142 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 5. สมั พนั ธภาพแบบเก้อื กูล (Helping relationships) หมายถงึ ความไวว้ างใจ การยอมรบั พรอ้ มช่วยเหลอื และใหก้ ารสนบั สนุนดูแลในระหว่างทพ่ี ยายามทจ่ี ะเปลย่ี นพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหา 6. การใหก้ ารเสรมิ แรง (Reinforcement management) หมายถงึ การให้รางวลั กบั ตนเอง หรอื การรบั รางวลั จากผอู้ ่นื เพอ่ื ทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง ใหก้ ารเสรมิ แรงและลงโทษ การช่นื ชม 7. ความอิสระในตนเอง (Self-distribution) หมายถึง ทางเลือกและคาสัญญาท่ีจะ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมเสย่ี ง รวมถงึ ความเช่อื ในความสามารถทเ่ี ปลย่ี นพฤตกิ รรมได้ การตดั สนิ ใจ เดด็ ขาด โดยใชเ้ ทคนิคการใหส้ ญั ญา เทคนคิ การแสดงสญั ลกั ษณ์ของตนเอง 8. การไตรต่ รองตนเอง (Self- reevaluation) หมายถงึ การประเมนิ อยา่ งรคู้ ดิ ทเ่ี ป็นกลางถงึ ขอ้ ดขี อ้ เสยี ในพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหาของตนเอง การทบทวนค่านิยมของตนเอง การจนิ ตนาการ การทบทวนประสบการณ์ทางอารมณ์บนฐานความถกู ตอ้ ง 9. การปลดปล่อยทางสงั คม (Social liberation) หมายถงึ ความตระหนักท่จี ะหลุดพ้นต่อ การถูกกดขท่ี างสงคม และการยอมรบั ของสงั คม การมวี ถิ ชี วี ติ ทอ่ี สิ ระจากการควบคุมโดยสงั คมท่ี เป็นปัญหา การใหพ้ ลงั อานาจ การกาหนดนโยบายทางสงั คมทเ่ี หมาะสม 10. การควบคุมสง่ิ เร้า (Stimulus control) หมายถึง การควบคุมสถานการณ์และสาเหตุ อ่นื ๆ ทน่ี ามาสพู่ ฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหา การสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมทางเลอื ก การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มใหม่ ใหเ้ ออ้ื ต่อการมสี ขุ ภาพทด่ี แี ละหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมเสย่ี ง ตวั อย่างแบบสอบถาม กระบวนการนาส่กู ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในกล่มุ ภาวะน้าหนักเกิน พฒั นามาจากกระบวนของการเปลย่ี นแปลง (Process of Change) ตามแนวคดิ Trans Theoretical Model ( Prochaska, Diclemente, & Norcross, 1992; Fava, Rossi, Velicer, & Prochaska, 1991) แปลและปรบั ปรุงโดย องั ศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง เพ่อื ใชใ้ นโครงการเพ่อื การ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพ ทงั้ น้ี กระบวนของการเปลย่ี นแปลงความเช่อื ความคดิ และการ กระทาน้ี เป็นประสบการณ์ทม่ี ผี ลต่อการควบคุมน้าหนักของบุคคลในการตดั สนิ ใจทจ่ี ะลดหรอื ปล่อยน้าหนักเพมิ่ ขน้ึ ในช่วง 1 เดอื นท่ผี ่านมา จะทาให้บุคคลเขา้ ใจหลกั ของการเปล่ยี นแปลง พฤตกิ รรมเสย่ี งต่อโรคอว้ นมากขน้ึ คาชแ้ี จง โปรดทาลงในช่องว่าง ทต่ี รงความเป็นจรงิ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมสุขภาพของทา่ น มากทส่ี ุด ขอ้ ขอ้ คาถาม ความจริงท่ีปรากฏกบั ฉัน ที่ จริงมาก จริง จริงบ้าง ไม่จริง (4) (3) (2) (1) 1. ฉนั ศกึ ษาความรใู้ นเร่อื งราวของบคุ คลทส่ี ามารถลดน้าหนกั สาเรจ็ 2. แทนทฉ่ี นั จะคมุ อาหารอยา่ งเดยี ว ฉนั สญั ญาจะออกกาลงั กายดว้ ย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
143 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขอ้ ขอ้ คาถาม ความจริงที่ปรากฏกบั ฉัน ท่ี จริงมาก จริง จริงบ้าง ไม่จริง (4) (3) (2) (1) 3. คาเตอื นเกย่ี วกบั อนั ตรายจากน้าหนกั เกนิ จะกระตุน้ อารมณ์ใหฉ้ นั ตอ้ งเปลย่ี นแปลงตวั เองได้ 4. ฉนั เชอ่ื วา่ คนทล่ี ดน้าหนกั ได้ คอื คนทช่ี ่วยใหโ้ ลกใบน้ดี ขี น้ึ 5. ฉนั สามารถเปิดเผยความลบั เกย่ี วกบั ประสบการณ์การกนิ อาหาร มากเกนิ ของฉนั กบั คนใกลช้ ดิ รบั ฟังได้ 6. ฉนั ไดร้ บั รางวลั จากผอู้ น่ื เม่อื ฉนั ลดน้าหนกั ได้ 7. ฉนั รตู้ วั เองวา่ ฉนั สามารถเลอื กทจ่ี ะทานอาหารมากหรอื น้อยกไ็ ด้ 8. การพง่ึ พาอาหารมากเกนิ ไปทาใหฉ้ นั รสู้ กึ ผดิ หวงั กบั ตวั เอง 9. ฉนั ถกู แตกแยกจากกลุ่มเพราะฉนั มนี ้าหนกั เกนิ 10. ฉนั ยา้ ยอาหารหรอื อุปกรณ์ทท่ี าใหฉ้ นั กนิ มากออกไปจากรอบตวั ฉนั 11. ฉนั นึกถงึ ขอ้ มลู ความรทู้ เ่ี คยไดร้ บั ทจ่ี ะชว่ ยใหฉ้ นั เหน็ ประโยชน์ของการ ลดน้าหนกั 12. ฉนั พบวา่ การทาอาหารกนิ เองเป็นสง่ิ ทด่ี ใี นการควบคมุ น้าหนกั 13. การไดเ้ หน็ ภาพคนทม่ี ปี ัญหาโรคอว้ นมผี ลต่อความรสู้ กึ ของฉนั ทอ่ี ยากจะ ลดน้าหนกั 14. การทฉ่ี นั กนิ อาหารมากเกนิ ไป เป็นการไม่รจู้ กั แบ่งปันอาหารเพอ่ื มนุษยชาติ 15. ฉนั มคี นรใู้ จทป่ี รกึ ษาปัญหาเร่อื งการลดน้าหนกั ได้ 16. ฉนั คาดหวงั จะไดร้ บั รางวลั จากใครสกั คนเม่อื ฉนั หยดุ กนิ อาหารทใ่ี ห้ พลงั งานมากเกนิ 17. ฉนั บอกกบั ตวั เองว่าฉนั สามารถลดน้าหนกั ไดต้ ามทฉ่ี นั ตอ้ งการ 18. ฉนั หงุดหงดิ กบั ตวั เองเมอ่ื คดิ ถงึ การกนิ อาหารมากเกนิ ของฉนั 19. ฉนั เตอื นตวั เองวา่ คนอว้ นจะทาใหเ้ ลอื กซอ้ื หรอื หาเสอ้ื ผา้ ใสย่ าก 20. ฉนั ไมส่ ะสมอาหารต่างๆ ทใ่ี หพ้ ลงั งานสงู ไวใ้ นตูเ้ ยน็ หรอื ในบา้ น 21. ฉนั นึกถงึ คาโฆษณาหรอื ความรู้ ทจ่ี ะช่วยลดน้าหนกั ของฉนั 22. เมอ่ื ฉนั กาลงั จะกนิ อาหารฉนั ตอ้ งคดิ ถงึ เร่อื งความอว้ นก่อน 23. ฉนั เดอื ดรอ้ นกบั คาทกั ทายทว่ี า่ น้าหนกั ตวั ของฉนั เพมิ่ ขน้ึ 24. ฉนั พจิ ารณาว่าการกนิ อาหารมากเกนิ ไปเป็นอนั ตรายทส่ี ง่ ผลต่อ สภาพแวดลอ้ มดว้ ย 25. ฉนั มคี นทพ่ี ง่ึ พาไดเ้ มอ่ื ฉนั มปี ัญหากบั การควบคมุ น้าหนกั ไมไ่ ด้ 26. ฉนั ใหร้ างวลั กบั ตวั เองเม่อื ฉนั สามารถลดการกนิ มากเกนิ ได้ 27. ฉนั บอกกบั ตวั เองว่าฉนั ตอ้ งพยายามอยา่ งหนกั ทจ่ี ะควบคมุ อาหาร 28. ฉนั คดิ ทบทวนถงึ สาเหตุทจ่ี ะช่วยการเปลย่ี นนิสยั การกนิ เกนิ ของฉนั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
144 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ข้อ ขอ้ คาถาม ความจริงท่ีปรากฏกบั ฉัน ท่ี จริงมาก จริง จริงบ้าง ไมจ่ ริง (4) (3) (2) (1) 29. ฉนั เลอื กคบเฉพาะกลุม่ เพอ่ื นทจ่ี ะชว่ ยสนบั สนุนใหฉ้ นั ผอมลงได้ 30. ฉนั ทง้ิ สง่ิ ลอ่ ใจรอบตวั ฉนั เพ่อื ชว่ ยใหฉ้ นั ไมต่ อ้ งกนิ อาหารมากเกนิ 31. ฉนั ระลกึ ถงึ บุคคลทใ่ี หข้ อ้ มลู กบั ฉนั ทจ่ี ะชว่ ยลดน้าหนกั ได้ 32. เม่อื ฉนั เครยี ดหรอื วา่ งงาน ฉนั หากจิ กรรมทาแทนทจ่ี ะใชเ้ วลาไปกบั การกนิ 33. ฉนั จดจาเร่อื งราวการเจบ็ ป่วยของฉนั ทม่ี สี าเหตุมาจากน้าหนกั เกนิ 34 ฉนั เชอ่ื วา่ การกนิ อาหารมากเป็นการทาลายคลงั อาหารของโลก 35. ฉนั มใี ครบางคนทเ่ี ขา้ ใจปัญหาการกนิ อาหารของฉนั 36. คนรอบตวั ฉนั ชว่ ยใหฉ้ นั รสู้ กึ ดขี น้ึ เมอ่ื ฉนั ควบคมุ น้าหนกั ได้ 37. ฉนั ทาสญั ญากบั ตวั เองวา่ จะลดน้าหนกั ใหไ้ ด้ 38. ฉนั ต่อสกู้ บั ภาพลกั ษณ์ของฉนั ทเ่ี ป็นคนอว้ น 39. ฉนั สงั เกตเหน็ วา่ คนจนในโลกน้ถี ูกละเมดิ สทิ ธดิ า้ นอาหาร ทไ่ี มม่ จี ะ กนิ และไมไ่ ดร้ บั การแบ่งปันอาหารกนั 40. ฉนั เคล่อื นยา้ ยสงิ่ ต่างๆทท่ี าใหฉ้ นั มนี ้าหนกั มากขน้ึ ออกไปจากบา้ น ค่าความเชอ่ื มนั่ Cronbach's alpha ของแบบสอบถามทงั้ ฉบบั เท่ากบั 0.946 องคป์ ระกอบของกระบวนการเปลย่ี นแปลง (Process of Change) 1. การเพมิ่ ความตระหนกั รู้ (Consciousness rating) วดั จากขอ้ ท่ี 1,11, 21, 31 2. การฝึกเงอ่ื นไขตรงขา้ ม (Counter conditioning) วดั จากขอ้ ท่ี 2, 12, 22, 32 3. การแสดงออกปลดปล่อยอารมณ์ (Dramatic relief) วดั จากขอ้ ท่ี 3, 13, 23,33 4. การไตรต่ รองดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม (Environment reevaluation)วดั จากขอ้ ท่ี 4, 14, 24, 34 5. สมั พนั ธภาพแบบเกอ้ื กลู (Helping relationships) วดั จากขอ้ ท่ี 5, 15, 25, 35 6. การใหก้ ารเสรมิ แรง (Reinforcement management) วดั จากขอ้ ท่ี 6, 16, 26, 36 7. ความอสิ ระในตนเอง (Self-liberation) วดั จากขอ้ ท่ี 7, 17, 27, 37 8. การไตรต่ รองตนเอง (Self-reevaluation) วดั จากขอ้ ท่ี 8, 18, 28, 38 9. ความอสิ ระทางสงั คม (Social liberation) วดั จากขอ้ ท่ี 9, 19, 29, 39 10. การควบคมุ สงิ่ เรา้ (Stimulus control) วดั จากขอ้ ท่ี 10, 20, 30, 40 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
145 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เอกสารอ้างอิง จติ รา ดุษฎเี มธา. (2558). ไดศ้ กึ ษาและพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self ของตารวจจราจรกลมุ่ เสย่ี ง. วารสารศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่, 7(2), 40-58. ดรณุ ี ดลรตั นการ. (2545). ปัจจยั ทานายพฤตกิ รรมการควบคุมน้าหนกั ของผใู้ หญ่วยั กลางคน. เชยี งใหม:่ พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. ดวงเพญ็ เรอื นใจมนั่ ประนอม รอดคาดี และอรพรรณ ลอื บุญธวชั ชยั . (2542). ผลของการใช้ โปรแกรมฝึกการกากบั ตนเองต่อการรบั รคู้ วามสามารถของตนเองในการใชก้ ระบวนการ พยาบาลของนกั ศกึ ษาพยาบาลชนั้ ปีที่ 1. กรงุ เทพฯ: พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ดารนี สบื จากด.ี (2551). Stage of Change – ขนั้ ตอนของการเปลยี่ นแปลง. สบื คน้ วนั ท่ี 2 มกราคม 2559 จาก http://www.203.155.220.21/doh/deptd/Article/article_07.doc. ชนิ ะพฒั น์ ช่นื แดชุ่ม. (2542). ผลของการใชก้ ระบวนการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นา ความสามารถในการเรยี นรขู้ องไวกอตสกที มี่ ตี ่อทกั ษะทางภาษาไทยและการกากบั ตนเองของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ . วทิ ยานิพนธค์ รศุ าสตรดุษฎบี ณั ฑติ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . นฐั พร กรสงู เนนิ . (2552). ผลของโปรแกรมการลดน้าหนกั ต่อการรบั รสู้ มรรถนะแห่งตนในการ ลดน้าหนกั พฤตกิ รรมการลดน้าหนกั ค่าดชั นีมวลกายและเสน้ รอบเอวของหญงิ ก่อนวยั ทองทมี่ นี น้าหนกั เกนิ มาตรฐาน. พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาการพยาบาลเวช ปฏบิ ตั ชิ ุมชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ เบญจมาส บณุ ยะวนั วนั เพญ็ แกว้ ปาน สรุ นิ ธร กลมั พากรและ นนั ทวชั สทิ ธริ กั ษ์. (2555). ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของการประยกุ ตท์ ฤษฏขี นั้ ตอนการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมในการเลกิ สบู บหุ รข่ี องเจา้ หน้าทร่ี กั ษาความปลอดภยั โรงพยาบาลศริ ริ าช. วารสารเก้อื การณุ ย,์ 19(2), 88-102. ประภาเพญ็ สวุ รรณและสวงิ สุวรรณ. (2536). พฤตกิ รรมศาสตร์ พฤตกิ รรมสุขภาพและสุข ศกึ ษา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 กรงุ เทพฯ: คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. พชิ ยั แสงชาญชยั . (2552). จติ สงั คมบาบดั สาาหรบั ผตู้ ดิ สุรา. เชยี งใหม:่ แผนงานการพฒั นา ระบบรปู แบบและวธิ กี ารบาบดั รกั ษาผมู้ ปี ัญหาการบรโิ ภคสรุ าแบบบรู ณาการ (ผรส.). วชั ราภรณ์ ภมู ภิ เู ขยี ว และรจรุ าิ ดว้ งสงค.์ (2552). ประสทิ ธผิ ลของการประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎกี าร กากบั ตนเองรว่ มกบั ทฤษฎขี นั้ ตอนการเปลย่ี นแปลงพฤตกริ รมในการพฒั นาพฤตกิ รรมการลด น้าหนกั ของขา้ ราชการ อาเภอนาแหว้ จงั หวดั เลย. วารสารวจิ ยั สาธารณสขศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2(1), 77-87. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
146 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษติ . (2549). ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษติ . (2552). การปรบั พฤตกิ รรม. เอกสารประกอบการบรรยายในโครงการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพของกลุ่มเสย่ี งโรคเมตาบอลกิ ของสถานพยาบาลภาครฐั งบประมาณจาก สานกั งานหลกั ประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาตปิ ระจาปี 2552. สานกั สารนเิ ทศ สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ . (2560). บหุ รคี่ ร่าชวี ติ ชาวโลก 1 ใน 10. เผยแพร่ 7เมษายน พ.ศ 2560 สบื คน้ เมอ่ื 23 พฤษภาคม 2560 จาก http://pr.moph.go.th/iprg/include/adminhotnew/showhotnew.php?idHot_new=94464. สดุ าว เลศิ วสิ ุทธไิ พบลู ย.์ (2558). ทศิ ทางของสถาบนั การศกึ ษากบั การปฏริ ปู ระบบสุขภาพไทย. จลุ สารสาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ, ฉบบั ท่ี 3 มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. สุนนั ทา ศรศี ริ .ิ (2555) ผลของโปรแกรมการส่งเสรมิ สมรรถนะแหง่ ตนในการปรบั เปลย่ี น พฤตกิ รรม สุขภาพของผสู้ งู อายโุ รคความดนั โลหติ สงู ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ 19 วงศ์ สวา่ ง กรงุ เทพมหานคร. วารสารคณะพลศกึ ษา, 15 (ฉบบั พเิ ศษ). สพุ ชิ ชา วงคจ์ นั ทร์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และพรรณี บุญประกอบ (2555). อทิ ธพิ ลของลกั ษณะ ทางจติ ลกั ษณะสถานการณ์ทม่ี ตี ่อพฤตกิ รรมสุขภาพ และภาวะโภชนาการของบคุ ลากรกรม อนามยั กระทรวงสาธารณสุข. วารสารพฤตกิ รรมศาสตรเ์ พอื่ การพฒั นา, 4(1), 83-94. สุพชิ ชา วงศจ์ นั ทร์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหงและ พรรณี บญุ ประกอบ. (2557). ผลโปรแกรมการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพ 3-Self เพอ่ื ลดภาวะอว้ นของวยั รุ่นตอนปลาย. วารสาร พฤตกิ รรมศาสตร,์ 20(1), 127-141. อรยิ า ทองกร. (2550). การศกึ ษาตวั แปรทมี่ คี วามสมั พนั ธต์ ่อพฤตกิ รรมส่งเสรมิ สขุ ภาพจากการ สงั เคราะหง์ านวจิ ยั โดยวธิ กี ารวเิ คราะหอ์ ภมิ าน. กรงุ เทพฯ: วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการวจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตรป์ ระยกุ ต์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง. (2552). การปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมสุขภาพ 3Self ดว้ ยหลกั PROMISE Model. กรุงเทพฯ: สุขมุ วทิ การพมิ พ.์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง อรพนิ ทร์ ชูชม วรสรณ์ เนตรทพิ ย์ และ พชั รี ดวงจนั ทร.์ (2552). การ บรหิ ารจดั การและประเมนิ โครงการเพอ่ื การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพของหน่วยงาน ในเขตกรงุ เทพมหานคร. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร,์ 15(1), 28-38. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง ทศั นา ทองภกั ดี และ วรสรณ์ เนตรทพิ ย.์ (2553). ผลการจดั การ โครงการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพของหน่วยงาน ภาครฐั และเอกชนในเขต กรงุ เทพมหานคร. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร,์ 16(2), 96-112. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
147 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Agras S, Leitenberg H, & Barlow DH. (1968). Social reinforcement in the modification of agoraphobia. Arch Gen Psychiatry, 19(4), 423-427. Ajzen I. (1991). Theory of planned behavior. Organizational Behavior and Human Decision Processes, 50, 179-211. Ajzen I. (2002). Perceived behavioral control, Self-efficacy, Locus of control, and the theory of planned behavior. Journal of Applied Social Psychology, (32), 665 - 683. Ajzen I. (2006). Constructing a TPB questionnaire: Conceptual and methodological consideration. http//people.umass.edu/aizen/pdf/tpb.measurement.pdf. Ajzen I. (2011). The theory of planned behavior: reactions and reflections. Psychology & Health, 26(9), 1113-1127. Annesi JJ and Gorjala S. (2010). Relationship of exercise program participation with weight loss in adults with severe obesity: assessing psychologically based mediators. South Med J., 103(11), 1119-23. doi: 10.1097/SMJ.0b013e3181f6d3d4. Bandura A. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs, NJ.: Prentice Hall. Bandura A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review, 84, 19-21. Bandura A. (1986) Social foundations of thought & action: A social cognitive theory. Upper Saddle River, NJ: Prentice Hall. Bandura A. (1989). Social cognitive theory. Annals of Child Development, 6, 1–60. Bandura A. (2000). Self-efficacy: The exercise of control 4th ed. New York: W.H. Freeman & Co. Basta TB, Reece M, & Wilson MG. (2008). Predictors of exercise stage of change among individuals living with HIV/AIDS. Med Sci Sports Exerc, 40(9), 1700-6. doi: 10.1249/MSS.0b013e318173f09e. Bennett Paul & Murphy Simon. (1997). Psychology and health promotion. Buckingham: Open University Press. DiClemente CC, Prochaska JO, & Gibertini M. (1985). Self-efficacy and the stages of self-change of smoking. Cogn Ther Res, 9(2), 181-200. doi: 10.1007/BF01204849. Duangta Pawa & Chitlada Areesantichai. (2016). Effectiveness of the behavior change intervention to improve harm reduction self-efficacy among people who inject องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
148 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- drugs in Thailand. Psychol Res Behav Manag, 9, 247–252. doi: 10.2147/PRBM.S112147. Farkas JP, Pierce Shu-Hong Zhu, Bradley Rosbrook, Elizabeth AG, Charles Berry, & Kaplan RM. (1996). Addiction versus stages of change models in predicting smoking cessation. Addiction, 91(9), 271-1280. doi: 10.1046/j.1360-0443.1996.91912713.x. Fava JL, Rossi JS, Velicer WF, & Prochaska JO. (1991). Structural confirmation of short form instruments for the transtheoretical model. Paper presented at the 99th Annual Convention of the American Psychological Association; San Francisco, CA. Fishbein M & Ajzen I. (1975). Belief, attitudes, intention, and behavior: An introduction to theory and research. Massachusetts: Addison-Wesley. Freire Paulo. (1987). Pedagogy of the Oppressed. New York: Continuum. Fries JF. (1997). Reducing the need and demand for medical care: implications for quality management and outcome improvement. Qual Manag Health Care, 6(1), 34-44. Fuster-RuizdeApodaca MJ, Laguia A, Molero F, Toledo J, Arrillaga A, & Jaen A. (2017). Psychosocial determinants of HIV testing across stages of change in Spanish population: a cross-sectional national survey. BMC Public Health, 17(1), 234. doi: 10.1186/s12889-017-4148-4. Gantz SB. (1990). Self-care: Perspectives from six disciplines. Holistic Nursing Practice, 4(2), 1-12. Green LW. (1986). Evaluation model: a framework for the design of rigorous evaluation of efforts in health promotion. Am J Health Promot, 1, 77–9. Green LW & Kreuter MW. (1991). Health promotion planning: An educational and environmental approach. Mountain View, CA: Mayfield Publishing. Green LW & Kreuter MW. (1999). Health promotion planning: An educational and ecological approach 3rd ed. Mountain View, CA: Mayfield Publishing Company. Green LW & Kreuter MW. (2005). Health Program Planning an Educational and Ecological Approach (4th ed). Boston. McGraw-Hill. Greenough WT, Black JE, & Wallace CS. (1987). Experience and brain development. Child Development, 58, 539-559. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
149 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Horneffer-Ginter K. (2008). Stages of change and possible selves: 2 tools for promoting college health. J Am Coll Health, 56(4), 351-8. doi: 10.3200/JACH.56.44.351-358. Horwath CC. (1999). Applying the transtheoretical model to eating behaviour change: challenges and opportunities. Nutr Res Rev, 12(2), 281-317. doi: 10.1079/095442299108728965. Intarakamhang Ungsinun. (2012). 3–Self behavior modification programs based on the promise models for client at metabolic risk. Global journal of health science, 4(1), 204-210. Kalish H. (1981). Learning: Principles and applications. New York: McGraw-Hill. Kanfer FH. (1970). Self-monitoring: Methodological limitation and clinical applications. Journal of Consulting and Clinical Psychology, 35, 148-152. Kansagram D. (2007). 10 health advances that changed the world. Retrieved on May 24, 2016 from http://abcnews.go.com. Kelly CW. (2008). Therapeutic enhancement: nursing intervention category for patients diagnosed with Readiness for Therapeutic Regimen Management. J Clin Nurs, 17(7B), 188-191. Kirschenbaum DS, Humphrey LL, & Malett SD. (1981). Specificity of planning in adult self-control: An applied investigation. Journal of Personality and Social Psychology, 40(5), 941-950. Lowe MR. (2003). Self-regulation of energy intake in the prevention and treatment of obesity: Is it feasible? Obesity Research, 11(10), 44S–59S. Mawn B & Reece SM. (2000). Reconfiguring a curriculum for the new millennium: The process of change. J Nurs Edu, 39(3), 101-108. McCormack D. (2003). An Examination of the self-care concept uncovers a new direction for healthcare reform. Nursing Leadership, 16(4), 48-65. doi: 10.12927/cjnl.2003.16342. Mikulus W. (1978). Behavior modification. New York: Harper & Row. Montano DE & Kasprzyk. (2008). Theory of reasoned action, theory of planned behavior, and the integrated behavioral mode 4th ed l. In Glanz K, Rimer BK, Viswanath K, Eds. Health behavior and health education: Theory, research, and practice. San Francisco: Jossey-Bass. pp 67-96. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
150 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Norman Paul, Abraham Charles & Conner Mark. (2000). Understanding and changing health behaviour from health beliefs to self-regulation. Amsterdam: Overseas Publishers Association, Harwood Academic Publishers imprint. O'Leary KD & Wilson GT. (1987). Behavior therapy: Application and outcome, 2nd Edition. Englewood Cliffs, NJ, US: Prentice-Hall. Orem DE. (1985). Nursing: Concepts of Practice 3rd ed. McGraw-Hill, New York. Orem DE, Taylor SG, & Renpenning KM. (2001). Nursing: Concepts of practice 6th ed. St. Louis: Mosby. Pajares F. (1997). Current directions in self-efficacy research. In Maehr & Printrich (Eds), Advances in motivation and achievement, 10, 1-49. Greenwich, CT: JAI Press. Palank CL. (1991). Determinants of health - promoting behavior: A review of current research. Nursing Clinics of North America, 26, 815-832. Pender NJ. (1996). Health Promotion in nursing practice 3rd ed. Toronto: Prentice Hall. Pender NJ, Murdaugh CL, & Parsons MA. (2006). Health promotion in nursing practice 5th ed. New Jersey: Pearson Education, Inc. Prochaska JO & DiClemente CC. (1983). Stages and processes of self-change of smoking: toward an integrative model of change. Journal of Consulting and Clinical Psychology, 51, 390–395. Prochaska JO, DiClemente CC, & Norcross JC. (1992). In search of how people change. Applications to addictive behaviors. Am Psychol, 47(9), 1102-1114. Prochaska JO & Marcus BH. (1994). The transtheoretical model: applications to exercise. In Dishman, R. K. (ed.), Advances in Exercise Adherence. Human Kinetics, Champaign, IL, Prochaska JO & Velicer WF. (1997). The transtheoretical model of health behavior change. American Journal of Health Promotion, 12(1), 38-48. Prochaska JO, Velicer WF, DiClemente CC & Fava J. (1988). Measuring processes of change: application to the cessation of smoking. Journal of Consulting and Clinical Psychology, 56, 520–528. Prochaska JO, Velicer WF, Rossi JS, Goldstein MG, Marcus BH, Rakowski W, Fiore C, Harlow LL, Redding CA, Rosenbloom D, et al. (1994). Stages of change and decisional balance for 12 problem behaviors. Health Psychology, 13, 39–46. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
151 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Rosenstock IM, Strecher VJ & Becker MH. (1988). Social learning theory and the health belief model. Health Education & Behavior, 15(2), 175-183. Rosenstock IM. (1974). Historical origins of the health belief model. Health Education Monographs, 2(4), 328. Schunk DH. (1990). Goal setting and self-efficacy during self-regulated learning. Educational Psychologist, 25, 71–86. Schunk DH. (1991). Goal setting and self-evaluation: A social cognitive perspective on self-regulation. In ML. Maehr & PR. Pintrich Eds. Advances in motivation and achievement. (vol 7 pp 85–113). Greenwich, CT: JAI Press. Schunk DH & Zimmerman BJ. (1994). Self-regulation of learning and performance: Issues and educational applications. NJ: Erlbaum. Schunk DH & Zimmerman BJ. (1997). Social origin of self-regulatory competence. Educational Psychologist, 32(4), 195-208. Sherman M. (2005). Faculty and employee assistance program: Navigating behavior change successfully. virgnia.edu. LCSW, CEAP. Steiger NJ & Lipson JG. (1985). Self-care nursing: Theory and practice. Bowie, Maryland: Brady Communications Co., Inc. Suwannee Chearsawad. (2002). The effectiveness of self control skill development on avoidance of unhealthy snack consumption among grade five students in Tak Province. Thesis in Health Education and Behavioral Science. Bangkok: Mahidol University. Upton Dominic & Thirlaway Katie. (2014). Promoting healthy behavior: A practical guide. Abingdon, Oxon: Routledge. Walker SN, Sechrist KR, & Pender NJ. (1987). The health-promoting lifestyle profile: Development and psychometric characteristics. Nursing Research, 36(2), 76-81. WEF. (2017). The global competitiveness report 2016–2017. Retrieved on May 20, 2017 http://www3.weforum.org/docs/GCR2016-2017/05FullReport/ TheGlobalCompetitivenessReport2016-2017_FINAL.pdf. Woody D, DeCristofaro C, & Carlton BG. (2008). Smoking cessation readiness: Are your patients ready to quit?. J Am Acad Nurse Pract, 20(8), 407-14. doi: 10.1111/j.1745-7599.2008.00344.x. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
152 บทท่ี 4 แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นาสขุ ภาพ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Woolfolk AE. (1998). Educational psychology 7th ed. Boston, MA: Allyn & Bacon. WHO. (1998). Health Promotion Glossary. Geneva: WHO/HPR/HEP/98.1. Wu CJ, Sung HC, Chang AM, Atherton J, Kostner K, & McPhail SM. (2017). Cardiac- diabetes self-management program for Australians and Taiwanese: A randomized blocked design study. Nurs Health Sci, 19, 1-9. doi: 10.1111/nhs.12346. Zimmerman BJ. (1998). Academic studying and development of personal skill: A self- regulatory perspective. Educational Psychologist, 32(2), 73-86. Zimmerman GL, Olsen CG, & Bosworth MF. (2000). A 'stages of change' approach to helping patients change behavior. Am Fam Physician, 61(5), 1409-1416. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
153 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ บทที่ 5 โปรแกรมเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ ความสาคญั ในการออกแบบโปรแกรมเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพนัน้ บุคลากร สาธารณสุขและนักการศกึ ษาควรทาความเขา้ ใจสาระความรทู้ งั้ หมดทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ความรอบรู้ ดา้ นสุขภาพทน่ี าเสนอผ่านแนวคดิ ความหมาย องคป์ ระกอบ เคร่อื งมอื วดั และประเมนิ กรอบ การพฒั นาและกลยุทธใ์ นการดาเนินการ รวมทงั้ โมเดลความสมั พนั ธใ์ นเชงิ เหตุและผลลพั ธข์ อง ความรอบรูด้ ้านสุขภาพท่นี าเสนอในบทท่ีผ่านมา ร่วมกับการให้ความหมายจากงานวจิ ยั ท่ี เผยแพรใ่ นฐาน Pubmed & WOS ช่วงปี ค.ศ. 2009 – 2010 จานวน 170 เร่อื ง ท่ี Sorensen et al. (2012) ไดว้ เิ คราะหเ์ น้อื หาและสงั เคราะหอ์ ยา่ งมรี ะบบจากบทความวจิ ยั 19 เรอ่ื งทม่ี นี ิยามไว้ ซง่ึ สรปุ ผลเป็นคาสาคญั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความหมายของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพไดไ้ ว้ 6 กล่มุ ดงั น้ี ตาราง 5-1 สรปุ ผลสงั เคราะหค์ วามหมายของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Sorensen et al., 2012) 1. ทกั ษะ/ 2. การกระทา 3. สื่อ/ 4. วตั ถปุ ระสงค์ 5. บริบท 6. เวลา ความสามารถ สารสนเทศ - ทกั ษะทจ่ี าเป็น - เป็นกระบวนการ - สารสนเทศ - สง่ เสรมิ สขุ ภาพ - พน้ื ทท่ี ม่ี คี วาม - เป็น - กลุ่มทกั ษะ - มปี ระสทิ ธภาพ - ขอ้ มลู ดา้ น - คงรกั ษาสขุ ภาพดี หลากหลาย หลกั สตู ร - ทกั ษะท่ี ในการอ่าน สขุ ภาพ - จดั สภาพแวดลอ้ ม - สภาพแวดลอ้ ม ตลอด หลากหลาย - มกี ารสอ่ื สาร - ขอ้ มลู ในการดแู ลสขุ ภาพ ทต่ี อ้ งดแู ล ชวี ติ - ทกั ษะทาง - มปี ฏสิ มั พนั ธ์ สขุ ภาพ - ตดั สนิ ใจไดเ้ หมาะสม - บรบิ ทปัญหา - มกี าร ปัญญา - มกี ารแสวงหา พน้ื ฐาน - ใหพ้ ลงั อานาจ สขุ ภาพท่ี พฒั นา - ทกั ษะทางสงั คม - การเขา้ ถงึ ได้ - ขอ้ มลู ประชาชน ต่างกนั ตลอดชวี ติ - ทกั ษะสว่ น - มคี วามเขา้ ใจ เอกสาร - มวี จิ ารณญานทด่ี ี - พน้ื ทใ่ี นการ บุคคล - มกี ารนาไปใช้ - สอ่ื แผ่นพบั - มที างเลอื ก ลด ดแู ลสขุ ภาพ - ความสามารถ - วเิ คราะหต์ วั เลข คมู่ อื หนงั สอื เสย่ี งดา้ นสขุ ภาพ - บรบิ ทดา้ น - สมรรถนะ - มกี ารประเมนิ แผ่นปลวิ - เพมิ่ คุณภาพชวี ติ สขุ ภาพ - ศกั ยภาพ - มกี ารตรวจสอบ - สอ่ื กราฟ - ตดั สนิ ใจทถ่ี กู ตอ้ ง - ชวี ติ ประจาวนั - ความรู้ - มกี ารกรอง - สอ่ื รปู ภาพ - ตอบสนองความ ทงั้ ทบ่ี า้ น - ความเขา้ ใจ - มกี ารตคี วาม - งานเขยี น ตอ้ งการทต่ี ่างกนั ชมุ ชน ท่ี - การสอ่ื สาร - ใหม้ คี วามหมาย - ขอ้ มลู การ - สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ทางานและ - แรงจงู ใจ - มกี ารระบุ สนทนา - เพมิ่ การตดั สนิ ใจ การเมอื งใน - การตดั สนิ ใจ - ขอ้ มลู บรรยาย/ ไปสกู่ ารรกั ษา ระบบสขุ ภาพ - ใสใ่ จการกระทา เลา่ เรอ่ื ง - บรรลุวตั ถุประสงค์ - มบี รบิ ท - มกี ารกระทา - แบบฟอรม์ ดา้ นสขุ ภาพ เฉพาะท่ี - การปฏบิ ตั ิ การใหบ้ รกิ าร - การตดั สนิ ใจดา้ น จาเป็นเพอ่ื - รบั ผดิ ชอบ -ขอ้ มลู ออนไลน์ สาธารณสขุ ทเ่ี ป็น นาไปสู่ - บรรลคุ วามเขา้ ใจ และสอ่ื ดจิ ติ ลั ประโยชน์ต่อชมุ ชน ความสาเรจ็ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
154 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ทฤษฎีที่ใช้ในโปรแกรมเพ่ือการพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ จากตารางสรุปคาท่นี ักวชิ าการสุขภาพได้ให้ความหมายของความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ดงั กล่าวเบอ้ื งต้น ผเู้ ขยี นนามาวเิ คราะหไ์ ดว้ ่า การเพม่ิ ขน้ึ ของระดบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของ ประชาชนจะเกดิ ขน้ึ ไดน้ นั้ บุคคลตอ้ งผ่านกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยการกระทาในตารางคอลมั น์ท่ี 2 โดยใช้ทกั ษะทางปัญญาและสงั คมตามตารางคอลมั น์ท่ี 1 ทบ่ี ุคคลนัน้ มอี ยู่ในขณะนัน้ ซง่ึ ตรง กบั ระดบั ขนั้ การเรยี นรู้ของบลูม ดงั นัน้ ในการออกแบบโปรแกรมการพฒั นาความรอบรูด้ ้าน สุขภาพในระดบั บุคคลหรอื ระดบั กลุ่มนนั้ บุคลากรการแพทยแ์ ละสาธารณสุข และนักการศกึ ษา ตอ้ งคานึงถงึ แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ งดงั น้ี ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory) ตามท่ีอ้างไว้ใน วิกิพีเดียสารานุ กรมเสรี ว่าหมายถึง กระบวนการท่ีทาให้คน เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม ความคดิ ความเช่อื คนสามารถเรยี นรไู้ ด้จากการอ่าน การไดย้ นิ การ สมั ผสั การใชเ้ ทคโนโลยี การเรยี นรขู้ องเดก็ และผใู้ หญ่จะต่างกนั เดก็ จะเรยี นรดู้ ว้ ยการเรยี นใน ระบบ การซักถาม ผู้ใหญ่มกั เรยี นรู้ด้วยประสบการณ์ท่ีมีอยู่ แต่การเรยี นรู้จะเกิดข้นึ จาก ประสบการณ์ทผ่ี ู้ถ่ายทอดนาเสนอ โดยการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผูส้ อนและผู้เรยี นในทศิ ทางเชงิ บวกโดยผู้สอนจะเป็นผู้ท่สี รา้ งบรรยากาศทางจติ วทิ ยา ท่เี อ้ืออานวยต่อการเรยี นรูต้ ามหลกั จติ วทิ ยาการศกึ ษา นับว่าเป็นวธิ ีท่ใี ห้ความสาคญั กบั ผู้เรยี นเพ่อื ให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรตู้ าม ระดับขัน้ ความสามารถในการเรียนรู้ของบลูม หรือ Bloom's Taxonomy (Bloom, 1956) นักจติ วิทยาการศึกษาด้านการรูค้ ิด (Cognitive educational psychologist) ซ่งึ ได้กล่าวไว้ว่า เมอ่ื บคุ คลเกดิ การเรยี นรใู้ นแต่ละครงั้ จะมกี ารเปลย่ี นแปลง 3 ดา้ น ถงึ จะเป็นการเรยี นรทู้ ส่ี มบรู ณ์ คอื 1) การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจ (Cognitive domain) หมายถงึ การเปล่ยี นแปลงท่เี กิดขน้ึ ภายในสมอง เช่น การเรยี นรู้ความคดิ รวบยอด เป็นต้น 2) การ เปล่ยี นแปลงทางด้านอารมณ์ หรอื ความรสู้ กึ (Affective domain) หมายถงึ การเปล่ยี นแปลง ทางดา้ นจติ ใจ เช่น ความเช่อื ความสนใจ เจตคติ ค่านิยมและ 3) การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นการ เคล่ือนไหวของร่างกาย (Psychomotor domain ) หมายถึง การเปล่ียนแปลงด้านร่างกาย เพ่ือให้เกิดทกั ษะ เช่น การว่ายน้า การเต้นรา เป็นต้น และการเรยี นรู้จะเกิดข้นึ ได้ดีข้นึ กับ เง่อื นไขท่ีสาคญั คือ ความพร้อมของผู้เรยี น ตัวเน้ือหาบทเรยี นหรอื ส่ือ วิธีการถ่ายทอดใน ลกั ษณะท่ีเป็นเชิงบวก เช่น มีการสร้างแรงจูงใจ การเสรมิ แรง เป็ นต้น ทัง้ น้ี Anderson & Krathwohl (2001) ได้ปรบั ขนั้ ตอนท่ี 5 - 6 ใน Bloom's Taxonomy เป็นขนั้ ท่ี 5 จากขนั้ การ สงั เคราะห์ (Synthesis) เป็นขนั้ การประเมนิ ค่า (Evaluating) และขนั้ ท่ี 6 จากขนั้ การประเมนิ ค่า องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
155 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ (Evaluating) เป็นขนั้ การสรา้ งสรรค์ (Creating) คอื เป็นขนั้ ทส่ี ามารถสรา้ งความรู้ ออกแบบและ พฒั นาต่อยอดได้ ดงั ลาดบั ตามขนั้ การเรยี นรู้ 6 ขนั้ ดงั ภาพประกอบ 5-1 ขัน้ ท่ี 6 การสร้างสรรค-์ สามารถสร้างความรใู้ หม่ ลบลา้ งหรอื ต่อยอดความร้เู ดมิ และเกดิ ประโยชนม์ ากขน้ึ ขั้นที่ 5 การประเมนิ ค่า -สามารถเลอื กและตดั สนิ ใจได้วา่ อะไรถูก หรือผดิ อยา่ งมีเหตผุ ล มเี กณฑ์เทียบแนช่ ดั ขัน้ ที่ 4 การวเิ คราะห-์ สามารถแกป้ ญั หาตรวจสอบได้ ขั้นที่ 3 การประยุกต-์ สามารถใชส้ ่ิงทรี่ ู้มาทาให้เกดิ ประโยชน์ ขนั้ ท่ี 2 ความเขา้ ใจ- สามารถแปลความขยายความในส่ิงทไี่ ด้เรียนรู้มา ขั้นที่ 1 ความรู้ท่เี กิดจากความจา - สามารถจดจาสิ่งทีเ่ รยี นรมู้ าได้ ช่วงระยะหน่ึง ภาพประกอบ 5-1 พฤติกรรมตามพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ปรับปรุงโดย Anderson & Krathwohl (2001) ทฤษฎีการเรียนร้ผู ใู้ หญ่ (Adult learning theory - Andragogy) Nielsen-Bohlman et al. (2004) ไดก้ ล่าวว่า การจดั การเรยี นรผู้ ูใ้ หญ่ เป็นกระบวนการ ทส่ี าคญั ในการพฒั นาทกั ษะการรหู้ นังสอื (Literacy skills) เพราะบุคคลส่วนหน่ึงทม่ี รี ะดบั ความ รอบรดู้ า้ นสุขภาพต่านนั้ กม็ าจากการมขี อ้ จากดั ทางดา้ นการศกึ ษา การรหู้ นงั สอื การรูท้ างภาษา และสงู อายุ (Williams et al., 1995) ดงั นนั้ ในการเรม่ิ ตน้ ออกแบบโปรแกรมการพฒั นาความรอบ รดู้ ้านสุขภาพ จงึ ต้องมาเรยี นรูแ้ ละเข้าใจว่า การจดั การเรยี นรูส้ าหรบั ผู้ใหญ่และเด็กมคี วาม แตกต่างกนั ซ่งึ Knowles (1980) บดิ าแห่งการศกึ ษาผู้ใหญ่ ว่าเป็นศาสตรแ์ ละศลิ ป์ ในการช่วย ใหผ้ ใู้ หญ่เกดิ การเรยี นรทู้ ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพโดยมหี ลกั การสาคญั ในการจดั โปรแกรมการพฒั นาคอื 1) ผู้ใหญ่ต้องการความเป็ นอิสระและสามารถเรียนรู้ด้วยการนาตนเองได้ (Self-directed learning) 2) ประสบการณ์ของผู้ใหญ่ (Experience) เป็นแหล่งทรพั ยากรการเรยี นรทู้ ่มี ีคุณค่า 3) มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะเรยี นรู้ (Readiness) เม่อื สงิ่ นนั้ มคี วามจาเป็นต่อชวี ติ และสงั คมของตนเอง 4) แนวทางการจดั การเรยี นรเู้ น้นการปฏบิ ตั แิ ละยดึ ปัญหาเป็นศูนยก์ ลาง (Practical, relevancy- oriented) และ 5) ต้องการความเคารพและพอใจกบั การได้รบั ความเท่าเทยี ม (Respect and prefer to be treated as equals) และการศึกษาผู้ใหญ่ ยังเป็ นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่ีมี ความสัมพนั ธ์ใกล้ชิดกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy and lifelong learning are closely related) ตามท่ี Begoray et al. (2012) ได้กล่าวว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็ น เป้าหมายสาคญั สาหรบั การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ โดยการศกึ ษาผ่านหลกั สตู รของการเรยี นรตู้ ลอด องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
156 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ชวี ติ มคี วามสมั พนั ธก์ บั การเพม่ิ ขน้ึ ของความรอบรดู้ ้านสุขภาพและพฤตกิ รรมการดารงอยอู่ ย่าง มสี ุขภาวะทด่ี ี (Health literacy and healthy lifestyle behaviors) ดังเช่นการเรียนรู้เพ่ือการเปล่ียนแปลง (Transformative learning theory) ของ Mezirow (2003) นักการศกึ ษาผู้ใหญ่ ซ่งึ ทฤษฎนี ้ีมุ่งเน้นไปทก่ี ารเปล่ยี นแปลงความคดิ ความ เช่อื มุมมองในการมองโลกท่จี าเป็นสาหรบั ผู้ใหญ่ ซ่งึ Mezirow (2000) ได้เสนอแนวคดิ การ เรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลง ว่าเป็นการเรยี นรทู้ ม่ี งุ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงภายในตนเอง ซง่ึ เป็น การเปลย่ี นแปลงท่ยี งั่ ยนื เพราะเป็นการนาบุคคลไปสู่การเปลย่ี นวธิ คี ดิ ด้วยการใชก้ ระบวนการ ทางปั ญญา จนนาไปสู่พฤติกรรมหรือการกระทาใหม่ท่ีดีกว่าเดิม การเรียนรู้เพ่ือการ เปล่ยี นแปลงภายในตนเองเป็นการเรยี นรทู้ ่บี ุคคลรบั รู้ถึงปัญหาและความต้องการของตนเอง ผ่านการคดิ วเิ คราะห์ และประเมนิ ค่าและการส่อื สารเพมิ่ ประสบการณ์เพ่อื หาข้อสรุป ท่ที าให้ บุคคลเกดิ ความเข้าใจ (Making sense) และนาไปสู่การเปลย่ี นแปลงกรอบความคดิ ความเช่อื เดมิ ทบ่ี ดิ เบอื นหรอื ไม่ถูกตอ้ ง ซ่งึ ทฤษฎกี ารเรยี นรเู้ พ่อื การเปล่ยี นแปลงสามารถช่วยอธบิ ายวถิ ี การเปลย่ี นแปลงในการมองโลกของผใู้ หญ่เช่นเดยี วกบั ทฤษฎโี ครงสรา้ งประสบการณ์เดมิ ตาม หลักจิตวิทยาการรู้คิด (Schema theory in cognitive psychology) (Mezirow, 1997) ด้วย วธิ กี ารจดั การเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลง 4 ประการคอื 1) สถานการณ์หรอื โจทยท์ ท่ี าใหบ้ ุคคล ต้องเลือก (Dilemma) 2) การสะท้อนความคิดในตนอย่างมีวิจารณญาณ (Critical self- reflection) 3) การสะท้อนผ่านการสนทนาหรอื วาทกรรม (Reflexive discourse) และ 4) การ พฒั นากรอบความคดิ เดมิ ส่คู วามคดิ ใหม่โดยผ่านกระบวนการเรยี นรู้ 3 ขนั้ คอื ขนั้ ตอนที่ 1 การ ตระหนักถงึ ปัญหาและความตอ้ งการของบุคคลทเ่ี กดิ จากความไม่แน่ใจ ลงั เลใจในการตดั สนิ ใจ แสดงพฤติกรรมหรอื ความแปลกแยกของบคุคล (Disorienting dilemma) และนาไปสู่การ ตคี วามประสบการณ์เพ่อื ทบทวนกรอบความคดิ และความเช่อื (Frame of reference) ท่บี ุคคล ยดึ ถอื ในบรบิ ทหรอื สภาพการณ์ทเ่ี ป็นอยู่ ขนั้ ตอนที่ 2 การสารวจและวางแผนเสน้ ทางของการ กระทาท่ยี นื ยนั ขนั้ ตอนการเปล่ยี นแปลงการค้นหาบทบาท ความสมั พนั ธ์ และการกระทาใหม่ และขัน้ ตอนที่ 3 การยอมรับแผนการกระทาและสร้างแผนใหม่ (Mezirow, 1997) โดย กระบวนการเรยี นรทู้ ่นี าไปสู่การเปล่ยี นแปลงตนเองอย่างลกึ ซ้งึ ผ่านประสบการณ์ตรงท่สี รา้ ง สานึกใหม่และเปล่ยี นแปลงโลกทัศน์ก่อให้เกิดความเข้าใจในตนเอง เข้าใจสิ่งแวดล้อมและ ความสัมพันธ์ทางสังคม มีความต่ืนรู้มีสมดุลของชีวิต มีทักษะในการค้นคว้า วิเคราะห์ สงั เคราะห์สะท้อนย้อนคิด (Reflection) ซ่ึงสอดคล้องกับปัญหาของผู้ป่ วยโรคเร้อื รงั ท่ีไม่ สามารถจดั การตนเองท่ีเกิดจาก ความคิด ความเช่อื การรบั รู้เดิมๆ ท่ียากจะเปล่ยี นแปลง ร่วมกบั แนวคดิ การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมตามหลกั จติ วทิ ยาการรคู้ ดิ (Cognitive psychology) บนหลักการพ้ืนฐาน 3 ประเด็น ดังน้ี 1) กระบวนการทางปัญญามีผลต่อพฤติกรรม 2) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
157 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ กระบวนการทางปัญญาสามารถปรบั เปลย่ี นได้ และ 3) การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมกระทาไดโ้ ดย เรมิ่ จากการเปลย่ี นกระบวนการทางปัญญา (Bandura, 1986 ) ทฤษฎีทางพฤติกรรมสขุ ภาพ (Health behavior theories) ทฤษฎที างพฤตกิ รรมสุขภาพหลายทฤษฎี ลว้ นมปี ระโยชน์เพ่อื ใชเ้ ป็นกรอบแนวทางใน การพฒั นาทางจติ สงั คมและพฤตกิ รรมของบุคคลในการดาเนนิ การส่งเสรมิ สุขภาพ เช่น การรบั รู้ ความเสย่ี ง การรบั รคู้ วามสามารถของตน การสรา้ งแรงจงู ใจ การกาหนดเป้าหมายทส่ี ามารถทา ได้ การให้การเสรมิ แรง บรรทดั ฐานทางสงั คม เป็นต้น และโปรแกรมการให้สุขศึกษากบั การ เป ล่ี ย น แ ป ล ง พ ฤ ติ ก ร ร ม (Health education and behavioral change intervention) ท่ี ดาเนินการตามกรอบทฤษฎที างพฤตกิ รรมสุขภาพ มเี ป้าหมายเพ่อื พฒั นาทกั ษะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สุขภาพ และทกั ษะทางด้านความรอบรูด้ ้านสุขภาพพ้นื ฐาน (Functional health litrracy skill) ถือเป็นทักษะท่ีจาป็นในการอยู่อย่างมีสุขภาวะท่ีดีของบุคคล (Parker, Baker, Williams, & Nurss, 1995) และในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทม่ี รี ากฐานการดาเนินกจิ กรรมทม่ี าจากแนวคดิ ทางจิตวิทยาการรู้คิดและแนวคิดพฤติกรรมนิยม (Cognitive psychology and Cognitive behavior) ดงั ตวั อย่างโปรแกรมเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพของประชาชนท่พี ฒั นามา จากรากฐานของทฤษฎที างสุขภาพ ดงั การศกึ ษาของ Ross et al. (2010). ท่ไี ด้ศกึ ษาทฤษฎที ่ี ใช้ในการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ (A theory-based approach to improving health literacy) เพ่อื เสนอเป็นแนวทางในการรเิ รม่ิ พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่ม ในมลรฐั มสิ ซรู ่ี ประเทศสหรฐั อเมรกิ า สาหรบั ทมี สหวทิ ยาการ และผเู้ กย่ี วขอ้ งในการทางานตาม แผนการเพมิ่ ความรอบรดู้ ้านสุขภาพของประชาชนในรฐั มสิ ซูร่ี ผ่านระบบการศกึ ษา การมสี ่วน รว่ มในชุมชน ระบบสุขภาพ และการมปี ฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผรู้ บั บรกิ ารกบั ผใู้ หบ้ รกิ ารสุขภาพ ดงั แสดงในตาราง 5-2 ตาราง 5-2 โครงการตวั อยา่ งการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพบนฐานทฤษฎสี ุขภาพ (Ross et al., 2010) องคก์ ารที่รบั ผิดชอบ : รายละเอียดโครงการ ทฤษฎีสขุ ภาพท่ีใช้ ผลลพั ธ์ ช่ือโครงการ Urban League of โปรแกรมการพฒั นาความรอบรู้ Health Belief รบั รปู้ ระโยชน์/อุปสรรค Metropolitan Saint ดา้ นสขุ ภาพในชุมชนแอฟรกิ นั Model, Social รบั รคู้ วามสามารถตนเอง Louis : โมเดลหน่วย อเมรกิ นั ใหเ้ รยี นรทู้ กั ษะการ Cognitive Theory บรรทดั ฐานทางสงั คม ประสานงานดา้ นสขุ ภาพ สอ่ื สารกบั แพทย์ ทาความเขา้ ใจ ไดร้ บั การเสรมิ แรง ฉลากโภชนาการ และแบบฟอรม์ การรกั ษา ใบสงั่ แพทย์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
158 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ องคก์ ารท่ีรบั ผิดชอบ : รายละเอียดโครงการ ทฤษฎีสขุ ภาพที่ใช้ ผลลพั ธ์ ชื่อโครงการ Nurses for Newborns ใชก้ ารสอ่ื สารระหวา่ งผรู้ บั บรกิ าร Health Belief รบั รปู้ ระโยชน์/อุปสรรค Foundation : โครงการ กบั ผใู้ หบ้ รกิ าร โดยการเยย่ี ม Model, Social รบั รคู้ วามสามารถตนเอง ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ บา้ น เพ่อื ลดความเครยี ด ลดการ Cognitive Theory, บรรทดั ฐานทางสงั คม มารดาและทารกแรกเกดิ ใชย้ า เพม่ิ ภมู คิ มุ้ กนั และลด Stages of Change ไดร้ บั การเสรมิ แรง การ เสย่ี งจากการสบู บหุ ร่ี ตดั สนิ ใจอยา่ งเหมาะสม Saint Louis Christian พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ Health Belief รบั รปู้ ระโยชน์/อปุ สรรค Chinese Community สาหรบั ผอู้ พยพใหม่/ผสู้ งู อายุ Model, Social รบั รคู้ วามสามารถตนเอง Service Center : การ และผดู้ อ้ ยโอกาส ผ่านการเรยี นรู้ Cognitive Theory, การสนบั สนุนทางสงั คม เสรมิ สรา้ งความรอบรู้ ดา้ นกฎหมายและวฒั นธรรมโดย Social Planning สภาพแวดลอ้ มทาง ดา้ นสขุ ภาพของชมุ ชน ใชค้ วามรว่ มมอื และการกระทาทาง Model สงั คม ชาวจนี สงั คม Parkway School District จดั ทาโมดลู ความรอบรดู้ า้ น Health Belief รบั รปู้ ระโยชน์, : ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ สขุ ภาพ Model, Social รบั รคู้ วามสามารถตนเอง ผใู้ หญ่: หลกั สตู รการรู้ ใหน้ กั ศกึ ษาผใู้ หญ่ผา่ นบทเรยี น Cognitive Theory, การสนบั สนุนทางสงั คม หนงั สอื และการศกึ ษา ทาหลกั สตู รเช่อื มต่อกบั Social Planning ผใู้ หญ่ การศกึ ษาผใู้ หญ่และศนู ยพ์ ฒั นา Model อาชพี Erise Williams and วดั ผลความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ Health Belief รบั รปู้ ระโยชน์/อุปสรรค Associates,Inc : การ จากการรกั ษาเอชไอว/ี เอดส์ และ Model, Stages of รบั รคู้ วามสามารถตนเอง รเิ รมิ่ ความรอบรดู้ า้ น การรกั ษาต่อเน่อื งของผปู้ ่วย Change ไดร้ บั การเสรมิ แรง, สขุ ภาพเพ่อื ป้องกนั เอดส์ แรงจงู ใจดา้ นสขุ ภาพ, และเพม่ิ พนู ความรใู้ นการดแู ล เสรภี าพทางสงั คม Maplewood-Richmond Heights School District รกั ษา รบั รปู้ ระโยชน์, : โครงการเมลด็ พนั ธุ์ รบั รคู้ วามสามารถตนเอง บนโต๊ะ ความเขา้ ใจเร่อื งโภชนาการทด่ี ี Health Belief การเรยี นรจู้ ากการ (Seed on table) ของเดก็ ผา่ นการปรบั ปรุงพฒั นา Model, สงั เกต, ปัจจยั กาหนด สว่ นในชมุ ชน เพม่ิ และพฒั นา Social Cognitive ซง่ึ กนั และกนั แหล่งเรยี นรใู้ หม่ ๆ มเี น้อื หาการ Theory รหู้ นงั สอื ดา้ นสขุ ภาพเขา้ กบั หลกั สตู ร K-12 การพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพในแผนงานส่งเสริมสขุ ภาพ ซ่งึ นักวชิ าการให้นิยามและองค์ประกอบการวดั ท่เี น้นความแตกต่างในการวดั ระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ และสาหรบั ขอ้ เสนอโปรแกรมเพ่อื การพฒั นาความรอบรตู้ ามแนวคดิ ของ Nutbeam (2000) นั้นพบว่า มีการนาเสนอครบทัง้ 3 ระดับคือ 1) ระดับพ้ืนฐาน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
159 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ (Functional health literacy) ทเ่ี น้น การอ่านออกเขยี นไดแ้ ละเขา้ ใจทงั้ ทางภาษาและการคานวน เชงิ ตวั เลข 2) ระดบั ปฏิสมั พันธ์ (Interactional health literacy) และ 3) ระดบั วิจารณญาณ (Critical health literacy) ดงั นัน้ ในการดาเนินกิจกรรมเพ่ือเพ่ิมความรอบรู้ด้านสุขภาพของ ประชาชนนนั้ จงึ เป็นการดาเนินการทม่ี ากกว่าการถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการช่วยใหป้ ระชาชน ไดส้ รา้ งความเช่อื มนั่ ในตนเองในการแสดงออกถงึ ความรแู้ ละความสามารถในการสนับสนุนงาน ดา้ นสุขภาพ เช่น ผ่านการส่อื สาร การถ่ายโอนความรโู้ ดยยดึ สภาพบรบิ ทของชุมชนเป็นฐาน เป็ นต้น และถ้าการดาเนินการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพบรรลุเป้ าหมายสุดท้ายคือ ประชาชนและชุมชนสามารถมคี วามเป็นอสิ ระพ่งึ ตนเองและมพี ลงั อานาจในตนเองท่สี ามารถ ดแู ลตนเองและครอบครวั ได้ ดงั นนั้ ในการจดั โปรแกรมเพ่อื เพม่ิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพน้ี จะตอ้ ง คานึงถึงโครงสรา้ งของแต่ละบุคคลและชุมชนท่เี ป็นอุปสรรคต่อการเรยี นรูด้ ้วย เพราะการรู้ หนังสอื (Literacy) กบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health literacy) มคี วามสมั พนั ธก์ นั สูงจงึ ต้อง พัฒนาไปพร้อมกัน และเป็นความท้าทายในการจดั โปรแกรมสุขศึกษาและการส่ือสารสาร สุขภาพ ซ่ึง Nutbeam (2000) ได้อธิบายถึงเป้ าหมายในการจัดการเรยี นรู้ เน้ือหา ความ คาดหวงั ในผลลพั ธท์ ไ่ี ด้ กจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้ ดงั แสดงในตาราง 5-3 ตาราง 5-3 สรปุ การนาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพไปใชใ้ นแผนงานสง่ เสรมิ สุขภาพ ระดบั ความรอบรู้ เนื้อหา ผลลพั ธท์ ี่เกิดขึน้ แนวทาง ด้านสุขภาพ ระดบั บคุ คล ระดบั ชมุ ชน/สงั คม จดั การเรยี นรู้ ระดบั พืน้ ฐาน: เพมิ่ ความรเู้ พอ่ื เพม่ิ การมสี ว่ นรว่ มใน ขอ้ มลู การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ท่ี ป้องกนั เสย่ี ง และ โปรแกรมเพอ่ื ถ่ายทอดความรผู้ ่าน สารสนเทศ เป็นจรงิ เกย่ี วกบั ปฏบิ ตั ติ าม ประชาชน เชน่ ชอ่ งทางสอ่ื สารต่างๆ ความเสย่ี งและการ คาแนะนาในบรกิ าร การ คดั กรอง เรยี นรตู้ วั ต่อตวั และ ใชบ้ รกิ ารสขุ ภาพ ทางสขุ ภาพ การรบั วคั ซนี เป็นตน้ เรยี นรจู้ ากสอ่ื ต่างๆ ระดบั ใชโ้ อกาสในการ เพม่ิ ความสามารถ เพมิ่ ความสามารถใน สอ่ื สารสขุ ภาพเฉพาะท่ี ปฏิสมั พนั ธ:์ พฒั นาทกั ษะจาก ในกระทาไดด้ ว้ ย การมอี ทิ ธพิ ลหรอื จาเป็น เปิดโอกาสให้ พฒั นาทกั ษะ การสนบั สนุนทาง ตนเองบน อสิ ระจากบรรทดั ฐาน ชุมชนชว่ ยกนั เอง มี สว่ นบคุ คล สงั คม ฐานความรู้ เพม่ิ ทางสงั คมหรอื โตต้ อบ การสนบั สนุนทาง แรงจงู ใจและความ กลมุ่ สงั คมทค่ี รอบงา สงั คม และเพม่ิ ช่อง เชอ่ื มนั่ ในตนเอง ทางสอ่ื สารสขุ ภาพ ระดบั วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพม่ิ พลงั ในการ เพมิ่ ความสามารถ แนะนาใชเ้ ทคโนโลยี วิจารณญาณ: ทางสภาพสงั คม ปรบั ตวั และเผชญิ กบั ในการโตต้ อบต่อ เพอ่ื สนบั สนุนการทา เสรมิ พลงั เศรษฐกจิ ทม่ี ตี ่อ สงั คมและเศรษฐกจิ สงั คมและเศรษฐกจิ กจิ กรรมในชมุ ชน อานาจใหก้ บั สขุ ภาพ และ ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลง ทเ่ี ป็นตวั กาหนด กาหนดมาตรการ บคุ คลและ โอกาสทน่ี าไปสู่ และความ สขุ ภาพ เพม่ิ พลงั สขุ ภาพในชุมชน ชมุ ชน การเปลย่ี น หลากหลายได้ อานาจใหก้ บั ชมุ ชน รว่ มกบั ผนู้ าชมุ ชน นโยบายรฐั และ ใหเ้ ขม้ แขง็ ขน้ึ นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ องคก์ ร และสนบั สนุนการ พฒั นาชุมชน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
160 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ นอกจากน้ียงั มหี ลายการศกึ ษาทอ่ี ธบิ ายความเป็นเหตุเป็นผลของการจดั กจิ กรรมการ ส่งเสรมิ สุขภาพเพ่ือเป้าหมายผลลพั ธ์ตัวช้วี ดั ท่สี าคญั คือ ระดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพของ ประชาชนสงู ขน้ึ ซง่ึ เป็นความทา้ ทายของบุคลากรการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ทใ่ี หค้ วามสาคญั กบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพและใชก้ ลยุทธใ์ นการส่อื สารสุขภาพหรอื ให้สุขศกึ ษากบั ประชาชนให้มี ทกั ษะของการเป็นคนในศตวรรษท่ี 21 โปรแกรมเพื่อเพิ่มความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพของกล่มุ เป้าหมาย 1. โปรแกรม The Integrate Approach to Behavior Change Interventions Model ตามท่ี Freedman et al. (2013) ได้เสนอว่าในการออกแบบกิจกรรมในโปรแกรมการ พฒั นาความรอบรูด้ ้านสุขภาพ ว่าควรมกี ารบูรณาการแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาการรูค้ ดิ ทฤษฎี การศกึ ษาผใู้ หญ่ ทฤษฎพี ฤตกิ รรมสุขภาพและความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเขา้ ไวใ้ นโปรแกรมการบูร ณาการเพ่อื การเปล่ยี นพฤตกิ รรม (The Integrate Approach to Behavior Change Interventions Model – The I-ABC Model) เพ่ือมุ่งพัฒ นาทักษ ะความรอบรู้ด้านสุขภาพ พ้ืนฐานของ กลุ่มเป้าหมายและจดั สภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรตู้ ามหลกั การของการศกึ ษาผใู้ หญ่ ดงั ตวั อยา่ ง การพฒั นาทกั ษะความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพระดบั พน้ื ฐานตามโปรแกรม The I-ABC ตาราง 5-4 สรปุ โปรแกรมเพอ่ื เพมิ่ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพตามโมเดล the I-ABC Model กิจกรรม ฐานแนวคิด การประยุกตใ์ ช้ในโปรแกรม 1 .สรา้ งพลงั จติ วทิ ยา - สอ่ื และเน้อื หาการเรยี นรตู้ อ้ งทาใหง้ ่ายสาหรบั ผเู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมไดเ้ หน็ การเรยี นรู้ การรคู้ ดิ ไดย้ นิ และใหส้ ามารถดงึ ความสนใจจดจ่อ (Effortfulness) - จดั ในหอ้ งทเ่ี งยี บสงบ - ใชส้ อ่ื ทเ่ี ป็นเอกสารตวั พมิ พส์ ดี าขนาดใหญ่ชดั เจน - เขยี นบนกระดานใหช้ ดั เจน - พดู เสยี งดงั ชดั เจนดว้ ยภาษาทเ่ี ป็นมติ ร 2. กระบวน จติ วทิ ยา การใหข้ อ้ มลู การรคู้ ดิ - ใชเ้ วลากบั การสนทนากบั ผเู้ ขา้ ร่วมโปรแกรมเกย่ี วกบั สขุ ภาพของเขา เชงิ ลกึ เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เชงิ ลกึ และเงอ่ื นไขสขุ ภาพของผเู้ ขา้ โปรแกรม พรอ้ ม เชอ่ื มโยงความรเู้ ดมิ กบั ใหม่ 3. ขนั้ ตอนการ จติ วทิ ยา นาความรเู้ ชงิ - ทากจิ กรรมทเ่ี สรมิ ทกั ษะการรคู้ ดิ ตามขนั้ ตอนของบลมู คอื ใหเ้ กดิ ประจกั ษแ์ ละ การรคู้ ดิ กบั ความรู้ สรา้ งความเขา้ ใจ นาไปประยกุ ตใ์ ช้ มกี ารวเิ คราะหส์ งั เคราะห์ เชงิ กระบวน และประเมนิ คา่ ทน่ี าไปสกู่ ารตดั สนิ ใจทม่ี เี หตุผล การไปประยกุ ต์ ความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพ - ประเมนิ ทกั ษะพน้ื ฐานของความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพคอื ทกั ษะการอ่าน การเขยี นและความเขา้ ใจในสารสนเทศของผเู้ ขา้ รว่ มโปรแกรม ใชเ้ สรมิ ทกั ษะ ความรอบรู้ - พฒั นาตามวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรพู้ รอ้ มทงั้ อธบิ ายสงิ่ ทผ่ี เู้ ขา้ รว่ ม ดา้ นสขุ ภาพ โปรแกรมสามารถกระทาไดห้ ลงั สน้ิ สดุ โปรแกรม เชน่ อา่ นหรอื ฟังสอ่ื สขุ ภาพแลว้ เขา้ ใจ อธบิ ายต่อได้ มที างเลอื กตดั สนิ ใจการดแู ลรกั ษา - กาหนดชนิดของความรเู้ ชงิ ประจกั ษท์ จ่ี าเป็นเพอ่ื ใชท้ กั ษะในการ แสวงหาความรแู้ ละนาไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเองและสงั คมตนเอง องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
161 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ กิจกรรม ฐานแนวคิด การประยกุ ตใ์ ช้ในโปรแกรม 4. กรอบความ จติ วทิ ยา - ร่วมกนั คน้ หาวธิ กี ารเขา้ ถงึ ความรแู้ ละเชอ่ื มโยงกบั ความรใู้ หม่ทเ่ี ขา้ มา คดิ ความรู้ การรคู้ ดิ กบั ในความคดิ ของตนเอง เดมิ ทฝ่ี ังราก การเรยี นรู้ ลกึ และ ผใู้ หญ่ - คน้ หาวธิ จี งู ใจใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมโปรแกรมเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยการซกั ถามใน มมุ มองการ สง่ิ ทต่ี อ้ งการรแู้ ละพดู คยุ ในหวั ขอ้ ใหมท่ ค่ี วรรกู้ อ่ นเรม่ิ สอนและถ่ายทอด เปลย่ี นแปลง - ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมไดฝ้ ึกการปฏบิ ตั ทิ กั ษะใหมๆ่ ในการแสวงหา 5. มกี ารเรยี นรู้ การเรยี นรู้ ความรกู้ อ่ นทจ่ี ะเรมิ่ มกี ารเปลย่ี นความคดิ หรอื มมุ มองเดมิ อย่างอสิ ระ ผใู้ หญ่ และตรงตาม - กระตุน้ ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมคน้ หาวธิ กี ารทท่ี าใหเ้ กดิ การเรยี นรนู้ นั้ เขา้ ความตอ้ งการ ไปสวู่ ถิ ชี วี ติ ประจาวนั ของผเู้ รยี น - พฒั นาโอกาสและความทา้ ทายดว้ ยการตงั้ เป้าหมายการเรยี นรู้ 6. มกี ารเรยี นรู้ การเรยี นรู้ - ทาใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมรายบคุ คล ไดร้ วู้ า่ ตนเองมคี วามเขา้ ใจในเน้อื หา รว่ มกนั และ ผใู้ หญ่ ไดร้ บั การ ความรแู้ ละทกั ษะดา้ นสขุ ภาพทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เขาแทจ้ รงิ สนบั สนุนจาก สงิ่ แวดลอ้ ม - จดั สภาพแวดลอ้ มใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมใหร้ สู้ กึ สะดวกสบายทจ่ี ะได้ ทางสงั คม แลกเปลย่ี นในสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรดู้ ว้ ยกนั - เปิดโอกาสใหท้ กุ คนไดท้ ากจิ กรรมจรงิ รว่ มกนั ไดแ้ กป้ ัญหาและไดเ้ รยี นรู้ จากการกระทาและประสบการณ์ตรง - เน้นใหท้ กุ คนเป็นผเู้ ชย่ี วชาญในสงิ่ ทต่ี นเองรแู้ ละเขา้ ใจทเ่ี รยี นรมู้ า - เปิดโอกาสใหท้ ุกคนไดส้ ะทอ้ นประสบการณ์และใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จากตารางสรุปโปรแกรมน้ี เป็นแผนการเรยี นรู้ท่ีผู้จดั โปรแกรมจะช่วยให้ผู้เข้าร่วม โปรแกรมเกดิ การเรยี นรอู้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ จะต้องใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโปรแกรมไดอ้ อกแบบกจิ กรรม การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ดงั เช่น การออกไปซ้อื สนิ ค้าในรา้ นสะดวกซ้อื หรอื รา้ นขายของชาเพ่อื จดั หามาเตรยี มอาหาร ทท่ี ุกคนสามารถเลอื กและตดั สนิ ใจในการซอ้ื อาหารทด่ี ตี ่อสุขภาพตนเอง ได้ด้วยกระบวนการคดิ อย่างไรบ้าง และให้ทุกคนได้มโี อกาสเรยี นรู้ในการกระทาพฤติกรรม ใหมๆ่ โดยใหผ้ ูเ้ ขา้ โปรแกรมไดค้ ดิ ว่า การกระทาในการเลอื กอาหารน้ีช่วยประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยไป เท่าใด และการเขา้ ไปทากจิ กรรมเพ่อื ชุมชนตนเองรว่ มกนั หรอื สรา้ งกลุ่มเลก็ ๆ ในการแข่งขนั เพ่อื สรา้ งความสนุกสนานในการเรยี นรแู้ ละมองเหน็ พฒั นาการของกลุม่ และกจิ กรรมกลุ่มเหล่าน้ี จะเป็นการเสรมิ แรงทางบวกใหท้ ุกคนสนใจทจ่ี ะกลบั เขา้ มาเรยี นรรู้ ว่ มกนั อกี ครงั้ ในวนั ต่อไป 2. โปรแกรมพฒั นาความรอบร้ทู างสุขภาพด้วยกระบวนการการเรียนร้เู พื่อการ เปล่ียนแปลงท่ีมีต่อพฤติกรรมการควบคมุ ระดบั น้าตาลในเลือดของผปู้ ่ วยเบาหวาน อารยา เชยี งของ และองั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง (2560) ไดพ้ ฒั นาโปรแกรมจากขอ้ มลู เชงิ คุณภาพทไ่ี ด้จากการสมั ภาษณ์ผูป้ ่ วยโรคเบาหวานร่วมกบั การทบทวนวรรณกรรมท่เี ก่ยี วขอ้ ง กบั การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในผปู้ ่วยเบาหวาน ทาใหไ้ ดโ้ ปรแกรมทน่ี าไปทดลองใชก้ บั ผปู้ ่วยเบาหวานในชมุ ชน ดงั ตาราง 5-5 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
162 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ตาราง 5-5 สรปุ แผนการดาเนินกจิ กรรมโดยบรู ณาการแนวคดิ การศกึ ษาผใู้ หญ่ กรอบ วตั ถุ แนวคิด/ ตวั อยา่ งกิจกรรม ส่ือ การ เนื้อหา ประสงค์ ทฤษฏี ประเมินผล กิจกรรมท่ี 1 กจิ กรรมรจู้ กั เรา รจู้ กั เบาหวาน การสรา้ ง 1. เพ่อื Mezirow (2000) 1.ผจู้ ดั กจิ กรรม สรา้ งบรรยากาศ 1. สถาน 1. สงั เกต ความ พฒั นาทกั ษะ ระบวุ ่า การเรยี นรู้ การเรยี นรใู้ หผ้ อ่ นคลาย และ การณ์ การให้ ตระหนกั ทางปัญญา เพ่อื การเปลย่ี นแปลง เป็นกนั เอง โดยใชก้ จิ กรรม สมมตุ จิ าก ความ ต่อ ดว้ ยการ เรมิ่ ตน้ จากขนั้ ท1่ี -4 กลุม่ สมั พนั ธ์ รว่ มกบั การจดั การศกึ ษา รว่ มมอื ใน พฤตกิ รรม เรยี นรผู้ า่ น เป็นกระบวนการ สงิ่ แวดลอ้ มใหเ้ หมาะสมกบั ระยะท่ี 1 การทา สขุ ภาพท่ี บทบาท สรา้ ง “ความหมาย การเรยี นรู้ โดยกจิ กรรมกลมุ่ เช่น การ กจิ กรรม ไม่ สมมุติ ใหม่” ใหแ้ ก่ สมั พนั ธม์ จี ุดม่งุ หมายเพอ่ื เผชญิ ต่อ 2. ผวู้ จิ ยั เหมาะสม 2. เพ่อื ให้ ประสบการณ์เดมิ ละลายพฤตกิ รรมและเตรยี ม การ สงั เกต ผ่านสถาน ผเู้ ขา้ ร่วม ทจ่ี ะนาไปสกู่ ารชน้ี า ทกั ษะสนุ ทรยี สนทนาแก่ สญู เสยี อารมณ์ การณ์ท่ี กจิ กรรมเปิด การกระทาของตน ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม จาก และ ตอ้ ง ใจยอมรบั ในอนาคต โดยมี 2.ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม แสดง ภาวะ ความรสู้ กึ ตดั สนิ ใจ พฤตกิ รรม องคป์ ระกอบคอื บทบาทสมมุตขิ องโดยใช้ แทรก ของกลุ่ม (Disorienting สขุ ภาพใน การตระหนกั ถงึ สถานการณ์ทไ่ี ดจ้ าก ซอ้ นของ ตวั อยา่ ง dilemma) อดตี ทไ่ี ม่ ปัญหาทเ่ี กดิ จาก การศกึ ษาในระยะท่ี 1 โรค ต่อสถาน เหมาะสม ความไม่แน่ใจ 3.ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม ทบทวน เบาหวาน การณ์ 3. เพ่อื ให้ ลงั เลใจในการ ตนเองโดยใหผ้ เู้ ขา้ รว่ ม จากการ ของ ผเู้ ขา้ รว่ ม ตดั สนิ ใจ กจิ กรรมระลกึ ถงึ ความรสู้ กึ ควบคมุ บทบาท กจิ กรรมเกดิ (Disorienting ทรมานจากการเผชญิ ระดบั สมมติ มมุ มองใหม่ dilemma) และ ประสบการณ์จากบทบาท น้าตาล 3. สงั เกต ของการดแู ล นาไปสกู่ ารตคี วาม สมมุตดิ งั กลา่ ว และรว่ มกนั ไมไ่ ด้ การแสดง สขุ ภาพของ (Interpret) ประสบ เรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการ 2. ใบงาน ความ ตนเอง การณ์เพอ่ื ทบทวน สนทนาเชงิ วพิ ากษ์ (Critical 3. บนั ทกึ คดิ เหน็ นาไปสคู่ วาม ความเช่อื เดมิ ของ discourse) ใหก้ ล่มุ พดู คยุ การ จากการ พรอ้ มทจ่ี ะ ตนเอง แลกเปลย่ี นกนั ระหว่างกลมุ่ เรยี นรู้ สนทนา เปลย่ี นแปลง ดว้ ยวธิ ขี องสนุ ทรยี สนทนา เชงิ ตนเอง (Dialogue) ในบทบาทสมมุติ วพิ ากษ์ 4.ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม ทบทวน ของ ตนเองดว้ ยการประเมนิ ผเู้ ขา้ รว่ ม สมมุตฐิ านเดมิ ของตนเอง กจิ กรรม เกย่ี วกบั มมุ มอง และความเช่อื ของตนเองต่อภาวะสขุ ภาพ ท่ี ในบทบาทสมมตุ ิ 5.สรุปกจิ กรรม และใหก้ ลมุ่ ทบทวนตนเอง โดยจดบนั ทกึ การเรยี นรดู้ ว้ ยการเขยี นการ สะทอ้ นคดิ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
163 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ กรอบ วตั ถุ แนวคิด/ ตวั อยา่ งกิจกรรม สื่อ การ ประเมินผล เนื้อหา ประสงค์ ทฤษฏี กิจกรรมที่ 2 สอ่ื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ ความรอบรู้ 1. เพอ่ื ในการพฒั นา 1. ใหม้ กี ารสอ่ื สารทางสขุ ภาพ ความรอบรู้ 1. เพอ่ื ใหบ้ คุ คลอน่ื เขา้ ใจ โดยให้ ทางสขุ ภาพ พฒั นา ทางสขุ ภาพ พฒั นา ความรอบรทู้ าง ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม นาเสนอ ระดบั ทกั ษะ อุปสรรคต่อการมพี ฤตกิ รรม ปฏสิ มั พนั ธ์ ทางสงั คม ระดบั ทกั ษะทาง สขุ ภาพระดบั สขุ ภาพทเ่ี หมาะสม และ ซง่ึ เป็น ในการ แนวทางในการกา้ วผ่าน สมรรถนะ สอ่ื สาร ปฏสิ มั พนั ธ์ สงั คมใน ปฏสิ มั พนั ธ์ อปุ สรรคและการวเิ คราะห์ ในการใช้ ทาง ผลด-ี ผลเสยี ของวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ ความรแู้ ละ สขุ ภาพ ซง่ึ เป็น การสอ่ื สาร ผวู้ จิ ยั ประยกุ ต์ แนวทางในการกา้ วผ่าน การสอ่ื สาร กบั บุคคล อปุ สรรคใหผ้ ปู้ ่วยเขา้ รว่ ม เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่วย อ่นื และ สมรรถนะ ทาง กระบวนการ กจิ กรรมฟัง สามารถมี การ สว่ นรว่ มใน สอ่ื สารกบั ในการใช้ สขุ ภาพ เรยี นรเู้ พอ่ื การ 2. กลมุ่ ร่วมวพิ ากษก์ ารนาเสนอ การดแู ล ผใู้ ห้ กบั กลุม่ ผปู้ ่วยทม่ี ปี ระสบการณ์ สขุ ภาพ บรกิ าร ความรแู้ ละ กบั บุคคล เปลย่ี นแปลงใน คลา้ ยกบั ตนเอง เพอ่ื หาความรู้ เป็นทกั ษะ ทาง และทกั ษะในการปฏบิ ตั ติ าม ทางปัญญา สขุ ภาพ การสอ่ื สาร อน่ื และการ ขนั้ น้ดี ว้ ยการใช้ แผนและกาหนดเป้าหมายต่อ ทกั ษะทาง ในการมี สงั คม และ สว่ นร่วม เพอ่ื ให้ สอ่ื สารกบั การสนทนาเชงิ 3. สรปุ แผนการวธิ กี ารดแู ล การรเู้ ท่าทนั ในการ สขุ ภาพ สอ่ื (Media วาง ผปู้ ่วย ผใู้ หบ้ รกิ าร วพิ ากษโ์ ดยเน้น literacy) แผนการ 4. ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม อ่าน ดแู ล สามารถมี ทาง การพฒั นาทกั ษะ สถานการณ์สมมตทิ เ่ี ป็นจรงิ คอื ตนเอง - สถานการณ์เกย่ี วกบั การ 2. เพอ่ื สว่ นรว่ มใน สขุ ภาพใน ทางสงั คม การมี แลกเปลย่ี นขอ้ มลู กบั ผู้ พฒั นา ใหบ้ รกิ ารเช่น การพบแพทย์ ทกั ษะใน การดแู ล การมสี ว่ น ปฏสิ มั พนั ธก์ บั เพอ่ื ตรวจรกั ษา การ - สถานการณ์เกย่ี วกบั การ วเิ คราะห์ สขุ ภาพเป็น ร่วมในการ บคุ คลอน่ื ไดแ้ ก่ เลอื กรบั สอ่ื สขุ ภาพทอ่ี าจจะทา การเลอื ก ใหเ้ กดิ ความเสย่ี งทางสขุ ภาพ รบั สอ่ื ทาง ทกั ษะทาง วางแผน การสอ่ื สารทาง สขุ ภาพ 5. ใหก้ ลุ่มแสดงบทบาทสมมตใิ น ปัญญา การดแู ล สขุ ภาพใหบ้ ุคคล การใชท้ กั ษะสอ่ื สาร/เลอื กรบั สอ่ื 6. สนทนาเชงิ วพิ ากษ์เกย่ี วกบั (Cognitive ตนเอง อน่ื เขา้ ใจ การ บทบาทสมมตขิ องกลุ่มตวั อยา่ ง 7. สรุปกจิ กรรมรว่ มกนั Literacy) 2. เพอ่ื สอ่ื สารกบั ผใู้ ห้ ทกั ษะทาง พฒั นา บรกิ ารทาง สงั คม ทกั ษะใน สขุ ภาพ รวมไป (Social การ ถงึ การรเู้ ทา่ ทนั Skill) และ วเิ คราะห์ สอ่ื สขุ ภาพ เพอ่ื การรเู้ ท่าทนั การเลอื ก นาไปวาง สอ่ื (Media รบั สอ่ื ทาง แผนการดแู ล literacy) สขุ ภาพ สขุ ภาพตนเอง องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
164 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ กรอบ วตั ถปุ ระส แนวคิด/ ตวั อยา่ งกิจกรรม การ เนื้อหา งค์ ทฤษฏี สื่อ ประเมิน ผล กิจกรรมที่ 3 วางแผนและกาหนดทางเลอื กในการเปลย่ี นแปลงทดลองปฏบิ ตั ติ ามบทบาทใหม่ วางแผน 1. เพอ่ื ให้ Mezirow (2000) 1. ทบทวนกจิ กรรม เบาหวาน 1. ใบงาน 1. สงั เกต พฤตกิ รรม กลุ่มนา กล่าวว่า ขนั้ ตอน และสอ่ื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. แบบ การให้ การดแู ล ความรแู้ ละ ของการ บนั ทกึ ความ สขุ ภาพ ทกั ษะจาก กระบวนการ 2. แบง่ กลมุ่ ตวั อย่างเป็นกลุม่ ละ แนวทางการ รว่ มมอื ใน กจิ กรรม เรยี นรใู้ นขนั้ ตอน 3-4 คน โดยผชู้ ว่ ย กระตุน้ ให้ เปลย่ี นแปลง การทา กระตนุ้ ให้ เบาหวาน ท่ี 5-7 เป็นการ กลมุ่ ไดใ้ ชก้ ระบวนการ ตนเอง กจิ กรรม เกดิ มอื อาชพี สารวจและ ใคร่ครวญในตนเอง (Critical 3. สมุด 2. กล่มุ พฤตกิ รรม และการ วางแผนเสน้ ทาง self-reflection) โดยใชใ้ บงาน บนั ทกึ ตวั อย่างมี ใหมโ่ ดย สอ่ื สาร ของการปฏบิ ตั ิ เป็นสอ่ื กระตุน้ นาความรแู้ ละ การเรยี นรู้ แผนการ การให้ อยา่ ง ซง่ึ เป็นการแสดง ทกั ษะ จากกจิ กรรมเบาหวาน ปฏบิ ตั ติ น ผปู้ ่วย สรา้ งสรรค์ ใหเ้ หน็ ถงึ การ มอื อาชพี การสอ่ื สารอย่าง 1. ใบงาน ใหม่ สามารถ มาวาง เปลย่ี นแปลงใน สรา้ งสรรค์ มาวางแผนและ 2. สมดุ กา้ วผา่ น แผนและ ตนเอง กาหนดทางเลอื กในการ บนั ทกึ 1. สงั เกต อปุ สรรค กาหนด เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม โดย ประจาวนั การให้ ของ ทางเลอื ก พจิ ารณารปู แบบการดแู ล ความ พฤตกิ รรม เปลย่ี น ตนเองในอดตี รปู แบบการใช้ รว่ มมอื ใน แปลง ชวี ติ ในปัจจบุ นั นามาวางแผน การทา พฤตกิ รรม และกาหนดทางเลอื กใหมเ่ พ่อื กจิ กรรม เพอ่ื ควบคุมระดบั น้าตาลในเลอื ด 2. กล่มุ ควบคมุ ตวั อยา่ งมี ระดบั 3. กลุม่ เขยี นบนั ทกึ การเปลย่ี น แผนการ น้าตาลใน แปลงพฤตกิ รรมของตนเอง ปฏบิ ตั ติ น เลอื ดท่ี ใหม่ เหมาะสม 4. ใหก้ ลุ่มนาแนวทางทไ่ี ด้ กาหนดขน้ึ ไปใชใ้ น ชวี ติ ประจาวนั และบนั ทกึ ลงใน สมดุ บนั ทกึ ประจาวนั 5. สรุปกจิ กรรมรว่ มกนั กิจกรรมที่ 4 การทดลองปฏบิ ตั ติ ามบทบาทใหม่ เพอ่ื ใหก้ ลมุ่ Mezirow (2000) 1. หลงั จากการทดลองปฏบิ ตั นิ า ไดแ้ ลก กลา่ ววา่ ขนั้ ตอน เปลย่ี น ของการ วธิ กี ารดแู ลตนองไปปฏบิ ตั จิ รงิ เรยี นรถู้ งึ กระบวนการ ผจู้ ดั กระตุ้นใหก้ ลุ่มผปู้ ่วยได้ ความสาเรจ็ เรยี นรใู้ นขนั้ ตอนท่ี แลกเปลย่ี นเรยี นรถู้ งึ ความสาเรจ็ และความ 8-10 เป็นการ และความลม้ เหลวทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ ลม้ เหลวจาก ยอมรบั แผนการ ปฏบิ ตั ติ น ดว้ ยกระบวนการ การปฏบิ ตั ิ กระทาทต่ี นเอง แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ตนทน่ี าไปสู่ วางแผนและเป็น 2. สรปุ กจิ กรรมและนดั หมายเพ่อื การปรบั การสรา้ ง เปลย่ี นเพอ่ื พฤตกิ รรมใหม่ ตดิ ตาม ควบคมุ ไปสกู่ าร ระดบั น้าตาล เปลย่ี นแปลง ในเลอื ด พฤตกิ รรมถาวร องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
165 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ กรอบ วตั ถปุ ระส แนวคิด/ ตวั อยา่ งกิจกรรม การ เนื้อหา งค์ ทฤษฏี สื่อ ประเมิน ผล กิจกรรมที่ 5 ตดิ ตามเพอ่ื สรา้ งความมนั่ ใจในการปฏบิ ตั ติ ามบทบาทใหม่ การใหพ้ ลงั เพอ่ื สรา้ ง การสนบั สนุนทาง ผจู้ ดั กจิ กรรม ตอ้ งโทรศพั ท์ สมดุ บนั ทกึ แบบบนั ทกึ อานาจใน ความมนั ่ ใจ สขุ ภาพ การสนทนา ตนและการ ใหแ้ ก่กลุม่ สงั คมจากผู้ ตดิ ตาม และใหค้ าปรกึ ษาเดอื นละ ทาง สนบั สนุน ผปู้ ่วยใน โทรศพั ท์ ทางสงั คม การปฏบิ ตั ิ ใหบ้ รกิ าร ทาง 1 ครงั้ พรอ้ มมกี ารเยย่ี มบา้ นเป็น และขอ้ มลู ตามแผนท่ี จากการ วางไว้ สขุ ภาพและญาติ ทมี สหสาขา ญาตแิ ละ ครอบครวั สมาชกิ ในครอบครวั ขณะเยย่ี มบา้ น สรุปได้ว่า รูปแบบโปรแกรมเพ่ือการพฒั นาความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยการจดั การ เรยี นรู้เพ่ือการเปล่ยี นแปลงท่ีมตี ่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่ วย หมายถึง กระบวนการจดั กจิ กรรมทม่ี ุง่ เน้นการปรบั เปลย่ี นกระบวนการคดิ ทกั ษะทางสงั คม ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ และ พฤติกรรมการดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะท่ีดขี องผู้ป่ วย ท่ีสรา้ งขน้ึ จากผลการสารวจสภาพ ปัญหาและความต้องการจาเป็นของผูป้ ่ วยโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สูงในชุมชนก่ึงเมอื ง และพฒั นาจากพน้ื ฐานของการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฏแี ละเอกสารงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วกบั ความรอบรู้ ดา้ นสุขภาพของนทั บมี และทฤษฎกี ารเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงของ เมอรซ์ โิ ร เพ่อื สรา้ งและ พฒั นาความสามารถในการเขา้ ถงึ เขา้ ใจ ประเมนิ ใชค้ วามรู้ และส่อื สารดา้ นสขุ ภาพเพ่อื ส่งเสรมิ และรกั ษาสุขภาพของผู้ป่ วย รวมถึงทักษะและการคดิ วเิ คราะห์ท่กี าหนดความสามารถของ บุคคลในการเขา้ ใจขอ้ มลู เขา้ ถงึ ขอ้ มลู และสามารถใชข้ อ้ มลู เพ่อื ส่งเสรมิ สุขภาพของตนเองโดย โปรแกรมจะแบง่ เป็น 7 ระยะ ดงั น้ี ระยะที่ 1 การสรา้ งความตระหนกั และปรบั เปลยี่ นการเรยี นรผู้ า่ นบทบาทสมมตุ ิ เพอ่ื ให้ กลุ่มพัฒนาทักษะทางปั ญญาด้วยการเรียนรู้ผ่านบทบาทสมมุติในสถานการณ์ ท่ีเป็ น ประสบการณ์วกิ ฤตทผ่ี ปู้ ่วยผ่านภาวะแทรกซอ้ นของโรค มจี ดุ มงุ่ หมายใหก้ ล่มุ ตวั อย่าง ตระหนัก ถงึ รปู แบบการดูแลสุขภาพในอดตี ท่ไี ม่เหมาะสม โดยทบทวนมุมมองและการรบั รกู้ ารเจบ็ ป่ วย ทบทวนสมมตฐิ านการดูแลสขุ ภาพเดมิ ของตนเองซง่ึ กจิ กรรมประกอบไปดว้ ยการเรยี นรรู้ ่วมกนั โดยใช้รปู แบบการสนทนาเชงิ วพิ ากษ์ (Critical discourse) และพูดคุยแลกเปล่ยี นด้วยวธิ ขี อง สนุ ทรยี สนทนา (Dialogue) โดยกลมุ่ จะเปิดใจยอมรบั สงิ่ ทผ่ี ดิ พลาดต่อการกระทาทเ่ี คยผ่านมา ระยะที่ 2 การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ เพ่อื พฒั นาทกั ษะทาง สงั คมในการมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั บุคคลอ่นื ไดแ้ ก่บุคคลทวั่ ไป และบุคลากรทางการแพทย์ โดยการ กระตุ้นให้กลุ่มพูดคุยส่ือสารกับผู้อ่ืนเก่ียวกับแนวทางการดูแลสุขภาพของตนเอง และใช้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
166 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ สถานการณ์สมมตใิ นการส่อื สารกบั แพทยห์ รอื บุคลากรทางการแพทย์ และการเลอื กรบั ส่อื ทาง สุขภาพ ในการกระตุน้ ใหเ้ กดิ การสนทนาเชงิ วพิ ากษ์เก่ยี วมุมมอง ความเช่อื และสมมตฐิ านเดมิ ของตน รวมไปถึงร่วมกนั วางแผนแนวทางในการปฏบิ ัติใหม่เม่อื ต้องส่อื สารกบั แพทย์ หรอื วธิ กี ารเลอื กรบั ส่อื ทางสุขภาพ ระยะที่ 3 การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดบั วิจารณญาณด้วยการให้กลุ่ม สามารถวางแผนและกาหนดทางเลอื กในการเปลยี่ นแปลง เพ่อื ให้กลุ่มนาความรแู้ ละทกั ษะจาก ระยะท่ี 2-3 มาวางแผนและกาหนดทางเลอื กในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมเพ่อื ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม การควบคุมโรคท่เี หมาะสมซ่งึ กจิ กรรมประกอบไปดว้ ยการให้กลุ่มตวั อย่างมกี ารใคร่ครวญใน ตนเอง (Critical self-reflection) โดยพจิ ารณารปู แบบการดแู ลตนเองในอดตี รปู แบบการใชช้ วี ติ ในปัจจุบนั นามาวางแผนและกาหนดทางเลอื กใหม่ในการปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ให้เกดิ พฤตกิ รรมการ ควบคุมความรนุ แรงของโรคทเ่ี หมาะสมโดยจดั กจิ กรรม 1 ครงั้ ใชเ้ วลา 4-5 ชวั่ โมง ระยะท่ี 4 การเรมิ่ ทดลองปฏบิ ตั ติ ามบทบาทใหม่ เพ่อื ใหก้ ลุ่มตวั อย่างนารปู แบบในการ ปฏิบัติตนท่ีตนเองได้วางแผนกาหนดทางเลือกไว้ในระยะท่ี 3นาไปทดลองปฏิบัติจริงใน ชวี ติ ประจาวนั ของตนเอง โดยใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งบนั ทกึ ลงในสมดุ บนั ทกึ ประจาวนั ระยะท่ี 5 การแลกเปลีย่ นเรยี นรู้การทดลองปฏิบัติตามบทบาทใหม่ เพ่ือให้กลุ่ม ตวั อย่างแลกเปลย่ี นเรยี นรถู้ งึ ความสาเรจ็ และความลม้ เหลวท่เี กดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ติ น นาไปสู่ การปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื การควบคุมโรคทเ่ี หมาะสมยงิ่ ขน้ึ ระยะท่ี 6 การร่วมกิจกรรมปรบั พฤติกรรมเพือ่ การดาเนินชีวิตอย่างมีสุขภาวะทีด่ ี ครอบคลุมทงั้ มติ ทิ างด้านรา่ งกาย จติ ใจ และสงั คม ซง่ึ ทงั้ 3 มติ นิ ้ีมคี วามเช่อื มโยงกนั อย่างเป็น องค์รวม (Holistically) โดยการจดั ทากิจกรรมร่วมกันเป็ นฐาน ให้ครบทุกมิติของการดูแล สุขภาพทงั้ การประเมนิ สุขภาพตนเอง ควบคุมความรุนแรงของโรค การรบั ประทานอาหาร การ ออกกาลงั กาย การจดั การความเครยี ด และทากจิ กรรมเพอ่ื สงั คม ระยะท่ี 7 ระยะการติดตามเพือ่ สร้างความมนั่ ใจ เพ่ือสร้างความมนั่ ใจให้แก่กลุ่ม ตวั อยา่ ง โดยการเยย่ี มบา้ นแบบเพ่อื นช่วยเพ่อื น เดอื นละ 1 ครงั้ และพบกลุ่มตวั อย่าง ครงั้ ท่ี 1 หลงั จบโปรแกรมแลว้ 12 สปั ดาห์ ดว้ ยการประเมนิ ระดบั ผลลพั ธท์ างสุขภาพไดแ้ ก่ ค่าดชั นีมวล กาย ระดบั ความดนั โลหติ และระดบั HbA1C หลงั จบกจิ กรรมและตดิ ตามผล งานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกบั โปรแกรมเพื่อพฒั นาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ โปรแกรมเพื่อพฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพตามการศึกษาผใู้ หญ่ การจดั การเรยี นรู้ เป็นกระบวนการสาคญั เพ่ือนาบุคคลไปสู่การเปล่ยี นแปลงภายใน ตนเองและนาไปสู่การเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น การศกึ ษาของ พงศ์รชั ต์ธวชั ววิ งั สูและ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
167 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ คณะ (2556) มกี ารใชร้ ูปแบบการเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงสาหรบั การบาบดั รกั ษาผู้ตดิ สุรา โดยผู้วจิ ยั ไดพ้ ฒั นารปู แบบการเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงภายในสาหรบั การบาบดั รกั ษาผูต้ ดิ สุ ร า (4-P Model: The 4-P model of transformative learning for alcoholic rehabilitation treatment) โดย 4-P Model ประกอบไปดว้ ย ลกั ษณะส่วนบุคคล (Personal presage) การจดั โปรแกรมการเรยี นรู้ (Program learning context) การปรบั เปล่ยี นกรอบแนวคดิ ความเช่อื และ จิตลักษณ ะ (Program perspective context) และ การเปล่ียนแปลงภายในตนเองไปสู่ พฤติกรรมการกระทาใหม่ (Personal transformative) ซ่ึงประยุกต์แนวคิดของ Mezirow (2000) โดยกระบวนการเรยี นรู้ ประกอบไปดว้ ย การปรบั เปลย่ี นกรอบแนวคดิ ความเช่อื และจติ ลกั ษณะเดมิ ท่เี ป็นอุปสรรค และการเปล่ยี นแปลงภายในตนเองไปสู่พฤตกิ รรมการกระทาใหม่ ซ่งึ เป็นขนั้ ตอนการเรยี นรู้น้ีพบว่า ปัจจยั ท่ีมสี ามารถทานายการเรยี นรูเ้ พ่ือการเปล่ยี นแปลง ภายในตนเองสาหรบั การบาบดั รกั ษาผู้ตดิ สุรา ไดแ้ ก่ โปรแกรมและการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่อื การบาบดั รกั ษาผตู้ ดิ สุรา การรบั รปู้ ระสบการณ์การเสพสุรา การแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ พ่อื การ เปลย่ี นแปลงภายในตนเอง และแรงจงู ใจเพ่อื การเปลย่ี นพฤตกิ รรมการเสพสุรา สามารถรว่ มกนั ทานายได้ คดิ เป็น รอ้ ยละ 47.6 โดยสภาพโปรแกรมและการจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ พ่อื การ บาบัดรกั ษาผู้ติดสุรามอี ิทธิพลต่อการเปล่ยี นแปลงภายในตนเองเพ่ือการเลิกเสพสุราสูงสุด (Beta = .41) และเมอ่ื วเิ คราะหร์ ปู แบบการเรยี นรเู้ พอ่ื การเปลย่ี นแปลงภายในตนเองสาหรบั การ บาบัดรกั ษาผู้ติดสุรานัน้ มีความสอดคล้องตามรูปแบบ 4-P Model โดยพบว่า การทบทวน ประสบการณ์ การแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงและการกระตุน้ และสรา้ งแรงจงู ใจเพ่อื การเลกิ เสพสุราเป็นกระบวนการสาคญั ท่นี าไปสู่การเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงภายในตนเอง สาหรบั การบาบดั รกั ษาผตู้ ดิ สรุ า นอกจากน้ี Ntiri & Stewart (2009) ได้พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับพ้ืนฐาน (Functional health literacy) ด้วยแนวคิดการเรยี นรู้สู่การเปล่ียนแปลง ในผู้สูงอายุท่ีเป็ น โรคเบาหวานโดยการศึกษาน้ีเน้นท่กี ารพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของความรอบรดู้ ้านสุขภาพ โดยโปรแกรมจะประกอบไปด้วย การให้ความรู้จากพยาบาลปฎิบัติการ (Practice nurse educator) โดยบรรยากาศของการใหค้ วามรจู้ ะจดั การเรยี นรู้โดยส่งเสรมิ ผเู้ รยี นใหเ้ กดิ การอยาก รู้อยากเห็น (Foster curiosity) และการสะท้อนคิด (Reflection) ในข้อมูลเก่ียวกับการดูแล ตนเอง โดยมเี น้ือหาพน้ื ฐานคอื เบาหวานคอื อะไร การรบั ประทาน การออกกาลงั กาย การใชย้ า ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และการจดั การตนเอง เคร่อื งมอื ทใ่ี ชป้ ระเมนิ ประสทิ ธภิ าพ ขอ งโป รแ ก รม คือ 1) The short-form Test of Functional Health Literacy in Adults (s- TOFHLA) 2) Literacy Assessment for Diabetes (LAD) และ 3) Diabetes Knowledge Test (DKT). ผลการศกึ ษาพบว่า การจดั การเรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงนนั้ สามารถพฒั นาความรอบ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
168 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ รู้ด้านสุขภาพได้ ซ่ึงผู้วิจัยวัดด้วยคะแนน STOFHLA scores and DKT ท่ีพบว่าเพิ่มข้ึน (P< 0.05) สรปุ ไดว้ ่ากระบวนการเรยี นรู้ และวธิ กี ารแสวงหาความรดู้ ้วยวธิ กี ารต่าง ๆ ของบุคคล ไดแ้ ก่ การเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ การส่อื สารจากประสบการณ์ และการเรยี นรผู้ ่านกจิ กรรม กลุ่ม การแลกเปล่ยี นประสบการณ์ด้วยการสะท้อนคดิ มผี ลต่อการเรยี นรขู้ องบุคคล และสง่ิ สาคญั ต่อการเรยี นรู้คือสิง่ แวดล้อมท่เี อ้ือต่อการเรยี นรู้ ทงั้ จากตวั ผู้สอน หรอื ผู้อานวยความ สะดวก และกลุ่มผเู้ รยี นดว้ ยกนั ทจ่ี ะกระตุน้ ในเกดิ แรงจงู ใจในการเรยี นรจู้ นเกดิ การเปลย่ี นกรอบ ความคดิ ความเช่อื และความรเู้ ดมิ ทบ่ี ดิ เบอื นและนาไปสู่การตดั สนิ ใจดูแลสุขภาพดว้ ยตนเองได้ อยา่ งเหมาะสมตามขนั้ ตอน 5 ขนั้ คอื ขนั้ ที่ 1 สรา้ งความรพู้ น้ื ฐานเก่ยี วกบั สุขภาพทวั่ ไปท่บี ุคคลมคี วามกงั วลในเร่อื งสุขภาพ ของตวั เอง โดยความรพู้ ้นื ฐานน้ีจะเกดิ ขน้ึ โดยผ่านการอ่าน การมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผู้เช่ยี วชาญ ด้านสุขภาพหรือ ผู้ให้ความรู้ด้านสุขภาพ การปรึกษาหารอื เร่อื งสุขภาพกับเพ่ือนและ ครอบครวั การรบั ส่อื สขุ ภาพ ขนั้ ที่ 2 การพฒั นาทกั ษะ การปฏบิ ตั ิ ดา้ นการความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ซง่ึ แสดงออกถงึ ความสามารถในการฟัง พูด การคานวณ การแก้ปัญหาและการตดั สนิ ใจด้วยการแสวงหาและ การใชข้ อ้ มลู เช่น การใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นการแสวงหา ขอ้ มูลและการวิเคราะห์ความสาคญั ของ ขอ้ มูล เป็นต้น และทกั ษะการจดั การตนเอง เช่น การฉีดยาดว้ ยตนเอง การวดั ระดบั น้าตาล ซง่ึ ความรทู้ างสุขภาพจะพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพใหเ้ พม่ิ ขน้ึ ขัน้ ท่ี 3 การแสดงถึงความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็ นทักษะเก่ียวกับการส่ือสารกับ ผเู้ ชย่ี วชาญทางสุขภาพและบรกิ าร เมอ่ื ต้องการสอบถามเก่ยี วกบั การรกั ษา การบรกิ าร รวมไป ถงึ การเจรจาต่อรอง เกย่ี วกบั การรกั ษา การขอคาปรกึ ษาเพอ่ื แลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขนั้ ท่ี 4 ผใู้ หบ้ รกิ ารหรอื ผเู้ ชย่ี วชาญทางสุขภาพใหข้ ้อมลู ทางสุขภาพเพ่อื เพมิ่ ศกั ยภาพ ของทางเลอื กในการรกั ษา หรอื บางคนสามารถผลติ ขอ้ มลู ทางสุขภาพของตวั เอง หลงั จากการ การพูดคุยกบั เพ่อื นและครอบครวั รวมไปถงึ การคน้ หาความรทู้ างสุขภาพดว้ ยตนเอง ทไ่ี ดจ้ าก ทกั ษะขนั้ ตอนท่ี 3 ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ในการผลติ ส่อื สุขภาพเพ่อื เป็นทางเลอื กและนาไปเป็น ขอ้ มลู ประกอบการตดั สนิ ใจดว้ ยตนเองต่อไป ขนั้ ท่ี 5 การใชข้ อ้ มลู เพ่อื ตดั สนิ ใจทางสุขภาพ ในขนั้ ตอนน้ีสรา้ งใหเ้ กดิ ความเขม้ ขน้ ใน การตดั สนิ ใจทางสุขภาพ เพ่อื ทาใหเ้ กดิ การจดั การตนเองทางสุขภาพ โดยบุคคลทม่ี พี ฤตกิ รรม ในขนั้ น้ีจะมพี ฤติกรรมจากขนั้ ท่ี 1 ผ่านขนั้ ต่างๆ มาถงึ ขนั้ ท่ี 5 อย่างไรกต็ ามการเปลย่ี นแปลง พฤตกิ รรมในแต่ละขนั้ ตอนอาจสลบั ขนั้ ตอนกนั ได้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
169 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ โดยกระบวนการจดั กจิ กรรมท่มี ุ่งเน้นใหผ้ ูป้ ่ วยมคี วามรูแ้ ละทกั ษะท่จี าเป็นในการดูแล ตนเองเพ่อื ควบคุมไม่ใหเ้ กดิ ความรุนแรงของโรค ซง่ึ กจิ กรรมประกอบไปดว้ ยการให้ความรู้โดย ใชเ้ ทคนิคการเรยี นรแู้ บบมสี ่วนรว่ มของผเู้ กย่ี วขอ้ งในชุมชนรว่ มดว้ ย โดยรว่ มใหค้ วามรเู้ บอ้ื งต้น เก่ียวกบั การดูแลตนเองสาหรบั ผู้ป่ วย ร่วมจดั กิจกรรมฝึกทกั ษะการเลอื กรบั ประทานอาหาร ทกั ษะการออกกาลงั กาย ทกั ษะการใช้ยาเบาหวาน และทกั ษะการจดั การความเครยี ด การฝึก ทกั ษะการถ่ายทอดและแลกเปลย่ี นเรยี นรใู้ นทกั ษะเกย่ี วกบั วธิ กี ารคน้ หาแหลง่ ขอ้ มลู ดา้ นสุขภาพ ความรแู้ ละทกั ษะเกย่ี วกบั ตรวจสอบความถูกตอ้ งความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู สุขภาพทส่ี ่อื นาเสนอ การพฒั นาทกั ษะในส่อื สารด้วยการฟัง พูด อ่าน และเขยี น การกาหนดทางเลอื กและปฏเิ สธ/ หลกี เล่ยี งหรอื เลอื กวธิ ีการปฏิบตั ิตนเพ่ือให้มสี ุขภาพดี การพฒั นาทกั ษะการตัดสนิ ใจเลอื ก ปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรมสุขภาพทถ่ี ูกตอ้ ง สรปุ กิจกรรมเพื่อพฒั นาความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ไดร้ บั ความสนใจอยา่ งแพรห่ ลายในวงการสาธารณสุข โดยเรมิ่ ตงั้ แต่ องคก์ ารอนามยั โลกไดจ้ ดั ประชุมการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ ครงั้ ท่ี 7 ณ กรุงไนโรบี ประเทศ เคนยา ทเ่ี น้นการดูแลสุขภาพของบุคคลด้วยการพฒั นาทกั ษะของบุคคล ด้วยการนาวถิ ชี วี ติ สู่ การปฏบิ ตั ิ ซง่ึ ประเดน็ ของการประชุมดงั กล่าวไดร้ ะบถุ งึ ความสาคญั ของความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ และมผี สู้ นใจศกึ ษาทดลองเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพโดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย ดงั การศึกษาของ Manafo & Wong (2012) ท่ีศึกษาโปรแกรมเพ่ือพัฒนาความรอบรู้ด้าน สุขภาพดว้ ยวธิ กี ารทบทวนวรรณกรรมอยา่ งมรี ะบบ จานวน 9 เร่อื ง ทเ่ี กดิ ผลลพั ธท์ างสุขภาพ เชงิ บวกจากผลการทดลองในกลุ่มผสู้ ูอายุ ซง่ึ ผลการศกึ ษาพบว่า หลายงานวจิ ยั ยงั มขี อ้ จากดั ใน การออกแบบการศกึ ษาและการวดั ผลการทดลองในระยะสนั้ ซง่ึ ผลกระทบความยงั่ ยนื ในอนาคต ยงั ไมช่ ดั เจน ดงั นัน้ ในการออกแบบโปรแกรมการทดลองเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพใน อนาคต ควรใช้สถานการณ์การทดลองด้วยข้อมูลหลักฐานเชิงประจกั ษ์ (Evidence-base interaction health literacy program) ตามสถานการณ์จรงิ และใชเ้ คร่อื งมอื วดั ทม่ี มี าตรฐาน ดงั ตัวอย่างงานวิจยั ท่ีศึกษาโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพท่ีผ่านมา และการศึกษาของ Sheridan et al. (2011) ท่ีศึกษาโปรแกรมสาหรบั ผู้มีความรอบรูด้ ้านสุขภาพต่าด้วยวิธีการ ทบทวนวรรณกรรมอย่างมรี ะบบเช่นกนั จานวน 38 เรอ่ื งซง่ึ พบว่า เป็นการศกึ ษาในกลุ่มผปู้ ่วย เสย่ี งโรคต่างๆ ทห่ี ากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพดว้ ยการใหข้ อ้ มลู ท่จี าเป็น มเี สรมิ ทกั ษะเชิงตัวเลขบ้าง เสรมิ ให้ความรูผ้ ่านส่อื เช่น วดิ ีโอ ส่ิงพิมพ์ ฝึกการมี ปฏสิ มั พนั ธ์ และการจดั การตนเอง ควบคุมโรคเพอ่ื ลดความรนุ แรง ดงั แสดงรายละเอยี ดในตาราง 5-6 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
170 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ตาราง 5-6 สรปุ กจิ กรรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Sheridan et al., 2011; Manafo & Wong, 2012) ผพู้ ฒั นา กิจกรรม ผลลพั ธ/์ ข้อคน้ พบจากงานวิจยั การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในระดบั พืน้ ฐาน (Functional health literacy) Murphy et al. อา่ นขอ้ มลู จากแผ่นพบั เพ่อื การปฏบิ ตั ติ นในคลนิ ิก ความรแู้ ละความเขา้ ใจ (1996) Sleep lab ทางสขุ ภาพ Rothman et al. - การสอนรายบคุ คล การใหค้ าปรกึ ษาทางโทรศพั ท์ ผลตรวจเลอื ด Hb A1C (2004) - การจดั การตนเองของผปู้ ่วยโรคเบาหวาน ผล FBG วดั ระดบั ความรู้ Valle et al. ใหข้ อ้ มลู ความรแู้ ละชว่ ยใหผ้ ูใ้ หญ่กลุม่ ตวั อย่าง 111 คนเขา้ ใจ มคี วามรเู้ กย่ี วกบั โรค (2006) ถงึ ผลกระทบของการเกดิ โรคสมองเสอ่ื ม โดยผ่านการประชมุ สมองเสอ่ื มเพมิ่ ขน้ึ และมี เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการสนทนากลุม่ และแสดงรปู ทเ่ี ป็น Broering et al. เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั โรคความจาเสอ่ื ม เพ่อื เพมิ่ ความตระหนกั รู้ ความพงึ พอใจกบั สอ่ื เพ่อื เรอ่ื งโรคความจาเสอ่ื มสาหรบั ผดู้ แู ลและตวั ผปู้ ่วย การเรยี นรู้ สง่ เสรมิ ใหผ้ สู้ งู อายุทม่ี อี ายุมากกวา่ 65 ปี จานวน 3,500 คน เป็นกระบวนการสรา้ ง (2009) รบั การพฒั นาใหเ้ ขา้ ถงึ ขอ้ มลู สขุ ภาพทส่ี าคญั โดยใช้ เคร่อื งมอื เพ่อื พฒั นา อนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ใหเ้ กดิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพขนั้ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ พน้ื ฐาน (Functional health literacy) ดว้ ยวธิ ี 1) การ ระดบั ขนั้ พน้ื ฐานในกลุม่ ประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารผา่ นสอ่ื ออนไลน์ (Workshops on ผสู้ งู อายุ และผลของ electronic information resources) การสาธติ เพ่อื พจิ ารณา โปรแกรมคอื ผเู้ ขา้ ร่วม ทางเลอื กในการรกั ษา และทางเลอื กในการดแู ลสขุ ภาพ และ กจิ กรรมสามารถใช้ 2) สอนการเขา้ ถงึ ฐานขอ้ มลู ออนไลน์ (Access to full-text อนิ เทอรเ์ น็ตในการเขา้ ถงึ databases) และวธิ กี ารยมื คนื หนงั สอื จากบรกิ ารหอ้ งสมดุ ขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพและ ผ่าน Services to project โดยสง่ ผใู้ หก้ ารดแู ลสขุ ภาพให้ เกดิ ความพงึ พอใจ คาแนะนาทบ่ี า้ น เชน่ บรรณารกั ษ์ นกั คอมพวิ เตอร์ ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นสขุ ภาพ เป็นผแู้ นะนา เป็นตน้ Wydra (2001) การฝึกอบรมแบบโตต้ อบดว้ ย Interactive videodisc เรอ่ื งการ พฤตกิ รรมการดแู ล ดแู ลตวั เองเม่อื มภี าวะคลน่ื ไสอ้ าเจยี นจากการรบั ยาเคมบี าบดั ตนเอง Gross et al. ทดลองกลุ่มเดยี ว 25 คน เป็นโปรแกรมทใ่ี ชร้ ปู แบบการให้ เป็นการพฒั นาความรอบ (2007) การศกึ ษา (Educational program ) เพอ่ื ใหร้ จู้ กั วธิ กี าร รสู้ ขุ ภาพขนั้ พน้ื ฐาน เกย่ี วกบั ภาวะหลอดเลอื ด เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทน่ี ่าเชอ่ื ถอื เกย่ี วกบั หลอดเลอื ดสมองและ สมอง ผ่านสอ่ื ออนไลน์ เสรมิ สรา้ ง ความรู้ ดา้ นสขุ ภาพ ณ ศนู ยด์ แู ลผู้ป่วยและ หอ้ งสมุดประชาชน โดยจดั กจิ กรรมประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ในกลุ่มผปู้ ่วย และวดั การสนทนากลุ่ม และใชแ้ หล่งขอ้ มลู ออนไลน์ ความรกู้ บั ความพงึ พอใจ เขา้ รว่ มโปรแกรม องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
171 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ผพู้ ฒั นา กิจกรรม ผลลพั ธ/์ ข้อคน้ พบจากงานวิจยั Kripalani et al. ใชส้ อ่ื สง่ิ พมิ พใ์ หค้ วามรรู้ ่วมกบั การตอบคาถามดา้ นสขุ ภาพท่ี ความรู้ ความเขา้ ใจทาง (2007) ผปู้ ่วยตอ้ งการรู้ สขุ ภาพ Nitri & Stewart ประยุกตใ์ ชแ้ นวคดิ การเรยี นรูเ้ พอ่ื การเปลย่ี นแปลง อทิ ธพิ ลเชงิ บวกของ (2009) (Tranformative learning) โดยมกี ารพฒั นาความรอบรดู้ า้ น โปรแกรมการเรยี นรเู้ พ่อื สขุ ภาพระดบั พน้ื ฐาน ในผเู้ ป็นโรคเบาหวาน 20 คน โดย การเปลย่ี นแปลง มผี ลต่อ การศกึ ษาน้เี น้นทก่ี ารพฒั นาความรแู้ ละทกั ษะของความรอบ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ระดบั พน้ื ฐาน และการให้ รดู้ า้ นสขุ ภาพ โดยโปรแกรมประกอบดว้ ย การใหค้ วามรจู้ าก ความรเู้ รอ่ื งโรคเบาหวาน พยาบาลเชย่ี วชาญ (Practice nurse educator) โดย บรรยากาศของการใหค้ วามรจู้ ะการจดั การเรยี นรูโ้ ดย ใชแ้ บบวดั ความรอบรดู้ า้ น สง่ เสรมิ ผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ความอยากรอู้ ยากเหน็ (Foster สขุ ภาพสาหรบั ผปู้ ่วย health literacy test for curiosity) และการสะทอ้ นคดิ (Reflection) ในขอ้ มลู seniors (STOFHLA) ; เกย่ี วกบั การดแู ลตนเอง โดยมเี น้อื หาพน้ื ฐานคอื เบาหวาน Literacy assessment for คอื อะไร การรบั ประทาน การออกกาลงั กาย การบรกิ ารยา diabetes (LAD),diabetes ภาวะแทรกซอ้ นจากโรคเบาหวาน และการจดั การตนเอง knowledge test (DKT) Bryant et al. สอ่ื การสอนสขุ ศกึ ษาแบบสอ่ื ผสม เพ่อื พฒั นาความเขา้ ใจใน ความรู้ ความเขา้ ใจทาง (2009) การดแู ลตนเอง สขุ ภาพ Volandes et ใชก้ ารศกึ ษาวดี โี อและฟังบรรยาย สนทนาร่วมกนั พรอ้ มฝึก การดแู ลตนเองเพ่อื al. (2009) การดแู ลสขุ ภาพเบอ้ื งตน้ ป้องกนั ภาวะสมองเสอ่ื ม Leroy & Miller การสอนดว้ ยวธิ กี ารเตมิ คานาม และวลี ทเ่ี กย่ี วกบั ศพั ทท์ าง ความรู้ (2010) การแพทย์ Wilson et al. แจกเอกสาร และวดิ โี อ เกย่ี วกบั การดแู ลสขุ ภาพทวั่ ไป ให้ ความรู้ (2010) ผปู้ ่วยโรคหอบหดื ไปอา่ นและศกึ ษาทบ่ี า้ น Wolf et al. สอนทกั ษะการอา่ นฉลากยา ดว้ ยรปู และกราฟิกเสมอื นจรงิ ความสามารถในการอ่าน (2011) ฉลากยา การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในระดบั ปฏิสมั พนั ธ์ (Interactive health literacy) Schwartz et al. สอนผสู้ งู อายุและผดู้ แู ลผปู้ ่วยรวม 81 คน เกย่ี วกบั วธิ กี าร เกดิ ความรอบรดู้ า้ น (2002) คน้ หาขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพทถ่ี ูกตอ้ งโดยใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต สขุ ภาพระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ ซง่ึ เน้นใหเ้ กดิ การบรหิ าร การใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ อยา่ งไรใหป้ ลอดภยั การแลกเปลย่ี น จดั การตนเองดา้ นสขุ ภาพ ประสบการณ์เกย่ี วกบั การเลอื กรบั ขอ้ มลู ทางสขุ ภาพ ดว้ ยการแลกเปลย่ี น โดยมผี ใู้ หบ้ รกิ ารสขุ ภาพเป็นผแู้ นะนา ซง่ึ ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม ประสบการณ์ การ จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู สขุ ภาพจากสอ่ื ต่างๆ วา่ ถูกหรอื ผดิ พฒั นาการเขา้ ถงึ สอ่ื อยา่ งไร สขุ ภาพออนไลน์ และ เชอ่ื มนั่ ในตนเองมากขน้ึ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
172 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ผพู้ ฒั นา กิจกรรม ผลลพั ธ/์ ขอ้ ค้นพบจากงานวิจยั Campbell & สง่ เสรมิ ใหผ้ สู้ งู อายุ 42 คน ทจ่ี ะเรยี นรเู้ พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจในการใช้ Nolfi (2005) ปัญหาสขุ ภาพโดยฝึกการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื คน้ หาขอ้ มลู อนิ เทอรเ์ น็ตเพอ่ื คน้ หา ขอ้ มลู แต่การตดั สนิ ใจใน Hoffman- สขุ ภาพโดยทวั่ ไป มกี ารวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ขอ้ มลู สขุ ภาพ การดแู ลสขุ ภาพตนเอง Goetz et al. ทส่ี บื คน้ ไดใ้ นอนิ เทอรเ์ น็ต พรอ้ มประเมนิ ผลการดแู ลสขุ ภาพ ผปู้ ่วยยงั ยดึ ตดิ กบั (2006) ของตนเอง และสง่ เสรมิ ใหผ้ ปู้ ่วยมบี ทบาทในการจดั การ รปู แบบการการดแู ลทย่ี ดึ Chiarella & สขุ ภาพของตนเอง แพทยเ์ ป็นศนู ยก์ ลาง Keefe (2008) ทดลองในกลุม่ เดยี ว 44 คน ผใู้ หญ่ในแคนนาดาอายุ หลงั กจิ กรรม ผเู้ ขา้ รว่ ม Susic (2009) โปรแกรม สามารถคน้ 50-75 ปี ดว้ ยการฝึกการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทน่ี ่าเชอ่ื ถอื เกย่ี วกบั ขอ้ มลู ทน่ี ่าเชอ่ื ถอื ไดด้ ขี น้ึ Yoshida et al. มะเรง็ ผา่ นอนิ เทอรเ์ น็ต และทากจิ กรรมประชมุ ปฎบิ ตั กิ าร ความยากในการเขา้ ถงึ (2014) 2 ชวั่ โมง โดยประเมนิ จาก ประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั กบั ความรดู้ า้ น ขอ้ มลู ลดลง เขา้ ใจในการ สขุ ภาพ และทกั ษะความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ดแู ลสขุ ภาพตนเองมาก ขน้ึ จะสบื คน้ ขอ้ มลู ใน อนาคตมากขน้ึ กจิ กรรมมกี ารพฒั นาทกั ษะความรู้ ดา้ นสขุ ภาพ ซง่ึ กจิ กรรม โปรแกรมยงั คงอยใู่ น เน้นเป็นกจิ กรรมเชงิ รุกมากขน้ึ โดยมงุ่ ใหบ้ คุ คลมสี ว่ นรว่ มใน ขนั้ ตอนการพฒั นา โดย เป็นการพฒั นาใหเ้ กดิ บรหิ ารจดั การการดแู ลตนเอง โดยมกี จิ กรรมในชนั้ เรยี นฝึก ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ทกั ษะการใชเ้ วป็ ไซทท์ น่ี ่าเชอ่ื ถอื สอนในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ ซง่ึ เน้น ดา้ นสขุ ภาพดว้ ยการสอ่ื สารอนิ เทอรเ์ นต็ และทกั ษะทจ่ี าเป็น ใหเ้ กดิ การบรหิ ารจดั การ วดั ผลของการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพดว้ ย ตนเองดา้ นสขุ ภาพในเชงิ ความสามารถในการคน้ หาขอ้ มลู ดา้ นทกั ษะเกย่ี วกบั ความ รกุ โดยวดั ผลทก่ี ารมสี ว่ น รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ และความสามารถในการจาขอ้ มลู สขุ ภาพ รว่ มในโปรแกรม และ ความพงึ พอใจ ทดลองในผใู้ หญ่ 60 คน เพอ่ื สนบั สนุนการแสวงหาขอ้ มลู ใหก้ ารสนบั สนุนการ ดา้ นสขุ ภาพทม่ี คี ณุ ภาพบนอนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้ แสวงหาขอ้ มลู ดา้ น ผเู้ ขา้ ร่วมเกดิ ความรดู้ า้ นสขุ ภาพ และเขา้ ใจถงึ สขุ ภาพของ สขุ ภาพทม่ี คี ณุ ภาพบน ตนเอง ตลอดจนการตดั สนิ ใจในการดแู ลสขุ ภาพตนเอง รวม อนิ เทอรเ์ นต็ ผปู้ ่วยมี ไปถงึ การทดสอบ และประเมนิ ทกั ษะ ดา้ นการออกกาลงั ความเขา้ ใจขอ้ มลู สขุ ภาพ กาย และการคน้ หาขอ้ มลู เกย่ี วกบั ภาวะสขุ ภาพทถ่ี กู ตอ้ ง และสามารถตดั สนิ ใจใน การดแู ลสขุ ภาพตนเองได้ ดขี น้ึ จากขอ้ มลู ทส่ี บื คน้ กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นสขุ ภาพประกอบดว้ ย การใหค้ วามรู้ กล่มุ ป่วยทเ่ี ขา้ ร่วม เร่อื งโรค วธิ กี ารดแู ลสขุ ภาพตนเอง และการเยย่ี มบา้ น กจิ กรรม มคี วามรอบรู้ เพอ่ื ใหค้ าแนะนาดา้ นสขุ ภาพทจ่ี าเป็นต่อผปู้ ่วย พบว่า ดา้ นสขุ ภาพทด่ี กี ว่ากลุม่ การเขา้ ร่วมกจิ กรรมดา้ นสขุ ภาพมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความ ป่วยทไ่ี มเ่ ขา้ รว่ มกจิ กรรม รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ การเรยี นรดู้ า้ นสขุ ภาพ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
173 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ จากตารางสรุปไดว้ ่า จากงานวจิ ยั ทจ่ี ดั กจิ กรรมและโปรแกรมเพ่อื การพฒั นาความรอบรดู้ ้าน สุขภาพทงั้ ในระดบั พน้ื ฐาน และระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ โดยโปรแกรมการพฒั นาความรอบรู้ดา้ นสุขภาพใน ระดบั พ้นื ฐาน มุ่งให้เกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจทางสุขภาพ ทกั ษะทางสุขภาพ ทงั้ น้ี กลวธิ ใี นการพฒั นา ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพนนั้ ส่วนใหญ่ใชว้ ธิ กี ารจดั กจิ กรรมโดยการใหส้ ุขศกึ ษา การใชส้ ่อื รปู แบบ ต่างๆ กจิ กรรมกลุ่มการใหค้ าปรกึ ษาทางโทรศพั ท์ การใชว้ ธิ กี ารจดั การตนเอง และการใชแ้ นวคดิ การ เรยี นรู้ โดยเป้าหมายทไ่ี ดจ้ ากการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพนนั้ กแ็ บ่งเป็น 1) ความรคู้ วามเขา้ ใจใน การดูแลตนเอง 2) พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง 3) การประเมนิ ด้วยภาวะสุขภาพ เช่น ระดบั ของความ วติ กกงั วล ผลตรวจทางห้องปฏบิ ตั กิ าร เป็นต้น โดยกจิ กรรมนัน้ จะเน้นท่กี ารพฒั นาสุขภาพดว้ ยการ เรยี นรูผ้ ่านเคร่อื งมอื ต่างๆ เช่น ส่อื ชนิดต่างๆ สถานการณ์ปัญหา การระดมความคิด และการให้ คาปรกึ ษา เป็นต้น สาหรบั การพฒั นาความรอบรทู้ างสขุ ภาพในระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ กจิ กรรมทเ่ี พมิ่ การมี ส่วนรว่ มในการจดั การสุขภาพ รวมไปถงึ การใชท้ กั ษะทางปัญญาและทกั ษะทางสงั คมในระดบั ท่สี งู ขน้ึ ได้แก่ วธิ กี ารค้นหาขอ้ มลู ด้านสุขภาพท่ถี ูกต้องในรปู แบบใหม่ๆ เช่น การพฒั นาการเขา้ ถึงส่อื สุขภาพออนไลน์ และพฒั นาทกั ษะการใช้ส่อื ออนไลน์ อย่างไรให้ปลอดภยั การแลกเปล่ยี น ประสบการณ์เก่ียวกับการเลือกรบั ข้อมูลทางสุขภาพ พฒั นาการบรหิ ารจดั การตนเองด้าน สุขภาพด้วยการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ พฒั นาให้ผู้ป่ วยมบี ทบาทในการจดั การสุขภาพของ ตนเอง ซง่ึ ขอ้ ค้นพบหน่ึงของการพฒั นาความรอบรูท้ างสุขภาพในระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์คอื ผูป้ ่ วยมกั ยดึ ตดิ กบั รปู แบบการการดแู ลทย่ี ดึ แพทยเ์ ป็นศนู ยก์ ลาง สรปุ ปัจจยั ท่ีมีต่อความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ นอกจากน้ี ในการจดั โปรแกรมเพ่อื พฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย ควรคานึงถึงความแตกต่างพ้นื ฐานของบุคคลร่วมด้วยเพ่อื ให้โปรแกรมมปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ข้นึ นักพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพได้ทาการวจิ ยั และคน้ พบปัจจยั เง่อื นไขท่มี ีความสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ สามารถสรปุ ไดด้ งั ตาราง 5-7 ตาราง 5-7 สรปุ งานวจิ ยั ทศ่ี กึ ษาปัจจยั เงอ่ื นไขทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ผศู้ กึ ษา/พฒั นา ปัจจยั เงอ่ื นไขสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ผลลพั ธ/์ ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั Manganello 1) ปัจจยั ดา้ นบุคคลไดแ้ ก่ อายุ เพศ เชอ้ื ชาติ ภาษา มกี ารพฒั นาความรอบรดู้ า้ น (2008) วฒั นธรรม ความสามารถ ในการเขา้ สงั คม ความสามารถในการเรยี นรู้ ความสามารถในการ สขุ ภาพครบทงั้ 4 ระดบั คอื ชว่ ยเหลอื ตนเอง ความสามารถในการใชส้ อ่ื และ 2) functional, interactive, critical ปัจจยั ดา้ นสงั คมไดแ้ ก่ อทิ ธพิ ลของครอบครวั และกลุ่ม และ media literacy การวเิ คราะห์ เพ่อื น ระบบการศกึ ษา ระบบสขุ ภาพ และสอ่ื สาธารณะ และประเมนิ สอ่ื การเฝ้าระวงั สอ่ื และเสนอจดั ทาหลกั สตู รสอน การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
174 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ผศู้ กึ ษา/พฒั นา ปัจจยั เงอ่ื นไขสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ผลลพั ธ/์ ขอ้ ค้นพบจากงานวิจยั Gazmararian & ระดบั การศกึ ษา ความสามารถในการใชภ้ าษา สถานะ ปัจจยั ชวี สงั คมสมั พนั ธก์ บั ระดบั Baker et al. (1999) ทางเศรษฐกจิ สงั คม การมอี ายมุ ากขน้ึ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ Nutbeam D., กระบวนการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ควรใช้ การดาเนนิ งานสขุ ศกึ ษาทาใหเ้ กดิ (2000) ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพเป็นตวั ชว้ี ดั การประเมนิ และใช้ การพฒั นาความรอบรดู้ า้ น อธบิ ายความเปลย่ี นแปลงของผลลพั ธท์ างสขุ ภาพท่ี สขุ ภาพโดยตรง เกดิ ขน้ึ จากการทางานสขุ ศกึ ษาและกจิ กรรมการสอ่ื สาร Lee, Lee, & เพศ - จากการศกึ ษากลมุ่ ตวั อยา่ งอายุ 18-92 ปี เพศหญงิ จะมคี วามเขา้ ใจดา้ นการ Kim (2015) จานวน 492-759 คน ใชแ้ บบสอบถามมปี ระเดน็ คาถาม กรอกแบบฟอร์มทางการแพทย์ 3 ดา้ นคอื 1) ความเขา้ ใจการกรอกแบบฟอรม์ ทางการ สามารถเข้าใจวิธีการใช้ยา และ แพทย์ 2) ความเขา้ ใจในวธิ กี ารใชย้ า และ 3) ความ เขา้ ใจขอ้ มูลภาษาทางการแพทย์ เขา้ ใจขอ้ มลู ทางการแพทยท์ ผ่ี เู้ ชย่ี วชาญดา้ นสขุ ท่ีผู้เช่ีย ว ช า ญ เขีย น ไ ด้ม า ก ก ว่ า ภาพเขยี นไว้ พบว่า เพศหญงิ มคี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ เพศชาย สงู กว่าเพศชายทงั้ 3 ดา้ น Baker, อายุ - จากการศกึ ษาประชากรผสู้ งู อายุพบวา่ ผทู้ ม่ี อี ายุ ผู้มีอายุมากจะมคี วามรอบรู้ด้าน Gazmararian, เพม่ิ ขน้ึ 1 ปี คะแนนความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพลดลง 1.4 สขุ ภาพ ต่ากว่าผมู้ อี ายนุ ้อยกวา่ Sudano, & คะแนน และเม่อื ควบคมุ ปัจจยั เพศ เชอ้ื ชาติ และ Patterson การศกึ ษา พบว่า อายทุ เ่ี พมิ่ ขน้ึ 1 ปี คะแนนความรอบ (2000) รดู้ า้ นสขุ ภาพลดลง 1.3 คะแนน Aranha, อายุ - จากการศกึ ษาผสู้ งู อายทุ เ่ี สย่ี งต่อโรคหลอดเลอื ด ในกลุ่มผสู้ งู อายุ ทม่ี รี ะดบั Patal, สมอง ในสหรฐั อเมรกิ า 150 คน ในกลุ่มทม่ี รี ะดบั ปรญิ ญา การศกึ ษาปรญิ ญาตรขี น้ึ ไป Panaich, & ตรขี น้ึ ไป กบั กลุ่มทม่ี กี ารศกึ ษาต่ากวา่ มธั ยมศกึ ษาพบวา่ ผมู้ อี ายุน้อยกวา่ จะมคี วามรอบรู้ Cardozo ผมู้ อี ายุ 75 ปีขน้ึ ไป มคี ะแนนความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพและ ดา้ นสขุ ภาพต่ากว่าผมู้ อี ายุ (2015) ความรเู้ ร่อื งโภชนาการสงู กวา่ ผมู้ อี ายนุ ้อยกว่า 75 ปี มากกว่า Christian et ระดบั การศกึ ษา-ปัจจยั เสย่ี งของความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ผทู้ ม่ี รี ะดบั การศกึ ษาสงู กวา่ จะมี al. (2007) ขน้ึ อย่กู บั ระดบั การศกึ ษา ผทู้ ม่ี กี ารศกึ ษาต่าจะมคี วาม ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพสงู กวา่ ผทู้ ่ี รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพน้อยกวา่ ผทู้ ม่ี กี ารศกึ ษาสงู ถงึ 2.84 มรี ะดบั การศกึ ษาต่ากวา่ เพราะ เท่า และผทู้ ไ่ี ม่มกี ารศกึ ษาจะมคี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ สามารถอ่านออกเขยี นไดด้ กี ว่า ต่ากวา่ ผทู้ ม่ี กี ารศกึ ษาสงู ถงึ 7.46 เทา่ Halverson et รายได-้ ศกึ ษากลุ่มป่วยโรคมะเรง็ พบวา่ รายไดท้ เ่ี พมิ่ ขน้ึ มี ผทู้ ร่ี ายไดส้ งู มคี วามรอบรดู้ า้ น al. (2013) ความสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ผทู้ ม่ี ี สขุ ภาพสงู กวา่ ผทู้ ม่ี รี ายไดต้ ่า รายไดส้ งู กวา่ 100,000 เหรยี ญดอลลารต์ ่อปี จะมคี วามรอบ เน่อื งดว้ ยผทู้ ม่ี รี ายไดส้ งู มที ุน รดู้ า้ นสขุ ภาพสงู กวา่ ผทู้ ม่ี รี ายได้ 15,000 - 29,999 เหรยี ญ ทรพั ยเ์ พยี งพอในการตดั สนิ ใจ ต่อปี ถงึ 2.11 เทา่ และมคี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพสงู กวา่ ผู้ เลอื กวธิ กี ารรกั ษาสขุ ภาพท่ี ทม่ี รี ายไดต้ ่ากว่า 15,000 เหรยี ญดอลลารต์ ่อปีถงึ 2.24 เท่า เหมาะสมกบั ตนเองได้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
175 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ ผศู้ ึกษา/พฒั นา ปัจจยั เงอ่ื นไขสมั พนั ธก์ บั ความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ ผลลพั ธ/์ ขอ้ ค้นพบจากงานวิจยั Gwynn et al. เชอ้ื ชาติ – ศกึ ษาตวั แปรคนั่ กลางในการวเิ คราะห์ ในการพฒั นาควารอบรดู้ า้ น (2016) เสน้ ทางอทิ ธพิ ลทม่ี ตี ่อความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของ สขุ ภาพตอ้ งคานงึ ถงึ เชอ้ื ชาติ ผสู้ งู อายเุ ชอ้ื ชาตแิ อฟรกิ นั อเมรกิ นั ในสงั คมเมอื ง สรุป ไดว้ ่า เชอ้ื ชาตทิ แ่ี ตกต่างกนั ในกลมุ่ ผปู้ ่วยเป็นตวั แปร คนั่ กลางทส่ี าคญั Reading et al. ความตระหนกั ดา้ นสขุ ภาพ – ศกึ ษาในกลมุ่ ทม่ี อี ายุ 65 มคี วามสมั พนั ธร์ ะหว่างความรอบ (2017) ปีขน้ึ ไป จานวน 12,517 คน โดยศกึ ษาในกล่มุ ทเ่ี ขา้ รบั รดู้ า้ นสขุ ภาพกบั ความตระหนกั การรกั ษาภาวะการเตน้ ของหวั ใจผดิ ปกตแิ ละมกี ารตดิ ตาม ดา้ นสขุ ภาพ พบวา่ ผทู้ ม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพสงู จะมคี วามตระหนกั ทางดา้ นสขุ ภาพโดยสนใจศกึ ษาหาขอ้ มลู และสอบถาม ผเู้ ชย่ี วชาญเพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจปัญหาสุขภาพของตนเอง ในขณะ ท่ี ผทู้ ม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพต่าไมม่ คี วามตระหนกั เกย่ี วกบั ปัญหาสขุ ภาพของตนเอง Jordan et al. ระบบชมุ ชน ครอบครวั และเพ่อื น- ศกึ ษาในกลมุ่ อายุ ระบบชมุ ชน ครอบครวั และเพ่อื น (2010) 18 ปีขน้ึ ไปรวมจานวน 48 คน โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ สง่ ผลต่อความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ดว้ ยการเผชญิ หน้าและโทรศพั ทพ์ บวา่ ครอบครวั และ เพ่อื นช่วยชแ้ี นะแหล่งขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพทค่ี วรคน้ หา เพ่อื การดแู ลสขุ ภาพ ซง่ึ ทาใหผ้ ปู้ ่วยมคี วามรอบรดู้ า้ น สขุ ภาพเพม่ิ ขน้ึ สรุปได้ว่า จากการศกึ ษาปัจจยั บุคคลท่มี ผี ลต่อประสทิ ธภิ าพของโปรแกรมการพฒั นา ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ขน้ึ อย่กู บั ปัจจยั ส่วนบุคคลไดแ้ ก่ อายุ เพศ ระดบั การศกึ ษา รายได้ เชอ้ื ชาติ ภาษา วฒั นธรรม ความตระหนักในดา้ นสุขภาพและความสามารถส่วนบุคคล ส่วนปัจจยั ด้านสงั คม ได้แก่ การสนับสนุนทางสงั คมด้านการให้ข้อมูลข่าวสาร การให้กาลงั ใจและการ สนับสนุนแหล่งขอ้ มลู และการส่อื สารสุขภาพจากเพ่อื น ครอบครวั และชุมชนท่บี ุคคลอาศยั อยู่ ดงั นนั้ นอกจากการออกแบบโปรแกรมการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพบนฐานแนวคดิ ทฤษฎี ด้านสุขภาพและจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ และงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องแล้ว ควรคานึงถงึ เง่อื นไขปัจจยั ขอ้ มูลส่วนบุคคลทม่ี ผี ลต่อความสามารถในการเรยี นรใู้ หเ้ ขา้ ใจไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ การพฒั นาเปล่ยี นแปลงระดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมท่พี งึ ประสงค์เพม่ิ ขน้ึ ดงั ตวั อยา่ งผลงานวจิ ยั โปรแกรมการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพดงั ท่ไี ดก้ ล่าวไวข้ า้ งตน้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
176 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _เอ__ก_ส_า_ร_อ__้า_ง_อ_ิง_________________________________________________________ อารยา เชยี งของ และองั ศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง (2560). ความรอบรทู้ างสขุ ภาพในผปู้ ่วย เบาหวานวยั ผใู้ หญ่: มุมมองของการใหค้ วามหมายต่อการจดั การตนเองและพฤตกิ รรม สุขภาพ. วารสารเก้อื การณุ , 24(2). พงศร์ ชั ตธ์ วชั ววิ งั สู อาชญั ญา รตั นอุบล และพรรณี บุญประกอบ (2556). การพฒั นารปู แบบ การเรยี นรเู้ พอ่ื การเปลย่ี นแปลงภายในตนเองสาหรบั การบาบดั รกั ษาผตู้ ดิ สุรา. วารสาร วจิ ยั มสด สาขามนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร,์ 9(2), 217-232. Anderson LW & Krathwohl DA. (2001). A taxonomy for learning, teaching and assessing: A revision of Bloom's Taxonomy of educational objectives. New York: Longman. Aranha A, Patal P, Panaich S, & Cardozo L. (2015). Health literacy and cardiovascular disease risk factors among the elderly: A study from a patient-centered medical home. Am J Manag Care, 21 (2), 140-145. Baker DW, Gazmararian JA., Sudano J, & Patterson M. (2000). The association between age and health literacy among elderly persons. Journal of Gerontology: Social Sciences, 55B (6), S368-S274. Bandura A. (1986) Social foundations of thought & action: A social cognitive theory. Upper Saddle River, NJ: Prentice Hall. Begoray DL, Marshall EA, Shone PL, & Rowlands (2012). Health literacy and lifelong learning. Health literacy in context: International perspectives, Public health in 21st century. Begoray DL et al., editors. New York: Nova Science Publishers.Inc. Bloom BS. (1956). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. New York: Longmans, Green. Broering N, Chauncey G, & Gomes S. (2009). Outreach to public libraries: senior centers, and clinics to improve patient and consumer health care: an update. J Consum Health Internet, 10, 1-19. Bryant MD, Schoenberg ED, Johnson TV, Goodman M, Owen-Smith A., & Master VA. (2009). Multimedia version of a standard medical questionnaire improves patient understanding across all literacy levels. Journal of Urology, 182(3), 1120–1125. Campbell R & Nolfi A. (2005). Teaching elderly adults to use the Internet to access health care information: Before-after study. J Med Internet Res, 7, e19. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
177 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ Chiarella D & Keefe L. (2008). Creating a consumer health outreach program for western New York senior citizens: continuing a library school project. Med Ref Ser Q, 27, 220-7. Christian VW, Katherine K, Andrew S, & Jane W. (2007). Functional health literacy and health-promoting behaviour in a national sample of British adults. J Epidemiol Community Health, 61, 1086-1090. Freedman MA, Echt VK, Miner RK, Parker R, & Cooper LFH. (2013). Health education is health literacy: Maximizing the impact of health education interventions by focusing on how individuals aquire skills for behavior change. Health literacy developments, issues and outcomes, Public health in 21st century. Moore Robert & Perry Derect, editors. New York: Nova Science Publishers.Inc. Gazmararian JA, Baker DW, Williams MV, Parker RM, Scott TL, Green DC, Fehrenbach SN, Ren J, & Koplan JP. (1999). Health literacy among medicare enrollees in a managed care organization. JAMA, 281(6), 545-51. Gross V, Famiglio L, & Babish J. (2007). Senior citizen access to trusted stroke information: a blended approach. J Consum Health Internet, 11, 1-11. Gwynn KB, Winter MR, Cabral HJ. et al. (2016). Racial disparities in patient activation: Evaluating the mediating role of health literacy with path analyses. Patient Education and Counseling, 99(6), 1033–1037. doi: http://dx.doi.org/10.1016/j.pec.2015.12.020. Halverson J, Martinez-Donate A, Trentham-Dietz A, Walsh MC, Strickland JS, Palta M, & Cleary J. (2013). Health literacy and urbanicity among cancer patients. J Rural Health, 29(4), 392-402. doi:10.1111/jrh.12018. Hoffman-Goetz L, Friedman D, Celestine A. (2006). Evaluation of a public library workshop: Teaching older adults how to search the Internet for reliable cancer information. J Consum Health Interne, 10, 29-43. Jordan JE, Buchbinder R, & Osborne RH. (2010). Conceptualising health literacy from the patient perspective. Journal of Patient Education and Counseling, 79, 36-42. Knowles MS. (1980). The modern practice of adult education: From pedagogy to andragogy. New York: Cambridge, The Adult Education Company. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
178 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ Kripalani S, Robertson R, Love-Ghaffari MH, Henderson LE, Praska J, Strawder A, et al. (2007). Development of an illustrated medication schedule as a lowliteracy patient education tool. Patient Education and Counseling, 66(3), 368-377. Lee HY, Lee J, & Kim NK. (2015). Gender differences in health literacy among Korean adults: Do women have a higher level of health literacy than men?. American journal of Men's Health, 9(5), 370-379. doi: 10.1177/1557988314545485. Leroy G & Miller T. (2010). Perils of providing visual health information overviews for consumers with low health literacy or high stress. Journal of the American Medical Informatics Association, 17(2), 220–223. Manafo E & Wong S. (2012). Health literacy programs for older adults: A systematic literature review. Health Educ Res, 27(6), 947-960. doi: https://doi.org/10.1093/her/cys067. Manganello JA. (2008). Health literacy and adolescents: A framework and agemda for future research. Health Education Research, 23(5), 840-847. doi: 10.1093/her/cym069. Mezirow J. (1997). Transformative learning: Theory to practice. In P. Cranton (Ed.), Transformative learning in action: Insights from practice – New directions for adult and continuing education, No.74 p 5-12. San Francisco: Jossey-Bass. Mezirow J. (2000). Learning as transformation: Critical perspectives on a theory in progress. SanFrancisco: Jossey-Bass. Murphy PW, Davis TC, Mayeaux EJ, Sentell T, Arnold C, & Rebouche C. (1996). Teaching nutrition education in adult learning centers: linking literacy, health care, and the community. Journal of Community Health Nursing, 13(3), 149-58. Nielsen-Bohlman L, Panzer MA, & Kindig DA. (2004). Health literacy: A prescription to end confusion. Washington, D.C.: Committee on Health Literacy Board on Neuroscience and Behavioral Health, Istitute of Medivine of the National Academies. Nitri D & Stewart M. (2009). Transformative learning intervention: effect on functional health literacy and diabetes knowledge in older African adults. Gerontil Geriatr Educ, 30, 100-13. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
179 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ Nutbeam D. (2000). Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health Promot Int, 15(3), 259-267. doi: 10.1093/heapro/15.3.259. Parker RM, Baker DW, Williams MV, & Nurss JR. (1995). The test of functional health literacy in adults: a new instrument for measuring patients' literacy skills. J Gen Intern Med, 10(10), 537-41. doi: 10.1007/BF02640361. Reading SR, Go AS, Fang MC, Singer DE, Liu IA, Black MH, & Reynolds K. (2017). Health Literacy and Awareness of Atrial Fibrillation. Journal of the American Heart Association, 6, 1-9. doi: 10.1161/JAHA.116.005128. Ross W, Culbert A, Gasper C, & Kimmey J. (2010). A Theory-Based Approach to Improving Health Literacy. Retrieved on Feb 24, 2017 from file:///C:/Users/asus/Downloads/A_Theory- Based_Approach_to_Improving_Health_Litera.pdf. Rothman R, Malone R, Bryant B, Horlen C, DeWalt D, Pignone M. (2004). The relationship between literacy and glycemic control in a diabetes disease- management program. Diabetes Educ, 30(2), 263-73. Schwartz D, Msher E, Wilson S, et al. (2002). Seniors connect: a partnership for training between health care and public libraries, Medical Reference Services Quarterly, 2, 1-19. Sørensen K, Broucke S, Fullam J, Doyle G, Jürgen P, Slonska Z, & Helmut B.(2012). Health literacy and public health: A systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health, 12, 80. doi: 10.1186/1471-2458-12-80. Sheridan SL, Halpern JD, Viera JA, Berkman DN, Donahue EK, & Crotty K. (2011). Interventions for Individuals with Low Health Literacy: A systematic review. Journal of Health Communication, 16, sup3, 30-54, doi: 10.1080/10810730.2011.604391. Susic J. (2009). NIH Senior Health classes for senior citizens at a public library in Louisiana. J Consum Health Interne, 13, 417-19. Toci E, Burazeri G, Sorensen K, Jerliu N, Ramadani N, Roshi E, & Brand H. (2013). Health literacy and socioeconomic characteristics among older people in transitional kosovo. British Journal of Medicine & Medical Research, 3(4), 1646-1658. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
180 บทท่ี 5 โปรแกรมเพอ่ื พฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ _____________________________________________________________________ Valle R, Yamanda A, & Matiella A. (2006). Fotonovelas: a health literacy tool for educating Latino older adults about dementia. Clin Gerontol, 2006, 30, 71-88. Volandes AE, Paasche-Orlow MK., Barry MJ, Gillick MR, Minaker KL, Chang Y, et al. (2009). Video decision support tool for advance care planning in dementia: Randomised controlled trial. British Medical Journal, 338, b2159. Williams MV, Parker RM, Barker DW, Parikh NS, Pitkin K, Coates WC, & Nurss JR. (1995). Inadequate functional health literacy among patients at two public hospitals. Journal of the American Medical Association, 274(21), 1677-1682. Wilson EAH, Park DC, Curtis LM, Cameron KA, Clayman ML, Makoul G, et al. (2010). Media and memory: The efficacy of video and print materials for promoting patient education about asthma. Patient Education and Counseling, 80(3), 393–398. Wolf MS, Davis TC, Curtis LM, Webb JA, Bailey SC, Shrank WH, et al. (2011). Effect of standardized, patient-centered label instructions to improve comprehension of prescription drug use. Medical Care, 49(1), 96–100. Wydra EW. (2001). The effectiveness of a self-care management interactive multimedia module. Oncology Nursing Forum, 28(9), 1399–1407. Yoshida Y, Iwasa H, Kumagai S, Suzuki T, & Yoshida H. (2014). Limited functional health literacy, health information sources, and health behavior among community-dwelling older adults in Japan. ISRN Geriatrics, Vol. 2014, 1-6. http://dx.doi.org/10.1155/2014/952908. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
181 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ บทที่ 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพ จากผลการศกึ ษาของนกั วชิ าการในต่างประทศทน่ี าเสนอในบทผ่านมาพบว่า มปี ัจจยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพโดยแบง่ ปัจจยั ไดเ้ ป็น 3 ระดบั คอื ปัจจยั ระดบั บุคคล ระดบั ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างบุคคล และระดบั สงั คม ตามทป่ี รากฎในการนาเสนอแนวคดิ ความรอบรดู้ า้ น สุขภาพในหลายโมเดลไว้ในบทท่ี 1 เช่น 1) โมเดลเชงิ เหตุผลเพ่ือการวเิ คราะห์การศึกษา ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( A Logic model for analyzing studies of health literacy) โดย Berkman et al. (2011) เป็นโมเดลท่ไี ด้มาจากการสงั เคราะห์และบูรณาการจากหลายทฤษฎี ขององค์กรเพ่อื คุณภาพและการวจิ ยั การดูแลสุขภาพในประเทศสหรฐั อเมรกิ า และเป็นโมเดล เสน้ ทางอทิ ธพิ ลเชงิ สาเหตุ (Causal pathway model) ของความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพทม่ี ตี ่อผลลพั ธ์ ทางสขุ ภาพหลายระยะ เช่น การเกดิ โรคและความรนุ แรงของโรค คุณภาพชวี ติ มสี าเหตุมาจาก การใช้บรกิ ารสุขภาพ พฤตกิ รรมสุขภาพ เจตนาในการกระทาพฤติกรรมสุขภาพ รวมไปถึง ทกั ษะการกากบั ตนเอง เจตคติ บรรทดั ฐานทางสงั คม การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง เป็นตน้ 2) โมเดลบูรณาการของความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Integrated model of health literacy ของ Sørensen et al. (2012) ทไ่ี ดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรมอยา่ งมรี ะบบในนิยามและโมเดลความ รอบรู้ด้านสุขภาพท่ผี ่านมา (Systematic review and integration of definitions and models) 3) โมเดลความรอบรู้ด้านสุขภาพในบทบาทของผลลพั ธ์จากการส่งเสริมสุขภาพ (Health Literacy as an outcome of health promotion: An outcome model for health promotion) ของ Nutbeam (2000) ท่เี สนอผลลพั ธ์ในระยะกลางคอื ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ส่งผลต่อการ ดารงอย่อู ย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี (Healthy lifestyles) ทว่ี ดั ได้จาก พฤตกิ รรมสุขภาพคอื ออกกาลงั กาย อาหาร อารมณ์ สูบบุหร่ี ด่มื สุราและใช้สารเสพติด นอกจากน้ี Lee, Arozullahb, & Cho (2004) ยงั ไดเ้ สนอแนวคดิ วา่ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพมคี วามเชอ่ื มโยงกบั สภาวะทางสขุ ภาพและ การใชป้ ระโยชน์จากบรกิ ารสขุ ภาพ โดยมี 4 ปัจจยั ขนั้ กลางทเ่ี กย่ี วขอ้ งไดแ้ ก่ 1) ความรเู้ รอ่ื งโรค และการดูแลตนเอง 2) พฤตกิ รรมเส่ยี งทางสุขภาพ 3) การดูแลป้องกนั ตนเองและการตรวจ สุขภาพเป็นประจา และ 4) การปฏบิ ตั ติ ามการรกั ษา รวมไปถงึ แนวคดิ ของ Chin et al. (2011) และ Kickbusch (2006) ท่กี ล่าวว่า ความรอบรดู้ ้านสุขภาพเป็นการกระทาทเ่ี ป็นพลวตั รต้องมี พลงั จงู ใจตนเอง และเป็นทกั ษะชวี ติ ทส่ี าคญั ในการเขา้ ส่สู งั คมสมยั ใหมไ่ ด้ ซง่ึ ช่วยใหม้ ที างเลอื ก ในชวี ติ ประจาวนั และมอี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมสุขภาพ และความสุขใจ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
182 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ จากโมเดลดงั กล่าวซง่ึ แสดงถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจจยั เชงิ เหตุทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความ รอบรดู้ า้ นสุขภาพและจากการทบทวนวรรณกรรมทผ่ี ่านมาสามารถสรุปไดเ้ ป็น 3 กลุ่มปัจจยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ กล่มุ ปัจจยั ความสาเรจ็ ที่มีต่อความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ เป็นเง่อื นไขท่นี ักพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพควรให้ความสาคญั ในการนามาศกึ ษา หรอื ใหก้ ารพฒั นาปัจจยั เหล่าน้ีรว่ มดว้ ยไปกบั การพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเพ่อื ใหเ้ กิดผล ลพั ทธท์ ด่ี ตี ่อไป ไดแ้ ก่ 1. ปัจจยั ระดบั บุคคล ไดแ้ ก่ 1) ความรู้ ประกอบด้วย การรหู้ นังสอื ทวั่ ไป (General literacy) เชน่ การอ่าน ตวั เลข ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การรหู้ นงั สอื ในเรอ่ื งอ่นื ๆ เช่น วทิ ยาศาสตร์ คอมพวิ เตอร์ วฒั นธรรม ส่อื สทิ ธิ และ ความรเู้ กย่ี วกบั โรคและการดแู ลตนเอง เป็น ต้น 2) คุณลกั ษณะส่วนบุคคล เช่น การศกึ ษา เพศ อายุ อาชพี รายได้ วฒั นธรรม ภาษา ปัจจยั ทางกาย เป็นตน้ 3) ความเช่อื และเจตคติ (Beliefs & attitude) 4) พฤตกิ รรมเสย่ี งทางสุขภาพ (Health risk behavior) 5) ทกั ษะและความสามารถสว่ นบุคคล ไดแ้ ก่ ทกั ษะในการเจรจาต่อรอง (Skills in negotiation) ทกั ษะในการจดั การตนเอง (Skills in self-management) ความสามารถ ในการประเมนิ ส่อื ทางสุขภาพ ความสามารถในการตดั สนิ ใจเลอื กปฏบิ ตั ิ ความสามารถในการ สบื คน้ ขอ้ มลู สุขภาพ 6) พฤตกิ รรมสุขภาพ ประกอบดว้ ย การปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ แพทย์ การตรวจ สุขภาพเป็นประจา ความร่วมมอื ในการใชย้ าตามคาสงั่ แพทย์ (Compliance with medications) การเปล่ียนแปลงรูปแบบการบริโภค(Changed patterns of consumption) การปรบั เปล่ียน พฤตกิ รรมสุขภาพ (Changed health behaviors and practices) การดูแลสุขภาพตนเอง (Self- care) 7) รปู แบบการใช้ชวี ติ (Life style) 8) การจดั การสุขภาพและความเจบ็ ป่วย (Manage of health & illness) 9) ระดบั ความเครยี ด (Stress level) 10) สถานะทางสุขภาพ (Health status) 11) คุณภาพชีวติ (Quality of life) และ 12) การปรบั ปรุงโอกาส ทางเลอื กด้านสุขภาพและ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพ (Improved health outcomes, healthy choices and opportunities) 2. ปัจจยั ระดบั ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคล ไดแ้ ก่ ทกั ษะส่วนบุคคล ประกอบดว้ ย 1) ทักษะทางปัญญา (Cognitive skills) ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์และใช้ ความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะการส่อื สารและทกั ษะการมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ ่นื ทกั ษะทางสงั คมและ ทักษะการพิทักษ์สิทธิตนเอง (Self-advocacy) 2) ส่ิงแวดล้อม (Environment) และ 3) ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผปู้ ่วยและผใู้ หบ้ รกิ าร (Patient provider interaction) 3. ปัจจยั ระดบั สงั คม ไดแ้ ก่ 1) การจดั ระเบยี บชมุ ชน (Community organizing) ไดแ้ ก่ การวางแผน, การกาหนดเป้าหมาย จดั ลาดบั ความสาคญั 2) ความเท่าเทยี มทางสงั คมด้าน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
183 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ สุขภาพ และโครงสรา้ งทางการเมอื ง 3) การกระทาทางสงั คมเพ่อื การมสี ่วนร่วมในหนทางแห่ง ประชาธปิ ไตยดา้ นสุขภาพ (Social action for health democratic participation) 3) การพฒั นา ประกอบไปด้วย การพฒั นาความรู้ (Developed knowledge) การพฒั นาชุมชน (Community development) โดยใหช้ ุมชนสามารถดแู ลตนเอง การพฒั นาศกั ยภาพ (Capacity development) การจดั โปรแกรมให้สุขศึกษาและการอบรม การพฒั นาองค์กร (Organization development) การจัดท่ีอยู่อาศัยสถานท่ีทางาน จัดสิ่งแวดล้อมให้ดีข้ึน การพัฒนานโยบาย ( Policy development) การใช้กฎหมาย นโยบาย มขี อ้ บงั คบั ใหเ้ กดิ การบงั คบั ใช้ 4) การเขา้ ถงึ และใช้ บรกิ ารทางสุขภาพ (Access and used health care) ท่รี วมถงึ การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู สุขภาพ เขา้ ถงึ การรกั ษาและการดูแลสุขภาพ 5) การมสี ่วนร่วมในการเปล่ยี นแปลงบรรทดั ฐานของสงั คมและ การปฏบิ ตั ิ (Participation in changing social norms and practices) 6) การปรบั ปรุงโอกาส ทางเลอื กของสุขภาพและ (Improved health outcomes, healthy choices and opportunities) 7) ความท่มุ เทในการดาเนนิ การทางสงั คมเพอ่ื สุขภาพ (Engagement in social action for health) และ 8) คา่ ใชจ้ า่ ยทางสขุ ภาพ (Health care cost) ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพของความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ นอกจากน้ีในหลายการศึกษาวจิ ยั ท่บี ่งชว้ี ่า ผลลพั ธ์ทางสุขภาพในระยะกลางท่สี าคญั ของความรอบรู้ด้านสุขภาพคอื ตวั แปร พฤตกิ รรมสุขภาพทพ่ี บว่า บุคคลท่มี คี วามรอบรู้ด้าน สุขภาพท่เี พยี งพอจะมพี ฤติกรรมสุขภาพท่เี หมาะสมในการส่งเสรมิ สุขภาพและควบคุมโรค ควบคุมระดบั ผลตรวจเลอื ดได้ เช่น HbA1c, LDL, HDL, Uric acid เป็นตน้ และมผี ลลพั ธส์ ุขภาพ ในระยะสุดทา้ ย เชน่ การเขา้ พกั ในโรงพยาบาลลดลง การสญู เสยี คา่ ใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาล ลดลง ความรนุ แรงของโรคและความตายก่อนวยั มปี รมิ าณลดลงกว่า บุคคลทม่ี คี วามรอบรดู้ า้ น สุขภาพต่า (Nutbeam, 2000; Baker et al., 2002; Schillinger et al., 2002; Institute of Medicine, 2004; Berkman et al., 2011; Sørensen et al., 2012 & Edwards et al., 2012) และยงั พบว่า มงี านวจิ ยั ทศ่ี กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างความรอบรดู้ ้านสุขภาพกบั การปรบั เปลย่ี นพฤติกรรม สุขภาพ ดงั เช่น Sharif & Blank (2010) ท่ศี ึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพมคี วามสัมพันธ์กับ ผลลพั ธส์ ุขภาพไดแ้ ก่ สภาวะสุขภาพโดยรวม พฤตกิ รรมการควบคุมโรคเบาหวาน การควบคุม การติดเช้อื เอชไอวี และผลลพั ธ์ในด้านการมารบั บรกิ ารสุขภาพได้แก่ การให้ภูมคิ ุ้มกนั โรค ไขห้ วดั ใหญ่ การตรวจคดั กรองโรคทางเพศสมั พนั ธ์ การเขา้ ถงึ โรงพยาบาล และค่าใชจ้ า่ ยด้าน สุขภาพ นอกจากน้ี ความรอบรูด้ ้านสุขภาพยงั มคี วามสมั พนั ธ์กบั พฤตกิ รรมสุขภาพท่สี าคญั ไดแ้ ก่ การใชย้ าเสพตดิ การสูบบุหร่ี การใหน้ มลูก การปฏบิ ตั ติ วั ตามคาแนะนาของแพทย์ และ รายงานวจิ ยั ยงั พบว่า ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ดชั นีมวลกาย (BMI) ของเดก็ ท่ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
184 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ มนี ้าหนกั เกนิ และสามารถทานายคา่ ดชั นีมวลกายไดร้ อ้ ยละ 38 ทงั้ น้ี ผลการศกึ ษาของ DeWalt et al. (2004) ยงั พบว่า บุคคลท่มี รี ะดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่าจะส่งผลต่อการใช้ข้อมูล ข่าวสารและการเขา้ รบั บรกิ ารสุขภาพ อาทิ ในเรอ่ื ง การดแู ลสุขภาพดว้ ยตนเองเพ่อื การควบคุม ป้องกนั โรค และผูม้ คี วามรอบรดู้ ้านสุขภาพต่ามกั พบว่า มแี นวโน้มท่จี ะประสบปัญหาสุขภาพ ตัง้ แต่อายุน้อยและมักจะมีสุขภาพท่ีไม่ดีกว่าหรือป่ วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลมากกว่า (NAAL, 2003) และมรี ายงานการศกึ ษาพบว่า ผู้มรี ะดบั ความรอบรูด้ ้าน สุขภาพต่ามคี วามเสย่ี งสูงทจ่ี ะเสยี ชวี ติ ดว้ ยโรคหวั ใจ โรคมะเรง็ (Baker et al., 2008) เน่ืองจาก การขาดความรแู้ ละทกั ษะในการป้องกนั และดูแลสุขภาพตนเอง ทงั้ น้ี หากประชากรส่วนใหญ่ ของประเทศ มรี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพต่า ย่อมจะส่งผลต่อพฤตกิ รรมสุขภาพในภาพรวม กล่าวคอื ประชาชนขาดความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเอง ก็จะส่งผลลพั ธ์สุดท้ายคอื จานวนผปู้ ่วยดว้ ยโรคเรอ้ื รงั จะเพมิ่ มากขน้ึ ทาใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยในการรกั ษาพยาบาลเพมิ่ สงู ขน้ึ ตอ้ ง พง่ึ พาบรกิ ารทางการแพทยแ์ ละยารกั ษาโรคทม่ี รี าคาแพง โรงพยาบาลและหน่วยบรกิ ารสุขภาพ จะตอ้ งมภี าระหนกั ในดา้ นการรกั ษาพยาบาล จนทาใหเ้ กดิ ขอ้ จากดั ในการทางานส่งเสรมิ สุขภาพ และไมอ่ าจสรา้ งความเทา่ เทยี มในการเขา้ ถงึ บรกิ ารไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ได้ (WHO, 2009) ดงั นัน้ เพ่อื ลดปัญหาและความรุนแรงในการเกดิ ผลลพั ธ์เชงิ ลบขนั้ สุดทา้ ยดงั กล่าวนัน้ สามารถกระทาได้ดว้ ยการพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพแลว้ ยงั ควรพฒั นาพฤตกิ รรมสุขภาพ และปัจจยั ด้านอ่นื ๆ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อผลลพั ธ์ทางสุขภาพไปพรอ้ มกนั ดงั การศกึ ษาเร่อื ง อทิ ธพิ ล ของจติ วทิ ยาเชงิ บวก และบรรทดั ฐานทางสงั คมวฒั นธรรมทม่ี ตี ่อพฤตกิ รรมสุขภาพทด่ี แี ละสุขภาวะ ครอบครวั โดยส่งผ่านความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของครอบครวั ในชุมชนกง่ึ เมอื ง : การวจิ ยั ผสานวธิ ขี อง อังศินันท์ อินทรกาแหงและฉัตรชยั เอกปัญญาสกุล (2560) ท่ที าการศึกษาในกลุ่มตวั อย่าง ระหว่างค่สู มรสเพศหญงิ กบั เพศชายในชุมชน โดยเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพดว้ ยการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ กับคู่สมรสทงั้ เพศชายและเพศหญิง เจ้าหน้าท่สี าธารณสุขระดบั ตาบล ผู้นาชุมชน และ อาสาสมคั รประจาหมบู่ า้ น (อสม.) รวม 10 คน และเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณกบั ของค่สู มรสในชุมชน กง่ึ เมอื งเพศหญงิ 200 คนกบั เพศชาย 213 คนรวม 413 คน ดว้ ยแบบวดั ทม่ี คี ่าความเช่อื มนั่ อยู่ ระหว่าง 0.722 – 0.924 ผลการสมั ภาษณ์ พบว่า การมสี ุขภาพดขี องคู่สมรสนัน้ มาจากการให้ ความสาคญั และใส่ใจสุขภาพโดยมกี ารสนทนาพูดคุยกบั เพ่อื นบ้าน แสวงหาความรจู้ ากหนังสอื และ สอบถามเจา้ หน้าท่สี าธารณสุข เม่อื มขี ้อสงสยั ด้านสุขภาพ รวมถึงการดารงอยู่ในวถิ ีชวี ติ ภายใต้ เงอ่ื นไขอยกู่ บั ธรรมชาตดิ งั่ เดมิ เชน่ การประกอบอาหารรบั ประทานเองจากวตั ถุดบิ ทม่ี อี ย่ใู นทอ้ งถนิ่ ท่ปี ลูกเอง เล้ยี งปลา เป็นต้น และมกี ารเคล่อื นไหวออกกาลงั กายเสมอ ส่วนผลการศกึ ษาในเชงิ ปรมิ าณ พบว่า 1) มคี วามสมั พนั ธ์เชงิ สาเหตุดา้ นจติ วทิ ยาเชงิ บวก และบรรทดั ฐานทางสงั คม วฒั นธรรมทม่ี ตี ่อสุขภาวะครอบครวั โดยส่งผ่านความรอบรดู้ ้านสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
185 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ของคู่สมรส มคี วามสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจกั ษ์ (2 = 95.23, df = 78, P-value = 0.089, 2/df = 1.22, RMSEA = 0.023, SRMR = 0.030, GFI = 0.96, CFI = 1.00, NFI = 0.99) โดย ปัจจยั ทงั้ หมดรว่ มกนั ทานายพฤตกิ รรมสุขภาพได้สงู รอ้ ยละ 72.0 และทานายสุขภาวะครอบครวั ไดร้ อ้ ยละ 51.0 และ 2) ปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลทางตรงต่อสุขภาวะครอบครวั มากทส่ี ุดคอื จติ วทิ ยา เชงิ บวก (ค่า β เท่ากบั 0.48, *P< 0.05) รองลงมาคอื พฤตกิ รรมสุขภาพ (ค่า β เท่ากบั 0.32, * P< 0.05) และ 3) ผลวเิ คราะหค์ วามไมแ่ ปรเปลย่ี นของรปู แบบความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุระหว่างกลุ่มค่สู มรส เพศหญงิ กบั คสู่ มรสเพศชายพบว่า ไมแ่ ตกต่างกนั แต่เมอ่ื เปรยี บเทยี บค่าเฉลย่ี ตวั แปรแฝง พบว่า มี ค่าเฉลย่ี แตกต่างกนั ระหว่างเพศคอื ตวั แปรพฤตกิ รรมสุขภาพ โดยเพศหญงิ มคี ่าเฉลย่ี ต่ากว่าเพศ ชาย ส่วนตวั แปรแฝงอ่นื นัน้ ไม่พบความแตกต่างกนั ระหว่างคู่สมรสเพศหญงิ และเพศชาย ดงั ผล การประมาณค่าความสมั พนั ธไ์ ด้แก่ ค่าอทิ ธพิ ลทางตรง อทิ ธพิ ลทางอ้อมและอทิ ธพิ ลรวม ใน รปู แบบความสมั พนั ธเ์ ชงิ สาเหตุของจติ วทิ ยาเชงิ บวกและบรรทดั ฐานทางสงั คมวฒั นธรรมทม่ี ตี ่อ สุขภาวะครอบครวั โดยส่งผ่านความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของคู่สมรสใน ชุมชนกง่ึ เมอื งดงั ภาพประกอบ 6-1 *P< 0.05 ภาพประกอบ 6-1 รูปแบบความสมั พนั ธ์เชงิ สาเหตุของจติ วทิ ยาเชงิ บวก และบรรทดั ฐานทาง สงั คมวฒั นธรรมท่มี ตี ่อสุขภาวะครอบครวั โดยส่งผ่านความรอบรู้ด้านสุขภาพและ พฤตกิ รรมสุขภาพของค่สู มรสในชุมชนก่งึ เมอื ง (องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และฉตั รชยั เอกปัญญาสกุล, 2560) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
186 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพ - ด้านการดาเนินชีวิตอยา่ งมีสขุ ภาวะที่ดี ความหมายและองคป์ ระกอบของสขุ ภาวะที่ดี (Healthy lifestyle) สุขภาวะมคี วามหมายครอบคลุมถงึ พฤตกิ รรมของบุคคลในการใช้ความสามารถด้าน การรหู้ นังสอื และทกั ษะทางสงั คม เพ่อื เพ่อื ส่งเสรมิ และรกั ษาสุขภาวะทด่ี ตี ลอดชวี ติ ” คาว่า “สุข ภาวะ” ไดม้ กี ารนามาใชใ้ นดา้ นสุขภาพและการบรหิ ารงานซง่ึ มกี ารใหค้ วามหมายต่างๆ Amara et al. (2010) ได้กล่าวว่า สุขภาวะ หมายถึง ความสมดุล เหมาะสมของทงั้ หมด หรอื การมี สุขภาพท่ดี ี ผู้ท่สี ุขภาพไม่ดหี รอื เจบ็ ป่ วยก็จะมกี ารเยยี วยารกั ษา โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื การ กลบั มามสี ุขภาวะอกี ครงั้ ทงั้ น้ี ประเวศ วะสี (2546) ได้กล่าวว่า สุขภาวะ เป็น ความเป็นหน่ึง เดยี วกนั และความสมดุลทเ่ี กดิ จากความถูกต้องทงั้ หมดของทงั้ ร่างกาย ทางจติ ทางสงั คม และ ทางจติ วญิ ญาณ และวพิ ธุ พลู เจรญิ (2544) กลา่ วว่า สขุ ภาวะ เป็นกระบวนการหรอื พฤตกิ รรมท่ี มงุ่ ไปส่คู ุณภาพชวี ติ ท่มี ดี ุลยภาพตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล ครอบคลุมถงึ การดาเนินชีวติ ท่ี ยนื ยาว โดยพจิ ารณาจากปัจจยั ทางร่างกาย จติ ใจ สงั คม จติ วญิ ญาณ มสี ุขภาวะมไิ ด้จากดั อยู่ เพยี งการไม่เจ็บป่ วยหรอื พิการเท่านัน้ ซ่ึง ปารชิ าต เทพอารกั ษ์ และ อมรวรรณ ทวิ ถนอม (2550) ไดน้ ิยาม สุขภาวะ หมายถงึ ภาวะทบ่ี ุคคลปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ มรี า่ งกายทแ่ี ขง็ แรง มี อายุยืนยาว มีจิตใจท่ีดีมีความเมตตา ยึดมนั่ ในคุณธรรม จริยธรรม ดาเนินชีวิตอย่างมี สตสิ มั ปชญั ญะ และใฝ่รู้ สามารถ \"คดิ เป็น ทาเป็น\" มเี หตุมผี ล อยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งเป็นสุข สว่ นคาวา่ “สุขภาวะทด่ี ”ี มผี ใู้ หค้ วามหมายไวด้ งั เช่น องคก์ ารอนามยั โลก (WHO, 1986) ได้ให้ความหมาย สุขภาวะทด่ี ี ว่าหมายถงึ ภาวะแห่งความสมบูรณ์ทงั้ ทางดา้ นร่างกาย จติ ใจ และสังคม มิได้เฉพาะเพียงแต่ความปราศจากโรคหรอื ความพิการทุพลภาพเท่านัน้ ส่วน Walker, Sechrist, & Pender (1987) ได้ให้ความหมาย สุขภาวะท่ดี ี ว่าหมายถึง การปฏิบตั ิ เฉพาะบุคคลท่ีส่งเสริมสุขภาพจนเกิดเป็ นสุขนิสัย โดยได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว สงิ่ แวดลอ้ ม และชุมชนทอ่ี าศยั อยู่ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) โภชนาการ (Nutrition) 2) การมกี จิ กรรมทางกาย (Physical activity) 3) การจดั การความเครยี ด (Stress management) 4) ความรบั ผิดชอบต่อสุขภาพ (Health responsibility) 5) การมีสัมพนั ธภาพกับบุคคลอ่ืน (Relationships with others) และ 6) การบรรลุศกั ยภาพแหง่ ตน (Self-actualization) ในมมุ องของการดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี มผี ใู้ หค้ วามหมายไว้ เช่น Gillis (1997) ให้ความหมายของการดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี ว่าหมายถงึ การกระทาท่เี ป็นกิจวตั รใน ชวี ติ ประจาวนั ท่แี สดงถงึ การป้องกนั การเจบ็ ป่ วยและส่งเสรมิ สุขภาพ เพ่อื คงไวซ้ ่งึ สุขภาวะทด่ี ี ไดแ้ ก่ 1) โภชนาการ (Nutrition) 2) การทากจิ กรรมทางกาย (Physical participation) 3) ความ ปลอดภัย (Safety) 4) การตระหนักรู้ทางด้านสุขภาพ (Health awareness) 5) การจดั การ ความเครยี ด (Stress management) และ 6) การสนับสนุนทางสงั คม (Social support) และ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
187 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ Hacihasanoglu & Gozum (2011) ใหค้ วามหมาย การดาเนนิ ชวี ติ อยา่ งมสี ุขภาวะทด่ี ี ว่าหมายถงึ การแสดงออกและการปฏบิ ตั ใิ น 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) โภชนาการ (Nutrition) 2) การออกกาลงั กาย (Exercise) 3) ความรบั ผดิ ชอบต่อสุขภาพ (Health responsibility) 4) การจดั การความเครยี ด (Stress management) 5) การช่วยเหลอื พ่ึงพาระหว่างกัน (Interpersonal support) และ 6) การตระหนกั รใู้ นตน (Self-realization) และ Foroushani et al. (2014) ใหค้ วามหมายทค่ี ลา้ ยกนั และวดั จาก 6 ด้านเช่นกนั ได้แก่ 1) การปฏบิ ตั ดิ ้านโภชนาการ (Nutrition practices) 2) การ ออกกาลงั กาย (Exercise) 3) ความรบั ผดิ ชอบต่อสุขภาพ (Health responsibility) 4) การจดั การ ความเครียด (Stress management) 5) การช่วยเหลือพ่ึงพาระหว่างกัน (Interpersonal support) และ 6) การพฒั นาทางดา้ นจติ วญิ ญาณ (Spiritual growth) สาหรบั ประเทศไทย สสส. (2551) ไดเ้ สนอว่า การดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะท่ดี ี ตาม ยุทธ์ศาสตร์เมอื งไทยแขง็ แรงใน 6 ด้านของกระทรวงสาธารณสุข ท่เี รยี กว่า 6 อ. ได้แก่ 1) อาหาร (Diet) 2) อารมณ์ (Emotion) 3)ออกกาลังกาย (Exercise) 4) อโรคยา (Disease Reduction) 5) อนามยั สิ่งแวดล้อม (Environment Health) และ 6) อบายมุข (Temptation) Rattanapun et al. (2009) ให้ความหมาย การดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะท่ดี ี ว่าหมายถงึ การ ปฏบิ ตั กิ จิ วตั รประจาวนั เพ่อื ใหม้ สี ุขภาพท่ดี ี พง่ึ พาตนเองได้ มคี วามพอดใี นการดาเนินชวี ติ อนั ประกอบดว้ ย 1) การหลกี เลย่ี งการเจบ็ ป่วยและความพกิ าร (Avoiding disease and disability) 2) การมสี มรรถนะท่ีดีทงั้ ทางด้านจิตใจและด้านร่างกาย (Maintaining high cognitive and physical function) และ 3) การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมท่มี คี ุณค่า (Active engagement with life) และ Thanakwang; Isaramalai; & Hatthakit (2014) ใหค้ วามหมาย การดาเนินชวี ติ อยา่ งมสี ุขภาวะท่ี ดี ว่าหมายถึง การกระทาในการพัฒนาและรักษาไว้ซ่ึงความเป็ นอยู่ท่ีดีของผู้สูงอายุ ประกอบดว้ ย 1) การอย่อู ยา่ งพง่ึ พาตนเองได้ (Being self-reliant) 2) การมสี ่วนรว่ มและยงั คง ประโยชน์ต่อสงั คม (being actively engaged with society) 3) การมคี วามงอกงามทางปัญญา (Developing spiritual wisdom) 4) การคงไวซ้ ง่ึ การมสี ขุ ภาพดี (Maintaining a healthy) 5) การ เรยี นรอู้ ยา่ งต่อเน่อื ง (Engaging in active learning) และ 6) การเตรยี มตวั เพ่อื ความมนั่ คงยาม ชรา (Building up financial security) สรุปไดว้ ่า ความหมายและองคป์ ระกอบของ การดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี นี ั้นเป็น การกระทาทแ่ี สดงออกทน่ี าไปส่กู ารมสี ุขภาพทด่ี โี ดยรวมของประชาชนทวั่ ไปทุกกล่มุ อยา่ งไรก็ ตามสาหรบั กลุ่มผปู้ ่วยโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สงู ทอ่ี ยใู่ นภาวะท่คี วบคุมระดบั น้าตาล และระดบั ความดนั โลหติ ได้ไม่อย่ใู นภาวะอนั ตรายหรอื รุนแรงตามคาวนิ ิจฉัยทางการแพทย์ ท่ี เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศกึ ษาครงั้ น้ี ซ่งึ เป็นการกระทาท่ีบุคคลปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาวนั เพ่อื คงไวซ้ ง่ึ การมสี ขุ ภาวะทด่ี ที งั้ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และสงั คม ในพฤตกิ รรม 5 ดา้ น ดงั น้ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
188 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ 1. การควบคุมโรค หมายถึง การกระทาของผู้ป่ วยเพ่อื หลกี เล่ยี งปัจจยั เส่ยี งต่างๆ ไม่ใหเ้ กดิ อาการของโรคและภาวะแทรกซอ้ นของโรค ได้แก่ 1) การเฝ้าสงั เกต ตดิ ตาม ความ ผดิ ปกตทิ จ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในร่างกาย การไปพบแพทยร์ บั การดูแลรกั ษาสม่าเสมอ รวมถงึ การปฏบิ ตั ิ ตนเพ่อื ป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ น และลดความรุนแรงของโรคได้ และหลกี เลย่ี งและควบคุมปัจจยั เส่ยี งท่เี ป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อน เช่น การงดสูบบุหร่ี การลดหรอื เลกิ ด่มื เคร่อื งด่ืมท่ีมี แอลกอฮอลห์ รอื คาเฟอนี เป็นสว่ นผสม 2. การรบั ประทานอาหารเพ่อื สุขภาพ หมายถงึ การบรโิ ภคอาหารเพ่อื ควบคุมระดบั น้าตาล และความดนั โลหิตสูง ได้แก่ 1) การรบั ประทานอาหารท่มี กี ากใยสูง เช่น ผกั ผลไม้ ธญั พชื เป็นต้น 2) การหลกี เลย่ี งการรบั ประทานอาหารทม่ี รี สจดั หรอื ส่วนประกอบของโซเดยี ม สงู น้าตาลสงู และ 3) การหลกี เลย่ี งการรบั ประทานอาหารทม่ี ไี ขมนั อม่ิ ตวั 3. การออกกาลงั กาย หมายถงึ การเคล่อื นไหวรา่ งกายและการออกกาลงั อย่างมแี บบ แผน เพ่อื เสรมิ สรา้ งสมรรถภาพร่างกาย ไดแ้ ก่ 1) ความถ่ใี นการออกกาลงั กาย (Frequency of Exercise) ควรออกกาลงั กายอย่างน้อย 3 - 5 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ หรอื รวมกนั ประมาณ 150 ชวั่ โมง ต่อสปั ดาห์ 2) ความหนักเบาในการออกกาลงั กาย (Intensity of Exercise) ควรเคล่อื นไหวและ ออกกาลงั กายท่มี คี วามหนักเบาอยู่ในระดบั ปานกลาง (Moderate-Intensity) 3) ระยะเวลาใน การออกกาลงั กาย (Time of Exercise) การเคล่อื นไหวและออกกาลงั กายแต่ละครงั้ ควรใชเ้ วลา อยา่ งน้อยประมาณ 20 - 30 นาที โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ไดแ้ ก่ ช่วงอบอุ่นรา่ งกาย (Warm up phase) ช่วงเขม้ ข้นของการเคล่อื นไหวและออกกาลงั กาย (Endurance training phase) และ ชว่ งผอ่ นคลาย (Cool down phase) และ 4) ประเภทของการออกกาลงั กาย (Type of Exercise) ทเ่ี หมาะสมกบั ความสามารถและความสนใจในแต่ละบุคคล 4. การมสี ุขภาวะทางจติ ท่ดี ี หมายถงึ การกระทาของผู้ป่ วยในการดูแลตนเองให้มี สุขภาพจติ ทด่ี ี นาไปส่กู ารมคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ใี น 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) การกระทาสง่ิ ต่างๆ อยา่ งอสิ ระ ด้วยตนเอง 2) การใช้ชวี ติ และปรบั ตวั ให้เขา้ กบั การเปล่ยี นแปลงท่เี กดิ ขน้ึ 3) การเรยี นรูแ้ ละ พฒั นาตนเองให้งอกงามขน้ึ 4) การมสี มั พนั ธภาพทด่ี กี บั ผู้อ่นื 5) การจดั การและแก้ไขปัญหา อยา่ งเหมาะสม และ 6) การปฏบิ ตั ติ นตามความเชอ่ื และหลกั ศาสนา 5. การร่วมกจิ กรรมทางสงั คม หมายถงึ การกระทาทผ่ี ปู้ ่วยเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการทา กิจกรรมต่างๆ ร่วมกบั ผู้อ่ืน รวมทงั้ การช่วยเหลอื เก้ือกูลกนั เพ่อื ส่งเสรมิ สงั คมให้มคี วามสุข ได้แก่ 1) การทางานจติ อาสาช่วยเหลือสงั คมตามท่ตี นเองถนัดและสนใจ และ 2) การร่วม กจิ กรรมตามประเพณี ศาสนา ชมรม หรอื ชุมชน การช่วยใหผ้ อู้ ่นื สามารถปรบั ตวั ได้ สนับสนุน ใหผ้ อู้ ่นื รสู้ กึ พงึ พอใจในชวี ติ ตนเอง และเหน็ คณุ ค่าในตนเองมากขน้ึ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
189 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ งานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั สขุ ภาวะ แนวทางการพฒั นาสุขภาวะของคนไทยในระยะแรกๆ คอื ช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 - 7 เป็นการพฒั นาท่มี ุ่งเพ่อื ผลติ กาลงั คนให้ตอบสนองความต้องการในการพฒั นาเศษฐกิจของ ประเทศ โดยให้ความสาคัญกับการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และมีการศึกษาในระดบั ท่ี สามารถทางานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การพฒั นาในระยะต่อมาในแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 8 – 9 ไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นกระบวนทศั น์การพฒั นา โดยกาหนดให้ “คน” เป็นศูนยก์ ลางของการพฒั นา พรอ้ มทงั้ นาปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มาเป็นแนวทางใน การพฒั นาประเทศ สาหรบั การพฒั นาในมติ อิ ่ืนจงึ เป็นเพียงเคร่อื งมอื ในการพฒั นาคน แนว ทางการพฒั นาประเทศไดป้ รบั เปลย่ี นทศิ ทางส่กู ารพฒั นาศกั ยภาพของคนในทุกมติ ิ เพ่อื ใหค้ นมี คุณภาพชวี ติ ทด่ี ี และมคี วามสุข โดยในดา้ นสาธารณสขุ มงุ่ เสรมิ สรา้ งสุขภาพของประชาชนแบบ องค์รวมทงั้ ด้านร่างกาย จติ ใจสงั คม และจติ วญิ ญาณ ควบคู่กบั การมหี ลกั ประกนั สุขภาพท่มี ี คุณภาพมปี ระสทิ ธภิ าพ พรอ้ มทงั้ เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเขา้ มามสี ่วนร่วมในการสรา้ งและ จดั การระบบสุขภาพ และใหม้ กี ารเรยี นรแู้ ละใช้ประโยชน์จากภูมปิ ัญญาไทยและสากลในการ ป้องกนั และส่งเสรมิ สุขภาพ ส่งผลใหป้ ระชาชนรอ้ ยละ 97.75 มหี ลกั ประกนั สุขภาพ ตลอดจน อายขุ ยั เฉลย่ี ของประชาชนสงู ขน้ึ และจากการรายงานการตดิ ตามผล 3 ปีแรกของแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 10 ของ สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข (2554) พบว่า ดชั นีสุขภาวะเพมิ่ ขน้ึ จากระดบั ร้อยละ 71.41 ในปี พ.ศ. 2549 เป็นร้อยละ 72.52 ในปี พ.ศ. 2552 เป็นผลจากการดาเนินนโยบายของรฐั ในการพฒั นาคุณภาพคนในด้านการศกึ ษา ต่อเน่อื งและทางอนามยั สุขภาพและมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 40 ปี ทาใหส้ ุขภาวะคนไทยดี ขน้ึ อายยุ นื ยาวและความสามารถในการเรยี นรสู้ ูงขน้ึ ทงั้ น้ี ชาญวทิ ย์ โคธรี านุรกั ษ์ (2547) จาก บทความ “อย่อู ย่างไรใหม้ สี ุข อายุยนื ยาวถงึ 100 ปี” กล่าวไวว้ ่า สุขภาวะ เป็นการเรยี นรู้ถึง วถิ ที างการดาเนินชวี ติ เพ่อื การมสี ุขภาพแขง็ แรง ร่างกายต้องการความเคล่อื นไหวออกกาลงั กายสม่าเสมอ อาหารการกนิ ในปรมิ าณพอเหมาะ และเลอื กชนิดอาหารทม่ี คี ุณประโยชน์เป็น ธรรมชาติมากท่ีสุดปรุงแต่งแต่น้อย รู้จกั จดั การความเครียดได้ดี ท่ามกลางสงั คมท่ีกาลัง เจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ สงั คมทซ่ี บั ซอ้ น และยงุ่ เหยงิ มากขน้ึ รวมทงั้ ไมน่ าเอาสารทก่ี ่อปัญหา ต่อสขุ ภาพเช่น บหุ ร่ี เหลา้ เบยี ร์ แอลกอฮอล์ เครอ่ื งด่มื ชกู าลงั เขา้ ส่รู ่างกาย กจ็ ะทาใหม้ สี ขุ ภาพ ท่ดี ี อายุยนื อย่างมคี ุณภาพโดยไม่ต้องพ่งึ ยารกั ษา ซ่งึ กองแผนงาน กรมอนามยั กระทรวง สาธารณสุขไดก้ ล่าวว่า เป็นความฉลาดทางสุขภาพ เป็นความสามารถทางการจดั การและการ บรหิ ารสุขภาพ ใส่ใจสุขภาพ โดยการหาเวลาออกกาลงั กาย การออกกาลงั กายจะช่วยให้สมอง ทกุ สว่ นทางาน ระบบความจาดขี น้ึ มสี มาธใิ นการทางานมากขน้ึ ทงั้ น้ี สขุ ภาวะทส่ี มบรู ณ์ทงั้ ทาง กาย ทางจติ ทางสงั คม และทางจติ วญิ ญาณ หรอื สุขภาวะท่สี มบูรณ์ทุกๆ ทางเช่อื มโยงกัน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
190 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ สะท้อนถงึ ความเป็นองคร์ วมอย่างแทจ้ รงิ ของสุขภาพท่เี ก้อื หนุนและเช่อื มโยงกนั ทงั้ 4 มติ ิ ซง่ึ ความหมายในแต่ละดา้ น คอื 1) สุขภาวะทางกาย หมายถงึ การมรี า่ งกายท่สี มบูรณ์แขง็ แรง มี เศรษฐกจิ พอเพยี ง มสี งิ่ แวดลอ้ มดี ไม่มอี ุบตั ภิ ยั เป็นต้น 2) สุขภาวะทางจติ หมายถงึ จติ ใจท่ี เป็นสุข ผ่อนคลาย ไม่เครยี ด คล่องแคล่ว มคี วามเมตตา กรุณา มสี ติ มสี มาธิ เป็นต้น 3) สุข ภาวะทางสงั คม หมายถงึ การอย่รู ว่ มกนั ดว้ ยดี ในครอบครวั ในชุมชน ในทท่ี างาน ในสงั คม ใน โลก ซ่งึ รวมถงึ การมบี รกิ ารทางสงั คมท่ดี ี และมสี นั ตภิ าพ เป็นต้น และ 4) สุขภาวะทางปัญญา หรอื จติ วญิ ญาณ หมายถึง ความสุขอนั ประเสรฐิ ท่เี กิดจากมจี ติ ใจสูง เขา้ ถึงความจรงิ ทงั้ หมด ลดละความเหน็ แก่ตวั มงุ่ เขา้ ถงึ สงิ่ สงู สุด ซง่ึ หมายถงึ พระนิพพาน หรอื พระผเู้ ป็นเจา้ หรอื ความดี สงู สุด สุดแลว้ แต่ความเช่อื มทแ่ี ตกต่างกนั ของแต่ละคน (วริ ยิ ะ สวา่ งโชติ, 2550) ส่วนงานวจิ ยั ของ เกศสริ ิ ปั้นธุระ (2552) ไดศ้ กึ ษาวถิ ชี วี ติ ทม่ี ผี ลต่อการเสรมิ สร้างสุข ภาวะของประชาชนเขตดนิ แดง กรงุ เทพมหานคร โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศกึ ษาวถิ ชี วี ติ ระดบั สุข ภาวะทงั้ 4 ด้านได้แก่ ด้านสุขภาพกาย สุขภาพจติ สุขภาพสงั คมและสุขภาพปัญญา และ เปรียบเทียบวิถีชีวิตท่ีมีผลต่อสุขภาวะของประชาชนเขตดินแดง พร้อมทัง้ แนวทางการ เสรมิ สรา้ งสุขภาวะของประชาชนเขตดนิ แดง ดว้ ยแผนงานการจดั กจิ รรมเพอ่ื ชุมชนดนิ แดง ใช้ การวจิ ยั แบบผสานวธิ ี (Mix methodology) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ การ ประชุมกลุ่ม (Focus group) การสารวจ (Survey) กลุ่มตวั อย่างคอื ประชาชนท่อี าศยั อย่ใู น 22 ชุมชน ผลการวจิ ยั พบว่า ระดบั สุขภาวะ ประชาชนในเขตดนิ แดงมสี ุขภาวะรวมและรายด้าน ระดบั ดี เม่อื เปรยี บเทยี บค่าเฉล่ยี สุขภาวะรวมตามประเภทชุมชนแลว้ พบว่า ประชาชนในเคหะ ชุมชนและชุมชนจดั สรร มสี ุขภาวะรวมระดบั ดี มากกว่าสุขภาวะรวมของประชาชนเขตดนิ แดง ในขณะท่ีชุมชนแออัดและชุมชนเมืองมีค่าเฉล่ียสุขภาวะรวมดีน้อยกว่าสุขภาวะรวมของ ประชาชนดนิ แดง และการเปรยี บเทยี บวถิ ีชวี ติ ท่มี ผี ลต่อสุขภาวะของประชาชนเขตดินแดง พบว่า ประชาชนเขตดนิ แดงทม่ี เี พศ สถานภาพสมรส และดชั นีมวลกายต่างกนั มสี ุขภาวะไม่ ต่างกนั ในขณะทผ่ี ทู้ ม่ี อี ายุ การศกึ ษา อาชพี ลกั ษณะทอ่ี ย่อู าศยั ลกั ษณะครอบครวั ความเป็น คนทอ้ งถน่ิ ลกั ษณะชุมชน ลกั ษณะการบรโิ ภคและการออกกาลงั กาย ต่างกนั มสี ุขภาวะต่างกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ นอกจากน้ีผลจากการประชุมบูรณาการวิจยั เพ่ือท้องถ่ิน พบว่า แผนงานการจดั กจิ กรรมเพ่อื ชุมชนดนิ แดง ควรจดั โครงการแก่ชุมชน ในลกั ษณะบรู ณาการเพ่อื เสรมิ สรา้ งสุขภาวะแบบองค์รวมทงั้ 4 ดา้ นและสรา้ งความร่วมมอื กนั เครอื ข่ายภาคใี นชุมชนดนิ แดง อาทเิ ชน่ โครงการตลาดนดั สขุ ภาพ โครงการสนทนาธรรมะในรวั้ มหาวทิ ยาลยั โครงการสบื สานงานประเพณีโดยร่วมมอื กบั ศาสนสถานในชุมชน โครงการป้องกนั ภยั ใกลต้ วั ร่วมมอื กบั สถานีตารวจ เป็นต้น งานวจิ ยั สุชานนั ท์ คณู ผล (2553) ศกึ ษาแนวทางการพฒั นาสุขภาวะทาง กายของประชาชนในตาบลหนองกินเพล อาเภอวารินชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี โดยมี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
191 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ วตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศกึ ษาสุขภาวะ ปัญหาสุขภาวะ และแนวทางพฒั นาสุขภาวะของประชาชนใน ตาบลหนองกนิ เพล อาเภอวารนิ ชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี ใชร้ ปู แบบการวจิ ยั เชงิ สารวจ และ มแี บบสอบถามเป็นเคร่อื งมอื ในการวจิ ยั ผลการศกึ ษาพบว่า สุขภาวะทางกายของประชาชนมี ความแขง็ แรงสมบรู ณ์ สุขภาวะทางจติ พบวา่ ประชาชนไมม่ กี ารนงั่ สมาธิ 1 - 2 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ มากท่สี ุด รองลงมาคอื มกี ารทาบุญไม่น้อยกว่า 1 - 2 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ ส่วนสุขภาพทางสงั คม พบว่า ประชาชนสว่ นใหญ่ไดร้ บั การแต่งตงั้ ใหเ้ ป็นคณะกรรมการชุมชนมากทส่ี ุด รองลงมาคอื มี การช่วยเหลอื เพ่อื นบา้ นเม่อื มงี านหรอื กจิ กรรมในชุมชนและสาหรบั สุขภาวะทางปัญญาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มกี ารพฒั นาตนเองโดยหมนั่ ศกึ ษาหาความรตู้ ลอดเวลา รองลงมาคอื การ เหน็ แก่ประโยชน์ส่วนรวม ปัญหาสุขภาวะทางกาย พบว่า ส่วนใหญ่มกี ารเจบ็ ป่วยจากพฤตกิ รรม ไม่ออกกาลงั กาย ปัญหาสุขภาวะทางจติ พบว่า เกดิ จากความเครยี ดจากสภาวะทางสงั คมใน ปัจจุบนั รองลงมาคอื ความเครยี ดจากการประกอบอาชพี ปัญหาสขุ ภาวะทางสงั คม พบว่า เกดิ จากการมกี ารทะเลาะกนั ในครอบครวั และชุมชนมากทส่ี ุด สว่ นปัญหาสุขภาวะทางปัญญา พบว่า การทท่ี างานโดยความเคยชนิ โดยไม่มคี วามรใู้ นงานทท่ี ามากทส่ี ุด สาหรบั แนวทางการพฒั นา สขุ ภาวะทางกาย ควรมกี ารนาหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งมาใชใ้ นการดาเนินชวี ติ มากทส่ี ดุ สุขภาวะ ทางจติ ควรมกี ารบารุงพุทธศาสนาเป็นประจา สุขภาวะทางสงั คม ควรมกี ารรวมกลุ่มเพ่อื ทา กจิ กรรมทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมร่วมกนั และแนวทางการพฒั นาสุขภาวะทางปัญญา ควรมี การพฒั นาองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเองอยตู่ ลอดเวลา ตวั อย่างแบบสอบถามพฤติกรรมการดารงอย่อู ยา่ งมสี ขุ ภาวะท่ีดี โดย Sutipan & Intarakamhang (2017) และพชิ าดา สทุ ธแิ ป้น องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และวริ ณิ ธิ ์ กติ ตพิ ชิ ยั (2560) ไดพ้ ฒั นาแบบสอบถาม ท่มี คี ่าความตรงเชงิ เน้ือหาดว้ ยค่า IOC เท่ากบั 0.80 - 1.00 ค่าสมั ประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.78 และค่าอานาจจาแนกด้วยค่าสมั ประสิทธิส์ หสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) อยรู่ ะหวา่ ง 0.21 - 0.58 คาชี้แจง: โปรดทาเครอ่ื งหมาย √ ลงในช่องคาตอบทต่ี รงกบั การกระทาของทา่ นมากทส่ี ุด ประจา หมายถงึ ท่านกระทากจิ กรรมนนั้ โดยเฉลย่ี 6 - 7 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ บางครงั้ หมายถงึ ทา่ นกระทากจิ กรรมนนั้ โดยเฉลย่ี 3 - 5 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ นานๆครงั้ หมายถงึ ท่านกระทากจิ กรรมนนั้ โดยเฉลย่ี 1 - 2 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ แทบไมเ่ คย หมายถงึ ทา่ นกระทากจิ กรรมนนั้ โดยเฉลย่ี ต่ากวา่ 1 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293