Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy: Measurement and Development)

ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy: Measurement and Development)

Published by Thanaporn Sathitanont, 2021-12-20 06:48:44

Description: ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในมุมมองทั่วโลกเริ่มให้ความสาคัญอย่างจริงจังมากว่า 20 ปี สาหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข เห็นความสาคัญอย่างยิ่งว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นทั้งเครื่องมือพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืนของคนไทย เป็นกลไกการปฎิรูปสุขภาพคนไทยในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ในหนังสือเล่มนี้ มีคาตอบให้ จากสาระที่ได้จากการศึกษาประสบการณ์ที่ดาเนินการมายาวนานของนักวิจัย นักวิชาการและนักปฎิบัติการในหลายประเทศ รวมทั้งประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง ที่จะเติมเต็มให้มีสาระมากพอสาหรับผู้อ่านได้ศึกษาและใช้เป็นแนวทางการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Keywords: ความรอบรู้ด้านสุขภาพ,การวัดและการพัฒนา,พฤติกรรมสุขภาพ,เครื่องมือวัด,การรู้หนังสือ

Search

Read the Text Version

92 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เพ่อื การตดั สนิ ใจท่ดี เี ก่ยี วกบั การเซน็ ต์ใบยนิ ยอม เพม่ิ ความตระหนักเก่ยี วกบั ความเสย่ี งด้าน สุขภาพ เพม่ิ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ และช่วยให้ประชาชนมคี วามสามารถทจ่ี ดั การตนเองดา้ น สุขภาพ กจิ กรรมและอุปกรณ์ในโครงการน้ีประกอบดว้ ย การพฒั นาค่มู อื และแผ่นพบั ทม่ี เี น้ือหา เก่ียวกับการเซ็นใบยนิ ยอม การบรโิ ภคยา ความรู้ความเข้าใจเก่ยี วกับความเส่ยี ง และการ ตดั สนิ ใจทางดา้ นสุขภาพ (Department of Health Government of Western Australia, 2012) 2) No Umbrella Campaign เป็นโครงการท่ีจดั ข้นึ ในประเทศไอร์แลนด์เพ่ือ สร้างความตระหนักเก่ียวกับการคัดกรองโรคติดเช้ือทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเพศชาย นอกจากน้ียงั ใหค้ วามรกู้ บั วยั รนุ่ ชายเพอ่ื เปลย่ี นแปลงความเชอ่ื เดมิ ทว่ี า่ การคดั กรองโรคตดิ เชอ้ื ทางเพศสมั พนั ธ์ ทาใหร้ สู้ กึ เจบ็ จากการทดสออบแบบ “Umbrella Test” ใหไ้ ปใชว้ ธิ ที ดสอบแบบ “No Umbrella Test” ซง่ึ เป็นวธิ ที ไ่ี ม่ทาใหเ้ จบ็ ผลความสาเรจ็ ของโครงการพบว่า จานวนคนรบั การตรวจคดั กรองโรคตดิ เชอ้ื ทางเพศสมั พนั ธเ์ พม่ิ ขน้ึ กว่าก่อนดาเนินโครงการ 3) The Western Australian ( WA) Country Health Service Chronic Condition Self-Management Program เป็นโครงการทพ่ี ฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ โดยการ ใหค้ วามรแู้ ละพฒั นาทกั ษะการจดั การตนเองในผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั เช่น โรคหอบหดื โรคเบาหวาน โรคปอดอุดกนั้ เรอ้ื รงั โรคหวั ใจ เป็นต้น โดยมกี ลุ่มเป้าหมายเป็นทงั้ บุคลากรทางสุขภาพและ ผูป้ ่ วยโรคเรอ้ื รงั สาหรบั กลุ่มบุคลากรทางสุขภาพมกี ารดาเนินกิจกรรมในลกั ษณะเป็นการให้ ความรแู้ ละการฝึกอบรมเก่ยี วกบั วธิ กี ารจดั การตนเองในผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั สาหรบั กลุ่มผปู้ ่วยจะมี แผ่นพับและส่ือการเรียนรู้ เช่น DVD เร่ือง “Self-managing your long-term condition” นอกจากน้ี ยงั มกี ารดาเนินการในรปู แบบอ่นื ๆ เช่น มคี ู่มอื สาหรบั ผูป้ ่ วยท่จี ะเขา้ รบั การตรวจ คลนิ ิกโรคปอด โดยใชภ้ าษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ยชดั เจน มกี ารใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื ในการใหข้ อ้ มลู ข่าวสาร ดา้ นสุขภาพแก่ประชาชนเฉพาะกลุ่มผ่าน SMS และการใช้ Scorecard เพ่อื สรา้ งความรบั รแู้ ละ ความตระหนกั ดา้ นสุขภาพอนั จะนาไปสกู่ ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพได้ (Pleasant, 2012) 2. รปู แบบการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพของบคุ ลากรทางสขุ ภาพ แมว้ ่าในโลกปัจจุบนั จะมขี ้อมูล การส่อื สารและการให้การศึกษาในรูปแบบต่างๆ จานวนมาก แต่ก็ยงั คงมชี ่องว่างระหว่างบุคลากรทางสุขภาพกับประชาชน ทงั้ น้ีเน่ืองจาก บุคลากรทางสุขภาพบางส่วนยงั คงยดึ ตดิ กบั การปฏบิ ตั แิ บบเดมิ ยงั ไม่มกี ารปรบั เปลย่ี นมากนัก ในดา้ นการส่อื สารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพกบั ประชาชนหรอื ผู้ป่ วยซง่ึ เป็นปัญหาใหญ่ในบางพ้นื ท่ี (Baur, 2012) หลายประเทศจงึ มกี จิ กรรมในการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ของบุคลากรทางสุขภาพโดยเน้นวธิ กี ารสอ่ื สาร และวธิ กี ารใหค้ วามรกู้ บั ผปู้ ่วยอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล ดงั ตวั อยา่ งของรปู แบบการดาเนินการทน่ี ่าสนใจ เชน่ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

93 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 2.1 การจดั อบรมเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการสอ่ื สารของบคุ ลากรทางสุขภาพ ซง่ึ โครงการ น้ีจดั ขน้ึ ในพน้ื ทภ่ี าคเหนือของอติ าลี วตั ถุประสงคข์ องโครงการคอื เพ่อื พฒั นาทกั ษะการส่อื สาร ทงั้ การพดู และการเขยี นของบคุ ลากรในหน่วยโรคมะเรง็ ของโรงพยาบาล รปู แบบการดาเนินการ ประกอบด้วย 2 ระยะ โดยระยะแรกเป็ นลักษณะการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ประกอบด้วย 2 workshop คอื 1) workshop สาหรบั แพทย์และพยาบาล และ 2) workshop สาหรบั บุคลากรอ่ืนท่มี ีส่วนในการส่อื สารกบั ผู้ป่ วยและญาติ เช่น เจ้าหน้าท่ปี ระชาสัมพนั ธ์ ลกั ษณะของกจิ กรรมใน workshop มที งั้ การบรรยายและอภปิ ราย ทาแบบฝึกหดั ทางานกลุ่ม ทารายงาน และฝึกปฏิบตั ิจรงิ ในท่ีทางาน ภายหลงั เสร็จส้ินการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั ิการใน ระยะแรก มกี ารจดั หลกั สตู รฝึกอบรมเพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ผปู้ ่วย ทงั้ น้แี พทย์ และพยาบาลทเ่ี คยเขา้ รว่ มการฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารในระยะแรกจะได้รบั การฝึกใหส้ อนเพ่อื น รว่ มงานตนเอง ซง่ึ เป็นการใชเ้ ทคนิคเพ่อื นฝึกเพอ่ื น (Peer training method) (Gazzotti, 2012) 2.2 การใช้เทคนิค “Ask Me 3” และ “Teach-back method” จัดข้ึนในประเทศ อสิ ราเอลใน โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั คลนิ ิกโรคเดก็ ในชุมชนและคลนิ ิคโรคทางสูตนิ ารี โดย ประยุกต์เทคนิค “Ask Me 3” เพ่อื กระตุ้นใหผ้ ู้ป่ วยถามคาถามแพทยไ์ ด้ 3 ขอ้ ได้แก่ 1) ปัญหา สุขภาพของตนเองคอื อะไร 2) ฉันจาเป็นตอ้ งทาอะไรบา้ งเก่ยี วกบั ปัญหาดงั กล่าว และ 3) สง่ิ ท่ี ต้องทานนั้ สาคญั อย่างไร ซง่ึ คาถามเหล่าน้ีไดถ้ ูกแปลเป็นหลายภาษาตามทป่ี ระชาชนหลายเชอ้ื ชาตใิ นอสิ ราเอลใช้ เช่น ภาษาฮบิ รู ภาษาอารบคิ ภาษารสั เซยี เป็นตน้ หลงั จากนนั้ แพทยจ์ ะใช้ เทคนิค “Teach-back method” ในการให้ผู้ป่ วยให้ความรู้กลับแก่แพทย์ ซ่ึงความรู้นัน้ เป็น ความรใู้ หมท่ ไ่ี ดร้ บั จากแพทยใ์ นขนั้ Ask Me 3 (Levin-Zamir, 2012) 2.3 “You Can Make a Different” เป็น computer-based program มวี ตั ถุประสงค์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการสอ่ื สารของแพทยแ์ ละพยาบาล โดยใชแ้ นวคดิ ของการสมั ภาษณ์ใหผ้ ปู้ ่วยเกดิ แรงจงู ใจ (Motivational interviewing) และการใหก้ ารบาบดั แบบสนั้ (Brief intervention) โดยใช้ หลกั การ 5A (Levin-Zamir, 2012) ไดแ้ ก่ การประเมนิ ความรคู้ วามเช่อื และพฤตกิ รรมเดมิ ของ ผปู้ ่วยจากการสอบถาม (Assess) การใหข้ อ้ มลู เสนอแนะท่จี าเป็นเก่ยี วกบั พฤตกิ รรมเสย่ี งและ ประโยชน์ท่ไี ด้จากการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม (Advise) ตงั้ เป้าหมายโดยตกลงร่วมกันตาม เงอ่ื นไขสภาพปัญหาและความสามารถของผปู้ ่วย (Agree) ระบอุ ุปสรรค กลยทุ ธแ์ ละเทคนิคการ แก้ปัญหาพรอ้ มใหก้ ารช่วยเหลอื สนับสนุนทางสงั คม (Assist) และการจดั การแผนการตดิ ตาม ผ่านชอ่ งทางต่าง ๆ เช่น การเยย่ี มบา้ น โทรศพั ท์ จดหมายเตอื น เป็นตน้ (Arrange) ดงั ตวั อยา่ ง โมเดลการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมตามหลกั 5A ( 5A’s Behavior Change Model adapted for self-management support improvement) ของ Glasgow et al. (2002) Whitlock et al. (2002) ซง่ึ โมเดลน้เี หมาะสาหรบั ผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั ดงั ภาพประกอบ 3-3 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

94 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ภาพประกอบ 3-3 โมเดลการเปลย่ี นพฤตกิ รรมตามหลกั 5A (Glasgow et al., 2002; Whitlock et al., 2002) 2.4 “ The Community Pharmacy Health Literacy Research Project” เ ป็ น โครงการทม่ี ขี น้ึ ในประเทศออสเตรเลยี มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นาและทดลองใช้ชุดส่อื การเรยี นรู้ (Educational package) สาหรบั เภสชั กรและผู้ช่วยเภสชั กรในรา้ นยาเก่ยี วกบั ความรอบรู้ด้าน สุขภาพ เพ่อื พฒั นาใหเ้ ภสชั กรและผชู้ ่วยสามารถให้ขอ้ มลู ด้านสุขภาพแก่ผบู้ รโิ ภคไดด้ ขี น้ึ และ พฒั นาผลลพั ธท์ างดา้ นสุขภาพ (Duncan et al., 2012) นอกเหนือจากตัวอย่างข้างต้นยงั มีการดาเนินการอ่ืนๆ เช่น Health Literacy Network (HLN) ซ่งึ เป็นการสร้างเครอื ข่ายความร่วมมอื ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพระหว่าง บุคลากรทางสุขภาพในหน่วยงานต่างๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชนรวมทงั้ มหาวทิ ยาลยั การจดั สมั มนา/ประชุมเชงิ วชิ าการเก่ยี วกบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเก่ยี วกบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพ การมหี ลกั สูตรและรายวิชาท่ีเก่ียวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพใน หลกั สตู รปรญิ ญาตรสี าหรบั บคุ ลากรทางสุขภาพทุกสหสาขาวชิ าชพี การจดั ทาหลกั สตู รออนไลน์ เกย่ี วกบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Pleasant, 2012) 3. รปู แบบการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในสถานพยาบาล กจิ กรรมการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพในสถานพยาบาล ส่วน ใหญ่เป็นการให้ข้อมูลเก่ียวกับสถานพยาบาลแก่ผู้ป่ วยและญาติ สร้างสภาพแวดล้อมให้ เออ้ื อานวย และใหบ้ รกิ ารทเ่ี ป็นมติ ร ตวั อยา่ งรปู แบบการดาเนินการในสถานพยาบาล เชน่ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

95 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ A Hospital Orientation and health Information Tour เป็นโครงการทด่ี าเนินการใน ประเทศออสเตรเลยี ซง่ึ จดั ใหก้ บั ผอู้ พยพ มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1) ใหค้ นในชมุ ชนมคี วามคุน้ เคยกบั พน้ื ท่โี รงพยาบาล ท่จี อดรถ และเส้นทางเขา้ ออกรอบๆ โรงพยาบาล และ 2) แนะนาจุดสาคญั หลกั ๆ ในโรงพยาบาล เช่น จุดลงจอดสาหรบั ผปู้ ่ วย หอ้ งจา่ ยยา หอ้ งตรวจ หอ้ งฉุกเฉิน เป็นตน้ (Pleasant, 2012) The Health Literacy Environment Activity Packet: First Impression and Walking Interview เป็นโครงการท่ดี าเนินการในประเทศออสเตรเลยี ประกอบดว้ ย 3 กจิ กรรมได้แก่ 1) โทรศพั ทต์ ามใหม้ าโรงพยาบาล 2) เยย่ี มชมเวบ็ ไซตข์ องโรงพยาบาล และ 3) เดนิ เยย่ี มชมและ สมั ภาษณ์พดู คยุ (Pleasant, 2012) 4. รปู แบบการพฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพในองคก์ ร ประเด็นหลกั ในการพฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพในองค์กรคอื การปรบั เปล่ยี น องคก์ รเพ่อื ทจ่ี ะหลอมรวมเอาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเขา้ ไปในวถิ ชี วี ติ การทางานประจาวนั ให้ เป็นองค์กรความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literate organization) ตวั อย่างของรูปแบบการ ดาเนนิ การในองคก์ รทน่ี ่าสนใจไดแ้ ก่ Cultural of health program เป็ นโปรแกรมของบริษัท Johnson & Johnson ท่ีให้ ความสาคญั กบั การดแู ลสุขภาพของพนกั งานในบรษิ ทั และคนในครอบครวั เป็นอย่างมาก โดยได้ ตงั้ เป้าหมายทางดา้ นสุขภาพของพนักงานในปี ค.ศ. 2015 ไวว้ ่า 1) 90% ของพนกั งานสามารถ เข้าถงึ โปรแกรม Cultural of health program 2) 80% ของพนักงานมแี ฟ้มประวตั คิ วามเส่ยี ง ดา้ นสุขภาพและรบั ทราบเกย่ี วกบั ตวั ชว้ี ดั หลกั ดา้ นสขุ ภาพ และ 3) 80% ของพนกั งานทเ่ี ป็นกลุ่ม เสย่ี งมคี วามเสย่ี งดา้ นสขุ ภาพลดลง (Isaac, 2012) ลกั ษณะของโปรแกรมน้ปี ระกอบดว้ ย 1) การ มนี โยบายทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 2) มกี ระบวนการประเมนิ ความเส่ยี งด้านสุขภาพและจดั ทาแฟ้มประวตั ิ การประเมนิ ความเสย่ี ง 3) จดั เขตปลอดบุหรแ่ี ละกจิ กรรมเพอ่ื เลกิ บุหร่ี 4) มกี ารจดั การเก่ยี วกบั HIV/AIDS 5) มกี ารป้องกันมะเรง็ ในสถานท่ที างาน 6) มกี ารส่งเสรมิ การบรโิ ภคอาหารเพ่อื สุขภาพในท่ที างาน และ 7) มผี ูใ้ ห้คาปรกึ ษาเพ่อื ให้ความช่วยเหลอื พนักงาน ซง่ึ โปรแกรมน้ีจะ ครอบคลุมไปถึงคนในครอบครวั และชุมชนของพนักงานด้วย โดยจะมกี ารจดั ทาแฟ้มประวตั ิ สุขภาพของคนในครอบครวั ของพนักงาน และมกี จิ กรรมส่งเสรมิ คุณภาพชวี ติ ท่จี ดั ให้สาหรบั ครอบครวั รว่ มดว้ ย เชน่ กจิ กรรมสรา้ งสมั พนั ธภาพ กจิ กรรมกฬี า เป็นตน้ 5. รปู แบบการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในชุมชน กจิ กรรมการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในชุมชน ส่วนใหญ่เป็น การให้ขอ้ มูลสุขภาพผ่านเทคนิควธิ กี ารต่างๆ ท่สี อดคล้องกบั ชุมชน เพ่อื ให้เกดิ ความรู้ความ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

96 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เขา้ ใจ ทกั ษะและนาไปส่กู ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม โดยเน้นการมสี ่วนรว่ มจากชุมชนและความ ร่วมมอื จากหลายภาคส่วน ตวั อย่างของรูปแบบการพฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพท่ปี ระสบ ความสาเรจ็ เชน่ Art for behavior change เป็ นโครงการนาร่องใช้เทคนิค Edutainment ได้แก่ ศลิ ปะการแสดงมาช่วยใหค้ นในชุมชนเขา้ ใจสง่ิ จาเป็นทต่ี อ้ งทาเพ่อื พฒั นาสุขอนามยั ส่วนบุคคล และสมาชกิ ในครอบครวั โดยแนวคดิ ของรูปแบบการดาเนินการคอื การใช้หลกั การกระจาย (Diffusion) ขอ้ มลู สุขภาพแก่ชุมชนและทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมโดยผ่านการแสดง ทส่ี นุกสนาน ซง่ึ เป็นการทางานรว่ มกนั ระหว่างคนในชุมชน นกั สงั คมวทิ ยา บุคลากรทางสุขภาพ และนักจุลชวี วิทยา วตั ถุประสงค์ของโครงการคอื การเพ่มิ ความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับ สุขอนามยั การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมด้านสุขอนามยั ส่วนบุคคลและครอบครวั และลดภาระ ต่างๆ ทเ่ี กดิ จากเชอ้ื จลุ ชพี กจิ กรรมประกอบดว้ ย การแสดงจานวน 12 ชุด ซง่ึ มคี นในชมุ ชน นกั สาธารณสุข และแพทยเ์ ขา้ ร่วมแสดงด้วย ผลการประเมนิ แสดงให้เหน็ ถงึ ความสาเรจ็ ในการ กระจายข้อมูลและการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมผ่านรูปแบบการแสดง เช่น ร้อยละ 54.4 ของ กลุ่มเป้าหมายกล่าวว่า เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมดา้ นสุขอนามยั ในช่วง 3 เดอื นทผ่ี ่านมา โดยส่วนใหญ่ใหเ้ หตุผลว่า การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมนนั้ เกดิ ขน้ึ จากการแสดง รอ้ ยละ 91.3 ของ กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี หข้ อ้ มลู ว่าไดเ้ รยี นรูด้ า้ นสุขภาพหลายสงิ่ จากการแสดง นอกจากน้ียงั พบว่า คน ในชมุ ชนสว่ นใหญ่เขา้ รว่ มกจิ กรรมอย่างจรงิ จงั ตลอดโครงการ ซง่ึ กุญแจสาคญั ของความสาเรจ็ น้ี คอื การมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมของคนในชุมชนและการใชศ้ ลิ ปะการแสดงเพ่อื จะพฒั นาความรอบ รู้ด้านสุขภาพและเกิดการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมด้านสุขภาพอนามยั (Cabe & Thompson, 2012) นอกจาก Art for behavior change แลว้ ยงั มโี ครงการอ่นื ๆ ทใ่ี ช้หลกั การ Edutainment ไดแ้ ก่ ศลิ ปะการแสดง ดนตรี ภาพยนตร์ โทรทศั น์ ในการใหข้ อ้ มลู ดา้ นสุขภาพและการส่งเสรมิ สุขภาพแก่ชุมชน เช่น โครงการของรฐั “Darpana Academy” (Darpna, 2012) “Community- based health literacy campaigns” (Pleasant, 2012) เป็นตน้ Refuah Shlema program โปรแกรมน้ีเกดิ ขน้ึ ในประเทศอสิ ราเอล ซง่ึ เป็นโปรแกรม ในชุมชนขนาดใหญ่และยงั่ ยนื ทส่ี ุดในอสิ ราเอล เป้าหมายของโปรแกรมคอื เพ่อื ส่งเสรมิ สุขภาพ และพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในกลุ่มผอู้ พยพใหม่ โดยโปรแกรมน้เี ป็นความรว่ มมอื ระหว่าง หน่วยงานภาคเอกชนกบั กระทรวงสาธารณสุข กจิ กรรมในโปรแกรมประกอบด้วย ผู้แปลหรอื ล่ามทางโทรศพั ท์ (Telephone translator) การดูแลผปู้ ่วยเบาหวานในชุมชน การฝึกทกั ษะการ เป็นพเ่ี ลย้ี งของบุคลากรทางสุขภาพเกย่ี วกบั ทกั ษะความสามารถทจ่ี าเป็นทางวฒั นธรรมในการ ดูแลสุขภาพ ผลการประเมินโปรแกรมภายหลังการดาเนินการไปเป็ นเวลา 5 ปี พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่ วยเพ่ิมข้ึน การเข้าถึงบริการ สุขภาพเพิ่มข้ึน และ ความสามารถในการคน้ หาขอ้ มลู และบรกิ ารสุขภาพเพม่ิ ขน้ึ (Levin-Zamir, 2012) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

97 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Live Eat Go! Healthy Community program โ ป ร แ ก ร ม น้ี จัด ข้ึน ใ น ป ร ะ เ ท ศ ออสเตรเลยี มวี ตั ถุประสงค์เพ่อื ลดความชุกของภาวะน้าหนักเกนิ และโรคอว้ นของคนในชุมชน โดยการส่งเสรมิ ใหค้ นเขา้ ร่วมโปรแกรม มกี ารเคล่อื นไหวออกกาลงั และการบรโิ ภคอาหารเพ่อื สุขภาพอย่างจรงิ จงั กจิ กรรมในโปรแกรมนอกจากเน้นการเคล่อื นไหวออกกาลงั และการบรโิ ภค อาหารแลว้ ยงั มกี จิ กรรมเพมิ่ ความรแู้ ละทกั ษะความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในกล่มุ เสย่ี งโรคเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ดว้ ย (Pleasant, 2012) Kalyani เป็นโครงการของภาครฐั ท่ถี อื ได้ว่าเป็นการรณรงค์ทางด้านสาธารณสุขท่ี ยาวนานทส่ี ุดในประเทศอนิ เดยี รปู แบบของการดาเนินการคอื ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั โรคต่างๆ ผ่าน ส่อื โทรทศั น์ เน้อื หาทใ่ี หค้ วามรู้ เช่น โรคมาลาเรยี วณั โรค HIV/AIDS การเลกิ สบู บุหร่ี โรคมะเรง็ โรคเบาหวาน เป็นต้น ผลการประเมนิ โครงการพบว่า คนท่ไี ด้ดูโทรทศั น์มคี วามรู้เก่ียวกับ ประเดน็ เน้อื หาเหล่าน้ีมากกวา่ คนทไ่ี มไ่ ดด้ ู ต่อมาไดม้ กี ารพฒั นาโปรแกรมใหม้ คี วามหลากหลาย ของภาษามากขน้ึ และกจิ กรรมเพมิ่ เตมิ โดยมแี พทยแ์ ละคณะทางานในทมี (Kalyani team) ลง พ้นื ท่เี ย่ยี มชุมชน มคี ลบั สุขภาพ และมจี ติ อาสาทางานในคลบั สุขภาพ และกุญแจสาคญั ของ ความสาเรจ็ ของโครงการน้คี อื การมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน (Pleasant, 2012) สรุปได้ว่า จากข้อมูลการพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพดงั กล่าว เม่อื พจิ ารณา ร่วมกบั องคป์ ระกอบของความรอบรดู้ ้านสุขภาพจะเหน็ ว่า ในภาพรวมรูปแบบการดาเนินงาน ดา้ นการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพมคี วามหลากหลายในองค์ประกอบของความรอบรูด้ ้าน สุขภาพ 6 ประการท่มี กี ารพฒั นา อย่างไรกต็ าม การพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพจะประสบ ความสาเรจ็ ได้ จาเป็นต้องพฒั นาทงั้ สองด้านคอื ความรูแ้ ละทกั ษะของประชาชนท่รี บั ข้อมูล สุขภาพและรบั บริการสุขภาพ และความรู้และทักษะของบุคลากรผู้ให้ข้อมูลสุขภาพและ ให้บรกิ ารสุขภาพ ทงั้ น้ี หากบุคลากรทางสุขภาพมที กั ษะด้านการส่อื สารท่ดี ี มคี วามรู้ความ เขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั การและความสาคญั ของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพต่อผลลพั ธด์ า้ นสุขภาพของ ผู้ป่ วย ก็จะสามารถส่อื สารเพ่อื ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่ วยได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและ สามารถช่วยพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่ วยได้มากข้นึ ดงั นัน้ จงึ ขอสรุปลักษณะ รูปแบบการดาเนินงานตามองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ดงั น้ี (Baur, 2012; Kumaresan, 2012; Cabe and Thompson, 2012; Ratzan, 2012; Dunbar, 2012; Gazzotti, 2012; Lynch, 2012; Pleasant, 2012) ดงั แสดงในตารางสรปุ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

98 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตาราง 3-1 สรปุ กจิ กรรมและรปู แบบการดาเนนิ การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ องคป์ ระกอบของ กิจกรรม/รปู แบบการดาเนินการพฒั นา ความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ ประชาชน บคุ ลากรทางสขุ ภาพ 1. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู 1. มเี วบ็ ไซตด์ า้ นสขุ ภาพทน่ี ่าเชอ่ื ถอื 1. ไดร้ บั การฝึกทกั ษะในการผลติ สขุ ภาพและ 2. การใช้ mobile health technology และใชส้ อ่ื สง่ิ พมิ พ์ สอ่ื เทคโนโลย่ี บรกิ ารสขุ ภาพ และ applications รวมถงึ wireless เพอ่ื ใหค้ วามรกู้ บั ประชาชนได้ (Access) devices ในการใหข้ อ้ มลู สขุ ภาพแก่ หลายชอ่ งทาง ประชาชน 3. การจดั สง่ิ สนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพ 2. ไดร้ บั แรงจงู ใจในการทางานเพอ่ื อยา่ งเพยี งพอและเพม่ิ การเขา้ ถงึ เพมิ่ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ บรกิ ารสขุ ภาพ สาหรบั ประชาชน 4. การจดั กจิ กรรมเยย่ี มชมจดุ บรกิ าร สขุ ภาพในโรงพยาบาลทส่ี าคญั 3. กจิ กรรมเพม่ิ ความตระหนกั 5. โครงการรณรงคก์ ารคดั กรอง เกย่ี วกบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธท์ ม่ี คี วาม ของแพทยแ์ ละบคุ ลากรทาง เป็นมติ รกบั ผปู้ ่วย เชน่ ใหบ้ ุคลากรใช้ สขุ ภาพ ภาษางา่ ยๆ ใชเ้ ครอ่ื งมอื ทไ่ี ม่ทาใหเ้ จบ็ หรอื กลวั เป็นตน้ 2. ความรู้ 6. มเี วบ็ ไซตใ์ หค้ วามรดู้ า้ นสขุ ภาพอยา่ ง 4. มี research-based guidance ความเขา้ ใจ ต่อเน่ืองทถ่ี กู ตอ้ งและทนั สมยั เป็นแนวทางชว่ ยใหห้ น่วยงาน (Cognitive) 7. โครงการเพมิ่ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ประยกุ ตห์ ลกั การของความรอบรู้ เกย่ี วกบั สขุ อนามยั ดว้ ยการใช้ ดา้ นสขุ ภาพในการออกแบบ ศลิ ปะการแสดงและการมสี ว่ นรว่ มของ เวบ็ ไซตด์ า้ นสขุ ภาพ คนในชมุ ชน 5. มี health literacy module 8. การใหข้ อ้ มลู สขุ ภาพสาหรบั สาหรบั บุคลากรทางสขุ ภาพ กลมุ่ เป้าหมายเฉพาะในรปู แบบตา่ งๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจหลกั การและ เชน่ fact sheet, radio campaign สามารถใชค้ วามรอบรดู้ า้ น โทรทศั น์ คมู่ อื แผน่ พบั สขุ ภาพในการใหบ้ รกิ าร 9. บรรจุเน้ือหาทเ่ี กย่ี วกบั ความรอบรู้ 6. บรรจุเน้ือหาความรอบรดู้ า้ น ดา้ นสขุ ภาพในหลกั สตู รทกุ ระดบั สขุ ภาพในหลกั สตู รระดบั ปรญิ ญาตรี ทกุ สหสาขาวชิ าชพี 7. มเี วทแี ลกเปลย่ี นองคค์ วามรู้ เกย่ี วกบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ เชน่ สมั มนา การจดั ประชมุ เชงิ วชิ าการ การนาเสนอผลงาน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

99 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ องคป์ ระกอบของ กิจกรรม/รปู แบบการดาเนินการพฒั นา ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ประชาชน บคุ ลากรทางสขุ ภาพ 3. ทกั ษะ 8. การพฒั นาทกั ษะดา้ นการรหู้ นงั สอื 8. มชี ดุ กจิ กรรมเกย่ี วกบั กลยทุ ธ์ การสอ่ื สาร (Literacy skills) คอื ฟัง พดู อา่ น การสอ่ื สารทช่ี ดั เจน (Communication เขยี นและคานวณตวั เลข 9. รบั การฝึกอบรมเพอ่ื พฒั นาทกั ษะ skill) 9. สรา้ งพน้ื ทเ่ี พอ่ื ใหม้ กี ารพดู คยุ การสอ่ื สารดา้ นการพดู และการ แลกเปลย่ี นกนั เกย่ี วกบั ประเดน็ เขยี นของบคุ ลากรทางสขุ ภาพ สขุ ภาพโดยใช้ Social media หรอื 10. รบั การฝึกอบรมเพอ่ื พฒั นา ชมุ ชนสอ่ื สารออนไลน์ ทกั ษะการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั 10. มลี า่ มทางโทรศพั ท์ ผปู้ ่วย 4. การจดั การ 11. จดั กจิ กรรมเพอ่ื เสรมิ สรา้ งทกั ษะการ 11. บุคลากรดา้ นสขุ ภาพจะตอ้ ง ตนเอง (Self- จดั การตนเองในผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั เป็นแบบอยา่ งของผทู้ ส่ี ามารถ management) 12. โปรแกรมพฒั นาพฤตกิ รรมการ จดั การสขุ ภาพตนเองในดา้ น เคล่อื นไหวออกกาลงั และการบรโิ ภค รา่ งกาย มสี ขุ ภาพจติ ทด่ี ี มกี าร อาหารเพอ่ื ลดความชกุ ของโรคอว้ น จดั การหรอื ควบคมุ อารมณ์ไดด้ ี และภาวะน้าหนกั เกนิ และมที กั ษะทางสงั คม 5. การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื 13. มกี ารเผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสารความรู้ 12. มลี กั ษณะเป็นผนู้ าทาง (Media literacy) ทถ่ี กู ตอ้ งทางเวบ็ ไซต์ หรอื สอ่ื อน่ื ๆ ความคดิ ดว้ ยปัญญา 14. ใหค้ าปรกึ ษาดา้ นสขุ ภาพออนไลน์ 13. ใสใ่ จใฝ่เรยี นรขู้ อ้ มลู ขา่ วสาร 15. พฒั นาชดุ เครอ่ื งมอื เพอ่ื ประเมนิ จากสอ่ื ต่างๆ อยา่ งต่อเน่ือง คณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพของ แหลง่ ขอ้ มลู สขุ ภาพ 6. ทกั ษะ 16. จดั โปรแกรมการเสรมิ สรา้ ง 14. ฝึกทกั ษะการคดิ เชน่ การคดิ การตดั สนิ ใจ ศกั ยภาพในการแกป้ ัญหาของชมุ ชน การแกป้ ัญหาในการทางาน (Decision skill) การคดิ อยา่ งมเี หตุผล การคดิ 17. จดั โปรแกรมการใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั วจิ ารณญาน เป็นตน้ กระบวนการในการดแู ลสขุ ภาพ และ ปัญหาทม่ี กั จะเกดิ ขน้ึ ในการดแู ล สขุ ภาพ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

100 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เอกสารอ้างอิง กระทรวงดจิ ทิ ลั เพอ่ื เศรษฐกจิ และสงั คม. (2560). การพฒั นาเพอื่ กา้ วสู่ Smart Thailand บน พน้ื ฐานของการพฒั นาทอ้ งถนิ่ ในรปู แบบ Smart Province. เอกสารประกอบการ ประชมุ สมั มนาทศิ ทางการพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารของประเทศไทย. สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 12 พฤษภาคม 2560 จาก http://www.mict.go.th/assets/portals/1/files/download/SmartThailand.pdf. กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข. (2560). การขบั เคลอื่ นความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและการ สอื่ สารสขุ ภาพ. เอกสารเผยแพรโ่ ดย อรรถพล แกว้ สมั ฤทธิ ์รองอธบิ ดกี รมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข. สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 12 พฤษภาคม 2560 จาก http://www.anamai.moph.go.th/ppf2017/Download.pdf. สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร.์ (2554). แผนยุทธศาสตรส์ ขุ ภาพดวี ถิ ชี วี ติ ไทย พ.ศ. 2554- 2563. นนทบุร:ี สานกั งานปลดั กระทรวงสาธาณสขุ . สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร.์ (2549). แผนยุทธศาสตรช์ าติ ระยะ 20 ปี ดา้ นสาธารณสขุ (ตุลาคม 2559 ถงึ พ.ศ. 2579). นนทบุร:ี สานกั งานปลดั กระทรวงสาธาณสุข. สบื คน้ เมอ่ื 5 เมษายน 2560 จาก http://bps.moph.go.th/new_ bps/sites/default/files/Info_20_Y_plan_V4%2618M_planV5.pdf. Baur C. (2012). United States: health literacy and recent federal initiatives. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Berkman ND, Sheridan SL, Donahue KE, Halpern DJ, Viera A, Crotty K, Holland A, Brasure M, Lohr KN, Harden E, Tant E, Wallace Ina, & Viswanathan M. (2011). Health literacy interventions and outcomes: An updated systematic review. RTI International–University of North Carolina Evidence-based Practice Center Research Triangle Park, North Carolina, AHRQ Publication. Brand H & Sørensen K. (2011). Measuring health literacy in Europe: The development of the HLS-EU tool. Retrieved on January 24, 2016 from http://inthealth.eu/app/download/3310881502/Measuring+Health+Literacy+in+Euro pe+-+Stockholm+9+3+2010.pdf. Bhutani Jaikrit & Bhutani Sukriti. (2014). Worldwide burden of diabetes. Indian J Endocrinol Metab, 18(6), 868–870. doi: 10.4103/2230-8210.141388. Cabe J & Thompson S. (2012). From policy to implementation. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

101 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Darpna. (2012). Welcome to the world of darpna. Retrieved on August 30, 2016 from http://darpana.com/about_us.php. Department of Health Government of Western Australia. (2012). Patient first program. Retrieved on January 24, 2016 from http://www.safetyandquality.health.wa.gov.au/involving_patient/patient_1st.cfm. Dunbar N. (2012). Health literacy as part of a national approach to safety and quality. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Duncan G, Emmerton L, Hughes J, Darzins P, Stewart K, Chaar B, Kairuz T, Ostini R, Williams K, Hussainy S, McNamara K, Hoti K, Bush R, Boyle F, Jiwa M, Suen B, & Swinburne G. (2012). Development of a health literacy education package for community pharmacists and pharmacy staff in Australia. Presented at institute for healthcare advancement health literacy conference. Irvine, CA. May 9, 2012. Foroushani AR, Estebsari F, Mostafaei D, et al. (2014). The effect of health promoting intervention on healthy lifestyle and social support in elders: A clinical trial study. Iranian Red Crescent Medical Journal, 16(8), e18399. doi: 10.5812/ircmj.18399 Gazmararian JA, Baker DW, Williams MV, Parker RM, Scott TL, Green DC, Fehrenbach SN, Ren J, Koplan JP. (1999). Health literacy among medicare enrollees in a managed care organization. JAMA, 281(6), 545-51. Gazzotti F. (2012). Health literacy in Italy’s Emilia Romagna region. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Glasgow RE, Funnell MM, Bonomi Connie D, Valerie B, & Edward HW. (2002). Self- management aspects of the improving chronic illness care breakthrough series: Implementation with diabetes and heart failure teams. behav. Med, 24, 80-87. doi:10.1207/S15324796ABM2402_04. Hacihasanoglu R & Gozum S. (2011). The Effect of patient education and home monitoring on medication compliance, hypertension management, healthy lifestyle behaviours and bmi in a primary health care setting. Journal of Clinical Nursing, 20, 692-705. Health Quality & Safety Commission New Zealand. (2015). A three-step model for better health literacy. Wellington: New Zealand Government. Retrieved on May 20, 2017 from https://www.hqsc.govt.nz/assets/Consumer-Engagement/Resources/health- literacy-booklet-3-steps-Dec-2014.pdf. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

102 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Isaac FW. (2012). Innovations-wellness and prevention: A corporate perspective. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Institute of Medicine. (2013). Health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world: Workshop summary. Washington, DC: The National Academies Press. Retrieved on April 3, 2016 from https://doi.org/10.17226/18325. Johnson & Johnson. (2012). Digital health scorecard. Retrieved on February 20, 2017 from http://www.digitalhealthscorecard.com. Kumaresan J. (2012). WHO’s health literacy work. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Levin-Zamir D. (2012). Health literacy in Israel: Policy, action, research and beyond. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Lynch J. (2012). Health literacy in Ireland. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. National Patient Safety Foundation. (2011). AskMe3. Retrieved on July 20, 2016 from http://www.npsf.org/askme3/. Osborne H. (2013). Health literacy from A to Z: Practical way to communicate your health message. Burlington: Jones & Bartlett Learning, LLC, an Ascend Learning Company. Pender NJ, Murdaugh C, & Parsons MA. (2006). Health promotion in nursing practice. 4th ed. New Jersey: Upper Saddle River. Pleasant A & Kuruvilla S. (2008). A tale of two health literacies: Public health and clinical approaches to health literacy. Health Promotion International, 23(2), 152-159. Pleasant A. (2012). Health literacy around the world: Part health literacy efforts outside of the United States. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Pronovost P, Needham D, Berenholtz S, Sinopoli D, Chu H, Cosgrove S, Sexton B, Hyzy R, Welsh R, Roth G, Bander J, Kepros J, & Goeschel G. (2006). An intervention to decrease catheter-related bloodstream infections in the ICU. New England Journal of Medicine, 355(26), 2725-2732. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

103 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Rattanapun S, Fongkeaw W, Chontawan R, et al. (2009). Characteristics healthy ageing among the elderly in southern Thailand. CMU Journal of Natural Sciences, 8(2), 143-160. Ratzan SC. (2000). Quality communication: The path to ideal health. Paper lecture at national library of medicine/medical library association. NLM Lister Hill Center Auditorium, Bethesda, MD, May 17, 2012. Ratzan SC. (2001). Health literacy: Communication for the public good. Health Promotion International, 16(2), 207-214. Ratzan SC. (2012). Policies and programs promoting health literacy globally. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Thiamwong L. Isaramalai S, & Hatthakit U. (2008). Development and psychometric testing of the active aging scale for Thai adults. Clin Interv Aging. 9, 1211–1221. doi: 10.2147/CIA.S66069. Treatman D, Bhavsar M, Kumar V, & Lesh N. (2012). Mobile phones for community health workers of Bihar empower adolescent girls. WHO South-East Asia. Journal of Public Health, 1(2), 224-226. Vamos S. (2012). Health literacy in Canada. Presentation at the institute of medicine workshop on health literacy: Improving health, health systems, and health policy around the world. New York, September 24, 2012. Whitlock EP, Orleans CT, Pender N, & Allan J. (2002). Evaluating primary care behavioral counseling interventions: an evidence-based approach. Am J Prev Med, 22(4), 267-84. WHO. (1998). Health promotionGlossar. Geneva: WHO Publications. WHO. (2009). Health literacy and health promotion. Definitions, concepts and examples in the Eastern Mediterranean Region. Individual empowerment conference working document. 7th Global Conference on Health Promotion Promoting Health and Development. Nairobi, Kenya, 26-30. WHO. (2016). The mandate for health literacy. 9th Global Conference on Health Promotion, Shanghai 2016 http://who.int/healthpromotion/conferences/9gchp/health-literacy/en/. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

104 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทท่ี 4 แนวคิดทฤษฎีการพฒั นาสขุ ภาพ พฒั นาการตามระยะของการเปล่ยี นผ่านปัญหาสุขภาพของประชากรโลกตงั้ แต่ ค.ศ. 1796 โดยเรม่ิ จากระยะที่ 1 ท่เี กิดโรคติดเช้อื กนั เป็นจานวนมาก ประชากรมอี ายุสนั้ เกิดการ ระบาดของโรคติดต่อซ่ึง Dr.Edward Jenner ได้ค้นพบวัคซีนในการปัองกันโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) กับเด็กชายชาวอังกฤษได้ ต่อมา ค.ศ. 1854 Louise Pasteur ท่ีค้นพบวัคซีน ป้องกนั โรคอหวิ าห์ วณั โรค บาดทะยกั คอตบี ไขร้ ากสาด (Cholera, Tuberculosis, Tetanus, Diphtheria, and Typhus) และในปี ค.ศ. 1890 Christian Eijkman แพทย์ทหารชาวดัทซ์ได้ คน้ พบวติ ามนิ ในการรกั ษาโรคขาดสารอาหารท่จี าเป็น เช่น โรคหวั ใจกลา้ มเน้ือหรอื รูมาตคิ ส์ โรคเหน็บชาหรอื เบอรเิ บอร่ี (Beriberi) เป็นต้น เมอ่ื เขา้ สู่ ระยะที่ 2 คอื พบปัญหาสุขภาพดา้ น โรคตดิ เชอ้ื ลดลงเพราะมกี ารพฒั นาเทคโนโลยสี าธารณสุข เช่น การใหว้ คั ซนี การรกั ษาดว้ ยยา มีการจัดหาอาหารบริโภคท่ีปรุงแต่งหลากหลาย มีอนามัยส่ิงแวดล้อมท่ีดีข้ึน เป็ นต้น (Kansagram, 2007) และเมอ่ื เขา้ สู่ ระยะที่ 3 ภาวะเศรษฐกจิ ของแต่ละประเทศส่วนใหญ่ในโลกดี ขน้ึ วถิ กี ารดาเนินชวี ติ ของประชากรเปล่ยี นไป มกี ารบรโิ ภควตั ถุนิยมมากข้นึ แต่ต้องดาเนิน ชวี ติ ดว้ ยการทางานหนักมากขน้ึ มภี าวะเครยี ดและมกี ารจดั การความเครยี ดทไ่ี มเ่ หมาะสมดว้ ย การใชส้ ง่ิ เสพตดิ บุหรห่ี รอื ด่มื เครอ่ื งด่มื ทม่ี แี อลกอฮอลม์ ากขน้ึ มกี จิ กรรมเคล่อื นไหวออกกาลงั ลดลง ปัญหาสุขภาพเรมิ่ เกดิ ขน้ึ กบั คนอายุน้อยลง โดยสถติ ปิ ระชากรโลกเป็นโรคเมตาบอลกิ เพมิ่ ขน้ึ ทุกปี และเม่อื เขา้ สู่ระยะท่ี 4 ในยุคศตวรรษท่ี 21 ท่มี คี วามเป็นเลศิ ในระบบบรกิ ารดา้ น การรกั ษาสุขภาพดขี น้ึ จงึ ทาใหผ้ ปู้ ่วยอายุยนื ขน้ึ มากถงึ กว่า 70 ปี ผปู้ ่วยจะเสยี ชวี ติ เมอ่ื อายมุ าก ขน้ึ แต่จะยงั คงเป็นภาระโรค เชน่ สถติ โิ รคอว้ นสงู สดุ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า สถติ ขิ องผสู้ ูบบุหร่ี สูงสุดในประเทศจีน อินเดีย สหรฐั อเมริกา รสั เซีย และญ่ีปุ่น (สานักสารนิเทศ สานักงาน ปลดั กระทรวงสาธารณสุข, 2560) แต่ประชากรเหล่าน้ีจะยงั คงมอี ายุยนื จากผลสารวจ The World Economic Forum พบวา่ ประชากรในประเทศทม่ี อี ายยุ นื เฉลย่ี สงู สดุ 15 อนั ดบั แรกไดแ้ ก่ ฮ่องกง ญ่ปี ่นุ อติ าลี ไอซแ์ ลนด์ สวติ เซอรแ์ ลนด์ ฝรงั่ เศส สเปน สงิ คโปร์ ออสเตรเลยี อสิ ราเอล สวเี ดน องั กฤษ นอรเ์ วย์ ลกั เซมเบริ ค์ เกาหลใี ต้ เท่ากบั 83.5, 83.1, 82.9, 82.9, 82.7, 82.6, 82.4, 82.1, 82.1, 81.7, 81.7, 81.5, 81.5, 81.4, 81.4 ส่วนประเทศไทยอายุเฉล่ีย 74.4 อยู่ อนั ดบั 72 จากการจดั อบั ดบั 138 ประเทศในโลก (WEF, 2017) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

105 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สาหรบั พฒั นาการจดั การดา้ นสาธารณสุขของประชากรโลกตงั้ แต่ ค.ศ. 1950 - 2000 ซ่งึ แบ่งตามยุคได้ 5 ยุคจนถึงปัจจุบัน เรม่ิ ยุคท่ี 1 การใช้วคั ซีนเพ่อื การป้องกันโรคสาหรบั ประชากรทุกคน (Population based medicine) ไดแ้ ก่ โรคอหวิ าห์ โรคฝีดาษ และมรี ะบบการ เฝ้าระวงั เขา้ สู่ยุคท่ี 2 ใช้หลกั การวางแผนและการจดั การ (Planning and management) เพ่อื การแก้ปัญหาสาธารณสุข มกี ารบรหิ ารโครงการ บรหิ ารทรพั ยากรบุคคล บรหิ ารการเงนิ และ ตดิ ตามผลโครงการและแผนงาน เมอ่ื เขา้ สู่ยคุ ท่ี 3 ใชห้ ลกั การระบาดวทิ ยา(Epidemiology) เพ่อื การวเิ คราะหเ์ ชงิ ระบบถงึ สาเหตุของการเกดิ ปัญหาสุขภาพประชากรดว้ ยการศกึ ษาวจิ ยั เพ่อื ให้ เขา้ ใจปัญหาและวเิ คราะหข์ อ้ มลู รอบดา้ นมากขน้ึ มกี ารประยกุ ตใ์ ชร้ ปู แบบเวชศาสตรอ์ งิ หลกั ฐาน (Evidence-based medicine model) เพ่อื คน้ หาสาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ โรคไดแ้ ก่ บุคคล (Host) สง่ิ ท่ี ทาให้เกิดโรค (Agent) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ต่อมาเข้าสู่ยุคท่ี 4 ทิศทางการ สาธารณสขุ ใหค้ วามสาคญั ในการส่งเสรมิ สุขภาพ ท่ี WHO ประกาศใหช้ าตสิ มาชกิ ทวั่ โลกดาเนิน นโยบายในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพตามกฎบตั รออตตาวา จากท่ปี ระชุมนานาชาตดิ า้ นการส่งเสรมิ สุขภาพครงั้ ท่ี 1 ทป่ี ระเทศแคนนาดา ประกาศใหป้ ระชาชนพฒั นาทกั ษะในการส่งเสรมิ สุขภาพ ตนเอง โดยภาครฐั จดั ใหม้ ที รพั ยากรและใหพ้ ลงั อานาจกบั ชุมชน (Community empowerment) ในการจดั ใหม้ สี าธารณสุขพน้ื ฐาน (Primary health care) เพ่อื นาประชาชนใหส้ ามารถควบคุม โรคและส่งเสรมิ สุขภาพตนเองได้ (WHO, 1998) และในปัจจุบนั สู่ยุคท่ี 5 เป็นการปฎริ ูประบบ สุขภาพ (Health system reform) ขยายการคดิ เชงิ ระบบดา้ นสุขภาพมากขน้ึ เป็นการควบคุม คุณภาพ รบั รองมาตรฐานและบรหิ ารจดั การคุณภาพแบบองค์รวม (สุดาว เลศิ วสิ ุทธไิ พบูลย,์ 2558) และในปัจจุบนั มุมมองของการส่งเสรมิ สุขภาพมใิ ช่เพยี งการดูแลทางด้านร่างกาย จติ ใจ และสงั คม แต่เป็นศาสตร์ของการแสวงหาความสุขท่แี ทจ้ รงิ (Authentic happiness) ของการ ดารงอยขู่ องแต่ละบุคคลทม่ี คี วามแตกต่างกนั นนั่ กค็ อื การมชี วี ติ ทส่ี มดุล มคี วามสขุ สงบ มอี สิ ระ ทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละพฒั นาประสบการณ์ตนเองตลอดชวี ติ (Upton & Thirlaway, 2014) จากประสบการณ์ ความสาเร็จข องการทางาน ด้านการควบคุมและป้ องกันโรค ต าม ทศิ ทางขององคก์ ารอนามยั โลกตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1986 โดยภาครฐั จดั ใหม้ กี ารส่งเสรมิ ในระดบั บุคคล ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีการเปล่ียนแปลงระดับความเช่ือ ความคิด เจตคติและ พฤตกิ รรมความรบั ผดิ ชอบในการดแู ลสุขภาพไดด้ ว้ ยตนเองตามวถิ กี ารดารงชวี ติ อย่างมสี ุขภาพ ทด่ี ใี นทอ้ งถน่ิ ของตนเอง ส่วนในระดบั ชุมชนหรอื กลุ่มคนนนั้ ภาครฐั หรอื องคก์ รในทอ้ งถนิ่ จดั สงิ่ อานวยความสะดวกและเสรมิ พลงั อานาจใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วมดูแลสุขภาพอนามยั ของทุกคน ในชุมชนได้ ด้วยการป้องกันไม่ให้เป็นโรค หาทางกาจดั และทาลายโรค ซ่งึ ถือเป็นหลกั การ พ้นื ฐานท่ที ุกชาติสมาชิกพงึ กระทา ดงั นัน้ จงึ มาสู่แนวทางการปฏิบตั ติ ามแนวคดิ ทฤษฎีด้าน สุขภาพตงั้ แต่อดตี จนถงึ ถงึ ปัจจุบนั ทพ่ี บไดจ้ ากการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรม องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

106 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สุขภาพ 132 เรอ่ื ง (อรยิ า ทองกร, 2550) โดยการวเิ คราะหอ์ ภมิ านพบว่า กลุ่มตวั อยา่ งทศ่ี กึ ษา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวยั ทางาน รองลงมาเป็นผู้ป่ วย นักเรยี น นักศกึ ษาและผู้สูงอายุ ตามลาดบั และผลการสงั เคราะหย์ งั พบวา่ การส่งเสรมิ พฤตกิ รรมสขุ ภาพในชว่ งก่อน 10 ปีทผ่ี า่ นมา นกั วจิ ยั มกั นามาเป็นกรอบการศกึ ษาและพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพกนั มากไดแ้ ก่ แบบจาลองการส่งเสรมิ สุขภาพของเพนเดอร์ (Pender et al., 2006) มากทส่ี ุดถงึ รอ้ ยละ 72.72 ของงานวจิ ยั ท่นี ามา สงั เคราะห์ ตามดว้ ยทฤษฎี PRECEDE-PROCEED Model (Green, 1986; Green & Krueter, 1991, 2005) Health Belief Model -HBM (Rosenstock et al., 1988) และทฤษฎีพฤติกรรม ตามแผน (Theory of planned behavior) (Ajzen, 1991) หากมกี ารวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎี เหล่าน้ีจะพบว่า ก่อนทบ่ี ุคคลหรอื กลุ่มคนจะไปถงึ การตดั สนิ ใจและกระทาพฤตกิ รรมสุขภาพนนั้ จะได้รบั อิทธิพลจากตัวแปรคนั่ กลางคือ กระบวนการรู้คิดท่ีสมั พันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ (Cognitive mediators of health – related behavior) และจากปัจจยั สภาพแวดล้อมภายนอก ซง่ึ ผเู้ ขยี นจะขอกล่าวถงึ ทฤษฎที างพฤตกิ รรมสุขภาพพอสงั เขปได้ ดงั น้ี ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสขุ ภาพ (Health Belief Model -HBM) แบบแผนความเช่อื ดา้ นสุขภาพ เป็นรูปแบบของการเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพในทาง จติ วทิ ยา (Psychological health behavior change) ตามท่ี Rosenstock (1974) ไดต้ งั้ สมมตฐิ าน ไวว้ า่ บุคคลจะตดั สนิ ใจกระทาพฤตกิ รรมกต็ ่อเมอ่ื บุคคลนนั้ ไดร้ บั การเตรยี มความพรอ้ มทางดา้ น กระบวนการทางปัญญาและจติ ใจท่ไี ดต้ ระหนักรวู้ ่าพฤตกิ รรมดงั กล่าว มผี ลต่อสุขภาพตนเอง โดยสภาพความพรอ้ มน้ีคอื การรบั รูว้ ่าตนเองอยู่กลุ่มเส่ยี งต่อการเกิดโรค และจะเกิดความ รุนแรงท่สี ่งผลเสยี ต่อสุขภาพ เม่อื บุคคลเช่อื ว่ามมี าตรการท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพในการดูแลรกั ษา สุขภาพตนเองได้ ตนก็จะเช่อื ในประโยชน์ท่ไี ด้รบั จากการกระทาพฤติกรรมสุขภาพนัน้ ซ่ึง ทฤษฎีน้ีพฒั นามาจากทฤษฎที างจติ วทิ ยาคอื ทฤษฎกี ารรูค้ ดิ (Cognitive theory) ท่กี ล่าวว่า พฤติกรรมของบุคคลเกิดจากสองปัจจยั คือ 1) การรบั รู้คุณค่าของผลลัพธ์จากการกระทา พฤตกิ รรมในความคดิ ของบุคคลนนั้ ก่อน และถงึ จะกระทาพฤตกิ รรมนนั้ และ 2) มคี วามคาดหวงั ว่าเมอ่ื กระทาพฤตกิ รรมนนั้ แลว้ จะมโี อกาสทาใหไ้ ดผ้ ลลพั ธน์ นั้ เกดิ ขน้ึ ซง่ึ แนวคดิ HBM ยงั ไดร้ บั การพัฒนามาจากแนวคิดของ Kurt Lewin โดย Hochbaum ท่ีกล่าวว่า บุคคลจะพยายาม ผลกั ดนั ตนเองไปส่พู น้ื ทท่ี ต่ี นเองใหค้ า่ นิยมเชงิ บวก และจะหลกี เลย่ี งจากพน้ื ทท่ี ม่ี ีค่านิยมเชงิ ลบ (ประภาเพญ็ สวุ รรณและสวงิ สวุ รรณ, 2536) จากทฤษฎเี รมิ่ ตน้ ของ Rosenstock (1974) กลา่ ว ว่าบุคคลจะมพี ฤติกรรมเส่ียงต่อโรคหรอื พฤติกรรมท่เี ก่ียวข้องกับสุขภาพ (Health-related Behavior) จากการรบั รหู้ รอื ความเช่อื ของบุคคลและสง่ิ จูงใจ ต่อมา Rosenstock et al. (1988) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

107 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ไดพ้ ฒั นาทฤษฎี HBM โดยเพม่ิ ปัจจยั อ่นื นอกเหนือจากการรบั รู้ ไดแ้ ก่ ปัจจยั รว่ มทเ่ี กย่ี วขอ้ งและ ปัจจยั กระตุ้นชกั จูงนาสู่การปฏบิ ตั ิ จากภาพประกอบ 4-1 จะพบว่า HBM มี 7 องค์ประกอบท่ี เป็นสาเหตุหลกั ไดแ้ ก่ 1) การรบั รโู้ อกาสเสย่ี งเกดิ โรค (Perceived susceptibility) 2) การรบั รู้ ความรนุ แรงของโรค (Perceived severity) 3) การรบั รปู้ ระโยชน์ทไ่ี ดร้ บั และค่าใชจ้ ่าย และรบั รู้ อุปสรรค (Perceived benefits and costs/ barriers) 4) การรับรู้ภาวะคุกคาม (Perceived threat) 5) สิ่งจูงใจกระตุ้นให้ปฏิบตั ิ (Cues to action or health motivation) 6) ปัจจยั ร่วมท่ี เก่ยี วขอ้ ง (Modifying factors) และ 7) การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง (Self-efficacy) ซง่ึ 2 ปัจจยั หลงั ท่เี พม่ิ ขน้ึ มาเพ่อื ให้เหมาะกบั พฤตกิ รรมการดารงอยู่ (Lifestyle) ในการกระทาเพ่อื ป้องกนั และส่งเสรมิ สขุ ภาพ โดยไมจ่ ากดั เฉพาะการศกึ ษาพฤตกิ รรมการเกดิ โรคตดิ ต่อเท่านนั้ ปจั จัยร่วมทเ่ี กี่ยวขอ้ ง - การรับรู้ประโยชน์ ท่ีได้รับและ พฤตกิ รรม มิตทิ างประชากร เชน่ ค่าใช้จา่ ยจากการปฏบิ ัตติ าม สุขภาพ - อายุ รายได้ เพศ ฯลฯ ขอ้ แนะนา มิตทิ างจติ วิทยาสงั คม เชน่ - บุคลิกภาพ - การรบั ร้อู ุปสรรค ท่ีจะกระทา - สถานะทางสังคม พฤติกรรมสุขภาพที่ถกู ต้อง มิตโิ ครงสร้างทางสติปญั ญา -ความรู้เรือ่ งโรค การรับรูค้ วามสามารถของตนเอง การรับรู้ความรนุ แรงของโรค การรับรู้ตอ่ ภาวะคกุ คามของโรค การรบั ร้โู อกาสเส่ยี งเกิดโรค สิ่งจูงใจกระตนุ้ ใหป้ ฏบิ ตั ิ เชน่ - ได้รับคาแนะนา/แรงเสริม - รณรงค์ผา่ นสื่อมวลชน - การเจบ็ ปว่ ยของบคุ คลใกล้ชดิ ภาพประกอบ 4-1 แบบจาลอง Health Belief Model (ดดั แปลงจาก Rosenstock, Strecher & Becker, 1988) แบบจาลองการวางแผนส่งเสริมสขุ ภาพ (PRECEDE – PROCEED Model) PRECEDE– PROCEED Model ของ Green & Krueter (2005) เป็นแบบจาลองท่ี นยิ มนามาประยุกตใ์ ชใ้ นการวางแผนและประเมนิ ผลโครงการส่งเสรมิ สขุ ภาพและในโครงการสุข ศกึ ษา โดยเฉพาะ ในขนั้ ของ PRECEDE Model ใชแ้ นวคดิ โครงสรา้ งทางจติ วทิ ยามาวเิ คราะห์ สาเหตุของพฤตกิ รรม ซง่ึ ผลสมั ฤทธขิ ์ องงานสุขศกึ ษาจะมมี ากน้อยเพยี งใดขน้ึ อยกู่ บั การวนิ ิจฉยั ปัญหาและสาเหตุท่เี ป็นพหุปัจจยั ครอบคลุมทุกมติ ิทงั้ ด้านสงั คมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

108 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ระบาดวทิ ยา การบรหิ ารและการศึกษาปัญหาของประชากรเป้าหมาย ทงั้ น้ีการวนิ ิจฉัยด้าน นโยบายและการบรหิ ารถอื เป็นขนั้ ตอนทา้ ยสดุ ของ PRECEDE ทช่ี ว่ ยใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านมวี สิ ยั ทศั น์ กวา้ งไกล นอกจากกจิ กรรมทางดา้ นการใหก้ ารศกึ ษาและใหส้ ุขศกึ ษา รวมไปถงึ สาเหตุท่จี าเป็น ด้านการเมอื ง การจดั การ และเศรษฐกิจและการดาเนินอยู่อย่างมีสุขภาวะท่ีดี (Healthty lifestyles) โดยเป้ าประสงค์หลักของ PRECEDE-PROCEED Model จะให้ความสาคัญท่ี ผลลัพธ์ (Outcomes) มากกว่าปัจจยั นาเข้า (Inputs) ดังนัน้ ผู้วางแผนด้านสุขภาพจึงควร พจิ ารณาเรมิ่ ต้นท่ผี ลลพั ธ์ก่อนท่จี ะวางแผน แล้วจงึ ค่อยพจิ ารณาถอยหลงั ไปว่ามปี ัจจยั ของ ผลลพั ธใ์ ดบา้ งทจ่ี ะส่งผลต่อกระบวนการวางแผนและตอ้ งคานึงถงึ การมสี ่วนร่วมของผูม้ สี ่วนได้ ส่วนเสยี อย่างจรงิ จงั ในการท่จี ะระบุถงึ ปัญหาเร่งด่วน และปัญหารองตามลาดบั ซ่งึ ในระยะน้ี สามารถประยกุ ตท์ ฤษฎพี ฒั นาชุมชน (Community based development) และเสรมิ พลงั อานาจ (Empowerment education model) ตามแนวคดิ ของ แฟร์ (Freire, 1987) ได้ ทงั้ น้ี เม่อื พจิ ารณาจากภาพประกอบ 4-2 สามารถอธบิ ายทงั้ 9 ระยะของแบบจาลอง PRECEDE-PROCEED Model ใน 5 ระยะ โดยการเร่ิมต้นของ PRECEDE มีดังน้ี ระยะที่ 1 การวนิ จิ ฉยั ดา้ นสงั คม (Social diagnosis) เรม่ิ วเิ คราะหผ์ ลกระทบสาคญั ต่อปัญหาสขุ ภาพและ คุณภาพชวี ติ ส่งผลต่อปัญหาดา้ นสงั คม โดยวธิ วี นิ ิจฉยั ดา้ นสงั คมอาจดาเนินการดว้ ยการจดั เวที ชุมชน (Community forum) การแสดงขอ้ ตกลงรว่ มในกล่มุ (Nominal group) การอภปิ รายกลุม่ (Focus group) การสารวจ (Survey) และการสมั ภาษณ์ (Interviews) เป็นต้น ระยะที่ 2 การ วนิ จิ ฉยั ดา้ นระบาดวทิ ยา (Epidemiological diagnosis) มงุ่ คน้ หาตวั บ่งชท้ี เ่ี ป็นสาเหตุของปัญหา ด้าน พรอ้ มจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาเพ่อื เป็นแนวทางการพฒั นาแผนงานโครงการและ การใช้ทรพั ยากร และ วเิ คราะห์ความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาแล้วจะเกดิ ผลลพั ธ์อะไรบ้าง (What) และมากน้อยเพยี งใด (How much) กลุ่มเป้าหมายจะได้รบั เม่อื ไร (When) ในระยะน้ี สามารถกาหนดวัตถุประสงค์โครงการได้ ระยะที่ 3 การวินิจฉัยด้านพฤติกรรมและ สงิ่ แวดล้อม (Behavioral and environmental diagnosis) มุ่งเน้นท่ตี ัวบ่งช้พี ฤติกรรมสุขภาพ และปัจจยั อ่นื ทอ่ี าจรวมถงึ สาเหตุทไ่ี ม่ใช่พฤตกิ รรมดว้ ย เช่น พนั ธุกรรม อายุ เพศ การเจบ็ ป่วย ดนิ ฟ้าอากาศ สถานประกอบการ ความเพยี งพอของการบรกิ ารสุขภาพ เป็นต้น จะช่วยให้ผู้ วางแผนสามารถเลอื กพฤตกิ รรมเป้าหมายมาวางแผนแก้ไขปัญหา ตามลาดบั ความสาคญั ของ พฤตกิ รรมท่มี คี วามสาคญั มากน้อยและสามารถเปล่ยี นแปลงแก้ไข ระยะที่ 4 การวนิ ิจฉัยด้าน การศกึ ษาและองคก์ ร (Education and organizational diagnosis) เป็นการประเมนิ 3 สาเหตุ ของพฤตกิ รรมสุขภาพ คอื ปัจจยั นา (Predisposing factors) เช่น ความรู้ ความเช่อื ค่านิยม ทศั นคติ เป็นตน้ ปัจจยั เออ้ื (Enabling factors) เช่น สงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพ สงั คมวฒั นธรรม องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

109 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ทักษะส่วนบุคคล ทรัพยากรเก้ือกูล เป็ นต้น ปัจจัยเสริมแรงให้เกิดพฤติกรรมต่อเน่ือง (Rreinforcing factors) เช่น รางวลั ผลตอบแทน การลงโทษจากครอบครวั เพ่อื น ครู บุคลากร สาธารณสุข ส่ือมวลชน เป็ นต้น ระยะที่ 5 การวินิจฉัยด้านนโยบายและการบริหาร (Administration and policy diagnosis) เป็นการวเิ คราะหว์ ตั ถุประสงคข์ องแผนงานโครงการจะ สอดรบั กบั นโยบาย ระเบยี บกฎเกณฑแ์ ละพนั ธกจิ ทรพั ยากรและสถานการณ์ขององคก์ รหรอื ไม่ สาหรบั PROCEED Model มี 4 ระยะ โดยเรมิ่ จาก ระยะที่ 6 การดาเนินงานตามแผน (Implementation) ดาเนินงานตามแผนโครงการ ระยะที่ 7 การประเมินผลกระบวนการ ( Process evaluation) ท่ีใ ช้ ใ น ก า ร ด า เ นิ น ง า น ระยะที่ 8 การประเ มิน ผล ก ร ะ ท บ (Impact evaluation) ป็นการวดั ประสทิ ธผิ ลของแผนงานโครงการตามวตั ถุประสงคร์ ะยะสนั้ ท่ี เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงปัจจยั นา ปัจจยั เออ้ื และปัจจยั เสรมิ และ ระยะที่ 9 การประเมนิ ผลลพั ธ์ (Outcome evaluation) เป็นการประเมนิ ผลรวบยอดในระยะยาวของการเปลย่ี นแปลงเกดิ ขน้ึ และประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั ดา้ นสขุ ภาพและคุณภาพชวี ติ ระยะที่ 5 ระยะท่ี 4 ระยะที่ 3 ระยะท่ี 1 และ 2 การวินิจฉยั ทางนโยบาย การวินจิ ฉัยทางการศึกษา การวนิ ิจฉัยทาง การวนิ จิ ฉัยทางสังคม และทางระบาดวิทยา และการบรหิ าร และองคก์ าร พฤตกิ รรม การส่งเสรมิ ปจั จัยนา เช่น ความรู้ พฤติกรรมและ ปัญหา คณุ ภาพ สุขภาพ เจตคติ ค่านยิ ม การดาเนินชีวติ สุขภาพ ชีวิต สุขศกึ ษา ความเช่ือ การรับรู้ ฯลฯ สทสบงังิ่ารคแงรกมทวาดัดสยฐลภภา้อาานมพพทเาชง่น โครงการ ปจั จัยเออ้ื เช่น ทรัพยากรที่มีอยู่ เข้าถงึ การกากับ ขอ้ มูลบรกิ าร มีทกั ษะ นโยบาย อุปกรณต์ ่างๆ ฯลฯ และองค์กร ปจั จัยเสรมิ แรง เช่น การใหร้ างวัล/ลงโทษ จากสงั คม กฎระเบียบ ข้อบงั คบั ฯลฯ ระยะที่ 6 ระยะที่ 7 ระยะท่ี 8 ระยะที่ 9 นานโยบายสกู่ าร ประเมินผลกระบวนการ ประเมินผลกระทบ ประเมินผลลัพธ์ ______ป_ฏ_ิบ_ตั_ิ __________________________________________________________________ ภาพประกอบ 4-2 PRECEDE-PROCEED Model (ดัดแปลงจาก Green & Kreuter, 1999) Krueterhttps://www.gotoknow.org/posts/115416, 1974) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

110 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior: TPB) TPB เป็นทฤษฎที พ่ี ฒั นาขน้ึ โดย Ajzen (1991) มพี น้ื ฐานมาจากทฤษฎกี ารกระทาด้วย เหตุผล (The theory of reasoned action: TRA) ของ Fishbein & Ajzen (1975) หลกั การของ TPB กล่าวว่า พฤติกรรมมนุษย์ (Behavior) ถูกกาหนดโดยตัวแปร เจตนาเชิงพฤติกรรม (Intention) และการรบั รู้การควบคุมพฤติกรรม (Perceived behavioral control) และได้รบั อิทธพิ ลโดยตรงมาจาก 3 ปัจจยั ได้แก่ 1) เจตคติต่อการกระทาพฤตกิ รรม (Attitude toward behavior) และเจตคติต่อการกระทาพฤตกิ รรมถูกกาหนดโดยความเช่อื เก่ยี วกบั พฤติกรรม (Behavioral beliefs) ซ่งึ เป็นผลรวมของผลคูณระหว่างความเช่อื เก่ียวกบั ผลของการกระทา พฤตกิ รรม (Beliefs about outcome) และการประเมนิ ผลของการกระทาพฤตกิ รรมนนั้ ว่าจะเป็น บวกหรอื ลบ (Evaluation of outcome) ความเช่อื เก่ยี วกบั พฤตกิ รรมน้ีส่งผลทางอ้อมต่อเจตนา ในการกระทาพฤตกิ รรมโดยผ่านเจตคตติ ่อการกระทาพฤตกิ รรม 2) การคลอ้ ยตามกลุ่มอ้างองิ (Subjective norm) เป็นการรบั รวู้ ่าบุคคลทม่ี คี วามสาคญั ต่อเขานนั้ ส่วนใหญ่ไดก้ ระทาพฤตกิ รรม หรอื ต้องการใหเ้ ขากระทาหรอื ไมก่ ระทาพฤตกิ รรม และการคลอ้ ยตามกลุ่มอ้างองิ ในการกระทา พฤตกิ รรมถกู กาหนดโดยความเชอ่ื เก่ยี วกบั กลุ่มอา้ งองิ (Normative beliefs) ซง่ึ เป็นผลรวมของ ผลคณู ระหว่างความเช่อื เก่ยี วกบั กลุ่มอ้างองิ กบั แรงจงู ใจทจ่ี ะคลอ้ ยตามกลุ่มอ้างองิ (Motivation to comply) และ 3) การรบั รู้การควบคุมพฤตกิ รรม (Perceived behavioral control) เป็นการ ประเมนิ ความยากง่ายท่จี ะกระทาพฤติกรรม และความเช่อื ว่าสามารถควบคุมการกระทา พฤตกิ รรมไดม้ ากน้อยเพยี งใด การรบั รกู้ ารควบคุมพฤตกิ รรมถูกกาหนดโดยความเช่อื เก่ยี วกบั การควบคุม (Control belief) ซง่ึ เป็นผลรวมของผลคณู ระหว่างความเช่อื ของบุคคลเก่ยี วกบั การ มอี ย่ขู องปัจจยั ส่งเสรมิ หรอื ขดั ขวางการกระทาพฤตกิ รรม กบั การรบั รถู้ งึ พลงั ของปัจจยั เหล่านนั้ จะส่งผลกระทบต่อการกระทาพฤตกิ รรม (Perceived power of the control factor) ความเช่อื เก่ียวกบั ปัจจยั ควบคุมส่งผลทางอ้อมต่อเจตนาเชิงพฤติกรรมโดยผ่านการรบั รู้การควบคุม พฤตกิ รรม (Ajzen, 1991) ในระยะต่อมา ทฤษฎี TPB ได้มกี ารเปล่ยี นแปลง 2 ประเดน็ ได้แก่ 1) การรบั รู้การ ควบคุมพฤติกรรมนัน้ ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรม แต่ทาหน้าท่ีเป็ นตัวแปรกากับ (Moderator) ในความสมั พนั ธ์ระหว่างเจตนาเชงิ พฤตกิ รรมและพฤตกิ รรม หมายความว่า ถ้า บุคคลมรี ะดบั การควบคุมพฤตกิ รรมได้จรงิ อย่ใู นระดบั สูงกว่า ถงึ จะมผี ลใหต้ วั แปร เจตนาเชงิ พฤตกิ รรมนนั้ จะสามารถทานายพฤตกิ รรมไดด้ กี ว่า บคุ คลทม่ี รี ะดบั การควบคมุ พฤตกิ รรมไดจ้ รงิ ต่ากว่า ซง่ึ ตวั แปร การควบคุมพฤตกิ รรมไดจ้ รงิ (Actual behavioral control) มอี ทิ ธพิ ลต่อการ รบั รกู้ ารควบคุมพฤตกิ รรมและพฤตกิ รรม และ 2) การรบั รกู้ ารควบคุมพฤตกิ รรมส่งผลทางอ้อม ต่อพฤตกิ รรมโดยผ่านเจตนาเชงิ พฤตกิ รรม มไิ ดส้ ง่ ผลโดยตรงต่อพฤตกิ รรม (Ajzen, 2011) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

111 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สรุปไดว้ ่า ทฤษฎี TPB ท่ปี รบั ปรุงใหม่ (Ajzen, 2006; Montaño & Kasprzyk, 2008) แสดงให้เห็นว่าความสาเร็จของการกระทาพฤติกรรม ข้นึ อยู่กับเจตนาเชิงพฤติกรรมท่ีถูก กาหนดโดย เจตคติของการกระทาพฤติกรรม การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และการรบั รู้การ ควบคมุ พฤตกิ รรม และการทเ่ี จตนาเชงิ พฤตกิ รรมจะสง่ อทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมมากน้อยเพยี งใดท่ี ถูกกากบั โดย การควบคุมพฤตกิ รรมไดจ้ รงิ สามารถวดั จากการรบั รกู้ ารควบคุมพฤตกิ รรมแทน ได้ ทงั้ น้ี ด้วยเหตุผลด้านการวดั การควบคุมพฤตกิ รรมไดจ้ รงิ เป็นการทาความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ปัจจยั ภายใน เช่น ทกั ษะ ความรู้ สติปัญญา และความเข้มแข็งของร่างกาย เป็นต้น ปัจจยั ภายนอก เช่น เงนิ เคร่อื งมอื อุปกรณ์ ขอ้ จากดั ทางกฎหมาย และความร่วมมอื จากบุคคลอ่นื เป็นต้น ซ่งึ เป็นปัจจยั ทจ่ี าเป็นต่อการแสดงพฤตกิ รรมของบุคคล เม่อื เปรยี บเทยี บกบั การรบั รู้ การควบคุมพฤติกรรม ซ่งึ เป็นการวดั ความคดิ ความเช่อื ในการประเมนิ ความยากง่ายท่ีจะ กระทาพฤตกิ รรมของบุคคลโดยตรง นอกจากน้ี TPB ยงั พบว่ายงั มี ตวั แปรภายนอก (External variables) เช่น ตวั แปรชวี สงั คม เจตคตติ ่อเป้าหมายอ่นื บุคลกิ ภาพ เป็นตน้ หรอื ตวั แปรอ่นื ทม่ี ี ความแตกต่างกนั ระหว่างบุคคลทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรม เช่น การรบั รคู้ วามเส่ยี ง เป็นต้น ซ่งึ เป็นตวั แปรปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อเจตคตติ ่อพฤตกิ รรม การคลอ้ ยตามกลมุ่ อา้ งองิ และการรบั รกู้ าร ควบคุมพฤตกิ รรม ดงั แสดงภาพความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรในภาพประกอบ 4-3 ตัวแปรภายนอก ความเช่อื เกย่ี วกบั เจตคตติ ่อการกระทา เจตนาเชงิ พฤตกิ รรม ผลของการกระทา พฤติกรรม พฤตกิ รรม (Behavior ตัวแปรดา้ น ประชากร เชน่ อายุ (Behavioral (Attitude toward the (Intention) ) อาชีพ การศกึ ษา beliefs) behavioral) การควบคมุ พฤตกิ รรมได้จริง เจตคตติ อ่ เป้าหมายอ่นื ความเชอ่ื เกย่ี วกบั การคลอ้ ยตามกลมุ่ (Actual behavioral เช่น เจตคตติ อ่ บคุ คล กลุ่มอ้างอิง อ้างองิ control) เจตคติต่อสถาบัน (Normative beliefs) (Subjective norm) ลักษณะบุคลิกภาพ เช่น เป็นคนเปดิ เผย ความเชอ่ื เก่ยี วกบั ฃ ปจั จัยควบคุม คนกา้ วรา้ ว (Control beliefs) การรับรกู้ ารควบคมุ พฤตกิ รรม (Perceived ตวั แปรอนื่ ๆ ทีแ่ ตกตา่ ง behavioral control) กันระหว่างบุคคล เชน่ การรบั รคู้ วามเสย่ี ง ________________________________________________________________________ ภาพประกอบ 4-3 ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of planned behavior) (Ajzen, 2002; Montaño & Kasprzyk, 2008) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

112 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แบบจาลองการส่งเสริมสขุ ภาพของเพนเดอร์ (Pender’s HealthPromotionModel) แบบจาลองการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ (Pender, 1996) ได้อธิบายถึง ส่วนประกอบของแบบแผนการดาเนินชวี ติ ทช่ี ่วยส่งเสรมิ การมสี ุขภาพท่ดี ีของบุคคล มพี น้ื ฐาน มาจากทฤษฏีคุณค่าแห่งการคาดหวัง (Expectancy-value theory) และความคาดหวังใน ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy expectancies) ซง่ึ มี 3 องคป์ ระกอบหลกั คอื 1. ลกั ษณะและประสบการณ์รายบุคคล (Individual characteristic and experiences) ประกอบดว้ ย 1.1) พฤตกิ รรมเดมิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง (Prior related behavior) ปฏบิ ตั จิ นกลายเป็นนิสยั (Habit formation) ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลทงั้ ทางตรงและทางออ้ มต่อพฤตกิ รรมทส่ี ง่ เสรมิ สุขภาพ โดยผ่าน การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง (Self-efficacy) การรบั รปู้ ระโยชน์ (Perceived benefits) การ รบั รอู้ ุปสรรค (Perceived barriers) และ 1.2) ปัจจยั สว่ นบคุ คล (Personal factors) ประกอบดว้ ย ปัจจยั ด้านชวี ภาพ (Personal Biologic factors) เช่น อายุ เพศ ดชั นีมวลกาย ความแขง็ แรง ความสมดุลของรา่ งกาย เป็นต้น ปัจจยั ดา้ นจติ ใจ เช่น ความรสู้ กึ มคี ุณค่าในตนเอง แรงจงู ใจใน ตนเอง การรบั รู้ภาวะสุขภาพ ความสามารถของบุคคล เป็นต้น และปัจจยั ด้านสงั คมและ วฒั นธรรม เช่น เชอ้ื ชาติ ภมู ลิ าเนาเดมิ วฒั นธรรม การศกึ ษา สภาพเศรษฐกจิ และสงั คม เป็นตน้ 2. ความคดิ และอารมณ์ต่อพฤตกิ รรม (Behavior-specific cognition and affect) เป็น ตวั แปรทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั แรงจงู ใจในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทส่ี ่งเสรมิ สุขภาพ ไดแ้ ก่ 2.1) การ รบั รู้ประโยชน์ของการกระทา (Perceived benefits of action) สามารถอธบิ ายได้ด้วยทฤษฎี คุณค่าแห่งความคาดหวงั ท่ที าให้เกิดแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมส่งเสรมิ สุขภาพ ทงั้ น้ี ขน้ึ อยกู่ บั ความสาคญั ของประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั และระยะห่างของเวลาการปฏบิ ตั กิ บั ผลประโยชน์ท่ี เกิดข้นึ 2.2) การรบั รู้อุปสรรคในการกระทา (Perceived barriers of action) จะทาให้บุคคล หลีกเล่ยี งท่จี ะแสดงพฤติกรรมออกมา เช่น การรบั รู้ถึงความไม่เหมาะสม ความไม่สะดวก สน้ิ เปลอื ง ความยากลาบาก หรอื การเสยี เวลา เป็นตน้ การรบั รอู้ ุปสรรคมอี ทิ ธพิ ลทางตรง และ ทางอ้อมโดยผ่านความมุ่งมนั่ ต่อการแสดงพฤติกรรม 2.3) การรบั รูค้ วามสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) โดยมพี น้ื ฐานมาจากทฤษฏกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองของแบน ดูรา การทบ่ี ุคคลตดั สนิ ว่าตนเองมคี วามสามารถทจ่ี ะปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหรอื แสดงพฤตกิ รรมนัน้ ได้ สาเรจ็ โดยพจิ ารณาจากความคาดหวงั ในผลลพั ธ์นัน้ 2.4) อารมณ์ท่เี ก่ยี วข้องกบั พฤตกิ รรม (Activity related affect) เป็นความรู้สกึ ทงั้ ทางบวกและทางลบท่เี กิดข้นึ ในช่วงก่อน ระหว่าง หรอื หลงั การเกดิ พฤตกิ รรม ความรสู้ กึ น้ีจะเกบ็ ไวใ้ นความทรงจาและจะมผี ลต่อพฤตกิ รรม 2.5) อิทธิพลระหว่างบุคคล (Interpersonal influences) เป็นความเช่ือ ทัศนคติของผู้อ่ืน ได้แก่ ครอบครวั เพ่อื น และผู้ให้บรกิ ารสุขภาพ บรรทดั ฐานของสงั คม (Norms) การสนับสนุนทาง สังคม (Social support) และการมีบุคคลเป็ นแบบอย่าง (Modeling) และ 2.6) อิทธิพล องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

113 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สถานการณ์ (Situational influences) เป็นการรบั รแู้ ละความคดิ ของบุคคลต่อสถานการณ์และ สภาพแวดลอ้ มทส่ี ่งเสรมิ หรอื ขดั ขวางต่อการปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรมสง่ เสรมิ สุขภาพ ไดแ้ ก่ การรบั รถู้ งึ โอกาส ความตอ้ งการ และความเหมาะสมของสภาพแวดลอ้ มทจ่ี ะกระทาพฤตกิ รรมนนั้ 3. พฤตกิ รรมผลลพั ธ์ (Behavioral outcome) เป็นการกาหนดความตงั้ ใจท่จี ะกระทา พฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ 3.1) ความมงุ่ มนั่ ต่อแผนการกระทา (Commitment to a plan of action) เป็น ความตงั้ ใจของบคุ คลทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามแผนทก่ี าหนด ซง่ึ ประกอบดว้ ย วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ เวลา สถานท่ี และเป้าหมายทเ่ี ป็นไปได้ รวมทงั้ กลยทุ ธเ์ สรมิ แรงเพ่อื จงู ใจใหป้ ฏบิ ตั ิ 3.2) ทางเลอื กทส่ี อดคลอ้ ง กบั ความต้องการท่เี กดิ ขน้ึ ในขณะนัน้ ซ่งึ เป็นพฤตกิ รรมทางเลอื กอ่นื ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทนั ที เช่น มกี าร เคล่อื นไหวออกกาลงั กาย แต่ระหว่างทางผ่านหา้ งสรรพสนิ คา้ จงึ ตดั สนิ ใจไปเดนิ ซอ้ื สนิ คา้ แต่ไม่ ไปออกกาลงั กาย เพราะชอบซ้อื ของมากกว่า เป็นต้น และ 3.3) แบบแผนการดาเนินชวี ติ ท่ี ส่งเสริมสุขภาพ (Health promoting lifestyles) เป็นการกระทาท่ีแสดงออกในการส่งเสริม สุขภาพใหด้ ขี น้ึ และคงไว้ซง่ึ การมสี ุขภาพท่แี ขง็ แรง เป็นผลลพั ธข์ องการกระทา ซง่ึ Walker, Sechrist & Pender (1987: 77) ไดเ้ สนอพฤตกิ รรมการดาเนินชวี ติ อยา่ งมสี ุขภาพทด่ี ไี ว้ 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ โภชนาการ (Nutrition) การเคล่อื นไหวและออกกาลงั กาย (Exercise) ความตระหนักใน ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ (Health responsibility) การจัดการความเครียด ( Stress management) และการมคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั บุคคลอ่นื (Interpersonal relations) และการ พฒั นาทางดา้ นจติ วญิ ญาณ (Spiritual growth) ทม่ี จี ดุ มงุ่ หมายในชวี ติ และจะกระทากจิ กรรมหรอื พฤตกิ รรมใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ตามจดุ มงุ่ หมาย ดงั ภาพประกอบ 4-4 ลักษณะเฉพาะและ ความคิดและอารมณ์ต่อพฤตกิ รรม พฤตกิ รรมผลลัพธ์ ประสบการณข์ องบคุ คล การรับรปู้ ระโยชนข์ องการปฏบิ ตั ิ พฤติกรรม การรับรู้อปุ สรรคในการปฏบิ ตั ิ ความจาเปน็ และ ท่ีเก่ียวขอ้ ง การรับรู้ความสามารถของตนเอง ทางเลอื กอน่ื ท่ีเกดิ ขนึ้ ปัจจัยสว่ นบคุ คล ความรสู้ กึ ท่มี ีต่อพฤติกรรม ความมุ่งมัน่ ท่ีจะ พฤตกิ รรม - ด้านชวี วิทยา อทิ ธิพลระหว่างบุคคล ปฏบิ ัตพิ ฤตกิ รรม ส่งเสริม - ดา้ นจิตวทิ ยา สุขภาพ - ด้านสงั คม (ครอบครวั เพอ่ื น ทมี สุขภาพ บรรทัดฐาน ตวั แบบ) วฒั นธรรม อิทธพิ ลจากสถานการณ์ _____________________________________________________________________________________________________________________________ ___________________ ภาพประกอบ 4-4 แบบจาลองการสง่ เสริมสุขภาพของเพนเดอร์ (Pender et al., 2006: 50) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

114 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จากทฤษฎดี า้ นสุขภาพดงั กล่าวข้างต้น ลว้ นแต่มีกระบวนการทางปัญญาเป็นตวั แปร คนั่ กลางของการทจ่ี ะกระทาพฤตกิ รรมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สุขภาพ (Cognitive mediators of health- related behaviors) ตามท่ี Bennett & Murphy (1997) ไดก้ ล่าวไวเ้ ป็นปัจจยั สาคญั ทท่ี าใหบ้ ุคคล แสดงพฤตกิ รรมทแ่ี ตกต่างกนั นอกจากน้ี ยงั พว่า งานวจิ ยั ทางดา้ นสุขภาพโดยเฉพาะด้านการ ปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพท่ีนิยมนามาประยุกต์ใช้ได้แก่ ทฤษฎีทางปัญญาสงั คมของ Bandura (1989) โดยมรี ายละเอยี ดของทฤษฎี ดงั น้ี ทฤษฎีการเรียนร้ทู างปัญญาสงั คม (Social Cognitive Theory) ทฤษฎีทางปัญญาสงั คม (Social Cognitive Theory) ของ Bandura (1989) ได้พฒั นา มาจากทฤษฎีการเรยี นรู้ทางสงั คม (Social Learning Theory) ของ Bandura (1977) ซ่งึ เป็น ทฤษฎที ม่ี อี ทิ ธพิ ลอยา่ งมากต่อการพฒั นาเทคนิคการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในปัจจบุ นั Bandura (1989: 1-60) มคี วามเช่อื ว่า พฤตกิ รรมของบุคคลไม่ได้เกดิ ขน้ึ และเปล่ยี นแปลงไปเน่ืองจาก ปัจจยั ทางสภาพแวดลอ้ มแต่เพยี งอย่างเดยี ว หากแต่จะเปลย่ี นแปลงไปตามเง่อื นไขของปัจจยั ภายในตวั บคุ คล ปัจจยั พฤตกิ รรม และสภาพแวดลอ้ ม ดงั ภาพประกอบ 4-5 ด้านบุคคล (Person) P ด้านพฤติกรรม (Behavior) B E ด้านสภาพแวดล้อม (Environment) ภาพประกอบ 4-5 แสดงการกาหนดซง่ึ กนั และกนั ของปัจจยั ทงั้ 3 ดา้ น (Bandura, 1989) แสดงใหเ้ หน็ วา่ ปัจจยั ทงั้ 3 มคี วามเกย่ี วพนั ซง่ึ กนั และกนั ไมอ่ าจแยกออกจากกนั ได้ และ ปัจจยั ทงั้ 3 นนั้ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั หากแต่ตอ้ งอาศยั เวลาในการทป่ี ัจจยั ใดปัจจยั หน่งึ จะมผี ล ต่อการกาหนดปัจจยั อ่นื ๆ การกาหนดซง่ึ กนั และกนั ของปัจจยั สว่ นบุคคลกบั พฤตกิ รรม แสดงให้ เหน็ ถงึ ความคดิ ความรสู้ กึ และการกระทา ความคาดหวงั ความเช่อื การรบั รเู้ ก่ยี วกบั ตนเอง เป้าหมาย และความตงั้ ใจ ซ่งึ ปัจจยั ดงั กล่าวกาหนดลกั ษณะและทศิ ทางของพฤตกิ รรม สงิ่ ท่ี บุคคลคดิ เช่อื และรู้สกึ จะกาหนดว่า บุคคลจะแสดงพฤติกรรมเช่นใด ในขณะเดยี วกนั การ กระทาของบุคคลกจ็ ะเป็นส่วนหน่ึงในการกาหนดลกั ษณะการคดิ และการสนองตอบทางอารมณ์ ของบุคคลด้วยเช่นกัน โดยท่ีระบบการรบั รู้และโครงสร้างของสมองจะปรบั เปล่ียนได้โดย สงิ่ แวดลอ้ มและประสบการณ์ทางพฤตกิ รรมเช่นกนั (Greenough & et al., 1987) เช่นเดยี วกบั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

115 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง (2552) กลา่ ววา่ บุคคลจะแสดงพฤตกิ รรมแตกต่างกนั ออกไปตามสภาพ ของสงั คม วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม และประสบการณ์ร่วมกบั พฤตกิ รรมภายใน เช่น การคดิ การ รบั รู้ ความรสู้ กึ ความเช่อื และค่านิยมส่วนบุคคล เป็นต้น ทาใหบ้ ุคคลแสดงพฤตกิ รรมภายนอก ออกมา เช่น การกนิ การเดนิ การวง่ิ การนงั่ เป็นต้น ซง่ึ ทาใหเ้ ขา้ ใจไดว้ ่า พฤตกิ รรมของบคุ คล เป็นการเรยี นรทู้ ส่ี ามารถเขา้ ใจไดว้ ่า ตอ้ งอาศยั ปัจจยั ทางจติ วทิ ยาควบคไู่ ปกบั เงอ่ื นไขทางสงั คม ขณะเกดิ การเรยี นรู้ สอดคล้องกบั Palank (1991: 815-832) ท่กี ล่าวว่าพฤตกิ รรมสุขภาพ คอื การแสดงออกทบ่ี ุคคลกระทาในสง่ิ ทถ่ี ูกตอ้ งและไม่กระทาในสง่ิ ทไ่ี ม่ถูกต้อง ทงั้ ทส่ี งั เกตได้ เช่น นิสยั การรบั ประทานอาหาร การออกกาลงั กาย การใชย้ า และทส่ี งั เกตไม่ไดห้ รอื ลกั ษณะทางจติ เชน่ ภาวะอารมณ์ ความเช่อื ค่านิยม ความคาดหวงั แรงจงู ใจ ความรู้ เป็นตน้ สรุปไดว้ ่า ทฤษฎที างปัญญาสงั คม (Social Cognitive Theory) น้ีเช่อื ว่าพฤตกิ รรมของ บุคคลท่เี กิดข้นึ นัน้ เป็นอิทธพิ ลของลกั ษณะทางจติ และสภาพแวดล้อม ซ่งึ องค์ประกอบใด เปลย่ี นแปลงไปยอ่ มส่งผลใหอ้ งคป์ ระกอบทเ่ี หลอื เปลย่ี นแปลงไปดว้ ย จากการวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บทฤษฎดี ้านสุขภาพของ Norman, Abraham & Conner (2000) ในหนังสือเร่อื ง Understaning and changing health behaviour from health beliefs to self-regalation ท่มี สี าระเก่ยี วกบั การส่งเสรมิ สุขภาพในมุมองด้านทฤษฎีทางปัญญาสงั คม พบว่า ลกั ษณะนิสยั ในการดารงชวี ติ (Lifestyle habits) มอี ทิ ธพิ ลสาคญั ต่อคุณภาพในการสรา้ ง เสรมิ สุขภาพตนเอง ทงั้ น้ีในการประยุกต์ใชแ้ นวคดิ การพฒั นาทางการรคู้ ดิ หรอื ทางปัญญาและ สงั คมจะชว่ ยใหก้ ลุ่มเป้าหมายยงั คงมสี ุขภาพทด่ี ี โดยผ่านการจดั การนสิ ยั ดา้ นสุขภาพตนเองอนั นาไปส่กู ารชลอวยั หรอื มอี ายุยนื ยาวขน้ึ (Fries, 1997) และจะเหน็ ไดว้ ่า ทฤษฎดี งั กล่าวขา้ งต้น ล้วนอธบิ ายพฤตกิ รรมสุขภาพท่มี สี าเหตุปัจจยั ด้านบุคคลทเ่ี ป็นตวั แปรทางจติ วทิ ยาและปัจจยั ด้านสงั คม Norman, Abraham & Conner (2000: 300-301) ได้เปรยี บเทียบประสทิ ธิผลของ แนวคดิ ทฤษฎที น่ี ามาใชส้ ่งผลต่อพฤตกิ รรมและผลลพั ธท์ างสุขภาพ สรปุ ไดด้ งั ตาราง 4-1 ตาราง 4-1 สรปุ ความสอดคลอ้ งของปัจจยั ทางจติ สงั คมในทฤษฎสี ขุ ภาพทก่ี าหนดพฤตกิ รรม ครกวบัาารรมู้ ปัจจยั ทางจิตสงั คมท่ีกาหนดพฤติกรรมสขุ ภาพ สตานมเอาถง ทฤษฎี ความคาดหวงั ในผลลพั ธ์ เป้าหมาย อปุ สรรคขดั ขวาง ด้าน ด้าน ดา้ น ระยะ ระยะ ส่วนบคุ คลและ ระบบ สนั้ ยาว สถานการณ์ สุขภาพ รา่ งกาย สงั คม จิตใจ Social Cognitive Theory         Health Belief Model Theory of Resoned Action     Theory of Planned Behavior     Pender’s Health   Promotion Model องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

116 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จากตารางจะเหน็ ได้ว่า ทฤษฎที างปัญญาสงั คม ใหค้ วามสาคญั กบั ปัจจยั ดา้ นการรบั รู้ ความสามารถของตน ความคาดหวงั ของผลลพั ธ์ของการกระทาพฤติกรรม และการกากบั พฤตกิ รรม ซง่ึ ถอื เป็นปัจจยั สาคญั ในการกาหนดพฤตกิ รรมสุขภาพและผลลพั ธ์ทงั้ ระยะสนั้ และ ระยะยาวจงึ เป็นทฤษฎีท่คี รอบคลุมในการนามาประยุกต์ใช้ในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมการ ดารงอยตู่ ามวถิ ชี วี ติ ทเ่ี สย่ี งต่อสุขภาพของบุคคลไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ แนวคิดการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพ (Health Behavior Modification) เป็นแนวคดิ การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมเป็นการผสานหลกั การเรยี นรตู้ ามทฤษฎตี ่างๆ เขา้ มาใชอ้ ยา่ งเป็นระบบเรมิ่ จาก ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบการกระทา (Operant conditioning theory) ของ Skiner BF. ตงั้ แต่ปี ค.ศ.1938 และหลกั พฤตกิ รรมบาบดั (Cognitive Behavioral Therapy- CBT) ของ Beck Aaron T. ในปี ค.ศ.1960 และสาหรบั การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม สุขภาพครงั้ น้ี ได้ประยุกต์จากทฤษฎกี ารเรยี นรู้ปัญญาสงั คม (Social cognitive theory) ของ Bandura (1986) และการสร้างแรงจูงใจเพ่ือให้มีสุขภาวะท่ีดีต่อเน่ืองตามแนวคิด The Transtheoretical Model หรอื Stages and process of change ของ Prochaska & DiClemente (1983) เขา้ ดว้ ยกนั เพ่อื การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพเป็นรายบคุ คลตามวถิ ชี วี ติ หรอื บรบิ ท ทางจติ สงั คมพ้นื ฐานของบุคคลกลุ่มเส่ยี ง ตามท่ี Mikulas (1978) ได้กาหนดคุณสมบตั ิของ กระบวนการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ไว้ 5 ประการ ดงั น้ี 1. การปรับเปล่ียนพฤติกรรมไม่เน้นอดีต (Ahistorical) แต่จะให้ความสนใจ พฤตกิ รรมของบุคคล ณ ท่นี ่ีและขณะน้ี (Here and now) เป็นสาคญั คอื สนใจว่าปัจจยั ใดใน ขณะนัน้ ก่อให้เกดิ และคงไว้ซ่งึ พฤตกิ รรมท่ไี ม่พงึ ประสงคใ์ นปัจจุบนั แต่ข้อมูลใ นอดตี จะเป็น ประโยชน์ต่อการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในปัจจบุ นั 2. การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมควรหลกี เลย่ี งการใชก้ ารตตี รา เพราะจะเป็นการทาลาย บุคคล ดงั ทค่ี นถกู ตตี ราวา่ เป็นคนอว้ นแลว้ พฤตกิ รรมอาจเปลย่ี นแปลงไปอว้ นมากยง่ิ ขน้ึ ได้ 3. การปรับเปล่ียนพฤติกรรม เป็ นเร่ืองเข้าใจได้ สามารถอธิบายให้ผู้รับการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเขา้ ใจไดง้ ่าย การใหเ้ หตุผลและทาความเขา้ ใจกบั ผเู้ ก่ยี วขอ้ งได้ จะทาให้ ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากผเู้ กย่ี วขอ้ งเหล่านนั้ เป็นอยา่ งดใี นการดาเนินการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม 4. ความสมั พนั ธ์ระหว่างนักปรบั พฤติกรรมกับผู้รบั การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมไม่ จาเป็นต้องเป็นความ สมั พนั ธ์แบบตวั ต่อตัวหรอื เป็นรายบุคคล การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม สามารถฝึกใครกต็ าม เช่น ครู ผปู้ กครอง บุคลากร นักศกึ ษาหรอื ผเู้ กย่ี วขอ้ งอ่นื ใด เป็นตน้ ใหม้ ี ความเช่ือมัน่ ในตนเอง มีความคิดเชิงบวกท่ีต้องการพัฒนาและสามารถใช้เทคนิค การ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมไปปรบั ตนเองและผอู้ ่นื ได้ และสามารถกระทาเป็นกลมุ่ พรอ้ มกนั ได้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

117 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 5. ในการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสามารถฝึกบุคคลให้ปรบั พฤตกิ รรมของตนเองได้ เทคนิคทใ่ี ชส้ ่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ เทคนิคการควบคุมตนเอง (Self- control) การกากบั ตนเอง (Self- regulation) ซง่ึ เป็นเทคนิคทป่ี ระหยดั เวลาและค่าใชจ้ า่ ย แต่มผี ลต่อการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม ของบุคคลเป็นอยา่ งมาก บคุ คลสามารถเรยี นรู้ ทกั ษะการควบคมุ ตนเองจากแหลง่ ต่างๆ ได้ เช่น ผใู้ กลช้ ดิ นิตยสาร ตารา คลนิ กิ โทรทศั น์ หรอื การใหค้ าปรกึ ษาและการฝึกปฏบิ ตั ซิ า้ ๆ เป็นตน้ ทงั้ น้ี กระบวนการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมนนั้ จะพบวา่ พฤตกิ รรมจะแปรเปลย่ี นได้ดว้ ย เหตุผลสบื เน่ืองจากการกระทาของผอู้ ่นื หรอื ผู้ปรบั พฤตกิ รรม 2 ประการคอื 1) ปรบั พฤตกิ รรม ด้วยการเสริมแรง (Reinforce) ส่งผลให้พฤติกรรมของบุคคลนั้นมีอัตราการการกระทา พฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงคน์ ัน้ กระทาเพม่ิ ขน้ึ และ 2) ปรบั พฤตกิ รรมด้วยการลงโทษ (Punisher) ส่งผลใหพ้ ฤตกิ รรมทไ่ี ม่พงึ ประสงคน์ นั้ ยตุ ลิ ง แต่ในปัจจุบนั ในชวี ติ ประจาวนั จะพบว่า บุคคลบาง กลุ่มมกั จะกระทาการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในทางทไ่ี มเ่ หมาะสม คอื เม่อื บุคคลมพี ฤตกิ รรมทไ่ี ม่ พงึ ประสงคแ์ ต่กลบั ไดร้ บั รางวลั จงึ อาจจะก่อใหเ้ กดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมไมส่ าเรจ็ ดงั ภาพตวั อย่าง ทค่ี ุณแมบ่ า้ นทาอาหารไหม้ แต่กลบั ไดร้ บั รางวลั ดว้ ยการพาไปทาน อาหารนอกบา้ น จงึ ทาใหพ้ ฤตกิ รรมทไ่ี มพ่ งึ ประสงคก์ ย็ งั คงอยู่ ภาพประกอบ 4-6 แสดงเหตุการณ์การใหก้ ารเสรมิ แรงทไ่ี มเ่ หมาะสม (ปรบั ปรงุ จาก สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษติ , 2552 จากเอกสารประกอบการบรรยาย การปรบั พฤตกิ รรม) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

118 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ความหมายของการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม ระยะแรกนักวชิ าการส่วนใหญ่ ใหค้ วามหมายของการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมบนพน้ื ฐาน การเรยี นรู้ว่า การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมเป็นการประยุกต์หลกั การเรยี นรู้เพ่อื เปล่ยี นแปลง พฤตกิ รรมของบุคคล ซง่ึ Mikulas (1978: 2) ไดใ้ หค้ วามหมายของการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ว่า เป็นการประยุกต์หลกั การพฤติกรรมท่ไี ด้จากการทดลองเพ่อื แก้ปัญหาพฤติกรรม ส่วน Kalish (1981) ไดใ้ หค้ วามหมาย ว่าเป็นการนาเอาหลกั พฤตกิ รรมมาประยุกตใ์ ชอ้ ยา่ งเป็นระบบ ในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม ซ่งึ หลกั การแห่งพฤตกิ รรมนัน้ ครอลคลุมถงึ แนวคดิ ทฤษฎกี าร เรยี นรแู้ บบการวางเง่อื นไขและแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาทศ่ี กึ ษษพฤตกิ รรมมนุษย์ ส่วน O’leary & Wilson (1987) ได้ให้ความหมายว่า เป็นการประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้และข้อค้นพบทาง จติ วทิ ยาการทดลองเพ่อื ใชใ้ นการเปลย่ี นพฤตกิ รรมมนุษย์ นอกจากน้ี Woolfolk (1998) ยงั ได้ ให้ความหมายว่า เป็นการเปล่ยี นแปลงแก้ไขพฤติกรรมท่เี ป็นปัญหา มาเป็นพฤตกิ รรมท่พี ึง ประสงคแ์ ละเสรมิ สรา้ งพฤตกิ รรมนนั้ ใหม้ นั่ คง โดยใชผ้ ลทไ่ี ดจ้ ากการทดลองตามหลกั การเรยี นรู้ เพ่อื เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของบุคคลท่ไี ม่เหมาะสมใหม้ คี วามเหมาะสมขน้ึ โดยมเี ป้าหมายท่ี เป็นพฤตกิ รรมถาวร มคี วามต่อเน่อื งในระยะยาว มใิ ช่เป็นการเปลย่ี นเพยี งชวั่ คราว ทัง้ น้ีในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมของบุคคล ควรคานึงถึงวิธีการดังน้ี 1) เน้นท่ี พฤตกิ รรมเจาะจงเฉพาะกลุ่มเสย่ี งหรอื พฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหา 2) เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของ บุคคลโดยผ่านกระบวนการเรยี นรู้ 3) ต้องมกี ารกาหนดพฤตกิ รรมเป้าหมายทช่ี ดั เจน 4) ต้อง คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสาคญั 5) การศกึ ษาแนวน้ีจะเน้นทเ่ี หตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปัจจบุ นั เท่านัน้ 6) เน้นความเป็นมนุษยข์ องบุคคล โดยไม่มกี ารบงั คบั ใดๆ ทงั้ สน้ิ 7) เทคนิค ต่างๆ ไดร้ บั การพสิ ูจน์แลว้ ว่าเป็นเทคนิคท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ แต่การนาไปใช้จาเป็นตอ้ งคานึงถงึ ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ตลอดจนเกณฑก์ ารใชเ้ ทคนิคเหล่านั้นให้รอบคอบด้วย 8) การปรบั เปล่ยี น พฤติกรรมจะเน้นการใช้วิธกี ารทางบวกมากกว่าวธิ กี ารลงโทษ และ 9) วิธีการปรบั เปล่ียน พฤติกรรมสามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมตามลกั ษณะปัญหาของแต่ละบุคคล (ประทีป จนิ ง่,ี 2540) นอกจากน้ีในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเสย่ี งของกลุ่มเสย่ี ง ต้องคานึงถงึ ระยะของความ พรอ้ มท่จี ะรบั การเปลย่ี นแปลงของแต่ละบุคคลซง่ึ มไี ม่เท่ากนั บางคนอาจยงั ไม่สนใจปัญหาไม่ เหน็ ความสาคญั ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตนเอง หรอื บางคนสนใจแต่ยงั ลงั เลใจอยู่ ยงั กลวั ๆ กล้าๆ ท่เี ข้าร่วมกิจกรรมปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม หรอื บางคนอาจเรมิ่ เปล่ยี นแปลงแล้ว แต่ยงั ต้องการกาลงั ใจและแรงจงู ใจภายนอกอยู่ มฉิ ะนัน้ อาจจะยกเลกิ ไม่ทาพฤตกิ รรมต่อ ดงั นัน้ จงึ ตอ้ งศกึ ษาแนวคดิ Stages and process of change ไปพรอ้ มกนั จากความหมายข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม หมายถงึ การ ประยุกต์หลกั การแห่งพฤตกิ รรมหรอื หลกั การเรยี นรเู้ พอ่ื เปลย่ี นแปลงแกไ้ ขพฤตกิ รรม โดยเน้น องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

119 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ทพ่ี ฤตกิ รรมทงั้ ภายในภายนอกทส่ี ามารถสงั เกตเหน็ ไดห้ รอื วดั ได้ และในงานเขยี นครงั้ น้ีเน้นวดั จากพฤตกิ รรมสุขภาพ 3 ดา้ นคอื การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง (Self -efficacy) การกากบั พฤตกิ รรมดว้ ยตนเอง (Self- regulation) และพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง (Self- care) ทงั้ น้ี ในการวดั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพของ องั ศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง (2552) ได้สงั เคราะห์ขน้ึ จากแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาและพฤตกิ รรมสุขภาพ ตามทฤษฎีทางปัญญาสงั คม (Bandura, 1986) และพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพ (Orem, 1985) วดั จากพฤตกิ รรม 3 ดา้ นไดแ้ ก่ 1. การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองในการดแู ลสขุ ภาพ (Self-efficacy) ตามทฤษฎีทางปัญญาสังคมประกอบด้วย แนวคิดของการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational learning) แนวคดิ ของการควบคุมตน (Self-control) และแนวคดิ ของการรบั รู้ ความสามารถของตนเอง ในระยะแรก แบนดูราเสนอแนวคดิ ของความคาดหวงั ความสามารถ ของตนเอง (Efficacy expectation) โดยให้ความหมายว่า เป็นความคาดหวงั ท่เี ก่ียวข้องกบั ความสามารถของตน ในลกั ษณะท่เี ฉพาะเจาะจง และความคาดหวงั น้ีเป็นตวั กาหนดการ แสดงออกของพฤติกรรม แต่ต่อมา แบนดูราได้ใช้คาว่า การรบั รู้ความสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) โดยให้คาจากดั ความว่า การทบี่ ุคคลตดั สนิ เกยี่ วกบั ความสามารถ ของตนเองทจี่ ะจดั การและดาเนินการกระทาพฤตกิ รรมใหบ้ รรลเุ ป้าหมายทกี่ าหนดไว้ (Bandura, 1997; Schunk, 1990) แบนดรู าเชอ่ื ว่า การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองนนั้ มผี ลต่อการกระทา ของบุคคล ทงั้ น้ีบุคคล 2 คน อาจมคี วามสามารถไม่ต่างกนั แต่อาจแสดงออกในคุณภาพท่ี แตกต่างกนั ได้ ถา้ พบว่าคน 2 คนน้ี มกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองแตกต่างกนั ในคนเดยี ว ก็เช่นกัน ถ้ารบั รู้ความสามารถของตนเองในแต่ละสภาพการณ์แตกต่างกัน อาจจะแสดง พฤตกิ รรมออกมาไดแ้ ตกต่างกนั เช่นกนั แบนดูราเหน็ ว่าความสามารถของคนเรานนั้ ไมต่ ายตวั แต่จะแปรเปลย่ี นไปตามสภาพการณ์ ดงั นัน้ ประสทิ ธภิ าพของการแสดงออกจงึ ขน้ึ กบั การรบั รู้ ความสามารถของตนเองในสภาพการณ์นัน้ ๆ และบุคคลท่รี บั รู้ว่าตนเองมคี วามสามารถจะมี ความอดทน อุตสาหะ ไม่ทอ้ ถอย และจะประสบความสาเรจ็ ในทส่ี ุด และการท่บี ุคคลจะกระทา พฤติกรรมใดก็ด้วยการรบั รู้ความสามารถของตน (สมโภชน์ เอ่ียมสุภาษิต, 2549: 47-60; Pajares, 1997: 3) จงึ สรปุ ไดว้ า่ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง หมายถงึ ความเชอ่ื ของบุคคล ทม่ี ตี ่อความสามารถของตนเองในการทาพฤตกิ รรมสุขภาพและมคี วามมนั่ ใจว่าสามารถกระทา พฤตกิ รรมสุขภาพนัน้ ได้มากน้อยเพยี งใด และการรบั รคู้ วามสามารถของตนเองมผี ลต่อความ พยายามในการกระทาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ และสามารถใชท้ านายพฤตกิ รรมของบคุ คลได้ดี แหล่งของการสรา้ งใหเ้ กดิ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง 4 วธิ ี ดงั ต่อไปน้ี (Evans, 1989 อา้ งใน สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษติ , 2549: 59-60) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

120 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ประสบการณ์ทป่ี ระสบความสาเรจ็ (Mastery experiences) ซง่ึ แบนดรู าเช่อื ว่า เป็น วธิ กี ารน้ีมปี ระสทิ ธภิ าพมากท่สี ุดในการพฒั นาการรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง เน่ืองจากเป็น ประสบการณ์ตรงในความสาเรจ็ จะทาให้บุคคลเช่อื ว่าเขาสามารถทจ่ี ะทาได้ ดงั นัน้ ในการท่จี ะ พฒั นาการรบั รู้ความสามารถของตนเองนัน้ จาเป็นท่จี ะต้องฝึกให้เขามที กั ษะเพียงพอท่จี ะ ประสบความสาเรจ็ ได้ไปพรอ้ มๆ กบั การทาใหเ้ ขารบั รวู้ ่า เขามคี วามสามารถจะกระทาเช่นนัน้ และทาให้เขาใช้ทกั ษะทไ่ี ด้รบั การฝึกไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ุด บุคคลทร่ี บั รวู้ ่าตนเองมี ความสามารถนนั้ จะไมย่ อมแพอ้ ะไรงา่ ยๆ แต่จะพยายามทางานต่างๆ เพ่อื ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย 2. การใช้ตวั แบบ (Modeling) การท่ไี ด้สงั เกตตวั แบบแสดงการกระทาพฤติกรรมทม่ี ี ความซบั ซอ้ น และไดร้ บั ผลกรรมทพ่ี งึ พอใจ กจ็ ะทาใหผ้ ทู้ ส่ี งั เกตฝึกความรสู้ กึ ว่า เขาสามารถท่ี จะประสบความสาเรจ็ ไดถ้ ้าเขาพยายามจรงิ จงั และไม่ย่อท้อ เช่น การแก้ปัญหาของบุคคลท่มี ี ความกลวั ต่อสงิ่ ต่างๆ โดยใหด้ ตู วั แบบทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยกบั ตนเอง ทาใหล้ ดความกลวั ลงได้ และ หลกั ในการเลอื กตวั แบบควรมลี กั ษณะตามสายตาของผสู้ งั เกตคอื มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ผสู้ งั เกต มี ช่อื เสยี ง มรี ะดบั ความสามารถใกลเ้ คยี งกนั มลี กั ษณะอบอุ่นเป็นกนั เอง เสรมิ แรงผสู้ งั เกตไดด้ ี 3. การใชค้ าพดู ชกั จงู (Verbal persuasion) เป็นการบอกว่า บุคคลนนั้ มคี วามสามารถท่ี จะประสบความสาเรจ็ ได้ วธิ กี ารดงั กลา่ วนนั้ คอ่ นขา้ งใชง้ า่ ยและใชก้ นั ทวั่ ไป แบนดรู าไดก้ ล่าวว่า การใช้คาพูดชักจูงนัน้ มกั ไม่ค่อยจะได้ผล ในการท่ีจะทาให้คนเราสามารถพัฒนาการรับรู้ ความสามารถของตนเอง ซ่งึ ถ้าจะให้ได้ผลนัน้ ควรใช้ร่วมกบั การทาให้บุคคลมปี ระสบการณ์ ความสาเรจ็ เกดิ ขน้ึ ซง่ึ อาจจะตอ้ งค่อยๆ สรา้ งความสามารถใหก้ บั บุคคลอยา่ งคอ่ ยเป็นค่อยไป 4. การกระตุ้นทางอารมณ์ (Emotional arousal) บุคคลทถ่ี ูกกระตุ้นอารมณ์ทางลบ เช่น การอย่ใู นสภาพทถ่ี ูกขม่ ขู่ จะทาใหเ้ กดิ ความวติ กกงั วลและความเครยี ด หรอื เกดิ ความกลวั และ จะนาไปส่กู ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองต่าลง ถ้าอารมณ์ลกั ษณะดงั กล่าวเกดิ มากขน้ึ กจ็ ะทา ให้บุคคลไม่สามารถท่จี ะแสดงออกได้ดี อนั จะนาไปสู่ความล้มเหลว ยงิ่ ทาใหก้ ารรบั รเู้ ก่ยี วกบั ความสามารถของตนต่าลงไปอกี แต่ถา้ บคุ คลสามารถลดหรอื ระงบั การถูกกระตุ้นทางอารมณ์ได้ จะทาใหก้ ารรบั รคู้ วามสามารถของตนดขี น้ึ อนั จะทาใหก้ ารแสดงออกถงึ ความสามารถดขี น้ึ ดว้ ย การวดั การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง Bandura (1986 ) ได้กล่าวถึงการประเมนิ การรบั รู้ความสามารถของตนเองว่า มี 2 ขนั้ ตอน คอื ขนั้ แรกประเมนิ ความเช่อื มนั่ ของบุคคลว่าจะกระทาพฤตกิ รรมนัน้ ไดส้ าเรจ็ หรอื ไม่ ขนั้ ท่สี องให้ประเมนิ ระดบั ความเช่อื มนั่ ในความสามารถท่จี ะกระทาพฤตกิ รรมนัน้ เคร่อื งมอื วดั การรบั รู้ความสามารถของตนเองมี 2 รูปแบบ คอื แบบวดั การรบั รู้ความสามารถของตนเอง โดยทวั่ ไป และแบบวดั ทใ่ี ชว้ ดั การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองโดยเฉพาะเจาะจงในพฤตกิ รรม ใดพฤติกรรมหน่ึง ทัง้ น้ีการท่ีเลือกใช้แบบวัดแบบใดข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้และ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

121 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- พฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั จากการศกึ ษาแบบวดั ของ ดรุณี ดลรตั นการ (2545) ทไ่ี ดส้ รา้ งแบบวดั การรบั รู้ความสามารถของตนต่อพฤติกรรมการควบคุมน้าหนักของกลุ่มของผู้ใหญ่ในวัย กลางคน โดยการดดั แปลงจากกรอบแนวคดิ ของ Pender (1996) มขี ้อคาถามจานวน 22 ข้อ ลกั ษณะคาตอบเป็นมาตราส่วนประเมนิ ค่า 5 ระดบั มคี ่าความเช่อื มนั่ เท่ากบั 0.88 สาหรบั แบบ วดั ของ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหงและคณะ (2552) ไดส้ รา้ งแบบประเมนิ การรบั รคู้ วามสามารถของ ตนเองในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพจากงบประมาณของสานักงานหลกั ประกนั สุขภาพ แห่งชาติ รวมขอ้ คาถาม 5 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ เท่ากบั 0.73 และสุพชิ ชา วงศ์จนั ทร์และคณะ (2557) ไดส้ รา้ งแบบประเมนิ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองต่อพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ ของผทู้ ม่ี ภี าวะอ้วนมจี านวน 12 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ เท่ากบั 0.88 ลกั ษณะแบบสอบถามเป็น แบบประเมนิ คา่ 6 ระดบั ตงั้ แต่ “จรงิ ทส่ี ุด” จนถงึ “ไมจ่ รงิ เลย” งานวิจยั ท่ีเก่ียวกบั การรบั ร้คู วามสามารถของตน ในต่างประเทศมงี านวจิ ยั หลายเร่อื งท่นี าแนวคดิ การรบั รูค้ วามสามารถของตนเองไป สร้างรูปแบบกจิ กรรมในโปรแกรมดงั เช่น Annesi & Gorjala (2010) ศึกษาความสมั พนั ธ์ของ การกากบั ตนเองและการรบั รคู้ วามสามารถของตนเองในการเคล่อื นไหวและออกกาลงั กาย การ รบั ประทานอาหาร และการเปล่ยี นแปลงของดชั นีมวลกายพบว่า การรบั รูค้ วามสามารถของ ตนเองในการเคลอ่ื นไหวและออกกาลงั กาย การรบั ประทานอาหารมคี วามสมั พนั ธข์ องการกากบั ตนเอง ส่วน Duangta Pawa & Chitlada Areesantichai (2016) ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของโปรแกรม การเปลย่ี นพฤตกิ รรมในการเพม่ิ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองในการลดอันตรายจากการใช้ ยา ในกล่มุ ผตู้ ดิ ยาเสพตดิ ดว้ ยการฉีดเขา้ เสน้ ทม่ี อี ายุ 18-45 ปี ในกรงุ เทพมหานคร ดว้ ยการวจิ ยั กง่ึ ทดลองมกี ลมุ่ เปรยี บเทยี บ ผลวจิ ยั พบว่า กล่มุ ตวั อยา่ งสว่ นใหญ่เป็นเพศชาย การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษา อายเุ ฉลย่ี 40 ปี เรม่ิ ใชย้ าฉีดเมอ่ื อายุ 20 ปี โดยเฉลย่ี ใชย้ าระดบั ปานกลาง 10 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ ในช่วง 1 เดอื นท่ผี ่านมา และภายหลงั การเข้าโปรแกรม กลุ่มทดลองมกี ารรบั รู้ ความสามารถของตนในการลดอนั ตรายจากการใชย้ าไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ในสภาวะเงอ่ื นไขทอ่ี ารมณ์เชงิ ลบ (P< 0.048) และ Wu et al. (2017) ศกึ ษาผลของโปรแกรมการจดั การตนเองของผู้ป่ วย โรคเบาหวานร่วมกบั โรคหวั ใจ โดยเปรยี บเทยี บระหว่างกลุ่มผู้ป่ วยในออสเตรเลยี และไต้หวนั พบว่า ผลของพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง ความรู้ และคุณภาพ ชีวิตด้านสุขภาพของผู้ป่ วยทัง้ สองกลุ่มไม่แตกต่างกัน (P< 0.05) ส่วนในประเทศไทย มี การศกึ ษาของ นัฐพร กรสูงเนิน (2552) ได้ศกึ ษาผลของโปรแกรมการลดน้าหนักต่อการรบั รู้ ความสามารถของตนและพฤตกิ รรมการลดน้าหนักในกลุ่มหญงิ ก่อนวยั ทองอายุ 35 - 45 ปีทม่ี ี ภาวะโภชนาการเกนิ ในกลุ่มทดลอง 44 คน กลุ่มควบคุม 42 คนเขา้ โปรแกรม 12 สปั ดาหร์ วม 8 ชวั่ โมงพบว่า กจิ กรรมแลกเปลย่ี นประสบการณ์ตนเอง การใช้ตวั แบบ การใชค้ าพูดโน้มน้าว องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

122 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- และการกระตุ้นอารมณ์ใหต้ ้องการลดน้าหนักนนั้ ในกลุ่มทดลองมกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตน และพฤติกรรมการลดน้าหนักสูงกว่ากลุ่มทดลองและเพ่มิ ข้นึ กว่าก่อนการทดลอง (P< 0.05) สอดคลอ้ งกบั สุนันทา ศรศี ริ ิ (2555) ทศ่ี กึ ษาผลของโปรแกรมการรบั รคู้ วามสามารถของตนเองใน การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม การดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี ขี องผสู้ ูงอายุทม่ี คี วามดนั โลหติ สงู ทศ่ี ูนยบ์ รกิ ารสาธารณสุข จานวน 100 คน ผลการศกึ ษาพบว่า การจดั กจิ กรรมตามโปรแกรม การสง่ เสรมิ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมของผสู้ งู อายุทม่ี คี วาม ดนั โลหติ สูง ทาใหก้ ลุ่มตวั อย่างมกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองเพม่ิ ขน้ึ ภายหลงั การทดลอง 12 สปั ดาห์ (P< 0.05) และกลุ่มทดลองมคี ่าเฉล่ยี ระดบั ความดนั ช่วงหวั ใจบบี ตวั และความดนั ชว่ งหวั ใจคลายตวั ต่ากว่าก่อนไดร้ บั โปรแกรม (P< 0.05) 2 . การกากบั ตนเอง (Self-regulation) Schunk (1991) ได้นิยามการกากบั ตนเองว่าหมายถงึ กระบวนการท่บี ุคคลปฏบิ ตั ิ และสนับสนุนต่อพฤตกิ รรมความรคู้ วามเขา้ ใจและอารมณ์ความรสู้ กึ ทม่ี ุ่งไปสู่เป้าหมายทต่ี งั้ ไว้ ดว้ ยตนเองอยา่ งเป็นระบบ Schunk & Zimmerman (1997: 195-208) ไดน้ ยิ ามการกากบั ตนเอง ว่า หมายถึง กระบวนการท่กี ระตุ้นและสนับสนุนต่อความรูค้ วามเข้าใจพฤตกิ รรมและความ พอใจเพอ่ื นาไปสกู่ ารบรรลเุ ป้าหมายทต่ี นเองตงั้ ไวใ้ นทส่ี ุด สว่ น ชนิ ะพฒั น์ ชน่ื แดชุ่ม (2542: 15) ไดน้ ิยามการกากบั ตนเองว่าหมายถงึ การใชก้ ลวธิ ซี ง่ึ ไดแ้ ก่ การตงั้ เป้าหมาย การวางแผน การ ดาเนินการติดตามผล ทงั้ ในด้านพฤตกิ รรม ด้านความรู้ ความเข้าใจ และด้านแรงจูงใจของ ตนเอง เพ่อื ใหบ้ รรลุถงึ สงิ่ ทม่ี งุ่ หวงั ไดด้ ว้ ยตนเอง สามารถสรปุ ไดว้ ่า การกากบั ตนเอง หมายถงึ การแสดงออกถงึ การกระทาในการสงั เกตพฤตกิ รรมและการเปลย่ี นแปลงดา้ นสขุ ภาพของตนเอง พรอ้ มทงั้ ตงั้ เป้าหมายและวางแผนในการกระทาทจ่ี ะดแู ลตนเองใหม้ สี ขุ ภาพดตี ามเป้าหมายทต่ี งั้ ไว้ อาจกระทาด้วยการจดบนั ทกึ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมสุขภาพของตนเอง กระตุ้นเตอื น ตนเองใหก้ ระทาอยา่ งต่อเน่อื งใหบ้ รรลถุ งึ การมสี ุขภาพทด่ี ตี ามทต่ี นเองไดต้ งั้ เป้าหมายไว้ แนวคดิ การกากบั ตนเองจากทฤษฎีปัญญาสงั คม ของแบนดูรา่ (Bandura, 1986) ซง่ึ เช่อื ว่าพฤตกิ รรมของมนุษยไ์ ม่ได้เป็นผลมาจากการเสรมิ แรงและการลงโทษจากภายนอกแต่ เพยี งอยา่ งเดยี ว แต่มนุษยส์ ามารถกระทาบางสง่ิ บางอย่างเพ่อื ควบคุมความคดิ ความรสู้ กึ และ การกระทาของตนเอง กระบวนการดงั กล่าวน้ีคอื การกากบั ตนเอง (Self – regulation) และการ กากบั ตนเอง เป็นกระบวนการท่บี ุคคลตงั้ เป้าหมายไว้สาหรบั ตนเองและคดิ หากลวธิ ใี ห้บรรลุ เป้าหมายดว้ ยตนเองบคุ คลจะเป็นผคู้ วบคมุ กระบวนการน้ีดว้ ยตนเอง (Zimmerman, 1998) การ กากบั ตนเอง (Self–regulation) ประกอบดว้ ย 3 กระบวนการยอ่ ย (Schunk and Zimmerman, 1994) ได้แก่ 1) การสงั เกตตนเอง (Self-observation) 2) การตดั สนิ ตนเอง (Self-judgment) และ 3) การแสดงปฏกิ ริ ยิ าต่อตนเอง (Self-reaction) ทงั้ น้ี กระบวนการกากบั ตนเอง มดี งั น้ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

123 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. การสงั เกตตนเอง (Self-observation) หมายถงึ ความสนใจต่อลกั ษณะท่ี จาเพาะในพฤตกิ รรมของบคุ คลอยา่ งพนิ ิจพเิ คราะห์ (Bandura, 1986) ประกอบดว้ ย การตงั้ เป้าหมาย (Goal setting) หมายถงึ การกาหนดพฤตกิ รรมเป้าหมายหรอื กาหนดเกณฑใ์ นการแสดงพฤตกิ รรมใดพฤตกิ รรมหน่ึงทต่ี อ้ งการเปลย่ี นแปลง การตงั้ เป้าหมาย เป็นกระบวนการสาคญั ทจ่ี ะช่วยใหบ้ ุคคลไดร้ ถู้ งึ พฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการกระทาอยา่ งชดั เจน แบนดู ร่า เสนอว่าการตงั้ เป้าหมายในการกระทาพฤตกิ รรมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและสะดวกต่อการตดั สนิ นัน้ ควรตงั้ เป้าหมายให้มลี กั ษณะดงั น้ี 1) มคี วามเฉพาะเจาะจง ว่าเขาจะต้องทาพฤติกรรม อยา่ งไร หรอื เทา่ ไร 2) มลี กั ษณะทา้ ทาย จะเป็นสงิ่ กระตุน้ หรอื จงู ใจใหบ้ ุคคลใชค้ วามพยายามใน การกระทาพฤติกรรมให้มากข้นึ 3) ระบุแน่ชดั และมที ศิ ทางในการกระทาแน่นอนโดยไม่มี ทางเลอื กได้หลายทาง เช่น “สปั ดาห์น้ีฉันจะรบั ประทานขนมขบเค้ยี วไม่เกนิ 2 ซอง” 4) เป็น เป้าหมายระยะสนั้ จะพบกบั ความสาเรจ็ ทต่ี งั้ ไวง้ ่ายและเรว็ และเม่อื บุคคลประสบความสาเรจ็ ใน เป้าหมายทต่ี งั้ ไว้ก็จะมคี วามพงึ พอใจและเป็นแรงจูงใจให้บุคคลพยายามกระทาพฤตกิ รรมให้ บรรลุเป้าหมายระยะยาวเพม่ิ มากขน้ึ และ 5) อยใู่ นระดบั ใกลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ ไม่เพอ้ ฝัน คอื สงู หรอื ต่ากวา่ ความเป็นจรงิ และ ควรปฏบิ ตั ไิ ด้ เมอ่ื เป้าหมายหรอื มาตรฐานของพฤตกิ รรมใด ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั บุคคลจงึ ไมส่ ามารถใชเ้ ป้าหมายเป็นมาตรฐานได้ (Bandura, 2000) การตงั้ เป้าหมาย มี 2 วธิ คี อื 1) การตงั้ เป้าหมายด้วยตนเองหมายถงึ การทบ่ี ุคคล เป็นผู้กาหนดพฤตกิ รรมเป้าหมายทต่ี ้องการกระทาด้วยตนเอง มขี อ้ ดคี อื จะทาใหบ้ ุคคลรสู้ กึ ว่า เขาเป็นผกู้ ระทาและเป็นผตู้ ดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง ทาใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ สบายใจและพยายามกระทา พฤตกิ รรมใหบ้ รรลุเป้าหมายทต่ี นกาหนด และ 2) การตงั้ เป้าหมายโดยบุคคลอ่นื หมายถงึ การ ท่บี ุคคลอ่นื เป็นผูก้ าหนดพฤตกิ รรมเป้าหมายท่ตี ้องการเปล่ยี นแปลงใหก้ บั บุคคล มขี อ้ ดตี รงท่ี ช่วยแก้ไขให้บุคคลท่ไี ม่สามารถตงั้ เป้าหมายด้วยตนเองได้ ให้สามารถตงั้ เป้าหมายได้อย่าง เหมาะสมกบั ความสามารถตนเองยง่ิ ขน้ึ (ดวงเพญ็ เรอื นใจมนั่ และคณะ, 2542: 55) 2. การเตือนตนเอง(Self-monitoring) หมายถึง กระบวนการทบี่ ุคคลสงั เกตและ บนั ทกึ พฤตกิ รรมเป้าหมายทเี่ กดิ ขน้ึ ดว้ ยตนเองเพอื่ เป็นขอ้ มลู เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมทตี่ นเองกระทา การเตือนตนเองจะทาให้บุคคลรู้ว่าตนเองจะกระทาพฤติกรรมในลกั ษณะใด ท่ีนาไปสู่การ เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมได้ เน่ืองจากบุคคลไดเ้ หน็ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั แลว้ กจ็ ะทาใหเ้ ขารวู้ ่าควรทา เช่นไรต่อไป เพ่อื ไปสู่พฤตกิ รรมเป้าหมาย นอกจากกระบวนการสงั เกตตนเองทก่ี ล่าวมาแล้ว แบนดูร่า เสนอว่า ยงั มปี ัจจยั อ่นื ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการสงั เกตตนเอง ดงั น้ี 1) ตอ้ งทาการสงั เกตและ บนั ทกึ พฤตกิ รรมตนเองทนั ทที พ่ี ฤตกิ รรมเป้าหมายเกดิ ขน้ึ ซง่ึ จะทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่มี คี วามถูกต้อง แม่นยาและต่อเน่ือง 2) ควรใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จะทาใหบ้ ุคคลทราบว่าตนกระทาพฤตกิ รรมเป็น อยา่ งไรเป็นไปตามเป้าหมายทต่ี งั้ ไวห้ รอื ไม่ ถา้ เป็นไปตามเป้าหมายบคุ คลกค็ วรจะมคี วามสนใจ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

124 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สงั เกตมากขน้ึ แต่ถา้ หากไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บุคคลกจ็ ะไดห้ าแนวทางแก้ไขใหด้ ขี น้ึ ต่อไป (Agraset et al., 1968) 3) บุคคลมแี รงจงู ใจเปลย่ี นพฤตกิ รรมของตนกจ็ ะมกี ารตงั้ เป้าหมายและ พยายามสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรมของตนมากกว่าบุคคลท่มี แี รงจงู ใจต่า 4) พฤตกิ รรมใดก็ ตามทบ่ี ุคคลเหน็ ว่ามคี ุณค่าต่อตนเอง เขากจ็ ะใหค้ วามสนใจในการสงั เกตมากกว่าพฤตกิ รรมท่ี เขาไมเ่ หน็ คุณค่า (Kanfer, 1970) 5) บุคคลทก่ี ระทาพฤตกิ รรมแลว้ ไดร้ บั ความสาเรจ็ บุคคลกจ็ ะ ให้ความสนใจสงั เกตและบนั ทกึ พฤติกรรมของตนเองมากกว่าพฤตกิ รรมท่เี ขากระทาแลว้ มกั ลม้ เหลว (Kirschenbaum et al, 1981) และ 6) พฤตกิ รรมใดกต็ ามท่บี ุคคลสามารถควบคุมได้ บุคคลก็จะสนใจสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรมของตนเองมากกว่าพฤติกรรมท่เี ขาไม่สามารถ ควบคมุ ได้ (ดวงเพญ็ เรอื นใจมนั่ , 2542: 57) 3. การตัดสินตนเอง (Self-Judgment) เป็นการเปรียบเทียบผลท่ีได้รบั จากการ กระทากบั เป้าหมายหรอื มาตรฐานทต่ี งั้ ไว้ การตดั สนิ ตนเอง (Self – judgment) ขน้ึ กบั ชนิดของ มาตรฐาน (Type of standards) องคป์ ระกอบของเป้าหมาย (Goal properties) และความสาคญั ของการบรรลุเป้าหมาย ทงั้ น้ี พฤตกิ รรมจะประสบความสาเรจ็ หรอื ลม้ เหลวขน้ึ อยกู่ บั มาตรฐานที่ นามาประเมนิ ขอ้ มลู ทจ่ี ะนามาเป็นมาตรฐานไดม้ าจากแหล่งต่างๆ เช่น การแสดงปฏกิ ริ ยิ าทาง สงั คมต่อพฤตกิ รรมของบคุ คล มาตรฐานของบุคคลอ่นื การตงั้ มาตรฐานทด่ี คี อื การตงั้ พฤตกิ รรม ทเ่ี ฉพาะเจาะจงระบุอย่างชดั เจนมแี นวทางในการกระทาอย่างแน่นอนเป็นมาตรฐานทใ่ี กล้เคยี ง กบั ความเป็นจรงิ และสามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ หลงั จากท่บี ุคคลนามาตรฐานมาใช้เป็นเกณฑ์ในการ ตดั สนิ มแี นวโน้มว่า พวกเขาจะนามาตรฐานไปดดั แปลงใช้ในสภาพอ่นื ๆ และมาตรฐานนัน้ ยงั ส่งผ่านจากบุคคลหน่ึงไปสู่อีกบุคคลหน่ึงด้วยตัวแบบและความสาเร็จทางสงั คม เช่น เด็ก ดดั แปลงมาตรฐานของผใู้ หญ่มาใชแ้ ลว้ นามาใชก้ บั เพอ่ื น (ดวงเพญ็ เรอื นใจมนั่ , 2542: 57) 4. การแสดงปฏิกิริยาต่อตนเอง (Self – reaction) เป็นกระบวนการสุดท้ายของ กลไกการกากับตนเองตามท่ี Bandura (2000) ว่าเป็นการทาหน้าท่ี 1) ตอบสนองผลการ ประเมนิ พฤตกิ รรมของตนเอง จากกระบวนการตดั สนิ ถา้ บุคคลกระทาพฤตกิ รรมเป้าหมายได้ เท่ากบั หรอื สูงกว่าเป้าหมายทต่ี งั้ ไวบ้ ุคคลจะแสดงปฏกิ ริ ยิ าทางบวกต่อตนเองหรอื ให้รางวลั กบั ตนเอง แต่ถ้าบุคคลกระทาพฤตกิ รรมต่ากว่าเป้าหมาย เขาจะแสดงปฏกิ ริ ยิ าทางลบต่อตนเอง หรอื การลงโทษตนเอง หรอื อาจไม่แสดงปฏกิ ริ ยิ าต่อตนเองกไ็ ด้ และ 2) เป็นตวั จงู ใจสาหรบั การ กระทาพฤตกิ รรมของตนเอง ถ้าบุคคลกระทาพฤตกิ รรมไดต้ ามเป้าหมายแลว้ จะใหส้ งิ่ จงู ใจกบั ตนเอง สง่ิ จงู ใจแบง่ เป็น สงิ่ จงู ใจตนเองจากภายนอก ไดแ้ ก่ วตั ถุสงิ่ ของทส่ี ามารถจบั ตอ้ งไดห้ รอื อาจเป็นการใหเ้ วลาอสิ ระกบั ตนเอง การกระทาทช่ี อบหรอื การกระทากจิ กรรมบนั เทงิ ต่างๆ และ สงิ่ จงู ใจตนเองจากภายใน เป็นผลกรรมภายในทบ่ี คุ คลใหก้ บั ตนเองหลงั จากทป่ี ระเมนิ พฤตกิ รรม องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

125 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ของตนเองแลว้ ซง่ึ แบ่งเป็น 2 ประเภทคอื ทางบวก เช่น การยกย่อง ช่นื ชมตนเอง เป็นต้น ทาง ลบ เช่น การตาหนติ นเอง การวจิ ารณ์ตนเอง ละอายใจ และการเสยี ใจ เป็นตน้ ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการกากบั ตนเอง Bandura (1986: 369-372) ไดเ้ สนอไวม้ ดี งั น้ี 1) ประโยชน์ส่วนตัว (Personal benefits) เม่อื บุคคลมพี ฤติกรรมกากับตนเองแล้วบุคคลก็จะ ไดร้ บั ประโยชน์โดยตรงต่อตนเอง 2) รางวลั ทางสงั คม (Social reward) บคุ คลในสงั คมใหก้ ารยก ยอ่ งชมเชย สรรเสรญิ ใหเ้ กยี รติ ใหก้ ารยอมรบั หรอื ใหร้ างวลั ซง่ึ การใหร้ างวลั ทางสงั คมเหล่าน้ีก็ จะมสี ่วนช่วยให้กระบวนการกากับตนเองของบุคคลคงอยู่ได้ 3) การสนับสนุนจากตวั แบบ (Modeling supports) บุคคลทม่ี มี าตรฐานในการกากบั ตนเอง เช่น การพดู จาไพเราะ หากไดอ้ ยู่ ในสภาพแวดลอ้ มทค่ี นอ่นื รอบดา้ น ลว้ นแต่มกี ารพดู จาไพเราะดว้ ยกนั จงึ มสี ว่ นชว่ ยเป็นตวั แบบ ทจ่ี ะสนบั สนุนซง่ึ กนั และกนั 4) ปฏกิ ริ ยิ าทางลบจากผอู้ ่นื (Negative sanctions) บุคคลทพ่ี ฒั นา มาตรฐานในการกากบั ตนเองขน้ึ มาแลว้ หากภายหลงั ใหร้ างวลั กบั ตนเองต่อพฤตกิ รรมทต่ี ่ากว่า มาตรฐานก็จะทาใหบ้ ุคคลในสงั คมแสดงปฏกิ ิรยิ าทางลบต่อตวั เขาปฏกิ ริ ยิ าเหล่าน้ีจะส่งผลให้ บุคคลยอ้ นกลบั ไปใชม้ าตรฐานเดมิ ของเขาอกี 5) การสนบั สนุนจากสภาพแวดลอ้ ม (Contextual supports) บุคคลท่อี ย่ใู นสภาพแวดล้อมซง่ึ ในอดตี เคยส่งเสรมิ ใหต้ นกากบั ตนเองดว้ ยมาตรฐาน ระดบั หน่ึง ย่อมจะมกี ารกากบั ตนเองด้วยมาตรฐานเดิม บุคคลเช่นน้ีมแี นวโน้มจะหลกี เล่ียง สถานการณ์ท่ีจะมอี ิทธิพลให้ตนต้องลดมาตรฐานลงไปและ 6) การลงโทษตนเอง (Self – inflicted punishment) เป็นหนทางช่วยให้บุคคลลดความไม่สบายใจจากการทาผดิ มาตรฐาน ของตนได้ แทนทจ่ี ะถูกคนเหล่านัน้ ลงโทษโดยตรง คนส่วนใหญ่จะมคี วามรสู้ กึ ว่า การลงโทษ ตนเองทาให้รสู้ กึ ไม่พอใจน้อยกว่าการถูกผูอ้ ่นื ลงโทษและในบางกรณีการลงโทษตนเองก็เป็น การกระทาทไ่ี ดร้ บั การชมเชยจากผอู้ ่นื ดว้ ย การวดั การกากบั ตนเอง ในการวดั การกากบั ตนเองตามท่ี สุพชิ ชา วงศจ์ นั ทร์และคณะ (2555) สรา้ งแบบวดั การ กากบั ตนเองของบุคลากรกรมอนามยั จานวน 24 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ 0.81 และแบบวดั ของ อังศินันท์ อินทรกาแหงและคณะ (2552) ท่ีได้สร้างแบบวัดการกากับตนเองของผู้เข้าร่วม โครงการปรบั เปล่ยี นพฤติรรมสุขภาพจากงบประมาณสนับสนุนของสานักงานหลกั ประกัน สุขภาพแห่งชาตเิ ขต 13 กรงุ เทพมหานคร ซง่ึ เป็นแบบวดั ฉบบั สนั้ รวมจานวน 5 ขอ้ มคี ่าความ เช่อื มนั่ 0.80 สาหรบั แบบวดั ปรบั ปรงุ ใหมข่ อง สุพชิ ชา วงศจ์ นั ทรแ์ ละคณะ (2557) วดั ระดบั การ กากับตนเองในพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ท่ีมีภาวะอ้วนท่ีเข้าโปรแกรมปรบั เปล่ียน พฤติกรรมสุขภาพ 3–Self มีจานวน 31 ข้อ มีค่าความเช่ือมัน่ เท่ากับ 0.93 ลักษณะ แบบสอบถามเป็นแบบประเมนิ ค่า 6 ระดบั ตงั้ แต่ “จรงิ ทส่ี ุด” จนถงึ “ไมจ่ รงิ เลย” องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

126 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องกบั การประยกุ ตใ์ ช้แนวคิดการกากบั ตนเอง งานวจิ ยั ท่ใี ช้แนวคดิ การกากบั ตนเองพบทงั้ ภายในและต่างประเทศ โดยในประเทศ ตวั อย่างงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น Suwannee Chearsawad (2002) ได้ ศึกษาผลของการพฒั นาทกั ษะการควบคุมตนเองในการหลีกเล่ยี งการบรโิ ภคอาหารว่างท่ีมี คุณค่าทางโภชนาการน้อยในนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จงั หวดั ตาก พบว่า ภายหลงั การ ทดลองกลุ่มทดลองมกี ารควบคุมตนเองในการหลกี เล่ยี งการบรโิ ภคอาหารว่างท่มี คี ุณค่าทาง โภชนาการน้อยเพมิ่ ขน้ึ มากกว่าก่อนการทดลองและมากกว่ากลุ่มเปรยี บเทยี บ และพบว่าใน ระยะตดิ ตามผลไมแ่ ตกต่างจากระยะหลงั การทดลอง แต่ในระยะตดิ ตามผล นกั เรยี นกลุ่มทดลอง ยงั คงมกี ารควบคุมตนเองในการหลกี เลย่ี งการบรโิ ภคอาหารว่างทม่ี คี ุณค่าทางโภชนาการน้อย เพม่ิ ขน้ึ มากกว่าก่อนการทดลองและมากกว่ากลุ่มเปรยี บเทยี บอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ (P< 0.05) ทงั้ น้ี lowe (2003) ได้ศกึ ษาการกากบั ตนเองในการบรโิ ภคอาหารและการป้องกนั ภาวะ อว้ น พบว่า มวี ธิ ที ส่ี นับสนุนการป้องกนั โรคอว้ นไดแ้ ก่ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม การใหค้ วามรู้ โภชนาการ การออกกาลงั กายและเทคนิคการส่อื สาร ซง่ึ ลว้ นมผี ลต่อการควบคมุ น้าหนัก แต่คน ส่วนใหญ่ปฏิบตั ิไม่ได้เน่ืองจากสภาพแวดล้อม ดงั นัน้ จึงต้องใช้การกากับตนเองท่ีควบคุม อทิ ธพิ ลทเ่ี กดิ จากสภาพแวดลอ้ มและพฤตกิ รรมทท่ี าใหอ้ ว้ น สว่ นการศกึ ษาของ วชั ราภรณ์ ภูมิ ภูเขยี ว (2552) ได้ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของการใชท้ ฤษฎกี ารกากบั ตนเองร่วมกบั ทฤษฎขี นั้ ตอน การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมในการพฒั นาการลดน้าหนักของข้าราชการ จงั หวดั เลย ในกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 36 คนรวม 72 คน กลุ่มทดลองได้รบั โปรแกรมรวม 18 ชวั่ โมง ระยะเวลา 10 สปั ดาห์ โดยไดร้ บั ความรู้ การใชต้ วั แบบจากวดิ โี อ คมู่ อื การลดน้าหนกั การสงั เกต และประเมนิ พฤตกิ รรมตนเอง การฝึกออกกาลงั กาย สาธติ การทาอาหาร การวางแผน การ เสรมิ แรง เป็นต้น ผลการศกึ ษาพบว่า ภายหลงั การทดลองกลุ่มทดลองมพี ฤตกิ รรมสุขภาพสูง กว่าก่อนทดลอง และค่าดชั นีมวลกายเฉล่ยี ในกลุ่มทดลองลดลงมากกว่าก่อนทดลองและกลุ่ม ควบคุม (P< 0.05) และ สุพชิ ชา วงศ์จนั ทรแ์ ละคณะ (2557) ทาการวจิ ยั เชงิ ทดลองเพ่อื ศกึ ษา การเปลย่ี นแปลงของพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self และ ภาวะอว้ นในกลมุ่ นสิ ติ ทม่ี ภี าวะอว้ นในกลุ่ม ทดลองท่ี 1 จานวน 22 คน เข้าโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ 3–Self ท่ีเน้น ผู้รบั บรกิ ารเป็นศูนย์กลาง และกลุ่มทดลองท่ี 2 จานวน 20 คน เข้าโปรแกรมปรบั เปล่ียน พฤตกิ รรมสุขภาพ 3–Self ทเ่ี น้นผใู้ หบ้ รกิ ารเป็นศูนยก์ ลาง สว่ นกลุม่ ควบคมุ จานวน 20 คน เป็น เวลาสปั ดาหท์ ่ี 12 ใชแ้ บบสอบถามประเมนิ 3-Self ประกอบดว้ ย การรบั รคู้ วามสามารถของตน การกากบั ตนเอง และการดูแลตนเอง ซง่ึ มคี ่าความเช่อื มนั่ สมั ประสทิ ธ์ของครอนบาคระหว่าง 0.88-0.93 ผลการวจิ ยั พบว่า 1) กลุ่มทดลองท่ี 1 มกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง การกากบั ตนเองสูงและการดูแลสุขภาพตนเองสงู กว่ากลุ่มทดลองท่ี 2 (P< 0.05) และสงู กว่ากลุ่มควบคุม องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

127 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- (P< 0.05) 2) กลุ่มทดลองท่ี 1 มภี าวะอ้วนลดลงมากกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มทดลองท่ี 2 และกลุ่มควบคุม (P< 0.05) จงึ สรปุ ไดว้ ่ากลุ่มทดลองท่ี 1 ดกี ว่ากลมุ่ อ่นื 3. การดแู ลตวั เอง (Self-care) เป็นพฤตกิ รรมการเรยี นรูอ้ ย่างหน่ึงท่เี รม่ิ พฒั นามาตงั้ แต่วยั เด็กและค่อยๆ พฒั นา เตม็ ทใ่ี นวยั ผใู้ หญ่ ซง่ึ เป็นวยั ทส่ี ามารถดูแลตนเองไดอ้ ย่างสมบูรณ์ แต่ความสามารถดงั กล่าวจะ ลดลงเมอ่ื เกดิ ความเส่อื ม หรอื ความเจบ็ ป่วยขน้ึ ในรา่ งกาย หรอื กรณที ก่ี ารดูแลตนเองถูกจากดั จากความรคู้ วามชานาญ การขาดแรงจูงใจ กจิ กรรมการดูแลตนเองกจ็ ะไม่เกดิ ขน้ึ (Orem et al., 2001: 135) ผู้ท่ชี ่วยเหลอื ตวั เองไม่ได้หรอื มขี ดี จากดั ต่างๆ ท่ที าให้ไม่สามารถช่วยเหลือ ตนเองไดเ้ ตม็ ท่ี บุคคลเหล่าน้ี ไดแ้ ก่ คนชรา คนเจบ็ ป่วย และคนพกิ าร การดแู ลตนเองจงึ มผี ล โดยตรงต่อการดารงชวี ติ ของมนุษย์ การคงไว้ซ่งึ รูปร่างและหน้าท่ใี นภาวะปกติ การพฒั นา บุคลกิ ภาพศกั ยภาพของมนุษย์ ป้องกนั อนั ตราย ตลอดจนพยาธสิ ภาพต่างๆ และยงั สามารถ ควบคุมผลอนั เกดิ จากการบาดเจบ็ หรอื พยาธสิ ภาพต่างๆ ได้ ทงั้ น้ี ความหมายของการดูแล ตนเอง จากคาว่า “ดแู ล” กบั “ตนเอง” ตามพจนานุกรมฉบบั บณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ ความหมายคาว่า ดูแล คอื เอาใจใส่ ปกปักรกั ษา ปกครอง ตน คอื ตวั (ตวั คน) เม่อื รวมคาว่า ดแู ลตนเอง จงึ หมายถงึ เอาใจใส่ในตวั เองนัน่ เอง หรอื ปกปัก ปกครองตนเอง การดูแลตนเอง ถูกอธบิ ายในลกั ษณะของมโนทศั น์ กรอบแนวคดิ รปู แบบ ทฤษฎกี ระบวนการ การเคล่อื นไหว หรอื ปรากฏการณ์ (Gantz, 1990) ความหมายการดูแลตนเองจะต่างกนั ในแต่ละสาขาวิชาชพี ซ่งึ มผี ู้ให้นิยามการดูแลสุขภาพของตนเอง ดงั เช่น สไตเกอร์และลิบสนั (Steiger & Lipson, 1985: 12) ใหค้ วามหมายของการดแู ลตนเองว่าเป็นกจิ กรรมทร่ี เิ รมิ่ กระทาโดย บุคคล ครอบครวั ชุมชน เพ่อื ใหบ้ รรลุ หรอื คงไวซ้ ่งึ ภาวะสุขภาพใหด้ ที ส่ี ุด ส่วน เพนเดอร์ (Pender, 1987 :150) ไดก้ ล่าวว่า การดแู ลตนเองเป็นการปฏบิ ตั ทิ บ่ี คุ คลรเิ รม่ิ และกระทาในวถิ ที างของตนเองเพ่อื ดารง รกั ษาชวี ติ ส่งเสรมิ สุขภาพและความเป็นอยู่ทด่ี ขี องตน และสมจติ หนุเจรญิ กุล (2543) ไดก้ ล่าว ว่า การดแู ลตนเองหมายถงึ การปฏบิ ตั ใิ นกจิ กรรมทบ่ี ุคคลรเิ รม่ิ และกระทาเพ่อื ทจ่ี ะรกั ษาไว้ซง่ึ ชวี ิต สุขภาพและสวสั ดภิ าพของตน การดูแลตนเองเป็นการกระทาท่จี งใจ และมเี ป้าหมาย (Deliberate action) และเม่อื กระทาอย่างมปี ระสิทธภิ าพจะมสี ่วนช่วยให้โครงสรา้ งหน้าท่แี ละ พฒั นาการของแต่ละบคุ คลดาเนินไปถงึ ขดี สงู สดุ สรุปไดว้ ่า การดูแลสุขภาพตนเอง หมายถงึ การกระทากจิ กรรมใดทบ่ี ุคคลไดเ้ รม่ิ ปฏบิ ตั ิ ดว้ ยตนเอง โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื ดารงรกั ษาชวี ติ ภาวะความมสี ุขภาพและความเป็นอยทู่ ด่ี ี เป็น การกระทาอย่างมแี บบแผน เป็นขนั้ ตอน ต่อเน่ือง และเมอ่ื มกี ารกระทาอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพจะ ช่วยใหร้ า่ งกาย จติ ใจและพฒั นาการดาเนนิ ชวี ติ ของบุคคลนนั้ ไปถงึ เป้าหมายของแต่ละบุคคล องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

128 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- การวดั การดแู ลสภุ าพตนเอง ตามท่ี สุพชิ ชา วงศ์จนั ทร์และคณะ (2555) ไดส้ รา้ งแบบวดั การดแู ลสุขภาพตนเองของ บุคลากรกรมอนามยั จานวน 12 ขอ้ มคี า่ ความเช่อื มนั่ 0.81 และแบบวดั ของ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกา แหง (2552) ทไ่ี ดส้ รา้ งแบบวดั การดแู ลสุขภาพตนเองของผเู้ ขา้ ร่วมโครงการปรบั เปลย่ี นพฤตริ รมสุขภาพจากงบประมาณสนับสนุนของสานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 13 กรงุ เทพมหานคร ซง่ึ เป็นแบบวดั ฉบบั สนั้ รวมจานวน 7 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ 0.85 สาหรบั แบบ วดั ปรบั ปรุงใหม่ของ สุพชิ ชา วงศ์จนั ทร์และคณะ (2557) วดั พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเอง ของผู้ท่มี ภี าวะอ้วนในเขตกรุงเทพมหานคร มจี านวน 28 ข้อ มคี ่าความเช่อื มนั่ เท่ากบั 0.88 ลกั ษณะแบบสอบถามเป็นแบบประเมนิ ค่า 6 ระดบั ตงั้ แต่ “จรงิ ทส่ี ุด” จนถงึ “ไมจ่ รงิ เลย” งานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกบั การดแู ลตนเอง ผลวิจยั ของ McCormack (2003) ทาการตรวจสอบแนวคิดการดูแลตนเองท่ียังไม่ ครอบคลุมนโยบายเพ่อื การปฏิรูปการดูแลสุขภาพของชาวแคนนาดา โดยบทบาทพยาบาล จะต้องเข้าสู่ระบบการดูแลสุขภาพเชงิ รุกด้วยการสนับสนุนประชาชนดูแลตนเองได้ บุคคล สามารถเลอื กพฤตกิ รรมการดูแลตนเองเพ่อื ป้องกนั การเจบ็ ป่วยและสง่ เสรมิ สุขภาพตนเอง และ นโยบายความเท่าเทยี มในระบบการดูแลทางการแพทย์ถือเป็นการดูแลตนเองท่ถี ูกต้องตาม กฎหมาย ส่วนการศกึ ษาของ ออนิ ทรกาแหงและคณะ (2553) ท่ศี กึ ษาผลการจดั การโครงการ ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมเส่ยี งของหน่วยงานในกรุงเทพมหานคร ในกลุ่มเส่ยี งโรคเมตาบอลิก 5,278 พบว่า ผลการประเมนิ ประสทิ ธภิ าพโครงการ ทงั้ ในดา้ นบรบิ ทของโครงการ ปัจจยั นาเขา้ กระบวนการและผลลพั ธ์อยู่ในระดบั ดีมาก ตามความคิดเห็นท่สี อดคล้องกนั ในกลุ่มหวั หน้า โครงการ ผบู้ งั คบั บญั ชาของหวั หน้าโครงการและกลุ่มผรู้ บั บรกิ าร และเม่อื พจิ ารณาผลลพั ธต์ าม ตวั ช้วี ดั พบว่า กลุ่มเสย่ี งผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการภายหลงั ส้นิ สุดโครงการ มกี ารรบั รู้ความสามารถ ตนเอง การกากบั พฤติกรรมสุขภาพและการดูแลสุขภาพตนเองสูงกว่าก่อนเขา้ ร่วมโครงการ และมนี ้าหนักตัว เส้นรอบเอว ความดนั โลหิตต่ากว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ (P< 0.05) และ Intarakamhang (2012) โครงการติดตามและประเมินผลของโปรแกรมการปรับเปล่ียน พฤตกิ รรมสขุ ภาพตามหลกั PROMISE Model ทเ่ี น้นผรู้ บั บรกิ ารเป็นศูนยก์ ลาง และประเมนิ ผล โปรแกรมดว้ ย CIPP Model ในกลุม่ ผรู้ ว่ มวจิ ยั ประกอบดว้ ย ผบู้ งั คบั บญั ชาของหวั หน้าโครงการ 30 คน หวั หน้าโครงการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพ 120 คน กล่มุ ตวั อยา่ งผเู้ ขา้ รว่ มโปรแกรม ปรบั พฤติกรรมรวม 4,649 คน จาก 17 โรงพยาบาลรวม 30 โครงการ ผลการศึกษาพบว่า ผเู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมปรบั พฤตกิ รรมมพี ฤตกิ รรมสุขภาพ 3-Self สงู กวา่ ก่อนเขา้ โครงการ และมคี ่า ดชั นีมวลกาย ค่าความดนั โลหติ และเส้นรอบเอว ลดลงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ (P< 0.05) และสุพชิ ชา วงศ์จนั ทร์และคณะ (2555) ทาการศกึ ษาปัจจยั ของลกั ษณะทางจติ และลกั ษณะ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

129 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สถานการณ์ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมสุขภาพของบุคลากรกรมอนามยั 220 คน พบว่า 1) ปัจจยั ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมการดูแลดา้ นอาหาร ออกกาลงั กายและอารมณ์คอื การสนับสนุนจาก ครอบครวั การสนับสนุนจากเพ่ือน แรงจูงใจภายใน เจตคตทิ ด่ี ตี ่อพฤตกิ รรมสุขภาพ และการ ควบคุมตนเอง ดว้ ยน้าหนกั อทิ ธพิ ลเท่ากบั 0.21, 0.20, 0.16, 0.15 0.10 ตามลาดบั ส่วน จติ รา ดษุ ฎเี มธา (2558) ไดศ้ กึ ษาและพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self ของตารวจจราจรกลุ่มเสย่ี งโรค ไม่ติดต่อเร้อื รงั จานวน 350 คนด้วยการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชงิ ยนื ยนั พบว่า พฤติกรรม สุขภาพ 3-Self วดั จาก การรบั รูค้ วามสามารถของตน การกากบั ตนเองและการดูแลสุขภาพ ดว้ ยน้าหนกั องคป์ ระกอบเท่ากบั 0.95, 0.87 และ 0.59 ตามลาดบั และดาเนินการพฒั นาตารวจ จราจรกลุ่มเสย่ี งทม่ี ภี าวะอว้ นจานวน 30 คน ดว้ ยโปรแกรมการหวั เราะหบ์ าบดั ร่วมกบั กจิ กรรม การพฒั นาสุขภาพแบบ PROMISE Model พบว่า ตารวจจราจรทเ่ี ขา้ รว่ มโปรแกรมมพี ฤตกิ รรม สุขภาพ 3-Self สูงกว่าก่อนเขา้ โปรแกรม (P< 0.05) และ มคี ่า BMI ค่าระดบั ความดนั โลหติ บน ลดลง (P< 0.05) สรุปได้ว่า การดูแลสุขภาพตนเอง มคี วามสาคญั อย่างยง่ิ ท่จี ะช่วยส่งเสรมิ และป้องกนั การเกดิ โรคจากพฤตกิ รรมต่างๆ ทจ่ี ะคุกคามประชาชนทงั้ ทางร่างกายและจติ ใจ การใหบ้ รกิ าร ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในกลุ่มเสย่ี งจงึ เป็นอกี แนวทางหน่ึงทล่ี ดปัญหาสาธารณสุข เพราะสุขภาพ เป็นเร่อื งของประชาชนทุกคนทค่ี วรใส่ใจและดูแลสุขภาพตนเองอย่างต่อเน่ือง แต่ทงั้ น้ีในการ ดาเนินโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ ซง่ึ ผเู้ ขา้ ร่วมโปรแกรมจะมคี ุณลกั ษณะและ ประสบการณ์ในอดดตี และการเรยี นรทู้ ค่ี วามหลากหลายจงึ มคี วามพรอ้ มท่จี ะเปลย่ี นพฤตกิ รรม อยใู่ นระดบั ทไ่ี มเ่ ท่ากนั ดงั นนั้ ทฤษฎี Stages of change จงึ มคี วามสาคญั ทเ่ี หมาะสมจะนามา ประยุกต์ใชใ้ นการออกแบบกจิ กรรมใหเ้ หมาะสมกบั สภาพปัญหาและความตอ้ งการของผรู้ บั การ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมควบค่กู บั แนวคดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม (Behavioral modification) โมเดลทรานสท์ ิโอเรทิคอล (TransTheoretical Model: TTM) ทฤษฎีการปรับเปล่ียนพฤติกรรมท่ีเรียกว่า Transtheoretical Model (TTM) of International Behavior Change ซ่ึงเป็ นสาขาทางจิตวิทยาสุขภาพ (Health psychology) (Horwath, 1999) ท่อี ธบิ ายหรอื ทานายความสาเร็จและความล้มเหลวในการเปล่ียนแปลง พฤตกิ รรมสุขภาพ ทฤษฎนี ้ถี ูกพฒั นาในงานวจิ ยั อย่างต่อเน่อื งมารว่ ม 20 ปีและไดร้ บั ความนิยม มาก เพ่อื ชว่ ยใหบ้ คุ คลมกี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมอยา่ งต่อเน่อื งและบรรลเุ ป้าหมายการควบคุม แมบ้ ุคคลนนั้ ยงั ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะเปล่ยี นกต็ าม ทฤษฎนี ้ีสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ทงั้ พฤตกิ รรมท่ี เรยี บง่ายและซบั ซ้อน เช่น การเลกิ บุหร่ี การลดน้าหนัก การออกกาลงั กาย การตรวจเต้านม การใชถ้ ุงยาง เป็นตน้ (Prochaska et al., 1994) TTM เป็นทฤษฎที ก่ี ลา่ วถงึ ความพรอ้ มในการ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

130 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมของบคุ คลตามรปู แบบทรานสท์ โิ อเรทคิ อล ทป่ี ระกอบดว้ ย 1) ขนั้ ตอนการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม (Stages of change) (Precontemplation, contemplation, preparation, action, maintenance) 2) กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Processes of change) (Prochaska & DiClemente, 1983) 3) การเปรยี บเทยี บผลดแี ละผลเสยี ของพฤตกิ รรมเพ่อื การ ตดั สนิ ใจ (Decision balance) (Prochaska et al., 1994) 4) ความมนั่ ใจในความสามารถของ ตวั เอง (Self-efficacy) และ 5) มคี วามเคยชนิ /สง่ิ ลอ่ ใจ (Habit strength / temptation) (Horwath, 1999; Kelly, 2008) ขนั้ ตอนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม (Stages of change theory) ตามท่ี Prochaska & DiClemente (1983) นักปรบั พฤติกรรมได้เสนอกรอบในการ วางแผนการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพเพ่อื ลดเสย่ี งเช่น การสบู บุหร่ี การเกดิ โรคในกลุ่มเม ตาบอลคิ เป็นต้น โดยเรม่ิ ตงั้ แต่การประเมนิ ระดบั ความเส่ยี งทางพฤตกิ รรม วางแผนการจดั กจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพความเสย่ี งนนั้ เป็นรายบุคคลตามวถิ ชี วี ติ หรอื บรบิ ททางจติ สงั คม พน้ื ฐานของบุคคลกลุ่มเสย่ี งนนั้ ทม่ี าเขา้ รว่ มโครงการหรอื ทาการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเสย่ี งดว้ ย ตนเองไดด้ ขี น้ึ กว่าการใชก้ ารจดั กจิ กรรมเป็นแบบกลุ่มทท่ี ุกคนไดร้ บั เหมอื นกนั หมด ซง่ึ เป็นไป ตามหลกั แห่งการปรบั เปล่ียนพฤติกรรม ตามท่นี ักจติ วทิ ยา Bandura ท่ีแนวคดิ ทฤษฎีทาง ปัญญาสงั คมซ่งึ ไดร้ บั ความนิยมและไดพ้ ฒั นาเทคนิคการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมต่างๆ ไวม้ าก และยงั ไดน้ าหลกั การเปลย่ี นแปลงทางสรรี ะเขา้ มาใชใ้ นการพฒั นารว่ มดว้ ยโดยการป้อนกลบั ทาง ชวี ภาพ (Bio feedback) ทเ่ี น้นถงึ การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมของบุคคลให้สาเรจ็ ต้องคานึงถงึ ลกั ษณะวธิ กี ารทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 1) เน้นท่กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเฉพาะเจาะจงในกลุ่มเสย่ี งหรอื ท่พี บว่ามปี ัญหา 2) เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของบุคคลโดยผ่านการจดั กจิ กรรมเพ่อื ให้เกดิ การ เรยี นรู้ จากการไดฟ้ ัง ไดด้ ูและไดล้ งมอื กระทาและไดค้ ดิ ถงึ ผลลพั ธข์ องการกระทานนั้ 3) ตอ้ งมี การกาหนดพฤตกิ รรมเป้าหมายทช่ี ดั เจนทงั้ เป้าหมายระยะสนั้ และเป้าหมายระยะยาว 4) ต้อง คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสาคญั ดงั นัน้ กจิ กรรมเพ่อื ลดเสย่ี งต่อโรคควรมคี วาม แตกต่างกนั ในแต่ละคนแต่ละกลุ่ม 5) การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมแนวน้ีจะเน้นท่เี หตุการณ์ท่ี เกดิ ขน้ึ ในปัจจุบนั หรอื เฉพาะทเ่ี ป็นปัญหาในปัจจุบนั เท่านัน้ เช่น ในอดตี อาจจะเป็นนักกีฬามี ความแขง็ แรง แต่ปัจจุบนั อาจจะมภี าวะอ้วน 6) เน้นความเป็นมนุษย์ของบุคคล โดยไม่มกี าร บงั คบั ใดๆ ทงั้ ส้นิ ดงั นัน้ หากรวู้ ่าบุคคลนัน้ มขี นั้ การเปล่ยี นแปลงอย่รู ะดบั ใด จงึ จาเป็นต้องใช้ เทคนคิ ทต่ี ่างกนั เชน่ การสรา้ งแรงจงู ใจเพอ่ื ใหเ้ กดิ การสมคั รใจเขา้ รบั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม เป็นตน้ 7) เทคนคิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ไดร้ บั การพสิ จู น์แลว้ ว่าเป็นเทคนคิ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ แต่การนาไปใชจ้ าเป็นต้องคานึงถงึ ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ตลอดจนเกณฑก์ ารใชเ้ ทคนิคเหล่านัน้ ให้ รอบคอบ 8) การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมจะเน้นการใชว้ ธิ กี ารทางบวกมากกว่าวธิ กี ารลงโทษ เน้น องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

131 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สนับสนุนอย่างสรา้ งสรรค์ มใิ ช่การตตี ราในขอ้ ดอ้ ยของผรู้ บั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมและ 9) วธิ กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสามารถใชไ้ ดต้ ามลกั ษณะปัญหาของแต่ละบคุ คล ในระยะเริ่มต้น Prochaska & DiClemente (1983) ได้ศึกษาโดยใช้ขัน้ ตอนการ เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมในกลุ่มผูป้ ่ วยตดิ บุหร่ี และไดม้ กี ารประยุกต์ทฤษฎดี งั กล่าวเพ่อื การให้ คาปรกึ ษาแนะแนวเพ่อื การเลกิ บุหร่ีท่ไี ดผ้ ลสาเรจ็ เป็นอย่างดี ต่อมาไดม้ นี ักวจิ ยั จานวนมากได้ นาทฤษฎี Stage of change ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั พฤตกิ รรมทม่ี ปี ัญหาอ่นื ๆ เช่น การตดิ แอลกอฮอล์ การตดิ ยาเสพตดิ เป็นต้น หรอื แมแ้ ต่การส่งเสรมิ ใหม้ พี ฤตกิ รรมสขุ ภาพ เช่น การออกกาลงั กาย การฝึกสติ การบรโิ ภคอาหารเพ่อื สุขภาพ การรบั ประทานผกั ผลไม้ การจดั การน้าหนกั ตวั การ ควบคุมน้าตาลในเลอื ด การลดความดนั โลหิต เป็นต้น (Horneffer-Ginter, 2008: 352) และ พฒั นาขนั้ ตอนการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม แบ่งเป็น 6 ขนั้ (Prochaska & DiClemente, 1983; Sherman, 2005; ดารนี สบื จากดี, 2551; พิชยั แสงชาญชยั , 2552) ตามทฤษฎีขนั้ ตอนการ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม (Stages of change theory) ของ Prochaska & DiClemente (1983) ดงั น้ี 1. ขนั้ ไม่พร้อมเปลี่ยนแปลง (Pre-contemplation) เป็นขนั้ ปฏเิ สธ บุคคลไม่เหน็ ความจาเป็นหรอื ความสาคญั ของปัญหา จงึ ยงั ไม่ตงั้ ใจทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงตนเอง ไม่รบั รู้ ไมใ่ ส่ใจ ต่อพฤติกรรมท่เี ป็นปัญหาของตน อาจเป็นเพราะไม่ได้รบั รู้ข้อมูลข่าวสารถึงผลกระทบของ พฤตกิ รรมนนั้ หรอื มปี ระสบการณ์เดมิ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งหรอื ลม้ เหลว เช่น บางคนไมร่ ถู้ งึ ความเสย่ี ง มี ความเช่อื ท่ไี ม่ถูกต้อง เคยปรบั พฤติกรรมตนเองหรอื เห็นแบบอย่างจากคนอ่ืนท่ลี ้มเหลวไม่ สาเรจ็ มาก่อน เป็นต้น จงึ มกั มคี าถามว่า “...ก็ฉันชอบสูบบุหร.่ี ..ทาไมต้องเลกิ สูบดว้ ยล่ะ” หรอื อาจเป็นเพราะเบ่อื ท่จี ะเปล่ยี นแปลงตวั เองและคดิ ว่าไม่สามารถเปล่ยี นได้ ผู้ท่อี ยู่ในขนั้ น้ีจงึ มกั จะหลกี เลย่ี งทจ่ี ะอ่าน พดู คยุ รบั รขู้ า่ วสาร บางทฤษฎอี าจจะมองการแสดงออกในลกั ษณะน้ีว่า เป็นการต่อตา้ นหรอื ขาดแรงจงู ใจหรอื ไมม่ คี วามพรอ้ ม สาหรบั Stage of change จะถอื ว่าเป็นโอกาสทน่ี กั ปรบั พฤตกิ รรมจะหาวธิ กี ารต่างๆ มา ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั ความต้องการของแต่ละบุคคล ในขนั้ น้ีบุคคลจาเป็นต้องได้รบั ขอ้ มูลสะท้อน กลบั ได้รบั ความรู้ความเข้าใจโดยเน้นสง่ิ ท่เี ป็นข้อเท็จจรงิ ช้ใี ห้เห็นข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์หรอื สถานการณ์ท่เี ป็นจรงิ ทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อตนอง ครอบครวั และสงั คมอย่างเป็นเหตุเป็นผลเป็น กลาง ไม่ชน้ี าหรอื ข่ใู หก้ ลวั ล้วนเป็นกระบวนการจงู ใจให้เหน็ ความสาคญั มาสู่การสรา้ งสญั ญา รว่ มกนั ทจ่ี ะดาเนินวถิ ชี วี ติ ใหมท่ เ่ี ป็นประโยชน์ต่อสุขภาพตนเองต่อไป 2. ขนั้ ลงั เลใจ (Contemplation) เป็นขนั้ ท่บี ุคคลยงั ไม่แน่ใจว่าถ้าเข้ามาเปล่ยี นแปลง ตนเองแลว้ จะต้องลาบากหรอื ต้องเสยี เงนิ ใชจ้ ่ายอะไรมากขน้ึ และยงั ไมแ่ น่ว่าจะสาเรจ็ ในอนาตค ขา้ งหน้า แต่มคี วามตงั้ ใจว่าจะเรมิ่ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมในระยะเวลาอนั ใกลน้ ้ี ซง่ึ ตอ้ งขอเวลา คน้ หาขอ้ มลู เพ่อื สรา้ งความตระหนกั ถึงขอ้ ดขี องการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมแต่กย็ งั คงกงั วลกบั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

132 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขอ้ เสยี เช่นกนั อยู่ระหว่างชงั่ น้าหนักระหว่างการลงทุนกับผลท่จี ะได้เม่อื มกี ารเปล่ยี นแปลง พฤตกิ รรม จงึ เกดิ ความลงั เลใจจนทาใหบ้ ุคคลต้องตดิ อย่ใู นขนั้ น้ีเป็นเวลานาน เหมอื นกบั การ ผดั วนั ประกนั พรงุ่ (Behavioral procrastination) จงึ ยงั ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงในทนั ที ในขัน้ น้ีควรมีการสนทนาถึงข้อดีข้อเสียของพฤติกรรมเก่าและใหม่ ให้ข้อมูล ประกอบการตดั สนิ ใจเพมิ่ ถา้ ไมเ่ ปลย่ี นพฤตกิ รรมเสย่ี งจะเกดิ ผลดผี ลเสยี อะไร และถา้ เปลย่ี นจะ เกดิ ผลอย่างไรบา้ ง และเปิดโอกาสให้ได้ไตร่ตรองและตดั สนิ ใจจงึ ต้องมกี ารใหข้ อ้ มลู ทถ่ี ูกต้อง โดยผ่านการถ่ายทอดจากบุคคลอ้างอิงซ่ึงอาจเป็นเพ่ือน หรอื ครอบครวั หรือจดั ให้ชมส่ือ ภาพยนตรท์ เ่ี ป็นแรงบนั ดาลใจ มตี วั แบบให้อยากจะทาพฤตกิ รรมใหม่ตาม พรอ้ มใหม้ องภาพ เป้าหมายความสาเรจ็ ตามความตอ้ งการใหพ้ อดกี บั วถิ ชี วี ติ ของผรู้ บั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ผู้ ทอ่ี ยใู่ นขนั้ น้คี วรไดม้ ที างเลอื กและไดต้ ดั สนิ ใจเลอื กเอง 3. ขนั้ ตดั สินใจเตรยี มตวั (Preparation) เป็นขนั้ ทบ่ี ุคคลมคี วามพรอ้ มและตดั สนิ ใจแน่ว แน่จงึ ตงั้ ใจลงมอื ปฏบิ ตั ใิ นการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมโดยเรว็ ภายในเดอื นถดั ไปและตลอดไป เมอ่ื ตดั สนิ ใจแลว้ ว่าจะเปลย่ี นพฤตกิ รรมใดของตน เช่น เลกิ บหุ ร่ี ลดน้าหนกั หรอื ออกกาลงั กาย บางคนเริ่มวางแผนว่าจะต้องทาอะไรบ้าง อาจเข้าร่วมฟังการบรรยายเร่ืองสุขภาพ ขอ คาปรกึ ษา สนทนากบั แพทย์ ค้นคว้าข้อมูลหรอื ซ้อื หนังสอื เพ่อื สุขภาพ กาหนดวนั ท่จี ะเริม่ เปลย่ี นพฤตกิ รรม เป็นตน้ พรอ้ มยอมรบั ว่าจะตอ้ งใชเ้ วลาปฏบิ ตั พิ อควรถงึ จะสาเรจ็ โดยตงั้ ใจไว้ ว่าจะไมล่ ม้ เลกิ โดยงา่ ย กลยุทธใ์ นขนั้ น้ี ต้องมกี ารวางแผนลงสมดุ บนั ทกึ มกี ารตงั้ หมายใหช้ ดั เจนและเป็นจรงิ ท่ี จะทาสาเรจ็ ได้ พรอ้ มตงั้ เป้าหมายระยะสนั้ เช่น “ฉันต้องการออกกาลงั กาย 3 ครงั้ ต่อสปั ดาห์” “ฉันตอ้ งการเดนิ ใหไ้ ดอ้ ยา่ งน้อย 1 วนั ในสปั ดาหน์ ้ี” การวางแผนจะตอ้ งมาจากเหตุผลและความ เป็นจรงิ ในชวี ติ ของตนเอง และเม่อื ทาสาเรจ็ ตามเป้าหมายแลว้ ค่อยขยบั เป้าหมายใหท้ า้ ทายขน้ึ เป็นต้น ในระหว่างน้ีมกี ารสนทนาเพ่อื ให้คดิ ว่าจะเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมเส่ยี งนัน้ ได้อย่างไร ดงั นนั้ นกั ปรบั พฤตกิ รรมตอ้ งสนบั สนุนใหเ้ ขามศี กั ยภาพเพม่ิ ทจ่ี ะกระทาพฤตกิ รรมได้ เช่น ให้ คาปรกึ ษาด้านโภชนาการก่อนท่จี ะพยายามลดน้าหนัก ร่วมค้นหาข้อมูล แหล่งทรพั ยากรท่ี จาเป็นเพ่อื นาไปส่คู วามสาเสรจ็ ของการเปลย่ี นพฤตกิ รรม เป็นตน้ 4. ขนั้ ลงมือปฏิบตั ิ (Action) เป็นขนั้ ทบ่ี ุคคลลงมอื กระทาพฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงค์ โดย ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมตามท่ตี งั้ เป้าหมายไว้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 - 6 เดอื น โดยสงั เกตจาก การกระทาทป่ี รากฏใหเ้ หน็ สาหรบั Stage of change แลว้ การลงมอื ปฏบิ ตั ิ เป็นเพยี ง 1 ใน 6 ของขนั้ ตอนการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมเท่านัน้ ฉะนนั้ พฤตกิ รรมท่เี ปลย่ี นไป อาจไมน่ บั ว่าเป็น ขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั ไิ ดท้ งั้ หมด เพราะพฤตกิ รรมของบุคคลนนั้ ตอ้ งบรรลุตามขอ้ กาหนดทผ่ี เู้ ชย่ี วชาญ หรอื บุคลกรทางการแพทยเ์ หน็ ดว้ ยว่าเพยี งพอทจ่ี ะลดพฤตกิ รรมเสย่ี งได้ เชน่ การสบู บหุ ร่ี โดย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

133 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- การลดจานวนบุหร่ที ่สี ูบหรอื เปล่ยี นมาสูบบุหร่ที ่มี ที าร์และนิโคตินต่า ไม่ถือว่าเป็นขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั เิ พราะความสาเรจ็ ทด่ี ตี ่อสุขภาพในทางการแพทยค์ อื การหยดุ สบู บุหรเ่ี ท่านนั้ ทถ่ี อื ว่าเป็น ขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ส่วนการควบคุมน้าหนกั ใหไ้ ดน้ นั้ คอื ต้องไดร้ บั แคลอรจ่ี ากไขมนั น้อยกว่า 30% ต่อวนั เป็นตน้ นอกจากน้ี การกระทาพฤติกรรมใหม่น้ี จะต้องมีการเฝ้าระวังการกลับไปกระทา พฤตกิ รรมเดมิ ซ้า(Relapse) ถอื เป็นเร่อื งสาคญั ในขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั นิ ้ีดว้ ย เพราะหลายคนมกั จะ ปรบั เป้าหมายใหล้ ดลง ไม่สามารถควบคุมใหก้ ระทาพฤตกิ รรมไดต้ ่อเน่ือง ผทู้ อ่ี ยใู่ นขนั้ น้ีจงึ ควร ไดร้ บั การสง่ เสรมิ ใหล้ งมอื กระทาตามวธิ กี ารทเ่ี ขาเลอื กอย่างต่อเน่อื ง โดยช่วยหาทางขจดั ปัญหา อุปสรรค และใหก้ าลงั ใจแก่เขา พรอ้ มรว่ มวเิ คราะหส์ าเหตุ เชน่ บางคนกนิ มากช่วงทเ่ี ครยี ดทงั้ ท่ี ความเครยี ดเป็นช่วงสนั้ ๆ แต่กท็ าใหม้ นี ิสยั การกนิ เปลย่ี นไปได้ ดงั นนั้ อาจเสนอกจิ กรรรมคลาย เครยี ด เช่น โยคะ หายใจลกึ ๆ ยาวๆ ออกกาลงั กาย คุยกบั เพ่อื น มเี พ่อื นร่วมทากจิ กรรมพรอ้ ม แลกเปล่ยี นประสบการณ์ เป็นต้น และต้องมกี ารปรับแผนการปฏิบตั หิ ากไม่สามารถกระทา พฤตกิ รรมไดต้ ่อเน่อื ง ซง่ึ ในขนั้ น้ตี อ้ งกระทาพฤตกิ รรมใหมน่ ้ใี หไ้ ดต้ ่อเน่อื ง 3 - 6 เดอื น เพ่อื ทจ่ี ะ นาไปส่กู ารกระทาจนเป็นนิสยั 5. ขนั้ กระทาต่อเนื่อง (Maintenance) เป็นขนั้ ท่บี ุคคลกระทาพฤติกรรมใหม่อย่าง ต่อเน่ืองนานเกนิ กว่า 6 เดอื น โดยทย่ี งั คงทากจิ กรรมทเ่ี ป็นการป้องกนั การกลบั ไปส่พู ฤตกิ รรม เดมิ ของตนต่อไป แมจ้ ะไมเ่ ขม้ ขน้ เท่ากบั ในขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั กิ ต็ ามในขนั้ น้ตี วั กระตุน้ เรา้ ต่างๆ จะ ลดอทิ ธพิ ลลง และมคี วามเช่อื มนั่ ว่าตนสามารถเปลย่ี นแปลงไดต้ ่อไปเพมิ่ ขน้ึ ระยะน้ีถอื ว่าเป็น การสรา้ งความมนั่ คงของพฤตกิ รรม จนกลายเป็นนสิ ยั ใหม่ โดยทบ่ี คุ คลจะตอ้ งทาพฤตกิ รรมใหม่ ทพ่ี งึ ประสงค์น้ีสม่าเสมอ เหมอื นกบั ว่ามนั เป็นส่วนหน่ึงของชวี ติ ประจาวนั โดยไม่จาเป็นต้อง เตรยี มตวั ลว่ งหน้าอกี บุคคลท่อี ย่ใู นขนั้ น้ีควรมกี ารป้องกนั การกลบั ไปส่พู ฤตกิ รรมเดมิ โดยการดาเนินชวี ติ ท่ี สมดุลอย่างมคี ุณค่า มกี ารจดั การกับชวี ติ ประจาวนั ได้ดี บรหิ ารเวลาอย่างเหมาะสม ดูแล สุขภาพตนเอง และอ่นื ๆ อาจมคี าถามว่า “...นานเท่าใดสงิ่ ทก่ี ระทาจะกลายเป็นนิสยั ใหม่ได้?” กข็ น้ึ กบั วา่ การกระทานนั้ เป็นพฤตกิ รรมเก่ยี วกบั อะไร ถา้ หากพฤตกิ รรมใหมเ่ ป็นการฝึกใชป้ ระตู เปิด-ปิดอตั โนมตั ิ ก็น่าทจ่ี ะกลายเป็นนิสยั ใหม่ไดใ้ น 2 - 3 วนั ถ้าพฤตกิ รรมใหม่นัน้ เป็นการใช้ ไหมขดั ฟันทุกวนั ก็อาจต้องใช้เวลา 6 - 8 สปั ดาห์ท่ีจะทาให้กลายเป็นนิสยั ได้ และถ้าหาก พฤตกิ รรมใหมค่ อื การเอาชนะภาวะเสพตดิ ใหไ้ ด้ เช่น การเลกิ สูบบุหร่ี กต็ ้องใชเ้ วลาเป็นปี ถงึ จะสามารถเลกิ สบู บหุ รไ่ี ดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด 6. การกลบั ไปมีปัญหาซ้า (Relapse) คือการท่ีบุคคลนัน้ ถอยกลับไปมพี ฤติกรรม แบบเดมิ ก่อนทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงอกี โดยทบ่ี ุคคลจะนาพาตนเองไปส่สู ถานการณ์เสย่ี ง การปล่อย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

134 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ใหต้ นเองมภี าวะอารมณ์จติ ใจทเ่ี ปราะบาง ไม่สามารถจดั การกับความอยากได้ ประมาทเลนิ เลอ่ จนพลงั้ พลาดกลบั ไปมพี ฤตกิ รรมเดมิ บา้ งหรอื กลบั ไปมปี ัญหาซ้าหรอื ไปสู่พฤตกิ รรมเดมิ อย่าง เต็มตัว หากบุคคลมกี ารกลบั ไปไปสู่พฤติกรรมเดิมควรจะต้องดึงเขากลบั เข้าสู่เส้นทางการ เปล่ียนพฤติกรรมให้เร็วท่ีสุด มีการให้กาลังใจ ให้การเสริมแรง มองส่ิงท่ีเกิดข้ึนอย่าง ตรงไปตรงมา มกี ารสรปุ บทเรยี นเพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ซ้าและมงุ่ มนั่ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมต่อไป โดยปกติ คนทวั่ ไปไม่สามารถเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมใหอ้ ย่ใู นระดบั Maintenance ได้ สาเรจ็ ตงั้ แต่ครงั้ แรกทเ่ี รม่ิ ลงมอื เปล่ยี นแปลงพฤติกรรม เช่น การเลกิ สูบบุหรม่ี กั จะต้องอาศยั ความพยายามมากกว่า 3 - 4 ครงั้ ข้นึ ไปกว่าจะสามารถเลกิ บุหรไ่ี ด้เดด็ ขาดนานกว่า 6 เดอื น การกลบั มาของพฤตกิ รรมเดมิ หรอื การเล่อื นระดบั ต่าลงนนั้ มกั เกดิ ขน้ึ ไดบ้ ่อย การเปลย่ี นแปลง พฤติกรรมโดยเพิ่มระดบั สูงข้นึ เร่อื ยๆ นัน้ อาจเกิดข้นึ ได้แต่พบน้อยมาก การเปล่ยี นแป ลง พฤติกรรมส่วนมากมกั เป็นแบบรูปเกลียว (Spiral model) คอื มกี ารถอยหลงั ของ Stage of change ในบางครงั้ ก่อนจะเล่อื นระดบั ขนั้ ขน้ึ สงู และถอยกลบั อกี ครงั้ บางครงั้ การถอยกลบั น้ีอาจ ทาใหผ้ ู้รบั การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมเกิดความอายหรอื ความทุกขจ์ ากความล้มเหลวท่เี กดิ ข้นึ จนอาจหมดกาลงั ใจและต่อต้านการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม ในบางกรณีอาจถอยกลบั ไปอย่ใู น ระดบั ไมส่ นใจปัญหา และจะอย่ใู นระดบั นนั้ เป็นเวลานานกว่าปกติ แต่พบว่าส่วนมากรอ้ ยละ 85 มกั ไมม่ กี ารถอยกลบั ไปอยใู่ นระดบั ขนั้ ไมส่ นใจปัญหา และสว่ นใหญ่ของการถอยกลบั มกั ทาใหผ้ ู้ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมไดข้ อ้ คดิ ในการวางแผนเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมใหป้ ระสบความสาเรจ็ ใน ครงั้ ต่อไป แมว้ ่าทฤษฎขี นั้ ตอนการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม จะมหี ลายระดบั แต่ประเดน็ สาคญั ของทฤษฎีน้ีอยู่ท่ีการจัดโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับระดับขัน้ การ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของแต่ละบคุ คล (Horneffer-Ginter, 2008) อยา่ งไรกต็ าม มขี อ้ เสนอแนะ ว่าความสาคญั ของทฤษฎนี ้ีไม่ไดอ้ ยทู่ ร่ี ปู แบบการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสมกบั บุคคลใน แต่ละระดบั ขนั้ แต่อยทู่ ก่ี ารนาเสนอกลยทุ ธห์ รอื วธิ กี ารทวั่ ๆ ไปทค่ี วรใชเ้ มอ่ื ใหค้ าปรกึ ษากบั ผูร้ บั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม งานวิจยั ที่ประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎีขนั้ ตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มงี านวจิ ยั ทางด้านสุขภาพหลายเร่อื งท่ีประยุกต์ใช้ทฤษฎีขนั้ ตอนการเปล่ยี นแปลง พฤตกิ รรม ซง่ึ ในภาพรวมพบว่าทฤษฎนี ้ถี ูกนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมหลาย ประเภท เช่น พฤติกรรมการเลกิ สูบบุหร่ี พฤติกรรมการเลกิ เสพโคเคน พฤติกรรมการลด น้าหนัก พฤตกิ รรมการลดอาหารไขมนั พฤตกิ รรมทางเพศทถ่ี ูกตอ้ ง พฤตกิ รรมการใช้ครมี กนั แดด พฤตกิ รรมการออกกาลงั กาย พฤตกิ รรมการตรวจเตา้ นม พฤตกิ รรมความรว่ มมอื ในการใช้ ยา และพฤตกิ รรมการพบแพทย์ เป็นตน้ โดยมกี ารศกึ ษาในกลุ่มเป้าหมายและพน้ื ทห่ี ลากหลาย ซงึ ผลการศกึ ษาส่วนใหญ่พบวา่ สนบั สนุนประสทิ ธผิ ลของทฤษฎดี งั กล่าว (Zimmerman, Olsen, องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

135 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- & Bosworth, 2000; Basta, reece, & Wilson, 2008; Woody, DeCristofaro, & Carlton, 2008) ตวั อยา่ งงานวจิ ยั เช่น Fuster-RuizdeApodaca MJ et al. (2017) ไดท้ าการสารวจปัจจยั ในการ กาหนดการเขา้ รบั การตรวจเลอื ดเพ่อื ป้องกนั โรคเอดสต์ ามขนั้ ตอนการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม ของประชากรสเปน จานวน 1,554 คนอายุ 16 ปีขน้ึ ไป กระจายทวั่ ประเทศโดยกาหนด เพศและ อายุเท่าๆ กนั ใช้การสมั ภาษณ์ทางโทรศพั ท์เพ่อื ประเมนิ ความตระหนักต่อ HIV ตามขนั้ ตอน เรมิ่ ตงั้ แต่ ขาดความตระหนกั ไมส่ นใจกระทา การตดั สนิ ใจกระทา การลงมอื ปฎบิ ตั ิ การคงอยู่ พฤตกิ รรมและการกบั ซ้าหรอื ละทง้ิ ผลวจิ ยั พบว่า กลุ่มตวั อย่างทไ่ี ม่เคยเขา้ รบั การตรวจเลอื ด เพ่อื หาเช้ือ HIV พบว่า อยู่ในขนั้ ขาดความตระหนัก และอุปสรรคสาคญั ของการไม่ตรวจคือ ระบบบรกิ ารสุขภาพกบั ความเช่อื ท่ฝี ังลกึ และขน้ึ กบั ระยะของขนั้ ตอนการเปล่ยี นพฤตกิ รรมท่ี ต่างกนั ในแต่ละคน โดยปัจจยั ทางจติ วทิ ยาท่เี ป็นตวั กาหนดคอื การรบั รูค้ วามเส่ยี ง การรบั รู้ ความสามารถของตน การรบั รถู้ งึ ประโยชน์และโทษในการวนิ ิจฉัย เจตคตติ ่อเคร่อื งตรวจและ อารมณ์ความรสู้ กึ ในเชงิ บวกมผี ลต่อการกระทาพฤตกิ รรม ส่วนการรบั รู้ความรุนแรงของโรคมี ความสมั พนั ธก์ บั การตดั สนิ ใจทจ่ี ะไมต่ รวจเลอื ด ดงั นนั้ จงึ สามารใชเ้ ป็นกรอบในการใหค้ าปรกึ ษา และจดั กจิ กรรมใหก้ บั ผบู้ รกิ ารตามระยะของการเปลย่ี นพฤตกิ รรมของแต่ละคน และ เบญจมาส บุณยะวนั และคณะ (2555) ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของการประยกุ ต์ทฤษฏขี นั้ ตอนการเปลย่ี นแปลง พฤตกิ รรมในการเลกิ สบู บุหรขี องเจา้ หน้าทร่ี กั ษาความปลอดภยั โรงพยาบาลศริ ริ าชรวม 60 คน แบง่ เป็นกลุม่ ทดลองและกล่มุ ควบคุม กลุม่ ละ 30 คน โดยกลุ่มทดลองไดร้ บั โปรแกรมการเลกิ สบู บุหร่ดี ้วยการอภปิ รายและการให้คาปรกึ ษา สปั ดาห์ละ 1 ครงั้ เป็นเวลา 4 สปั ดาห์ ส่วนกลุ่ม ควบคุมได้เอกสารคู่มอื ผลการวิจยั พบว่า ภายหลงั การทดลอง ผู้เข้าร่วมในกลุ่มทดลอง มี คะแนนเฉลย่ี ความสมดุลของการตดั สนิ ใจในการเลกิ สบู บุหร่ี การรบั รคู้ วามสามารถของตนใน การเลกิ บหุ รแ่ี ละพฤตกิ รรมการเลกิ สบู บหุ รด่ี ขี น้ึ กวา่ ก่อนทดลองและกลุ่มควบคุม (P< 0.05) เทคนิคการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมตามทฤษฎกี ารปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม ตามขนั้ ตอน การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม (TTM Stage of change) ของ Prochaska & DiClemente (1983); Prochaska, DiClemente, & Norcross (1992) ได้ผสมผสานรูปแบบทางชีวจิตวิทยาสังคม (Biopsychosocial model) ซ่ึงเป็นกระบวนการเปล่ียนเจตนาในการกระทาพฤติกรรม และ พฤตกิ รรมภายในจติ ใจของบุคคลด้วย ดงั นัน้ ปัจจยั ทางชวี จิตวทิ ยาสงั คมจงึ มอี ทิ ธพิ ลต่อการ กระทาพฤตกิ รรม และเทคนิคท่ใี ช้ในการเปลย่ี นพฤตกิ รรมจงึ ใชก้ ระบวนการทางปัญญาไดแ้ ก่ Self-monitoring, Stimulus control, Contingency management, Cognitive restructuring และ Stress management ดงั ตวั อยา่ ง แนวทางปรบั พฤตกิ รรมในผปู้ ่วยเบาหวานดงั ในตาราง 4-2 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

136 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตาราง 4-2 แสดงแนวทางการจดั กจิ กรรมปรบั พฤตกิ รรมตาม Stage of change ขนั้ ตอน ลกั ษณะของบุคคล เทคนิ คปรบั แนวทางการจดั กิจกรรม การเปลี่ยนแปลง ในแต่ละขนั้ ตอน พฤติกรรม 1. Pre-contemplation -ไมร่ มู้ าก่อนวา่ มปี ัญหาสขุ ภาพ Self- • บนั ทกึ พฤตกิ รรม เป้าหมาย ทศั นคติต่อการ และต่อตา้ นกบั ความพยายามท่ี monitoring และปัจจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปรบั เปลีย่ น จะปรบั เปลย่ี น (การตดิ ตาม พฤตกิ รรม ผปู้ ่วยทจ่ี ดบนั ทกึ “Never” -อาจไม่รวู้ ่าการเปลย่ี นแปลงจะมี เฝ้าระวงั ) มกั จะรายงานว่าใหป้ ระโยชน์ ไม่เคยตงั้ ใจทจ่ี ะเปลย่ี น ผลอยา่ งไร ต่อการควบคมุ และการ ในอนาคตใกลๆ้ -ปฏเิ สธไมย่ อมรบั ว่าพฤตกิ รรม ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม (มากกวา่ ทเ่ี ป็นอย่ไู มถ่ ูกตอ้ ง • สอนใหร้ จู้ กั จดบนั ทกึ อาหาร 6 เดอื นขน้ึ ไป) -อาจเคยลม้ เหลวต่อความ การออกกาลงั กาย ระดบั พยายามทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นมากอ่ น น้าตาลในเลอื ดทต่ี รวจดว้ ย และรสู้ กึ หมดกาลงั ใจ ตนเอง -ไมเ่ หน็ วา่ การเปลย่ี นจะให้ • เขม้ งวดกบั ปัจจยั ประโยชน์อย่างไร สงิ่ แวดลอ้ มทจ่ี ะนาไปสู่ -มองว่าการปรบั เปลย่ี นทาใหเ้ สยี พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม เช่น คา่ ใชจ้ า่ ยหรอื เสยี เวลาในการ การไปงานเลย้ี งทม่ี อี าหาร ทางานหรอื การทาธรุ กจิ มากมายหลายชนิดและไม่ 2.Contemplation -รวู้ ่าเปลย่ี นแลว้ จะดี กาลงั Stimulus จากดั หรอื การไปชอบป้ิงทม่ี ี ทศั นคติต่อการ ตดั สนิ ใจ control อาหารขายมากมาย ปรบั เปลีย่ น -อาจจะยงั ขาดความเชอ่ื มนั่ (การควบคุม • เน้นการกนิ ใหเ้ ป็นเวลา “might”เรมิ่ มคี วามคดิ -กาลงั หาขอ้ มลู และผชู้ ว่ ยในการ สง่ิ ยวั่ ยุ) • จดั เวลาและสถานทใ่ี นการ ทจ่ี ะเปลย่ี น เปลย่ี น ออกกาลงั กาย • เน้นใหเ้ ลย่ี งซอ้ื อาหารชนดิ ทจ่ี ะทาใหค้ วบคมุ การกนิ ยาก ขน้ึ เชน่ ขนมขบเคย้ี ว หรอื เลย่ี งการตุนอาหารทล่ี ดราคา 3. Preparation“Soon” -เรมิ่ ปรบั เปลย่ี นทลี ะน้อยไปบา้ ง Contingency • สอนใหร้ จู้ กั การใหร้ างวลั กบั ทศั นคติต่อการ แลว้ management ตวั เองเพ่อื สามารถปรบั เปลย่ี น ปรบั เปลยี่ น -มองเหน็ ประโยชนใ์ นการ (การจดั การ พฤตกิ รรมไดด้ ี แต่รางวลั นนั้ วางแผนทจ่ี ะเปลย่ี น เปลย่ี น กบั ความไม่ ไม่ควรเป็นอาหาร พฤตกิ รรมใหไ้ ดต้ าม -เตรยี มพรอ้ มทจ่ี ะเดนิ สู่ แน่นอน) • ทาสญั ญาหรอื ขอ้ ตกลงกบั เป้าหมายในอนาคตอนั เป้าหมาย Cognitive ตวั เองในระยะสนั้ โดยเน้น ใกล้ (30 วนั ขา้ งหน้า) -มคี วามมนั่ ใจว่าจะเปลย่ี นได้ restructuring พฤตกิ รรมทจ่ี ะนาไปสกู่ ารมี 4. Action กาลงั ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมอยา่ ง สขุ ภาพดี ทศั นคติต่อการ เหน็ ไดช้ ดั • สอนใหผ้ ปู้ ่วยรจู้ กั เปลย่ี น ปรบั เปล่ยี น ความคดิ จากการต่อตา้ นการ ปรบั เปลย่ี นมาเป็นการยอมรบั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

137 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขนั้ ตอน ลกั ษณะของบคุ คล เทคนิ คปรบั แนวทางการจดั กิจกรรม การเปล่ียนแปลง ในแต่ละขนั้ ตอน พฤติกรรม “Now”ปรบั เปลย่ี น พฤตกิ รรมใหม่ๆ ทท่ี า ยงั ไม่ (การเปลย่ี น • เปลย่ี นความคดิ จาก พฤตกิ รรมไดต้ ามทต่ี งั้ ใจ สม่าเสมอ ความคดิ ) เป้าหมายทเ่ี ป็นความฝันมา ภายใน 6 เดอื นทผ่ี า่ นมา มสี ง่ิ ยวั่ ยวนทจ่ี ะชกั นาใหก้ ลบั ไปสพู่ ฤตกิ รรมเดมิ ๆ กอ่ นหน้าน้ี เป็นเป้าหมายทเ่ี ป็นไปไดแ้ ละ สามารถทาได้ มคี วามเสย่ี งสงู ในการทจ่ี ะกลบั ไปสพู่ ฤตกิ รรมก่อนหน้าน้ี 5. Maintenance -พยายามอย่างเตม็ ทท่ี จ่ี ะไม่กลบั Stress • ความเครยี ดเป็นตวั ทานาย ทศั นคติต่อการ ไปสพู่ ฤตกิ รรมเดมิ ๆ management เบอ้ื งตน้ ของการกลบั สู่ ปรบั เปลี่ยน -มนั่ ใจทจ่ี ะเปลย่ี นไดต้ ลอดไป (การขจดั พฤตกิ รรมเก่า ฉะนนั้ วธิ กี าร “Forever” -อาจมคี วามเสย่ี งทจ่ี ะพลงั้ เผลอ ความเครยี ด) คลายเครยี ดเป็นสง่ิ สาคญั ท่ี สามารถทจ่ี ะปรบั โดยเฉพาะเวลาทม่ี คี วามเครยี ด จะตอ้ งเรยี นรู้ พฤตกิ รรมไดอ้ ยา่ ง • สอนทกั ษะการผอ่ นคลาย ต่อเน่อื งถงึ 6 เดอื น ความตงึ เครยี ดเชน่ การหายใจ เป็นอย่างน้อย การผอ่ นคลายกลา้ มเน้อื การ ทาสมาธิ • สอนการออกกาลงั กาย สม่าเสมอชว่ ยลดความเครยี ด จากตารางจะเห็นว่า คนทุกคนมีความแตกต่างกันในความพร้อมท่ีจะปรบั เปล่ียน พฤตกิ รรม ดงั นนั้ การใช้ TTM เป็นเครอ่ื งมอื ทจ่ี ะช่วยประเมนิ ความพรอ้ มของผู้ป่วยจะช่วยให้ นกั ปรบั พฤตกิ รรม สามารถวางแผนการจดั กจิ กรรมใหเ้ หมาะสม การใหค้ าปรกึ ษาในครงั้ แรกกบั คนกลุ่ม Pre-contemplationและ Contemplation นัน้ ควรเน้นถึงความเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนกับ พฤตกิ รรมปัจจุบนั พูดถงึ การปรบั เปลย่ี นทง่ี ่ายๆ ในทางบวกทค่ี นกลุ่มน้ีจะทาได้เพ่อื ลดความ เสย่ี งของโรค ผทู้ อ่ี ยใู่ นระยะ Pre-contemplation อาจพูดถงึ ผลดแี ละการแกไ้ ขอุปสรรคทจ่ี ะชว่ ย ใหค้ ุมระดบั น้าตาลหรอื ผลตรวจทางสุขภาพไดด้ ขี น้ึ และการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพของ กลุ่มเสย่ี ง ต้องคานึงถงึ ระยะของความพรอ้ มท่จี ะรบั การเปล่ยี นแปลงของแต่ละบุคคลซ่งึ มไี ม่ เทา่ กนั บางคนอาจยงั ไมส่ นใจปัญหาไมเ่ หน็ ความสาคญั ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตนเอง หรอื บางคนสนใจแต่ยงั ลงั เลใจอยู่ ยงั กลวั ๆ กลา้ ๆ ทจ่ี ะเขา้ รว่ มกจิ กรรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม หรอื บางคนอาจเรม่ิ เปลย่ี นแปลงแลว้ แต่ยงั ต้องการกาลงั ใจและแรงจงู ใจภายนอกอยู่ มฉิ ะนนั้ อาจจะ ยกเลกิ ไมท่ าพฤตกิ รรมต่อ ดงั นนั้ การคงอยขู่ องพฤตกิ รรมใหม่ในกลุ่มผูป้ ่วยมคี วามจาเป็น จงึ ควรมกี ารสอนผู้ป่ วยให้มคี วามหวงั ในการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมและสามารถรบั มอื กับการ ตดั สนิ ใจในหลายรปู แบบทจ่ี ะตอ้ งผจญในแต่ละวนั สง่ิ สาคญั คอื ผปู้ ่วยจะตอ้ งไดร้ บั การสนับสนุน จากครอบครัวและเพ่ือนหรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างเหมาะสม กระตุ้นให้เกิดการ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

138 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปรบั เปลย่ี นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย นอกจากน้ี ในการเรม่ิ ต้นของการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม ตามแนวคดิ Stages of change ไดม้ กี ารประเมนิ ความพรอ้ มในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รมของ ผรู้ บั การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ดงั ตวั อยา่ ง เครอ่ื งมอื ประเมนิ ความพรอ้ ม ดงั น้ี ตวั อย่างแบบสอบถามความพร้อมของขนั้ ตอนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในกลุ่มโรคเมตาบอลิก พฒั นาจากแนวคดิ Stages of change model ของ Prochaska & DiClemente (1983) และแบบวดั ความพรอ้ ม Readiness of Stage to Change Measure ในกลุ่มตดิ บุหรเ่ี พ่อื ทานายการหยุดสบู บุหร่ี พฒั นา โดย Farkas et al. (1996) และองั ศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง ในปี พ.ศ. 2551 - 2555 ไดน้ ามาใชใ้ นโครงการเพ่อื ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพประชาชนกลมุ่ เสย่ี งโรคเมตาบอลกิ จากงบประมาณของ สานกั งานหลกั ประกนั สขุ ภาพแห่งชาตเิ ขต 13 กรงุ เทพมหานคร คาชี้แจง ขอ้ ตกลงในความหมายของการปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรมในแบบสอบถามน้ี ไดแ้ ก่ 1) การออกกาลงั กาย หมายถงึ การทากจิ กรรมทางกายเพอ่ื เพม่ิ ความแขง็ แรงสมบรู ณ์ของร่างกาย โดยปฏบิ ตั อิ ย่างน้อย 3 – 5 ครงั้ ต่อสปั ดาหค์ รงั้ ละ 20 – 60 นาที โดยไม่หกั โหมจนทาใหเ้ กดิ การบาดเจบ็ แต่ ไดค้ วามรสู้ กึ เหน่อื ยน้อยหรอื มากกว่า และมเี หง่อื ออกในขณะทอ่ี อกกาลงั กาย 2) การควบคุมอาหาร หมายถึง การลดหรือจากดั ปรมิ าณอาหารและการเลอื กชนิดอาหารท่ีให้ พลงั งานพอดี หลกี เลย่ี งอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งานสงู และจากดั จานวนแคลอรต่ี ่อวนั ทไ่ี ดจ้ ากการรบั ประทานอาหาร ใหเ้ หลอื 1,000 – 1,800 กโิ ลแคลอรต่ี ่อวนั ขน้ึ กบั สภาพปัจจยั เสย่ี งของแต่ละบุคคล 3) การควบคุมอารมณ์ หมายถึง ความสามารถจดั การกบั อารมณ์ทงั้ ทุกขแ์ ละสุขทม่ี ผี ลต่อสขุ ภาพ ตนเองอย่างสรา้ งสรรค์ ดว้ ยการมองโลกในแงด่ แี ละไมส่ ญู เสยี ความรสู้ กึ ในคณุ คา่ ของตนเองไดง้ ่าย คาชแ้ี จง โปรดทาลงในชอ่ งวา่ ง ทต่ี รงความเป็นจรงิ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพของทา่ นมากทส่ี ดุ ระดบั ความเป็นจริงที่ปรากฏ ข้อ ข้อความ จริงมาก จริง จริงบา้ ง ไมจ่ ริง ที่ (4) (3) (2) (1) ขนั้ ท่ี 1 1. ฉนั พอใจในสขุ ภาพของฉนั โดยไม่จาเป็นตอ้ งมาออกกาลงั กายหรอื ควบคมุ อาหารแต่อย่างใด 2. เสยี เวลาเปลา่ ทจ่ี ะมาคอยดแู ลควบคมุ อาหารออกกาลงั กาย และหมนั่ ทาอารมณ์ของฉนั ใหด้ ี 3 ใชช่ ่วง 1 เดอื นทผ่ี ่านมาฉนั ไม่มกี จิ กรรมใดทจ่ี ะควบคมุ น้าหนกั ตนเองเลย 4 ฉนั ไม่เคยคดิ วา่ ตวั เองจะควบคมุ สขุ ภาพใหด้ ไี ดใ้ นชว่ งน้ไี มว่ ่าจะเป็น น้าหนกั ตวั หรอื ความดนั โลหติ หรอื ระดบั น้าตาล/ไขมนั ในเลอื ด ฉนั จงึ ยงั ไมเ่ รม่ิ ทจ่ี ะเปลย่ี นพฤตกิ รรมตนเอง ขนั้ ท่ี 2 5 บางครงั้ กค็ ดิ อยเู่ หมอื นกนั วา่ ฉนั ควรจะควบคุมน้าหนกั ตวั ดว้ ยการ เรม่ิ ออกกาลงั กาย ควบคมุ อาหารเสยี กอ่ น 6 ในชว่ ง 1 เดอื นทผ่ี ่านมา ฉนั ไดม้ กี จิ กรรมพยายามทจ่ี ะดแู ลสขุ ภาพ ของฉนั ใหด้ ขี น้ึ กวา่ เดมิ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

139 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ระดบั ความเป็นจริงท่ีปรากฏ ขอ้ ขอ้ ความ จริงมาก จริง จริงบา้ ง ไมจ่ ริง ท่ี (4) (3) (2) (1) 7 ฉนั รวู้ ่าความอว้ นหรอื ลงพุง หรอื ไขมนั /น้าตาลเลอื ดสงู จะเป็นอนั ตราย ต่อตวั ฉนั และกระทบต่อสงั คม แต่ฉนั กย็ งั หาเวลาทจ่ี ะเปลย่ี น พฤตกิ รรมสขุ ภาพตนเองไมไ่ ดใ้ นชว่ งน้ี 8 ฉนั ตระหนกั ดวี ่าการออกกาลงั กาย การควบคมุ อาหารและอารมณ์ เป็นสงิ่ ทด่ี ตี ่อสขุ ภาพแต่ฉนั ยงั ทาไมไ่ ดใ้ นตอนน้ี ขนั้ ท่ี 3 9. ฉนั กาลงั วางแผนจดั ตารางเวลาทจ่ี ะเรม่ิ ออกกาลงั กายและควบคมุ อาหารสม่าเสมอภายใน 2 – 3 สปั ดาหข์ า้ งหน้าน้ี 10 ฉนั สญั ญาวา่ จะออกกาลงั กายรว่ มกบั การควบคมุ การกนิ มองโลกใน แงด่ อี ย่างสม่าเสมอใหไ้ ด้ 11 ฉนั คดิ มาโดยตลอดในชว่ ง1 เดอื นต่อจากน้ี ฉนั จะหมนั่ สงั เกตและ ตรวจสขุ ภาพตนเอง ดว้ ยการชงั่ น้าหนกั ทุกวนั และพบแพทยเ์ พ่อื ตรวจสขุ ภาพใหล้ ะเอยี ดใหไ้ ด้ 12 ฉนั แสวงหาความรเู้ พมิ่ เตมิ จากส่อื และบคุ คลตน้ แบบทางสขุ ภาพ เพ่อื เตรยี มวางแผนทจ่ี ะพฒั นาสขุ ภาพของตนเองใหด้ ขี น้ึ ในอกี 1เดอื นขา้ งหน้า ขนั้ ท่ี 4 13 เมอ่ื เรว็ ๆ น้ฉี นั เรมิ่ ทจ่ี ะออกกาลงั กายสม่าเสมอขน้ึ 14 ฉนั จรงิ จงั กบั ความพยายามทจ่ี ะหมนั่ ดแู ลสขุ ภาพดว้ ยการคุมน้าหนกั ใหไ้ ดต้ ามเป้าหมายภายใน 6 เดอื นน้ี 15 ฉนั เรม่ิ ลดน้าหนกั หรอื ลดไขมนั และน้าตาลในเลอื ด หรอื ลดความดนั เลอื ดไดบ้ า้ งแลว้ แตฉ่ นั กย็ งั คงตอ้ งวางแผนการออกกาลงั กายควบคุม อาหาร อารมณ์ อยา่ งต่อเน่อื ง 16 ฉนั ยงั ไมท่ อ้ กบั การออกกาลงั กายและควบคมุ อาหารทป่ี ฏบิ ตั มิ าหลาย สปั ดาห์ ทงั้ ๆ ทย่ี งั ไม่สามารถลดน้าหนกั หรอื ลดไขมนั /น้าตาลใน เลอื ดหรอื ลดความดนั เลอื ดได้ ขนั้ ท่ี 5 17 ฉนั ยงั คงควบคมุ น้าหนกั /ความดนั /ผลตรวจเลอื ดอยา่ งต่อเน่อื งจน ไดผ้ ลดี เป็นไปตามเป้าหมายมากวา่ 6 เดอื นแลว้ 18 ในทส่ี ดุ ฉนั กล็ ดน้าหนกั หรอื ลดไขมนั /น้าตาลในเลอื ดหรอื ความดนั เลอื ด ไดต้ ามเป้าหมายทว่ี างไวแ้ ต่ฉนั ยงั คงตอ้ งควบคมุ อาหารและ ออกกาลงั กายสม่าเสมอต่อไป 19 ฉนั อยรู่ ะหว่างการปรบั เปลย่ี นนสิ ยั ใหใ้ สใ่ จดแู ลสขุ ภาพตนเองดว้ ยการ ออกกาลงั กายคมุ อาหารและอารมณ์ต่อเน่อื ง 20 ถงึ แมว้ ่าฉนั ออกกาลงั กาย ควบคุมอาหารอยา่ งสม่าเสมอมาเกอื บปี แลว้ แต่ฉนั ยงั กงั วลวา่ จะปฏบิ ตั ติ ่อเน่อื งไม่ไดจ้ งึ ตอ้ งใหม้ ใี ครคอย กระตุน้ ใหร้ บั ผดิ ชอบตนเองมากขน้ึ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

140 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ระดบั ความเป็นจริงท่ีปรากฏ ขอ้ ข้อความ จริงมาก จริง จริงบา้ ง ไม่จริง ที่ (4) (3) (2) (1) ขนั้ ท่ี 6 21 ฉนั เคยออกกาลงั กายและควบคมุ อาหารอยา่ งต่อเน่อื งมานานกวา่ 6 เดอื นแลว้ แต่กย็ งั ควบคุมน้าหนกั และผลตรวจเลอื ดใหค้ งทไ่ี มไ่ ดเ้ ลย จน ตอนน้หี มดกาลงั ใจทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ อ่ 22 ฉนั ยงั คงมุ่งมนั่ กบั การออกกาลงั กาย ควบคมุ อาหาร และอารมณ์ จน เป็นกจิ วตั รประจาวนั ทข่ี าดไมไ่ ดม้ าหลายเดอื น 23 ฉนั ตงั้ ใจคมุ น้าหนกั มากว่า 6 เดอื นแลว้ แต่น้าหนกั ฉนั กลบั ไมล่ ด ดงั นนั้ ฉนั ตอ้ งวางแผนควบคมุ น้าหนกั ใหม่อกี ครงั้ 24 ทผ่ี ่านมาฉนั ลม้ เหลวกบั การควบคุมน้าหนกั หรอื ระดบั ไขมนั /น้าตาลใน เลอื ดหรอื ความดนั เลอื ด จนคดิ วา่ เป็นเรอ่ื งทย่ี ากมาก แต่กต็ อ้ งบอก กบั ตนเองใหป้ ฏบิ ตั ติ ่อไป แบบสอบทงั้ ฉบบั มคี า่ สมั ประสทิ ธคิ์ วามเช่อื มนั่ ของคอนบาคเท่ากบั .880 และคุณภาพเคร่อื งมอื ประเมนิ ระดบั ขนั้ การเปลย่ี นเพอ่ื วางแผนจดั กจิ กรรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 1,2,3,4 อยใู่ นขนั้ ท่ี 1 ไมส่ นใจปัญหา คา่ Cronbach's alpha = 0.673 ขอ้ ท่ี 5,6,7,8 อยใู่ นขนั้ ท่ี 2 ลงั เลใจ คา่ Cronbach's alpha = 0.674 ขอ้ ท่ี 9,10,11,12 อยใู่ นขนั้ ท่ี 3 ตดั สนิ ใจและเตรยี มการ คา่ Cronbach's alpha = 0.771 ขอ้ ท่ี 13,14,15,16 อยใู่ นขนั้ ท่ี 4 ลงมอื ปฏบิ ตั ิ คา่ Cronbach's alpha = 0.731 ขอ้ ท1่ี 7,18,19,20 อย่ใู นขนั้ ท่ี 5 ปฏบิ ตั ติ ่อเน่อื ง คา่ Cronbach's alpha = 0.765 ขอ้ ท่ี 21,22,23,24 อย่ใู นขนั้ ท่ี 6 กลบั ไปมปี ัญหาซา้ คา่ Cronbach's alpha = 0.663 ข้อควรระวงั ในการแปลผล ใหพ้ จิ ารณาคะแนนรวมเฉลย่ี ของแต่ละขนั้ ดงั น้ี 1. คานวณจากคะแนนรวมเฉลย่ี 4 ขอ้ ของแต่ละขนั้ 2. ถา้ มคี ะแนนเฉลย่ี 4 ขอ้ ของแต่ละขนั้ สงู สดุ อยใู่ นขนั้ ใด แสดงว่ามแี นวโน้มว่าบคุ คลนนั้ จะมี ความพรอ้ มในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตนเองอยใู่ นขนั้ นนั้ เช่น ขนั้ ท่ี ช่วงคะแนน ความหมาย 1 4 - 16 12 – 16 แสดงว่า ความพรอ้ มในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมสขุ ภาพอยใู่ น คะแนน ระยะทไ่ี มส่ นใจวา่ สขุ ภาพตนเองจะมี และไมค่ ดิ ว่าจะเขา้ ร่วม กจิ กรรมสขุ ภาพใด ไมส่ นใจทจ่ี ะดแู ลตนเอง 8 – 11 คะแนน แสดงว่า บางครงั้ กส็ นใจ บางครงั้ กไ็ ม่สนใจ 1 – 4 แสดงวา่ สนใจ ใสใ่ จในปัญหาสขุ ภาพของตนเอง พรอ้ มทจ่ี ะดแู ล คะแนน พฤตกิ รรมตนเองได้ 5 4 - 16 12 – 16 แสดงว่า มคี วามเชอ่ื มนั่ ในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่ี คะแนน เสย่ี งของตนเองได้ ควบคมุ กากบั ตนเองใหท้ าพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ทถ่ี ูกตอ้ งได้ และมกี ารดแู ลสขุ ภาพตนเองไดอ้ ย่างต่อเน่อื งมา อยา่ งน้อย 6 เดอื นจนเป็นนิสยั และเหน็ ผลการเปลย่ี นแปลง สขุ ภาพตนเองไปในทางทด่ี ขี น้ึ และมคี วามตอ้ งการทจ่ี ะดแู ล องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

141 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขนั้ ที่ ช่วงคะแนน ความหมาย 8 – 11 ตนเองใหด้ ขี น้ึ เร่อื ย ๆ และตอ้ งการทจ่ี ะชกั ชวนใหค้ นอ่นื ทาตาม คะแนน ในทศิ ทางการดแู ลสขุ ภาพตนเองทต่ี นเองเหน็ วา่ ดี 1–4 แสดงวา่ ปฏบิ ตั ใิ นการดแู ลตนเองไดแ้ ตย่ งั ไม่ต่อเน่อื งตอ้ งขน้ึ กบั คะแนน อารมณ์และโอกาสหรอื สภาพแวดลอ้ มทจ่ี ะเออ้ื ใหด้ แู ลตนเอง แสดงว่า ยงั ไมเ่ ช่อื มนั่ ตนเองวา่ จะดแู ลสขุ ภาพตนเองไดต้ ่อเน่อื ง และไมเ่ หน็ ผลดขี องการกระทาพฤตกิ รรมสขุ ภาพทผ่ี ่านมาของตน นอกจากแบบสอบถามการวดั ความพร้อมของขนั้ ตอนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม สุขภาพดงั กล่าวข้างต้นแล้ว Prochaska & DiClemente (1983) ยงั มแี นวคิดว่า ในการท่จี ะ เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของบุคคลจะต้องพิจารณาหลักแห่งการเปล่ียนพฤติกรรมตาม กระบวนการทน่ี าสู่การเปลย่ี นพฤตกิ รรมเสย่ี ง 10 ขอ้ โดยประยุกตม์ าจาก แนวคดิ ความพรอ้ ม ในการเปลย่ี นพฤตกิ รรม (Prochaska, Velicer, DiClemente, & Fava, 1988) การประเมนิ ขอ้ ดี ข้อเสยี ของการเปล่ยี นพฤตกิ รรม (Prochaska, Velicer, et al., 1994) การรบั รูค้ วามสามารถ ของตนเอง (Self-efficacy) เช่นเช่ือในความสามารถท่ีจะเปล่ียนพฤติกรรมตนเอง (Bandura,1977; DiClemente, Prochaska, & Gibertini, 1985) และความเช่ือมัน่ และความ เท่ียงตรงในการทานายผ่านขนั้ ตอนการเปล่ียนแปลง (Prochaska & Velicer, 1997) ทงั้ น้ี กระบวนการของการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมเสย่ี ง เป็นการเปลย่ี นความเช่อื ความคดิ กจิ กรรม หรือประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนกับบุคคลในการพยายามท่ีจะปรับพฤติกรรมเส่ียง ซ่ึงแต่ละ องค์ประกอบของกระบวนการเปล่ียนแปลงน้ี ทงั้ มวี ิธีการ เทคนิคท่ีหลากหลายท่ีนาไปสู่ ความสาเรจ็ ของการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมโรคอว้ น ในทน่ี ้วี ดั จาก 10 องคป์ ระกอบยอ่ ย ดงั น้ี 1. การเพมิ่ ความตระหนักรู้ (Consciousness raising) หมายถงึ การเรม่ิ ต้นกระตุ้นให้ บุคคลแสวงหาความรใู้ หม่ๆ สรา้ งความเขา้ ใจ การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ถงึ ปัญหาดา้ นสุขภาพจาก การสงั เกต จากการอธบิ ายให้เขา้ ใจ การตคี วามหมาย ศกึ ษาเอกสารแผ่พบั คู่มอื หรอื รณรงค์ ผา่ นสอ่ื เป็นตน้ 2. การฝึกเง่ือนไขตรงข้าม (Counter conditioning) หมายถึง การหาทางเลือกอ่ืน ทดแทนเพ่อื การแกป้ ัญหาพฤตกิ รรมเสย่ี ง ไดแ้ ก่ ฝึกการผ่อนคลายเพ่อื ลดความเครยี ด ฝึกการ กลา้ แสดงออกและใหป้ ระกาศกบั ตนเองในเชงิ บวกเพอ่ื ป้องกนั ถกู ชกั ชวนไปมพี ฤตกิ รรมเสย่ี ง 3. การแสดงออกปลดปล่อยอารมณ์ (Dramatic relief) หมายถงึ ประสบการณ์และการ แสดงออกถงึ ความรสู้ กึ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหาและศกั ยภาพในการแกป้ ัญหา การแสดง บทบาทสมมติ การแสดงอารมณ์ใหเ้ กดิ ความอยากเปลย่ี นแปลง 4. การไตรต่ รองดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม (Environment reevaluation) หมายถงึ การพจิ ารณาและ ประเมนิ ถงึ พฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหาส่งผลต่อรา่ งกาย และสภาพแวดลอ้ มทางสงั คม การฝึกใหเ้ ขา้ ใจ ผอู้ ่นื และวเิ คราะหข์ อ้ เทจ็ จรงิ ตามธรรมชาติ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook