๒๓๘ ๑.๒.๑ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ คือ บทบัญญัติกฎหมายท่ีมีเน้ือหาเก่ียวกับ การคุ้มครองหรือรักษาสภาพทางธรรมชาติ พืช สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิต และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยท่ี การคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมีแนวคิดพ้ืนฐานอยู่ท่ีความรํ่ารวยและความเจริญงอกงามของระบบ นิเวศ ดังนั้น เนื้อหาของกฎหมายที่เก่ียวกับการคุ้มครองสภาพแวดล้อม จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ การอนุรักษ์ ยังรวมถึงการจัดการและการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือฟ้ืนฟูความสมดุลของระบบนิเวศ การหมนุ เวียนและการกําเนดิ ใหมข่ องพลงั งานท่ีมชี ีวิต บทบญั ญัตกิ ฎหมายในกลุม่ นี้ประกอบดว้ ย (๑) กฎหมายว่าด้วยการคมุ้ ครองคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม ได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสรมิ และรักษาคุณภาพ ส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อบังคับใช้ กฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ ซ่ึงเป็นกฎหมายแม่บทในการคุ้มครองส่ิงแวดล้อม บัญญัติขึ้นเพื่อ ป้องกันปญั หาความเสอ่ื มโทรมของคุณภาพส่ิงแวดล้อม เช่น ดินเสีย น้ําเน่า อากาศเป็นพิษ ป่าไม้ ต้นนํ้าลําธาร ถูกทําลาย อันเน่ืองมาจากการขยายตัวของประชากร การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ถูกต้อง และอุตสาหกรรม โดยมีทั้งบทบัญญัติเก่ียวกับการจัดการและบํารุงรักษาสิ่งแวดล้อม และกําหนดมาตรการควบคุมและแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้มีการจัดระบบการบริหารงานด้านส่ิงแวดล้อมให้เป็นไปตามหลักการจัดการคุณภาพ ส่ิงแวดล้อม กําหนดมาตรการควบคุมมลพิษด้วยการจัดให้มีระบบบําบัดอากาศเสีย ระบบบําบัดน้ําเสีย ระบบ กําจัดของเสีย และเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาเก่ียวกับมลพิษ โดยมุ่งส่งเสริมให้ประชาชน และองค์กรเอกชนมีส่วนรว่ มในการสง่ เสรมิ และรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม และกาํ หนดให้ราชการส่วนกลางและ ราชการส่วนท้องถิ่น รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ มีหน้าท่ีและอํานาจเพื่อให้เกิดการประสานงาน และมีหน้าท่ีร่วมกัน ในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม รวมทั้งกําหนดแนวทางปฏิบัติในส่วนที่ไม่มีหน่วยงานใด รับผิดชอบโดยตรง นอกจากน้ี ยังกําหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบของผู้ที่เก่ียวข้องกับการก่อให้เกิดมลพิษ อย่างชดั เจน รวมทั้งกําหนดให้มมี าตรการส่งเสริมด้านกองทุนและความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการจูงใจ ให้มกี ารยอมรบั ทจ่ี ะปฏิบตั หิ น้าท่ใี นการรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อม ตลอดจนใหม้ ีกองทุนสิ่งแวดล้อม การบังคับ ใช้กฎหมายฉบับน้ีจึงเป็นการวางกรอบนโยบายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม การกําหนดมาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อม การวางแผนการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม การประกาศเขตอนุรักษ์และพื้นท่ีคุ้มครองส่ิงแวดล้อม การกําหนดให้โครงการขนาดใหญจ่ ะต้องจัดทาํ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสง่ิ แวดลอ้ ม เปน็ ตน้ สําหรับระเบยี บสํานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ด้วยการประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นระเบียบท่ีกําหนดมาตรการและวิธีการประสานงานระหว่างหน่วยงาน ท้ังภาครัฐและ ภาคเอกชนทีเ่ ก่ยี วขอ้ งโดยตรงกับการบังคับใช้กฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม เพื่อให้การป้องกันและปราบปราม การละเมิดกฎหมายและการแกไ้ ขเยียวยาความเสยี หายเกิดประสทิ ธภิ าพยง่ิ ข้นึ (๒) กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรป่าไม้ ประเทศไทยมีการตรากฎหมายคุ้มครองและรักษา ท รั พ ย า ก ร ป่ า ไ ม้ ห ล า ย ฉ บั บ จํ า แ น ก ต า ม ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง ป่ า แ ล ะ สิ่ ง ที่ ก ฎ ห ม า ย มุ่ ง ป ร ะ ส ง ค์ คุ้ ม ค ร อ ง เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มุ่งคุ้มครองไม้และของป่า พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
๒๓๙ พ.ศ. ๒๕๐๗ มุ่งคุ้มครองเขตป่าสงวนแห่งชาติและทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพ่ือรักษาไว้ซึ่ง สภาพป่าที่สมบูรณ์ พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มุ่งคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดข้ึนหรือมีอยู่ ในที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า เพ่ือควบคุม กํากับ และสนับสนุนการทําสวนป่าเพื่อประโยชน์ทางการค้า พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มุ่งหมายให้บุคคลและชุมชนได้ประโยชน์จากป่าชุมชน ดูแลรักษาและ จัดการป่าชุมชนร่วมกับรัฐเพ่ือรักษาและฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชีวภาพ และมุ่งหมายกําหนดสาระแห่งสิทธิของบุคคลและชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติรับรอง และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่จํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อสงวน อนุรักษ์ คุ้มครอง และบํารุงรักษาอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรกุ ขชาติ และบริหารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลาย ทางชีวภาพในพน้ื ทดี่ งั กล่าวใหเ้ กดิ ประโยชน์อยา่ งสมดุลและย่งั ยืน (๓) กฎหมายคุ้มครองและรักษาทรัพยากรทางทะเล ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองและรักษา ทรัพยากรทางทะเล ๒ ฉบับ คอื พระราชบัญญตั ิสง่ เสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือกําหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการ การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟูทรัพยากร ทางทะเลและชายฝ่ัง และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และเพื่อให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นได้มี ส่วนร่วมในการปลูก การบํารุงรักษา การอนุรักษ์ และการฟ้ืนฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังอย่างสมดุล และยั่งยืน และพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซ่ึงมุ่งหมายท่ีจะจัดระเบียบการประมงในประเทศไทย และในน่านน้ําทั่วไป เพ่ือป้องกันการทําการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือรักษาทรัพยากรสัตว์นํ้าและ สภาพส่ิงแวดล้อมให้ดํารงอยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม รวมท้ังคุ้มครองสวัสดิภาพของคนประจําเรือ และป้องกัน การใช้แรงงานผดิ กฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีพระราชบัญญัตกิ ารรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่ีมุ่งคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศไทยอันพึงได้รับจากกิจกรรมทางทะเลหรือประโยชน์อ่ืนใดในเขตทาง ทะเลไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ด้านความม่ันคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ดา้ นทรัพยากร หรือด้านส่ิงแวดลอ้ ม โดยไม่ปรากฏเนื้อหาเก่ียวกับการคุ้มครองและรักษาทรัพยากร ทางทะเลแต่อย่างใด (๔) กฎหมายจัดการทรัพยากรน้ํา ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติเก่ียวกับการบริหารจัดการทรัพยากร นํ้าท่ีเก่าแก่ท่ีสุดและยังใช้บังคับอยู่คือ พระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ซึ่งมี วัตถุประสงค์เพ่ือบํารุงรักษาคลองเก่าที่มีอยู่เดิมและคลองที่จะขุดข้ึนใหม่ในเวลานั้น ซึ่งพระราชบัญญัติน้ีใช้ บังคับตั้งแต่ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ถึงปัจจุบันโดยไม่เคยปรับปรุงแก้ไขจึงแทบไม่มีการนํามาใช้เป็นเวลานานแล้ว ส่วนกฎหมายเก่ียวกับการบริหารจัดการทรัพยากรนํ้าฉบับใหม่ล่าสุด ได้แก่ พระราชบัญญัติทรัพยากรนํ้า พ.ศ. ๒๕๖๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบํารุงรักษา การฟน้ื ฟู การอนุรักษ์ทรพั ยากรนํ้า และสทิ ธิในนํ้า เพ่อื ความสมดุลและยงั่ ยนื นอกจากกฎหมายสองฉบบั นแี้ ล้ว ยังมีกฎหมายจัดการทรัพยากรนํ้าเฉพาะเรื่องอีกหลายฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ มุ่งคุ้มครองน่านนํ้าไทยท่ีใช้ประโยชน์ในการเดินเรือ พระราชบัญญัติการชลประทาน หลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ คุม้ ครองนํา้ เพอื่ เกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค และการอุตสาหกรรม
๒๔๐ รวมถึงการคมนาคมทางนํ้าในเขตชลประทาน และห้ามนําบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ มาใช้สําหรับทางนํ้าชลประทานตามพระราชบัญญัติน้ี พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ คุ้มครองบริการการประปาในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวดั นนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ พระราชบัญญัติ น้ําบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่มุ่งควบคุมการเจาะและการใช้นํ้าบาดาลมิให้ขาดแคลนหรือเสียหาย และ พระราชบญั ญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ มงุ่ รักษาคลองประปาที่ใช้เก็บนํ้า ส่งน้ําจากแหล่งน้ําดิบ รับนํ้า หรอื ขังน้ํา เพือ่ ใช้ในการผลติ นํา้ ประปา (๕) กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ทั้งสัตว์ป่าที่มี สถานะพเิ ศษและสตั วป์ ่าท่ัวไป ไดแ้ ก่ พระราชบัญญตั สิ ําหรับรักษาช้างปา่ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๔ บัญญัติให้มี การคุ้มครองช้างป่าซึ่งเป็นของหลวงสําหรับแผ่นดิน ผู้ใดจะจับไปใช้สอยต้องขออนุญาตต่อรัฐบาล รวมท้ัง กําหนดมาตรการป้องกันอันตรายแก่ช้างป่าและการทํานุบํารุงพันธุ์ช้างป่า ส่วนการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครอง ดูแลรักษา ฟ้ืนฟูสัตว์ป่าและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ และสําหรับสัตว์ท่ีใช้ประโยชน์ในทางปศุสัตว์และสัตว์พาหนะมีพระราชบัญญัติ บํารุงพนั ธสุ์ ตั ว์ พ.ศ. ๒๕๐๙ บัญญัติหลักเกณฑ์การคุ้มครองไว้ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครอง สัตว์เพ่ือคุ้มครองมนุษย์อีกทอดหน่ึง คือ พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ส่วนกฎหมายเก่ียวกับ การคุ้มครองพันธ์ุพืช มีกฎหมาย ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ ท่ีกําหนดมาตรการในการ คุ้มครองจากศัตรูพืชสําหรับพันธ์ุพืชในราชอาณาจักร และสําหรับพันธ์ุพืชที่ใช้ประโยชน์ในทางเกษตรกรรม ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญตั พิ นั ธพุ์ ชื พ.ศ. ๒๕๑๘ ๑.๒.๒ กฎหมายว่าด้วยการคมุ้ ครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม กฎหมายในกลุ่มน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือพิทักษ์รักษาคุณค่าและความงามของมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ อันเป็นส่ิงท่ีมนุษย์สร้างข้ึน และเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ของชาติ ประเทศไทยมีบทบัญญัติ กฎหมายเก่ียวกับการจัดการและการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม ทั้งกรณีที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครอง สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมโดยตรงและกรณีที่มีความเกี่ยวเน่ืองกับการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมทางวัฒนธรรม ท่ีสําคัญ ๕ ฉบับ ไดแ้ ก่ (๑) พระราชบัญญตั โิ บราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๐๔ และ ท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นกฎหมายสําคัญที่ใช้ในการอนุรักษ์คุ้มครอง ดูแล รักษา โบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวัตถุรวมทั้งควบคุมการผลิต และการค้าสิ่งเทียมโบราณวัตถุหรือสิ่งเทียม โบราณสถาน โดยมีมาตรการทางกฎหมายเพ่ือให้เกิดผลในการอนุรักษ์คุ้มครองสภาพทางกายภาพของ โบราณสถาน โบราณวตั ถแุ ละศลิ ปวตั ถุซึ่งเกิดขน้ึ จากการกระทาํ มนุษย์ (๒) พระราชบญั ญตั สิ สุ านและฌาปนสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และท่แี ก้ไขเพมิ่ เตมิ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายที่ควบคุมและกํากับดูแลการจัดต้ังและกําหนดดําเนินการสุสานและณาปนสถานของเอกชน ทไ่ี มอ่ ยูใ่ นเขตกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยาหรือเทศบาล โดยกําหนดหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตจัดตั้งสุสาน ไว้ว่าสถานที่ต้ังต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าต้นนํ้าลําธาร ต้องไม่อยู่ในเขตพื้นท่ีอันเป็นสถานท่ีท่องเที่ยว หรือเขตพ้ืนท่ี
๒๔๑ อันจัดสรรเป็นพ้ืนที่เพื่อนันทนาการหรือเขตอนุรักษ์และพ้ืนท่ีคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ ต้องไม่อยู่บริเวณที่เป็นเอกลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของ ท้องถ่ินหรือมีความสําคัญทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี และต้องอยู่ห่างจากทางหลวงท่ีเป็นทางหรือถนน สําหรับประชาชนใช้ในการจราจรสาธารณะ ห้วยแม่น้ําคลอง หรือแหล่งน้ําสาธารณประโยชน์อื่นอย่างน้อย ๔๐๐ เมตร เวน้ แต่ในกรณที มี่ กี ารปอ้ งกันมใิ หม้ กี ลนิ่ และสิง่ ปฏกิ ูลรั่วไหลสถานทต่ี ัง้ นัน้ จะต้องอย่หู ่างจากทางนํ้า ไม่นอ้ ยกว่า ๑๐๐ เมตร (๓) พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นกฎหมายที่กําหนดเกี่ยวกับการวาง จัดทํา และ ดําเนินการให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะในบริเวณเมืองและบริเวณที่เก่ียวข้องหรือชนบทเพ่ือ สร้างหรือพัฒนาเมืองหรือส่วนของเมืองข้ึนใหม่ หรือแทนเมืองหรือส่วนของเมืองที่ได้รับความเสียหายเพื่อ ให้มีหรือทําให้ดีย่ิงข้ึนซึ่งสุขลักษณะ ความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชนและสวัสดิภาพของสังคม เพ่ีอส่งเสริมการเศรษฐกิจสังคมและ สภาพแวดล้อม เพื่อดํารงรักษาหรือบูรณะสถานท่ีและวัตถุท่ีมีประโยชน์หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี หรือเพื่อบํารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศที่งดงาม หรือมคี ณุ ค่าในทางธรรมชาติ โดยจดั แบ่งประเภทของผงั เมอื งไว้เปน็ ๕ ประเภท เพื่อเป็นผังสําหรับกําหนดการ ใช้ประโยชน์พ้ืนที่และที่ดิน ได้แก่ ผังเมืองรวม ผังเมืองเฉพาะ ผังนโยบายระดับประเทศ ผังนโยบายระดับภาค ผงั นโยบายระดับจังหวัด โดยผงั เมืองแต่ละประเภทต้องมคี วามสอดคลอ้ งและเชอื่ มโยงกัน (๔) พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ กฎหมายฉบับน้ีมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมเก่ียวกับ ความม่นั คงแขง็ แรง ความปลอดภัย การปอ้ งกนั อัคคภี ยั การสาธารณสขุ การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอํานวยความสะดวกแก่การจราจร รวมถึงโรงมหรสพ เคร่ืองเล่นในสวนสนุก หรือ สถานที่อืน่ ดว้ ย (๕) พระราชบัญญัติการขดุ ดินและถมดนิ พ.ศ. ๒๕๔๓ มเี จตนารมณ์ในการควบคุมกํากับ ดูแล การทํา ธุรกิจการขุดดินหรือการถมดินเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการขุดดินเพื่อนําดินไปถมพื้นท่ี ก่อสร้างที่อยู่อาศัยหรือเพื่อกิจการอื่น ซ่ึงหากขุดดินที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ อาจทําให้เกิดการพังทลาย ของดนิ หรอื สงิ่ ปลกู สร้างใกลเ้ คียงได้ ๑.๒.๓ กฎหมายว่าด้วยการคมุ้ ครองสภาพแวดล้อมในชนบท ชมุ ชนเมอื ง และกฎหมายการพลังงาน กฎหมายในกลุ่มน้ีมีวัตถุประสงค์เชิงคุณภาพในการพัฒนาสภาพแวดล้อมในพ้ืนที่ชนบทและชุมชนเมือง ท้ังน้ี เพ่ือคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนของประชาชนท่ีอยู่อาศัยท้ังในชนบทและชุมชนเมือง นอกจากนี้ ยังได้รวม เอากฎหมายเกี่ยวกับการพลังงานซ่ึงจัดเป็นสาขาใหม่อีกสาขาหนึ่งของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในกฎหมาย กลุ่มนี้ด้วย เนื่องจากมีส่วนท่ีเก่ียวกับความปลอดภัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพ้ืนที่ที่มีการประกอบ กิจการพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์และรังสี ประเทศไทยมีกฎหมายที่มีเนื้อหาเก่ียวกับการคุ้มครอง สภาพแวดล้อมในชนบท ชมุ ชนเมอื ง และการพลงั งาน ที่สําคัญ ๖ ฉบบั ดังนี้
๒๔๒ (๑) พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเพิ่ม ประสิทธภิ าพการใช้นา้ํ และบริหารจัดการนํา้ ในระดับไร่นาที่เช่ือมโยงกับระบบชลประทานเพ่ือให้ที่ดินทุกแปลง ได้รับประโยชน์จากโครงการชลประทานและการสาธารณูปโภคอย่างท่ัวถึง เพื่อให้ภาครัฐสามารถขยายเขต การจัดรูปท่ีดินและวางแผนการจัดระบบชลประทานในระดับไร่นาเพื่อให้เกษตรกรมีนํ้าใช้อย่างพอเพียงและ เหมาะสมแกก่ ารเกษตร (๒) พระราชบัญญัติจัดรูปท่ีดินเพ่ือพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นกฎหมายท่ีเก่ียวกับการดําเนินการ พัฒนาทด่ี ินหลายแปลงโดยการวางผังจัดรูปทีด่ นิ ใหม่ ปรับปรุง หรือจัดโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมรับภาระ และกระจายผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยความร่วมมือระหว่างเอกชนกับเอกชนหรือเอกชนกับรัฐ เพื่อให้ เกิดการใช้ประโยชน์ในท่ีดินอย่างเหมาะสมย่ิงข้ึนในด้านการคมนาคม เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและชุมชน และเป็นการสอดคลอ้ งกบั การผงั เมอื ง (๓) พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติให้มีคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อทําหน้าท่ีกําหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการท่ีดินและทรัพยากรดิน ของประเทศเพ่ือประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและความม่ันคง โดยการบูรณาการ การกระจายอํานาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนและภูมิสังคม ซ่ึงจะทําให้การบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดนิ ของประเทศทีม่ อี ยอู่ ยา่ งจํากัดมปี ระสทิ ธภิ าพ เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ สมดลุ เปน็ ธรรม และยงั่ ยนื แกไ้ ข ปัญหาความเดือดรอ้ นของประชาชน และลดความเหล่อื มล้ําในสงั คม (๔) พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นกฎหมายที่จัดตั้ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้เป็นองค์กรที่ทําหน้าที่จัดหาพ้ืนท่ีตั้งนิคมอุตสาหกรรม เพื่อจัดให้เช่า เช่าซื้อ หรือขาย และให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการท่ีเป็นประโยชน์หรือต่อเน่ือง กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม กฎหมายยังได้กําหนดสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบ อุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ เป็นต้นว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธ์ิในท่ีดินในนิคม อุตสาหกรรมตามจํานวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควร ท้ังนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และการค้าโดยดําเนินการเป็นนิคมอุตสาหกรรม และขยายขอบเขตของการพัฒนาพื้นที่จากภาคอุตสาหกรรม สู่ภาคบริการ และเพิ่มบทบาทการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่อง กับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดําเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจร เศรษฐกจิ (๕) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์เพ่ือเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนมีส่วนร่วมและมีบทบาทในกิจการพลังงานมากขึ้น และเพื่อให้การประกอบกิจการพลังงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง มีปริมาณเพียงพอและท่ัวถึงในราคาที่เป็นธรรมและมีคุณภาพ ที่ได้มาตรฐาน ตอบสนองต่อความต้องการภายในประเทศและต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสงิ่ แวดลอ้ ม
๒๔๓ (๖) พระราชบัญญตั ิพลังงานนวิ เคลยี ร์เพอ่ื สนั ติ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บังคับแก่การดําเนินการ เกีย่ วกับพลงั งานนิวเคลียรแ์ ละรงั สใี นทางสันติ เพ่ือให้เกิดความปลอดภัย ความม่ันคงปลอดภัย และการพิทักษ์ ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เพ่ือคุ้มครองประชาชนและ สงิ่ แวดลอ้ ม และเพ่ือให้สอดคล้องกบั กฎเกณฑ์ในทางสากลทเ่ี กย่ี วกับพลงั งานนิวเคลียร์ ๑.๒.๔ กฎหมายว่าด้วยการป้องกนั มลพษิ และการระงับเหตเุ ดือดรอ้ นราํ คาญ กลุ่มกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญเป็นการจัดประเภทและ รวบรวมบทบัญญัติกฎหมายที่เก่ียวกับการควบคุม กํากับดูแล และการดําเนินการด้วยวิธีใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกระเบียบข้อบังคับ การกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข รวมถึงมาตรการต่าง ๆ เพ่ือป้องกันมลพิษ และการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญต่าง ๆ อันจะส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ความเป็นอยู่ สุขภาวะที่ดี สุขภาพอนามัยของมนุษย์ และความสงบสุขของสังคม ซึ่งประกอบด้วยกฎหมาย ทสี่ ําคญั ๗ ฉบับทเ่ี กี่ยวกับการปอ้ งกันมลพิษและการระงบั เหตเุ ดอื ดร้อนรําคาญ ไดแ้ ก่ (๑) พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ กฎหมายฉบับน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อสง่ เสริมและอํานวยความสะดวกแกผ่ ปู้ ระกอบการและพฒั นาอตุ สาหกรรมในประเทศไทย ให้สามารถพัฒนา ศักยภาพทางการประกอบธุรกจิ และสง่ เสรมิ ความสามารถในการแข่งขนั ทางการคา้ ได้ดยี ่ิงข้นึ โดยพระราชบญั ญัติ ดังกล่าวได้ปรับปรุงรูปแบบและข้ันตอนการกําหนดมาตรฐาน ข้ันตอนในการขอรับใบอนุญาต และปรับปรุง บทกําหนดโทษ รวมไปถงึ การดําเนนิ การกบั ซากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมท่ีไม่เป็นไปตามมาตรฐาน กฎหมายฉบับนี้ จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้เป็นไปตามมาตรฐานและอนุญาตให้นําเข้าผลิตภัณฑ์ ที่เป็นไปตามมาตรฐาน สินค้าท่ีได้มาตรฐานความปลอดภัยเท่าน้ันท่ีจะอนุญาตให้นําเข้าหรือจําหน่ายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การกําหนดให้ผู้ผลิตต้องเรียกคืนเศษเหลือท้ิงของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์นําไปบําบัด หรอื รีไซเคิล ยงั อยนู่ อกกรอบของกฎหมาย (๒) พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายท่ีควบคุมเก่ียวกับเคมีภัณฑ์ซ่ึงเป็นวัตถุ อันตรายทีอ่ าจกอ่ ใหเ้ กดิ อันตรายอย่างรา้ ยแรงแกบ่ ุคคล สตั ว์ พืช ทรพั ย์ และสงิ่ แวดลอ้ มได้ โดยกฎหมายฉบบั น้ี ได้บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการในการควบคุมวัตถุอันตรายให้เหมาะสมย่ิงขึ้น พร้อมกับจัดระบบบริหารให้มี การประสานงานกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลวัตถุอันตรายดังกล่าว กฎหมายฉบับนี้ใช้ บังคับกับบุคคลใดท่ีผลิต นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซ่ึงวัตถุอันตราย แต่มิได้มีบทบัญญัติกําหนดให้ ผผู้ ลิตตอ้ งเรียกคืนเศษเหลือทิ้งวตั ถุทใี่ ชแ้ ลว้ มาบาํ บัดหรือรไี ซเคิล (๓) พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการประกอบกิจการ โรงงาน โดยกําหนดขั้นตอนหลักเกณฑ์ต้ังแต่การตั้งโรงงาน การกํากับดูแลโรงงาน และการป้องกันและควบคุม มลพิษทีเ่ กดิ ข้ึนจากการประกอบกจิ การโรงงาน ถือได้วา่ เปน็ กฎหมายเฉพาะสําหรับใช้บังคับในเร่ืองการป้องกัน และควบคุมมลพิษที่เกิดข้ึนจากโรงงานอุตสาหกรรม ควบคุมดูแลการประกอบกิจการโรงงานให้เหมาะสม โดยกาํ หนดใหแ้ บ่งโรงงานตามประเภทชนดิ หรือขนาดโรงงาน แบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท คอื โรงงานจําพวกที่ ๑ โรงงานจําพวกท่ี ๒ หรือโรงงานจําพวกที่ ๓ และกฎหมายกําหนดให้โรงงานจําพวกใดจําพวกหน่ึงหรือ
๒๔๔ ทุกจําพวกต้องปฏิบัติตามในเรื่องท่ีต้ัง สภาพแวดล้อม ลักษณะอาคารและลักษณะภายในของโรงงาน ลักษณะ และชนิดของเคร่ืองจักร เครื่องอุปกรณ์ คนงานท่ีต้องมีความรู้ตามประเภทชนิดหรือขนาดของโรงงาน หลักเกณฑ์ท่ีต้องปฏิบัติ กรรมวิธีการผลิต เคร่ืองมืออุปกรณ์เพ่ือป้องกันหรือระงับหรือบรรเทาอันตราย ความเสียหาย ความเดือดร้อนที่อาจเกิดแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในโรงงานหรือที่อยู่ใกล้เคียง มาตรฐานและ วิธีควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษท่ีมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม การจัดให้มีเอกสารเพ่ือการควบคุมหรือ ตรวจสอบ ข้อมูลท่ีจําเป็นท่ีผู้ประกอบกิจการจะต้องแจ้งตามระยะเวลาที่กําหนด และการอ่ืนใดท่ีคุ้มครอง ความปลอดภยั ในการดําเนินงาน เพ่ือป้องกันหรือระงับหรือบรรเทาอันตรายความเสียหายหรือความเดือดร้อน ท่ีอาจเกิดแก่บุคคลหรือทรัพย์สินท่ีอยู่ในโรงงานหรือที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน ซ่ึงอาจใช้อํานาจดังกล่าว ในการกําหนดให้โรงงานปฏิบัติเกี่ยวกับการรีไซเคิลวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และการห้ามไม่ให้ ใช้สารอันตรายบางอย่างในกระบวนการผลติ (๓) พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายคุ้มครองสุขลักษณะและการอนามัย สิ่งแวดล้อมหรือการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งครอบคลุมท้ังกิจกรรม การกระทํา และกิจการประเภทต่าง ๆ ทม่ี ีผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และสขุ ภาพอนามัยของประชาชนตง้ั แต่ระดบั ชาวบา้ น ครัวเรอื น ชุมชน ตลอดจน กิจการขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ท้ังหาบเร่ แผงลอย สถานที่จําหน่ายอาหาร ตลาดกิจการท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมท้ังการเล้ียงหรือปล่อยสัตว์ กล่าวได้ว่า เป็นกฎหมายท่ีขยายขอบเขตการกํากับดูแลกิจการท่ีเก่ียวข้อง กับการสาธารณสุขในด้านต่าง ๆ ให้กว้างขวางข้ึน เพื่อสามารถนํามาปรับใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนได้ทันท่วงที กําหนดมาตรการกํากับดูแลและป้องกันเก่ียวกับการอนามัยสิ่งแวดล้อมไว้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ กฎหมายฉบับนี้ให้อํานาจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าพนักงานสาธารณสุขในการควบคุมดูแลและ อนุญาตกิจการที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน และกําหนดการเก็บ ขน และกําจัดขยะมูลฝอย ใหเ้ ปน็ หนา้ ท่ีขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น (๔) พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดแยก เก็บ ขน และกําจัดส่ิงปฏิกูลและมูลฝอย รวมท้ังกําหนด ใหร้ าชการสว่ นทอ้ งถิน่ มอี ํานาจนําส่งิ ปฏิกูลและมลู ฝอยท่จี ัดเกบ็ ได้ไปใช้แระโยชน์หรือกาประโยชนไ์ ด้ (๕) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นกฎหมายในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการควบคุม โรคติดต่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปจั จบุ นั และขอ้ กําหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ซึ่งกลไกการดําเนินงาน มที ัง้ ระดบั ประเทศ ระดับจงั หวดั และระดับพ้ืนท่ี (๖) พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นการรวบรวมกฎหมายที่ใช้ในการบริหาร การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกฎหมาย ๗ ฉบับ ให้เป็นฉบับเดียว ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายวา่ ด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามติ และกฎหมายว่าดว้ ยการจัดสรรเงินภาษสี รุ า
๒๔๕ ๑.๓ ลกั ษณะของการบญั ญตั ิรบั รองหลกั การพน้ื ฐานของกฎหมายส่งิ แวดล้อมทง้ั ๖ หลกั การ คณะทํางานได้ศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมของประเทศไทยท้ัง ๔ กลุ่ม กฎหมายแล้ว เห็นว่า (๑) ในเบ้ืองต้น บทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมีจํานวนมาก ทั้งกฎหมาย ระดับพระราชบัญญัติและกฎหมายระดับรอง นอกจากที่นํามาศึกษาวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้แล้ว ยังมี กฎหมายที่มีเน้ือหาเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมอีกกว่า ๑๐๐ ฉบับ และอนุบัญญัติมากกว่า ๑๐๐๐ ฉบับ โดยกฎหมาย ที่มีเน้ือหาเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมแต่ละฉบับมีลักษณะเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องท่ีมุ่งกําหนดหลักเกณฑ์ การคมุ้ ครองสิ่งแวดล้อมในเน้ือหาแต่ละด้าน และกําหนดอํานาจหน้าท่ีของหน่วยงานท่ีรับผิดชอบในแต่ละด้าน แยกต่างหากจากกัน ไมม่ ีความเชอื่ มโยงกนั (๒) จากการศึกษาพบว่า บทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมทุกฉบับไม่ได้บัญญัติโดยระบุถึง ช่ือหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมหรือหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายท้ัง ๖ หลัก อย่างชัดแจ้ง โดยตรง แต่เมื่อ พิจารณาเน้ือหาของบทบัญญัติแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนถึงหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่อยู่เบ้ืองหลังบทบัญญัติ มาตราต่าง ๆ ดังกล่าว นอกจากนี้ เม่ือพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมฉบับที่มีการตราขึ้นใหม่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นมา ปรากฏการบัญญัติหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้ค่อนข้างชัดเจน แม้จะ ไม่ได้ระบุชื่อของหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้โดยตรง เช่น ตามมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่บัญญัติว่า “การจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ ต้องคํานึงถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหารประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และแผนอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน สิทธิในทรัพย์สินของประชาชน การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และหลักภูมิสังคม เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ท่ีดินและทรัพยากรดินอย่างย่ังยืน การกระจายการถือครอง ท่ีดินอย่างเป็นธรรม และ การบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน รวมท้ังวิธีปฏิบัติ และระยะเวลาในการดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามท่ีกําหนดไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัด แจง้ ถึงหลกั การพัฒนาท่ยี ั่งยืน และหลกั บูรณาการทางสงิ่ แวดล้อม” จากการศึกษาวิเคราะห์เพ่ือจัดทํารายงานการศึกษาฉบับนี้ สามารถประมวลผลหลักการพื้นฐานของ กฎหมายส่ิงแวดลอ้ มทั้ง ๖ หลกั การ ท่ีปรากฏในบทบญั ญัติกฎหมายเก่ียวกบั สิง่ แวดล้อมได้ ดงั น้ี ๑.๓.๑ หลกั ความเปน็ สากลของสง่ิ แวดลอ้ ม หลักการน้ีมีเน้ือหาที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม มีลักษณะเป็นข้อความคิดเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสากลของมนุษย์ทุกคน ซึ่งกฎหมายไทยส่วนใหญ่มองว่า ส่ิงแวดล้อมเป็นสมบัติของมนุษย์อยู่แล้ว โดยอาจมีกฎหมายบางฉบับที่ให้ความสําคัญกับหลักความเสมอภาค และจะเน้นยํ้าว่าส่งิ แวดลอ้ มเป็นสมบตั ิของทุกคนตามหลกั ความเป็นสากลของส่งิ แวดลอ้ ม
๒๔๖ แนวคิดความเป็นสากลของสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานของหลักความไว้วางใจจากสาธารณะและ หลักความเสมอภาคต่อคนรุ่นหลัง ซ่ึงกฎหมายส่ิงแวดล้อมในทุกกลุ่มให้ความสําคัญกับหลักความไว้วางใจ จากสาธารณะโดยการไว้วางใจและมอบอํานาจให้รัฐเป็นผู้จัดการดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม ส่วนหลักความเสมอ ภาคต่อคนรุ่นหลังไม่ปรากฏอย่างชัดเจนในกฎหมายสิ่งแวดล้อมไทยฉบับใดเลย แต่จะปรากฏในลักษณะ หลกั การพฒั นาอยา่ งย่ังยืนในกฎหมายเก่ียวกบั การคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติบางฉบับเท่าน้นั ส่วนหลักความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางนิเวศวิทยาซ่ึงเป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย สิ่งแวดล้อมในยุคหลังปรากฏในกฎหมายส่ิงแวดล้อมไทยเฉพาะในกลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ตราขึ้นหรือได้รับการแก้ไขหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ในลักษณะของมุมมองท่ีมีชีวิต เป็นศูนย์กลาง แต่ยังไม่ถึงระดับมุมมองท่ีมีระบบนิเวศเป็นศูนย์กลาง และยังไม่มีการรับรองสิทธิของธรรมชาติ หรือสิทธขิ องแม่ธรณีในกฎหมายไทยท้งั กฎหมายสารบัญญตั แิ ละกฎหมายวิธีสบัญญัติ สําหรับกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง สภาพแวดล้อมในชนบท ชุมชนเมือง และการพลังงาน รวมท้ังกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับ เหตุเดอื ดร้อนรําคาญ ไมป่ รากฏบทบัญญัติทแี่ สดงถงึ การรบั รองหลักความเปน็ สากลของสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ หลกั การมีสว่ นร่วมของประชาชนเก่ียวกบั สง่ิ แวดลอ้ ม จากการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมทั้ง ๔ กลุ่ม ได้แก่ กฎหมายเก่ียวกับ การคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม กฎหมายเก่ียวกับการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบทและชุมชนเมือง รวมท้ังกฎหมายเก่ียวกับพลังงาน และ กฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญ พบว่า มีกฎหมายหลายฉบับท่ีการบัญญัติ รบั รองสทิ ธใิ นการมีสว่ นร่วมของประชาชนเกีย่ วกบั แวดลอ้ มไวอ้ ย่างชัดเจน ในกล่มุ กฎหมายเกี่ยวกบั การคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ มีการบัญญัติถึงหลักการมีส่วนร่วม ของประชาชนเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมไว้ในลักษณะการรับรองสิทธิของประชาชนที่มีส่วนได้เสียและผู้ที่เก่ียวข้อง เช่น กําหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เก่ียวข้อง และประชาชน ในการกําหนดเขตอุทยานแห่งชาติ การจัดทําแผนการบริหารจัดการพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติ และการประชาสัมพันธ์ การดูแลรักษาความปลอดภัย การให้คําแนะนํา หรือการจัดระบบการเตือนภัยแก่ประชาชน ตามพระราชบัญญัติ อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ การรับรองสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีส่ิงแวดล้อมซึ่งอยู่ในหลักการ เก่ียวกับการมีส่วนร่วมในการดําเนินงานท่ีมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ในส่วนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงเป็น กฎหมายหลักท่ีมีลักษณะเป็นกฎหมายทั่วไปในการคุ้มครองคุณภาพแวดล้อม บัญญัติให้มีการสนับสนุน ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง (๑) และมีการสนับสนุนให้ สาธารณชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอันอาจเกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมหรือต่อสุขภาพของประชาชน ในส่วนที่ ๔ การจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ตามมาตรา ๔๘ ของพระราชบัญญัติน้ี ยังขาดการสนับสนุนการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีและข้อพิพาททางส่ิงแวดล้อม เพราะมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง
๒๔๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นเพียงบทบัญญัติ ที่กําหนดสิทธิของบุคคลท่ีอาจจะแจ้งการกระทําผิดต่อเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจหน้าท่ีตามกฎหมายแต่มิใช่ บทบัญญัติท่ีรับรองสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมในคดีส่ิงแวดล้อม ส่วนระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การประสานงานเพื่อบงั คับใชก้ ฎหมายเก่ยี วกบั สง่ิ แวดลอ้ ม พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการกาํ หนดหน้าท่ีให้พนักงานอัยการ ประสานงาน ให้ความรู้ ให้คําปรึกษา แนะนํา ช้ีแจงข้อบกพร่อง วิธีป้องกันแก้ไข ตลอดจนให้บริการด้าน กฎหมายเก่ียวกับการดําเนินคดีเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมแก่พนักงานสอบสวน หน่วยงานของรัฐ เจ้าพนักงานท้องถิ่น องค์กรเอกชน และประชาชนในจังหวัดตามข้อ ๒๒ และเปิดเผยรายละเอียดหรือข้อมูลที่ไม่เป็นการเสียหาย แก่การดําเนินคดีในกรณีท่ีการดําเนินคดีในศาลยังไม่ถึงท่ีสุดหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งคดีของพนักงาน อัยการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง รวมถึงให้พนักงานอัยการแจ้งผลคดีแก่ศูนย์ข้อมูลโดยเร็วเม่ือคดีถึงที่สุด ตามมาตรา ๒๕ แต่การให้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลักวิชาชีพมิใช่หลักการพ้ืนฐานของกฎหมาย สิง่ แวดล้อมแตอ่ ยา่ งใด สําหรับบทบัญญัติในกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม มีการบัญญัติ สอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ เกี่ยวกับคําส่ังข้ึนทะเบียนหรือการกําหนด เขตทด่ี นิ ให้เป็นโบราณสถาน พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติรับรองหลักการมีการมีส่วนร่วม ของประชาชนเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการวางและจัดทําผังเมืองทุกระดับ และพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ ทวิ ให้ราชการส่วนท้องถ่ินจัดให้มีการเผยแพร่เอกสารหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตดําเนินการต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน และมาตรา ๑๓ ตรี ให้ผ้ทู ีจ่ ะตอ้ งปฏิบตั ติ ามพระราชบญั ญัติน้ี และมีข้อสงสัยเก่ียวกับการกําหนดระยะระหว่าง อาคาร การกําหนดเขตที่ดิน การกําหนดบริเวณห้ามดําเนินการ มีสิทธิหารือกับเจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อให้ เจ้าพนักงานท้องถนิ่ คาํ ตอบขอ้ สงสยั ในเรื่องดงั กล่าวได้ ในกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบท ชุมชนเมือง และการพลังงาน ก็มีบทบัญญัติที่แสดงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางสิ่งแวดล้อม เช่น ตามพระราชบัญญัติจัดรูป ทีด่ นิ เพือ่ พัฒนาพืน้ ท่ี พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๒๑ การกาํ หนดใหจ้ ดั ให้มกี ารประชุมเจ้าของที่ดินที่ทําเกษตรกรรม ภายในแนวเขตสํารวจการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรม โดยจะคัดเลือกกันเองเป็นคณะกรรมการจัดระบบนํ้า ชุมชนในการทําหน้าที่เป็นผู้แทนของเจ้าของท่ีดินในเขตพ้ืนที่นั้น วิธีการคัดเลือกและจํานวนกรรมการ ในคณะกรรมการจัดระบบน้ําชุมชน ให้เป็นไปตามความตกลงกันเองของเจ้าของที่ดินท่ีมาประชุม และให้ ผู้บริหารท้องถิ่นทุกแห่งท่ีพ้ืนที่เขตสํารวจการจัดระบบนํ้าเพ่ือเกษตรกรรมอยู่ในเขตการปกครองเป็นกรรมการ โดยตําแหน่งในคณะกรรมการจัดระบบนํ้าชุมชน ส่วนพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพ้ืนที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน การปรึกษาหารือและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติเก่ียวกับขั้นตอนการดําเนินการจัดรูปท่ีดิน ในลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายท่ีดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่าหากเป็นกรณีการจัดทํานโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ จะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและ
๒๔๘ การมีส่วนร่วมของประชาชน และให้อํานาจคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ คณะอนุกรรมการ หรือ คณะทํางาน อาจเชิญบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริงความเห็น หรือคําแนะนําทางวิชาการ หรือให้ส่งเอกสาร หรือ หลักฐานทเ่ี กีย่ วขอ้ ง เพอ่ื ประกอบการพจิ ารณาได้ตามทเ่ี ห็นสมควร สําหรับกฎหมายเก่ียวกับการพลังงานทั้ง ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพ่ือสันติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ปรากฏบทบัญญัติท่ีรับรองหลักการ มีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมไว้เช่นเดียวกัน โดยมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบ กิจการพลังงาน ฯ บัญญัติให้ผู้รับใบอนุญาตที่มีระบบโครงข่ายพลังงานซ่ึงเป็นหน่วยงานของรัฐตามที่ คณะกรรมการกําหนดต้องจัดทําแผนการขยายระบบโครงข่ายพลังงานเสนอต่อรัฐมนตรีเพ่ือขอความเห็นชอบ และหากแผนดังกล่าวมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสําคัญของประชาชน ให้คณะกรรมการจัดให้มีกระบวนการ รับฟังความเห็นของประชาชนด้วย และพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพ่ือสันติฯ มาตรา ๕๒ บัญญัติ ให้สํานักงานพลังงานนิวเคลียร์เพ่ือสันติจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนท่ีอยู่อาศัยในบริเวณ โดยรอบพน้ื ทต่ี ั้งเพอ่ื ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาต กลุ่มกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญ พระราชบัญญัติมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ บัญญัติให้สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นของตวั แทนของกลุม่ ผมู้ ีส่วนไดเ้ สียหรอื ผมู้ ีประโยชน์เกีย่ วข้อง และให้นําผลการรับฟังความคิดเห็น เสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเพื่อประกอบการพิจารณาก่อนเสนอรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรมออกกฎกระทรวงต่อไป ส่วนพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ แม้จะไม่ได้บัญญัติ หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไว้โดยตรง แต่ก็ได้กําหนดให้ให้รัฐมนตรีมีอํานาจออก กฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิดและขนาดของโรงงานโดยคํานึงถึงความจําเป็นในการควบคุมดูแล การป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ การป้องกันความเสียหาย และการป้องกันอันตรายตามระดับความรุนแรง ของผลกระทบท่ีจะมีต่อประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้การควบคุมการประกอบกิจการโรงงานเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ ให้อํานาจแก่รัฐมนตรีเพ่ือออกกฎกระทรวงให้โรงงานปฏิบัติ รวมถึงการจัดให้มีเอกสาร ท่ีจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบด้วย ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของหลักการเก่ียวกับข้อมูลข่าวสารในทาง สง่ิ แวดล้อมและการเขา้ ถงึ ข้อมูลขา่ วสารของประชาชน (Access to Information) ที่ประชาชนและผู้ประกอบ กิจการโรงงานมีสิทธิท่ีจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเพ่ือทราบถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ โรงงาน เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่บัญญัติให้การประกอบกิจการที่ต้องได้รับ ใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถ่ิน และให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอํานาจออกข้อบัญญัติท้องถ่ินกําหนด หลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขการขอ และการออกใบอนุญาตในเรื่องนั้นได้ และเพ่ือประโยชน์ในการป้องกัน เหตุรําคาญหรือผลกระทบต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดํารงชีพของประชาชน ชุมชน หรือ สิง่ แวดล้อม รวมท้ังประกาศหลกั เกณฑ์ในการรบั ฟังความคิดเห็นของประชาชนทเ่ี ก่ียวข้อง
๒๔๙ ๑.๓.๓ หลกั การพัฒนาทีย่ งั่ ยืน และหลกั บรู ณาการทางสง่ิ แวดล้อม จากการศึกษาของคณะทํางาน พบว่า บทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมทั้ง ๔ กลุ่ม แม้จะไม่ได้ บัญญัติระบุช่ือหลักการพัฒนาท่ีย่ังยืนและหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อมไว้อย่างชัดแจ้ง แต่ก็มีบทบัญญัติที่มี เนื้อหาสอดคลอ้ งกบั หลกั กฎหมายสิ่งแวดล้อมประการนี้ และโดยเฉพาะอย่างย่ิงกฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมที่ มีการตราขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพ่ิมเติมภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะมีเน้ือหาของกฎหมายท่ียืนยันถึงหลักหลักการ พัฒนาทยี่ ัง่ ยืน และหลักบรู ณาการทางสิง่ แวดล้อมอยา่ งชดั เจน ในกลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ปรากฏหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อม ประการน้ีในพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ หมวด ๒ การบริหารจัดการด้านการประมง ที่กําหนด วัตถุประสงค์เพ่ือให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นํ้าอยู่ในภาวะท่ีเหมาะสมและเกิดผลิตผลสูงสุดท่ีสามารถ ทําการประมงไดอ้ ย่างยง่ั ยืน สาํ หรับกฎหมายวา่ ด้วยการคมุ้ ครองสภาพแวดลอ้ มทางวัฒนธรรม มีการบัญญัติสอดคล้องกับหลักการ พัฒนาท่ีย่ังยืนและหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อม โดยพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติ หลกั การว่าการวางและจัดทําผังเมืองทุกระดับ จะต้องอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ความสอดคล้องกันละระดับ และ ต้องวางกรอบและนโยบายการพัฒนาเมือง บริเวณท่ีเกี่ยวข้องและชนบทอย่างสมดุลและย่ังยืน วางกรอบและ นโยบายด้านการพัฒนา และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วางกรอบในการอนุรักษ์และ รกั ษาคณุ ค่าทางศลิ ปวฒั นธรรม รวมท้ังวางแนวทางเพ่อื ให้หน่วยงานของรัฐนําไปใช้ในการกําหนดนโยบายและ โครงการพัฒนา ภายใต้หน้าที่และอํานาจของตนให้สอดคล้องกับผังเมืองแต่ละระดับ และแก้ไขปัญหา ผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ที่ดินท่ีไม่สอดคล้องกันให้มีการใช้ประโยชน์ อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็น การป้องกัน แก้ไขหรือบรรเทาภัยพิบัติท่ีอาจเกิดขึ้น และจัดให้มีการทบทวนผังนโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่ ทุก ๕ ปี เพ่ือให้สอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนและข้ันตอน การดําเนินการปฏิรูปประเทศ สภาพเศรษฐกิจและสังคม หรือทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งทํารายงานการประเมินผลการเปล่ียนแปลงสภาพการณ์และ สิ่งแวดล้อมตามระยะเวลาท่ีคณะกรรมการผังเมืองหรือคณะกรรมการผังเมืองจังหวัดกําหนด โดยให้คํานึงถึง การมสี ่วนรว่ มของประชาชนประกอบดว้ ย กฎหมายวา่ ด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบท ชมุ ชนเมอื ง และการพลังงาน อาจพิจารณาได้ว่า มหี ลกั กฎหมายสิ่งแวดลอ้ มประการนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดรูปท่ีดินเพ่ือพัฒนาพ้ืนที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๑๘ ท่ีบัญญัติเก่ียวกับกรณีท่ีสํานักงานจัดรูปที่ดินกลางหรือเจ้าของที่ดินในพื้นที่ที่ทําเกษตรกรรมประสงค์ให้มี การจัดระบบนํ้าเพ่ือเกษตรกรรมในพ้ืนที่ใด ก็จะจัดทําโครงการเสนอต่อคณะกรรมการจัดรูปท่ีดินกลาง แสดง แนวเขตพ้ืนท่ีท่ีประสงค์จะจัดทําระบบนํ้าเพ่ือเกษตรกรรม แหล่งนํ้าท่ีจะใช้ในการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรม จํานวนเจ้าของท่ีดินที่ทําเกษตรกรรม ประเภทของการทําเกษตรกรรม ความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการ ดําเนินการ และประโยชน์ท่ีชมุ ชนจะไดร้ ับ หรือตาม พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นท่ี พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๓๗ ซึ่งกําหนดให้การจัดรูปท่ีดินเพ่ือพัฒนาพื้นท่ีจะต้องสอดคล้องกับหลักการผังเมือง และดําเนินการ
๒๕๐ ให้มีสิ่งท่ีจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมตามความเหมาะสมแก่สภาพของชุมชนและการพัฒนาเมืองต่อไปใน อนาคต รวมทั้งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายท่ีดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามมาตรา ๑๑ ท่ีบัญญัติ เก่ียวกับการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ต้องคํานึงถึง ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหารประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนการสง่ เสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ และแผนอืน่ ๆ ที่เกี่ยวข้องดา้ นการบริหาร จัดการท่ีดินและทรัพยากรดิน สิทธิในทรัพย์สินของประชาชน การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และหลักภูมิสังคม เพ่ือรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนรุ กั ษ์ทด่ี ินและทรัพยากรดนิ อย่างยงั่ ยนื การกระจายการถือครองทด่ี นิ อยา่ งเปน็ ธรรม และการบูรณาการ ให้การใช้ประโยชน์ท่ีดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน รวมทั้งวิธีปฏิบัติ และระยะเวลาในการ ดําเนินการเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายตามท่ีกําหนดไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และ หลักบูรณาการทางสิง่ แวดลอ้ ม ซงึ่ เปน็ การบัญญัติหลักการพฒั นาที่ยง่ั ยนื และหลกั บูรณาการทางสงิ่ แวดลอ้ มไว้ อยา่ งชัดเจน ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับการพลังงาน พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติ เนื้อหาที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาท่ีย่ังยืน ในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน ฯ ซึ่งวางหลักไว้ว่า รัฐพึงมีแนวนโยบายพื้นฐานว่าด้วยกิจการพลังงาน ดังต่อไปน้ี (๑) จัดหาพลังงานให้เพียงพอ กับความต้องการ มีคุณภาพ มีความม่ันคง และมีระดับ ราคาท่ีเหมาะสมและเป็นธรรม โดยเน้นการใช้ ประโยชน์และพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานท่ีมีอยู่ภายในประเทศ เพ่ือประโยชน์ในการพัฒนา ประเทศอย่างย่ังยืน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจและส่ิงแวดล้อม รวมท้ังลดการพึ่งพาพลังงานนําเข้าจาก ต่างประเทศ (๒) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า รวมถึงส่งเสริมการใช้ เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและระบบกระจายศูนย์ในการผลิตไฟฟ้าเพ่ือลดการลงทุนใน การใช้พลังงาน ลดต้นทุนทางด้านเช้ือเพลิงในกิจกรรมการผลิต และลดผลกระทบด้านสุขภาพและ ผลกระทบข้างเคียงอื่น ๆ จากการผลิตและใชพ้ ลังงาน รวมท้งั เพิม่ ขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ทาง เศรษฐกิจของประเทศ (๓) สง่ เสริม ให้ชุมชนท้องถิ่นและประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการและตรวจสอบ การดําเนินงานด้านพลังงาน เพ่ือให้ มั่นใจว่าการจัดการและกําหนดอัตราค่าบริการเป็นไปด้วยความโปร่งใสโดยมีองค์กรกํากับดูแลการประกอบ กิจการพลังงานทําหน้าที่คุ้มครองผู้ใช้พลังงาน และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย (๔) ส่งเสริมสังคมให้มีความรู้ ความตระหนัก และพฤติกรรมที่ถูกต้องต่อการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า (๕) สนับสนุนกิจการไฟฟ้าเพื่อสาธารณูปโภคพ้ืนฐาน การรักษาความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบดําเนินการในกิจการระบบโครงข่ายไฟฟ้า ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังน้ํา ซ่ึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประกอบกิจการ ระบบส่งไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้า สว่ นภมู ภิ าคเป็นผูป้ ระกอบกจิ การระบบจําหนา่ ย ไฟฟ้ารวมทงั้ การรักษาสัดสว่ นกาํ ลงั ผลติ ไฟฟ้าที่เหมาะสมของ กิจการไฟฟ้าของรัฐ นอกจากน้ี ยังปรากฏเนื้อหาที่สอดคล้องกับหลักบูรณาการทางสิ่งแวดล้อมในมาตรา ๔๘ ซ่ึงกําหนดให้การปลูกสร้างอาคาร หรือการตั้งโรงงานเพ่ือประกอบกิจการพลังงานต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
๒๕๑ ว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคมุ อาคาร กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการพัฒนา และสง่ เสรมิ พลังงาน สําหรับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญ แม้ว่าพระราชบัญญัติ โรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จะไม่ได้กําหนดหลักการพัฒนาท่ีย่ังยืนและหลักบูรณาการทางสิ่งแวดล้อมไว้โดยตรง แต่ก็บัญญัติให้รัฐมนตรีมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดให้โรงงานตามประเภทชนิดหรือขนาดใดเป็นโรงงาน จําพวกที่ ๑ โรงงานจําพวกที่ ๒ หรือโรงงานจําพวกที่ ๓ แล้วแต่กรณี โดยคํานึงถึงความจําเป็นในการ ควบคุมดูแล การป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ การป้องกันความเสียหาย และการป้องกันอันตรายตามระดับ ความรุนแรงของผลกระทบท่ีจะมีต่อประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็นบทบัญญัติท่ีคํานึงถึงการตอบสนอง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันมาจากการประกอบกิจการโรงงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคํานึงถึงความจําเป็น ในการควบคุมดูแล การป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ การป้องกันความเสียหาย และการป้องกันอันตราย ตามระดับความรุนแรงของผลกระทบท่ีจะมีต่อประชาชนหรือส่ิงแวดล้อม ภายใต้หลักการพัฒนาท่ียั่งยืน ท่ีการดําเนินการเพื่อการพัฒนาใด ๆ จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อคนรุ่นต่อไป อีกทั้งยังสอดคล้องกับ หลักของการบูรณาการทางสิ่งแวดล้อมและหลักการวางแผนจัดการส่ิงแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ กฎหมาย ดังกล่าวยังได้มีการนําเอาหลักของการบูรณาการทางส่ิงแวดล้อมและหลักการวางแผนจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นฐานในการดําเนินการประสานงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย โดยมาตรา ๓๑ บัญญัติเป็นหลักการ ว่า เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพและเพ่ืออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ถ้าการ ประกอบกิจการโรงงานมีกรณีท่ีเก่ียวข้องอันจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ีตามกฎหมายอื่น อยู่ดว้ ย พนกั งานเจา้ หน้าทที่ ่ีเกยี่ วข้องอาจกําหนดวธิ ีการในการดาํ เนินการเพอื่ พจิ ารณาอนญุ าตร่วมกันได้ ๑.๓.๔ หลักการปอ้ งกันล่วงหนา้ และหลกั การระวังไวก้ อ่ น จากการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมทั้ง ๔ กลุ่ม พบว่า มีการบัญญัติ ถึงหลักการป้องล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อนในลักษณะที่เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ไว้ล่วงหน้า การกําหนดให้ต้องมีการขออนุญาต การกําหนดข้อห้ามและการบัญญัติให้อํานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าท่ี ฝ่ายปกครองดาํ เนนิ การ ดงั ท่ปี รากฏในบทบัญญัตขิ องกลุ่มกฎหมายตา่ ง ๆ ดงั นี้ ในกลุ่มกฎหมายเก่ียวกับการค้มุ ครองสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหาร จัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ บัญญัติหลักป้องกันไว้ก่อนเพ่ือประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟ้ืนฟูพื้นท่ี และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเพ่ือป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝ่ัง และปอ้ งกนั ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยการกําหนดพื้นท่ีป่าชายเลนอนุรักษ์ กําหนด พ้ืนท่ีคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง และกําหนดเขตพ้ืนที่ท่ีจะใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะ ชายฝั่ง รวมถึงกําหนดหน่วยงานของรัฐท่ีจะเป็นผู้ดําเนินการตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและ ชายฝ่ังในกรณีวิกฤติหรือมีความจําเป็นอย่างย่ิง โดยในการกําหนดพื้นท่ีเหล่าน้ี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต้องออกกฎกระทรวงซ่ึงมีแผนท่ีแสดงแนวเขตพ้ืนที่แนบท้ายกฎกระทรวง กฎกระทรวง และการกําหนดหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้ดําเนินการในกรณีวิกฤติหรือมีความจําเป็นอย่างย่ิง
๒๕๒ ตลอดจนกําหนดประเภทของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครอง กําหนด ระยะเวลาและการขยายระยะเวลา ทง้ั จะตอ้ งประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเพอื่ ให้ประชาชนรับทราบตามหลักการ เก่ียวกับข้อมูลข่าวสารด้วย ในส่วนของพระราชบัญญัติทรัพยากรนํ้า พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติหลักการป้องกันไว้ก่อน ไว้ในลักษณะเป็นข้อห้ามมิให้กระทําให้ทางน้ําหรือแหล่งน้ําท่ีกฎหมายคุ้มครองปนเป้ือนเสียหาย เช่น ห้ามทิ้ง วัตถุส่ิงของลงในคลองหรือทางน้ํา ห้ามพาสัตว์พาหนะขึ้นลงคลองนอกท่าข้ามหรือลงไปในทางนํ้า ห้ามทอดสมอ หรือผูกจอดเรือในทางเรือเดิน ห้ามกีดขวางการเดินเรือ ห้ามปลูกสร้างรุกลํ้าทางนํ้าชลประทาน ห้ามกีดขวาง ทางนาํ้ ชลประทาน หา้ มทําให้ทางน้าํ ชลประทานรั่วไหล ห้ามปลกู สร้างในเขตการประปานครหลวง เปน็ ตน้ กฎหมายว่าดว้ ยการคุม้ ครองสภาพแวดล้อมทางวฒั นธรรม ปรากฎหลกั กฎหมายส่ิงแวดลอ้ มประการน้ี ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่ีให้ อํานาจอธิบดีข้ึนทะเบียนโบราณสถาน และการจํากัดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในเขตโบราณสถานของเจ้าของ หรือผู้ครอบครอง การกําหนดเง่ือนไขให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองต้องปฏิบัติตาม การให้อํานาจพนักงาน เจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานท่ีผลิต สถานที่ทําการค้า สถานท่ีแสดง หรือสถานที่เก็บรักษาเพ่ือตรวจสอบว่ามีการ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ และพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้บัญญัติ กําหนดเง่ือนไขและการพิจารณาออกใบอนุญาตจัดตั้งสุสานและฌาปนสถาน กําหนดให้เจ้าหน้าท่ีมีอํานาจ เขา้ ไปภายในบริเวณสสุ านฯ เพ่อื ตรวจสอบว่ามกี ารปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมาย ท่ีมีลักษณะป้องกันความเสียหายหรืออันตรายท่ีสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เช่น มลพิษทางอากาศ กลิ่น เขม่าควันท่ีเกิดจากการดําเนินการของสุสานฯ มลพิษจากการรั่วไหลของส่ิงปฏิกูลลงสู่แหล่งน้ํา อันเป็น มาตรการที่สอดคล้องกับหลักป้องกันล่วงหน้า นอกจากน้ี ยังปรากฏการบัญญัติข้อห้ามในพระราชบัญญัติ การผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ห้ามบุคคลใดใช้ประโยชน์ท่ีดินผิดไปจากท่ีกําหนดไว้ในผังเมืองรวม หรือปฏิบัติ การใดท่ีขัดกับข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมืองรวม ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ฯ บัญญัติ ให้อํานาจแก่เจ้าพนักงานท้องถ่ินในการอนุญาต และดําเนินการเพ่ือควบคุมการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร รวมท้ังมีอํานาจดําเนินการกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้ ในขณะที่พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้รัฐมนตรีโดยคําแนะนําของคณะกรรมการมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามขุดดินหรือถมดิน ความสัมพันธ์ของความลาดเอียงของบ่อดินหรือเนินดินตามชนิดของดิน ความลึกและขนาดของบ่อดินที่จะ ขุดดิน ความสูงและพื้นท่ีของเนินดินที่จะถมดิน และระยะห่างจากขอบบ่อดินหรือเนินดินถึงเขตที่ดินหรือ ส่ิงปลูกสร้างของบุคคลอื่น วิธีการป้องกันการพังทลายของดินหรือส่ิงปลูกสร้าง วิธีการให้ความคุ้มครองและ ความปลอดภัยแก่คนงานและบุคคลภายนอก รวมทั้งกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงือนไขอ่ืนในการขุดดิน หรือถมดิน และในพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน ฯ ยังปรากฏหลักการระวังไว้ก่อน ที่กําหนดให้ ผปู้ ระสงค์จะขุดดินท่ีมีความลึกจากระดับพื้นดินเกิน ๓ เมตร หรือมีพื้นท่ีปากบ่อดินเกิน ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร หรือมีความลึกหรือพ้ืนท่ีตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกําหนด จะต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและ จะต้องทําการขดุ ดนิ ใหถ้ กู ต้องตามข้นั ตอนท่กี ฎกระทรวงกาํ หนดไว้
๒๕๓ เช่นเดียวกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบท ชุมชนเมือง และการพลังงาน ที่มีการบัญญัติถึงหลักการป้องล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อนในลักษณะที่ให้อํานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าท่ี ฝ่ายปกครองดําเนินการเพ่ือป้องกันไว้ล่วงหน้า หรือการกําหนดหลักเกณฑ์ไว้ล่วงหน้า การกําหนดให้ต้องมีการ ขออนุญาต การกําหนดข้อห้ามและการบัญญัติ เช่น ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นท่ี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีบทบัญญัติท่ีให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าท่ีหรือผู้ซ่ึงปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าท่ี สามารถกระทําการ เข้าไปในที่ดินของบุคคลใดเพื่อทําการสํารวจพื้นท่ีในการจัดทําระบบชลประทาน ถนน หรือทางลําเลียงในไร่นา หรือการอ่ืนท่ีจําเป็นแก่การจดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรม โดยต้องแจ้งให้เจ้าของหรือ ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ทราบล่วงหน้าตามสมควร และต้องระมัดระวังให้กระทบกระเทือนการใช้ ประโยชน์ของเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้อยที่สุด และการจัดทําระบบชลประทาน ถนนหรือ ทางลําเลียงในไร่นา หรือการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรน้ําอย่างทั่วถึงพ้ืนที่ท่ีทําเกษตรกรรม ต้องได้รับ ความยนิ ยอมจากเจา้ ของท่ีดนิ ในการผ่านท่ีดินของตน เพ่ือเสนอต่อสํานักงานจัดรูปที่ดินกลาง โดยต้องคํานึงถึง การจัดสรรนํ้าให้แก่เจ้าของที่ดินซึ่งประสงค์จะใช้นํ้าเพ่ือทําเกษตรกรรม การอํานวยความสะดวกในการขนส่ง ผลิตผลการเกษตร โดยให้พิจารณาจัดทําไปตามแนวเขตของพ้ืนท่ีเดิมให้ได้มากท่ีสุด และมิให้เจ้าของที่ดิน รายใดตอ้ งรบั ภาระเกนิ สมควรแก่เหตุ นอกจากน้ี หลักการป้องกนั ลว่ งหน้าและหลักการระวังไว้ก่อน ยังปรากฏ ในลักษณะที่เป็นบทบัญญัติห้ามกระทําการ เช่น ห้ามผู้ใดทําทางระบายน้ํามาเช่ือมต่อกับระบบชลประทาน หรอื กระทาํ การใด ๆ เพอื่ ส่ง กัก หรือระบายน้ําจากระบบชลประทาน เว้นแต่จะดําเนินการตามที่อธิบดีกําหนด หรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ห้ามผู้ใดกักน้ําไว้ใช้เกินกว่าความจําเป็นแก่ท่ีดินของตน หรือกระทํา การขัดขวางการส่ง กัก หรือระบายนํ้า จนเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนไม่สามารถได้รับนํ้าจากระบบชลประทาน ห้ามใช้ ทดี่ นิ เพื่อประโยชน์อยา่ งอ่นื ที่มใิ ช่เกษตรกรรม เว้นแตไ่ ด้รบั อนุญาตเปน็ หนังสอื จากคณะกรรมการจัดรปู ทดี่ นิ กลาง หรอื ผ้ซู ึ่งคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางมอบหมาย เปน็ ตน้ รวมท้งั มบี ทบญั ญัตทิ ส่ี อดคลอ้ งกับหลักการปอ้ งกนั ล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อน ท่ีบัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้ซ่ึงปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลดังกล่าว มีอํานาจเข้าไปทําการอันจําเป็นเพื่อการสํารวจได้ ทําเครื่องหมายระดับ ขอบเขต หรือแนวเขต โดยปักหลัก หรือขุดร่องแนว ในกรณีท่ีต้องสร้างหมุดหลักฐานการแผนที่ในบริเวณที่ดินของผู้ใด ก็ให้มีอํานาจสร้างหมุด หลักฐานลงได้ตามความจําเป็น ขุดดิน ตัดราก กิ่งไม้ และกระทําการอย่างอื่นแก่สิ่งท่ีกีดขวางการสํารวจได้ เท่าท่ีจําเป็น โดยต้องแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบล่วงหน้า และให้เกิดความเสียหายน้อยท่ีสุด ซึง่ พระราชบญั ญตั ิการนคิ มอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ก็มีบทบัญญัติท่ีเก่ียวกับการขออนุญาต จัดสรรท่ีดินในเขตพ้ืนท่ีท่ีประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรม และการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคม อุตสาหกรรม รวมถึงการขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร การต้ังโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคม อตุ สาหกรรม ไวท้ ํานองเดียวกนั ส่วนกฎหมายการพลังงาน พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ มีบทบัญญัติ ท่พี จิ ารณาได้วา่ มพี ้นื ฐานจากหลกั การปอ้ งกนั ล่วงหนา้ และหลกั การระวังไว้ก่อน โดยอาจจําแนกเป็นบทบัญญัติ ที่เก่ียวกับการขออนุญาต บทบัญญัติที่เป็นข้อห้าม และบทบัญญัติท่ีให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่กระทําการ เพ่ือป้องกันล่วงหน้า เช่น มาตรา ๔๗ การประกอบกิจการพลังงานต้องได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ
๒๕๔ มาตรา ๑๑๖ การกอ่ สรา้ งหรือกระทาํ การใด ๆ ภายในบริเวณป้องกันระบบโครงข่ายพลังงานต้องได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการ ในกรณีท่ีการก่อสร้างหรือการกระทําใด ๆ ที่ได้รับอนุญาตก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างหรือการกระทําน้ันต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดข้ึน ส่วนบทบัญญัติที่เป็น ข้อห้าม เช่น มาตรา ๕๕ ห้ามผู้รับใบอนุญาตโอนสิทธิตามใบอนุญาตให้บุคคลอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ มาตรา ๕๘ ห้ามผู้รับใบอนุญาตพักหรือหยุดให้บริการพลังงาน เว้นแต่จะได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการประกาศกําหนด มาตรา ๑๑๒ ห้ามผู้ใด ปลูกสร้างอาคาร โรงเรือน ต้นไม้หรือสิ่งอ่ืนใด ติดต้ังส่ิงใด เจาะหรือขุดพ้ืนดิน ถมดิน ท้ิงส่ิงของ หรือกระทํา ด้วยประการใด ๆ ที่อาจทําให้เกดิ อันตรายหรอื เปน็ อปุ สรรคแก่ระบบโครงข่ายพลังงาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาต เป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีรับฟังความคิดเห็นของผู้รับใบอนุญาตด้วย หากเห็นว่าการกระทําดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อระบบ โครงข่ายพลังงานบุคคล สัตว์พืช ทรัพย์หรือ ส่ิงแวดล้อม ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีอนุญาตตามคําขอ ซ่ึงจะกําหนดเง่ือนไขอย่างใดด้วยก็ได้ ในกรณีท่ีมีการ ดําเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับอนุญาตแต่มีการฝ่าฝืนการอนุญาตหรือเงื่อนไขประกอบการอนุญาต ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทาง ปกครองได้ ซึ่งพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก็มีบทบัญญัติท่ีเป็นการกําหนด หลักเกณฑล์ ่วงหน้า การขออนญุ าต และการกําหนดขอ้ หา้ ม ทํานองเดียวกนั และในกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญ ก็มีบทบัญญัติท่ี สอดคล้องกับหลักการป้องล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อน ในลักษณะท่ีให้อํานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองดําเนินการเพ่ือป้องกันไว้ล่วงหน้า การกําหนดหลักเกณฑ์ไว้ล่วงหน้า การกําหนดให้ต้องมีการ ขออนุญาต การกําหนดข้อห้ามและการบัญญัติ เช่นเดียวกัน ดังท่ีปรากฏในพระราชบัญญัติมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่ีให้อํานาจเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มีบทบัญญัติบางมาตราที่ให้มีการควบคุม ป้องกัน บรรเทา หรือระงับอันตราย ท่ีจะเกิดแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อมอันเน่ืองมาจากวัตถุอันตราย และคํานึงถึงการถ่ายทอดความรู้เก่ียวกับ วตั ถอุ นั ตรายและให้มีการประกนั ความเสยี หายท่อี าจเกิดข้นึ ต่อส่ิงแวดล้อม สุขภาพอนามัย ชีวิต หรือทรัพย์สิน ซ่ึงเกิดจากการประกอบกิจการเพ่ือไม่ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา และมีบทบัญญัติบางมาตรากําหนดให้มี องค์กรเพ่ือทําหน้าท่ีควบคุมดําเนินการบังคับใช้กฎหมาย เช่น คณะกรรมการวัตถุอันตราย หรือการกํากับดูแล และควบคุมวัตถุอันตรายจากพนักงานเจ้าหน้าท่ีหรือผู้มีอํานาจในหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องหากมีการดําเนินการ ท่ีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขสําหรับวัตถุอันตราย หรือมีการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว ส่วนพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติหลักการป้องกันล่วงหน้ามาบัญญัติไว้ท้ังในลักษณะที่เป็นการ ให้อํานาจแก่เจ้าพนักงานในอันที่จะกําหนดเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติ หรือการให้อํานาจแก่เจ้าพนักงาน ในอันทจี่ ะสั่งใหผ้ ้รู บั ใบอนุญาตดาํ เนินการแก้ไขการประกอบการให้เปน็ ไปตามเง่ือนไขที่กําหนดไว้หรือไม่ ดังจะ เห็นได้จากมาตรา ๑๗ ให้อํานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะเข้าไปตรวจว่าโรงงานได้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
๒๕๕ ในระหวา่ งเวลาทาํ งานตามปกติได้ หรอื มาตรา ๘ วรรค ๒ ได้ให้อํานาจแก่รัฐมนตรีในอันที่จะกําหนดเงื่อนไขไว้ ในใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานเพื่อความปลอดภัยหรืออนามัยของบุคคลได้ หรือมาตรา ๙ ให้อํานาจ แก่พนักงานเจา้ หน้าที่ในอันท่ีจะส่ังให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแก้ไขโรงงานให้ถูกต้องตามที่ได้รับ อนุญาตหรือให้ถูกต้องตามท่ีรัฐมนตรีได้ระบุไว้ในใบอนุญาตก็ได้ นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักกฎหมายเกี่ยวกับ การป้องกันล่วงหน้าในส่วนที่ให้อํานาจแก่เจ้าพนักงานในอันที่จะกําหนดเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติ หรือ ในส่วนท่ใี หอ้ ํานาจแก้เจา้ พนักงานในอันที่จะสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการแก้ไขการประกอบการตามเงื่อนไข ท่ีกําหนดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยให้อํานาจแก่เจ้าพนักงาน่ในอันท่ีจะส่ังพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ด้วย ทํานองเดียวกับพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทม่ี เี นอื้ หาในบางมาตราท่ีสอดคลอ้ งกับหลักการดังกล่าว ๑.๓.๕ หลักผกู้ อ่ มลพิษเปน็ ผจู้ า่ ย จากการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมทั้ง ๔ กลุ่ม มีเพียงกฎหมายใน กลุ่มกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่ไม่ปรากฏบทบัญญัติท่ีสอดคล้องกับ หลักผ้กู ่อมลพิษเปน็ ผจู้ า่ ย ส่วนกลุ่มกฎหมายอีก ๓ กลุ่มปรากฏหลกั กฎหมายสง่ิ แวดลอ้ มประการน้ี ดังนี้ ในกลุ่มกฎหมายเก่ียวกับการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา คุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ท่รี ัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อมกําหนด ต้องรับผิดชอบการก่อให้เกิดมลพิษ โดยต้องติดตั้ง หรือจัดให้มีระบบบําบัดอากาศเสีย อุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นใดสําหรับการควบคุม กําจัด ลด หรือขจัดมลพิษซ่ึงอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศตามท่ีเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษกําหนด และต้อง ก่อสร้าง ติดต้ังหรือจัดให้มีระบบบําบัดนํ้าเสียหรือระบบกําจัดของเสียตามท่ีเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษกําหนด รวมทั้งต้องเสียค่าบริการระบบบําบัดน้ําเสียรวมหรือระบบกําจัดของเสียรวมตามอัตราที่กําหนด ในกรณีท่ี แหล่งกําเนิดมลพิษไม่มีระบบบําบัดน้ําเสียหรือระบบกําจัดของเสียของตนเองหรือไม่สามารถทําการบําบัด นํ้าเสียหรือกําจัดของเสียได้ตามมาตรฐานที่กําหนด หากเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษฝ่าฝืน พระราชบัญญัติน้ีจะต้องเสียค่าปรับจนกว่าจะปฏิบัติตามหรือตลอดเวลาที่ดําเนินการเช่นว่านั้น และต้องรับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายให้แก่ผู้ท่ีได้รับผลกระทบ รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐในกรณีที่ ทรัพยากรธรรมชาติถูกทําลาย สูญหาย หรือเสียหาย อีกด้วย โดยในการบังคับคดีตามพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีแนวปฏิบัติตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การประสานงานเพ่ือบงั คบั ใช้กฎหมายเกี่ยวกบั ส่งิ แวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๐ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบท ชุมชนเมือง และการพลังงาน พระราชบัญญัติ จัดรูปที่ดินเพ่ือพัฒนาพ้ืนท่ี พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติเก่ียวกับกรณีมีผู้ฝ่าฝืนใช้ท่ีดินเพื่อประโยชน์อย่างอ่ืนท่ีมิใช่ เกษตรกรรม หรือทําการปลูกสร้างส่ิงใด ๆ หรือทําการใด ๆ แก่ที่ดินน้ัน อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ การจัดรูปทีด่ ิน คณะกรรมการจดั รปู ที่ดินจังหวัดมีอํานาจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนร้ือถอน ทําให้คืนสู่สภาพเดิม หรืองดเว้น การกระทําน้ันภายในระยะเวลาท่ีกําหนด ถ้าผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคําส่ังน้ัน คณะกรรมการจัดรูปท่ีดินจังหวัด
๒๕๖ มีอํานาจดําเนินการรื้อถอน หรือทําให้คืนสู่สภาพเดิม โดยให้ผู้ฝ่าฝืนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการร้ือถอนหรือ ทําให้คืนสู่สภาพเดิมได้ และพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติกรณีท่ีผู้ดําเนิน โครงการจัดรูปท่ีดินหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายเข้าไปใช้สอยหรือครอบครองที่ดินที่มิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ท่ีอยู่ใกล้กับท่ีดินในบริเวณโครงการจัดรูปที่ดินโดยปฏิบัติตามเง่ือนไขท่ีกําหนดไว้ในกฎหมาย แต่ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่เจ้าของท่ีดินหรือผู้ทรงสิทธิอื่น บุคคลนั้นย่อมเรียกค่าทดแทนจากโครงการจัดรูปท่ีดินได้ และ หากไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องค่าทดแทน ให้เสนอคณะกรรมการส่วนจังหวัดเป็นผู้พิจารณา ซ่ึงแสดงถึง หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย นอกจากน้ี พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติท่ีอาจพิจารณาได้ว่ามีหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับ อนุญาต ปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตาม เงื่อนไขที่กําหนดในใบอนุญาต ให้คณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมมีอํานาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร หากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคําส่ังดังกล่าว ให้คณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมมีอํานาจ จัดการเพ่ือแก้ไข เปล่ียนแปลง หรือร้ือถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจา้ ของ หรอื ผ้คู รอบครองอาคารนัน้ สําหรับกฎหมายการพลังงาน พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่ได้บัญญัติ ถึงหลักการนี้โดยตรง แต่มีบางมาตราที่มีเน้ือหาสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ได้แก่ มาตรา ๔๙ ที่บัญญัติให้ คณะกรรมการมีอํานาจส่ังให้ผู้ประกอบกิจการที่เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบ กิจการพลังงานท่ีต้องได้รับใบอนุญาต แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาต หยุด หรือระงับการประกอบกิจการ พลังงานหรือปลดการเชื่อมต่อออกจากระบบ โครงข่ายพลังงาน หากผู้ประกอบกิจการไม่ดําเนินการตามคําส่ังน้ัน ก็ให้คณะกรรมการมีอํานาจส่ังให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ดําเนินการใด ๆ ที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของคําส่ังดังกล่าว และให้ผู้ประกอบกิจการชําระ ค่าใช้จ่ายท่ีเกิดข้ึน และมาตรา ๑๑๑ กําหนดว่าในกรณีท่ีระบบโครงข่ายพลังงานหรืออุปกรณ์ที่ใช้ ในการประกอบกิจการระบบโครงข่ายพลังงานก่อให้เกิดการรบกวนหรือเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการใช้ ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าของ ผู้มีสิทธิครอบครอง หรือผู้ทรงสิทธิอื่น อันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงในวัตถุประสงค์หรือวิธีการใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์น้ัน เม่ือเจ้าของ ผู้มีสิทธิ ครอบครอง หรือผู้ทรงสิทธิอ่ืนร้องขอ ผู้รับใบอนุญาตต้องดําเนินการเพื่อขจัดการรบกวนหรืออุปสรรคดังกล่าว เว้นแต่การดําเนินการนั้นจะกระทบกระเทือนอย่างร้ายแรงต่อการดําเนินการของผู้รับใบอนุญาตหรือ ดําเนินการได้อย่างยากย่ิงทางวิศวกรรม ในกรณีน้ีให้ผู้รับใบอนุญาตและเจ้าของผู้มีสิทธิ ครอบครอง หรือ ผู้ทรงสิทธิอื่นทําการตกลงกันเก่ียวกับการดําเนินการเพ่ือขจัดการรบกวนหรืออุปสรรคดังกล่าว โดยกําหนดเวลาซึ่งต้องดําเนินการ ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ และวิธีการชําระค่าใช้จ่ายนั้น ในกรณีท่ีไม่สามารถตกลงกันได้หรือในกรณีที่ได้ตกลงกันแล้วแต่ไม่สามารถดําเนินการตามข้อตกลงได้ให้ผู้รับ ใบอนุญาตเจา้ ของผูม้ สี ทิ ธคิ รอบครอง หรอื ผทู้ รงสทิ ธิอนื่ ย่ืนคําร้องขอต่อคณะกรรมการเพ่ือวนิ ิจฉยั ชีข้ าด
๒๕๗ สว่ นพระราชบญั ญตั ิพลงั งานนิวเคลียรเ์ พื่อสันติ พ.ศ. ๒๕๕๙ หลกั การผู้กอ่ มลพษิ เป็นผจู้ ่ายปรากฏอยู่ ในบทบัญญัติหลายมาตรา เช่น มาตรา ๗๙ บัญญัติให้ผู้ก่อให้เกิดกากกัมมันตรังสีมีหน้าที่จัดการกาก กัมมันตรังสี และกากกัมมันตรังสีใดท่ีผู้มีหน้าที่ต้องส่งให้หน่วยงานของรัฐจัดการ ให้เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการดําเนินการดังกล่าว หรือมาตรา ๑๐๔ กรณีมีคําส่ังพักใช้ใบอนุญาตหรือคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เลขาธิการอาจมีคําสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีเข้าดําเนินการเก่ียวกับวัสดุกัมมันตรังสี เคร่ืองกําเนิดรังสี วัสดุ นิวเคลียร์ เคร่ืองปฏิกรณ์นิวเคลียร์ กากกัมมันตรังสี หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วท่ีเกี่ยวข้องกับ การดําเนินการตามที่ได้รับใบอนุญาตน้ันได้เท่าท่ีจําเป็นเพ่ือป้องกันอันตรายจากรังสี เพื่อความปลอดภัยหรือ ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี หรือการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และให้หักค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจากการดําเนินการดังกล่าวจากหลักประกัน หากหลักประกันไม่เพียงพอ ผู้รับใบอนุญาตต้อง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่ขาด มาตรา ๑๐๘ เมื่อปรากฏต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ีว่าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจส่ังให้ผู้น้ันระงับการกระทําที่ฝ่าฝืน หรือแก้ไข หรือปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องได้ ในกรณีท่ีต้องทําลายหรือจัดการตามควรแก่กรณี หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ให้เจ้าของ หรือผู้นําเข้ามาซึ่งส่ิงของนั้นมีหน้าท่ีจ่ายหรือชดใช้เงินจํานวนน้ันแก่ทางราชการ และมาตรา ๑๑๐ บัญญัติ เกยี่ วกบั กรณีทตี่ ้องทาํ ลายหรือจดั การวัสดุกัมมันตรังสี เคร่อื งกําเนิดรังสี วัสดุนิวเคลียร์ สถานประกอบการทาง นิวเคลยี ร์ กากกมั มนั ตรังสี เชือ้ เพลิงนวิ เคลยี รใ์ ช้แล้ว และเอกสารหรือสิ่งใด ๆ ตามมาตรา ๑๐๙ หรือทรัพย์สิน ใดท่ีเก่ยี วข้องท่ีศาลมีคําพพิ ากษาใหร้ บิ เจ้าของมีหน้าทช่ี าํ ระคา่ ใชจ้ ่ายท่เี กดิ ขึ้นให้แก่ทางราชการดว้ ย ส่วนกลุ่มกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อนรําคาญ พระราชบัญญัติวัตถุ อันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กําหนดความรับผิดทางแพ่งนอกเหนือจากความรับผิดทางแพ่งตามกฎหมายอ่ืน โดยบทบัญญัตินี้ไม่เป็นการลบล้างหรือจํากัดหน้าท่ีและความรับผิดทางแพ่งท่ีบุคคลมีอยู่ตามบทบัญญัติ ในหมวดอ่ืนหรือของบทกฎหมายอ่ืน แก่ผู้ผลิต ผู้นําเข้า ผู้ขนส่ง และผู้มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตราย รวมไปถึง ผู้ขายหรือผู้ส่งมอบด้วย โดยต้องรับผิดชอบในความเสียหายท่ีเกิดขึ้นอันเกิดแต่วัตถุอันตราย เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้วา่ ความเสยี หายน้ันเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ส่วนนายจ้าง ตัวการ ผู้ว่าจ้าง หรือเจ้าของกิจการต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่บุคคลได้กระทําไปในการทํางานให้แก่ตน แต่ชอบท่ีจะได้ชดใช้จากบุคคลดังกล่าว ในกรณีที่วัตถุอันตรายก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือ สิ่งแวดล้อม และได้มีการทําประกัน ให้ผู้รับประกันภัยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ได้รับความเสียหาย จากวัตถุอันตราย และให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนท่ีได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐในการเข้า ช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย บําบัด บรรเทา หรือขจัดความเสียหายท่ีเกิดขึ้น ส่วนพระราชบัญญัติโรงงานฯ ไม่ได้มี บทบัญญัติเก่ียวกับหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายโดยตรง เพียงแต่ได้มีการกําหนดโทษไว้ในหมวด ๓ โดยเป็นโทษ ในทางอาญาในกรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติต่าง ๆ ท่ีกําหนดไว้เพ่ือให้การดําเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กําหนดให้มีบทลงโทษทางปกครองหรือการใช้มาตรการทางปกครองต่อบุคคลท่ีก่อให้เกิดความเสียหาย อยา่ งร้ายแรงตอ่ สภาวะความเป็นอย่ทู เ่ี หมาะสมกับการดาํ รงชีพของประชาชน
๒๕๘ ๑.๓.๖ หลกั การวา่ ดว้ ยการคุม้ ครองสง่ิ แวดล้อมตอ้ งไม่มีลกั ษณะที่ถดถอยลง โดยที่หลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมประการนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ และเป็นหลักการ ที่มุ่งใชบ้ งั คับแก่รฐั ในการท่ีรฐั จะตรากฎหมายหรือออกกฎขอ้ บังคับเก่ียวกับมาตรการทางสิ่งแวดล้อม กฎหมาย หรือมาตรการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับหลักความก้าวหน้าในการคุ้มครองส่ิงแวดล้อม และจากการศึกษา บทบัญญตั กิ ฎหมายเก่ยี วกบั สิง่ แวดล้อมในกลมุ่ ต่าง ๆ ยังไม่ปรากฏการบัญญัติรับรองหลักการน้ีเป็นลายลักษณ์ อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ดี เม่ือพิจารณากฎหมายเก่ียวกับการจัดการทรัพยากรน้ําซึ่งมีจํานวนหลายฉบับ และเกิดข้ึนในชว่ งเวลาทต่ี า่ งกนั เมื่อพิจารณาความเปลยี่ นแปลงที่เกิดข้ึนในพระราชบัญญัติเก่ียวกับการจัดการ ทรัพยากรน้ําแต่ละฉบับ จะเห็นได้ถึงความก้าวหน้าในทางกฎหมายที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรนํ้า เช่น จากพระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ ที่มีเพียงหลักการป้องกันไว้ก่อนโดยไม่มีเป้าหมาย ท่ีเป็นรูปธรรมว่าต้องการให้คลองมีสภาพและประโยชน์อย่างไร พัฒนามาสู่พระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ และ พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองกิจกรรมของมนุษย์ โดยการ รักษาทางน้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อมาจึงมีพระราชบัญญัติน้ําบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ และพระราชบัญญัติ รักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่ีรวมเอาแนวคิดเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมซ่ึงเคยปรากฏ ในพระราชบัญญัติฉบับก่อน ๆ แล้วเข้าไว้ด้วยกัน และมีวัตถุประสงค์เพ่ือรักษาสภาพของแหล่งน้ํานั้นไว้ เพ่ือคุณค่าอ่ืนนอกเหนือจากกิจกรรมของมนุษย์ และล่าสุดพระราชบัญญัติทรัพยากรนํ้า พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่นําเอา หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลักบูรณาการทางสิ่งแวดล้อมมาบัญญัติเป็นกฎหมายจัดการทรัพยากรน้ํา วิวัฒนาการของกฎหมายจัดการทรัพยากรน้ําเหล่าน้ีแสดงให้เห็นถึงหลักการว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อม ต้องไมม่ ลี กั ษณะทถ่ี ดถอยลงแต่ตอ้ งมีลักษณะของการค้มุ ครองทมี่ ีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลยงิ่ ขึน้ ๒. ขอ้ สงั เกต จากการศึกษาวิเคราะห์หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมสากลและการบัญญัติรับรองหลักการพื้นฐานของ กฎหมายสิ่งแวดล้อมในระบบกฎหมายไทย ทําให้เห็นว่า การบัญญัติกฎหมายและการใช้บังคับหลักกฎหมาย สงิ่ แวดลอ้ มในระบบกฎหมายไทยมีลักษณะที่แยกเป็นเอกเทศในสิ่งแวดล้อมแต่ละเร่ือง ไม่มีความเช่ือมโยงและ ไม่เป็นเอกภาพในลักษณะบูรณาการทางกฎหมายและการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมทั้งระบบ นอกจากนี้ กฎหมายแต่ละฉบับกําหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบกระจายอยู่หลายหน่วยงาน ซ่ึงอาจมีปัญหาการทับซ้อนของ อํานาจหนา้ ท่รี ะหวา่ งหน่วยงานต่าง ๆ ที่กฎหมายกําหนด รวมท้งั อาจเกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย และ ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงกฎหมายสิ่งแวดล้อมของประชาชนทั่วไป แม้แต่เจ้าหน้าท่ีที่เป็นผู้ปฏิบัติการตามกฎหมาย ก็อาจมีอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะบูรณาการท้ังระบบกฎหมายส่ิงแวดล้อม จึงสมควรที่จะมี การจัดทําประมวลกฎหมายส่ิงแวดล้อม โดยหากประเทศไทยจะมีการจัดทําประมวลกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะทาํ งานมีขอ้ สังเกตเพือ่ ประกอบการพจิ ารณา ดังนี้
๒๕๙ (๑) การพิจารณาจัดหมวดหมู่ของกฎหมายส่ิงแวดล้อม และแสดงรายละเอียดของแต่ละหมวดหมู่ ว่าประกอบด้วยบทบัญญัติเรื่องใดบ้าง โดยอาจจําแนกตามเนื้อหาของสิ่งแวดล้อมที่มุ่งจะคุ้มครอง ดังที่ได้ จัดประเภทไวใ้ นรายงานฉบับนี้ และโดยท่ีปัจจุบันการพลังงานมีความสําคัญมากยิ่งข้ึน ในปัจจุบันมีการจัดเป็น กฎหมายสิ่งแวดล้อมด้านการพลังงานแยกต่างหากอีกด้านหนึ่ง ดังน้ัน คณะทํางานจึงขอเสนอการจัดหมวดหมู่ กฎหมายส่ิงแวดล้อมเป็น กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ กฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชนบท กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองสภาพแวดล้อมในชุมชนเมือง กฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษและการระงับเหตุเดือดร้อน รําคาญ และกฎหมายว่าดว้ ยการพลังงาน ฯลฯ (๒) การบัญญัติหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมไว้ในภาคท่ัวไป โดยใช้ถ้อยคําที่แสดงถึง การรับรองหลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมอย่างชัดแจ้ง ซ่ึงปัจจุบันหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมท่ีเป็น หลักการสากลที่ได้รับการรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศมีอย่างน้อย ๖ หลักการ คือ หลักความเป็นสากล ของส่ิงแวดล้อม หลกั การมสี ่วนร่วมของประชาชนเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม หลักการพัฒนาที่ย่ังยืนและหลักบูรณาการ ทางส่ิงแวดล้อม หลักการป้องกันล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อน หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และหลักการ ว่าด้วยการคุ้มครองส่ิงแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะที่ถดถอยลง ทั้งน้ี อาจระบุชื่อหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อม อย่างชัดเจน เพ่ือให้คุณค่าและให้สถานะทางกฎหมายแก่หลักการดังกล่าว ท่ีผู้ใช้กฎหมายและศาลสามารถนํา หลักกฎหมายสิง่ แวดลอ้ มดังกลา่ วมาปรบั ใชไ้ ดส้ ะดวกข้ึน (๓) พิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างและกลไกของรัฐทั้งระดับหน่วยงานท่ีมีอํานาจหน้าที่ เกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมแต่ละด้าน และเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่เป็นผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยกําหนด หลักเกณฑ์เพ่ือแบ่งแยกอํานาจหน้าท่ีในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมด้านต่าง ๆ ระหว่างราชการ บรหิ ารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์การมหาชน ให้ชัดเจนยิ่งข้ึน รวมท้ังการผสานความร่วมมือ โดยท่ีรายงานการศึกษาฉบับนี้ มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เน้ือหาของหลักการ พ้ืนฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อม จึงไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์ในรายละเอียดในส่วนของโครงสร้างองค์กรและ เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐที่มอี าํ นาจหนา้ ท่ีเก่ยี วกบั ส่งิ แวดล้อม รวมทั้งระบบบรหิ ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม ๓. ข้อสรปุ จากการศกึ ษาหลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมอันเป็นหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมสากลท่ีได้รับ การยอมรับจากประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก ทําให้เห็นว่า ระบบกฎหมายสิ่งแวดล้อมมีความซับซ้อน สมบูรณ์ และ เป็นกฎหมายท่ีมีพัฒนาการไม่หยุดนิ่ง แม้ปัจจุบันก็ยังอยู่ในช่วงแห่งการพัฒนาให้สมบูรณ์มากย่ิงข้ึน โดยหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้รับการพัฒนาข้ึนเพื่อเป็นเคร่ืองมือทางกฎหมายในการแก้ไข และฟ้ืนฟูปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ีมนุษย์ท่ัวโลกกําลังประสบกับผลกระทบจากอุบัติภัยทางธรรมชาติ และเหตุ เดือดร้อนรําคาญท่ีเกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อมทุกด้าน ร่วมกัน การพัฒนาหลักการพ้ืนฐานของกฎหมาย สิ่งแวดล้อมจึงเป็นภารกิจร่วมกันท้ังในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในระดับภายในประเทศ ทัง้ ฝา่ ยนิติบัญญัติ ฝา่ ยบรหิ ารและฝา่ ยตลุ าการ
๒๖๐ คงไม่จําเป็นต้องกล่าวยํ้าถึงปัญหาวิกฤติด้านส่ิงแวดล้อมที่มนุษยชาติกําลังประสบอยู่ว่ามาถึงจุดท่ี ทุกฝ่ายต้องให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ดี การดําเนินการเพ่ือแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีมิติท้ังทางกฎหมายและทางการเมือง และมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการพัฒนาและ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซ่ึงนโยบายของรัฐในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการผลิตสินค้าและ บรกิ ารท้งั หลายทุกดา้ น ไม่ว่าจะเปน็ การพฒั นาอุตสาหกรรม เกษตรกรรมและภาคธุรกิจการบริการต่าง ๆ ย่อม อาจเป็นการทําลายสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์ ดังเช่นท่ีเห็นประจักษ์ในปัจจุบัน การเกิด ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติแปรปรวน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และโรคภัยไข้เจ็บ ท่ีล้วนเป็นผลลัพธ์ด้านลบท่ีเกิด จากการพัฒนาท้ังส้ิน จึงเกิดเป็นประเด็นพิจารณาในเชิงนิตินโยบายของรัฐถึงทิศทางการดําเนินนโยบาย ทางเศรษฐกิจและนโยบายการค้มุ ครองสง่ิ แวดล้อมโดยใช้กฎหมายเป็นเครอ่ื งมอื โดยกฎหมายส่ิงแวดล้อม คือ กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมเป็นหลัก เน้ือหา ของกฎหมายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมจะครอบคลุมการป้องกันและเยียวยาความเส่ือมโทรมของสิ่งแวดล้อมและ สุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอ่ืน กฎหมายส่ิงแวดล้อมบางประเภทอาจกําหนดคุณภาพส่ิงแวดล้อม และจาํ กดั เง่ือนไขในการดําเนินกจิ การบางประเภทของมนุษย์ เช่น กําหนดปริมาณของภาวะมลพิษที่จะให้มีได้ หรือกําหนดให้ต้องมีการวางแผนและการตรวจสอบกิจการบางอย่าง และกําหนดนโยบายของรัฐ โดยสถานะ ทางกฎหมายของกฎหมายส่ิงแวดล้อมจะมีทั้งกฎหมายลายอักษณ์อักษรภายในประเทศ และกฎหมายที่ไม่เป็น ลายลักษณ์อักษร หลักกฎหมายที่เกิดจากศาล รวมถึงสนธิสัญญา ข้อตกลง พันธกรณี กฎระเบียบหลากหลายชนิด จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะจัดทําเป็นประมวลกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อจัดหมวดหมู่กฎหมายสิ่งแวดล้อม และสร้าง ความชดั เจนใหแ้ ก่หลักการพนื้ ฐานของกฎหมายส่งิ แวดลอ้ ม รวมถึงการจัดระเบียบและบูรณาการการบริหารจัดการ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม สําหรับหลักการพ้ืนฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมท้ัง ๖ หลักการ ได้แก่ หลักความเป็นสากลของสิ่งแวดล้อม หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อม หลักการพัฒนาที่ย่ังยืนและหลักบูรณาการทางส่ิงแวดล้อม หลกั การปอ้ งกันล่วงหน้าและหลักการระวังไว้ก่อน หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และหลักการว่าด้วยการคุ้มครอง สิ่งแวดล้อมต้องไม่มีลักษณะที่ถดถอยลง เป็นหลักกฎหมายท่ีกําเนิดขึ้นจากความร่วมมือของประชาคมโลก นํามาสู่การบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย หลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมดังกล่าวจึงมีคุณค่าและ มีสถานะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันการจัดทําประมวลกฎหมายสิ่งแวดล้อมอันเป็น กฎหมายสารบัญญัติทางส่ิงแวดล้อมก็จะเป็นการบูรณาการบทบัญญัติกฎหมายท่ีเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมให้เป็น ระบบมากขึน้ กล่าวโดยสรุป การศึกษาวิเคราะห์หลักการพื้นฐานของกฎหมายส่ิงแวดล้อมท้ัง ๖ หลักการ และ การศกึ ษาเนอื้ หาของบทบัญญตั ิกฎหมายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมของไทยทั้ง ๓๓ ฉบับ ในรายงานการศึกษาฉบับน้ี นอกจากจะเป็นการศึกษาต่อยอดองค์ความรู้เก่ียวกับกฎหมายส่ิงแวดล้อม และประมวลผลหลักการพื้นฐาน ของกฎหมายส่ิงแวดล้อมที่มีอยู่ในบทบัญญัติกฎหมายท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ยังอาจเป็นฐานข้อมูลที่เป็น ประโยชน์สําหรับผู้ใช้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นองค์กรเจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวข้องหรือองค์กรตุลาการในการที่จะพัฒนา หลักกฎหมายพื้นฐานเกยี่ วกบั ส่งิ แวดล้อมให้สมบรู ณ์ยงิ่ ขึน้ ตอ่ ไป
คณะทํางาน ๑. นายปยิ ะศาสตร์ ไขวพ้ นั ธ์ุ ผู้อาํ นวยการสํานกั วิจยั และวชิ าการ หัวหน้าคณะทํางาน ๒. นางสาวอภิญญา แก้วกําเหนิด เลขานุการและคณะทาํ งาน เลขานุการและคณะทาํ งาน พนกั งานคดีปกครองชาํ นาญการพิเศษ คณะทํางาน คณะทํางาน ๓. นางสาวพัชราภรณ์ ศิรวิ ิมลกลุ คณะทาํ งาน พนักงานคดีปกครองชํานาญการ ๔. นางสาวนิตา บณุ ยรตั น์ พนักงานคดีปกครองชาํ นาญการ ๕. นางสาวพัชรณ์ ฏั ฐ์ ไชยนวุ ัติ พนกั งานคดีปกครองชาํ นาญการ ๖. นางสาวกิติวรรณ ขันติไตรรตั น์ พนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ ๗. นายวชิ ญ์พาส พิมพ์อกั ษร พนกั งานคดปี กครองชาํ นาญการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274