เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสันติศึกษา ธัญญรัตน์ พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์ 2563
(3) สารบัญ หน้า บทท่ี 1 สันตศิ ึกษากับสันติภาพ……………………..……………….……………............. 1 ความเป็ นมาของสันติศึกษา.......................................................................................... 1 ความมุง่ หมายของการสอนสนั ติศึกษา......................................................................... 6 ความเขา้ ใจเก่ียวกบั สนั ตภิ าพ........................................................................................ 8 สันติภาวะกบั สันติวิธี.................................................................................................... 9 สันตภิ าพกบั ความขดั แยง้ .............................................................................................. 14 สนั ตภิ าพเชิงลบกบั สันติภาพเชิงบวก............................................................................ 16 บทท่ี 2 ความขดั แย้งในบริบทของสันตศิ ึกษา........................................................................ 21 ความหมายและแนวคดิ เกี่ยวกบั สนั ตแิ ละสนั ติภาพ....................................................... 21 ความหมาย ลกั ษณะ และขอบเขตของสนั ติศกึ ษา......................................................... 26 ประเดน็ หัวขอ้ ศกึ ษาท่สี าคญั ในสนั ตศิ กึ ษา.................................................................... 29 ลกั ษณะท่ีสาคญั ของวิชาสันติศึกษา.............................................................................. 34 สกุลความคิดทางสังคมวทิ ยาท่เี กี่ยวกบั ความขดั แยง้ ..................................................... 37 ทฤษฎีโครงสร้างการหนา้ ที่........................................................................................... 37 ทฤษฎีความขดั แยง้ ........................................................................................................ 39 การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดทางสังคมวิทยาในสนั ติศึกษา.................................................... 45 แนวคดิ เกี่ยวกบั ความสมั พนั ธท์ ส่ี ันติ............................................................................. 45 แนวคดิ เก่ียวกบั ความสมั พนั ธ์ทไ่ี ม่สนั ติ........................................................................ 46 ความขดั แยง้ ................................................................................................................... 47 ความตระหนกั ถึงความขดั แยง้ ....................................................................................... 48
(4) สารบญั (ต่อ) หน้า บทที่ 3 ความรุนแรง........................................................................................................ 51 ภาพแห่งความรุนแรงในโลกปัจจบุ นั ...................................................................... 51 ความหมายของความรุนแรง................................................................................... 55 ความรุนแรงทางตรง................................................................................................ 57 บทที่ 4 สงคราม............................................................................................................... 79 ความหมายและธรรมชาติของสงคราม.................................................................... 79 สาเหตขุ องสงคราม.................................................................................................. 81 ประเภทของสงคราม............................................................................................... 95 ยทุ ธศาสตร์และหลกั การสงคราม............................................................................. 93 ผลกระทบของสงคราม............................................................................................ 95 จริยศาสตร์การสงคราม............................................................................................. 97 บทท่ี 5 อาวุธนิวเคลียร์กบั ชะตากรรมของโลก................................................................... 109 ความรู้เบ้อื งตน้ วา่ ดว้ ยอาวธุ นิวเคลียร์......................................................................... 109 พฒั นาการของระบบอาวธุ นิวเคลยี ร์........................................................................... 127 การพฒั นาเทคโนโลยีของอาวุธนิวเคลียร์................................................................... 114 ยทุ ธศาสตร์การป้องปรามดว้ ยอาวุธนิวเคลียร์............................................................. 118 แนวโนม้ ในอนาคตของการป้องปราม........................................................................ 122 อานุภาพของระเบดิ นิวเคลียร์ในการทาลาย................................................................. 126
(5) สารบญั (ต่อ) หน้า บทท่ี 6 จริยศาสตร์ว่าด้วยอาวธุ และสงครามนวิ เคลยี ร์....................................................... 129 จริยศาสตร์ว่าดว้ ยอาวุธและสงครามนิวเคลียร์............................................................ 129 ขอ้ อา้ งเร่ืองประโยชน์ของอาวุธนิวเคลยี ร์ในการป้องกนั ประเทศ............................... 130 ขอ้ ถกเถียงทางศลี ธรรมต่อยทุ ธศาสตร์การป้องปรามดว้ ยอาวุธนิวเคลียร์................... 136 บทท่ี 7 การแก้ไขความขัดแย้ง............................................................................................. 149 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างการกาเนิดของความขดั แยง้ และแนวทางแกไ้ ข......................... 149 พฒั นาการของการแกไ้ ขความขดั แยง้ .......................................................................... 152 แนวความคดิ วา่ ดว้ ยการแกไ้ ขความขดั แยง้ .................................................................. 157 บทที่ 8 การควบคมุ ความขัดแย้งระหว่างรัฐ........................................................................ 163 สถาบนั ควบคมุ ความขดั แยง้ ระหว่างรัฐ...................................................................... 163 สถาบนั แบ่งปันผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจระหว่างรัฐ............................................... 168 การควบคุมความขดั แยง้ ระหวา่ งรฐั : ลู่ทางสาหรบั อนาคต........................................ 173 กระบวนการแกไ้ ขและควบคุมความขดั แยง้ ระหว่างรัฐ.............................................. 175
-1- บทที่ 1 สันตศิ ึกษากบั สันตภิ าพ ความรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกับสันตศิ ึกษา ความเป็ นมาของสันติศึกษา การตระหนกั ในผลร้ายอนั ไม่พึงปรารถนาของการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ โดยใช้วิธีการท่ี รุนแรง ความชิงชงั ต่อทารุณกรรมของสงครามที่มนุษยก์ ระทาต่อกนั การเห็นคุณค่าของสันติภาพ และความพยายามในการเรียกร้องความร่วมมือกนั สร้างสันตภิ าพในหมูม่ วลมนุษยไ์ ดม้ ีมานานแลว้ และมีหลายรูปแบบดว้ ยกนั แต่การก่อรูปร่างเป็นองค์การที่ทากิจกรรมเพื่อเรียกร้องส่งเสริมและ ดารงไวซ้ ่ึงสันติภาพอยา่ งแข็งขนั ปรากฏอยา่ งชดั เจนก็เมือ่ ภายหลงั ทม่ี นุษยไ์ ดป้ ระสบมหนั ตภัยของ สงครามโลกท้งั สองคร้ังแลว้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงภายหลงั สงครามโลกคร้ังที่ 2 ท่ีมนุษยไ์ ดร้ ับรู้ถึง อานาจการทาลายล้างของอาวุธนิวเคลียร์แลว้ มนุษย์ก็เร่ิมตระหนักว่าภัยของสงครามน้ัน มิใช่ หมายถึงแต่เพียงความอดอยากทุกขย์ ากบาดเจ็บลม้ ตายของมนุษยบ์ างหมู่บางเหล่าเท่าน้ัน หากแต่ หมายถึงการสูญสิ้นของอารยธรรมและของมนุษยชาติท้งั โลกทีเดียว ในยคุ นิวเคลียร์ คือ ภายหลัง สงครามโลกคร้งั ท่ีสองมนุษยจ์ ึงไดร้ ู้สึกอยา่ งแทจ้ ริงถึงภยั ต่อการอยรู่ อด (Survival) ของมนุษยชาติ หากมนุษยข์ าดสันติภาพ ความตระหนักในภัยต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดกระบวนการ สันติภาพ (Peace Movements) ข้ึนหลายรูปแบบในหลายส่วนของโลก เช่น กระบวนการด้าน ศาสนาและสันติภาพ กระบวนการเชิงมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน และกระบวนการร่วมมือเชิง พฒั นา เป็นตน้ ในประเทศไทยเองก็เคยมีขบวนการสันติภาพซ่ึงชักชวนประชาชนให้ต่อตา้ นสงครามเยน็ ระหว่างมหาอานาจฝ่ ายทุนนิยม (สหรัฐอเมริกา) กบั มหาอานาจฝ่ ายสังคมนิยม (สหภาพโซเวียต)
-2- กระบวนการต่อตา้ นสงครามไดเ้ กิดข้นึ ท้งั ในประเทศทางยโุ รป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เพราะความหวน่ั เกรงในภยั ของเทคโนโลยีการผลิตอาวุธต่างๆ เช่น อาวุธเคมี อาวุธ ชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ท่ีมีต่อมนุษย์ สภาพแวดล้อมและอารยธรรมของโลก เนื่องจาก ประชาชนในประเทศยุโรปไดป้ ระสบกบั ภยั พิบตั ิและความทุกขย์ ากท่ีเกิดจากสงครามโลกท้งั สอง คร้ังเป็นอยา่ งมาก กระบวนการตอ่ ตา้ นสงครามในยโุ รปจึงไดก้ ระทาอยา่ งแขง็ ขนั เป็นพเิ ศษกวา่ ที่อ่ืน ใด ส่งผลกระทบให้ความคิดเรื่องการต่อต้านสงครามและการร่วมมือกันสร้างสันติภาพได้ แพร่กระจายไปเกือบทว่ั โลก กระบวนการเหล่าน้ีลว้ นแต่มุ่งชกั จงู ให้คนเราเขา้ ใจกนั เห็นอกเห็นใจ กนั และร่วมมือช่วยเหลือกนั สร้างชีวิตความเป็นอยูท่ ่ดี ีใหแ้ ก่กนั และกนั อนั เป็ นพ้ืนฐานสาคญั ของ การมสี นั ติภาพ สันติศึกษาเป็ นความพยายามอยา่ งหน่ึงในการต่อตา้ นสงครามและส่งเสริมสันติภาพ ดว้ ย การส่งเสริมความเขา้ ใจเรื่องสันติภาพและการปลูกฝังทศั นคติฝ่ ายสันติโดยผ่านกระบวนการทาง การศึกษา การศกึ ษาเป็นกระบวนการท่ีสาคญั อยา่ งหน่ึงในการส่งเสริมใหม้ ีการเรียนรู้ทาความเขา้ ใจ เก่ียวกบั สันตภิ าพและปลูกฝังทศั นคติทใ่ี ฝ่สนั ตไิ ด้ หน่วยงานทร่ี บั ผิดชอบทางการศึกษาขององคก์ าร สหประชาชาติ คือ องคก์ ารยเู นสโก (UNESCO) กไ็ ดท้ มุ่ เทความพยายามที่จะหาทางจดั การศกึ ษาให้ เป็ นไปเพื่อให้โลกอยู่กนั อย่างมีสันติสุข การใช้วิถีทางทางการศึกษาเพ่ือสร้างสันติภาพระหว่าง มนุษยก์ ็คือการใช้วิถีทางแห่งเหตุผล โดยท่ีเช่ือว่ามนุษยน์ ้ันมีเหตุผล สามารถเขา้ ใจเห็นอกเห็นใจ และอยู่ร่วมกนั กบั ผูอ้ ่ืนอย่างสันติได้ ส่วนสงครามน้นั เกิดจากความเขา้ ใจผิด ความเขลา และความ กลวั และเช่ือว่าการศึกษาจะสามารถสร้างให้คนมีความเป็นมนุษย์ คือ มีเหตุผล มีความเขา้ ใจอนั ดี ซ่ึงกนั และกนั และอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบได้
-3- แนวทางการศึกษา ที่องคก์ ารยเู นสโกใชเ้ พอ่ื ส่งเสริมสนั ติภาพ คอื การศกึ ษาเพอื่ ความเขา้ ใจ อั น ดี ร ะ ห ว่ า ง ช า ติ ( Education for World Understanding ห รื อ Education for International Understanding) และ การศึกษาต่างวฒั นธรรมโดยพยายามใช้การศึกษาทาให้คนท่ีมีวฒั นธรรมที่ แตกต่างกนั สามารถติดต่อสื่อสารกนั ไดโ้ ดยมีความเขา้ ใจ เคารพ เป็นมิตรและคดิ ช่วยเหลอื กนั หลกั การและวตั ถปุ ระสงคส์ าคญั ของนโยบายการศึกษาเพ่ือความเขา้ ใจอนั ดีระหว่างชาติ มี ดงั น้ี 1. สร้างมติระหว่างชาติและการมองโลกอย่างกวา้ งๆ ในการศึกษาทุกระดับและในทุก รูปแบบ 2. ก่อให้เกิดความเขา้ ใจและการเคารพซ่ึงบุคคลทุกชาติ ศาสนา วฒั นธรรม อารยธรรม ค่านิยมและแนวทางการดารงชีวติ โดยสอนทางวฒั นธรรมและเช้ือชาติของตนและของชาตอิ ่นื 3. ก่อให้เกิดความตระหนักถึงความจาเป็ นที่ต้องพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ที่มีมากข้ึน ระหว่างบุคคลและชาติตา่ งๆ ทว่ั โลก 4. กอ่ ใหเ้ กิดความสามารถในการติดตอ่ กบั ผอู้ ืน่ 5. ไม่ตระหนกั ถึงแค่เพียงสิทธิ แตค่ านึงถึงหน้าที่ของบุคคล กลุ่มสงั คม และชาติท้งั หลายที่ จะตอ้ งมตี อ่ กนั และกนั 6. เขา้ ใจถึงความจาเป็นทตี่ อ้ งมีความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกนั และร่วมมอื กนั ระหว่างชาติ 7. สร้างความพร้อมของแต่ละบุคคลที่จะเขา้ ร่วมในการแกป้ ัญหาของชุมชนของตน ของ ประเทศของตนและของโลกโดยทว่ั ไป 8. เนน้ หลกั การไม่ยอมรับการใชส้ งครามเพอ่ื แกป้ ัญหาระหว่างประเทศ เพ่อื ให้บรรลุวตั ถุประสงคด์ งั กล่าวขา้ งตน้ น้ี ไดม้ ีการพฒั นาการศกึ ษาในหลายรูปแบบและ หลายวิธี ที่สาคญั มี 4 แนวทางคอื 1. แนวทางศึกษาเปรียบเทียบ (Comparative Education) แนวน้ีเปรียบเทียบชีวิตความ เป็ นอยูท่ างภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศต่างๆ แนวน้ีเป็ นแนวด้ังเดิมท่ีประเทศ ต่างๆ ใช้สอนระยะหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 หลกั สูตรวิชาสังคมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ของไทย (พ.ศ.2524) ก็คล้ายแนวน้ี คือ ศึกษาเก่ียวกับประเทศเพื่อนบ้านทางด้านภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมและการปกครองในช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 และเกี่ยวกบั ประเทศยุโรป ออสเตรเลียทางดา้ นเดียวกนั ในช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 2. แนวการศึกษาสหวัฒนธรรม (Inter-Cultural Studies) แนวน้ีเนน้ วฒั นธรรมของชนชาติ ต่างๆ รวมท้งั ของชนกลุ่มน้อยในประเทศ เพ่ือให้นักเรียนเห็นคุณค่าของวฒั นธรรมต่างๆ มีความ
-4- เข้าใจความแตกต่างและความคล้ายคลึงกันของวัฒนธรรมต่างๆ จนไม่เกิดอคติข้ึน ประเทศ ออสเตรเลียเร่ิมสนใจแนวน้ีมากข้ึน 3. แนวสกลทัศน์ศึกษา (global education) แนวน้ีเป็ นแนวใหม่ที่ยงั ไม่ค่อยจะเห็นตวั อย่าง ชัดเจนนัก เพิ่งจะเร่ิมมีความสาคญั ในรอบสิบปี ท่ีแล้วน้ีเองโดยท่ีในปี พ.ศ.2514 นักวิทยาศาสตร์ จานวน 2,200 คน จากประเทศต่างๆ 23 ประเทศ ซ่ึงมีความวิตกกงั วลต่ออนั ตรายของการท่ีมนุษย์ ใชเ้ ทคโนโลยีไปในทางทาลายธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มของโลกเกินขนาด ไดส้ ่งสาส์นถงึ นายอู่ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติในขณะน้ันโดยเรียกร้องให้ชาวโลกตระหนกั ในภยั ท่ีจะเกิดข้นึ น้ี หากชาวโลกไม่ร่วมใจกันป้องกันเสียแต่บัดน้ี สาส์นน้ีเรียกกันว่า “เมนตัน เมสเสจ” (Menton Message) ในขณะเดียวกนั ก็มีขบวนการของกลุ่มท่ีเรียกว่า “คลบั ออฟ โรม” (Club of Rome) ซ่ึง เป็ นกลุ่มเรียกร้องให้มีการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจของโลกแบบใหม่ เพ่ือความเป็ นธรรมแก่ทุก ประเทศ และเพ่ือหยดุ ย้งั การแข่งขนั กนั ทาลายทรัพยากรและสภาพแวดลอ้ มของโลก จากแนวคิด สองกระแสน้ีจึงไดเ้ กิดแนวสกลทศั น์ศึกษาที่สอนให้ชาวโลกตระหนักในความรับผดิ ชอบร่วมกนั ในการสงวนรักษาทรัพยากรและสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาตขิ องโลก และตระหนักในความจริง ท่ีว่า โลกเราน้ีผูกพนั กนั ทางระบบเศรษฐกิจ จึงไม่ควรแบ่งแยกเป็ นกลุ่มเหนือ กลุ่มใต้ และกลุ่ม เหนือซ่ึงหมายถึงยโุ รปและอเมริกาควรช่วยเหลอื กลมุ่ ใตซ้ ่ึงหมายถึงประเทศกาลงั พฒั นาท้งั หลายให้ มากยงิ่ ข้ึน 4. แนวพัฒนศึกษา (Development Education) แนวน้ีววิ ฒั นาการมาจากกระบวนการพฒั นา ประเทศซ่ึงเป็ นงานหลักขององค์การสหประชาชาติ พฒั นศึกษาเป็ นผลมาจากการค้นควา้ ทาง หลกั การและทฤษฎีการพฒั นาประเทศ การเมือง เศรษฐกิจและสังคม สาขาวิชาต่างๆ ท่ีแตกแขนง จากทฤษฎีการพฒั นาก็มี วิชาการศึกษาเพื่อการพฒั นา เป็ นตน้ แนวพฒั นศึกษานอกจากจะเน้นให้ เขา้ ใจถงึ ปัญหาต่างๆ ในการพฒั นา เช่น ปัญหาความยากจน ความไม่รู้หนงั สือ ฯลฯ แลว้ ยงั เนน้ การ กระตุน้ มโนธรรมในการทเี่ ขา้ ไปมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหาเหลา่ น้ี โดยใชก้ ารศึกษาเป็นเคร่ืองมือ
-5- แนวทางการจดั การศึกษาเพื่อความเข้าใจอนั ดีระหว่างวฒั นธรรมน้ีประเทศไทยเราได้ พยายามทามาแลว้ ในระดบั ชาติ คือ แผนการศึกษาของชาติที่ผ่านมาได้พยายามเปลยี่ นคนไทยจาก ลกั ษณะถิ่นนิยมมาเป็นชาตินิยม กล่าวคอื พยายามทาให้คนไทยที่อยตู่ ่างถ่ินตา่ งวฒั นธรรมกนั เช่น คนไทยที่อยู่ภาคเหนือกบั ภาคใต้ ซ่ึงอาจรู้สึกว่าเป็ นคนละพวก เพราะพูดสาเนียงภาษาต่างกัน มี วฒั นธรรมต่างกนั ให้มคี วามรู้สึกวา่ เป็นพวกเดียวกนั เป็นคนไทยเหมือนกนั ต่อไปการศกึ ษาของเรา ก็ควรมุ่งให้คนเพิ่มจากชาตินิยมมารับความเป็ นโลกนิยมด้วย กล่าวคือแม้จะเป็ นคนต่างภาษา ต่างชาติกนั ก็รู้สึกเป็นชาวโลกเดียวกนั ร่วมผลประโยชน์ร่วมชะตากรรมเดียวกัน และในเมื่อการ เป็ นชาตินิยมไม่จาเป็ นต้องทาลายหรือดูถูกวฒั นธรรมท้องถ่ิน การเป็ นโลกนิยมก็ตอ้ งไม่ดูถูก วฒั นธรรมและภาษาของแต่ละชาติ เมื่อการศึกษาท่ีผ่านมาพยายามทาให้ชาวเขาที่จังหวัด แม่ฮ่องสอนรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็ นคนไทย รักและร่วมชะตากรรมกับคนไทยในภาคอ่ืนๆ ได้ การศึกษาที่จะมีต่อมาก็ควรพยายามทาให้คนไทยรู้สึกว่าตนเองเป็นชาวโลก เป็นพลเมืองของโลก (Citizen of The world) รักและร่วมชะตากรรมเดียวกันกบั ชาวประเทศอ่ืนๆ ได้ โดยยงั คงความ ภาคภมู ใิ จในความเป็นไทยอยไู่ ด้ แนวการจดั การศึกษาเพ่ือความเขา้ ใจอนั ดีระหว่างชาติระหว่างวฒั นธรรมที่กล่าวมาขา้ งตน้ น้ีแมจ้ ะมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความรักความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั อนั จะนาไปสู่การสร้างสรรค์ สนั ติภาพร่วมกนั แต่แนวการจดั การศึกษาดงั กล่าวน้ันก็ไมไ่ ดก้ ล่าวถึงเร่ืองของสนั ตภิ าพและปัญหา ต่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั สันติภาพโดยตรง เช่น ปัญหาเร่ืองความขดั แยง้ และความรุนแรง ปัญหาเร่ือง การบริหารความขัดแยง้ (Conflict Management) ปัญหาเรื่องสงครามและแนวทางการได้มาซ่ึง สันติภาพ ตลอดจนความหมายและขอบเขตของสันติภาพที่ตอ้ งการ วิชาท่ีศึกษาถึงเร่ืองสันติภาพ
-6- โดยตรงดังกล่าวน้ีมกั มีคาว่า สันติ เขา้ ไปอยดู่ ว้ ย เช่น วิชาสันติวิทยา สันติศาสตร์ และสันติศึกษา เป็ นตน้ ความม่งุ หมายของการสอนสันตศิ ึกษา ในการศึกษาเรื่องสนั ตภิ าพน้นั อาจมีความมงุ่ หมายท่ีต่างกนั ได้ 2 ประการ คอื 1. เป็ นการศึกษาเร่ืองสันติภาพเพ่ือเรียนรู้และทาความเขา้ ใจถึงลกั ษณะความเป็นจริงของ สนั ตภิ าพ (Education about Peace) 2. เป็นการศึกษาเร่ืองสันตภิ าพเพ่ือสร้างสันติภาพใหเ้ กิดข้ึน (Education for Peace) นกั วิชาการบางท่านใชค้ าว่า “สันติวิทยา” หรือ “สันติศาสตร์” เรียกการศึกษาเร่ืองสนั ติภาพ ที่เน้นวตั ถุประสงค์ประการแรก และใชค้ าว่า “สันติศึกษา” สาหรับการศึกษาเรื่องสันติภาพท่ีเน้น วตั ถปุ ระสงคป์ ระการหลงั วตั ถุประสงค์ประการแรกน้ันเน้นการแสวงหาความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับเร่ืองสันติภาพ เช่น การศกึ ษาหาความหมายของคาว่าสนั ติภาพ ความพยายามเขา้ ใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของการไม่มี สันติภาพ ทาไมจึงมีการแก้ปัญหาความขดั แยง้ ดว้ ยความรุนแรง เป็นต้น ส่วนเม่ือผูศ้ ึกษามีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั เร่ืองสันติภาพแลว้ จะมีทศั นคติท่ีใฝ่สันติภาพ คือตอ้ งการสร้างสันตภิ าพหรือไม่ มิใช่เป็ นจุดประสงค์สาคญั ของสันติวิทยาหรือสันติศาสตร์ แต่วตั ถุประสงคป์ ระการท่ีสองซ่ึงเป็ น ของสันติศึกษาน้ันเน้นการปลูกฝังทัศนคติให้ใฝ่ สันติหรืออย่างน้อยก็มีสมมติฐานว่า เม่ือรู้วิธี แก้ปัญหาความรุนแรง รู้วิธีสร้างสันติภาพแลว้ จะได้นาไปใช้แก้ปัญหา นาความรู้ไปสร้างสันติ กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ สันติวิทยาหรือสันติศาสตร์น้ันค่อนขา้ งจะเน้นหนักไปในเรื่องการศึกษา คน้ ควา้ วจิ ยั เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจถึงลกั ษณะความเป็นจริงของสันตภิ าพ
-7- ส่วนสันติศึกษาน้ันมุ่งแสวงหาวิธีปลูกฝังทศั นคติ ใฝ่ สันติ ให้มีจิตใจรักสันติ อย่รู ่วมกบั ผูอ้ ่ืนไดร้ าบร่ืนและไม่ใชว้ ิธีการรุนแรงแกป้ ัญหา ดงั ที่ แอนดรู แม็ค (Andrew Mack) ไดส้ รุปไวว้ ่า “สันติศกึ ษาไม่ควรเพียงแต่เรียนรู้เร่ืองของสันติภาพเท่าน้ัน หากแต่ควรเรียนรู้ทีจ่ ะใชส้ ันติวิธีดว้ ย” (Peace education should not only involve learning about peace, but also learning to act peacefully.) ขอ้ ควรสังเกตก็คือ วตั ถุประสงค์ของสันติวิทยาและสันติศึกษาน้นั มิไดข้ ดั แยง้ กนั แต่ช่วย เก้ือหนุนกนั ไดก้ ารมีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั สันติภาพเป็ นส่ิงจาเป็ นในการสร้างสันติภาพ และ การมีใจใฝ่ สันติก็อาจเป็ นแรงจูงใจให้เกิดความอยากรู้อยากเขา้ ใจถึงลักษณะความเป็ นจริงของ สันติภาพ และวิธีการสร้างสนั ตภิ าพได้ ชุดวชิ าท่ีนกั ศึกษากาลงั ศึกษาอยนู่ ้ีมีลกั ษณะผสมผสานระหว่างสนั ติวทิ ยากบั สันติศกึ ษาเขา้ ดว้ ยกนั โดยมสี มมติฐานวา่ เมือ่ นกั ศึกษามีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั มหนั ตภยั ของการไม่มสี ันติภาพ ในยุคที่เทคโนโลยีมีศักยภาพท่ีสามารถทาลายล้างโลกและอารยธรรมมนุษย์ได้แล้ว ก็จะเห็น ความจาเป็นของการตอ้ งอยู่ร่วมกนั อย่างสันติบนโลกอนั เปราะบางใบเดียวกนั น้ี มนุษยท์ ุกคนบน โลกไม่ว่าจะเป็ นเช้ือชาติใด เป็นประชาชนของประเทศใด ในท่ีสุดแลว้ ทุกคนก็เป็นประชากรของ โลกใบเดียวกันที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียว ปัญหาในแต่ละชุมชน ในแต่ละประเทศ ต่างก็ มผี ลกระทบถึงชุมชนอื่น และประเทศอื่นดงั ตวั อยา่ งท่ีเห็นไดช้ ดั คือ กรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้า พลงั ปรมาณูเชอร์โนบิลอนั อยหู่ ่างไกลถึงสหภาพโซเวียต ก็ยงั มีผลกระทบถึงการบริโภคนมผงของ ประชาชนไทย เพราะนมผงที่สั่งเขา้ มาเล้ียงทารกจากยโุ รปกเ็ กิดการปนเป้ื อนรังสีปรมาณูทาให้ไม่ ปลอดภยั ในการบริโภค จนรัฐบาลไทยตอ้ งส่ังหา้ มนาเขา้ นมผงจากยโุ รปเป็ นการชัว่ คราว ดงั น้นั จึง
-8- ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่าถา้ เกิดสงครามนิวเคลียร์ข้ึนระหว่างอเมริกาหรือยโุ รปกบั สหภาพโซเวียตแลว้ ประเทศต่างๆ ทวั่ โลกรวมท้งั ไทยดว้ ยจะไม่ตอ้ งพลอยไดร้ ับพิษภยั จากอาวุธนิวเคลียร์ไปดว้ ยอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ การตระหนกั ในความจริงดงั กล่าวน้ีคงจะทาให้นักศึกษาเห็นความจาเป็ นของการ ตอ้ งแสวงหาวิธีอยรู่ ่วมกนั หาวิธีแกป้ ัญหาต่างๆ ของโลกร่วมกนั โดยสันตวิ ิธี และไม่เกิดความเขา้ ใจ ผดิ คิดไปว่าปัญหาต่างๆ ของโลกหรือของประเทศเพ่ือนบา้ น ไม่เก่ียวกบั เราในฐานะประชาชนคน ธรรมดา แล้วก็เลยไม่ใส่ใจในปัญหาหรือไม่เห็นความสาคัญของความพยายามในการปลูกฝัง ทศั นคติท่ีใฝ่ สนั ติภาพให้แก่ประชาชนในทกุ ประเทศ สรุปไดว้ ่า การศึกษาให้มีความเขา้ ใจเร่ืองสันติภาพและภยั ของการไม่มีสันติภาพจะทาให้ เกิดทศั นคติท่ีใฝ่ สันติภาพ และตอ้ งการส่งเสริมความเข้าใจอนั ดีต่อกนั ไม่เกลียดชงั กนั เพราะเห็น เป็ นคนละพวก คนละชะตากรรมกัน และเมื่อเขา้ ใจถูกตอ้ งว่าเป็ นพวกเดียวกัน ร่วมชะตากรรม เดียวกนั ก็จะร่วมมอื กนั แกป้ ัญหาและสร้างสันติภาพร่วมกนั ความเข้าใจเก่ียวกบั สันตภิ าพ ความหมายของสันติภาพ ปัญหาเร่ืองนิยมหรือความหมายของสันติภาพเป็ นเรื่องสาคัญเรื่องหน่ึงในการศึกษาเร่ือง สันติภาพ ปัญหาน้ีก็คือปัญหาท่ีว่า เม่ือเราพูดถึงสันติภาพ เมื่อเรากล่าวว่าเราตอ้ งการสันติ หรือเมื่อ เรากลา่ วว่าจงมาแกป้ ัญหาน้ีอยา่ งสนั ตโิ ดยไม่ใชค้ วามรุนแรงกนั เราหมายถงึ อะไร เราตอ้ งการอะไร ปัญหาเรื่องความหมายของสันติภาพจึงเป็นเร่ืองสาคญั สาหรับสันตศิ ึกษาเหตผุ ลที่ปัญหาน้ี สาคญั ก็เพราะว่า 1. การท่ีเราจะศึกษาเร่ืองอะไร เราก็ควรจะเขา้ ใจความหมายของสิ่งท่ีเราศึกษาว่าคืออะไร การเขา้ ใจความหมายของส่ิงท่กี าลงั ศึกษาจึงมีความสาคญั ในตวั ของมนั เองในแงข่ องการศึกษา
-9- 2. ไดม้ ีผูใ้ ห้ความหมายของสันติภาพไวห้ ลายอยา่ งต่างกนั หลายคนใชค้ าว่าสันติภาพคา เดียวกนั แต่กาหนดความหมายไวต้ ่างกนั เม่ืออา่ นหรือศึกษางานเขียนเหล่าน้นั อาจเกิดความสบั สน ได้ 3. การเขา้ ใจความหมายของสนั ติภาพท่ีต่างกนั อาจทาให้เกิดทศั นคตติ ่อสันติภาพท่ีต่างกนั ได้ เช่น ถา้ เขา้ ใจว่าสันติภาพคือภาวะท่ีปราศจากสงครามหลายคนก็คงเห็นว่าสนั ติภาพเป็นภาวะที่ น่าปรารถนาอนั อาจเกิดข้ึนไดไ้ ม่ยากจนเกินไปนัก เพราะปัจจุบนั ไทยเรามสี ันติภาพในความหมาย ดงั กลา่ วมากกวา่ มสี งคราม แต่ถา้ เขา้ ใจวา่ สนั ติภาพเป็นความสงบสุขที่ไร้ความขดั แยง้ ใดๆ ดงั เช่นคา กล่าวที่ว่าสันติสุขในใจอนั หมายถึง มีความสงบสุขในใจโดยไม่มคี วามขดั แยง้ ใดๆ ในสังคมหลาย คนก็อาจเห็นว่าสันติภาพในความหมายหลงั น้ีเป็นอุดมคตทิ ี่สูงกว่าสันติภาพในความหมายแรกและ อาจเห็นต่อไปว่าเป็นอดุ มคติท่ีบรรลถุ ึงไดย้ ากพอสมควรบางคนกอ็ าจเห็นว่าเป็นอุดมคติทบี่ รรลุถึง ไม่ได้เอาเลยทีเดียว เพราะมนุษย์ย่อมมีความขดั แยง้ กนั เป็ นธรรมดาอนั เป็ นธรรมชาติและมนุษย์ ปุถุชนซ่ึงมีความตอ้ งการทีไ่ ม่จากดั แตส่ ิ่งทส่ี นองความตอ้ งการน้นั มอี ยจู่ ากดั การพิจารณ าความหมายของสันติภาพอาจแบ่งแง่มุมการพิจารณ าได้อย่างน้อย 3 ประเดน็ คือ 1. สนั ติภาพเป็นเป้าหมายท่ีเราตอ้ งการบรรลถุ งึ หรือเป็นวธิ ีการท่ีจะบรรลุถงึ เป้าหมายใดๆ 2. ในสันตภิ าพมคี วามขดั แยง้ ไดห้ รือไม่ 3. นอกจากจะตอ้ งไมม่ ีความรุนแรงแลว้ ในสนั ตภิ าพจะตอ้ งมีอะไรอืน่ อกี หรือไม่ สันตภิ าวะกบั สันติวธิ ี การท่ีเราเห็นว่าสันติภาพเป็ นส่ิงมีค่า เป็ นสิ่งท่ีน่าพึงปรารถนาน้ัน เราเห็นว่ามันมีค่าใน ฐานะทเี่ ป็นภาวะอนั เป็นเป้าหมาย (end) ท่เี ราตอ้ งการบรรลุถึง หรือเราเห็นวา่ สันติภาพมคี ่าในฐานะ ที่เป็ นวิธีการหรือวิถีทาง (means) ท่ีใช้สาหรับบรรลุเป้าหมายใดๆ ที่เราตอ้ งการ ความหมายเป็ น ปัญหาที่มนุษย์เรายงั มีความเห็นแตกต่างกนั ต่อไปน้ีจะเรียกสันติภาพในฐานะที่เป็ นเป้าหมายว่า สันติภาวะ และเรียกสันตภิ าพในฐานะวธิ ีการวา่ สันติวธิ ี สันตภิ าวะ คอื สภาพหรือภาวะที่สงบ ไมม่ ีความรุนแรง เช่น ไม่มสี งคราม ไมม่ ีการต่อสูฆ้ ่า ฟันหรือเบียดเบยี นกนั ส่วนสันติวิธี คือ วิธีการท่ไี มใ่ ชค้ วามรุนแรงหรือวธิ ีการปฏบิ ตั ทิ ี่ไมร่ ุนแรงใน การแกป้ ัญหาหรือการดาเนินชีวติ
- 10 - ถึงแมค้ นจานวนมากจะสนบั สนุนให้มีสันติภาพและใชค้ าว่าสันติภาพเหมือนกนั แต่ในใจ ของเขาอาจหมายถึงสิ่งท่ีต่างกนั ก็ได้ บางคนหมายถึง สันติภาวะ บางคนเนน้ สันติวิธี ผูท้ ีส่ นับสนุน แนวคิด “สันติภาพด้วยกาลัง” (Peace through strength) เช่น ผูท้ ี่ถือคติว่า “แม้หวงั ต้งั สงบ จง เตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เป็ นพวกท่ีเน้นสันติภาวะมากกว่าสันติวิธี คือ ยอมเตรียมรบหรือ แมก้ ระทง่ั ลงมอื รบจริงๆ เพอื่ รกั ษาไวห้ รือให้ไดม้ าซ่ึงความสงบ แนวคิด “สันติภาพดว้ ยกาลงั ” อาจไดร้ บั การตีความว่า กาลงั รบสามารถทาใหเ้ กิดสนั ตภิ าวะ ได้ 2 วธิ ี คอื 1. กาลังรบสามารถป้องกันการเกิดสงครามได้ เพราะทาให้ฝ่ายท่ีคดิ โจมตีรุกรานไม่กลา้ ลง มือเน่ืองจากเห็นว่าอกี ฝ่ ายเตรียมการรับมือไวพ้ ร้อม ถา้ ขนื ลงมือกอ่ สงครามก็คงไมส่ ามารถเอาชนะ บีบบงั คบั ให้อีกฝ่ ายยอมตามขอ้ เรียกร้องของตนได้ หรืออาจถึงกบั เป็นฝ่ ายแพส้ งครามเสียเองก็ได้ จึงตอ้ งหาวิธีการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ ดว้ ยวิธีการอ่ืนๆ แนวคิดน้ีเน้นการป้องกนั สงครามดว้ ยดุล แห่งอานาจ 2. สงครามสามารถกาจดั สงครามได้ แนวคดิ น้ีเห็นวา่ ถา้ ยงั ไมม่ ีชาตใิ ดหรือฝ่ ายใดมีอานาจ อยา่ งมากพอที่จะควบคมุ ฝ่ายอื่นๆ ใหอ้ ยใู่ นอานาจได้ กจ็ ะเกิดสงครามสู้รบกนั เพราะขดั ผลประโยชนก์ นั อยเู่ รื่อยๆ เช่น สงครามกลางเมืองในเลบานอนไมส่ ามารถยตุ ไิ ดเ้ พราะไมม่ ีฝ่ายใดมี อานาจเขม้ แขง็ พอที่จะจดั ต้งั รฐั บาลกลางข้นึ มาควบคมุ ฝ่ ายอน่ื ๆ ได้ สงครามระหว่างรัฐระหวา่ งชาติ ก็เช่นกนั เกิดเพราะไม่มีชาติใดท่ีเขม้ แข็งพอท่ีจะต้งั ตวั เป็นใหญป่ กครองชาติอื่นๆ ให้เชื่อฟังและอยู่ ในระเบียบได้ ดงั น้นั สนั ติภาพจึงเกิดไดเ้ มอ่ื มีฝ่ายทเ่ี ขม้ แขง็ มากจนปราบปรามฝ่ายอนื่ ๆ ไดแ้ ละไมม่ ี
- 11 - ฝ่ายใดทา้ ทายอานาจได้ เช่น จกั รวรรดิโรมนั โบราณไดส้ ร้างสันติภาพแห่งโรม (Pax Romana หรือ The Peace of Rome) ข้ึน แนวคิดน้ีจึงอา้ งวา่ ทาสงครามเพ่ือสนั ติภาพได้ ส่วนผูท้ ่ีเน้นแนวสันติวิธียอ่ มไม่เห็นดว้ ยกบั การเตรียมการใชค้ วามรุนแรง หรือการลงมือ ใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายใดๆ ผูถ้ ือสันติวิธีได้วิจารณ์ฝ่ ายสันติภาพด้วยกาลงั ว่า ถ้าคิด ป้องกันสงครามดว้ ยการเตรียมกาลงั รบ ก็จะตอ้ งเกิดสงครามแน่เพราะอีกฝ่ ายก็คงไม่ไวใ้ จว่าเรา เตรียมกาลงั ไวร้ บั มือหรือใช้เป็นขอ้ อา้ งเพื่อเตรียมกาลงั ไวร้ ุกรานแน่ ส่วนการทาสงครามเพ่ือสร้าง ความเป็นใหญ่เพ่ือใช้อานาจจดั ระเบียบให้ฝ่ ายอ่ืนๆ น้นั บทเรียนจากประวตั ศิ าสตร์ไดส้ อนเราว่านี่ เป็นตน้ เหตุของสงครามแทนท่จี ะเป็นตวั ขจดั สงคราม เพราะแตล่ ะฝ่ายก็อยากเป็นใหญเ่ พ่ือปกครอง ฝ่ ายอื่น ไม่มีฝ่ ายใดอยากถูกปกครองและมกั ไม่มองว่าฝ่ ายท่ีเขม้ แข็งกว่าเป็ นผูจ้ ดั ระเบียบให้เกิด ความสงบ หากแต่มองว่าเป็นฝ่ ายที่ใช้อานาจกดขี่อยา่ งไม่เป็ นธรรมจึงตอ้ งหาทางต่อสู้ให้พน้ จาก การถูกกดขีใ่ หไ้ ด้ ซ่ึงเกิดเป็นสงครามตามมา “แม้หวังต้ังสงบ จงเตรียมรบให้ พร้ อมสรรพ (lf you want peace, prepare for war ) เป็ น ทฤษฎีที่ผิดถนัดเพราะตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึน้ ในประวัติศาสตร์ สงครามไม่เคยนาสันติภาพท่ี แท้จริงมาสู่คู่สงครามเลย” ผสู้ นบั สนุนสนั ตวิ ิธีจึงไดเ้ สนอคตพิ จนเ์ พอ่ื โตแ้ ยง้ ฝ่ายสันตภิ าพดว้ ยกาลงั วา่ “แมห้ วงั ต้งั สงบ จงเตรียมสงบให้พร้อมสรรพ” (lf you want prepare for peace) “สันตวิ ิธีเท่าน้นั ทีน่ าไปสู่ สันตภิ าพ” (There is no way to peace, peace is the way) และ “ใฝ่ รบไดส้ งคราม ใฝ่ รกั จึงจะได้ สนั ติ”
- 12 - อยา่ งไรกต็ าม แมใ้ นบรรดาผสู้ นบั สนุนสนั ตวิ ิธีก็ยงั สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 พวก คือ 1. ผทู้ ่ีใชส้ นั ตวิ ิธีเพ่อื แกป้ ัญหาความขดั แยง้ คอื ตอ่ ตา้ นการใชค้ วามรุนแรงในการแกป้ ัญหา 2. ผูท้ ่ีใช้สันติวิธีเป็ นวิถีทางในการดาเนินชีวิต คือ ต่อต้านวิถีชีวิตที่รุนแรง เช่น การ เบยี ดเบยี นอยา่ งไม่เป็นธรรมตอ่ เพอื่ นมนุษย์ สตั ว์ พชื และส่ิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติ นักสันติวิธีพวกแรกมองสันติวิธีในฐานะที่เป็นวิธีการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ มากกว่าเป็ น วิถีทางในการดาเนินชีวิต พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกบั การแกป้ ัญหาโดยใช้วิธีการรุนแรง เช่น การ ตัดสินความขัดแยง้ กันด้วยกาลัง ไม่เห็นด้วยกับการแกไ้ ขปัญหาเด็กท่ีไม่เชื่อฟังคาส่ังสอนของ ผู้ใหญ่ด้วยการตี ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษอาชญากรด้วยการประหารชีวิต เป็ นต้น แต่ นอกเหนือจากการแกป้ ัญหาแลว้ พวกเขาก็อาจยอมรับการใชค้ วามรุนแรงในการดาเนินชีวติ ในดา้ น อนื่ ๆ เช่น ไม่เห็นว่าการฆ่าสัตวเ์ พ่ือเป็นอาหารเป็ นส่ิงผดิ อาจนิยมกีฬาหรือความบนั เทิงที่ใช้ความ รุนแรง เช่น การล่าสตั ว์ ยงิ นก ตกปลา การชกมวย การเอาสัตวม์ าต่อสู้กนั การนิยมดูภาพยนตร์หรือ เลน่ วีดีทศั น์เกมทร่ี ุนแรง เป็นตน้ ส่วนนกั สันติวิธีอีกพวกหน่ึงน้นั ไมไ่ ดม้ องสนั ติวธิ ีในฐานะเป็ นเพยี งวิธีการแกป้ ัญหาความ ขดั แยง้ ของมนุษยเ์ ท่าน้ัน หากแต่เห็นว่าเป็นวิถีทางในการดาเนินชีวิตทุกดา้ นเลยทีเดียว ในขณะท่ี นกั สันตินิยมพวกแรกมองสนั ตวิ ิธีเป็นเพียงวธิ ีการแกป้ ัญหาใดปัญหาหน่ึงโดยเฉพาะ และมกั จะเห็น ปัญหาเฉพาะท่ีเป็ นความขดั แยง้ ระหว่างมนุษยก์ บั มนุษย์ จึงเป็ นห่วงเฉพาะความรุนแรงที่มนุษย์ กระทาต่อกนั เอง
- 13 - นักสันตินิยมพวกหลงั น้ีกลับมองสันติวิธีอย่างสัมพันธ์กับองค์รวมของการดาเนินชีวิต ในทุกดา้ น และมองความสัมพนั ธ์ที่อาจกลายเป็นความรุนแรงไดไ้ มเ่ ฉพาะระหว่างมนุษยก์ บั มนุษย์ เท่าน้นั หากแตย่ งั รวมถึงความรุนแรงทม่ี นุษยอ์ าจกระทาต่อสัตว์ พืช และส่ิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติ ไดด้ ว้ ย เช่น บางคนอาจเห็นว่าการกินเน้ือสัตวเ์ ป็ นความรุนแรงในการบริโภค เพราะเช่ือว่าคนเรา สามารถกินพชื ผกั และถว่ั แทนสารอาหารที่มาจากเน้ือสัตวไ์ ดโ้ ดยไม่จาเป็นตอ้ งส่งเสริมการฆ่าสัตว์ เพื่อเป็นอาหาร บางคนอาจเห็นว่าชีวิตความเป็นอยทู่ ี่สุขสบายเกินไปของมนุษยเ์ ป็นความรุนแรงที่ มนุษยก์ ระทาต่อส่ิงแวดลอ้ มเป็ นการเบียดเบยี นธรรมชาติจนเกินความจาเป็น ทาให้สภาพแวดลอ้ ม เสียความสมดุลไปไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทัน เนื่องจากมนุษยใ์ ช้ทรัพยากรธรรมชาติ อยา่ งรุนแรงและรวดเร็วจนเกิดสภาพแวดล้อมเป็ นพิษข้ึน บางคนอาจเห็นว่าการด่ืมสุรา สูบบุหรี่ และส่ิงเสพติดอนื่ ๆ นอกจากจะเป็นความรุนแรงท่ีมนุษยก์ ระทาต่อตวั เองแลว้ ยงั เป็นการเบยี ดเบยี น เพ่ือนมนุษยแ์ ละธรรมชาติอีกด้วย เพราะขา้ วและผลไมท้ ี่เสียไปจานวนมากเพราะนามาหมกั เป็ น เหล้าดื่ม อาจเหลือไวน้ าไปช่วยคนท่ีกาลังขาดแคลนอาหารได้ และป่ าไม้จานวนมากก็ถูกโค่น ทาลายเพื่อทาเป็ นไร่ยาสูบ พ้ืนที่ซ่ึงปลูกยาสูบก็ควรนาไปปลูกพืชที่เป็ นอาหารหรือยาท่ีจาเป็ น สาหรับมนุษยไ์ ด้ ระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ไม่เป็ นธรรม เช่น การใช้แรงงานเด็กใน โรงงาน การจ่ายค่าแรงที่น้อยเกินไป การคา้ ประเวณี การไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ก็ถูกมองว่าเป็ น ระบบทรี่ ุนแรง อย่างไรก็ตามการกาหนดลงไปให้ชัดเจนว่า วิถีชีวิตแบบใดแบบหน่ึงเป็ นความรุนแรง หรือไม่ เป็นเร่ืองยากและอาจเป็นทถี่ กเถียงกนั แมใ้ นหมู่ผใู้ ชส้ ันติวิธีในการดาเนินชีวติ พวกเขาอาจ เห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ การดาเนินชีวติ ท่ีเบียดเบยี นตนเอง เพือ่ นมนุษย์ สตั ว์ พืช และสภาพแวดลอ้ มตาม ธรรมชาตเิ ป็นวถิ ีชีวิตที่รุนแรง แต่ก็อาจมคี วามเห็นตา่ งกนั ว่าการกระทาหรือนิสยั ความเคยชินอยา่ ง ใดอย่างหน่ึงเป็ นการกระทาท่ีรุนแรงหรือไม่ เพราะผูใ้ ช้สันติวิธีในการดาเนินชีวิตเองก็มีความ
- 14 - เข้มงวดต่างกนั ในการตีความเรื่องวิถีชีวิตที่รุนแรง การกระทาบางอย่าง เช่น การตัดไมท้ าลายป่ า จานวนมากเพื่อหวงั ความร่ารวยจากการขายไม้ หรืออาจทาลายสภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติ และ ความงดงามของสถานท่ีเพื่อสร้างสถานพกั ผ่อนหย่อนใจที่เรียกกนั ว่ารีสอร์ท หรือเพ่ือสร้างสิ่ง อานวยความสะดวกให้แก่นกั ท่องเท่ียว เช่น กระเชา้ ไฟฟ้า อาจเป็นท่ียอมรับกนั เป็นจานวนมากใน หมู่นกั สนั ติวิธีกลุ่มน้ีวา่ เป็นความรุนแรงทีไ่ มค่ วรทาต่อธรรมชาติ (แต่คนคนอืน่ อาจไม่เห็นดว้ ย) แต่ การน่ังดื่มเบียร์เยน็ ๆ หน่ึงแกว้ หรือด่ืมกาแฟหน่ึงถว้ ยหลงั อาหารเยน็ เป็นประจาจะถูกเรียกวา่ เป็นวิถี ชีวิตท่ีรุนแรงจากนักสันติวธิ ีที่เขม้ งวดมากๆ เท่าน้ัน และแมแ้ ต่ผูใ้ ชส้ ันติวธิ ีในการดาเนินชีวิตดว้ ย กนั เองจานวนมากก็อาจไมเ่ ห็นดว้ ย ท่ียกตวั อยา่ งมาน้ีก็เพื่อให้ไม่เขา้ ใจผิดไปว่านักสันติวิธีกลุ่มน้ีเป็ นพวกท่ีมีความคิดรุนแรง เขม้ งวดในเร่ืองการไมใ่ ช้ความรุนแรงในการดาเนินชีวติ เสียจนคนธรรมดาไมน่ ่าจะยอมรบั ได้ ความ เขม้ งวดในการปฏิบตั ิตามความคิด ความเช่ือถอื ของคนในแต่ละกลมุ่ แตล่ ะลทั ธิยอ่ มมคี วามแตกต่าง กนั ไปเป็นธรรมดา ดงั ทีช่ าวพทุ ธ ชาวคริสต์ ชาวอสิ ลาม ชาวทุนนิยม และชาวสังคมนิยม แมใ้ นกลุ่ม เดียวกนั ก็มีความเขม้ งวดในการปฏิบตั ิตามลทั ธิความเช่ือของตนต่างกนั ไป เราจึงไม่ควรโจมตีหรือ ยกยอ่ งความคิดของคนกลุ่มน้ันโดยยกตวั อย่างจากการปฏิบตั ิของคนบางคนในกลุ่มที่เขม้ งวดเป็ น พเิ ศษว่าคนอ่นื ๆ ในกลุ่มมาเป็นขอ้ พิจารณา หากแต่ควรพิจารณาจากแนวคิดหลกั ของความเชื่อน้นั และแนวคิดหลักสาหรับนักสันติวิธีกลุ่มน้ีก็คือ การไม่ใช้ความรุนแรงไม่ควรเป็ นเพียงแค่วิธี แกป้ ัญหาเท่าน้นั แต่ควรเป็นวิถที างในการดาเนินชีวติ ดว้ ย และการไม่ใชค้ วามรุนแรงกไ็ ม่ควรจากดั อยเู่ พียงแค่ความสัมพนั ธ์ระหว่างมนุษยต์ ่อมนุษยเ์ ท่าน้ันหากควรเป็ นความสัมพนั ธ์กบั สิ่งท่ีมนุษย์ เขา้ ไปสมั พนั ธเ์ กี่ยวขอ้ งดว้ ย สันติภาพกบั ความขดั แย้ง พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายของสันติภาพไวว้ ่า “ความสงบ” เป็น ทยี่ อมรับกนั ว่าภาวะที่มีความรุนแรงย่อมไม่ใช่ภาวะที่มีความสงบ ดงั น้นั จึงเป็นทเี่ ห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ สนั ตภิ าพ คือ สภาพที่ปราศจากความรุนแรง แต่ท่ียงั เห็นไมต่ รงกนั กค็ อื ไมม่ ีความรุนแรงน้นั ยงั มี ความขัดแยง้ อยจู่ ะนับว่าภาวะน้ันมีสันติภาพได้หรือไม่ กล่าวคือ ผูศ้ ึกษาเก่ียวกบั สันติภาพยงั มี ความเห็นไม่ตรงกนั ว่า สภาพทีม่ สี ันติน้นั ยงั มคี วามขดั แยง้ อยหู่ รือไม่ สันตภิ าพคอื สภาพทปี่ ราศจาก ความรุนแรงแต่ยงั มีความขัดแยง้ อยู่ หรือสันติภาพคือสภาพที่ปราศจากท้งั ความรุนแรงและความ ขดั แยง้ ปกติภาวะท่ีสงบ คือ ภาวะท่ีไม่วุน่ วาย แต่เรายงั ไม่รู้วา่ ภาวะท่ีสงบไม่วนุ่ วายน้นั ยงั มีความ ขดั แยง้ อยู่หรือไม่บางคนอาจบอกว่าถา้ จะให้ไม่วุ่นวายจริงๆ สงบจริงๆ ก็ตอ้ งไม่มีความขดั แยง้ อยู่
- 15 - ดว้ ยเลย เพราะความสงบท่ีผิวหนา้ แต่มีความขดั แยง้ ซ่อนอยลู่ ึกลงไป ก็เปรียบเหมือนทะเลท่ีดูสงบ แต่เพียงพ้ืนผิวหน้าแต่มีคลื่นใตน้ ้ามันรุนแรงและอนั ตรายซ่อนอยู่พร้อมที่จะทาลายความสงบที่ พ้ืนผิวเม่ือใดก็ได้ ภาวะอนั มีความขดั แยง้ ซ่อนอยนู่ ้ีจะเรียกว่าความสงบอนั แทจ้ ริงยงั ไม่ได้ ตวั อยา่ ง ของทรรศนะน้ีคือการนิยามความหมายของสนั ติภาพโดยศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอา้ น “...สันติภาพจึงเป็นเรื่องของการให้ความหมาย ที่ต่างๆ กนั ไปแต่สรุปไดว้ ่า ท่ีเรารู้สึกว่าที่ ใดภาวะใดถา้ เป็นภาวะทม่ี ีความสงบ มีความสุข และความขดั แยง้ ก็จะมีสันติภาพ... เพราะท่ีไหนมี ความสงบ มคี วามสุข นนั่ กค็ อื ภาวะไร้ความขดั แยง้ ภาวะท่ีทาให้เกิดความสงบ” แต่ก็มีผูไ้ มเ่ ห็นดว้ ยกบั ทศั นะขา้ งตน้ น้ี เช่น พลเอกสายหยดุ เกิดผล อดีตผูบ้ ญั ชาการทหาร สูงสุดไดก้ ล่าวว่า “สันติภาพ คือ ภาวะที่ไม่มีความรุนแรง ไม่ใช่ไม่มีความขดั แยง้ ” ผูท้ ่ีไม่เห็นดว้ ย กบั ทศั นะที่ว่าในสันติภาพตอ้ งไมม่ ีความขดั แยง้ อา้ งว่า การกาหนดความหมายว่าสนั ติภาพคือความ สงบที่ไมม่ ีความขดั แยง้ ใดๆ อยเู่ ลยเป็นการต้งั ความหวงั เกี่ยวกบั สันตภิ าพไวส้ ูงเกินไป จนทาใหเ้ กิด สันตภิ าพตามทตี่ อ้ งการไดย้ ากมากหรือไม่ไดเ้ ลย ดงั น้นั จึงควรลดอุดมการณ์ของสนั ตภิ าพลงมาให้ เป็นจริงได้ คือ เป็นภาวะท่ีไม่มีความรุนแรง ซ่ึงยงั อาจมคี วามขดั แยง้ อย่บู า้ ง หากไม่ใช้ความรุนแรง เขา้ แกป้ ัญหาความขดั แยง้ น้นั แต่กาลงั อยู่ในระหว่างหาวธิ ีอนื่ ๆ แกป้ ัญหาอยู่ หรือขณะเมื่อหาวิธีแก้ ความขดั แยง้ ยงั ไม่ไดก้ ใ็ ชข้ นั ติธรรม คือ อดกล้นั ตอ่ ความขดั แยง้ ความแตกตา่ งน้ัน ซ่ึงน่าจะเรียกได้ ว่ามีความสงบหรือสันติภาพในระดบั หน่ึงแลว้ สันตภิ าพทเี่ ป็นจริงไดใ้ นสังคมและโลกปัจจุบนั เป็น สันติภาพท่ียงั อาจมีความขัดแยง้ อยู่ แต่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาความขัดแย้งน้ัน ชยั วฒั น์ สถาอานันท์ ไดว้ ิจารณ์ว่า ทศั นะท่ีถือว่าสันติภาพคือสภาพท่ีปราศจากความขดั แยง้ ต้งั อยู่ บนสมมตฐิ านความเช่ือทไ่ี มเ่ ป็นความจริงสองประการ คือ 1. ความขดั แยง้ ของมนุษยเ์ ป็นสิ่งท่สี ามารถขจดั ให้หมดสิ้นไปได้ 2. ความขดั แยง้ เป็นสิ่งเลวร้ายหรือเป็นปัญหา
- 16 - สมมติฐานขอ้ แรกถูกวจิ ารณ์ว่าเป็นไปไม่ไดใ้ นทางปฏิบตั ิ “ปัญหาของมนุษยจ์ ึงอาจไม่ใช่ การขจดั ความขดั แยง้ ให้สูญสิ้นไปเพราะเป็ นไปไม่ไดใ้ นทางปฏิบตั ิ หากแต่อยู่ท่ีว่ามนุษยจ์ ะแกไ้ ข ความขดั แยง้ ในแตล่ ะเร่ืองดว้ ยวิธีใด” สมมติฐานขอ้ ที่สองไดร้ ับการโตแ้ ยง้ ว่า ความขดั แยง้ เป็นเรื่องธรรมดาทีม่ ีอยทู่ ว่ั ไปในสงั คม และมิใช่เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะบางคร้ังความขดั แยง้ กเ็ ป็นประโยชน์ได้ “บางคร้ังความขดั แยง้ ในสังคมกท็ าหนา้ ท่ีประดุจลนิ้ นิรภยั (safety value) ซ่ึงช่วยผอ่ นคลาย ความเป็นศตั รูกนั และกนั ให้เบาบางลงได้ นอกจากน้นั ยงั ช่วยตอกย้าเอกลกั ษณ์ของกลุ่มให้ชดั เจน ข้ึนในกรณีท่ีเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มอื่นๆ กล่าวคือ ช่วยลดความตึงเครียดภายในกลุ่มและ เสริมสร้างความเป็นเอกภาพและดุลยภาพ นอกจากน้นั ความขดั แยง้ ยงั เปรียบเสมือนสัญญาณเตือน สังคมว่า ปัญหากาลงั คุกรุ่นอยู่ ความขดั แยง้ จึงไม่ใช่ส่ิงที่จะตอ้ งลบให้หายไปจากสังคม มนุษยโ์ ดย สิ้นเชิง นกั วิจยั สนั ติภาพคงจะตอ้ งถามปัญหาว่าจะแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ต่างๆ ให้ยตุ ิลงดว้ ยสนั ติ อยา่ งไรมากกวา่ ” ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ ไดส้ รุปทศั นะของตนเองในเรื่องน้ีวา่ “สันติภาพกบั ความขดั แยง้ ไมใ่ ช่ สิ่งท่ีอยตู่ รงขา้ มกนั เพราะความขดั แยง้ ที่ถูกเกบ็ กดมิให้แสดงออกอย่างสันติต่างหาก จึงเป็นชนวน ไปสู่ความรุนแรงอนั เป็นส่ิงทอี่ ยตู่ รงขา้ มกบั สนั ติภาพได”้ สันตภิ าพเชิงลบกบั สันติภาพเชิงบวก ผคู้ นจานวนหน่ึงพอใจที่จะนิยามความหมายของสันติภาพเพียงแค่ภาวะท่ีสงบ คอื สภาพท่ี ไมม่ ีสงครามและการใชค้ วามรุนแรง แต่บางคนไม่พอใจเพียงแค่การให้นิยามในเชิงลบเท่าน้นั และ คดิ ว่าสันตภิ าพน่าจะมีความหมายในเชิงบวกดว้ ย คอื ภาวะท่ีมีสันติน้นั นอกจากจะไม่มีความวุ่นวาย อย่างควรมีอะไรอ่ืนอีกด้วย เช่น การมีความสงบแลว้ ยงั ตอ้ งมีความสุขอีกดว้ ย ดงั ท่ีเรียกกันว่ามี ความสงบสุข บางคนก็เพ่ิมเติมต่อไปว่าจะมีความสงบสุขได้ก็ต้องมีความเป็ นธรรมท้ังในแง่ เศรษฐกิจและสังคมดว้ ย เช่น การพจิ ารณาความหมายของสันติภาพของ โคทม อารียา ต่อไปน้ี “อยา่ งไรก็ดี เม่ือพิจารณาคาวา่ สันติภาพแลว้ จะพบว่าเป็นคาท่ยี ากแก่การนิยาม วิธีหน่ึงทีจ่ ะ ให้คานิยามก็คือระบุว่าสันติภาพ มิใช่ บางสิ่งบางอยา่ ง เราอาจจะคิดข้ึนไดท้ นั ทีว่าสันติภาพไม่ใช่ สงครามหรือสันติภาพคือการปลอดสงครามสันติภาพไม่ใช่ความรุนแรง หรือสันติภาพคือการ แกป้ ัญหาดว้ ยสนั ตวิ ิธี ความรุนแรงทีป่ ระจกั ษช์ ดั ในเบ้ืองตน้ คอื ความรุนแรงทางกายภาพท่ีกระทา ต่อสตั ว์ พชื และสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย แต่ตอ้ งมองเลยไปถึงความรุนแรงที่กระทาตอ่ ความรู้สึกนึกคดิ และ จิตใจของมนุษยด์ ว้ ย โจฮนั กลั ป์ ตุง (Johan Galtung) ไดข้ ยายนิยาม ของความรุนแรงใหร้ วมถงึ ความ รุนแรงโดยออ้ มหรือทเี่ รียกว่า ความรุนแรงทางโครงสร้าง ในกรณีน้ี ดเู หมือนจะไม่มีผูก้ ระทาความ
- 17 - รุนแรง จะมีก็แต่ผูถ้ ูกกระทาท่ีชดั เจน เช่น เด็กท่ีตายไปเม่ือแรกเกิด เด็กท่ีตายไปเพราะขาดอาหาร ผูค้ นท่ีลม้ ตายไปเพราะโรคระบาด ฯลฯ ท้งั ๆ ที่ในโลกมีอาหารและวคั ซีน อย่างเหลือเฟื อในแง่น้ี สันตภิ าพยอ่ มหมายถงึ การปลอดพน้ จากความรุนแรงทางโครงสร้างดว้ ย ความหมายข้างต้นของสันติภาพน้ันอาจเรียกว่าเป็ นนิยามในเชิงลบ แต่นอกจากจะ ไม่ใช่ สงครามและความรุนแรงแลว้ สันติภาพจะหมายถึงอะไรไดบ้ ้าง ความหมายในเชิงบวกของ สันติภาพน่าจะไดแ้ ก่ การเปล่ียนแปลงสังคมให้ดีข้ึน น่นั คือการสร้างสรรค์สังคมท่ีมนุษยท์ ุกคนมี เสรีภาพและศกั ด์ิศรี สามารถดาเนินชีวติ ไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพและอยา่ งเหมาะสมกลมกลืนกบั เพ่ือน มนุษยแ์ ละกบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม อันที่จริงเรื่องของสันติภาพน้ันเก่ียวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในแง่ ระหว่างประเทศสันติภาพ หมายถึง การยุติขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศอย่างสันติ การควบคุมอาวุธ การลดอาวธุ ตลอดจนการช่วยเหลือเก้ือกูลในกรณีท่เี กิดภยั ธรรมชาติ ฯลฯ ภายในประเทศสนั ตภิ าพ หมายถึง การสร้างความเป็ นระเบียบบนพ้ืนฐานของการเคารพสิ ทธิมนุษยชน การสร้าง ความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจและสงั คมทีเ่ ป็นธรรม การจดั ระบบสวสั ดิการสังคม ฯลฯ
- 18 - ผูท้ ่ีรักสันติภาพ คือ ผูท้ ี่รักความยุติธรรม การเสนอต่อผูถ้ ูกกดขี่ให้ยอมจานนโดยดุษฎี อย่าไดท้ าการต่อสู้ในรูปแบบใดเลย เป็นการเสนอท่ีไม่อาจกระทาไดใ้ นนามของสันติภาพ ผูท้ ี่รัก สันติภาพคือผูท้ รี่ กั สัจจะ จากการยดึ ถือขอ้ เทจ็ จริงโดยปราศจากอคตแิ ละผลประโยชน์เฉพาะเทา่ น้ัน จึงจะช่วยให้เกิดการเขา้ ใจกนั อนั จะนาไปสู่สันตภิ าพ นกั คิดนกั เขยี นและนกั วจิ ยั ทางสันตภิ าพหลายคนเห็นดว้ ยกบั โจฮนั กลั ตุง ที่เสนอว่า ในการ นิยามความหมายของสันตภิ าพว่าคอื ภาวะท่ปี ลอดความรุนแรงน้นั เราตอ้ งเขา้ ใจวา่ ความรุนแรงน้นั มี 2 ประเภท คอื ความรุนแรงทางตรง เช่น การทาร้ายร่างกายซ่ึงกนั และกนั และการทาสงคราม และ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่น ความไมเ่ ป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม อนั เป็นสาเหตุของความ ทกุ ขย์ ากท่ีป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดข้ึนได้ อาทิ ความอดอยากยากจน โรคภยั ไขเ้ จบ็ ท่ีไมค่ วรเกิดข้นึ และการ ขาดการศึกษา เป็ นต้น กล่าวคือ หลายคนคิดว่าเราควรจะขยายความหมายของสันติภาพจากท่ี หมายถึงเพยี งภาวะทป่ี ลอดความรุนแรงทางตรง คือ ภาวะท่ีไมม่ ีการทาร้ายกนั และสงคราม ให้กวา้ ง ออกไปครอบคลุมถึงภาวะท่ีปลอดจากความรุนแรงเชิงโครงสร้างดว้ ย น่ันก็คือ สันติภาพน้ัน นอกจากจะมีความสงบแลว้ กต็ อ้ งมคี วามสุขดว้ ย ท้งั ทีบ่ างคนเสนอให้เรียกสนั ติภาพวา่ ความสงบสุข หรือสันตสิ ุข การขยายความหมายของสันติภาพดังกล่าวข้างต้นน้ีก็คือ การเปล่ียนความหมายของ สนั ติภาพที่เราคุน้ เคยกนั อยู่ คือ สันติภาพเชิงลบ (ความสงบ) มาเป็นสันตภิ าพเชิงบวก (ความสงบ สุข) อันท่ีจริง สันติภาพเชิงบวกหรือความสงบสุขน้ีก็คือสังคมที่ดีอันน่าพึงปรารถนานั่นเอง โดยทว่ั ไปสังคมที่ดีคือสังคมท่มี ีความสงบสุขหรือสันติสุขควรตอ้ งมลี กั ษณะทด่ี ี 4 ประการ คือ 1. ความสงบ ไมม่ สี งครามและการทาร้ายร่างกายและทรัพยส์ ิน 2. ความกินดีอยดู่ ี ไมม่ ีความอดอยากยากจน 3. ความยตุ ธิ รรมทางสังคมและการเมอื ง ไม่มีการกดข่แี ละเอาเปรียบกนั 4. ความสมดุลทางนิเวศน์ ไมม่ คี วามเส่ือมทราม ทางนิเวศน์หรือมลภาวะตา่ งๆ ปัญหาของสังคมทีถ่ กู จดั ใหเ้ ป็นความรุนแรงประเภทต่างๆ
- 19 - จะเห็นไดว้ ่า ลกั ษณะที่ดีของสังคมในขอ้ 1 คือ ภาวะท่ีไม่มสี งครามการ ฆ่าฟันและทาร้าย กนั น้ันก็คือความหมายของสนั ตภิ าพในเชิงลบ หรือความหมายของสันตภิ าพท่ีคนธรรมดาทวั่ ไปใช้ กนั อยู่ ซ่ึงก็คอื ภาวะท่ีปราศจากความรุนแรงทางตรงหรือทางกายภาพนั่นเอง ส่วนลกั ษณะท่ีดีของ สังคมอีก 3 ขอ้ ท่ีเหลืออนั เป็นส่ิงที่ตรงขา้ มกบั ความรุนแรงเชิงโครงสร้างน้นั ธรรมดาคนทว่ั ไปมกั ไม่ไดค้ ิดว่าเป็ นส่วนหน่ึงของความหมายของสันติภาพหากแต่เป็ นส่วนหน่ึงของสังคมที่เป็ นสุข กล่าวคือ คนทวั่ ไปมกั ถือว่าสังคมท่ีไม่มีสงครามหรือการฆ่าฟันกนั บ่อยคร้งั ในชีวิตประจาวนั เป็ น สังคมท่ีมีสันติภาพแลว้ แต่อาจยงั ไม่มีสันติสุขหากสังคมน้นั ยงั ไม่มีเศรษฐกิจท่ีดี มีความยุติธรรม ในทางสังคมและการเมือง และปราศจากมลภาวะ สรุปได้ว่า คนท่ัวไปมกั ใช้คาว่า สันติภาพใน ความหมายทีแ่ คบกว่าคาว่า สันติสุข หรือความสงบสุข บางคนอาจบอกวา่ ประโยชนข์ องการเขา้ ใจความหมายของสันติภาพในเชิงบวกกค็ ือ ทาให้ การแสวงหาสันติภาพไม่จากดั ขอบเขตอยู่แค่เพียงการสนใจกบั การจดั การความขดั แยง้ โดยไม่ได้ แกป้ ัญหาในสังคมอยา่ งแทจ้ ริง กล่าวคอื ทาให้การแสวงหาสันติภาพไมเ่ ป็นเพียงการพยายามทาให้ ทุกสิ่งสงบลง และเป็ นเพียงเคร่ืองช่วยรักษาสถานภาพเดิม แม้จะมีความไม่เป็ นธรรมอยู่ใน ความสัมพนั ธ์ของสถานภาพเดิมน้นั การเขา้ ใจความหมายของสันติภาพในเชิงลบน้ันมักถูกโจมตีจากผูท้ ่ีตอ้ งการเปลี่ยนแปลง สังคมให้เป็ นธรรมมากข้ึนว่า ทาให้ผูม้ ุ่งแสวงหาสันติภาพ (เชิงลบ) สนใจแต่การแกป้ ัญหาความ รุนแรงทางตรงแลว้ ละเลยปัญหาความทุกข์ยาก ความไม่เป็ นธรรมต่างๆ ในสังคมซ่ึงเป็ นความ รุนแรงอยา่ งหน่ึงเหมือนกนั คือ เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่น เม่ือเกิดความขดั แยง้ ระหว่าง เจา้ ของโรงงานกับลูกจา้ งเร่ืองค่าจา้ งแรงงาน หรือระหว่างเจา้ ของท่ีดินกับผูเ้ ช่าที่นา การแสวงหา สันติภาพในเชิงลบย่อมมุ่งท่ีจะจดั การกับความขัดแยง้ น้ันไม่ให้ลุกลามกลายเป็ นความรุนแรง (ทางตรง) เช่น การหยุดงานประทว้ ง การปิ ดโรงงาน การเผาโรงงาน หรือการทาร้ายกนั ระหว่างคู่ ขดั แยง้ จนละเลยปัญหาเร่ืองความเป็นธรรมในความขดั แยง้ น่ัน คือ ใครเป็นฝ่ายถูกฝ่ายผิดในความ ขดั แยง้ น้ันการมุ่งสนใจต่อความสงบเรียบร้อย ทาให้ผูแ้ สวงหาสันติภาพเชิงลบมุ่งประนีประนอม ความขดั แยง้ ให้สงบลงโดยเร็ว โดยท่ีฝ่ ายท่ีไดร้ ับความไม่เป็นธรรมในความขดั แยง้ น้ันอาจยงั คง ได้รับความไม่เป็ นธรรมอยู่ ผูส้ นับสนุนสันติภาพเชิงบวกเห็นว่าบางคร้ังเราควรปล่อยให้ความ ขดั แยง้ น้ันสุกงอมจนกลายเป็ นความรุนแรงข้ึน ความรุนแรงน้ันอาจจะยุติลงโดยการปฏิรูปหรือ ปฏิวตั ิสังคมที่เป็ นธรรมข้ึน ดังน้ัน แทนท่ีผู้แสวงหาสันติภาพจะประนีประนอมความขัดแยง้ บางคร้งั ก็ควรเขา้ ขา้ งฝ่ายท่ไี ดร้ ับความไมเ่ ป็นธรรม ร่วมตอ่ สู้โดยใชค้ วามรุนแรงทางตรงกาจดั ความ รุนแรงเชิงโครงสร้างเสีย ทาให้เกิดสนั ติภาพทเ่ี ป็นธรรมข้นึ
- 20 - สาหรับพวกนักปฏิวตั ิสังคมแล้ว ความรุนแรงเชิงโครงสร้างซ่ึงพวกน้ีถือว่าเป็ นผลมา จากการกดข่ีของชนช้ันปกครอง ไดถ้ ูกใช้เป็ นเหตุผลอ้างเป็ นความชอบธรรมเชิงประโยชน์นิยม (A Utilitarian Justification) ในการใชค้ วามรุนแรงเขา้ ทาการปฏิวตั ิเปลี่ยนแปลงสังคม โดยอา้ งว่า การต่อสูฆ้ า่ ฟันกนั ในการปฏิวตั จิ ะทาให้คนตายนอ้ ยกวา่ การปลอ่ ยให้ระบบเศรษฐกิจสังคมที่ไมเ่ ป็น ธรรมคงอยตู่ อ่ ไปอีก นนั่ คอื ถา้ ปล่อยให้ความรุนแรงเชิงโครงสร้างดารงอยตู่ ่อไปมนั จะทาใหค้ นทุก ยากลม้ ตายลงมากเสียกว่าการใช้ความรุนแรงในการปฏิวตั ิ ซ่ึงเป็ นความรุนแรงทางตรงเสียอีก ดงั น้ัน พวกน้ีจึงเห็นว่าเพ่ือประโยชน์ในการรักษาชีวิตผูค้ นไวไ้ ด้มากกว่า เราควรยอมใช้ความ รุนแรงทางตรงเพื่อขจดั ความรุนแรงเชิงโครงสร้างเสีย ปัญหาประการหน่ึงของประโยชน์ทางการเมืองของสันติภาพเชิงบวก และแง่ท่ีสนบั สนุน ให้มีการใชค้ วามรุนแรงทางตรงเพ่ือขจดั ความรุนแรงเชิงโครงสร้างก็คือ ความผูกพนั อย่กู บั ทฤษฎี ทางเศรษฐกิจและการเมืองของลทั ธิสังคมนิยมมากเสียจนผูท้ ไ่ี ม่เห็นดว้ ยกบั ทฤษฎีดงั กล่าวยอมรับ ประโยชน์น้นั ไม่ไดห้ รือไม่เห็นเป็ นประโยชน์ อีกประการหน่ึงแนวคิดดงั กล่าวผูกพนั อยกู่ บั มอง สันติภาพในแง่สันติภาวะอนั เป็ นเป้าหมายของการกระทามากกว่าสันติวิธี ทาให้ผูท้ ี่สนับสนุน สนั ติภาพในแง่สนั ติวิธียอมรับประโยชนด์ งั กล่าวของสันตภิ าพเชิงบวกไม่ได้ การที่นักสันติภาพเชิงบวกเรียกความไม่ดี ไม่เป็นธรรมต่างๆ ของระบบว่า “ความรุนแรง” ในบางกรณีก็ฝื นความรู้สึกของคนทั่วไป เช่น นักการศึกษาหัวก้าวหน้าบางคนไม่พอใจระบบ ห้องเรียนแบบเก่าที่ครูดุมาก และบงั คบั ให้นกั เรียนอยูใ่ นระเบียบอย่างเคร่งครัดหลายคนอาจเห็น ดว้ ยกบั นักศึกษาหัวกา้ วหน้าน้ีว่าระบบห้องเรียนแบบน้ีไม่ค่อยดีเพราะปลกู ฝังทศั นคติแบบอานาจ นิยม และไม่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรคแ์ ละเป็ นตวั ของตวั เอง แต่คงเป็นการฝืน ความรู้สึกไม่นอ้ ยทีเดียวถา้ จะเรียกระบบห้องเรียนทมี่ รี ะเบียบอยา่ งเคร่งครัดน้ีว่าเป็ น “ความรุนแรง” ท่ีกระทาตอ่ เดก็ นกั เรียน
บทท่ี 2 ความขัดแย้งในบริบทของสันตศิ ึกษา ความเป็ นมา ลักษณะ และขอบเขตของสันตศิ ึกษา ความหมายและแนวคิดเกย่ี วกับสันติและสันติภาพ แนวความคิดเก่ียวกบั เร่ืองสันติภาพสามารถสืบยอ้ นถอยหลงั ไดห้ ลายร้อยปี กล่าวคือ ใน สังคมต่างๆ และในแขนงต่างๆ ของความรู้มนุษย์ ในภาษาและศาสนาต่างๆ มีคาและแนวคิด เกี่ยวกบั เร่ืองสันตภิ าพปรากฏอยซู่ ่ึงมีความหมายเทียบเคียงกนั ได้ แมจ้ ะไม่เหมือนกนั ทีเดียวก็ตาม เช่น สันติ สงบ peace (อังกฤษ) Friede (เยอรมัน) ชาลอม (ฮิบรู) Pax (โรมัน) เหอผิง (จีน) ความหมายในภาษาต่างๆ และการเปลยี่ นแปลงของความหมายเมื่อเวลาและสภาพสงั คมเปลี่ยนไป อาจเป็นประเด็นสาคญั ประเทศหน่ึงในวชิ าสนั ติศกึ ษา ถา้ มองจากทางดา้ นนิรุกติศาสตร์ Pax คือ ส่ือความหมายทางภาษาท่ีปราศจากสงคราม “ชาลอม” เป็นคาทกั ทาย สาหรบั ชาว อิสราเอลส่ือถึงความสงบ ความยินดีท่ีพระเจา้ อยู่กับท่าน “ผิง” หมายถึง การนาไปสู่การแกไ้ ข บางอยา่ งที่เป็นผลลงตวั ส่วน Friedhof ซ่ึงแปลตรงตวั หมายถึง บริเวณที่อยอู่ นั เป็ นสันติ คือสุสาน สาหรับชาวเยอรมนั เป็นตน้ ขอ้ สังเกตดงั กล่าวน้ีเป็ นเพียงการเกริ่นถึงเร่ืองที่น่าสนใจที่น่าจะไดค้ ิดกนั ต่อไป และใน ขณะเดียวกนั ก็เป็ นการนาเขา้ สู่ประเด็นของคาจากดั ความของคาว่า “สันติศึกษา” ในฐานะท่ีเป็ น สาขาวชิ าใหมใ่ นสงั คมศาสตร์ นอกเหนือจากแนวการศึกษาต่างๆ ในทางสังคมศาสตร์อย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ ก็มีแขนงของความรู้ท่ีอย่นู อกสาขาของศาสตร์เหล่าน้ี เช่น เอเชียศึกษา ไทยศึกษา จีนศึกษา ซ่ึงเป็ นการศึกษาท่ีเน้นสังคมใดสังคมหน่ึงเป็ นหลกั โดยใช้
22 ประโยชน์ของแนวคดิ จากสาขาวชิ าเดิม คือ เราพบว่ามีแขนงวิชาเพิ่มข้ึน เช่น นิเวศวิทยาของมนุษย์ (Human Ecology) การศึกษาเรื่องการพฒั นา (Development Studies) แขนงเหล่าน้ีอาจจะเป็ นการ ผสมผสานของสาขาวิชาเดิม อย่างที่เรารู้จักในนามว่าแนวการศึกษาแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Approach) ประเด็นสาคัญข้อแรกสาหรับผูอ้ ยู่ในวงการแขนงวิชาน้ีและผู้วิจารณ์จากนอกวง คือ ความหมาย คานิยามของคาว่า “สันติ” ตามสามญั สานึกและความรู้สึกรับรู้ท่ีคุน้ ๆ กนั อยูก่ ค็ ือ สันติ ตรงขา้ มกบั สงครามนวนิยายของลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) “สงครามและสันติภาพ” กรณีทีท่ า ใหค้ วามสานึกของเราตรงขา้ มกนั น้ี คาถามที่ตามมาก็คอื ก) ทาไม “สันติภาพ” ตอ้ งตรงข้ามกบั “สงคราม” ซ่ึงเป็นคาถามท่ีถามท้ังวิธีการคิดแบบ จบั คู่ของบรรดาสรรพสิ่งและถา้ วธิ ีการคิดแบบน้ีสมเหตสุ มผล ทาไมสันตภิ าพจึงเป็นคนละดา้ นกบั สงคราม สาหรบั คาถามแรก นกั ปรัชญาตะวนั ตกและตะวนั ออกบางคนถ่ายทอดวิธีการคดิ แบบจบั คู่ (Dichotomy) มาถึงเรา เช่น “เบา” ตรงข้ามกับ “หนัก” “สูง” กับ “ต่า” “ความดี” กับ “ความเลว” “เยน็ ” กบั “ร้อน” ฯลฯ บางคู่เราอาจจะคุน้ เคยเสียจนไม่ไดต้ ้งั ขอ้ สงสัยเลย แต่ถา้ เราลองต้งั คาถามดู อาจจะเห็นว่าบางคู่อาจจะไม่เป็ นเช่นน้ันเสมอไป และบางส่ิงอาจจะไม่มีคู่ เช่น จริงหรือที่ดาตรง ขา้ มกบั ขาว ทาไมขาวไม่ตรงขา้ มกบั แดง หรือ โต๊ะ กบั เกา้ อ้ี เป็นคู่ตรงขา้ มกนั หรือไม่ ในรายกรณีที่ เราพบว่า เราอาจไม่สามารถหาส่ิงตรงขา้ มให้กบั ส่ิงหน่ึงได้ หรือเราอาจถามง่ายๆ ว่า อะไรเป็ นส่ิง ตรงขา้ มกบั ถนน และทาไมเมอื งจึงตรงขา้ มกบั ชนบท ท่ีสาคญั อยา่ งยิ่งก็คือ ทาไมเราจึงมีวธิ ีการคิด แบบจบั คู่ คาถามน้ีคงจะอยนู่ อกเหนือเร่ืองความหมายของสันติศกึ ษาท่ีเรากาลงั พิจารณาอยู่ แต่กน็ า เราไปสู่คาถามตอ่ ไป คอื
23 ข) ถา้ “สันติภาพ” ไม่จาเป็ นต้องตรงข้ามกับ “สงคราม” แลว้ อะไรคือคู่ตรงขา้ ม แม้ว่า ความหมายของ “สันติ” จะต่างกนั ในบรรดาผูศ้ กึ ษาวิชาน้ี แต่สิ่งทีร่ ่วมกนั ในการทาความเขา้ ใจก็คือ ความตระหนกั ถึงการที่ถือว่า “สันติภาพ” คือ สภาพทป่ี ราศจากสงครามเทา่ น้ันไม่เป็ นการเพียงพอ ท้งั ในแงค่ วามเป็นจริงและจุดหมายท่ีพึงปรารถนากล่าวคือ สภาวะท่ีปราศจากสงครามน้ันอาจเต็ม ไปดว้ ยความเดือดร้อน ความทุกขเ์ ข็ญ ความยากจน ความกดข่ีข่มเหงต่างๆ เช่น สังคมท่ีอยใู่ ตก้ าร ปกครองของเผด็จการทหารบางสังคม ซ่ึงสภาวะเช่นน้ีแม้จะไม่มีสงคราม ในกรณีตัวอย่างน้ี คือ สงครามกลางเมอื ง เราก็คงจะตะขิดตะขวงใจ ท่ีจะเรียกสภาวะทานองน้ีว่ามสี ันติ และเมื่อเราคิดถึง ว่าความหมายของสงครามเองก็ไม่ใช่เพียงแต่เป็นสถานการณ์ที่สองฝ่ายหรือมากกว่าใชก้ าลงั อาวุธ เข้าประหัตประหารกนั หรือการฆ่าหมู่ซ่ึงกันและกัน (Mutual Massacre) เท่าน้ัน แต่สงครามยงั มี ดา้ นอืน่ ๆ อกี เช่น สงครามจิตวทิ ยา การสร้างภาพฝ่ายตรงขา้ มให้เป็นทน่ี ่าเกลียด น่ากลวั ของฝ่ายตน สงครามเศรษฐกิจ การใช้นโยบายทางการค้า การผลิตให้ฝ่ ายตรงข้ามอ่อนแอ ฯลฯ หรือในช่วง ทศวรรษ 1950 ซ่ึงเป็ นสภาวะที่ตึงเครียดของมหาอานาจ 2 ค่าย เราก็รู้จักกนั ในชื่อว่า ช่วงสงคราม เยน็ เหลา่ น้ีเป็นตน้ ดงั น้นั เพียงสภาพท่ีปลอดสงครามเทา่ น้ันจะถือเป็นความหมายของสันติภาพก็จะเป็ นการ ให้ความหมายท่ีแคบ ถา้ เราลองนึกถึงภาพความสัมพนั ธ์ระหว่างคนหน่ึงทีถ่ ือปื นกบั อกี คนหน่ึงที่มี โซ่ตรวนล่าม หรือกาลงั ทางานอยู่ เราคงไม่เรียกคน 2 คนน้ีว่ามีความสัมพนั ธ์ที่สันติแมว้ ่าจะไม่มี การแขง็ ขนื ตอ่ สู้ ตะโกนร้องกต็ าม แตเ่ ป็นภาพ “สงบ” ของคน 2 คน นักทฤษฎีด้านสันติศึกษา โจฮัน กัลตุง (Johan Galtung) ได้เสนอความหมายในเชิง แง่คิดว่า สันติไม่ใช่สภาวะที่ปราศจากสงคราม แต่คือสภาวะท่ีปราศจากความรุนแรงและความ
24 รุนแรงน้ีมีความหมายกวา้ งหลายแง่มุมรวมต้งั แต่ความรุนแรงทางกายภาพ ทางสภาพจิตใจความ รุนแรงทางเศรษฐกิจ สภาพทค่ี นขาดอาหารหรืออดตาย ความรุนแรงทางการเมือง สภาพท่คี นไม่มี เสรีภาพไม่มสี ิทธ์ิไม่มเี สียง ความรุนแรงทางสังคม สภาพที่คนถูกเอารดั เอาเปรียบถูกดูถูกดูแคลนถกู ปิ ดก้ันไม่ให้พฒั นา ไปถึงแง่มุมที่ความรุนแรงท่ีเกิดข้ึนและความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ซ่ึงอาจจะปะทุ ปรากฏข้ึนไดแ้ ละครอบคลุมไปถึงความรุนแรงระดบั บุคคลระดบั กลุ่มจนถึงระดบั มหภาคระหว่าง ประเทศระดบั โลกซ่ึง เรียกว่า ความรุนแรงทางโครงสร้าง (Structural Violence) จริงอยู่สาหรับการสิ้นสุดของสงครามน้ันคาว่าสันติภาพเป็ นคาท่ีใครๆก็ตอ้ งยอมรับแม้ ว่าในขณะน้นั จะเต็มไปดว้ ยซากปรกั หกั พงั ร่องรอยของความพินาศยงั ปรากฏอย่ทู ว่ั ไปแต่อยา่ งนอ้ ย การประหัตประหารชีวิตมนุษย์และการทาลายอาคารสถานท่ีอย่างเอาเป็ นเอาตายก็หยุดลงแต่ สาหรับสังคมท่ีว่างสงครามความหมายน้ีย่อมไม่เพียงพอ ดงั น้นั ความหมายของ “สนั ติ” จึงเปลี่ยน จากภาวะมาตรการท่ีจะแกไ้ ขความขดั แยง้ โดยไม่ใช้กาลงั หรือความรุนแรง และมีความไวเ้ น้ือเชื่อ ใจต่อกนั นอกจากน้ี กลั ตุง ยงั โยงสนั ติกบั แนวคิดของความยตุ ธิ รรม และเสรีภาพ คุณสมบตั ติ ่างๆ น้ี ถงึ แมว้ า่ จาเป็นจะตอ้ งถามถงึ ความหมายกนั ต่อไปอีก แต่อยา่ งนอ้ ยกเ็ ป็นภาพร่างได้ ท่ีน่าสนใจจาก อีกลักษณะหน่ึงก็คือ กัลตุง กล่าวถึง สันติ ว่าเป็ นท้ัง “ความบันดาลใจ สภาวะท่ีได้เกิดข้ึน (สนั ตภิ าพ)และการกระทาซ่ึงดาเนินอยอู่ นั จะนาไปสู่จุดหมาย” ลกั ษณะน้ีทาให้สนั ติเป็นท้งั จุดหมาย เชิงปรัชญา ความเป็นจริงท่ีเกิดข้ึนได้ และการสร้างสรรคข์ องมนุษย์
25 ถ้าจะให้ความหมายของสันติครอบคลุมกวา้ งขวางและลึกซ้ึง โอ คอนเนลล์ เห็นว่าเรา อาจจะสังเคราะห์ความหมายท่ีมาจากตรรกะวิธีท้งั สองเขา้ ดว้ ยกัน กล่าวคือ สันติ เป็ นท้ัง “ความ สมคั รสมานเพ่ือจุดประสงคท์ างสงั คม ระดบั ปัจเจกบุคคล และสภาวะท่ปี ราศจากความรุนแรงไม่ว่า จะในทางกายภาพ ทางจิตใจ และทางศีลธรรม” ความหมายที่กลั ป์ ตุง เสนอ ก็มที ้งั ผูท้ ่ีรับรองคลอ้ ยตามและผูท้ ีไ่ ม่เห็นดว้ ย นับต้งั แต่ กลั ตุง ไดเ้ ขียนบทความท่มี ีชื่อเสียงและมีการอ่านกนั อยา่ งกวา้ งขวางคอื “ความรุนแรง สันติภาพ และการ วิจยั สันติภาพ” (Violence, Peace and Peace Research) ซ่ึงตีพมิ พใ์ น Journal of Peace Research, vol. 6. ปี ค.ศ. 1969 และในบทความเกี่ยวกบั การประเมินสันติศึกษา 25 ปี ท่ผี ่านมา เขาไดพ้ ยายามทาให้ ความหมายของ “ความรุนแรง” ชดั เจนข้ึน โดยโยงว่าเป็ นอุปสรรค ภาวการณ์ที่ขดั ขวางต่อความ ตอ้ งการพ้นื ฐานของมนุษยไ์ ม่ให้บรรลผุ ล แต่ความจาเป็นพ้ืนฐานน้ีต่างไปจากปัจจยั 4 และดชั นี 10 ประการของแนวคดิ การพฒั นาชนบทแนวใหม่ สาหรับกลั ตุง ความตอ้ งการพ้ืนฐานของมนุษย์ คือ - การดารงชีวิตอยู่ ( Survival) - การมีความเป็นอยทู่ ี่ดี (Welfare) - การมีเสรีภาพ (Freedom)
26 - การมีเอกลกั ษณ์ และ ความรู้สึกมคี วามหมายในชีวติ (Identity) ความตอ้ งการพ้นื ฐาน 4 ประการน้ี เมือ่ ไมไ่ ดร้ ับการสนองตอบหรือไดร้ ับไมเ่ พียงพอ กลั ตุง เรียกว่า ภาวการณ์ของความรุนแรงซ่ึงมี 4 ประเภท โยงสัมพนั ธ์กนั ตามรูปตารางดงั ตอ่ ไปน้ี จากรูปตารางขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่า ในแงท่ ม่ี าของความรุนแรงน้ัน กลั ตงุ แยกพิจารณาเป็ นตวั ผูก้ ระทาและโครงสร้างอนั ส่งผลในทางร่างกายหรือวตั ถุ และผลที่จบั ตอ้ งมองเห็นได้ยาก คือ ผล ทางจิตใจ กล่าวคือ กรณีการฆ่าหมู่ชาวยิวน้ันมีท่ีมาจากพวกนาซีเยอรมนั โดยชัดเจนและเป็ นการ ทาลายความตอ้ งการพ้ืนฐานของมนุษย์ ประการแรก คอื การดารงชีวิตอยู่ ประการท่ีสอง คือ การอด ตายของผคู้ น เช่น ในเอธิโอเปี ยน้ันเป็นผลของความรุนแรงตอ่ ร่างกายของมนุษยท์ ่ีมาจากโครงสร้าง สังคมและเป็นตวั การจากดั การมีความเป็นอยทู่ ด่ี ี ประการที่สาม คือ การจบั กุมคมุ ขงั ผบู้ ริสุทธ์ิ โดยผู้ เผดจ็ การ แมจ้ ะมีผลนอ้ ยตอ่ ร่างกายของมนุษย์ แต่มผี ลต่อจิตใจของผกู้ ระทามากและเป็นการสูญเสีย อิสรภาพ ประการสุดทา้ ย คือ การท่ีสุขภาพจิตเสื่อมโทรมในสังคมสมยั ใหม่ ส่วนใหญ่มีที่มาจาก โครงสร้างทางสังคมและเป็นความรุนแรงชนิดที่จบั ตอ้ งไม่ได้ ถือเป็ นภยั ต่อการมีเอกลกั ษณ์และ ความรู้สึกมีความหมายในชีวติ ความหมาย ลกั ษณะ และขอบเขตของสันติศึกษา การให้คานิยาม ความหมายของสันติ มิใช่จะมีแนวหลกั ๆ 2 แนวน้ีเท่าน้ัน ยงั มีผูเ้ ขียนจาก แง่มุมอืน่ ๆ เช่น เคนเนท โบลด่ิง (Kenneth Boulding) ผรู้ ิเร่ิมวิชาแขนงน้ีผูห้ น่ึงในสหรัฐอเมริกาเห็น ว่า ควรพจิ ารณาสันตศิ กึ ษาว่าเป็นสหวิชาของบรรดาสาขาสังคมศาสตร์ ท่ียึดถอื
27 “วิธีการศึกษาที่เป็ นวิทยาศาสตร์ ในการสารวจตรวจสอบระบบสังคมต่างๆ เพ่ือให้ได้ ความรู้อนั จะนาไปสู่การประยุกต์ใช้ เพื่อปรับปรุงเสริมสร้างมวลมนุษยใ์ นดา้ นการทาให้ความ เสียหายจากความขดั แยง้ โดยเฉพาะในแง่ความรุนแรงและการทาลายล้างลดน้อยถอยลงให้มาก เท่าทจ่ี ะมากได”้ หรืออีกนยั หน่ึงก็คือ เขาเห็นว่า สันติศึกษา เป็นศาสตร์ประยกุ ต์ท่ีใชค้ วามรู้ จากสาขาวิชา ต่างๆ มาใช้ในการแก้ปัญหา เราอาจจะเปรียบเทียบลกั ษณะน้ีกับวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ก็ อาจจะพบลกั ษณะร่วมกนั หลายดา้ น โดยทส่ี ันติศึกษาเนน้ ในระดบั มหภาคจนถงึ ระดบั นานาชาติ ดว้ ยเหตุผลในทานองเดียวกนั แมบ้ างส่ิงจะมีความเป็ นนามธรรมอยา่ งยง่ิ มีความหมายใน เชิงอตั วิสัยยงิ่ กว่า “สันติ” มากนกั กย็ งั เป็นวชิ าท่ศี ึกษากนั กวา้ งขวางมานาน ตวั อยา่ งทีด่ ีตวั อยา่ งหน่ึง คอื สุนทรียศาสตร์ อนั เป็นวชิ าท่ศี ึกษาเรื่อง ความงาม ซ่ึงจะกาหนดกฎเกณฑเ์ คร่งครัด หรือใหเ้ ป็นท่ี ยอมรับกันเป็นสากลไม่ได้ กล่าวคือ มีผูศ้ ึกษาวิจยั ในวงการสันติศึกษา การวิจยั เก่ียวกบั สันติภาพ น้ี เห็นว่าไม่ใช่เร่ืองสาคญั มากนกั ทจี่ ะใชเ้ วลาถกเถยี ง คน้ หาคานิยามและความหมายของคาว่า สันติ ดงั น้ัน ในเชิงวิชาการจึงให้ความสาคญั ต่อปัญหา สภาพเป็ นจริงที่เกิดข้ึนมากกว่า และแมแ้ ต่ผูท้ ี่ใส่ ใจเร่ืองคานิยามและความหมายอยู่มาก ก็เห็นว่าไม่ควรท่ีจะมีการกาหนดลงไปอย่างแน่นอ น เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเป็ นไปได้ และที่สาคญั กว่าก็คือ เป็ นสิ่งท่ีไม่พึงปรารถนาให้เป็ น เช่นน้นั โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในสถานะของวิชาทย่ี งั ใหม่อยา่ งสันตศิ ึกษาน้ี ไม่ว่าคาจากดั ความหรือการใหค้ วามหมายของคาว่า “สันติ” จะสาคญั มากหรือนอ้ ยในฐานะ สาขาวิชากต็ ามส่ิงทีน่ ่าคานึงถงึ ก็ คือ 1. คาจากดั ความ การให้ความหมายมีส่วนกาหนดสิ่งท่ีเราศึกษา และแนววิธีการศึกษาไป ดว้ ยในตวั กล่าวคือ เม่ือเราถือว่าสันติภาพ คือ สภาพที่ปลอดสงคราม เราก็จะมแี นวโนม้ ที่จะศึกษา
28 ปรากฏการณ์ในระดับการเมือง เศรษฐกิจระหว่างประเทศ อิทธิพลของประเทศมหาอานาจใน เวทกี ารประลองอานาจของโลก และแนววธิ ีการศึกษากจ็ ะอยใู่ นแนวความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ แต่ถา้ เรามองว่าสันติภาพเป็ นเรื่องของการอยูร่ ่วมกนั อย่างสันติปราศจากความรุนแรงในรูปแบบ ต่างๆ เราก็จะมีแนวโน้มท่ีจะศึกษาความสัมพนั ธ์ของคน กลุ่มคน ด้านต่างๆ ต้งั แต่ระดบั ชุมชน ระดบั ภาค ระดบั ชาติ และในดา้ นศาสนา เช้ือชาติ ชนช้นั ฯลฯ ซ่ึงแนววิธีการศกึ ษาอาจจะโนม้ ไปใน แนวสังคมวิทยา เป็นตน้ 2. นอกเหนือจากความแตกต่างทางวฒั นธรรมและศาสนาจะให้ความหมายและแง่มุมย้า เนน้ ที่ต่างกนั ไปแลว้ ในทางสังคมศาสตร์ซ่ึงพยายามท่ีจะมีลกั ษณะสากลน้ัน “สันติภาพ” ก็ยงั ส่ือ ความหมายตา่ งกนั ไปตามทรรศนะของผูต้ คี วามในต่างสงั คมอีกดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในการรับรู้ เชิงประสบการณ์ เช่น ในประเทศท่ีพัฒนาแลว้ การเรียกร้องสันติภาพ เป็ นเร่ืองของการป้องกัน สงครามนิวเคลียร์ การลดกาลงั อาวุธ การปกป้องเสรีภาพ สิทธิส่วนบุคคล การรักษามาตรฐานความ เป็ นอยู่ ฯลฯ ส่วนในประเทศกาลังพฒั นา เป็ นเร่ืองของการเรียกร้องความยุติธรรมในสังคม การ ต่อสูใ้ ห้พน้ จากความทุกขย์ าก ความหิวโหยยากจน และนอกจากน้ี ความหมายทางนยั ของสนั ติภาพ กเ็ ขา้ ทานองเดียวกบั คาศพั ท์อ่ืนๆ ทว่ั ๆ ไป ท่ีเปล่ยี นไปตามเวลาและเหตุการณ์ เช่น ในช่วงของการ ทาสงครามของประเทศจักรวรรดินิยมในสงครามโลกคร้ังที่ 1 น้ัน ฝ่ ายสังคมนิยม เรียกร้อง สันติภาพ ทาให้ช่วงน้ันสันติภาพมีความหมายเชิงนัยเป็ นคาขวญั ของฝ่ ายซ้าย มาในช่วงหลัง สงครามโลกคร้ังที่ 2 ท่ีมีการตอ่ สู้ของหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกาให้พน้ จากเจา้ อาณานิคม ตามนยั น้ีสนั ติภาพจึงเป็นขอ้ เสนอของฝ่ายที่ตอ้ งการรักษาสถานภาพเดิม สันติภาพจึงเสมอื นกบั เป็น ความประสงค์ของฝ่ ายที่ได้เปรียบ และถูกใช้เพื่อหยุดย้งั บั่นทอนการต่อสู้ของฝ่ ายท่ีประสงค์ อิสรภาพ เสรีภาพ และความกา้ วหนา้ เพราะฉะน้นั เราอาจจะกลา่ วไดว้ า่ สันติภาพ ในฐานะคาศพั ทท์ ่ี มีความหมายเชิงคุณค่าเป็ นองค์ประกอบ จะมีความหมายในตวั ของตัวเองอยา่ งไร ในทา้ ยที่สุดก็ ข้ึนอยู่กบั สภาพเหตุการณ์ เวลา และผูใ้ ชจ้ ากประเด็นน้ี เราอาจจะเสริมไดอ้ ีกว่า คาว่าสันติภาพเป็น สมบตั ชิ ้ินหน่ึงท่ตี า่ งฝ่ายต่างแนวคดิ ตา่ งก็พยายามช่วงชิงเพอื่ ต่างประโยชน์และตา่ งเป้าหมายกนั เพราะฉะน้นั จึงไม่เป็ นเรื่องที่ชวนให้สนเท่ห์แต่อยา่ งไรท่ีมีการถกเถียงกนั ในเร่ืองการให้ ความหมายของ “สันติภาพ” ตอ่ เน่ืองตลอดมา และก็คงจะเป็นเช่นน้ีอีกต่อไป ซ่ึงก็จะมผี ลต่อแขนง วิชาน้ี อาจจะเป็นประโยชน์ท่ีจะตระหนกั ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ ง - ความหมายเชิงนิยาม (definitive meaning) อนั เป็นความหมายจากคาจากดั ความ - ความหมายเชิงนยั (connotative meaning) ความหมายทีส่ องหรือความหมายแฝง - ความหมายตามสภาวะเหตุการณแ์ วดลอ้ ม (circumstantial meaning) อนั เป็นความหมายที่ เขา้ ใจกนั ในคนหมมู่ ากตอ่ ปรากฏการณห์ น่ึง
29 ประเด็นหวั ข้อศึกษาทสี่ าคัญในสันตศิ ึกษา นอกเหนือจากความพยายามทจี่ ะเสนอความหมายเชิงวิเคราะห์และเชิงแนวคดิ ต่อคาศพั ท์ “สนั ติ” “สันตภิ าพ” แลว้ ในขอบขา่ ยของแขนงวิชาน้ีก็ทาการศกึ ษาคน้ ควา้ กนั ดว้ ยเป้าประสงคเ์ พื่อ การส่งเสริมสนั ติภาพ (ปรากฏการณ์เชิงบวก) และการคกุ คามสันติภาพ (ปรากฏการณเ์ ชิงลบ) ซ่ึง พอจะสรุปประเดน็ หัวขอ้ ที่ศกึ ษากนั พอสงั เขปเป็นหวั ขอ้ ใหญ่ๆไดด้ งั น้ี คือ 1. สันติภาพด้วยความสมดุลของอานาจ ท้งั สองฝ่ายหรือมากกวา่ ตา่ งเสริมอานาจจนอยใู่ น ระดบั ท่ีต่างฝ่ ายต่างเกรงซ่ึงกนั และกัน ถ้าฝ่ ายใดจะเร่ิมสงครามก่อนก็จะเป็ นฝ่ ายเสียหายมากใน ระดบั เดียวกนั กบั ฝ่ ายท่ีถูกโจมตี และก็อาจจะถูกเป็นฝ่ ายถูกโจมตีไดพ้ อๆ กนั สันติภาพด้วยวิธีน้ี อาจจะเหมาะมากกว่าถา้ จะเรียกว่า “วิธีป้องกนั ไม่ให้เกิดสงคราม” ซ่ึงมีหลายวิธีการ เช่น การสร้าง สัมพนั ธมิตรของฝ่ ายตัวเองให้มาก การสั่งสมอาวุธ การเสริมกาลงั ป้องกนั ถึงระดบั ที่ฝ่ ายจะโจมตี เห็นว่าไม่คุม้ แต่อยา่ งไรก็ตาม วธิ ีน้ีอาจจะส่งผลตรงกนั ขา้ ม คอื แทนทจี่ ะยบั ย้งั สงครามไม่ให้เกิดข้ึน กลบั เป็นการผลกั ดนั ใหเ้ กิดข้ึน หรือกอ่ สถานการณท์ ่ีตรึงเครียดข้นึ อยา่ งในกรณีสงครามเยน็ ในช่วง ทศวรรษ 1950 ในยโุ รป จากชนวนปัญหานครเบอร์ลนิ เป็นตน้
30 2. การลดกาลังอาวธุ ความพยายามให้เกิดการเจรจาสันติภาพเพ่ือการลดระดบั ความขดั แยง้ และการศึกษานโยบาย ปรากฏการณ์ภายในประเทศ ในดา้ นการทหาร อตุ สาหกรรม ระบบราชการ การ ใช้การเน้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ซ่ึงนาไปสู่การเสริมกาลงั อาวุธ รวมไปถึงผลกระทบของ งบประมาณทหารต่อเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเทศที่ยากจน การคา้ อาวุธระหว่าง ประเทศ ท้งั การค้าระหว่างประเทศอุตสาหกรรมด้วยกนั และระหว่างประเทศอุตสาหกรรมกับ ประเทศดอ้ ยพฒั นา 3. การขจัดสาเหตุของสงคราม ดว้ ยเหตุผลที่ว่าเมอ่ื เราทราบถงึ ปัจจยั ทน่ี าไปสู่สงคราม เราก็ พยายามคานึงถึงปัจจยั ต่างๆ เหล่าน้ันให้มาก และพยายามทามิใหเ้ กิดข้นึ เราก็จะรกั ษาสนั ติภาพไว้ ได้ แนวความคิดน้ีฟังดูง่ายแต่ในเหตุการณ์เฉพาะท่ีเกิดข้ึนจริงๆ “ปัจจยั ” ต่างๆ น้ันสลบั ซับซ้อน และหลายๆ กรณีเกิดข้ึนในสถานการณ์ท่ีอยใู่ นข้นั วิกฤติ ไม่สามารถหรือยากอย่างยิ่งท่ีจะกาหนด หรือพยายามให้เป็ นไปตามความประสงค์ได้ มีการศึกษาของนักวิชาการบางคน เช่น เซงฮาส (Senghaas) ที่เห็นขอ้ จากดั ของแนวการศึกษาที่พจิ ารณาตวั แปรและปัจจยั จึงไดเ้ สนอแนวการศึกษา แบบศึกษาองคร์ วมท้งั หมด (holistic approach) กล่าวคือ แทนที่จะสร้างแบบจาลองจากตวั แปรบาง ตวั จากบางกรณีแล้วทาให้เป็ นกรณีท่ัวไป เขาเสนอแนวศึกษาโดยพิจารณาการก่อตัวของความ ขดั แยง้ ท่ีสาคญั ๆ ในสังคมโลก ท้งั ภายในและระหว่างตะวนั ตก - ตะวนั ออก เหนือ - ใต้ รวมไปถึง การก่อตวั ของความรุนแรงทางโครงสร้างซ่ึงการก่อตวั ของความขดั แยง้ ระดบั ประเทศ และระดับ ระหว่างประเทศมาบรรจบตดั กนั โดยให้ความสาคญั ทีค่ วามสมั พนั ธท์ างการผลิตและความสัมพนั ธ์ ทางการแลกเปลี่ยนในระดบั โลก จากพ้ืนฐานการวิเคราะห์น้ี เซงฮาส เห็นว่าจะทาให้เราเห็นและ เขา้ ใจสาเหตแุ ละแบบแผนของการก่อตวั ของความขดั แยง้ ไดช้ ดั เจน
31 4. การศึกษาการเกิดรัฐประหาร เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีและพยายามอธิบายดว้ ยดชั นีทาง ทฤษฎีสาหรับกรณีทว่ั ไป โดยพิจารณาโครงสร้างทางสังคม การเมือง การปะทะกันระหว่างพลัง ต่างๆ ในสังคม และอิทธิพลของต่างประเทศ ทางการศึกษาก็พยายามช้ีให้เห็นถึงความผิวเผินของ การตีตรา “เผด็จการทหาร” โดยโตเ้ ถียงว่า การพยายามแยกระหว่างฝ่ ายทหารและฝ่ ายพลเรือนน้ัน ไมต่ รงประเด็น แทจ้ ริงแลว้ เป็นเร่ืองของผลประโยชน์ต่างสดั ต่างส่วนกนั ของกล่มุ ตา่ งๆ และแทจ้ ริง แลว้ “เผด็จการทหาร” น้ัน มีพลเรือนเป็ นองคป์ ระกอบสาคญั ร่วมอยู่ดว้ ยเสมอ ทหารและพลเรือน รวมถงึ ธุรกิจเอกชนร่วมกนั เป็นเผดจ็ การ โดยทหารอาจจะเป็นฝ่ายกระทาในถนนมากกว่า ทาให้เรา คิดไปว่าเผด็จการทาโดยทหาร นอกจากน้ีการศึกษายงั กา้ วพน้ ไปจากแนวการพิจารณาตวั แปรไปสู่ การวิเคราะหด์ า้ นสถาบนั วฒั นธรรม เศรษฐกิจหลายๆ ดา้ น ซ่ึงแต่ละดา้ นเกี่ยวพนั กนั อยู่ 5. การศึกษาทางจิตวิทยาสังคม เป็ นการพยายามอธิบายความกา้ วร้าว การทาลายลา้ ง การ ระเบิดออกจากความเก็บกดจากทางจิตวทิ ยาของบุคคลที่อยใู่ นสภาพการณ์รวมหมู่ และฐานะปัจเจก บุคคล รวมไปถึงลกั ษณะของวฒั นธรรมซ่ึงบางวฒั นธรรมอาจมีแนวโน้มไปในทาง “ก่อความไม่ สงบ” ไดง้ ่ายกว่าบางวฒั นธรรม นอกจากน้ียงั มีการศกึ ษาจิตวิทยาเดก็ โดยมีความเช่ือในสมมติฐาน ที่ว่า “สงครามเริ่มท่ีใจ” การอบรมเล้ียงดูเด็ก เกมส์ของเลน่ เด็กท่ีเนน้ การแข่งขนั เอาชนะ เนน้ ความ ตื่นเตน้ อาจจะเป็ นท้งั การเสริมและขดั ขวางสันติภาพในเชิงบุคลิกภาพส่วนบุคคลและในฐานะ สมาชิกของสงั คมและของชาติ 6. การศึกษาเชิงสถาบัน การเปล่ียนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ นักวิชาการสันติ ศึกษาให้ความสนใจท่ีจะอธิบายความรุนแรงและความขดั แยง้ ไม่ใช่จากการกระทาที่เน่ืองมาจาก บุคลิกภาพ สภาวะทางจิตใจของบุคคล แต่มาจากอทิ ธิพลของพลงั ขบั เคลอ่ื นทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซ่ึงเป็นความสืบต่อเน่ืองกนั มานานกว่าช่ัวอายุคน เช่น ความรุนแรงในไอร์แลนดเ์ หนือ น้นั มีรากหยงั่ ลึกนบั หลายร้อยปี ถึงจะมคี วามพยายามแกไ้ ขโดยบคุ คล หรือโดยขบวนการ ก็เป็นการ กระทาทอ่ี ยภู่ ายใตเ้ งอ่ื นไขขอ้ กาหนดของพลงั ดงั กลา่ วในประวตั ศิ าสตร์
32 7. การศึกษายทุ ธวิธีและวิธีการสร้างสันติภาพ มีขอ้ เสนอจากการศึกษากรณีรูปธรรมและ จากความคิดเชิงปรัชญาถึงวิธีการท่ีเหมาะสมในการไปสู่สันติภาพ บางคนอา้ งถึงบทเรียนทาง ประวตั ิศาสตร์ ถึงกรณีต่างๆ ที่สงคราม ความขดั แยง้ ความรุนแรง จบสิ้นลงไดด้ ว้ ยวิธีการต่างๆ บางคร้ังจึงดูเหมือนว่าสันติศึกษาน้ันเป็ นการศึกษาสงคราม แต่แท้ท่ีจริงสันติศึกษาเน้นที่การยุติ สงครามและความรุนแรง โดยพิจารณาจากผลประโยชน์ของส่วนรวมท่ีกวา้ งท่ีสุด ไม่ใช่พิจารณา จากผลประโยชน์ของชาติหรือกลุ่มท่ีตนมีส่วนสังกดั อยู่ ส่วนบางคนเสนอการสร้างสันติภาพดว้ ย วิธีการที่สันติเท่าน้นั คากลา่ วของ คานธีที่วา่ “ไม่มีถนนไปสู่สันติภาพ สันติภาพน้ันแหละคอื ถนน” (There is no road to peace. Peace is the road.) ความคิดน้ีสะทอ้ นมาเป็ นภาษานักวิชาการคนสาคญั ของสันตศิ ึกษาวา่ สันตศิ ึกษาน้ันเพ่ือความสนั ติโดยวิธีสันติ (The basic concern of peace research is the pursuit of peace with peaceful means) หรืออีกนัยหน่ึงก็คือ มรรควิธีและเป้าหมายน้ัน ไม่แยก จากกนั กบั ความมีสันติ หลกั การความเชื่อน้ีแมจ้ ะไม่ไดย้ ึดถือโดยผูเ้ ก่ียวขอ้ งกบั สันติศกึ ษาท้งั หมด แต่ส่วนใหญ่ก็ยดึ ถือกนั จะมีบางส่วนท่ีเห็นว่า มรรควิธีความรุนแรงน้ันอาจจาเป็นในบางกรณีเพื่อ บรรลุสันติภาพ เช่น การต่อตา้ นผูร้ ุกราน การดาเนินการปฏวิ ตั เิ พอ่ื ไปสู่สังคมนิยม เป็นตน้ แตแ่ นว น้ี ได้รับ ก ารวิพ ากษ์ วิจารณ์ จาก ฝ่ ายยึด กับ ม รรควิธี สัน ติท้ังด้วยเหตุ ผลท างจริ ยธรรม และเหตุผลทางสังคม - การเมือง ว่าความรุนแรงน้ันจะสืบต่อเน่ืองไปและจะยิ่งเสริมให้มีการใช้ ความรุนแรงมากข้ึนไปอีก 8. การศึกษากรณีเฉพาะ นบั แต่ท่ีสงครามโลกคร้ังที่ 2 สิ้นสุดลงกม็ ีสงครามสืบต่อเน่ืองมา ในส่วนต่างๆ ของโลก เช่น สงครามต่อสู้เจา้ อาณานิคมในแอฟริกาและเอเชีย สงครามของชนชาติ ส่วนน้อย สันตศิ กึ ษาไดใ้ ห้ความสนใจศึกษา กรณีสงครามเหลา่ น้ีซ่ึงเป็นทรี่ ับรู้กนั กวา้ งขวางทว่ั โลก เน่ืองจากการพฒั นาของระบบการส่ือสารมวลชน เช่น สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองใน ซูดาน สงครามในตะวนั ออกกลาง การต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ สงครามระหว่างอิหร่าน - อิรัก สงครามในเลบานอน ฯลฯ การศึกษากรณีรูปธรรมเหล่าน้ีเพ่อื พยายามวเิ คราะห์สรุปเป็ นกรณีทวั่ ไป และเพ่ือเป็ นการอธิบายพลวตั ความขดั แยง้ ภายในซ่ึงดาเนินสืบต่อมาเป็ นระยะเวลานานจนปะทุ ออกมาในรูปความขดั แยง้ รุนแรง ไม่ใช่เพียงหาสาเหตุช่วงก่อนเกิดสงครามเท่าน้ัน ท้งั น้ีเพ่ือความ เข้าใจเชิงสังคมวิทยา อิทธิพลของพลังต่างๆ ท่ีผลักดันการเปลี่ยนแปลงของสังคมน้ันๆ ส่วน การศึกษาเหล่าน้ีจะถือเป็น “บทเรียน” ไดห้ รือไม่ก็ยงั คงเป็นประเด็นถกเถยี งของนกั ประวตั ศิ าสตร์ ตา่ งสานักความคิดกนั ตอ่ ไปว่า เหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตร์น้นั จะเกิดซ้าตามแบบแผนหรือเกิดข้ึน อยา่ งมีลกั ษณะเฉพาะเป็นกรณีๆไป
33 9. การศึกษาสงครามในรูปแบบท่ีไม่ใช้อาวุธ เป็นการศกึ ษาขบวนการสันติภาพจากคาถาม ทางศีลธรรมท่ีว่า เมอ่ื สงครามเป็นเร่ืองเลวร้าย ถา้ เช่นน้นั จะมที างเลือกอื่นอะไร คาตอบทเ่ี สนอกค็ ือ การใช้มาตรการบีบบงั คบั ทางเศรษฐกิจ การเมือง ซ่ึงอาจใช้โดยระหว่างรัฐหรือกลุ่มของรัฐและ ภายในรัฐเอง การศึกษาก็พิจารณาท้งั กรณีที่ไดผ้ ลและไม่ไดผ้ ล พร้อมท้งั ตอบคาถามว่า ทาไมการ ศึกษาในหัวขอ้ ทานองน้ีเป็ นการผสมกนั ระหว่างการศึกษาเฉพาะกรณีที่กาลังดาเนินอยูแ่ ละการ เสนอมาตรการการตอบโตร้ วมถึงมาตรการการแกป้ ัญหา เช่น มาตรการทางการค้า การรณรงค์ ตาหนิรัฐบาลของชนผิวขาวในแอฟริกาใตท้ ่ีปฏิบตั ิตอ่ ชนผิวดาอยา่ ง ไมค่ านึงถึงสิทธิมนุษยชน การ แสดงประชามตคิ ดั คา้ นนโยบายกา้ วร้าวทางทหารของสหรัฐอเมริกาในลาตินอเมริกา การประทว้ ง และเปิ ดเผยการทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยกลุ่มกรีนพชี (Green Peace) การประทว้ งและเรียกร้องให้ มกี ารลดอาวุธจนถึงการขจดั อาวุธที่เป็นมหนั ต์ภยั ต่อมนุษยชาติอย่างอาวธุ นิวเคลียร์ ประเดน็ หัวใจ ของการศึกษาทานองน้ีนอกเหนือจะเป็ นเรื่องทางวิชาการแลว้ ก็เป็ นการส่งเสริมการต่อสู้คดั คา้ น สิ่งอธรรมดว้ ยวิธีท่ีเป็ นธรรมอีกดว้ ย สาหรับการประทว้ งต่อสู้ภายในแต่ละสังคม การศึกษายงั ให้ ความสาคัญเป็ นพิเศษต่อความสัมพันธ์ที่กระทบเช่ือมโยงซ่ึงกันและกันสามมุม (Dynamic triangular interaction) ในรูปแบบต่างๆ ของโครงสร้างสังคม รูปแบบการต่อสู้ การขยายตวั และ ความคลีค่ ลายของความขดั แยง้
34 ลักษณะทส่ี าคัญของวชิ าสันตศิ ึกษา ลกั ษณะทีส่ าคญั ของวชิ าสนั ติศึกษา พอจะสรุปไดโ้ ดยสังเขปดงั น้ี คอื 1. สันติศึกษามีลักษณะสหวิทยาการ (Interdisciplinary Studies) กล่าวคือ เป็ นการ ประมวลใชค้ วามรู้จากสาขาวิชาต่างๆ มาช่วยกนั ทาความเขา้ ใจและอธิบายปรากฏการณ์หน่ึงท่ีจะ เห็นไดว้ า่ นกั วิชาการสันตศิ ึกษาใชค้ วามรู้ แนวคดิ จากวิชาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ รฐั ศาสตร์ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยาสังคม ประวตั ศิ าสตร์ ฯลฯ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ว่าวิชาใด ทฤษฎีใดจะ เหมาะสมสาหรับประเดน็ ท่ีจะศึกษา ลกั ษณะน้ีของสนั ติศึกษามีขอ้ ดี คือ ทาให้เน้ือหาสาระกวา้ ง มี หลายมุมมอง ไม่ถูกจากัดอยู่ภายใต้กรอบและสิ่งที่ปฏิบัติกันในสาขาวิชาเฉพาะหน่ึ งๆ ใน ขณะเดียวกนั ก็ถูกวิจารณ์ว่า ไม่มีแนวเด่นเฉพาะของตัวเอง ไม่มีนักคิดท่ีสร้างแนวความคิดและ ทฤษฎีท่ี “ย่ิงใหญ่ สั่นสะเทือนวงวิชาการ” ท้งั น้ีท้งั น้ัน เราคงจะไม่ลืมว่า สนติศึกษาเป็ นความริเร่ิม ใหม่มีอายุประมาณ 30 ปี ขณะที่สาขาวิชาอ่ืนๆ ท่ีเราคุน้ ๆ กันอยนู่ ้ันอย่างน้อยก็มีอายุเกิน 100 ปี ข้ึนไป การเร่ิมตน้ ในช่วงแรกน่าจะเป็ นท้ังขอ้ ตระหนักถึงขีดจากดั และในขณะเดียวกนั ก็เป็ นการ ทา้ ทายอยใู่ นตวั เราอาจจะเห็นได้ว่า การพัฒนาของวงวิชาการสังคมศาสตร์น้ันไปในทิศทางของ
35 สหวิทยาการมากข้ึน และสาขาวิชาใหม่ๆ ไดเ้ กิดข้ึนในทานองเดียวกบั สันติศึกษา เช่น สตรีศึกษา การศกึ ษาเร่ืองการพฒั นา สงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ เอเชียศึกษา ส่ิงแวดลอ้ มศึกษา ฯลฯ บางวิชาก็ได้ รบั การยอมรบั กวา้ งขวาง ส่วนบางวชิ าการยอมรับก็อยู่ในวงจากดั สันติศึกษาคงอาจจะอยู่ระหว่าง กลางของสองดา้ นน้ี 2. สันติศึกษาเป็ นวิชาประยกุ ต์ สืบเน่ืองมาจากลกั ษณะแรก สันตศิ ึกษาทาการศึกษาเร่ืองที่ เป็ นปัญหา (problem oriented) โดย เร่ิมที่เง่ือนไขของความไม่สันติ การเกิดข้ึนของความไม่สันติ ศึกษาความขดั แยง้ ท่ีเร่ิมกอ่ ตวั อยแู่ ละท่ปี รากฏออกมา รวมไปถึงการศึกษาการแกไ้ ขและการควบคุม ความขดั แยง้ หรือกล่าวอกี นยั หน่ึงก็คือ สันติศึกษามุ่งศึกษาเรื่องทม่ี ีผลในทางลบต่อความเจริญของ มนุษย์ เพ่อื ทจ่ี ะพยายามหาวธิ ีปรบั ปรุง แกไ้ ข หรือทาให้ปัญหาน้ันไม่ลกุ ลามออกไป สันติศึกษาจึง ไม่ใช่แขนงวิชาท่ีศึกษาเพื่อความสว่างทางปัญญาและเพ่ือการอธิบายเท่าน้ัน แต่เพ่ือการนาเอา ความรู้ไปประยุกต์ใช้โดยตรง ในเชิงวิชาการเห็นว่าธรรมชาติของปัญหาควรเป็ นตวั กาหนดว่า ปัญหาน้นั ๆ ควรจะถูกวิเคราะห์อยา่ งไร ไม่ใช่สาขาวิชาของผูศ้ ึกษาจะเป็นตวั กาหนดการวิเคราะห์ อยา่ งทีเ่ ป็นกนั อยคู่ อ่ นขา้ งกวา้ งขวางในเวลาน้ี 3. สันติศึกษายึดถือคุณค่าสันติภาพเป็ นเป้าประสงค์แนวนา (Normative Discipline) ถึงแม้ว่าความหมายของสันติภาพเป็ นเรื่องของการตีความได้ต่างๆ ในความหมายกวา้ งและ ความหมายแคบ ซ่ึงเป็ นการถกเถียงในเชิงปรัชญาแนวความคิดเชิงทฤษฎี สาหรับกรณีประเด็น ศกึ ษาและการประยกุ ตใ์ ชแ้ ลว้ ประเด็นที่ถกเถียงกนั มากกว่า คอื มรรควิธีสู่สนั ตภิ าพ แต่ถึงอยา่ งไรก็ ตามสาหรับา้ นวิชาการสันติภาพศึกษาแลว้ การศึกษาคานึงถึงการนาไปสู่สันติภาพเป็นคุณค่าหลัก ท้งั น้ีสันติภาพยอ่ มไม่ขัดกับผลประโยชน์ของผูด้ ้อยโอกาสและคุณค่าความเป็ นมนุษย์ เช่น กรณี ความสัมพนั ธร์ ะหว่างนายกบั ทาส แมจ้ ะอา้ งวา่ ทาสน้นั “พอใจ” ที่จะรับใชน้ ายโดยไม่ต้งั คาถามต่อ สิทธิของนายว่าชอบธรรมหรือไม่ และความสัมพนั ธ์ก็มีความสงบสันติดี กรณีเช่นน้ีไม่ใช่คุณค่าที่ สันติศึกษายอมรับเพราะเหตุว่าขดั กบั ศักด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ ส่วนคาถามว่า “ศักด์ิศรี ความเป็ น มนุษย”์ คืออะไร ก็เป็นประเดน็ ทางปรัชญาทีม่ ีการศึกษากนั ในสนั ติศกึ ษาเช่นกนั
36 4. สันตศิ ึกษาเป็ นการศึกษาเรื่องต่างๆ ในหลายระนาบและต่างระดบั นอกจากระนาบทาง สาขาวิชาตา่ งๆ (เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศึกษา ฯลฯ) ดงั ขอ้ 1. แลว้ ก็ยงั รวมระนาบอน่ื ๆ เช่น ระนาบเวลา สันตศิ ึกษาไดศ้ กึ ษาอดีตโดยอาศยั ประวตั ิศาสตร์เป็นบทเรียน ศึกษาปัจจุบนั ในฐานะที่ เป็นปัญหามีผลลบดาเนินอยู่ และศึกษาอนาคตในดา้ นท่ีปรารถนาจะกาหนดความเป็นไปขา้ งหนา้ วชิ าอนาคตวิทยา (Futurology) สัมพนั ธก์ นั ใกลช้ ิดกบั สันติศึกษาดว้ ย ระนาบทางคุณคา่ ต้งั แต่สันติ ของบุคคล (ดา้ นจิตใจ) การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งประสานกลมกลืน (ดา้ นสังคม) การคงอยขู่ องเผ่าพนั ธุ์ (ดา้ นกายภาพ) การดาเนินชีวิตที่มีคณุ ภาพ (ดา้ นวฒั นธรรม) ส่วนระดบั น้นั สันติศกึ ษาใส่ใจในระดบั ต่างๆ และความสัมพนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั ต้งั แต่ระดบั จุลภาคภายในชุมชน ระดับสังคม (ระดบั กลุ่ม ระดบั เช้ือชาติ) ระดบั ระหว่างสงั คม จนไปถึงระดบั ระหวา่ งประเทศ และระดบั โลก อกี ลกั ษณะหน่ึงของสนั ติศกึ ษาซ่ึงเป็นขอ้ สงั เกตมากกว่าท่ีจะเป็นขอ้ ที่ 5 คือ สนั ติศึกษาเป็น แขนงวิชาใหม่ ท่ีเริ่มต้นมาจากข้อคานึงทางสถานการณ์การเมืองของสังคมท่ีเต็มไปด้วยความ ขัดแย้ง ความรุนแรง และข้อคานึงทางวิชาการท่ีไม่ได้ส่งเสริ มสันติภาพ เช่น การศึกษา ยุทธวิธี(Strategic Studies) การศึกษาความม่ันคง การศึกษาสงคราม สันติศึกษาจึงกาเนิดมาจาก เงื่อนไขดงั กล่าวขา้ งตน้ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมโลกแต่ละสังคมกาลงั เปลี่ยนแปลงอยา่ งมาก ทา ใหส้ นั ติศึกษามลี กั ษณะทต่ี า่ งออกไปจากสังคมศาสตร์กระแสหลกั แตเ่ ป็นแขนงวชิ าที่ไม่นิยมรักษา สถานภาพเดิม ตอ้ งการสร้างสังคมรูปแบบใหม่ ตอ้ งการคานึงถงึ ทางเลือกใหม่ของการพฒั นาที่เน้น การแข่งขนั กลไกตลาดอุตสาหกรรมที่ตอ้ งแยง่ ชิงทรัพยากรในต่างสังคม การศึกษาที่ทาให้เนน้ ถึง ความสาคญั ของตวั เอง ฯลฯ ซ่ึงนาไปสู่ความขดั แยง้ และสงครามในทา้ ยท่ีสุด สันติศึกษาพยายาม คดิ ถึงรูปแบบการพฒั นารูปแบบใหม่ และการท่ีสันติศกึ ษาเป็นแขนงวิชาใหม่ทาให้เน้ือหาประเด็น ต่างๆ ยงั ไม่ลงตัว เป็ นเร่ืองท่ีต้องพยายามคิดค้นศึกษากนั ต่อๆไป เน้ือหาการศึกษาจึงเปิ ดกวา้ ง สาหรบั การริเร่ิมใหม่ๆ ท้งั ในเชิงทดลองและเชิงการบกุ เบิก นอกจากน้ีความใหมข่ องแขนงวิชาสันติ ศึกษายงั เป็นโอกาสให้การศึกษาไดม้ ีการปรับเปล่ียนไปตามสาระของปัญหาโดยไม่ยึดติดกบั แนว ของครู (orthodoxy) หรือสูตรสาเร็จ (dogmatism) อกี ดว้ ย
37 สืบเนื่องจากการเร่ิมตน้ และความเป็นมาของสันติศึกษา ท่ีม่งุ ทส่ี าระต่างไปจากการศกึ ษา สงคราม (War & Strategic studies) การศกึ ษาการรบ (Military Science) ทาไมสนั ติศกึ ษาไม่ สามารถอิงอยกู่ บั สาขาวิชาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ กระแสหลกั ตามแบบสาขาและแขนงวชิ า ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ทีน่ ิยมกนั มาได้ ดว้ ยเหตุผลท่วี ่า สนั ตศิ ึกษาใหค้ วามสาคญั ต่อสาเหตุของพลงั ภายใน สงั คมท่ีดาเนินสืบต่อเน่ืองกนั มามากกวา่ ความขดั แยง้ บ้นั ปลายทปี่ รากฏให้เห็นแลว้ หรือตวั อยา่ งเช่น ถา้ จะศึกษาเกี่ยวกบั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ก็จะเน้นความขดั แยง้ ภายในสงั คมเยอรมนีและญป่ี ่ นเพื่อจะ เขา้ ใจว่ามคี วามเป็นมาอยา่ งไรภายใตเ้ งือ่ นไขถึงไดเ้ กิดปรากฎการณ์ท่ีฝ่ายเผดจ็ การนาซีและลทั ธิ นิยมทหารคลง่ั ชาติข้นึ มามอี านาจและดาเนินนโยบายตา่ งประเทศกา้ วร้าวรุนแรงจนถึงรุกรานทา สงครามกบั ประเทศอ่ืนในทา้ ยที่สุดเราอาจจะกลา่ วไดว้ า่ สันติศึกษาท่ีเนน้ การศึกษาระดบั ภายใน สงั คมไดอ้ าศยั แนวทฤษฎีบางแนวในสงั คมวิทยา (แตท่ ้งั น้ีมิไดห้ มายความว่า การพิจารณาพลงั ความ ขดั แยง้ ระหว่างประเทศในบางกรณีไมม่ ีความสาคญั ) แนวสังคมวิทยาทีส่ นั ตศิ กึ ษาไดน้ ามาใช้ ประโยชนม์ าก คอื สังคมวทิ ยาเกี่ยวกบั ความขดั แยง้ (Sociology of Conflicts) สกลุ ความคดิ ทางสังคมวทิ ยาท่ีเก่ยี วกับความขัดแย้ง ทฤษฎีโครงสร้างการหน้าท่ี บางทีการจะเข้าใจทฤษฎีความขัดแยง้ ได้ชัดข้ึนวิธีหน่ึง คือ การทาความเข้าใจทฤษฎี โครงสร้างการหน้าท่ี (Structural Functionalism) ไปดว้ ย ท้งั น้ีเพราะทฤษฎีน้ีเป็ นทฤษฎีสังคมวทิ ยา กระแสหลัก และมีแนวการอธิบายปรากฏการณ์สังคม เรียกไดว้ ่า ตรงขา้ มกบั ทฤษฎีความขดั แยง้ ทฤษฎีโครงสร้างการหน้าที่น้ันเห็นว่าสังคมและสถาบันสังคมท้งั หลายเป็ นระบบซ่ึงส่วนต่างๆ
38 พ่งึ พิงซ่ึงกนั และกนั และแต่ละส่วนมี “หน้าที่” (function) ทางานของตวั เองและร่วมกนั ทาใหร้ ะบบ สงั คมและระบบของแต่ละสถาบนั ในสังคมอย่ใู นสภาพสมดุล ทฤษฎีน้ีมิไดป้ ฏิเสธวา่ สังคมมีความ ขดั แยง้ แต่เห็นว่าสังคมมีวิธี กลไกหรือสถาบนั ที่กระทาหน้าท่ีควบคุมความขัดแยง้ น้ัน ฐานคติ (Assumption) อนั เป็นสาเหตขุ องทฤษฎีน้ีอยทู่ คี่ วามสมดลุ ของการทาหนา้ ทข่ี องส่วนต่างๆ ในสังคม ส่วนทฤษฎีความขดั แยง้ มองปรากฏการณส์ งั คมตา่ งออกไปอยา่ งสิ้นเชิง กลา่ วคือ ในขณะท่ี ทฤษฎีโครงสร้างการหน้าท่ี เห็นว่าในสังคมโดยรวมๆ แลว้ มีความสมานฉันท์เป็ นอันหน่ึงอัน เดียวกนั ทฤษฎีความขดั แยง้ เห็นว่าภายในสังคมมีการต่อสู้ แยง่ ชิง หักเหล่ียมกนั ระหวา่ งกลุ่มต่างๆ ตลอดจนภายในกลุ่มและในสถาบนั เพื่อผลประโยชน์และอานาจ การที่ฝ่ ายหน่ึงไดป้ ระโยชน์น้ัน ไม่ไดม้ าจากการพ่ึงพาซ่ึงกนั และกนั แต่มาจากการท่ีฝ่ ายอ่ืนเสียประโยชน์ ดงั น้ัน ตามแนวทฤษฎี ความขดั แยง้ น้ีเห็นว่า การควบคมุ ความขดั แยง้ ในสังคมเป็นการกดบงั คบั ของฝ่ายตรงขา้ มทีม่ ีอานาจ เหนือกว่า ตัวอย่างเช่น สถาบันกฎหมายตามทฤษฎีโครงสร้างการหน้าที่เห็นว่ามีหน้าท่ีเช่ือม ประสานหน่วยต่างๆ ทางสังคมและเป็นกติกาสาหรับสมาชิกเพ่ือให้เกิดความมีระเบียบเรียบร้อย ส่วนทฤษฎีความขดั แยง้ เห็นว่า สถาบันกฎหมายน้ันสัมพนั ธ์อยกู่ ับโครงสร้างเชิงอานาจในสังคม กาเนิดข้ึนและดารงอย่ภู ายใต้เง่ือนไขที่เอ้ือและรักษาอานาจตลอดจนผลประโยชน์ของกลุ่ม และ ตามทฤษฎีความขัดแย้งน้ีสถาบันท่ีอยู่ในฐานะได้เปรียบ ได้แก่ กฎหมายปกครอง กฎหมาย รัฐธรรมนูญ กฎหมายเกี่ยวกบั เรื่องส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ จึงเห็นได้ว่า ฐานคติของทฤษฎีน้ีอยู่ที่ ความขดั แยง้ ความไม่ประสานกนั ของส่วนต่างๆ กลมุ่ ต่างๆ ในสงั คม จากฐานคตทิ แี่ ตกต่างกนั น้ีเราจะเห็นไดว้ ่า ทาให้ทฤษฎีสองแนวน้ีมคี วามเห็นในเร่ืองความ ขดั แยง้ ต่างกนั แนวทฤษฎีความขดั แยง้ เน้นอยา่ งมากถึงกลุ่ม ระดบั สถานะชนช้ันที่แตกต่างกนั ใน อานาจ ผลประโยชน์ วฒั นธรรม ประเพณี ศาสนา เช้ือชาติ ภาษา ฯลฯ ซ่ึงลว้ นเป็นแหล่งก่อให้เกิด ความขดั แยง้ ไดท้ ้งั สิ้น แนวทฤษฎีสองแนวน้ีได้มีการแลกเปล่ียนโต้ตอบกันในเวทีวิชาการทางสังคมวิทยา ต่อเนื่องกนั มา ทาให้มีการปรับเปลี่ยน ขยายแนวทฤษฎีของแต่ละแนว และในหมู่บรรดาผูท้ ่ีคิดใน
39 แนวทฤษฎีความขดั แยง้ ก็มิใช่จะมีความคิดไปในทางเดียวกนั แต่มีความแตกต่างกนั เป็นแนวทาง สายย่อยออกไปอีกและมีการรับความคิดของแนวทฤษฎีโครงสร้างการหน้าท่ีไปประยุกต์เป็ น บางส่วน มีการพฒั นาทฤษฎีความขดั แยง้ ไปเป็นเอกเทศจนประเดน็ ความขดั แยง้ ในสงั คมเป็นเพียง ส่วนย่อยส่วนหน่ึงของแนวทฤษฎีท่ีกวา้ งใหญ่ ซ่ึงถือกนั เป็ นแนวความคิดได้ อย่างในกรณีของ ทฤษฎีแนวความคิดแบบมาร์กซ์ (Marxism) และบรรดานกั คิดในสานักน้ีก็ไม่จดั ตวั เองอยูใ่ นแนว ทฤษฎีความขดั แยง้ ดว้ ยเหตุผลที่ว่า แนวทฤษฎีความขดั แยง้ น้ันโดยเน้ือแทห้ ลกั แลว้ เป็ นส่วนเดิม ส่วนปรับปรุงที่เสริมเขา้ กบั แนวทฤษฎีโครงสร้างการหนา้ ที่มากกว่าท่ีจะเป็นแนวทฤษฎีของตวั เอง อยา่ งไรก็ตามในทนี่ ้ี การถกเถียงของบรรดานักทฤษฎีความขดั แยง้ เป็นส่วนท่ีนอกเหนือไปจากการ ทาความเขา้ ใจแนวทฤษฎีแนวน้ีและเป็นส่วนท่สี มั พนั ธ์กบั สนั ติศึกษา ทฤษฎคี วามขดั แย้ง นอกเหนือจากทฤษฎีแนวความคิดแบบมาร์กซ์ เราสามารถจาแนกทฤษฎีความขัดแยง้ ออกเป็น 2 สายหลกั คอื 1. สายทเี่ นน้ ความขดั แยง้ เป็นมูลฐานของปรากฏการณ์สังคม 2. สายท่ีเชื่อมความขดั แยง้ เขา้ กบั การทางานประสานกนั ของส่วนตา่ งๆ ในสังคม 1. สายที่เน้นความขัดแย้งเป็ นมลู ฐานของปรากฏการณ์สังคม ผูท้ ี่เป็ นนักทฤษฎีคนสาคัญของสายน้ี คือ ราล์ฟ ดาห์เรนดอร์ฟ (Ralf Dahrendorf) เรา อาจจะทาความเขา้ ใจแกนความคิดของเขาไดง้ า่ ยข้ึนดว้ ยการทาความเขา้ ใจความหมายของอานาจ อานาจ เป็นเสมือนกญุ แจในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ความขดั แยง้ ในสงั คม ในฐานะศพั ท์ ทางสังคมวิทยาอานาจรวมถึงคาศัพท์ 2 คา คือ Power และ Authority ซ่ึงต่างแปลในภาษาไทยว่า
40 อานาจ แต่มีความแตกต่างกนั คือ อานาจ หมายถึง ความเป็นไปไดท้ ่ีฝ่ ายหน่ึงในความสัมพนั ธ์ทาง สังคมอยใู่ นฐานะที่จะกระทาตามความประสงคไ์ ด้ แมว้ า่ จะมกี ารต่อตา้ น หรือกลา่ วอกี นยั หน่ึงไดว้ ่า ฝ่ายที่มอี านาจ คือ ฝ่ ายที่สามารถทาให้ฝ่ ายอ่ืนยอมให้การกระทาเป็นไปตามความตอ้ งการของฝ่ าย ตน เช่น สหภาพแรงงานสามารถทาให้ฝ่ ายนายจา้ งยอมสนองตอบต่อขอ้ เรียกร้องดว้ ยวิธีการนดั หยดุ งาน นกั จ้ีใชอ้ าวธุ บงั คบั ผมู้ ที รัพยย์ อมให้ของมีคา่ ฯลฯ ส่วน อานาจ Authority เป็นชนิดหน่ึงของอานาจ Power ทีห่ มายถึง อานาจอนั ผกู อยกู่ บั บทบาทหรือตาแหน่ง ซ่ึงโดยเน้ือหาเป็นความชอบธรรม (Legitimate) ในแง่ของการยอมรบั และ การปฏบิ ตั ิในสงั คม (Social Norms) เช่น เมอื่ นายถว่ั ไดร้ ับเลือกต้งั เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและ ไดเ้ ป็นรัฐมนตรี ก็จะมอี านาจ A ในฐานะรัฐมนตรีส่ังการตามกฎหมายต่อขา้ ราชการในกระทรวง เม่ือเขาพน้ จากตาแหน่งอานาจ A น้ีกจ็ ะหมดไป แต่เขาอาจจะมีอานาจ P ในการบงการลกู นอ้ งของ เขาอยู่ เราอาจจะพูดไดว้ า่ อานาจ A น้นั ส่ือความหมายถึงอานาจในฐานะใดฐานะหน่ึง เช่น อานาจ ในฐานะผปู้ กครอง อานาจในฐานะครู อานาจในฐานะนายจา้ ง ตวั อย่างที่อาจแสดงถึงความแตกต่างระหว่างอานาจ P กบั อานาจ A คือ กรณีความสัมพนั ธ์ ระหว่างลูกจา้ งกบั นายจา้ ง โดยทวั่ ๆ ไปน้นั ลูกจา้ งเป็นฝ่ ายไม่มอี านาจ P แต่เมื่อลูกจา้ งไดร้ วมตวั กนั ต้งั และจดทะเบียนเป็นสหภาพแรงงาน ตวั แทนของลูกจา้ งน้นั ในฐานะกรรมการของสหภาพก็จะมี อานาจ A ซ่ึงสามารถจะใชอ้ านาจ P ตอบโตแ้ ละเรียกร้องต่อนายจา้ งได้ ส่วนนายจา้ งน้นั มที ้งั อานาจ A และ P อยแู่ ลว้ ท้งั น้ีเพราะสังคมยอมรบั กนั เช่นน้นั ดาห์เรนดอร์ฟไดใ้ ช้แนวคิดว่าดว้ ยอานาจ P และ A น้ีในการวิเคราะห์ทฤษฎีว่าดว้ ยสังคม ระดบั มหภาคและกลุ่มความขดั แยง้ ในระดบั จลุ ภาค
41 1.1 ทฤษฏีว่าด้วยสังคมระดับบทภาค คือ การจดั สรรอานาจ ( The Distribution of Power) ตวั กาหนดหลักของโครงสร้างสังคมในสังคมหน่ึงๆ น้ัน อานาจมิไดก้ ระจายสม่าเสมอกันทว่ั ท้ัง สังคม บางส่วน บางกลุ่ม บางคณะมีมากบา้ งน้อยบา้ งหรือเกือบไม่มีเลย เช่นน้ีทาให้สังคมมีลาดบั ช้ัน (Social Stratification) น้ันก็คือความแตกต่างกันของสังคม โดยข้ึนอยกู่ ับทรัพยส์ ินความมง่ั มี เกียรติยศ การศึกษา ฯลฯ ซ่ึงปรากฏออกมาในตาแหน่งฐานะทางสังคม ควบคู่อยกู่ บั ลาดบั ช้ันน้ีคือ ความยอมรับนับถือกันเป็นแนวปฏิบตั ิของสังคม โดยทางสังคมวิทยาเรียกว่า ปทสั ถานทางสังคม (Social Norms) อนั เปรียบเสมือนกฎเกณฑห์ รือกตกิ าของสังคม ตวั อยา่ งเช่น อธิการบดีมหาวิทยาลยั มีเกียรติ ซ่ึงจะตามมาด้วยการมีรายได้สูง และมีอานาจมากกว่าช่างประปาในมหาวิทยาลัย การ ยอมรับกนั ท่ัวว่าเป็นของธรรมดา เป็ นสามญั สานึก นี่คือ ปทัสถานซ่ึงเป็ น “เหตุผล” ในท้ายที่สุด เพราะถา้ ใช้เหตุผลอ่ืนก็ไม่จาเป็ นว่าอธิการบดีจะตอ้ งมีเงินเดือนสูงกว่า บางคนอาจใชม้ าตรการ การศึกษา ความสามารถว่าทาให้เป็นเช่นน้นั แต่ถา้ เราใชม้ าตรการอน่ื (ที่สังคมไม่ไดใ้ ช)้ เช่น ความ จาเป็ นในชีวิตประจาวนั เราจะพบว่า การไม่มีช่างประปาทาให้ไม่มีน้าใช้น้ันเดือดร้อนกนั ท้ัง มหาวิทยาลยั มากกว่าการที่อธิการบดีไม่ไดม้ าทางานในวนั น้ัน แต่มาตรการและการให้เหตผุ ลน้ีไม่ เป็ นที่ยอมรับในสังคม การที่สังคมจะใช้หรือยอมรับมาตรการและเหตุผลใดน้ันก็เป็ นเรื่องของ ปทสั ถานทางสังคม ดาห์เรนดอร์ฟ เห็นว่า ปทสั ถานทางสังคมน้ีใช่ว่าจะกาหนดหรือเกิดข้ึนมาจากความตกลง เห็นชอบกันท้ังสังคม (Social Consensus) แต่มีข้ึนและดารงอยู่ด้วยอานาจและโดยเน้ือแท้แล้ว อาจจะอธิบายไดว้ ่าเป็ นเรื่องของผลประโยชน์ของผูม้ ีอานาจ เพราะเราจะเห็นไดว้ ่า ปทสั ถานน้ันมี การควบคุมบังคบั (Sanctions) ให้คนปฏิบัติตาม การควบคุมบังคบั น้ันก็มีต้งั แต่ การแสดงความ รังเกียจจากสงั คมหรือผมู้ ีอานาจ จนถึงการถกู ลงโทษดว้ ยวธิ ีต่างๆ ภาพสงั คมในทรรศนะของดาหเ์ รนดอร์ฟ คอื มีความโนม้ เอยี งท่ีจะเกิดความขดั แยง้ อยเู่ สมอ กลุ่มที่มีอานาจก็จะแสวงหาผลประโยชน์ กลุ่มท่ีไม่มีก็พยายามที่จะมีและหาผลประโยชน์เช่นกัน เพราะฉะน้ันจึงย่อมเกิดความขดั แยง้ ข้ึนเสมอ สาหรับดาห์เรนดอร์ฟน้ันการท่ีไม่มีความขดั แยง้ ปรากฏให้รบั รู้ได้ แทจ้ ริงเป็นผลมาจากการใชก้ ารกดบงั คบั อยา่ งมีประสิทธิภาพ อยา่ งไรกต็ าม มิใช่วา่ ความขดั แยง้ จะส่งผลแต่ทางลบ ดาห์เรนดอร์ฟเห็นวา่ การตอ่ สูเ้ พื่อ อานาจน้นั ทาให้สมดลุ ของอานาจในความสมั พนั ธ์ทางสงั คมเปล่ยี นไปน้นั ก็คือ ทิศทางความเป็นไป ของสังคมเปลี่ยนไป ดงั น้นั ความขดั แยง้ จึงเป็นพลงั การสร้างสรรคท์ ีย่ ่ิงใหญ่พลงั หน่ึงของ ประวตั ิศาสตร์มนุษย์ 1.2 กล่มุ ความขัดแย้งในระดบั จุลภาค ดาห์เรหดอร์ฟใชอ้ านาจ A ในการวเิ คราะหอ์ งคก์ าร หรือหน่วยท่ีมีการร่วมกนั อยา่ งค่อนขา้ งถาวร เช่น ครอบครวั บริษทั หน่วยงาน ฯลฯ โดยอธิบายถึง ความไม่เสมอภาคกนั ในอานาจ A และผลประโยชนท์ ่ขี ดั กนั จะกอ่ ใหเ้ กิดความขดั แยง้ ซ่ึงเกิดข้นึ
42 ระหวา่ งกลุ่มอยา่ งเป็นแบบแผนข้นึ กลา่ วคือ เขาเห็นวา่ สืบเน่ืองมาจากอานาจ A ทลี่ ดหลน่ั กนั ลงมา จากมากมานอ้ ย จนถึงไม่มเี ลย และช้นั ตา่ งๆ จากบนลงมาลา่ งน้ีมผี ลประโยชนต์ ่างกนั ผลประโยชน์ ของช้นั หน่ึงมกั จะทาใหช้ ้นั อืน่ เสียผลประโยชน์ และเมือ่ ช้นั หน่ึงมีอานาจ A ช้นั อ่ืนก็เป็นฝ่ายรองรับ อานาจ A น้นั เมื่อองคก์ ารลกั ษณะน้ี กเ็ ป็นเหตุใหเ้ กิดกลุ่มข้นึ ตามแนว เป็นช้นั ๆ เป็นกลมุ่ ผลประโยชน์ซ่ึงดาห์เรนดอร์ฟ เรียกว่า เป็นการเกิดกล่มุ ตามโครงสร้างขององคก์ าร การเกิดกลมุ่ อาจเกิดข้ึนจากเหตอุ ่ืนอีก คอื ตามความคิด ความสานึก ความรู้สึก ซ่ึงสาคญั ไม่นอ้ ยไปกว่าทาง โครงสร้าง เพราะฉะน้นั จึงอาจเกิดปรากฎการณท์ ีส่ มาชิกของช้นั หน่ึงกลบั เป็นพวกของอีกกลุ่ม หน่ึง เเป็นตน้ ดาห์เรนดอร์ฟใชก้ ารวิ เคราะหท์ ้งั จากแง่มุมของฐานะ ตาแหน่ง แนวปฏิบตั ใิ น องคก์ ารน้นั ๆ ควบคูไ่ ปกบั ดา้ นจิตวทิ ยาของบคุ คล แมว้ า่ ดา้ นหลงั น้ีเขาจะไม่ไดข้ ยายความมากนกั ก็ ตาม แนววเิ คราะหต์ ามทฤษฎีสายน้ีของเขาไดเ้ สนอไปถงึ การแกไ้ ขความขดั แยง้ ดว้ ย โดยเมอ่ื เขา้ ใจ ธรรมชาติของความขดั แยง้ วา่ กาเนิดมาอยา่ งไร ซ่ึงดาหเ์ รนดอร์ฟเห็นว่ามาจากโครงสร้างของอานาจ A จึงเสนอการกระจายข่าวสารขอ้ มลู เพ่อื ใหม้ ีการขยายฐานของการตดั สินใจในระดบั ช้นั ต่างๆ ซ่ึง โดยหลกั การเน้ือแทแ้ ลว้ ก็คือ การแบง่ สรรอานาจ A ภายในองคก์ ารน้นั เอง และเน่ืองจากทฤษฎีสาย น้ีเกี่ยวกบั การก่อตวั ของกลมุ่ และความขดั แยง้ ภายในองคก์ าร จึงเป็นทีร่ ู้จกั กนั ในช่ือวา่ “ทฤษฎีความ ขดั แยง้ กลุ่ม” (A Theory of Conflict Groups) เมื่อพิจารณาทฤษฎีความขดั แยง้ แนวน้ีจากแง่มมุ ของสันติศึกษา เราจะเห็นวา่ คุณูปการของ ทฤษฎีอยทู่ ่ีคาอธิบายเกี่ยวกบั การแฝงอยแู่ ละการเกิดข้ึนของปรากฏการณ์ที่ไม่สันติ ในความหมาย ของสนั ติทีต่ รงขา้ มความขดั แยง้ ทฤษฎีสายน้ีไม่ไดพ้ ูดถงึ สันติภาพโดยตรง และไมเ่ ชื่อในสันติภาพ ช้นั สมบูรณ์ว่าจะมีและเป็นไปได้ แต่เช่ือในการจดั การความขดั แยง้ เช่น การแกไ้ ขความขดั แยง้ ใน การอุตสาหกรรมให้เกิดความสันติ (Industrial Peace) ด้วย หลักการประชาธิปไตยในองค์การ (Industrial Democracy) หรือการกระจายอานาจ A ระหว่างนายจา้ งกบั ลูกจา้ งเพ่ือมิให้เกิดความ วุ่นวายในความหมายที่มีการแกไ้ ขจัดการความขัดแยง้ อย่างเป็ นระบบ มากกว่าในความหมายที่ จะเกิด “ความสงบเรียบร้อย” หรือ “ความสงบราบคาบ” 2. สายท่เี ชื่อมความขัดแย้งเข้ากับการทางานประสานกนั ของส่วนต่างๆ ในสังคม ช่ือหัวขอ้ ทฤษฎีสายน้ีเป็นประโยคเชิงบรรยายท่ีหมายถึง แนวทฤษฎีท่ีนามาเสริมกบั แนว ทฤษฎีโครงสร้างการหน้าที่ นักทฤษฎีผูเ้ สนอทฤษฎีสายน้ีคือ หลุยส์ โคเซอร์ (Lewis Coser) งาน เขียนท่ีสาคัญของเขาชื่อ “หน้าท่ีของความขัดแย้งในสังคม” (The Functions of Social Conflict, NewYork: The Free Prees, 1956.) เขาเนน้ ทีป่ ระเดน็ ใหญ่ 2 ประเดน็ คือ - ความขดั แยง้ น้ันสลับซับซ้อน อย่ใู นแง่มุมและระนาบต่างๆ มากกว่าความขัดแยง้ ท่ีจะ เกิดข้นึ ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ - ความขดั แยง้ ใช่ว่าจะส่งผลลบเสมอไป แตค่ วรพิจารณาถงึ หนา้ ที่ (Function) ในชีวิตสังคม
43 2.1 ความสลับซับซ้อนของความขัดแย้ง โคเซอร์เห็นว่า ความขดั แยง้ มิได้เกิดข้ึนเพียง ระหวา่ งช้นั และกลุ่มผลประโยชน์เท่าน้นั แต่ความขดั แยง้ น้นั เกิดทว่ั ไปในความสัมพนั ธส์ งั คมที่สาน กันโยงใยเป็ นตาข่าย ความขัดแยง้ จึงเป็ นเสมือนใยแมงมุม (Web of Conflict) เพราะฉะน้ันใน ความสัมพันธ์บางด้านอาจจะขัดกัน แต่บางด้านอาจร่วมมือกัน เช่น ก อาจเป็ นพันธมิตรทาง การเมืองกบั ข ซ่ึง ข น้ีต่อสู้ทางความคิดกบั ค และ ค เป็นหุ้นส่วนทางการคา้ กบั ก ส่วน ค กบั ง มี ความสัมพนั ธ์เป็นญาติกนั จากการแต่งงาน แต่ ก กบั ง น้ันบาดหมางใจกนั มาต้งั แต่สมยั อดีต ฯลฯ หรือในคู่สัมพันธ์หน่ึงก็มีท้ังเข้ากันได้ในระนาบหน่ึง แต่ระนาบอ่ืนขัดแยง้ กนั เหล่าน้ีเป็ นต้น โคเซอร์จึงเห็นว่า ความสัมพนั ธ์ในสังคมน้ันตดั สลบั กนั ไปมาซ่ึงประกอบดว้ ยท้งั ดา้ นขดั แยง้ และ ประสานกนั อนั เป็ นการผูกเช่ือมสังคมเขา้ ไวด้ ้วยกนั ในขณะเดียวกนั ก็มีการต่อสู้แยง่ ชิง และการ เผชิญหน้า นอกจากน้ีโคเซอร์ยงั เน้นการวิเคราะห์ในทุกๆ ระดับอีกด้วย กล่าวคือ ต้งั แต่ระดับ ความสัมพนั ธส์ ่วนบคุ คล (คู่รกั พอ่ - แม่ - ลูก กลมุ่ เพอ่ื น กลมุ่ คนทา่ งานร่วมกนั ฯลฯ) ท่อี ารมณ์และ ปัจจยั ดา้ นจิตวิทยามีความสาคญั มาก ไปจนถึงความสัมพนั ธ์ระดบั ระหว่างสังคม ระหว่างประเทศ ซ่ึงผลประโยชน์และเหตผุ ลทางการเมืองเป็นเร่ืองท่มี ีความสาคญั 2.2 ผลของความขัดแย้ง โคเซอร์เห็นว่า ความขดั แยง้ น้นั กอ่ ผลไปสู่ความเปลยี่ นแปลง บาง กรณีก็เป็ นการกระตุน้ ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ตวั อยา่ งเช่น สงครามทาให้เกิดการรวมศูนยข์ องการบริหาร ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศนาไปสู่การเจรจาลดอาวุธ อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าความ ขดั แยง้ จะส่งผลท้งั ในทางลบ ในความหมายเป็ นชนวนความแตกแยก และในทางบวก เป็นความ ผกู พนั ใหเ้ ป็นปึ กแผ่น แต่ทฤษฎีสายน้ีไดพ้ ยายามเนน้ ถงึ ผลประการหลงั คอื การวเิ คราะหถ์ งึ บทบาท ของความขัดแยง้ ในการรักษา ส่งเสริม การยึดเหนี่ยวกันของส่วนต่างๆ ในสังคม เพราะฉะน้ัน โดยนยั แลว้ ทฤษฎีน้ีถือแนวทฤษฎีโครงสร้างการหนา้ ที่เป็ นพ้ืนฐานในการวิเคราะห์สังคม โดยเพ่ิม
44 แนวคิดความขดั แยง้ ซ่ึงเป็ นจุดอ่อนของแนวโครงสร้างการหน้าท่ี เสริมเข้าไปในการอธิบายถึง ความสมดุลในสังคม ตามความเห็นของโคเซอร์ ความขัดแยง้ ไม่จาเป็ นตอ้ งขดั ขวางหรือทาลาย ความสมดุล ตรงกนั ขา้ มความขดั แยง้ น้นั สามารถช่วยเสริมความสมดลุ ได้ โคเซอร์ไดแ้ สดงถึงเน้ือหาทฤษฎีโดยแบ่งความขดั แยง้ ออกเป็ น 2 ชนิดคือ ความขัดแยง้ ภายนอก และความขดั แยง้ ภายใน ความขัดแยง้ ภายใน หมายถึง ความขัดแยง้ ท่ีเกิดข้ึนภายในกลุ่ม ส่วนความขดั แยง้ ภายนอก หมายถึง ความขัดแยง้ ระหว่างกลุ่ม กล่าวคือ ภายในกลุ่มไม่มีความ ขดั แยง้ แต่กลมุ่ หน่ึงมคี วามขดั แยง้ กบั อีกกลมุ่ หน่ึง หรือกบั กลุม่ อน่ื ๆ ความขดั แยง้ ภายนอก สาหรบั โคเซอร์แลว้ เป็นการทาใหส้ มาชิกภายในกลุ่มรู้สึกรวมตวั กนั มากข้ึน มีความสานักถึงความเป็ นพรรคพวกเดียวกนั แต่ละส่วนรู้สึกว่าตนเอง คือส่วนหน่ึงของ กลุ่ม อนั นาไปสู่ความสมานฉันท์ของกลุ่ม ตวั อยา่ งเช่น ในฤดูกาลแข่งกีฬาระหว่างสถาบนั สมาชิก ของภายในแต่ละสถาบนั จะรู้สึกว่าตนเองน้ันยึดกบั หรือรู้สึกเป็นเจา้ ของสถาบันน้ันมากกว่าปกติ ตัวอย่างทานองน้ีสามารถรวมได้ต้ังแต่ระดับกลุ่มเล็ก ประชาคมระดับใหญ่ ถึงระดับชาติ เช่น โรงเรียน (เราเป็ นนกั เรียนเป็ นศิษยข์ องโรงเรียนน้ี) บริษทั (บริษทั ของเรา) ถึงความรู้สึกชาตินิยม (ซ่ึงทฤษฎีสายน้ีย่อมเห็นว่าเป็ นพ้ืนฐานของความสามัคคีในชาติ) ในแง่ท่ีตรงขา้ ม แข่งขนั ต่อสู้ ขบั เคี่ยว กับ โรงเรียนอ่ืน บริษทั อื่น และชาติอื่น ฉะน้ันความขดั แยง้ กบั ภายนอกจึงมีหน้าท่ีและ บทบาทในการสร้างความรวมตวั กนั ได้ จึงเกิดความเป็นปึ กแผ่นของหน่วย กลุ่ม องคก์ าร สมาคม สังคม ประชาคม พนั ธมติ ร ฯลฯ ส่วนความขดั แยง้ ภายในมิใช่ว่าจะก่อใหเ้ กิดผลตรงขา้ ม คอื ความเสื่อมสลายของกลุ่มเสมอ ไป การวิเคราะห์ของทฤษฎีสายน้ีเนน้ ถงึ ดา้ นทค่ี วามขดั แยง้ ภายในกส็ ามารถเสริมการดารงอยู่ ความ เหนียวแน่น และความม่ันคงของกลุ่มไดเ้ ช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในกลุ่มระดบั เล็กท่ีโยงใยกนั แน่นแฟ้น ตวั อยา่ งเช่น สมาชิกของสานกั ดาบเก่าแก่ละเมิดกฎของสานกั เกิดความขดั แยง้ ข้ึน แตใ่ น ที่สุดสมาชิกผูน้ ้ีหรือกลุ่มน้ีก็จะออกจากสานักไป กลายเป็น “ศิษยน์ อกคอก” (อย่างน้อยในสายตา ของสานัก) ทางสานักเองก็กลับเหนียวแน่นเป็ นปึ กแผ่นยิ่งกว่าเดิม กฎก็เคร่งครัดชัดเจนข้ึน นอกจากน้ีโคเซอร์ยงั เห็นว่า ความขดั แยง้ ที่ปรากฏข้นึ ภายในกลุ่มยงั เป็นเสมือนการระบายสิ่งท่ีกด อดั อยู่ หรือตามสานวนท่ีว่า เป็ นลิ้นเปิ ดให้ไอน้าพ่นออกเพ่ือป้องกนั ไม่ให้หมอ้ น้าระเบิด เม่ือเกิด ความขดั แยง้ ข้ึนภายในกลุ่มก็เท่ากบั ทาให้ความสมดุลท่ีเป็นอยู่เสียไป เม่ือความขดั แยง้ ได้ถูกขบั (แ ก้ไ ข ) อ อ ก จาก “ห ม้อ น้ า” แล้วก็ เกิ ด ค วาม ส ม ดุ ล ให ม่ ข้ึ น ท ฤ ษ ฎี ส ายน้ี เห็ น ว่ า “ล้ินทางออกของไอน้า” น้ีเป็นสิ่งจาเป็ นสาหรับกลุ่มและระบบท้งั หลาย เพราะฉะน้นั ความขดั แยง้ ภายในจึงมีบทบาทหนา้ ที่ในเชิงบวก เป็นการสร้างความกลมเกลียวข้นึ ใหม่ซ่ึงก็เท่ากบั ส่งผลโดยนัย ให้ปรับเปลี่ยนกระตุน้ ให้มีชีวิตชีวาข้ึน และถ้าไม่มี “ล้ิน” น้ี ความขดั แยง้ ท่ีส่ังสมเก็บอยจู่ ะปะทุ ออกมาในรูปของความรุนแรงได้
45 อย่างไรก็ตาม ความขดั แยง้ บางรูปในบางแบบของกลุ่มของสังคมก็เป็ นเหตุให้เกิดความ แตกแยกได้ ท้งั น้ีท้ังน้ันข้ึนอยกู่ ับลักษณะของความขดั แยง้ ควบคู่ไปกับลักษณะของกลุ่ม หน่วย สังคมน้ันว่าเป็ นอย่างไร นักสังคมวิทยาอย่างโคเซอร์ก็ไดพ้ ยายามวิเคราะห์ สรุปให้เห็นเป็ นหลกั ทว่ั ไปไว้ เช่น กรณีของกลุ่มที่เช่ือมโยงกนั อยูอ่ ยา่ งหลวมๆ เมื่อเกิดความขดั แยง้ ภายในข้ึนก็ทาให้ แตกสลายไดง้ ่ายกวา่ กล่มุ ทโ่ี ยงกนั แน่นแฟ้น เช่น ความขดั แยง้ กระทบครอบครวั ขยายไปในทางลบ มากกว่าครอบครัวเดี่ยว พรรคการเมือง (ในประเทศไทย) แตกกนั ง่ายกว่าบริษทั ธุรกิจท่ดี าเนินการ โดยครอบครัว ฯลฯ และความขดั แยง้ ระหว่างกลุ่มก็จะรุนแรง ถา้ กลุ่มน้นั ๆ ต่างเป็นเอกเทศซ่ึงกนั และกัน ซ่ึงต่างเป็ นปฏิปักษ์กันมานาน เช่น ความขัดแยง้ ระหว่างชาวปาเลสไตน์ผูถ้ ูกยึดครอง แผน่ ดินกบั รฐั อิสราเอล ความขดั แยง้ ระหว่างตารวจจราจรกบั คนขบั แท็กซี่ เป็นตน้ การหาแบบแผนต่างๆ บางแบบเพ่อื การอธิบายกรณีเฉพาะ และการเสริมทฤษฎีสายน้ีเขา้ กบั ทฤษฎีแนวโครงสร้างการหน้าที่ เป็นเร่ืองท่ีน่าติดตามสาหรับผูศ้ ึกษาวิชาสังคมวิทยา สาหรับวิชา สันติศึกษาเราอาจไดป้ ระเด็นขอ้ คิดบางประการจากทฤษฎีสายน้ี ซ่ึงสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ ประการหน่ึงเราจะเห็นได้ว่าถา้ ใช้ศัพท์ในสันติศึกษา ทฤษฎีสายน้ีไม่ไดเ้ ห็นว่าความขดั แยง้ เป็ น ปรากฏการณ์มูลฐานหลกั ของสงั คม แตค่ วามขดั แยง้ น้นั เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กิดข้ึนแทรกข้นึ เป็นคร้ัง คราวในสันติภาพของสังคม และเมื่อเกิดข้ึนก็ยงั สามารถเอ้ือต่อการสร้างสันติได้ ท้ังเราอาจเห็น ประเดน็ ของการจดั การแกไ้ ขความขดั แยง้ เพอื่ สนั ติภาพอีกดว้ ย การประยกุ ต์ใช้แนวคดิ ทางสังคมวทิ ยาในสันติศึกษา แนวคดิ เกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ์ท่ีสันติ การศึกษาทางสังคมศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวสังคมวิทยาน้ัน คือ การศึกษา ความสัมพนั ธ์ทางสังคม ซ่ึงถือไดว้ ่าเป็นหัวใจของแนวการศึกษา เพราะฉะน้นั สังคมศาสตร์ (ตาม ความเห็นของนักสังคมวิทยา) จึงมใิ ช่เป็นการศึกษา อานาจ ทรัพยส์ ิน ผลผลิตในดา้ นท่ีเป็นแนวคิด เชิงนามธรรม แต่จะเป็ นการศึกษาความสัมพนั ธ์ของคนในเชิงอานาจ ความสัมพนั ธ์ของคนบน เงื่อนไขของทรัพยส์ ิน ผลผลิต ฯลฯ ในทานองเดียวกนั สันติศึกษาจึงมิน่าจะเป็นการศึกษาสันติหรือ สนั ติภาพในฐานะท่ีเป็นแนวคิดโดยตวั ของมนั เอง หรือในฐานะความหวงั ความปรารถนา แต่เป็น การศึกษาความสัมพันธ์ของคนที่เป็ นสันติและไม่เป็ นสันติ ความจริ งการย้าถึงประเด็น ความสมั พนั ธอ์ าจจะไมใ่ ช่ประเด็นพิเศษเทา่ กบั เป็นประเด็นท่อี าจมกี ารมองขา้ มกนั ไป นกั วิชาการคนสาคญั คนหน่ึงในสันติศึกษาซ่ึงใช้แนวคิดประเด็นน้ีคือ อาดมั เคิร์ล (Adam Curie) ไดม้ ีแนวความคิดต่างอดีตศาสตราจารยท์ างสันติศึกษา มหาวิทยาลยั บราดฟอร์ด ประเทศ องั กฤษงานเขียนที่เสนอการศึกษาในแนวน้ีคือ Making Peace ซ่ึงพิมพโ์ ดย Tavistock Publications, London เม่ือ ปี ค.ศ. 1971เป็ นการเสนอแนวท่ีเป็ นประโยชน์มากสาหรับสันติศึกษา ดว้ ยเหตุผล
46 ไมใ่ ช่เพียงเป็นแนวศึกษาที่ตรงกบั หัวใจการศกึ ษาทางสังคมศาสตร์เท่าน้ัน แต่ยงั เพราะมีกรณีศึกษา รูปธรรมประกอบการศึกษาช้นั ตน้ เร่ิมดว้ ยการให้นิยามของคาว่า สันติ เคิร์ลเสนอให้พิจารณาถึง ความสมั พนั ธ์ที่ไม่สนั ติ (Unpeaceful Relations) และความสัมพนั ธท์ ส่ี ันติ (Peaceful Relations) จาก มุมน้ีทาให้เขา้ ไปสู่การอธิบายความหมายความสัมพนั ธ์ท่สี ันติ ในระดบั บุคคลวา่ เป็นมติ รภาพและมี ความเข้าใจกนั ดีพอที่จะมองข้ามขอ้ แตกต่างท่ีอาจเกิดข้ึนได้ ส่วนในระดบั ที่กวา้ งออกไปส่ือถึง ความสัมพนั ธท์ ่ีมีการร่วมกนั อยา่ งแข็งขนั ความร่วมมือกนั อย่างมกี ารกาหนดวางแผน และมีความ พยายามอยา่ งชาญฉลาดในการป้องกนั หรือแก้ไขปัญหาความขดั แยง้ ที่แฝงอยู่ ซ่ึงทานองเดียวกับ ความสัมพนั ธ์ท่มี กี ารพฒั นา กลา่ วคือ ถา้ การพฒั นาจะมีข้ึนได้ หรือถา้ ความสัมพนั ธจ์ ะเติบโตข้ึนใน ความกลมกลืนและความสร้างสรรค์ ก็จาเป็นตอ้ งมีความเสมอภาคและการตอบสนองซ่ึงกนั และกนั ในเกณฑม์ ากพอ ประเด็น “ซ่ึงกนั และกนั ” (Mutuality) น้ีเป็นมาตรการสาคญั ทีแ่ ยกความสัมพนั ธ์ที่สันติกบั ความสมั พนั ธ์ที่ไม่สนั ติ สาหรับความสัมพนั ธท์ ่ีสนั ติน้นั ยอ่ มไม่มีการข่มขู่และการบงั คบั แต่ยอ่ มมี ความช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ความเอาใจใส่ปรองดองซ่ึงกนั และกนั และ ความประสานงานบนพ้ืนฐานของความเทา่ เทยี มกนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208