ มท่ขี ัดหรือแย้งต่อกฎบัตรส่ิงแวดล้อม โดยมีผลเป็นการขดั หรอื แย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทําใหก้ ฎหมายดงั กลา่ ว ถกู ยกเลกิ ไป จึงกลา่ วไดว้ า่ เปน็ อีกก้าวหนงึ่ ของกระบวนการยุตธิ รรมทางสิ่งแวดล้อมในระดบั กฎหมายรัฐธรรมนญู ตัวอยา่ งคดรี ัฐธรรมนญู สง่ิ แวดล้อมทส่ี าํ คญั ของคณะตุลาการฝรั่งเศส ดงั นี้ (๑) คาํ วินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ๓ เลขที่ 2012-283 QPC  ลงวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๑๒ วินจิ ฉยั เกีย่ วกบั การมสี ว่ นรว่ มชองประชาชนในสิ่งแวดลอ้ ม (Le Principe de la participation du public) (๒) คําวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ๔ เลขท่ี 2013-346 QPC  ลงวันท่ี ๑๑ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๓ วนิ จิ ฉัยเก่ียวกับหลกั ปอ้ งกนั ไว้ก่อน (Le Principe de precaution) (๓) คําวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ๕ เลขท่ี 2014-394 QPC ลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๑๔ วินิจฉัยวางหลักว่ากฎบัตรสิ่งแวดลอ้ มมคี ุณค่าหรือสถานะระดบั รัฐธรรมนญู (๔) คําวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ๖ เลขท่ี 2016-737 DC ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ค.ศ. ๒๐๑๖ วินิจฉัยว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและการสาธารณสุข เป็นเรื่องท่ี มีวัตถุประสงค์เพือ่ ประโยชนส์ าธารณะ และมีคณุ ค่าในระดบั รัฐธรรมนูญ (๕) คําวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ๗ เลขที่ 2016-735 DC ลงวันท่ี ๔ สิงหาคม ค.ศ. ๒๐๑๖ วนิ จิ ฉยั เก่ียวกับหลกั การว่าด้วยการค้มุ ครองส่ิงแวดล้อมจะตอ้ งไม่มีลักษณะท่ีถดถอยลง๘   ๓ Cons. const., déc. n° 2012-283 QPC du 23 novembre 2012, M. Antoine de M. ๔ Cons. const. déc. n° 2013-346 QPC du 11 octobre 2013, Société Schuepbach Energy LLC, cons. 20. ๕ Cons. const. déc. n° 2014-394 QPC du 7 mai 2014, Société Casuca. ๖ Cons. const. déc. n° 2016-737 DC du 4 août 2016, Loi pour la reconquête de la biodiversité, de la nature et des paysages. ๗ Cons. const. déc. n° 2016-735 DC du 4 août 2016, Loi pour la reconquête de la biodiversité, de la nature et des paysages. ๘ รายละเอียดของคําแปลคําวินิจฉัยคดีนี้ โปรดดู อภิญญา แก้วกําเหนิด, “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญฝร่ังเศส ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และภมู ิทัศน”์ , หลักกฎหมายมหาชนรายเดือน ประจาํ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔

๑๐๖ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อมของฝร่ังเศสพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น ดว้ ยผลงานของคณะตลุ าการรัฐธรรมนูญ ๘.๑.๓ รฐั ธรรมนญู นิยมและกฎหมายรฐั ธรรมนูญส่ิงแวดลอ้ มของไทย หากพิจารณาบริบทกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศไทย แนวคิดรัฐธรรมนูญนิยมปรากฏตัวอย่างชัดเจน ในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ เพ่ือ “ปฏิรูปการเมือง” ซึ่งนอกจากจะมีการบัญญัติระเบียบกฎเกณฑ์ ทางการเมือง รวมท้ังจัดต้ังองค์กรและสร้างกลไกท่ีมุ่งเน้นให้เกิดระบบการเมืองการปกครองที่มีประสิทธิภาพ และมีความสมเหตุสมผลที่แม้การปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ จะยังไม่อาจกล่าวได้ว่าบรรลุ วตั ถุประสงคใ์ นการสรา้ งความสมเหตสุ มผลและเสถียรภาพของระบบการเมอื งการปกครอง และมีการปรับปรุงแก้ไข ต่อมาตามรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ รวมทั้งการต้ังความมุ่งหมายในการปฏิรูประบบกลไกการเมืองการปกครอง อีกครัง้ ตามรฐั ธรรมนญู ฉบับปี ๒๕๖๐ อย่างไรกด็ ี ประเดน็ การปฏริ ูปกลไกการเมอื งการปกครองโดยใชร้ ัฐธรรมนญู ลายลกั ษณอ์ ักษรเป็นเคร่ืองมือยังคงมีประเด็นถกเถียงโต้แย้งหลายประการ แต่สําหรับแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม และกฎหมายรัฐธรรมนูญส่ิงแวดล้อมแล้ว กล่าวได้ว่า การตราบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแต่ละคร้ัง โดยเฉพาะนับต้ังแต่ ฉบับปี ๒๕๔๐ เป็นต้นมา กฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งแวดล้อมของไทยมีพัฒนาการท่ีก้าวหน้ามากขึ้นเป็นลําดับ จนถึง รัฐธรรมนญู ฉบับปจั จุบนั ท่มี ีบทบัญญตั ใิ หม้ ีการดําเนนิ การอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิรูปประเทศด้านส่ิงแวดล้อม ดังจะไดก้ ลา่ วรายละเอียดในหัวขอ้ ถดั ไป อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งแวดล้อมของไทย เกิดข้ึนจาก “นักร่างรัฐธรรมนูญ” ก็ยังคงรอการพัฒนาจากศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรตุลาการท่ีมีบทบาทหน้าท่ีในการคุ้มครองความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ (ทางด้านส่ิงแวดล้อม) ของกฎหมายและการกระทําทางการเมืองท่ีส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญ ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทย ปรากฏคําวินิจฉัยท่ีเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อม และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เชน่ - คาํ วินจิ ฉัยศาลรัฐธรรมนญู ท่ี ๓/๒๕๕๒ ทศ่ี าลได้ตรวจสอบความชอบดว้ ยรัฐธรรมนูญของมาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เก่ียวกับการจัดทํา รายงานการวเิ คราะห์ผลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม - คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญท่ี ๖/๒๕๖๓ เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชบัญญัติ การเดนิ เรือในน่านน้าํ ไทย พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗ ท่ีกําหนดให้กรมเจ้าท่ามีหน้าที่พิจารณาอนุญาต ใหก้ ่อสร้างสง่ิ ล่วงลํา้ ลํานาํ้ ซึ่งผรู้ ้องเห็นว่าขัดตอ่ หลกั การกระจายอํานาจใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน - คาํ วินจิ ฉยั ศาลรัฐธรรมนญู ที่ ๔๒-๔๓/๒๕๕๔ กรณตี รวจสอบความชอบด้วยรฐั ธรรมนูญของพระราชบัญญัติ การไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ เกีย่ วกบั สทิ ธิของบุคคลในการมสี ว่ นร่วมในกระบวนการพจิ ารณา ของรัฐ และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วม ของประชาชน

๑๐๗ ๘.๒ สาระสําคัญของการปฏริ ูปประเทศด้านส่ิงแวดล้อมตามรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย สําหรับความเป็นมาของการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิในทางสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญของ ประเทศไทย จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาเก่ียวกับการรับรองคุ้มครองสิทธิทางส่ิงแวดล้อมไว้ ในรัฐธรรมนูญต้ังแต่รัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ พุทธศักราช ๒๕๒๑ พุทธศักราช ๒๕๓๔ พุทธศักราช ๒๕๔๐ และพุทธศักราช ๒๕๕๐ จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ท่ีได้บัญญัติ ให้การปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและเร่งด่วน โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไว้ในหมวด ๑๖ ให้ดําเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลตามท่ีกําหนดและให้เป็นไปตามท่ีบัญญัติไว้ ในกฎหมายว่าด้วยแผนและขนั้ ตอนการปฏริ ูปประเทศ ดงั มรี ายละเอียดดังน้ี ๘.๒.๑ กรอบการปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดลอ้ มตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐๙ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีรายละเอียดของกรอบกฎหมายและข้ันการดําเนินการ ท้ังการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และการจัดทําแผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ดังมีรายละเอียด โดยสงั เขปในส่วนทีเ่ กยี่ วกับส่ิงแวดล้อม ดังน้ี (๑) การจดั ทําแผนและกาํ หนดยทุ ธศาสตรช์ าติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๖๕๑๐ บัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพ่ือให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมาย และต่อมาได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐๑๑ โดยกําหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพ่ือรับผิดชอบในการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ซ่ึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทํา ยุทธศาสตรช์ าติด้านตา่ ง ๆ ๖ ด้าน ไดแ้ ก่ ดา้ นความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ด้านการสร้าง การเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการ   ๙ หากพิจารณาถึงท่ีมาของการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ท่ีอาจเรียกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “ปฏิรูปก่อนเลือกต้ัง” จึงได้มกี ารบญั ญัตหิ ลกั การปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาตแิ ละมีการดําเนนิ การตามแผนและขนั้ ตอนตามที่ไดต้ ราเปน็ กฎหมาย   ๑๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๖๕ บัญญตั ิว่า “รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบ ในการจัดทาํ แผนต่าง ๆ ใหส้ อดคล้องและบูรณการกนั เพือ่ ให้เกดิ เปน็ พลังผลกั ดันร่วมกนั ไปสู่เปา้ หมายดังกลา่ ว การจัดทํา การกําหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และสาระท่ีพึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวธิ กี ารที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวต้องมีบทบัญญัติเก่ียวกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทกุ ภาคสว่ นอย่างทั่วถึงดว้ ย ยุทธศาสตร์ชาติ เม่ือไดป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแล้ว ใหใ้ ช้บงั คับได”้ ๑๑ ประกาศราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๗๙ ก หน้า ๑ ลงวนั ท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

๑๐๘ ภาครัฐ เพ่ือรับผิดชอบในการดําเนินการจัดทําร่างยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข ท่ีกําหนด ตลอดจนได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและหน่วยงานของรัฐที่เก่ียวข้องอย่างกว้างขวาง เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทําร่างยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ -๒๕๘๐) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับแรกของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี ๒๕๖๐ โดยจะต้องนําไปสู่การปฏิบัติ เพ่ือให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ประเทศไทยมีความม่ันคง ม่ังค่ัง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง” นอกจากนี้ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ ได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับ สง่ิ แวดล้อมไวใ้ นด้านท่ี ๕ ด้านการสร้างการเตบิ โตบนคุณภาพชีวิตทเ่ี ป็นมติ รกับส่ิงแวดล้อม ซ่ึงยุทธศาสตร์ชาติ ดังกล่าวขา้ งต้นได้ถ่ายระดับลงสู่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ที่ได้กําหนดเป้าหมายแผนแม่บทย่อยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม คือ การอํานวย ความยตุ ธิ รรมมคี วามโปรง่ ใส สะดวก รวดเร็ว เสมอภาค ท่ัวถึง เป็นธรรม และปราศจากการเลือกปฏบิ ัติ (๒) หลกั การและเปา้ หมายของการปฏิรูปประเทศด้านสง่ิ แวดล้อม มาตรา ๒๕๗๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติเป้าหมายของ การปฏิรูปประเทศว่าต้องดําเนินการเพ่ือบรรลุเป้าหมายให้ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคี ปรองดอง มกี ารพัฒนาอย่างยงั่ ยืนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และมีความสมดุลระหว่างการพัฒนา ด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ รวมถึงการมีสังคมท่ีมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอันทัดเทียมกัน เพอื่ ขจัดความเหลือ่ มลํ้า ตลอดจนประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในส่วนท่ีเกี่ยวกับการคุ้มครอง ส่ิงแวดล้อมได้บัญญัติหลักการดําเนินการไว้ในมาตรา ๒๕๘ ช.๑๓ โดยให้ดําเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อย   ๑๒ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๖ การปฏิรปู ประเทศ มาตรา ๒๕๗ บญั ญัตวิ า่ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดําเนินการเพ่อื บรรลุเปา้ หมาย ดังต่อไปนี้ (๑) ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง และมคี วามสมดลุ ระหว่างการพัฒนาดา้ นวัตถุกบั การพฒั นาด้านจติ ใจ (๒) สังคมมีความสงบสขุ เป็นธรรม และมีโอกาสอันทดั เทียมกันเพ่ือขจดั ความเหลอ่ื มล้าํ (๓) ประชาชนมคี วามสุข มีคณุ ภาพชีวิตท่ีดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข ๑๓ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๘ บัญญัตวิ า่ ใหด้ าํ เนินการปฏิรปู ประเทศอยา่ งนอ้ ยในดา้ นตา่ ง ๆ ให้เกิดผล ดังตอ่ ไปน้ี ..... ช. ดา้ นอนื่ ๆ (๑) ให้มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน โดยคํานึงถึงความต้องการใช้น้ํา ในทกุ มิติ รวมทั้งความเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มและสภาพภูมอิ ากาศประกอบกนั (๒) จัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมท้ังการตรวจสอบกรรมสิทธ์ิและการถือครองท่ีดิน ทง้ั ประเทศเพือ่ แกไ้ ขปัญหากรรมสทิ ธิ์และสิทธคิ รอบครองที่ดินอยา่ งเป็นระบบ

๑๐๙ ให้เกิดผลท้ังระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การกระจายการถือครองที่ดิน ระบบการจัดการและกําจัดขยะ มูลฝอย ระบบหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชน และระบบการแพทย์ปฐมภูมิ รวมท้ัง รัฐธรรมนูญฉบับน้ี ไดบ้ ญั ญตั เิ น้ือหาเกยี่ วขอ้ งกบั การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละคุ้มครองสิ่งแวดลอ้ มไว้ในหลายมาตรา ท้ังการ กําหนดให้เป็นหน้าท่ีของรัฐในการอนุรักษ์และคุ้มครองส่ิงแวดล้อม และบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและหน้าท่ี ของประชาชนชาวไทยในการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและคมุ้ ครองสง่ิ แวดล้อม ส่วนมาตรา ๒๕๙๑๔ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน บัญญัติให้การดําเนินการปฏิรูปประเทศเป็นไปตาม กฎหมายว่าด้วยแผนและข้ันตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทําแผน การมี ส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ขั้นตอนในการดําเนินการปฏิรูปประเทศ การวัดผลการดําเนินการ และระยะเวลาดําเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ต่อมามีการตราพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดําเนินการ ปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐๑๕ กําหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านต่าง ๆ๑๖ เพ่ือรับผิดชอบ ในการจาํ ทําแผนการปฏริ ปู ประเทศแตล่ ะด้าน เพือ่ กาํ หนดกลไก วิธีการและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ในด้านตา่ ง ๆ คณะรฐั มนตรีจึงได้มีมตเิ ม่ือวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ แต่งต้ังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านต่าง ๆ จํานวน ๑๑ คณะ เพื่อจัดทําร่างแผนการปฏิรูปประเทศเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพิจารณาความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเม่ือวันท่ี ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ตามที่สํานักงานคณะกรรมการ พฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการ (๓) จัดให้มรี ะบบจดั การและกาํ จดั ขยะมลู ฝอยทม่ี ีประสทิ ธิภาพ เป็นมิตรตอ่ ส่งิ แวดล้อม และสามารถนําไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ดา้ นอื่น ๆ ได้ (๔) ปรบั ระบบหลักประกันสุขภาพใหป้ ระชาชนไดร้ ับสทิ ธิและประโยชนจ์ ากการบรหิ ารจัดการ และการเข้าถึงบรกิ าร ทม่ี คี ณุ ภาพและสะดวกทดั เทยี มกนั (๕) ใหม้ รี ะบบการแพทยป์ ฐมภมู ทิ ม่ี ีแพทย์เวชศาสตรค์ รอบครวั ดูแลประชาชนในสดั ส่วนทเี่ หมาะสม ๑๔ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๙ บญั ญตั ิวา่ “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏิรูปประเทศตามหมวดน้ีให้เป็นไปตาม กฎหมายว่าด้วยแผนและข้ันตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศซึ่งอย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทําแผน การมีส่วนร่วมของประชาชน และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ข้ันตอนในการดําเนินการปฏิรูปประเทศ การวัดผลการดําเนินการ และระยะเวลาดําเนินการปฏิรูป ประเทศทุกด้าน ซ่งึ ตอ้ งกาํ หนดใหเ้ ริ่มดําเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ี รวมตลอด ท้งั ผลสัมฤทธทิ์ ี่คาดหวังว่าจะบรรลใุ นระยะเวลาหา้ ปี ให้ดําเนินการตรากฎหมายตามวรรคหนึ่ง และประกาศใช้บังคับภายในหน่ึงร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศ ใชร้ ฐั ธรรมนญู นี้ ในระหว่างท่ีกฎหมายตามวรรคหนึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการปฏิรูปโดยอาศัยหน้าท่ี และอํานาจท่มี ีอยู่แล้วไปพลางกอ่ น” ๑๕ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เมอื่ วนั ท่ี ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑๖ ตามมาตรา ๑๔ ประกอบมาตรา ๘ และมาตรา ๒๙ ของพระราชบัญญัติแผนและข้ันตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐

๑๑๐ ปฏิรูปประเทศเสนอ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ รับทราบ แผนการปฏิรูปประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูป ประเทศ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังน้ัน การปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐ จึงได้มีการดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยมีกฎหมายแม่บท ท่ีเก่ยี วข้อง คือ ๑) พระราชบญั ญัตกิ ารจดั ทาํ ยทุ ธศาสตรช์ าติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒) พระราชบัญญตั แิ ผนและขั้นตอน การดําเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ ๓) ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผน การปฏิรูปประเทศ ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมกําหนดขอบเขต ๖ เร่ือง คือ ทรัพยากรทางบก ทรัพยากรน้ํา ทรัพยากร ทางทะเลและชายฝ่ัง ความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งแวดล้อม และระบบบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อม๑๗ ๘.๒.๒ การรับรองคุ้มครองสิทธิในทางสิ่งแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญไทยฉบับต่าง ๆ ก่อนที่จะประกาศใช้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ หากพิจารณาบทบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยในอดีตทุกฉบับ จะพบว่า ก่อนรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ๒๕๔๐ ยังไม่มีการบัญญัติรับรองสิทธิในทางสิ่งแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญ มีเพียงการบัญญัติไว้ เป็นแนวนโยบายแห่งรัฐเท่านั้น โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ เป็นฉบับแรกท่ีเร่ิมมี บทบัญญัติเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม๑๘ ตามด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑๑๙ และ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔๒๐ ๑๗ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เร่ือง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนท่ี ๒๔ ก ลงวันท่ี ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ๑๘ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗ หมวด ๕ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๗๗ “รฐั พึงบาํ รุงรกั ษาความสมดุลของสภาพแวดล้อมและความงามทางธรรมชาติ รวมทั้งป่าไม้ ต้นน้ํา ลําธารและ น่านน้าํ ” มาตรา ๗๘ “รัฐพึงส่งเสริมการค้นหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางเศรษฐกิจแก่ประชาชน ชาวไทย โดยไม่ขัดกบั หลกั การอนรุ ักษกรรม” มาตรา ๗๙ “รัฐพงึ ดําเนินการให้ความเหลื่อมล้าํ ในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสงั คมลดน้อยลง” มาตรา ๘๐ “รัฐพึงจัดระบบการถือกรรมสิทธิ์และการครอบครองท่ีดินเพื่อประโยชน์แห่งการส่งเสริมเกษตรกรรมหรือ อุตสาหกรรม และพงึ กาํ หนดพนั ธะให้เจ้าของท่ีดนิ ใช้ที่ดนิ ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ตามความเหมาะสมแก่สภาพของท่ีดิน” ๑๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๒๑ หมวด ๕ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๖๕ “รัฐพึงบํารุงรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อมและพึงขจัดส่ิงเป็นพิษท่ีทําลายสุขภาพและอนามัย ของประชาชน” ๒๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๓๔ หมวด ๕ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๗๔ “รัฐพึงบํารุงรักษาสภาพแวดล้อม ความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงทดแทน และพึงป้องกันและ ขจัดมลพษิ และวางแผนการใชด้ นิ และนํ้าให้เหมาะสม”

๑๑๑ นับต้ังแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงมีการบัญญัติรับรองสิทธิในทางสิ่งแวดล้อมไว้ในหมวดว่าด้วย สทิ ธแิ ละเสรีภาพของชนชาวไทย โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติรับรอง สิทธิของชุมชนท้องถ่ินด้ังเดิมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม๒๑ และสิทธิของบุคคลท่ีจะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการ บํารุงรักษา และการได้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลายทางชวี ภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม เพ่ือให้ดํารงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในส่ิงแวดล้อมท่ีจะ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ย่อมได้รับความคุ้มครอง ซ่ึงรวมท้ัง สทิ ธิของบคุ คลในการท่ีจะฟ้องรอ้ งรฐั ด้วย๒๒ ตลอดจนสิทธิของบุคคลท่ีจะได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผลจากรัฐ ก่อนการอนุญาตหรือการดําเนนิ โครงการหรอื กิจกรรมใดท่ีอาจมีผลกระทบตอ่ คุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอ่ืนใดที่เกี่ยวกับบุคคลหรือชุมชนท้องถ่ิน และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตน ในเรอื่ งดงั กลา่ ว๒๓ มาตรา ๗๕ “รฐั พึงดาํ เนินการเพ่อื ยกระดบั คณุ ภาพและมาตรฐานการดํารงชวี ิตของบคุ คลใหส้ งู ขึน้ ” มาตรา ๗๖ “รัฐพงึ ดาํ เนินการอย่างมปี ระสิทธิภาพให้เกษตรกรมีกรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิในท่ีดินอย่างท่ัวถึงเพ่ือประกอบ เกษตรกรรมโดยการปฏริ ปู ที่ดนิ จัดรปู ทด่ี นิ หรือวิธอี ื่น รฐั พึงจดั หาและดแู ลการใช้นํ้าของเกษตรกรใหม้ ีเพยี งพอและเหมาะสมแก่เกษตรกรรม ฯลฯ”   ๒๑ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ หมวด ๓ สิทธแิ ละเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๔๖ “บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถ่ินด้ังเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมอย่างสมดุลและย่งั ยืน ท้ังน้ี ตามทีก่ ฎหมายบัญญัติ” ๒๒ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ หมวด ๓ สทิ ธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๕๖ “สิทธิของบุคคลท่ีจะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการบํารุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม เพ่ือให้ดํารงชีพอยู่ได้ อย่างปกติและต่อเนื่องในส่ิงแวดล้อมท่ีจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ย่อมได้รับ ความคมุ้ ครอง ทั้งน้ี ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ การดําเนนิ โครงการหรือกจิ กรรมท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพส่ิงแวดล้อมจะกระทํามิได้ เว้นแต่ จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซ่ึงประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชน ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มและผแู้ ทนและผแู้ ทนสถาบันอดุ มศกึ ษาทีจ่ ดั การศึกษาดา้ นสง่ิ แวดล้อม ใหค้ วามเห็นประกอบกอ่ นมีการดําเนินการ ดงั กล่าว ทั้งนี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ สิทธิของบุคคลท่ีจะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถ่ินหรือองค์การอื่นของรัฐเพ่ือให้ ปฏิบัติหนา้ ท่ตี ามท่ีบญั ญตั ไิ วใ้ นกฎหมายตามวรรคหน่งึ และวรรคสองย่อมไดร้ ับความคุม้ ครอง” ๒๓ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ หมวด ๓ สิทธแิ ละเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา ๕๙ ”บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผล จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถ่ิน ก่อนการอนุญาตหรือการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม

๑๑๒ สําหรับรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มีความพิเศษแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ตรงที่ในหมวด ๓ ที่ว่าด้วย สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มีการจําแนกประเภทของสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้ อยา่ งชดั เจน โดยสิทธิเกี่ยวกบั ส่ิงแวดล้อมมีบญั ญตั ิไวใ้ นสว่ นที่ ๑๐ วา่ ด้วยสทิ ธิในขอ้ มูลขา่ วสารและการร้องเรียน๒๔ และในสว่ นท่ี ๑๒ วา่ ดว้ ยสทิ ธชิ ุมชน๒๕ นอกจากนี้ รัฐธรรมนญู ปี ๒๕๔๐ ยังบัญญัติเร่อื งส่ิงแวดลอ้ มไวใ้ นหมวดท่ีว่าด้วยแนวนโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐ อีกด้วย โดยบัญญัติให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวน บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์ จากทรพั ยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งสมดุล รวมทั้งมสี ่วนร่วมในการส่งเสริม บํารุงรักษา สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถ่ิน และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตน ในเร่อื งดงั กล่าว ทั้งน้ี ตามกระบวนการรบั ฟังความคดิ เหน็ ของประชาชนทกี่ ฎหมายบัญญัต”ิ ๒๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนท่ี ๑๐ สิทธใิ นข้อมูลขา่ วสารและการรอ้ งเรยี น มาตรา ๕๗ “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอ่ืนใดที่เก่ียวกับตนหรือชุมชนท้องถ่ิน และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตน ตอ่ หนว่ ยงานทเ่ี กี่ยวข้องเพอื่ นําไปประกอบการพจิ ารณาในเรอ่ื งดงั กลา่ ว การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การกําหนด เขตการใช้ประโยชน์ในท่ีดิน และการออกกฎท่ีอาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสําคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการ รับฟังความคดิ เหน็ ของประชาชนอย่างทัว่ ถงึ กอ่ นดําเนินการ” มาตรา ๕๘ “บุคคลย่อมมีสิทธิมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าท่ีของรัฐในการปฏิบัติราชการทางปกครอง อนั มีผลหรอื อาจมผี ลกระทบต่อสิทธแิ ละเสรภี าพของตน” ๒๕ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ ๑๒ สิทธชิ ุมชน มาตรา ๖๖ “บุคคลซ่ึงรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนท้องถ่ิน หรือชุมชนท้องถ่ินด้ังเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟ้ืนฟูจารีต ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติและมีส่วนร่วมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติสง่ิ แวดลอ้ ม รวมทง้ั ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างสมดลุ และย่งั ยืน” มาตรา ๖๗ “สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บํารุงรักษาและการได้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพ่ือให้ ดํารงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในส่ิงแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิต ของตน ยอ่ มไดร้ บั ความค้มุ ครองตามความเหมาะสม การดําเนินโครงการหรือกิจกรรมท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทํามิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ของประชาชนในชมุ ชน และจดั ใหม้ ีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมท้ังได้ให้องค์การ อิสระซ่งึ ประกอบด้วยผูแ้ ทนองคก์ ารเอกชนด้านสงิ่ แวดลอ้ มและสุขภาพ ให้ความเหน็ ประกอบกอ่ นมกี ารดําเนินการดังกลา่ ว สิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถ่ินหรือองค์กรอื่นของรัฐ ที่เป็นนิตบิ คุ คล เพ่ือใหป้ ฏิบัตหิ นา้ ที่ตามบทบัญญัตนิ ี้ ย่อมไดร้ ับความคมุ้ ครอง”

๑๑๓ และคุ้มครองคุณภาพส่ิงแวดล้อมตามหลักการการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและกําจัดภาวะมลพิษท่ีมี ผลต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน๒๖ ในขณะท่ีรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มีการจําแนก ประเภทของแนวนโยบายพน้ื ฐานแหง่ รัฐอยา่ งชดั เจน และมีการบญั ญัตเิ ก่ยี วกับแนวนโยบายพน้ื ฐานแห่งรัฐ ในทาง สิ่งแวดล้อมไว้ในส่วนท่ี ๘ ว่าด้วยแนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม๒๗ ซ่ึงหากพิจารณา เปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ แนวนโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐด้านสิ่งแวดล้อมมีการกําหนด ๒๖ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ หมวด ๕ แนวนโยบายพน้ื ฐานแหง่ รฐั มาตรา ๗๙ “รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวน บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งสมดุล รวมท้งั มีสว่ นร่วมในการสง่ เสรมิ บํารุงรกั ษา และคุ้มครองคุณภาพ ส่ิงแวดล้อมตามหลักการการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและกําจัดภาวะมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ และ คุณภาพชวี ิตของประชาชน” มาตรา ๗๙ “รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวน บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุล รวมทั้งมีส่วนร่วมในการส่งเสริม บํารุงรักษา และคุ้มครอง คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มตามหลักการการพัฒนาท่ีย่ังยืน ตลอดจนควบคุมและกําจัดภาวะมลพิษท่ีมีผลต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ และคณุ ภาพชีวติ ของประชาชน” มาตรา ๘๔ “รัฐต้องจัดระบบการถือครองที่ดินและการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม จัดหาแหล่งนํ้าเพ่ือเกษตรกรรม ให้เกษตรกรอย่างท่ัวถึง และรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด รวมท้ังส่งเสรมิ การรวมตวั ของเกษตรกรเพ่อื วางแผนการเกษตรและรกั ษาผลประโยชนร์ ว่ มกันของเกษตรกร” ๒๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ หมวด ๕ แนวนโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐ ส่วนท่ี ๘ แนวนโยบาย ดา้ นทด่ี นิ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม มาตรา ๘๕ “รัฐต้องดาํ เนนิ การตามแนวนโยบายด้านทด่ี ิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ดังตอ่ ไปนี้ (๑) กําหนดหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยให้คํานึงถึงความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ ทั้งผืนดิน ผืนนํ้า วิถีชีวิตของชุมชนท้องถ่ิน และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ และ กําหนดมาตรฐานการใช้ท่ีดินอย่างย่ังยืน โดยต้องให้ประชาชนในพ้ืนที่ท่ีได้รับผลกระทบจากหลักเกณฑ์การใช้ท่ีดินนั้นมีส่วนร่วม ในการตัดสนิ ใจดว้ ย (๒) กระจายการถือครองท่ีดินอย่างเป็นธรรมและดําเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในท่ีดินเพื่อประกอบ เกษตรกรรมอยา่ งทั่วถงึ โดยการปฏริ ปู ทดี่ ินหรือวธิ อี ื่น รวมท้งั จัดหาแหล่งน้ําเพอ่ื ให้เกษตรกรมนี าํ้ ใช้อย่างพอเพียงและเหมาะสม แก่การเกษตร (๓) จัดให้มีการวางผังเมือง พัฒนา และดําเนินการตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อประโยชน์ ในการดแู ลรักษาทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งยง่ั ยืน (๔) จัดให้มีแผนการบริหารจัดการทรัพยากรนํ้าและทรัพยากรธรรมชาติอ่ืนอย่างเป็นระบบและเกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม ท้ังต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวน บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลาย ทางชีวภาพอยา่ งสมดุล (๕) ส่งเสริม บํารุงรักษา และคุ้มครองคุณภาพส่ิงแวดล้อมตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและกําจัด ภาวะมลพิษทม่ี ผี ลตอ่ สุขภาพอนามัย สวสั ดภิ าพ และคณุ ภาพชีวิตของประชาชน โดยประชาชน ชมุ ชนทอ้ งถ่นิ และองคก์ รปกครอง ส่วนทอ้ งถิ่น ตอ้ งมีสว่ นรว่ มในการกําหนดแนวทางการดาํ เนนิ งาน”

๑๑๔ การดําเนินการของรัฐท่ีเป็นรูปธรรมชัดเจน แสดงให้เห็นว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญตระหนักว่าประเทศไทยจะต้อง ใหค้ วามสําคญั กับการจดั การปญั หาสง่ิ แวดล้อม นับแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เป็นต้นมา นอกจากจะเห็นความชัดเจนด้านกฎหมาย รัฐธรรมนูญในการบัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิทางสิ่งแวดล้อมให้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้ว ในส่วนของ ภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชนที่มีบทบาทด้านสิ่งแวดล้อมก็เร่ิมตื่นตัวและตระหนักถึงความสําคัญ เร่งด่วนของปัญหาส่ิงแวดล้อมมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการจัดตั้งองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในภาคเอกชน เช่น มลู นธิ นิ ติ ธิ รรมสิง่ แวดล้อม ทก่ี าํ เนิดขน้ึ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๔๒๘ ๘.๒.๓ การปฏิรูปประเทศด้านส่ิงแวดล้อมและกระบวนการยุติธรรมทางส่ิงแวดล้อม ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ประเทศไทยมีการดําเนินการเพ่ือปกป้อง คุ้มครองส่ิงแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากพิจารณาเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ แล้ว จะเห็นได้ว่า นอกจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะบัญญัติเนื้อหาสาระ ท่ีเกี่ยวข้องกับการรับรองคุ้มครองส่ิงแวดล้อมไว้อย่างละเอียดทํานองเดียวกับรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และ รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังมีบทบัญญัติส่วนที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญ ๒ ฉบับก่อน คือ การบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐ๒๙ และหน้าท่ีของประชาชน๓๐ ท่ีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม นอกเหนือไปจาก ๒๘ ข้อมลู จากเว็บไซตข์ องมลู นิธินติ ธิ รรมสิ่งแวดล้อม http://enlawfoundation.org/newweb/ ๒๙ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๕ หน้าทข่ี องรฐั มาตรา ๕๗ “รัฐต้อง ฯลฯ (๒) อนุรักษ์ คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟ้ืนฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชน ในทอ้ งถ่ินทีเ่ กี่ยวข้องมสี ่วนร่วมดาํ เนินการและได้รับประโยชน์จากการดําเนินการดงั กลา่ วด้วยตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ” มาตรา ๕๘ “การดําเนินการใดของรัฐหรือท่ีรัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการ ถ้าการน้ันอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากร ธรรมชาติ คุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือ สิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดําเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของ ประชาชนหรอื ชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนท่ีเกี่ยวข้องก่อน เพ่ือนํามา ประกอบการพิจารณาดาํ เนนิ การหรืออนุญาตตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คําช้ีแจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดําเนินการหรืออนุญาต ตามวรรคหน่งึ ในการดําเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหน่ึง รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยที่สุด และต้องดําเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชน หรือชุมชนท่ไี ด้รับผลกระทบอยา่ งเปน็ ธรรมและโดยไมช่ ักช้า”

๑๑๕ บทบัญญัติในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐในด้านส่ิงแวดล้อม๓๑ และในประการสําคัญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ยังมีบทบัญญัติวางกรอบการดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นรูปธรรม เพ่ือให้เกิดผลจริงในทางปฏิบตั ไิ ว้ดว้ ย ดงั ทไ่ี ด้กล่าวแล้วในหวั ขอ้ ๘.๒.๑ การดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ๒๕๖๐ น้ี ส่งผลให้มีการดําเนินการปรับปรุงเปล่ียนแปลงหลาย ๆ ด้านเพื่อการรับรองคุ้มครองทรัพยากร ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม ท้ังฝา่ ยนติ ิบญั ญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ อาทิ ฝ่ายนิติบัญญัติมีการตรากฎหมาย ฉบับใหม่ ๆ หรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่แล้วที่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมหลายฉบับ นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นมา ได้แก่ พระราชบัญญัติผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และร่างพระราชบัญญัติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ พ.ศ..... ฯลฯ รวมไปถงึ การพจิ ารณาข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี สมาชิกด้วย ในส่วนของฝ่ายบริหาร นอกจากจะมีการตั้งองค์กรและหน่วยงานของรัฐขึ้นมาใหม่หลายหน่วยงาน ๓๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ หมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา ๕๐ “บุคคลมีหน้าท่ี ดงั ต่อไปน้ี ฯลฯ (๘) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม ฯลฯ” ๓๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๖ แนวนโยบายแหง่ รฐั มาตรา ๗๒ “รัฐพึงดําเนนิ การเกี่ยวกบั ทด่ี ิน ทรพั ยากรนาํ้ และพลังงาน ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) วางแผนการใช้ท่ีดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพ้ืนท่ีและศักยภาพของท่ีดินตามหลักการพัฒนา อยา่ งยัง่ ยืน (๒) จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมตลอดทั้งพัฒนาเมือง ให้มีความเจริญโดยสอดคล้องกบั ความต้องการของประชาชนในพน้ื ที่ (๓) จดั ให้มมี าตรการกระจายการถอื ครองทดี่ ินเพ่ือใหป้ ระชาชนสามารถมที ่ีทาํ กนิ ได้อย่างท่วั ถึงและเป็นธรรม (๔) จัดให้มีทรัพยากรนํ้าที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน รวมทั้งการประกอบเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการอ่นื (๕) ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมทั้งพัฒนาและสนับสนุนให้มีการผลิตและการใช้ พลังงานทางเลือกเพื่อเสรมิ สรา้ งความม่ันคงดา้ นพลงั งานอย่างยั่งยนื ” มาตรา ๗๓ “รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิต ท่ีมีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนตํ่า และสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ยากไรใ้ หม้ ที ีท่ าํ กนิ โดยการปฏิรูปทด่ี นิ หรือวธิ อี ื่นใด”

๑๑๖ และสร้างพันธมิตรในการร่วมกันทํางานด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ในแง่นโยบายการดําเนินการก็มีการปรับปรุงให้มี การดาํ เนนิ การอย่างจรงิ จงั มงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ด้วย โดยเนน้ การมีสว่ นรว่ มขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นและชุมชน๓๒ ๘.๓ หลักการพืน้ ฐานของกฎหมายสิ่งแวดลอ้ มตามตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ นอกจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะได้บัญญัติถึงเป้าหมาย แผนและข้ันตอนการปฏิรูปประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ๘.๒ รัฐธรรมนูญฉบับน้ียังหลักการเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะ เป็น “หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมสารบัญญัติ”๓๓ หรือ “หลักการพื้นฐาน (สากล) ของกฎหมายสิ่งแวดล้อม” ไว้ใน ๕ หมวด คือ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หมวด ๔ หน้าท่ีของปวงชนชาวไทย หมวด ๕ หน้าท่ีของรัฐ หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ และหมวด ๘ คณะรัฐมนตรี ซ่ึงอาจพิจารณาตามหลักการพื้นฐาน ของกฎหมายสิง่ แวดลอ้ มได้ดงั นี้ ๘.๓.๑ หลกั การพ้นื ฐานว่าดว้ ยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ บั ส่ิงแวดล้อม รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทุกหมวดท่ีมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีการบัญญัติรับรอง หลักความเป็นสากลของส่ิงแวดล้อมไว้อย่างชัดเจนโดยตรง แต่อย่างไรก็ดี ในหมวด ๑๖ ท่ีว่าด้วยการปฏิรูป ประเทศ มาตรา ๒๕๘ ช. บัญญัติให้ดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อม โดยให้มีระบบบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน โดยคํานึงถึงความต้องการใช้น้ําในทุกมิติ รวมทั้งความ เปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศประกอบกัน โดยที่เป็นท่ีทราบกันดีว่าประชาคมโลก ยอมรับว่าปัญหาภัยพิบัติอันเกิดจากทรัพยากรนํ้า และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาร่วมกัน ของมนุษยชาติ ประกอบกับตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันของไทย รัฐบาลได้ประกาศแผนการปฏิรูปโดยตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มีปัจจัยท้ังภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ และในช่วงเวลาที่ผ่านมาของการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจ และสังคม มีการดําเนินการที่ส่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างมาก กล่าวคือ ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจท่ีทําให้รายได้ต่อหัวของประเทศไทยเพ่ิมสูงขึ้นเกินกว่า ๑๐ เท่า ในขณะเดียวกันจํานวนประชากรของประเทศไทยเพ่ิมขึ้นเป็น ๖๗ ล้านคน ได้ส่งผลอย่างมีนัยสําคัญต่อการใช้ ทรัพยากรทําให้เส่ือมโทรมและก่อเกิดมลภาวะมากขึ้น มีการลดลงของพ้ืนที่ป่าและสัตว์ป่าสงวนอย่างต่อเน่ือง เกิดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในแต่ละปี ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากทางเศรษฐกิจและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ๓๒ โปรดดูรายละเอียดใน ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ประกาศราชกิจจา นเุ บกษา เมอื่ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ (จํานวน ๔๗๑ หน้า)   ๓๓ การใช้คําเรียก “หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมสารบัญญัติ” เพื่อเทียบเคียงกับ “หลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมด้านวิธีสบัญญัติ” ท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับเขตอํานาจศาล ผู้เสียหายและผู้มีสิทธิฟ้องคดีสิ่งแวดล้อม หลักวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ทางส่งิ แวดลอ้ ม ฯลฯ โดยหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมสารบัญญัตหิ รือหลกั การพน้ื ฐาน (สากล) ของกฎหมายสิง่ แวดลอ้ ม ได้แก่ หลักการ พนื้ ฐานว่าด้วยความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ ับส่ิงแวดล้อม หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม หลักการป้องกัน ล่วงหน้าและหลักการระวังไวก้ ่อน หลกั ผกู้ อ่ มลพิษเป็นผจู้ ่าย หลักการวา่ ดว้ ยการไม่เส่อื มถอยของส่งิ แวดล้อม

๑๑๗ ของประชาชน การลดลงของป่าชายเลน ความเส่ือมโทรมของคุณภาพน้ํา ปะการัง นํ้าทะเล และการกัดเซาะชายฝ่ัง ต่างส่งผลต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะผู้ยากจนในพื้นที่ซึ่งพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากร ดังกล่าว ในขณะท่ีการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อทั้งธรรมชาติ เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของ ประชาชน โดยส่งผลต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ อันเน่ืองมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะจากภาคพลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร ทําให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ มากข้ึน และ บ่อยคร้ังเพิ่มข้ึน ในขณะเดียวกันการผลิตและการบริโภคของผู้ประกอบการและประชาชนท่ีฟุ่มเฟือยขาดการ ตระหนักถึงการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ท้ังในเร่ืองขยะ น้ําเสีย คุณภาพอากาศท่ีเลวลง การร่อยหรอของความหลากหลายทางชีวภาพท่ีเคยอุดมสมบูรณ์ของประเทศ ปัญหา ดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม อันเน่ืองจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น นโยบายด้านการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ไม่มีความต่อเนื่อง ระเบียบกฎหมายท่ีเก่ียวข้องล้าสมัยและมักไม่มี การบังคบั ใชอ้ ย่างเปน็ รปู ธรรม ความพยายามในการสรา้ งรายไดท้ างเศรษฐกจิ เช่นการพัฒนาเกษตร อตุ สาหกรรม บริการท่องเที่ยว ล้วนส่งผลให้ปัญหาต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลับสะสมพอกพูนมากข้ึน กลายเป็นปัญหา ท่ีซับซ้อนมากต่อการแก้ไขมากข้ึน ดังน้ัน การดําเนินการในรูปแบบเดิมเพื่อแก้ไขปัญหาจึงไม่อาจดําเนินการ แก้ปัญหาได้อย่างประสบผลได้ จําเป็นจะต้องมีการปฏิรูปการดําเนินการในรูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดการรักษา ฟ้ืนฟู และใช้ประโยชน์ได้อย่างสมดุล ช่วยแก้ไขปัญหาท่ีเรื้อรัง มีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม นําไปสู่ การพฒั นาท่ียัง่ ยืนท่สี มดุลท้ังทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรา ๒๕๘ ช. อันนํามาสู่การดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น อาจพิจารณาได้ว่าเป็นการบัญญัติหลักการและ ข้ันตอนดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อมโดยคํานึงถึงหลักการพื้นฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษยก์ ับส่งิ แวดล้อมในการทปี่ ระเทศไทยจะดาํ เนนิ การเพือ่ การปฏิรปู ประเทศไว้ด้วย ๘.๓.๒ หลกั การมสี ว่ นร่วมของประชาชนเกี่ยวกบั สงิ่ แวดล้อม บัญญัติรับรองไวท้ ้งั ๔ หมวด คือ (๑) หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรับรองสิทธิการมีส่วนร่วม ของประชาชนเกย่ี วกับสิง่ แวดลอ้ ม ดังนี้ มาตรา ๔๓ (๒) ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการจัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุล และย่งั ยืนตามวิธีการท่ีกฎหมายบัญญตั ิ ซง่ึ เนอ้ื หาของบทบญั ญัตดิ งั กล่าวพิจารณาไดว้ า่ เป็นการรับรองหลักการ มีส่วนรว่ มของประชาชนเกีย่ วกับส่งิ แวดลอ้ ม ทัง้ ในฐานะปัจเจกบคุ คล และในฐานะทร่ี วมกนั เปน็ ชุมชน โดยรบั รอง คุ้มครองสิทธิการมีส่วนร่วมในการจัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และ ความหลากหลายทางชวี ภาพ นอกจากน้ี มาตรา ๔๓ (๓) ยังได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการเข้าชื่อกันเพ่ือเสนอแนะ ต่อหน่วยงานของรัฐให้ดําเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดําเนินการใด อันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน และได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว

๑๑๘ ท้ังน้ี หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะน้ันโดยให้ประชาชนท่ีเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย ตามวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ ซ่ึงการบัญญัติรับรองไว้เช่นน้ีคือการบัญญัติรับรองหลักการมีส่วนร่วมของ ประชาชนเกย่ี วกับส่งิ แวดลอ้ ม (๒) หมวดหน้าท่ีของปวงชนชาวไทย บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๐ (๘) บุคคลมีหน้าที่ร่วมมือและสนับสนุน การอนุรักษแ์ ละคุ้มครองสิง่ แวดลอ้ ม ทรพั ยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม (๓) หมวดหน้าที่ของรัฐ บัญญัติรับรองสิทธิการมีส่วนร่วมในทางส่ิงแวดล้อมของประชาชนไว้ ๒ มาตรา คือ มาตรา ๕๗ (๒) บัญญัติให้รัฐต้องอนุรักษ์ คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟ้ืนฟู บริหารจัดการ และใช้หรือ จัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์ อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถ่ินท่ีเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดําเนินการและได้รับ ประโยชนจ์ ากการดาํ เนินการดงั กลา่ วด้วยตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ นอกจากนี้ มาตรา ๕๘ ยังบัญญัติให้รัฐจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชน และชุมชนทเี่ กย่ี วขอ้ ง เพือ่ นาํ มาประกอบการพจิ ารณาดาํ เนนิ การหรอื อนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการที่อาจมีผลกระทบ ต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใด ของประชาชนหรอื ชุมชนหรือสง่ิ แวดลอ้ มอย่างรุนแรง โดยบุคคลและชมุ ชนยอ่ มมสี ิทธิได้รับข้อมูล คําชี้แจง และ เหตผุ ลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดําเนินการ และในการดําเนินการหรืออนุญาตดังกล่าว รัฐต้องระมัดระวัง ให้เกดิ ผลกระทบตอ่ ประชาชน ชุมชน ส่งิ แวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยท่ีสดุ และตอ้ งดําเนนิ การ ให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและ โดยไม่ชกั ชา้ (๔) หมวดคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติถึงอํานาจของคณะรัฐมนตรีในการทําหนังสือ สัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอ่ืนกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ โดยมาตรา ๑๗๘๓๔ ของรฐั ธรรมนญู ฉบบั น้ี บัญญตั ลิ กั ษณะของหนงั สือสญั ญาที่คณะรฐั มนตรไี มอ่ าจพจิ ารณาเพ่ือจัดทําได้โดยลําพัง หากแต่จะกระทําได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ซ่ึงรวมถึงหนังสือสัญญาอ่ืนท่ีอาจมีผลกระทบต่อ การใหใ้ ช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรอื ทาํ ให้ประเทศตอ้ งสูญเสียสิทธใิ นทรพั ยากรธรรมชาติทง้ั หมดหรือบางส่วนด้วย ๘.๓.๓ หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อม รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติรับรอง ไว้ดังน้ี มาตรา ๕๗ (๒) บัญญัติให้รัฐต้องอนุรักษ์ คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้ มกี ารใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุล และย่ังยืน และมาตรา ๕๘ บัญญัติให้รัฐต้องดําเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนหรือชุมชนก่อนการดําเนินการหรือก่อนการอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการที่อาจมีผลกระทบ ตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติ คุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใดของประชาชน   ๓๔ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ หมวด ๖ แนวนโยบายแหง่ รฐั

๑๑๙ หรอื ชมุ ชนหรอื สง่ิ แวดลอ้ มอย่างรุนแรง ซ่งึ บทบัญญัติดงั กล่าวพจิ ารณาได้ว่าเปน็ การรบั รองหลกั การพัฒนาที่ยง่ั ยนื และหลักบรู ณาการทางสิ่งแวดลอ้ ม ๘.๓.๔ หลกั การปอ้ งกันล่วงหน้า และหลักการระวังไวก้ ่อน หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมประการน้ีปรากฏอย่างชัดเจนในมาตรา ๕๘ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซ่ึงบัญญัติเกี่ยวกับการดําเนินการใดของรัฐหรือท่ีรัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบ ต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใด ของประชาชนหรือชุมชนหรือส่ิงแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดําเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบ ตอ่ คุณภาพส่ิงแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรอื ชมุ ชน และจัดใหม้ กี ารรบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนและชุมชนที่เก่ียวข้องก่อน เพ่ือนํามาประกอบการพิจารณาดําเนินการหรืออนุญาตตามที่ กฎหมายบัญญัติ โดยที่บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ ก่อนการดําเนินการหรืออนุญาต ในประการสําคัญ รัฐธรรมนูญฉบับน้ียังบัญญัติหน้าที่ของรัฐในการท่ีจะ ดําเนินการหรืออนุญาตดังกล่าว รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน ส่ิงแวดล้อม และ ความหลากหลายทางชีวภาพน้อยท่ีสุด และต้องดําเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหาย ใหแ้ กป่ ระชาชนหรือชมุ ชนทีไ่ ด้รับผลกระทบอยา่ งเปน็ ธรรมและโดยไมช่ ักช้า ๘.๓.๕ หลกั ผู้กอ่ มลพิษเปน็ ผจู้ า่ ย หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมประการนี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง แต่อาจพิจารณาได้ว่า มีบัญญัติรับรองไว้ตามมาตรา ๕๘ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในหมวดหน้าที่ของรัฐ ซ่ึงบัญญัติ ให้รัฐต้องดําเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนท่ีได้รับผลกระทบ จากการดําเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอ่ืนใดของประชาชนหรือชุมชนหรือ สิง่ แวดล้อมอยา่ งรนุ แรง อย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า นั่นคือ เมื่อมีการก่อมลพิษจากการดําเนินการของรัฐเอง หรือจากผู้ท่ีได้รับอนุญาตจากรัฐ อันเป็นการทําลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผลของการก่อมลพิษ ที่ทําลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมน้ัน กระทบต่อมนุษย์ รัฐจะต้องดําเนินการให้มีการเยียวยา ความเดือดร้อนเสียหายนั้น โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ท้ังการเยียวยาความเสียหายต่อส่ิงแวดล้อม โดยตรง และการเยียวยาความเสยี หายต่อประชาชนและชมุ ชนที่ไดร้ บั ผลกระทบจากการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งน้ี ในการดําเนินการของรัฐตามท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติเป็นหน้าท่ีไว้น้ี รัฐอาจดําเนินการ โดยการตรากฎหมายเพื่อกําหนดรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น หลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา คุณภาพส่ิงแวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ทม่ี ีบทบญั ญัติรบั รองหลกั ผูก้ อ่ มลพษิ เป็นผู้จา่ ยไวเ้ ชน่ เดียวกัน

๑๒๐ ๘.๓.๖ หลักการวา่ ดว้ ยการไมเ่ สื่อมถอยของการคุ้มครองสง่ิ แวดล้อม หลักการพ้นื ฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมประการน้ี เป็นหลักการสากลล่าสุดท่ีได้รับการรับรองในทาง ระหว่างประเทศว่าเป็นหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อม ซึ่งในประเทศฝรั่งเศสหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมในประการน้ี ก็มีสถานะทางกฎหมายเป็นเพียงกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ มิได้มีสถานะหรือมีคุณค่าทางกฎหมายระดับ รัฐธรรมนูญ เม่ือพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ก็ไม่ปรากฏว่ามีการบัญญัติรับรอง หลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมประการน้ีไว้ในรฐั ธรรมนญู กล่าวโดยสรุป จากความร่วมมือทางกฎหมายระดับโลกและระดับภูมิภาคในการปกป้องคุ้มครอง สิ่งแวดล้อม นํามาสู่แนวคิดและการดําเนินการเพื่อทําให้หลักการพ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมซึ่งกําเนิด และพัฒนาขึ้นจากประชาคมกฎหมายในระดับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายระดับภูมิภาค (ยุโรป) ได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ บัญญัติหลักการพื้นฐาน ของกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยก็มีการบัญญัติรับรองหลักการพื้นฐานของ กฎหมายสิ่งแวดล้อมไว้ ๕ หลัก ท้ังท่ีบัญญัติเนื้อหาไว้ชัดแจ้งโดยตรง ได้แก่ หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หลักการพัฒนาท่ียั่งยืนและหลักบูรณาการทางสิ่งแวดล้อม หลักการป้องกันล่วงหน้า และหลักการระวังไว้ก่อน ส่วนหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และหลักการพ้ืนฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับส่ิงแวดล้อม น้ัน แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้บัญญัติอย่างชัดแจ้ง แต่มีบทบัญญัติท่ีมีเน้ือหาที่สอดคล้อง กับหลกั การดังกลา่ ว อย่างไรกด็ ี สาํ หรับหลักการว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต้องไม่ถดถอยลงนั้นเป็นหลักการ พ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลักการใหม่ที่แม้แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสก็วินิจฉัยว่ามีสถานะ ทางกฎหมายเป็นเพียงหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมในระดับรัฐบัญญัติ ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทยไม่ได้ บัญญัตริ บั รองหลกั กฎหมายสิ่งแวดล้อมประการน้ีแต่อยา่ งใด

บทท่ี ๙ หลักกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมท่ีมีผลบังคับใช้อยู่หลายฉบับ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ คือ กฎหมายส่ิงแวดล้อมประเภทหนึ่งท่ีมีเนื้อหาเกี่ยวกับการคุ้มครองหรือรักษา สภาพทางธรรมชาติ พืช สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิต และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเหล่าน้ีตราขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างกันแต่อาจสันนิษฐานได้ว่ากฎหมายส่ิงแวดล้อม ของไทยอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสากลของกฎหมายส่ิงแวดล้อมบางประการ เช่น (๑) หลักการพ้ืนฐานว่าด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อม ที่กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมโดยอาจสะท้อน มุมมองที่มนุษย์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ๑ หรือมุมมองที่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมชาติ๒ (๒) หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือการพัฒนาท่ีตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยไม่กระทบ ต่อความสามารถของคนรุ่นหลังที่จะพัฒนาตามความต้องการของตนเอง๓ (๓) หลักบูรณาการทางสิ่งแวดล้อม ซ่ึงหมายถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการตัดสินใจและดําเนินการท่ีมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม๔ (๔) หลักการป้องกันล่วงหน้า ท่ีกําหนดให้รัฐดําเนินการจํากัดหรือป้องกันกิจกรรมท่ีจะทําให้เกิดความเส่ือมโทรม ทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงหรืออันตรายต่อสุขภาพมนุษย์๕ (๕) หลักการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารและการมี ส่วนร่วมในการดําเนินงานที่มีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ที่ตระหนักถึงความสําคัญของการเข้าถึงข้อมูลและ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจเก่ียวกับการดําเนินการของรัฐท่ีจะมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม๖    เนือ้ หาบทที่ ๑ จดั ทําโดยนายวชิ ญพ์ าส พิมพอ์ กั ษร พนกั งานคดีปกครองปฏิบัติการ กลุ่มศึกษากฎหมายมหาชน ๒ สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง (คณะทํางานโครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบบริหารงานยุติธรรมทางปกครอง : การศกึ ษาวิเคราะห์กฎหมายทเี่ กย่ี วกับวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองสง่ิ แวดล้อมในระบบกฎหมายไทย) ๑ Jasdev Singh Rai, Celia Thorheim, Amarbayasgalan Dorjderem, and Darryl Macer, Universalism and Ethical Values for the Environment (UNESCO Bangkok 2010) 3,8-9; Marie-Luisa Frick, Human Rights and Relative Universalism (Palgrave Macmillan 2019) 42-43. ๒ Robyn Eckersley, Environmentalism and political theory: Towards an ecocentric approach (5th edn, UCL Press 2003) 15-16. ๓ UNGA ‘Our Common Future: Report of the World Commission on Environment and Development’ (12 August 1992) UN Doc A/42/427, 54. ๔ EuropeAid, Environmental Integration Handbook (European Commission 2007) 31. ๕ UNGA ‘Rio Declaration on Environment and Development: Report of the United Nations Conference on Environment and Development’ (4 August 1987) UN Doc A/CONF.151/26 (Vol. I), 3/5. ๖ Convention on Access to Information, Public Participation in Decision-making and Access to Justice in Environmental Matters (Aarhus Convention) preamble.

๑๒๒ (๖) หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ท่ีผู้ก่อมลพิษควรแบกรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตามมาตรการป้องกันและ ควบคุมมลพิษ๗ (๗) หลักการว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะท่ีถดถอยลง ซึ่งกําหนดให้รัฐ ต้องคมุ้ ครองสง่ิ แวดลอ้ มโดยใช้กฎหมายภายในประเทศที่ไม่มีลักษณะถดถอยลงไปกว่าการคุ้มครองที่มีอยู่เดิม๘ และ (๘) หลักความใกล้ชิดในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือหลักการว่าด้วยเพื่อนบ้านที่ดี ซ่ึงรัฐและประชาชน ต้องร่วมมอื กันโดยสจุ ริตและด้วยความมุ่งม่ันของการเป็นหนุ้ ส่วนในการรักษาส่งิ แวดล้อม๙ เน้ือหาในบทนี้จะจัดกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยแบ่งออกเป็น (๑) กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองคุณภาพส่ิงแวดล้อม (๒) กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ (๓) กฎหมายคมุ้ ครองและรักษาทรพั ยากรทางทะเล (๔) กฎหมายจัดการทรัพยากรนาํ้ และ (๕) กฎหมายคุ้มครอง สตั วป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื แลว้ จงึ วิเคราะหว์ ่า กฎหมายแต่ละกลุ่มสะท้อนหลักการพื้นฐานสากลของกฎหมายสิ่งแวดล้อม อย่างไร มหี ลกั การใดเป็นหลักการสาํ คัญ และหลกั การใดควรมคี วามสําคญั มากขึน้ ดงั มีรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ ๙.๑ กฎหมายว่าด้วยการคมุ้ ครองคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก ของไทยที่กําหนดแนวนโยบายแห่งรัฐในการจัดระเบียบสิ่งแวดล้อม๑๐ สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทําหน้าที่รัฐสภา ในเวลาน้ันก็ได้ตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพ่ือป้องกันและ แก้ไขปัญหาความเส่ือมโทรมของคุณภาพส่ิงแวดล้อม๑๑ ต่อมา พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพ่ือกําหนดมาตรการควบคุมและ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เพียงพอโดย (๑) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรเอกชน (๒) จัดระบบ การบริหารงานด้านสิ่งแวดล้อม (๓) กําหนดอํานาจหน้าท่ีของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการส่วนท้องถ่ิน (๔) กําหนดมาตรการควบคมุ มลพษิ (๕) กําหนดหน้าท่คี วามรับผดิ ชอบของผทู้ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการกอ่ ให้เกิดมลพิษ และ (๖) กําหนดใหม้ มี าตรการสง่ เสริมด้านกองทนุ และความชว่ ยเหลือดา้ นตา่ ง ๆ๑๒ ๗ OECD ‘Recommendation of the Council on Guiding Principles concerning International Economic Aspects of Environmental Policies’ (26 May 1972) OECD/LEGAL/0102, 4-5. ๘ Andrew D Mitchell and James Munro, ‘No Retreat: an Emerging Principle of Non-Regression from Environmental Protections in International Investment Law’ (2019) 50 Georgetown Journal of International Law 625, 625. ๙ UNGA ‘Rio Declaration on Environment and Development: Report of the United Nations Conference on Environment and Development’ (4 August 1987) UN Doc A/CONF.151/26 (Vol. I), 5/5. ๑๐ อดุ มศักดิ์ สินธิพงษ์, กฎหมายเกยี่ วกับสง่ิ แวดล้อม (พิมพค์ ร้งั ที่ ๕, วิญญชู น ๒๕๖๑) ๕๓-๕๔. ๑๑ พระราชบัญญัตสิ ่งเสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๘ หมายเหตุท้ายพระราชบญั ญตั ิ. ๑๒ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓ และหมายเหตุท้าย พระราชบญั ญัติ

๑๒๓ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๘ และฉบับ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีส่ิงท่ีกฎหมายมุ่งประสงค์คุ้มครอง (Rechtsgut) เป็นสิ่งเดียวกัน คือ คุณภาพส่ิงแวดล้อมโดยรวม ซ่ึงตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ “คุณภาพสิ่งแวดล้อม” หมายถึง “ดุลยภาพของธรรมชาติ อันได้แก่ สัตว์ พืช และทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ และส่ิงท่ีมนุษย์ได้ทําข้ึน ทั้งน้ี เพื่อประโยชน์ต่อการดํารงชีพของประชาชนและความสมบูรณ์สืบไปของมนุษยชาติ” คํานิยามน้ี มีความแตกต่างเล็กน้อยคํานิยามตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่ีว่า “...และความสมบูรณ์สืบไปของมนุษย์และธรรมชาติ” ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้ สะท้อนให้เห็นหลักการพ้ืนฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากมุมมองท่ี มีชีวิตเป็นศูนย์กลาง๑๓ และให้ความสําคัญกับ “ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ” กลายเป็นมุมมองท่ีมีมนุษย์ เป็นศนู ย์กลางซึ่งเหลอื เพียง “ความสมบูรณ์ของมนษุ ยชาติ”๑๔ นยิ ามของคาํ วา่ “คุณภาพสิง่ แวดล้อม” สอดคล้อง กับนิยามของคําว่า “สิ่งแวดล้อม” ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่ีบัญญัติขึ้นใหม่ และเป็นคํานิยามที่ใช้โดยท่ัวไป เช่น ในข้อ ๔ ของระเบียบสํานัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ ซ่ึงมีวัตถุประสงค์ เพ่ือเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดกฎหมายและการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย ตามกฎหมายเกย่ี วกับสงิ่ แวดลอ้ ม นอกจากหลักการพื้นฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม วิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามท่ีปรากฏในหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ จํานวน ๖ วิธกี าร ยงั สะท้อนหลกั การพื้นฐานสากลของกฎหมายส่ิงแวดล้อมประการอื่นอย่างชัดเจน ดังมีรายละเอียด ต่อไปน้ี ๙.๑.๑ หลักการพื้นฐานของกฎหมายสงิ่ แวดลอ้ มท่ีสําคญั ๙.๑.๑.๑ หลักบรู ณาการทางสงิ่ แวดลอ้ ม ตามวธิ กี ารที่ ๒ จดั ระบบการบรหิ ารงานด้านสง่ิ แวดล้อมให้เป็นไปตามหลักการจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อม และวิธีการที่ ๓ กําหนดอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการส่วนท้องถิ่นให้เกิดการประสานงาน และมีหน้าที่ร่วมกันในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และกําหนดแนวทางปฏิบัติในส่วนที่ไม่มี หน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง๑๕ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กาํ หนดให้มคี ณะกรรมการ ๓ ชุด คือ คณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแห่งชาติตามมาตรา ๑๒ คณะกรรมการกองทุน ๑๓ Jasdev Singh Rai, Celia Thorheim, Amarbayasgalan Dorjderem, and Darryl Macer, Universalism and Ethical Values for the Environment (UNESCO Bangkok 2010) 9. ๑๔ Jasdev Singh Rai, Celia Thorheim, Amarbayasgalan Dorjderem, and Darryl Macer, Universalism and Ethical Values for the Environment (UNESCO Bangkok 2010) 8-9. ๑๕ พระราชบัญญตั ิสง่ เสริมและรกั ษาคุณภาพสิง่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หมายเหตทุ ้ายพระราชบัญญตั ิ.

๑๒๔ ตามมาตรา ๒๔ และคณะกรรมการควบคุมมลพิษตามมาตรา ๕๒ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ อาจแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชํานาญการ หรือคณะอนุกรรมการ เพ่ือพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่มอบหมาย ตามมาตรา ๑๘ ก็ได้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ที่สุดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยมีอํานาจและหน้าท่ี เช่น การเสนอนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ มาตรการด้านการเงนิ การคลัง การภาษีอากรและการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายดังกล่าว รวมถึงการแก้ไข เพ่มิ เตมิ หรือปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมต่อคณะรัฐมนตรี การกําหนด มาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อม การพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกําหนด มาตรฐานควบคุมมลพิษ แผนปฏิบัติการระดับจังหวัด และแผนปฏิบัติการป้องกันหรือแก้ไขอันตรายของ คณะกรรมการควบคุมมลพิษ รวมถึงกํากับการจัดการและบริหารเงินกองทุน๑๖ คณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ จงึ กํากับดแู ลคณะกรรมการกองทุนและคณะกรรมการควบคมุ มลพิษดว้ ย ๙.๑.๑.๒ หลักการป้องกนั ลว่ งหนา้ ตามวิธกี ารท่ี ๔ กาํ หนดมาตรการควบคมุ มลพษิ ดว้ ยการจดั ให้มีระบบบาํ บัดอากาศเสีย ระบบบําบัดน้ําเสีย ระบบกําจัดของเสีย และเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมลพิษ๑๗ พระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษมีอํานาจ และหน้าที่เสนอแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันหรือแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจายของมลพิษหรือ ภาวะมลพิษ ความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขเพ่ิมเติมหรือปรับปรุงกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง ความเห็นเก่ียวกับการกําหนด มาตรการส่งเสริม ตลอดจนการกําหนดอัตราค่าบริการระบบบําบัดรวมของทางราชการ ต่อคณะกรรมการ ส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ รวมถึงให้คําแนะนําแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อม ในการกําหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกําเนิดและการกําหนดประเภทของแหล่งกําเนิดมลพิษ ตลอดจน การออกกฎกระทรวงกําหนดชนิดและประเภทของของเสียอันตราย และประสานงานระหว่างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เพื่อควบคุม ป้องกัน ลด หรือขจัดมลพิษ๑๘ คณะกรรมการควบคุมมลพิษไม่ใช่คณะกรรมการ ผมู้ อี ํานาจสูงสุดในการควบคมุ มลพิษแต่กเ็ ปน็ ศูนยก์ ลางในการเสนอแผนปฏบิ ัตกิ ารและความเห็น ให้คําแนะนํา และประสานงาน และมีเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษซ่ึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ ส่ิงแวดล้อมแต่งตงั้ เป็นผปู้ ฏิบัตกิ ารเกีย่ วกับการควบคมุ มลพษิ ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี๑๙ นอกจากน้ี ในกรณีเหตุฉุกเฉินหรือภัยสาธารณะจากภัยธรรมชาติหรือมลพิษที่เป็นอันตรายร้ายแรง นายกรัฐมนตรีมีอํานาจสั่งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบุคคลตามท่ีเห็นสมควรให้กระทําหรือไม่ให้กระทําการใด เพื่อควบคุม ระงับหรือบรรเทาผลร้ายและความเสียหายให้ทันท่วงที และเพ่ือเป็นการป้องกันแก้ไข ระงับหรือ ๑๖ พระราชบญั ญตั สิ ่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓. ๑๗ พระราชบัญญตั ิส่งเสริมและรักษาคุณภาพสงิ่ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หมายเหตทุ ้ายพระราชบญั ญัติ. ๑๘ พระราชบญั ญัตสิ ง่ เสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๕๓. ๑๙ พระราชบญั ญตั ิส่งเสรมิ และรักษาคุณภาพส่งิ แวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔.

๑๒๕ บรรเทาเหตุดังกล่าว ให้รัฐมนตรีกําหนดมาตรการป้องกันและจัดทําแผนฉุกเฉินเพ่ือแก้ไขสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้น ไว้ล่วงหนา้ ซ่ึงเป็นมาตรการตามหลกั การปอ้ งกันลว่ งหนา้ ด้วยเช่นกนั ๒๐ ๙.๑.๑.๓ หลักผ้กู อ่ มลพษิ เป็นผจู้ า่ ย ตามวิธกี ารท่ี ๕ กาํ หนดหน้าทีค่ วามรบั ผดิ ชอบของผทู้ เ่ี ก่ยี วข้องกับการกอ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ให้เป็นไปโดยชดั เจน และวิธีการท่ี ๖ กําหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านกองทุนและความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เพ่ือเป็นการจูงใจ ให้มกี ารยอมรับทีจ่ ะปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีในการรกั ษาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม๒๑ พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อมกําหนด ต้องรับผิดชอบการก่อให้เกิดมลพิษโดยต้องติดตั้ง หรือจัดให้มีระบบบําบัดอากาศเสีย อุปกรณ์หรือเคร่ืองมืออ่ืนใดสําหรับการควบคุม กําจัด ลด หรือขจัดมลพิษ ซ่ึงอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศตามท่ีเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษกําหนดตามมาตรา ๖๘ ต้องก่อสร้าง ติดตั้งหรือจัดให้มีระบบบําบัดนํ้าเสียหรือระบบกําจัดของเสียตามท่ีเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษกําหนด ตามมาตรา ๗๐ และต้องเสียค่าบริการระบบบําบัดน้ําเสียรวมหรือระบบกําจัดของเสียรวมตามอัตราท่ีกําหนด ในกรณีทีแ่ หล่งกําเนิดมลพษิ ไมม่ ีระบบบําบัดน้ําเสยี หรอื ระบบกําจัดของเสียของตนเองหรือไม่สามารถทําการบําบัด น้ําเสียหรือกําจัดของเสียได้ตามมาตรฐานที่กําหนดตามมาตรา ๗๒ หากเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิด มลพิษฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้จะต้องเสียค่าปรับจนกว่าจะปฏิบัติตามหรือตลอดเวลาท่ีดําเนินการเช่นว่านั้น ตามมาตรา ๙๐ และมาตรา ๙๒ และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายให้แก่ผู้ท่ีได้รับผลกระทบ ตามมาตรา ๙๖ รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐในกรณีท่ีทรัพยากรธรรมชาติถูกทําลาย สูญหาย หรือเสียหาย ตามมาตรา ๙๗ การบังคับคดีตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีแนวปฏิบัติ ตามระเบยี บสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ มีประเด็นที่น่าสนใจว่า “ผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย” ซ่ึงหมายถึง ผู้ต้องรับผิดทางแพ่งตามข้อ ๒๖ ประกอบกับ ขอ้ ๓๓ แหง่ ระเบียบสาํ นกั นายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว หรอื ผูต้ อ้ งรบั ผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย ตามมาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีการขยายความให้รวมถึงผู้ท่ีก่อให้เกิดการรั่วไหลแพร่กระจายของมลพิษหรือก่อให้เกิดภาวะมลพิษ ซึ่งตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กรณีการรั่วไหลหรือแพร่กระจาย ของมลพิษจะอยใู่ นความรบั ผิดของเจา้ ของหรอื ผูค้ รอบครองแหลง่ กําเนิดมลพิษนน้ั ๒๐ พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๙-๑๐. ๒๑ พระราชบัญญัติสง่ เสริมและรักษาคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หมายเหตุทา้ ยพระราชบญั ญตั ิ.

๑๒๖ ๙.๑.๒ หลักการพื้นฐานของกฎหมายสง่ิ แวดลอ้ มทค่ี วรมีความสําคัญมากขน้ึ หลักการเก่ียวกับข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมในการดําเนินงานท่ีมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ตามอนุสญั ญาว่าดว้ ยการเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสาร การมสี ว่ นรว่ มสาธารณะในการตดั สินใจ และการเข้าถึงความยุติธรรม ในคดีส่ิงแวดล้อม (Convent ionon Access to Information, Public Participation in Decision-making and Access to Justice in Environmental Matters) หรืออนุสัญญาอาร์ฮูส (Aarhus Convention) ประกอบด้วยหลักสําคัญ ๓ ประการ คือ การสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอันอาจเกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมหรือต่อสุขภาพ ของประชาชน และการสนับสนุนการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีและข้อพิพาททางส่ิงแวดล้อม๒๒ ซึ่งวิธีการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการควบคุมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมวิธีการที่ ๑ “ส่งเสริมประชาชนและองค์กรเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ได้สะท้อนหลักการดังกล่าวโดยพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้บุคคลมีสิทธิท่ีจะได้รับทราบข้อมูล และข่าวสารจากทางราชการเก่ียวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง (๑) เว้นแต่ข้อมูลหรือข่าวสารน้ันเป็นความลับเกี่ยวข้องกับการรักษาความม่ันคงแห่งชาติหรือความลับเก่ียวกับ สิทธิส่วนบุคคล สิทธิในทรัพย์สิน หรือสิทธิในทางการค้า หรือกิจการของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมาย ซ่ึงเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนการสนับสนุนให้ สาธารณชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอันอาจเกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมหรือต่อสุขภาพของประชาชน ปรากฏในส่วนท่ี ๔ การจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม ตามมาตรา ๔๘ แต่การสนับสนุน การเข้าถึงความยุติธรรมในคดีและข้อพิพาททางส่ิงแวดล้อมมีประเด็นท่ีน่าสนใจว่า มาตรา ๖ วรรคหน่ึง (๓) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่กําหนดให้บุคคลมีสิทธิ ร้องเรียนกล่าวโทษผู้กระทําผิดต่อเจ้าพนักงานในกรณีที่ได้พบเห็นการกระทําใด ๆ อันเป็นการละเมิด หรือฝ่าฝืน กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษ หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรม ในคดีส่ิงแวดล้อมหรือไม่ เรือ่ งนี้คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๖๓๐/๒๕๕๑ ได้วินิจฉัยไว้ว่า มาตรา ๖ วรรคหน่ึง (๓) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นบทกฎหมายท่ีบัญญัติ ให้บุคคลที่พบเห็นการกระทาํ ผิดอาจมีสิทธิและหน้าที่ร้องเรียนกล่าวโทษผู้กระทําผิดน้ันต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจ หน้าที่ดําเนินการหรือดําเนินคดีตามกฎหมายแทนรัฐเท่าน้ัน หาได้บัญญัติให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและหน้าที่ ในการฟ้องดําเนินคดีแทนรัฐหรือหน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด๒๓ มาตรา ๖ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงเป็นเพียงบทบัญญัติที่กําหนดสิทธิของบุคคล ๒๒ UNECE Convention on Access to Information, Public Participation in Decision-making and Access to Justice in Environmental Matters (Aarhus Convention) Article 1; ปีดิเทพ อยู่ยืนยง, ‘อนุสัญญาว่าด้วยการเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร การมีส่วนร่วมสาธารณะในการตัดสินใจ และการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีสิ่งแวดล้อม ค.ศ. ๑๙๙๘ (อนุสัญญาอาร์ฮูส) กบั ความยตุ ิธรรมทางสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งยั่งยนื ’ (public-law.net ๒๕๕๓). ๒๓ คําสัง่ ศาลปกครองสงู สุดที่ ๖๓๐/๒๕๕๑.

๑๒๗ ท่ีอาจจะแจ้งการกระทําผิดต่อเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจหน้าท่ีตามกฎหมายเท่านั้น แต่มิใช่บทบัญญัติที่รับรองสิทธิ ในการเข้าถงึ ความยตุ ธิ รรมในคดีส่ิงแวดลอ้ ม๒๔ สว่ นในระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพ่ือบังคับใช้กฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการกําหนดหน้าท่ีให้พนักงานอัยการประสานงาน ให้ความรู้ ให้คําปรึกษา แนะนํา ช้ีแจงข้อบกพร่อง วิธีป้องกันแก้ไข ตลอดจนให้บริการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการดําเนินคดีเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมแก่พนักงาน สอบสวน หน่วยงานของรฐั เจา้ พนักงานท้องถิน่ องค์กรเอกชน และประชาชนในจังหวัดตามข้อ ๒๒ และเปิดเผย รายละเอียดหรือข้อมูลท่ีไม่เป็นการเสียหายแก่การดําเนินคดีในกรณีที่การดําเนินคดีในศาลยังไม่ถึงที่สุดหรือ อยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง รวมถึงให้พนักงานอัยการแจ้งผลคดี แก่ศูนย์ข้อมูลโดยเร็วเมื่อคดีถึงท่ีสุดตามมาตรา ๒๕ แต่การให้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดน้ีเป็นไปตามหลักวิชาชีพ มิใช่หลักการพน้ื ฐานของกฎหมายส่งิ แวดล้อมแต่อย่างใด ๙.๒ กฎหมายคมุ้ ครองและรักษาทรพั ยากรป่าไม้ ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีคุณค่ามหาศาลเป็นหัวใจสําคัญของสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวโยงกับ ทรัพยากรนํา้ ดิน อากาศ สัตวป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื ๒๕ “ปา่ ” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง น. ท่ีท่ีมีต้นไม้ต่าง ๆ ขึ้นมา, ถ้าเป็นต้นสัก เรียกว่า ป่าสัก, ถ้าเป็นต้นรัง เรียกว่า ป่ารัง, ถ้ามีพรรณไม้ ชนิดใดชนิดหน่ึงขึ้นอยู่มาก ก็เรียกตามพรรณไม้น้ัน เช่น ป่าไผ่ ป่าคา ป่าหญ้า แต่มีคํานิยามตามมาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ หมายถึง ท่ีดิน รวมตลอดถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลําน้ํา ทะเลสาบ เกาะ และท่ีชายทะเลท่ียังมิได้มีบุคคลได้มา ตามกฎหมาย๒๖ ซึ่งเป็นคํานิยามที่กว้างมาก กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ของไทยจึงมีหลายฉบับ แตกต่างกนั ตามประเภทของป่าและส่งิ ท่ีกฎหมายมุ่งประสงค์คุ้มครอง เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มุ่งคุ้มครองไม้และของป่า๒๗ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มุ่งคุ้มครองเขตป่าสงวนแห่งชาติ และทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อรักษาไว้ซ่ึงสภาพป่าที่สมบูรณ์๒๘ พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มุ่งคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดข้ึนหรือมีอยู่ในท่ีดินท่ีได้ข้ึนทะเบียนเป็นสวนป่า เพื่อควบคุม ๒๔ UNECE Convention on Access to Information, Public Participation in Decision-making and Access to Justice in Environmental Matters (Aarhus Convention) Article 9. ๒๕ ศศิภา นารา, ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม (เอ็กซเปอรเ์ นท็ ๒๕๕๐) ๔๕. ๒๖ พระราชบญั ญัติปา่ ไม้ พทุ ธศักราช ๒๔๘๔ มาตรา ๔; พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔. ๒๗ อรทัย อินต๊ะไชย์วงค์, ‘สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน : ศึกษาความเหมาะสมของการใช้ทฤษฎีของ Elinor Ostrom ในประเทศไทย’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต สถาบัน บัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร์ ๒๕๖๐) ๑๕๕. ๒๘ เพง่ิ อา้ ง ๑๕๖.

๑๒๘ กํากับ และสนับสนุนการทําสวนป่าเพ่ือประโยชน์ทางการค้า๒๙ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มุ่งหมาย ให้บุคคลและชุมชนได้ประโยชน์จากป่าชุมชน ดูแลรักษาและจัดการป่าชุมชนร่วมกับรัฐเพ่ือรักษาและฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ และมุ่งหมายกําหนดสาระแห่งสิทธิของบุคคล และชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรอง๓๐ และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่จํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพ่ือสงวน อนุรักษ์ คุ้มครอง และบํารุงรักษาอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรุกขชาติ และบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในพ้ืนที่ดังกล่าวให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุล และย่ังยนื ๙.๒.๑ หลักการพนื้ ฐานของกฎหมายสิง่ แวดล้อมทส่ี าํ คญั ๙.๒.๑.๑ หลกั การพัฒนาอย่างยง่ั ยนื หลักการพัฒนาอย่างย่ังยืนปรากฏเป็นรูปธรรมคร้ังแรกในลักษณะของใบสําคัญรับรองการจัดการป่าไม้ อย่างย่ังยืนจากกรมป่าไม้ตามมาตรา ๘/๑ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงปรากฏเป็นเหตุผลและความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัติ ปา่ ชมุ ชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญตั อิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ หลักการพฒั นาอย่างยัง่ ยืนอยูใ่ นนิยามของคําวา่ “อทุ ยานแห่งชาติ” ตามมาตรา ๔ และโครงการอนุรักษ์ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนตามมาตรา ๖๕ ส่วนในพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ที่บัญญัติถึงความยั่งยืนมากท่ีสุด เช่น นิยามของคําว่า “ป่าชุมชน” และ “เครือข่ายป่าชุมชน” ตามมาตรา ๔ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๖ คําขอจัดตงั้ ปา่ ชมุ ชนตามมาตรา ๓๓ ประกอบกับมาตรา ๓๒ การใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน ตามมาตรา ๕๐ วัตถุประสงในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน หรือค่าบริการ จากบุคคลท่ีมิใช่สมาชิก ปา่ ชุมชนเนอ่ื งในการใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ชุมชนตามมาตรา ๕๖ และหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีป่าชุมชนตามมาตรา ๖๔ สังเกตได้ว่า กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ในระยะหลังบัญญัติถึงหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หลักการน้ีปรากฏอยู่ก่อนแล้วต้ังแต่ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ เช่น การห้ามทําไม้ท่ีไม่มีรอยตราอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้ตามมาตรา ๑๒ การหา้ มทําไม้ทมี่ ขี นาดต่ํากวา่ ขนาดจํากัดตามที่รัฐมนตรีอนุญาตให้ทําได้ ตามมาตรา ๑๓ เปน็ ตน้ ๒๙ อรทัย อินต๊ะไชย์วงค์ (เชิงอรรถที่ ๒๗) ๑๕๗. ๓๐ พระราชบญั ญตั ปิ า่ ชมุ ชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๓.

๑๒๙ ๙.๒.๑.๒ หลกั ความใกล้ชิดในการจัดการปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม หลักความใกล้ชิดในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ปรากฏในกฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากร ป่าไม้ ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เช่น การให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปในสวนป่า เพื่อเก็บหาข้อมูลทางวิชาการ เก็บสถิติการเจริญเติบโตของไม้ ประเมินผลการทําสวนป่า และติดตาม ผลการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามมาตรา ๘ และพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ เช่น การให้อํานาจบุคคลและชุมชนดูแลรักษาและจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๓ การส่งเสริมให้ชุมชนร่วมอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู จัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนตามมาตรา ๖ การให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจํา จังหวัดมีอํานาจแต่งต้ังเจ้าหน้าท่ีป่าชุมชนตามมาตรา ๒๗ และอํานาจออกใบอนุญาตให้บุคคลเข้าไปศึกษา ค้นคว้า วจิ ยั หรือสาํ รวจความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนตามมาตรา ๖๖ ซ่ึงสังเกตได้ว่า พระราชบัญญัติ ๒ ฉบับที่มีหลักความใกล้ชิดในการจัดการปัญหาส่ิงแวดล้อมเป็นพระราชบัญญัติ ๒ ฉบับท่ีให้อํานาจประชาชน ในการดูแลและจดั การพนื้ ท่ปี า่ ด้วยตนเอง ๙.๒.๑.๓ หลักการเก่ยี วกับข้อมลู ข่าวสารและการมีสว่ นร่วมในการดาํ เนินงานทม่ี ผี ลกระทบต่อส่งิ แวดล้อม หลักการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมในการดําเนินงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปรากฏในกฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ในลักษณะของการกําหนดส่ิงต่าง ๆ ท่ีต้องตราพระราชกฤษฎีกา หรือออกกฎกระทรวงซ่ึงจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ บัญญัติว่า การกําหนดประเภทไม้หวงห้ามตามมาตรา ๗ การกําหนดของป่าหวงห้ามตามมาตรา ๒๗ และ การเพ่ิมเติมหรือเพิกถอนของป่าหวงห้ามตามมาตรา ๒๘ ต้องกําหนดโดยพระราชกฤษฎีกา พระราชบัญญัติ ปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บญั ญตั วิ ่า การกาํ หนดปา่ สงวนแห่งชาตติ ามมาตรา ๖ การเปล่ยี นแปลงเขตหรือ การเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนตามมาตรา ๗ ให้กระทําโดยออกกฎกระทรวง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติว่า การกําหนดอุทยานแห่งชาติตามมาตรา ๖ และ การขยายหรือการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วนตามมาตรา ๗ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และให้มีแผนท่ีแสดงแนวเขตแนบท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย การจัดทําแผนการบริหารจัดการพ้ืนที่อุทยาน แห่งชาติต้องมีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนท่ีเก่ียวข้อง และประชาชน ตามมาตรา ๑๘ ในอุทยานแห่งชาติต้องจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ การดูแลรักษาความปลอดภัย การให้คําแนะนํา หรือการจัดระบบการเตือนภัยแก่ประชาชนตามมาตรา ๒๔ การกําหนดพื้นท่ีวนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ หรือสวนรุกขชาติ และการขยายหรือการเพิกถอนพ้ืนท่ีดังกล่าวไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วนต้องประกาศโดยมี แผนทีแ่ สดงแนวเขตแนบท้ายประกาศนั้นด้วยตามมาตรา ๒๖ รวมถึงเงินค่าบริการหรือเงินค่าตอบแทนท่ีได้รับ ตามมาตรา ๒๙ ต้องจัดทํารายงานและผลการปฏิบัติงานประจําปีเสนอต่อคณะกรรมการและเผยแพร่ ให้ประชาชนรบั ทราบตามมาตรา ๓๓

๑๓๐ นอกจากหลักการเก่ียวกับข้อมูลข่าวสารข้างต้น มาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ยังได้รับรองสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการ ดําเนินงานท่ีมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม โดยกําหนดให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนมีอํานาจเข้าเป็นโจทก์ ร่วมกับกรมป่าไม้และมีอํานาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ในกรณีที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนได้ออก ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการที่เก่ียวข้อง หรือในกรณีสมาชิกป่าชุมชนได้รับความเสียหายในการใช้ประโยชน์ จากผลผลติ และบริการปา่ ชุมชน ๙.๒.๒ หลักการพืน้ ฐานของกฎหมายสงิ่ แวดลอ้ มที่ควรมีความสาํ คญั มากขึน้ กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ท่ีนํามาศึกษาท้ัง ๕ ฉบับแสดงให้เห็นการตีความหลักการ พ้ืนฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อมในหลายความสัมพันธ์ เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งคุ้มครองที่ดินท่ียังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายจึงอยู่ในความดูแลของรัฐตามหลัก ความไว้วางใจจากสาธารณะ (Public Trust Doctrine)๓๑ โดยสังเกตได้จากการเก็บค่าภาคหลวงของรัฐ ตามมาตรา ๙ และมาตรา ๒๙๓๒ เช่นเดียวกับปา่ สงวนแหง่ ชาตติ ามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และอุทยานแห่งชาตติ ามพระราชบญั ญตั อิ ุทยานแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนสวนป่าตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นข้อยกเว้นหลักการดังกล่าวโดยอนุญาตให้ผู้มีกรรมสิทธ์ิ สิทธิครอบครอง หรือผู้มีสิทธิ ใชป้ ระโยชนใ์ นทด่ี ิน ยน่ื คาํ ขอข้นึ ทะเบียนตอ่ นายทะเบียนเพ่ือใช้ทีด่ นิ ทําสวนปา่ เพื่อการค้า๓๓ และพระราชบัญญตั ิ ป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่ีอนุญาตให้กลุ่มประชาชนท่ีรวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์ร่วมกันมี อํานาจร่วมจัดการพ้ืนท่ีซึ่งได้รับอนุมัติให้จัดต้ังเป็นป่าชุมชน๓๔ โดยในการจัดการป่าชุมชนจะมีคณะกรรมการ จัดการป่าชุมชนซ่ึงมีอํานาจทํานิติกรรมใด ๆ รวมถึงดําเนินคดีเก่ียวกับทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนได้๓๕ อย่างไรกต็ าม ป่าชมุ ชนยังคงสถานะป่าหรือพื้นที่อื่นของรัฐอยู่เพียงแต่ให้อํานาจกลุ่มประชาชนเข้ามาร่วมจัดการ เท่าน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ทั้ง ๕ ฉบับใช้หลักการพื้นฐานว่าด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเอามุมมองท่ีมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางโดยมีรัฐเป็นเจ้าของหรือ ผู้ควบคุมดูแลตามหลักความไว้วางใจจากสาธารณะ ยกเว้น ป่าชุมชนที่มีคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนเป็น ผู้ควบคุมดูแล และสวนป่าท่ีเอกชนอาจถือกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในท่ีดินได้ ซ่ึงสอดคล้องกับข้อสังเกตในข้อ ๒.๑.๒ ที่ว่า พระราชบัญญัติ ๒ ฉบับที่ให้อํานาจประชาชนในการจัดการและ ดูแลรักษาพื้นท่ีป่าเป็นพระราชบัญญัติที่ใช้หลักความใกล้ชิดในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม และเน่ืองจาก ๓๑ Jack H Archer, The Public Trust Doctrine and the Management of America's Coasts (University of Massachusetts Press 1994) 3. ๓๒ อรทยั อินต๊ะไชยว์ งค์ (เชิงอรรถที่ ๒๗) ๑๕๕. ๓๓ พระราชบญั ญตั สิ วนปา่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔-๕. ๓๔ พระราชบญั ญตั ิป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๔. ๓๕ พระราชบัญญตั ปิ า่ ชมุ ชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๗.

๑๓๑ พระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวเป็นพระราชบัญญัติที่เกิดขึ้นในภายหลังจึงเป็นการสะท้อนให้เห็นหลักการ ว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะท่ีถดถอยลงแต่มีลักษณะของการพัฒนาบทบัญญัติ แห่งกฎหมายให้มีความก้าวหน้าขึ้น อย่างไรก็ดี กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ในอนาคตอาจ รับเอาหลักความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันทางนิเวศวิทยา (Ecological Harmony) และเห็นว่ามนุษย์เป็น สว่ นหนง่ึ ของธรรมชาติกเ็ ป็นได้ ๙.๓ กฎหมายคมุ้ ครองและรกั ษาทรพั ยากรทางทะเล ทะเลเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และเป็นที่อยู่อาศัยของส่ิงมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ การท่ีมนุษย์นําวัตถุหรือพลังงานเข้าไปสู่ส่ิงแวดล้อมทางทะเลไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมย่อมส่งผลกระทบ ต่อทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตในทะเล เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ และเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมทางทะเล๓๖ จึงมีข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับท่ีวางหลักการคุ้มครองและรักษาส่ิงแวดล้อมทางทะเล ประเทศไทย ก็มีกฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรทางทะเล ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือกําหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการ การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และเพื่อให้ประชาชนและชุมชนในท้องถ่ินได้มีส่วนร่วมในการปลูก การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ และการฟื้นฟู ทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั อยา่ งสมดุลและยั่งยืน๓๗ และพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซ่ึงมุ่งหมาย ท่ีจะจัดระเบียบการประมงในประเทศไทยและในน่านนํ้าทั่วไป เพ่ือป้องกันการทําการประมงโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เพื่อรักษาทรัพยากรสัตว์นํ้าสภาพสิ่งแวดล้อมให้ดํารงอยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม รวมท้ังคุ้มครอง สวัสดิภาพของคนประจําเรือ และป้องกันการใช้แรงงานผิดกฎหมาย๓๘ นอกจากน้ี ยังมีพระราชบัญญัติ การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่มุ่งคุ้มครอง “ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล” ซ่ึงหมายถึง ผลประโยชนข์ องประเทศไทย อันพึงได้รับจากกิจกรรมทางทะเลหรือประโยชน์อ่ืนใดในเขตทางทะเลไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม เช่น ด้านความม่ันคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านทรัพยากร หรือดา้ นสงิ่ แวดล้อม๓๙ แต่โดยเนือ้ หาไม่ปรากฏการคมุ้ ครองและรกั ษาทรัพยากรทางทะเลแตอ่ ย่างใด ระหว่างกฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรทางทะเล ๒ ฉบับมีข้อสังเกตเกี่ยวกับหลักการพ้ืนฐาน ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ มีส่ิงที่กฎหมายมุ่งประสงค์คุ้มครอง คือ “ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” ซ่ึงมีนิยามตามมาตรา ๓ ว่า “ส่ิงท่ีมีอยู่หรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติในบริเวณทะเลและชายฝั่ง รวมถึงพรุชายฝ่ัง ๓๖ United Nations Convention on the Law of the Sea (UNCLOS) Article 1 Paragraph 1 (4); จุมพต สายสุนทร, กฎหมายสง่ิ แวดลอ้ มระหว่างประเทศ : การคุม้ ครองและรกั ษาสิง่ แวดลอ้ มทางทะเล (พิมพ์คร้งั ท่ี ๓, วญิ ญูชน ๒๕๖๐) ๓๐. ๓๗ พระราชบญั ญัติส่งเสรมิ การบรหิ ารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั พ.ศ. ๒๕๕๘ หมายเหตทุ า้ ยพระราชบญั ญัต.ิ ๓๘ พระราชกาํ หนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔. ๓๙ พระราชบัญญตั กิ ารรกั ษาผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๓.

๑๓๒ พื้นที่ชุ่มน้ําชายฝ่ัง คลอง คูแพรก ทะเลสาบ และบริเวณพ้ืนท่ีปากแม่น้ําที่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเลหรืออิทธิพล ของนํ้าทะเลเข้าถึง เช่น ป่าชายเลน ป่าชายหาด หาด ท่ีชายทะเล เกาะ หญ้าทะเล ปะการัง ดอนหอย พืช และสัตว์ทะเล หรือสิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ปะการังเทียม แนวลดแรงคล่ืน และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง” ส่วนพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสิ่งที่กฎหมายมุ่งประสงค์คุ้มครองในส่วนท่ีเก่ียวกับทรัพยากรทางทะเล คือ “ทรัพยากรสัตว์นํ้าให้อยู่ในภาวะ ท่ีเป็นแหล่งอาหารของมนุษยชาติอย่างย่ังยืน และสภาพสิ่งแวดล้อมให้ดํารงอยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม ตามแนวทาง กฎเกณฑ์ และมาตรฐานท่ีเป็นที่ยอมรับนับถือในนานาประเทศ” จึงเห็นได้ชัดว่า พระราชบัญญัติ ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ เกิดจากมุมมองท่ีมีธรรมชาติเป็น ศูนย์กลางและเห็นคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ ในธรรมชาติอย่างท่ีส่ิงนั้นเป็น ต่างจากพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ท่ีมุ่งคุ้มครองกิจกรรมการประมงของมนุษย์และคุ้มครองธรรมชาติในฐานะทรัพยากรและที่อยู่ ของทรัพยากรของมนุษย์เท่านั้น ส่วนที่บัญญัติถึงความย่ังยืนและแนวทาง กฎเกณฑ์ และมาตรฐานสากล ก็สะทอ้ นใหเ้ หน็ แนวคิดสากลนยิ ม (Universalism)๔๐ ซง่ึ มมี นุษยเ์ ป็นศนู ย์กลางเชน่ กนั ๙.๓.๑ หลักการพื้นฐานของกฎหมายส่งิ แวดล้อมท่สี าํ คัญ ๙.๓.๑.๑ หลกั ความใกลช้ ดิ ในการจัดการปญั หาสิ่งแวดล้อม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ แสดงให้เห็น หลักความใกล้ชิดในการจัดการปัญหาส่ิงแวดล้อมผ่านการตั้งและให้อํานาจคณะกรรมการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งจังหวัดสําหรับจังหวัดที่มีพื้นท่ีเพ่ือการปลูก การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ และการฟ้ืนฟูทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่งตามมาตรา ๑๒ ซ่ึงเป็นมากกว่าฝ่ายปฏิบัติการของคณะกรรมการนโยบายและแผนการ บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติตามมาตรา ๕ เพราะมีหน้าที่จัดทําและเสนอนโยบาย และแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังจังหวัดเพ่ือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและแผนการ บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั แห่งชาติในลักษณะจากลา่ งขน้ึ บน (Bottom-Up) และดําเนินการ ร่วมกับภาคประชาชน ชุมชนชายฝั่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการปลูก การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟน้ื ฟู และการใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังในจังหวัด๔๑ ๔๐ Jasdev Singh Rai, Celia Thorheim, Amarbayasgalan Dorjderem, and Darryl Macer, Universalism and Ethical Values for the Environment (UNESCO Bangkok 2010) 3,8-9; จุมพต สายสุนทร, กฎหมายสิ่งแวดล้อม ระหวา่ งประเทศ : การคุ้มครองและรักษาสงิ่ แวดล้อมทางทะเล (พิมพค์ ร้ังที่ ๓, วิญญชู น ๒๕๖๐) ๔๓-๔๖. ๔๑ พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสริมการบรหิ ารจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่งั พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๓.

๑๓๓ ๙.๓.๑.๒ หลักการปอ้ งกันลว่ งหนา้ พระราชบัญญตั สิ ่งเสริมการบริหารจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ ใช้หลักป้องกัน ไวก้ ่อนเพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟ้นื ฟพู น้ื ท่ี และทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเพ่ือ ปอ้ งกนั ปัญหาการกัดเซาะชายฝง่ั และป้องกนั ความเสียหายต่อชีวติ และทรพั ย์สินของประชาชน โดยการกําหนด พื้นท่ีป่าชายเลนอนุรักษ์ตามมาตรา ๑๘ กําหนดพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังตามมาตรา ๒๐ กําหนดเขตพื้นท่ีที่จะใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝ่ังตามมาตรา ๒๑ รวมถึงกําหนดหน่วยงานของรัฐ ท่ีจะเป็นผู้ดําเนินการตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังในกรณีวิกฤติหรือมีความจําเป็น อย่างย่งิ ตามมาตรา ๒๒ ประกอบกับมาตรา ๒๓ ในการกาํ หนดพน้ื ทเี่ หล่าน้ี รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมต้องออกกฎกระทรวง ซึ่งมีแผนท่ีแสดงแนวเขตพ้ืนท่ีแนบท้ายกฎกระทรวง กฎกระทรวงพร้อมแผนที่แนบท้ายนี้ และการกําหนด หน่วยงานของรัฐท่ีจะเป็นผู้ดําเนินการในกรณีวิกฤติหรือมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนกําหนดประเภท ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง รายละเอียดเก่ียวกับมาตรการคุ้มครอง กําหนดระยะเวลาและการขยาย ระยะเวลา จะตอ้ งประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเพ่อื ให้ประชาชนรบั ทราบตามหลักการเกี่ยวกับขอ้ มลู ข่าวสารดว้ ย ๙.๓.๑.๓ หลักการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื พระราชกาํ หนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ยึดถือหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “หมวด ๒ การบริหารจัดการด้านการประมง” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นํ้าอยู่ในภาวะ ทเี่ หมาะสมและเกิดผลิตผลสงู สดุ ท่ีสามารถทาํ การประมงไดอ้ ย่างย่ังยืน๔๒ หมวด ๕ มาตรการอนุรักษ์และบริหาร จัดการ ท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ และรักษาทรัพยากร สัตวน์ ํา้ และระบบนเิ วศไว้อย่างย่งั ยนื ๔๓ และหมวด ๖ การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริม การเพาะเล้ียงสัตว์นํ้าเพ่ือเป็นแหล่งผลผลิตของสัตว์นํ้าอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นํ้าให้เกิดความยั่งยืน๔๔ ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจ คือ วัตถุประสงค์เก่ียวกับ ความย่งั ยนื ตามมาตรา ๑๒ และมาตรา ๕๕ แหง่ พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ จะตามด้วยหลักการ ป้องกันล่วงหน้า (หลักการป้องกนั ล่วงหน้า) เสมอ ๙.๓.๑.๔ หลักการเก่ยี วกบั ขอ้ มูลขา่ วสารและการมสี ว่ นรว่ มในการดาํ เนนิ งานที่มผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม นอกจากการประกาศการกําหนดเขตพ้ืนท่ีต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มาตรา ๒๕ แห่งพระราชกําหนด ๔๒ พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๒. ๔๓ พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๕๕. ๔๔ พระราชกาํ หนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๗๓.

๑๓๔ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์นํ้าภายในท่ีจับสัตว์ น้ําในเขตประมงนํ้าจืดหรือเขตทะเลชายฝ่ัง โดยให้กรมประมงดําเนินการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน ชุมชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดทํานโยบายการพัฒนาการประมงในน่านนํ้าไทยตามตามมาตรา ๑๙ (๑) การรวมกลุม่ และข้ึนทะเบียนองคก์ รชมุ ชนประมงท้องถ่นิ ฯลฯ ๙.๓.๒ หลักการพ้นื ฐานของกฎหมายสง่ิ แวดลอ้ มที่ควรมีความสําคญั มากขน้ึ ๙.๓.๒.๑ หลกั การเก่ยี วกบั ขอ้ มลู ข่าวสารและการมีสว่ นรว่ มในการดําเนินงานท่ีมีผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม มาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ กําหนดว่า ในกรณีที่บุคคลก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้อธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอํานาจสั่งให้บุคคลนั้นระงับการกระทําหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งน้ันเป็นการช่ัวคราวตามความเหมาะสม แต่บทบัญญัติดังกล่าวและ บทบัญญัติอ่ืน ๆ ในพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ไม่มีมาตราใดเลยท่ีให้อํานาจประชาชนในการ กลา่ วโทษรอ้ งทุกขใ์ นความเสยี หายอยา่ งรา้ ยแรงทเ่ี กดิ ตอ่ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หากประชาชนจะใช้สิทธิ ทางศาลในเรอ่ื งดงั กลา่ วยอ่ มต้องใชส้ ทิ ธติ ามกฎหมายฉบบั อ่นื เทา่ นนั้ ๙.๓.๒.๒ หลักผู้ก่อมลพษิ เปน็ ผจู้ ่าย พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชกําหนด การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มีบทกําหนดโทษเฉพาะโทษทางอาญาเท่านั้น แม้จะมีการกําหนดโทษปรับ แต่กลับไม่ปรากฏว่าจะมีการชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีการกําหนดกองทุนท่ีจะนําค่าปรับเหล่าน้ัน มาบรหิ ารจัดการเพอ่ื ฟ้นื ฟทู รพั ยากรทางทะเลและชายฝั่งอีกด้วย ๙.๔ กฎหมายจดั การทรัพยากรนํ้า น้ําเป็นทรพั ยากรธรรมชาตทิ ีจ่ ําเปน็ ในการดาํ รงชีวิตและมีความสําคัญต่อมนุษย์ ท้ังทางตรงและทางอ้อม เชน่ การอปุ โภคบริโภค เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การผลิตกระแสไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง การประมง และ การพักผ่อนหย่อนใจ ปัญหาที่เกี่ยวกับทรัพยากรนํ้าอาจเป็นการขาดแคลนน้ํา นํ้าท่วม หรือมลพิษทางนํ้า๔๕ ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติเก่ียวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําหลายฉบับ โดยพระราชบัญญัติฉบับ ที่เก่าแก่ที่สุดและยังใช้บังคับอยู่คือ พระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือบํารุงรักษาคลองเก่าที่มีอยู่เดิมและคลองที่จะขุดขึ้นใหม่ในเวลานั้น พระราชบัญญัตินี้ ๔๕ ศศิภา นารา (เชงิ อรรถที่ ๒๕) ๓๑-๓๗.

๑๓๕ ใช้บังคบั ต้ังแต่ในสมยั รชั กาลที่ ๕ ถงึ ปัจจบุ ันโดยไมเ่ คยปรับปรงุ แกไ้ ข จงึ แทบไม่มกี ารนาํ มาใช้เป็นเวลานานแล้ว๔๖ แต่ท่ียังใช้บังคับอยู่เพราะยังไม่มีกฎหมายฉบับใดยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับน้ี ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซึ่งมุ่งคุ้มครองน่านนํ้าไทยท่ีใช้ประโยชน์ในการเดินเรือ อันหมายถึง น่านนํ้าภายในอํานาจอธิปไตยของราชอาณาจักไทย รวมถึงทะเลอาณาเขตความกว้าง ๑๒ ไมล์ทะเล๔๗ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ท่ีคุ้มครองนํ้าเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณปู โภค และการอตุ สาหกรรม รวมถงึ การคมนาคมทางน้ําในเขตชลประทาน และห้ามนําบทบัญญัติ แห่งพระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ มาใช้สําหรับทางนํ้าชลประทานตามพระราชบัญญัติน้ี๔๘ พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่คุ้มครองบริการการประปาในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ๔๙ พระราชบัญญัตินํ้าบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่มุ่งควบคุมการเจาะและ การใชน้ า้ํ บาดาลมใิ หข้ าดแคลนหรือเสียหาย๕๐ พระราชบญั ญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ทมี่ งุ่ รกั ษาคลองประปา ที่ใช้เก็บน้ํา สง่ นาํ้ จากแหล่งนํ้าดิบ รับนํ้า หรือขังน้ํา เพ่ือใช้ในการผลิตน้ําประปา๕๑ หรือพระราชบัญญัติทรัพยากรนํ้า พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบํารุงรักษา การฟ้นื ฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา และสิทธใิ นนํา้ เพื่อความสมดลุ และย่งั ยนื ๕๒ ๙.๔.๑ หลักการพน้ื ฐานของกฎหมายส่งิ แวดลอ้ มที่สําคัญ ๙.๔.๑.๑ หลักการปอ้ งกนั ลว่ งหนา้ หลักการป้องกันล่วงหน้าเปรียบเสมือนจุดเร่ิมต้นและสาระสําคัญของกฎหมายจัดการทรัพยากรนํ้า ต้ังแต่ฉบับแรก ๆ ท่ีต้องมีบทบัญญัติเก่ียวกับการห้ามทําให้ทางนํ้าหรือแหล่งน้ําท่ีกฎหมายคุ้มครองปนเปื้อน เสียหาย เช่น ห้ามท้ิงวัตถุสิ่งของลงในคลองหรือทางน้ํา ห้ามพาสัตว์พาหนะขึ้นลงคลองนอกท่าข้ามหรือลงไป ในทางนํ้าชลประทานประเภท ๑ และประเภท ๒๕๓ ห้ามทอดสมอหรือผูกจอดเรือในทางเรือเดิน ห้ามกีดขวาง ๔๖ อาํ นาจ วงศ์บัณฑติ , กฎหมายส่ิงแวดลอ้ ม (พมิ พค์ ร้ังท่ี ๔, วญิ ญชู น ๒๕๖๒) ๒๕๔. ๔๗ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ มาตรา ๓; อํานาจ วงศ์บัณฑิต, กฎหมายส่ิงแวดล้อม (พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, วิญญชู น ๒๕๖๒) ๒๕๕. ๔๘ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๕ มาตรา ๒-๓. ๔๙ พระราชบญั ญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ หมายเหตทุ า้ ยพระราชบัญญัต.ิ ๕๐ พระราชบัญญตั นิ ้ําบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ หมายเหตุทา้ ยพระราชบญั ญัต.ิ ๕๑ พระราชบญั ญตั ริ กั ษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ หมายเหตุท้ายพระราชบัญญตั แิ ละมาตรา ๔. ๕๒ พระราชบญั ญัติทรพั ยากรนาํ้ พ.ศ. ๒๕๖๑ หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัต.ิ ๕๓ พระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ มาตรา ๖-๗; พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พทุ ธศักราช ๒๔๘๕ มาตรา ๒๗-๒๘; พระราชบัญญตั ิรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๑๕.

๑๓๖ การเดินเรือ๕๔ ห้ามปลูกสร้างรุกล้ําทางนํ้าชลประทาน ห้ามกีดขวางทางนํ้าชลประทาน ห้ามทําให้ทางน้ํา ชลประทานรั่วไหล๕๕ หา้ มปลูกสร้างในเขตการประปานครหลวง๕๖ ฯลฯ ๙.๔.๑.๒ หลักการวา่ ด้วยการคุ้มครองสง่ิ แวดล้อมตอ้ งไม่มลี กั ษณะทถี่ ดถอยลง กฎหมายจัดการทรัพยากรน้ํามีจํานวนหลายฉบับและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างกัน ลําดับเวลาในการตรา พระราชบัญญัตินี้เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีท่ีช่วยในการศึกษาหลักการว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต้องไม่มี ลักษณะที่ถดถอยลงโดยศึกษาจากความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในพระราชบัญญัติเก่ียวกับการจัดการทรัพยากร นาํ้ แตล่ ะฉบับ เชน่ จากพระราชบญั ญัติรกั ษาคลอง รัตนโกสนิ ทรศก ๑๒๑ ที่อาจจะมีเพียงหลักการป้องกันล่วงหน้า โดยไม่มเี ปา้ หมายทเี่ ป็นรปู ธรรมว่าต้องการให้คลองมสี ภาพและประโยชน์อย่างไร มาสู่พระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ และ พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ ท่ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือคุ้มครองกิจกรรมของมนุษย์โดยการรักษา ทางน้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อมาจึงมีพระราชบัญญัติน้ําบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ และพระราชบัญญัติรักษา คลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่รวมเอาแนวคิดเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเคยปรากฏ ในพระราชบัญญัติฉบับก่อน ๆ แล้วเข้าไว้ด้วยกัน และมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสภาพของแหล่งนํ้าน้ันไว้ เพื่อคุณค่าอ่ืนนอกเหนือจากกิจกรรมของมนุษย์ และล่าสุดพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. ๒๕๖๑ ท่ีนําเอา หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อมมาบัญญัติเป็นกฎหมายจัดการทรัพยากรน้ํา วิวัฒนาการของกฎหมายจัดการทรัพยากรนํ้าเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงหลักการว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ต้องไมม่ ีลักษณะที่ถดถอยลงแต่ต้องมลี กั ษณะของการคุ้มครองที่มปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผลย่ิงข้นึ ๙.๔.๒ หลกั การพ้นื ฐานของกฎหมายสง่ิ แวดล้อมทีค่ วรมคี วามสําคัญมากข้นึ ๙.๔.๒.๑ หลกั ผู้กอ่ มลพษิ เปน็ ผจู้ า่ ย หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายเป็นหลักการที่ใกล้ชิดกับหลักการป้องกันล่วงหน้าโดยเป็นเหมือนมาตรการบังคับ ให้บุคคลที่ก่อหรือจะก่อมลพิษรับผิดชอบต่อมลพิษที่เกิดข้ึน กฎหมายจัดการทรัพยากรน้ําท่ีนํามาศึกษาทุกฉบับ มีบทกําหนดโทษทางอาญาสําหรับผู้กระทําความผิดหรือผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย พระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ มีลักษณะโทษและลักษณะรับผิดชอบทางแพ่ง๕๗ พระราชบัญญัติ การชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ มีค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ให้แก่เจ้าของที่ดิน๕๘ แต่ท้ังหมดน้ีไม่มี ๕๔ พระราชบัญญตั กิ ารเดินเรือในน่านน้ําไทย พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๖ มาตรา ๓๑,๔๘,๘๐,๙๔. ๕๕ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ มาตรา ๒๓-๒๖. ๕๖ พระราชบัญญตั ิการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓๙. ๕๗ พระราชบญั ญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓๙. ๕๘ พระราชบญั ญตั กิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนาํ้ ไทย พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖ มาตรา ๒๙๗-๓๐๑.

๑๓๗ การชดใช้ค่าเสียหายที่เก่ียวกับส่ิงแวดล้อม ไม่มีการเก็บค่าปรับเพ่ือนําเข้ากองทุนเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม มีเพียง พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ผู้กระทําละเมิดซึ่งทําให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากร นํ้าสาธารณะหรือใช้ทรัพยากรนํ้าสาธารณะโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อรัฐ๕๙ ตามหลกั ผ้กู ่อมลพษิ เปน็ ผู้จ่าย ๙.๔.๒.๒ หลกั บรู ณาการทางสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อมเพ่ิงได้รับการบัญญัติ ในพระราชบัญญตั ิทรพั ยากรนา้ํ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมบี ทบญั ญัติทแ่ี สดงใหเ้ หน็ เชน่ องคป์ ระกอบของคณะกรรมการ ทรัพยากรนํ้าแห่งชาติท่ีไม่เพียงประกอบด้วยกรรมการโดยตําแหน่งจากหลากหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง แต่ยังมี กรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มนํ้าและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๙ มีศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ในกรณีเกิดปัญหาวิกฤตินํ้าอันอาจเกิดผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของคน สัตว์ หรือพืช ตามมาตรา ๒๔ มีคณะกรรมการลุ่มนํ้าซ่ึงกําหนดโดยคํานึงถึงสภาพอุทกวิทยา สภาพภูมิศาสตร์ ระบบนิเวศ การต้ังถ่ินฐาน การผังเมือง ผังนํ้า และเขตการปกครองตามมาตรา ๒๕ และการก่อต้ังองค์กรผู้ใช้นํ้าจากบุคคลซ่ึงใช้นํ้า ในบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ําเดียวกันตามมาตรา ๓๘ อย่างไรก็ตาม หลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อม จําเป็นต้องมีกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอย่างทั่วถึง การท่ีประเทศไทยยังมีกฎหมายจัดการทรัพยากรน้ําใช้บังคับ อยู่หลายฉบับและเกือบทุกฉบับมีสถานะเป็นพระราชบัญญัติเท่ากัน จึงทําให้มีความกังวลในเรื่องการดําเนินการ อย่างไรก็ดี มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้บัญญัติไว้ว่า การจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบํารุงรักษา การฟื้นฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรนํ้า และสิทธิในนํ้าให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติน้ี เว้นแต่ในกรณีที่มีกฎหมายกําหนดไว้โดยเฉพาะให้ดําเนินการไปตามกฎหมายเฉพาะนั้นเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้ง กบั บทบญั ญัตแิ หง่ พระราชบญั ญตั นิ ้ี ๙.๕ กฎหมายค้มุ ครองสตั วแ์ ละพันธุ์พืช สัตว์ป่าเป็นทรัพยากรท่ีมีท้ังประโยชน์และโทษ เช่น เป็นอาหาร เครื่องใช้ เคร่ืองประดับ มีประโยชน์ ด้านวชิ าการ การพักผ่อนหย่อนใจ จึงเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ที่สําคัญที่สุด คือ ประโยชน์ของสัตว์ป่าในฐานะ ผู้รักษาสมดุลทางธรรมชาติโดยการขจัดศัตรูพืช ผสมเกสรดอกไม้ กระจายพันธ์ุไม้ และสร้างความอุดมสมบูรณ์ ในดิน อย่างไรก็ตาม สัตว์ป่าอาจทําลายพืชผล ทุ่งหญ้า ต้นไม้ในป่า ลดปริมาณสัตว์อื่นท่ีถูกล่า และเป็นอันตราย ต่อมนุษย์ สัตว์ป่าจึงมักถูกล่า ทําลายท่ีอยู่อาศัย หรือตายจากสภาพธรรมชาติ สารพิษ และการนําสัตว์ต่างถ่ิน เข้ามา๖๐ ในประเทศไทยสัตว์ป่าบางชนิดมีสถานะพิเศษ เช่น ช้างป่านับเป็นของหลวงสําหรับแผ่นดิน ผู้ใดจะจับไปใช้สอยต้องขออนุญาตต่อรัฐบาล การป้องกันอันตรายแก่ช้างป่าและการทํานุบํารุงพันธ์ุช้างป่า จึงตอ้ งมีกฎหมายเฉพาะ คือ พระราชบัญญัติสําหรับรักษาช้างป่า พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ส่วนการสงวน อนุรักษ์ ๕๙ พระราชบญั ญตั ทิ รัพยากรนา้ํ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๓. ๖๐ ศศภิ า นารา (เชิงอรรถที่ ๒๕) ๕๒-๕๕.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook