42 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ จากนกั วชิ าการสุขภาพทวั่ โลกทใ่ี หค้ วามสาคญั กบั Health Literacy ทม่ี กี ารศกึ ษาทงั้ ใน ลกั ษณะหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสาเหตุปัจจยั ทส่ี ่งผลต่อความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและผลลพั ธท์ าง สุขภาพ การจดั โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ และโดยเฉพาะในการสร้าง เคร่อื งมอื ประเมนิ ความรอบรู้ด้านสุขภาพทงั้ ฉบบั ยาวและสนั้ ทงั้ ในกลุ่มประชาชนทวั่ ไปและ เฉพาะกลุ่มเช่น กลุ่มวยั เด็ก วยั รุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ กลุ่มเส่ยี ง กลุ่มผู้ป่ วยโรคต่าง ๆ เป็นต้น สาหรบั ประเทศไทยไดม้ กี ารดาเนินการทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสรา้ งเครอ่ื งมอื การวดั และการประเมนิ ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ นาโดย กองสุขศกึ ษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ และสถาบนั วิจยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ (2557) ได้เรมิ่ สรา้ งเคร่อื งมอื วดั ความรอบรู้ ด้านสุขภาพสาหรับคนไทย เริ่มจากการสังเคราะห์ดัชนีวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ และ พฤตกิ รรมสุขภาพตามหลกั 3อ.2ส. (อาหาร ออกกาลงั กาย อารมณ์ สบู บุหร่ี สุรา) จากงานวจิ ยั ด้านการวดั และประเมินท่เี ผยแพร่ในฐาน PubMed และ Science Direct เฉพาะช่วงปี ค.ศ. 1991 – 2012 จาก 154 เรอ่ื ง แต่เผยแพรบ่ ทความวจิ ยั ฉบบั เต็มรวม 29 เรอ่ื งทน่ี ามาใชใ้ นการ สงั เคราะห์ครงั้ น้ี เช่น บทความของ Davis et al. (1991), WHO (2009), Baker et al. (1999), Ratzan & Parker ( 2000) , Nutbeam ( 2000) , Lee, Arozullah & Cho ( 2004) , Institute of Medicine (2004), Kwan, Frankish & Rootman (2006), Kickbusch (2006), Paasche Orlow & Wolf ( 2007) , Nutbeam ( 2008) , Wagner et al. ( 2009) , Rootman ( 2009) , Chin et al. (2011) Edwards et al. (2012), Sorensen et al. (2012) เป็นตน้ ทาใหไ้ ดก้ ลมุ่ ปัจจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ 3 กลุ่มหลกั ได้แก่ ระดบั บุคคล ระดบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคล และระดบั สงั คมชุมชน และเคร่อื งมอื วดั ในต่างประเทศท่นี ิยมใช้ เช่น แบบวดั The eHealth Literacy Scale (eHEALS) ปี 2006 มี 6 องค์ประกอบจานวน 8 ข้อ มีค่าความเช่ือมัน่ Cronbach’s Alpha = 0.88, แบบวดั Test of Functional Health Literacy in Adults (TOFHLA) วดั จาก 2 องคป์ ระกอบคอื ความเขา้ ใจในการอ่าน และความสามารถในการคานวณ มจี านวน 50 ขอ้ ส่วนฉบบั สนั้ มี 36 ขอ้ และแบบวดั Medical Achievement Reading Test (MART) เป็น การทดสอบการอ่านคาศัพท์แพทย์ของผู้ป่ วยในโรงพยาบาล เป็นต้น ดังผลการรายงาน เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพทงั้ ในต่างประเทศและในประเทศไทย ดงั น้ี เคร่ืองมือวดั ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในต่างประเทศ มนี กั วชิ าการทพ่ี ฒั นาเครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพหลายคน ดงั เชน่ 1. The Rapid Estimate of Adult Literacy in Medicine ( REALM) เ ป็ น แ บ บ วัด ท่ี พฒั นาข้นึ โดย Davis et al. (1991) เพ่อื ใช้วนิ ิจฉัยและระบุตวั ผูป้ ่ วยท่มี รี ะดบั ความรอบรู้ด้าน สุขภาพต่า แบบวดั น้ีจงึ เหมาะสมกบั บุคลากรทางการแพทย์เพ่อื ใช้ในหน่วยบรกิ ารปฐมภูมิ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
43 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ สถานพยาบาล คลนิ ิกและหน่วยวจิ ยั ทางการแพทย์เพ่อื การปรบั ปรุงส่อื เอกสารเผยแพร่ใหก้ บั ผปู้ ่วย เพราะใชใ้ นการประเมนิ ทกั ษะการอ่านและความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ศพั ทท์ างการแพทย์ โดย การคดั เลอื กคาศพั ทท์ ่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การแพทย์ท่ปี รากฎในส่อื และจากการส่อื สารของแพทย์ใน การรกั ษา ส่อื การสอนด้านสุขศกึ ษา ฉลากยาต่างๆ โดยคาศพั ท์เหล่านัน้ เป็นคาศพั ท์ท่ผี ู้ป่ วย จาเป็นตอ้ งทราบและจาใหไ้ ด้เพ่อื ใชใ้ นการรกั ษาและการปฏบิ ตั ติ วั เพ่อื รกั ษาสุขภาพของตนเอง โดยมตี วั ชว้ี ดั 2 ดา้ นคอื ทกั ษะการอ่าน (การจดจาคาหรอื เขา้ ใจในการอ่านและการคดิ คานวณ) และทกั ษะอ่นื ทจ่ี าเป็น เช่น ความรทู้ างวฒั นธรรมและความคดิ การฟัง การคดิ คานวณ การพูด การเขียนและการอ่าน เป็ นต้น ซ่ึง Mancuso (2009) ได้นาแบบวัดไปใช้ในลักษณะท่ี ประกอบดว้ ย คาศพั ทท์ ่มี จี านวน 125 คา และใหอ้ ่านศพั ทพ์ น้ื ฐานทางการแพทยอ์ ย่างรวดเรว็ 3 - 5 นาที ในกลุ่มผู้ใหญ่ โดยเป็นคาศัพท์ทางการแพทย์ท่งี ่ายวางเรยี งเป็น 4 คอลมั น์ตาม จานวนพยางค์และความยากของคา ให้ผู้ป่ วยอ่านออกเสยี งท่ถี ูกต้อง และการให้คะแนนจะ แตกต่างกนั ตามเงอ่ื นไขของระดบั การศกึ ษาและช่วงอายขุ องผปู้ ่วยทม่ี สี มรรถนะในการรหู้ นังสอื ต่างกนั ดงั เกณฑก์ ารแบ่งกลุม่ ดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 ถา้ ผปู้ ่วยมอี ายุ 0 - 18 ปี หรอื มรี ะดบั การศกึ ษาต่า กว่าประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ถ้าผลการประเมนิ พบว่า ไม่สามารถอ่านส่อื สาหรบั ผูอ้ ่านออกเขยี นใน ระดบั ต่าได้ แสดงว่าเป็นผทู้ ม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสุขภาพอยู่ในระดบั ต่า กลุ่มท่ี 2 ถ้ามอี ายุ 19 - 44 ปี หรอื มรี ะดบั การศกึ ษาประถมศกึ ษาปีท่ี 4 - 6 โดยใชส้ ่อื สาหรบั ผอู้ ่านออกเขยี นไดใ้ นระดบั ต่า ซ่งึ ถ้าผลการประเมินพบว่า ไม่สามารถอ่านฉลากยาได้แสดงว่า เป็นผู้ท่มี คี วามรอบรู้ด้าน สุขภาพอย่ใู นระดบั ต่า กลุ่มท่ี 3 ถ้ามอี ายุ 45 - 60 ปี หรอื ระดบั การศกึ ษามธั ยมศกึ ษาตอนตน้ จะต้องสามารถใชส้ ่อื ท่ใี หค้ วามรูส้ าหรบั ผู้ป่วยไดบ้ า้ ง และกลุ่มท่ี 4 คอื กลุ่มทม่ี อี ายุ 61 - 66 ปี หรอื ระดบั การศกึ ษาสูงกว่ามธั ยมศึกษาตอนต้น จะต้องสามารถอ่านส่อื สาหรบั ให้ความรู้กับ ผปู้ ่วยไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2. Shortened version of the Rapid Estimate of Adults Literacy (S-REALM) เป็ น แบบวดั ฉบบั สนั้ ท่พี ฒั นาขน้ึ โดย Davis et al. (1993) เป็นแบบประเมนิ ท่ปี รบั ปรุงจากแบบวดั REALM เดมิ โดยแบบวดั น้ีใช้ในการประเมนิ ทกั ษะการอ่านเก่ยี วกบั คาศพั ท์ทางการแพทย์ท่ี เป็นพน้ื ฐานและต้องอ่านอย่างรวดเรว็ สาหรบั กลุ่มผู้ป่ วยวยั ผใู้ หญ่ซ่งึ ทดลองกบั ผปู้ ่ วย 203 คน ในคลนิ ิกผู้ป่ วยในเวชศาสตรค์ รอบครวั การดูแลฉุกเฉินและคลนิ ิกสูตนิ ารเี วชของโรงพยาบาล สงั กดั มหาวทิ ยาลยั 4 แห่ง โดยลดจานวนคาศพั ทล์ งเหลอื เพยี ง 66 คา และลดเวลาทใ่ี ชท้ ดสอบ เหลอื ประมาณ 1 - 2 นาที เพ่อื ใหแ้ บบทดสอบมคี วามกระชบั มากขน้ึ โดยจดั เรยี งคาศพั ทเ์ ป็น 3 คอลมั น์ ตามจานวนพยางค์และความยากง่ายของคา และผลการตรวจสอบความตรงของ แบบทดสอบน้กี บั แบบทดสอบ REALM ดว้ ย 3 วธิ คี อื Peabody Individual Achievement Test- Revised ( PIAT- R) , The Slosson Oral Reading Test- Revised ( SORT- R) แ ล ะ the Wide องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
44 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Range Achievement Test-Revised (WRAT-R) พบว่า มคี วามสมั พนั ธร์ ะหว่างแบบวดั เท่ากบั 0.97, 0.96, 0.88 ตามลาดบั และมคี า่ ความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากบั 0.99 3. The Test of Functional Health Literacy in Adults ( TOFHLA) เ ป็ น แ บ บ วัด ท่ี พฒั นาข้นึ โดย Parker et al. (1995) เพ่อื ใช้ในการวดั ความสามารถในการอ่านของผู้ป่ วยวยั ผู้ใหญ่เพ่อื ประเมนิ ระดบั ความเข้าใจในการอ่านข้อมูลข่าวสารและความเข้าใจเก่ียวกบั การ คานวณตวั เลขระดบั พน้ื ฐาน เพราะเช่อื ว่า ทกั ษะการอ่านอย่างเดยี วยงั ไมส่ ามารถพฒั นาความ เขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ วั ในการดูแลสุขภาพของผปู้ ่วยไดอ้ ยา่ งเหมาะสมเน่ืองจากในการดแู ลสุขภาพ ตนเองในโรงพยาบาลนนั้ ยงั มที กั ษะดา้ นการคานวณ เชน่ การคานวณปรมิ าณยาทผ่ี ปู้ ่วยต้องใช้ การกนิ ยาทุก 4 ชวั่ โมง เป็นตน้ แบบวดั น้ถี ูกนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นกลมุ่ เดก็ และเยาวชน (TOFHLA for teens) ในแบบวดั สาหรบั ผูใ้ หญ่น้ีมที งั้ หมด 67 ขอ้ แบ่งเป็น 2 ส่วนคอื 1) ส่วนการทดสอบ การอ่านประกอบดว้ ย สทิ ธขิ องผปู้ ่วยและหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบ การเล่าอย่างเตม็ ใจ ขอ้ ความทใ่ี ชใ้ น การทดสอบอ่านและทาความเขา้ ใจเป็นขอ้ ความทม่ี ชี ่องว่างใหเ้ ตมิ คาประมาณ 5 - 7 คา ผู้ถูก ทดสอบอ่านและเลอื กคาจาก 4 ตวั เลอื กรวม 50 ขอ้ ใชเ้ วลาประมาณ 12 นาที และ 2) ส่วนการ ทดสอบดา้ นตวั เลขประกอบดว้ ย เน้ือหาฉลากยา การควบคุมระดบั น้าตาล การทานยา การนัด หมาย และการไดร้ บั ความช่วยเหลอื ทางการเงนิ สว่ นน้มี ี 17 ขอ้ ใชเ้ วลาประมาณ 10 นาที รวม เวลาทใ่ี ชใ้ นการทาแบบทดสอบทงั้ หมด 22 นาที โดยมคี ะแนนระหว่าง 0 – 100 คะแนน และมี การจาแนกระดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยมกี ารจดั ช่วงคะแนนเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มท่มี ี ทกั ษะไม่พอเพยี ง (Inadequate health literacy) มคี ะแนนระหว่าง 0 – 59 คะแนน กลุ่มท่ีมี ทกั ษะปานกลาง (Marginal health literacy) มคี ะแนนระหว่าง 60 – 74 คะแนนและกลุ่มท่ีมี ทกั ษะเพยี งพอ (Adequate health literacy) มคี ะแนนระหว่าง 75 – 100 คะแนน ซง่ึ มคี ่าความ เช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากบั 0.98 ส่วนความตรงเชงิ โครงสร้างใชก้ ารหาค่าสมั ประสทิ ธิ ์ สหสมั พนั ธ์กบั แบบทดสอบ WRAT และ REALM พบว่า มคี วามสมั พนั ธ์ระหว่างแบบทดสอบ ระดบั สูงเท่ากบั 0.74 และ 0.84 ตามลาดบั และเม่อื นาแบบทดสอบ TOFHLA ไปหาความตรง เชงิ โครงสร้างกับแบบวดั Newest Vital Sign พบว่า มคี วามสมั พนั ธ์ระหว่างแบบทดสอบใน ระดบั ปานกลาง เท่ากบั 0.49 ดงั ตวั อยา่ งแบบวดั TOFHLA ท่ี Nurss et al. (2001) นามาใชว้ ดั ความสามารถของผูป้ ่ วยในระดบั พน้ื ฐาน เช่น การวดั ความเขา้ ใจในการคานวณเชงิ ตวั เลข ดงั ข้อความท่แี สดงในแถบซองยา (Label) “ยาเพนิซิลลนิ 250 มลิ ลิกรมั (จานวน 40 เมด็ ) ให้ รบั ประทานวนั ละ 1 เมด็ 4 เวลา เชา้ กลางวนั เยน็ ก่อนนอน” ตวั อย่างคาถาม เช่น ถ้าคุณกนิ เมด็ แรก 07.00 น. เม็ดถัดไปจะต้องกินตอนก่ีโมงและจะกินเม็ดสุดท้ายในตอนก่ีโมงในวัน เดยี วกนั เป็นตน้ นอกจากน้ี มกี ารทดสอบความเขา้ ใจขอ้ มลู ดา้ นสุขภาพเป็นลกั ษณะใหข้ อ้ ความ หรอื ประโยค แล้วเตมิ คา (Cloze test) เช่น 1) ........................ ลงบนแบบฟอรม์ เพ่อื แสดงถงึ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
45 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 2) ................................. ของคุณ? โดยมตี วั เลอื กในคาตอบของขอ้ ท่ี 1 ไดแ้ ก่ ก. ปอด ข. วนั / เดือน/ปี ค. ม้อื อาหาร ง. กระดูกเชิงกราน ส่วนข้อท่ี 2 ได้แก่ ก. ภาวะน้าตาลในเลือดต่า ข. ความคุม้ ครองสทิ ธกิ ารรกั ษา ค. โรคกระดกู พรนุ ง. โรคจติ เภท เป็นตน้ 4. Medical Achievement Reading Test (MART) เป็ นแบบวัดท่ีพัฒ น าข้ึน โ ด ย Hanson-Drivers, (1997) ไวใ้ ชส้ าหรบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทางการแพทยแ์ ละนกั วจิ ยั สุขภาพ ซง่ึ ใหก้ ลุ่ม ตวั อยา่ ง 5 กลุ่มคอื ผปู้ ่วยทไ่ี ดร้ บั การเยย่ี มบ้าน นักศกึ ษาวทิ ยาลยั นกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษา นักเรยี นการศกึ ษาผู้ใหญ่ และลูกคา้ หา้ งสรรสนิ ค้า รวม 405 คน ทาแบบทดสอบ MART และ ทดสอบด้วย Wide Reange Achievement Test-WRAT ซ่ึงแบบทดสอบ MART มีค่าความ เช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากับ 0.98 ซ่งึ เป็นแบบทดสอบการอ่านศพั ท์ทางการแพทย์ มี ความคลา้ ยคลงึ กบั REALM ตรงทเ่ี ป็นการประเมนิ การอ่านคาศพั ทท์ างการแพทย์ แต่มคี าศพั ท์ ทางการแพทยจ์ านวน 42 คา และใชร้ ะยะเวลาอ่าน 3 - 5 นาที ซง่ึ แบบวดั น้ีใหค้ วามสาคญั กบั สาเหตุของการท่ไี ม่สามารถอ่านได้ เช่น คาท่ใี ชใ้ นทางการแพทยห์ รอื คาทเ่ี ก่ยี วขอ้ งท่เี ห็นใน ใบสงั่ ยา/แผ่นพบั ระดบั การศกึ ษาของผู้ป่ วย ทงั้ น้ี ข้อจากดั ของแบบทดสอบน้ีคอื พมิ พ์ด้วย ตวั อกั ษรขนาดเลก็ และการพมิ พบ์ นกระดาษท่มี นั วาว ทาให้อ่านไดย้ ากซ่งึ เป็นผลทาให้ผู้ป่ วย ตอ้ งคาดเดาในคาทไ่ี มส่ ามารถอ่านได้ 5. The Short Test of Functional Health Literacy in Adult (S-TOFHLA) เป็นแบบวดั ท่ีพัฒนาข้ึนโดย Baker et al. (1999) ประยุกต์จากแบบทดสอบความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดบั พ้นื ฐานในกลุ่มผู้ใหญ่หรอื TOFHLA และพฒั นาใหเ้ ป็นแบบสนั้ โดยเป็นแบบทดสอบทม่ี ี การวดั ความสามารถของผปู้ ่วยในดา้ นการอ่านและการทาความเขา้ ใจในเอกสารและสอ่ื ต่างๆ ท่ี เป็นขอ้ มูลข่าวสารทางการแพทย์ โดยมชี ่วงคะแนนระหว่าง 0 – 100 และมกี ารจาแนกระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพเป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มท่มี ที กั ษะไม่พอเพยี งมคี ะแนนระหว่าง 0 – 53 กลุ่มทม่ี ที กั ษะปานกลางมคี ะแนน 54 – 66 และกลุ่มท่มี ที กั ษะเพยี งพอมคี ะแนน 67 – 100 ซง่ึ แบ่งการทดสอบเป็น 2 ส่วนเช่นกนั คอื ส่วนการทดสอบการอ่านและการคดิ คานาณ และเพ่อื ลด เวลาในทดสอบจากแบบทดสอบฉบบั เต็มใช้เวลาทงั้ หมด 22 นาที เหลอื เพยี ง 12 นาที จาก ทงั้ หมด 40 ขอ้ โดยลดจานวนขอ้ ทเ่ี ก่ยี วกบั การคานวณตวั เลขระดบั พน้ื ฐานจาก 17 ขอ้ ใหเ้ หลอื 4 ข้อ ใช้เวลา 5 นาที และด้านการอ่านจาก 50 ข้อ เหลือ 36 ข้อ ใช้เวลา 7 นาที และค่า สัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์ของเพียร์สันระหว่างแบบทดสอบ S-TOFHLA กับ REALM มีค่า ความสมั พนั ธ์ในด้านการอ่านเท่ากบั 0.81 มคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากบั 0.97 และมคี ่าความสมั พันธ์ด้านการคานวณตัวเลขเท่ากับ 0.61 มคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากับ 0.68 ซ่ึงแบบทดสอบน้ีมีความเหมาะสมสาหรบั บุคลากรทางการแพทย์ นัก สุขศกึ ษาในโรงพยาบาลไดน้ าไปใชใ้ นการกาหนดเป้าหมายการเรยี นรดู้ า้ นสุขภาพของผปู้ ่วยได้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
46 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 6. Health Literacy Screening Question: Set of Brief Screening Questions (SBSQ) เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นาข้นึ โดย Chew et al. (2004) เพ่อื ใช้ในการคดั กรองและจาแนกผูป้ ่ วยท่มี ี ระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพทเ่ี พยี งพอ ปานกลางและไม่เพยี งพอ ซง่ึ แบบวดั น้ีใช้ทดสอบกบั ผปู้ ่วย จานวน 332 คน ดว้ ยการสมั ภาษณ์รว่ มกบั ใหต้ อบแบบวดั ดว้ ยตนเอง มจี านวนขอ้ คาถาม 16 ขอ้ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ตงั้ แต่ ทุกครงั้ บ่อยครงั้ บางครงั้ นานๆ ครงั้ และไม่ เคยเลย และเปรยี บเทียบผลคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพในการจาแนกความรอบรู้ด้าน สุขภาพกบั การประเมนิ ด้วยแบบทดสอบ STOHFLA โดยมขี ้อคาถามหลกั ในการตรวจสอบ ความสมั พนั ธก์ บั แบบทดสอบ STOHFLA เช่น 1) บ่อยครงั้ แค่ไหน ทม่ี ใี ครบางคนทช่ี ่วยคุณใน การอ่านเอกสารขอ้ มลู ส่อื ความรดู้ า้ นสุขภาพทเ่ี ผยแพรใ่ นโรงพยาบาล 2) บ่อยครงั้ แค่ไหน ทค่ี ณุ มปี ัญหาอุปสรรคในการเรยี นรเู้ ง่อื นไขทางการแพทยแ์ ละการรกั ษาเพราะคุณรสู้ กึ ว่ายากท่จี ะ เขา้ ใจในเอกสารนัดหมายหรอื ขอ้ มลู แนะนา และ 3) บ่อยครงั้ แค่ไหน ทค่ี ุณไดร้ บั แบบฟอรม์ ทาง การแพทย์ท่ีเขยี นให้อ่านและยากท่ีจะเข้าใจได้ ทงั้ น้ีข้อคาถามในแบบวดั ทงั้ ฉบบั มีค่าการ ตรวจสอบความไวหรอื ค่า ROC (The receiver operating characteristic curve) อย่ใู นเกณฑท์ ่ี ดเี ทา่ กบั 0.87, 0.80 และ 0.76 ตามลาดบั 7. The 2003 National Assessment of Adult Literacy (NAAL) เป็นแบบวดั ทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย U.S. Department of Education, Institute of Education Sciences (2005) การประเมนิ การรหู้ นังสอื ในผใู้ หญ่ระดบั ชาตขิ องประเทศสหรฐั อเมรกิ าจานวนมากกว่า 19,000 คน เป็นการ ประเมนิ ความสามารถในการอ่านฉลากยาและอาหาร และการกรอกขอ้ มูลในแบบฟอร์มทาง การแพทย์ คาสงั่ จากแพทย์ ใบยนิ ยอมการรกั ษา และความสามารถในการเขา้ ใจในสงิ่ ท่แี สดง เป็นลายลกั ษณ์อักษรท่ีพบในกิจกรรมประจาวัน เช่น การอ่านตารางรถโดยสาร การอ่าน หนังสอื พมิ พ์ การอ่านบทบรรณาธกิ าร ซง่ึ มจี านวนขอ้ คาถามทเ่ี ก่ยี วกบั การประเมนิ ความรอบรู้ ดา้ นสุขภาพรวม 28 ขอ้ จากทงั้ หมดในการประเมนิ การรหู้ นงั สอื ในผใู้ หญ่ทงั้ หมด 152 ขอ้ โดย ใชก้ ารสมั ภาษณ์ใชเ้ วลาเฉลย่ี ในการทาประมาณ 90 นาท/ี คน และช่วงคะแนนตงั้ แต่ 0 - 500 8. The Newest Vital Sign (NVS) เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นาข้นึ โดย Weiss et al. (2005) ได้สรา้ งเคร่อื งมอื ในการวดั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพเพ่อื ใชใ้ นการคดั กรองผูป้ ่ วยทม่ี ารบั บรกิ าร ระดบั ปฐมภูมิ และตรวจสอบความเทย่ี งตรงภายในมคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha > 0.76 ในฉบบั ภาษาองั กฤษและ เท่ากบั 0.69 ในฉบบั ภาษาสเปน พรอ้ มตรวจสอบประสทิ ธภิ าพของ แบบทดสอบด้วยค่าความสัมพันธ์กับแบบวัด TOFHLA พบว่า มีค่า ROC curve หรือค่า ความสมั พนั ธเ์ ทา่ กบั 0.88 ในฉบบั ภาษาองั กฤษและ 0.72 ในฉบบั ภาษาสเปน โดยแบบทดสอบ น้ีต้องการให้เป็นการทดสอบการอ่านแบบเรว็ โดยใช้เวลา 3 - 5 นาที มี 6 คาถามท่ใี ช้ในการ ประเมนิ ซง่ึ มาจากฉลากโภชนาการของไอศกรมี โดยอาจจะถามถงึ การแปลความหมายและการ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
47 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ มูลทไ่ี ด้รบั ทงั้ น้ี NVS เป็นแบบทดสอบทใ่ี ช้เวลาน้อยและมคี วามแม่นยาในการ ทดสอบในกลมุ่ ทม่ี กี ารอ่านออกเขยี นไดอ้ ยใู่ นระดบั ต่า 9. Rapid Estimate of Adolescent Literacy in Medicine for adolescents and teens (REALM-Teen) เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นาขน้ึ โดย Davis et al. (2006) จาก แบบวดั REALM เพ่อื ใช้ระบุเยาวชนท่มี ขี ้อจากดั ด้านทกั ษะการอ่านและความเข้าใจเก่ียวกบั ศพั ท์ทางการแพทย์ เช่นเดยี วกบั แบบทดสอบหลกั การพฒั นาแบบวดั REALM-Teen ถูกพฒั นาจากแพทย์ พยาบาล นักสงั คมสงเคราะห์ นักจติ วทิ ยา นักสุขศกึ ษาและนกั การศกึ ษาในการรว่ มคดั เลอื กคาศพั ทจ์ าก แผน่ พบั การใหส้ ขุ ศกึ ษาของ American Academy ซง่ึ ประกอบดว้ ย คาทถ่ี ูกคดั เลอื กจานวน 116 คา โดยทาการทดสอบและนาร่องเพ่อื ศึกษาคุณภาพของเคร่อื งมอื ในกลุ่มนักเรยี นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 จนถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 จานวน 200 คน และมกี ารคดั เลอื กคาศพั ท์ ต่างๆ ของแบบทดสอบโดยคดั เลอื กจากคุณภาพของขอ้ สอบรายขอ้ ซง่ึ ประกอบดว้ ย ค่าความ ยาก ค่าอานาจจาแนก และการตดั สนิ ของคณะกรรมการพฒั นาเคร่อื งมอื องค์ประกอบของ REALM-Teen มี 1 องคป์ ระกอบคอื ความสามารถในการอ่านศพั ทท์ างการแพทยท์ ใ่ี ชใ้ นหน่วย บริการทางสุขภาพประกอบด้วย คาศัพท์จานวน 66 คา และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ สมั ภาษณ์ และทดสอบความสามารถในการอ่านออกเสยี งคาต่างๆ ท่เี ป็นขอ้ ทดสอบใช้เวลา ทดสอบประมาณ 2 – 3 นาที จาแนกระดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยการจดั ช่วงคะแนน ระหว่าง 0 – 66 คะแนน เป็น 5 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มคะแนนท่มี ที กั ษะระดบั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ลง มา (คะแนนระหว่าง 0 – 37 คะแนน) กลุ่มคะแนนท่ีมีทักษะระดบั ประถมศึกษาปีท่ี 4 – 5 (คะแนนระหวา่ ง 38 – 47 คะแนน) กลุม่ คะแนนทม่ี ที กั ษะระดบั ประถมศกึ ษาทป่ี ี 6 - มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี 1 (คะแนนระหว่าง 48 - 58 คะแนน) กลุ่มคะแนนท่มี ที กั ษะระดบั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 (คะแนนระหว่าง 59 - 62 คะแนน) และกลุ่มคะแนนท่มี ที กั ษะระดบั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ข้นึ ไป (คะแนนระหว่าง 63 - 66 คะแนน) เม่อื พจิ ารณาผลการตรวจสอบความตรงเชงิ โครงสรา้ งโดยมี การนา REALM-Teen ไปหาค่าสมั ประสทิ ธสิ ์ หสมั พนั ธก์ บั แบบทดสอบทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การอ่าน ทวั่ ไปซง่ึ ประกอบดว้ ย Wide Range Achievement Test (WRAT) และ Slosson Oral Reading Test (SORT-R) โดยมคี ่าระดบั ความสมั พนั ธ์ระหว่างแบบทดสอบการอ่านทงั้ สองชนิดอยู่ใน ระดบั สงู คอื ค่าระดบั ความสมั พนั ธห์ รอื ค่า r เท่ากบั 0.83 และ 0.93 ตามลาดบั และทดสอบค่า ความเช่อื มนั่ โดยใชว้ ธิ กี ารทดสอบซ้า (Test-retest reliability) โดยมคี ่าความเช่อื มนั่ ในระดบั สงู เท่ากบั 0.98 และวเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ งภายในโดยใช้ค่าสมั ประสทิ ธแิ ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach's alpha) โดยมรี ะดบั ความเช่อื มนั่ เทา่ กบั 0.94 10. The eHealth Literacy Scale (eHEALS) แบบวัดระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ทางอเิ ลก็ ทรอนิคส์ เป็นแบบวดั ท่ใี ห้ผูท้ าแบบวดั ประเมนิ ตนเอง (Self-report) ของ Norman & องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
48 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Skinner (2006) โดย eHEALS มกี ารออกแบบเพ่อื ประเมนิ ทกั ษะการรบั รขู้ องบุคคล ในการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือสุขภาพ และเพ่ือช่วยในการกาหนดความเหมาะสมของการใช้ โปรแกรม eHEALS กบั บุคคลแต่ละกลุ่มโดยวดั จาก 6 ดา้ น คอื วฒั นธรรม (Traditional) ขอ้ มลู ข่าวสาร (Information) สุขภาพ (Health) การใชค้ อมพวิ เตอร์ (Computer) การรจู้ กั ส่อื (Media) และ การรูเ้ ร่อื งทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific literacy) มขี อ้ คาถาม 8 ข้อ โดยให้กลุ่มตวั อย่าง ตอบแบบวดั ดว้ ยตนเอง แบบทดสอบน้ไี มม่ กี ารรายงานระยะเวลาในการทาแบบทดสอบ ส่วนผล การทดสอบความตรงเชงิ โครงสร้างดว้ ยการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบพบว่า ขอ้ คาถามทงั้ 8 ขอ้ ของความรอบรดู้ ้านสุขภาพสามารถอธบิ ายความแปรปรวนไดร้ อ้ ยละ 55.99 โดยมคี ่าน้าหนัก องคป์ ระกอบอยรู่ ะหวา่ ง 0.6 – 0.84 และคา่ ความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากบั 0.88 11. Functional Communication and Critical Health Literacy Scales (FCCHL) เป็น แบบวดั ท่พี ฒั นาข้นึ โดย Ishikawa, Takeuchi & Yano (2008) ตามนิยามของ Nutbeam ท่วี ่า ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ เป็นความสามารถของบุคคลทจ่ี ะเขา้ ถงึ เขา้ ใจและการใชส้ ารสนเทศน้ี เป็นขอ้ มลู ประกอบในการเลอื กและตดั สนิ ใจกระทาพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพตนเอง ซง่ึ สรา้ ง เป็นแบบวดั Psychometric ทใ่ี หผ้ ปู้ ่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ทเ่ี ป็นผปู้ ่วยนอกจานวน 138 คน ประเมนิ ตนเองตามข้อคาถามในแบบวดั ท่ปี ระกอบด้วย ตวั แปรด้านชวี สงั คมและข้อมูลการ เจ็บป่ วย ความรู้เร่ืองโรคเบาหวาน พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลสุขภาพ และการรับรู้ ความสามารถของตนเอง (Sociodemographic, knowledge of diabetes, information-seeking behaviors, and self-efficacy) และทาการประเมินระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่ วย โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยแบ่งเป็ น 3 ระดับขัน้ คือ ขนั้ พ้ืนฐาน ในขอบเขตท่ีผู้ป่ วยมี ประสบการณ์ในการอ่านคาแนะนาหรอื แผ่นพบั จากโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทวั่ ไป ขนั้ การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ เป็นขอ้ คาถามเก่ยี วกบั การส่อื สารขอ้ มูลกบั บุคลากรทางการแพทยแ์ ละคน อ่นื ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั โรคเบาหวาน ตงั้ แต่ผู้ป่ วยไดร้ บั การวนิ ิจฉัยโรค ขนั้ วจิ ารณญาณ เป็นขอ้ คาถามเก่ยี วกบั การท่ผี ู้ป่ วยมกี ารวเิ คราะห์และใช้ขอ้ มูลในการตดั สนิ ใจเพ่อื การดูแลสุขภาพ ตนเอง ซ่งึ แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพท่วี ดั ระดบั ขนั้ พ้นื ฐาน ขนั้ การปฏสิ มั พนั ธ์และขนั้ วิจารณญาน มคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach's alpha เท่ากับ 0.84, 0.77 และ 0.65 ตามลาดบั ทัง้ น้ีแบบวัดเพ่ือประเมินระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ฉบับน้ี จะช่วยให้เข้าใจระดับ ความสามารถและทกั ษะท่จี าเป็นของผู้ป่ วยทเ่ี ป็นอุปสรรคต่อการจดั การตนเองในการควบคุม โรคเบาหวานและการกระทาพฤตกิ รรมในการส่งเสรมิ สขุ ภาพตนเองต่อไป 12. The HLS-EU-Q47 เป็นแบบวดั ทพ่ี ฒั นาขน้ึ จากทุนงบประมาณของ the European Commission’s Health Programme โดย Sørensen (2013) ซ่งึ พฒั นาขน้ึ จากการทาเดลฟาย การสนทนากลุ่มนกั วชิ าการและผเู้ กย่ี วขอ้ ง การนาไปทดลองใช้ในพน้ื ท่ี พรอ้ มผ่านผทู้ รงคุณวุฒิ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
49 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 25 คน และแปลเป็ นหลายภาษา (Delphi, focus groups, field-test, expert consultations, translations) เพ่อื นาไปใชใ้ นการวดั ใน ประเทศยุโรปโดยมคี ่า Chronbach’s alpa อยู่ระหว่าง 0.51 – 0.91 รวมจานวน 47 ข้อ เป็นมาตราส่วนประมาณค่าตาม likert scale 5 ระดบั คอื ให้ คะแนน 1 หมายถงึ ยากมาก, 2 ยาก, 3 งา่ ย, 4 งา่ ยมาก และ 5 คอื ไมท่ ราบ/ไมเ่ คย โดยวดั จาก 4 องคป์ ระกอบคอื การเขา้ ถงึ ความเขา้ ใจ การตรวจสอบ/ประเมนิ /ตดั สนิ ใจ และการนาขอ้ มลู ไป ประยุกต์ใช้ ในบรบิ ทของการดาเนินการ 3 ด้านคอื การดูแลรกั ษา การป้องกนั โรคและการ ส่งเสรมิ สุขภาพ เม่อื รวมเป็นเมทรกิ ซ์ (4 องค์ประกอบ × 3 บรบิ ทของการดาเนินการ) จงึ ประกอบดว้ ย 12 ดา้ นย่อย ดงั ตวั อยา่ งขอ้ คาถาม ในบรบิ ท/องค์ประกอบ เช่น 1) ดา้ นการดูแล รกั ษา/การเข้าถึงขอ้ มูล เช่น ข้อท่ี 1 การค้นหาข้อมูลเก่ยี วกบั อาการเจ็บป่ วยด้วยโรคท่ีท่าน ตระหนักอยู่ ? ข้อท่ี 2 การค้นหาข้อมูลเก่ียวกับการรกั ษาอาการเจ็บป่ วยด้วยโรคท่ีท่าน ตระหนักอยู่ ? 2) ดา้ นการดแู ลรกั ษา/ความเขา้ ใจ เช่น ขอ้ ท่ี 5 ความเขา้ ใจในสงิ่ ทแ่ี พทยพ์ ูดกบั ท่าน ขอ้ ท่ี 8 ความเขา้ ใจคาแนะนาของแพทยห์ รอื เภสชั กรเกย่ี วกบั ขอ้ กาหนดวธิ ใี ชย้ า? 3) ดา้ น การดูแลรกั ษา/การประเมนิ เช่น ข้อท่ี 10 ตดั สนิ ข้อดแี ละขอ้ เสยี ของทางเลอื กในการรกั ษาท่ี แตกต่างกนั ? ขอ้ 12 ตดั สนิ ความน่าเช่อื ถอื ของขอ้ มลู เก่ยี วกับความเจบ็ ป่ วยจากส่อื ? 4) ดา้ น การป้องกนั /การเข้าถึงข้อมูล เช่น ข้อท่ี 18 การค้นหาข้อมูลเก่ียวกับวิธีการจดั การปัญหา สุขภาพจติ เช่น ความเครยี ดหรอื ภาวะซมึ เศรา้ ? ขอ้ ท่ี 20 การหาขอ้ มลู เกย่ี วกบั วธิ กี ารป้องกนั / จดั การ เช่น การมนี ้าหนักเกนิ ความดนั โลหติ สูงหรอื คอเลสเตอรอลสงู ? 5) ดา้ นการป้องกนั / การนาขอ้ มลู ไปประยกุ ตใ์ ช้ เช่น ขอ้ ท่ี 29 ตดั สนิ ใจว่าท่านจะรบั วคั ซนี ไขห้ วดั หรอื ไม่จากขอ้ มลู ? ขอ้ ท่ี 31 ตดั สนิ ใจว่าท่านจะป้องกนั ตวั เองจากการเจบ็ ป่วยไดอ้ ย่างไรโดยพจิ ารณาจากขอ้ มลู ใน ส่อื ? และ 6) ดา้ นการส่งเสรมิ สุขภาพ/ การประเมนิ เช่น ขอ้ ท่ี 41 การตดั สนิ ว่าชวี ติ ของท่านจะ อยทู่ ไ่ี หนกต็ ามกจ็ ะมผี ลต่อสขุ ภาพและความสุข? ขอ้ ท่ี 43 ตดั สนิ ว่าการกระทาในชวี ติ ประจาวนั เกย่ี วขอ้ งกบั สขุ ภาพของท่านเสมอ? เป็นตน้ 13. Health Literacy Questionnaire (HLQ) เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นาข้นึ โดย Osborne et al. (2013) ทใ่ี ชว้ ดั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพสาหรบั ประชาชนทวั่ ไปทุกกลุ่มวยั ซง่ึ พฒั นาขน้ึ จาก ขอ้ มลู ฐานรากทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณ์และการประชุมปฎบิ ตั กิ ารในกลุ่มต่างๆ ทงั้ กลุ่มประชาชน ผู้ป่ วย ผู้ปฏบิ ตั ิและผู้กาหนดนโยบาย รวมทงั้ ขอ้ คาถามท่ไี ด้จากการท่ปี ระชาชนขอคาปรกึ ษา ดา้ นสุขภาพโดยตรงจากผเู้ ชย่ี วชาญ และทาการทดสอบเคร่อื งมอื น้ีจากกลุ่มประชาชนในพน้ื ท่ี ชุมชน ศูนยด์ ูแลสุขภาพและโรงพยาบาลจานวน 634 คน และตรวจสอบซ้ากบั ประชาชน 405 คน ซง่ึ แบบวดั ฉบบั น้ี สามารถใชใ้ นการสารวจความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของประชาชนทวั่ ไป ใชใ้ น การประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และศกึ ษาความต้องการเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้าน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
50 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ สุขภาพของประชาชนเป็นรายบุคคลได้ ทงั้ น้ีผลการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั พบว่า มี 9 องคป์ ระกอบและจานวน 44 ขอ้ สรปุ ค่าคณุ ภาพของแบบวดั ดงั ตาราง 2-1 ตาราง 2-1 ค่าคุณภาพของแบบวดั HLQ ของ Osborne et al. (2013) องคป์ ระกอบ จานวนข้อ ค่าความยาก ค่าความเช่ือมนั ่ ค่าน้าหนัก ค่า รวม 44 ข้อ ของแบบวดั ของแบบวดั องคป์ ระกอบ R2 1. ความรสู้ กึ ความเขา้ ใจและการไดร้ บั 4 0.10 - 0.19 0.88 0.39 - 0.67 0.58 - 0.98 สนบั สนุนจากผใู้ หบ้ รกิ ารสขุ ภาพ 2. การมขี อ้ มลู เพยี งพอในการ 5 0.11 - 0.27 0.88 0.73 - 0.98 0.54 - 0.96 จดั การสขุ ภาพตนเอง 3. การจดั การสขุ ภาพของตนเอง 5 0.13 - 0.30 0.86 0.72 - 0.91 0.52 - 0.82 4. การไดร้ บั การสนบั สนุนดา้ น 5 0.10 - 0.19 0.84 0.70 - 0.89 0.48 - 0.79 สขุ ภาพ 5. การประเมนิ ขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพได้ 5 0.18 - 0.38 0.77 0.59 - 0.86 0.34-0.74 6. ความสามารถในการเขา้ ร่วม 5 0.15 - 0.24 0.90 0.79 - 0.88 0.63 - 0.77 กจิ กรรมกบั ผใู้ หบ้ รกิ ารดา้ น สขุ ภาพได้ 7. การสบื คน้ ขอ้ มลู ระบบบรกิ าร 5 0.07 - 0.42 0.88 0.61 - 0.94 0.37 - 0.88 สขุ ภาพ 8. ความสามารถในการหาขอ้ มลู ทด่ี ี 5 0.20 - 0.27 0.89 0.81 - 0.87 0.66 - 0.75 ดา้ นสขุ ภาพ 9. ความเขา้ ใจขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพ 5 0.08 - 0.16 0.88 0.80 - 0.88 0.63 - 0.78 อย่างเพยี งพอทท่ี าใหร้ วู้ า่ จะทา อยา่ งไรต่อ จากลกั ษณะของแบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพดงั กล่าวขา้ งต้น จะเหน็ ไดว้ ่าส่วนใหญ่ จะเป็นแบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในระดบั พ้นื ฐาน (Functional) ทป่ี ระเมนิ ทกั ษะการอ่าน และเข้าใจขอ้ มูลข่าวสารท่มี าจากหลายแหล่งทัง้ จากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ส่อื สารมวลชน ทางสงั คม และพฒั นาขน้ึ เพอ่ื ใชป้ ระเมนิ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพสาหรบั กลุ่มเส่ยี ง บางกลุ่ม จงึ ยงั มขี อ้ จากดั ท่นี ่าสนใจสาหรบั นักวชิ าการไทย ทจ่ี ะพฒั นาเครอ่ื งมอื วดั ความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพสาหรบั คนไทยทม่ี คี วามเสย่ี งทางดา้ นสุขภาพตามกลุ่มวยั เชน่ กลมุ่ วยั เดก็ เสย่ี งโรค อ้วน กลุ่มวยั รุ่นชายเส่ยี งยาเสพตดิ กลุ่มวยั รุ่นหญิงเสย่ี งการตงั้ ครรภ์ก่อนวยั กลุ่มวยั รุ่นและ เยาวชนเส่ยี งทางเพศ กลุ่มวยั ผูใ้ หญ่เสย่ี งโรคเรอ้ื รงั โรคจากการทางาน กลุ่มผู้สูงอายุเสย่ี งต่อ ภาวะแทรกซอ้ นจากโรคเรอ้ื รงั เป็นตน้ ดงั การศกึ ษาเครอ่ื งมอื วดั ในประเทศไทย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
51 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เครื่องมือวดั ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในประเทศไทย แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพในประเทศไทยตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2556 – 2559 มีการ พฒั นาข้นึ ตามองค์ประกอบ ของ Nutbeam (2009) เป็นหลกั ท่ีมี 3 ระดับ 6 ด้านได้แก่ 1) ระดบั พ้นื ฐาน (Functional literacy level) มดี ้านการเข้าถึงข้อมูล (Access) และด้านความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive) 2) ระดบั ปฏิสมั พันธ์ (Interactive literacy level) มดี ้านทักษะการ ส่ือสาร (Communication skill) และ ด้านการจัดการตนเอง (Self-management) 3) ระดับ วจิ ารณญาณ (Critical literacy level) มดี ้านการรูเ้ ท่าทนั ส่อื (Media literacy) และด้านทกั ษะ การตดั สนิ ใจ (Decision skill) ซ่งึ แนวคดิ น้ี สามารถเป็นกรอบในการพฒั นาเคร่อื งมอื วดั ทงั้ ใน การดูแลรกั ษาทางคลินิก (Clinical care) หรือในกลุ่มผู้ป่ วย และการส่งเสริมสุขภาพของ ประชาชน (Public health) หรอื ประชาชนกลุ่มเสย่ี ง ไดแ้ ก่ 1. แบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพเกย่ี วกบั โรคอว้ นของนกั เรยี นไทยระดบั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 3 ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ มคี ่าความเช่อื มนั่ ทงั้ ฉบบั Cronbach’s alpha เทา่ กบั 0.86 2. แบบวดั ABCDE – HL Scale of Thai Adults ตามหลกั 3อ.2ส. สาหรบั กลุ่มเส่ยี ง โรคเบาหวานและความดนั โลหติ สูง ซง่ึ ฉบบั ยาวมี 36 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.67 - 0.91 ฉบบั สนั้ มี 19 ขอ้ มคี า่ ความเชอ่ื มนั่ Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.60 - 0.79 3. แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพสาหรบั เด็กและเยาวชนไทยท่มี ภี าวะน้าหนักเกิน (Health Literacy Scale for Thai Childhood Overweight) มี 35 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.70 - 0.82 4. แบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเพ่อื ป้องกนั การตงั้ ครรภ์ก่อนวยั อนั ควรสาหรบั สตรี ไทยวัยรุ่นอายุ 15 - 21 ปี (Health Literacy Scale for Unwanted Pregnancy Prevention of Thai Female Adolescents) มี 38 ข้อ มีค่าความเช่ือมนั่ Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.87 - 0. 90 สาหรบั ผลการสารวจเพ่อื ประเมนิ HL โดยมเี กณฑม์ าตรฐานกาหนดคะแนนท่ไี ด้ต่ากว่า 60% คอื ไม่ดี คะแนนอย่ใู นช่วง 60 - < 80% คอื พอใช้ และ 80% ขน้ึ ไปคอื ดมี าก ตามเกณฑก์ าร แบ่งระดบั การเรยี นรขู้ อง Bloom (1968) 5. แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลกั หลกั สุขบญั ญตั ิแห่งชาตสิ าหรบั เด็กและ วยั รนุ่ อายุ 7-14 ปี เป็นแบบประเมนิ ทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย กองสขุ ศกึ ษา รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั ศรนี คริ นทรวโิ รฒ ในปีงบประมาณ 2558 (กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข, 2559) ซง่ึ ฉบบั ยาวมี 51 ขอ้ มคี ่า Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.69 - 0.77 และฉบบั สนั้ มี 30 ขอ้ โดยมี คา่ ความเชอ่ื มนั่ Cronbach’s Alpha ระหว่าง 0.55 - 0.81 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
52 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 6. แบบวัดความรู้แจ้งแตกฉานด้านสุขภาพ (Health literacy) สาหรับผู้ป่ วย โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง มีข้อคาถามจานวน 145 ข้อ โดยมีค่าความเช่ือมัน่ Cronbach’s alpha ระหว่าง 0.54 -0.97 โดยแบ่งช่วงคะแนนเป็น 2 ช่วงคอื ผู้อยู่ในระดบั รแู้ จง้ คอื ระดบั คะแนน > 75% และในระดบั รจู้ กั มคี ะแนนอยทู่ ร่ี ะดบั < 75 % 7. แบบวดั ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพคนไทยฉบบั ทวั่ ไป (General Thai Health Literacy Scales) จานวน 47 ขอ้ เป็นมาตราประมาณค่า 5 ระดบั มคี า่ Cronbach’s alpha ทงั้ ฉบบั เท่ากบั 0.96 มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพเก่ียวกบั โรคอ้วนของนักเรียนมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 พฒั นาขน้ึ โดย นฤมล ตรเี พชรศรอี ุไรและ เดชา เกตุฉ่า (2554) เครอ่ื งมอื พฒั นามาจากแนวคดิ ของ Nutbeam โดยวดั จาก 4 ดา้ นคอื 1) ทกั ษะการจดั การตนเอง 2) ทกั ษะการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และ บรกิ ารสุขภาพ 3) ทกั ษะการส่อื สารเพ่อื เสรมิ สรา้ งสุขภาพและลดความเสย่ี งต่อสุขภาพและ 4) การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื มคี ่าความเช่อื มนั่ ทงั้ ฉบบั เท่ากบั 0.86 2. แบบวดั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพของคนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป ในการปฏบิ ตั ติ ามหลกั 3อ.2ส. ในกลุม่ เสย่ี งโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สงู (The ABCDE-health literacy scale for Thai adults) เป็นแบบประเมนิ ท่พี ฒั นาข้นึ โดย กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปี งบประมาณ 2556 (Intarakamhang & Kwanchuen, 2016; กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ ร่วมกบั สถาบนั วิจยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ, 2557) โดยใช้การทบทวน วรรณกรรมอย่างเป็ นระบบ (Systematic review) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory factor analysis-CFA) และการวเิ คราะหโ์ มเดลโครงสรา้ งเชงิ สาเหตุ (Structural Equation Model-SEM) เรมิ่ ตน้ จากการสงั เคราะหน์ ิยามและเครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ในต่างประเทศทเ่ี ผยแพร่บทความวจิ ยั ฉบบั เตม็ ในฐาน PubMed และ Science Direct ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1996 – 2013 จานวน 29 เร่อื ง ทาให้ได้องค์ประกอบการวดั 6 ด้านจาก 3 ระดบั ตาม นยิ ามของ Nutbeam (2008) และ Edward, Wood, Davies & Edwards (2012) คอื ระดบั พ้นื ฐาน 1) ความรแู้ ละความเขา้ ใจทางสุขภาพ (Needed health knowledge and understanding) 2) การ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ าร (Accessing with information and service) ระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ 3) การ สอ่ื สารเพมิ่ ความเชย่ี วชาญ (Communicating for added professionals) 4) การจดั การเงอ่ื นไข ทางสุขภาพตนเอง (Managing their health condition) ระดบั วจิ ารณญาน 5) การรู้เท่าทัน ส่อื สารสนเทศ (Getting media and information literacy) และ 6) การตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ิท่ี ถูกต้อง (Making appropriate health decision to good practice) และนาแบบวดั ไปตรวจสอบ กบั กลุ่มตวั อย่าง 13 จงั หวดั รวม 4,401 คน ผลการวเิ คราะห์พบว่า แบบวดั ความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพมคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี ดงั ตาราง 2-2 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
53 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตาราง 2-2 ค่าคุณภาพของแบบวดั The ABCDE-health literacy scale for Thai adults องคป์ ระกอบ จานวนขอ้ คะแนน ค่าสมั ประสิทธ์ิ ค่าความเช่ือมนั่ คา่ น้าหนัก รวม 36 ขอ้ เตม็ สหสมั พนั ธ์ Cronbach's alpha องคป์ ระกอบ 1.ความรแู้ ละความเขา้ ใจทางสขุ ภาพ 10 10 0.43 - 0.77 0.61 0.39 - 0.67 (คา่ ความยากงา่ ยเทา่ กบั 0.49 - 0.66) (KR-20) 2. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ าร 5 20 0.63 - 0.73 0.86 0.72 - 0.84 3. การสอ่ื สารเพม่ิ ความเชย่ี วชาญ 6 24 0.55 - 0.85 0.91 0.74 - 0.85 4. การจดั การเง่อื นไขทางสขุ ภาพตนเอง 5 20 0.69 - 0.75 0.89 0.71 - 0.79 5. การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศ 5 20 0.55 - 0.71 0.83 0.39 - 0.77 6. การตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง 5 20 0.22 - 0.48 0.67 0.69 - 0.82 3. แบบวดั ความรอบรูด้ ้านสุขภาพสาหรบั เด็กและเยาวชนไทยท่มี ภี าวะน้าหนักเกิน (Health literacy scale for Thai childhood overweight) เป็นแบบประเมนิ ทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย กอง สขุ ศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสขุ รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิ โรฒ ในปี งบประมาณ 2557 (Intarakamhang & Intarakamhang, 2017) ซ่ึงสังเคราะห์ องค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพจากงานวิจยั ฉบับเต็มท่เี ผยแพร่ในฐาน PubMed และ Science Direct ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 2000 – 2013 ทใ่ี ชว้ ดั กบั เดก็ และเยาวชนจานวน 6 เรอ่ื ง ทาใหไ้ ด้ องคป์ ระกอบ 6 ดา้ น ตามนิยามของ Nutbeam (2008) และนาแบบวดั ไปตรวจสอบกบั กลุ่มเดก็ และวยั รนุ่ อายุ 9 -14 ปี ทม่ี ภี าวะน้าหนกั เกนิ (Body Mass Index: BMI 22 -25 kg/m2) ดว้ ยการ สุ่มแบบแบง่ ชนั้ ภมู ิ (Stratified random sampling) ตามสงั กดั โรงเรยี นและจงั หวดั ทต่ี งั้ ใน 4 ภาค ของประเทศไทยรวม 2,000 คน ผลการวิเคราะห์พบว่า แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพมี คุณภาพอยใู่ นระดบั ดี ดงั ตาราง 2-3 ตาราง 2-3 ค่าคุณภาพของแบบวดั Health literacy scale for Thai childhood overweight องคป์ ระกอบ จานวนข้อ คะแนน ค่าสมั ประสิทธ์ิ ค่าความเชื่อมนั ่ ค่าน้าหนัก รวม 35 ข้อ เตม็ สหสมั พนั ธ์ Cronbach's alpha องคป์ ระกอบ 1.ความรแู้ ละความเขา้ ใจทาง 10 10 0.45 - 0.80 0.76 0.39 - 0.66 สขุ ภาพ (KR-20) 2. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ าร 5 20 0.40 - 0.57 0.74 0.66 - 0.73 3. การสอ่ื สารเพมิ่ ความเชย่ี วชาญ 6 24 0.50 - 0.60 0.79 0.61 - 0.80 4. การจดั การเงอ่ื นไขทางสขุ ภาพ 5 20 0.52 - 0.64 079 0.70 - 0.78 ตนเอง 5 20 0.53 - 0.64 0.82 0.66 - 0.73 5. การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศ 6. การตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง 4 16 0.26 - 0.36 0.70 0.42 - 0.50 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
54 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 4) แบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเพ่อื ป้องกนั การตงั้ ครรภก์ ่อนวยั อันควรสาหรบั สตรี ไทยวยั รนุ่ 15 - 21 ปี(Health literacy scale for unwanted pregnancy prevention of Thai female adolescents) เป็นแบบวดั ทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย กองสุขศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวง สาธารณสขุ รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒในปีงบประมาณ 2557 (องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกา แหง และธญั ชนก ขุมทอง, 2560) ได้องค์ประกอบการวดั 6 ดา้ นจาก 3 ระดบั ตามนิยามของ Nutbeam (2008) และนาแบบวดั ไปตรวจสอบกบั นกั เรยี นและนกั ศกึ ษาเพศหญงิ อายุ 15 - 21 ปี ศกึ ษาอย่ใู นสถานศกึ ษาสงั กดั 1) สานักงานการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน 2) กรมส่งเสรมิ การปกครอง ส่วนท้องถ่ิน 3) คณะกรรมการการอุดมศึกษา 4) สานักงานอาชวี ศึกษาและ 5) สานักงาน ปลดั กระทรวงศกึ ษา กองการศกึ ษาผใู้ หญ่ รวม 2,000 คน ทก่ี ระจายทงั้ 4 ภาค ในประเทศไทย ผลวเิ คราะหพ์ บว่า แบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพมคี ุณภาพอยใู่ นระดบั ดี ดงั ตาราง 2-4 ตาราง 2-4 คา่ คณุ ภาพของแบบวดั Health literacy scale for unwanted pregnancy prevention of Thai female adolescents องคป์ ระกอบ จานวนขอ้ คะแนน ค่าสมั ประสิทธ์ิ ค่าความเช่ือมนั่ ค่าน้าหนัก รวม 38 ขอ้ เตม็ สหสมั พนั ธ์ Cronbach's alpha องคป์ ระกอบ 1.ความรแู้ ละความเขา้ ใจ 8 8 0.34-0.78 0.76 0.22 – 0.88 (KR-20) 2. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ าร 5 20 0.71-0.77 0.89 0.79 – 0.85 3. การสอ่ื สารเพมิ่ ความเชย่ี วชาญ 6 24 0.57-0.72 0.87 0.57 – 0.85 4. การจดั การเงอ่ื นไขทางสขุ ภาพ 5 20 0.65-0.80 0.90 0.81– 0.92 ตนเอง 5. การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศ 5 20 0.72-0.75 0.89 0.73 – 0.89 6.การตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกตอ้ ง 9 32 0.12-0.75 0.87 0.53 – 0.84 5. แบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพตามหลกั สุขบญั ญตั แิ ห่งชาตสิ าหรบั เดก็ วยั เรยี นอายุ 7-14 ปี เป็นแบบประเมนิ ทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย กองสุขศกึ ษา รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ในปีงบประมาณ 2558 (กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข, 2559) โดยพฒั นา เคร่อื งมอื ตามกรอบแนวคดิ ของ Nutbeam (2008) และปรบั ปรุงจากแบบวดั ความรอบรู้ด้าน สุขภาพของคนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป ในการปฏบิ ตั ติ ามหลกั 3อ.2ส. ในบรบิ ทเน้ือหาทต่ี ่างกัน หลงั จากนนั้ ไดผ้ ่านการตรวจสอบความตรงเชงิ เน้ือหาจากผเู้ ชย่ี วชาญและการทดลองใชใ้ นกลุ่ม เดก็ นักรยี นในเขตกรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑลจานวน 100 คน ซ่งึ มจี านวน 44 ขอ้ เป็น องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
55 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ มาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดบั จากประจา นานๆ ครงั้ และแทบไม่เคยเลย ทงั้ น้ีแบบวดั น้ีได้ นาไปใช้ในการประเมนิ ความรอบรดู้ ้านสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพเร่อื งสุขบญั ญตั แิ ห่งชาติ ของกลุ่มเด็กและเยาวชนในระยะก่อน (กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2558) และหลงั (กรกฎาคม พ.ศ. 2558) ดาเนินการถ่ายทอดความรสู้ ่กู ลุ่มเป้าหมายในตาบลจดั การสุขภาพจานวน 5,558 คน ผล วจิ ยั พบว่า ภายหลงั การถ่ายทอดความรแู้ ละการดาเนินกจิ กรรมปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมลดโรค พบว่ากลุ่มเป้าหมายมรี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพดขี น้ึ กว่าก่อนดาเนินการ (P< 0.05) และเมอ่ื พจิ ารณาผลการตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพตามหลกั สขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ นนั้ พบว่า อยใู่ นระดบั ดี ดงั ตาราง 2-5 ตาราง 2-5 ค่าคุณภาพของแบบวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพตามหลกั สุขบญั ญตั แิ ห่งชาตสิ าหรบั เดก็ วยั เรยี นอายุ 7-14 ปี แบบวดั ข้อคาถาม คะแนน ค่าอานาจ ค่าความเชื่อมนั่ (51 ขอ้ ) เตม็ จาแนก Cronbach's alpha 1.ความรแู้ ละความเขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั ปฎบิ ตั ติ ามสขุ บญั ญตั ิ 20 20 0.40-0.56 0.73 แหง่ ชาติ 2. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ 3 9 0.19-0.33 0.76 3. การสอ่ื สารเพมิ่ ความเชย่ี วชาญตามสขุ บญั ญตั แิ หง่ ชาติ 5 24 0.27-0.45 0.77 4. การจดั การและดแู ลตนเองตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ 10 30 0.24-0.56 0.76 5. การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ 3 9 0.26-0.32 0.76 6. การตดั สนิ ใจเพ่อื สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ 10 40 0.23-0.34 0.69 6. เครอ่ื งมอื วดั ความรแู้ จง้ แตกฉานดา้ นสขุ ภาพสาหรบั ผปู้ ่วยโรคเบาหวานและความดนั โลหิตสูง เป็นแบบประเมินท่ีพัฒนาข้ึนโดย กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล (ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ และ นรมี าลย์ นีละ ไพจติ ร, 2559) ทาการทดสอบกบั ประชาชนอายุ 15 ปีขน้ึ ไป ท่ไี ดร้ บั การวนิ ิจฉัยจากแพทยว์ ่า เป็นโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สงู ทม่ี ารบั บรกิ ารในสถานบรกิ ารสุขภาพทม่ี คี ลนิ ิกโรคเรอ้ื รงั ใน 76 จังหวัดๆ ละ 1 แห่งรวม 3,676 คน จังหวัดละ 40-50 คนท่ีประกอบด้วยผู้ป่ วย โรคเบาหวาน 10 คน ผปู้ ่วยโรคความดนั โลหติ สงู 10 คน และผปู้ ่วยทเ่ี ป็นทงั้ โรคเบาหวานและ โรคความดนั โลหติ สูง 30 คน โดยประมาณ ซ่งึ มจี านวนขอ้ คาถามและคุณภาพของแบบวดั ดงั ตาราง 2-6 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
56 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตาราง 2-6 ค่าคุณภาพของแบบวดั ความรู้แจง้ แตกฉานด้านสุขภาพของผู้ป่ วยโรคเบาหวานและ ความดนั โลหติ สงู แบบวดั ข้อคาถาม คะแนน ค่าอานาจ ค่าความเชื่อมนั่ 145 ข้อ เตม็ จาแนก Cronbach's alpha 1. แบบประเมนิ ความตอ้ งการความช่วยเหลอื ดา้ น 2 8 0.69 0.81 ขอ้ มลู สขุ ภาพ 2. แบบประเมนิ การอ่านศพั ทพ์ น้ื ฐานทาง 66 66 0.55-0.97 0.98-0.99 การแพทย์ (มคี า่ ความยากงา่ ยเท่ากบั 0.38-0.78) (KR-20) 3. แบบทดสอบความเขา้ ใจตวั เลข 8 8 0.52-0.57 0.82 (มคี า่ ความยากงา่ ยเท่ากบั 0.30-0.74) (KR-20) 4. แบบประเมนิ ความสามารถในการเขา้ ถงึ หรอื 5 5 0.26-0.43 0.54 แสวงหาขอ้ มลู สขุ ภาพ 5. แบบทดสอบความรคู้ วามเขา้ ใจโรค/การปฏบิ ตั ติ วั 36 36 0.29-0.78 0.78-0.89 • สาหรบั ผปู้ ่วยโรคเบาหวาน (KR-20) • สาหรบั ผปู้ ่วยโรคความดนั โลหติ สงู (30) (30) • สาหรบั ผปู้ ่วยทเ่ี ป็นทงั้ โรคเบาหวานและความดนั (20) (20) โลหติ สงู (มคี ่าความยากง่ายเท่ากบั 0.30-0.79) (36) (36) 6. แบบประเมนิ การปฏบิ ตั สิ อ่ื สารในกรณีถูกถาม 17 85 0.72-0.85 0.97 ปัญหาต่างๆ 7. แบบประเมนิ การตดั สนิ ใจ 11 32 • การตดั สนิ ใจกรณตี ่างๆ (คา่ ความยากง่าย 0.20-0.78) (4) (4) 0.20-0.38 0.49 (KR-20) • การตดั สนิ ใจเม่อื ตอ้ งไปนอกพน้ื ท่ี (7) (28) 0.31-0.5 0.97 7. แบบวดั ความรอบรู้ด้านสุขภาพคนไทยฉบบั ทวั่ ไป (General Thai health literacy scales) ซ่งึ เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นามาจากแนวคดิ ของ Osborne et al. (2013) ป็นแบบวดั ความ รอบรดู้ า้ นสุขภาพสาหรบั ประชาชนทวั่ ไปมี 9 องค์ประกอบ แต่ในการพฒั นาแบบวดั ครงั้ น้ี ได้ วเิ คราะหเ์ น้ือหานิยามความหมายและวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ สารวจทาให้ได้กลุ่มขอ้ คาถาม จานวน 5 องคป์ ระกอบ โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จาก 4 กลุม่ คอื 1) กลมุ่ เดก็ นกั เรยี นทก่ี าลงั ศกึ ษา ในระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาท่มี อี ายุ 7-14 ปี ในสงั กดั สานกั งานการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน (สพฐ) สานกั งานการศกึ ษาทอ้ งถนิ่ และสานกั งานการศกึ ษาเอกชน 2) กลมุ่ วยั รนุ่ อายุ 15 - 24 ปี ทก่ี าลงั ศกึ ษาในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาในสงั กดั สพฐ ในวทิ ยาลยั อาชวี ะศกึ ษา และมหาวทิ ยาลยั 3) กล่มุ วยั ผใู้ หญ่อายุ 25 - 59 ปี ทท่ี างานในหน่วยงานภาครฐั ภาคเอกชน และไมไ่ ดท้ างานนอก บา้ นอาศยั อยใู่ นชุมชน และ 4) กลุ่มสงู วยั อายุ 60 – 75 ปี ทม่ี ารบั บรกิ ารสุขภาพในโรงพยาบาล และกลุ่มทอ่ี าศยั ในเขตและนอกเขตเทศบาล โดยไดจ้ ากการกาหนดโควต้าจาก 4 ภมู ภิ าค ๆ ละ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
57 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 1,000 คน และแต่ละภูมภิ าคประกอบดว้ ย กลุ่มวยั ละประมาณ 250 คน ในแต่ละภูมภิ าค รวม 4,000 คน โดยมกี ารสุ่มหลายขนั้ ขนั้ ท่ี 1 ใชว้ ธิ สี ุ่มตวั อยา่ งแบบกลุ่ม (Cluster sampling) ใชจ้ งั หวดั เป็นกลุ่ม มาภูมิภาคละ 2 จงั หวดั ขนั้ ท่ี 2 ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชัน้ (Stratified random sampling) โดยการแบ่งประชากรแต่ละจงั หวดั และกาหนดโควต้าใหค้ รอบคลุมกลุ่มอายุทงั้ 4 กลุ่ม เท่าๆ กนั ผลการตรวจสอบคุณภาพแบบวดั มคี ่าความเช่อื มนั่ รวมทงั้ ฉบบั Cronbach's alpha เท่ากบั 0.97 และเม่อื นาแบบวดั ไปใช้แยกกลุ่ม ก็ยงั คงมคี ่าความเช่อื มนั่ อยู่ในระดบั สูงได้แก่ กลุ่มวยั เรยี น กลุ่มวยั รนุ่ กลมุ่ วยั ผใู้ หญ่ และกล่มุ สงู วยั โดยมคี า่ ความเช่อื มนั่ เท่ากบั 0.96, 0.95, 0.96 และ 0.97 ตามลาดบั และคุณภาพของแบบวดั ท่นี าไปใช้ในกลุ่มรวมพบว่า ได้ผลอยู่ใน ระดบั ดี ดงั ตาราง 2-7 ตาราง 2-7 คา่ คุณภาพของแบบวดั General Thai health literacy scales องคป์ ระกอบ จานวน คะแนน คา่ สมั ประสิทธ์ิ ค่าความเช่ือมนั่ คา่ น้าหนัก รวม47ขอ้ เตม็ สหสมั พนั ธ์ Cronbach's alpha องคป์ ระกอบ 1. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพ 8 40 0.40-0.60 0.81 0.45-0.64 2. การเขา้ ใจขอ้ มลู และบรกิ าร 5 25 0.56-0.61 0.85 0.60-0.74 สขุ ภาพทเ่ี พยี งพอต่อการปฏบิ ตั ิ 3. การตรวจสอบขอ้ มลู และบรกิ าร 6 30 0.58-0.66 0.85 0.62-0.68 สขุ ภาพ 4. การสอ่ื สารและการสนบั สนุนทาง 17 85 0.61-0.68 0.94 0.47-0.77 สงั คม 5. การจดั การสขุ ภาพตนเอง 11 55 0.60-0.66 0.90 0.54-0.75 การพฒั นาเครื่องมือวดั ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพของเดก็ ไทย Intarakamhang & Intarakamhang (2017) ศึกษาการประเมินความรอบรู้ด้าน สุขภาพ สาหรับเด็กไทยในวัยเรียนท่ีมีภาวะน้าหนักเกิน (Health literacy scale for Thai childhood overweight) โดยมวี ตั ถุประสงค์ 1) เพ่อื สรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ น สุขภาพสาหรบั เดก็ ไทย 2) เพ่อื ประเมนิ ระดบั ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพสาหรบั เดก็ ไทย และ 3) เพ่อื พฒั นารปู แบบความสมั พนั ธโ์ ครงสรา้ งเชงิ สาเหตุของพฤตกิ รรมการดูแลรกั ษาสุขภาพเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นในกลุ่มเดก็ ทม่ี อี ายุ 9 - 14 ปี และมภี าวะน้าหนักเกนิ (BMI 23 -25 kg/m2) โดย การสุ่มแบบแบ่งชนั้ ภูมแิ ละกาหนดโควต้าจาแนกตามภูมภิ าครวม 2,000 คน ผลวจิ ยั พบว่า 1) เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพสาหรบั เดก็ และเยาวชนเป็นแบบวดั มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั จาก 0 - 4 คะแนน รวม 55 ขอ้ โดยมคี ่าความเช่อื มนั่ ของครอนบาคอย่รู ะหว่าง 0.52 - องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
58 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 0.82 และค่าดชั นีวดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพอยใู่ นชว่ ง 0.13 - 0.80, 2) กลมุ่ ตวั อยา่ งส่วนใหญ่มี ระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพโดยรวมอย่ใู นระดบั ไม่ดพี อ คดิ เป็นรอ้ ยละ 60.4 และมพี ฤตกิ รรม การป้องกนั โรคอว้ นส่วนใหญ่อยใู่ นระดบั พอใช้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 58.4 รองลงมาเป็น ระดบั ไม่ดพี อ และระดบั ดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 39.0 และ 2.6 ตามลาดบั และ 3) ผลทดสอบรูปแบบเส้นทาง อิทธิพลตามสมมติฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ด้วยค่าสถิติยืนยัน Chi- Square=60.14, df=12, p-value=0.00, RMSEA=.045, AGFI=0.99, CFI=0.99, PNFI=0.72 and χ2/df =5 โดยการมพี ฤตกิ รรมการป้องกนั โรคอว้ นไดร้ บั อทิ ธพิ ลสาคญั จากองคป์ ระกอบย่อย ของความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ซง่ึ จะมเี พมิ่ ขน้ึ ไดต้ อ้ งมาจาก 4 เสน้ ทางหลกั เสน้ ทางท1ี่ เรมิ่ จาก การทบ่ี ุคคลมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทางสุขภาพส่งตรงมายงั พฤตกิ รรมการป้องกนั โรคอ้วน ด้วย น้าหนกั อทิ ธพิ ลเทา่ กบั 0.13 สว่ นเสน้ ทางที่ 2 เรมิ่ จากความรคู้ วามเขา้ ใจทางสขุ ภาพส่งต่อมายงั การจดั การเง่อื นไขทางสุขภาพ การรเู้ ท่าทนั ส่อื และสารสนเทศและการตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ่ี ถูกต้องดว้ ยน้าหนักอทิ ธพิ ลเท่ากบั 0.07, 0.98 และ 0.05 ตามลาดบั และเสน้ ทางที่ 3 เรม่ิ จาก การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ ารส่งตรงมายงั การส่อื สารเพ่อื เพม่ิ ความเชย่ี วชาญ การรเู้ ท่าทนั ส่อื และ สารสนเทศ และการตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกตอ้ ง ดว้ ยน้าหนกั อทิ ธพิ ลเท่ากบั 0.63, 0.93, 0.98 และ 0.05 ตามลาดบั ดงั ภาพประกอบ 2-1 และทกั ษะทางปัญญาระดบั พน้ื ฐานท่ีวดั จากความรู้ ความเขา้ ใจทางสุขภาพ และการเขา้ ถงึ ขอ้ มูลและบรกิ ารท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมการป้องกนั โรคอว้ น โดยส่งผ่านทกั ษะทางสงั คมระดบั ปฏสิ มั พนั ธแ์ ละทกั ษะระดบั วจิ ารณญาณดว้ ยน้าหนกั อทิ ธพิ ลเท่ากบั 0.76, 0.97 และ 0.55 ดงั ภาพประกอบ 2-1 0.13* การรบั ประทาน อาหาร ความรู้ 0.07* 0.05* 0.06* ความเข้าใจ 0.63* การออก ทางสขุ ภาพ การจดั การเงอ่ื นไข การตดั สินใจ กาลังกาย ทางสขุ ภาพตนเอง เลอื กปฏบิ ตั ิ การเข้าถึงข้อมลู ทถ่ี ูกต้อง การควบคุม และบริการ อารมณ์ 0.93* 0.58* 0.98* การสื่อสารเพอ่ื เพม่ิ ความเชย่ี วชาญ 0.58* การรเู้ ท่าทนั สื่อ และสารสนเทศ 0.26* ภาพประกอบ 2-1 รปู แบบเสน้ ทางอิทธิพลระหวา่ งองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ ท่มี ตี อ่ พฤติกรรมการป้องกนั โรคอ้วน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
59 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ความรคู้ วามเขา้ ใจ 0.42* 0.82* การรเู้ ทา่ ทนั สือ่ ทางสุขภาพ และสารสนเทศ ทักษะทางปัญญา ทกั ษะระดับ การตัดสินใจ วิจารณญาณ 0.41* เลอื กปฏิบตั ทิ ี่ การเข้าถึงข้อมูล 0.98* ระดับพ้นื ฐาน และบริการ 0.55* ถกู ตอ้ ง 0.76* 0.97* การส่อื สารเพอ่ื เพมิ่ 0.83* 0.32* การรับประทานอาหาร ความเชีย่ วชาญ พฤติกรรม ทักษะทางสังคม ปอ้ งกนั โรคอ้วน 0.84* การจัดการเงอ่ื นไข 0.81* ระดับปฏิสมั พันธ์ การออกกาลังกาย ทางสุขภาพตนเอง 0.39* การควบคุมอารมณ์ ภาพประกอบ 2-2 ความสมั พนั ธโ์ ครงสร้างเชงิ สาเหตดุ ้านความรอบรดู้ า้ นสุขภาพที่มตี อ่ พฤติกรรม การป้องกนั โรคอว้ น ในงานวจิ ยั เพ่อื พฒั นาเคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของเดก็ ไทยครงั้ น้ี ยงั ไดจ้ ดั ทา เกณฑม์ าตรฐานเพอ่ื จาแนกกล่มุ เดก็ ไทยทม่ี รี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพต่างกนั ไวด้ งั ตาราง ตาราง 2-8 เกณฑม์ าตรฐานการจาแนกระดบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของเดก็ ไทยเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นของแต่ละองคป์ ระกอบในการวดั องคป์ ระกอบ ช่วงคะแนน ระดบั แปลผล 1. ความรคู้ วาม น้อยกว่า 6 คะแนน หรอื ไม่ รแู้ ละเขา้ ใจในการป้องกนั โรคอว้ น ยงั ไมถ่ กู ตอ้ ง เข้าใจทางสขุ ภาพ < 60 % ของคะแนนเตม็ (10 ขอ้ ๆ ละ 1 6 - 7.99 คะแนน หรอื ถกู ตอ้ ง ดพี อต่อการปฏบิ ตั ติ นเพ่อื สขุ ภาพทด่ี ยี งั่ ยนื ถูกตอ้ ง รแู้ ละเขา้ ใจในการป้องกนั โรคอว้ น ทถ่ี กู ตอ้ งบา้ ง คะแนนเตม็ 10 > 60 - < 80% ของคะแนนเตม็ บา้ ง ไมถ่ กู ตอ้ งบา้ งต่อการปฏบิ ตั ติ นเพ่อื สขุ ภาพทด่ี ี คะแนน) 8 คะแนนขน้ึ ไป หรอื ถกู ตอ้ ง รแู้ ละเขา้ ใจในการป้องกนั โรคอว้ นทถ่ี กู ตอ้ ง > 80% ของคะแนนเตม็ ทส่ี ดุ เพยี งพอต่อการปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื สขุ ภาพทด่ี ยี งั่ ยนื 2. การเข้าถงึ น้อยกว่า 15 คะแนน หรอื ไมด่ พี อ -ยงั มปี ัญหาการแสวงหาขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพ ขอ้ มูลและ บริการ < 60 % ของคะแนนเตม็ จากหลายแหล่งทน่ี ่าเช่อื ถอื พอต่อการตดั สนิ ใจ 15 – 19.99 คะแนน หรอื พอใช้ สามารถแสวงหาขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพได้ (5 ขอ้ ๆ ละ 5 > 60 - < 80 % ของคะแนนเตม็ คะแนนเตม็ 25 บา้ งแต่ ยงั ไมส่ ามารถนามาใชต้ ดั สนิ ใจให้ คะแนน) ถกู ตอ้ งแมน่ ยาได้ 20 - 25 คะแนน หรอื ดมี าก สามารถแสวงหาขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพจาก > 80% ของคะแนนเตม็ หลายแหล่งทน่ี ่าเช่อื ถอื ไดม้ ากพอต่อการตดั สนิ ใจทถ่ี กู ตอ้ งแม่นยาไดแ้ ละเป็นแบบอยา่ งทด่ี ไี ด้ 3. การสื่อสาร น้อยกวา่ 18 คะแนน หรอื ไมด่ พี อ ยงั มปี ัญหาในดา้ นทกั ษะการฟัง การอ่าน การ เพิ่มความ < 60 % ของคะแนนเตม็ เขยี นและการเลา่ เรอ่ื ง/โน้มน้าวผอู้ น่ื ใหเ้ ขา้ ใจใน การปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื สขุ ภาพตนเองได้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
60 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ องคป์ ระกอบ ช่วงคะแนน ระดบั แปลผล เช่ียวชาญทาง 18– 23.99 คะแนน หรอื พอใช้ สามารถทจ่ี ะฟัง พดู อ่านเขยี นเพอ่ื สอ่ื สารให้ สุขภาพ > 60 - < 80 % ของคะแนนเตม็ ตนเองและผอู้ น่ื เขา้ ใจและยอมรบั การดแู ล (6 ข้อๆละ 5 สขุ ภาพไดบ้ า้ งแต่ยงั ไมเ่ ชย่ี วชาญพอ คะแนนเตม็ 30 24 - 30 คะแนน หรอื คะแนน ) ดมี าก มคี วามเชย่ี วชาญพอในดา้ นการฟัง พดู อ่าน > 80 % ของคะแนนเตม็ เขยี นเพอ่ื สอ่ื สารใหต้ นเองและผอู้ ่นื เขา้ ใจและ ยอมรบั การดแู ลสขุ ภาพตนเองอยา่ งถกู ตอ้ งและ เป็นแบบอย่างทด่ี ไี ด้ 4. การจดั การ น้อยกว่า 15 คะแนน หรอื ไมด่ พี อ มกี ารจดั การเง่อื นไขต่างๆ ทงั้ ดา้ นอารมณ์ เงื่อนไขทาง < 60 % ของคะแนนเตม็ สขุ ภาพตนเอง ความตอ้ งการภายในตนเองและจดั การ (5 ขอ้ ๆ ละ สภาพแวดลอ้ มลอ้ มทเ่ี ป็นอปุ สรรคต่อสขุ ภาพ ตนเองไมค่ ่อยได้ 5 คะแนนเตม็ 25 15 – 19.99 คะแนน หรอื พอใช้ มกี ารจดั การเง่อื นไขต่างๆ ทงั้ ดา้ นอารมณ์ คะแนน ) > 60 - < 80 % ของคะแนนเตม็ ความตอ้ งการภายในตนเองและจดั การ สภาพแวดลอ้ มลอ้ มทเ่ี ป็นอปุ สรรคต่อสขุ ภาพ ตนเองไดเ้ ป็นสว่ นใหญ่ 20 - 25 คะแนน หรอื ดมี าก มกี ารจดั การเง่อื นไขต่างๆ ทงั้ ดา้ นอารมณ์ > 80 % ของคะแนนเตม็ ความตอ้ งการภายในตนเองและจดั การ สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ป็นอุปสรรคต่อสขุ ภาพตนเอง ไดเ้ ป็นอย่างดี 5. การรเู้ ท่าทนั น้อยกวา่ 15 คะแนน หรอื ไมด่ พี อ ยอมรบั และเชอ่ื ถอื ขอ้ มลู ทเ่ี ผยแพรผ่ ่านสอ่ื ส่ือและ < 60 % ของคะแนนเตม็ โดยแทบจะไมต่ อ้ งคดิ วเิ คราะหห์ รอื ตรวจสอบ สารสนเทศ กอ่ นจะเช่อื หรอื ทาตาม (5 ขอ้ ๆ ละ 15 – 19.99 คะแนน หรอื พอใช้ ยอมรบั และเช่อื ถอื ขอ้ มลู ทเ่ี ผยแพรผ่ ่านสอ่ื บา้ ง คะแนนเตม็ 25 > 60 - < 80 % ของคะแนนเตม็ คะแนน) โดยวเิ คราะหห์ รอื ตรวจสอบขอ้ มลู ก่อนบางเร่อื ง 20 - 25 คะแนน หรอื ดมี าก ยอมรบั และเชอ่ื ถอื ขอ้ มลู ทเ่ี ผยแพรผ่ ่านสอ่ื เฉพาะ > 80 % ของคะแนนเตม็ ทผ่ี า่ นการวเิ คราะหต์ รวจสอบขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง กอ่ นว่าถูกตอ้ งจรงิ และเป็นแบบอย่างทด่ี ไี ด้ 6. การตดั สินใจ น้อยกวา่ 12 คะแนน หรอื ไม่ดพี อ ไมส่ นใจสขุ ภาพตนเอง ทาตามใจตนเองทาตาม และเลอื กปฏิบตั ิที่ < 60 % ของคะแนนเตม็ ถกู ต้อง สบายโดยไม่คานึงถงึ ผลดผี ลเสยี ต่อสขุ ภาพ (4 ข้อๆ ละ ตนเอง 12 - 15.99 คะแนน หรอื พอใช้ มกี ารตดั สนิ ใจทถ่ี ูกตอ้ งโดยใหค้ วามสาคญั ต่อ 5 คะแนนเตม็ > 60 – < 80 % ของคะแนน 20 คะแนน) เตม็ การดแู ลสขุ ภาพตนเอง ป้องกนั โรคอว้ นท่ี เกดิ ผลดเี ฉพาะต่อสขุ ภาพของตนเองเท่านนั้ 16 – 20 คะแนน หรอื ดมี าก มกี ารตดั สนิ ใจทถ่ี ูกตอ้ งโดยใหค้ วามสาคญั > 80 % ของคะแนนเตม็ การดแู ลสขุ ภาพตนเอง ป้องกนั โรคอว้ น ท่ี เกดิ ผลดตี ่อสขุ ภาพตนเองและผอู้ ่นื อย่าง เคร่งครดั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
61 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ทงั้ น้ี เม่อื รวม 6 องค์ประกอบของความรอบรดู้ ้านสุขภาพมจี านวน 35 ขอ้ คะแนนรวม เตม็ 135 ดงั แสดงตาราง ตาราง 2-9 เกณฑม์ าตรฐานจาแนกระดบั คะแนนความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในภาพรวม คะแนนรวมที่ได้ แปลผล ถา้ ได้ น้อยกวา่ 81 คะแนน หรอื เป็นผมู้ รี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพไมเ่ พยี งพอต่อการดแู ลสขุ ภาพ < 60 % ของคะแนนเตม็ ตนเองเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น ถา้ ได้ 81 – 107.99 คะแนน หรอื เป็นผมู้ รี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพทเ่ี พยี งพอและอาจจะมกี าร > 60 – < 80 % ของคะแนนเตม็ ปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นไดถ้ กู ตอ้ งบา้ ง 108 -135 คะแนน หรอื เป็นผมู้ รี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพทม่ี ากเพยี งพอและมกี ารปฏบิ ตั ิ > 80 % ของคะแนนเตม็ ตนเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ น ไดถ้ ูกตอ้ งและยงั่ ยนื จนเชย่ี วชาญ ตาราง 2-10 พจิ ารณาเกณฑค์ ะแนนความรอบรดู้ า้ นสุขภาพใน 3 ระดบั ของการรหู้ นงั สอื องคป์ ระกอบ คะแนนรวมที่ได้ แปลผล ระดบั พืน้ ฐาน ถา้ ได้ น้อยกว่า 21 คะแนน หรอื เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะทางปัญญาอยใู่ นระดบั องคป์ ระกอบท่ี 1 และ 2 < 60 % ของคะแนนเตม็ ต่า (คะแนนรวมเตม็ 35 ถา้ ได้ 21 – 27.99 คะแนน หรอื เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะทางปัญญาอยใู่ นระดบั คะแนน) > 60–<80 % ของคะแนนเตม็ ปานกลาง ถา้ ได้ 28 – 35 คะแนน หรอื เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะทางปัญญาอย่ใู นระดบั > 80 % ของคะแนนเตม็ สงู ระดบั ปฏิสมั พนั ธ์ น้อยกวา่ 33 คะแนน หรอื เป็นผู้ท่มี ที กั ษะทางสงั คมในดา้ นการ องคป์ ระกอบที่ 3 และ 4 < 60 % ของคะแนนเตม็ สอ่ื สาร/ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คล ต่า (คะแนนรวมเตม็ 55 คะแนน) ถา้ ได้ 33 – 43.99 คะแนน หรอื เป็นผู้ท่ีมีทกั ษะทางสงั คมในด้านการ > 60 – <80 % ของคะแนนเตม็ สอ่ื สาร/ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล ปานกลาง ถา้ ได้ 44 – 54.9 คะแนน หรอื เป็นผู้ท่มี ที กั ษะทางสงั คมในดา้ นการ > 80 % ของคะแนนเตม็ สอ่ื สาร/ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่าบคุ คล สงู ระดบั วิจารณญาณ น้อยกวา่ 27คะแนน หรอื เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะทางปัญญาอย่ใู นระดบั องคป์ ระกอบที่ 5 และ 6 < 60 % ของคะแนนเตม็ การคดิ วจิ ารณญาณ หรอื วพิ ากษ์ ต่า (คะแนนรวมเตม็ 45 คะแนน) ถา้ ได้ 27– 35.99คะแนน หรอื เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะทางปัญญาอย่ใู นระดบั > 60 – < 80 % ของคะแนนเตม็ การคดิ วจิ ารณญาณ ปานกลาง ถา้ ได้ 36 -45 คะแนน หรอื เป็ นผู้ท่ีมีทักษะทางปั ญญาอยู่ใน > 80 % ของคะแนนเตม็ ระดบั การคดิ วจิ ารณญาณ สงู องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
62 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตวั อยา่ งเคร่ืองมือวดั ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพสาหรบั เดก็ วยั เรียนอายุ 9 - 14 ปี จัดทาโดยกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ คาชี้แจง การศกึ ษาครงั้ น้มี จี ดุ มงุ่ หมาย เพอ่ื ศกึ ษาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของเดก็ วยั เรยี น กลมุ่ เสย่ี งและกลุม่ โรคอว้ น โดยมงุ่ พจิ ารณาพฤตกิ รรมสขุ ภาพตามหลกั 3อ คอื อ1: อาหาร อ2: ออกกาลงั กายและกจิ กรรมทางกาย อ3 : อารมณ์โดยแบง่ เน้ือหาออกเป็น 8 ตอนรวม 72 ขอ้ ดงั น้ี ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ทวั่ ไปของนักเรยี น (17 ขอ้ ) ตอนท่ี 2 ความรคู้ วามเขา้ ใจทางสขุ ภาพเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น (10 ขอ้ ) ตอนท่ี 3 การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และบรกิ ารสขุ ภาพเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น (5 ขอ้ ) ตอนที่ 4 การสอ่ื สารเพอ่ื เพมิ่ ความเชย่ี วชาญในการป้องกนั โรคอว้ น (6 ขอ้ ) ตอนท่ี 5 การจดั การเงอ่ื นไขทางสขุ ภาพของตนเองเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น (5 ขอ้ ) ตอนท่ี 6 การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น (5 ขอ้ ) ตอนท่ี 7 การตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งเพอ่ื ป้องกนั โรคอว้ น (4 ขอ้ ) ตอนท่ี 8 พฤตกิ รรมการป้องกนั โรคอว้ น (20 ขอ้ ) ทงั้ น้ี ขอ้ มลู ทงั้ หมดของแบบวดั น้ี จะนาเสนอในภาพรวม ไม่มผี ลกระทบต่อผตู้ อบใดๆ ทงั้ สน้ิ จงึ ขอใหน้ กั เรยี นตอบตามความเป็นจรงิ เพอ่ื นาขอ้ มลู ไปพฒั นาแนวทางการปรบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพทงั้ ทางปัญญาสงั คมและการปฏบิ ตั ใิ หก้ บั เดก็ ไทยต่อไป ตอนที่ 1 ข้อมูลทวั่ ไปของนักเรียน คาชี้แจงขอใหน้ กั เรยี นเตมิ ขอ้ มลู ลงในช่องวา่ งหรอื ใส่ลงในชอ่ งว่างทต่ี รงกบั ตวั นกั เรยี น 1. ปัจจบุ นั นกั เรยี นกาลงั ศกึ ษาอยชู่ นั้ ........…ช่อื โรงเรยี น……................................…..…......……….. ตาบล/แขวง ......................... อาเภอ/เขต ............................ จงั หวดั ............................................ 2. ผลการเรยี นของนกั เรยี นเป็นอยา่ งไร 1. ดมี าก 2. ดี 3. พอใช้ 4. ไม่ค่อยดี 3. เพศ 1. ชาย 2. หญงิ 4. อายุ………………………....……….ปี …………….……………… เดอื น 5. นกั เรยี นนบั ถอื ศาสนา 1. พุทธ 2. ครสิ ต์ 3. อสิ ลาม 4. อน่ื ๆ ................. 6. ใหร้ ะบุน้าหนกั ...........(กโิ ลกรมั ) สว่ นสงู ..........(เซน็ ตเิ มตร) และรอบเอว..........(น้วิ ) ของนกั เรยี นครงั้ ล่าสดุ 7. นกั เรยี นประเมนิ วา่ ตนเองมรี ปู รา่ งหรอื น้าหนกั ตวั เป็นอยา่ งไร 1. ผอมไป 2. น้าหนกั ปกติ 3. ทว้ ม 4. อว้ น 5. อว้ นมาก 8. ปัจจุบนั นกั เรยี นพกั อาศยั อยกู่ บั บดิ า/มารดาใช่หรอื ไม่ 1. ใช่ 2. ไม่ใช่ (นกั เรยี นพกั อยกู่ บั ใคร……..................................…………………...…..) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
63 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 9. สถานภาพสมรสของ พอ่ แมข่ องนกั เรยี น 1. อาศยั อย่ดู ว้ ยกนั 2. ไมไ่ ดอ้ าศยั อยดู่ ว้ ยกนั 3. หมา้ ย/หยา่ /แยก 4. อน่ื ๆ .............. 10. ระดบั การศกึ ษาสงู สดุ ของผปู้ กครองหลกั (พอ่ หรอื แมห่ รอื ญาต)ิ ทน่ี กั เรยี นพง่ึ พงิ มากทส่ี ดุ อยรู่ ะดบั ใด 1. ไม่ไดเ้ รยี นหนงั สอื 2. ประถมศกึ ษา 3. มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 4. มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช. 5. อนุปรญิ ญา/ปวส. 6. ปรญิ ญาตรี 7. สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี 8.อน่ื ๆ.………........................................................... 11. อาชพี ของผปู้ กครอง (พอ่ หรอื แมห่ รอื ญาตคิ นใดคนหน่ึง) ทน่ี กั เรยี นพง่ึ พงิ มากทส่ี ดุ ในปัจจุบนั 1. ทาไร่ ทานา ทาสวน 2. รบั จา้ งทวั่ ไป 3. คา้ ขาย/ธรุ กจิ สว่ นตวั 4. รบั ราชการ/พนกั งาน 5. ทางานโรงงาน 6. พนกั งานบรษิ ทั 7. ไมไ่ ดป้ ระกอบอาชพี 8. อ่นื ๆ ….....…......... 12. นกั เรยี นคดิ วา่ รายไดข้ องครอบครวั ทน่ี กั เรยี นอาศยั อยใู่ นปัจจุบนั มสี ถานะภาพเป็นอยา่ งไร 1. พอเพยี งและมเี งนิ เหลอื เกบ็ พอสมควร 2. พอเพยี งแต่แทบไม่มเี งนิ เหลอื เกบ็ 3. ไม่พอเพยี งและมภี าระหน้สี นิ อย่บู า้ ง 4. ไม่พอเพยี งและมปี ัญหาภาระหน้ีสนิ มาก 13. นกั เรยี นคดิ ว่า ผปู้ กครองของนกั เรยี นเป็นบคุ คลทม่ี คี วามสาคญั หรอื มคี วามหมายในชวี ติ ของนกั เรยี น ขนาดไหน 1 มากทส่ี ดุ 2. มาก 3. ปานกลาง 4. น้อย 5. . น้อยทส่ี ดุ 14. ใน 1 เดอื นทผ่ี ่านมา นกั เรยี นประเมนิ วา่ สขุ ภาพร่างกายและจติ ใจโดยรวมของตนเอง เป็นอย่างไร 1. ดมี าก 2. ดี 3. ปานกลาง 4. ไมด่ ี 5. ไมด่ เี ลย 15. นกั เรยี นมปี ระวตั กิ ารเจบ็ ป่วยหรอื มโี รคประจาตวั เหลา่ น้ี ทต่ี อ้ งพบแพทยส์ ม่าเสมอหรอื ไม่ 15.1 ความดนั โลหติ สงู 1. มี 2. ไม่มี 3. ไมท่ ราบ 15.2 เบาหวาน 1. มี 2. ไม่มี 3. ไมท่ ราบ 15.3 หวั ใจและหลอดเลอื ด 1. มี 2. ไมม่ ี 3. ไม่ทราบ 15.4 ไขมนั ในเลอื ดสงู 1. มี 2. ไม่มี 3. ไม่ทราบ 15.5 โรคอว้ น/อว้ นลงพุง 1. มี 2. ไม่มี 3. ไมท่ ราบ 15.6 อน่ื ๆ ระบุ.......................... 1. มี 2. ไม่มี 3. ไมท่ ราบ 16. บคุ คลในครอบครวั ของนกั เรยี นทม่ี ภี าวะอว้ นหรอื อว้ นลงพงุ เป็นใครบา้ ง (ตอบไดม้ ากกวา่ 1 ) 1. พอ่ 2. แม่ 3. ป่/ู ยา่ 4. ตา/ยาย 5. พน่ี ้องสายเลอื ดเดยี วกนั 6. ไมม่ ี ตอนที่ 2 ความรู้ ความเขา้ ใจทางสขุ ภาพเพ่อื ป้องกนั โรคอ้วน โปรดทาเคร่อื งหมายหรอื ลอ้ มรอบตวั เลอื ก ก ข ค ง ทท่ี า่ นเหน็ ว่าถูกตอ้ งทส่ี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. เดก็ และวยั รุ่นทม่ี ภี าวะอว้ นมโี อกาสเสย่ี งต่อการเป็นโรคใดมากทส่ี ดุ ก. ความจาเสอ่ื ม ปวดหลงั ไขมนั ในเลอื ดสงู ข. เบาหวานความดนั โลหติ สงู ไขมนั ในเลอื ดสงู ค. หวั ใจโต หลอดเลอื ดสมองแตก กระดกู พรุน ง. ปวดหลงั หวั ใจหลอดเลอื ด กระดกู พรุน 2. วธิ กี ารทด่ี ที ส่ี ดุ ในการลดความอว้ นคอื ขอ้ ใด ก. การงดกนิ อาหารประเภทเน้อื สตั วท์ ุกชนิด ข. การงดกนิ อาหารประเภทไขมนั ทุกชนิด ค. การงดกนิ อาหารประเภทแป้งและน้าตาลทุกชนิด ง. การกนิ อาหารครบ 5 หม่ทู ใ่ี หพ้ ลงั งานต่า องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
64 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 3. เดก็ วยั เรยี นทไ่ี มค่ อ่ ยออกกาลงั กาย ปกตใิ นแต่ละวนั ควรกนิ อาหารใดเพ่อื ควบคมุ น้าหนกั ก. เชา้ นม 1 แกว้ กลางวนั ขา้ วกบั น่องไกท่ อด 2 ชน้ิ น้าหวาน เยน็ ขา้ วผดั กงุ้ ปลาหมกึ ไขด่ าว ขนมปัง 1แถว ข. เชา้ ขา้ วตม้ หมู 1 ถว้ ย กลางวนั ผดั ซอี ว้ิ ใสไ่ ขใ่ สห่ ม1ู จาน ลาไย เยน็ ขา้ วมนั ไก่ น้าซปุ ไขเ่ จยี ว ขนม 1 ถว้ ย ค. เชา้ ขา้ วตม้ ปลา1ถว้ ยนม1แกว้ กลางวนั กว๋ ยเตยี๋ วน้า1ชามชมพู่ เยน็ ขา้ ว1จานกบั ตม้ ตาลงึ 1ถว้ ยแตงโม ง. เช้ากนิ ผดั สปาเกต็ ต้ีไก่ 1 จาน นม 1 แก้ว กลางวนั กนิ ข้าวหมูแดงหมูกรอบ เยน็ กนิ พิชช่า ขนมปัง กระเทยี มปีกไก่อบ 4. ขอ้ ความใดต่อไปน้ีไมถ่ กู ตอ้ ง ก. รบั ประทานชาเยน็ นมเยน็ ทาใหอ้ ว้ น ข. ด่มื นมสดน้าผลไมก้ ลอ่ งมากๆ ไมท่ าใหอ้ ว้ น ค. รบั ประทานวุน้ เสน้ ไดจ้ านวนมากไม่ทาใหอ้ ว้ น ง. รบั ประทานผกั จานวนมากๆทาใหอ้ ว้ น 5. เดก็ ชายออ๊ ฟเป็นคนอว้ นเขาควรออกกาลงั กายอย่างไรจงึ จะไม่อนั ตรายต่อขอ้ เทา้ และขอ้ เขา่ ก. วง่ิ ขา้ มรวั้ กระโดดเชอื ก ข. บาสเกต็ บอล เลน่ ฟุตบอล ค. วา่ ยน้า ขจ่ี กั รยาน ง. กระโดดตบ วง่ิ กระโดดไกล 6. การออกกาลงั กายอยา่ งไรถงึ จะชว่ ยควบคุมน้าหนกั และลดเสย่ี งต่อการเกดิ โรคหวั ใจ โรคความดนั โลหติ สงู ได้ ก. ออกกาลงั กายจนเหน่อื ยมเี หงอ่ื ซมึ อย่างน้อยสปั ดาหล์ ะ 5 วนั ๆ ละ 30 นาที ข. ออกกาลงั กายต่อเน่อื งจนเหงอ่ื ออกมาก ทกุ วนั ๆ ละ 60 นาที ค. ออกกาลงั ดว้ ยการเดนิ ชา้ ๆ ต่อเน่อื งทกุ วนั ๆ ละ 20 นาที ง. ออกกาลงั กายอยา่ งหนกั 10 นาที วนั เวน้ วนั 7. การออกกาลงั กายทกุ ครงั้ เราควรกระทาตามบคุ คลในขอ้ ใด ก. ธงชยั ดม่ื น้าใหม้ ากๆ ทงั้ ก่อนและหลงั ออกกาลงั กาย ข. ธานอี บอ่นุ ร่างกายก่อนและยดื เหยยี ดกลา้ มเน้อื หลงั ออกกาลงั กาย ค. ทวปี ทานอาหารใหอ้ ม่ิ ทงั้ กอ่ นและหลงั ออกกาลงั กาย ง. เทวญั ออกกาลงั กายอยา่ งหนกั ตลอดช่วงเวลาของการออกกาลงั กาย 8. บุคคลในขอ้ ใด ทม่ี กี ารจดั การกบั อารมณ์ตนเองไดด้ ี ก. วรี ะคดิ หาทางแกป้ ัญหากบั ทุกเรอ่ื งใหไ้ ด้ ข. ชยั ยศ คอยระวงั ตวั เพ่อื ไม่ใหม้ ใี ครนนิ ทาวา่ รา้ ยตวั เอง ค. นงคราญตงั้ ใจเรยี นสม่าเสมอเพ่อื พฒั นาตนเองง. น้อยหน่าเขา้ วดั ไหวพ้ ระ ขอพรทกุ ครงั้ ทม่ี ปี ัญหา 9. หากตอ้ งการคลายเครยี ด กระทาตามขอ้ ใดไดผ้ ลดีที่สุด ก. กนิ อาหารใหเ้ พลนิ อา่ นหนงั สอื ทช่ี อบ ข. ออกกาลงั กายจนเหง่อื ออก สวดมนตน์ งั่ สมาธิ ค. ดลู ะครหลงั ขา่ ว นอนพกั ฟังเพลงใหม้ าก ง. เรยี นพเิ ศษใหเ้ ตม็ ท่ี หยดุ พกั ไปท่องเทย่ี ว 10. คนทม่ี ภี าวะอว้ น ควรหลกี เลย่ี งอาหารในขอ้ ใด ก. ขา้ วขาหมู ข. ก๋วยเตยี๋ วน้า ค. สลดั ทนู ่า ง. สม้ ตาไทย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
65 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ความถใ่ี นการปฏิบตั ิ ข้อความ ทกุ บอ่ ย บาง นานๆ แทบ ตอนที่ 3 การเข้าถงึ ขอ้ มลู และบริการสขุ ภาพเพ่อื ครงั้ ครงั้ ครงั้ ครงั้ ไมไ่ ด้ทา (5) (4) (3) (2) (1) ป้องกนั โรคอ้วน 1. เม่อื ตอ้ งการขอ้ มลู เกย่ี วกบั โรคอว้ นนกั เรยี นสามารถ เลอื กแหล่งขอ้ มลู สขุ ภาพไดท้ นั ทบี อ่ ยครงั้ แคไ่ หน 2. เมอ่ื ตอ้ งการขอ้ มลู สขุ ภาพ นกั เรยี นสามารถคน้ หา ขอ้ มลู หรอื สอบถามผอู้ น่ื จนไดข้ อ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ ง ทนั สมยั บ่อยครงั้ แคไ่ หน 3. นกั เรยี นพบปัญหาเกย่ี วกบั การคน้ หาขอ้ มลู สขุ ภาพ จากแหลง่ ต่างๆ ไมว่ ่าจะถามจากผอู้ ่นื จากสอ่ื สง่ิ พมิ พห์ รอื อนิ เตอรเ์ นต็ บ่อยครงั้ แค่ไหน 4. นกั เรยี นตรวจสอบขอ้ มลู สขุ ภาพเพ่อื ยนื ยนั ความ เขา้ ใจของตนเองใหถ้ ูกตอ้ ง โดยสบื คน้ หรอื สอบถาม ขอ้ มลู จากหลายแหล่ง บอ่ ยครงั้ แคไ่ หน 5. นกั เรยี นตรวจสอบแหล่งขอ้ มลู เกย่ี วกบั ผลติ ภณั ฑ์ เพ่อื สขุ ภาพและการควบคุมน้าหนกั จนเช่อื ว่า ขอ้ มลู นนั้ น่าเชอ่ื ถอื บ่อยครงั้ แคไ่ หน ตอนที่ 4 การส่ือสารเพอื่ เพิ่มความเช่ียวชาญในการ ป้องกนั โรคอ้วน 1. นกั เรยี นฟังคาแนะนาเร่อื งโรคอว้ นและควบคมุ น้าหนกั จากบคุ คลต่างๆแลว้ พบว่าไมค่ อ่ ยเขา้ ใจ เน้อื หาบอ่ ยครงั้ แค่ไหน 2. นกั เรยี นขอความชว่ ยเหลอื จากผอู้ ่นื เพอ่ื ชว่ ยฝึก ใหส้ ามารถอ่านขอ้ มลู การคานวณแคลอรอี าหาร หรอื การประเมนิ สขุ ภาพ จากสอ่ื สขุ ภาพ ได้ บ่อยครงั้ แคไ่ หน 3. นกั เรยี นเลา่ เรอ่ื งเกย่ี วกบั โรคอว้ นและการควบคมุ น้าหนกั ใหก้ บั คนในครอบครวั หรอื เพอ่ื นฟัง จนเขา เขา้ ใจ ไดบ้ อ่ ยครงั้ แคไ่ หน 4. นกั เรยี นไดอ้ ่านเอกสารแนะนาเร่อื งการปฏบิ ตั ติ น เพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นและโรคอ่นื ๆแลว้ พบว่าไม่ค่อย เขา้ ใจ บอ่ ยครงั้ แคไ่ หน 5. นกั เรยี นมกี ารแสดงออกในการพดู อา่ น เขยี น ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ นป้องกนั โรคอว้ น เพอ่ื ให้ คนอน่ื เขา้ ใจ บอ่ ยครงั้ แค่ไหน 6. นกั เรยี นโน้มน้าวใหบ้ ุคคลอ่นื ยอมรบั ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นทถ่ี ูกตอ้ ง บอ่ ยครงั้ แคไ่ หน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
66 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ความถใ่ี นการปฏิบตั ิ ขอ้ ความ ทกุ บ่อย บาง นานๆ แทบ ครงั้ ครงั้ ครงั้ ครงั้ ไมไ่ ด้ทา (5) (4) (3) (2) (1) ตอนที่ 5 การจดั การเงื่อนไขทางสขุ ภาพของตนเองเพอ่ื ป้องกนั โรคอ้วน 1. นกั เรยี นสงั เกตปรมิ าณและคุณคา่ ทางโภชนาการ ของอาหารทก่ี นิ ใหพ้ อเหมาะกบั ตนเองในแต่ละมอ้ื บ่อยครงั้ แคไ่ หน 2. นกั เรยี นวางเป้าหมายของการออกกาลงั กาย และ ทาใหไ้ ดต้ ามเป้าหมายทว่ี างไวไ้ ด้ บอ่ ยครงั้ แคไ่ หน 3. เมอ่ื นกั เรยี นพบวา่ ตนเองเครยี ด นกั เรยี นมวี ธิ ี จดั การเพ่อื ลดความเครยี ดนนั้ ลงได้ ดว้ ยวธิ ที ด่ี ตี ่อ สขุ ภาพ บ่อยครงั้ แคไ่ หน 4. นกั เรยี นทบทวนวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นตามทไ่ี ดต้ งั้ ใจไว้ เพอ่ื การป้องกนั โรคอว้ นและการมสี ขุ ภาพทด่ี ี บ่อยครงั้ แคไ่ หน 5. นกั เรยี นปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มรอบตวั เองเพอ่ื ให้ มกี ารควบคมุ น้าหนกั และดแู ลสขุ ภาพใหส้ าเรจ็ ไดม้ ากขน้ึ บอ่ ยครงั้ แค่ไหน ตอนที่ 6 การรเู้ ท่าทนั ส่อื และสารสนเทศเพอื่ ป้องกนั โรคอ้วน 1. เมอ่ื นกั เรยี นเหน็ โฆษณาสนิ คา้ เกย่ี วกบั สขุ ภาพทาง โทรทศั น์ และเกดิ ความสนใจ นกั เรยี นไปหาขอ้ มลู จากหลายแหลง่ เพ่อื ตรวจสอบความถูกตอ้ งก่อน ตดั สนิ ใจซอ้ื บ่อยครงั้ แคไ่ หน 2. เม่อื เหน็ โฆษณาสนิ คา้ ในทส่ี าธารณะหรอื จากเวบ็ ไซต์ และเกดิ ความสนใจในสนิ คา้ นนั้ นกั เรยี นตงั้ ใจไปหา ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ จากแหลง่ อน่ื เพอ่ื ประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื ก่อนตดั สนิ ใจซอ้ื บ่อยครงั้ แค่ไหน 3. นกั เรยี นใชเ้ หตุผลในการวเิ คราะหข์ อ้ ดขี อ้ เสยี เพอ่ื เลอื กรบั ขอ้ มลู สขุ ภาพเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นจากสอ่ื นนั้ กอ่ นทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ าม บอ่ ยครงั้ แค่ไหน 4. ทกุ ครงั้ ทน่ี กั เรยี นเขา้ รว่ มกจิ กรรมเกย่ี วกบั สขุ ภาพ นกั เรยี นมกี ารวเิ คราะห์ ประเมนิ เน้อื หานนั้ โดยไม่ เช่อื ทนั ที บอ่ ยครงั้ แคไ่ หน 5. นกั เรยี นไดแ้ ลกเปลย่ี นพดู คยุ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ แนวทางการป้องกนั โรคอว้ นกบั ผอู้ น่ื โดยท่ี นกั เรยี นมกี ารวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั ก่อนตดั สนิ ใจเช่อื และปฏบิ ตั ติ าม บ่อยครงั้ แค่ไหน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
67 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตอนที่ 7 การตดั สินใจเลือกปฏิบตั ิที่ถกู ต้องเพ่อื ป้องกนั โรคอ้วน โปรดทาเคร่อื งหมาย หรอื ลอ้ มรอบตวั เลอื ก ก ข ค ง ทต่ี รงกบั ท่านจะปฏบิ ตั ิ 1. หากมญี าตพิ น่ี ้องหรอื พท่ี อ่ี ย่ขู า้ งบา้ น ชวนออกไปกนิ อาหารรอบดกึ นกั เรยี นจะทาอยา่ งไร ก. ออกไปเป็นเพอ่ื น แต่ไมก่ นิ บอกวา่ แปรงฟันแลว้ 2 ข. ออกไปเป็นเพอ่ื นและกนิ อาหารแต่ผกั ผลไม้ ทไ่ี มท่ าใหอ้ ว้ น 1 ค. ไม่ออกไป ใหเ้ หตุผลตามจรงิ ว่าจะอยเู่ ป็นเพอ่ื นแม่ 3 ง. ไมอ่ อกไป และใหเ้ หตุผลอธบิ ายวา่ กนิ แลว้ เดยี๋ วทาใหอ้ ว้ นขน้ึ แลว้ ลดลงยาก 4 2. หากเพอ่ื นชวนใหน้ กั เรยี นกนิ เคก้ วนั เกดิ แต่นกั เรยี นกาลงั ลดน้าหนกั นกั เรยี นจะบอกเพอ่ื นวา่ อยา่ งไร ก. บอกเพ่อื นวา่ กาลงั อม่ิ อยพู่ อดี อกี สกั พกั คอ่ ยกนิ 2 ข. บอกเพอ่ื นว่า ปีหน้าอยา่ เลย้ี งเคก้ ใหเ้ ปลย่ี นเป็นอย่างอน่ื 1 ค. บอกเพอ่ื นวา่ กาลงั ลดน้าหนกั อยู่ ถา้ น้าหนกั เพมิ่ จะลดลงไดย้ าก 4 ง.บอกเพ่อื นวา่ ไม่ชอบเคก้ ขอกนิ อย่างอน่ื แทน 3 3. นกั เรยี นจะมวี ธิ แี นะนาเพ่อื นทช่ี อบดม่ื น้าอดั ลม ใหล้ ดการด่มื ลงเพ่อื ป้องกนั โรคอว้ นไดอ้ ยา่ งไร ก. ชวนเพ่อื นคยุ ถงึ วธิ กี ารผลติ น้าอดั ลม 1 ข. เปรยี บเทยี บระหวา่ งน้าอดั ลม กบั เครอ่ื งด่มื อน่ื ๆ 2 ค. บอกเพอ่ื นว่า น้าอดั ลม ทาใหเ้ ป็นโรคกระเพาะและอว้ นได้ 3 ง. เลา่ ใหเ้ พ่อื นฟังว่า น้าอดั ลมมนี ้าตาลเป็นสว่ นผสมอยมู่ าก 4 4. นกั เรยี นจะเลอื กวธิ ใี ด เพ่อื ชว่ ยเพ่อื นทอ่ี ยากลดน้าหนกั แต่ไม่อยากเหน่อื ย ก. ชวนเพ่อื นไปเดนิ เล่นดกู จิ กรรมในสวนสาธารณะ 1 ข. ชวนเพ่อื นไปเตน้ ตามจงั หวะเพลงเกาหลี 2 ค. พาเพ่อื นไปสนามกฬี าแลว้ ใหเ้ ล่นดว้ ยกนั เป็นเพ่อื น 4 ง. ใชว้ ธิ หี ลอกใหเ้ พอ่ื นไปวงิ่ ไล่จบั และวงิ่ แขง่ เกบ็ ขยะ 3 ตอนท่ี 8 พฤติกรรมการป้องกนั โรคอ้วน โปรดทาเครอ่ื งหมายในชอ่ ง ของแต่ละขอ้ ทต่ี รงกบั การปฏบิ ตั ขิ องท่านในปัจจบุ นั น้ี ความถีใ่ นการปฏิบตั ิโดยเฉล่ยี /สปั ดาห์ ขอ้ ปฏิบตั ิ 6-7วนั / 4-5วนั / 3 วนั / 1-2วนั / ไมไ่ ด้ สปั ดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ ปฏิบตั ิ (5) (4) (3) (2) (1) 1. กนิ อาหารทม่ี ไี ขมนั สงู เช่น อาหารทอดหรอื ทม่ี สี ว่ นผสม ของกะทิ (ขอ้ ลบ) 2. ปรุง/เตมิ น้าปลา/น้าตาลเพม่ิ ในอาหารกอ่ นกนิ (ขอ้ ลบ) 3. กนิ ผกั และผลไมส้ ดสะอาดเสมออย่างน้อยวนั ละครง่ึ กโิ ลกรมั 4. ควบคุมการกินโดยคานึงถึงพลังงานอาหารท่ไี ด้รบั พอดกี บั ร่างกายตนเอง องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
68 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ขอ้ ปฏิบตั ิ ความถใ่ี นการปฏิบตั ิโดยเฉลีย่ /สปั ดาห์ 6-7วนั / 4-5วนั / 3 วนั / 1-2วนั / ไมไ่ ด้ สปั ดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ ปฏิบตั ิ (5) (4) (3) (2) (1) 5. มกี จิ กรรมใชแ้ รงกายหรอื เคล่อื นไหวต่อเน่ือง จนรู้สกึ เหน่ือย และมเี หงอ่ื 6. ออกกาลงั กายต่อเน่อื งจนรสู้ กึ เหน่อื ยอย่างน้อยครงั้ ละ 30 นาที 7. มวี ธิ รี ะบายอารมณ์ทเ่ี ป็นทุกข์ หรอื เม่อื มคี วามสขุ ดว้ ยการกนิ (ขอ้ ลบ) 8. มกี ารจดั การกบั ปัญหาของตนเองดว้ ยการมองโลกในแงด่ ี 9. ด่มื น้าอดั ลมหรือน้าหวานเช่น ชาเย็น น้าแดง โกโก้เยน็ ขนม หวาน (ขอ้ ลบ) 10.กนิ อาหารจานดว่ นเชน่ พชิ ช่า แฮมเบอเกอร์ ฮอ็ ดดอก (ขอ้ ลบ) งานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้องความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพกบั พฤติกรรมสขุ ภาพในเดก็ จากการศกึ ษางานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพเพ่อื ป้องกนั โรคอ้วนในเดก็ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมเพ่อื ควบคุมน้าหนัก เช่น พฤติกรรมการ บรโิ ภคอาหารทถ่ี ูกต้อง พฤตกิ รรมการออกกาลงั กาย (Caprio et al., 2008) ทงั้ การศกึ ษาความ รอบรดู้ า้ นสุขภาพในเดก็ อ้วน ดงั การศกึ ษาของ Sharif & Blank (2010) ทศ่ี กึ ษาความสมั พนั ธ์ ระหว่างความรอบรดู้ า้ นสุขภาพกบั ดชั นีมวลกาย (BMI) ของเดก็ ทม่ี นี ้าหนกั เกนิ และอว้ นโดยใช้ แบบวดั The Short Test of Functional Health Literacy หรอื ท่ีเรยี กง่ายๆว่า STOFHLA ผล การทดสอบพบว่า ความรอบรดู้ ้านสุขภาพมคี วามสมั พนั ธก์ บั ดชั นีมวลกาย (BMI) ของเดก็ ทม่ี ี น้าหนักเกินและอ้วนส่วนคะแนนจากแบบ STOFHLA มคี ่าระหว่าง 0 ถึง 36 และหากมคี ่า มากกว่า 23 คะแนนก็ถือว่า มรี ะดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพท่เี หมาะสม ซ่งึ พฤตกิ รรมเหล่าน้ี จะตอ้ งไดร้ บั ความรว่ มมอื จากทุกคนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ ในการสง่ เสรมิ และจดั กจิ กรรมใหก้ บั เดก็ ท่ีเหมาะสมสาหรบั เด็กแต่ละคน โดยพิจารณาจากอายุ ความรุนแรงของน้าหนัก และโรค ประจาตวั เดก็ ความสนใจ และความชอบของเดก็ รว่ มดว้ ย เช่น การจดั เตรยี มอาหารทเ่ี หมาะสม ตามหลักโภชนาการให้กับเด็กทัง้ ท่ีบ้านและโรงเรียน การจัดการออกกาลังกาย เป็นต้น นอกจากน้ี Chang (2011) ได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับ พฤตกิ รรมการส่งเสรมิ สุขภาพในวยั รุ่นไต้หวนั จานวน 1,601 คน จาก 6 เมอื ง โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื ฉ บับ สั้น เ ป็ น ภ า ษ า จีน ( the Test of Functional Health Literacy in Adolescents ( C- STOFHLAd)) พฤติกรรมสุขภาพประกอบด้วย 1) โภชนาการ 2) การออกกาลงั กาย 3) การ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
69 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ จดั การความเครยี ด 4) สมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล 5) ความรบั ผดิ ชอบทางสุขภาพ และ 6) การ เห็นคุณค่าสูงสุดในตน (Nutrition, exercise, stress management, interpersonal relations, health responsibility and self-actualisation) ผลวจิ ยั พบว่า ระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพใน กลุ่มสูงและกลุ่มต่ามคี วามสมั พนั ธ์อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิท่ี 0.05 กบั พฤตกิ รรมสุขภาพ 2 ดา้ นคอื ดา้ นโภชนาการ กบั ดา้ นสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล ดว้ ยขนาดความสมั พนั ธ์ Odd ratio เท่ากบั 0.59 และ 0.58 ตามลาดบั ในกลุ่มทม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสุขภาพต่า และเท่ากบั 0.62 และ 0.61 ตามลาดบั ในกลุ่มท่มี คี วามรอบรู้ด้านสุขภาพสูง และพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมี ความสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมสุขภาพดา้ นอ่นื ๆ อย่างไม่มนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (P< 0.05) จงึ ยงั ไม่ เป็นขอ้ สรุปไดว้ ่า ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจะส่งผลให้มพี ฤตกิ รรมสุขภาพทุกดา้ นสูงขน้ึ ตามไป ด้วย เพราะยงั มอี ีกหลายสาเหตุปัจจยั ท่สี ่งผลต่อพฤตกิ รรมสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มเด็กและวยั รุ่น ท่ียงั ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมสุขภาพทุกด้านได้ด้วยตนเอง ดงั นัน้ บุคลากรด้านสุขภาพ จงึ มสี ่วนสาคญั ท่ชี ่วยการดูแลและป้องกนั ภาวะอ้วนในเดก็ โดยการให้ ความรู้ ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ใหค้ าปรกึ ษาในการเปลย่ี นพฤตกิ รรม การบรโิ ภคของเด็กและส่งเสรมิ พฤตกิ รรมการออกกาลงั กายท่สี ามารถนาไปปฏบิ ตั ใิ ชไ้ ด้จรงิ ใหก้ บั บดิ า มารดา หรอื ผเู้ ลย้ี งดเู ดก็ โดยอาศยั หลกั การ เช่น การเตอื นตนเอง (Self-monitoring) การควบคุมส่ิงกระตุ้น (Stimulus control) การสร้างแรงจูงใจ (Reinforcement) และการฝึก ทกั ษะในการแก้ไขปัญหา (Cognitive behavioral techniques) และตดิ ตามประเมนิ ผลการปรบั พฤตกิ รรมอยา่ งต่อเน่อื ง เพอ่ื วางแผนในการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมไดอ้ ยา่ งเหมาะสมต่อไป และจาก ผลการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชนดงั กล่าว สามารถสรปุ ปัจจยั ทท่ี เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การเกดิ โรคอว้ นในเดก็ ซง่ึ มปี ัจจยั ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อโรคอ้วนใน เดก็ นัน้ สามารถเกดิ จากหลายปัจจยั ร่วมกนั แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ปัจจยั ส่วนบุคคล ปัจจยั ครอบครวั และปัจจยั สภาพแวดลอ้ ม ดงั น้ี 1. ปัจจยั ส่วนบคุ คล 1.1 พฤติกรรมและทัศนคติต่อการบริโภคท่ีไม่ถูกต้อง ซ่ึงเป็นปัจจยั สาคัญและ เกย่ี วกบั ภาวะอว้ นโดยตรง หากเดก็ ไดร้ บั อาหารในปรมิ าณทม่ี ากเกนิ ความตอ้ งการของร่างกาย กจ็ ะสง่ ผลใหเ้ กดิ ภาวะโภชนาเกนิ โดยเฉพาะในเดก็ วยั เรยี นทร่ี า่ งกายกาลงั เจรญิ เตบิ โต เชน่ การ ชอบรบั ประทานอาหารประเภทแป้งและไขมนั มากเกนิ ขนมขบเคย้ี ว น้าอดั ลม เป็นตน้ (Murphy et al., 2010) ตลอดจนพฤตกิ รรมการเคล่อื นไหวออกกาลงั กายลดลง ซง่ึ เป็นปัญหาทางจติ วทิ ยา ลงั คมทเ่ี ปลย่ี นไป (LaFontaine, 2008) เช่น ใชเ้ วลาอยกู่ บั ทก่ี บั สงั คมออนไลน์ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ เป็นตน้ 1.2 พนั ธุกรรมส่งผลต่อความแตกต่างของดชั นีมวลกายรอ้ ยละ 50 - 90 (Maes et al., 1997) จากการศกึ ษาทผ่ี ่านมาพบว่า เดก็ ทเ่ี กดิ จากพ่อแม่ปกตมิ โี อกาสเป็นโรคอ้วน รอ้ ยละ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
70 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 10 เดก็ ท่เี กดิ จากพ่อหรอื แม่คนใดท่อี ้วนจะมโี อกาสเป็นโรคอ้วนถงึ รอ้ ยละ 40 - 50 และเดก็ ท่ี เกดิ จากพ่อและแมอ่ ว้ นจะมโี อกาสเป็นโรคอว้ นถงึ รอ้ ยละ 80 โรคทางพนั ธุกรรมทส่ี มั พนั ธก์ บั โรค อว้ น ไดแ้ ก่ โรคอ้วนกรรมพนั ธุ์ ทพ่ี บรว่ มกบั การพฒั นาการช้ากว่าวยั และโรคอ้วนกรรมพนั ธุท์ ่ี ไมม่ คี วามผดิ ปกตขิ องการพฒั นาการตามวยั (Farooqi & O’Rahilly, 2006) 1.3 เพศ จากการศึกษาของ ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ (2554) ในเด็กวัยเรียนใน กรุงเทพมหานคร พบว่า นักเรยี นเพศชายมภี าวะโภชนาเกินในสดั ส่วนท่ีสูงกว่าเพศหญิง เน่ืองจากมกี ารสะสมของไขมนั เรว็ กว่าเดก็ ผหู้ ญงิ อกี ทงั้ ในเดก็ ในช่วงประถมศกึ ษาตอนปลายท่ี กาลงั เข้าสู่วยั รุ่น ทาให้เดก็ ผู้หญงิ เรม่ิ มคี วามสนใจในบทบาทตามเพศและให้ความสาคญั กบั รปู รา่ งและลดหรอื จากดั อาหารเพ่อื รกั ษารปู ร่าง 1.4 โรค เป็นอกี ปัจจยั ทท่ี าใหเ้ ดก็ มภี าวะโภชนาการเกนิ หรอื โรคอ้วน เช่น เน้ืองอกท่ี สมอง การไดร้ บั อุบตั เิ หตุ เป็นตน้ ทาใหร้ บั ประทานอาหารมากกว่าปกติ 2. ปัจจยั ด้านครอบครวั 2.1 ระดบั การศกึ ษาของบดิ า มารดา เน่ืองจากการศกึ ษามผี ลต่อการแสวงหาความรู้ เก่ยี วกบั อาหารและโภชนาการ และการกาหนดพฤติกรรมการบรโิ ภค การตดั สนิ ใจเลอื กซ้อื อาหารท่มี คี ุณค่าทางโภชนาการ โดยเดก็ ท่บี ดิ า มารดามกี ารศกึ ษาสูงมพี ฤติกรรมการเลือก อาหารทด่ี กี ว่าเดก็ ท่มี บี ดิ า มารดาทม่ี กี ารศกึ ษาน้อยอย่างไรกต็ าม บดิ ามารดาทม่ี กี ารศกึ ษาสูง แต่มภี ารกจิ ทต่ี อ้ งจานวนมาก ทาใหไ้ มม่ เี วลาเอาใจใส่เรอ่ื งโภชนาการจงึ ทาใหอ้ าจพบว่า เดก็ มี พฤตกิ รรมการบรโิ ภคไมเ่ หมาะสมได้ (กานตธ์ ดิ า ตนั วฒั นถาวร, 2550) 2.2 รายไดแ้ ละฐานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั ฐานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั เป็นตวั บ่งชถ้ี งึ ความสามารถในการเลอื กซอ้ื อาหารมารบั ประทาน ครอบครวั ทม่ี รี ายไดส้ งู ยอ่ มมี อานาจในการซ้อื และเลอื กอาหารมาบรโิ ภคมากกว่าครอบครวั ท่ีมรี ายได้ต่า สอดคล้องกับ การศกึ ษาของ กลั ยา ศรมี หนั ต์ (2541) ทศ่ี กึ ษาพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ในโรงเรยี นสงั กดั กรุงเทพมหานคร พบว่า พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของ นักเรยี นมคี วามสมั พนั ธ์ทางบวกกบั รายได้และฐานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั เช่นเดยี วกบั การศึกษาของ Wang (2001) ได้ทาการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครวั กบั ค่าดชั นีมวลกาย (BMI) ในเด็กในประเทศสหรฐั อเมรกิ า จนี และ รสั เซยี ทม่ี อี ายใุ นช่วง 6 -18 ปี ผลการศกึ ษาพบว่า ในประเทศจนี และรสั เซยี รายไดแ้ ละฐานะ ทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั กบั ค่าดชั นีมวลกาย (BMI) มคี วามสมั พนั ธท์ างบวก แต่ในประเทศ สหรฐั อเมรกิ า รายได้และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครวั กับค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มี ความสมั พนั ธท์ างลบ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
71 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 2.3 การเล้ยี งดู โดยเฉพาะการเลย้ี งดูแบบตามใจหรอื เข้มงวดมากเกนิ ไปมผี ลต่อ การเกดิ โรคอว้ น เช่น การศกึ ษาของ ชุตมิ า ศริ กิ ุลชยานนท์ (2554) พบว่า เดก็ ทถ่ี ูกเลย้ี งดแู บบ ตามใจ ทาให้เด็กรบั ประทานอาหารท่มี ไี ขมนั และน้าตาลสูงกว่าผกั ผลไม้ เม่อื เทียบกับเด็ก น้าหนกั ปกติ 3. ปัจจยั ทางด้านสิ่งแวดล้อม เน่ืองจากสง่ิ แวดลอ้ มในปัจจุบนั มลี กั ษณะทส่ี นับสนุนใหก้ ารบรโิ ภคอาหารพลงั งานสงู ทาได้ง่ายขน้ึ (Obesogenic environment) ทาให้เดก็ เกดิ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนได้ง่าย เช่น ความสะดวกในการซอ้ื การโฆษณา เป็นต้น ทาใหเ้ ดก็ มกี ารรบั ประทานอาหารทเ่ี กนิ ความ จาเป็นนอกจากนัน้ การขาดนโยบายสนับสนุนทเ่ี อ้อื ต่อการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ ทาใหอ้ อกกาลงั กายน้อยลง ส่งผลต่อการเพม่ิ ของน้าหนกั ตวั และก่อใหเ้ กดิ โรคอว้ น (กรมอนามยั , 2548) จงึ สรุปไดว้ ่า จากการศกึ ษาเกย่ี วกบั การพฒั นาเคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพทงั้ ในต่างประเทศและในประเทศไทย จะเหน็ ว่า ในช่วง 20 ปีทผ่ี ่านมา มนี กั วชิ าการดา้ นสุขภาพท่ี พฒั นาและประเมนิ ระดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ โดยเครอ่ื งมอื วดั ในระยะแรกสว่ นใหญ่ เป็นการ วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในระดบั พน้ื ฐานคอื ประเมนิ ระดบั ความเขา้ ใจจากทกั ษะการรหู้ นงั สอื (Literacy) ในดา้ นการอ่านตวั หนงั สอื ตวั เลข และการตคี วามขอ้ มลู เน้ือหาดา้ นสุขภาพ ดงั แบบ วดั ทใ่ี ช้ในประเทศสหรฐั อเมรกิ าและยุโรป เช่น REALM, TOFHLA, MART, NAAL, NVS เป็น ตน้ ดงั นนั้ จงึ มอี ุปสรรคหรอื เป็นขอ้ จากดั ในการทาความเขา้ ใจในสาระด้านสุขภาพจากแบบวดั หรอื แบบทดสอบคอื ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษหรอื ภาษาทอ้ งถนิ่ ทไ่ี ม่แตกฉาน เชอ้ื ชาติ อายุทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความรคู้ วามจา และระดบั การศกึ ษา จงึ เป็นปัจจยั สาคญั ต่อการเขา้ ถงึ และเขา้ ใจขอ้ มลู สารสนเทศด้านสุขภาพ ดงั นัน้ ระยะต่อมา เคร่อื งมอื วดั ระดบั ความรอบรู้ด้าน สุขภาพ เรมิ่ มกี ารใชเ้ ป็นแบบวดั Psychometric ท่เี ป็น Rating Scale และประเมนิ ระดบั ความ รอบรู้ด้านสุขภาพครบทัง้ 3 ระดับได้แก่ ระดับขนั้ พ้ืนฐาน ขนั้ การมีปฏิสัมพันธ์ และขัน้ วจิ ารณญาณ ซง่ึ แบบวดั ลกั ษณะน้ีจะทาใหใ้ ห้เขา้ ใจระดบั ความสามารถและทกั ษะท่จี าเป็นของ บุคคลกลุ่มเป้าหมายหรอื ผู้ป่ วย ท่เี ป็นอุปสรรคต่อตนเองในทุกมติ ิคอื พฤตกิ รรมการส่งเสรมิ สุขภาพตนเอง การป้องกนั ควบคุมโรค และการดูแลรกั ษาสุขภาพตนเอง โดยใหผ้ ตู้ อบทาแบบ ประเมนิ ดว้ ยตนเองหรอื หากมขี อ้ จากดั ในการอ่านกใ็ ชก้ ารสมั ภาษณ์แทน เชน่ แบบวดั FCCHL, HLS- EU- Q47, HLQ, ABCDE – HL Scale of Thai Adults, Health literacy scale for Thai childhood overweight, General Thai Health Literacy Scales เป็นตน้ และผลจากการวดั และ ประเมนิ จะพบสอดคล้องกบั แนวคดิ ความรอบรู้ด้านสุขภาพท่กี ล่าวไว้ในบทแรกตามโมเดล องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
72 บทท่ี 2 เคร่อื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ผลลพั ธ์ของความรอบรู้ด้านสุขภาพจากการส่งเสรมิ สุขภาพ ของ Nutbeam ทว่ี ่า ความรอบรู้ ด้านสุขภาพได้รบั อิทธิพลจาก การปฏบิ ตั ิการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพของหน่วยงานผู้ ใหบ้ รกิ าร และความรอบรดู้ ้านสุขภาพยงั ส่งผลต่อพฤตกิ รรมสุขภาพในการดารงอย่อู ย่างมสี ุข ภาวะทด่ี ี (Healthy lifestyes behavior) ซง่ึ จะกล่าวถงึ การพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพและ พฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชนในบทต่อไป เอกสารอ้างอิง กรมอนามยั . (2548). รายงานวจิ ยั การสารวจพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ในเขตสาธารณสุขที่ 4 ปี 2548. นนทบุร:ี ศูนยอ์ นามยั ท่ี 4 กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข. กองสุขศกึ ษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ ร่วมกับสถาบนั วจิ ยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. (2557). คมู่ อื ประเมนิ ความฉลาดทางสุขภาพของคน ไทย อายุ 15 ปีข้นึ ไป ในการปฏบิ ตั ติ ามหลกั 3อ.2ส. (ABCDE-Health Literacy Scale of Thai Adults). นนทบุร:ี กระทรวงสาธารณสขุ . กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ. (2559). ผลการระเมนิ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและพฤตกิ รรม สุขภาพกลุ่มเดก็ และเยาวชนตามสุขบญั ญตั แิ ห่งชาต.ิ นนทบุร:ี กองสขุ ศกึ ษา กรม สนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. กานตธ์ ดิ า ตนั วฒั นถาวร. (2550). ประสทิ ธผิ ลของโปรแกรมสขุ ศกึ ษาเพอื่ การปรบั เปลยี่ น พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของนกั เรยี นประถมศกึ ษาทมี่ ภี าวะโภชนาการเกนิ . นครปฐม: วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ (สาธารณสุขศาสตร)์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. กลั ยา ศรมี หนั ต.์ (2541). ภาวะโภชนาการและพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของเดก็ วยั เรยี นใน เขต อาเภอเมอื ง จงั หวดั ราชบรุ .ี นครปฐม: พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. ชะนวนทอง ธนสกุ าญจน์ และ นรมี าลย์ นลี ะไพจติ ร. (2559). การสารวจความรแู้ จง้ แตกฉาน ดา้ นสขุ ภาพ Health Literacy ผปู้ ่วยโรคเบาหวานและโรคความดนั โลหติ สงู . นนทบุร:ี กองสุขศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ . ชตุ มิ า ศริ กิ ุลชยานนท.์ (2554). โรคอว้ นในเดก็ วยั เรยี นจากอณูส่ชู มุ ชน. กรงุ เทพฯ: หจก. เบสท์ กราฟฟิคเพรส. นฤมล ตรเี พชรศรอี ุไร และ เดชา เกตุฉ่า. (2554). การพฒั นาเครอื่ งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ น สุขภาพเกยี่ วกบั โรคอว้ นของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 (ระยะที่1). นนทบุร:ี กองสุข ศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสุข. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
73 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และธญั ชนก ขมุ ทอง. (2560). การประเมนิ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ เพ่อื ป้องกนั การตงั้ ครรภก์ ่อนวยั อนั ควรสาหรบั สตรไี ทยวยั รุ่น อายุ 15-21 ปี. วารสารพยาบาล สาธารณสุข, 31(3). Baker DW, Williams MV, Parker RM, Gazmararian JA, & Nurss J. (1999). Development of a brief test to measure functional health literacy. Patient Educ Couns, 38(1), 33-42. Bloom BS. (1968). Learning for mastery. Evaluation Comment, 1(2), 29-62. Chew LD, Bradley KA, & Boyko EJ. (2004). Brief questions to identify patients with inadequate health literacy. Fam Med, 36(8), 588-94. Caprio S, Daniels SR, Drewnowski A, Kaufman FR, Palinkas LA, Rosenbloom AL et al. (2008). Influence of race, ethnicity, and culture on childhood obesity: Implications for prevention and treatment. A consensus statement of shaping America's health and the obesity society. Diabetes Care, 31(11), 2211-2221. Chang L. (2011). Health literacy, self-reported status and health promotion behaviors for adolescents in Taiwan. Journal of Clinical Nursing, 20, 190-196. doi: 10.1111/j.1365-2702.2009.03181.x. Chin J, Morrow GD, Stine-Morrow ALE, Conner-Garcia T, Graumlich FJ, & Murray DM. (2011). The process-knowledge model of health literacy: Evidence from a componential analysis of two commonly used measures. Journal Health Community, 16 (Suppl 3), 222–241. Davis TC, Wolf MS, Arnold CL, Byrd RS, Long SW, Springer T, Kennen E, & Bocchini JA. (2006). Development and validation of the Rapid Estimate of Adolescent Literacy in Medicine (REALM-Teen): A tool to screen adolescents for below-grade reading in health care settings. Pediatrics, 118(6),e1707-14. doi: 10.1542/peds.2006-1139. Davis TC, Long SW, Jackson RH, Mayeaux EJ, George RB, Murphy PW, & Crouch MA. (1993). Rapid estimate of adult literacy in medicine: a shortened screening instrument. Fam Med, 25(6), 391-395. Davis TC, Crouch MA, Long SW, Jackson RH, Bates P, George RB, & Bairnsfather LE. (1991). Rapid assessment of literacy levels of adult primary care patients. Family Medicine, 23(6), 433-435. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
74 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Edwards M, Wood F, Davies M, & Edwards A. (2012). The development of health literacy in patients with a long-term health condition: the health literacy pathway model. BMC Public Health, 12, 130. doi: 10.1186/1471-2458-12-130. Farooqi S & O’Rahilly S. (2006). Genetics of obesity in humans. Endocrine Reviews, 27, 710 -718. Hanson-Divers EC. (1997). Developing a medical achievement reading test to evaluate patient literacy skills: a preliminary study. J Health Care Poor Underserved, 8(1), 56-69. Institute of Medicine-IOM. (2004). Health สiteracy: A prescription to end confusion. Retrieved on May 20, 2016 from http://www.iom.edu/Reports/2004/health-literacy- a-prescription-to-end-confusion.aspx. Intarakamhang U & Kwanchuen Y. (2016). The development and application of the ABCDE-health literacy scale for Thai adults. Asian Biomedicine, 10(6), 587-594. doi: 10.5372/1905-7415.1006.527. Intarakamhang U & Intarakamhang P. (2017). Health literacy scale and model of childhood overweight. Journal of Research in Health Science, 17(1), 1-8. Ishikawa H, Takeuchi T, & Yano E. (2008). Measuring functional, communicative, and critical health literacy among diabetic patients. Diabetes Care, 31(5), 874-879. doi: 10.2337/dc07-1932. Kickbusch I. (2006). The need for a European strategy on global health. Scand J Public Health, 34, 561–565. Kwan B, Frankish J, & Rootman I. (2006). The Development and validation of measures of health literacy in different populations. Vancouver: Centre for Population Health Promotion Research. LaFontaine T. (2008). Physical activity: The epidemic of obesity and overweight among youth: Trends, consequences, and interventions. American Journal of Lifestyle Medicine, 2(1), 30–36. Lee S-Y-D, Arozullah AM, & Cho YI. (2004). Health literacy, social support, and health: A research agenda. Social Science & Medicine, 58, 1309-1321. doi: 10.1016/S0277-9536(03)00329-0. Maes HH, Neale MG, & Eaves LJ. (1997). Genetic and environmental factors in relative body weight and human adiposity. Behav. Genet, 27, 325. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
75 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Mancuso JM. (2009). Assessment and measurement of health literacy: An integrative review of the literature. Nursing & Health Sciences, 11, 77–89. Murphy R, Straebler S, Cooper Z, & Fairburn CG. (2010). Cognitive behavioral therapy for eating disorders. Psychiatr Clin North Am, 33(3), 611–627. doi: 10.1016/j.psc.2010.04.004 Norman CD & Skinner HA. (2006) .eHEALS: The eHealth literacy scale. Journal Medication International Research, 8(4), e27. doi: 10.2196/jmir.8.4.e27. Nurss JR, Parker RM, Williams MV, & Baker DW. (2001). Test of functional health literacy in adults. Peppercorn books and press, Inc. Reprinted with permission. Nutbeam D. (2000). Health literacy as a public health goal: A challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health Promotion International, 15(3), 259–267. Nutbeam D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, 67(12), 2072-8. Nutbeam D. (2009). Defining and measuring health literacy: what can we learn from literacy studies? Int. J Public Health, 54, 303-305. Osborn CY, Paasche-Orlow MK, Bailey SC, & Wolf MS. (2011). The mechanisms linking health literacy to behavior and health status. American Journal of Health Behavior, 35(1), 118-128. Osborne RH, Batterham RW, Elsworth GR, Hawkins M, & Buchbinder R. (2013). The grounded psychometric development and initial validation of the health literacy questionnaire (HLQ). BMC Public Health, 13, 1-17. Paasche-Orlow MK & Wolf MS. (2007). The causal pathways linking health literacy to health outcomes. American Journal of Health Behavior, 31, 19-26. Parker RM, Baker DW, Williams MV, & Nurss JR. (1995). The test of functional health literacy in adults: a new instrument for measuring patients' literacy skills. J Gen Intern Med, 10(10), 537-541. doi: 10.1007/BF02640361. Ratzan SC & Parker RM. (2000). Introduction in national library of medicine current bibliographies in medicine: Health literacy. Selden CR, Zorn M, Ratzan SC, Parker RM, Editors. NLM Pub. No. CBM 2000-1. Bethesda, MD: National Institutes of Health, U.S. Department of Health and Human Services. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
76 บทท่ี 2 เครอ่ื งมอื วดั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ Rootman I. (2009). Health literacy, what should we do about it? Presentation the faculty of education at the university of victoria. British Columbia Canada. Personal Communication. Sharif I & Blank AE. (2010) Relationship between child health literacy and body index in overweight children. Patient Education and Counseling, 9, 43-48. doi: 10.1016/j.pec.2009.07.035. Sørensen K. (2013). Health literacy: the neglected European public health disparity. Maastricht University, the Netherlands. Sørensen K, Van den Broucke S, Fullam J, Doyle G, Pelikan J, Slonska Z, & Brand H. (HLS-EU) Consortium Health Literacy Project European. (2012). Health literacy and public health: A systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health, 12(80), 1-13. doi: 10.1186/1471-2458-12-80. U.S. Department of Education, Institute of Education Sciences. (2005). 2003 National assessment of adult literacy. Washington D.C.: National Center for Education Statistics. Wagner CV, Steptoe A, Wolf MS, & Wardle J. (2009). Health literacy and health actions: A review and a framework from health psychology. Health Education & Behavior, 36(5), 860-877. doi: 10.1177/1090198108322819. Wang Y. (2001). Cross-national comparison of childhood obesity: The epidemic and the relationship between obesity and socioeconomic status. Int J Epidemiol, 30(5), 1129-36. Weiss BD, Mays MZ, Martz W, Castro KM, DeWalt DA, Pignone MP, Mockbee J, & Hale FA. (2005). Quick assessment of literacy in primary care: The Newest Vital Sign. Ann Fam Med, 3(6), 514–522. doi: 10.1370/afm.405. WHO. (2009). Health literacy and health promotion. definitions, concepts and examples in the Eastern Mediterranean Region. Individual empowerment conference working document. 7th Global Conference on Health Promotion Promoting Health and Development. Nairobi, Kenya, 26-30. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
77 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ บทที่ 3 การพฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ จากสถติ กิ ารสญู เสยี ปีสุขภาวะของคนไทยในลาดบั แรกนนั้ ส่วนใหญ่มสี าเหตุจากโรค ไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั (Non-Communicable Disease – NCD) คอื โรคหลอดเลอื ดสมอง โรคเบาหวาน โรคหวั ใจขาดเลอื ด โรคไตเรอ้ื รงั รวมถงึ โรคซมึ เศรา้ (Bhutani & Bhutani, 2014) ท่มี แี นวโน้ม เพม่ิ สูงขน้ึ และคุณภาพของประชาชน โดยเฉพาะดา้ นพฤตกิ รรมสุขภาพและความสามารถใน การดูแลสุขภาพด้วยตนเองของประชาชน ยงั ต้องได้รบั การส่งเสรมิ สนับสนุนและพฒั นาให้ ประชาชนมคี วามเขม้ แขง็ และมสี ุขภาพดถี ้วนหน้า จงึ นามาสู่การกาหนดนโยบายในขอบเขต งานส่งเสรมิ สุขภาพ การป้องกนั โรคและการดูแลรกั ษาท่เี น้นในกลุ่มโรคท่เี กิดจากพฤตกิ รรม สุขภาพ ดงั แผนยทุ ธศาสตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของคนไทย แผนยทุ ธศาสตรด์ ้านความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ จากการพิจารณาแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ช่วง พ.ศ. 2560 - 2579 จาก 4 Excellence Strategies ดังน้ี ยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมป้องกันหรือ P&P (Prevention and Protection) ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเร้ือรงั (Non - Communicable Disease: NCD) ซ่งึ ประกอบด้วย 1) การพฒั นาคุณภาพชวี ติ คนไทย 2) การป้องกนั ควบคุมโรคและภยั สุขภาพ 3) การลดปัจจยั เส่ยี งด้านสุขภาพ และ 4) การบรหิ ารจดั การส่ิงแวดล้อม พร้อมกบั เป้าประสงค์ 20 ปีขา้ งหน้าของการพฒั นาเพ่อื ก้าวส่สู งั คมอุดมปัญญาหรอื Smart Thailand และ การเป็นคนไทยทอ่ี ุดมดว้ ยปัญญา หรอื Smart Thai Citizens นนั่ หมายถงึ คนไทยทกุ กล่มุ วยั มี ความรอบรู้ด้านสุขภาพสูง มกี ารจดั การสุขภาพตนเองได้และเป็นผู้สูงอายุท่ีมอี ายุยืนยาว สุขภาพดี โดยในปี พ.ศ. 2560 มเี ป้าหมายสาคญั คือ ประชาชนมสี ุขภาวะท่ดี ี บุคลากรทาง การแพทย์มคี วามสุขในชวี ติ การทางาน และผู้ป่ วยเบาหวานสามารถควบคุมระดบั น้าตาลใน เลอื ดได้มากกว่า รอ้ ยละ 40 ส่วนผู้ป่ วยความดนั โลหติ สูงสามารถควบคุมความดนั โลหติ ไดด้ ี มากกว่ารอ้ ยละ 50 ทงั้ น้ี ประชาชนเฉพาะกลุ่มโรค NCD ภายในปี พ.ศ. 2568 จะต้องลดอตั รา การตายก่อนวยั อนั ควรจากโรค NCD ทงั้ น้ี รอ้ ยละ 25 โรคเบาหวานและโรคอว้ นไมเ่ พมิ่ ขน้ึ ลด ภาวะความดนั โลหิตสูงร้อยละ 25 ลดการบริโภคเกลือโซเดียมร้อยละ 30 และลดการขาด กจิ กรรมทางกายรอ้ ยละ 10 (สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร,์ 2559) ซง่ึ จะเหน็ การดาเนินการขบั เคล่ือนท่ีเด่นชัดได้จากข้อเสนอ 10 ข้อ ของสภาปฏิรูป ในด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยสงั เขป (กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข, 2560) ดงั น้คี อื 1. ยกระดบั การปฏริ ปู ความรอบรดู้ ้านต่างๆ ของประชาชนเป็นวาระแหง่ ชาติ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
78 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 2. จดั ตงั้ คณะกรรมการสรา้ งเสรมิ ความรอบรแู้ ละส่อื สารสขุ ภาพแห่งชาติ 3. กาหนดใหม้ กี ารพฒั นาความรอบรู้ดา้ นสุขภาพของประชาชนอยใู่ นยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี อยใู่ นแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตแิ ละแผนพฒั นาดา้ นสาธารณสุข 4. จดั การให้สถาบนั การศกึ ษาทุกระดบั และสถานบรกิ ารสุขภาพ สถานท่ที างานและ โรงงานต่างๆ เป็นองคก์ รแหง่ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health literate organization) 5. พฒั นาชุมชน/ทอ้ งถนิ่ เป็นชุมชนรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ (Health literate communities) 6. สนบั สนุนและขยายความครอบคลมุ ใหป้ ระชาชนสามารถรหู้ นงั สอื ให้มากทส่ี ดุ 7. สนับสนุนการศึกษาวจิ ยั (Health literacy survey) และจดั ให้มศี ูนยค์ วามเป็นเลศิ (Center of excellence) ดา้ นสขุ ภาพและความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ 8. จดั ใหม้ รี ายการโทรทศั น์ดา้ นสขุ ภาพเป็นประจา และมกี ารบรหิ ารจดั การเพ่อื ตอบโต้ ขอ้ มลู ทผ่ี ดิ พลาดและเป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพไดท้ นั ท่วงที 9. พฒั นากระบวนการผลติ สอ่ื ดา้ นสุขภาพและช่องทางเผยแพรข่ อ้ มลู 10. จดั ใหม้ กี ารสารวจความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ พฤตกิ รรมสุขภาพและพฤตกิ รรมเส่ยี ง ในกลุ่มประชาชนกลุ่มต่างๆ ทุก 3 หรอื 5 ปี (National health examination survey) ทงั้ น้ี ตามมติการประชุมผู้บรหิ ารระดบั สูง (WM) กระทรวงสาธารณสุข ณ วนั ท่ี 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2560 ไดใ้ หค้ วามหมาย ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพว่าหมายถงึ “ความรอบรแู้ ละ ความสามารถด้านสุขภาพของบุคคลในการท่ีจะกลัน่ กรอง ประเมินและตัดสินใจ ท่ีจะ ปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม เลือกใช้บรกิ ารและผลิตภณั ฑ์สุขภาพได้อย่างเหมาะสม” ในขณะท่ี ความหมาย ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health Literacy-HL) จากทป่ี ระชุมส่งเสรมิ สุขภาพโลกครงั้ ท่ี 7 เมอ่ื 26 - 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ณ กรงุ ไนโรบี ประเทศเคนยา องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization – WHO, 1998) ไดใ้ หค้ วามหมายว่า เป็นทกั ษะทางปัญญาและทกั ษะทางสงั คมของ บุคคล ทกี่ ่อใหเ้ กดิ แรงจูงใจและสมรรถนะทจี่ ะเขา้ ถงึ เขา้ ใจและใช้ขอ้ มูลข่าวสารและบรกิ ารสุขภาพ เพอื่ ส่งเสรมิ และการคงอยใู่ นการบารงุ รกั ษาสุขภาพตนเองใหด้ ี และในการพฒั นาความรอบรดู้ ้าน สขุ ภาพตอ้ งคานงึ ถงึ ความแตกต่างของกลมุ่ เป้าหมาย เชน่ ชว่ งวยั เดก็ และวยั รนุ่ วฒั นธรรมและ ภาษา อารมณ์และสตปิ ัญญา การสูญเสยี การไดย้ นิ ระดบั การรหู้ นังสอื วยั ผสู้ ูงอายแุ ละการมอง ปัญหาทต่ี ่างกนั (Osborne, 2013) จากทใ่ี หค้ วามสาคญั ต่อเน่ืองกบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพในท่ี ประชุมส่งเสรมิ สุขภาพโลกครงั้ ท่ี 9 เม่อื วนั ท่ี 21 - 24 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2559 ท่เี มอื งเช่ยี งไฮ้ ประเทศจนี ท่มี ุ่งไปท่ี เป้าหมายการพฒั นาท่ยี งั่ ยนื (Sustainable Development Goals-SDG) และไดป้ ระกาศใหช้ าตสิ มาชกิ ทวั่ โลก เน้นใหป้ ระชาชนสามารถควบคุมสุขภาพไดด้ ว้ ยตนเองตาม วิถีการดาเนินชีวิตอย่างมีสุขภาวะท่ีดี (Healthy lifestyle) โดยบทบาทของภาครัฐทัง้ ใน ระดบั ประเทศและชุมชน ท่ียงั ต้องส่งเสรมิ ให้ประชาชนมคี วามรอบรู้ด้านสุขภาพ เช่น ผ่าน นโยบายกาหนดราคาสินค้าสุขภาพ การให้ข้อมูลด้านสุขภาพท่โี ปร่งใส การมฉี ลากสินค้าท่ี ชดั เจน ส่วนระดบั ชุมชนเน้นการใหป้ ระชาชนตระหนกั รวู้ ธิ กี ารดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี มี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
79 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ การเรยี นรใู้ ชป้ ระโยชน์จากขอ้ มลู ขา่ วสารและเทคโนโลยเี พอ่ื สามารถควบคุมและจดั การสุขภาพ ทด่ี ไี ด้ด้วยตนเอง เป็นต้น ทงั้ น้ี แนวคดิ ท่สี อดคลอ้ งกบั เป้าหมายในการพฒั นาตามหลกั สากล และการเจรญิ เตบิ โตภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มสเี ขยี ว (Green growth) ซง่ึ ถอื เป็นการพฒั นาท่ยี งั่ ยนื หรอื SDG มุ่งเน้นการพฒั นาทใ่ี หป้ ระชาชนและชุมชนสามารถพง่ึ ตนเองภายใต้เง่อื นไขท่เี ป็น มติ รกบั สงิ่ แวดล้อมตามหลกั การสาคญั 8 ดา้ นคอื 1) การดารงชวี ติ ร่วมกบั ธรรมชาติ (Nature) 2) การส่งเสรมิ และพฒั นาให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) ท่สี อดคล้องกบั ปัญหาและความ ต้องการของชุมชนเพ่อื ลดความเส่ยี ง 3) การประหยดั (Economy) คานึงถึงความคุ้มค่า ลด ค่าใชจ้ า่ ย 4) ความโปรง่ ใส (Transparency) ยดึ ความถูกตอ้ งตามหลกั ธรรมาภบิ าล 5) มเี หตุผล ยตุ ธิ รรมและลดความเหล่อื มล้าทางสงั คมดว้ ยระบบประชาธปิ ไตย (Democracy) 6) ประชาชน เป็นศูนยก์ ลาง (Citizen) มคี ุณภาพชวี ติ ทด่ี ี 7) มคี วามเท่าเทยี มในการพฒั นาทวั่ ถงึ ทงั้ ประเทศ (Country) และ 8) การพัฒนาเข้าสู่ประชาคมโลก (World citizen) ทงั้ ในการดารงชีวิตและ ประกอบอาชพี ไดต้ ามมาตรฐานสากล (กระทรวงดจิ ทิ ลั เพ่อื เศรษฐกจิ และสงั คม, 2560) นอกจากน้ี ยุทธศาสตรท์ ส่ี าคญั ของการส่งเสรมิ สุขภาพโลกอยา่ งยงั่ ยนื ตามเป้าหมาย SDG ด้วยการพฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพในท่ปี ระชุมส่งเสรมิ สุขภาพโลกครงั้ ท่ี 9 ท่เี มอื ง เซ่ยี งไฮ้ น้ี ได้มปี ระเดน็ หวั ขอ้ การนาเสนอและการสมั มนาหวั ขอ้ ย่อย ซ่งึ ครอบคลุมถึงความ เช่อื มโยงของความรอบรดู้ ้านสุขภาพท่จี ะไปสู่การพฒั นาสุขภาพท่ยี งั่ ยนื ดงั ตวั อย่างในหวั ข้อ เรอ่ื ง 1) การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ และการทางาน: ผนู้ าองคก์ รควรรวมการพฒั นาความรอบรดู้ า้ น สขุ ภาพของลกู จา้ งเขา้ ส่รู ะบบการขบั เคล่อื นการเตบิ โตทางธุรกจิ 2) อุตสาหกรรม นวตั กรรมและ โครงสรา้ งพน้ื ฐาน: ความรอบรดู้ ้านสุขภาพจะเป็นสะพานเช่อื มช่องว่างความเหล่อื มล้าและการ พฒั นาสงั คมแห่งการเรยี นรู้ 3) น้าสะอาดและสุขาภบิ าล: ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจะนาไปสู่การ ป้องกนั โรคผ่านการมสี ุขาภบิ าลและน้าทป่ี ลอดภยั 4) สุขภาพโลก: ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจะ นาไปส่คู วามสาเรจ็ ของการเขา้ ถงึ การดูแลสุขภาพอย่างมคี ุณภาพ 5) แม่ เดก็ แรกเกดิ เดก็ และ วยั รุน่ : ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจะเร่งการเตบิ โตและพฒั นาความก้าวหน้าของเดก็ และ 6) โรค ทางระบาดวทิ ยา: ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพช่วยตดั สนิ ใจเพอ่ื ป้องกนั ความเสย่ี ง (WHO, 2016) การพฒั นาคุณภาพของประชาชนด้วยกระบวนการพฒั นาทางปัญญาและสงั คมของ ตนเอง ตามท่ี องคก์ ารอนามยั โลก ไดเ้ สนอไวน้ บั เป็นกลวธิ ที ส่ี าคญั ทส่ี ามารถกระทาไดด้ ว้ ยการ เปลย่ี นความคดิ ในเชงิ บวกและการปรบั พฤตกิ รรมดว้ ยตนเองของบคุ คลและชุมชน ซง่ึ คาดว่าจะ นาไปส่คู วามยงั่ ยนื และต่อเน่อื งมากกว่าวธิ แี บบเดมิ ทป่ี ระชาชนเป็นผมู้ อบภาระการดแู ลสุขภาพ ตนเองให้เป็นหน้าท่ที งั้ หมดของผู้ให้บรกิ ารทางการแพทย์จงึ ส่งผลให้ประชาชนขาดการฝึก ทกั ษะการคดิ และการแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง จงึ เกดิ เป็นสงั คมของการพง่ึ พงิ ไมส่ ามารถพง่ึ ตนเอง ไดเ้ พม่ิ สูงขน้ึ เร่อื ยๆ องคก์ ารอนามยั โลก เหน็ ว่า สาเหตุปัจจยั เรมิ่ ต้นของปัญหาด้านสุขภาพ แท้จรงิ ทย่ี งั ไปไม่ถงึ ผลลพั ธ์ดา้ นสุขภาพของความรอบรดู้ ้านสุขภาพกค็ อื การมวี ถิ กี ารดาเนิน ชวี ติ อยา่ งมสี ขุ ภาวะทไ่ี ม่ดนี นั้ เป็นเพราะประชาชนขาดความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ (Limited health องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
80 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ literacy) (WHO, 2009) สอดคลอ้ งกบั แผนยทุ ธศาสตรส์ ุขภาพดวี ถิ ชี วี ติ ไทย พ.ศ. 2554 - 2563 (Thailand lifestyle healthy strategic plan 2011-2020) ท่ีให้ความสาคญั กบั การส่งเสริมและ ป้องกนั ปัญหาในกลุ่มโรค NCD ซง่ึ เป็นผลลพั ธจ์ ากการมพี ฤตกิ รรมดารงอยอู่ ย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี (Healthy Lifestyle Behavior-HLB) สามารถวดั ไดจ้ าก 1) การมสี ุขภาพกายทดี่ ี เป็นการปฏบิ ตั ิ ทเ่ี หมาะสมกบั วยั ในดา้ นการควบคุมน้าหนกั การรบั ประทานอาหาร การออกกาลงั กาย การไม่ ด่มื สุรา การไม่สูบบุหร่ี 2) การมสี ุขภาพจติ ทดี่ ี สามารถจดั การอารมณ์ไดด้ ี มคี วามสุขสงบใน ชวี ติ ทแ่ี สดงถงึ การยอมรบั ตนเอง การเป็นตวั ของตวั เอง และมจี ดุ มงุ่ หมายในชวี ติ และ 3) การมี สุขภาพทางสงั คมทดี่ ี การมสี มั พนั ธภาพท่ดี กี บั ผู้อ่นื เป็นการปฏบิ ตั ทิ ่กี ่อให้เกดิ ประโยชน์ต่อ สงั คม การช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั การเสยี สละเพ่อื ส่วนรวม และการมุ่งมนั่ พฒั นาในการทางาน อาสาเพ่อื ทากจิ กรรมพฒั นาครอบครวั ชุมชน สงั คม โดยไม่เบยี ดเบยี นตนเองและผอู้ ่นื ถอื เป็น การพัฒนาด้านคุณธรรมและการเติบโตด้านจติ วิญญาณของตนเอง (Pender et al., 2006; Rattanapun et al., 2009; Hacihasanoglu & Gozum, 2011; Foroushani et al., 2014) นอกจากน้ี Thanakwang, Isaramalai & Hatthakit (2014) ยงั ได้ให้ความหมาย พฤติกรรมการดาเนินอยู่ อย่างมสี ุขภาวะท่ดี ีในมุมมองของความยงั่ ยนื (Sustainable) ว่าหมายถึง การกระทาในการ พฒั นาและรกั ษาไวซ้ ง่ึ ความเป็นอย่ทู ด่ี ขี องบุคคลประกอบดว้ ย 1) การอย่อู ย่างพ่งึ พาตนเองได้ (Being self-reliant) 2) การมสี ่วนร่วมและยงั คงประโยชน์ต่อสงั คม (Being actively engaged with society) 3) การมคี วามงอกงามทางปัญญา (Developing spiritual wisdom) 4) การคงไว้ ซ่งึ การมสี ุขภาพดี (Maintaining a healthy) 5) การเรยี นรูอ้ ย่างต่อเน่ือง (Engaging in active learning) และ 6) การเตรียมพร้อมเพ่ือความมัน่ คงทางการเงิน (Building up financial security) ซ่ึงสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย (Thailand Healthy Lifestyle Strategic Plan) พ.ศ. 2554 - 2563 ของสานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ (2554) ทใ่ี หค้ วามหมาย ของ พฤตกิ รรมการดาเนินอยอู่ ย่างมสี ุขภาวะทด่ี วี า่ หมายถงึ การดาเนินชวี ติ แบบไทยทพ่ี อเพยี ง เพ่อื การมสี ุขภาพทด่ี ตี ามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และบูรณาการระบบสุขภาพ บรบิ ท ของสงิ่ แวดล้อมและการมสี ่วนร่วมของสงั คมเพ่อื ให้ประชาชนมภี ูมคิ ุม้ กนั และศกั ยภาพในการ ป้องกนั สุขภาพจากโรควถิ ชี วี ติ ดว้ ยการส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนมคี วามรอบรดู้ ้านสุขภาพ ซ่งึ จะเป็น ภมู คิ ุม้ กนั ในการป้องกนั สขุ ภาพของประชาชนไดต้ ลอดอายุขยั ดงั นนั้ เพ่อื ใหป้ ระชาชนมสี ุขภาวะท่ี ดอี ย่างยงั่ ยนื โดยผ่านกจิ กรรมการพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ซ่งึ พบว่า มรี ายงานการศึกษา เก่ยี วกบั โปรแกรมการพฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพ (Health literacy intervention) ท่สี ่งผลต่อ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพทงั้ ในและต่างประเทศนนั้ มอี ยจู่ านวนไม่มากเม่อื เทยี บกบั รปู แบบการศกึ ษาวจิ ยั ทงั้ หมดจานวน 6,243 เรอ่ื ง ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1985 - มถิ ุนายน ค.ศ. 2017 ในฐาน PubMed/Medline คอื มเี พยี ง 32 เรอ่ื ง และในจานวนน้มี ตี วั อยา่ งการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ทน่ี าเสนอดงั น้ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
81 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ การพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ: แนวทางการดาเนินการในต่างประเทศ จากการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั โปรแกรมการพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ของ Berkman et al. (2011) ทไ่ี ดน้ าเสนอ โมเดลเชงิ เหตุผลเพอ่ื การวเิ คราะหใ์ นการศกึ ษาความ รอบรดู้ า้ นสุขภาพ (A Logic model for analyzing studies of health literacy) ซง่ึ ไดม้ าจากการ วจิ ยั เชิงสงั เคราะห์อย่างมรี ะบบจากรายงานการวจิ ยั ทงั้ หมด 86 เร่อื ง และในจานวนน้ีเป็น งานวจิ ยั ทศ่ี กึ ษาผลของการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจานวน 42 เรอ่ื ง และพบว่า สว่ นใหญ่ เป็นการจดั กจิ กรรมเพยี งรอบเดยี ว (Single design features) เช่น การออกแบบเอกสารความรู้ ทางเลอื ก การนาเสนอตวั เลขทางเลอื ก การนาเสนอสญั ลกั ษณ์หรอื ตวั แทนภาพทางเลอื ก การ นาเสนอส่อื ทางเลอื ก ความสามารถในการอ่านเอกสารทางเลอื ก และการจดั กจิ กรรมตดิ ตามผล จากการแจง้ เตอื นของแพทย์ และวดั ผลลพั ธโ์ ปรแกรมดว้ ยการวดั ความรู้ ความสามารถในการ อ่านและเขา้ ใจ ส่วนโปรแกรมในการทดสอบความรอบรดู้ ้านสุขภาพในเชงิ การคานวณหรอื การ นาเสนอตวั เลขทจ่ี าเป็น เช่น ตวั เลขอตั ราตายในโรงพยาบาล ขอ้ มลู ตวั เลขในแผนสุขภาพ การ นาเสนอตวั เลขความเสย่ี งและประโยชน์จากการรกั ษา หรอื การใชส้ ่อื วดี โิ อ การบรรยาย การใช้ คาบรรยายประกอบภาพ การใชส้ ญั ลกั ษณ์ สี กราฟ แผนภมู ทิ ม่ี าพรอ้ มกบั ขอ้ มลู เป็นต้น ส่วน การจดั กจิ กรรมโปรแกรมทร่ี วมกลวธิ ที ห่ี ลากหลายดว้ ยกนั (Combination of features) พบวา่ มี การศกึ ษาจานวนน้อย เช่น โปรแกรมในการบรหิ ารจดั การตนเองของผปู้ ่วยทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพใน การลดปรมิ าณการใช้ห้องฉุกเฉินและการเขา้ รกั ษาตวั ในโรงพยาบาล โปรแกรมการพฒั นาท่ี วดั ผลท่คี วามรู้ ความสามารถของตนเอง ทกั ษะทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สุขภาพ คุณภาพชวี ติ และการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม เป็นตน้ แนวคิดในการพฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพในต่างประเทศ จากรายงานการวจิ ยั เก่ยี วกบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในมุมมองโลกพบว่า การพฒั นา ความรอบรูด้ ้านสุขภาพมคี วามสมั พนั ธ์กบั พฤติกรรมสุขภาพและผลลพั ธ์ทางสุขภาพ หลาย ประเทศได้กาหนดให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นนโยบายระดับประเทศ และเป็นหน่ึงใน เป้าหมายสุขภาพ (Health goals) ทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละท้องถน่ิ (Institute of Medicine, 2013) สืบเน่ืองจากในบทท่ผี ่านมาได้นาเสนอเน้ือหาเก่ียวกบั นิยามความหมาย และเคร่อื งมอื วดั รวมทัง้ ปัจจยั ท่ีมีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ซ่ึงมีความสาคัญต่อการสร้าง โปรแกรมหรือกิจกรรม (Intervention) เพ่ือพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ และเน่ืองจาก สง่ิ แวดล้อม สงั คม และเทคโนโลยมี กี ารเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเรว็ ความรอบรดู้ ้านสุขภาพจงึ เป็นสงิ่ ท่จี าเป็นท่ตี ้องได้รบั การพฒั นาอยู่เสมอ ในบทน้ีจงึ นาเสนอเน้ือหาเก่ยี วกบั กรอบการ พฒั นาตามแนวคิด กลยุทธ์ และตัวอย่างรูปแบบการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรู้ด้าน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
82 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ สุขภาพจากต่างประเทศ ทงั้ น้ี ในการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ สามารถดาเนินการไดห้ ลาย แนวทาง ขน้ึ อยกู่ บั มมุ มองในการพจิ ารณาทจ่ี ะนาไปใช้ ดงั ต่อไปน้ี 1. การพิจารณาจากระดบั ของเป้าหมายท่ีต้องการให้เกิดผลลพั ธ์ การพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยแบ่งตามระดบั ของเป้าหมายท่ตี ้องการให้ เกดิ ผลลพั ธ์ แบง่ ออกเป็น 2 แนวทาง (Approaches) คอื Clinical approach และ Public health approach (Brand and Srensen, 2011; Pleasant and Kuruvilla, 2008) ดงั น้ี 1) Clinical approach เป็นแนวทางท่ีมเี ป้าหมายของการพัฒนาในระดับบุคคล โดยเน้นการพฒั นาปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กบั ผู้ป่ วย (Patient-provider interaction) ซง่ึ เป็นแนวทางทป่ี ระเทศสหรฐั อเมรกิ าและยโุ รปใชก้ นั มากในการพฒั นา 2) Public health approach เป็นแนวทางทม่ี เี ป้าหมายของการพฒั นาในระดบั ชาติ ทม่ี งุ่ เน้นการพฒั นาสขุ ภาพของประชาชน และใหโ้ อกาสทางการศกึ ษาแก่ประชาชนไปพรอ้ มกนั 2. การพิจารณาจากผ้มู ีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกบั การพฒั นาความรอบร้ดู ้านสุขภาพ การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพตามแนวคิดน้ี เป็ นการพิจารณาเมตริก ความสมั พนั ธร์ ะหว่างผมู้ สี ่วนไดส้ ว่ นเสยี กบั องคป์ ระกอบของการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ซง่ึ เรยี กว่า Intersectoral approach (Vamos, 2012) ดงั ภาพประกอบ 3 -1 แนวคดิ น้ีเป็นกรอบ สาหรบั การดาเนินการเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพในประเทศแคนาดา ซง่ึ มพี นั ธกจิ คอื เพ่อื การดาเนินการและประเมนิ ผลรูปแบบการพฒั นาหรอื วธิ กี ารต่างๆ ทจ่ี ะเกดิ การเสรมิ สรา้ ง การสนบั สนุนและสรา้ งความรว่ มมอื เพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในประเทศแคนาดา ภาพประกอบ 3-1 Intersectoral approach เพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ของ Vamos (2012) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
83 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ จากภาพประกอบ 3-1 ซ่ึงแสดงกรอบแนวคิดของวิธีการเช่ือมโยงมาบรรจบกัน (Intersectoral approach) เพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ทางดา้ นซา้ ยมอื เป็นองคป์ ระกอบ พ้นื ฐานท่จี าเป็น 3 ประการในการพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ซ่งึ ใช้เป็นแนวทางสาหรบั พฒั นากลยุทธห์ รอื รปู แบบการดาเนินการประกอบดว้ ย 1) การพฒั นาความรู้ 2) การเพมิ่ ความ ตระหนักและพฒั นาความสามารถและ 3) การพฒั นาโครงสร้างพ้นื ฐานและเครอื ข่ายความ รว่ มมอื โดยในแต่ละองคป์ ระกอบจะมวี ตั ถุประสงค์ยอ่ ยและกจิ กรรมการดาเนินการ ดา้ นบนของ กรอบแนวคดิ น้ีเป็นภาคส่วนต่างๆ ท่มี สี ่วนไดส้ ่วนเสยี หรอื มคี วามร่วมมอื ในการพฒั นาความ รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพซง่ึ ประกอบไปดว้ ย 5 ภาคสว่ น ไดแ้ ก่ ภาครฐั บาล หน่วยงานใหบ้ รกิ ารสุขภาพ ภาคการศกึ ษา สถานประกอบการ/องคก์ รธุรกจิ และองคก์ รในชุมชน ในการพฒั นารปู แบบการ ดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพตามกรอบน้ี แต่ละภาคส่วนจะไดร้ บั เชญิ ใหเ้ ขา้ มา มสี ว่ นในการพฒั นาและใหข้ อ้ เสนอแนะในการดาเนินงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ในแต่ละขอ้ ของทงั้ 3 องคป์ ระกอบ เพ่อื ให้ได้รูปแบบการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพท่ี ครอบคลุมทุกองคป์ ระกอบและมสี ่วนรว่ มจากทุกภาคสว่ น 3. พิจารณาจากบคุ คลหรอื หน่วยงานท่ีเป็นเป้าหมายของการพฒั นา การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพตามแนวคดิ น้ีมุ่งเน้นการสรา้ งรปู แบบการดาเนิน กิจกรรมตามกลุ่มบุคคลและหน่ วยงาน เป้ าหมายของการพัฒนา ท่ีได้จากบทเรียน ในการ ดาเนินงานเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในต่างประเทศ ซง่ึ จะนาเสนอในรายละเอยี ดต่อไป (Pleasant, 2012) โดยแบง่ เป็น 5 แนวทาง ดงั น้ี 1) การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของประชาชนทวั่ ไป 2) การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของบคุ ลากรทางสขุ ภาพ 3) การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในสถานพยาบาล 4) การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในองคก์ ร 5) การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในชมุ ชน กลยทุ ธก์ ารดาเนินงานเพ่ือการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพมคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ทงั้ ระดบั นโยบายและระดบั ปฏบิ ตั ิการ ทงั้ ระดบั บุคคลและชุมชน และทงั้ ระดบั นานาชาตแิ ละระดบั ชาติ จากการทบทวนบทเรยี นด้าน การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในต่างประเทศ สามารถสรปุ กลยุทธเ์ พอ่ื การพฒั นาความรอบ รู้ด้า น สุ ข ภ า พ ( Kumaresan, 2012; Pleasant, 2012; Ratzan, 2012; Baur, 2012; Vamos, 2012) ไดด้ งั น้ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
84 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ 1. มีนโยบายจากภาครัฐท่ีเก่ียวกับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพทัง้ ใน ระดบั ชาติ และระดบั ทอ้ งถนิ่ มกี ารจดั ทาแผนปฏบิ ตั กิ ารทส่ี อดคลอ้ งกบั นโยบาย และมอี งค์กร ระดบั ชาตทิ ร่ี บั ผดิ ชอบงานเกย่ี วกบั การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพโดยตรง 2. มกี ฎหมายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ทงั้ กฎหมายดา้ นสุขภาพและ สาธารณสุข กฎหมายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ผู้บรโิ ภค และกฎหมายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศดา้ นสุขภาพ 3. มกี ารดาเนินงานในลกั ษณะความร่วมมอื ระหว่างภาครฐั และภาคเอกชน ความ รว่ มมอื จากภาคสว่ นทเ่ี ป็นผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี และความรว่ มมอื ดงั กล่าวควรเกดิ ขน้ึ ในทกุ ระดบั 4. ใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยที างดา้ นการสอ่ื สาร เช่น โทรศพั ทม์ อื ถอื อุปกรณ์ไรส้ าย 5. มกี ารวดั ระดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนแต่ละกลุ่มวยั และแต่ละพ้นื ท่ี อยา่ งต่อเน่อื ง 6. มกี ารประเมนิ ผลกจิ กรรมและรปู แบบการดาเนนิ การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ 7. มกี ารวจิ ยั เก่ยี วกบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพในทุกแง่มุมอย่างต่อเน่ือง และมเี วที แลกเปลย่ี นองคค์ วามรแู้ ละการดาเนินงานเพ่อื สรา้ งความรอบรดู้ า้ นสุขภาพทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละ ระดบั นานาชาติ 8. ให้ชุมชนมสี ่วนร่วมออกแบบและดาเนินงานเพ่อื เพ่ิมความรอบรู้ด้านสุขภาพ คานงึ ถงึ สทิ ธพิ น้ื ฐานของบุคคล มรี ะบบบรกิ ารสขุ ภาพทเ่ี น้นผปู้ ่วยเป็นสาคญั และมคี วามร่วมมอื จากหลายภาคสว่ น 9. มีการปรบั เปล่ียนองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literate organization) และหลอมรวมหลกั การของความรอบรู้ด้านสุขภาพเข้าไปในชวี ิตการ ทางานประจาวนั โดยการปรบั เปลย่ี นองคก์ รใหเ้ กดิ ขน้ึ ทงั้ ในทุกระดบั ของหน่วยงานยอ่ ย และใน หน่วยงานทุกภาคส่วน ไดแ้ ก่ หน่วยงานภาคอุตสาหกรรม/เอกชน ภาครฐั ภาคการศกึ ษา และ หน่วยงานไมห่ วงั ผลกาไร 10. การพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพจะประสบความสาเรจ็ ได้ จาเป็นต้องพฒั นา ทงั้ สองดา้ นคอื ความรแู้ ละทกั ษะของประชาชนผูร้ บั ขอ้ มลู สุขภาพและบรกิ ารสุขภาพ และความรู้ และทกั ษะของบุคลากรผใู้ หข้ อ้ มลู สุขภาพและบรกิ ารสขุ ภาพ 11. มสี ง่ิ จงู ใจหรอื รางวลั ตอบแทนบุคลากรท่ที างานเก่ยี วกบั การพฒั นาความรอบรู้ ด้านสุขภาพ และให้รางวัล Best practice สาหรับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพใน กลุม่ เป้าหมายต่างๆ 12. ผลกั ดนั ใหม้ กี ารบรรจเุ น้ือหาเก่ยี วกบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพในหลกั สูตรระดบั ปรญิ ญาตรขี องทุกสหสาขาวชิ าชพี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
85 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เครื่องมือและวิธีการท่ีใช้ในการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ นวตั กรรมทถ่ี ูกนามาใช้ในการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื นวตั กรรมทเ่ี ป็นอุปกรณ์หรอื เครอ่ื งมอื และนวตั กรรมทเ่ี ป็นวธิ กี าร ดงั น้ี 1. นวัตกรรมท่ีเป็ นอุปกรณ์หรือเครื่องมือ นวัตกรรมในกลุ่มน้ีมี 2 ประเภท ดงั ต่อไปน้ี 1.1 เทคโนโลยีด้านสุขภาพผ่านมอื ถือ (Mobile health technology) การท่ีจะลด ช่องว่างของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในยุคเทคโนโลยปี ัจจบุ นั มคี วามจาเป็นอยา่ งยง่ิ ท่จี ะต้องใช้ นวตั กรรมและเทคโนโลยดี า้ นการสอ่ื สารทเ่ี หมาะสมผา่ นโทรศพั ทม์ อื ถอื และอุปกรณ์ไรส้ าย เช่น Wi-Fi, Bluetooth, คล่นื ความถ่ี เป็นต้น ซ่งึ มกี ารนาโทรศพั ท์มอื ถือ และอุปกรณ์ไรส้ ายมาใช้ พฒั นาผลลพั ธท์ างสุขภาพและการใหบ้ รกิ ารสุขภาพหรอื ทเ่ี รยี กว่า เทคโนโลยดี า้ นสุขภาพผ่าน มอื ถอื ดงั ตวั อย่างโครงการทม่ี กี ารนาโทรศพั ท์มอื ถอื ไปใช้เพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพ และผลลพั ธท์ างสุขภาพ ไดแ้ ก่ 1) Mobile health tobacco cessation project โครงการน้ีเป็ นขององค์การ อ น า มัย โ ล ก ( WHO) แ ล ะ ส ห พัน ธ์ ก า ร โ ท ร ค ม น า ค ม ร ะ ห ว่ า ง ช า ติ ( International telecommunications Union) ซ่ึงรูปแบบการดาเนินงานมีการส่งข้อความ ( SMS) ไปยัง กลุ่มเป้าหมายเพ่อื เพมิ่ ความตระหนักเกย่ี วกบั ปัจจัยเสย่ี ง การคดั กรอง การกนิ ยา และการแจง้ ขอ้ มลู ของประชาชน โครงการน้เี ป็นตวั อยา่ งของความสาเรจ็ ในการใชเ้ ทคโนโลยกี ารส่อื สารเพ่อื พฒั นาผลลพั ธ์ทางสุขภาพ ทงั้ น้ี เน่ืองจากการดาเนินงานด้วยรูปแบบการส่ง SMS มคี วาม ประหยดั เป็นการส่อื สารท่มี คี วามเป็นส่วนตวั สาหรบั ผปู้ ่วย สามารถใหท้ งั้ ขอ้ มลู และใหก้ าลงั ใจ แก่ผปู้ ่วย (Kumaresan, 2012) 2) CommCare program โครงการน้ีจัดข้ึนในรัฐ Bihar ประเทศอินเดีย พฒั นาขน้ึ โดยคนในพ้นื ทแ่ี ละได้รบั การสนับสนุนโดยกระทรวงสาธารณสุข รปู แบบกจิ กรรมคอื มกี ารใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื เป็นเคร่อื งมอื ในการใหค้ าปรกึ ษาแก่เดก็ ผหู้ ญงิ และผหู้ ญงิ ทวั่ ไปเก่ยี วกบั สุขอนามยั ระหว่างมีประจาเดือน โรคติดเช้ือทางเพศสมั พันธ์ และการวางแผนครอบครวั (Treatman et al., 2012) 3) Text4baby โครงการน้เี ป็นอกี ตวั อยา่ งหน่ึงทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ประสทิ ธผิ ลของ การนาเทคโนโลยโี ทรศพั ท์มอื ถอื มาใช้ในการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ โดยช่วยใหข้ อ้ มลู ด้านสุขภาพแก่บุคคลเพ่อื ใหส้ ามารถตดั สนิ ใจด้านสุขภาพไดอ้ ย่างเหมาะสม จดั ขน้ึ ในประเทศ สหรฐั อเมรกิ า รปู แบบของกจิ กรรมคอื มกี ารใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื ใหบ้ รกิ ารส่งขอ้ มลู ฟรใี หแ้ ก่ผู้หญงิ ตงั้ ครรภแ์ ละคณุ แมม่ อื ใหม่ โดยจะส่งขอ้ มลู 3 ครงั้ /สปั ดาห์ ซง่ึ ขอ้ มลู ทส่ี ง่ จะมเี น้อื หาเก่ียวกบั การ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
86 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ปฏบิ ตั ติ วั เพ่อื ใหค้ รรภแ์ ละลกู ทเ่ี กดิ มาแขง็ แรงสมบรู ณ์ ผลการประเมนิ โครงการโดยศูนยค์ วบคุม และป้องกนั โรค สหรฐั อเมรกิ า (The Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ใน ปี ค.ศ. 2012 รายงานว่า ร้อยละ 96 ของผู้ท่ลี งทะเบยี นเข้าใช้โปรแกรมน้ีจะแนะนาบอกต่อ บรกิ ารน้ใี หก้ บั เพอ่ื น (Ratzan, 2012) นอกเหนือจากตวั อย่างข้างต้น โทรศพั ท์มอื ถอื ยงั ถูกนาไปใชใ้ นการพฒั นาความ รอบรดู้ ้านสุขภาพอย่างกว้างขวางได้แก่ การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ การเพม่ิ ความ ร่วมมือในการรักษาของผู้ป่ วยโรคเร้ือรัง การให้ความรู้เก่ียวกับโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง เช่น เบาหวาน ความดนั โลหติ สูง การกระตุ้นการใชถ้ ุงยางอนามยั ใชเ้ ป็นอุปกรณ์รบั ส่งสญั ญาณเพ่อื ตดิ ตามการใช้ยาพ่นในผปู้ ่ วยหอบหดื ทงั้ น้ีเทคโนโลยโี ทรศพั ทม์ อื ถอื มคี วามสาคญั มากในบาง ประเทศ เน่ืองจากเป็นเทคโนโลยที เ่ี ขา้ ถงึ กลุ่มเป้าหมายไดท้ วั่ ถงึ โดยเฉพาะกลุ่มคนทเ่ี ขา้ ถึงได้ ยากและพ้นื ท่ที ่มี ขี ้อจากดั เร่อื งโครงสร้างจาเป็น เช่น จานวนบุคลากรทางสุขภาพ ระยะทาง เวลา นอกจากน้ียงั เป็นเคร่อื งมอื ท่ีคานึงถึงความเป็นส่วนตวั ของผู้ป่ วย (Kumaresan, 2012; Cabe & Thompson, 2012) 1.2 Checklists & Scorecards ได้กลายมาเป็นเคร่อื งมอื ท่ไี ด้รบั การยอมรบั อย่าง แพรห่ ลายวา่ สามารถพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและผลลพั ธท์ างสุขภาพไดด้ ี ดงั น้ี Checklists ซ่ึงลักษณะของ health checklists จะประกอบด้วยรายการ สง่ิ จาเป็นท่ตี ้องทาโดยมจี านวนรายการแตกต่างกนั ไปตามเป้าหมายทางสุขภาพ เช่น WHO Safe Childbirth Checklist, Central Line ICU Checklist, WHO Surgical Safety Checklist, mCheck “ 7-day ” Tool เป็นต้น ข้อดขี องการนา Checklists มาใช้ในการพฒั นาความรอบรู้ ดา้ นสุขภาพมสี องประการ ไดแ้ ก่ 1) เป็นนวตั กรรมทม่ี ตี ้นทุนต่าและมหี ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ยงั ช่วยใหส้ ามารถจดั การกบั งานทซ่ี บั ซอ้ นและมกั จะถูกละเลยไดด้ ี และ 2) โปรแกรม Checklist ท่ี มีประสิทธิผล จะช่วยรวบรวมรายละเอียดหรือองค์ประกอบท่ีสาคัญของแนวทางปฏิบัติ (Guidelines) ต่างๆ ใหอ้ ย่ใู นรูปแบบท่เี ขา้ ใจง่าย สะดวกกบั ผูใ้ ช้และมรี ายการเป็นขนั้ เป็นตอน สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ (Pronovost, 2006; Ratzan, 2012) Scorecards เป็นเคร่ืองมือท่ีประกอบด้วย ตัวช้ีวัดด้านสุขภาพท่ีสาคัญ ซ่ึง Ratzan (2001) ไดพ้ ฒั นาออกมาในรปู แบบดจิ ติ อล (Digitized scorecard) ประกอบดว้ ย ตวั ชว้ี ดั ดา้ นสุขภาพทส่ี าคญั 6 ประการ ไดแ้ ก่ ความดนั โลหติ /อตั ราการเตน้ หวั ใจ ดชั นีมวลกาย ระดบั โคเลสเตอรอล การรบั วคั ซนี การทากจิ กรรมเพ่อื ป้องกนั โรค/การตรวจคดั กรองเพ่อื ป้องกนั โรคท่ี เหมาะสม (เช่น แมมโมแกรม การเลกิ บุหร)่ี และการรายงานสถานะสุขภาพของตนเอง การนา Scorecard มาใช้ในการพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพมหี ลกั การคอื แต่ละตวั ช้วี ดั จะมตี วั เลข องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
87 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ คะแนนทว่ี ดั ไดข้ องแต่ละบุคคลและมชี ่วงคะแนนมาตรฐานของตวั ชว้ี ดั ซง่ึ Scorecard จะทาการ แปลผลค่าคะแนนท่วี ดั ได้ของตวั ช้วี ดั นัน้ เทยี บกบั ช่วงคะแนนมาตรฐาน แล้วแจ้งขอ้ มูลใหก้ บั บุคคลรบั ทราบ เช่น ดชั นีมวลกายเท่ากบั 26.8 เคร่อื งจะแจง้ เตอื นใหร้ ะวงั หรอื ระดบั ความดนั โลหติ เท่ากบั 110/70 เครอ่ื งจะแปลผลออกมาว่า ดี เป็นต้น (Johnson & Johnson, 2012) ดว้ ย หลกั การเช่นน้ี Scorecard จงึ เป็นเครอ่ื งมอื ท่ที าหน้าทใ่ี หข้ อ้ มลู สุขภาพแก่ประชาชน โดยใหร้ ทู้ งั้ เป้าหมายทางสุขภาพของแต่ละตวั ชว้ี ดั รบั รสู้ ภาวะสุขภาพของตนเอง และรบั รวู้ ่าตนเองกาลงั อยใู่ นกลุ่มเสย่ี งหรอื ไม่ ซง่ึ ทาใหป้ ระชาชนเขา้ ใจ ตระหนกั และหาทางทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ต่างๆ ทจ่ี ะมผี ลต่อตวั ชว้ี ดั สขุ ภาพและผลลพั ธท์ างสขุ ภาพของตนต่อไป 2. นวตั กรรมที่เป็ นวิธีการ ซ่งึ มกี ารใช้กนั 4 เทคนิค เป็นวธิ กี ารในทากิจกรรมเพ่อื พฒั นาทกั ษะความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ (Pleasant, 2012) ไดแ้ ก่ 2.1 “Ask Me 3” ซง่ึ เป็นเทคนคิ ทใ่ี ชเ้ พอ่ื กระตุน้ ใหผ้ ปู้ ่วยถามคาถามกบั แพทย์ 3 ขอ้ 1) ปัญหาสุขภาพของฉนั ในวนั น้ีคอื อะไร ? 2) ฉนั จาเป็นตอ้ งทาอะไรบา้ งเกย่ี วกบั ปัญหาทว่ี ่าน้ี ? 3) สง่ิ ทฉ่ี นั ตอ้ งทานนั้ มนั สาคญั อยา่ งไร ? เป็นเทคนิคทม่ี กั ใชเ้ พ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพโดยช่วยปรบั ปรุงการส่อื สาร ระหว่างบุคลากรทางสุขภาพกบั ผู้ป่ วยใหม้ ปี ระสทิ ธผิ ลมากขน้ึ พรอ้ มสรา้ งบรรยากาศให้ผู้ป่ วย กลา้ ถาม เน่ืองจากผปู้ ่วยมกั จะเกดิ ความละอายไม่กลา้ ทจ่ี ะถามคาถามกบั แพทยพ์ ยาบาล หรอื กลวั จะถูกกล่าวหาว่า ไม่รูเ้ รอ่ื ง ประกอบกบั ช่วงเวลาทผ่ี ปู้ ่วยไดพ้ บกบั แพทยน์ นั้ เป็นระยะเวลา ท่สี นั้ มาก ผู้ป่ วยกจ็ ะเกรงใจไม่อยากให้แพทยต์ ้องเสยี เวลากบั ตนเองหรอื ไปเบยี ดบงั เวลาของ ผู้ป่ วยอ่ืนท่กี าลงั รอควิ อยู่ ดงั นัน้ หน่วยงานวจิ ยั และคุณภาพการดูแลสุขภาพ (Agency for Healthcare Research Quality-AHRQ) และ มูลนิธิเพ่ือความปลอดภัยของผู้ป่ วยแห่งชาติ (National Patient Safety Foundation, 2011) ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ได้เรมิ่ นามาใช้ เพ่อื เป็น การเพม่ิ พลงั อานาจให้ผู้ป่ วยและให้แพทยก์ บั ผู้ป่ วยได้ตกลงร่วมกนั ว่าให้ผู้ป่ วยมสี ่วนร่วมใน ความรบั ผดิ ชอบกบั สขุ ภาพของตนเองรว่ มดว้ ย ดงั นนั้ คาถามทงั้ 3 ขอ้ ดงั กล่าว เป็นคาถามอยา่ ง น้อยท่ีผู้ป่ วยต้องการคาตอบจากแพทย์และผู้ป่ วยต้องรู้และเข้าใจในคาตอบนัน้ ในหลาย โรงพยาบาลกป็ รบั ปรงุ คาถามน้ีจดั ทาเป็นบทสนทนาระหว่างผูป้ ่วยกบั แพทยใ์ นรปู ส่อื วดี โี อ ให้ ทกุ คนไดช้ มและฝึกการปฏบิ ตั ิ ซง่ึ สามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดท้ ่ี http://www.npsf.org/askme3/ 2.2 Teach-back method เป็นเทคนคิ ทใ่ี ชใ้ นการใหข้ อ้ มลู สุขภาพทส่ี าคญั ยอ้ นกลบั หรอื ทวนความใหก้ บั ผปู้ ่วย ซง่ึ มกั จะใชห้ ลงั จากเทคนิค “Ask Me 3” อาจจะกระทาดว้ ยการสาธติ หรอื ใหผ้ ปู้ ่วยลองทาใหด้ ู ในสงิ่ ทแ่ี พทยพ์ ยาบาลไดใ้ หข้ อ้ มลู ไปในช่วง “Ask Me 3” ผ่านไปแล้ว องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
88 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ เช่น “ช่วยเล่าใหฟ้ ังหน่อยวา่ ยาทค่ี ุณไดร้ บั จากหอ้ งยานนั้ คุณใช้อย่างไร ช่วงไหนบา้ ง และเวลา ใชย้ าน้คี ุณทาอยา่ งไรชว่ ยแสดงใหด้ หู น่อย” เป็นตน้ 2.3 Edutainment เป็นเทคนิคนาเสนอข้อมูลด้านสุขภาพผ่านละคร นกรณีศกึ ษา หรอื เรอ่ื งเลา่ 2.4 Peer training method เป็นเทคนิคทใ่ี ชใ้ นการฝึกเพ่อื นรว่ มงานเก่ยี วกบั ทกั ษะ การสอ่ื สารและทกั ษะการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ผปู้ ่วย นอกจากน้ี นวตกรรมของ AHRQ ทเ่ี ป็นเครอ่ื งมอื ชุดฝึกการพฒั นาความรอบรูด้ ้าน สุขภาพทส่ี ามารถนาไปใชไ้ ด้กบั ประชาชนทวั่ ไป และผปู้ ่วยเฉพาะโรค เช่น โรคหวั ใจ การใชย้ า เป็นต้น ในการให้การศึกษาผู้ป่ วย และมาตการและตวั ช้วี ดั ของแผนพฒั นาความรอบรู้ด้าน สุขภาพของประชาชนซง่ึ มเี ผยแพรท่ เ่ี วบ็ ดงั ต่อไปน้ี www.ahrq.gov/qual/literacy/healthliteracytoolkit.pdf www.nchealthliteracy.org/toolkit/Cardio/toolkit.pdf www.nchealthliteracy.org/toolkit/Rheum/toolkit.pdf www.ahrq.gov/professionals/prevention-chronic-care/improve/self-mgmt/pemat/index.html www.teachbacktraining.org www.tinyurl.com/yye4cuy https://www.ahrq.gov/professionals/quality-patient-safety/ pharmhealthlit/ index.html http://www.health.gov/healthliteracyonline/ http://www.health.gov/communication/literacy/quickguide/ https://www.healthypeople.gov/2020/topics-objectives/topic/health-communication -and-health-information-technology/objectives?topicId=18 นอกจากน้ี Health Quality & Safety Commission New Zealand (2015) ยงั ไดพ้ ฒั นา คู่มอื การพฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพ 3 ขนั้ ตอน สาหรบั แพทย์เพ่อื ใช้ส่อื สารกบั ผู้ป่ วยตาม โมเดล A three-step model for better health literacy ทป่ี ระยุกต์จาก เครอ่ื งมอื พฒั นาความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพของ AHRQ ดงั ภาพประกอบ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
89 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ข้ันที่ 1 คน้ หา ขนั้ ท่ี 2 สร้าง ความร้เู ดมิ หรือ ทกั ษะความรอบ สง่ิ ท่ีผู้ป่วยรู้ รู้ด้านสขุ ภาพ และความรู้ ขนั้ ท่ี 3 ตรวจสอบ ให้แนใ่ จวา่ เขา้ ใจ ถ้าไม่ใหก้ ลับไปท่ี ข้ัน 2 ใหม่ ภาพประกอบ 3-2 โมเดล 3 ขนั้ ตอนเพ่อื ความรอบรดู้ ้านสุขภาพทด่ี กี ว่า (A three-step model for better health literacy ( Health Quality & Safety Commission New Zealand, 2015) ขนั้ ท่ี 1 ค้นหาความร้เู ดิมหรอื ส่ิงที่ผปู้ ่ วยรู้ (Find out what people know) เป็นสว่ นทม่ี ี ความสาคญั เพราะวา่ ผปู้ ่วยทม่ี ารบั บรกิ ารทุกคนจะมคี วามรเู้ ดมิ ทอ่ี าจจะไมถ่ กู ตอ้ ง ดงั นนั้ ขนั้ ตอน น้ี แพทยพ์ ยาบาลจงึ ต้องใหก้ ารช่วยเหลอื ดว้ ยการเรม่ิ ต้นการสนทนา พรอ้ มทงั้ ตงั้ คาถามอย่าง เป็นมติ ร (Ask me) เช่น “ช่วยเล่าใหฉ้ นั ฟังในสงิ่ ท่คี ุณรแู้ ละสงิ่ ท่เี กดิ ขน้ึ กบั การเจบ็ ป่ วยของคุณ” และควรตงั้ คาถามต่อเพ่อื ทวนความจาสนั้ ๆ ของผูป้ ่ วย เช่น “คุณเคยได้ยนิ เก่ยี วกบั การรกั ษา แบบน้ีมาก่อนไหม” “คุณช่วยเล่าถึงอาการผดิ ปกติท่เี ป็นอยู่ของคุณมอี ะไรบ้าง” “คุณช่วยเล่า สาเหตุหรอื เง่อื นไขสุขภาพนัน้ คดิ ว่ามาจากอะไร” และฟังผปู้ ่วยเล่าพรอ้ มสงั เกตน้าเสยี งคาพูดท่ี ผปู้ ่วยพดู กจ็ ะทราบว่าสงิ่ ทผ่ี ู้ป่วยรคู้ อื อะไร เช่น “ฉันเป็นเก๊าท์เพราะกนิ อาหารทะเลมาก” ดงั นัน้ แพทยพ์ ยาบาล ก็ต้องอธบิ ายเช่อื มโยงความรใู้ หม่ทจ่ี ะใหก้ บั ความรเู้ ดมิ ทผ่ี ู้ป่ วยมี ว่า “การเป็น เก๊าทท์ ม่ี าจากการกนิ อาหารทะเลนนั้ เชอ่ื มโยงไปถงึ กรดยรู คิ ทเ่ี ป็นสาเหตุแทจ้ รงิ อยา่ งไร” ขนั้ ที่ 2 สร้างทักษะความรอบรู้ด้านสุขภาพและความรู้ที่จาเป็ น (Build people’s health literacy knowledge and skills to meet their needs) ซง่ึ มหี ลายกลยทุ ธท์ ส่ี ามารถนามาใช้ ขน้ึ อย่ขู อ้ มลู ความรู้ท่ตี อ้ งการให้ เวลาท่มี อี ยู่ สง่ิ ทผ่ี ู้ป่ วยต้องการรู้ เป็นต้น โดยการใหข้ อ้ มลู ใหม่ จะต้องเช่อื มโยงกบั ความรู้เดมิ ทผ่ี ู้ป่ วยมี เช่น “ท่คี ุณพูดว่า คุณเป็นเก๊าท์เพราะว่าคุณกนิ อาหาร องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
90 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ทะเลมากนนั้ เน่ืองมาจากว่า การกนิ อาหารทะเลนนั้ เป็นการรบั นากรดยรู คิ ทอ่ี ยใู่ นอาหารทะเล เขา้ ส่รู า่ งกายมากขน้ึ ดว้ ย เพราะกรดยรู คิ ในรา่ งกายสามารถตกผลกึ เขา้ ไปอย่ทู ข่ี อ้ ต่อกระดกู แลว้ ทาใหค้ ุณมอี าการดงั ทค่ี ุณเป็นอยนู่ นั้ ได้” เป็นตน้ ผปู้ ่วยจะไดเ้ ขา้ ใจและจดจาไดด้ เี พราะเขา้ ใจเหตุ และผลของการเกดิ โรค แต่กต็ อ้ งระมดั ระวงั เพราะใหข้ ้อมลู ความรมู้ ากเกนิ ไปในช่วงเวลาสนั้ ๆ ก็ อาจจะทาใหผ้ ูป้ ่ วยสบั สนได้ ดงั นัน้ การตดิ ตามทบทวนความรกู้ บั ผูป้ ่ วยโดยทางโทรศพั ท์ อเี มล์ การนดั หมายครงั้ ต่อไปหรอื ใหแ้ หลง่ เรยี นรเู้ พมิ่ เตมิ กย็ งั คงเป็นสงิ่ จาเป็นสาหรบั ผปู้ ่วย โดยมหี ลกั การและเทคนิคการใหข้ อ้ มลู สาหรบั แพทยพ์ ยาบาลหลายเทคนิคไดแ้ ก่ 1) การ ใชก้ ารตงั้ คาถาม เช่น “ช่วยบอกเกย่ี วกบั เวลาทด่ี ที ส่ี ุดในการออกกาลงั กายของคุณ” เป็นตน้ 2) การใชภ้ าษาทง่ี ่ายเป็นการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ เหมอื นสนทนาในชวี ติ ประจาวนั ทค่ี ุยกนั ใน บ้าน (Living room) โดยไม่ใช้คาย่อหรอื ศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ แต่ถ้าจาเป็นต้องอธบิ าย ศพั ท์เทคนิคทางการแพทย์ เช่น ปฏกิ ิรยิ าต่อต้านการอกั เสบของร่างกาย (Anti-inflammatory) เพราะเป็นคาใหม่ของผู้ป่ วยจงึ ต้องอธบิ ายด้วย จอภาพ ผงั โมเดล กราฟ รูปภาพและแถบคา (Visuals, diagrams, graphics, picture, and label) 3) ควรจากดั ขอ้ มลู ทใ่ี หแ้ ต่ละครงั้ ไมค่ วรเกนิ 3-5 สงิ่ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรอ่ื งซบั ซอ้ นมากต้องพดู คุยจนกระจ่างพรอ้ มอธบิ ายใหเ้ ป็นขนั้ เป็นตอน 4) มกี ารทบทวนจนแน่ใจว่าผู้ป่ วยเข้าใจเร่อื งนัน้ แท้จรงิ ก่อนท่จี ะขน้ึ เร่อื งใหม่ 5) การให้ข้อมูล จะต้องมหี ลกั ฐานใหเ้ หน็ ภาพ หรอื อาจจะใช้ส่อื รูปภาพ ภาพเคล่อื นไหว ผงั แผนภูมิ กราฟ หรอื การสาธิต แสดงท่าทางหรอื โมเดลสามมติ ิ 4) มกี ารเขยี นหรอื เน้นคาในแผ่นพบั หรอื เอกสาร เผยแพร่นนั้ รว่ มดว้ ย พรอ้ มกบั พดู ชา้ ๆ ชดั เจน 6) ควรเปิดโอกาสและกระตุน้ ใหผ้ ปู้ ่วยได้ซกั ถาม เป็นระยะ และ 7) ให้การเสรมิ แรงและยนื ยนั ในสงิ่ ทผ่ี ู้ป่ วยเขา้ ใจขอ้ มูลท่ถี ูกต้อง ด้วยการช่นื ชม พรอ้ มกบั ใหข้ อ้ เสนอแนะเพอ่ื ยนื ยนั ความยงั่ ยนื ในการจาและความเขา้ ใจของผปู้ ่วย เช่น “ถา้ คุณมี การจดบนั ทกึ กจ็ ะชว่ ยคุณไดม้ าก หรอื รปู ภาพน้จี ะชว่ ยอธบิ ายสงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั สุขภาพของคุณได”้ ขนั้ ท่ี 3 ตรวจสอบใหแ้ น่ใจว่าเขา้ ใจ ในขนั้ น้ีสามารถใชค้ าถามในการตรวจสอบโดยเป็น คาถามปลายเปิดตามเทคนิค Teach-back เช่น “ช่วยอธบิ ายอกี ครงั้ วา่ คุณจะกนิ ยาน้อี ยา่ งไรบา้ ง เม่อื คุณกลบั ไปบ้าน” หรอื “เพ่อื ให้แน่ใจว่าจะไม่พลาด คุณช่วยบอกในสงิ่ ท่หี มอได้อธบิ ายไป เกย่ี วกบั การใชย้ าน้ใี หห้ มอไดฟ้ ังอกี ครงั้ ” สรุปได้ว่า ในกระบวนการของการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในคลินิคหรือ โรงพยาบาลสามารถเกิดข้นึ ได้ตลอดเวลาในระหว่างท่มี กี ารสนทนาร่วมกันของบุคลากรทาง การแพทย์กบั ผู้มารบั บรกิ ารสุขภาพ ซ่งึ เคร่อื งมอื หรอื เทคนิค Ask Me 3, Teach-back และ Three-step model จะเป็นแนวทางให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ช่วยสร้างพลงั อานาจให้กบั ประชาชนผู้รบั บรกิ ารสามารถเขา้ ใจและดูแลสุขภาพได้ดว้ ยตนเอง ทงั้ ในขณะเจบ็ ป่ วยและยาม ปกติ และสง่ิ สาคญั ยงิ่ คอื ประชาชนผรู้ บั บรกิ ารสุขภาพไดเ้ พม่ิ ทกั ษะทางปัญญาและทางสงั คมของ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
91 บทท่ี 3 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _______________________________________________________________ ตนเองด้วยการฝึกกระบวนการคดิ เกิดการเรยี นรู้ใหม่และมคี วามกล้าท่จี ะสนทนา เจรจากบั ผู้เช่ยี วชาญทางการแพทย์ได้ดยี ง่ิ ข้นึ ซ่งึ เป็นเป้าหมายสาคญั ของการพฒั นาความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพในระดบั บคุ ล รปู แบบการดาเนินงานเพ่ือพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในต่างประเทศ การดาเนินการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพโดยพจิ ารณาจากบุคคลหรอื หน่วยงานท่ี เป็นเป้าหมายของการพฒั นา สามารถแยกการดาเนินงานเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ตามบุคคล กลุ่มบุคคล และหน่วยงานเป้ าหมาย ดังตัวอย่างรูปแบบการดาเนินงานใน ต่างประเทศ มดี งั น้ี 1. รปู แบบการดาเนินงานเพื่อพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพของประชาชนทวั่ ไป การดาเนินงานในรูปแบบน้ีมกั จะทาภายหลงั การสารวจระดบั ความรอบรู้ด้าน สุขภาพของประชาชน ทัง้ น้ีเพ่ือจะได้จาแนกประชาชนออกเป็นกลุ่ม และจัดกิจกรรมให้ เหมาะสมกบั ความหลากหลายในแต่ละบรบิ ทของกลุ่ม เช่น เป็นการพฒั นาในกลุ่มประชาชน ทวั่ ไป หรอื เป็นกลุ่มท่มี ปี ัญหาหรอื ความเสย่ี งทางสุขภาพโดยเฉพาะ เช่น ผสู้ บู บุหร่ี โรคเรอ้ื รงั กลมุ่ หญงิ ตงั้ ครรภ์ แยกกลุ่มตามวยั หรอื ตามเพศ เป็นตน้ ดงั ตวั อยา่ ง โปรแกรมการพฒั นาความ รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ดงั น้ี 1.1 Program for health literacy online เป็นโปรแกรมการพฒั นาความรอบรู้ด้าน สุขภาพในกลุ่มผูอ้ พยพจากเอธโิ อเปีย ประเทศอสิ ราเอลซ่งึ เป็นประเทศท่มี คี วามหลากหลาย ทางด้านเช้อื ชาตแิ ละวฒั นธรรม เป็นโปรแกรมท่ใี ห้ขอ้ มูลสุขภาพท่นี ่าเช่อื ถอื แก่ประชาชนใน หลากหลายภาษาแบบออนไลน์ เช่น ภาษาฮบิ รู ภาษาอารบคิ ภาษารสั เซยี เป็นต้น นอกจากมี ขอ้ มลู ทางสุขภาพแลว้ ยงั มกี จิ กรรมอ่นื ๆ เช่น ผใู้ ชส้ ามารถทจ่ี ะรบั ผลตรวจสุขภาพพรอ้ มทงั้ การ แปลผลทางออนไลน์ สามารถนดั หมายทจ่ี ะพบแพทยซ์ ง่ึ สามารถทาไดท้ กุ ภาษา และสาหรบั เดก็ จะมกี ารให้ขอ้ มูลสุขภาพผ่านเกมออนไลน์หรอื Apps เช่น เกมเก่ยี วกบั โภชนาการ ซ่งึ เป็นท่ี นยิ มมาก (Levin-Zamir, 2012) 1.2 Health Insite เป็นการดาเนินการของประเทศออสเตรเลยี มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นาสขุ ภาพของประชาชนในประเทศโดยทาใหก้ ารเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทม่ี คี ุณภาพไดง้ ่ายขน้ึ รปู แบบ เป็นการให้บรกิ ารข้อมูลข่าวสารและคาแนะนาด้านสุขภาพทางโทรศัพท์ ซ่งึ ให้บรกิ ารโดย National Health Call Centre Network (Pleasant, 2012) ดงั เชน่ 1) Patient First program เป็นโครงการในประเทศออสเตรเลีย ออกแบบมา เพ่อื ใหค้ วามรแู้ ก่ผบู้ รโิ ภคทวั่ ไปเกย่ี วกบั กระบวนการในการดูแลสุขภาพ และปัญหาท่พี บในการ ดแู ลสุขภาพ เป้าหมายของโปรแกรมคอื เพ่อื ให้ประชาชนเขา้ ใจเก่ยี วกบั สภาวะสุขภาพตนเอง องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293