Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy: Measurement and Development)

ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy: Measurement and Development)

Published by Thanaporn Sathitanont, 2021-12-20 06:48:44

Description: ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในมุมมองทั่วโลกเริ่มให้ความสาคัญอย่างจริงจังมากว่า 20 ปี สาหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข เห็นความสาคัญอย่างยิ่งว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นทั้งเครื่องมือพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืนของคนไทย เป็นกลไกการปฎิรูปสุขภาพคนไทยในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ในหนังสือเล่มนี้ มีคาตอบให้ จากสาระที่ได้จากการศึกษาประสบการณ์ที่ดาเนินการมายาวนานของนักวิจัย นักวิชาการและนักปฎิบัติการในหลายประเทศ รวมทั้งประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง ที่จะเติมเต็มให้มีสาระมากพอสาหรับผู้อ่านได้ศึกษาและใช้เป็นแนวทางการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Keywords: ความรอบรู้ด้านสุขภาพ,การวัดและการพัฒนา,พฤติกรรมสุขภาพ,เครื่องมือวัด,การรู้หนังสือ

Search

Read the Text Version

192 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ตาราง 6-1 แบบสอบถามพฤตกิ รรมการดารงอยอู่ ยา่ งมสี ขุ ภาวะทด่ี ี ความถ่ีการกระทาต่อสปั ดาห์ พฤติกรรมการดารงอย่อู ย่างมสี ขุ ภาวะที่ดี ประจา บางครงั้ นานาๆ แทบ ไม่ ( 4 ) ( 3 ) ครงั้ ( 2 ) เคย ( 1 ) พฤติกรรมการควบคมุ โรค 1. การปรกึ ษาแพทยห์ รอื บคุ คลากรสาธารณสขุ ทนั ที เม่อื เกดิ ความผดิ ปกตขิ องร่างกาย โดยไมป่ ล่อยใหเ้ รอ้ื รงั จนเกดิ ภาวะแทรกซอ้ น 2. การลด หรอื งดการด่มื เคร่อื งดม่ื ทม่ี คี าเฟอนี เช่น ชา กาแฟ โกโก้ น้าอดั ลมประเภทโคล่า เครอ่ื งด่มื ชกู าลงั เป็นตน้ 3. การหลกี เลย่ี งสงิ่ เสพตดิ เชน่ บุหร่ี ยาสบู เป็นตน้ 4. การงดดม่ื เคร่อื งดม่ื ทม่ี แี อลกอฮอลเ์ ชน่ เหลา้ เบยี ร์ หรอื ไวน์ เป็นตน้ 5.การสงั เกต ตรวจเชค็ ความผดิ ปกตขิ องรา่ งกายดว้ ยตนเอง เชน่ การชงั่ น้าหนกั การวดั ความดนั โลหติ การตรวจเตา้ นม เป็นตน้ 6. การหาความรหู้ รอื สงิ่ ใหม่ๆ เพอ่ื ดแู ลสขุ ภาพดว้ ยตนเอง เช่น อ่านหนงั สอื นิตยสารสขุ ภาพ ฟังวทิ ยุ ดรู ายการโทรทศั น์ เขา้ อบรมดา้ นสขุ ภาพ เป็นตน้ พฤติกรรมการรบั ประทานอาหารเพอื่ สขุ ภาพ 7. การรบั ประทานอาหารทม่ี กี ากใยสงู เช่น ผกั ผลไม้ ธญั พชื เป็นตน้ ในอตั ราสว่ น 2 ใน 3 สว่ นของแต่ละมอ้ื อาหาร 8. การอา่ นฉลากโภชนาการและเลอื กรบั ประทานอาหารทม่ี เี กลอื โซเดยี มเป็นสว่ นประกอบไมเ่ กนิ 2,000 มลิ ลกิ รมั ต่อหน่งึ หน่วย บรโิ ภคหรอื กนิ เกลอื ไม่เกนิ วนั ละ 1 ชอ้ นชา 9. การรบั ประทานเน้อื สตั วท์ ม่ี ไี ขมนั ต่า เช่น เน้อื แดงไม่ตดิ มนั เน้อื ปลา หรอื เน้อื อกไก่ เป็นตน้ โดยหลกี เลย่ี งเน้อื ทต่ี ดิ มนั มี คอเลสเตอรอลสงู 10. การรบั ประทานอาหารประเภทน่ึง ตม้ อบ ลวก แทนการทอด 11. การหลกี เลย่ี งรบั ประทานอาหารทม่ี กี ารแปรรปู หรอื หมกั ดอง เชน่ ปลาเคม็ ปลารา้ แหนม ไสก้ รอก ปลากระป๋ อง เตา้ หยู้ ้ี ผกั ดอง ไขเ่ คม็ กนุ เชยี ง เป็นตน้ 12. การรบั ประทานผกั ผลไมส้ ดตามฤดกู าลมากกว่าการ รบั ประทานผลไมก้ ระป๋ องหรอื แปรรปู พฤติกรรมการออกกาลงั กาย 13. มกี ารเคล่อื นไหวออกกาลงั กายต่อเน่อื ง 14. ในการออกกาลงั กายแต่ละครงั้ นานตดิ ต่อกนั อย่างน้อย 20-30 นาที องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

193 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ พฤติกรรมการดารงอย่อู ย่างมสี ขุ ภาวะที่ดี ความถ่ีการกระทาต่อสปั ดาห์ 15. มกี ารออกกาลงั กายจนรสู้ กึ เหน่ือยมเี หง่อื ออกแต่ยงั พดู ไดอ้ ยู่ ประจา บางครงั้ นานาๆ แทบ ไม่ 16. ไมอ่ อกกาลงั กายภายหลงั รบั ประทานอาหารทนั ที ( 4 ) ( 3 ) ครงั้ ( 2 ) เคย ( 1 ) 17. มกี ารหดและยดึ เหยยี ดกลา้ มเน้อื มดั ใหญ่ เชน่ วง่ิ เหยาะ การ ปัน่ จกั รยาน รามวยจนี กายบรหิ าร โยคะ เป็นตน้ 18. มกี ารยดื เหยยี ดกลา้ มเน้ือกอ่ นและหลงั การออกกาลงั กาย พฤติกรรมการมีสุขภาวะทางจิตท่ีดี 19. ท่านมสี มั พนั ธภาพทด่ี กี บั คนรอบขา้ ง 20. ทา่ นดาเนนิ ชวี ติ ตามหลกั ศาสนาทท่ี ่านนบั ถอื อย่างมเี ป้าหมาย 21. ท่านเปิดโอกาสใหต้ นเองไดเ้ รยี นรู้ หรอื มปี ระสบการณ์ใหมๆ่ ทท่ี า้ ทาย เพอ่ื พฒั นาและปรบั ปรงุ สขุ ภาพของตนเอง 22. ท่านสารวจและยอมรบั ทงั้ ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ของตนเองตามความ เป็นจรงิ แลว้ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหด้ ขี น้ึ 23. ท่านจดั การ ควบคุมและแกป้ ัญหาในสถานการณ์ไดเ้ หมาะสม 24. ท่านทากจิ วตั รประจาวนั ต่างๆ ไดด้ ว้ ยตนเองอย่างอสิ ระ มี สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ ความสขุ และเป็นทน่ี ่าพงึ พอใจ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมทางสงั คม 25. การเขา้ รว่ มกจิ กรรมต่างๆ ของสมาคม ชมรมหรอื องคก์ รท่ี ทา่ นเป็นสมาชกิ อยู่ เช่น การเลย้ี งอาหาร เดก็ ผสู้ งู อายุ ทาบญุ 26. การเขา้ ร่วมกจิ กรรมตามเทศกาล วฒั นธรรม และประเพณี ต่างๆ เช่น ทอดผา้ ป้า ทอดกฐนิ สงกรานต์ ลอยกระทง เป็นตน้ 27. เสยี สละแรงกาย เวลา หรอื ทรพั ยส์ นิ เพอ่ื ประโยชน์สว่ นรวม เชน่ บรจิ าคเงนิ หรอื จดั เตรยี มสง่ิ ของเพอ่ื บรจิ าคใหแ้ ก่ ผู้ เดอื ดรอ้ นหรอื ประสบภยั 28. เป็นจติ อาสาในการทากจิ กรรมเพอ่ื สงั คม โดยไม่ไดร้ บั ค่าตอบแทนตามความถนดั และศกั ยภาพของตนเอง เชน่ เป็น วทิ ยากร ปราชญช์ ุมชนในการถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญา อาสาสมคั ร ทางานสาธารณะ วฒุ อิ าสา เป็นตน้ 29. การเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมต่างๆ เพอ่ื การพฒั นา ชมชุ น หรอื แกป้ ัญหาต่างๆ ในชุมชน เช่น อสม คณะกรรมการ พฒั นา ชมุ ชน การเป็น ลกู เสอื ชาวบา้ น การพฒั นาชมุ ชน เป็นตน้ 30. การอาสาชว่ ยเหลอื ผอู้ ่นื เมอ่ื ยามทเ่ี ขาเจบ็ ป่วย หรอื ตอ้ งการ ความช่วยเหลอื เช่น การช่วยบรรจุถุงยงั ชพี ใหก้ บั ผป้ รู ะสบภยั การไปเยย่ี มดแู ลผปู้ ่วย เป็นตน้ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง

194 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพ - ด้านการจดั การและเผชิญปัญหา นอกจากน้ี ตามการศกึ ษาของ Edwards et al. (2012) ทไ่ี ดเ้ สนอโมเดลเสน้ ทางอทิ ธพิ ล ของการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในผปู้ ่วยเรอ้ื รงั (The development of health literacy in patients with a long-term health condition: The health literacy pathway model) พบว่า ใน การจดั การสุขภาพตนเองกบั การส่อื สารสุขภาพกบั บุคลากรทางการแพทย์ เป็นกระบวนการท่ี สาคญั ทจ่ี ะนาไปสกู่ ารตดั สนิ ใจทด่ี ี และในโมเดลน้ไี ดก้ ล่าวถงึ ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health literacy outcomes) คอื การพฒั นาความรู้ ทกั ษะ ความเขา้ ใจและการเผชญิ ปัญหาของ บุคคล (Develop knowledge, skills, understanding and coping) นั้นเป็ นสิ่งท่ีเกิดข้ึน และ การศกึ ษาของ Vosbergen et al. (2014) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ ของผปู้ ่วยทม่ี ตี ่อรปู แบบการเผชญิ ปัญหาและความพอใจในการจดั การขอ้ มลู ดา้ นสุขภาพ โดยใช้ การสารวจทางออนไลน์กับผู้ป่ วย 213 คน พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่ วย มี ความสมั พนั ธ์กบั วิธเี ผชญิ ปัญหาของผู้ป่ วยท่เี ป็นแบบกากบั กบั หลกี หนีความจรงิ (Monitor- blunter coping style) โดยผปู้ ่วยทม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสุขภาพต่าจะจดั การสุขภาพตนเองบนฐาน ประสบการณ์เดมิ ตนเอง แต่สาหรบั ผู้ป่ วยท่มี คี วามรอบรูด้ ้านสุขภาพท่สี ูงกว่า จะใช้วธิ เี ผชญิ ปัญหาแบบควบคุมกากับความเส่ยี งท่เี กิดข้นึ กับตนเอง และจากข้อสรุปส่วนหน่ึงท่ไี ด้จาก รายงานฉบบั สมบูรณ์ ในการศกึ ษาการนาความรอบรดู้ ้านสุขภาพไปใชใ้ นประเทศออสเตรเลยี ( Health literacy implications for Australia: Final report) ข อ ง Medibank Private Limited (2011) ซ่งึ เป็นบรษิ ัทประกันสุขภาพภาคเอกชนท่ไี ด้ทาการศึกษาควารอบรู้ด้านสุขภาพใน ประเทศออสเตรเลยี พบว่า ผูท้ ม่ี คี วามรอบรดู้ ้านสุขภาพต่า จะลดความสามารถในการจดั การ ตนเองและการปรบั ตวั ในชีวติ (Self-management and lifestyle adjustment to manage) ลง โดยเฉพาะในกล่มุ ผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั และผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการมคี วามรอบรดู้ า้ นสุขภภาพต่า คอื บุคคลจะมคี วามเครยี ดสงู ขน้ึ จากการความอายและจากความเช่อื เดมิ ทไ่ี มร่ หู้ นังสอื (Shame and stigma attached to illiteracy) ความหมายของการเผชิญภาวะวิกฤตชีวิต จากงานวจิ ยั การเผชญิ และการป้องกนั ภาวะวกิ ฤตชวี ติ ของสตรไี ทยสมรสวยั กลางคน ของ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง อรพนิ ทร์ ชชู ม และอจั ฉรา สขุ ารมณ์ (2550) ไดเ้ สนอแบบประเมนิ ภาวะวกิ ฤตชวี ติ ดว้ ยตนเอง สาหรบั ผู้ทไ่ี ม่สามารถสงั เกตเหน็ ความเปลย่ี นแปลงของตนเองได้ ชดั เจน ซ่งึ จะเป็นการเฝ้าระวงั มใิ ห้นาไปสู่การแก้ปัญหาวกิ ฤตชวี ติ ท่รี ุนแรงต่อไป ซ่งึ ภาวะ วิกฤตชวี ิต หมายถึง บุคคลรบั รู้ต่อสถานการณ์ต่างๆ ท่เี กิดข้นึ ในชีวิตของตนเองว่าเป็นส่ิง อนั ตรายคุกคามต่อร่างกาย จติ ใจอารมณ์ของตนหรอื ต่อภาพพจน์หรอื เป้าหมายในชวี ติ ทาให้ บคุ คลนนั้ เกดิ ภาวะเครยี ด และไมส่ ามารถปรบั อารมณ์ใหเ้ ผชญิ กบั สงิ่ คกุ คามน้ไี ดแ้ ละไมส่ ามารถ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

195 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ปรบั ตวั ให้สามารถดารงชวี ติ ประจาวนั ให้เป็นปกติสุขได้ และจากผลการวิจยั ของ องั ศินันท์ อนิ ทรกาแหงและคณะ (2549) ศกึ ษาดชั นีทใ่ี ชว้ ดั ภาวะวกิ ฤตของสตรไี ทยสมรสวยั กลางคนท่ี ทางานนอกบ้าน 1,375 คน ซ่ึงผลท่ีได้จากการวิจัย พบว่า ภาวะวิกฤตชีวิตนัน้ เกิดจาก แรงผลกั ดนั จากสุขภาพร่างกายจติ ใจของบุคคลเอง และจากแรงกดดนั ในทท่ี างาน ในครอบครวั และในสงั คมของตนเอง ทงั้ น้ี องคป์ ระกอบของการวดั ภาวะวกิ ฤตชวี ติ ประกอบดว้ ย 1. ความเครยี ดคอื ความรสู้ กึ ทบ่ี ุคคลมคี วามอดึ อดั คบั ขอ้ งใจไม่ไดด้ งั ใจ ไมส่ ามารถตก ลงใจหรอื ตดั สนิ เหตุการณ์ในขณะนนั้ ได้ จงึ แสดงออกใหเ้ หน็ ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ทไ่ี มส่ มดุล ไมเ่ ป็นสุข สบั สน โกรธ เสยี ใจ 2. การเผชญิ ปัญหาคอื บุคคลไม่สามารถเผชญิ แก้ไขอารมณ์ท่เี ป็นทุกขข์ องตนเองได้ และไม่มกี ารแก้ไขเปล่ยี นแปลงสถานการณ์จรงิ ไม่สามารถปรบั กระบวนการคดิ หรอื ควบคุม จติ ใจใหส้ งบลงได้ หรอื ระบายอารมณ์ดว้ ยการพูดและการกระทาทไ่ี ม่ก่อใหเ้ กดิ ความรนุ แรงและ ผลเสยี ต่อตนเองและผอู้ ่นื 3. การปรบั ตัวคอื บุคคลไม่สามารถปรบั เปล่ยี นนิสยั หรอื ปรบั วธิ กี ารดารงชีวติ ของ ตนเองให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมคี วามสุขในระดับท่ีตนเองพึงพอใจได้ และมีการปรบั ตัวท่ีไม่ เหมาะสมจงึ แสดงออกในลกั ษณะของการทาลายต่อต้านกฎระเบยี บหรอื มลี กั ษณะของผู้ท่ีมี ปัญหาสุขภาพจติ เสยี ไป ตวั อย่างแบบประเมินเพ่ือวดั ภาวะวิกฤตชีวิตของบคุ คล แบบสอบถามน้ีได้จากการวจิ ยั ซ่งึ ใช้เป็นประโยชน์ในการสะท้อนสภาวะทางจติ และ อารมณ์ของตนเองและเฝ้าระวงั เพ่อื ไม่ใหไ้ ปสู่ปัญหาวกิ ฤตชวี ติ และสงั คมทร่ี ุนแรงต่อไป ทงั้ น้ี แบบประเมนิ น้ีสามารถใชว้ เิ คราะหภ์ าวะวกิ ฤตชวี ติ สาหรบั บุคคลทไ่ี มส่ ามารถสงั เกตเหน็ ความ เปลย่ี นแปลงของตนเองไดช้ ดั เจนจงึ ตอ้ งใชแ้ บบวัด โดยมขี อ้ คาถามเกย่ี วกบั การรบั รู้ของตนเอง รวม 40 ขอ้ แบ่งเป็นการวดั จาก ความเครยี ด 16 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ ของแบบสอบถาม = 0.9296 การเผชิญปัญหาแบบมุ่งปรบั อารมณ์ 10 ข้อ มคี ่าความเช่อื มนั่ = 0.7646และการ ปรบั ตวั 14 ขอ้ มคี า่ ความเช่อื มนั่ = 0.8710 คาอธิบายการประเมินค่าของแบบสอบถาม ข้อความเป็นการสอบถามถึงระดับการรบั รู้ถึงความรู้สึก อาการและการแสดงออกทาง พฤตกิ รรมตนเอง ซง่ึ ปรากฏขน้ึ ตรงกบั ความเป็นจรงิ ในชวี ติ โดยทาเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่องทต่ี รง กบั ความเป็นจรงิ ทป่ี รากฏกบั ตวั ท่าน ในช่วง 6 เดอื นทผ่ี ่านมา ท่านมอี าการ ความรสู้ กึ และพฤตกิ รรมเหล่าน้ใี นระดบั ใด มคี าอธบิ ายการใหน้ ้าหนกั คะแนน ดงั น้ี องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

196 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ จริง หมายถงึ มคี วามเป็นจรงิ ทป่ี รากฏขน้ึ กบั ท่านมากทส่ี ุด ค่อนข้างจริง หมายถงึ มคี วามเป็นจรงิ ทป่ี รากฏขน้ึ กบั ท่านพอสมควร ค่อนข้างไมจ่ ริง หมายถงึ มคี วามเป็นจรงิ ทป่ี รากฏขน้ึ กบั ท่านอย่บู า้ งเลก็ น้อย ไม่จริง หมายถงึ ขอ้ ความนนั้ แทบจะไมเ่ คยปรากฏขน้ึ กบั ท่าน ตาราง 6-2 แบบประเมนิ เพ่อื วดั ภาวะวกิ ฤตชวี ติ ของบคุ คล ระดบั ความเป็นจริงที่ปรากฏ อาการ ความรสู้ กึ พฤติกรรม จริง คอ่ นขา้ ง ค่อนข้าง ไม่ จริง ไมจ่ ริง จริง (4) (3) (2) (1) ความเครยี ด 1.ฉนั มปี ัญหาชวี ติ ทห่ี นกั ใจตอ้ งขบคดิ อยเู่ สมอ 2.ฉนั รสู้ กึ ปวดศรี ษะขน้ึ มาทนั ทเี ม่อื เผชญิ กบั ปัญหา 3.ฉนั ปวดเกรง็ กลา้ มเน้อื ทา้ ยทอย หลงั หรอื ไหลเ่ ม่อื คดิ ถงึ ปัญหาชวี ติ 4.เวลาจะออกจากบา้ นฉนั มกั รสู้ กึ กลวั วา่ จะเกดิ อุบตั เิ หตุ 5.ฉนั มกั หงุดหงดิ เป็นทกุ ขเ์ ป็นรอ้ นแมเ้ ป็นเรอ่ื งเลก็ น้อย 6.เมอ่ื ต่นื นอนฉนั รสู้ กึ เบอ่ื หน่าย ไมอ่ ยากลกุ จากเตยี ง 7.บอ่ ยครงั้ ทฉ่ี นั รสู้ กึ วา่ นอนหลบั ไม่สนิท 8.บ่อยครงั้ ทฉ่ี นั อยากปลกี ตวั อยคู่ นเดยี วเงยี บ ๆ 9.ฉนั รสู้ กึ เบ่อื ราคาญทุกคนทอ่ี ยรู่ อบขา้ งฉนั 10.ฉนั มเี ร่อื งทต่ี อ้ งทาใหค้ ดิ มากจนขาดสมาธกิ ารทางาน 11.ฉนั มกั ตกใจงา่ ยจนหวั ใจเตน้ แรง เหง่อื ออก ตวั เยน็ 12.บอ่ ยครงั้ ทฉ่ี นั รสู้ กึ กระวนกระวายโดยไมท่ ราบสาเหตุ 13.ฉนั มกั นอนฝันรา้ ย จนทาใหต้ ่นื ขน้ึ มา กลางดกึ บอ่ ย ๆ 14.ฉนั รสู้ กึ อา้ งวา้ งโดดเดย่ี วเหมอื นไมม่ ใี ครอย่เู คยี งขา้ ง 15.ฉนั รสู้ กึ เหงา เศรา้ หดหู่ แมอ้ ยทู่ ่ามกลางผคู้ นหมมู่ าก 16.ฉนั จะตกใจขวญั ผวาอยนู่ าน เมอ่ื มเี สยี งดงั ขน้ึ ใกลฉ้ นั การเผชิญปัญหา 17.ฉนั พยายามตงั้ สตทิ ุกครงั้ ในการแกป้ ัญหาต่าง ๆ 18.เมอ่ื ตอ้ งเผชญิ ปัญหาฉนั ควบคมุ สติ อารมณ์ตนเองไวไ้ ด้ 19.เมอ่ื เกดิ ปัญหาฉนั จะคน้ หาสาเหตุกอ่ นทจ่ี ะหาทางแกไ้ ขปัญหานนั้ 20.เม่อื มเี ร่อื งทาใหไ้ ม่สบายใจ ฉนั จะทาใจใหส้ งบลงกอ่ น 21.ฉนั พยายามวเิ คราะหป์ ัญหาและทาความเขา้ ใจใหด้ ขี น้ึ ก่อนหา วธิ แี กไ้ ข 22.ฉนั ไมเ่ คยรอคอยว่าจะมปี าฏหิ ารยิ ม์ าช่วยฉนั ไว้ โดยทฉ่ี นั ไมต่ อ้ ง ทาอะไรเลย 23.ปัญหาทเ่ี กดิ กบั ฉนั จะผ่านพน้ ไปได้ เพอ่ื ใหก้ าลงั ใจกบั ตนเอง 24.ฉนั จะหลกี เลย่ี งเผชญิ หน้ากบั คนทก่ี า้ วรา้ วมอี คตติ ่อฉนั 25.ฉนั จะระบายความรสู้ กึ กบั คนทไ่ี วใ้ จไดเ้ มอ่ื มปี ัญหา องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

197 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ระดบั ความเป็นจริงที่ปรากฏ จริง ค่อนขา้ ง คอ่ นข้าง ไม่ อาการ ความรสู้ กึ พฤติกรรม จริง ไม่จริง จริง (4) (3) (2) (1) 26.ฉนั ไม่เคยระบายความทกุ ขด์ ว้ ยการดม่ื สุรา สบู บหุ ร่ี หรอื พง่ึ ยา เสพตดิ การปรบั ตวั 27.ฉนั ยอมรบั ในความแตกต่างของแต่ละบคุ คลได้ 28.ฉนั ยอมรบั กบั ความลม้ เหลวของตนเองไดเ้ สมอ 29.ฉนั ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปไดง้ ่าย 30.เวลามเี รอ่ื งกลมุ้ ใจ ฉนั มวี ธิ ผี อ่ นคลายไดด้ ี เช่น อ่านหนงั สอื การ ฟังเพลง ทางานอดเิ รก เป็นตน้ 31.ฉนั สามารถทาจติ ใจใหร้ า่ เรงิ ยอมรบั กบั ปัญหาต่างๆได้ 32.การทฉ่ี นั พบกบั ปัญหาบอ่ ย ถอื วา่ เป็นการฝึกความแขง็ แกร่งใหก้ บั ตนเอง 33.ฉนั สามารถแบง่ เวลางาน และครอบครวั ไดอ้ ย่างสมดลุ 34.เมอ่ื มปี ัญหาทาใหเ้ ครยี ด ฉนั สามารถเปลย่ี นใหเ้ ป็นเรอ่ื งผอ่ นคลายได้ 35.ฉนั พยายามเปลย่ี นแปลงตนเองไปในทางทด่ี ขี น้ึ 36.ฉนั เตรยี มตวั เองใหพ้ รอ้ มเสมอกบั ปัญหาทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ 37.ฉนั สามารถคน้ พบสง่ิ ดๆี จากปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ 38.ฉนั เปลย่ี นแปลงบตนเองใหด้ ขี น้ึ ไดเ้ พ่อื ใหเ้ ขา้ กบั สงั คมท่ี เปลย่ี นแปลงไป 39.ฉนั ระมดั ระวงั ในการทางานทเ่ี คยผดิ พลาดมาแลว้ เพ่อื ไมใ่ ห้ ผดิ พลาดซ้า 40.ฉนั มองว่าการเปลย่ี นแปลงไม่ว่าดหี รอื รา้ ยทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ฉนั เป็น เรอ่ื งธรรมดา เกณฑก์ ารประเมินผล เกณฑก์ ารพจิ ารณา การรบั รภู้ าวะวกิ ฤตชวี ติ จาก 40 ขอ้ ใหผ้ ตู้ อบรวมคะแนนทงั้ หมด และใหพ้ จิ ารณาคะแนนวา่ ผตู้ อบอยใู่ นกลุม่ ใด 140 - 160 คะแนน แสดงว่า มกี ารรบั รวู้ ่า มภี าวะวกิ ฤตเกดิ ข้นึ ในชวี ติ ของท่านอยู่ใน ระดบั มากท่สี ุด นัน่ หมายถงึ ว่า ท่านเรมิ่ มภี าวะตึงเครยี ดอยู่ในระดบั มากกว่าปกติ และยงั ไม่ สามารถเผชญิ กบั ปัญหาในชวี ติ และปรบั ตวั ยอมรบั กบั ปัญหานัน้ ไดอ้ ย่างเหมาะสม ซง่ึ ถา้ ยงั คง ปล่อยให้อยู่สภาวะเช่นน้ีไว้ โดยไม่ได้แก้ไข อาจนาไปสู่ปัญหาสุขภาพจติ และการสูญเสยี ท่ี รุนแรง กระทบต่อการดาเนินชวี ติ อย่ใู นสงั คมในครอบครวั และการทางานได้ จงึ ไม่ควรอยู่แต่ ลาพงั คนเดยี วเป็นอยา่ งยง่ิ และใหร้ บี ไปปรกึ ษาแพทยห์ รอื นักจติ วทิ ยาเพ่อื ขอรบั คาปรกึ ษา อกี ทงั้ ควรหมนั่ ศกึ ษาธรรมะเพม่ิ มากขน้ึ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

198 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ 100 – 139 คะแนน แสดงว่า มกี ารรบั รวู้ ่า มภี าวะวกิ ฤตเกดิ ขน้ึ ในชวี ติ ของท่านอย่บู า้ ง พอสมควร นนั่ หมายถงึ ว่า ท่านมภี าวะตงึ เครยี ดอยใู่ นระดบั คอ่ นขา้ งมาก และสามารถเผชญิ กบั ปัญหาในชวี ติ อยไู่ ดบ้ า้ งเลก็ น้อย จงึ สามารถปรบั ตวั ใหย้ อมรบั กบั ปัญหานนั้ ไดบ้ า้ ง ซง่ึ ยงั คงเป็น ความขดั แย้งทอ่ี ย่ใู นใจทเ่ี ป็นความรูส้ กึ ท่เี ป็นทุกข์อยู่ ดงั นัน้ จงึ ควรท่จี ะหาใครอาจเป็นเพ่อื น ผใู้ หญ่ทไ่ี วใ้ จได้ หรอื แพทย์ จติ แพทยเ์ พอ่ื ขอรบั คาปรกึ ษา และใส่ใจศกึ ษาธรรมะเพม่ิ มากขน้ึ 60 - 99 คะแนน แสดงว่า มกี ารรบั รู้ว่า มภี าวะวกิ ฤตเกิดขน้ึ ในชวี ติ ของท่านอยู่บ้าง เลก็ น้อย ทส่ี ่งผลใหท้ ่านไม่สบายใจอย่บู า้ ง นนั่ หมายความว่า ท่านเรมิ่ มคี วามตงึ เครยี ดอยู่บ้าง เล็กน้อยถือว่าอยู่ในระดับปกติท่ีชอบความท้าทาย แต่ท่านยงั คงมีปัญหาท่ียงั ไม่สามารถ คล่คี ลายได้หมด และในบางสถานการณ์ท่านยงั ไม่สามารถปรบั ตวั ได้อย่างเหมาะสม ดงั นัน้ ท่านยงั ต้องใช้เวลาในการเผชญิ ปัญหาและปรบั ตวั เพม่ิ มากข้นึ ท่านอาจจะศึกษาด้วยตนเอง เก่ยี วกบั การเปลย่ี นแปลงตนเองให้ดูมชี วี ติ ชวี าข้นึ บ้าง หรอื ขอความช่วยเหลอื จากเพ่อื นหรอื ผใู้ หญ่ ในการพดู คยุ ขอคาแนะนาเพ่อื ใหส้ ามารถจดั การปัญหาและการปรบั ตวั ไดเ้ รว็ ขน้ึ 40 - 59 คะแนน แสดงว่า มกี ารรบั รวู้ ่า ไม่มภี าวะวกิ ฤตเกดิ ขน้ึ ในชวี ติ ของท่าน ทาให้ ทา่ นรสู้ กึ สบายใจและมคี วามสุขมากเป็นส่วนใหญ่นนั่ หมายความว่า ทา่ นเป็นคนทม่ี องโลกในแง่ ดี มคี วามพอใจกบั ตนเองและสง่ิ แวดลอ้ มมาก สามารถยอมรบั เผชญิ กบั ปัญหาถอื เป็นสง่ิ ทท่ี ้า ทายความสามารถและปรบั ตวั ไดอ้ ยา่ งเหมะสม จงึ ทาใหท้ ่านเป็นคนทเ่ี หน็ คณุ ค่าในตนเอง และมี ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านไดด้ ี ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพ - ด้านความฉลาดทางสขุ ภาพ จากโมเดลเชิงเหตุผลเพ่อื การวเิ คราะห์การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ (A Logic model for analyzing studies of health literacy) ทไ่ี ดม้ าจากการสงั เคราะห์งานวจิ ยั และบูรณา การหลายทฤษฎขี ององค์กรเพ่อื คุณภาพและการวจิ ยั การดูแลสุขภาพ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ของ Berkman et al. (2011) ซง่ึ พบว่า มงี านวจิ ยั 5 เรอ่ื งทศ่ี กึ ษาผลลพั ธด์ า้ นสขุ ภาพทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพของประชากรวยั ผูใ้ หญ่ท่มี ผี ลต่อความรู้สกึ และความสามารถด้าน สขุ ภาพ ไดแ้ ก่ งานวจิ ยั ของ Nokes et al. (2007) ทศ่ี กึ ษาผลของการไดร้ บั การดแู ลและใหข้ อ้ มลู ด้านสุขภาพกบั ผู้ท่ที ราบว่าตดิ เช้อื HIV 489 คนในสหรฐั อเมรกิ าวดั ผลจากอาการความรู้สึก ซมึ เศรา้ เครยี ดและการเปลย่ี นแปลงร่างกาย Muir et al. (2006) ศกึ ษาในผปู้ ่วยโรคต้อหนิ ทม่ี า รบั การรกั ษาในคลนิ ิกโดยใชแ้ บบวดั คุณภาพชวี ติ SF - 12 ส่วน Mancuso & Rincon (2006) ศกึ ษาในผปู้ ่วยโรคหอบหดื ทร่ี บั การรกั ษาคลนิ ิกปฐมภูมใิ นนิวยอรค์ 175 คน จากแบบวดั ความ ฉลาดดา้ นคณุ ภาพชวี ติ ดา้ นสขุ ภาพ (Health-related quality of life quotient) สว่ น Johnston et al. (2005) ศกึ ษาผบู้ าดเจบ็ กระดกู สนั หลงั 107 คนในมลรฐั นิวเจอรซ์ ่ี และ Hahn et al. (2007) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

199 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ทศ่ี กึ ษาในผปู้ ่วยมะเรง็ 415 คนในศูนยม์ ะเรง็ ทร่ี ฐั ชคิ าโก้ และElizabeth (2017) ศกึ ษาความรอบ รดู้ า้ นสุขภาพระดบั พน้ื ฐานในผปู้ ่วยฟ้ืนฟูกายภาพจากโรคหลอดเลอื ดสมอง บาดเจบ็ กระดกู สนั หลงั โรคสมองกระทบกระเทอื นอายุ 18 - 85 ปี พบว่า ความรคู้ าศพั ท์ ความเขา้ ใจในเอกสาร ความรใู้ นภาษาและตวั เลข ความจา ความเรว็ ในการอ่าน มผี ลต่อผลลพั ธท์ างสุขภาพไดแ้ ก่ การ เคลอ่ื นไหว ความเหน่อื ยลา้ ความซมึ เศรา้ ความเครยี ดความกงั วล บทบาททางสงั คมของผปู้ ่วย จงึ สรปุ ไดว้ ่าผลวจิ ยั ทงั้ หมดสอดคลอ้ งในดา้ นผลลพั ธท์ างสุขภาพท่ปี ระกอบดว้ ย สุขภาพทวั่ ไป สุขภาพกาย สุขภาพจติ คุณภาพชวี ติ โดยใชแ้ บบวดั คุณภาพชวี ติ แบบ SF - 12 และ SF - 36 และผลวิจยั ทงั้ หมดยงั พบว่า การเข้าถึงบรกิ ารสุขภาพเป็นเง่อื นไขสาคญั ของความฉลาด (Quotient) ดา้ นคุณภาพชวี ติ ด้านสุขภาพ (Health-related quality of life) ทงั้ น้ี ผลวจิ ยั ในกลุ่ม ผู้ป่ วยโรคหอบหดื ของ Mancuso & Rincon (2006) นัน้ วดั จากแบบวดั ความฉลาดทางด้าน คุณภาพชวี ติ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สุขภาพ (Asthma quality of life quotient) มคี วามสมั พนั ธก์ บั ความ รอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ โดยผปู้ ่วยโรคหอบหดื ทม่ี คี วามรอบรดู้ า้ นสุขภาพไมเ่ พยี งพอ จะมคี วามฉลาด ทางดา้ นคุณภาพชวี ติ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สุขภาพต่า และมสี ภาวะดา้ นรา่ งกายต่าดว้ ย เม่ือพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการรู้หนังสือ ( Literacy) กับความฉลาดทาง สติปั ญญา (intelligence quotient) ดังการศึกษาของ Zendarski et al. (2017) ท่ีศึกษา ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นกบั ปัจจยั เส่ยี งของวยั รุ่นท่บี กพพร่องทางการเรยี น ในโรงเรยี นขนาด กลางและระดับมธั ยมศึกษาตอนต้นอายุ 12 - 15 ปี ในประเทศออสเตรเลีย 130 คน ใช้ แบบทดสอบการรหู้ นงั สอื และการคานวณเชงิ ตวั เลข ผลการศกึ ษาพบว่า นกั เรยี นทม่ี ผี ลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นต่า มาจากการทม่ี คี วามฉลาดทางปัญญาต่า( lower intelligence quotient) รวมถงึ ปัจจยั ดา้ น เพศ สถานภาพทางสงั คม การถูกกลนั่ แกลง้ และการจดั การภายในครอบครวั ต่าดว้ ย และในการศกึ ษาของ Lee et al. (2004) ทศ่ี กึ ษาปัญหาการทางานของความจาและการรหู้ นังสอื ในกลุ่มเด็กอายุ 10 ปี จานวน 151 คน พบว่า ผลความฉลาดทางปัญญากับการรู้หนังสือ (Literacy and IQ) เพ่อื ทานายปัญหาการใช้คา ซ่งึ ความน่าสนใจในการศึกษาความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งความรอบรดู้ า้ นสุขภาพกบั ความฉลาดทางสุขภาพ (Health literacy and Health quotient) ตัวอย่าง เคร่อื งมอื วดั ความฉลาดทางสุขภาพ ท่พี ฒั นาข้นึ โดย กองสุขศึกษา กรม สนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ ร่วมกบั องั ศนิ ันท์ อนิ ทรกาแหง (2559) มี 36 ขอ้ และมคี ่าค่าความ เช่อื มนั่ (Cronbach’s Alpha) เท่ากบั 0.932 ซง่ึ เป็นแบบวดั ท่พี ฒั นามาจากแบบวดั ความฉลาด ทางสุขภาพ (Health quotient-HQ Assessment) ในต่างประเทศไดแ้ ก่ แบบวดั ของ Hoeger & Hoeger (2011) จากหนงั สอื Lifetime physical fitness and wellness: A personalized program ม3ี 6 ขอ้ และแบบสอบถามหลายมติ ิ (The Multidimensional Health Questionnaire–MHQ) ของ Snell & Johnson (1997) มี 100 ขอ้ และนาไปทดลองใชก้ บั กลุ่มประชาชนทวั่ ไปทงั้ ในเมอื งและ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

200 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ นอกเมอื งในจงั หวดั ปรมิ ณฑลจานวน 1,000 คน จงึ นามาสู่การกาหนดนิยาม Health Quotient ว่าหมายถงึ ความรบั ผดิ ชอบต่อการพฒั นาระดบั สุขภาพและการดูแลตวั เอง โดยบุคคลต้องมี ความสามารถมากเพยี งพอและมนั่ ใจท่จี ะจดั การกบั สุขภาพของตวั เองได้ เช่น คุณพยายาม พัฒนาปัจจัยแวดล้อมในชีวิตแต่ละวัน รวมถึงการควบคุมอาหารเพ่ือลดน้าหนักและการ โภชนาการอย่างถูกต้อง, การผ่อนคลายความเครยี ด, หยุดพฤติกรรมการนอนท่ไี ม่ดี, การ หลกี เลย่ี งมลพษิ และปรบั เปล่ยี นรูปแบบการดาเนินชวี ติ ต่อเน่ือง ซง่ึ แบบวัดน้ีแบ่งเป็น 2 มติ ิ หลกั ไดแ้ ก่ 1) มติ ขิ องความสามารถทางปัญญา ประกอบดว้ ย ดา้ นความรสู้ กึ ตระหนกั รู้ กากบั ตนเอง จงู ใจตนเอง และ 2) มติ คิ วามสามารถควบคุมสภาพแวดลอ้ ม ได้แก่ การบรหิ ารจดั การ บุคคล ควบคุมสภาพแวดล้อมท่เี ป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ เช่น ทกั ษะการแก้ปัญหาชวี ติ การมสี ว่ นรว่ มในสงั คม เป็นตน้ โดยแบบวดั มี 6 องคป์ ระกอบดงั น้ี 1. ดา้ นความรสู้ กึ มจี านวน 6 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ (Cronbach’s alpha) เท่ากบั 0.752 มคี ่าอานาจจาแนกวดั จากคา่ สมั ประสทิ ธสิ หสมั พนั ธอ์ ยใู่ นชว่ ง 0.46 – 0.55 2. ดา้ นความตระหนัก มจี านวน 5 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ (Cronbach’s alpha) เท่ากบั 0.707 มคี ่าอานาจจาแนกวดั จากค่าสมั ประสทิ ธสิ หสมั พนั ธอ์ ยใู่ นชว่ ง 0.37 – 0.54 3. ดา้ นการกากบั ตนเอง มจี านวน 7 ขอ้ มคี า่ ความเชอ่ื มนั่ (Cronbach’s alpha) เทา่ กบั 0.830 มคี ่าอานาจจาแนกวดั จากคา่ สมั ประสทิ ธสิ หสมั พนั ธอ์ ยใู่ นช่วง 0.54 – 0.62 4. ด้านการจูงใจตนเอง มจี านวน 8 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ (Cronbach’s alpha) เท่ากบั 0.847 มคี ่าอานาจจาแนกวดั จากค่าสมั ประสทิ ธสิ หสมั พนั ธอ์ ยใู่ นชว่ ง 0.52 – 0.70 5. ดา้ นการบรหิ ารจดั การบุคคล มจี านวน 5 ขอ้ มคี ่าความเช่อื มนั่ (Cronbach’s alpha) เทา่ กบั 0.803 มคี า่ อานาจจาแนกวดั จากคา่ สมั ประสทิ ธสิ หสมั พนั ธอ์ ยใู่ นช่วง 0.53 – 0.64 6. ด้านการจดั การส่ิงแวดล้อมท่เี ป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ มจี านวน 5 ข้อ มคี ่า ความเช่อื มนั่ (Cronbach’s alpha) เท่ากบั 0.845 และมคี ่าอานาจจาแนกวดั จากค่าสมั ประสิทธิ สหสมั พนั ธอ์ ยใู่ นชว่ ง 0.54 – 0.62 ตวั อย่างเครอื่ งมอื วดั ความฉลาดทางสขุ ภาพ ( Health quotient - HQ) โดยกองสขุ ศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ รว่ มกบั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง (2559) ตาราง 6-3 แบบสอบถามความฉลาดทางสขุ ภาพ ระดบั ความสามารถและความรสู้ ึก มากที่สดุ มาก น้อย น้อยที่สดุ ขอ้ ที่ ขอ้ ความ 1. ด้านความรสู้ ึก (3) (3) (2) (1) ฉนั ภูมใิ จกบั การดแู ลความปลอดภยั ในชวี ติ ของตนเอง องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

201 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ขอ้ ท่ี ข้อความ ระดบั ความสามารถและความรสู้ ึก 2. ฉนั พอใจกบั สภาพรา่ งกายทเ่ี ป็นอยู่ มากท่ีสดุ มาก น้อย น้อยท่ีสุด 3. ฉนั มคี วามสขุ เมอ่ื นึกถงึ สขุ ภาพของตนเอง 4. ฉนั รสู้ กึ มคี วามสขุ ทุกครงั้ ทไ่ี ดอ้ อกกาลงั กาย (3) (3) (2) (1) 5. ฉนั ภมู ใิ จกบั การทฉ่ี นั สามารถเลอื กกนิ อาหารทม่ี ปี ระโยชน์ 6. ฉนั พอใจกบั การทฉ่ี นั สามารถผ่อนคลายความเครยี ดได้ 7. ด้านความตระหนัก ฉนั เหน็ ความจาเป็นทจ่ี ะตอ้ งดแู ลสขุ ภาพรา่ งกายของฉนั ใหด้ ขี น้ึ 8. ฉนั ใหค้ วามสาคญั กบั สงิ่ ทค่ี นอ่นื รสู้ กึ ต่อสขุ ภาพของฉนั 9. ฉนั ใสใ่ จกบั สขุ ภาพทเ่ี ป็นอยขู่ องฉนั 10. ฉนั ใสใ่ จกบั การเปลย่ี นแปลงดา้ นสขุ ภาพของฉนั 11. ฉนั ใหค้ วามสาคญั ต่อการตรวจสขุ ภาพตนเอง 12. ดา้ นการกากบั ตนเอง ฉนั หมนั่ สงั เกตการเปลย่ี นแปลงสขุ ภาพรา่ งกายของตนเอง 13. เมอ่ื ฉนั ป่วย ฉนั คอยควบคมุ การปฏบิ ตั ติ วั อยา่ งเครง่ ครดั ใหม้ ี สขุ ภาพดขี น้ึ 14. ฉนั วางแผน ดแู ลป้องกนั ตนเองเพอ่ื ลดความเสย่ี งต่ออบุ ตั เิ หตุ 15. ฉนั พยายามหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมทท่ี าลายสขุ ภาพของฉนั 16. แมว้ ่าสขุ ภาพร่างกายฉนั จะดหี รอื ไมก่ ต็ าม ฉนั ยงั หมนั่ ดแู ลตนเอง ต่อเน่ือง 17. ฉนั เตอื นตนเองใหท้ ากจิ กรรมทม่ี ผี ลดตี ่อสขุ ภาพ 18. ฉนั เตอื นตนเอง ไม่ใหท้ าสงิ่ ทเ่ี ป็นผลเสยี ต่อสขุ ภาพ 19. ด้านการจงู ใจตนเอง ฉนั ตอ้ งการมสี ขุ ภาพทด่ี ี ฉนั จงึ ดแู ลสขุ ภาพตนเองอย่เู สมอ 20. ฉนั พยายามลดการกนิ น้าตาลและแป้งลงเพ่อื รกั ษารปู รา่ งใหด้ ี 21. ฉนั พยายามเคล่อื นไหวร่างกายทกุ วนั เพอ่ื ใหร้ ่างกายเผาผลาญ พลงั งาน 22. ฉนั พยายามกนิ ผกั ผลไมเ้ ป็นหลกั ใหไ้ ดท้ ุกมอ้ื เพอ่ื ควบคุม น้าหนกั ตวั เอง 23. ฉนั ตอ้ งการขบั ถ่ายสะดวก ฉนั จงึ กนิ ผกั ผลไมท้ กุ มอ้ื 24. ฉนั ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนา เพอ่ื ทาใหฉ้ นั จดั การกบั อารมณ์ ตนเองไดด้ ี 25. เพ่อื คนทฉ่ี นั รกั ฉนั จงึ ตอ้ งดแู ลสขุ ภาพตนเองอยเู่ สมอ 26. ฉนั ไมอ่ ยากเสยี เงนิ เสยี เวลาในการรกั ษาพยาบาล ฉนั จงึ ใสใ่ จ ดแู ลสขุ ภาพ 27. ด้านการบริหารจดั การบุคคล ฉนั ชกั ชวนใหผ้ อู้ ่นื ลดการกระทาทม่ี ผี ลเสยี ต่อสขุ ภาพของฉนั ได้ 28. ชกั ชวนใหผ้ อู้ น่ื เพม่ิ การกระทาทม่ี ผี ลดตี ่อสขุ ภาพ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

202 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ ระดบั ความสามารถและความรสู้ ึก ขอ้ ท่ี ขอ้ ความ มากท่ีสดุ มาก น้อย น้อยที่สดุ (3) (3) (2) (1) 29. ฉนั กลา้ เตอื นผอู้ น่ื ทม่ี พี ฤตกิ รรมเสย่ี งต่อสขุ ภาพของฉนั เช่น ไมใ่ หส้ บู บหุ รใ่ี นทส่ี าธารณะ ใหใ้ ชผ้ า้ ปิดปากไอจาม ใชช้ อ้ นกลาง 30. ฉนั มวี ธิ กี ารตอบโตส้ อ่ื โฆษณา ทส่ี ง่ ผลเสยี ต่อการดแู ลสขุ ภาพ ของฉนั เช่น ไมใ่ ชส้ นิ คา้ และบรกิ ารนนั้ รอ้ งเรยี นต่อหน่วยงาน ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เป็นตน้ 31. ฉนั เสนอทางเลอื กใหผ้ อู้ ่นื ดแู ลสขุ ภาพตนเองและสงั คมรว่ ม ดว้ ย เช่น เมาไมข่ บั ไม่ทง้ิ ขยะหรอื ของเสยี ในทส่ี าธารณะ 32. ด้านการจดั การสิ่งแวดลอ้ มที่เป็นสาเหตขุ องปัญหาสขุ ภาพ ฉนั หาสาเหตุเกย่ี วกบั กลน่ิ เหมน็ ในบา้ นหรอื ในชมุ ชนเพ่อื การ แกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม 33. ฉนั ดแู ลความสะอาด ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยของทพ่ี กั อาศยั ของตนเอง 34. ฉนั มวี ธิ กี ารจดั การกบั ขยะมพี ษิ เพ่อื ไมใ่ หเ้ ป็นอนั ตรายต่อ สขุ ภาพของฉนั และคนในชมุ ชน 35. ฉนั มสี ว่ นร่วมในการลดปรมิ าณขยะในชมุ ชน โดยการใชถ้ งุ ผา้ แทนการใชถ้ ุงพลาสตกิ 36. ฉนั มวี ธิ กี ารดแู ลเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าภายในบา้ นใหอ้ ย่ใู นสภาพทใ่ี ช้ งานอย่างปลอดภยั ตาราง 6-4 เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั ความฉลาดทางสุขภาพจาแนกตามองคป์ ระกอบ องคป์ ระกอบ ช่วงคะแนน ระดบั 1.ความรสู้ กึ น้อยกว่า 15 คะแนน หรอื < 60% ของคะแนนเตม็ ต่า (6 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ 15 - 19 คะแนนหรอื > 60 – < 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง 24 คะแนน) 20 - 24 คะแนนหรอื > 80% ของคะแนนเตม็ น้อยกว่า 13 คะแนน หรอื < 60% ของคะแนนเตม็ สงู 2. ความตระหนกั 13 - 16 คะแนนหรอื > 60 – < 80% ของคะแนนเตม็ ต่า (5 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ มากกว่า 16 คะแนนหรอื > 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง 20 คะแนน) น้อยกว่า 17 คะแนน หรอื <60 % ของคะแนนเตม็ สงู 17 - 22 คะแนนหรอื > 60% - < 80% ของคะแนนเตม็ ต่า 3. การกากบั ตนเอง มากกว่า 22 คะแนน หรอื > 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง (7 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ น้อยกวา่ 20 คะแนน หรอื < 60% ของคะแนนเตม็ สงู 28 คะแนน) 20 - 25 คะแนน หรอื 60 – < 80% ของคะแนนเตม็ ต่า มากกว่า 25 คะแนนหรอื > 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง 4. การจงู ใจตนเอง น้อยกว่า 13 คะแนน หรอื < 60% ของคะแนนเตม็ สงู (8 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ ต่า 32 คะแนน) 5. การบรหิ ารจดั การบุคคล องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

203 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ องคป์ ระกอบ ช่วงคะแนน ระดบั (5 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ 13 - 16 คะแนนหรอื > 60 – < 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง 20 คะแนน) มากกว่า 16 คะแนนหรอื > 80% ของคะแนนเตม็ สงู น้อยกวา่ 13 คะแนน หรอื < 60% ของคะแนนเตม็ ต่า 6. การจดั การสงิ่ แวดลอ้ มท่ี 13 - 16 คะแนนหรอื > 60 – < 80% ของคะแนนเตม็ เป็นสาเหตุของปัญหา มากกวา่ 16 คะแนนหรอื > 80% ของคะแนนเตม็ ปานกลาง สขุ ภาพ (5 ขอ้ ๆ ละ 4 คะแนน เตม็ 20 คะแนน) สงู ตาราง 6-5 เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั ความฉลาดทางสุขภาพในภาพรวม ระดบั คะแนนรวมที่ได้ (จานวน 36 ข้อ คะแนนเตม็ 144 คะแนน) ต่า น้อยกวา่ 87 คะแนน หรอื < 60 % ของคะแนนเตม็ ปานกลาง 87 - 115 คะแนน หรอื > 60 % - < 80% ของคะแนนเตม็ มากกว่า 115 คะแนน หรอื > 80% ของคะแนนเตม็ สงู สรปุ ไดว้ ่า จากโมเดลลเชงิ เหตุและผลของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของ นกั วชิ าการด้าน สุขภาพหลายท่านโดยเฉพาะ โมเดลความรอบรู้ด้านสุขภาพในบทบาทของผลลพั ธ์จากการ ส่งเสรมิ สุขภาพของ นัทบมี จะพบว่าผลลพั ธท์ างสุขภาพของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพนัน้ เป็น ผลลพั ธ์ทางสุขภาพในระยะต้นและระยะกลาง ท่เี กดิ ขน้ึ ภายหลงั การส่งเสรมิ และพฒั นาความ รอบรูด้ ้านสุขภาพของบุคคลให้สูงขน้ึ ได้แก่ พฤตกิ รรมการดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทดี่ ี ท่ี ประกอบดว้ ยพฤตกิ รรม 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) การควบคุมโรค 2) การรบั ประทานอาหารเพ่อื สุขภาพ 3) การออกกาลงั กาย 4) การมีสุขภาวะทางจติ ท่ีดีและ 5) การเข้าร่วมกิจกรรมทางสงั คม พฤตกิ รรมการจดั การและเผชญิ ปัญหา ท่ปี ระกอบด้วย ความรสู้ กึ และพฤตกิ รรม 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ความเครยี ด 2) การเผชญิ ปัญหา และ 3) การปรบั ตวั คณุ ลกั ษณะความฉลาดดา้ นสขุ ภาพ ท่ี ประกอบด้วย ความรสู้ กึ และพฤตกิ รรม 6 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ความรสู้ กึ 2) ความตระหนัก 3) การ กากบั ตนเอง 4) การจงู ใจตนเอง 5) การบรหิ ารจดั การบุคคล และ 6) การจดั การสง่ิ แวดลอ้ มท่ี เป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ ทงั้ น้ี ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ ยงั มผี ลกระทบในทางบวกท่เี กิดข้นึ อีกหลายด้านทงั้ ท่เี ป็นคุณลกั ษณะทางจติ พฤติกรรมและ สิ่งแวดล้อมทงั้ ทางกายภาพและทางสงั คมท่เี ปล่ยี นแปลงไปในทางท่ดี ขี ้นึ ดงั นัน้ นอกจาก การศกึ ษาปัจจยั ท่สี ่งผลต่อความรอบรูด้ ้านสุขภาพแล้ว ยงั มคี วามน่าสนใจท่นี ักวชิ าการด้าน สุขภาพควรมกี ารศึกษาวิจยั ถึง ผลลพั ธ์ทางสุขภาพของความรอบรู้ด้านสุขภาพท่ีเกิดข้ึน สามารถวเิ คราะหห์ รอื ประเมนิ คุณค่าในเชงิ ทเ่ี ป็นการเปลย่ี นแปลงดา้ นศกั ยภาพและพฤตกิ รรม ในระดบั บุคคล และระดบั กลมุ่ ระดบั ชมุ ชนในเชงิ เศรษฐกจิ และสงั คมทด่ี ขี น้ึ ต่อไป องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

204 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ เอกสารอ้างอิง กองสขุ ศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพ และองั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง (2559). แบบวดั ความ ฉลาดทางสุขภาพ (Health quotient-HQ Assessment). เอกสารการประชุมปฏบิ ตั กิ าร เพ่อื การพฒั นาแบบวดั HQ. นนทบุร:ี กองสขุ ศกึ ษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. เกศสริ ิ ปัน้ ธรุ ะ (2552). วถิ ชี วี ติ ทมี่ ผี ลต่อการเสรมิ สรา้ งสขุ ภาวะของประชาชน เขตดนิ แดง กรงุ เทพมหานคร : รายงานการวจิ ยั . กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา. ชาญวทิ ย์ โคธรี านุรกั ษ์. (2547). อยอู่ ยา่ งไรใหม้ สี ุขอายยุ นื ยาวถงึ 100 ปี. เฮลทเู ดย,์ 4, 42 (กนั ยายน 2547) 28. สบื คน้ เมอ่ื 10 กรกฎาคม 2550 จาก www.oknation.net/blog/print.php?id=151752. ประเวศ วะส.ี (2546). การปฏบิ ตั เิ งยี บ: การปฏริ ปู ระบบสุขภาพแห่งชาต.ิ นนทบุร:ี สานกั ปฏริ ปู ระบบสุขภาพแห่งชาต.ิ ปารชิ าต เทพอารกั ษ์ และ อมรวรรณ ทวิ ถนอม. (2550). สขุ ภาวะของคนไทย จดุ เรมิ่ ตน้ ของ ความอยเู่ ยน็ เป็นสุข. วารสารเศรษฐกจิ และสงั คม, มกราคม - มนี าคม, 12-17. พชิ าดา สุทธแิ ป้น องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และ วริ ณิ ธิ ์กติ ตพิ ชิ ยั . (2560). การวจิ ยั และพฒั นา โปรแกรมการจดั การตนเองสาหรบั ผสู้ งู อายทุ มี่ คี วามดนั โลหติ สงู ต่อพฤตกิ รรมการดาเนิน ชวี ติ อยา่ งมสี ขุ ภาวทดี่ แี ละผลลพั ธท์ างสุขภาพ. ปรญิ ญานพิ นธป์ รชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ (การ วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตรป์ ระยกุ ต)์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. วพิ ธุ พลู เจรญิ . (2544). สุขภาพ อุดมการณ์และยุทธศาสตรท์ างสงั คม. กรงุ เทพฯ: สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข. วริ ยิ ะ สวา่ งโชต.ิ (2550). คณุ ภาพชวี ติ และการสง่ เสรมิ สุขภาพ. สบื คน้ เมอ่ื 28 กุมภาพนั ธ์ 2555 จาก http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=410. สสส. (2551). แนะหลกั 6 อ. สรา้ งสุขภาพคนไทย. กรงุ เทพฯ: สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการ สรา้ งเสรมิ สุขภาพ. สบื คน้ เม่อื 20 มกราคม 2558 จาก http://www.thaihealth.or.th/node/5331. สุชานนั ท์ คณู ผล. (2553). แนวทางการพฒั นาสุขภาวะทางกายของประชาชนในตาบลหนองกนิ เพล อาเภอวารนิ ชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี. ปรญิ ญารฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ วทิ ยาลยั การปกครองทอ้ งถน่ิ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข. (2554). แผนยทุธศาสตร์ สขภุ าพดวี ถิ ชี วี ติ ไทย พ.ศ.2554-2563. นนทบุร:ี กระทรวงสาธารณสขุ . องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

205 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง. (2549). การวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุและดชั นีวดั ภาวะวกิ ฤต ชวี ติ สตรไี ทยสมรสวยั กลางคนวยั กลางคนทท่ี างานนอกบา้ นในกรงุ เทพมหานครและ ปรมิ ณฑล. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร,์ 12 (1), 49-71. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง อรพนิ ทร์ ชูชม และอจั ฉรา สขุ ารมณ์. (2550). ปัจจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ภาวะวกิ ฤตชวี ติ ของสตรไี ทยสมรสวยั กลางคนทท่ี างานในภาครฐั รฐั วสิ าหกจิ และเอกชน. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร,์ 13(1), 50-65. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง และ ฉตั รชยั เอกปัญญาสกุล. (2560). อทิ ธพิ ลของจติ วทิ ยาเชงิ บวก และ บรรทดั ฐานทางสงั คมวฒั นธรรมทมี่ ตี ่อพฤตกิ รรมสุขภาพทดี่ แี ละสุขภาวะครอบครวั โดยสง่ ผ่าน ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพของ ครอบครวั ในชมุ ชนกงึ่ เมอื ง: การวจิ ยั ผสานวธิ .ี กรงุ เทพฯ: รายงานวจิ ยั ฉบบั ท่ี 178 สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. Amara R, Bodenhorn K, Cain M, Carlson R, Chambers J, Cypress D, Dempsey H, Falcon R, Garces R, et al. (2010). Health and health care 2010: The forecast, the challenge 2nd ed. The Institute for the Future San Francisco, CA: Published by Jossey-Bass A Wiley Imprint. Baker DW, Wolf M, Feinglass J, & Thompson J. (2008). Health literacy, cognitive abilities, and mortality among elderly persons. Journal of General Internal Medicine, 23(6), 723–726. doi:10.1007/s11606-008-0566-4. Baker DW, Gazmararian JA, Williams MV, Scott T, Parker R.M, Green D, & Peel J. (2002). Functional health literacy and the risk of hospital admission among medicare managed care enrollees. American Journal of Public Health, 92(8), 1278–1283. doi:10.2105/AJPH.92.8.1278. Berkman ND, Sheridan SL, Donahue KE, Halpern DJ, Viera A, Crotty K, Holland A, Brasure M, Lohr KN, Harden E, Tant E, Wallace Ina, & Viswanathan M. (2011). Health literacy interventions and outcomes: An updated systematic review. RTI International–University of North Carolina Evidence-based Practice Center Research Triangle Park, North Carolina, AHRQ Publication. Chin J, Morrow DG, Stine-Morrow EAL, Garcia TC, Graumlich JF, & Murray MD. (2011). The process-knowledge model of health literacy: Evidence from a componential analysis of two commonly used measures. Journal Health Community, 16, 222–241. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

206 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ Dewalt DA, Berkman ND, Sheridan S, et al. (2004). Literacy and health outcomes: A systematic review of the literature. J Gen Intern Med, 19(12), 1228-39. Edwards M, Wood F, Davies M, & Edwards A. (2012). The development of health literacy in patients with a long-term health condition: The health literacy pathway model. BMC Public Health, 12, 130. doi: 10.1186/1471-2458-12-130. Elizabeth A, Hahn MA, Magasi RS. Carlozzi EN, Tulsky SD, Wong A, et al. (2017). Health and functional literacy in physical rehabilitation patients. HLRP: Health Literacy Research and Practice, 1(2), e71-e85. doi: 10.3928/24748307-20170427-02. Foroushani AR, Estebsari F, Mostafaei D, Ardebili HE, Shojaeizadeh D, Dastoorpour M, Jamshidi E, & Taghdisi MH. (2014). The effect of health promoting intervention on healthy lifestyle and social support in elders: A clinical trial study. Iranian Red Crescent Medical Journal, 16(8), e18399. doi: 10.5812/ircmj.18399. Gillis AJ. (1997). The adolescent lifestyle questionnaire: Development and psychometric testing. Canadian Journal of Nursing Research, 29(1), 29-46. Hacihasanoglu R & Gozum S. (2011). The effect of patient education and home monitoring on medication compliance, hypertension management, healthy lifestyle behaviors and BMI in a primary health care setting. Journal of Clinical Nursing, 20, 692-705. Hahn EA, Cella D, Dobrez DG, et al. (2007). The impact of literacy on health-related quality of life measurement and outcomes in cancer outpatients. Qual Life Res, 16(3), 495-507. Hoeger WK & Hoeger AS. (2011). Lifetime physical fitness and wellness: A personalized program. CA: Wadsworth Cengage Learning. Institute of Medicine-IOM. (2004). Health literacy: A prescription to end confusion. Retrieved on May 20, 2016 from http://www.iom.edu/Reports/2004/health-literacy- a-prescription-to-end-confusion.aspx. Johnston MV, Diab ME, Kim SS, & Kirshblum S. (2005). Health literacy, morbidity, and quality of life among individuals with spinal cord injury. Journal of Spinal Cord Medicine, 28(3), 230–240. doi: 10.1080/10790268.2005.11753817. Kickbusch I. (2006). The need for a European strategy on global health. Scand J Public Health, 34, 561–5. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

207 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ Lee K, Ng SF, Ng EL, & Lim ZY (2004). Working memory and literacy as predictors of performance on algebraic word problems. J Exp Child Psychol, 89(2), 140-58. Lee S.-Y.D., Arozullah AM.& Cho YI. (2004). Health literacy, social support, and health: A research agenda. Social Science & Medicine, 58, 1309-1321. doi: 10.1016/S0277-9536(03)00329-0. Mancuso AC & Rincon M. (2006). Impact of health literacy on longitudinal asthma outcomes. J Gen Intern Med, 21(8), 813–817. doi: 10.1111/j.1525-1497.2006.00528.x Medibank Private Limited. (2011). Health literacy implications for Australia: Final report. Melbourne, Australia. Muir KW, Santiago-Turla C, Stinnett SS, et al. (2006). Health literacy and adherence to glaucoma therapy. Am J Ophthalmol, 142(2), 223–226. NAAL. (2003). The Health literacy of America’s adults: Results from the 2003 national assessment of adult literacy. National Assessment of Adult Literacy. Retrieved on May 20, 2016 from https://nces.ed.gov/naal/health.asp. Nokes KM, Coleman CL, Cashen M, et al. (2007). Health literacy and health outcomes in HIV seropositive persons. Res Nurs Health, 30(6), 620-7. Nutbeam D. (2000). Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies intothe 21st century. Health Promotion International, 15(3), 259-267. doi: 10.1093/heapro/15.3.259. Rattanapun S, Fongkeaw W, Chontawan R, Panuthai A, & Wesumperuma D. (2009). Characteristics healthy ageing among the elderly in Southern Thailand. CMU Journal of Natural Sciences, 8(2), 143-160. Schillinger D, Grumbach K, & Piette J. (2002). Association of health literacy with diabetes outcomes. JAMA, 288(4), 475-482. doi: 10.1001/jama.288.4.475. Sharif I & Blank AE. (2010) Relationship between child health literacy and body index in overweight children. Patient Education and Counseling, 9, 43-48. Snell EW & Johnson G. (1997). The multidimensional health questionnaire (MHQ). Missouri: Published by Testing Service. Retrieved on September 24, 2014 from http://www4.semo.edu/snell/scales/MHQ.htm. Sørensen K, Van den Broucke S, Fullam J, Doyle G, Pelikan J, Slonska Z, & Brand H. (HLS-EU) Consortium Health Literacy Project European. (2012). Health literacy องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

208 บทท่ี 6 ผลลพั ธข์ องความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ __________________________________________________________________________________________ and public health: A systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health, 12(80), 1-13. doi: 10.1186/1471-2458-12-80. Sutipan p & Intarakamhan U. (2017). Healthy lifestyle behavioral needs among the elderly with hypertension in Chiang Mai, Thailand. International Journal of Behavioral Science, 12(1), 1-12. Thanakwang K, Isaramalai S, & Hatthakit U. (2014). Development and psychometric testing of the active aging scale for Thai Adults. Clinical Interventions in Aging, 9, 1211–1221. Vosbergen S, Peek N, Mulder-Wiggers JM, Kemps HM, Kraaijenhagen RA, Jaspers MW, & Lacroix JP. (2014). An online survey to study the relationship between patients' health literacy and coping style and their preferences for self- management-related information. Patient Prefer Adherence, 8, 631-42. doi:10.2147/PPA.S57797. Walker SN, Sechrist KR, & Pender NJ. (1987). The health promoting lifestyle profile development and psychometric characteristics. Nursing Research, 36(2), 76-80. WHO. (1986). Ottawa Charter for Health Promotion. First International Conference on Health Promotion Ottawa. from ww.who.int/hpr/NPH/docs/ottawa_charter_hp.pdf. WHO. (2009). Health literacy and health promotion. Definitions, concepts and examples in the Eastern Mediterranean Region. Individual empowerment conference working document. 7th Global Conference on Health Promotion Promoting Health and Development. Nairobi, Kenya, 26-30. Zendarski N, Sciberras E, Mensah F, & Hiscock H. (2017). Academic Achievement and Risk Factors for Adolescents with Attention-Deficit Hyperactivity Disorder in Middle School and Early High School. J Dev Behav Pediatr, 7. doi:10.1097/DBP.0000000000000460. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

209 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ บทที่ 7 โรคเมตาบอลิก ปัญหาสุขภาพของประชากรอยู่ในความสนใจทวั่ โลกมาอย่างต่อเน่ืองและมีแนวโน้ม เพม่ิ ขน้ึ ตลอดเวลา เพราะฐานความคดิ หลกั ของสงั คมเปลย่ี นไปจากเดมิ ทเ่ี คยเช่อื ว่า การพฒั นา ทางเศรษฐกจิ จะเป็นฐานของการพฒั นาในทุกดา้ นของประชากร มาส่กู ารมุ่งเน้นใหค้ วามสาคญั กบั ทุนมนุษยท์ ค่ี รอบคลุมทงั้ ทุนทางสงั คมวฒั นธรรม (Social and cultural capital) ทพ่ี จิ ารณา คุณค่าและประโยชน์ส่วนรวมของสงั คมและทุนทางจติ วิทยาเชิงบวก (Positive psychology capital) ทเ่ี ป็นภมู คิ ุม้ กนั ใหบ้ ุคคลพบกบั ความสุขทย่ี งั่ ยนื (Sustainable happiness) โดยเฉพาะ การสะสมต้นทุนทางสุขภาพด้วยการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) ใน หลกั สูตรชวี ติ อย่างต่อเน่ืองในวถิ ีประจาวนั ถือเป็นการเรยี นรู้ ในการดูแลและรบั ผิดชอบต่อ สุขภาพของตนเองท่จี ะนาไปสู่การมสี ุขภาวะท่ดี ไี ด้ (Well-being) ซ่งึ รวมอยู่ในมติ ขิ องการเป็น คนดี คนเก่งและคนมคี วามสุขหรอื เรยี กไดว้ า่ เป็นคนอนาคตทม่ี คี ุณภาพสงู นนั่ เอง สาหรบั ประเทศไทย มีนโยบายและการจดั การด้านการแพทย์และสาธารณสุขทัง้ ใน ภาครฐั และเอกชนทใ่ี หค้ วามสาคญั กบั การส่งเสรมิ และการป้องกนั โรคดว้ ยการพฒั นาใหป้ ระชาชน มสี ุขภาพท่ีดเี พิม่ มากข้นึ ตามคาประกาศของ องค์การอนามยั โลก (World Health Organization – WHO) ในท่ปี ระชุมส่งเสรมิ สุขภาพโลกครงั้ ท่ี 9 เม่อื วนั ท่ี 21 - 24 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2559 ท่เี มอื ง เช่ียงไฮ้ ท่ีขอให้ชาติสมาชิกทวั่ โลก เน้นให้ประชาชนมีทกั ษะและความสามารถท่ีจะควบคุม สุขภาพได้ด้วยตนเองตามวิถีการดาเนินชีวิตอย่างมีสุขภาวะท่ีดี (Well-being and Healthy lifestyle) (WHO, 2016) โดยเฉพาะการควบคุมในกลุ่มโรคเร้อื รงั ท่มี ีสาเหตุมาจากพฤติกรรม สุขภาพท่ีไม่เหมาะสม หรอื ท่ีเรียกว่า กลุ่มโรคเมตาบอลิก (Metabolic syndrome) ซ่ึง หมายถงึ กลุ่มอาการของโรคทม่ี กี ระบวนการเผาผลาญอาหารทก่ี ่อใหเ้ กดิ พลงั งานและของเสยี ใน รา่ งกายมคี วามผดิ ปกตขิ น้ึ โดยมสี าเหตุหลกั มาจากภาวะอ้วน (Obesity) อ้วนลงพุง (Abdominal obesity or syndrome X, Reaven's syndrome - named for Gerald Reaven) ภาวะด้อื อนิ ซูลนิ (Insulin resistance syndrome) หรอื พบในโรคเบาหวาน รวมถงึ ความผดิ ปกตขิ องไขมนั ในเลอื ด ทน่ี าไปสู่ความดนั โลหติ สูงและระดบั น้าตาลในเลอื ดสงู โดยมเี กณฑค์ าจากดั ความวา่ พบ 3 ใน 5 ของปัจจยั เส่ยี งไดแ้ ก่ รอบเอวใหญ่ ไตรกลเี ซอไรด์สูง เอสดแี อลต่า ความดนั โลหติ สูง และระดบั น้าตาลในเลอื ดสูง (Lam & LeRoith, 2015) ซ่งึ สามารถสรุปเกณฑ์การวนิ ิจฉัยตามท่อี งค์กรใน ต่างประเทศ ไดเ้ สนอไวเ้ หมอื นและแตกต่างกนั ดงั ตาราง 7-1 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

210 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ตาราง 7-1 เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั ในกลุ่มโรคเมตาบอลกิ ของต่างประเทศ TheUSNational International WorldHealth The European Group เกณฑ์ CholesterolEducation DiabetesFederation Organization for the Study of Program(NCEP,2001) (IDF,2006) (WHO, 1999) Insulin Resistance (EGIR, 1999) 1. เสน้ รอบเอว > 102 / 40 ในผชู้ าย > 90 ซม. ในผชู้ าย > 94 ซม. ในผชู้ าย เซน็ ตเิ มตร /น้วิ > 88 / 36 ในผหู้ ญงิ - > 80 ซม. ในผหู้ ญงิ > 80 ซม. ในผหู้ ญงิ 2. อตั ราสว่ น - - > 0.90 ในผชู้ าย - รอบเอวกบั สะโพก > 0.85 ในผหู้ ญงิ 3. ดชั นีมวลกาย ดชั นมี วลกาย (Body BMI BMI BMI (BMI) (กโิ ลกรมั Mass Index: BMI) > 30 กก./ม2 > 30 กก./ม2 > 30 กก./ม2 ต่อตารางเมตร) > 30 กก./ม2 4. ความดนั โลหติ > 130/85 > 130/85 > 140/90 > 140/90 (มลิ ลเิ มตร ปรอท) 5. ระดบั เอชดแี อล < 40 มก./ดล. < 40 มก./ดล. < 0.9 มลิ ลโิ มล/ < 1.0 มลิ ลโิ มล/ (มลิ ลกิ รมั / ในผชู้ าย หรอื ในผชู้ าย หรอื ลติ รในผชู้ าย ลติ ร เดซลิ ติ ร) < 50 มก./ดล. < 50 มก./ดล. < 1.0 มลิ ลโิ มล/ ในผหู้ ญงิ ในผหู้ ญงิ ลติ รในผหู้ ญงิ 6. ระดบั ไตรกลี > 150 มก./ดล. > 150 มก./ดล. > 1.695 > 2.0 มลิ ลโิ มล/ลติ ร เซอไรด์ (1.7 มลิ ลโิ มล/ลติ ร) มลิ ลโิ มล/ ลติ ร (มลิ ลกิ รมั /เดซลิ ติ ร) 7. ระดบั น้าตาล FPG > 6.1 FPG > 5.6 มลิ ลิ - > 6.1 มลิ ลโิ มล/ลติ ร ในเลอื ด มลิ ลโิ มล/ ลติ ร โมล/ ลติ ร, FBS FBS > 110 มก./ดล. >100 มก./ดล. 8. ระดบั อลั บมู นิ ใน > 20 ไมโครกรมั / ปัสสาวะ และ นาที อตั ราสว่ นของ - - > 30 มก./กรมั - อลั บมู นิ /ครตี นิ ิน สาหรบั เกณฑก์ ารพจิ ารณาความเสย่ี งต่อโรคเมตาบอลกิ ในประเทศไทย ตามเกณฑข์ อง สานกั งานหลกั ประกนั สุขภาพแห่งชาติ (สปสช., 2553) ทไ่ี ดพ้ ฒั นาเป็น แบบบนั ทกึ การตรวจคดั กรองยนื ยนั ความเสย่ี งต่อภาวะกลุ่มโรคเมตาบอลกิ ใน 2 กลุ่มไดแ้ ก่ กลุ่มทม่ี อี ายุ 15 - 34 ปี จะ รวมการตอบแบบสอบถาม การวดั ความดนั โลหติ การชงั่ น้าหนกั การวดั ส่วนสงู การวดั เสน้ รอบ เอว และกลุ่มท่มี อี ายุ -35 ปีขน้ึ ไปท่เี พม่ิ การเจาะเลอื ดและตรวจรา่ งกาย และใช้ขอ้ มลู ทวั่ ไปใน แบบสอบถาม ประกอบดว้ ย ประวตั สิ ุขภาพของสมาชกิ ในครอบครวั ไดแ้ ก่ ประวตั กิ ารเจบ็ ป่วย ดว้ ยโรคกลุ่มเมตาบอลกิ ของบดิ ามารดาและพ่นี ้องสายตรง และประวตั กิ ารเจบ็ ป่ วยของผูต้ อบ แบบสอบถามได้แก่ พฤติกรรมสูบบุหร่ี การด่มื เคร่อื งด่มื ท่มี แี อลกอฮอล์ การออกกาลงั กาย รสอาหารทช่ี อบ เป็นตน้ ดงั ตาราง 7-2 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

211 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ตาราง 7-2 เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั ในกลมุ่ โรคเมตาบอลกิ ของประเทศไทย (สปสช., 2553) โรคเมตาบอลิก ดชั นีชี้วดั เกณฑพ์ ิจารณาความเส่ียง โรคเบาหวาน 1. อายุ 45 - 49 ปี ให้ 1 และ > 50 ปี ให้ 2 คะแนน ผลรวมคะแนน 3 - 8 (Diabetes 2. เพศ ชาย ให้ 2 และ เพศหญงิ ให้ 0 คะแนน มคี วามเสย่ี งน้อยถงึ mellitus: DM) 3. BMI > 23 – < 27.5 กก./ม2 ให้ 3 และ > 27.5 ให้ 5 คะแนน ปานกลาง 4. เสน้ รอบเอว > 90 ซม.ในชาย และ > 80 ซม.ในหญงิ ให้ 2 คะแนน ผลรวมคะแนน > 9 5. ความดนั โลหติ > 140/90 มม. ปรอท ให้ 2 คะแนน มคี วามเสย่ี งสงู 6. ประวตั บิ ดิ า มารดาเป็นโรคเบาหวาน ให้ 4 คะแนน โรคความดนั 1. ประวตั พิ อ่ -แม่ หรอื พ-่ี น้อง เป็นโรคความดนั โลหติ สงู ขอ้ 1-4 พบ 1 ขอ้ โลหติ สงู 2. ไขมนั ในเลอื ดผดิ ปกติ มคี วามเสย่ี งต่อโรคความ (Hypertension: 3. BMI > 25 กก./ม2 (23 ผหู้ ญงิ ) หรอื ดนั โลหติ สงู HT) เสน้ รอบเอว > 36 น้วิ (90 ซม.) สาหรบั ผชู้ าย เสน้ รอบเอว > 32 น้วิ (80 ซม.) สาหรบั ผหู้ ญงิ ขอ้ 5-6 รว่ มกบั ขอ้ 1-4 4. ความดนั โลหติ (คา่ เฉลย่ี ) :- อกี 1 ขอ้ มคี วามเสย่ี งต่อ Systolic > 130 - 139 มม. ปรอท หรอื โรคความดนั โลหติ สงู Diastolic > 80 - 89 มม. ปรอท 5. สบู บุหร่ี : - มกี ารสบู บุหรม่ี ากกวา่ 1 มวน/วนั หรอื มกี ารสบู บหุ ร่ี 20 ซองต่อปี 6. ไม่ออกกาลงั กาย หรอื ออกกาลงั กายน้อยกว่า 3 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ โรคหลอดเลอื ด 1. ประวตั พิ ่อ-แม่ หรอื พ-่ี น้อง เป็นโรคหลอดเลอื ดสมอง พบ 2 ขอ้ ขน้ึ ไป (ตอ้ งมี สมอง (Stroke) 2. ประวตั ปิ ่วยดว้ ยโรคหรอื อาการไขมนั ในเลอื ดผดิ ปกต/ิ ขอ้ 3) มคี วามเสย่ี งต่อ หวั ใจ /อมั พาต โรคหลอดเลอื ดสมอง 3. BMI > 25 ผชู้ าย (23 ผหู้ ญงิ ) หรอื (Stroke) เสน้ รอบเอว > 36 น้วิ (90 ซม.) สาหรบั ผชู้ าย หรอื พบ 3 ขอ้ ขน้ึ ไป เสน้ รอบเอว > 32 นว้ิ (80 ซม.) สาหรบั ผหู้ ญงิ (กรณีไมม่ ขี อ้ 3) มคี วาม 4. ระดบั ความดนั โลหติ :- เสย่ี งต่อ โรคหลอดเลอื ด อายุ < 40 ปี BP > 130/80 มม.ปรอท สมอง เชน่ กนั อายุ > 40 ปี BP > 140/90 มม.ปรอท 5. มกี ารสบู บหุ รม่ี ากกวา่ 1 มวน/วนั หรอื มกี ารสบู บหุ ร่ี 20 ซองต่อปี 6. ไม่ออกกาลงั กาย หรอื ออกกาลงั กาย< 3 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ 7. มกี ารดม่ื แอลกอฮอลต์ งั้ แต่ 1 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ 8. การบรโิ ภคอาหาร (หวาน/มนั /เคม็ ) ภาวะอว้ นลงพงุ 1. เสน้ รอบเอว > 36 นว้ิ (90 ซม.) สาหรบั ผชู้ าย มภี าวะอว้ นลงพุง (Abdominal 2. เสน้ รอบเอว การแพทย์ > 32 น้วิ (80 ซม.) สาหรบั obesity) ผหู้ ญงิ สถานการณ์โรคเมตาบอลิก กลไกของโรคทเ่ี กดิ จากรา่ งกายมเี ซลลไ์ ขมนั มาก จงึ ทาใหฮ้ อรโ์ มนต่างๆ ในเซลลไ์ ขมนั หลงั่ ออกมาในเสน้ เลอื ดมากและกรดไขมนั ทม่ี อี ย่ทู วั่ รา่ งกายทเ่ี ป็นไตรกลเี ซอไรด์ (Triglyceride) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

212 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ จงึ สูง ส่วน ไขมนั ดใี นเลอื ด (High - density lipoprotein: HDL) ต่าลง แต่ไขมนั ท่ไี ม่ดใี นเลอื ด (Low - density lipoprotein: LDL) สูงข้นึ ทาให้เกิดความดันโลหิตสูง น้าตาลในเลือดสูงข้ึน ได้ หวั ใจทางานหนักจงึ ส่งผลใหเ้ กดิ โรคหวั ใจตามมา สง่ิ ทบ่ี ่งบอกหรอื สงั เกตได้เรม่ิ ต้น สาหรบั กลุ่มโรคเมตาบอลกิ คอื ความอ้วน โดยทค่ี วามอ้วนทพ่ี ุงจะเป็นอนั ตรายมากกว่าอ้วนท่สี ะโพก เพราะไขมนั จากพุงใกลต้ บั และจะเขา้ สตู่ บั ไดง้ า่ ยกวา่ ทส่ี ะโพก การทต่ี บั และตบั อ่อนสะสมไขมนั ไวม้ าก ทาใหต้ บั เกดิ การอกั เสบตามมา การหลงั่ ฮอรโ์ มนอนิ ซูลนิ ท่จี ะมาเผาผลาญน้าตาลก็จะ น้อยลง ทาให้เป็นเบาหวานตามมา ดงั นัน้ ในขอบเขตการให้บรกิ ารปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม สุขภาพ ตามนโยบายของสานักงานหลกั ประกนั สุขภาพแห่งชาติ จงึ ได้กาหนด การใหบ้ รกิ าร ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพเฉพาะในกลุ่มโรคเมตาบอลกิ ท่ปี ระกอบดว้ ย กลุ่มเสย่ี งและกลุ่ม ผปู้ ่วยโรคอ้วน โรคความดนั โลหติ สงู โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลอื ดสมอง ซง่ึ เรยี กรวมกนั ว่า เป็นโรคไม่ตดิ ต่อเรอ้ื รงั (Non-communicable diseases: NCD) ในขณะท่ี กระทรวงสาธารณสุข ไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั โรคเหล่าน้ีเป็นอย่างมากเพราะเป็นสาเหตุการตายของคนไทยสงู มากเป็น อับดบั หน่ึงมาอย่างต่อเน่ืองกว่า 10 ปี จนเกิดโครงการหมู่บ้านปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมหรอื หม่บู ้านจดั การสุขภาพเพ่อื ลด โรคความดนั โลหติ สูง โรคมะเรง็ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ดด้วย การรณรงคใ์ หล้ ดการกนิ อาหารทม่ี รี สหวาน มนั เคม็ เพม่ิ ผกั ผลไมแ้ ละออกกาลงั กายเป็นประจา ในต่างประเทศ จากรายงานขององค์การอนามยั โลก ( World Health Organization ) พบว่า ในปี ค.ศ. 2014 มจี านวนประชากรวยั ผใู้ หญ่อายุ 18 ปีขน้ึ ไป ทม่ี นี ้าหนักเกนิ (BMI > 25 kg/m2) มจี านวน เพมิ่ มากขน้ึ จากปี ค.ศ. 2010 จาก 1.6 พนั ลา้ นคน มาเป็นมากกว่า 1.9 พนั ลา้ นคน หรอื มอี ตั รา ความชุกภาวะน้าหนักเกินรอ้ ยละ 39 และจาก 400 ล้านคนท่ีอยู่ในกลุ่มโรคอ้วน (BMI > 30 kg/m2) มาเป็น 600 ลา้ นคน หรอื มอี ตั ราความชุกโรคอว้ น 13% และในปี ค.ศ. 2015 มผี ใู้ หญ่ทม่ี ี น้าหนกั เกนิ มากถงึ 2.3 พนั ลา้ นคน โดย 700 ลา้ นคน เป็นกลุ่มโรคอ้วน สาเหตุหลกั ของทวั่ โลก มาจาก การรบั ประทานอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งานสงู มาก เคล่อื นไหวออกกาลงั กายลดลง จากรปู แบบ การทางาน ความสะดวกในการเดินทางและการเพ่ิมข้นึ ของสงั คมเมอื ง (WHO, 2016) และ ประชากรในประเทศสหรฐั อเมรกิ าพบว่า มนี ้าหนักเกนิ มากท่สี ุด โดยผู้ใหญ่อายุ 20 ปีขน้ึ ไปท่ี อ้วนเท่ากบั รอ้ ยละ 37.9 และท่มี นี ้าหนักเกินเกณฑ์และอ้วนรวมกนั ถงึ 2 ใน 3 ของประชากร ผูใ้ หญ่ทงั้ หมด (National Center for Health Statistic, 2016) โดยมอี ตั ราความชุกเพมิ่ ขน้ึ จาก ผลการสารวจและตรวจร่างกาย (National Health and Nutrition Examination Survey – NHANES) ในประเทศสหรฐั อเมรกิ ามผี ู้ใหญ่ทม่ี นี ้าหนักเกนิ เกณฑ์และอ้วนรวมกนั (BMI > 25 kg/m2) ในปี ค.ศ. 2001 - 2002, 2003 - 2004, 2005 - 2006, 2007 - 2008, และ 2009 - 2010 เท่ากบั รอ้ ยละ 65.7, 66.3, 67.0, 68.0, และ 71.1 ตามลาดบั จงึ มแี นวโน้มเพมิ่ ทกุ ช่วงปี (Ruopeng, 2014) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

213 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ สาหรบั ประเทศในแถบเอเชีย จากการศึกษาของ Shila Berenji et al. (2010, 2012) พบว่า อตั ราความชุกโรคอ้วน (BMI > 30 kg/m2) ในประเทศซาอุดอิ ารเบยี ตุรกี อหิ ร่าน และ เกาหลใี ต้ เท่ากบั รอ้ ยละ 39.3, 33.0, 30.0, และ 14.2 ของประชากรทงั้ หมดในประเทศตนเอง ตามลาดบั ซง่ึ โรคอว้ นและอว้ นลงพุงเป็นสาเหตุสาคญั ทน่ี ามาส่กู ารป่วยดว้ ยโรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั (Non Communicable Disease – NCD) ท่ีสาคญั ได้แก่ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด โรคหลอด เลอื ดสมอง โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สูง โดยทงั้ น้ีพบคนทวั่ โลกป่ วยเป็นโรคความดนั โลหติ สงู 1.5 พนั ลา้ นคน และเสยี ชวี ติ จากการเป็นโรคน้ีสูงถงึ 7 ลา้ นคนต่อปี (มานิต ธรี ะตนั ติ กานนท์, 2554) จากข้อมูลสมาพนั ธ์เบาหวานนานาชาติ (International diabetes federation: IDF) ได้รายงานผู้เป็นเบาหวานทวั่ โลก 285 ล้านคนและประมาณการว่า จะมจี านวนผู้เป็น โรคเบาหวานทวั่ โลกเพม่ิ มากกว่า 435 ลา้ นคน ในปี พ.ศ. 2573 หากไม่มกี ารดาเนินการในการ ป้องกันและควบคุมท่ีมีประสิทธิภาพ และองค์การโรคหลอดเลอื ดสมองโลก (World Stroke Organization) กล่าวว่า มผี ูเ้ สยี ชวี ติ ดว้ ยโรคหลอดเลอื ดสมองเพม่ิ จากปี พ.ศ. 2548 จานวน 5.7 ลา้ นคนมาเป็น 6.5 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2558 ซง่ึ โรคน้ีเป็นสาเหตุการตายอย่ใู นอนั ดบั 2 ในผู้ทม่ี ี อายุ 60 ปีขน้ึ ไป โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชยี เช่น จนี และญ่ปี ุ่น รองจากโรคหวั ใจและอย่ใู น อนั ดบั 3 ในกลุ่มอายุ 45 ปีขน้ึ ไป รองจากโรคหวั ใจและโรคมะเรง็ และพบว่า 2 ใน 3 ของผทู้ ท่ี น อย่กู บั ความทุกขท์ รมานจากโรคหลอดเลอื ดสมอง อย่ใู นประเทศท่มี รี ายได้ปานกลางและน้อย สว่ นโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด ซง่ึ เป็นสาเหตุการเสยี ชวี ติ ตดิ อนั ดบั หน่ึงของโลก โดยมผี เู้ สยี ชวี ติ จากโรคหัวใจและหลอดเลอื ดประมาณ 17.5 ล้านคนทวั่ โลก และมแี นวโน้มเพ่ิมสูงข้นึ อย่าง ต่อเน่อื ง และในปี พ.ศ. 2558 ทวั่ โลกจะมคี นเสยี ชวี ติ จากโรคน้เี พม่ิ เป็น 20 ลา้ นคน ซง่ึ พบปัจจยั เส่ยี งต่อโรคหวั ใจและหลอดเลอื ดและโรคหลอดเลอื ดสมองคอื ประวตั คิ รอบครวั อายุ ความดนั โลหติ สูง ไขมนั ในเลอื ดสูง ภาวะอ้วน ไม่เคล่อื นไหวออกกาลงั อาหารไม่ดตี ่อสุขภาพ สูบบุหร่ี และด่มื เครอ่ื งดม่ื ทม่ี แี อลกอฮอล์ (World Heart Federation, 2014) ในประเทศไทย ภาวะน้าหนักเกนิ เกณฑแ์ ละอ้วนของคนไทย จากการสารวจสภาวะสุขภาพอนามยั ของ ประชาชนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป โดยการตรวจร่างกายครงั้ ท่ี 5 ในปี พ.ศ. 2557 พบว่า เกอื บ 3 ใน 10 คนของผูช้ ายไทยและ 4 ใน 10 คนของผู้หญิงไทยอย่ใู นเกณฑ์อ้วน (BMI > 25 kg/m2) และความชุกของโรคอ้วน ในประชากรไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป ในปี พ.ศ. 2557 คดิ เป็นร้อยละ 37.5 ซง่ึ สงู กว่าผลสารวจในปี พ.ศ. 2552 ซง่ึ พบรอ้ ยละ 34.5 ส่วนภาวะอว้ นลงพุงพบวา่ มรี อ้ ย ละ 18.6 ในผู้ชายไทยและร้อยละ 45 ในผู้หญิงไทย ซ่ึงพบค่าเฉล่ียของดัชนีมวลกายใน ประชากรไทยอายุ 15 ปีข้นึ ไป โดยเฉล่ยี เท่ากบั 23.6 kg/m2 ในผู้ชาย และ 24.6 kg/m2 ใน ผหู้ ญงิ ซง่ึ สูงกว่าเกณฑด์ ชั นีมวลกายปกตขิ องคนไทยอย่ทู ่ี 23 kg/m2 และค่าเฉลย่ี ดชั นีมวลกาย องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

214 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ เพ่มิ ข้นึ ตามอายุ จนมคี ่าสูงสุดในกลุ่มอายุ 30 - 59 ปี และลดลงหลงั อายุ 60 ปีข้นึ ไปและเม่อื เปรยี บเทยี บกบั ผลการสารวจครงั้ ท่ี 4 ในปี พ.ศ. 2552 จงึ กล่าวไดว้ ่า พบความชกุ ของภาวะอว้ น มแี นวโน้มสงู ขน้ึ อย่างชดั เจน โดยเฉพาะในผหู้ ญงิ จากความชุก (BMI > 25 kg/m2) เพมิ่ จากรอ้ ย ละ 40.7 เป็นรอ้ ยละ 41.8 ส่วนในผู้ชาย เพ่มิ จากรอ้ ยละ 28.4 เป็นรอ้ ยละ 32.9 ในการสารวจ ปัจจบุ นั ภาวะอว้ นลงพุงมคี วามชุกเพม่ิ ขน้ึ เช่นกนั จากการสารวจปี พ.ศ. 2552 ในผหู้ ญงิ รอ้ ยละ 45.0 และในผชู้ ายรอ้ ยละ 18.6 เพม่ิ เป็นรอ้ ยละ 51.3 และ 26.0 ในปี พ.ศ. 2557 ตามลาดบั (วชิ ยั เอกพลากร, 2558) และเมอ่ื เปรยี บเทยี บผลสารวจสภาวะสุขภาพอนามยั ของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป โดยการตรวจร่างกายครงั้ ท่ี 1 - 5 ในปี พ.ศ. 2534, 2539, 2547, 2552 และ 2557 พบอตั ราความชุกของโรคความดนั โลหติ สูงมแี นวโน้มเพม่ิ ขน้ึ จากรอ้ ยละ 5.4,11.0, 22.1, 22.0 และ 24.7 ตามลาดบั อตั ราความชุกของโรคเบาหวานกม็ แี นวโน้มเพม่ิ ขน้ึ จากรอ้ ยละ 2.3, 4.6, 6.8, 6.9 และ 8.9 ตามลาดบั รวมถึงภาวะไขมนั ในเลอื ดสูงท่มี แี นวโน้มเพมิ่ ข้นึ แต่ลดลงในปี พ.ศ. 2557 จากรอ้ ยละ 11.3, 12.6, 15.4, 19.4 และ 16.4 ตามลาดบั แสดงให้เหน็ ถงึ แนวโน้ม ของการเป็นโรคเมตาบอลกิ ท่เี พมิ่ สงู ขน้ึ (สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, 2555; วชิ ยั เอกพลากร, 2558) และเป็นสาเหตุการตายด้วยโรค 5 อนั ดบั ได้แก่ โรคหวั ใจและ หลอดเลือด (Cardiovascular disease: CVD) โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease: IHD) โรคหลอดเลอื ดสมอง (Stroke) โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus: DM) และโรคความดนั โลหติ สูง (Hypertension: HT) ตามลาดบั ในช่วงปี พ.ศ. 2550 - 2557 พบว่า มอี ตั ราการตาย เพม่ิ สงู ขน้ึ อยา่ งต่อเน่อื งในทุกโรค ดงั แสดงตาราง 7-3 ตาราง 7-3 จานวนและอตั ราการตายต่อประชากรไทยทุกกลุ่มวยั 100,000 คน ดว้ ยโรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั โรค จานวนคนตาย (อตั ราการตายต่อประชากรไทย 100,000 คน) ด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรงั ปี พ.ศ. 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556 2557 CVD 34,742 35,391 39,459 39,459 46,349 54,530 58,681 58,681 (55.20) (56.00) (61.94) (61.94) (72.12) (84.38) (90.34) (90.34) 13,087 13,395 13,124 13,037 14,422 15,070 17,388 18,079 IHD (20.25) (21.19) (20.68) (20.47) (22.47) (23.45) (26.91) (27.83) Stroke 12,995 13,133 13,353 17,540 19,283 20,368 23,350 25,114 (20.65) (20.78) (21.04) (27.53) (30.04) (31.69) (36.13) (38.66) 2,291 2,463 2,295 2,478 3,664 3,684 5,165 7,115 HT (3.64) (3.90) (3.62) (3.89) (5.71) (5.73) (7.99) (10.95) DM 7,686 7,725 7,019 6,855 7,625 7,749 9,647 11,389 (12.21) (12.22) (11.06) (10.76) (11.88) (12.06) (14.93) (17.53) ท่มี า: ข้อมูลมรณบตั ร สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข (สานกั โรคไมต่ ดิ ต่อ กรมควบคุมโรค, 2559) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

215 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ผลกระทบที่เกิดขึน้ ต่อบคุ คลและสงั คม จะเหน็ ไดว้ ่าสาเหตุหลกั ของการเกดิ โรคเมตาบอลกิ มาจากพฤตกิ รรมสขุ ภาพของบุคคล และสภาพแวดลอ้ มท่เี ป็นอุปสรรคต่อการดแู ลสุขภาพของประชาชนมากขน้ึ จงึ นามาสู่การเกดิ โรคอ้วนและความดนั โลหติ สูงตงั้ แต่อายุเขา้ สู่วยั ผูใ้ หญ่ ดงั ผลสารวจท่พี บว่า คนไทยอายุ 15 ปี ขน้ึ ไป ป่วยดว้ ยโรคความดนั โลหติ สงู มากถงึ 11.5 ลา้ นคน มคี วามชกุ ของโรคสงู สุดรอ้ ยละ 55.9 ในกลุ่มอายุ 80 ปีข้ึนไป และพบเป็ นสาเหตุการตายอยู่ในอันดับ 4 ของคนไทย รองจาก โรคมะเรง็ อุบตั เิ หตุ การเป็นพษิ และโรคหวั ใจ ตามลาดบั (กรมอนามยั , 2555) และยงั พบว่า คนไทยเสยี ชวี ติ ด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองเฉล่ยี วนั ละ 36 คน และนอนรกั ษาตวั ทโ่ี รงพยาบาล ของรฐั ด้วยโรคหลอดเลือดสมองเพ่ิมข้นึ 2.45 เท่า ในรอบ 10 ปี และภาครฐั ต้องสูญเสีย รายจา่ ยในการรกั ษาผปู้ ่วยโรคน้ีดว้ ยตน้ ทนุ เฉลย่ี เท่ากบั 126,665.93 บาทต่อคนต่อปี (วชิ ยั เอก พลากร, 2553) ส่วนโรคเบาหวานพบเสยี ชวี ติ ประมาณ 7,019 คนหรอื วนั ละ 19 คน คนไทย วยั 15 ปีขน้ึ ไปมากถงึ 3.46 ล้านคนกาลงั เผชญิ กบั โรคเบาหวาน (นุชรี อาบสุวรรณ และคณะ, 2553) และโรคทส่ี าคญั ทม่ี ผี ลกระทบต่อภาระโรคมากได้แก่ โรคหลอดเลอื ดสมองโดยเฉพาะใน กลุ่มอายุ 45 ปีขน้ึ ไป ซง่ึ พบอตั ราการเกดิ โรค 690 คนต่อประชากร 1 แสนคน จงึ กล่าวไดว้ ่า มี ผปู้ ่วยโรคน้ีในประเทศไทยเป็นจานวน 496,800 คน และเป็นสาเหตุสาคญั ทท่ี าใหเ้ กดิ อมั พฤกษ์ อมั พาต จากหลอดเลอื ดสมองตบี หรอื อุดตนั พบได้รอ้ ยละ 70 และหลอดเลอื ดสมองแตกพบได้ ร้อยละ 30 ของโรคหลอดเลือดสมองทัง้ หมด มีสาเหตุสาคัญมาจากความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ ไขมนั ในเลอื ดสูง อ้วน/อว้ นลงพุง สบู บุหร่ี ด่มื เคร่อื งด่มื ทม่ี แี อลกอฮอล์ ความเครยี ด ขาดการออกกาลงั กาย (ธดิ ารตั น์ อภญิ ญา และนิตยา พนั ธุเวทย์, 2556) และเมอ่ื พิจารณาถึงความรุนแรงของปัญหาของโรคหลอดเลอื ดสมองยงั พบว่า เป็นสาเหตุของการ สญู เสยี ปีสุขภาวะ (Disability adjusted life years : DALYs) ทส่ี าคญั ของประเทศ โดยพบว่า ใน ประเทศไทยโรคหลอดเลอื ดสมองเป็นสาเหตุสาคญั ของการสูญเสยี อนั ดบั 3 ในผู้ชายรองจาก โรคเอดสแ์ ละอุบตั เิ หตุการจราจร และอนั ดบั 2 ในผหู้ ญงิ รองจากโรคเอดส์ เน่ืองมาจากผู้ป่วยท่ี รอดชวี ติ จากโรคหลอดเลอื ดสมองนัน้ มกั มคี วามพกิ ารหลงเหลอื อยู่ จงึ ยงั ส่งผลต่อครอบครวั ชุมชนและประเทศชาติ นอกจากน้ีไดม้ กี ารคานวณค่าใชจ้ ่ายสาหรบั โรคหลอดเลอื ดสมองพบว่า ตน้ ทุนทางตรงสาหรบั การรบั บรกิ ารในกรณเี ป็นผปู้ ่วยใน 1,589.78 บาทต่อวนั นอน และสาหรบั การรบั บรกิ ารเป็นผู้ป่ วยนอกเท่ากับ 1,010.22 บาทต่อครงั้ และยงั มคี ่าเสยี โอกาส (Indirect cost) เน่ืองจากการขาดงานและความพิการอยู่ท่ี 101,681.20 บาท และความสูญเสียอัน เน่อื งมาจากการเสยี ชวี ติ คดิ เป็น 15,766.66 บาท ดงั นนั้ ตน้ ทุนเฉลย่ี ของผปู้ ่วยจากการเจบ็ ป่วย เท่ากบั 126,665.93 บาทต่อคนต่อปี จะเหน็ ไดว้ ่า การเจบ็ ป่วยดว้ ยโรคหลอดเลอื ดสมองนนั้ ทา ใหเ้ กดิ ภาระต่อตวั ผูป้ ่วยและครอบครวั จานวนมาก และหากผูป้ ่วยไม่สามารถรบั ภาระดงั กล่าว องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

216 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ได้ ภาครฐั จะต้องเข้ามารบั ภาระดงั กล่าว ทาให้รฐั ต้องสูญเสยี รายได้จานวนมาก ในการดูแล รกั ษาผู้ป่ วยจากโรคหลอดเลอื ดสมอง จงึ กล่าวได้ว่า โรคหลอดเลอื ดสมองเป็นโรคเร้อื รงั ท่มี ี ผลกระทบต่อสงั คมและเศรษฐกจิ ทงั้ ต่อตวั ผปู้ ่ วยเอง ครอบครวั และประเทศชาตโิ ดยรวม (ธดิ า รตั น์ อภญิ ญา และนิตยา พนั ธุเวทย,์ 2556) และเพ่อื ให้เขา้ ใจสาเหตุและสภาพปัญหาของกลุ่ม โรคเมตาบอลกิ ใหล้ ะเอยี ดมากขน้ึ จงึ มกี ารพจิ ารณาสถานการณ์เป็นรายโรค ดงั น้ี สถานการณ์โรคอ้วน จากการสารวจสภาวะสุขภาพอนามยั ของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป โดยการตรวจ รา่ งกายของสานกั นโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขในทุก 5 ปี ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2534 – 2557 พบว่า มแี นวโน้มอตั ราความชุกของโรคอ้วนเพม่ิ ขน้ึ ตามทไ่ี ดร้ ายงานไวข้ า้ งต้น ในขณะ ทก่ี รมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ผลการสารวจลา่ สุดของกรมอนามยั ในปี พ.ศ. 2555 พบว่า คนไทยมปี ัญหาภาวะโภชนาการเกนิ และกลายเป็นโรคอ้วนเพม่ิ สงู มากทส่ี ุดในรอบ 10 ปี โดยเดก็ แรกเกดิ ไปจนถงึ อายุ 12 ปี มคี วามอ้วนพุ่งสูงถงึ รอ้ ยละ 40 รองลงมาคอื ช่วงอายุ 40 - 50 ปี อ้วนเพมิ่ สูงขน้ึ เกอื บ 2 เท่า และช่วงอายุ 20 - 29 ปี มคี วามอ้วนอย่ทู ่รี อ้ ยละ 21.7 และท่ี น่าตกใจคอื ขอ้ มลู ทางการแพทยย์ นื ยนั วา่ เดก็ ไทยทอ่ี ว้ นกว่าครง่ึ หน่ึง เมอ่ื เจาะเลอื ดหาไขมนั ใน รา่ งกายแลว้ พบว่ารอ้ ยละ 70 มปี ัญหาไขมนั สงู เกนิ มาตรฐาน ผลสารวจสุขภาพลา่ สุด มคี นไทย อายุ 15 ปีขน้ึ ไปเป็นโรคอ้วน ตดิ อนั ดบั 5 ของเอเชยี แปซฟิ ิก โดยมคี นอ้วนมากถงึ 17 ลา้ นคน ทวั่ ประเทศ และยงั มแี นวโน้มเป็นโรคอ้วนเพ่ิมข้นึ อีกประมาณ 4 ล้านคนต่อปี ทาให้รฐั บาล สญู เสยี ค่าใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาลมากกว่าปีละ 1 แสนลา้ นบาท (สานักโรคไมต่ ดิ ต่อ, 2555) นอกจากน้ี ยังพบว่า สถานการณ์โรคอ้วนของไทยเพ่ิมข้ึนจนน่าตกใจ เน่ืองจากการใช้ ชวี ติ ประจาวนั มคี วามเสย่ี ง ทงั้ การบรโิ ภคอาหารเกนิ ความจาเป็น มพี ฤตกิ รรมการกนิ อาหารรส หวานเพิ่มข้นึ นามาสู่สาเหตุการเกิดโรคอ้วน เบาหวาน ไขมนั และความดันเลือดสูง ซ่งึ ใน อนาคตอีก 10 - 20 ปี รฐั บาลต้องจ่ายค่ารกั ษาอาการแทรกซ้อนจาก \"โรคกินเกิน\" เป็นเงนิ มหาศาล องคก์ ารอนามยั โลกระบุว่า ปัญหาสุขภาพท่เี ลวรา้ ย ซ่งึ เกดิ จากพฤตกิ รรม 3 อนั ดบั แรก คอื 1) พฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศนาไปส่กู ารตดิ เชอ้ื เอชไอวี 2) การสบู บุหรท่ี น่ี าไปสโู่ รคเรอ้ื รงั ต่างๆ และ 3) โรคอ้วนท่นี าไปสู่โรคเรอ้ื รงั ต่างๆ (สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสรมิ สุขภาพ, 2555) เช่นเดยี วกบั การรายงานสถานการณ์โรคอ้วนและน้าหนักเกนิ โดยองค์การ อนามยั โลกพบว่า อุบตั กิ ารณ์โรคอว้ นในเดก็ เพม่ิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ และนาไปส่โู รคเบาหวานชนิดท่ี 2 ทพ่ี บมากขน้ึ (WHO, 2016) นอกจากน้ี กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุขยงั พบว่า คนไทยมี ภาวะโภชนาการเกนิ จนเป็นโรคอ้วนลงพุงสงู กว่า 10 ลา้ นคนทวั่ ประเทศ ถอื เป็นสถติ ทิ ม่ี ากทส่ี ุด ในรอบ 10 ปีท่ผี ่านมา ขณะทเ่ี ดก็ ก่อนวยั เรยี นและเดก็ ประถมครองแชมป์ โรคอว้ นสูงถงึ รอ้ ยละ 40 คนไทยมปี ัญหาโภชนาการเกนิ และกลายเป็นโรคอ้วนเพมิ่ สูงมากทส่ี ุดในรอบ 10 ปี ทผ่ี ่าน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

217 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ มา มคี นอ้วนมากกว่า 10 ล้านคนทวั่ ประเทศ และท่สี าคญั เดก็ ในวยั เรยี นและเดก็ ประถมเรยี น ตงั้ แต่แรกเกดิ ไปจนถงึ 12 ปี จะมคี วามอว้ นพุงสงู ถงึ รอ้ ยละ 40 รองลงมาคอื ช่วงอายุ 40 - 50 ปี อ้วนเพมิ่ สูงเกอื บ 2 เท่า ตามมาดว้ ยช่วงอายุ 20 - 29 ปี มคี วามอว้ นอย่ทู ร่ี อ้ ยละ 21.7 ขอ้ มลู ท่นี ่าตกใจจากทางการแพทย์ยงั ยนื ยนั ด้วยว่า เด็กไทยท่อี ้วนกว่าคร่งึ หน่ึง เม่อื เจาะเลอื ดหา ไขมนั ในร่างกายแล้ว พบรอ้ ยละ 70 มปี ัญหาไขมนั สูงเกินมาตรฐาน ซ่งึ สมาคมโรคเบาหวาน ระบุชดั เจนว่าในรอบ 5 ปี มเี ดก็ ไทยอายตุ ่ากวา่ 15 ปี เป็นโรคเบาหวานเพมิ่ สูงขน้ึ จากรอ้ ยละ 2 เป็นรอ้ ยละ 12 และยงั นาไปสู่โรคไต หวั ใจ และโรคขอ้ เส่อื มดว้ ย ซ่งึ ไม่ควรเกิดกบั เด็กในวยั น้ี (กรมอนามยั , 2555; แผนงานวจิ ยั นโยบายอาหารและโภชนาการเพ่อื การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ, 2556) สถานการณ์โรคความดนั โลหิตสงู สถานการณ์โรคความดนั โลหติ สงู โดยองคก์ ารอนามยั โลกพบว่า ทวั่ โลกมผี ทู้ เ่ี ป็นความ ดนั โลหติ สูงเกอื บถงึ พนั ล้านคน สองในสามของจานวนน้ีอย่ใู นประเทศกาลงั พฒั นา โดยพบว่า คนในวยั ผูใ้ หญ่ของเขตเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ รวมถงึ ประเทศไทยมปี ระชากร 1 ใน 3 คน มี ภาวะความดนั โลหติ สูง แต่ละปีประชากรในแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้มผี ู้เสยี ชวี ติ จากโรค ความดนั โลหิตสูงมากกว่า 1.5 ล้านคน (WHO, 2016) ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย จาก ข้อมูลสถิติ สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี พ.ศ. 2555 มีผู้ป่ วยท่ีข้ึนทะเบียนด้วยโรคความดันโลหิตจานวน 602,548 ราย อัตราป่ วย 937.53 ต่อประชากรแสนคน ซง่ึ ประกอบดว้ ย ผปู้ ่วยความดนั โลหติ สูงอย่างเดยี ว 361,859 ราย อตั ราป่วย 563.06 ต่อประชากรแสนคน และผปู้ ่วยความดนั โลหติ สงู ทม่ี ภี าวะเบาหวานรว่ มดว้ ย 240,689 ราย อตั ราป่วย 375.52 ต่อประชากรแสนคน เม่อื เปรยี บเทยี บจากขอ้ มลู 5 ปีทผ่ี ่านมา (พ.ศ. 2551 - 2555) พบว่า จานวนผปู้ ่วยทม่ี ภี าวะความดนั โลหติ สูงทข่ี น้ึ ทะเบยี นเป็นผปู้ ่วยราย ใหม่ทงั้ หมดมแี นวโน้มเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งต่อเน่ือง โดยในปี พ.ศ. 2551 อตั ราป่วยเท่ากบั 500.65 ต่อ ประชากรแสนคน จนกระทงั่ ในปี พ.ศ. 2555 เท่ากบั 937.58 ต่อประชากรแสน (สานักนโยบาย และยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, 2556) และเม่อื เปรยี บเทียบอตั ราผู้ป่ วยในต่อแสน ประชากรดว้ ยโรคความดนั โลหติ สงู ในช่วง 5 ปี ตงั้ แต่ พ.ศ. 2551 - 2555 เม่อื จาแนกออกเป็น รายภาค พบว่า ทุกภาคมอี ตั ราป่ วยเพ่มิ ข้นึ อย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะภาคเหนือ มอี ตั ราป่ วย สูงสุด ในช่วงปี พ.ศ. 2551 - 2554 โดยมอี ตั ราป่ วยระหว่าง 720.63 - 1,099.93 ต่อประชากร แสนคน ส่วนปี พ.ศ. 2555 ภาคกลางมอี ตั ราป่ วยสูงสุด (1,270.36) รองลงมา คอื ภาคเหนือ (1,270.36) ภาคใต้ (939.81) และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (841.32) (สานักนโยบายและ ยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, 2556) ขอ้ สงั เกตของการเรม่ิ ต้นท่จี ะป่ วยด้วยโรคความดนั โลหติ สูงนนั้ เน่ืองจากโรคความดนั โลหติ สูง เกดิ จากภาวะทแ่ี รงดนั หลอดเลอื ดแดงมคี ่าสงู ตงั้ แต่ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

218 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ 140/90 มลิ ลเิ มตรปรอทขน้ึ ไป ซง่ึ คนจานวนมากอยกู่ บั ความดนั โลหติ สงู โดยทไ่ี มท่ ราบว่าตนเอง มภี าวะน้ี เน่ืองจากเป็นโรคท่ไี ม่ค่อยปรากฏอาการท่ชี ดั เจนในช่วงแรก แต่เม่อื ปล่อยนานไป แรงดนั ในหลอดเลอื ดท่สี ูง จะไปทาลายผนังหลอดเลอื ดและอวยั วะทส่ี าคญั ทวั่ รา่ งกาย สาเหตุ เกิดจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการบรโิ ภคอาหารรสเค็ม อาหารท่ีมีโซเดียม รบั ประทานผกั และผลไม้ท่มี รี สไม่หวานทม่ี ปี รมิ าณไม่เพียงพอ ความอ้วน ขาดการออกกาลงั กาย นัง่ นอนโดยขาดการเคล่อื นไหว ด่มื เคร่อื งด่มื แอลกอฮอลม์ าก สูบบุหร่ี และมภี าวะเครยี ด รวมถึงอายุทเ่ี พมิ่ ขน้ึ อาจส่งผลให้ความดนั โลหติ เพมิ่ สูงข้ึนได้ และเป็นสาเหตุก่อให้เกดิ หวั ใจ ล้มเหลว หลอดเลอื ดสมองแตกและตบี และมแี นวโน้มในการเพมิ่ ของการเป็นโรคไตวายระยะ สุดทา้ ยได้ (The World Hypertension League, 2013) สถานการณ์โรคเบาหวาน จากรายงานสถติ สิ ุขภาพทวั่ โลกปี พ.ศ. 2555 ขององคก์ ารอนามยั โลก พบว่า 1 ใน 10 ของประชาชนในวยั ผู้ใหญ่ป่ วยเป็นโรคเบาหวาน ดงั นัน้ โรคเบาหวานจงึ เป็นโรคเรอ้ื รงั ท่เี ป็น ปัญหาสาคญั ทางด้านสาธารณสุขของโลก (WHO, 2016) รวมทงั้ ข้อมูลสมาพันธ์เบาหวาน นานาชาติ (international diabetes federation: IDF) พบว่า ผเู้ ป็นเบาหวานทวั่ โลกมี 285 ลา้ น คนและได้ประมาณการว่าจะมจี านวน ผู้เป็นเบาหวานทวั่ โลกเพม่ิ มากกว่า 435 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2573 หากไมม่ กี ารดาเนินการในการป้องกนั และควบคุมทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และมผี เู้ สยี ชวี ติ ดว้ ยโรคเบาหวาน 4 ล้านคนต่อปี เฉลย่ี 8 วนิ าทตี ่อ 1 คน (นุชรี อาบสุวรรณ และนิตยา พนั ธุ เวทย,์ 2554) สาหรบั ประเทศไทย จากอตั ราความชุกของโรคเบาหวานมแี นวโน้มเพมิ่ ขน้ึ ในทุกช่วง 5 ได้แก่ ปี พ.ศ.2534, 2539, 2547, 2552 และ 2557 จากร้อยละ 2.3 เป็นรอ้ ยละ 4.6, 6.8, 6.9 และ 8.9 ตามลาดบั และขอ้ มลู จากสานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี พ.ศ. 2555 มจี านวนและอตั ราตายดว้ ยโดยโรคเบาหวานต่อแสนประชากรประมาณ 7,749 คน และอตั ราตายดว้ ยโดยโรคเบาหวานต่อแสนประชากรเท่ากบั 12.06 และในรอบ 10 ปีทผ่ี ่าน มา (พ.ศ. 2542 – 2552) คนไทยนอนรกั ษาตวั ท่โี รงพยาบาลสงั กดั กระทรวงสาธารณสุข ด้วย โรคเบาหวาน เพม่ิ ขน้ึ 4.02 เท่า เฉพาะ ปี พ.ศ. 2552 มผี ู้ท่นี อนรกั ษาตวั ท่โี รงพยาบาลสงั กดั กระทรวงสาธารณสุข ดว้ ยโรคเบาหวาน 558,156 ครงั้ หรอื ประมาณวนั ละ 1,529 ครงั้ หรอื คดิ เป็นผทู้ ่นี อนรกั ษาตวั ท่โี รงพยาบาลสงั กดั กระทรวงสาธารณสุข ดว้ ยโรคเบาหวานชวั่ โมงละ 64 ครงั้ และจากการสารวจสถานะสุขภาพอนามยั ของคนไทยอายุ 15 ปีขน้ึ ไป ครงั้ ท่ี 2 พ.ศ. 2539 - 2540 เม่อื เปรยี บเทยี บกบั ครงั้ ท่ี 3 ปี พ.ศ. 2546 – 2547 พบความชุกเพม่ิ ขน้ึ จาก รอ้ ยละ 4.4 เป็นรอ้ ยละ 6.9 สาหรบั ครงั้ ท่ี 4 พ.ศ. 2551 - 2552 และเพมิ่ ขน้ึ เป็นรอ้ ยละ 8.9 ในการสารวจ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

219 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ล่าสุดครงั้ ท่ี 5 ความชุกในผู้หญิงสูงกว่าในผู้ชายคดิ เป็นร้อยละ 9.8 และ 7.9 ตามลาดบั พบ ความชุกต่าสุดในกลุ่มอายุน้อยและเพม่ิ ขน้ึ ตามอายุทส่ี งู ขน้ึ และสงู ทส่ี ดุ ในกลุ่มอายุ 60 - 69 ปีใน ผชู้ ายรอ้ ยละ 16.1 และในผหู้ ญงิ รอ้ ยละ 19.2 พจิ ารณารายภาคพบว่า พบในภาคตะวนั ออกฉียง เหนือสูงสุดมคี วามชุกรอ้ ยละ 10.4 รองลงมาภาคกลาง ภาคเหนือ กรงุ เทพฯ และภาคใต้เท่ากบั 9.6, 8.4, 7.4, และ 4.0 (วชิ ยั เอกพลากร, 2558) ทงั้ น้ี โรคเบาหวานเป็นสาเหตุทาให้เกดิ การ ป่ วยและตายก่อนวยั อนั สมควร จากภาวะแทรกซ้อนต่อตา ไต ระบบประสาท หวั ใจและหลอด เลอื ดสมอง และผลการสารวจสถานะสุขภาพอนามยั ของคนไทยครงั้ ล่าสุดคอื ครงั้ ท่ี 5 พบว่า มากกวา่ 1 ใน 3 ของผทู้ เ่ี ป็นเบาหวานไม่ทราบวา่ ตนเองเป็นโรคเบาหวานมาก่อนคดิ เป็นรอ้ ยละ 43.1 ส่วนผูท้ เ่ี คยไดร้ บั การวนิ ิจฉัยโดยแพทยว์ ่า เป็นเบาหวานมรี อ้ ยละ 2.7 ไม่ไดร้ บั การรกั ษา รอ้ ยละ 43.0 ของผู้เป็นเบาหวานทไ่ี ด้รบั การรกั ษาสามารถควบคุมน้าตาลในเลอื ดในเกณฑ์ < 130 มก./ดล. หรอื ร้อยละ 23.5 ของผู้ท่เี ป็นเบาหวานทงั้ หมด ทงั้ น้ี ผู้หญิงมสี ดั ส่วนของการ ได้รบั การวนิ ิจฉัยการรกั ษาและการควบคุมน้าตาลไดต้ ามเกณฑไ์ ดม้ ากกว่าในผชู้ าย (วชิ ยั เอก พลากร, 2558) ดงั นัน้ การค้นหาผู้ท่เี ป็นเบาหวานและกลุ่มเส่ยี งตงั้ แต่ยงั ไม่มอี าการ การลด ปัจจยั เสย่ี งและรกั ษาตงั้ แต่ระยะเรมิ่ แรกจงึ เป็นมาตรการท่จี ะช่วยลดและชะลอการเกดิ โรคและ ผลกระทบดงั กล่าว เบาหวานมสี าเหตุหลายปัจจยั เส่ยี งร่วมกันท่ีสามารถป้องกันได้ ตามท่ี องคก์ ารอนามยั โลกประกาศไวว้ ่าโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 รอ้ ยละ 80 สามารถป้องกนั ได้ (สานัก นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ , 2554) การคาดประมาณจานวนประชากรท่เี ป็นโรคเบาหวานอายุ 35 ปีขน้ึ ไป ระหว่าง พ.ศ. 2554 -2563 โดยการศกึ ษาผลการประเมนิ ประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2548 - 2568 ของ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (2556) ได้ระบุข้อมูลความชุกของ โรคเบาหวาน และภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) ในประชากรอายุ 35 ปีข้นึ ไป จากการ สารวจสุขภาพประชาชนไทยของสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข โดยมขี ้อสมมติฐานว่า ค่า อุบตั กิ ารณ์ของโรคเบาหวานในกลุ่มทม่ี แี ละไม่มภี าวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) รวมถงึ ค่า อุบตั กิ ารณ์ของภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) ในแต่ละปีมคี ่าคงท่ี พบว่า ใน พ.ศ. 2554 จะพบผปู้ ่วยเบาหวานรายใหม่เกดิ ขน้ึ จานวน 501,299 คน และระหว่าง พ.ศ. 2554 - 2563 เพมิ่ ขน้ึ อยใู่ นช่วง 501,299 - 553,941 คน/ปี ทงั้ น้ี จะมจี านวนผปู้ ่วยเบาหวานเพมิ่ เป็น 2 เท่าภายใน 6 ปี และใน พ.ศ. 2563 จะมจี านวนผปู้ ่วยเบาหวานรายใหมส่ งู ถงึ 8,200,000 คน และจากอตั รา ความชุกของโรคเบาหวานอยใู่ นกลุ่มเพศหญงิ อายุ 60 – 69 ปี เป็นส่วนใหญ่ และในกลุ่มคนวยั ทางานยงั มแี นวโน้มของการเป็นโรคเบาหวานสูงขน้ึ (นิพา ศรชี า้ ง, 2553) แสดงใหเ้ หน็ ว่า การ ป้องกนั โรคเบาหวานนัน้ จะต้องเรม่ิ ดาเนินการในกลุ่มคนอายุตงั้ แต่ 30 ปีขน้ึ ไป เพ่อื เป็นการ ป้องกนั และลดจานวนผปู้ ่วยในอนาคตและเป็นการลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการรกั ษาในอนาคต องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

220 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ สถานการณ์โรคหลอดเลือดสมอง องคก์ ารอนามยั โลก ไดร้ ายงานสถานการณ์โรคหลอดเลอื ดสมองว่า เป็นโรคเรอ้ื รงั ทาง ระบบประสาทท่พี บบ่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุตงั้ แต่ 45 ปีขน้ึ ไป ซ่งึ ประเทศท่พี ฒั นาแลว้ พบว่า เป็นสาเหตุการตายอนั ดบั 3 ของโลก รองลงมาจากโรคหวั ใจและโรคมะเรง็ โดยประเทศแถบ เอเชยี อาทิ จนี และญป่ี ่นุ พบเป็นสาเหตุการตายเป็นอนั ดบั ท่ี 2 รองจากโรคหวั ใจ ส่วนในปี ค.ศ. 2004 พบว่า ประชากรทวั่ โลกใน เสยี ชวี ติ ด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองสูงถงึ 5,712,240 คน จาก ผปู้ ่วยจานวนกว่า 15,000,000 คน ซง่ึ คดิ เป็นรอ้ ยละ 8.6 ในผชู้ าย และรอ้ ยละ 11.09 ในผหู้ ญงิ จากการเสยี ชวี ติ ด้วยโรคไม่ติดต่อเรอ้ื รงั ทงั้ หมด (WHO, 2011) ส่วนองค์การโรคหลอดเลอื ด สมองโลก (World Stroke Organization) และในปี ค.ศ. 2015 จะมคี นเสียชีวติ ด้วยโรคหลอด เลอื ดสมองเพม่ิ เป็น 6.5 ลา้ นคน ซง่ึ โรคน้ีเป็นสาเหตุการตายอนั ดบั 2 ใน ผูท้ ่มี อี ายุ 60 ปี ขน้ึ ไป และเป็นสาเหตุการเสยี ชวี ติ เป็นอนั ดบั 5 ในประชาชนทม่ี อี ายุ 15 - 59 ปี และพบว่า 2 ใน 3 ของผูท้ ่ที นทุกขท์ รมานจากการเป็นโรคหลอดเลอื ดสมอง อย่ใู นประเทศทม่ี รี ายได้ปานกลาง และรายไดน้ ้อย (World Stroke Organization, 2013) สาหรบั สถานการณ์โรคหลอดเลอื ดสมองในประเทศไทย ในรายงานสถติ สิ าธารณสุขใน รอบ 10 ปี ท่ีผ่านมา (พ.ศ. 2546 - 2555) ของสานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวง สาธารณสุขพบว่า แนวโน้มของอตั ราการตายด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองต่อประชากร 100,000 คน มแี นวโน้มเพมิ่ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ ถงึ แมว้ ่า อตั ราการตายจะมลี ดลงและชะลอตวั อยบู่ างปี แต่กลบั มา มอี ตั ราท่สี ูงขน้ึ อกี ครงั้ ในขณะทอ่ี ตั ราการตายชะลอตวั นัน้ อตั ราผู้ป่ วยในดว้ ยโรคหลอดเลอื ด สมองกลบั เพม่ิ มากขน้ึ อยา่ งต่อเน่อื ง สะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่า การรอดชวี ติ ดว้ ยโรคหลอดเลอื ดสมองนนั้ เพมิ่ ขน้ึ ดงั นัน้ การตายจงึ ลดลง แต่การเกดิ โรคและการป่ วยไม่ได้ลดลง ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2541 - 2547 พบว่าโรคหลอดเลอื ดสมอง เป็นสาเหตุของการเสยี ชวี ติ เพม่ิ ขน้ึ ต่อเน่ือง และหลงั จากปี พ.ศ. 2548 - 2551 มแี นวโน้มการเสยี ชวี ติ จากโรคน้ีชะลอตวั ลดลง สาหรบั ในปี พ.ศ. 2552 มี ผปู้ ่ วยโรคน้ีจานวน 496,800 คน พบคนไทยเสยี ชวี ติ ด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองจานวน 13,353 คน เฉลย่ี วนั ละ 36 คน หรอื ประมาณ 3 คน ในทุกๆ 2 ชวั่ โมง และในปี พ.ศ. 2555 มผี ทู้ ่มี อี ายุ 15 ปีข้นึ ไปเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ประมาณ 751,350 คน และในรอบ 10 ปีท่ผี ่านมา พบ ผู้ป่ วยนอน รักษ าตัวท่ีโรงพ ยาบ าลสังกัดกระทรวงสาธารณ สุขทัว่ ป ระเท ศ ไม่รวม กรุงเทพมหานคร ป่ วยด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองเพ่ิมข้นึ 2.45 เท่า และมแี นวโน้มเพม่ิ ขน้ึ มา อย่างต่อเน่ือง และเม่อื เปรยี บเทยี บ อตั ราผูป้ ่ วยในต่อแสนประชากรด้วยโรคหลอดเลอื ดสมอง จาแนกรายภาคของประเทศไทย เรียงลาดับจากมากไปน้อยพบดังน้ี ภาคกลางไม่รวม กรุงเทพมหานคร และภาคเหนือ พบว่าอตั ราผู้ป่ วยสูงใกล้เคยี งกนั ตามด้วยภาคใต้ ส่วนภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ พบน้อยท่ีสุด (สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

221 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ 2556) ซ่งึ โรคน้ีเป็นสาเหตุสาคญั ท่ที าให้เกดิ อมั พฤกษ์ อมั พาต ซ่งึ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตัว ผปู้ ่วยเท่านนั้ แต่ยงั ส่งผลกระทบต่อครอบครวั ชุมชน และประเทศชาติ รวมทงั้ เป็นสาเหตุหลกั ของการสญู เสยี ปีสุภาวะ (Disability adjusted life years: DALYs) ทส่ี าสาคญั ของประเทศ โดย พบว่า โรคหลอดเลอื ดสมองในประเทศไทยเป็นสาเหตุสาคญั ของการสูญเสียอนั ดบั 3 ในผชู้ าย รองจากอุบตั เิ หตุจราจรและการบรโิ ภคเครอ่ื งด่มื ทม่ี แี อลกอฮอล์ และอนั ดบั 2 ในผหู้ ญงิ รองจาก โรคเบาหวาน (ธดิ ารตั น์ อภญิ ญา และ นติ ยา พนั ธุเวทย์, 2556) ทงั้ น้ี โรคหลอดเลอื ดสมองแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ได้แก่ 1) โรคหลอดเลอื ดสมองตบี หรอื อุดตนั (Ischemic cerebrovascular disease) แ ล ะ 2) โรค ห ล อ ด เลือ ด ส ม อ งแ ต ก (Hemorrhagic cerebrovascular disease) อุบตั กิ ารณ์ของโรคสมองขาดเลอื ด เน่ืองจากหลอดเลอื ดในสมองตบี หรอื อุดตนั ในกลุ่มประเทศ ตะวนั ตกคดิ เป็นรอ้ ยละ 80 ของผปู้ ่วยโรคหลอดเลอื ดในสมองทงั้ หมด เช่นเดยี วกบั ประเทศแถบ เอเชยี รวมทงั้ ประเทศไทยพบว่า โรคสมองขาดเลอื ดเน่ืองจากหลอดเลอื ดในสมองตบี หรอื อุดตนั นัน้ พบได้บ่อยกว่าโรคเลอื ดออกในสมองเน่ืองจากหลอดเลอื ดในสมองแตก และมสี ดั ส่วนท่ี มากกว่าในกลุ่มประเทศตะวนั ตก (ธดิ ารตั น์ อภญิ ญา และนิตยา พนั ธุเวทย์, 2556) องคก์ ารโรค หลอดเลอื ดสมองโลก ไดร้ ะบุปัจจยั เส่ยี งท่สี าคญั ของการเกิดโรคหลอดเลอื ดสมองไว้ 8 ปัจจยั ดงั น้ี 1) ความดนั โลหติ สงู 2) โรคเบาหวาน 3) ไขมนั ในเลอื ดสูง 4) สบู บุหร่ี การด่มื เครอ่ื งด่มื ทม่ี ี แอลกอฮอลเ์ ป็นประจา 5) ขาดการออกกาลงั กาย 6) ประวตั คิ รอบครวั สายตรงเคยเจบ็ ป่วยดว้ ย โรคหลอดเลอื ดสมอง 7) ภาวะน้าหนักเกินหรอื อ้วน และ 8) ภาวะหวั ใจเต้นผดิ จงั หวะ (Arial fibrillation) ผปู้ ่วยส่วนใหญ่ จะมอี าการทางระบบประสาทอยา่ งเฉียบพลนั อาจมอี าการอย่างใด อยา่ งหน่ึงหรอื หลายอาการรว่ มกนั เช่น อ่อนแรงครง่ึ ซกี เดนิ เซ พูดลาบาก กลนื ลาบาก ตามอง ไม่เห็น หรอื มองเห็นภาพซ้อน สาหรบั ผู้ป่ วยโรคหลอดเลอื ดสมองแตกนัน้ อาจมอี าการปวด ศรี ษะเฉียบพลนั อาเจยี น ในรายทม่ี อี าการรุนแรง อาจมอี าการซมึ หมดสตแิ ละอาจเสยี ชวี ติ ได้ (World Stroke Campaign, 2013) จากความสาคญั ของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพทม่ี ตี ่อผลลพั ธด์ า้ นสขุ ภาพในระยะยาว เพ่อื ลดจานวนและความรุนแรงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเร้อื รงั หรือกลุ่มโรคเมตาบอลิกของ ประชาชน องค์การอนามยั โลกจงึ เสนอในท่ปี ระชุมส่งเสรมิ สุขภาพโลกครงั้ ท่ี 7 เม่อื วนั ท่ี 26 - 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ว่าให้ประเทศชาติสมาชิกให้การส่งเสรมิ และ พฒั นาให้ประชาชนในชาติ มคี วามรอบรดู้ ้านสุขภาพสูงขน้ึ เพราะเช่อื ว่า ถ้าประชาชนท่มี คี วาม รอบรู้ด้านสุขภาพสูงขน้ึ ก็จะไปเปล่ยี นวถิ ีการดารงอยู่อย่างมสี ุขภาวะท่ดี ีของตนเองให้ดขี ้นึ เช่นกัน (Health literacy implies the achievement of a level of knowledge, personal skills and confidence to take action to improve personal and community health by changing personal lifestyles and living conditions) และจากหนังสือ Health Literacy Developments, องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

222 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ Issues and Outcomes บรรณาธิการโดย Moore and Perry (2013) ได้ยืนยันชัดว่า การท่ี นักวชิ าการด้านสุขภาพจะเขา้ ใจว่า Health literacy จะพฒั นาได้อย่างไรนัน้ จาเป็นอย่างยง่ิ ว่า จะต้องเขา้ ใจแนวคดิ ของ Health literacy นัน้ ก่อนว่า มคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั แนวคดิ ทฤษฎีใน 3 มุมมองด้วยกนั ท่นี ักพฒั นาความรอบรดู้ ้านสุขภาพควรจะต้องทาความเข้าใจก่อนคอื แนวคดิ ทฤษฎดี ้านสุขภาพ แนวคดิ ทฤษฎีทางจติ วทิ ยา และแนวคดิ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ หรอื ทฤษฎี การศกึ ษาผใู้ หญ่ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั Mackert & Guadagno (2013) ทไ่ี ด้ศกึ ษาความสมั พนั ธข์ อง ทฤษฎแี บบแผนความเช่อื ด้านสุขภาพกบั ความรอบรูด้ ้านสุขภาพ (The health belief model and health literacy) ของผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาบทบาทของ ความรอบรู้ ดา้ นสุขภาพในการอธบิ ายตวั แปรในโมเดลแบบแผนความเช่อื ด้านสุขภาพและได้วเิ คราะหว์ ่า ความรเู้ ร่อื งโรคท่สี มบูรณ์ (Perfect knowledge) รวมถงึ ความรอบรู้ด้านพลเมอื ง วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรม (Civic, scientific and cultural literacy) ซง่ึ เป็นตวั แปรในกรอบของโมเดลแบบ แผนความเช่อื และความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ จะมบี ทบาทสาคญั ต่อการรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค การรบั รปู้ ระโยชน์และอุปสรรค และมคี วามสมั พนั ธต์ ่อไปยงั การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง และการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม สรปุ ไดว้ ่า สถานการณ์โรคเมตาบอลกิ ทเ่ี พมิ่ สงู ขน้ึ นนั้ เกดิ จากพฤตกิ รรมทไ่ี มส่ ่งผลดตี ่อ สุขภาพท่สี าคญั ได้แก่ การรบั ประทานอาหาร การออกกาลงั กาย การจดั การอารมณ์ การด่มื เครอ่ื งด่มื ทม่ี แี อลกอฮอล์ และการสูบบุหร่ี และยงั พบว่าส่งผลกระทบทเ่ี ป็นภาระโรคในระยะยาว ต่อเศรษฐกิจและสงั คม ดงั นัน้ WHO จงึ ให้ความสาคญั กบั การส่งเสรมิ ให้ประชาชนมคี วาม รบั ผดิ ชอบต่อสุขภาพตนเอง และแนวทางหน่ึงท่บี ุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขพึง ปฎบิ ตั ใิ นการส่งเสรมิ สุขภาพประชาชนดว้ ยการสนับสนุนใหป้ ระชาชนมคี วามรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health literacy – HL) เน่ืองจาก WHO เห็นว่าสาเหตุปัจจยั เรม่ิ ต้นของปัญหาด้านสุขภาพ แทจ้ รงิ ทย่ี งั ไปไม่ถงึ ผลลพั ธข์ องการมวี ถิ กี ารดาเนินชวี ติ อย่างมสี ุขภาวะทด่ี ี (Healthy lifestyle) ได้นัน้ เป็นเพราะสาเหตุทป่ี ระชาชนขาดความรอบรดู้ ้านสุขภาพ (WHO, 2009) สอดคลอ้ งกบั แผนยทุ ธศาสตรส์ ุขภาพดวี ถิ ชี วี ติ ไทย พ.ศ. 2554 - 2563 (Thailand lifestyle healthy strategic plan 2011 - 2020) ท่ีให้ความสาคญั กับการส่งเสรมิ และป้องกันปัญหาในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ เรอ้ื รงั ดงั กล่าวขา้ งต้น ซง่ึ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ มบี ทบาทเป็นตวั แปรคนั่ กลางในกรอบโมเดล แบบแผนความเช่อื ด้านสุขภาพ ดงั นัน้ ในการออกแบบโปรแกรมการพฒั นาความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพสาหรบั ผปู้ ่วยหรอื กลุ่มเสย่ี ง จงึ มกี ารประยกุ ต์โมเดลแบบแผนความเช่อื ดา้ นสุขภาพ หรอื ทฤษฎีการพัฒนาสุขภาพอ่ืนๆ ไปประยุกต์ใช้ในการกาหนดกิจกรรมการจดั การเรยี นรู้หรอื การศึกษาให้กับผู้ป่ วยเป็นรายบุคคลได้ นอกจากน้ี ยงั มกี ารนาเสนอโมเดลกรอบแนวคิด องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

223 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ ความสมั พนั ธ์ระหว่างความสามารถในความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในดา้ นการอ่านและการสนทนา และผลลัพธ์ทางสุขภาพ(Conceptual model of relationship among individual capacities, health-related print and oral literacy, and health outcomes) ข อ ง Baker (2006) ยัง ไ ด้ ยนื ยนั ว่า ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเป็นตวั แปรคนั่ กลางทส่ี าคญั ซง่ึ ได้อธบิ ายไวว้ ่า ความสามารถ ในการอ่านเอกสารความรู้สุขภาพ แบบฟอร์มสาหรบั ผู้ป่ วย เป็นปัจจยั สาคญั ท่ีมอี ิทธพิ ลต่อ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพในดา้ นความเขา้ ใจขอ้ มูลสารสนเทศและทกั ษะการส่อื สารกบั บุคลากร ทางการแพทย์ มายงั การเปล่ยี นเจตคติเชิงบวก การรบั รู้ความสามารถของตนเองและการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมของผปู้ ่วยทน่ี าไปส่กู ารเพมิ่ ผลลพั ธท์ างสขุ ภาพทด่ี ไี ด้ เอกสารอ้างอิง กรมอนามยั . (2553). แผนยทุ ธศาสตร์ แกไ้ ขปัญหาโรคอ้วนคนไทย (คนไทยไรพ้ ุง) กรมอนามยั พ.ศ. 2553 – 2556. นนทบุร:ี กองโภชนาการ-กองออกกาลงั กาย กรมอนามยั กระทรวง สาธารณสุข. กรมอนามยั . (2555). โรคอว้ นลงพงุ . นนทบรุ :ี กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ . กรมอนามยั . (2555). รายงานประจาปี กรมอนามยั 2555. นนทบุร:ี กระทรวงสาธารณสขุ . ธดิ ารตั น์ อภญิ ญา และนิตยา พนั ธเุ วทย.์ (2556). ประเดน็ สารรณรงคว์ นั อมั พาตโลกปี 2556 (งบประมาณ 2557). สบื คน้ เมอ่ื 12 ธนั วาคม 2559 จาก http://dpc5.ddc.moph.go.th/SRRTcenter/56-Paralysis.pdf. นุชรี อาบสุวรรณ นติ ยา พนั ธเุ วทย์ และเมตตา คาพบิ ลู ย.์ (2553). ประเดน็ สารวนั รณรงค์ อมั พาตโลกปี 2553 (งบประมาณ 2554). สบื คน้ เมอ่ื 15 มนี าคม 2557 จาก http://www.thaincd.com/document/file/news/anoucement/cerebrovascular_disease.pdf. นุชรี อาบสวุ รรณ นิตยา พนั ธเุ วทย์ และเมตตา คาพบิ ลู ย.์ (2554). ประเดน็ รณรงคว์ นั เบาหวาน โลก ปี 2554 (งบประมาณ 2555). สบื คน้ เมอ่ื 24 กนั ยายน 2558 จาก http://www.ddc.moph.go.th/advice/showimgpic.php?id=348. นิพา ศรชี า้ ง. (2553). การคาดประมาณจานวนประชากรทเ่ี ป็นโรคเบาหวานในประเทศไทย ใน ปี พ.ศ. 2554 - 2563. รายงานการเฝ้าระวงั ทางระบาดวทิ ยาประจาสปั ดาห์, 39, 622-624. แผนงานวจิ ยั นโยบายอาหารและโภชนาการเพอ่ื การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ. (2556). ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอว้ น. สบื คน้ เมอ่ื 30 ตุลาคม 2559 จาก http://www.fhpprogram.org/eng/?name=news&file=readnews&id=6. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

224 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ มานติ ธรี ะตนั ตกิ านนท.์ (2554). ปาฐกถา ณฐั ภมรประวตั ิ ครงั้ ที่ 25 เรอื่ ง ทศิ ทางการป้องกนั และควบคุมโรคในทอ้ งถนิ่ อยา่ งยงั่ ยนื . นครปฐม: สถาบนั พฒั นาสขุ ภาพอาเซยี น มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. วชิ ยั เอกพลากร. (2553). การสารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครงั้ ที่ 4 พ.ศ. 2551 - 2. นนทบรุ :ี บรษิ ทั เดอะกราฟิโกซสิ เตม็ ส.์ วชิ ยั เอกพลากร. (2558). การสาารวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจรา่ งกาย ครงั้ ที่ 5 พ.ศ. 2557. กรงุ เทพฯ: สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) สานกั พมิ พอ์ กั ษรกราฟฟิค แอนดด์ ไี ซน์. สถาบนั วจิ ยั ประชากรและสงั คม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. (2556). สขุ ภาพคนไทย 2556: ปฏริ ปู ประเทศไทย ปฏริ ปู โครงสรา้ งอานาจเพมิ่ พลงั พลเมอื ง. นครปฐม: บรษิ ทั อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ จากดั . สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ. (2555). เผยคนไทยอายุ 15 ปีข้นึ ไปเป็นโรค อว้ นตดิ อนั ดบั 5 เอเชยี แปซฟิ ิก. สบื คน้ เมอ่ื 30 ตุลาคม 2558 จาก http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/29952. สานกั งานหลกั ประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ (สปสช.). (2553). ค่มู อื หลกั ประกนั สุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2553. กรงุ เทพฯ: คณะกรรมการสุขภาพแหง่ ชาต.ิ สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. (2553). การสาธารณสุขไทย 2551 - 2553. นนทบุร:ี สานกั งานกจิ การโรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะหท์ หารผ่านศกึ ในพระบรม ราชูปถมั ภ.์ สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ . (2554). สถติ สิ าธารณสขุ พ.ศ. 2554. นนทบุร:ี กระทรวงสาธารณสุข. สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ . (2554). สาระสุขภาพ. สบื คน้ เมอ่ื 30 สงิ หาคม 2558 จาก http://www.moph.go.th/ops/thp/images/stories/ Report_pics/Thai_Report/ HighLight/Y54/April/Issue_25.pdf. สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ . (2555). สถติ สิ าธารณสุข พ.ศ. 2555. นนทบรุ :ี กระทรวงสาธารณสขุ . สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ . (2556). ขอ้ มลู สถติ สิ าธารณสุข ปี 2548 - 2555. สบื คน้ เมอ่ื 30 ตุลาคม 2558 จาก http://bps.ops.moph.go.th/Healthinformation/ill-in42-48.htm. สานกั โรคไมต่ ดิ ต่อ กรมควบคุมโรค. (2555). รทู้ นั มหนั ตภยั โรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั ภยั เงยี บใกลต้ วั . นนทบรุ :ี โรงพมิ พม์ ตชิ นปากเกรด็ . องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

225 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ สานกั โรคไมต่ ดิ ต่อ กรมควบคมุ โรค. (2559). รายงานประจาปี 2558 สานกั โรคไมต่ ดิ ต่อ. กรงุ เทพฯ: สานกั งานกจิ การโรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะหท์ หารผ่านศกึ ในพระบรม ราชูปถมั ภ.์ Baker DW. (2006). The Meaning and the measure of health literacy. J Gen Intern Med, 21(8), 878–883. doi: 10.1111/j.1525-1497.2006.00540.x. EGIR. (1999). The ‘EGIR definition’ of the metabolic syndrome. European Group for the Study of Insulin Resistance. Retrieved on May 14, 2016 from http://www.egir.org /load.php?menu=public&page=http://www.egir.org/activity.html. IDF. (2006). The IDF consensus worldwide definition of the metabolic syndrome. International Diabetes Federation. Retrieved on May 14, 2016 from file:///C:/Users/asus/Downloads/IDF_Meta_def_final.pdf. Lam DW & LeRoith D. (2015). Metabolic syndrome. In De Groot LJ, Chrousos G, Dungan K, Feingold KR, Grossman A, Hershman JM, Koch C, Korbonits M, McLachlan R, New M, Purnell J, Rebar R, Singer F, Vinik A, editors. Endotext [Internet]. South Dartmouth (MA): MDText.com, Inc. Mackert M. & Guadagno M. (2013). The health belief model and health literacy: The case of perfect knowledge. NY: Nova Science Publishers, Inc. Moore R & Perry D. (2013). Health literacy developments, issue and outcomes. Public health the 21st century. NY: Nova Science Publishers, Inc. National Center for Health Statistic. (2016). Health, United States, 2015 with special feature on racial and ethnic health disparities. U.S. Department of Health and Human Services Centers for Disease Control and Prevention. Washington DC: U.S. Government Printing Office. NCEP. (2001). Expert panel on detection, evaluation and treatment of high blood pressure in adults. Executive summary of the third report of the National Cholesterol Education Program (NCEP) expert panel on detection and evaluation and treatment of high blood cholesterol in adults. (Adult Treatment Panel III). JAMA2001, 285, 2486–2497. Ruopeng A. (2014). Prevalence and trends of adult obesity in the US, 1999–2012. ISRN Obesity, 1-6. doi: 10.1155/2014/185132. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

226 บทท่ี 7 โรคเมตาบอลกิ _____________________________________________________________________ Shila Berenjy, Asmah Bt Rahmat, Parichehr Hanachi, et al. (2010). Metabolic Syndrome in Iran. Global Journal of Health Science, 2 (2), 117-122. Shila Berenjy, Asmah Bt Rahmat, Zaitun Bt Yassin, Lye Munn Sann, Farzad Sahebjamee, & Parichehr Hanachi. (2012). Metabolic syndrome and risk of Coronary Artery Disease in west of Iran. Life Science Journal, 9(2), 706-717. World Hearth Federation. (2014). Awareness World Heart Day. Retrieved on December 2, 2016 from http://www.world-heart –federation.org/what-we-do/awareness/. http://www.world-heart-federation.org/cardiovascular-health/cardiovascular- disease-risk-factors/. World Hypertension League. (2013). World hypertension day 2013 brochure. Retrieved on May 20, 2016 from http://www.worldhypertensionleague.org/. Documents/WHD/2013/WHD%202013%20brochure.pdf. WHO. (1999). Definition, diagnosis and classification of diabetes mellitus and its complications: report of a WHO Consultation. Part1: diagnosis and classification of diabetes mellitus. Geneva, Switzerland: World Health Organization. WHO. (2009). Health literacy and health promotion. definitions, concepts and examples in the Eastern Mediterranean Region. Individual empowerment conference working document. 7th Global Conference on Health Promotion Promoting Health and Development. Nairobi, Kenya, 26-30. WHO. (2011). WHO Global Database. Retrieved on May 20, 2016 from https://apps.who.int/infobase/Mortality.aspx. WHO. (2016). The Global status report on non-communicable diseases 2014. Geneva. Retrieved on September 24, 2016 from http://www.who.int/nmh/publications/ncd- status-report-2014/en/. World Stroke Organization. (2013). About world stroke day 2013. Retrieved on May 22, 2016 from http://www.worldstrokecampaign.org/2012/ABOUT/Pages/WorldStrokeDay2013.aspx. องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

227 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพ 3-Self ปัญหาสขุ ภาพของคนไทยในปัจจบุ นั มที ศิ ทางแนวโน้มทจ่ี ะเพม่ิ ขน้ึ ตลอดเวลา ผลปัญหา สุขภาพแสดงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนในเรอ่ื งสถติ ทิ เ่ี พม่ิ สูงขน้ึ ของโรคไม่ตดิ ต่อเรอ้ื รงั อนั ไดแ้ ก่ โรค อ้วน โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู โรคมะเรง็ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ดสมองเฉลย่ี แลว้ ปี ละกว่า 97,900 คน โดยมจี านวนผู้ป่วยเพมิ่ ขน้ึ 2 เท่าภายใน 5 ปีและยงั พบว่า คนไทยบรโิ ภค ยาสูงถงึ ปีละ 47,000 ลา้ นเมด็ เฉลย่ี วนั ละ 128 ล้านเมด็ คดิ เป็นมลู ค่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี หรอื รอ้ ยละ 47 ของค่าใชจ้ ่ายดา้ นสุขภาพ (วชิ ยั เทยี นถาวร, 2555) โดยสาเหตุหลกั ของโรคไม่ ตดิ ต่อเรอ้ื รงั ส่วนใหญ่เกดิ จาก พฤตกิ รรมในชวี ติ ประจาวนั ทท่ี าลายสุขภาพตนเองโดยขาดการ ออกกาลงั กาย มนี ้าหนกั เกนิ ดม่ื สุรา สบู บหุ ร่ี รบั ประทานอาหารไมเ่ หมาะสม เช่น อาหารหวาน มนั เคม็ รบั ประทานผกั น้อยลง เป็นต้น และยงั ส่งผลต่อการดาเนินของโรคทม่ี ภี าวะแทรกซอ้ น และความรนุ แรงเพม่ิ ขน้ึ ภายใต้สถานการณ์ความชุกของโรคมเี พมิ่ ขน้ึ น้ีพบว่า ครง่ึ หน่ึงทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาทโ่ี รงพยาบาล อกี ครง่ึ หน่ึงยงั อย่ใู นชุมชนโดยจะเขา้ สู่ระบบการรกั ษาจากการท่ไี ด้รบั การคดั กรองในชุมชน และยงั มปี ระชาชนอกี จานวนหน่ึงท่ีต้องไดร้ บั การจดั การโดยการควบคุม ป้องกนั ในกลุ่มประชากรในชุมชน โดยมกี ารแยกกลุ่มความรนุ แรงของความเสย่ี งในการเกดิ โรค ไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั และความรนุ แรงของการเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นในกลุ่มทม่ี กี ารดาเนินของโรค ใน การปฏบิ ตั งิ านด้านการส่งเสรมิ และป้องกนั กจิ กรรมส่วนใหญ่เป็นโครงการระยะสนั้ ขาดความ ต่อเน่ืองของพฤตกิ รรมสุขภาพ หรอื กจิ กรรมอาจยงั ไม่เข้มข้นพอท่จี ะสามารถเข้าไปเปล่ยี น กระบวนการทางจติ ทางปัญญาและทางสงั คมของกลุ่มเสย่ี งและผปู้ ่วย จงึ ยงั ไมก่ ่อใหเ้ กดิ ความ ยงั่ ยนื ในการดแู ลสขุ ภาพตนเอง แนวคิดการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพ 3-Self ด้วยหลกั PROMISE Model ทฤษฎีท่ีใช้ในการทาความเข้าใจถึงการปรับเปล่ียนพฤติกรรมของบุคคล มาจาก รากฐานแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาและกระบวนการทางปัญญาทเ่ี กดิ จากการเรยี นรู้และประสบการณ์ ของบุคคลท่สี มั พนั ธ์กบั พฤตกิ รรมสุขภาพ (Psychological -Cognitive mediators of health – related behavior) ร่วมกับปัจจยั ทางสงั คม ดงั ท่ี Leslie et al. (2010) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Health Behavior Change and Treatment Adherence ว่า นักปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมจะตอ้ งทา ความเข้าใจถงึ สาเหตุ เง่อื นไขปัญหาการเจบ็ ป่ วยของแต่ละบุคคลหรอื ชุมชนแล้ว จะต้องทา องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

228 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ความเข้าใจแนวคดิ ทฤษฎีท่เี ป็นรากฐานของการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสุขภาพท่ผี ู้เขยี นได้ นาเสนอไวใ้ นบทท่ี 2 ไดแ้ ก่ แบบแผนความเช่อื ทางสุขภาพ (Health Belief Model -HBM) ของ Rosenstock et al. (1988) ทฤษฎี PRECEEDE-PROCEED Model (Green & Krueter, 1991) ทฤษฎพี ฤตกิ รรมตามแผน (Theory of planned behavior) ของ Ajzen (2002) แบบจาลองการ ส่งเสรมิ สุขภาพของเพนเดอร์ (Pender et al., 2006) ทฤษฎที างปัญญาสงั คม (Social cognitive theory) ของ Bandura (1989) และ ทฤษฎกี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมตามแนวคดิ ของ Bandura และตามแนวคดิ Stages and process of change ของ Prochaska & DiClemente (1983) ซง่ึ ใชก้ ลยทุ ธใ์ นการเปลย่ี นการรบั รูถ้ งึ ขอ้ มลู ขา่ วสารทถ่ี ูกต้องและการสรา้ งแรงจงู ใจก่อนทจ่ี ะลงมอื กระทาการเปล่ยี นพฤติกรรมและให้ยงั่ ยนื ต่อเน่ือง (Information-motivation-behavioral -IMB model) (Fisher et al., 2009) สาหรบั การนาเสนอโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพในครงั้ น้ี ผู้เขยี นขอ เสนอตวั อย่างโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมในกลุ่มเส่ยี งโรคเมตาบอลกิ โรคความดนั โลหติ สูงและโรคเบาหวานในโรงพยาบาลและในชุมชน ซง่ึ ไดด้ าเนินการสาเรจ็ มาแลว้ ด้วยทุน งบประมาณจากสานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 13 กรุงเทพมหานคร ตัง้ แต่ ปีงบประมาณ 2551 – 2555 ภายใต้โครงการบริหารจดั การและประเมินโครงการเพ่ือการ ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพของประชาชนกลุ่มเสย่ี งโรคเมตาบอลกิ ทงั้ น้ี ผเู้ ขยี นไดน้ าเสนอ กรอบการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพตามโมเดลท่พี ฒั นาขน้ึ จากการสงั เคราะห์แนวคดิ การ ปรบั เลย่ี นพฤตกิ รรมตามทฤษฎที างปัญญาสงั คม และแนวคดิ ขนั้ ตอนการเปล่ยี นพฤตกิ รรมมา ประยกุ ต์ใชใ้ นกจิ กรรมเพ่อื พฒั นาการดูแลสุขภาพของกลุ่มเส่ยี ง ภายใต้โมเดลการปรบั เปล่ยี น พฤติกรรมสุขภาพ 3-Self ด้วยหลกั PROMISE Model (Intarakamhang, 2012) ซ่งึ สามารถ สรปุ ไดด้ งั ภาพประกอบ 8-1 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

229 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตวั แปรอิสระ – ปัจจยั นาเข้า (Input) ผลผลิตที่ได้ (Product) โปรแกรมปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม (Behavior modification) การเปลยี่ นแปลงทางจติ พฤตกิ รรมท่เี พ่มิ ขึน้ ด้วยหลกั PROMISE Model ท่ีคานงึ ถึงหลกั การ 6 ประการ 1. การดูแลตนเอง (Self-care) Positive reinforcement - การเสรมิ แรงทางบวก 2. มกี ารกากบั ตนเอง (Self-regulation) Result based management - บริหารเพือ่ ผลสมั ฤทธ์ิของงาน 3. มีการรบั รู้ในความสามารถของตนเอง Optimism - การมองโลกแง่ดี Motivation - การสร้างแรงจูงใจ (Self-efficacy) Individual or client center - การยดึ บคุ คลเปน็ ศูนย์กลาง การเปลย่ี นแปลงทางชวี เคมที ดี่ ขี น้ึ Self- esteems - การสรา้ งคณุ คา่ ในตนเอง BP, ระดบั นา้ ตาลในเลอื ด, ระดบั ไขมันในเลอื ด การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายท่ีดีข้นึ BMI, นา้ หนกั , รอบเอวลดลง, สมรรถนะ ร่างกาย กระบวนการ ( Process) ผลลัพธท์ ไี่ ด้ (Outcome) กจิ กรรมเน้นผู้รบั บริการเปน็ สาคญั อย่างน้อย 5 ครั้งหลักในช่วง 4-7 เดือน 1. ผูร้ บั บรกิ าร 1. สร้างความตระหนักร่วมและยอมรับในปัญหาสขุ ภาพพรอ้ มทาสัญญาใจ - ความพงึ พอใจต่อโครงการ - ความต้องการมาเข้าร่วมกิจกรรมต่อ รว่ มกนั ระหว่างผู้ให้บริการกับผรู้ ับบริการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ - ให้คาแนะนาผอู้ ื่นต่อในดา้ นสขุ ภาพ 2. ตง้ั เป้าหมายความสาเร็จระยะส้ันและยาวพรอ้ มวางแผนร่วมกันในการ - ได้เครือข่ายการดูแลสุขภาพตนเอง 2. หวั หน้าโครงการ ปรับเปลย่ี นพฤติกรรมและปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพเป็นระยะอย่างต่อเนอื่ ง - สรา้ งนวัตกรรมและองค์ความรู้ใน 3. ฝกึ การสังเกตและลงบันทึกพฤติกรรมพร้อมทาแผนดแู ลสุขภาพตนเอง การปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม 2. ให้ความรโู้ ดยผู้เชี่ยวชาญหรอื ผู้มีประสบการณ์ตรง หรือจากตัวแบบทีด่ ีจาก - มีทักษะบริหารจัดการโครงการ เพ่มิ ขน้ึ สถานการณจ์ ริง จากส่ือบุคคล สื่อเคล่ือนไหว ภาพนง่ิ และอ่ืน ๆ - มีความต้องการดาเนินโครงการตอ่ 3. จัดกจิ กรรมฐานสขุ ภาพ เช่น คลายเครียด ออกกาลงั กาย โภชนาการสรา้ ง 3. ผู้บงั คบั บญั ชาของหัวหน้าโครงการ - ความพงึ พอใจในการดาเนินโครงการ คุณค่าในตนเอง เน้นปัญหาของผู้รับบริการ กรณศี ึกษาเรยี นรรู้ ่วมกัน ฯลฯ ของหวั หนา้ โครงการและคณะทางาน 4. ใหค้ าปรกึ ษารายกลุ่ม/รายบคุ คลท้ังแบบเผชญิ หนา้ ทางโทรศพั ท์หรือออนไลน์ - โครงการสอดคลอ้ งกบั นโยบายของ 5. กิจกรรมเย่ยี มบ้านหรอื พบปะเยี่ยมเยียน หน่วยงาน 6. กิจกรรมเพ่อื นช่วยเพอ่ื นหรือแบบคู่หู หรอื กจิ กรรมพ่เี ล้ียงช่วยสมาชิกกลุ่ม - หนว่ ยงานเปน็ ทรี่ จู้ กั และไดร้ บั ความ 7. สร้างพลังอานาจในตนเอง ด้วยการให้โอกาสแสดงความสามารถทาเอง ไวว้ างใจจากบุคคลท่ัวไป - ผู้บงั คับบัญชาสนับสนนุ ทาโครงการ จัดหาอุปกรณ์ เช่น ชุดตรวจเลอื ด เครื่องชัง่ สายวัด อุปกรณ์ออกกาลังกาย ต่อเนื่อง 8. สร้างแรงจูงใจภายในด้วยการต้งั เป้าหมายความสาเร็จที่เหมาะสมและสร้าง 4. ไดอ้ งค์ความรทู้ างพฤติกรรมสุขภาพ 5. ประชาชนที่มีพฤตกิ รรมกากบั และ แรงจงู ใจภายนอกดว้ ยการให้รางวัล เชิดชูผลการกระทา ดูแลสุขภาพตนเองไดอ้ ยา่ งถูกต้อง มี 8. ให้การเสริมแรง ให้กาลังใจ ให้คาชมเชย ให้รางวัล ใหข้ อ้ มูล ให้ส่ิงของทันที สุขภาพดขี ้ึน และลดปริมาณการ เจบ็ ป่วยและคา่ ใชจ้ ่ายการรักษาและ ทผี่ ้รู ับบริการทาพฤติกรรมสุขภาพได้สาเรจ็ ตามเป้าหมายระยะส้ันและยาว ใชย้ าทีไ่ ม่จาเปน็ ลง 9. เล่นเกม ประกวด แขง่ ขัน เน้นความสนุกและความร่วมมือสู่ความสาเร็จ 10. จัดอบรมปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วมต้ังแต่วางแผน ดาเนินการและ ประเมินผล 11. เข้าค่ายเพื่อปลูกฝังเจตคติทด่ี ี ฝึกทกั ษะ 3-Self และ 3อ. อยา่ งต่อเนื่อง 12. สร้างผู้นาสุขภาพหรือแกนนาเพื่อวางรากฐานหรอื เครือข่ายความยั่งยืน 13. การบาเพ็ญประโยชน์ที่เกีย่ วข้องสุขภาพเพ่ือส่วนรวม 14. กิจกรรมวเิ คราะห์ตนเอง ประเมินตนเองและให้ข้อมูลย้อนกลับ 15. กจิ กรรมกลุ่มรว่ มแก้ปัญหาหรอื ตัง้ กลมุ่ เพ่ือดูแลสุขภาพ 17. จัดกิจกรรมสัญจรเพื่อสรา้ งประสบการณ์แปลกใหม่ 18. จัดสภาพแวดล้อมที่เอือ้ ต่อการดูแลสุขภาพตนเอง ภาพประกอบ 8-1 กรอบแนวคดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self ดว้ ยหลกั PROMISE Model (องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง, 2552) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

230 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หลกั การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพ 3-Self ด้วยหลกั PROMISE Model เป็นเครอ่ื งมอื ทส่ี าคญั ของนกั ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพทม่ี าจาก 2 แนวคดิ ดงั น้ีคอื 1. 3-Self เป็นเครอ่ื งมอื และตวั ชว้ี ดั สาหรบั ผปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ประกอบดว้ ย 3 ตวั แปรทต่ี อ้ งพฒั นาใหผ้ ปู้ ่วย ดงั นนั้ ในการสรา้ งหรอื ออกแบบชุดกจิ กรรมหรอื โปรแกรมต้องจดั กระบวนการเรยี นรู้ ท่ที าให้ผู้ป่ วยเกดิ พฤติกรรม 3-Self ตามคาแนะนาของ เจา้ ของทฤษฎี Bandura (1989) ได้กล่าว่า Self-efficacy จะเกิดได้จากการมตี วั แบบ การได้ แลกเปลย่ี นประสบการณ์ การใชก้ ารเสรมิ แรง เป็นตน้ ส่วน Self-regulation คอื การจดั กจิ กรรม การเรยี นรู้ ใหผ้ ูป้ ่ วยหรอื ผูร้ บั บรกิ ารสุขภาพได้สงั เกตตนเองอาจดว้ ยวธิ กี ารให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) เพ่อื สะท้อนให้ผู้ป่ วยเหน็ ผลการวดั ภาวะสุขภาพของตนเองในปัจจุบนั เช่น ผล ตรวจรา่ งกาย ผลเลอื ด ระดบั ความดนั โลหติ น้าหนกั ตวั ค่า BMI เป็นตน้ ผปู้ ่วยจะสงั เกตตนเอง ว่า ตนเองมคี วามเส่ยี งต่อโรคใดบ้าง ดงั นัน้ ผู้ให้บรกิ ารปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสุขภาพจะใช้ หลกั การสรา้ งแรงจงู ใจ (Motivation) ใหผ้ ปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ ารเขา้ มามสี ่วนรว่ มในการดแู ลตวั เอง ดว้ ยขนั้ ตอนตาม Self-regulation คอื สงั เกตตนเองและตงั้ เป้าหมายพรอ้ มทาสญั ญา (Promise) ทจ่ี ะลดความเสย่ี งหรอื ปัญหานนั้ ทงั้ ระยะสนั้ และยาว โดยระยะยาวทเ่ี ป็นเป้าหมาย เช่น ภายใน 3 เดอื นหลงั ส้นิ สุดโปรแกรม น้าหนักลดได้ 5 กิโลกรมั เป็นต้น ส่วนเป้าหมายระยะสนั้ เป็น พฤตกิ รรมท่พี งึ ประสงคห์ รอื หลกี เล่ยี งในช่วงวนั หรอื สปั ดาห์ เช่น ใน 1 สปั ดาหน์ ้ีจะไม่กินขนม จบุ จบิ หรอื เดนิ ออกกาลงั กายตอนเยน็ ใหไ้ ดว้ นั ละ 20 นาที เป็นตน้ โดยใหผ้ ปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ าร สุขภาพไดว้ างแผนและออกแบบกจิ กรรมในการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองใหบ้ รรลเุ ป้าหมายทผ่ี ปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ ารสุขภาพตงั้ ไวเ้ องได้ ซง่ึ นกั ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมจะทาใบงานเพ่อื ใหผ้ ู้ป่วยได้ลงมอื เขยี น วาดภาพหรอื วางแผนกจิ กรรมแนวทางทต่ี นเองตอ้ งปฏบิ ตั แิ ละประเมนิ ผล เชน่ ชงั่ น้าหนัก ดว้ ยตนเองทุกวนั บนั ทกึ อาหารทก่ี นิ และพลงั งานทใ่ี ชไ้ ปในแต่ละวนั เป็นตน้ อาจทาเป็นกลุ่ม หรอื เป็นรายบุคคล ทงั้ น้ีขน้ึ กบั นกั ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพจะออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ เป็นรายกลุ่มหรอื รายบุคคล ทงั้ น้ีจากการถอดบทเรยี นของการดาเนินโครงการปรบั เปล่ยี น พฤติกรรมสุขภาพท่ีผ่านมาพบว่า ตลอดทงั้ โปรแกรมปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพท่ีเป็น แนวทางปฏิบตั ิท่ีดี ควรเน้นกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย โดยแบ่งเวลาหรอื เน้ือหาท่ีจดั กจิ กรรมตลอดโปรแกรมประกอบดว้ ย 1) การใหค้ วามรู้ (Knowledge) ประมาณ 10-20% ของ ช่วงเวลาทงั้ หมดในโปรแกรม 2) การจดั กจิ กรรมสนั ทนาการหรอื เกมเพ่อื ปรบั กระบวนการคดิ และใหเ้ กดิ การเรยี นรทู้ างปัญญา (Cognitive) และความรสู้ กึ (Affective) สนุกสนานชวนใหเ้ ขา้ รว่ มทากจิ กรรมต่อเน่อื งทุกครงั้ ประมาณ 30% และเน้นฝึกทกั ษะ (Skill) ฝึกการปฏบิ ตั ทิ กุ ครงั้ ให้ เกิดพฤติกรรมท่พี ึงประสงค์ (Behavior) โดยจดั กิจกรรมประมาณ 40 - 50% ของช่วงเวลา ทงั้ หมดในโปรแกรมเพ่อื ใหเ้ กดิ Self-care หรอื การดแู ลตนเองตามวถิ ชี วี ติ ประจาวนั จนเป็นนิสยั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

231 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ของผู้ท่มี สี ุขภาพท่ดี ี (Healthy lifestyle) ทงั้ น้ีพฤติกรรมสุขภาพ 3-Self จะเกิดข้นึ ได้นัน้ นัก ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมจะตอ้ งบรหิ ารโครงการหรอื จดั กจิ กรรมโดยยดึ หลกั PROMISE Model 2. PROMISE Model เป็นเคร่อื งมอื หรอื แนวคดิ การจดั กจิ กรรมสาหรบั นักปรบั เปลย่ี น พฤตกิ รรมสุขภาพ ซง่ึ ประกอบดว้ ย คุณลกั ษณะของนักปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทต่ี ้องมี ไดแ้ ก่ มี การมองโลกแง่ดี (Optimize) ว่าผลหรอื ปัญหาต่าง ๆ ท่เี กดิ ข้นึ กบั ตนเองและผู้ป่ วยนัน้ มาจาก หลายเหตุปัจจยั ท่สี ามารถแก้ไขได้ด้วยความสามารถของตนเอง และทักษะการบรหิ ารจดั การ กบั เทคนิคการจดั กระบวนการเรยี นรู้ ทผ่ี ูน้ ักปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมต้องคานึงเสมอ มกี ารสรา้ ง แรงจงู ใจภายใน (Motivation) ของผปู้ ่วยใหเ้ กดิ ขน้ึ ทกุ ระยะของช่วงทจ่ี ดั กจิ กรรม เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่วยมี พลงั ในการดงึ ศกั ยภาพตนเองออกมาแสดงและทากจิ กรรมดว้ ยตนเองเพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายท่ี ตนเองตงั้ ไวใ้ หไ้ ด้ อาจดว้ ยการพดู คุยสมั ภาษณ์เพ่อื ชใ้ี ชต้ ระหนกั ในปัญหาและรวู้ า่ ผปู้ ่วยเป็นคน มคี วามสามารถ หรอื การตงั้ รางวลั ซ่งึ เป็นสง่ิ จงู ใจภายนอกกไ็ ด้ กจิ กรรมทอ่ี อกแบบตอ้ งเน้นใช้ หลกั การเรยี นรทู้ เ่ี น้นผปู้ ่วยเป็นศนู ยก์ ลางทค่ี านึงถงึ ปัญหาและบรบิ ทหรอื วถิ ชี วี ติ ของใครของมนั ขน้ึ กบั ปัญหาของผปู้ ่วยแต่ละคน (Individual) โดยใหผ้ ปู้ ่วยมสี ่วนร่วมทากจิ กรรมตนเองให้มาก ท่สี ุด และเม่อื ผู้ป่ วยหรอื ผูร้ บั บรกิ ารสุขภาพทากจิ กรรมตามท่ไี ดว้ าง และเม่อื การกระทาได้ผล ตามเป้าหมายท่ผี ู้ป่ วยตงั้ ไว้ได้แล้ว นักปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมต้องให้การเสรมิ แรงทางบวก (Positive reinforce) โดยใชก้ ารช่นื ชม ให้รางวลั เม่อื ผู้ป่ วยหรอื ผู้รบั บรกิ ารทาพฤตกิ รรมนัน้ ได้ เป็นผลสาเรจ็ ผปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ ารจะเกดิ ความภาคภูมใิ จ เกดิ การเหน็ คุณค่าในตนเอง (Self- esteem) และสุดทา้ ยนักปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมหรอื ผูใ้ หบ้ รกิ ารสุขภาพ ควรทางานจดั กจิ กรรม และบรหิ ารโปรแกรมโดยยดึ ผลสมั ฤทธิ ์ (Result base management) ดว้ ยการกาหนดตวั ชว้ี ดั ของโปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม เชน่ เมอ่ื สน้ิ สุดโปรแกรม รอ้ ยละ 70 ของจานวนผปู้ ่วยหรอื ผู้รบั บรกิ ารทงั้ หมด ต้องมพี ฤตกิ รรมสุขภาพ 3-Self ค่า BMI ค่าระดบั น้าตาลในเลอื ด ระดบั ความดนั โลหติ เป็นตน้ ดขี น้ึ กว่าก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรม สรปุ ไดว้ ่า สงิ่ สาคญั ของการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทว่ี า่ พฤตกิ รรมจะเปลย่ี นไดต้ ามหลกั แห่งพฤติกรรมนัน่ คือจะต้องเกิดจากการสมัครใจของผู้ป่ วยหรือผู้เข้ารับการปรบั เปล่ียน พฤตกิ รรมเท่านนั้ มใิ ช่การบงั คบั เพราะผปู้ ่วยหรอื ผรู้ บั บรกิ ารตอ้ งกระทาเอง แต่ถ้ากลุ่มเสย่ี งอยู่ ระดบั ขนั้ ท่ไี ม่สมคั รใจไม่สนใจ นักปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมต้องใช้กลยุทธ์การสนทนาพร้อมให้ ขอ้ มูลข่าวสารและสรา้ งแรงจูงใจให้กลุ่มเส่ยี งเกดิ ความตระหนักและมแี รงจงู ใจภายในเกิดข้นึ พรอ้ มท่จี ะเปลย่ี นพฤตกิ รรมของตนเอง ก่อนท่จี ะเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม สขุ ภาพ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

232 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โปรแกรมปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพ 3-Self ด้วยตนเอง ในครงั้ น้ีผู้เขยี นขอนาเสนอโปรแกรมปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพด้านการบรโิ ภค อาหาร การเคล่อื นไหวออกกาลงั และการผ่อนคลายความเครยี ด เพ่อื เพิ่มพฤตกิ รรมสุขภาพ 3-Self ซ่งึ เป็นพฤติกรรมต่อเน่ืองท่สี ามารถลดพฤตกิ รรมเส่ยี งท่เี ป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อ เรอ้ื รงั และลดการเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นของผูป้ ่วยประกอบดว้ ย โปรแกรมสาหรบั โรคอว้ นในเดก็ โรคอว้ นในผใู้ หญ่ และโรคเบาหวาน ดงั น้ี ตวั อยา่ งโปรแกรมปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพกล่มุ เดก็ โรคอ้วน ความเป็ นมาของโปรแกรม โรคอ้วนในเด็กกาลังเป็ นปั ญหาสุขภาพท่ีสาคัญของประเทศไทย และเม่ือ เปรยี บเทยี บกบั ประเทศในเอเชยี พบว่า ความชุกของภาวะอว้ นและน้าหนกั เกนิ ของประเทศไทย มคี วามใกลเ้ คยี งกบั ประเทศญ่ปี ุ่น เกาหลี และสูงกว่าประเทศศรลี งั กา (ลดั ดา เหมาะสุวรรณ, 2555) ในขณะทจ่ี ากการศกึ ษาทางด้านโภชนาการของหลายสถาบนั ระบุว่าเดก็ ทอ่ี ้วนเม่อื อายุ 6 ขวบขน้ึ ไป จะมโี อกาสเป็นผใู้ หญ่อว้ นไดถ้ งึ รอ้ ยละ 25 สว่ นเดก็ ทอ่ี ว้ นเมอ่ื อายุ 12 ปีจะมโี อกาส เป็นผู้ใหญ่อ้วนมากถงึ รอ้ ยละ 75 ขน้ึ ไป โดยเดก็ เหล่าน้ีจะเส่ยี งต่อปัญหาสุขภาพหลายระบบ โดยเฉพาะเบาหวานชนิดท่ี 2 ซ่งึ พบสูงมากในช่วง 20 ปีน้ีและจะเป็นผู้ใหญ่อ้วนท่เี ส่ียงต่อ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ดโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สงู มากขน้ึ และทส่ี าคญั คนอ้วนยงั เป็น กลุ่มเสย่ี งตดิ เชอ้ื ไขห้ วดั และมอี าการแทรกซอ้ นทร่ี ุนแรงได้ง่าย (สานกั งานกองทุนสนับสนุนการ สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2552) ซง่ึ ประมาณไดว้ ่าโรคอว้ นจะเป็นภาระกบั ผลผลติ มวลรวมของประเทศ ท่กี าลงั พฒั นาสูงถงึ รอ้ ยละ 1.1-1.2 หากไม่รบี เร่งแก้ไขภาระค่าใช้จ่ายท่เี กดิ จากโรคอว้ นน้ีอาจ ทาใหเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศกาลงั พฒั นาหยุดชะงกั ได้ (WHO, 2013) ทงั้ น้ี ผลการสารวจภาวะ โภชนาการเกนิ และโรคอ้วนของนักเรยี นช่วงชนั้ ท่ี 3 และ 4 ปีการศกึ ษา 2550 ของโรงเรยี นท่ี สงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานและสานักการศึกษากรุงเทพมหานคร จานวน 158 โรง พบนักเรยี นทม่ี ภี าวะโภชนาการเกนิ และโรคอ้วนรวมกนั คดิ เป็นรอ้ ยละ 14.87 โรคอ้วนเป็นปัจจยั เส่ยี งท่สี าคญั ของการเกดิ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ซ่งึ เกดิ จากร่างกายด้อื ต่อ ฤทธอิ ์ นิ ซลู นิ คนทอ่ี ว้ นรา่ งกายกจ็ ะยง่ิ ดอ้ื ต่ออนิ ซลู นิ ทาใหเ้ สย่ี งต่อการเป็นโรคเบาหวาน ปัจจุบนั หลายประเทศทวั่ โลกพบเดก็ ทเ่ี ป็นโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 มากขน้ึ โดยตวั เลขทเ่ี พมิ่ ขน้ึ ดงั กล่าวมี ความสมั พนั ธก์ บั จานวนทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ของเดก็ ทเ่ี ป็นโรคอว้ นการพฒั นาใหเ้ ดก็ มที กั ษะ 3-Self ไดแ้ ก่ การกากบั ตนเอง (Self- regulation) และการรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง(Self-efficacy) ด้าน การเคลอ่ื นไหวออกกาลงั และการบรโิ ภคอาหารซง่ึ เป็นพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง (Self-care) ใน การป้องกนั โรคเบาหวาน จงึ มคี วามสาคญั เพ่อื ให้เด็กสามารถควบคุมและจดั การกบั อิทธพิ ล สงิ่ แวดลอ้ มทล่ี ว้ นยวั่ ยใุ หเ้ ดก็ เดนิ เขา้ สเู่ สน้ ทางของการเกดิ โรค (องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง, 2552) องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

233 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วตั ถปุ ระสงค์ โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม แยกอธบิ ายตามประเภทของโปรแกรม โปรแกรม Eat-3S มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1. การพฒั นาจติ พฤตกิ รรมดา้ นการบรโิ ภคอาหาร เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทเ่ี ขา้ รบั โปรแกรม 1.1 สามารถจดจา เขา้ ใจความหมาย ความเช่อื มโยงระหว่างโรคอ้วนและเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ปัจจยั เสย่ี ง ผลเสยี แนวทางการป้องกนั และเหน็ ความสาคญั ของการลดความเสย่ี ง 1.2 มกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองดา้ นการบรโิ ภคอาหารเพมิ่ ขน้ึ 1.3 มกี ารกากบั ตนเองดา้ นบรโิ ภคอาหารเพ่อื ลดความเสย่ี งของโรคเบาหวาน เพม่ิ ขน้ึ 2. ใหเ้ ดก็ มพี ฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารเพ่อื ลดความเสย่ี งของโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 โปรแกรม Exercise-3S มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 3. การพฒั นาจติ พฤตกิ รรมดา้ นการเคลอ่ื นไหวออกกาลงั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทเ่ี ขา้ รบั โปรแกรม 3.1 มกี ารรบั รคู้ วามสามารถของตนเองดา้ นการเคลอ่ื นไหวออกกาลงั เพมิ่ ขน้ึ 3.2 มกี ารกากบั ตนเองดา้ นการเคล่อื นไหวออกกาลงั เพม่ิ ขน้ึ 4. ใหเ้ ดก็ มพี ฤตกิ รรมการเคลอ่ื นไหวออกกาลงั เพ่อื ลดความเส่ยี งโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 เพม่ิ ขน้ึ 5. เพ่อื ลดความเสย่ี งของการเกดิ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ทม่ี สี าเหตุมาจากโรคอว้ น 5.1 มดี ชั นมี วลกาย (BMI) ลดลงก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรม 5.2 มคี วามหนาของชนั้ ไขมนั (Skin fold thickness) ลดลงจากก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรม 5.3 มคี วามยาวรอบเอวลดลงจากก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรม กลุ่มเป้ าหมาย กลุ่มเส่ียงคือ เด็กนักเรียนอายุระหว่าง 9 - 11 ปี ท่ีศึกษาระดับ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 - 5 ในโรงเรยี นในเขตกรุงเทพมหานคร และมภี าวะอ้วน เมอ่ื ใชเ้ กณฑข์ อง โคลและคณะ (Cole et al., 2000) รว่ มกบั เกณฑม์ าตรฐานดชั นีมวลกายตามอายแุ ละเพศ ลกั ษณะโปรแกรม เป็นโปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมทงั้ 2 โปรแกรม อธบิ ายไดด้ งั น้ี 1. โปรแกรม Eat- 3S เป็นหลกั สูตรเพ่อื พฒั นาทกั ษะการกากบั ตนเองและการรบั รู้ ความสามารถของตนเองดา้ นการบรโิ ภคอาหาร รวมทงั้ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร โดยมกี าร จดั เน้ือหาและกิจกรรมท่ีส่งเสริมการพัฒนาทงั้ ทางด้านพฤติกรรมทางปัญญา (Cognitive behavior) กจิ กรรมทจ่ี ดั ขน้ึ แบ่งเป็น 6 ครงั้ สปั ดาหล์ ะ 1 ครงั้ ๆ ละ 100 นาที รวมทงั้ หมด 600 นาที หรอื 10 ชวั่ โมง และในแต่ละครงั้ ใชร้ ปู แบบการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย เช่น สอนแบบเชงิ รกุ หรอื Active learning ฝึกทกั ษะ ฝึกแกป้ ัญหา ทาแบบฝึกหดั ทบ่ี า้ น การอภปิ ราย การเรยี นรแู้ บบ มสี ว่ นรว่ มและแบบปฏสิ มั พนั ธ์ เป็นตน้ ภาพรวมของโปรแกรมแสดงดงั ตาราง 8-1 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

234 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตาราง 8-1 ภาพรวมกจิ กรรมในโปรแกรม Eat-3S ครงั้ ที่ เนื้อหา/กิจกรรม 1 การสรา้ งความตระหนกั ถงึ ปัญหาสขุ ภาพและการสง่ เสรมิ ความรู้ดา้ นโภชนาการ: ธงโภชนาการ พลงั งานจากอาหาร (แคลอร)ี อาหารทดแทนทใ่ี หพ้ ลงั งานต่า และการอ่านฉลากโภชนาการ 2 การกากบั พฤตกิ รรมตนเองดา้ นการบรโิ ภคอาหาร 3 พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองดา้ นโภชนาการ ไดแ้ ก่ การเลอื กซอ้ื การเกบ็ ปรมิ าณ เสรฟิ และวธิ กี าร รบั ประทานอาหาร พรอ้ มทากจิ กรรม “ทวั รซ์ ปุ เปอรม์ ารเ์ กต็ ” 4 อาหารเพ่อื สุขภาพ: การสาธติ กิจกรรมการทาอาหาร การจดั เมนูอาหาร และการมอบหมาย การบา้ นเพอ่ื ทา/จดั เมนูอาหารเพ่อื สขุ ภาพกบั ครอบครวั 5 การเผชญิ สถานการณ์ และทางเลอื กในการแกป้ ัญหาทน่ี าไปสกู่ ารบรโิ ภคทไ่ี มเ่ หมาะสม 6 ความรเู้ กย่ี วกบั โรคอว้ นและเบาหวานชนิดท่ี 2 2. โปรแกรม Exercise-3S เป็นหลกั สูตรเพ่ือพฒั นาการกากับตนเองและการรับรู้ ความสามารถของตนเองดา้ นการเคล่อื นไหวออกกาลงั รวมทงั้ พฤตกิ รรมการเคล่อื นไหวออก กาลงั โดยมกี ารจดั เน้ือหาและกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ การพฒั นาทงั้ ทางดา้ นการรคู้ ดิ และพฤตกิ รรม กจิ กรรมทจ่ี ดั ขน้ึ แบ่งออกเป็น 6 ครงั้ สปั ดาหล์ ะ 1 ครงั้ ๆ ละ 100 นาที รวมทงั้ หมด 600 นาที หรอื 10 ชวั่ โมง และในแต่ละครงั้ ใชร้ ปู แบบการเรยี นรทู้ ่หี ลากหลายเช่น การสอนแบบ Active learning ฝึกทกั ษะ ทาแบบฝึกหดั สาธติ เรยี นรแู้ บบมสี ่วนรว่ ม เป็นตน้ ภาพรวมของโปรแกรม แสดงดงั ตาราง 8-2 ตาราง 8-2 ภาพรวมกจิ กรรมในโปรแกรม Exercise-3S ครงั้ ท่ี เนื้อหา/กิจกรรม 1 ความรู้เก่ยี วกบั การใช้พลงั งานในชวี ติ ประจาวนั : สดั ส่วนของการเคล่อื นไหวออกกาลงั ท่คี วร ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาวนั และพลงั งานทถ่ี กู เผาผลาญจากการออกกาลงั กายหรอื ทากจิ กรรมต่างๆ 2 การกากบั ตนเองดา้ นการเคลอ่ื นไหวออกกาลงั 3 หลกั การออกกาลงั กายและการสาธติ การออกกาลงั กายทเ่ี หมาะสมกบั วยั 4 การวางแผนกจิ กรรมเพ่อื เพม่ิ การเผาผลาญพลงั งานรว่ มกบั ครอบครวั และการเลอื กกจิ กรรมทาง กายทเ่ี หมาะกบั ลลี าชวี ติ /ชวี ติ ประจาวนั ของตวั เอง 5 เดนิ เพอ่ื หาสาระของชวี ติ (Walk rally) 6 ทบทวนบทเรยี น แนวคดิ และเทคนิคท่ใี ช้ในการปรบั เปล่ยี นตวั แปรทางจติ และพฤตกิ รรมซ่งึ เป็นตวั แปร ตามของโปรแกรม Eat-3S ดงั กลา่ วขา้ งตน้ สามารถสรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง กจิ กรรม ตวั แปร ตามทต่ี อ้ งการปรบั เปลย่ี น แนวคดิ /เทคนคิ ทใ่ี ช้ และวธิ ดี าเนนิ กจิ กรรม ดงั แสดงในตาราง 8-3 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

235 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตาราง 8-3 แสดงกจิ กรรม ตวั ชว้ี ดั แนวคดิ /เทคนิคทใ่ี ชแ้ ละวธิ ดี าเนินกจิ กรรมของโปรแกรม Eat-3S ครงั้ เนื้อหา/กิจกรรม ตวั ชี้วดั ที่ แนวคิด/ วิธีดาเนินกิจกรรมการเรยี นรู้ ท่ี ต้องการเปล่ียน เทคนิ คที่ใช้ 1 ความรดู้ า้ น 1. การรบั รู้ การสรา้ ง - การบรรยายความรู้ - การตงั้ คาถาม โภชนาการ: ความสามารถ ประสบการณ์ท่ี - การเล่นเกม - การอภปิ รายกลุ่มย่อย พลงั งาน (แคลอร)ี ของตนเองดา้ น ประสบ - การฝึกซอ้ มและลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ อาหารทดแทนทใ่ี ห้ การบรโิ ภค ความสาเรจ็ - การฝึกคดิ เป็นรายบคุ คลและรายกลุ่ม พลงั งานต่า และการ อาหาร - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั การใชค้ าพดู ชกั จงู อา่ นฉลากโภชนาการ - การพดู ใหก้ าลงั ใจ - การชแ้ี นะ 2 การกากบั ตนเอง 1. การกากบั การกากบั ผล - การใหฝ้ ึกการกากบั ตนเองตาม 4 ขนั้ ดา้ นการบรโิ ภค ตนเองดา้ นการ กรรมดว้ ยการ - การมอบหมายใหด้ าเนินการกากบั อาหาร บรโิ ภคอาหาร กากบั พฤตกิ รรม ตนเองดา้ นบรโิ ภคอาหารตามทไ่ี ดฝ้ ึก 2.การควบคุม - การเสรมิ แรงจากภายนอก ตนเอง การกระทา - การใหว้ างแผนกระทาพฤตกิ รรม 3. พฤตกิ รรมการ พฤตกิ รรม บรโิ ภคอาหาร ดแู ลตนเองในดา้ น การบรโิ ภคอาหาร 4. การรบั รคู้ วาม การสรา้ งประสบ - การตดิ ตามผลการกากบั ตนเองของ สามารถของตน การณ์ความสาเรจ็ เดก็ และใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ดา้ นบรโิ ภคอาหาร 3 การเลอื กซอ้ื การ 1. การกากบั การควบคมุ - การกาจดั สง่ิ เรา้ ทเ่ี ป็นตวั นาพฤตกิ รรม เกบ็ ปรมิ าณเสรฟิ ตนเองดา้ นการ สง่ิ เรา้ ทไ่ี มเ่ หมาะสม ไมซ่ อ้ื น้าอดั ลมไวบ้ า้ น และวธิ กี าร บรโิ ภคอาหาร - การสรา้ งสง่ิ เรา้ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงซง่ึ เป็น รบั ประทานอาหาร 2.การควบคมุ ตวั แนะพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร พรอ้ มทากจิ กรรม ตนเอง การควบคุมผล - การดาเนนิ การกากบั ตนเองดา้ นการ “ทวั รซ์ ปุ เปอรม์ าร์ 3. พฤตกิ รรมการ กรรมดว้ ยการ บรโิ ภคอาหาร 4 ขนั้ ตอนตามทไ่ี ดฝ้ ึก เกต็ ” ดแู ลตนเองใน กากบั พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก ดา้ นการบรโิ ภค การกระทา - การใหว้ างแผนและกระทาพฤตกิ รรม อาหาร พฤตกิ รรม บรโิ ภคอาหาร 4. การรบั รู้ การสรา้ ง - การฝึกซอ้ มและลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ใน ความสามารถ ประสบการณ์ท่ี การเลอื กซอ้ื อาหาร ของตนเองดา้ น ประสบ - การมอบหมายงานและอภปิ รายกลุม่ การบรโิ ภค ความสาเรจ็ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั อาหาร การใชค้ าพดู ชกั จงู - การชแ้ี นะ กลา่ วชน่ื ชมในความสาเรจ็ 4 อาหารเพ่อื สขุ ภาพ: 1. การรบั รู้ การสรา้ งประ สบ - การฝึกซอ้ มและลงมอื ปฏบิ ตั ทิ าอาหาร การสาธติ กจิ กรรม ความสามารถ การณ์ทป่ี ระสบ - การมอบหมายงาน การทาอาหาร การ ของตนเองดา้ น ความสาเรจ็ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

236 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ครงั้ เนื้อหา/กิจกรรม ตวั ชี้วดั ท่ี แนวคิด/ วิธีดาเนินกิจกรรมการเรยี นรู้ ที่ ต้องการเปลี่ยน เทคนิ คท่ีใช้ จดั เมนูอาหาร และ การบรโิ ภค การใชต้ วั แบบ - การสาธติ การทาอาหารโดยวทิ ยากร อาหาร การมอบหมาย - เหน็ ตวั แบบพฤตกิ รรมจากเพอ่ื นในกลมุ่ การบา้ นเพ่อื ทา/ - การใหผ้ ปู้ กครองเป็นตวั แบบแสดง จดั เมนูอาหารเพ่อื พฤตกิ รรม สขุ ภาพกบั การใชค้ าพดู ชกั จงู - นาสมาชกิ ในครอบครวั มามสี ว่ นรว่ ม ครอบครวั - การชแ้ี นะ กลา่ วชน่ื ชมในความสาเรจ็ 2. การกากบั ตนเอง การควบคมุ ผล - การดาเนินการกากบั ตนเองดา้ นการ 3. การควบคมุ กรรม ดว้ ยการ บรโิ ภคอาหาร 4 ขนั้ ตอนตามทไ่ี ดฝ้ ึก ตนเอง กากบั พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก 4. พฤตกิ รรมการ การกระทา - การใหว้ างแผนกระทาพฤตกิ รรม ดแู ลตนเองดา้ น พฤตกิ รรม บรโิ ภคอาหาร อาหาร 5 การเผชญิ อารมณ์ 1. การรบั รคู้ วาม การเผชญิ ปัญหา - การชแ้ี นะ - การอภปิ รายกลมุ่ ย่อย หรอื สถานการณ์ สามารถของ และทกั ษะการ - การฝึกทกั ษะ และทางเลอื กใน ตนเอง แกป้ ัญหา - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั การแกป้ ัญหาท่ี 2. การกากบั การควบคุมผล - การดาเนนิ การกากบั ตนเองดา้ นการ นาไปสกู่ ารบรโิ ภค ตนเอง กรรม ดว้ ยการ บรโิ ภคอาหาร 4 ขนั้ ตอน ตามทไ่ี ดฝ้ ึก ทไ่ี ม่เหมาะสม 3. พฤตกิ รรมการ กากบั พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก ดแู ลตนเองใน การกระทา - การใหว้ างแผนกระทาพฤตกิ รรม ดา้ นอาหาร บรโิ ภคอาหาร พฤตกิ รรม 6 ความรเู้ กย่ี วกบั โรค 1. ความรู้ แนวคดิ โรคอว้ นและ - การบรรยายความรู้ - การตงั้ คาถาม อว้ นและเบาหวาน เกย่ี วกบั โรคอว้ น เบาหวานชนิดท่ี 2 - การเล่นเกม - การอภปิ รายกลุ่มย่อย ชนดิ ท่ี 2 และเบาหวาน 2. การรบั รคู้ วาม การสรา้ งประสบ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั สามารถของ การณ์ทส่ี าเรจ็ ตนเองดา้ นการ การใชค้ าพดู ชกั จงู - การชแ้ี นะ บรโิ ภคอาหาร - การกลา่ วชน่ื ชมในความสาเรจ็ 3. การกากบั การควบคมุ ผล - การดาเนนิ การกากบั ตนเองดา้ นการ ตนเองดา้ นการ กรรมดว้ ยการ บรโิ ภคอาหาร 4 ขนั้ ตอน ตามทไ่ี ดฝ้ ึก บรโิ ภคอาหาร กากบั พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก 4. พฤตกิ รรมการ 3.2 การกระทา - การใหว้ างแผนกระทาพฤตกิ รรม บรโิ ภคอาหาร พฤตกิ รรม บรโิ ภคอาหาร รายละเอยี ดของแนวคดิ /เทคนิคทน่ี ามาสรา้ งเป็นโปรแกรม Exercise-3S ไดป้ ระยุกตใ์ ช้ แนวคดิ และเทคนคิ เช่นเดยี วกบั โปรแกรม Eat-3S นาเสนอรายละเอยี ดดงั แสดงในตาราง 8-4 องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

237 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตาราง 8-4 แสดงกิจกรรม ตัวช้ีวัด แนวคิด/เทคนิคท่ีใช้และวิธีดาเนินกิจกรรมของโปรแกรม Exercise-3S ครงั้ เนื้อหา/ ตวั ชี้วดั ที่ตอ้ งการ แนวคิด/ วิธีดาเนินกิจกรรมการเรยี นรู้ ท่ี กิจกรรม ปรบั เปลีย่ น เทคนิ คที่ใช้ 1 การใชพ้ ลงั งาน 1. การรบั รคู้ วามสามารถ การสรา้ ง ประจาวนั : ของตนเองดา้ นการ ประสบการณ์ท่ี - การตงั้ คาถาม - การเลน่ เกม การเคล่อื นไหว เคลอ่ื นไหวออกกาลงั ประสบ - การมอบหมายการบา้ น ออกกาลงั และ ความสาเรจ็ - การอภปิ รายกลมุ่ ย่อย พลงั งานทเ่ี ผา - ฝึกคดิ เป็นรายบคุ คลและกลมุ่ ผลาญ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั 2 การควบคมุ 1.การควบคมุ ตนเองดา้ น การควบคุมผล - การใหฝ้ ึกการกากบั ตนเองตาม 4 ตนเองดา้ น การเคล่อื นไหว กรรมดว้ ยการ ขนั้ ตอน - การมอบหมายให้ การ ออกกาลงั กากบั พฤตกิ รรม ดาเนินการกากบั ตนเองดา้ นการ เคลอ่ื นไหว 2.การกากบั ตนเอง การกระทา เคลอ่ื นไหวออกกาลงั ตามทไ่ี ดฝ้ ึก ออกกาลงั 3.การดแู ลตนเองในดา้ น พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก การเคลอ่ื นไหวออกกาลงั - การใหว้ างแผนและกระทา พฤตกิ รรมเคลอ่ื นไหวออกกาลงั 4. การรบั รคู้ วามสามารถ การสรา้ งประสบ - การตดิ ตามผลการควบคุมตนเอง ของตนเองดา้ นการ การณ์ทป่ี ระสบ ของเดก็ และใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เคล่อื นไหวออกกาลงั ความสาเรจ็ 3 หลกั การออก 1. การรบั รคู้ วามสามารถ การสรา้ งประสบ - การฝึกซอ้ มและลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ใน กาลงั กาย และ ของตนเองดา้ นการ การณ์ทป่ี ระสบ การออกกาลงั กาย /การฝึกทกั ษะ การสาธติ การ เคลอ่ื นไหวออกกาลงั ความสาเรจ็ - การมอบหมายงาน ออกกาลงั กาย - บรรยายความรแู้ ละการตงั้ คาถาม ทเ่ี หมาะสม - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั กบั วยั การใชต้ วั แบบ - การสาธติ การออกกาลงั กาย - การเหน็ ตวั แบบพฤตกิ รรมจากเพ่อื น - การใหผ้ ปู้ กครองเป็นตวั แบบใน การแสดงพฤตกิ รรม การใชค้ าพดู - การนาสมาชกิ ในครอบครวั เขา้ มา ชกั จงู มสี ว่ นรว่ ม - การชแ้ี นะ - การพดู ใหก้ าลงั ใจ - การกลา่ วช่นื ชมในความสาเรจ็ 2. การกากบั ตนเอง การควบคมุ - การดาเนินการกากบั ตนเอง 3. การควบคมุ ตนเองดา้ น ผลกรรม ดา้ นการเคล่อื นไหวออกกาลงั การเคลอ่ื นไหวออกกาลงั กระทา 4 ขนั้ ตอนตามทไ่ี ดฝ้ ึก พฤตกิ รรม - การเสรมิ แรงจากภายนอก 4. พฤตกิ รรมการ - การใหว้ างแผนและการปฏบิ ตั ิ เคล่อื นไหวออกกาลงั ในการเคล่อื นไหวออกกาลงั 4 การสรา้ งประสบ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั การณ์ทส่ี าเรจ็ - การมอบหมายงาน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

238 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวคิด/ ครงั้ เนื้อหา/ ตวั ชี้วดั ที่ตอ้ งการ เทคนิ คที่ใช้ วิธีดาเนินกิจกรรมการเรยี นรู้ ท่ี กิจกรรม ปรบั เปลีย่ น การใชค้ าพดู การวางแผน 1. การรบั รคู้ วามสามารถ ชกั จงู - การนาสมาชกิ ในครอบครวั เขา้ กจิ กรรมเพ่อื ของตนเองดา้ นการ มามสี ว่ นรว่ มในการวางแผน/ เพมิ่ การเผา เคลอ่ื นไหวออกกาลงั การใชต้ วั แบบ เลอื กกจิ กรรม ผลาญพลงั งาน การควบคุมผล รว่ มกบั กรรม - การชแ้ี นะ - การพดู ใหก้ าลงั ใจ ครอบครวั และ การกระทา การเลอื ก พฤตกิ รรม - การใหผ้ ปู้ กครอบเป็นตวั แบบ กจิ กรรมทาง 2. การกากบั ตนเอง แสดงพฤตกิ รรม กายทเ่ี หมาะ 3. การควบคมุ ตนเองดา้ น กบั ลลี าชวี ติ / - การดาเนนิ การกากบั ตนเอง ชวี ติ ประจาวนั เคลอ่ื นไหวออกกาลงั ดา้ นการเคลอ่ื นไหวออกกาลงั ของตวั เอง 4. พฤตกิ รรมการ 4 ขนั้ ตอน ตามทไ่ี ด้ ฝึกมา เคลอ่ื นไหวออกกาลงั - การเสรมิ แรงจากภายนอก - การใหว้ างแผนและกระทา พฤตกิ รรมการเคล่อื นไหว ออกกาลงั 5 เดนิ เพ่อื หา 1. การรบั รคู้ วามสามารถ การสรา้ งประสบ - การมอบหมายงาน สาระของชวี ติ ของตนเองดา้ นการ การณ์ทป่ี ระสบ - การลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ (Walk rally) เคลอ่ื นไหวออกกาลงั ความสาเรจ็ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั การใชค้ าพดู - การชแ้ี นะ ชกั จงู - การกลา่ วชน่ื ชมในความสาเรจ็ 2. การกากบั ตนเอง การควบคุม - การดาเนนิ การกากบั ตนเองดา้ น 3.ควบคมุ ตนเองดา้ น ผลกรรม การเคล่อื นไหวออกกาลงั การเคล่อื นไหวออกกาลงั 4 ขนั้ 4. พฤตกิ รรมการ ตามทไ่ี ดฝ้ ึก เคลอ่ื นไหวออกกาลงั การกระทา - การเสรมิ แรงจากภายนอก พฤตกิ รรม - การใหว้ างแผนและกระทา พฤตกิ รรมการเคล่อื นไหว ออกกาลงั 6 ทบทวน 1. การรบั รคู้ วามสามารถ การสรา้ งประสบ - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั บทเรยี น ของตนเองดา้ นการ การณ์ทป่ี ระสบ เคล่อื นไหวออกกาลงั ความสาเรจ็ การใชค้ าพดู - การชแ้ี นะ ชกั จงู - กล่าวช่นื ชมในความสาเรจ็ 2. การกากบั ตนเอง การควบคุมผล - การดาเนนิ การกากบั ตนเองดา้ น 3.การควบคมุ ตนเอง กรรม การเคล่อื นไหวออกกาลงั 4 ขนั้ 4. พฤตกิ รรมการ ตามทไ่ี ดฝ้ ึก เคลอ่ื นไหวออกกาลงั - การเสรมิ แรงจากภายนอก การกระทา - การใหว้ างแผนและกระทา พฤตกิ รรม พฤตกิ รรมการเคล่อื นไหว ออกกาลงั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

239 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขนั้ ตอนการดาเนินโปรแกรม ขนั้ ตอนการเตรยี มการก่อนการจดั กิจกรรม แบง่ เป็น 2 สว่ น คอื 1. ในสว่ นวทิ ยากร ผชู้ ่วย หรอื ผปู้ ระสานงานกจิ กรรม (Facilitators) ควรศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องกบั โรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 แนวคิดเก่ียวกับการสร้างการรบั รู้ ความสามารถของตนเอง เทคนิคการกากบั ตนเอง แนวคดิ พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง รวมทงั้ แนวคดิ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การฝึกอบรม เทคนิค รปู แบบของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยเฉพาะ การใชเ้ กมและกระบวนการกลุ่ม 2. ในสว่ นการเตรยี มการก่อนการดาเนินกจิ กรรม 2.1 กาหนดลกั ษะของกลุ่มเป้าหมายใหช้ ดั เจน คอื 1) เป็นเดก็ อายุ 9-11 ปี ทม่ี ดี ชั นี มวลกายตงั้ แต่เปอรเ์ ซน็ ไทลท์ ่ี 85 ขน้ึ ไป เมอ่ื เทยี บจากกราฟแสดงเกณฑอ์ า้ งองิ การเจรญิ เตบิ โต ตามมาตรฐานดชั นีมวลกายตามอายแุ ละเพศ (BMI-for-age) สาหรบั เดก็ อายุ 2 – 20 ปี รว่ มกบั เกณฑ์ของโคลและคณะ (Cole et al., 2000) 2) มคี วามสมคั รใจและได้รบั การยินยอมจาก ผปู้ กครองใหเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม 3) ไม่มโี รคประจาตวั ทเ่ี ป็นอุปสรรคต่อการเขา้ รว่ มกจิ กรรมตลอด โปรแกรม และ 4) มปี ัญหาทางพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารและพฤตกิ รรมการเคล่อื นไหวออก กาลงั ในระดบั ต่า ไม่สม่าเสมอหรอื ไมถ่ ูกต้อง โดยมกี ารคดั กรองความเสย่ี งในเดก็ โดยพจิ ารณา สาเหตุดา้ นวถิ ชี วี ติ ไมถ่ ูกตอ้ งในเรอ่ื งพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารและพฤตกิ รรมการเคล่อื นไหว ออกกาลงั รวมทงั้ เก็บขอ้ มลู ภูมหิ ลงั ของเด็ก ซง่ึ ประกอบดว้ ย อาชพี รายได้ ระดบั การศกึ ษา พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร และพฤติกรรมการเคล่อื นไหวออกกาลงั ของบิดามารดาหรอื ผู้ปกครอง จากนัน้ พจิ ารณาเดก็ ท่มี รี ะดบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารและการเคล่อื นไหวออก กาลงั อย่ใู นระดบั ต่า ไมส่ ม่าเสมอ หรอื ไม่ถูกต้อง แลว้ รบั สมคั รเดก็ ทม่ี คี ุณลกั ษณะตามเกณฑท์ ่ี กาหนดไว้ และยนิ ยอมสมคั รใจเขา้ รว่ มกจิ กรรม 2.2 ติดต่อประสานงานกับครูหรือผู้ประสานงานของโรงเรียน เพ่ือช้ีแจง วตั ถุประสงค์ ความสาคญั ประโยชน์ และรายละเอยี ดขนั้ ตอนในการทากจิ กรรมตลอดโปรแกรม 2.3 จดั เตรยี มสถานทแ่ี ละอุปกรณ์ต่างๆ 2.4 เชญิ ผู้ปกครองและเด็กเข้าร่วมประชุมเพ่อื ช้ีแจงวตั ถุประสงค์ ความสาคญั ประโยชน์ และรายละเอยี ดขนั้ ตอนในการทากจิ กรรมตลอดโปรแกรม 2.5 ให้เด็กฝึกบนั ทึกพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารและการเคล่อื นไหวออกกาลงั ประจาวนั เพ่อื เตรยี มความพรอ้ มสาหรบั การเกบ็ ขอ้ มลู พฤตกิ รรมในชว่ งดาเนินกจิ กรรม ขนั้ ตอนการเกบ็ ข้อมลู ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม เป็นการเกบ็ ขอ้ มลู ของตวั แปรซง่ึ เป็นวตั ถุประสงคห์ ลกั ของโปรแกรม ดงั น้ี 1. ตวั แปรทางจติ และพฤตกิ รรม โดยให้เดก็ ทาแบบวดั ความรู้ การรบั รคู้ วามสามารถ ของตนเอง การกากบั ตนเองตนเอง พฤตกิ รรมการดูแลตนเองดา้ นการบรโิ ภคอาหารและการ เคลอ่ื นไหวออกกาลงั องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

240 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 2. ตวั ชว้ี ดั ความเสย่ี งของโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยเกบ็ ขอ้ มลู ดชั นมี วลกาย ความหนา ของไขมนั และ ความยาวรอบเอวของกลุม่ กลมุ่ เป้าหมายทเ่ี ขา้ รว่ มโปรแกรม ขนั้ ตอนปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมตามโปรแกรม Eat-3S และ Exercise-3S 1. ใหก้ ลุ่มเป้าหมายทากจิ กรรมตามโปรแกรม Eat-3S ตามดว้ ยโปรแกรม Exercise- 3S หรอื อาจเรมิ่ ดว้ ยโปรแกรม Exercise-3S แล้วตามดว้ ยโปรแกรม Eat-3S โดยทากจิ กรรม สปั ดาหล์ ะ1 ครงั้ ๆ ละ 100 นาที 2. ในระหว่างดาเนินกจิ กรรม ผจู้ ดั กจิ กรรมดาเนินการเพมิ่ เตมิ ดงั น้ี 2.1 ให้กลุ่มเป้าหมายชงั่ น้าหนักและพลอตกราฟน้าหนักของตนเองลงบนกราฟ น้าหนกั สว่ นบุคคลซง่ึ ผจู้ ดั กจิ กรรมไดเ้ ตรยี มไวใ้ ห้ 1 คน ต่อ 1 แผน่ 2.2 ในระหวา่ งโปรแกรม Eat-3S ใหก้ ลมุ่ เป้าหมายบนั ทกึ การบรโิ ภคอาหารประจาวนั และในระหว่างโปรแกรม Exercise-3S ให้เดก็ บนั ทกึ การเคล่อื นไหวออกกาลงั ประจาวนั แล้ว นาสง่ อาจารยผ์ ปู้ ระสานงานในวนั รงุ่ ขน้ึ โดยทุกครงั้ ทเ่ี ดก็ นามาส่งจะได้ 1 แตม้ ซง่ึ เมอ่ื สะสมครบ 7 แตม้ เดก็ จะไดร้ บั รางวลั ขนั้ ตอนการประเมินผลโปรแกรม มดี งั น้ี 1. การประเมนิ ผลกจิ กรรมในโปรแกรมแต่ละครงั้ ตามวตั ถุประสงคข์ องกจิ กรรม ซง่ึ มใิ ช่ การประเมนิ ผลตามตวั ตวั ชว้ี ดั เชน่ การสงั เกตความรว่ มมอื การมสี ่วนรว่ ม ความสาเรจ็ ของงาน ทไ่ี ดม้ อบหมาย ความสนใจของเดก็ การตอบคาถามของเดก็ เป็นตน้ 2. การประเมนิ ผลตามวตั ถุประสงคห์ ลกั ของแต่ละโปรแกรม ดงั น้ี 2.1 ตวั แปรทางจติ และพฤตกิ รรม โดยให้กลุ่มเป้าหมายทาแบบวดั ความรู้ การรบั รู้ ความสามารถของตนเอง การกากบั ตนเอง พฤตกิ รรมการดูแลตนเองด้านบรโิ ภคอาหาร และ การเคล่อื นไหวออกกาลงั 2.2 ตวั แปรความเส่ยี งของโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยผูจ้ ดั กจิ กรรม เกบ็ ขอ้ มลู ดชั นี มวลกาย ความหนาของไขมนั และ ความยาวรอบเอวของกลมุ่ กลมุ่ เป้าหมายทเ่ี ขา้ รว่ มโปรแกรม 3. การประเมินความพึงพอใจโดยรวมของโปรแกรม โดยให้กลุ่มเป้าหมายตอบ แบบสอบถามความพงึ พอใจในการเขา้ ร่วมโปรแกรมรวมทงั้ ใหข้ อ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ ตวั อยา่ งโปรแกรมปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพกล่มุ ผใู้ หญ่โรคอ้วน ความเป็ นมาของโปรแกรม ภาวะไขมนั และน้าตาลในเลอื ดสูงและภาวะน้าหนักเกิน เป็นกลุ่มอาการของโรคไม่ ตดิ ต่อทเ่ี ป็นปัญหาสาคญั ในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยเน่ืองจากเป็ นสาเหตุท่ที าให้เกดิ โรคเบาหวาน โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด รวมทงั้ โรคกระดูกและขอ้ ทเ่ี กดิ จากการมนี ้าหนักเกนิ มาตรฐาน บุคคลเม่อื ย่างเข้าสู่วยั กลางคนจะเรมิ่ อ้วนข้นึ สาเหตุมาจากอัตราการเผาผลาญ พลงั งานของรา่ งกายลดลง โอกาสในการออกกาลงั กายน้อยลง โดยเฉพาะเพศหญงิ จะมฮี อรโ์ มน องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์

241 บทท่ี 8 โปรแกรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 3-Self --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เอสโตรเจนภายในรา่ งกายช่วงใกลว้ ยั ทอง ส่งผลใหม้ ไี ขมนั ส่วนเกนิ สะสมไวใ้ ตผ้ วิ หนัง บรเิ วณ หน้าทอ้ ง ต้นขา และแขนมากขน้ึ และจะไปจบั ทอ่ี วยั วะภายใน เช่น รอบๆ หวั ใจ ตบั ไต ลาไส้ เป็นต้น ซ่งึ เปรยี บเสมอื นสญั ญาณอนั ตราย อาจทาให้เกิดโรคไขมนั ในเลอื ดสูง โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู โรคหวั ใจ และโรคหลอดเลอื ด และยงั พบว่า มผี ทู้ ม่ี ปี ัจจยั เสย่ี งมากกว่า 1 ปัจจยั ความเส่ยี งต่อการเกิดโรคเหล่าน้ีจะเพม่ิ ข้นึ และเป็นทวคี ูณ เน่ืองจากสาเหตุของปัจจยั เส่ยี งหลายปัจจยั ท่ดี าเนินอยู่ในวถิ กี ารดาเนินชวี ติ ประจาวนั ซ่งึ สามารถเปล่ยี นแปลงได้ตาม แนวคดิ โดยใชห้ ลกั 6อ. ไดแ้ ก่ อาหาร อารมณ์ อากาศ ออกกาลงั กาย อาศยั และอบายมุก ซง่ึ เป็นไปไดท้ จ่ี ะควบคมุ และป้องกนั หรอื ชะลอการเกดิ โรคได้ วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโครงการ 1. มกี ารรบั รคู้ วามสามารถในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพไดด้ ว้ ยตนเองในระดบั มาก 2. มคี า่ ดชั นีมวลกายลดลงจากก่อนเขา้ รว่ มโครงการของจานวนผมู้ คี า่ ดชั นีมวลกายเกนิ ทงั้ หมด 3. มคี วามดนั โลหติ ลดลงเป็นปกติ จากก่อนเขา้ รว่ มโครงการของผมู้ คี วามดนั โลหติ สงู ทงั้ หมด 4. มคี วามพงึ พอใจต่อกจิ กรรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในระดบั มาก กล่มุ เป้าหมาย ประชาชนทม่ี ปี ัญหาโรคอว้ นหรอื ผทู้ ม่ี ภี าวะเสย่ี งต่อการเกดิ โรคอว้ น 50 คน โดยมเี กณฑค์ ดั เลอื กผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ ดงั น้ี 1. มคี า่ ดชั นีมวลกาย (Body Mass Index: BMI)  23 mg/m2 2. มคี ่าความดนั โลหติ สงู เกนิ เกณฑ์ (คา่ Systolic  40 mmHg ค่า Diastolic  90 mmHg) 3. สมคั รใจเขา้ รว่ มโครงการและสามารถรว่ มกจิ กรรมไดต้ ลอดหลกั สตู ร 4. เสน้ รอบเอวเกนิ 80 เซน็ ตเิ มตร สาหรบั ผหู้ ญงิ และเกนิ 90 เซน็ ตเิ มตร สาหรบั ผชู้ าย ตาราง 8-5 แผนการดาเนินกจิ กรรมปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพสาหรบั โรคอว้ นในผใู้ หญ่ ครงั้ ท่ี ลกั ษณะกิจกรรม เทคนิ ค/วิธีการ จานวน ตวั ชี้วดั ผลผลิต/ผลลพั ธ์ 1 - สรา้ งแรงจงู ใจและ - ละลายพฤตกิ รรม ประเมนิ ความ 50 - จานวนผเู้ สย่ี งโรค 50 เสรมิ สรา้ งพลงั ในการ คาดหวงั และทกั ษะกาหนด คน คน เขา้ รว่ มกจิ กรรม ปรบั เปลย่ี น ขอ้ ตกลงในการรว่ ม พฤตกิ รรม - กจิ กรรมฝันดี ฝันรา้ ย ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม -กจิ กรรมรกั ชวี ติ ตอ้ งปกป้องหวั ใจ ครบทุกคน - วางแผนการกากบั - กาหนดเป้าหมายและวาง พฤตกิ รรมสขุ ภาพ แผนการดแู ลตนเอง 50 - จานวนผเู้ ขา้ รว่ ม - ใหค้ วามรเู้ ร่อื งโรคแหง่ การ คน กจิ กรรมทเ่ี สย่ี งต่อ 2 - สรา้ งความตระหนกั สะสมพอกพนู และการมสี ว่ นรว่ มใน - ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมแสดงความ โรคเบาหวาน มผี ล การปรบั เปลย่ี น คดิ เหน็ เปิดใจยอมรบั กจิ กรรม เลอื ดทด่ี ขี น้ึ คดิ เป็นรอ้ ย พฤตกิ รรม และรปู แบบ ละ 20 ของจานวน - เทคนคิ การปรบั เปลย่ี น ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ - แนวทางการสรา้ ง พฤตกิ รรมและการฝึกลงบนั ทกึ ความรบั ผดิ ชอบต่อ สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ สขุ ภาพดว้ ยการ องั ศนิ นั ท์ อนิ ทรกาแหง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook