Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Cทช31002สุขศึกษาพลศึกษา สรุป

Cทช31002สุขศึกษาพลศึกษา สรุป

Published by angkasiya monkong, 2020-06-12 02:22:20

Description: Cทช31002สุขศึกษาพลศึกษา สรุป

Search

Read the Text Version

1 หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวติ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา (ทช ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช สาํ นกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ ห้ามจําหน่าย หนงั สือเรียนเลม่ นีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาํ หรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที /

2 หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวิต ) รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา (ทช ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที /

3 คาํ นํา กระทรวงศึกษาธิการไดป้ ระกาศใชห้ ลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช เมือวนั ที กนั ยายน พ.ศ. แทนหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการจดั การศึกษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ซึงเป็ นหลกั สูตรทีพฒั นาขึนตามหลกั ปรัชญาและ ความเชือพืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนทีมีกลุ่มเป้ าหมายเป็ นผใู้ หญ่มีการเรียนรู้และสังสม ความรู้และประสบการณ์อยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศกึ ษาธิการไดก้ าํ หนดแผนยทุ ธศาสตร์ในการขบั เคลือนนโยบาย ทางการศึกษาเพอื เพมิ ศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขนั ใหป้ ระชาชนไดม้ ีอาชีพทีสามารถสร้าง รายได้ทีมงั คงั และมนั คง เป็ นบุคลากรทีมีวินัย เปี ยมไปดว้ ยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสาํ นึก รับผิดชอบต่อตนเองและผอู้ ืน สํานักงาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และเนือหาสาระ ทงั กลุ่มสาระการเรียนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช ให้มีความสอดคล้องตอบสนองนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลใหต้ ้องปรับปรุงหนังสือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระ เกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อมเพือเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมี ความเกียวขอ้ งสมั พนั ธก์ นั แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการพฒั นาหนงั สือทีใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ดว้ ยตนเอง ปฏบิ ตั ิกิจกรรม ทาํ แบบฝึกหดั เพอื ทดสอบความรู้ความเขา้ ใจ มีการอภิปรายแลกเปลียน เรียนรู้กบั กลุม่ หรือศกึ ษาเพมิ เติมจากภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ แหลง่ การเรียนรู้และสืออืน การปรับปรุ งหนังสือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออย่างดียิงจากผูท้ รงคุณวุฒิในแต่ละ สาขาวชิ า และผเู้กียวขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทีศึกษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู องคค์ วามรู้จากสือต่าง ๆ มาเรียบเรียงเนือหาใหค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และกรอบเนือหา สาระของรายวชิ า สาํ นกั งาน กศน.ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนเกียวขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนงั สือ เรียนชุดนีจะเป็นประโยชน์แก่ผเู้ รียน ครู ผสู้ อน และผเู้ กียวขอ้ งในทุกระดบั หากมขี อ้ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ

สารบัญ 4 คาํ นํา หน้า คาํ แนะนําการใช้แบบเรียน โครงสร้างรายวชิ า 8 บทที การทํางานของระบบในร่างกาย 9 16 เรืองที การทาํ งานของระบบยอ่ ยอาหาร 17 เรืองที การทาํ งานของระบบขบั ถ่าย 20 เรืองที การทาํ งานของระบบประสาท 23 เรืองที การทาํ งานของระบบสืบพนั ธุ์ 32 เรืองที การทาํ งานของระบบต่อมไร้ท่อ 36 เรืองที การดแู ลรักษาระบบของร่างกายทีสาํ คญั 37 บทที ปัญหาเพศศกึ ษา 38 เรืองที ทกั ษะการจดั การปัญหาทางเพศ 43 เรืองที ปัญหาทางเพศในเด็กและวยั รุ่น เรืองที การจดั การกบั อารมณ์ และความตอ้ งการทางเพศ 47 เรืองที ความเชือทีผดิ ๆ ทางเพศ 52 เรืองที กฎหมายทีเกียวขอ้ งกบั การละเมดิ ทางเพศ 53 บทที อาหารและโภชนาการ 59 เรืองที โรคขาดสารอาหาร 64 เรืองที การสุขาภิบาลอาหาร 71 เรืองที การจดั โปรแกรมอาหารใหเ้ หมาะสมกบั บุคคลในครอบครัว 72 บทที การเสริมสร้างสุขภาพ 76 เรืองที การรวมกลมุ่ เพือเสริมสร้างสุขภาพในชุมชน 86 เรืองที การออกกาํ ลงั กายเพือสุขภาพ 87 บทที โรคทถี ่ายทอดทางพนั ธุกรรม 89 เรืองที โรคทีถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม เรืองที โรคทางพนั ธุกรรมทีสาํ คญั

5 บทที ความปลอดภยั จากการใช้ยา 96 เรืองที หลกั การและวิธีการใชย้ าทีถกู ตอ้ ง เรืองที อนั ตรายจากการใชย้ า เรืองที 3 ความเชือเกียวกบั การใชย้ า บทที ผลกระทบจากสารเสพตดิ 10 เรืองที ปัญหาการแพร่ระบาดของสารเสพติดในปัจจุบนั เรืองที แนวทางการป้ องกนั การแพร่ระบาดของสารเสพติด เรืองที กฎหมายทีเกียวกบั สารเสพติด บทที ทกั ษะชีวติ เพอื สุขภาพจติ เรืองที ความหมาย ความสาํ คญั ของทกั ษะชีวติ เรืองที ทกั ษะการตระหนกั ในการรู้ตน เรืองที ทกั ษะการจดั การกบั อารมณ์ 127 เรืองที ทกั ษะการจดั การความเครียด 29 บทที อาชีพจาํ หน่ายอาหารสําเร็จรูปตามสุขาภิบาล 131 เรืองที 1 การถนอมอาหารโดยใชค้ วามร้อนสูง 132 เรืองที 2 การถนอมอาหารโดยใชค้ วามเยน็ 136 เรืองที 3 การถนอมอาหารโดยการทาํ แหง้ 137 เรืองที 4 การถนอมอาหารโดยการหมกั ดอง 140 เรืองที 5 การถนอมอาหารโดยการใชร้ ังสี 140 เรืองที 6 อาชีพจาํ หน่ายอาหารสาํ เร็จรูปตามหลกั สุขาภิบาล 143 เรืองที 7 การจดั ตกแต่งร้านและการจดั สินคา้ อาหารสาํ เร็จรูปตามหลกั สุขาภิบาล 144 เรืองที 8 พฤติกรรมผบู้ ริโภคกบั ช่องทางการจาํ หน่ายอาหารสาํ เร็จรูป 148 เรืองที 9 การบริหารจดั การธุรกิจ 152 เรืองที 10 การกาํ หนดราคาขาย 153 เรืองที 11 คุณธรรมในการประกอบอาชีพ 154 เรืองที 12 หน่วยงานส่งเสริมและสนบั สนุนในประเทศไทย 155 บรรณานุกรม

6 คาํ แนะนําการใช้หนังสือเรียน หนังสือเรี ยนสาระทักษะการดําเนิ นชีวิต รายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา รหัส ทช ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย เป็ นหนังสือเรี ยนทีจัดทําขึน สาํ หรับผูเ้ รี ยนทีเป็ นนักศึกษาการศึกษา นอกระบบในการศึกษาหนังสือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวิต รายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา ผเู้ รียน ควรปฏิบตั ิดงั นี 1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เขา้ ใจในหัวข้อและสาระสําคญั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ ขอบข่ายเนือหาของรายวิชานนั ๆ โดยละเอยี ด 2. ศึกษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทาํ กิจกรรมตามทีกาํ หนดแลว้ ตรวจสอบกบั แนวคาํ ตอบของกิจกรรม ถา้ ผเู้ รียนตอบผิดควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความเขา้ ใจในเนือหา นนั ใหมใ่ หเ้ ขา้ ใจ ก่อนทีจะศึกษาเรืองต่อ ๆ ไป 3. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมทา้ ยเรืองของแต่ละเรือง เพือเป็ นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหาใน เรืองนนั ๆ อีกครัง และการปฏบิ ตั ิกิจกรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครูและเพอื น ๆ ทีร่วมเรียนในรายวิชาและระดบั เดียวกนั ได้ 4. หนงั สือเรียนเล่มนีมี บท บทที เรือง การทาํ งานของระบบในร่างกาย บทที เรือง ปัญหาเพศศกึ ษา บทที เรือง อาหารและโภชนาการ บทที เรือง การเสริมสร้างสุขภาพ บทที เรือง โรคทีถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม บทที เรือง ปลอดภยั จากการใชย้ า บทที เรือง ผลกระทบจากสารเสพติด บทที เรือง ทกั ษะชีวติ เพอื สุขภาพชีวิต บทที อาชีพจาํ หน่ายอาหารสาํ เร็จรูปตามสุขาภิบาล

7 โครงสร้างรายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ทช ) สาระสําคญั ศึกษา ฝึกปฏบิ ตั ิ และประยกุ ตใ์ ชเ้ กียวกบั สุขศึกษา พลศึกษา เรืองเกียวกบั ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เป้ าหมายชีวิต ปัญหาเกียวกบั เพศศึกษา อาหารและโภชนาการ เสริมสร้างสุขภาพ โรคทีถ่ายทอดทาง พันธุกรรม ปลอดภัยจากการใช้ยา ผลกระทบจากสารเสพติด อนั ตรายรอบตัว และทักษะชีวิต เพอื สุขภาพจิต เพอื ใชป้ ระโยชน์ในการวางแผนพฒั นาสุขภาพของตนเองและครอบครัว นาํ ไปประยกุ ตใ์ ช้ ในชีวติ ประจาํ วนั ในการดาํ เนินชีวิตของตนเอง และครอบครัวไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ปลอดภยั ผลการเรียนทีคาดหวงั 1. อธิบายการทาํ งานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายไดถ้ กู ตอ้ ง 2. วางแผนเป้ าหมายชีวิต ตลอดจนเรืองปัญหาเกียวกบั เพศศึกษาได้ 3. เรียนรู้เรืองการวางแผนในการสร้างเสริมสุขภาพเกียวกบั อาหาร 4. อธิบายถงึ โรคทีถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรมได้ 5. วางแผนป้ องกนั เกียวกบั อบุ ตั ิเหตุ อบุ ตั ิภยั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 6. มีความรู้ในการพฒั นาทกั ษะชีวิตใหด้ ีได้ ขอบข่ายเนือหา บทที เรือง การทาํ งานของระบบในร่างกาย บทที เรือง ปัญหาเพศศกึ ษา บทที เรือง อาหารและโภชนาการ บทที เรือง การเสริมสร้างสุขภาพ บทที เรือง โรคทีถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม บทที เรือง ความปลอดภยั จากการใชย้ า บทที เรือง ผลกระทบจากสารเสพติด บทที เรือง ทกั ษะชีวติ เพือสุขภาพจิต บทที อาชีพจาํ หน่ายอาหารสาํ เร็จรูปตามสุขาภิบาล

8 บทที การทาํ งานของระบบในร่างกาย สาระสําคญั พฒั นาการของมนุษยจ์ ะเกิดการเจริญเติบโตอยา่ งเป็ นปกติ หากการทาํ งานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเป็ นไปอย่างราบรืนไม่เจ็บป่ วย จึงจาํ เป็ นตอ้ งเรียนรู้ถึงกระบวนการทาํ งาน การป้ องกนั และ การดูแลรักษาใหร้ ะบบต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. เขา้ ใจการทาํ งานของระบบต่างๆ ในร่างกาย 1.1. การทาํ งานของระบบยอ่ ยอาหาร 1.2. การทาํ งานของระบบขบั ถา่ ย 1.3. การทาํ งานของระบบประสาท 1.4. การทาํ งานของระบบสืบพนั ธุ์ 1.5. การทาํ งานของระบบต่อมไร้ท่อ 2. สามารถดูแลรักษาป้ องกนั ความผดิ ปกติของระบบอวยั วะสาํ คญั ระบบ รวมทงั สร้างเสริม และดาํ รงประสิทธิภาพได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที การทาํ งานของระบบยอ่ ยอาหาร เรืองที การทาํ งานของระบบขบั ถา่ ย เรืองที การทาํ งานของระบบประสาท เรืองที การทาํ งานของระบบสืบพนั ธุ์ เรืองที การทาํ งานของระบบต่อมไร้ท่อ เรืองที การดูแลรักษาระบบของร่างกายทีสาํ คญั

9 การทํางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย การทาํ งานของระบบอวยั วะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เป็ นไปโดยธรรมชาติอย่างมีระเบียบและ ประสานสมั พนั ธก์ นั โดยอตั โนมตั ิ จึงเป็ นเรืองทีเราตอ้ งศึกษา เรียนรู้ใหเ้ ขา้ ใจเกียวกบั วิธีการสร้างเสริม และการดาํ รงประสิทธิภาพการทาํ งานของระบบอวยั วะเหล่านนั ใหใ้ ชง้ านไดน้ านทีสุด ระบบอวยั วะของร่างกาย ทาํ หนา้ ทีแตกต่างกนั และประสานกนั อยา่ งเป็นระบบ ซึงระบบทีสาํ คญั ของร่างกาย ระบบ มีหนา้ ทีและอวยั วะทีเกียวขอ้ ง ดงั นี เรืองที การทาํ งานของระบบย่อยอาหาร มนุษย์เป็ นผูบ้ ริโภคโดยการรับประทานอาหารเพือให้ร่างกายเจริญเติบโต ดาํ รงอยู่ได้และ ซ่อมแซมส่วนทีสึกหรอ มนุษยจ์ ึงมรี ะบบการยอ่ ยอาหารเพือนาํ สารอาหารแร่ธาตุและนาํ ให้เป็ นพลงั งาน เพือใชใ้ นการดาํ รงชีวิต การยอ่ ยอาหารเป็นกระบวนการเปลียนแปลงสารอาหารทีมขี นาดใหญ่ใหเ้ ลก็ ลงจนร่างกายดูดซึม ไปใชไ้ ด้ การยอ่ ยอาหารมี ขนั ตอน คือ 1) การย่อยอาหารในปาก เป็นกระบวนการยอ่ ยอาหารในส่วนแรก อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การยอ่ ย อาหาร ไดแ้ ก่ ฟันและต่อมนาํ ลาย ทางเดินอาหารเริมตงั แต่ปาก มีฟันทาํ หน้าทีบดอาหาร ต่อมนําลาย จะหลงั นาํ ลายมาเพือยอ่ ยแป้ ง ในนาํ ลายมีเมือกช่วยในการหล่อลืนอาหารให้กลืนไดส้ ะดวก การหลงั นาํ ลาย อาศยั รสและกลนิ อาหาร เมอื อาหารถกู บดเคียวในปากแลว้ จะเขา้ สู่หลอดอาหารโดยการกลืน 2) การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร เป็นอวยั วะทีอยตู่ ่อจากหลอดอาหาร ใตก้ ระบงั ลมดา้ นซา้ ย ดา้ นลา่ งติดกบั ลาํ ไสเ้ ลก็ มีลกั ษณะเป็นกระพุง้ รูปตวั เจ (J) ผนงั กนั เป็นกลา้ มเนือเรียบ ยึดหดไดด้ ี การย่อย ในกระเพาะอาหาร ผนงั กระเพาะอาหารมกี ลา้ มเนือแขง็ แรง ยดื หยนุ่ และขยายความจุไดถ้ ึง , – , ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร มีกลา้ มเนือหูรูด แห่ง คือ กลา้ มเนือหูรูดทีต่อกบั หลอดอาหารและกลา้ มเนือหูรูดที ต่อกบั ลาํ ไสเ้ ลก็ ผนงั ดา้ นในของกระเพาะอาหารมตี ่อมสร้างเอนไซมส์ าํ หรับยอ่ ยอาหาร เมืออาหารเคลือน ลงสู่กระเพาะอาหารจะกระตุน้ ใหม้ ีการหลงั เอนไซมอ์ อกมา ซึงประกอบดว้ ย กรดไฮโดรคอลิก (HCL) ช่วยเปลยี นเพปซิโนเจนและไทรเรนนิน จากผนงั กระเพาะให้เป็ นเพปซินและเรนนิน พร้อมทีจะทาํ งาน ช่วยยอ่ ยโปรตีน นอกจากนียงั สร้างนาํ เมอื กมฤี ทธิเป็นด่าง (base) เคลอื บกระเพาะอาหาร กรดในกระเพาะ อาหารจะทาํ ลายแบคทีเรียทีติดมากบั อาหาร อาหารจะอยใู่ นกระเพาะอาหารประมาณ นาที ถงึ ชวั โมง ขึนอยกู่ บั ชนิดของอาหาร โปรตีนจะถกู ยอ่ ยในกระเพาะอาหารโดยเอนไซมเ์ พปซิน กระเพาะอาหารมีการ ดูดซึมสารบางส่วนได้ เช่น สามารถดดู ซึมแอลกอฮอลไ์ ดด้ ีถงึ ร้อยละ -

10 3) การย่อยอาหารในลาํ ไส้ ลาํ ไสเ้ ลก็ อย่ตู ่อจากกระเพาะอาหาร มีลกั ษณะเป็ นท่อทีขดซอ้ นกนั ไปมาในช่องทอ้ ง ยาวประมาณ - เมตร ลาํ ไส้เลก็ จะผลิตเอนไซมเ์ พือยอ่ ยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและ ไขมนั การยอ่ ยอาหารในลาํ ไสเ้ ลก็ อาหารจะเคลือนจากกระเพาะอาหารผา่ นกลา้ มเนือหูรูดเขา้ สู่ลาํ ไสเ้ ลก็ การยอ่ ยอาหารในลาํ ไสเ้ ล็กเกิดจากการทาํ งานของอวยั วะ ชนิด คือ ตบั อ่อน ผนังลาํ ไสเ้ ล็กและตบั จะหลงั สารออกมาทาํ งานร่วมกนั ตบั อ่อน (Pancreas) ทาํ หนา้ ทีสร้างฮอร์โมนควบคุมระดบั นาํ ตาลในเลือดและเอนไซมใ์ นการยอ่ ย อาหาร เอนไซมท์ ีสร้างขึนจะอยใู่ นรูปทียงั ทาํ งานไม่ได้ ตอ้ งอาศยั เอนไซมจ์ ากลาํ ไส้เปลียนสภาพทีพร้อม จะทาํ งานได้ ซึงเป็นเอนไซมส์ าํ หรับยอ่ ยโปรตีน นอกจากนนั ยงั สร้างเอนไซมส์ าํ หรับย่อยคาร์โบไฮเดรต และไขมนั อกี ดว้ ย นอกจากนียงั สร้างสารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตมฤี ทธิเป็น (base) เพอื ลดความเป็น กรดจากกระเพาะอาหาร ผนังลาํ ไส้เลก็ จะผลติ เอนไซมเ์ พอื ยอ่ ยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมนั ลาํ ไสเ้ ลก็ แบ่งออกเป็ น ส่วน คือ - ลาํ ไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ หรือเรียกว่า ดโู อดินมั (Duodenum) - ลาํ ไสเ้ ลก็ ส่วนกลาง หรือ เรียกวา่ เจจูนมั (Jejunum) - ลาํ ไสเ้ ลก็ ส่วนปลาย หรือเรียกวา่ ไอเลยี ม (Ileum) ตบั (Liver) ทาํ หนา้ ทีสร้างนาํ ดีเกบ็ ไวใ้ นถงุ นาํ ดี นาํ ดีมสี ่วนประกอบสาํ คญั คือ นาํ ดีช่วยใหไ้ ขมนั แตกตวั และละลายนาํ ได้ ทาํ ใหเ้ อนไซมล์ ิเพสจากตบั อ่อนและลาํ ไส้เล็กย่อยไขมนั ให้เป็ นกรดไขมนั และ กลีเซอรอล การดดู ซึม ลาํ ไสเ้ ป็นบริเวณทีมกี ารดดู ซึมไดด้ ีทีสุด ผนังดา้ นในลาํ ไสเ้ ลก็ เป็ นคลืนและมีส่วนยนื ออกมาเป็นป่ ุมเลก็ ๆ จาํ นวนมากเรียกวา่ วลิ ลสั (villus) ทีผวิ ดา้ นนอกของเซลลว์ ิลลสั มีส่วนทียนื ออกไป อกี เรียกวา่ ไมโครวิลไล (microvilli) เพอื เพมิ พนื ทีในการดดู ซึม ภายในวิลลสั แต่ละอนั มีเสน้ เลือดและเสน้ นาํ เหลอื ง ซึงจะรับอาหารทียอ่ ยแลว้ ทีซึมผา่ นผนงั บุลาํ ไสเ้ ลก็ เขา้ มา

11 สารอาหารเกือบทุกชนิดรวมทงั วิตามินหลายชนิดจะถกู ดูดซึมทีบริเวณดูโอดินัม สาํ หรับลาํ ไส้ เลก็ ส่วนเจจนู มั จะดูดซึมอาหารพวกไขมนั ส่วนของไอเลยี มดดู ซึมวิตามินบี และเกลือนาํ ดี สารอาหาร ส่วนใหญ่และนาํ จะเขา้ สู่เสน้ เลือดฝอย โมโนแซก็ คาไรด์ กรดอะมิโนและกรดไขมนั จะเขา้ สู่เสน้ เลือดฝอย เขา้ สู่เสน้ เวน (vein) ผา่ นตบั ก่อนเขา้ สู่หวั ใจ โมโนแซ็กคาไรดท์ ีถกู ดูดซึมถา้ มีมากเกินความตอ้ งการจะถูก สงั เคราะหใ์ หเ้ ป็นไกลโคเจนเกบ็ ไวท้ ีตบั และกลา้ มเนือ ไกลโคเจนในตบั อาจเปลยี นกลบั ไปเป็นกลโู คสได้ อกี กลโู คสก็จะนาํ มาสลายใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ ส่วนไขมนั จะเขา้ ไปในกระแสเลือดถูกนาํ ไปใช้ในดา้ นต่าง ๆ ใชเ้ ป็ นแหล่งพลงั งานซึงเป็ น ส่วนประกอบของเยอื หุม้ เซลลแ์ ละโครงสร้างอืนๆ ของเซลล์ บางส่วนเปลียนไปเป็ นกลโู คส ไกลโคเจน และกรดอะมิโนบางชนิด ส่วนทีเหลือจะเก็บสะสมไวใ้ นเซลลท์ ีเก็บไขมนั ซึงมีอย่ทู วั ร่างกายใตผ้ ิวหนงั หน้าทอ้ ง สะโพกและตน้ ขา อาจสะสมทีอวยั วะอืน ๆ อีก เช่น ไต หัวใจ เป็ นตน้ ทาํ ใหป้ ระสิทธิภาพ ของการทาํ งานของอวยั วะเหล่านีลดลง กรดอะมิโนทีไดร้ ับจากอาหาร จะถกู นาํ ไปสร้างเป็ นโปรตีนใหม่เพือใชเ้ ป็ นส่วนประกอบของ เซลลเ์ นือเยอื ต่าง ๆ ทาํ ใหร้ ่างกายเจริญเติบโตหรือมกี ารสร้างเซลลใ์ หม่ ร่างกายจะนาํ ไขมนั และโปรตีนมา ใชเ้ ป็นแหล่งพลงั งานไดใ้ นกรณีทีร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรต โปรตีนทีเกินความตอ้ งการของร่างกายจะถกู ตบั เปลยี นใหเ้ ป็นไขมนั สะสมไวใ้ นเนือเยอื การเปลยี นโปรตีนใหเ้ ป็นไขมนั จะมีการปลอ่ ยกรดอะมโิ นบาง ชนิดทีเป็นอนั ตรายต่อตบั และไต ในกรณีทีขาดอาหารพวกโปรตีนจึงเป็นปัญหาทีสาํ คญั อยา่ งยงิ เนืองจาก การเปลียนแปลงกระบวนการทางเคมี เซลลต์ อ้ งใชเ้ อนไซมซ์ ึงเป็นโปรตีน ทงั สิน อาหารทีเหลือจากการยอ่ ยและดูดซึมแลว้ จะผา่ นเขา้ สู่ลาํ ไสใ้ หญ่ เซลลท์ ีบุผนงั ลาํ ไสใ้ หญ่สามารถ ดูดนาํ แร่ธาตุและวิตามินจากกากอาหารเขา้ กระแสเลือด กากอาหารจะผา่ นไปถงึ ไสต้ รง (rectum) ทา้ ยสุด ของไส้ตรงคือ ทวารหนักเป็ นกลา้ มเนือหูรูดทีแข็งแรงมาก ทาํ หน้าทีบีบตวั ช่วยในการขับถ่าย จาก การศกึ ษาพบว่าอาหารทีรับประทานเขา้ ไปจะไปถงึ บริเวณไสต้ รงในชวั โมงที กากอาหารจะอยใู่ นลาํ ไส้ ตรงจนกวา่ จะเต็มจึงจะเกิดการปวดอุจจาระ และขบั ถา่ ยออกไปตามปกติ ภาพลาํ ไส้ใหญ่

12 เรืองที การทาํ งานของระบบขบั ถ่าย ระบบขบั ถ่าย การขบั ถ่ายเป็นกระบวนการกาํ จดั ของเสียทีร่างกายไม่ตอ้ งการออกมาภายนอกร่างกาย เรียกว่า การขบั ถา่ ยของเสีย อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การกาํ จดั ของเสีย ไดแ้ ก่ ปอด ผิวหนัง กระเพาะปัสสาวะ และ ลาํ ไสใ้ หญ่ เป็นตน้ ปอด เป็นอวยั วะหนึงในร่างกายทีมีความสาํ คญั อยา่ งยงิ ในสตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ใชใ้ นการหายใจ หนา้ ทีหลกั ของปอดก็คือการแลกเปลียนก๊าซออกซิเจนจากสิงแวดลอ้ มเขา้ สู่ระบบเลือดในร่างกาย และ แลกเปลียนเอากา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากระบบเลือดออกสู่สิงแวดลอ้ ม ทาํ งานโดยการประกอบ กนั ขึนของเซลลเ์ ป็ นจาํ นวนลา้ นเซลล์ ซึงเซลลท์ ีว่านีมีลกั ษณะเล็กและบางเรียงตวั ประกอบกนั เป็ นถุง เหมอื นลกู โป่ ง ซึงในถงุ ลกู โป่ งนีเองทีมีการแลกเปลียนก๊าซต่าง ๆ เกิดขึน นอกจากการทาํ งานแลกเปลียน กา๊ ซแลว้ ปอดยงั ทาํ หนา้ ทีอืน ๆ อกี คาํ วา่ ปอดในภาษาองั กฤษ ใชค้ าํ ว่า lung มนุษยม์ ีปอดอยใู่ นทรวงอก มีสองขา้ ง คือ ขวาและซา้ ย ปอดมลี กั ษณะนิม ร่างกายจึงมกี ระดกู ซีโครงคอยปกป้ องปอดไวอ้ กี ชนั หนึง ปอดแต่ละขา้ งจะมถี ุงบาง ๆ ชนั หุม้ อยู่ เรียกว่า เยอื หุม้ ปอด เยอื หุม้ ปอดทีเป็นถุงบาง ๆ ชนั นีเรียกว่า เยือหุม้ ปอดชนั ใน และเยือหุ้ม ปอดชนั นอก เยอื หุม้ ปอดชนั ในจะแนบติดไปกบั ผวิ ของปอด ส่วนเยือหุม้ ปอดชนั นอกจะแนบติดไปกบั ช่องทรวงอกระหวา่ งเยอื หุม้ ปอด ชนั บาง ๆ นีจะมีช่องว่าง เรียกว่า ช่องเยือหุม้ ในช่องเยือหุม้ ปอดจะมี ของเหลวคอยหลอ่ ลนื อยู่ เรียกว่า ของเหลวเยือหุ้มปอด ของเหลวนีจะช่วยให้เยอื หุ้มปอดแต่ละชนั สไลด์ ไปมาระหวา่ งกนั ไดโ้ ดยไมเ่ สียดสีกนั และของเหลวเยอื หุม้ ปอดกย็ งั ช่วยยดึ เยอื หุม้ ปอดทงั สองชนั ไวไ้ ม่ให้ แยกจากกนั โดยง่าย ปอดขา้ งซา้ ยนันมีขนาดเลก็ กว่าปอดขา้ งขวา เพราะปอดขา้ งซา้ ยตอ้ งเวน้ ทีเอาไวใ้ ห้ หวั ใจอยใู่ นทรวงอกดว้ ย การทาํ งานของปอด การแลกเปลียนก๊าซและการใชอ้ อกซิเจน เมือเราหายใจเขา้ อากาศภายนอกจะเขา้ สู่อวยั วะของ ระบบหายใจไปยงั ถุงลมในปอดทีผนงั ของถุงลมมีหลอดเลือดแดงฝอยติดอยู่ ดงั นัน อากาศจึงมีโอกาส ใกลช้ ิดกบั เม็ดเลือดแดงมาก ออกซิเจนก็จะผ่านผนงั นีเขา้ สู่เม็ดเลือดแดง และคาร์บอนไดออกไซดก์ ็จะ ออกจากเมด็ เลือดผา่ นผนงั ออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศจะมีออกซิเจนอยรู่ ้อยละ แต่อากาศทีเราหายใจ มอี อกซิเจนอยรู่ ้อยละ การกาํ จดั ของเสียทางปอด การกาํ จดั ของเสียทางปอด กาํ จดั ออกมาในรูปของนาํ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึงเป็ นผลที ไดจ้ ากกระบวนการหายใจ โดยนาํ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซดแ์ พร่ออกจากเซลลเ์ ขา้ สู่หลอดเลือดและ เลือดจะทาํ หน้าทีลาํ เลียงไปยงั ปอด แลว้ แพร่เขา้ สู่ถุงลมทีปอด หลงั จากนันจึงเคลือนผา่ นหลอดลมแลว้ ออกจากร่ายกายทางจมกู ซึงเรียกวา่ กระบวนการ Metabolism

13 7. ผวิ หนัง ผวิ หนงั ของคนเป็ นเนือเยือทีอยชู่ ันนอกสุด ทีห่อหุม้ ร่างกายเอาไว้ ผิวหนงั ของผใู้ หญ่คนหนึง มีเนือทีประมาณ , ตารางนิว ผิวหนงั ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะหนาประมาณ มิลลิเมตร แตกต่างกนั ไปตามอวยั วะ และบริเวณทีถูกเสียดสี เช่น ผวิ หนังทีศอกและเข่า จะหนากว่าผวิ หนงั ทีแขน และขา โครงสร้างของผวิ หนัง ผวิ หนงั ของคนเราแบ่งออกไดเ้ ป็น ชนั คือ หนงั กาํ พร้าและหนงั แท้ . หนังกาํ พร้า (Epidemis) เป็ นผิวหนังทีอยชู่ ันบนสุด มีลกั ษณะบางมาก ประกอบไป ดว้ ยเซลล์ เรียงซอ้ นกนั เป็ นชนั ๆ โดยเริมตน้ จากเซลลช์ นั ในสุด ติดกบั หนงั แท้ ซึงจะแบ่งตวั เติบโตขึน แลว้ ค่อย ๆ เลือนมาทดแทนเซลลท์ ีอยชู่ นั บนจนถึงชนั บนสุด แลว้ ก็กลายเป็นขีไคลหลดุ ออกไป นอกจากนี ในชนั หนงั กาํ พร้ายงั มีเซลล์ เรียกว่า เมลานิน ปะปนอย่ดู ว้ ย เมลานินมีมาก หรือนอ้ ยขึนอยกู่ บั บุคคลและเชือชาติ จึงทาํ ให้สีผวิ ของคนแตกต่างกนั ไป ในชนั ของหนังกาํ พร้าไม่มี หลอดเลอื ด เสน้ ประสาท และต่อมต่าง ๆ นอกจากเป็นทางผา่ นของรูเหงือ เสน้ ขนและไขมนั เท่านนั . หนงั แท้ (Dermis) เป็นผวิ หนงั ทีอยชู่ นั ลา่ ง ถดั จากหนงั กาํ พร้าและหนากวา่ หนงั กาํ พร้า มาก ผวิ หนงั ชนั นีประกอบไปดว้ ยเนือเยอื คอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) หลอดเลือดฝอย เสน้ ประสาท กลา้ มเนือเกาะเสน้ ขน ต่อมไขมนั ต่อมเหงือ และมีขมุ ขนกระจายอยทู่ วั ไป หน้าทขี องผวิ หนัง 1. ป้ องกนั และปกปิ ดอวยั วะภายในไมใ่ หไ้ ดร้ ับอนั ตราย 2. ป้ องกนั เชือโรคไมใ่ หเ้ ขา้ สู่ร่างกายโดยง่าย 3. ขบั ถา่ ยของเสียออกจากร่างกาย โดยต่อมเหงือทาํ หนา้ ที ขบั เหงือออกมา 4. ช่วยรักษาอณุ หภมู ิของร่างกายใหค้ งที โดยระบบหลอดเลือดฝอยและการระเหยของเหงือ 5. รับความรู้สึกสมั ผสั เช่น ร้อน หนาว เจบ็ ฯลฯ 6. ช่วยสร้างวติ ามนิ ดีใหแ้ ก่ร่างกาย โดยแสงแดดจะเปลียนไขมนั ชนิดหนึงทีผวิ หนังใหเ้ ป็ น วติ ามินดีได้ 7. ขบั ไขมนั ออกมาหล่อเลยี งเสน้ ผม และขน ใหเ้ งางามอยเู่ สมอและไม่แหง้

14 การดูแลรักษาผวิ หนงั ทุกคนย่อมมีความตอ้ งการมีผิวหนงั ทีสวยงาม สะอาด ไม่เป็ นโรคและไม่เหียวย่นเกิน กวา่ วยั ฉะนนั จึงควรดแู ลรักษาผวิ หนงั ตวั เอง ดงั นี 1. อาบนาํ ชาํ ระร่างกายใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ โดย 1.1 อาบนาํ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ ครัง ในเวลาเชา้ และเยน็ เพอื ช่วยชาํ ระลา้ งคราบ เหงือไคลและความสกปรกออกไป 1.2 ฟอกตวั ดว้ ยสบ่ทู ีมีฤทธิเป็นด่างออ่ น ๆ 1.3 ทาํ ความสะอาดใหท้ วั โดยเฉพาะบริเวณใตร้ ักแร้ ขาหนีบ ขอ้ พบั อวยั วะเพศ ง่ามนิวมือ นิวเทา้ ใตค้ างและหลงั ใบหู เพราะเป็นทีอบั และเกบ็ ความชนื อยไู่ ดน้ าน 1.4 ในขณะอาบนาํ ควรใชน้ ิวมอื หรือฝ่ ามือ ถตู วั แรง ๆ เพือช่วยใหร้ ่างกายสะอาด และยงั ช่วยใหก้ ารหมนุ เวียนของเลอื ดดีขึน 1.5 เมอื อาบนาํ เสร็จ ควรใชผ้ า้ เชด็ ตวั ทีสะอาด เช็ดตวั ใหแ้ หง้ แลว้ จึงค่อยสวมเสือผา้ 2. หลงั อาบนาํ ควรใส่เสือผา้ ทีสะอาด และเหมาะสมกบั อากาศและงานทีปฏิบตั ิ เช่น ถา้ อากาศร้อนกค็ วรใส่เสือผา้ บาง เพอื ไม่ใหเ้ หงือออกมาก เป็นตน้ 3. กินอาหารให้ถูกต้องและครบถว้ นตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารทีมี วติ ามนิ เอ เช่น พวกนาํ มนั ตบั ปลา ตบั สตั ว์ เนย นม ไข่แดง เครืองในสตั ว์ มะเขือเทศ มะละกอ รวมทังพืชใบเขียวและใบเหลือง วิตามินเอจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชืน ไมเ่ ป็นสะเกด็ ทาํ ใหเ้ ลบ็ ไมเ่ ปราะและยงั ทาํ ใหเ้ สน้ ผมไม่ร่วงง่ายอีกดว้ ย 4. ดืมนาํ มาก ๆ เพือทาํ ใหผ้ วิ หนงั เปลง่ ปลงั 5. ออกกาํ ลงั กายสมาํ เสมอ เพอื ช่วยใหก้ ารหมุนเวียนของเลอื ดดีขึน 6. ควรใหผ้ วิ หนงั ไดร้ ับแสงแดดสมาํ เสมอ โดยเฉพาะเวลาเชา้ ซึงแดดไมจ่ ดั เกินไป และ พยายามหลกี เลยี งการถกู แสงแดดจา้ เพราะจะทาํ ใหผ้ วิ หนงั เกรียมและกร้านดาํ 7. ระมดั ระวงั ในการใชเ้ ครืองสาํ อาง เพราะอาจเกิดอาการแพห้ รือทาํ ใหผ้ ิวหนงั อกั เสบ เป็นอนั ตรายต่อผวิ หนงั ได้ หากเกิดอาการแพต้ อ้ งเลกิ ใชเ้ ครืองสาํ อางชนิดนนั ทนั ที 8. เมือมีสิงผดิ ปกติใด ๆ เกิดขึนกบั ผวิ หนงั ควรปรึกษาแพทย์

15 ระบบขบั ถ่ายปัสสาวะ อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั ระบบขบั ถา่ ยปัสสาวะมี ดงั นี 1. ไต (Kidneys) มอี ยู่ ขา้ ง รูปร่างคลา้ ยเมลด็ ถวั แดง อย่ทู างดา้ งหลงั ของช่องทอ้ งบริเวณเอว ไตขา้ งขวามกั จะอยตู่ าํ กวา่ ขา้ งซา้ ยเลก็ นอ้ ย ในไตจะมหี ลอดไต (Nephron หรือ Kidney Tubule) ประมาณ ลา้ นหลอด ทาํ หนา้ ทีกรองปัสสาวะออกจากเลือด ดงั นนั ไตจึงเป็นอวยั วะสาํ คญั ทีใชเ้ ป็ นโรงงานสาํ หรับ ขบั ถ่ายปัสสาวะดว้ ยการกรองของเสีย เช่น ยเู รีย (Urea) เกลือแร่ และนาํ ออกจากเลือดทีไหลผา่ นเขา้ มาให้ เป็นนาํ ปัสสาวะแลว้ ไหลผา่ นกรวยไตลงสู่ท่อไตเขา้ ไปเกบ็ ไวท้ ีกระเพาะปัสสาวะ 2. กรวยไต (Pelvis) คือ ช่องกลวงภายในทีมีรูปร่างเหมอื นกรวย ส่วนของกน้ กรวยจะติดต่อกบั กา้ นกรวย ซึงกา้ นกรวยก็คือท่อไตนนั เอง 3. ท่อไต (Useter) มีลกั ษณะเป็ นท่อออกมาจากไตทงั ขา้ ง เชือมต่อกับกระเพาะปัสสาวะ ยาวประมาณ – นิว จะเป็นทางผา่ นของปัสสาวะจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ 4. กระเพาะปัสสาวะ (Urinary Bladder) เป็ นทีรองรับนาํ ปัสสาวะจากไตทีผ่านมาทางท่อไต สามารถขยายได้ ขบั ปัสสาวะได้ประมาณ ลิตร แต่ถา้ เกิน ซีซี (ลูกบาศก์เซนติเมตร) อาจเป็ น อนั ตรายได้ เมือมนี าํ ปัสสาวะมาอยใู่ นกระเพาะปัสสาวะมากขึนจะรู้สึกปวดปัสสาวะ 5. ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นท่อทีต่อจากกระเพาะปัสสาวะไปสู่อวยั วะเพศ ซึงของเพศชายจะ ผา่ นอยกู่ ลางองคชาต ซึงท่อนีจะเป็ นทางผ่านของปัสสาวะเพือทีจะไหลออกสู่ภายนอก ปลายท่อจึงเป็ น ทางออกของปัสสาวะ ท่อปัสสาวะของเพศชายยาว เซนติเมตร ของเพศหญิงยาว เซนติเมตร

16 กระบวนการขบั ถ่ายปัสสาวะ กระบวนการทาํ งานในร่างกายของคนเราจะทาํ ใหเ้ กิดของเสียต่าง ๆ ออกจากเซลลเ์ ขา้ สู่หลอด เลือด เช่น ยเู รีย (Uria) แอมโมเนีย (Ammonia) กรดยรู ิก (Uric Acid) เป็ นตน้ แลว้ เลือดพร้อมของเสีย ดงั กลา่ ว จะไหลเวยี นมาทีไต ในวนั หนึง ๆ จะมีเลอื ดไหลผา่ นไตเป็นจาํ นวนมาก โดยเลือดจะไหลเวียนสู่ หลอดเลือดยอ่ ยทีอยใู่ นไต ไตจะทาํ หนา้ ทีกรองของเสียทีอยใู่ นเลือด รวมทงั นาํ บางส่วนแลว้ ขบั ลงสู่ท่อไต ซึงเราเรียกนาํ และของเสียทีถกู ขบั ออกมานีวา่ “นาํ ปัสสาวะ” เมือมีนาํ ปัสสาวะผ่านเขา้ มา ท่อไตจะบีบตวั เป็นระยะๆ เพือใหน้ าํ ปัสสาวะลงสู่กระเพาะปัสสาวะทีละหยด จนมีนาํ ปัสสาวะอย่ใู นกระเพาะปัสสาวะ ประมาณ – ซีซี กระเพาะปัสสาวะจะหดตวั ทาํ ใหร้ ู้สึกเริมปวดปัสสาวะ ถา้ มีปริมาณนาํ ปัสสาวะ มากกว่านีจะปวดปัสสาวะมากขึน หลงั จากนนั นาํ ปัสสาวะจะถกู ขบั ผ่านท่อปัสสาวะออกจากร่างกายทาง ปลายท่อปัสสาวะ ในแต่ละวนั ร่างกายจะขบั นาํ ปัสสาวะออกมาประมาณ – . ลิตร แต่ทงั นีขึนอยกู่ บั ปริมาณนาํ ทีเขา้ สู่ร่างกาย จากอาหารและนาํ ดืมดว้ ยวา่ มมี ากนอ้ ยเพียงใด ถา้ มีปริมาณนาํ มากนาํ ปัสสาวะก็ จะมมี าก ทาํ ใหต้ อ้ งปัสสาวะบ่อยครัง แต่ถา้ ปริมาณนาํ เขา้ สู่ร่างกายนอ้ ยหรือถูกขบั ออกทางเหงือมากแลว้ จะทาํ ใหน้ าํ ปัสสาวะมนี อ้ ยลงดว้ ย การเสริมสร้างและดํารงประสิทธิภาพการทาํ งานของระบบขบั ถ่ายปัสสาวะ 1. ดืมนาํ สะอาดมากๆ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ – แกว้ จะช่วยใหร้ ะบบขบั ถา่ ยปัสสาวะดีขึน 2. ควรป้ องกนั การเป็ นนิวในระบบทางเดินปัสสาวะโดยหลีกเลียงการรับประทานผกั ทีมีสาร ออกซาเลต (Oxalate) สูง เช่น หน่อไม้ ชะพลู ผกั แพรว ผกั กระโดน เป็ นตน้ เพราะผกั พวกนีจะทาํ ให้เกิด การสะสมสารแคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) ในไตและกระเพาะปัสสาวะได้ แต่ควร รับประทานอาหารประเภทเนือสตั ว์ นม ไข่ ถวั ต่าง ๆ เพราะอาหารพวกนีมีสารฟอสเฟต (Phosphate) สูง จะช่วยลดอตั ราของการเกิดนิวในระบบทางเดินปัสสาวะได้ เช่น นิวในไต นิวในท่อไต นิวในกระเพาะ ปัสสาวะ เป็นตน้ 3. ไม่ควรกลนั ปัสสาวะไวน้ านจนเกินไป เพราะอาจทาํ ให้เกิดการติดเชือในระบบทางเดิน ปัสสาวะได้ 4. เมอื มอี าการผดิ ปกติเกียวกบั ระบบทางเดินปัสสาวะควรรีบปรึกษาแพทย์ ระบบขบั ถ่ายของเสียทางลาํ ไส้ใหญ่ ร่างกายมนุษยม์ กี ลไกต่าง ๆ คลา้ ยเครืองยนต์ ร่างกายตอ้ งใชพ้ ลงั งาน การเผาผลาญพลงั งานจะ เกิดของเสีย ซึงของเสียทีร่างกายตอ้ งกาํ จดั ออกไปมีอยู่ ประเภท 1. สารทีเป็นพิษต่อร่างกาย 2. สารทีมีปริมาณมากเกินความตอ้ งการ

17 ระบบการขบั ถ่าย เป็นระบบทีร่างกายขบั ถา่ ยของเสียออกไป ของเสียในรูปแก๊ส คือ ลมหายใจ ของเหลว คือ เหงือและปัสสาวะของเสียในรูปของแข็งคืออจุ จาระ เช่น - อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การขบั ถ่ายของเสียในรูปของแขง็ คือ ลาํ ไสใ้ หญ่ (ดรู ะบบยอ่ ย อาหาร) - อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การขบั ถา่ ยของเสียในรูปของแก๊ส คือ ปอด (ดูระบบหายใจ) - อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การขบั ถ่ายของเสียในรูปของเหลว คอื ไตและผวิ หนงั - อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การขบั ถ่ายของเสียในรูปปัสสาวะ คือ ไต หลอดไตและ กระเพาะปัสสาวะ - อวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การขบั ถา่ ยของเสียในรูปเหงือ คือ ผวิ หนงั ซึงมีต่อมเหงืออยใู่ น ผวิ หนงั ทาํ หนา้ ทีขบั เหงือ การยอ่ ยอาหารจะสินสุดลงบริเวณรอยต่อระหวา่ งลาํ ไสเ้ ลก็ กบั ลาํ ไส้ใหญ่ ลาํ ไส้ใหญ่ยาว ประมาณ ฟุต ภายในมีเส้นผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ . นิว เนืองจากอาหารทีลาํ ไส้เลก็ ยอ่ ยแลว้ จะเป็ น ของเหลว หนา้ ทีของลาํ ไสใ้ หญ่ครึงแรก คือ ดูดซึมของเหลว นาํ เกลือแร่และนาํ ตาลกลโู คสทียงั เหลืออยู่ ในกากอาหาร ส่วนลาํ ไสใ้ หญ่ครึงหลงั จะเป็นทีพกั กากอาหารซึงมลี กั ษณะกึงของแขง็ ลาํ ไสใ้ หญ่ จะขบั เมือกออกมาหล่อลืนเพือให้อุจจาระเคลือนไปตามลาํ ไส้ใหญ่ไดง้ ่ายขึน ถา้ ลาํ ไสใ้ หญ่ดูดนาํ มาก เกินไป เนืองจากการอาหารตกคา้ งอยใู่ นลาํ ไสใ้ หญ่หลายวนั จะทาํ ใหก้ ากอาหารแขง็ เกิดความลาํ บาก ในการขบั ถ่าย ซึงเรียกว่า ทอ้ งผกู โดยปกติกากอาหารผ่านเขา้ สู่ลาํ ไส้ใหญ่ประมาณวนั ละ - ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ซึงจะทาํ ใหเ้ กิดอุจจาระประมาณวนั ละ กรัม สาเหตขุ องอาการท้องผกู 1. กินอาหารทีมีกากอาหารนอ้ ย 2. กินอาหารรสจดั 3. การถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลาหรือกลนั อุจจาระติดต่อกนั หลายวนั 4. ดืมนาํ ชา กาแฟ มากเกินไป 5. สูบบุหรีจดั เกินไป 6. เกิดความเครียด หรือความกงั วลมาก

18 เรืองที การทาํ งานของระบบประสาท ระบบประสาท ระบบประสาท (Nervous System) การทํางานของระบบประสาทเป็ นกระบวนการทีสลับซับซ้อนมาก และเป็ นระบบทีมี ความสมั พนั ธก์ บั การทาํ งานของระบบกลา้ มเนือ เพือให้ร่างกายสามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ทงั ภายในภายนอกร่างกาย ระบบประสาทนีสามารถแบ่งแยกออก ส่วน ดงั นี 1) ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system : CNS) ระบบส่วนนี ประกอบดว้ ย สมอง และไขสนั หลงั (Brain and Spinal cord) ซึงมหี นา้ ทีดงั ต่อไปนี หน้าทขี องสมอง ) ควบคุมความจาํ ความคิด การใชไ้ หวพริบ ) ควบคุมการเคลอื นไหวของกลา้ มเนือ โดยศนู ยค์ วบคุมสมองดา้ นซา้ ยจะไป ควบคุมการ ทาํ งานของกลา้ มเนือดา้ นขวาของร่างกาย ส่วนศนู ยค์ วบคุมสมองดา้ นขวาทาํ หนา้ ทีควบคุมการทาํ งานของ กลา้ มเนือดา้ นซา้ ยของร่างกาย ) ควบคุมการพดู การมองเห็น การไดย้ นิ ) ควบคุมการเผาผลาญอาหาร ความหิว ความกระหาย ) ควบคุมการกลอกลกู ตา การปิ ดเปิ ดม่านตา ) ควบคุมการทาํ งานของกลา้ มเนือใหท้ าํ งานสมั พนั ธก์ นั และช่วยการทรงตวั ) ควบคุมกระบวนการหายใจ การเตน้ ของหวั ใจ การหดตวั และขยายตวั ของเสน้ เลือด ) สาํ หรับหนา้ ทีของระบบประสาททีมตี ่อการออกกาํ ลงั กาย ตอ้ งอาศยั สมองส่วนกลางโดย สมองจะทาํ หนา้ ทีนึกคิดทีจะออกกาํ ลงั กาย แลว้ ออกคาํ สังส่งไปยงั สมองเรียกว่า Association motor areas เพือวางแผนจดั ลาํ ดบั การเคลอื นไหว แลว้ จึงส่งคาํ สังต่อไปยงั ประสาทกลไก (Motor area) ซึงเป็ นศูนยท์ ี จะส่งคาํ สงั ลงไปสู่ไขสนั หลงั หน้าทีของไขสันหลงั ) ทาํ หนา้ ทีส่งกระแสประสาทไปยงั สมอง เพอื ตีความและสงั การ และในขณะเดียวกนั กร็ ับ พลงั ประสาทจากสมองซึงเป็นคาํ สงั ไปสู่อวยั วะต่าง ๆ ) เป็ นศูนยก์ ลางของปฏิกิริยาสะทอ้ น (Reflex reaction) คือ สามารถทีจะทาํ งานไดท้ นั ที เพือป้ องกนั และหลกี เลียงอนั ตรายทีอาจจะเกิดขึนกบั ร่างกาย เช่น เมือเดินไปเหยยี บหนามทีแหลมคมเทา้ จะยกหนีทนั ทีโดยไมต่ อ้ งรอคาํ สงั จากสมอง ) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวยั วะต่างๆ ทีมีเสน้ ประสาทไขสนั หลงั ไปสู่อวยั วะต่าง ๆ ซึงหนา้ ทีนีเรียกว่า ทรอพฟิ คฟังชนั (Trophic function)

19 1) ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral nervous system : PNS) ระบบประสาทส่วนปลาย เป็นส่วนทีแยกออกมาจากระบบประสาทส่วนกลาง คือ ส่วนทีแยกออกมาจากสมองเรียกว่า เส้นประสาท สมอง (Cranial nerve) และส่วนทีแยกออกมาจากไขสนั หลงั เรียกว่า เสน้ ประสาทไขสนั หลงั (Spinal nerve) ถา้ หากเส้นประสาทไขสนั หลงั บริเวณใดไดร้ ับอนั ตราย จะส่งผลต่อการเคลือนไหวและความรู้สึกของ อวยั วะทีเส้นประสาทไขสันหลงั ไปถึง ตวั อย่างเช่น เส้นประสาทไขสนั หลงั บริเวณเอวและบริเวณกน้ ไดร้ ับอนั ตราย จะมีผลต่ออวยั วะส่วนล่าง คือ ขาเกือบทงั หมดอาจจะมีอาการของอมั พาตหมดความรู้สึก และเคลือนไหวไมไ่ ด้ 2) ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomatic nervous system : ANS) ระบบประสาทอตั โนมตั ิ ส่วนใหญ่จะทาํ หนา้ ทีควบคุมการทาํ งานของอวยั วะภายในและทาํ งานอยนู่ อกอาํ นาจจิตใจ แบ่งการทาํ งาน ไดอ้ อกเป็น กลุ่ม ดงั นี 1) ซิมพาเทติก (Sympathetic divison) ทาํ หนา้ ทีเร่งการทาํ งานของอวยั วะภายในใหท้ าํ งาน เร็ว หนกั และแรงขึน รวมทังควบคุมการแสดงทางอารมณ์มีผลทาํ ให้หัวใจเต้นเร็วขึน ความดันเลือด เพมิ ขึน ต่อมต่างๆ ทาํ งานเพมิ ขึน รวมทงั งานทีตอ้ งทาํ ในทนั ทีทนั ใด เช่น ภาวะของความกลวั ตกใจ โกรธ และความเจ็บปวด หรือเป็นการกระทาํ เพอื ความปลอดภยั ของร่างกายในภาวะฉุกเฉิน ประสาทส่วนนีออก จากเสน้ ประสาทไขสนั หลงั บริเวณอกและบริเวณเอว 2) พาราซิมพาเทติก (Parasympathetic divison) โดยปกติแลว้ ประสาทกลมุ่ นีจะทาํ หนา้ ทีรัง การทํางานของอวยั วะภายใน หรือจะทาํ งานในช่วงทีร่างกายมีการพกั ผ่อน ประสาทส่วนนีมาจาก เสน้ ประสาทกน้ กบและจากสมอง ในการทาํ งานทงั กลุ่ม จะทาํ งานไปพร้อม ๆ กนั ถา้ กลุ่มหนึงทาํ งานมาก อีกกลุ่มหนึงจะ ทาํ งานนอ้ ยลงสลบั กนั ไปและบางทีช่วยกนั ทาํ งาน เช่น ควบคุมระดบั นาํ ในร่างกาย ควบคุมอุณหภูมิของ ร่างกายใหอ้ ยใู่ นระดบั ปกติ รวมทงั ควบคุมการทาํ งานของอวยั วะภายในและต่อมต่าง ๆ ใหท้ าํ งานอย่างมี ประสิทธิภาพและเหมาะสม

20 เรืองที การทํางานของระบบสืบพนั ธ์ุ ระบบสืบพนั ธ์ุ การสืบพนั ธุเ์ ป็นสิงทีทาํ ใหม้ นุษยด์ าํ รงเผา่ พนั ธุอ์ ยไู่ ด้ ซึงตอ้ งอาศยั องค์ประกอบสาํ คญั เช่น เพศ ชายและเพศหญิง แต่ละเพศจะมโี ครงสร้างของเพศ และการสืบพนั ธุซ์ ึงแตกต่างกนั 1) ระบบสืบพนั ธ์ุของเพศชาย อวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศชายส่วนใหญ่จะอยภู่ ายนอกลาํ ตวั ประกอบดว้ ยส่วนทีสาํ คญั ๆ ดงั นี 1.1 ลงึ ค์หรือองคชาต (Penis) เป็นอวยั วะสืบพนั ธุ์ของเพศชาย รูปทรงกระบอก อย่ดู า้ นหน้า ของหัวเหน่า บริเวณด้านหน้าตอนบนถึงอณั ฑะ มีลกั ษณะยืนออกมา ประกอบดว้ ยกลา้ มเนือทีเหนียว แต่มลี กั ษณะนุ่ม และอวยั วะส่วนนีสามารถยดื และหดได้ โดยทวั ไปแลว้ ลึงค์จะมีขนาดปกติยาวประมาณ – เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ . เซนติเมตร ทีบริ เวณตอนปลายลึงค์จะมี เสน้ ประสาทและหลอดเลอื ดมาเลยี งอยเู่ ป็นจาํ นวนมาก จึงทาํ ใหร้ ู้สึกไวต่อการสมั ผสั เมือมีความตอ้ งการ ทางเพศเกิดขึน ลึงคจ์ ะแข็งตวั และเพมิ ขนาดขึนประมาณเท่าตวั เนืองมาจากการไหลคงั ของเลือดทีบริเวณ นีมมี าก และในขณะทีลึงค์แข็งตวั นัน จะพบว่าต่อมเล็ก ๆ ทีอยใู่ นท่อปัสสาวะจะผลิตนาํ เมือกเหนียว ๆ ออกมา เพอื ช่วยในการหล่อลนื และทาํ ใหต้ วั อสุจิสามารถไหลผา่ นออกสู่ภายนอกได้ 1.2 อณั ฑะ (Testis) ประกอบดว้ ย ถุงอณั ฑะ เป็นถุงทีห่อหุม้ ต่อมอณั ฑะไว้ มีลกั ษณะเป็ น ผวิ หนงั บาง ๆ สีคลาํ และมรี อยยน่ ถุงอณั ฑะจะหอ้ ยติดอยกู่ บั กลา้ มเนือชนิดหนึงและจะหดหรือหยอ่ นตวั เมอื อณุ หภูมขิ องอากาศเปลียนแปลง เพอื ช่วยรักษาอณุ หภูมิภายในถุงอณั ฑะใหเ้ หมาะสมกบั การสร้างตวั อสุจิ ต่อมอณั ฑะมีอยู่ ข้าง ทาํ หน้าทีผลิตเซลลส์ ืบพันธุ์เพศชายหรือเชืออสุจิ (Sperm) มีลกั ษณะรูปร่าง คลา้ ยกบั ไข่ไก่ฟองเลก็ ๆ มีความยาวประมาณ เซนติเมตร หนาประมาณ – เซนติเมตร และหนกั ประมาณ - กรัม โดยปกติแลว้ ต่อมอณั ฑะขา้ งซา้ ยจะใหญ่กว่าต่อมอณั ฑะขา้ งขวาเล็กน้อย ต่อมอณั ฑะทงั สอง จะบรรจุอยภู่ ายในถงุ อณั ฑะ (Scrotum) ภายในลกู อณั ฑะจะมหี ลอดเลก็ ๆ จาํ นวนมาก ขดเรียงกนั อยเู่ ป็นตอน ๆ เรียกว่า หลอดสร้าง เชืออสุจิ (Seminiferous tabules) มหี นา้ ทีผลติ ฮอร์โมนเพศชายและตวั อสุจิ ส่วนทีดา้ นหลงั ของต่อมอณั ฑะ แต่ละขา้ ง จะมกี ล่มุ ของหลอดเลก็ ๆ อกี มากมายขดไปขดมา ซึงเรียกว่า หลอดเก็บตวั อสุจิหรือกลุ่มหลอด อสุจิ (Epididymis) ซึงทาํ หนา้ ทีเก็บเชืออสุจิชวั คราว เพือใหเ้ ชืออสุจิเจริญเติบโตไดเ้ ตม็ ที 1.3 ท่อนาํ ตวั อสุจิ (Vas deferens) อยเู่ หนืออณั ฑะ เป็นท่อยาวประมาณ นิวฟุต ซึงต่อมา จากท่อพกั ตวั อสุจิ ท่อนีจะเป็นช่องทางใหต้ วั อสุจิ (Sprem) ไหลผา่ นจากท่อพกั ตวั อสุจิไปยงั ท่อของถงุ เก็บ อสุจิ 1.4 ท่อพักตัวอสุจิ (Epidymis) อยู่เหนือท่อนาํ ตวั อสุจิ ท่อนีมีลกั ษณะคลา้ ยรูปดวงจนั ทร์ ครึงซีกซึงหอ้ ยอยตู่ ิดกบั ต่อมอณั ฑะส่วนบนค่อนขา้ งจะใหญ่เรียกว่า หวั (Head) และจากส่วนหัวจะเป็ นตวั (Body) และเป็ นหาง (Tail) นอกจากนี ท่อนียงั ประกอบดว้ ยท่อทีคดเคียวจาํ นวนมาก เมือตวั อสุจิถูกสร้างขึน มาแลว้ จะถกู ส่งเขา้ สู่ท่อนี เพือเตรียมทีจะออกมาสู่ท่อปัสสาวะ

21 1.5 ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) มีลกั ษณะคลา้ ยลกู หมาก เป็ นต่อมทีหุม้ ส่วนแรกของ ท่อปัสสาวะไวแ้ ละอยใู่ ตก้ ระเพาะปัสสาวะ ต่อมนีทาํ หนา้ ทีหลงั ของเหลวทีมีลกั ษณะคลา้ ยนม มีฤทธิเป็ น ด่างอยา่ งอ่อน ซึงขบั ออกไปผสมกบั นาํ อสุจิทีถกู ฉีดเขา้ มาในท่อปัสสาวะ ของเหลวดงั กล่าวนีจะเขา้ ไป ทาํ ลายฤทธิกรดจากนาํ เมือกในช่องคลอดเพศหญิง เพือป้ องกนั ไม่ใหต้ วั อสุจิถกู ทาํ ลายดว้ ยสภาพความเป็น กรดและเพอื ใหเ้ กิดการปฏิสนธิขึน เซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศชายซึงเรียกว่า “ตัวอสุจิหรือสเปิ ร์ม” นัน จะถูกสร้างขึนในท่อผลิตตวั อสุจิ (Seminiferous tubules) ของต่อมอัณฑะ ตัวอสุจิ มีรูปร่ างลกั ษณะคลา้ ยลูกอ๊อดหรือลูกกบแรกเกิด ประกอบดว้ ยส่วนหัวซึงมีขนาดโต ส่วนคอคอดเล็กกว่าส่วนหัวมาก และส่วนของหางเล็กยาวเรียว ซึงใชใ้ นการแหวกวา่ ยไปมา มขี นาดลาํ ตวั ยาวประมาณ . มิลลเิ มตร ซึงมีขนาดเลก็ กวา่ ไข่ของเพศหญิง หลายหมนื เท่า หลงั จากตวั อสุจิถกู สร้างขึนในท่อผลิตตวั อสุจิแลว้ จะฝังตวั อย่ใู นท่อพกั ตวั อสุจิจนกว่าจะ เจริญเต็มที ต่อจากนนั จะเคลอื นทีไปยงั ถุงเก็บตวั อสุจิ ในระยะนีต่อมลูกหมากและต่อมอืน ๆ จะช่วยกนั ผลิตและส่งของเหลวมาเลยี งตวั อสุจิ และจะสะสมไวจ้ นถงึ ระดบั หนึง ถา้ หากไมม่ ีการระบายออกดว้ ยการ มเี พศสมั พนั ธ์ ร่างกายกจ็ ะระบายออกมาเอง โดยใหน้ าํ อสุจิเคลือนออกมาตามท่อปัสสาวะในขณะทีกาํ ลงั นอนอยู่ ซึงเป็นการลดปริมาณนาํ อสุจิใหน้ อ้ ยลงตามธรรมชาติ ตวั อสุจิประกอบดว้ ยส่วนหวั ทีมนี ิวเคลียสอยเู่ ป็นทีเก็บสารพนั ธุกรรม ปลายสุดของหัวมีเอนไซม์ ยอ่ ยผนงั เซลลไ์ ข่หรือเจาะไข่เพอื ผสมพนั ธุ์ ถดั จากหวั เป็นส่วนของหางใชใ้ นการเคลือนทีของตวั อสุจิ

22 2) ระบบสืบพนั ธ์ุของเพศหญงิ อวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศหญิงส่วนใหญ่จะอยภู่ ายในลาํ ตวั ประกอบดว้ ยส่วนทีสาํ คญั ๆ ดงั นี 2.1 ช่องคลอด (Vagina) อยสู่ ่วนลา่ งของทอ้ ง มีลกั ษณะเป็ นโพรงซึงมีความยาว – นิว ฟุต ผนงั ดา้ นหนา้ ของช่องคลอดจะติดอยกู่ บั กระเพาะปัสสาวะ ส่วนผนงั ดา้ นหลงั จะติดกบั ส่วนปลายของ ลาํ ไสใ้ หญ่ ซึงอยใู่ กลท้ วารหนกั ทีช่องคลอดนนั มเี สน้ ประสาทมาเลียงเป็นจาํ นวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิง ทีบริเวณรอบรูเปิ ดช่องคลอด นอกจากนี รูเปิ ดของท่อปัสสาวะในเพศหญิงนนั จะเปิ ดตรงเหนือช่องคลอด ขึนไปเลก็ นอ้ ย 2.2 คลิทอริส (Clitoris) เป็ นป่ ุมเล็ก ๆ ซึงอยู่บนสุดของรูเปิ ดช่องคลอด มีลักษณะ เหมือนกบั ลงึ ค์ (Penis) ของเพศชายเกือบทุกอย่าง แต่ขนาดเลก็ กว่าและแตกต่างกนั ตรงทีว่าท่อปัสสาวะ ของเพศหญิงจะไม่ผา่ นผ่ากลางคลิตอริสเหมือนกบั ในลึงค์ ประกอบดว้ ยหลอดเลือดและเสน้ ประสาท ต่างๆ มาเลยี งมากมายเป็นเนือเยอื ทียดื ไดห้ ดไดแ้ ละไวต่อความรู้สึกทางเพศ ซึงเปรียบไดก้ บั ปลายลงึ คข์ อง เพศชาย 2.3 มดลกู (Uterus) เป็นอวยั วะทีประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ และมีลกั ษณะภายในกลวง มผี นงั หนาอยรู่ ะหว่างกระเพาะปัสสาวะซึงอยขู่ า้ งหน้าและส่วนปลายลาํ ไสใ้ หญ่ (อยใู่ กลท้ วารหนกั ) ซึงอย่ขู า้ ง หลงั ไข่จะเคลอื นตวั ลงมาตามท่อรังไข่ เขา้ ไปในโพรงของมดลูก ถา้ ไข่ไดผ้ สมกบั อสุจิแลว้ จะมาฝังตวั อยู่ ในผนงั ของมดลกู ทีหนาและมีเลือดมาเลยี งเป็นจาํ นวนมาก ไข่จะเจริญเติบโตเป็นตวั อ่อนตรงบริเวณนี 2.4 รังไข่ (Ovary) มีอยู่ ต่อม ซึงอย่ใู นโพรงของอุง้ เชิงกราน มีรูปร่างค่อนขา้ งกลมเล็ก มนี าํ หนกั ประมาณ – กรัม ขณะทียงั เป็ นตวั อ่อนต่อมรังไข่จะเจริญเติบโตในโพรงของช่องทอ้ งและเมือ คลอดออกมาบางส่วนจะอยใู่ นช่องทอ้ ง และบางส่วนจะอยใู่ นองุ้ เชิงกราน ต่อมาจะค่อย ๆ เคลือนลดลงตาํ ลง มาอยใู่ นองุ้ เชิงกราน นอกจากนี ต่อมรังไข่จะหลงั ฮอร์โมนเพศหญิงออกมาทาํ ใหไ้ ข่สุก และเกิดการตกไข่ 2.5 ท่อรังไข่ (Fallopain tubes) ภายหลงั ทีไข่หลดุ ออกจากส่วนทีห่อหุม้ (Follicle) แลว้ ไข่ จะผา่ นเขา้ สู่ท่อรังไข่ ท่อนียาวประมาณ – เซนติเมตร ปลายขา้ งหนึงมีลกั ษณะคลา้ ยกรวยซึงอย่ใู กลก้ บั รังไข่ ส่วนปลายอีกขา้ งหนึงนนั จะเรียวเลก็ ลงและไปติดกบั มดลูก ท่อรังไข่จะทาํ หนา้ ทีนาํ ไข่เขา้ สู่มดลูก โดยอาศยั การพดั โบกของขนทีปากท่อ (Fimbriated end of tube) ซึงทาํ หน้าทีคลา้ ยกบั นิวมือจบั ไข่ใส่ไป ในท่อรังไข่และอาศยั การหดตวั ของกลา้ มเนือเรียบ

23 เซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศหญิงหรือไข่นัน สร้างโดยรังไข่ ไข่จะเริมสุกโดยการกระตุน้ ของฮอร์โมนจากต่อม พิทูอิทารี เพือเตรียมทีจะสืบพนั ธุ์ต่อไป รังไข่แต่ละขา้ งจะผลิตไข่สลบั กนั ขา้ งละประมาณ – วนั โดยผลิตครังละ ใบ เมือไข่สุกจะหลุดออกจากรังไข่มาตามท่อรังไข่ ในระยะนีผนังมดลูกจะมีเลือด มาหล่อเลียงเยอื บุมดลกู มากขึน เพือเตรียมรอรับไข่ทีจะไดร้ ับการผสมแลว้ จะมาฝังตวั ลงทีเยอื บุมดลกู ตรง ผนงั มดลกู นีและเจริญเติบโตเป็นทารก แต่ถา้ ไข่ไมไ่ ดร้ ับการผสมจากตวั อสุจิ ไข่จะสลายตวั ไปพร้อมกบั เยอื บุมดลกู และจะออกมาพร้อมกบั เลือด เรียกวา่ ประจาํ เดือน เรืองที การทาํ งานของระบบต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อ ในร่างกายของมนุษยม์ ตี ่อมในร่างกาย ประเภท คือ 1) ต่อมมที ่อ (Exocrine gland) เป็ นต่อมทีสร้างสารเคมีออกมาแลว้ ส่งไปยงั ตาํ แหน่งออกฤทธิ โดยอาศยั ท่อลาํ เลียงของต่อมโดยเฉพาะ เช่น ต่อมนําลาย ต่อมสร้างเอนไซมย์ ่อยอาหาร ต่อมนําตา ต่อมสร้างเมือก ต่อมเหงือ ฯลฯ 2) ต่อมไร้ท่อ (Endocrine gland) เป็ นต่อมทีสร้างสารเคมีขึนมาแลว้ ส่งไปออกฤทธิยงั อวยั วะ เป้ าหมาย โดยอาศยั ระบบหมนุ เวยี นเลือด เนืองจากไม่มีท่อลาํ เลียงของต่อมโดยเฉพาะ สารเคมีนีเรียกว่า ฮอร์โมน ซึงอาจเป็นสารประเภทกรดอะมิโน สเตรอยด์ ต่อมไร้ท่อมอี ยหู่ ลายต่อมกระจายอยใู่ นตาํ แหน่งต่างๆ ทวั ร่างกาย ฮอร์โมนทีผลิตขึนจากต่อมไร้ ท่อมีหลายชนิด แต่ละชนิดทาํ งานแตกต่างกัน โดยจะควบคุมการทาํ งานของอวยั วะต่าง ๆ อย่าง เฉพาะเจาะจง เพือใหเ้ กิดการเจริญเติบโต กระตุน้ หรือยบั ยงั การทาํ งาน ฮอร์โมนสามารถออกฤทธิได้ โดยใชป้ ริมาณเพยี งเลก็ นอ้ ย ต่อมไร้ท่อทีสาํ คญั มี ต่อม ไดแ้ ก่ 2.1 ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) ตาํ แหน่งทีอยู่ ต่อมใตส้ มองเป็ นต่อมไร้ท่อ อย่ตู รงกลางส่วนล่างของสมอง (hypophysis) ต่อมนีขบั สารทีมีลกั ษณะขุ่นขาวคลา้ ยเสมหะ จึงเรียกว่า ต่อม พิทูอิตารี (pituitary gland) ต่อมใตส้ มอง ประกอบดว้ ยเซลลท์ ีมีรูปร่างแตกต่างกนั มากชนิดทีสุด ขนาดและลกั ษณะทวั ไป ต่อมใตส้ มองของเพศชายหนกั ประมาณ . – . กรัม ของ เพศหญิงหนกั กวา่ เลก็ นอ้ ย คือประมาณ . – . กรัม หรือบางรายอาจหนกั ถึง กรัม

24 ต่อมใต้สมอง แบ่งออกเป็น ส่วน คือ ต่อมใตส้ มองส่วนหนา้ (anterior lobe) ต่อมใตส้ มอง ส่วนกลาง (intermediate lobe) และต่อมใตส้ มองส่วนหลงั (posterior lobe) ต่อมใตส้ มองทงั สามส่วนนี ต่างกนั ทีโครงสร้าง และการผลิตฮอร์โมน ฮอร์โมนทีผลิตจากต่อมใตส้ มองมหี นา้ ทีควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย การทาํ งานของต่อม ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต การทาํ งานของไต และระบบสืบพนั ธุ์ 2.1 ต่อมไทรอยด์ (thyroid) ต่อมไทรอยดม์ ีลกั ษณะเป็นพู พู อยสู่ องขา้ งของคอหอย โดยมีเยอื บาง ๆ เชือมติดต่อถึงกนั ได้ ต่อมนีถือไดว้ ่าเป็ นต่อมไร้ท่อทีใหญ่ทีสุดในร่างกาย มีเส้นเลือดมาหล่อเลียงมากทีสุดมีนาํ หนกั ของ ต่อมประมาณ – กรัม ต่อมไทรอยดม์ ีเสน้ เลือดมาเลียงมากมาย ต่อมไทรอยดผ์ ลิตฮอร์โมนทีสาํ คญั ไดแ้ ก่ ) ฮอร์โมนไธรอกซิน (thyroxin hormone) ทาํ หนา้ ทีควบคุมการเผาผลาญสารอาหารกระตุน้ การเปลยี นไกลโคเจนไปเป็นกลโู คสและเพิมการนาํ กลโู คสเขา้ สู่เซลลบ์ ุทางเดินอาหาร จึงเป็ นตวั เพิมระดบั นาํ ตาลกลโู คสในเลอื ด ความผดิ ปกติเกียวกบั ระดบั ฮอร์โมนไธรอกซิน ( ) คอหอยพอกธรรมดา (Simple goiter) เป็ นลกั ษณะทีเกิดขึนโดยต่อมขยายใหญ่ เนืองจากต่อมใตส้ มองส่วนหนา้ สร้าง ไทรอยดส์ ติมเู ลติง ฮอร์โมน (thyroid-stimulating hormone เรียกยอ่ ๆ วา่ TSH ทาํ หนา้ ทีกระตุน้ ต่อมไทรอยดใ์ หห้ ลงั ออร์โมนเป็ นปกติ) มากระตุน้ ต่อมไทรอยด์มาก เกินไป โดยทีต่อมนีไม่สามารถสร้างไธรอกซินออกไปยบั ยงั การหลงั TSH จากต่อมใตส้ มองได้ ( ) คอหอยพอกเป็นพษิ (Toxic goiter) เกิดขึนเนืองจากต่อมไทรอยดส์ ร้างฮอร์โมนมาก เกินไป เพราะเกิดภาวะเนืองอกของต่อม ( ) คอหอยพอกและตาโปน (Exophthalmic goiter) เกิดขึนเนืองจากต่อมไทรอยดส์ ร้าง ฮอร์โมนมากผดิ ปกติ เพราะไดร้ ับการกระตุน้ จาก TSH ไทรอยด์สติมเู ลติง ฮอร์โมน (thyroid-stimulating hormone เรียกยอ่ ๆ วา่ TSH) มากเกินไปหรือภาวะเนืองอกของต่อมก็ได้ คนป่ วยจะมีอตั ราการเผาผลาญ สารอาหารในร่างกายสูง ร่างกายอ่อนเพลยี นาํ หนกั ลดทงั ๆทีกินจุ หายใจแรงและเร็ว ตอบสนองต่อสิงเร้าไดไ้ ว

25 อาจเกิดอาการตาโปน (exophthalmos) จากการเพิมปริมาณของนาํ และเนือเยอื ทีอยหู่ ลงั ลกู ตา โรคนีพบใน หญิงมากกวา่ ในชาย ( ) คริตินิซึม (Cretinnism) เป็นความผดิ ปกติของร่างกายทีเกดิ จากต่อมไทรอยดฝ์ ่ อในวยั เด็ก หรือพิการตังแต่กาํ เนิด ทาํ ให้การเจริญเติบโตของกระดูกลดลง ร่ างกายเตีย แคระแกร็น การ เจริญเติบโตทางจิตใจชา้ ลงมีภาวะปัญญาออ่ น พุงยนื ผวิ หยาบแหง้ ผมบาง ( ) มิกซีดีมา (Myxedema) เกิดขึนในผใู้ หญ่ เนืองจากต่อมไทรอยดห์ ลงั ฮอร์โมนออกมา นอ้ ยกว่าปกติ ผปู้ ่ วยจะมีอาการสาํ คญั คือ การเจริญทงั ทางร่างกายและจิตใจ ชา้ ลง มีอาการชกั ผวิ แห้ง หยาบเหลือง หัวใจ ไตทาํ งานชา้ ลง เกิดอาการเฉือยชา ซึม ความจาํ เสือม ไขมนั มาก ร่างกายอ่อนแอ ติดเชือง่าย โรคนีพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ) ฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) เป็ นฮอร์โมนอีกชนิดหนึงทีมาจากต่อมไทรอยด์ ทาํ หนา้ ทีลดระดับแคลเซียมในเลือดทีสูงเกินปกติให้เขา้ สู่ระดับปกติโดยดึงแคลเซียมส่วนเกินไปไวท้ ี กระดูก ดังนันระดบั แคลเซียมในเลือดจึงเป็ นสิงควบคุมการหลงั ฮอร์โมนนีและฮอร์โมนนีจะทาํ งาน ร่วมกบั ฮอร์โมนจากต่อมพาราไธรอยดแ์ ละวิตามนิ ดี 2.2 ต่อมพาราไธรอยด์ (parathyroid gland) ต่อมพาราไธรอยด์เป็ นต่อมไร้ท่อทีมีนาํ หนกั นอ้ ยมาก ติดอย่กู บั เนือของต่อมไธรอยดท์ าง ดา้ นหลงั ในคนมีขา้ งละ ต่อม มลี กั ษณะรูปร่างเป็นรูปไข่ขนาดเลก็ มสี ีนาํ ตาลแดงหรือนาํ ตาลปนเหลือง มีนาํ หนกั รวมทงั ต่อม ประมาณ . – . กรัม ฮอร์โมนทีสาํ คญั ทีสร้างจากต่อมนี คือ พาราธอร์โมน (Parathormone) ฮอร์โมนนีทาํ หนา้ ที รักษาสมดุลของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในร่างกายให้คงที โดยทาํ งานร่วมกบั แคลซิโตนิน เนืองจาก ระดบั แคลเซียมในเลอื ดมีความสาํ คญั มาก เพราะจาํ เป็นต่อการทาํ งานของกลา้ มเนือประสาทและการเตน้ ของหวั ใจ ดงั นนั ต่อมพาราธอร์โมนจึงจดั เป็นต่อมไร้ท่อทีมคี วามจาํ เป็นต่อชีวติ 2.3 ต่อมหมวกไต (adrenal gland) ต่อมหมวกไต อยเู่ หนือไตทงั ขา้ ง ลกั ษณะต่อมทางขวาเป็นรูปสามเหลียม ส่วนทางซา้ ยเป็น รูปพระจนั ทร์ครึงเสียว ต่อมนีประกอบดว้ ยเนือเยือ ชนิด คือ อะดรีนัลคอร์เทกซ์ (adrenal cortex) เป็ น เนือเยือชนั นอกเจริญมาจากเนือเยือชนั มีโซเดิร์ม (Mesoderm) และอะดีนลั เมดุลลา (adrenal medulla) เนือเยอื ชนั ในเจริญมาจากส่วนเนือเยอื ชนั นิวรัลเอกโตเดิร์ม (neural ectoerm) ดงั นัน การทาํ งานของต่อม หมวกไตชนั เมดุลลาจึงเกียวขอ้ งกบั ระบบประสาทซิมพาเธติก ซึงผลิตฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ดงั นี

26 ) อะดรีนลั คอร์เทกซ์ ฮอร์โมนจากอะดรีนลั คอร์เทกซ์ ปัจจุบนั นีพบว่า อะดรีนลั คอร์เทกซ์ เป็นต่อมไร้ท่อทีสามารถสร้างฮอร์โมนไดม้ ากทีสุดกว่า ชนิด ฮอร์โมนทีผลิตขึนแบ่งออกเป็ น กลุ่ม ตามหนา้ ที คือ ( ) ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอนด์ (Glucocorticoid) ทาํ หน้าทีควบคุมเมตาบอลิซึมของ คาร์โอไฮเดรตเป็นสาํ คญั นอกจากนียงั ควบคุมเมตาบอลิซึมของโปรตีนและไขมนั รวมทงั สมดุลเกลือแร่ ดว้ ยแต่เป็ นหน้าทีรอง การมีฮอร์โมนกลโู คคอร์ติคอนด์นีมากเกินไป ทาํ ใหเ้ กิดโรคคูชชิง (Cushind’s syndrome) โรคนีจะทาํ ใหห้ นา้ กลมคลา้ ยพระจนั ทร์ (moon face) บริเวณตน้ คอมีหนอกยืนอกมา (buffalo hump) อาการเช่นนีอาจพบไดใ้ นผปู้ ่ วยทีไดร้ ับการรักษาดว้ ยยาทีมีคอร์ตโคสเตรอยด์เป็ นส่วนผสม เพือป้ องกนั อาการแพห้ รืออกั เสบติดต่อกนั เป็นระยะเวลานาน ( ) ฮอร์โมนมเิ นราโลคอร์ติคอนด์ (Mineralocorticiod) ทาํ หนา้ ทีควบคุมสมดุลของนาํ และเกลือแร่ในร่างกาย ฮอร์โมนทีสาํ คญั คือ อลั โคสเตอโรน ซึงควบคุมการทาํ งานของไตในการดูดนาํ และโซเดียมเขา้ สู่เสน้ เลอื ด ทงั ยงั ควบคุมสมดุลของความเขม้ ขน้ ของฟอสเฟตในร่างกายดว้ ย ( ) ฮอร์โมนเพศ (Adrenalsex hormone) สร้างฮอร์โมนหลายชนิด เช่น แอนโดรเจน เอสโตร เจน แต่มีปริมาณเลก็ นอ้ ย เมอื เทียบกบั ฮอร์โมนเพศจากอณั ฑะและไข่ ) อะดรีนลั เมดลั ลา ฮอร์โมนจากอะดรีนลั เมดลั ลา ประกอบดว้ ยฮอร์โมนสาํ คญั ชนิด คือ อะดรีนลั นาลนี หรือเอปิ เนฟริน และนอร์อะดรีนาลินหรือนอร์เอปิ เนฟริน ปกติฮอร์โมนจากอะดรีนลั เมดลั ลาจะเป็นอะดรีนาลินประมาณร้อยละ และนอร์อะดรีนาลินเพยี งร้อยละ ในผใู้ หญ่จะพบฮอร์โมนทงั สองชนิด แต่ในเด็กจะมเี ฉพาะนอร์อะดรีนาลนิ เท่านนั ( ) อะดรีนาลนิ ฮอร์โมน (Adrenalin hormone) หรือฮอร์โมนเอปิ เนฟริน (Epinephrine) ฮอร์โมนอะดรีนาลินเป็ นฮอร์โมนทีหลงั ออกมาแลว้ มีผลให้นาํ ตาลในเลือดเพิมมากขึน นอกจากนียงั กระตุน้ ใหห้ วั ใจเตน้ เร็ว ความดนั เลือดสูง ทาํ ใหเ้ สน้ เลือดอาร์เตอรีขนาดเลก็ ทีอวยั วะต่าง ๆ ขยายตวั ส่วน เสน้ เลอื ดอาร์เตอรีขนาดเลก็ ทีบริเวณผวิ หนงั และช่องทอ้ งหดตวั ( ) นอร์อะดรีนาลินฮอร์โมน (Noradrenalin hormone) หรือฮอร์โมนนอร์เอปิ เนฟริน (noepinephrine) ฮอร์โมนนอร์อะดรีนาลินจะแสดงผลต่อร่างกายคลา้ ยกบั ผลของอะดรีนาลินฮอร์โมน แต่ อะดรีนาลินฮอร์โมนมีผลดีกว่า โดยฮอร์โมนชนิดนีจะหลงั ออกมาจากปลายเส้นประสาทซิมพาเทติกได้ อกี ดว้ ยฮอร์โมนนีจะทาํ ใหค้ วามดนั เลอื ดสูงขึน ทาํ ใหห้ ลอดเลือดอาร์เตอรีทีไปเลียงอวยั วะภายในต่าง ๆ บีบตวั 2.4 ตับอ่อน ภายในเนือเยือตบั อ่อนจะมีไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์เป็ นต่อมเลก็ ๆ ประมาณ , , ต่อม หรือมีจาํ นวนประมาณร้อยละ ของเนือเยือตบั อ่อนทงั หมด ฮอร์โมนผลิตจากไอส์เลต ออฟแลงเกอร์ฮานส์ทีสาํ คญั ชนิดคือ

27 ) อินซูลนิ (Insulin) สร้างมาจากเบตาเซลลท์ ีบริเวณส่วนกลางของไอส์เลตออฟแลงเกอร์ ฮานส์ หนา้ ทีสาํ คญั ของฮอร์โมนนี คือ รักษาระดบั นาํ ตาลในเลอื ดใหเ้ ป็นปกติ เมือร่างกายมนี าํ ตาลในเลือด สูงอินซูลินจะหลงั ออกมามากเพือกระตุน้ เซลลต์ บั และเซลลก์ ลา้ มเนือนาํ กลูโคสเขา้ ไปในเซลลม์ ากขึน และเปลียนกลโู คสใหเ้ ป็นไกลโคเจนเพือเกบ็ สะสมไว้ นอกจากนีอินซูลินยงั กระตุน้ ใหเ้ ซลลท์ วั ร่างกายมี การใชก้ ลโู คสมากขึน ทาํ ใหร้ ะดบั นาํ ตาลในเลือดลดลงสู่ระดบั ปกติ ถา้ กลุ่มเซลลท์ ีสร้างอินซลู ินถกู ทาํ ลาย ระดบั นาํ ตาลในเลือดจะสูงกวา่ ปกติทาํ ใหเ้ ป็นโรคเบาหวาน ) กลูคากอน (Glucagon) เป็นฮอร์โมนทีสร้างจากแอลฟาเซลล์ ซึงเป็นเซลลอ์ ีกประเภทหนึง ของไอสเ์ ลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ กลคู ากอนจะไปกระตุน้ การสลายตวั ของไกลโคเจนจากตบั และกลา้ มเนือ ใหน้ าํ ตาลกลโู คสปล่อยออกมาในเลือดทาํ ใหเ้ ลือดมีกลโู คสเพมิ ขึน 2.5 รังไข่ (Ovaries) ต่อมอวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศหญิงซึงอย่ทู ีรังไข่จะสร้างฮอร์โมนทีสาํ คญั คือ เอสโตรเจน (estrogens) และโปรเจสเตอโรน (progesterrone) ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีหนา้ ทีสาํ คญั ในการควบคุมลกั ษณะของเพศหญิง คือ ลกั ษณะการมี เสียงแหลม สะโพกผาย การขยายใหญ่ของอวยั วะเพศและเตา้ นม การมีขนขึนตามอวยั วะเพศและรักแร้ นอกจากนียงั มสี ่วนในการควบคุมการเปลียนแปลงทีรังไข่และเยอื บุมดลกู อกี ดว้ ย ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็ นฮอร์โมนทีสร้างจากส่วนของอวยั วะเพศ คือ คอร์ปัส ลูเตียม และบางส่วนสร้างมาจากรกเมอื มีครรภ์ นอกจากนียงั สร้างมาจากอะดรีนลั คอร์เทกซ์ ไดอ้ ีกดว้ ย ฮอร์โมน ชนิดนีเป็ นฮอร์โมนทีสําคัญทีสุดในการเตรี ยมการตงั ครรภ์ และตลอดระยะเวลาของการตังครรภ์ มีบทบาทโดยเฉพาะต่อเยอื บุมดลกู ทาํ ใหม้ กี ารเปลียนแปลงทีรังไข่และมดลกู การทาํ งานของฮอร์โมนเพศ นียงั อยภู่ ายใตก้ ารควบคุมของฮอร์โมน ฟอลลิเคิล สติมิวเลดิง ฮอร์โมน (follicle stmulating hormone เรียกยอ่ ๆ ว่า FSH ) และ ลนู ิไนซิง ฮอร์โมน ( luteinging hormone เรียกยอ่ ๆ ว่า LH ) จากต่อมใตส้ มอง ส่วนหนา้ อกี ดว้ ย 2.6 อณั ฑะ (Testis) ต่อมอวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศชายซึงอยทู่ ีอณั ฑะจะสร้างฮอร์โมนทีสาํ คญั ทีสุด คือ เทสโตสเตอโรน (testosterone) ซึงจะสร้างขึนเมือเริ มวยั หนุ่ม โดยกลุ่มเซลลอ์ ินเตอร์สติเซียล สติมวิ เลติง ฮอร์โมน ( interstitial cell stimulating hormone เรียกยอ่ ๆ ว่า ICSH) จะไดร้ ับการกระตุน้ จาก ฮอร์โมนจากต่อมใตส้ มองส่วนหน้า คือ LH หรือ ICSH นอกจากสร้างเทสโทสเตอโรนแลว้ ยงั พบว่า อนิ เตอร์เซลลส์ ติเซียลยงั สามารถสร้างฮอร์โมนเพศหญิง คือเอสโตรเจน (estrogen) ไดอ้ กี ดว้ ย ฮอร์โมนนีทาํ หน้าทีควบคุมลกั ษณะทีสองของเพศชาย (secondary sex characteristic) ซึงมี ลกั ษณะสาํ คญั คือ เสียงแตก นมขึนพาน ลกู กระเดือกแหลม มีหนวดขึนบริเวณริมฝี ปาก มีขนขึนบริเวณ หนา้ แขง้ รักแร้และอวยั วะเพศ กระดูกหัวไหล่กวา้ งและกลา้ มเนือตามแขน ขา เติบโตแข็งแรงมากกว่าเพศ ตรงขา้ ม

28 ความผดิ ปกติเกียวกบั ฮอร์โมน ทีพบมีดงั นี (1) ถา้ ตดั อณั ฑะออก นอกจากจะเป็ นหมนั แลว้ ยงั มีผลให้ลกั ษณะต่างๆ ทีเกียวกบั เพศไม่ เจริญเหมือนปกติ (2) ถา้ ระดบั ฮอร์โมนสูงหรือสร้างฮอร์โมนก่อนถงึ วยั หนุ่มมาก เนืองจากมีเนืองอกทีอณั ฑะ จะทาํ ใหเ้ กิดการเติบโตทางเพศก่อนเวลาอนั สมควร (percocious puberty) ไม่ว่าจะเป็ นลกั ษณะทางเพศ และอวยั วะสืบพนั ธุ์

29 ต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ทีสําคญั พร้อมชือฮอร์โมนและหน้าที ต่อมไร้ท่อ หน้าที ต่อมใต้สมอง ไธโรโทรฟิ น (Thyrotrophin) ควบคุมการทาํ งานของต่อมไทรอยด์ คอร์ดิโคโทรฟิ น (Corticotrophin) ควบคุมปริมาณสารจากต่อมหมวกไต โกนาโดโทรฟิน (Gonadotrophin) ควบคุมสารต่อมอวยั วะเพศ โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย วาโซเปรซซิน (Vasopressin) ควบคุมปริมาณนาํ ทขี บั ออกจากไต โปรแลกติน (Prolactin) กระตุน้ การสร้างนาํ นม ออกซิโตซิน (Oxytocin) กระตุน้ การหดตวั ของกลา้ มเนือมดลกู ขณะเดก็ เกิด ต่อมไทรอยด์ หลงั ฮอร์โมน ไธรอกซิน (Thyroxin) ควบคุมอตั ราการเปลยี นอาหารเป็นความร้อนและพลงั งานใน การควบคุมการเจริญเติบโตตามปกติ และการทาํ งานของ ระบบ ต่อมพาราไธรอยด์ หลงั ฮอร์โมน พาราธอร์โมน (Parathormone) กระตุน้ ให้กระดูกปล่อยแคลเซียมออกมาและควบคุมระดบั ของแคลเซียมในเลอื ด ต่อมหมวกไต ประกอบดว้ ยส่วน คอร์เทกซ์ (cortex) และเมดุลลา ผลติ จากส่วนเมดุลลา ฮอร์โมนนีจะเพมิ กาํ ลงั ใหก้ บั ระบบ (medulla) หลงั ฮอร์โมน ประสาทซิมพาเธติก ในการรับความรู้สึกกลวั โกรธ และ ตืนเตน้ อะดรีนาลนิ และนอร์อะดรีนาลนิ สารสเตอรอย์ (steroid) ผลติ จากคอร์เทกซ์ ช่วยในการป้ องกนั (Adrenalin and Noradrenalin) การตกใจ คอร์ติโซน (Cortisone) ส่วนคอร์เทกซ์ ช่วยควบคุมสมดุลเกลือแร่ต่าง ๆ และนาํ ในร่างกาย อลั โดสเตอโรน (Aldosterone) ตบั อ่อน อินซูลิน (Insulin) ควบคุมการใชน้ าํ ตาลของร่างกาย รังไข่ (ต่อมอวยั วะสืบพนั ธุเ์ พศหญิง) เอสโตรเจน (estrogen) ควบคุมลกั ษณะเพศหญิงตอนวยั รุ่น หยดุ การเจริญของกระดูก และกระตุน้ มดลกู รับการตกไข่ โปรเจสเตอโรน (progesterone) เตรียมมดลกู สาํ หรับการตงั ครรภ์ระหว่างตงั ครรภ์รกจะผลติ ฮอร์โมน

30 ต่อมไร้ท่อ หน้าที สาํ หรับการเจริญของทารกและปรับตวั แมส่ าํ หรับการตงั ครรภ์ อณั ฑะ (ต่อมของอวยั วะสืบพนั ธุเ์ พศชาย) เทสโตสเตอโรน (testosterone) ควบคุมลกั ษณะเพศชายตอนวยั รุ่น ตารางสรุปหน้าทแี ละอวยั วะทเี กยี วข้องของระบบต่างๆ ในร่างกาย ระบบ หน้าที อวยั วะทเี กยี วข้อง ระบบห่อหุม้ ร่างกาย ห่อหุม้ และปกป้ องร่างกาย ผวิ หนงั ขน เลบ็ ระบบยอ่ ยอาหาร ย่อยอาหารจนสามารถดูดซึมเข้า ปาก ฟัน ลิน ต่อมนําลาย หลอดอาหาร ร่างกาย กระเพาะอาหาร ลาํ ไส้ใหญ่ ทวารหนกั ตบั ตบั อ่อน ถงุ นาํ ดี ระบบต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมน ต่อมใตส้ มอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ อณั ฑะ ระบบไหลเวียนเลือด ลาํ เลียงก๊าซ สารอาหาร ของเสีย หัวใจ เส้นเลือด ม้าม ท่อนําเหลือง ต่อม และนาํ เหลอื ง ฮอร์โมนและสารเคมีเขา้ และออก นาํ เหลอื ง จากร่างกาย ระบบประสาท รับและส่งความรู้สึก ควบคุมการ สมอง เส้นประสาท อวยั วะรับความรู้สึก ทาํ งานของอวยั วะต่างๆ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ปาก ลนิ ฟัน ผวิ หนงั ระบบหายใจ รับออกซิเจนเขา้ สู่ร่างกายและปล่อย จมกู หลอดลม ปอด คาร์ บอน ไดออก ไซด์ออก จา ก ร่างกาย ระบบกลา้ มเนือ การเคลือนไหวทังภายในและ กล้ามเนื อต่ างๆ เช่น กล้ามเนื อเรี ยบ ภายนอกร่างกาย กลา้ มเนือลาย กลา้ มเนือหวั ใจ ระบบโครงกระดกู เป็นโครงสร้างใหก้ บั ร่างกาย กระดูกชินต่างๆ ทีประกอบเป็ นแกนกลาง และระบบของร่างกาย ระบบโครงกระดูก รวมกบั ระบบกลา้ มเนือเรียกวา่ “ระบบเคลอื นไหว” ระบบสืบพนั ธุ์ ผลิตเซลลส์ ืบพนั ธุแ์ ละควบคุมกลไก อณั ฑะ ต่อมลกู หมาก รังไข่ มดลกู สืบพนั ธุ์ อวยั วะเพศ ระบบขบั ถ่าย กําจัดและกรองของเสียออกจาก ปอด ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ผวิ หนัง ร่างกาย ลาํ ไสใ้ หญ่

31 กจิ กรรม 1. ดูวดี ีทศั น์ในแผน่ VCD เรืองการทาํ งานของระบบอวยั วะต่างๆ ของร่างกาย และสรุป สาระสาํ คญั จากเนือเรือง ประมาณ บรรทดั 2. จงอธิบายการทาํ งานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ทีสาํ คญั ต่อร่างกายตามลาํ ดบั มา ระบบ พร้อมบอกเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงมคี วามสาํ คญั

32 เรืองที การดูแลรักษาระบบของร่างกายทีสําคญั ระบบต่างๆ ของร่างกายทีทาํ งานปกติ จะทาํ ใหม้ นุษยด์ าํ รงชีวิตอยไู่ ดอ้ ยา่ งมีความสุข หากระบบ ของร่างกายระบบใดระบบหนึงทาํ งานผดิ ปกติไปจะทาํ ใหร้ ่างกายเกิดเจ็บป่ วย มีความทุกขท์ รมาน และไม่ สามารถประกอบภารกิจต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเต็มความสามารถ ดงั นนั ทุกคนควรพยายามบาํ รุงรักษาสุขภาพให้ แขง็ แรงสมบูรณ์อยเู่ สมอ วิธีการดูแลรักษาระบบของร่างกายทีสาํ คญั มีดงั นี 1. ระบบย่อยอาหาร 1.1. รับประทานอาหารทีสะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการ 1.2. หลกี เลียงการรับประทานอาหารรสจดั และร้อนเกินไป 1.3. เคียวอาหารใหล้ ะเอยี ด 1.4. ดืมนาํ ใหเ้ พยี งพอ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ – แกว้ 1.5. ไมอ่ อกกาํ ลงั กายหรือทาํ งานหนกั ทนั ทีหลงั รับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ 1.6. พกั ผอ่ นใหเ้ พียงพอ 1.7. ขบั ถา่ ยใหเ้ ป็นเวลาทุกวนั 1.8. หลีกเลยี งปัจจยั ทีทาํ ใหเ้ กิดความเครียด . ทาํ จิตใจใหร้ ่าเริงแจ่มใสอยเู่ สมอ . ออกกาํ ลงั กายสมาํ เสมอ 2. ระบบขับถ่าย 2.1. รับประทานอาหารทีสะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการ 2.2. ไม่รับประทานอาหารทีมีรสจดั 2.3. รับประทานผกั และผลไมห้ รืออาหารทีมีกากอาหารอยา่ งสมาํ เสมอ 2.4. รับประทานนาํ ใหเ้ พยี งพอ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ – แกว้ 2.5. ออกกาํ ลงั กายอยา่ งสมาํ เสมอ 2.6. พกั ผอ่ นใหเ้ พยี งพอ 2.7. หลกี เลยี งสิงทีทาํ ใหเ้ กิดความเครียด 2.8. รักษาความสะอาดของร่างกายอยตู่ ลอดเวลา 2.9. ขบั ถา่ ยใหเ้ ป็นปกติทุกวนั 2.10. ทาํ จิตใจใหร้ ่าเริงแจ่มใสอยเู่ สมอ 3. ระบบประสาท 3.1. รับประทานอาหารประเภททีช่วยส่งเสริมและบาํ รุงประสาท อาหารทีมีวิตามินบีมาก ๆ เช่น ขา้ วซอ้ มมือ รําขา้ ว ไข่ ตบั ยีสต์ ผกั สีเขียว ผลไมส้ ด และนาํ ผลไม้ เป็ นตน้ ควรหลีกเลียงอาหาร ประเภทแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เป็นตน้

33 3.2. พกั ผ่อนให้เพียงพอกับความตอ้ งการของร่างกายแต่ละวยั ไม่เคร่งเครียดหรือกังวล เกินไป ควรหลีกเลยี งจากสถานการณ์ทีทาํ ใหไ้ ม่สบายใจ 3.3. ออกกาํ ลงั กายสมาํ เสมอ ซึงเป็นหนทางทีดีในการผอ่ นคลาย 3.4. ไม่ควรใชอ้ วยั วะต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินไป อาจทาํ ให้ประสาทส่วนนันทาํ งานหนัก เกินไป เช่น การทาํ งานหนา้ จอคอมพิวเตอร์นานเกินไป อาจทาํ ใหป้ ระสาทตาเสือมได้ เป็นตน้ 3.5. ควรหมนั ฝึ กการใชส้ มองแกป้ ัญหาบ่อย ๆ เป็ นการเพิมพูนสติปัญญาและป้ องกนั โรค ความจาํ เสือมหรือสมองเสือม 4. ระบบสืบพนั ธ์ุ 4.1. เพศชาย 1) อาบนาํ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ ครัง และใชส้ บู่ฟอกชาํ ระลา้ งร่างกายและอวยั วะสืบพนั ธุ์ ใหส้ ะอาด เช็ดตวั ใหแ้ หง้ 2) สวมเสือผา้ ให้สะอาด โดยเฉพาะกางเกงในตอ้ งสะอาด สวมใส่สบายไม่รัดแน่น เกินไป 3) ไม่ใชส้ ว้ มหรือทีถ่ายปัสสาวะทีผดิ สุขลกั ษณะ 4) ไมเ่ ทียวสาํ ส่อน หรือร่วมประเวณีกบั หญิงขายบริการทางเพศ 5) หากสงสยั วา่ จะเป็นกามโรค หรือมีความผดิ ปกติเกียวกบั อวยั วะสืบพนั ธุต์ อ้ งรีบไป ปรึกษาแพทย์ ไมค่ วรซือยารับประทานเพอื รักษาโรคดว้ ยตนเอง 6) ไม่ควรใชย้ าหรือสารเคมีต่างๆ ช่วยในการกระตุน้ ความรู้สึกทางเพศ ซึงอาจเป็ น อนั ตรายได้ 7) ไม่หมกมุ่นหรื อหักโหมเกียวกับการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป เพราะอาจเป็ น อนั ตรายต่อสุขภาพทงั ทางร่างกายและจิตใจ ควรทาํ กิจกรรมนนั ทนาการ การเลน่ กีฬาหรืองานอดิเรกอืน ๆ เพือเป็ นการเบนความสนใจไปสู่กิจกรรมอืนแทน 8) ระวงั อยา่ ใหอ้ วยั วะสืบพนั ธุถ์ กู กระทบกระแทกแรงๆ เพราะจะทาํ ใหช้ าํ และเกิดการ อกั เสบเป็นอนั ตรายได้ 4.2. เพศหญงิ 1) รักษาความสะอาดอวยั วะเพศอย่างสมาํ เสมอ โดยเฉพาะเวลาอาบนาํ ควรสนใจทาํ ความสะอาดเป็ นพิเศษ เช่น ลา้ ง เช็ดใหแ้ ห้ง โดยเฉพาะในช่วงทีมีประจาํ เดือน ควรใชน้ ําอุ่นทาํ ความ สะอาดส่วนทีเปรอะเปื อนเลือด เป็นตน้ 2) หลงั จากการปัสสาวะและอุจจาระเสร็จทุกครัง ควรใชน้ าํ ลา้ งและเชด็ ใหส้ ะอาด 3) ควรสวมเสือผา้ ทีสะอาดรัดกุม กางเกงในตอ้ งสะอาด สวมใส่สบาย ไม่อบั หรือรัด แน่นเกินไป และควรเปลยี นทุกวนั 4) รักนวลสงวนตวั ไม่ควรมเี พศสมั พนั ธก์ ่อนแต่งงาน

34 5) ไม่ควรใชย้ ากระตุน้ หรือยาปลุกประสาทกบั อวยั วะเพศ 6) การใชส้ ว้ มหรือทีถ่ายปัสสาวะอจุ จาระทุกครังจะตอ้ งคาํ นึงถงึ ความสะอาดและ ถกู สุขลกั ษณะ 7) ควรออกกาํ ลงั กายหรือทาํ งานอดิเรกเพอื เบนความสนใจของตนเองไปในทางอนื 8) ขณะมีประจาํ เดือนควรใชผ้ า้ อนามยั อยา่ งเพยี งพอและควรเปลียนใหบ้ ่อยตามสมควร อยา่ ปล่อยไวน้ านเกินไป 9) ในช่วงมีประจาํ เดือน ไม่ควรออกกาํ ลงั กายประเภททีผาดโผนและรุนแรง แต่การ ออกกาํ ลงั กายเพยี งเบาๆ จะช่วยบรรเทาอาการเจบ็ ปวดหรืออาการอดึ อดั ลงได้ และควรพกั ผอ่ นนอนหลบั ใหเ้ พียงพอ ทาํ จิตใจใหแ้ จ่มใส 10) ควรจดบนั ทึกการมปี ระจาํ เดือนไวท้ ุกๆ เดือน การทีประจาํ เดือนมาเร็วหรือชา้ บา้ ง เลก็ นอ้ ยไม่ถือเป็นการผดิ ปกติแต่อยา่ งไร แต่ถา้ มปี ระจาํ เดือนเร็วหรือชา้ กวา่ ปกติมากกว่า – วนั ขึนไป ควรปรึกษาแพทย์ 11) ในช่วงทีมปี ระจาํ เดือน ถา้ มอี าการปวดทีทอ้ งนอ้ ย อาจใชก้ ระเป๋ านาํ ร้อนหรือผา้ ห่ม มาวางทีทอ้ งนอ้ ยเพอื ใหค้ วามอบอุน่ และอาจรับประทานยาแกป้ วดไดต้ ามสมควร 12) ถา้ มีอาการผดิ ปกติในช่วงทีมีประจาํ เดือน เช่น มีอาการปวดมาก มีเลือดออกมาก หรือมเี ลือดไหลออกในช่วงทีไม่มีประจาํ เดือน ควรรีบปรึกษาแพทยท์ นั ที 13) ระวงั อย่าให้อวยั วะสืบพนั ธุ์ถกู กระทบกระแทกแรงๆ เพราะจะทาํ ให้ชาํ เกิดการ อกั เสบและเป็นอนั ตรายได้ 14) ถา้ หากมีการเปลียนแปลงทีผดิ ปกติของอวยั วะเพศ หรือสงสยั ว่าจะเป็ นกามโรค ควรรีบไปรับการตรวจและปรึกษาแพทยท์ นั ที 5. ระบบต่อมไร้ท่อ 5.1. รับประทานอาหารทีสะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการ 5.2. ดืมนาํ สะอาดใหเ้ พยี งพอ 5.3. ออกกาํ ลงั กายอยา่ งสมาํ เสมอ 5.4. พกั ผอ่ นใหเ้ พียงพอ 5.5. หลีกเลียงสิงทีก่อใหเ้ กิดความเครียด 5.6. หลีกเลยี งจากสภาพแวดลอ้ มทีอยอู่ าศยั ทีสกปรกและอยใู่ นชุมชนแออดั 5.7. เมอื เกิดอาการเจ็บคอหรือต่อมทอนซิลอกั เสบตอ้ งรีบไปใหแ้ พทยต์ รวจรักษา 5.8. เมือรู้สึกตวั ว่าเหนือย อ่อนเพลีย และเจ็บหนา้ อก โดยมีอาการเช่นนีอย่นู าน ควรไปให้ แพทยต์ รวจดอู าการ เพราะหวั ใจอาจผดิ ปกติได้

35 กจิ กรรม 1. จงสรุ ปความสําคญั และอธิบายการทาํ งานของระบบอวยั วะในร่ างกาย ระบบ พร้อม แผนภาพประกอบ 2. การดแู ลรักษาระบบยอ่ ยอาหารควรทาํ อยา่ งไร เพราะอะไร จงอธิบายพร้อมใหเ้ หตุผล

36 บทที ปัญหาเพศศึกษา สาระสําคญั มีความรู้ความเข้าใจเกียวกับปัญหาทางเพศ มีทักษะในการสือสารและต่อรองเพือทาํ ความ ช่วยเหลอื เกียวกบั ปัญหาทางเพศได้ สามารถอธิบายวิธีการจดั การกบั อารมณ์และความตอ้ งการทางเพศได้ อยา่ งเหมาะสม เขา้ ใจถึงความเชือทีผดิ เกียวกบั เรืองเพศทีส่งผลต่อสุขภาพทางเพศ ตลอดจนเรียนรู้ถึง กฎหมายทีเกียวขอ้ งกบั การล่วงละเมดิ ทางเพศและกฎหมายคุม้ ครองเด็กและสตรี ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. เรียนรู้ทกั ษะการสือสารและต่อรองเพือขอความช่วยเหลอื เกียวกบั ปัญหาทางเพศได้ 2. เรียนรู้การจดั การกบั อารมณ์และความตอ้ งการกบั ปัญหาทางเพศไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. เรียนรู้และสามารถวเิ คราะห์ความเชือเรืองเพศทีส่งผลต่อปัญหาทางเพศไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 4. เรียนรู้และสามารถวเิ คราะห์อิทธิพลสือทีส่งผลใหเ้ กิดปัญหาทางเพศได้ 5. อธิบายกฎหมายทีเกียวขอ้ งกบั การล่วงละเมดิ ทางเพศไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ขอบข่ายเนือหา เรืองที ทกั ษะการจดั การปัญหาทางเพศ เรืองที ปัญหาทางเพศในเด็กและวยั รุ่น เรืองที การจดั การกบั อารมณ์และความตอ้ งการทางเพศ เรืองที ความเชือทีผดิ ๆ ทางเพศ เรืองที กฎหมายทีเกียวขอ้ งกบั การละเมิดทางเพศ

37 เรืองที ทกั ษะการจดั การปัญหาทางเพศ พฒั นาการเรืองเพศในเด็กและวยั รุ่น เกียวข้องกบั ชีวิต ตังแต่เด็กจนโต การทีบุคคลได้เรียนรู้ ธรรมชาติ ความเป็ นจริงทางเพศ จะช่วยใหม้ ีความรู้ มีทศั นคติ สามารถปรับตวั ตามพฒั นาการของชีวิต อยา่ งเหมาะสม และมีพฤติกรรมถกู ตอ้ งในเรืองเพศ สามารถสอนไดต้ งั แต่เด็กยงั เล็ก สอดแทรกไปกบั การ ส่งเสริมพฒั นาการดา้ นอืนๆ พ่อแมค่ วรเป็นผสู้ อนเบืองตน้ เมือเขา้ สู่โรงเรียน ครูช่วยสอนให้สอดคลอ้ งไป กบั ทีบา้ น เมอื เด็กเริมเขา้ สู่วยั รุ่น ควรส่งเสริมใหเ้ ด็กเรียนรู้พฒั นาการทางเพศทีถูกตอ้ งและรู้วิธีจดั การกบั อารมณ์ความตอ้ งการทางเพศเพอื ป้ องกนั ปัญหาทางเพศทีอาจเกิดตามมา พฒั นาทางเพศกบั การพฒั นาบุคลกิ ภาพ พฒั นาการทางเพศ เป็นส่วนหนึงของพฒั นาการบุคลกิ ภาพทีเกิดขึนตงั แต่เดก็ และมีความต่อเนือง ไปจนพฒั นาการเต็มทีในวยั รุ่ น หลังจากนันจะเป็ นส่วนหนึงของบุคลิกภาพทีติดตัวตลอดชีวิต โดยเมอื สินสุดวยั รุ่นจะมกี ารเปลียนแปลงต่อไปนี 1. มีความรู้เรืองเพศตามวยั และพฒั นาการทางเพศ ตงั แต่การเปลียนแปลงของร่างกายไปตามวยั จิตใจ อารมณ์และสงั คม ทงั ตนเองและผอู้ ืน และเรียนรู้ความแตกต่างกนั ระหวา่ งเพศ 2. มเี อกลกั ษณ์ทางเพศของตนเอง ไดแ้ ก่ การรับรู้เพศตนเอง บทบาททางเพศและพฤติกรรมทาง เพศ มคี วามพงึ พอใจทางเพศหรือความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงขา้ มหรือต่อเพศเดียวกนั 3. มพี ฤติกรรมการรักษาสุขภาพทางเพศ การรู้จกั ร่างกายและอวยั วะเพศของตนเอง ดูแลรักษา ทาํ ความสะอาด ป้ องกนั การบาดเจบ็ การติดเชือ การถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศและการป้ องกนั พฤติกรรมเสียง ทางเพศ 4. มีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผูท้ ีจะเป็ นคู่ครอง การเลือกคู่ครอง การรักษา ความสัมพันธ์ให้ยาวนานการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตร่ วมกันมีทักษะในการสือสารและ การมีความสมั พนั ธท์ างเพศกบั คู่ครองอยา่ งมีความสุข มีการวางแผนชีวติ และครอบครัวทีเหมาะสม 5. เขา้ ใจบทบาทในครอบครัว ไดแ้ ก่ บทบาทและหนา้ ทีสาํ หรับการเป็ นลกู การเป็ นพี – นอ้ ง และสมาชิกคนหนึงในครอบครัว หน้าทีและความรับผดิ ชอบการเป็ นพ่อแม่ทีถกู ตอ้ งตามกฎหมาย และ ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมของสงั คมทีอยู่ 6. มีทศั นคติทางเพศทีถกู ตอ้ ง ภมู ิใจ พอใจในเพศของตนเอง ไม่รังเกียจหรือปิ ดบงั ปิ ดกนั การ เรียนรู้ทางเพศทีเหมาะสม รู้จกั ควบคุมพฤติกรรมทางเพศใหแ้ สดงออกถูกตอ้ ง ให้เกียรติผูอ้ ืน ไม่ล่วง ละเมิดทางเพศต่อผอู้ นื ยบั ยงั ใจตนเองไมใ่ หม้ เี พศสมั พนั ธก์ ่อนวยั อนั ควร

38 เรืองที ปัญหาทางเพศในเดก็ และวยั รุ่น ปัญหาทางเพศในเด็กและวยั รุ่นแบ่งตามประเภทต่างๆ ไดด้ งั นี 1. ความผดิ ปกตใิ นเอกลกั ษณ์ทางเพศ เด็กมพี ฤติกรรมผดิ เพศ เดก็ รู้สึกว่าตนเองเป็ นเพศตรงขา้ มกบั เพศทางร่างกายมาตงั แต่เด็ก และมี พฤติกรรมทางเพศเป็นแบบเดียวกบั เพศตรงขา้ ม ไดแ้ ก่  การแต่งกายชอบแต่งกายผดิ เพศ เด็กชายชอบสวมกระโปรงและรังเกียจกางเกง เด็กหญิง รังเกียจกระโปรงแต่ชอบสวมกางเกง เดก็ ชายชอบแต่งหนา้ ทาปาก ชอบดูแม่แต่งตวั และเลยี นแบบแม่  การเล่น มกั เลน่ เลยี นแบบเพศตรงขา้ ม หรือชอบเล่นกบั เพศตรงขา้ ม เด็กชายมกั ไม่ชอบ เลน่ รุนแรงชอบเลน่ กบั ผหู้ ญิงและมกั เขา้ กลุ่มเพศตรงขา้ มเสมอ เป็นตน้  จินตนาการวา่ ตนเองเป็นเพศตรงขา้ มเสมอแมใ้ นการเล่นสมมตุ ิกม็ กั สมมตุ ิตนเองเป็นเพศ ตรงขา้ มเด็กชายอาจจิตนาการวา่ ตวั เองเป็นนางฟ้ า หรือเจา้ หญิง เป็นตน้  พฤติกรรมทางเพศ เด็กไม่พอใจในอวยั วะเพศของตนเอง บางคนรู้สึกรังเกียจหรือแสร้ง ทาํ เป็ นไม่มีอวยั วะเพศหรือตอ้ งการกาํ จดั อวยั วะเพศออกไป เด็กหญิงจะยืนปัสสาวะ เด็กชายจะนังถ่าย ปัสสาวะเลยี นแบบพฤติกรรมทางเพศของเพศตรงขา้ มโดยตงั ใจและไม่ไดต้ งั ใจ อาการต่าง ๆ เหลา่ นีเกิดขึนแลว้ ดาํ เนินอยา่ งต่อเนือง เด็กอาจถูกลอ้ เลียน ถูกกีดกนั ออกจากกลุ่ม เพอื นเพศเดียวกนั เดก็ มกั พอใจในการเขา้ ไปอยกู่ บั กลุม่ เพือนต่างเพศ และถ่ายทอดพฤติกรรมของเพศตรง ขา้ มทีละนอ้ ย ๆ จนกลายเป็นบุคลกิ ภาพของตนเอง เมือเข้าสู่วยั รุ่ น เด็กมีความรู้สึกไม่สบายใจเกียวกับเพศของตนเองมากขึน และต้องการ เปลยี นแปลงเพศตนเอง จนกลายเป็นบุคลกิ ภาพของตนเอง 2. รักร่วมเพศ (Homosexualism) อาการ เริมเห็นชดั เจนตอนเขา้ วยั รุ่น เมอื เริมมีความรู้สึกทางเพศ ทาํ ใหเ้ กิดความพึงพอใจทางเพศ (sexual orientation) โดยมีความรู้สึกทางเพศ ความตอ้ งการทางเพศ อารมณ์เพศกบั เพศเดียวกนั รักร่วมเพศยงั รู้จกั เพศตนเองตรงตามทีร่างกายเป็ น รักร่วมเพศชายบอกตนเองว่าเป็ นเพศชาย รักร่ วมเพศทีเป็ นหญิงบอกเพศตนเองว่าเป็ นเพศหญิง การแสดงออกว่าชอบเพศเดียวกนั มที งั แสดงออกชดั เจนและไม่ชดั เจน กิริยาท่าทางและการแสดงออกภายนอก มีทงั ทีแสดงออกชดั เจนและไม่แสดงออก ขึนอยู่กับ บุคลกิ ของผนู้ นั และการยอมรับของสงั คม ชายชอบชาย เรียกว่า เกย์ (gay) หรือตุด๊ แต๋ว เกยย์ งั มีประเภทยอ่ ย เป็นเกยค์ ิง และเกยค์ วีน เกยค์ ิง แสดงบทบาทภายนอกเป็นชาย การแสดงออกทางเพศ (gender role) ไมค่ ่อยเป็นหญิง จึงดูภายนอกเหมอื น ผชู้ ายปกติธรรมดา แต่เกยค์ วีนแสดงออกเป็นเพศหญิง เช่น กิริยาท่าทาง คาํ พดู ความสนใจ กิจกรรมต่าง ๆ ความชอบต่าง ๆ เป็นหญิง

39 หญิงชอบหญิง เรียกว่า เลสเบียน (lesbianism) การแสดงออกมี แบบเช่นเดียวกบั เกย์ เรียกว่า ทอมและดี ดีแสดงออกเหมือนผหู้ ญิงทวั ไป แต่ทอมแสดงออก (gender role) เป็ นชาย เช่น ตดั ผมสัน สวมกางเกงไม่สวมกระโปรง ในกลุ่มรักร่วมเพศ ยงั มีประเภทย่อยอีกประเภทหนึง ทีมีความพึงพอใจทางเพศไดท้ งั สองเพศ เรียกวา่ ไบเซกซวล (bisexualism) มีความรู้สึกทางเพศและการตอบสนองทางเพศไดท้ งั สองเพศ สาเหตุ ปัจจุบนั มีหลกั ฐานสนบั สนุนวา่ สาเหตุมหี ลายประการประกอบกนั ทงั สาเหตุทางร่างกาย พนั ธุกรรม การเลยี งดู และสิงแวดลอ้ มภายนอก การช่วยเหลอื พฤติกรรมรักร่วมเพศเมือพบในวยั เดก็ สามารถเปลยี นแปลงได้ โดยการแนะนาํ การ เลยี งดู ใหพ้ ่อแม่เพศเดียวกนั ใกลช้ ิดมากขึน พอ่ แมเ่ พศตรงขา้ มสนิทสนมนอ้ ยลง เพือใหเ้ กิดการถ่ายทอด แบบอยา่ งทางเพศทีถกู เพศ แต่ตอ้ งใหม้ ีความสมั พนั ธด์ ีๆ ต่อกนั ส่งเสริมกิจกรรมเหมาะสมกบั เพศ เด็กชาย ใหเ้ ล่นกีฬาส่งเสริมความแข็งแรงทางกาย ใหเ้ ดก็ อยใู่ นกลมุ่ เพอื การเรียนรู้เพศเดียวกนั ถา้ รู้ว่าเป็ นรักร่วมเพศตอนวยั รุ่น ไม่สามารถเปลียนแปลงแกไ้ ขได้ การช่วยเหลือทาํ ไดเ้ พียงให้ คาํ ปรึกษาแนะนาํ ในการดาํ เนินชีวิตแบบรักร่วมเพศอยา่ งไร จึงจะเกิดปัญหานอ้ ยทีสุด และใหค้ าํ แนะนาํ พ่อแมเ่ พือใหท้ าํ ใจยอมรับสภาวการณ์นี โดยยงั มคี วามสมั พนั ธท์ ีดีกบั ลกู ต่อไป การป้ องกนั การเลยี งดู เริมตงั แต่เลก็ พอ่ แมม่ คี วามสมั พนั ธท์ ีดีต่อกนั พ่อหรือแม่ทีเพศเดียวกนั กบั เดก็ ควรมีความสมั พนั ธท์ ีดีกบั เด็ก และควรแนะนาํ เกียวกบั การคบเพือน รวมทงั ส่งเสริมกิจกรรมใหต้ รงตามเพศ 3. พฤตกิ รรมกระต้นุ ตนเองทางเพศในเดก็ และการเล่นอวยั วะเพศตนเอง อาการ กระตุน้ ตนเองทางเพศ เช่น นอนควาํ ถไู ถอวยั วะเพศกบั หมอนหรือพนื สาเหตุ เด็กเหงา ถกู ทอดทิง มโี รคทางอารมณ์ เดก็ มกั คน้ พบดว้ ยความบงั เอิญ เมือถูกกระตุน้ หรือ กระตุน้ ตนเองทีอวยั วะเพศแลว้ เกิดความรู้สึกเสียว พอใจกบั ความรู้สึกนนั เด็กจะทาํ ซาํ ในทีสุดติดเป็นนิสยั การช่วยเหลอื 1. หยุดพฤติกรรมนันอย่างสงบ เช่น จับมือเด็กออก ให้เด็กนอนหงาย บอกเด็กสันๆ ว่า “หนูไม่เล่นอยา่ งนนั ” พร้อมใหเ้ หตุผลทีเหมาะสมจูงใจ 2. เบียงเบนความสนใจ ใหเ้ ด็กเปลียนท่าทาง ชวนพดู คุย 3. หากิจกรรมทดแทน ใหเ้ ด็กไดเ้ คลือนไหว เพลิดเพลนิ สนุกสนานกบั กิจกรรมและสงั คม 4. อยา่ ใหเ้ ด็กเหงา ถกู ทอดทิงหรืออยตู่ ามลาํ พงั เด็กอาจกลบั มากระตุน้ ตนเองอีก 5. งดเวน้ ความกา้ วร้าวรุนแรง การหา้ มดว้ ยท่าทีน่ากลวั เกินไปอาจทาํ ใหเ้ ด็กกลวั ฝังใจมีทศั นคติ ดา้ นลบต่อเรืองทางเพศ อาจกลายเป็นเก็บกดทางเพศ หรือขาดความสุขทางเพศในวยั ผใู้ หญ่

40 4. พฤตกิ รรมกระต้นุ ตนเองทางเพศในวยั รุ่น หรือการสําเร็จความใคร่ด้วยตวั เอง(Masturbation) สาเหตุ พฤติกรรมกระตุน้ ตนเองทางเพศในวยั รุ่นเป็ นเรืองปกติ ไม่มีอนั ตราย ยอมรับไดถ้ า้ เหมาะสมไม่มากเกินไปหรือหมกมุ่นมาก พบได้บ่อยในเด็กทีมีปัญหาทางจิตใจ ปัญญาอ่อน เหงา กามวปิ ริตทางเพศ และสิงแวดลอ้ มมีการกระตุน้ หรือยวั ยทุ างเพศมากเกินไป การช่วยเหลอื ใหค้ วามรู้เรืองเพศทีถกู ตอ้ ง ใหก้ าํ หนดการสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตวั เองใหพ้ อดีไม่ มากเกินไป ลดสิงกระตุน้ ทางเพศไมเ่ หมาะสม ใชก้ ิจกรรมเบนความสนใจ เพิมการออกกาํ ลงั กาย ฝึ กให้ เด็กมีการควบคุมพฤติกรรมใหพ้ อควร 5. พฤตกิ รรมทางเพศทวี ปิ ริต (Paraphilias) อาการ ผปู้ ่ วยไม่สามารถเกิดอารมณ์เพศไดก้ บั สิงกระตุน้ ทางเพศปกติ มคี วามรู้สึกทางเพศได้ เมือมีการกระตุ้นทางเพศทีแปลกประหลาดพิสดาร ทีไม่มีในคนปกติ ทาํ ให้เกิดพฤติกรรมใชส้ ิงผิด ธรรมชาติกระตุน้ ตนเองทางเพศ มีหลายประเภทแยกตามสิงทีกระตุน้ ใหเ้ กิดความรู้สึกทางเพศ ประเภทของ Paraphilia 1. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการสมั ผสั ลบู คลาํ สูดดมเสือผา้ เสือผา้ ชุดชนั ใน Fetishism 2. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการโชวอ์ วยั วะเพศตนเอง Exhibitionism 3. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการไดถ้ ไู ถ สมั ผสั ภายนอก Frotteurism 4. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการแอบดู Voyeurism 5. เกิดความรู้สึกทางเพศทาํ ใหผ้ อู้ ืนเจ็บปวด ดว้ ยการทาํ ร้ายร่างกาย หรือคาํ พดู Sadism 6. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการทาํ ตนเอง หรือให้ผอู้ ืนทาํ ให้ตนเองเจ็บปวด ดว้ ยการทาํ ร้าย ร่างกายหรือคาํ พดู Masochism 7. เกิดความรู้สึกทางเพศกบั เดก็ (Pedophilia) 8. เกิดความรู้สึกทางเพศกบั สตั ว์ (Zoophilia) 9. เกิดความรู้สึกทางเพศจากการแต่งกายผดิ เพศ (Transvestism) สาเหตทุ ีก่อให้เกดิ ความผดิ ปกตทิ างเพศ คอื 1. การเลยี งดแู ละพอ่ แมป่ ลกู ฝังทศั นคติไม่ดีต่อเรืองทางเพศทีพ่อแม่ปลกู ฝังเดก็ ทาํ ใหเ้ ด็กเรียนรู้ ว่าเรืองเพศเป็ นเรืองตอ้ งห้าม ตอ้ งปิ ดบงั เลวร้ายหรือเป็ นบาป เด็กจะเก็บกดเรืองเพศ ทาํ ให้ปิ ดกนั การ ตอบสนองทางเพศกบั ตวั กระตุน้ ทางเพศปกติ 2. การเรียนรู้ เมอื เด็กเริมมีความรู้สึกทางเพศ แต่ไม่สามารถแสดงออกทางเพศไดต้ ามปกติ เด็ก จะแสวงหาหรือเรียนรู้ดว้ ยตวั เองวา่ เมอื ใชต้ วั กระตุน้ บางอย่างทาํ ให้เกิดความรู้สึกทางเพศได้ จะเกิดการ เรียนรู้แบบเป็นเงือนไขและเป็นแรงเสริมใหม้ พี ฤติกรรมกระตุน้ ตวั เองทางเพศดว้ ยสิงกระตุน้ นนั อกี

41 การช่วยเหลอื ใชห้ ลกั การช่วยเหลือแบบพฤติกรรมบาํ บดั ดงั นี 1. การจดั การสิงแวดลอ้ ม กาํ จดั สิงกระตุ้นเดิมทีไม่เหมาะสมให้หมด หากิจกรรมทดแทน เบียงเบนความสนใจ อย่าให้เด็กเหงาอย่คู นเดียวตามลาํ พงั ปรับเปลียนทศั นคติทางเพศในครอบครัว ใหเ้ ห็นว่าเรืองเพศไม่ใช่เรืองตอ้ งหา้ ม สามารถพดู คุยเรียนรู้ได้ พ่อแม่ควรสอนเรืองเพศกบั ลกู 2. ฝึ กการรู้ตัวเองและควบคุมตนเองทางเพศ ให้รู้ว่ามีอารมณ์เพศเมือใด โดยสิงกระตุน้ ใด พยายามหา้ มใจตนเองทีจะใชส้ ิงกระตุน้ เดิมทีผดิ ธรรมชาติ 3. ฝึกการสร้างอารมณ์เพศกบั ตวั กระตุน้ ตามปกติ เช่น รูปโป๊ – เปลือย แนะนาํ การสาํ เร็จความ ใคร่ทีถกู ตอ้ ง 4. บันทึกพฤติกรรมเมือยงั ไม่สามารถหยุดพฤติกรรมได้ สังเกตความถีห่าง เหตุกระตุ้น การยบั ยงั ใจตนเอง ใหร้ างวลั ตนเองเมอื พฤติกรรมลดลง การป้ องกนั การใหค้ วามรู้เรืองเพศทีถกู ตอ้ งตงั แต่เด็กดว้ ยทศั นคติทีดี . เพศสัมพนั ธ์ในวยั รุ่น ลกั ษณะปัญหา มีพฤติกรรมทางเพศต่อกนั อยา่ งไม่เหมาะสม มีเพศสมั พนั ธก์ นั ก่อนวยั อนั ควร สาเหตุ 1. เดก็ ขาดความรักความอบอนุ่ ใจจากครอบครัว 2. เด็กขาดความรู้สึกคุณค่าตนเอง ไม่ประสบความสาํ เร็จดา้ นการเรียน แสวงหาการยอมรับ หาความสุขและความพงึ พอใจจากแฟน เพศสมั พนั ธแ์ ละกิจกรรมทีมคี วามเสียงต่าง ๆ 3. เด็กขาดความรู้และความเข้าใจทางเพศ ความตระหนักต่อปัญหาทีตามมาหลงั การมี เพศสมั พนั ธ์ การป้ องกนั ตวั ของเด็ก ขาดทกั ษะในการป้ องกนั ตนเองเรืองเพศ ขาดทกั ษะในการจดั การกบั อารมณ์ทางเพศ 4. ความรู้และทัศนคติทางเพศของพ่อแม่ทีไม่เข้าใจ ปิ ดกันการอธิบายเรื องเกียวกับเพศ ทาํ ใหเ้ ด็กแสวงหาเองจากเพอื น 5. อิทธิพลจากกลุ่มเพือน รับรู้ทศั นคติทีไม่ควบคุมเรืองเพศ เห็นว่าการมีเพศสัมพนั ธเ์ ป็ นเรือง ธรรมดา ไม่เกิดปัญหาหรือความเสียง 6. มีการกระตุน้ ทางเพศ ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งจากพอ่ แม่ ภายในครอบครัว เพือน สือยวั ยทุ างเพศต่าง ๆ ทีเป็นแบบอยา่ งไมด่ ีทางเพศ การป้ องกนั การป้ องกนั การมีเพศสมั พนั ธใ์ นวยั รุ่น แบ่งเป็นระดบั ต่าง ๆ ดงั นี 1. การป้ องกนั ระดบั ต้นก่อนเกิดปัญหา ไดแ้ ก่ ลดปัจจยั เสียงต่างๆ การเลียงดูโดยครอบครัว สร้างความรักความอบอนุ่ ในบา้ น สร้างคุณค่าในตวั เอง ใหค้ วามรู้และทศั นคติทางเพศทีดี มีแบบอยา่ งทีดี

42 2. การป้ องกนั ระดบั ที หาทางป้ องกนั หรือลดการมเี พศสมั พนั ธใ์ นวยั รุ่นทีมีความเสียงอย่แู ลว้ โดยการสร้างความตระหนกั ในการไม่มีเพศสัมพนั ธ์ในวยั เรียนหรือก่อนการแต่งงาน หาทางเบนความ สนใจวยั รุ่นไปสู่กิจกรรมสร้างสรรค์ ใชพ้ ลงั งานทางเพศทีมมี ากไปในดา้ นทีเหมาะสม 3. การป้ องกนั ระดบั ที ในวยั รุ่นทีหยดุ การมีเพศสมั พนั ธไ์ ม่ได้ ป้ องกนั ปัญหาทีเกิดจากการมี เพศสมั พนั ธ์ ป้ องกนั การตงั ครรภแ์ ละโรคติดต่อทางเพศ โดยการให้ความรู้ทางเพศ เบียงเบนความสนใจ หากิจกรรมทดแทน

43 เรืองที การจดั การกับอารมณ์และความต้องการทางเพศ ถึงแมว้ ่าอารมณ์ทางเพศเป็ นเพียงอารมณ์หนึง ซึงเมือเกิดขึนแลว้ หายไปได้ แต่ถา้ หากไม่รู้จกั จดั การกบั อารมณ์เพศแลว้ อาจจะทาํ ใหเ้ กิดการกระทาํ ทีไม่ถกู ตอ้ ง ก่อใหเ้ กิดความเสียหายเดือดร้อนแก่ตนเอง และผอู้ ืน ดงั นนั ผเู้รียนควรจะไดเ้ รียนรู้ถึงวธิ ีการจดั การกบั อารมณ์ทางเพศอยา่ งเหมาะสม ไม่ตกเป็นทาสของ อารมณ์เพศ ซึงการจดั การกบั อารมณ์ทางเพศอาจแบ่งตามความรุนแรงไดเ้ ป็น ระดบั ดงั นี ระดับที การควบคุมอารมณ์ทางเพศ อาจทาํ ได้ วิธี คือ 1. การควบคุมจิตใจตนเอง พยายามข่มใจตนเองมิใหเ้ กิดอารมณ์ทางเพศไดห้ รือถา้ เกิดอารมณ์ทาง เพศใหพ้ ยายามข่มใจไว้ เพอื ใหอ้ ารมณ์ทางเพศค่อย ๆ ลดลงจนสู่สภาพอารมณ์ทีปกติ 2. การหลีกเลียงจากสิงเร้า สิงเร้าภายนอกทียวั ยุอารมณ์ทางเพศหรือยวั กิเลสย่อมทาํ ให้เกิด อารมณ์ทางเพศได้ ดงั นัน การตดั ไฟเสียแต่ตน้ ลม คือ หลีกเลียงจากสิงเร้าเหล่านันเสียจะช่วยใหไ้ ม่เกิด อารมณ์ได้ เช่น ไม่ดูสือลามกต่าง ๆ ไมเ่ ทียวกลางคืน เป็นตน้ ระดบั ที การเบียงเบนอารมณ์ทางเพศ ถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศจนไม่อาจควบคุมไดค้ วรใชว้ ิธีการเบียงเบนให้ไปสนใจสิงอืนแทนทีจะ หมกมนุ่ อยกู่ บั อารมณ์ทางเพศ เช่น ไปออกกาํ ลงั กาย ประกอบกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ให้สนุกสนาน เพลดิ เพลิน ไปทาํ งานต่างๆ เพอื ใหจ้ ิตใจมุง่ ทีงาน ไปพดู คุยสนทนากบั คนอนื เป็นตน้ ระดบั ที การปลดปล่อยหรอื ระบายอารมณ์ทางเพศ ถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศระดบั มากจนเบียงเบนไม่ได้ หรือสถานการณ์นันอาจทาํ ให้ไม่มีโอกาส เบียงเบน อารมณ์ทางเพศก็ปลดปล่อย หรือระบายอารมณ์ทางเพศด้วยวิธีการทีเหมาะสมกบั สภาพของ วยั รุ่นซึงสามารถทาํ ได้ ประการ คือ 1. โดยการฝันนนั ก็คือ การฝันเปี ยก (Wet Dream) ในเพศชาย ซึงการฝันนีเราไมส่ ามารถบงั คบั ให้ ฝันหรือไมใ่ หฝ้ ันได้ แต่จะเกิดขึนเองเมือเราสนใจหรือมีความรู้สึกในทางเพศมากจนเกินไปหรืออาจเกิด การสะสมของนาํ อสุจิมมี ากจนลน้ ถุงเก็บนาํ อสุจิ ธรรมชาติจะระบายนาํ อสุจิออกมาโดยการใหฝ้ ันเกียวกบั เรืองเพศจนถงึ จุดสุดยอด และมกี ารหลงั นาํ อสุจิออกมา 2. การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองหรืออาจเรียกอกี อยา่ งหนึงว่าการช่วยเหลือตวั เอง(Masturbation) ทาํ ไดท้ งั ผหู้ ญิงและผชู้ าย ซึงผชู้ ายแทบทุกคนมกั มีประสบการณ์ในเรืองนีแต่ผหู้ ญิงนันมีเป็ นบางคนทีมี ประสบการณ์ในเรืองนี การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองเป็ นเรืองธรรมชาติของคนเรา เมือเกิดอารมณ์ทาง เพศจนหยดุ ยงั ไม่ได้ เพราะการสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองไม่ทาํ ให้ตนเองและผอู้ ืนเดือดร้อน แต่ไม่ควร กระทาํ บ่อยนกั

44 เรืองที ความเชือทผี ดิ ๆ ทางเพศ ความคิดผดิ ๆ นนั ความจริงเป็นแค่ความคิดเท่านนั ถา้ ยงั ไมไ่ ดก้ ระทาํ ยอ่ มไม่ถือว่าเป็ นความผิด เพราะการกระทาํ ยงั ไม่เกิดขึน โดยเฉพาะความเชือผดิ ๆ เกียวกบั เรืองเพศนัน ถา้ คิดใหม่ ทาํ ใหม่เสีย ก็จะ ไมเ่ กิดผลร้ายในการดาํ เนินชีวิตประจาํ วนั เรืองราวเกียวกบั เพศไดร้ ับการปกปิ ดมานานแลว้ จนข่าวลอื และ ความเชือผดิ ๆ แต่โบราณ ยงั คงไดร้ ับการรําลอื ต่อเนืองยาวนานมาจนถึงยคุ ปัจจุบนั ต่อไปนีเป็ นความเชือ ผดิ ๆ ความเขา้ ใจผดิ ๆ ทางเพศ ทีองคก์ ารอนามยั โลกไดต้ ีพิมพไ์ ว้ มดี งั นี 1. ผ้ชู ายไม่ควรแสดงอารมณ์และความรู้สึกเกยี วกบั ความรัก เพราะคาํ รําลือทีว่า ผชู้ ายไม่ควรแสดงอารมณ์และความรู้สึกเกียวกบั ความรักให้ออกนอก หนา้ ไมอ่ ยา่ งนนั จะไมเ่ ป็นชายสมชาย ผชู้ ายจึงแสดงออกถงึ ความรักผ่านการมีเพศสัมพนั ธ์ จนเหมือนว่า ผชู้ ายเกิดมาเพอื จะมเี ซก็ ส์ ทงั ๆ ทีตอ้ งการจะระบายความรักออกไปเท่านนั เอง แทจ้ ริงแลว้ ผชู้ ายสามารถ จะแสดงอารมณ์รักออกมาทางสีหน้าแววตา การกระทาํ อะไรต่อมิอะไรได้เช่นผหู้ ญิง และการมี เพศสมั พนั ธ์ก็เป็ นส่วนหนึงของการบอกรักดว้ ยภาษากายเท่านัน การแสดงความรักทีซาบซึงแบบอืน ผชู้ ายทาํ ไดเ้ ช่นเดียวกบั หญิงและหญิงก็ตอ้ งการดว้ ย 2. การถูกเนือต้องตวั จะนําไปสู่การมเี ซ็กส์ เพราะความเชือทีว่า ถา้ ผหู้ ญิงยอมให้ผูช้ ายถกู เนือต้องตวั แลว้ แสดงว่าตวั เองมีใจกบั เขา เขาจึงพยายามต่อไปทีจะมีสัมพนั ธส์ วาททีลึกซึงกว่านันกบั เธอ เป็ นความเขา้ ใจผดิ แท้ ๆ เพราะบางครัง ผหู้ ญิงแค่ตอ้ งการความอบอุ่นและประทบั ใจกบั แฟนของเธอเท่านนั โดยไม่ไดค้ ิดอะไรเลยเถิดไป ขนาดนนั เลย การจบั มอื กนั การโอบกอดสัมผสั กายของกนั และกนั แทท้ ีจริงเป็ นการถ่ายทอดความรักที บริสุทธิ ทีสามารถจะสมั ผสั จบั ตอ้ งได้ โดยไม่จาํ เป็นจะตอ้ งมกี ารร่วมรักกนั ต่อไปเลย และไมค่ วรทีฝ่ ายใด ฝ่ ายหนึง จะกดดนั ใหอ้ ีกฝ่ ายตอ้ งมีเซก็ สด์ ว้ ย 3. การมเี พศสัมพนั ธ์ทีรุนแรงจะนําไปสู่การสุขสมทมี ากกว่า เป็นความเขา้ ใจผดิ กนั มานานนกั แลว้ วา่ ผชู้ ายทีมีพละกาํ ลงั มาก ๆ จะสามารถมีเพศสัมพนั ธ์ กบั หญิงสาวไดร้ วดเร็วรุนแรงและทาํ ให้เธอไปถึงจุดสุดยอดไดง้ ่าย รวมทงั มีความเขา้ ใจผิดเสมอ ๆ ว่า อาวุธประจาํ กายของฝ่ ายชายทีใหญ่เท่านนั ทีจะทาํ ใหผ้ หู้ ญิงมคี วามสุขได้ แทจ้ ริงแลว้ การมสี มั พนั ธส์ วาทที อบอ่นุ เนินนานเขา้ ใจกนั ช่วยกนั ประคบั ประคองนาวารักใหผ้ า่ นคลืนลมมรสุมสวาทจนบรรลุถึงฝังฝัน ต่างหาก ทีนาํ ความสุขสมมาสู่คนทงั สองไดม้ ากกวา่ สมั พนั ธส์ วาทจึงควรทีจะเกิดขึนในบรรยากาศทีแสน จะผอ่ นคลายและโรแมนติก 4. การมคี วามสัมพนั ธ์ทางเพศกค็ อื การร่วมรัก เป็นความเขา้ ใจผดิ อยา่ งยงิ และสมควรไดร้ ับการแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งเพราะเซก็ สก์ ค็ ือ การร่วมรัก การแสดงความรักผา่ นภาษากาย เป็ นสมั ผสั รักทีคนสองคนถ่ายทอดให้แก่กนั จากการสมั ผสั ทางผวิ กาย ส่วนไหนกไ็ ด้ ไมใ่ ช่เฉพาะส่วนนนั เท่านนั

45 5. ผ้ชู ายควรเป็ นผ้นู าํ ในการร่วมรัก เรืองนียงั คงเป็นความเชือผดิ ๆ ไมว่ า่ รักผหู้ ญิงหรือผชู้ ายทีมีหวั อนุรักษน์ ิยม มกั จะคิดเสมอ ๆ ว่าการจะมีอะไรกนั นันผูช้ ายตอ้ งเป็ นคนกระทาํ และผหู้ ญิงเป็ นฝ่ ายรองรับการกระทาํ นัน แท้จริงแล้ว การร่วมรัก เป็นกระบวนการทีคนสองคนสามารถปรับเปลียนเป็ นฝ่ ายนาํ ในการกระทาํ ไดโ้ ดยเสมอภาค ซึงกนั และกนั 6. ผ้หู ญิงไม่ควรจะเป็ นฝ่ ายเริมต้นก่อน ตามทีเล่าแจ้งแถลงไขในขอ้ ทีผ่านมาจะเห็นได้ว่า เซ็กส์เป็ นการสือสาร ทางระหว่าง คน คน ทีจะร่วมมอื กนั บรรเลงบทเพลงแห่งความพิศวาส ซึงตอ้ งผลดั กนั นาํ ผลดั กนั ตามและตอ้ งช่วยกนั โล้ ช่วยกนั พายนาวารักไปยงั จุดหมายปลายทางแห่งความสุขสมร่วมกนั 7. ผ้ชู ายนึกถงึ แต่เรืองเซ็กส์ตลอดเวลา มีคาํ กล่าวผดิ ๆ ทีพดู กนั ต่อเนืองมาว่า ผชู้ ายนึกถึงแต่เรืองของการมีเพศสัมพนั ธท์ ีเรียกกนั สนั ๆ วา่ เซก็ ส์ อยตู่ ลอด ทงั ๆ ทีความเป็นจริงคือ ผชู้ ายไมไ่ ดค้ ิดถึงเรืองเซ็กส์อยตู่ ลอดเวลา เขาคิดถึงเรือง อืนอยู่เหมือนกนั ไม่ว่าจะเป็ นเรืองงาน เรื องครอบครัว เพียงแต่ผชู้ ายพร้อมจะมีเซ็กส์เสมอและไม่ได้ หมายความวา่ เมอื เขาพร้อมทีจะมเี ซ็กสแ์ ลว้ เขาจาํ เป็นจะตอ้ งมีเสมอไป 8. ผ้หู ญิงต้องพร้อมเสมอทจี ะมเี ซ็กส์เมอื สามตี ้องการ ทีจริงในยคุ นีไม่มคี วามจาํ เป็นแบบนนั เลย ในอดีตอาจจะใช่แต่ไม่ใช่ในยคุ ไอทีแบบนีทีผชู้ าย และผหู้ ญิงเท่าเทียมกนั และการจะมเี ซก็ สก์ นั กเ็ ป็นกิจกรรมร่วมทีคนสองคนจะตอ้ งใจตรงกนั ก่อน ไม่ใช่ แค่ฝ่ ายใดฝ่ ายหนึงตอ้ งการแลว้ อกี ฝ่ ายจะตอ้ งยอม 9. เซ็กส์ เป็ นเรืองธรรมชาตไิ ม่ต้องเรียนรู้ ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่มกั จะพยายามพดู เสมอ ๆ ว่า เพศศกึ ษาไม่สาํ คญั ทาํ ไมรุ่นก่อน ๆ ไม่ตอ้ งเตรียมตวั ในการเรียนรู้เลย กส็ ามารถทีจะมีเซก็ ส์กนั จนมลี กู เต็มบา้ นมีหลานเต็มเมืองได้ การเตรียมตวั ทีดียอ่ มมีชยั ไปกว่าครึง เรืองราวเกียวกบั ความสมั พนั ธข์ องคนสองคนกเ็ ช่นกนั สามารถเรียนรู้วธิ ีการทีจะเพมิ ความสุข ใหแ้ ก่กนั และกนั ไดก้ ่อนทีจะเกิดเหตุการณ์นนั อทิ ธิพลของสือต่อปัญหาทางเพศ ปัจจุบนั สือมีอิทธิพลต่อการดาํ เนินชีวิตของทุกคนเทียบทุกดา้ นรวมถึงดา้ นปัญหาทางเพศดว้ ย เพราะสือมผี ลต่อพฤติกรรมการตดั สินใจของคนในสงั คม ทุกคนจึงตอ้ งบริโภคข่าวสารอยตู่ ลอดเวลา เช่น การชมรายการข่าวทางทีวที ุกเชา้ การอา่ นหนงั สือพิมพ์ หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ซึงบางคนอาจจะใชบ้ ริการ รับข่าวสารทาง SMS เป็นตน้ สือจึงกลายเป็นสิงทีมีอทิ ธิพลต่อความคิดและความรู้สึกและการตดั สินใจที สาํ คญั ของคนในสงั คมอยา่ งหลีกเลียงไม่ได้

46 จากปัจจยั ดงั กล่าวอทิ ธิพลของสือจึงยอ่ มทีจะก่อใหเ้ กิดการเปลียนแปลงไดใ้ นทุก ๆ ภาคส่วนของ สงั คมไม่วา่ จะเป็นสงั คมเมืองหรือแมแ้ ต่ในสงั คมชนบทกต็ าม ซึงการเปลียนแปลงนันย่อมทีจะเกิดขึนได้ ทงั ทางทีดีขึนและทางทีแยล่ ง และสิงสาํ คญั สือคือสิงทีมอี ทิ ธิพลโดยตรงต่อทุก ๆ คนในสงั คมไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่ นหรื อกระทังผูใ้ หญ่ อิทธิพลของสือทีนับวันจะรุ นแรงมากขึน ไม่ว่าจากสภาพเศรษฐกิจ การเปลยี นแปลงของสงั คม เนืองมาจากความพยายามในการพฒั นาประเทศใหม้ ีความเจริญกา้ วหน้าใน ดา้ นต่าง ๆ เพือให้ทดั เทียมกบั นานาประเทศ ก่อใหเ้ กิดวฒั นธรรมทีหลงั ไหลเขา้ มาในประเทศไทย โดยผา่ นสือ ทงั วิทยุ โทรทศั น์ สิงพมิ พแ์ ละอินเตอร์เน็ต สือจึงกลายเป็ นสิงทีมีอิทธิพลต่อการดาํ เนินชีวิต และนาํ พาไปสู่ปัญหาและผลกระทบหลาย ๆ ดา้ น ของชีวิตแบบเดิม ๆ ของสงั คมไทยใหเ้ ปลียนแปลงไป ซึงลว้ นมาจากการรับสือและอิทธิพลสือยงั ทาํ ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เช่น ข่าวอาชญากรรม ข่าวสงคราม ภาพยนตร์หรือละครทีเนือหารุนแรง ต่อสูก้ นั ตลอดจนสือลามกอนาจาร ซึงส่งผลใหเ้ ด็กและ คนทีรับสือจิตนาการตามและเกิดการเลียนแบบ โดยจะเห็นไดบ้ ่อยครังจากการทีเด็กหรือคนทีก่อ อาชญากรรมหลายคดี โดยบอกว่าเลียนแบบมาจากหนงั จากสือต่าง ๆ แมก้ ระทงั การแต่งกายตามแฟชนั ของวยั รุ่น การก่ออาชญากรรม การก่อม็อบ การใชค้ วามรุนแรงในการแกป้ ัญหา ความรุนแรงทางเพศ ทีเกิดขึนอยใู่ นสงั คมไทยขณะนีส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอทิ ธิพลของสือ สือมวลชนจึงมคี วามสาํ คญั อยา่ งยงิ ต่อการเขา้ ไปมีบทบาทและมีอิทธิพลต่อการดาํ เนินชีวิตของ คนในสังคม มีการเปลียนแปลงเกิดขึนตลอดเวลา บางสิงเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว แต่บางสิงค่อย ๆ จางหายไปทีละเลก็ ละนอ้ ย จนหมดไปในทีสุด เช่น การทีประเทศกา้ วหน้าทางเทคโนโลยกี ารสือสารทาํ ใหข้ นบธรรมเนียมวฒั นธรรมคนไทย ทังสงั คมเมืองและสังคมชนบท มีการเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว แต่จากการทีเราไม่สามารถปฏิเสธการรับข่าวสาร ความบนั เทิงจากสือได้ แต่เราสามารถเลอื กรับสือทีดี มปี ระโยชน์ไม่รุนแรง และไมผ่ ดิ ธรรมนองคลองธรรมได้

47 เรืองที กฎหมายทเี กยี วข้องกบั การละเมิดทางเพศ คดีความผดิ เกียวกบั เพศ โดยเฉพาะความผดิ ฐานข่มขืนกระทาํ ชาํ เรา ถอื เป็นความผดิ ทีรุนแรงและ เป็ นทีหวาดกลวั ของผหู้ ญิงจาํ นวนมาก รวมทังผปู้ กครองของเด็ก ไม่ว่าจะเป็ นเด็กหญิงหรือเด็กชาย ยงิ ปัจจุบนั จากขอ้ มลู สถิติต่าง ๆ ทาํ ใหเ้ ราเห็นกนั แลว้ ว่า การล่วงละเมิดทางเพศนันสามารถเกิดขึนไดก้ บั คนทุกเพศ ทุกวยั กฎหมายทีบญั ญตั ิไวเ้ พือคุม้ ครองผหู้ ญิงและผเู้ สียหายจากการลว่ งละเมิดทางเพศ มีบญั ญตั ิอยใู่ นลกั ษณะความผดิ เกียวกบั เพศ ดงั นี มาตรา ผใู้ ดข่มขืนกระทาํ ชาํ เราหญิงซึงมิใช่ภริยาตน โดยขู่เข็ญประการใด ๆ โดยใชก้ าํ ลงั ประทุษร้าย โดยหญิงอยใู่ นภาวะทีไม่สามารถขดั ขืนได้ หรือโดยทาํ ให้หญิงเขา้ ใจผดิ คิดว่าตนเป็ นบุคคล อืน ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตังแต่สีปี ถึงยีสิบปี และปรับตงั แต่แปดพนั บาทถึงสีหมืนบาท ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามวรรคแรกได้ กระทาํ โดยมีหรือใชอ้ าวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทาํ ความผิด ดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็ นการโทรมหญิงตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตังแต่สิบห้าปี ถึงยีสิบปี และปรับตังแต่ สามหมนื ถึงสีหมืนบาท หรือจาํ คุกตลอดชีวิต มาตรา ผใู้ ดกระทาํ ชาํ เราเด็กหญิงอายไุ ม่เกินสิบหา้ ปี ซึงมิใช่ภริยาตน โดยเด็กหญิงนนั จะ ยนิ ยอมหรือไมก่ ็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สีปี ถึงยสี ิบปี และปรับตงั แต่แปดพนั บาทถึงสีหมนื บาท ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามวรรคแรกเป็นการกระทาํ แก่เด็กหญิงอายยุ งั ไม่ถึงสิบสามปี ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ตงั แต่เจ็ดปี ถึงยสี ิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมนื สีพนั บาทถึงสีหมืนบาท หรือจาํ คุกตลอดชีวิต ถา้ การกระทาํ ความผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสองไดก้ ระทาํ โดยร่วมกระทาํ ความผิดดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็ นการ โทรมหญิงและเด็กหญิงนนั ไม่ยนิ ยอม หรือไดก้ ระทาํ โดยมอี าวธุ ปื นและวตั ถุระเบิด หรือโดยใชอ้ าวธุ ตอ้ ง ระวางโทษจาํ คุกตลอดชีวติ ความผดิ ตามทีบญั ญตั ิไวใ้ นวรรคแรก ถา้ เป็นการกระทาํ ทีชายกระทาํ กบั หญิง อายตุ าํ กว่าสิบสามปี แต่ยงั ไม่เกินสิบหา้ ปี โดยเด็กหญิงนันยนิ ยอมและภายหลงั ศาลอนุญาตใหช้ ายและ หญิงนนั สมรสกนั ผกู้ ระทาํ ผดิ ไม่ตอ้ งรับโทษ ถา้ ศาลอนุญาตให้สมรสในระหว่างทีผกู้ ระทาํ ผดิ กาํ ลงั รับ โทษในความผดิ นนั อยู่ ใหศ้ าลปล่อยผกู้ ระทาํ ผดิ นนั ไป มาตรา ทวิ ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามมาตรา วรรคแรก หรือมาตรา วรรคแรก หรือ วรรคสอง เป็นเหตุใหผ้ ถู้ กู กระทาํ (1) รับอนั ตรายสาหัส ผกู้ ระทาํ ต้องระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สิบห้าปี ถึงยีสิบปี และปรับตงั แต่ สามหมนื บาทถงึ สีหมืนบาท หรือจาํ คุกตลอดชีวติ (2) ถงึ แก่ความตาย ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษประหารชีวติ หรือจาํ คุกตลอดชีวิต มาตรา ตรี ถา้ การกระทาํ ความผดิ มาตรา วรรคสองหรือมาตรา วรรคสาม เป็นเหตุให้ ผถู้ กู กระทาํ (1) รับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษประหารชีวติ หรือจาํ คุกตลอดชีวติ (2) ถงึ แก่ความตาย ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษประหารชีวติ

48 โดยสรุป การจะมคี วามผดิ ฐานกระทาํ ชาํ เราได้ ตอ้ งมอี งคป์ ระกอบความผดิ ดงั นี 1. กระทาํ ชาํ เราหญิงอืนทีมิใช่ภรรยาตน 2. เป็นการข่มขืน บงั คบั ใจ โดยมีการข่เู ขญ็ หรือใชก้ าํ ลงั ประทุษร้าย หรือปลอมตวั เป็ นคนอืนที หญิงชอบและหญิงไมส่ ามารถขดั ขืนได้ 3. โดยเจตนา ข้อสังเกต กระทาํ ชาํ เรา = ทาํ ให้ของลบั ของชายล่วงลาํ เขา้ ไปในของลบั ของหญิง ไม่ว่าจะล่วงลาํ เขา้ ไป เลก็ นอ้ ยเพียงใดกต็ ามและไมว่ ่าจะสาํ เร็จความใคร่หรือไม่ก็ตาม การข่มขืน = ข่มขืนใจโดยทีหญิงไม่สมคั รใจ การข่มขืนภรรยาของตนเองโดยทีจดทะเบียนสมรสแลว้ ไม่เป็นความผดิ การร่วมเพศโดยทีผหู้ ญิงยนิ ยอมไม่เป็ นความผิด แต่ถา้ หญิงนันอายุไม่เกิน ปี แมย้ ินยอมก็มี ความผดิ การข่มขืนกระทาํ ชาํ เราผทู้ ีอยภู่ ายในปกครองของตนเอง เช่น บุตร หลาน ลกู ศิษยท์ ีอย่ใู นความ ดูแล ตอ้ งรับโทษหนกั ขึน มาตรา ผูใ้ ดกระทําอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใชก้ าํ ลงั ประทุษร้าย โดยบุคคลนนั อยใู่ นภาวะทีไมส่ ามารถขดั ขืนไดห้ รือโดยทาํ ใหบ้ ุคคลนนั เขา้ ใจผิด ว่าตนเป็นบุคคลอืน ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไมเ่ กินสองหมืนบาท หรือทงั จาํ ทงั ปรับ มาตรา ผใู้ ดกระทาํ อนาจารแก่เด็กอายไุ ม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนันจะยนิ ยอมหรือไม่ก็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกไมเ่ กินสิบปี หรือปรับไมเ่ กินสองหมืนบาท หรือทงั จาํ ทงั ปรับ ถา้ การกระทาํ ความผิด ตามวรรคแรก ผกู้ ระทาํ ไดก้ ระทาํ โดยข่เู ข็ญดว้ ยประการใด ๆ โดยใชก้ าํ ลงั ประทุษร้ายโดยเด็กนันอย่ใู น ภาวะทีไม่สามารถขดั ขืนได้ หรือโดยทาํ ให้เด็กนันเข้าใจผดิ ว่าตนเป็ นบุคคลอืน ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ไม่เกินสิบหา้ ปี หรือปรับไม่เกินสามหมนื บาท หรือทงั จาํ ทงั ปรับ มาตรา ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามมาตรา หรือ มาตรา เป็นเหตุใหผ้ ถู้ กู กระทาํ (1) รับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ตงั แต่หา้ ปี ถึงยสี ิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมืน บาทถึงสีหมืนบาท (2) ถงึ แก่ความตาย ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจาํ คุกตลอดชีวิต การจะมคี วามผดิ ฐานทําอนาจารได้ ต้องมอี งค์ประกอบ คอื 1 ทาํ อนาจารแก่บุคคลอายเุ กินกวา่ ปี 2 มกี ารข่มขู่ ประทุษร้าย จนไม่สามารถขดั ขืนได้ หรือทาํ ใหเ้ ขา้ ใจว่าเราเป็นคนอืน 3 โดยเจตนา

49 ข้อสังเกต อนาจาร = การทาํ หยาบชา้ ลามกใหเ้ ป็นทีอบั อายโดยทีหญิงไม่สมคั รใจ หรือโดยการปลอมตวั เป็น สามีหรือคนรัก การทาํ อนาจารกบั เด็กอายุไม่เกิน ปี แมเ้ ด็กยินยอมก็เป็ นความผิด ถา้ ทาํ อนาจารกบั บุคคลใดแลว้ บุคคลนนั ไดร้ ับอนั ตรายหรือถงึ แก่ความตายตอ้ งไดร้ ับโทษหนกั ขึน การทาํ อนาจารไม่จาํ เป็ นต้องทาํ กับหญิงเสมอไป การทาํ อนาจารกับชายก็ถือเป็ นความผิด เช่นเดียวกนั ไม่ว่าผกู้ ระทาํ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ความผดิ ทงั การข่มขืนกระทาํ ชาํ เราและการกระทาํ อนาจารนี ผกู้ ระทาํ จะไดร้ ับโทษหนกั ขึนกวา่ ทีกาํ หนดไวอ้ ีก ใน หากเป็นการกระทาํ ผดิ แก่ 1. ผสู้ ืบสนั ดาน ไดแ้ ก่ บุตร หลาน เหลน ลือ (ลกู ของหลาน) ทีชอบดว้ ยกฎหมาย 2. ศิษยซ์ ึงอยใู่ นความดูแล ซึงไม่ใช่เฉพาะครูทีมหี นา้ ทีสอนอยา่ งเดียว ตอ้ งมหี นา้ ทีดูแลดว้ ย 3. ผอู้ ยใู่ นความควบคุมตามหนา้ ทีราชการ 4. ผอู้ ยใู่ นความปกครอง ในความพิทกั ษ์ หรือในความอนุบาลตามกฎหมาย นอกจากนี ยงั มีมาตราอืน ๆ ทีเกียวขอ้ งอีก ไดแ้ ก่ มาตรา ผใู้ ดเพือสนองความใคร่ของผอู้ ืน เป็ นธุระจดั หา ล่อไป หรือพาไปเพือการอนาจาร ซึงชายหรือหญิง แมผ้ นู้ นั จะยนิ ยอมก็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่หนึงปี ถึงสิบปี และปรับตงั แต่สองพนั บาทถึงสองหมืนบาท ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามวรรคแรกเป็นการกระทาํ แก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ยงั ไมเ่ กินสิบแปดปี ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สามปี ถึงสิบห้าปี และปรับตงั แต่หกพนั บาทถึงสาม หมนื บาท ถา้ การกระทาํ ความผดิ ตามวรรคแรกเป็ นการกระทาํ แก่เด็กอายยุ งั ไม่เกินสิบหา้ ปี ผกู้ ระทาํ ตอ้ ง ระวางโทษจาํ คุกตงั แต่หา้ ปี ถงึ ยสี ิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมืนบาทถึงสีหมืนบาท ผใู้ ดเพือสนองความใคร่ ของผอู้ นื รับตวั บุคคลซึงผจู้ ดั หา ลอ่ ไป หรือพาไปตามวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือสนบั สนุน ในการกระทาํ ความผิดดงั กล่าวตอ้ งระวางโทษตามทีบญั ญตั ิไวใ้ นวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสาม แลว้ แต่กรณี มาตรา ผใู้ ดเพือสนองความใคร่ของผอู้ ืน เป็ นธุระจดั หา ล่อไป หรือพาไปเพือการอนาจาร ซึงชายหรือหญิง โดยใชอ้ ุบายหลอกลวง ข่เู ขญ็ ใชก้ าํ ลงั ประทุษร้าย ใชอ้ าํ นาจครอบงาํ ผิดคลองธรรม หรือ ใชว้ ธิ ีข่มขืนใจดว้ ยประการอนื ใด ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ตงั แต่หา้ ปี ถึงยสี ิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมืนบาท ถงึ สีหมืนบาท ถา้ การกระทาํ ตามความผดิ ตามวรรคแรก เป็นการกระทาํ แก่บุคคลอายุเกินสิบหา้ ปี แต่ยงั ไม่ เกินสิบแปดปี ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่เจ็ดปี ถึงยีสิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมืนสีพนั บาทถึงสี หมนื บาท หรือจาํ คุกตลอดชีวติ ถา้ การกระทาํ ผดิ ตามวรรคแรกเป็นการกระทาํ แก่เดก็ อายยุ งั ไมเ่ กินสิบหา้ ปี ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สิบปี ถึงยีสิบปี และปรับตงั แต่สองหมืนบาทถึงสีหมืนบาท หรือจาํ คุก ตลอดชีวติ หรือประหารชีวิต ผใู้ ดเพือสนองความใคร่ของผอู้ ืน รับตวั บุคคลซึงมีผจู้ ดั หา ล่อไป หรือพาไป ตามวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือสนบั สนุนในการกระทาํ ความผิดดงั กล่าว ตอ้ งระวางโทษ ตามทีบญั ญตั ิไวใ้ นวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสามแลว้ แต่กรณี

50 มาตรา ทวิ ผใู้ ดพาบุคคลอายเุ กินสิบห้าปี แต่ยงั ไม่เกินสิบแปดปี ไปเพือการอนาจาร แมผ้ นู้ ัน จะยนิ ยอมก็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกไม่เกินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหนึงหมนื บาทหรือทงั จาํ ทงั ปรับ ถา้ การ กระทาํ ความผดิ ตามวรรคแรก เป็นการกระทาํ แก่เด็กอายยุ งั ไม่เกินสิบห้าปี ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึงหมืนสีพนั บาท หรือทงั จาํ ทงั ปรับ ผใู้ ดซ่อนเร้นบุคคลซึงถกู พาไปตามวรรค แรกหรือวรรคสอง ตอ้ งระวางโทษตามทีบญั ญัติในวรรคแรกหรือวรรคสองแลว้ แต่กรณี ความผิดตาม วรรคแรกและวรรคสาม เฉพาะกรณีทีกระทาํ แก่บุคคลอายเุ กินสิบหา้ ปี เป็นความผดิ อนั ยอมความได้ มาตรา ผใู้ ดพาผอู้ ืนไปเพือการอนาจาร โดยใชอ้ ุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใชก้ าํ ลงั ประทุษร้าย ใชอ้ าํ นาจครอบงาํ ผดิ คลองธรรมหรือใชว้ ธิ ีข่มขืนใจดว้ ยประการอนื ใด ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่หนึงปี ถงึ สิบปี และปรับตงั แต่สองพนั บาทถึงหนึงหมนื บาท ผใู้ ดซ่อนเร้นบุคคลซึงเป็ นผถู้ กู พาไปตามวรรคแรก ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั ผพู้ าไปนนั ความผดิ ตามมาตรานี เป็นความผดิ อนั ยอมความได้ มาตรา ผใู้ ดปราศจากเหตุอนั สมควรพรากเด็กอายุยงั ไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผปู้ กครอง หรือผดู้ ูแล ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สามปี ถงึ สิบหา้ ปี และปรับตงั แต่หา้ พนั บาทถึงสามหมืนบาท ผูใ้ ดโดยทุจริต ซือ จาํ หน่าย หรือรับตัวเด็กซึงถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ ผพู้ รากนนั ถา้ ความผดิ ตามมาตรานีไดก้ ระทาํ เพือหากาํ ไร หรือเพือการอนาจาร ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษ จาํ คุกตงั แต่หา้ ปี ถึงยสี ิบปี และปรับตงั แต่หนึงหมนื บาทถึงสีหมืนบาท มาตรา ผูใ้ ดพรากผูเ้ ยาวอ์ ายุกว่าสิบห้าปี แต่ยงั ไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผปู้ กครอง หรือผดู้ ูแล โดยผเู้ ยาวน์ นั ไม่เต็มใจไปดว้ ย ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สองปี ถึงสิบปี และปรับตงั แต่สีพนั บาทถงึ สองหมนื บาท ผใู้ ดโดยทุจริต ซือ จาํ หน่าย หรือรับตวั ผเู้ ยาว์ ซึงถกู พรากตามวรรคแรกตอ้ ง ระวางโทษเช่นเดียวกบั ผพู้ รากนันถา้ ความผิดตามมาตรานีไดก้ ระทาํ เพือหากาํ ไร หรือเพือการอนาจาร ผกู้ ระทาํ ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกตงั แต่สามปี ถงึ สิบหา้ ปี และปรับตงั แต่หา้ พนั บาทถึงสามหมนื บาท มาตรา ผูใ้ ดพรากผูเ้ ยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยงั ไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผปู้ กครองหรือผดู้ ูแลเพือหากาํ ไรหรือเพือการอนาจาร โดยผเู้ ยาวน์ ันเต็มใจไปดว้ ย ตอ้ งระวางโทษจาํ คุก ตงั แต่สองปี ถงึ สิบปี และปรับตงั แต่สีพนั บาทถึงสองหมืนบาท ผใู้ ดกระทาํ ทุจริต ซือ จาํ หน่าย หรือรับตวั ผเู้ ยาวซ์ ึงถกู พรากตามวรรคแรกตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั ผพู้ รากนนั ผใู้ ดจะมีความผิดฐานพรากผเู้ ยาว์ ความผดิ นนั จะตอ้ งประกอบดว้ ย 1. มกี ารพรากบุคคลไปจากการดแู ลของบิดามารดา ผดู้ แู ล หรือผปู้ กครอง 2. บุคคลทีถกู พรากจะเตม็ ใจหรือไมก่ ็ตาม 3. ปราศจากเหตุผลอนั สมควร 4. โดยเจตนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook