รายงานผลการวิจยั โครงการผลกระทบของสือ่ ดจิ ทิ ลั ทม่ี ีผลต่อพัฒนาการมนุษยใ์ นศตวรรษที่ 21 โดย สถาบนั แหง่ ชาติเพอื่ การพฒั นาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลยั มหิดล
บทคดั ยอ่ ปัจจุบันเด็ก เยาวชน และครอบครัวสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัล ได้แก่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพวิ เตอรพ์ กพาส่วนตวั และเลือกใชส้ ื่อเพ่ือตอบสนองความต้องการในการใช้งานและเปดิ รบั ขอ้ มูลข่าวสาร ได้อย่างไม่มีขดี จำกดั และยากตอ่ การควบคุม ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ปญั หาพฤตกิ รรมการใช้สื่อดิจิทลั ทีไ่ ม่ เหมาะสมและความเสี่ยงต่อพฒั นาการตามช่วงวยั โครงการผลกระทบของส่ือดจิ ทิ ลั ทีม่ ผี ลตอ่ พฒั นาการมนษุ ย์ ในศตวรรษที่ 21 จึงม่งุ ศึกษาระดบั พฒั นาการ ทักษะการคดิ เชงิ บรหิ าร (Executive Functions : EF) ของเดก็ ปฐมวัย ระดับพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กอายุระหว่าง 0-13 ปี ความรู้ความสามารถของ ผู้ปกครองในการกำกับดูแลการใช้ส่ือของเด็ก และรูปแบบการเลี้ยงดูและความผูกพันในครอบครัวในกลุ่ม ผูป้ กครองและเดก็ อายุ 0-2 ปี อายุ 3-5 ปี และอายุ 6-13 ปี ท่ีอาศัยอยู่ในจังหวดั นครปฐม อำเภอพทุ ธมณฑล ตำบลศาลายา รวมทั้งสิ้น 201 คน งานวิจัยชิ้นนี้สุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลความรู้ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกับดูแลการใช้สื่อของเดก็ พฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ส่อื ออนไลน์ของเดก็ รูปแบบการเลย้ี งดแู ละความผูกพันระหว่างมารดาและบุตร ทกั ษะ การรู้คดิ พัฒนาการเดก็ ภาวะสมาธิส้ันบกพร่องทางการเรียนรู้และออทสิ ซ่มึ ผลการวิจัยพบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างเด็กในช่วงอายุ 0 - 13 ปี เปน็ เพศหญงิ รอ้ ยละ 43.80 เป็นเพศชายร้อย ละ 56.20 มีอายุ 6 ปี–13 ปี รอ้ ยละ 57.70 อายรุ ะหว่าง 3 ปี–5 ปี 11 เดือน รอ้ ยละ 27.90 และอายุ 0 ปี – 2 ปี 11 เดือน ร้อยละ 19.40 คน เด็กส่วนใหญเ่ ขา้ เรยี นแล้ว รอ้ ยละ 89.10 โดยจำแนกเป็นระดบั ช้ันเตรยี ม อนบุ าล รอ้ ยละ 25.10 ชัน้ อนุบาล รอ้ ยละ 15.60 และชนั้ ประถมศกึ ษา ร้อยละ 59.20 ในขณะที่รอ้ ยละ 10.19 ยงั ไมไ่ ด้เข้าเรียน กลุม่ ตวั อย่างเด็กอายุ 0-13 ปี ยงั ไมม่ สี ่อื ดจิ ิทลั เปน็ ของตนเอง ร้อยละ 64.00 แตม่ กี ารเขา้ ถงึ และใช้ส่อื ดจิ ิทลั มาแล้วเปน็ เวลา 1 ปี - 2 ปี ร้อยละ 52.30 สว่ นใหญ่เร่ิมใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั เมือ่ อายรุ ะหว่าง 6-13 ปี รอ้ ยละ 38.45 รองลงมาคือเร่ิมใช้ระหว่างอายุ 0-2 ปี ร้อยละ 32.85 เมอ่ื อายุ 3-5 ปี รอ้ ยละ 28.70 เด็กสว่ น ใหญใ่ ชส้ ือ่ ดจิ ิทลั ครัง้ แรกในขณะอยู่กบั บิดาหรือมารดา ร้อยละ 77.80 รองลงมาคอื ใช้ขณะอยู่กบั ญาติ ร้อยละ 9.60 และใช้ในขณะอย่กู ับพน่ี อ้ งร่วมบิดามารดาเดยี วกัน รอ้ ยละ 9.60 กลมุ่ ตัวอยา่ งผปู้ กครองของเด็กอายุ 0-13 ปี ส่วนใหญ่เปน็ เพศหญงิ ร้อยละ 78.60 เปน็ เพศชาย ร้อย ละ 21.40 มีอายุระหวา่ ง 35-44 ปี ร้อยละ 45.80 อายุระหวา่ ง 25-34 ปี ร้อยละ 23.20 สว่ นใหญม่ ีสถานภาพ สมรสและอยู่ดว้ ยกัน รอ้ ยละ 77.00 สถานภาพโสดรอ้ ยละ 8.00 และหย่าร้างร้อยละ 5.00 มีการศกึ ษาระดับ ตำ่ กวา่ ปริญญาตรี รอ้ ยละ 64.15 ระดบั ปรญิ ญาตรีหรือเทยี บเท่า รอ้ ยละ 19.40 และระดับปรญิ ญาโทรอ้ ยละ 9.95 ผปู้ กครองส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพรบั จา้ ง รอ้ ยละ 37.80 ประกอบธุรกจิ ส่วนตวั ร้อยละ 20.40 และมี อาชีพอ่นื ๆ รอ้ ยละ 17.40 โดยมรี ายได้ตอ่ เดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 27.85 รายไดร้ ะหว่าง 10,000- 15,000 บาท ร้อยละ 27.40 และ รายไดร้ ะหวา่ ง 15,001-30,000 บาท รอ้ ยละ 18.85 ผปู้ กครองสว่ นใหญ่ ก
นยิ มใช้แอปพลเิ คชนั เฟสบคุ๊ (Facebook) ร้อยละ 40.90 รองลงมา คอื แอปพลิเคชนั ไลน์ (Line) ร้อยละ 39.70 และ แอปพลเิ คชนั อนิ สตาแกรม (Instagram) ร้อยละ 7.90 กลมุ่ ตัวอยา่ งผู้ปกครองของเด็กในช่วงอายุ 0-13 ปี สว่ นใหญ่เคยให้บตุ รหลานใช้ส่ือดจิ ทิ ัล เชน่ สมารท์ โฟน แท็บเลต็ หรือไอแพดของตนเอง ร้อยละ 89.60 สว่ นใหญใ่ ช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ในขณะท่อี ยกู่ บั บุตรหลาน เฉลี่ยวัน ละ 1-3 ช่ัวโมง ร้อยละ 44.75 รองลงมาคอื ใชส้ ือ่ ดิจิทัลในขณะท่ีอยกู่ บั บุตรหลาน นอ้ ยกวา่ 1 ชั่วโมง ร้อยละ 42.25 ในขณะที่มีเพียงรอ้ ยละ 6.00 ที่ไม่ใช้สื่อดิจิทัลในขณะที่อยูก่ ับบุตรหลาน เด็กส่วนใหญ่ไม่เคยประสบ อบุ ตั เิ หตุเชน่ ตกเตยี ง ตกบนั ได หกล้ม ระหว่างการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง ร้อยละ 89.10 และมีเพียงร้อย ละ 10.90 ของเดก็ ทีเ่ คยประสบอบุ ตั เิ หตุ กลุม่ ตัวอย่างผูป้ กครองสว่ นใหญร่ ะบวุ ่าตนมีสว่ นรว่ มทกุ คร้ังในขณะท่ี บุตรหลานใชส้ อื่ ดิจิทลั รอ้ ยละ 31.30 มสี ่วนร่วมบอ่ ยครั้งรอ้ ยละ 29.35 และเมอ่ื มโี อกาสรอ้ ยละ 28.35 ส่วน ใหญ่ใชส้ ่อื ดิจทิ ัลเพ่อื ทำกิจกรรมดกู าร์ตนู รว่ มกนั กบั บุตรหลาน ร้อยละ 15.40 รองลงมาคอื ใช้เพอื่ ฟังเพลงหรือ มวิ สิควดิ ีโอ ร้อยละ 11.90 และใช้เพ่อื วดิ ีโอคอล รอ้ ยละ 10.20 กลุม่ ตวั อยา่ งผู้ปกครองของเดก็ ในช่วงอายุ 0 - 13 ปี ส่วนใหญ่มีการกาํ หนดกติกาในการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ของบตุ รหลานภายในครอบครัว รอ้ ยละ 69.80 ในขณะที่ รอ้ ยละ 23.70 ของผู้ปกครองไมม่ ีการกําหนดกตกิ าในการใชส้ ่ือดจิ ทิ ัล ผปู้ กครองสว่ นใหญร่ ะบวุ า่ มตี ดิ ตามหรือ สังเกตการณ์ใช้สื่อดิจิทัลของบุตรหลาน ร้อยละ 71.30 ผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการใช้สื่อดจิ ิทัลช่วย สง่ เสริมพฒั นาการดา้ นการเรยี นให้เด็ก ค่าเฉล่ีย 3.70 และมบี ทบาทในการใหค้ ำแนะนำบตุ รหลานเพอื่ สง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทนั ส่ือดิจทิ ลั ในระดับบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการให้คำแนะนำเกี่ยวกบั การกำหนดเวลาในการใช้ส่ือดิจทิ ัล ในแต่ละวัน คา่ เฉล่ยี 4.08 การใหค้ ำแนะนำเกยี่ วกับการฝึกวนิ ัยในการ ใชส้ ่อื ดิจิทัล คา่ เฉล่ีย 3.96 และการให้ คำแนะนำเกยี่ วกับการเลือกเน้อื หาและรายการท่ีเหมาะสม ค่าเฉล่ยี 3.93 ผลการวจิ ัย พบวา่ กลุ่มเดก็ อายุ 0-13 ปคี วามสมั พนั ธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ระหว่าง รูปแบบการเลีย้ งดูกบั การใหบ้ ุตรหลานใชส้ ่ือดิจทิ ัล ระยะเวลาเฉลยี่ ต่อวันในการใชส้ ่ือดิจิทัลขณะท่ีอยู่กับบุตร หลานตอ่ วนั และอุบตั เิ หตุที่เกดิ ขึ้นกับเด็กในขณะทผี่ ปู้ กครองกาํ ลังใช้ส่ือดจิ ิทลั , การกำกับดแู ลการใช้ส่ือของ ผู้ปกครองกับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ของเด็ก ส่วนเด็กกลุ่มอายุ 0-2 ปี 11เดือน พบความสัมพันธ์ ระหว่างรูปแบบการอบรมเล้ียงดูแบบควบคุมมีความสัมพันธท์ างลบกับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของบตุ ร หลาน และความผูกพันระหว่างแม่ลูก และ ความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ ทางบวกกับการใหค้ ำแนะนำการใช้ส่ือดิจทิ ัล ส่วนเดก็ กลมุ่ อายุ 3-5ปี 11 เดอื น พบ ความผกู ผนั ระหวา่ งแม่กับ ลูกแบบ Attachment Anxiety และ Attachment Avoidance มีความสมั พันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมเสีย่ งใน การใช้สมาร์ทโฟนของบตุ รหลาน และกลุ่มเดก็ อายุ 6-13 ปี พบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความร้เู กี่ยวกบั การใช้สื่อ ดจิ ิทัลของผปู้ กครอง กบั การให้คำแนะนำในการใช้สื่อดิจิทัลของผ้ปู กครอง งานวิจัยช้ินน้ีสามารถใชเ้ พ่อื เป็นขอ้ มูลประกอบการกำหนดกฎหมายและนโยบายเก่ียวกบั ปอ้ งกนั และ คุ้มครองเดก็ จากผลกระทบของสอ่ื ดิจทิ ัล ตลอดจนการกำกับควบคุมธรุ กิจและบริการดา้ นสื่อและเทคโนโลยีที่ ข
เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน เช่น การกำหนดชั่วโมงที่เหมาะสมในการใช้สื่อแต่ละช่วงวัย การจัดระดบั ความเหมาะสมของการใช้สื่อดิจิทัลที่จะมีผลต่อพัฒนาการ ทักษะการรู้คิด และทักษะการตัดสินใจของเดก็ การกำหนดชั่วโมงการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กท่ีจะรักษาสัมพันธภาพในครอบครัวอย่างเหมาะสม อีกทั้งยัง สามารถใช้ข้อมูลวจิ ัยในวงกว้างเพื่อเผยแพร่ความรู้สำหรับครอบครัว ให้สามารถเลอื กและตัดสนิ ใจการใช้สือ่ ดิจทิ ัลที่เหมาะสมกบั พัฒนาการ ทกั ษะการร้คู ดิ ทกั ษะการตดั สนิ ใจ และสัมพนั ธภาพในครอบครัวทเ่ี หมาะสม ตามช่วงวัย รวมทั้งเป็นแนวทางในการป้องกันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการ พัฒนาเด็ก ค
สารบญั หน้า ก บทคดั ย่อ 1 บทท่ี 1 บทนำ 1 4 • หลกั การและเหตผุ ล 4 • วัตถปุ ระสงค์ 4 • ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั 5 • ขอบเขตของการวจิ ยั 5 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง 6 • พัฒนาการเด็กและการประเมิน 10 • ทักษะการคดิ เชิงบรหิ ารในเด็ก (Executive Function in Childhood) 16 • การเล้ียงดเู ดก็ 20 • แนวคิดและทฤษฎีความรักใคร่ผูกพัน 30 • สถานการณก์ ารใชง้ านสือ่ และเทคโนโลยีในเด็กและเยาวชน 31 • กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual framework) 31 บทที่ 3 ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั 31 • ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 32 • กลุ่มตัวอยา่ งงานวจิ ยั 35 • เครื่องมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย 36 • ข้ันตอนการเกบ็ ขอ้ มลู 36 • การวเิ คราะหข์ ้อมลู 38 • สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิจัย 40 บทท่ี 4 รายงานผลการวจิ ยั 63 • สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ภาพรวมทวั่ ไปของผปู้ กครองและเดก็ อายุ 0-13 ปี 89 • สว่ นท่ี 2 ผลการศึกษาของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน 119 • ส่วนท่ี 3 ผลการศึกษาของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน 140 • สว่ นท่ี 4 ผลการศกึ ษาของเดก็ อายุ 6-13 ปี • สว่ นที่ 5 ผลการศึกษาความสมั พันธร์ ะหว่างพฤตกิ รรมเสย่ี งในการใช้ สอ่ื ออนไลนข์ องเด็กอายุ 0-13 ปี ง
บทที่ 5 อภิปรายผลการวจิ ัย หนา้ • ส่วนที่ 1 พฤตกิ รรมเสยี่ งในการใชส้ อื่ ออนไลน์ของเดก็ อายุ 0-13 ปี 187 • ส่วนท่ี 2 ความรู้ความสามารถของผูป้ กครองในการกำกับดแู ลการใชส้ อ่ื ของเด็ก 187 อายุ 0-13 ปี 188 • ส่วนที่ 3 ความสมั พันธร์ ะหว่างพฤติกรรมเสีย่ งในการใชส้ อ่ื ออนไลนแ์ ละ พฒั นาการของเดก็ ความรู้ความสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้ส่อื 195 ของเดก็ และรปู แบบการเล้ยี งดแู ละความผกู พันในครอบครัว 204 บรรณานุกรม ธ ภาคผนวก จ
สารบญั แผนภาพ ภาพที่ 2.1 หน้าต่างแห่งโอกาส (Windows of Opportunity) ในการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั หน้า ภาพที่ 2.2 หนา้ ท่ีของสมอง 6 ภาพท่ี 2.3 การส่งเสริมประสบการณก์ ารเรยี นรสู้ กู่ ารพัฒนาทักษะการคดิ เชงิ บริหาร 7 ภาพท่ี 2.4 แสดงช่วงวยั ทีส่ ง่ เสรมิ ทกั ษะสมองการคิดเชงิ บรหิ าร 8 ภาพที่ 3.1 แสดงเครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั จำแนกตามช่วงอายุของกลมุ่ ตวั อย่าง 9 ภาพท่ี 4.1 รูปแบบการอบรมเล้ียงดูแบบเอาใจใส่ (Authoritative Parenting Style) 32 ภาพที่ 4.2 รปู แบบการอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุม (Authoritarian Parenting Style) 57 ภาพที่ 4.3 รปู แบบการอบรมเลยี้ งดแู บบตามใจ (Permissive Parenting Style) 58 ภาพท่ี 4.4 รอ้ ยละระดบั พฒั นาภาพรวมและรายด้านทอ่ี ย่ใู นระดับตำ่ กว่าเกณฑ์ 59 ภาพท่ี 4.5 รอ้ ยละระดับพฒั นาภาพรวมและรายดา้ นทอ่ี ยู่ในระดบั ตำ่ กวา่ เกณฑ์ 84 85 จำแนกตามเพศ ภาพที่ 4.6 พัฒนาการภาพรวมล่าชา้ จำแนกตามระยะเวลาการใช้ส่อื เฉลี่ยต่อวัน 85 ภาพท่ี 4.7 ร้อยละทักษะการคดิ เชงิ บริหาร (EF) ของเดก็ นักเรียนทมี่ ีอายรุ ะหวา่ ง 115 3 ปี ถงึ 5 ปี 11 เดือน 133 ภาพที่ 4.8 ร้อยละทกั ษะการคดิ เชงิ บริหาร (EF) ของเดก็ นักเรียนทมี่ ีอายุระหว่าง 144 3 ปี ถึง 13 ปี ภาพที่ 4.9 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหว่างรูปแบบการเลีย้ งดูแบบควบคุมกบั พฤติกรรม 145 เส่ียงการใชส้ มารท์ โฟน 145 ภาพท่ี 4.10 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหว่างรปู แบบการเลี้ยงดูแบบตามใจกับพฤติกรรมเสย่ี ง 147 การใชส้ มาร์ทโฟน ภาพที่ 4.11 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหว่างรปู แบบการเลยี้ งดแู บบเอาใจใสก่ บั พฤติกรรม 147 เสีย่ งการใช้สมารท์ โฟน 148 ภาพที่ 4.12 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหว่างความผกู พนั ระหว่างแม่กับลูกกบั พฤตกิ รรมเส่ยี ง 148 การใช้สมารท์ โฟน ภาพที่ 4.13 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหวา่ งบทบาทการสง่ เสริมการรู้เทา่ ทนั สอ่ื ดจิ ทิ ลั ในบุตร ฉ หลานกบั พฤติกรรมเสีย่ งการใช้สมาร์ทโฟน ภาพท่ี 4.14 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหวา่ งการใหค้ ำแนะนำในการใช้สื่อดจิ ิทลั ของ ผู้ปกครองกบั พฤติกรรมเส่ียงการใช้สมารท์ โฟน ภาพท่ี 4.15 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหวา่ งความรเู้ ก่ยี วกบั การใช้สอื่ ดิจิทลั ของผปู้ กครองกบั พฤติกรรมเสย่ี งการใช้สมาร์ทโฟน
ภาพที่ 4.16 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหว่างความผกู พนั ระหว่างแม่กบั ลูกกบั การให้ หน้า คำแนะนำในการใช้สือ่ ดจิ ทิ ัลของผปู้ กครอง 150 152 ภาพที่ 4.17 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหวา่ งรปู แบบการเลีย้ งดแู บบเอาใจใส่ กบั พฤตกิ รรม 153 เสย่ี งในการใช้สมารท์ โฟนของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน 153 154 ภาพที่ 4.18 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหว่างรปู แบบการเลี้ยงดแู บบตามใจ กบั พฤติกรรม เส่ยี งในการใช้สมาร์ทโฟนของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน 155 ภาพที่ 4.19 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหว่างรปู แบบการเลย้ี งดแู บบควบคมุ กับ พฤติกรรม 155 เสยี่ งในการใชส้ มาร์ทโฟนของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น 156 ภาพที่ 4.20 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ระหว่างความผกู พนั ระหวา่ งแมก่ ับลูกแบบ 157 Attachment Anxiety กับ พฤติกรรมเส่ยี งในการใชส้ มารท์ โฟนของเดก็ อายุ 3-5 ปี 158 11 เดอื น 159 160 ภาพท่ี 4.21 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหวา่ งความผกู พนั ระหว่างแมก่ บั ลูกแบบ 161 Attachment Avoidance กบั พฤติกรรมเสี่ยงในการใชส้ มาร์ทโฟนของเด็ก อายุ 3-5 162 ปี 11 เดอื น ภาพที่ 4.22 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหวา่ งความผกู พนั ระหว่างบทบาทการสง่ เสรมิ การรเู้ ทา่ ทนั สอื่ ดจิ ทิ ลั ในบตุ รหลาน กบั พฤติกรรมเสีย่ งในการใชส้ มาร์ทโฟนของเด็ก อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น ภาพที่ 4.23 แสดงการกระจายของข้อมลู ระหวา่ งการใหค้ ำแนะนำในการใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั ของ ผ้ปู กครอง กบั พฤติกรรมเสีย่ งในการใช้สมารท์ โฟนของเด็ก อายุ 3-5 ปี 11 เดือน ภาพที่ 4.24 การกระจายระหวา่ งขอ้ มลู พฤตกิ รรมเสย่ี งในการใชส้ มารท์ โฟนของบุตรหลาน กับ ทักษะ EF รายด้านและภาพรวม ภาพท่ี 4.25 การกระจายระหวา่ งพฤติกรรมเสี่ยงในการใชส้ มาร์ทโฟนของบุตรหลาน กับ ทกั ษะ EF รายด้านและภาพรวม ภาพท่ี 4.26 การกระจายระหว่าความผกู พนั ระหว่างแม่กับลกู แบบ Attachment Anxietyกับ ทักษะ EF รายด้านและภาพรวม ภาพที่ 4.27 การกระจายระหว่างความผูกพนั ระหวา่ งแม่กบั ลูกแบบ Attachment Avoidance กับ ทักษะ EF รายด้านและภาพรวม ภาพที่ 4.28 การกระจายระหว่างบทบาทการส่งเสรมิ การรู้ เทา่ ทนั สื่อดิจทิ ัลในบุตรหลาน กบั ทักษะ EF รายดา้ นและภาพรวม ภาพท่ี 4.29 การกระจายระหวา่ งการใหค้ ำแนะนำในการใชส้ ือ่ ดิจทิ ัลของผปู้ กครอง กบั ทักษะ EF รายดา้ นและภาพรวม ช
ภาพที่ 4.30 การกระจายระหว่างสถานการณเ์ สยี่ งในการใช้ส่ือ กบั ทักษะ EF รายดา้ นและ หน้า ภาพรวม 163 166 ภาพที่ 4.31 แสดงการกระจายระหวา่ งรปู แบบการเลี้ยงดูกบั พฤติกรรมเสยี่ งในการใชส้ มารท์ โฟน 167 ของบุตรหลานของเดก็ อายุ 6-13 ปี 168 ภาพท่ี 4.32 แสดงการกระจายระหวา่ งความผกู ผันระหวา่ งแมก่ บั ลูกแบบ Attachment Anxiety 168 กับ พฤตกิ รรมเส่ยี งในการใชส้ มาร์ทโฟนของบตุ รหลานของเด็กอายุ 6-13 ปี 169 169 ภาพที่ 4.33 แสดงการกระจายระหว่างความผกู ผนั ระหว่างแมก่ ับลกู แบบ Attachment 170 Avoidance กับ พฤตกิ รรมเส่ยี งในการใชส้ มารท์ โฟนของบตุ รหลานของเดก็ อายุ 6- 171 13 ปี 172 174 ภาพที่ 4.34 แสดงการกระจายระหวา่ งการให้คำแนะนำในการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ัลของผปู้ กครอง กบั 175 พฤตกิ รรมเสย่ี งในการใชส้ มารท์ โฟนของบุตรหลานของเดก็ อายุ 6-13 ปี 176 177 ภาพท่ี 4.35 แสดงการกระจายระหว่างความรู้เกีย่ วกบั การใช้สื่อดจิ ทิ ลั ของของเด็กนกั เรียน กบั 178 พฤตกิ รรมเส่ยี งในการใช้สมาร์ทโฟนของบตุ รหลานของเดก็ อายุ 6-13 ปี ภาพที่ 4.40 แสดงการกระจายระหวา่ งสถานการณ์เส่ียงในการใช้ส่ือ กบั พฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ สมารท์ โฟนของบตุ รหลานของเดก็ อายุ 6-13 ปี ภาพที่ 4.41 แสดงการกระจายระหว่างบทบาทการสง่ เสรมิ การรเู้ ทา่ ทนั สือ่ ดจิ ทิ ลั ให้กบั บุตรหลาน กับ พฤติกรรมเสยี่ งในการใช้สมาร์ทโฟนของบุตรหลานของเด็กอายุ 6-13 ปี ภาพท่ี 4.42 แสดงการกระจายระหว่างความรเู้ กี่ยวกับการใชส้ ่อื ดิจิทลั ของผู้ปกครอง กับ การให้ คำแนะนำในการใช้สื่อดจิ ทิ ัลของผปู้ กครองของเด็กอายุ 6-13 ปี ภาพท่ี 4.33 แสดงการกระจายระหวา่ งรปู แบบความผูกพนั ของครอบครวั กับ สถานการณเ์ ส่ยี งใน การใช้สื่อดจิ ทิ ลั ของเดก็ อายุ 6-13 ปี ภาพที่ 4.34 แสดงการกระจายของข้อมลู พฤตกิ รรมเสยี่ งในการใช้สมารท์ โฟนของบุตรหลาน กบั ทักษะ EF รายด้านและภาพรวม แผนภาพที่ 4.35 แสดงการกระจายของขอ้ มลู ความผกู ผนั ระหว่างแมก่ บั ลกู แบบ Attachment Anxiety กบั ทกั ษะ EF รายดา้ นและภาพรวม ภาพที่ 4.36 แสดงการกระจายของความผกู ผันระหว่างแมก่ บั ลกู แบบ Attachment Avoidance กบั ทักษะ EF รายด้านและภาพรวม ภาพท่ี 4.37 แสดงการกระจายของบทบาทการสง่ เสริมการรเู้ ท่าทันสือ่ ดิจทิ ลั ในบตุ รหลาน กบั ทักษะ EF รายดา้ นและภาพรวม ภาพท่ี 4.38 แสดงการกระจายของการให้คำแนะนำในการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครองกบั ทักษะ EF รายดา้ นและภาพรวม ซ
ภาพที่ 4.39 แสดงการกระจายของความรู้เกี่ยวกบั การใช้สือ่ ดิจทิ ลั ของผปู้ กครองกบั ทักษะ EF หน้า รายด้านและภาพรวม 179 ภาพที่ 4.40 แสดง การกระจายของพฤติกรรมเส่ียงในการใชส้ มาร์ทโฟนของบตุ รหลานกับภาวะ 181 บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 182 ภาพท่ี 4.41 แสดงการกระจายของบทบาทการสง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทันส่อื ดจิ ทิ ลั ในบุตรหลานกบั ภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 183 185 ภาพท่ี 4.42 แสดงการกระจายของการใหค้ ำแนะนำในการใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของผ้ปู กครองกบั ภาวะ บกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ของเด็กอายุ 6-13 ปี ภาพท่ี 4.43 แสดงการกระจายของสถานการณเ์ สีย่ งในการใช้สอ่ื กบั ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ของเด็กอายุ 6-13 ปี ฌ
สารบญั ตาราง หนา้ 33 ตารางที่ 1 การเกบ็ ขอ้ มลู กลุ่มตัวอยา่ งผ้ปู กครองและเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น 33 ตารางท่ี 2 การเกบ็ ข้อมลู กลุ่มตัวอยา่ งผปู้ กครองและเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน 34 ตารางท่ี 3 การเกบ็ ข้อมลู กลมุ่ ตัวอยา่ งผู้ปกครองและเดก็ อายุ 6-13 ปี 40 ตารางที่ 4.1 จำนวนและร้อยละของขอ้ มูลทัว่ ไปของผปู้ กครองทมี่ บี ุตรหลานอยูใ่ นชว่ งอายุ 40 0-13 ปี จำแนกตามเพศ ตารางท่ี 4.2 จำนวนและร้อยละของข้อมลู ทวั่ ไปของผู้ปกครองทมี่ บี ตุ รหลานอยใู่ นช่วงอายุ 41 0-13 ปี จำแนกตามอายุ 41 ตารางที่ 4.3 จำนวนและร้อยละของข้อมลู ทัว่ ไปของผูป้ กครองทม่ี ีบุตรหลานอยูใ่ นชว่ งอายุ 42 0-13 ปี จำแนกตามสถานภาพสมรส ตารางที่ 4.4 จำนวนและร้อยละของข้อมลู ท่วั ไปของผู้ปกครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 42 0-13 ปี จำแนกตามระดับการศกึ ษา 43 ตารางที่ 4.5 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทั่วไปของผ้ปู กครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในชว่ ง 43 0-13 ปี จำแนกตามอาชพี 44 ตารางท่ี 4.6 จำนวนและร้อยละของข้อมลู ทวั่ ไปของผปู้ กครองทม่ี ีบุตรหลานอยใู่ นช่วงอายุ 44 45 0-13 ปี จำแนกรายไดค้ รอบครัว 45 ตารางท่ี 4.7 จำนวนและร้อยละของข้อมลู ทว่ั ไปของผู้ปกครองทม่ี ีบุตรหลานอยูใ่ นช่วงอายุ 46 46 0-13 ปี จำแนกตามความสมั พนั ธ์กับเด็ก ตารางที่ 4.8 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เด็กในช่วงอายุ 0-13 ปี จำแนกตามเพศ 47 ตารางที่ 4.9 จำนวนและร้อยละของขอ้ มลู เด็กในช่วงอายุ 0-13 ปี จำแนกตามอายุ ตารางที่ 4.10 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในช่วงอายุ 0-13 ปี จำแนกตามลำดบั บุตร 47 ตารางท่ี 4.11 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในช่วงอายุ 0-13 ปี จำแนกตามจำนวนพ่นี ้อง ตารางท่ี 4.12 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในชว่ งอายุ 0-13 ปี จำแนกตามการเขา้ เรียน ญ ตารางท่ี 4.13 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดิจิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามประเภทการใชส้ ่ือ ตารางท่ี 4.14 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาเฉล่ีย ในการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั ตารางท่ี 4.15 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามชนิดของ ส่ือสงั คมออนไลน์ ตารางที่ 4.16 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดิจิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการใชส้ อื่ ดิจิทลั ของบตุ รหลาน
ตารางท่ี 4.17 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลา หน้า การใชส้ ่ือดิจิทลั ขณะท่ีอยกู่ บั บุตรหลาน 48 48 ตารางท่ี 4.18 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการประสบอบุ ัตเิ หตุ 49 ของบตุ รหลานระหวา่ งการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง 49 50 ตารางท่ี 4.19 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจิทลั รว่ มกันกบั บุตรหลาน จำแนกตามระยะเวลา 51 ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก 53 53 ตารางท่ี 4.20 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจิทลั ร่วมกันกบั บุตรหลาน จำแนกตามระดบั 54 การมสี ว่ นร่วมในการใช้ส่ือดจิ ทิ ัลของบตุ รหลาน 54 55 ตารางท่ี 4.21 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั รว่ มกันกบั บุตรหลาน จำแนกตามรูปแบบ 55 การทำกจิ กรรมรว่ มกบั บตุ รหลานเมอ่ื ใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั 56 57 ตารางที่ 4.22 เปรยี บเทยี บจำนวนและรอ้ ยละการใชส้ ่อื ดิจทิ ลั ร่วมกนั กับบุตรหลาน จำแนกตาม 58 รูปแบบการทำกจิ กรรมร่วมกบั บตุ รหลานเมอื่ ใชส้ อื่ ดิจทิ ลั ตารางท่ี 4.23 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใชส้ ื่อดจิ ทิ ัลของบตุ รหลาน จำแนกตามอายุเร่มิ ตน้ ใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ของบุตรหลาน ตารางที่ 4.24 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สื่อดิจทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนกตามลกั ษณะการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ครงั้ แรกของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.25 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ื่อดจิ ทิ ัลของบตุ รหลาน จำแนกตามระยะเวลาในการใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั ตารางที่ 4.26 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สอื่ ดจิ ทิ ัลของบุตรหลาน จำแนกตามการเป็นเจา้ ของสอ่ื ดิจทิ ัลของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.27 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใช้สอ่ื ดิจทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนกตามการติดตามการใชส้ อ่ื ดิจทิ ัลของบุตรหลาน ตารางท่ี 4.28 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใช้ส่ือดิจทิ ัลของบุตรหลาน จำแนกตามการกำหนดกติกาในการใช้สอื่ ตารางที่ 4.29 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งมาตรฐานของระดบั ความคิดเห็นของผปู้ กครองเกี่ยวกบั บทบาทในการส่งเสรมิ การรเู้ ท่าทันส่อื ดจิ ทิ ลั ให้กบั บุตรหลาน ตารางที่ 4.30 เปรียบเทียบค่าเฉลย่ี ของระดบั ความคดิ เห็นของผปู้ กครองเกี่ยวกับบทบาทในการ สง่ เสรมิ การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ดจิ ทิ ลั ให้กบั บุตรหลาน ตารางท่ี 4.31 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ียงมาตรฐานของบทบาทในการให้คำแนะนำบุตรหลานเพื่อ ส่งเสริมการรเู้ ท่าทนั ส่ือดจิ ิทลั ฎ
ตารางที่ 4.32 เปรยี บเทียบคา่ เฉลี่ยของบทบาทในการใหค้ ำแนะนำบตุ รหลานเพอ่ื สง่ เสริมการรเู้ ท่า หน้า ทนั สอ่ื ดจิ ทิ ลั 60 ตารางที่ 4.33 คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของรปู แบบการเลยี้ งดบู ตุ ร 60 ตารางท่ี 4.34 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทว่ั ไปของผปู้ กครองทม่ี บี ตุ รหลานอยูใ่ นชว่ งอายุ 63 0-2 ปี 11 เดือน จำแนกตามเพศ 64 ตารางท่ี 4.35 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทวั่ ไปของผปู้ กครองทม่ี บี ุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 64 0-2 ปี 11 เดือน จำแนกตามอายุ ตารางท่ี 4.36 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทั่วไปของผปู้ กครองทม่ี ีบุตรหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 65 0-2 ปี 11 เดอื นจำแนกตามสถานภาพสมรส 65 ตารางที่ 4.37 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ท่ัวไปของผปู้ กครองทมี่ บี ุตรหลานอย่ใู นช่วงอายุ 66 0-2 ปี 11 เดือน จำแนกตามระดบั การศกึ ษา ตารางท่ี 4.38 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทัว่ ไปของผปู้ กครองทม่ี บี ุตรหลานอยใู่ นช่วงอายุ 66 0-2 ปี 11 เดอื นจำแนกตามอาชีพ 67 ตารางที่ 4.39 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทว่ั ไปของผปู้ กครองทมี่ ีบุตรหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 67 67 0-2 ปี 11 เดือนจำแนกรายได้ครอบครวั 68 ตารางที่ 4.40 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทวั่ ไปของผปู้ กครองทม่ี ีบตุ รหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 68 0-2 ปี 11 เดอื น จำแนกตามความสมั พนั ธ์กบั เดก็ ตารางท่ี 4.41 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในชว่ งอายุ 0-2 ปี 11 เดือน จำแนกตามเพศ 68 ตารางท่ี 4.42 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในชว่ งอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น จำแนกตามอายุ 69 ตารางท่ี 4.43 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในช่วงอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น จำแนกตามลำดับบตุ ร ตารางท่ี 4.44 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในช่วงอายุ 0-2 ปี 11 เดือน จำแนกตาม 69 จำนวนพีน่ อ้ ง 70 ตารางที่ 4.45 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในช่วงอายุ 0-2 ปี 11 เดอื น จำแนกตาม ฏ การเข้าเรยี น ตารางท่ี 4.46 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามประเภทการใช้ส่ือ ตารางท่ี 4.47 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาเฉลย่ี ในการใช้สอื่ ดจิ ทิ ัล ตารางที่ 4.48 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดิจิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามชนดิ ของสอ่ื สังคม ออนไลน์ ตารางที่ 4.49 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการใช้สอ่ื ดิจิทลั ของบุตรหลาน
ตารางที่ 4.50 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาการใช้ หน้า สอ่ื ดจิ ทิ ลั ขณะทอี่ ยกู่ ับบตุ รหลาน 70 70 ตารางที่ 4.51 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการประสบอบุ ัตเิ หตุ 71 ของบตุ รหลานระหว่างการใชส้ ่ือดจิ ทิ ัลของผปู้ กครอง 71 72 ตารางท่ี 4.52 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั รว่ มกนั กบั บุตรหลาน จำแนกตามระยะเวลา 73 ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก 73 74 ตารางที่ 4.53 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ร่วมกันกบั บตุ รหลาน จำแนกตามระดบั 74 การมสี ว่ นรว่ มในการใชส้ ื่อดิจทิ ลั ของบตุ รหลาน 75 75 ตารางที่ 4.54 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั รว่ มกันกบั บุตรหลาน จำแนกตามรปู แบบ 76 การทำกจิ กรรมรว่ มกบั บตุ รหลานเมือ่ ใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั 76 77 ตารางที่ 4.55 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใชส้ อื่ ดิจทิ ลั ของบตุ รหลาน 78 จำแนกตามอายเุ ริม่ ตน้ ใช้สอื่ ดิจิทลั ของบตุ รหลาน 79 ตารางท่ี 4.56 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ่อื ดิจทิ ลั ของบุตรหลาน ฐ จำแนกตามลกั ษณะการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ครง้ั แรกของบุตรหลาน ตารางที่ 4.57 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สื่อดิจทิ ัลของบตุ รหลาน จำแนกตามเหตผุ ลของการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั ครง้ั แรก ตารางท่ี 4.58 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ลั ของบตุ รหลาน จำแนกตามการเป็นเจา้ ของสอื่ ดิจทิ ลั ของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.59 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนกตามการติดตามใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.60 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ือ่ ดิจทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนกตามการกำหนดกติกาในการใช้สอ่ื ตารางที่ 4.61 จำนวนและรอ้ ยละลำดบั กตกิ าในการใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของบุตรหลานทผ่ี ปู้ กครองใชใ้ น การกำกบั ดแู ลการใช้สื่อดจิ ทิ ลั บ่อยที่สุด จดั เรียงสามลำดบั แรก ตารางที่ 4.62 จำนวนและรอ้ ยละการโตเ้ ถยี ง ขัดแย้ง หรอื ทะเลาะกันเกยี่ วกบั การใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ตารางที่ 4.63 จำนวนและรอ้ ยละวธิ ีการทผ่ี ปู้ กครองใช้ในการจดั การปญั หา เม่ือมกี ารโตเ้ ถียง ขัดแยง้ หรอื ทะเลาะกันกบั บตุ รหลานเกยี่ วกบั การใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั ตารางท่ี 4.64 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดบั ความคดิ เห็นเกีย่ วกบั บทบาทในการ ส่งเสริมการรเู้ ทา่ ทนั ส่อื ดจิ ทิ ลั ให้กบั บตุ รหลาน ตารางท่ี 4.65 คา่ เฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของบทบาทในการใหค้ ำแนะนำบุตรหลานเพอ่ื ส่งเสริมการรเู้ ทา่ ทนั สือ่ ดจิ ิทลั
ตารางท่ี 4.66 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของระดบั ความมน่ั ใจในการใหค้ ำแนะนำความรู้ หนา้ เกีย่ วกับการใช้ส่อื ดจิ ิทลั กับบตุ รหลาน 80 81 ตารางท่ี 4.67 จำนวนและรอ้ ยละประสบการณ์ความร้เู กยี่ วกับการใชส้ ่อื อยา่ งเหมาะสมของ 81 ผปู้ กครอง 82 82 ตารางที่ 4.68 จำนวนและรอ้ ยละของชว่ งเวลาในการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั ของเดก็ อายุ 0 – 2 ปี 11 เดือน 83 ตารางที่ 4.69 จำนวนและรอ้ ยละปริมาณการใช้สอ่ื ดิจิทลั เฉล่ียต่อวนั ของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน 85 ตารางที่ 4.70 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของการใชส้ ่อื ทำกจิ กรรมของเดก็ อายุ 88 88 0-2 ปี 11 เดอื น 89 ตารางท่ี 4.71 ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของพฤติกรรมการใชส้ มารท์ โฟนของเด็กอายุ 0- 89 90 2 ปี 11 เดอื น 90 ตารางท่ี 4.72 คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของสถานการณเ์ สีย่ งในการใชส้ อื่ ของเดก็ อายุ 0- 91 91 2 ปี 11 เดอื น 92 ตารางท่ี 4.73 จำนวนและรอ้ ยละของรปู แบบการเลย้ี งดบู ุตรหลานของผูป้ กครองเด็กอายุ 0-2 ปี 92 11 เดอื น ตารางท่ี 4.74 จำนวนและรอ้ ยละระดบั ความผกู พันในครอบครวั ของเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดือน ราย ดา้ นและภาพรวม ตารางท่ี 4.75 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทั่วไปของผปู้ กครองทม่ี บี ตุ รหลานอยูใ่ นช่วงอายุ 3-5ปี 11 เดอื นจำแนกตามเพศ ตารางที่ 4.76 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ท่วั ไปของผปู้ กครองทมี่ บี ตุ รหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 3-5ปี 11 เดอื นจำแนกตามอายุ ตารางท่ี 4.77 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทั่วไปของผปู้ กครองทมี่ บี ตุ รหลานอยใู่ นชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดอื นจำแนกตามสถานภาพสมรส ตารางที่ 4.78 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทั่วไปของผปู้ กครองทม่ี ีบตุ รหลานอยใู่ นช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดือนจำแนกตามระดับการศกึ ษา ตารางท่ี 4.79 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทวั่ ไปของผปู้ กครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดือนจำแนกตามอาชีพ3-5 ปี 11 เดอื นจำแนกตามระดบั การศึกษา ตารางท่ี 4.80 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทวั่ ไปของผปู้ กครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดอื นจำแนกรายไดค้ รอบครวั ตารางท่ี 4.81 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทั่วไปของผปู้ กครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดอื นจำแนกตามความสมั พนั ธ์กับเด็ก ตารางท่ี 4.82 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น จำแนกตามเพศ ฑ
ตารางที่ 4.83 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น จำแนกตามอายุ หนา้ ตารางท่ี 4.84 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดือน จำแนกตามลำดบั บตุ ร 92 ตารางท่ี 4.85 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในช่วงอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น จำแนกตามจำนวนพ่ี 93 93 น้อง 93 ตารางท่ี 4.86 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในชว่ งอายุ 3-5 ปี 11 เดอื น จำแนกตามการเขา้ 94 94 เรียน 95 ตารางที่ 4.87 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดิจทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามประเภทการใช้สือ่ 95 ตารางที่ 4.88 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อื่ ดจิ ิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาเฉล่ยี ในการ 95 96 ใชส้ ่ือดิจิทลั 96 ตารางท่ี 4.89 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดิจิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามชนิดของสื่อสังคม 97 97 ออนไลน์ 98 ตารางท่ี 4.90 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ของ 99 99 บตุ รหลาน 100 ตารางที่ 4.91 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาการใช้ส่อื ฒ ดจิ ทิ ลั ขณะที่อย่กู บั บุตรหลาน ตารางที่ 4.92 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามการประสบอุบตั เิ หตุ ของบุตรหลานระหวา่ งการใชส้ ื่อดิจทิ ัลของผปู้ กครอง ตารางท่ี 4.93 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อื่ ดจิ ิทลั รว่ มกันกบั บุตรหลาน จำแนกตามระยะเวลา ทำ กิจกรรมหรอื งานอดเิ รก ตารางท่ี 4.94 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดิจิทลั รว่ มกนั กบั บุตรหลาน จำแนกตามระดบั การมีส่วน รว่ มในการใชส้ อื่ ดิจทิ ลั ของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.95 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดจิ ิทลั รว่ มกนั กบั บตุ รหลาน จำแนกตามรปู แบบการทำ กจิ กรรมรว่ มกบั บตุ รหลานเมื่อใช้สือ่ ดจิ ทิ ลั ตารางท่ี 4.96 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนก ตามอายเุ รมิ่ ต้นใช้สอื่ ดจิ ทิ ัลของบุตรหลาน ตารางท่ี 4.97 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สอื่ ดิจทิ ัลของบุตรหลาน จำแนก ตามลกั ษณะการใช้ส่อื ดิจทิ ัลคร้งั แรกของบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.98 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ัลของบุตรหลาน จำแนก ตามเหตผุ ลของการใช้ส่ือดิจทิ ัลครัง้ แรก ตารางที่ 4.99 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนก ตามการเป็นเจ้าของส่อื ดจิ ิทัลของบุตรหลาน
ตารางที่ 4.100 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกับดูแลการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนก หนา้ ตามระยะเวลาทบ่ี ตุ รหลานของทา่ นใชส้ ื่อดจิ ิทลั 100 ตารางที่ 4.101 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของบุตรหลาน จำแนก 101 ตามการตดิ ตามใช้สือ่ ดจิ ิทลั ของบตุ รหลาน 101 ตารางท่ี 4.102 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ของบตุ รหลาน จำแนก ตามการกำหนดกตกิ าในการใช้สือ่ 102 ตารางท่ี 4.103 จำนวนและรอ้ ยละลำดบั กตกิ าในการใชส้ ่ือดิจทิ ัลของบุตรหลานทผ่ี ปู้ กครองใชใ้ น 102 การกำกบั ดแู ลการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ลั บอ่ ยท่ีสดุ 103 103 ตารางที่ 4.104 จำนวนและรอ้ ยละการเสียเงินเพ่อื ซอ้ื บัตรเตมิ เงิน ไอเทม็ เกม ให้บุตรหลาน ตารางท่ี 4.105 จำนวนและรอ้ ยละการโตเ้ ถียง ขดั แยง้ หรือทะเลาะกนั เก่ียวกับการใช้สื่อดจิ ิทลั 104 ตารางที่ 4.106 จำนวนและรอ้ ยละวิธีการทีผ่ ปู้ กครองใช้ในการจัดการปญั หา เมอื่ มีการโต้เถยี ง 105 ขัดแยง้ หรอื ทะเลาะกนั กบั บตุ รหลานเก่ียวกบั การใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ตารางท่ี 4.107 ค่าเฉลีย่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของระดบั ความคิดเห็นเก่ยี วกับบทบาทในการ 106 ส่งเสรมิ การรเู้ ทา่ ทันส่อื ดจิ ทิ ลั ใหก้ บั บตุ รหลาน 107 ตารางท่ี 4.108 คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของบทบาทในการให้คำแนะนำบตุ รหลานเพื่อ 107 ส่งเสริมการรเู้ ทา่ ทันสอื่ ดจิ ิทลั 108 ตารางที่ 4.109 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับความม่ันใจในการให้คำแนะนำความรู้ 108 109 เกย่ี วกับการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั กับบตุ รหลาน ตารางท่ี 4.110 จำนวนและรอ้ ยละประสบการณ์ความรเู้ กย่ี วกับการใช้สอื่ อยา่ งเหมาะสมของ 110 ผูป้ กครอง 111 ตารางท่ี 4.111 จำนวน และรอ้ ยละของชว่ งเวลาท่ใี ชส้ อื่ ดจิ ทิ ัลของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น ตารางที่ 4.112 จำนวนและรอ้ ยละเดก็ เล่นเกม/เกมออนไลน์ 112 ตารางที่ 4.113 จำนวนและรอ้ ยละปรมิ าณการใช้สอ่ื ดิจิทลั เฉลีย่ ตอ่ วนั ของเด็กอายุ 3-5 ปี 11 เดือน ตารางท่ี 4.114 คา่ เฉลยี่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของการใชส้ อื่ ทำกจิ กรรมของเด็กอายุ 3–5 ปี 11 เดอื น ตารางท่ี 4.115 ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของพฤติกรรมหรือความสนใจการใชส้ ่ือดิจทิ ัล ของเด็ก 3-5 ปี 11 เดือน ตารางที่ 4.116 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของพฤตกิ รรมการใชส้ มารท์ โฟนของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น ตารางที่ 4.117 ค่าเฉล่ีย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถานการณ์เส่ียงในการใช้สอื่ ของเด็กอายุ 3-5 ปี 11 เดือน ณ
ตารางที่ 4.118 จำนวนและรอ้ ยละของระดบั พฒั นาการภาพรวมในเดก็ อายุ 3-5ปี 11 เดือน หน้า ตารางท่ี 4.119 จำนวนและรอ้ ยละของระดบั พฒั นาการรายด้านในเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน 114 ตารางท่ี 4.120 จำนวนและรอ้ ยละของรปู แบบการเลี้ยงดบู ตุ รหลานของผู้ปกครองเด็กอายุ 3-5 ปี 114 116 11 เดอื น ตารางท่ี 4.121 ผลการศกึ ษาระดบั การรคู้ ดิ เชิงบรหิ าร (EF) ของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น รายดา้ น 118 ตารางท่ี 4.122 รายละเอียดระดบั ผลการประเมนิ ระดบั ทักษะ EF รายดา้ น 118 ตารางที่ 4.123 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทั่วไปของผปู้ กครองทม่ี ีบตุ รหลานอยใู่ นช่วงอายุ 6-13 119 ปี จำแนกตามเพศ 120 ตารางท่ี 4.124 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทั่วไปของผ้ปู กครองทม่ี บี ตุ รหลานอย่ใู นชว่ งอายุ 6-13 120 ปี จำแนกตามอายุ ตารางที่ 4.125 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทว่ั ไปของผปู้ กครองทม่ี บี ตุ รหลานอยู่ในช่วงอายุ 6-13 121 ปี จำแนกตามสถานภาพสมรส 121 ตารางที่ 4.126 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ทั่วไปของผ้ปู กครองทมี่ ีบุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 6-13 122 ปี จำแนกตามระดบั การศกึ ษา ตารางที่ 4.127 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ท่วั ไปของผูป้ กครองทม่ี บี ุตรหลานอยู่ในชว่ งอายุ 6-13 122 ปี จำแนกตามอาชพี 123 ตารางที่ 4.128 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ท่วั ไปของผ้ปู กครองทมี่ บี ตุ รหลานอยใู่ นช่วงอายุ 6-13 123 123 ปี จำแนกรายไดค้ รอบครวั 124 ตารางท่ี 4.129 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู ท่วั ไปของผปู้ กครองทมี่ บี ตุ รหลานอยู่ในชว่ งอายุ 6-13 124 125 ปี จำแนกตามความสมั พนั ธ์กับเด็ก 125 ตารางท่ี 4.130 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เด็กในช่วงอายุ 6-13 ปี จำแนกตามเพศ ตารางท่ี 4.131 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เดก็ ในช่วงอายุ 6-13 ปี จำแนกตามอายุ 126 ตารางที่ 4.132 จำนวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู เด็กในช่วงอายุ 6-13 ปี จำแนกตามลำดับบุตร ตารางที่ 4.133 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เด็กในช่วงอายุ 6-13 ปี จำแนกตามจำนวนพน่ี อ้ ง ตารางท่ี 4.134 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมลู เดก็ ในช่วงอายุ 6-13 ปี จำแนกตามการเขา้ เรยี น ตารางที่ 4.135 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ ่อื ดจิ ทิ ลั ของผู้ปกครอง จำแนกตามประเภทการใช้สอื่ ตารางท่ี 4.136 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ ่ือดจิ ทิ ัลของผ้ปู กครอง จำแนกตามระยะเวลาเฉล่ียในการ ใช้สือ่ ดจิ ทิ ลั ตารางที่ 4.137 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ของผ้ปู กครอง จำแนกตามชนดิ ของสอ่ื สังคม ออนไลน์ ด
ตารางท่ี 4.138 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ของผ้ปู กครอง จำแนกตามการใช้ส่อื ดจิ ิทลั ของ หน้า บตุ รหลาน 126 127 ตารางที่ 4.139 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของผปู้ กครอง จำแนกตามระยะเวลาการใช้ส่ือ 127 ดจิ ทิ ัลขณะทอ่ี ยู่กบั บตุ รหลาน 128 128 ตารางที่ 4.140 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สื่อดจิ ทิ ลั ของผู้ปกครอง จำแนกตามการประสบอุบัตเิ หตุ 129 ของบตุ รหลานระหว่างการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง 130 130 ตารางท่ี 4.141 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ร่วมกนั กบั บุตรหลาน จำแนกตามระยะเวลา ทำ 131 กิจกรรมหรืองานอดเิ รก 131 132 ตารางที่ 4.142 จำนวนและรอ้ ยละการใชส้ ือ่ ดจิ ิทลั ร่วมกนั กบั บุตรหลาน จำแนกตามระดบั การมี 132 สว่ นรว่ มในการใชส้ ือ่ ดจิ ทิ ัลของบุตรหลาน 133 134 ตารางที่ 4.143 จำนวนและรอ้ ยละการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ร่วมกนั กบั บตุ รหลาน จำแนกตามรปู แบบการทำ 135 กิจกรรมร่วมกบั บตุ รหลานเมอ่ื ใช้สอ่ื ดจิ ิทลั 138 ตารางที่ 4.144 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใช้ส่ือดจิ ิทลั ของบุตรหลาน จำแนก ตามอายุเรม่ิ ต้นใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน ตารางท่ี 4.145 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกับดแู ลการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ของบตุ รหลาน จำแนก ตามลักษณะการใชส้ ่ือดจิ ทิ ัลคร้งั แรกของบุตรหลาน ตารางท่ี 4.146 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของบตุ รหลาน จำแนก ตามการเป็นเจา้ ของสอ่ื ดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน ตารางที่ 4.147 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดูแลการใชส้ ื่อดจิ ทิ ลั ของบุตรหลาน จำแนก ตามระยะเวลาทบ่ี ตุ รหลานของท่านใชส้ อ่ื ดจิ ิทลั ตารางท่ี 4.148 จำนวนและรอ้ ยละบทบาทในการกำกบั ดแู ลการใชส้ ื่อดจิ ิทลั ของบุตรหลาน จำแนก ตามการกำหนดกติกาในการใชส้ ือ่ ตารางท่ี 4.149 ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของระดับความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั บทบาทในการ ส่งเสรมิ การรเู้ ท่าทนั สือ่ ดจิ ทิ ลั ให้กบั บตุ รหลาน ตารางที่ 4.150 คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของบทบาทในการให้คำแนะนำบตุ รหลานเพอื่ สง่ เสรมิ การรเู้ ท่าทนั ส่อื ดจิ ิทลั ตารางท่ี 4.151 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของระดับความมั่นใจในการให้คำแนะนำความรู้ เกย่ี วกบั การใช้ส่อื ดจิ ิทลั กับบตุ รหลาน ตารางที่ 4.152 คา่ เฉลีย่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานสถานการณเ์ สยี่ งในการใชส้ อ่ื ของเดก็ อายุ 6-13 ปี ตารางท่ี 4.153 ระดบั ผลการประเมินระดบั ทกั ษะ EF จำแนกตามรายด้าน ต
ตารางท่ี 4.154 ระดบั การประเมินบ่งชแี้ ละคัดกรองบุคคลทีม่ ภี าวะสมาธิส้ัน บกพรอ่ งทางการ หน้า เรียนรู้และออทสิ ซึม่ 139 140 ตารางท่ี 4.155 คา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พันธร์ ะหวา่ งรปู แบบการเลยี้ งดูกบั พฤตกิ รรมการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั 143 ของผปู้ กครองและเด็กช่วงอายุ 0-13 ปี 138 144 ตารางที่ 4.156 ผลการศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างรปู แบบความผกู พันผ้ปู กครอง-บตุ รกบั พฤติกรรม 146 การใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ของผู้ปกครองและเดก็ ชว่ งอายุ 0-13 ปี 149 ตารางที่ 4.157 ค่าสมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธพ์ ฤติกรรมเสย่ี งในการใชส้ มาร์ทโฟนของบุตรหลาน และ 150 พฒั นาการของเดก็ ของเด็กอายุ 0-2 ปี 11 เดือน 151 ตารางที่ 4.158 ผลการทดสอบการแจกแจงของข้อมูล โดยวิธี Shapiro-wilk 154 ตารางท่ี 4.159 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สมาร์ทโฟนของบตุ ร 156 หลานกบั รปู แบบการเลี้ยงดู ของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดอื น 157 ตารางท่ี 4.160 คา่ สมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธร์ ะหวา่ งความผูกผนั ระหวา่ งแม่กับลูก บทบาทการสง่ เสรมิ 164 การรเู้ ท่าทนั สอ่ื การให้คำแนะนำในการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ัลของผู้ปกครอง ความรเู้ กย่ี วกับ การใชส้ ือ่ ดจิ ิทลั ของผู้ปกครอง กบั พฤติกรรมการใชส้ มารท์ โฟนของบุตรหลานกบั รูปแบบการเล้ียงดู ของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดอื น ตารางที่ 4.161 คา่ สัมประสทิ ธสิ หสมั พนั ธ์ระหว่างความรเู้ กย่ี วกบั การใช้สอื่ ดจิ ิทลั ของผูป้ กครอง ความผกู ผนั ระหว่างแมก่ ับลกู กบั การให้คำแนะนำในการใชส้ ่ือดจิ ทิ ลั ของผปู้ กครอง ของเดก็ อายุ 0-2 ปี 11 เดือน ตารางท่ี 4.162 ผลการทดสอบการแจกแจงของข้อมูล โดยวิธี Kolmogorov-Smirnova ตารางที่ 4.163 คา่ สมั ประสทิ ธิสหสมั พนั ธ์ระหวา่ งพฤติกรรมเส่ียงในการใชส้ มาร์ทโฟนของบตุ ร หลานกบั รปู แบบการเล้ยี งดู ของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น ตารางท่ี 4.164 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พันธ์ระหว่างความร้คู วามสามารถของผปู้ กครองในการ กำกับดแู ลการใชส้ ่ือ กบั สถานการณ์เสี่ยงในการใช้ส่อื ออนไลน์ของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดือน ตารางที่ 4.165 ค่าสมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธพ์ ฤติกรรมเสย่ี งในการใช้สมาร์ทโฟนของบตุ รหลาน และ พฒั นาการของเดก็ ของเด็กอายุ 3-5 ปี 11 เดือน ตารางท่ี 4.166 ค่าสมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธร์ ะหว่างความรคู้ วามสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้สอื่ สถานการณ์เส่ยี ง ความผกู พนั ระหว่างแมก่ ับลูก และพฤตกิ รรมเสยี่ ง ในการใชส้ อ่ื ออนไลนก์ บั ทกั ษะการคดิ เชิงบรหิ ารภาพรวมและรายด้านของเดก็ อายุ 3-5 ปี 11 เดอื น ถ
ตารางที่ 4.167 ผลการทดสอบการแจกแจงของข้อมลู โดยวธิ ี Kolmogorov-Smirnova ของเดก็ หน้า อายุ 6-13 ปี 165 167 ตารางที่ 4.168 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พันธ์ระหว่างพฤตกิ รรมเส่ยี งในการใชส้ มารท์ โฟนของบตุ ร 170 หลานกบั รปู แบบการเล้ียงดู ของเดก็ อายุ 6-13 ปี 171 ตารางที่ 4.169 คา่ สมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธ์ระหว่างความรคู้ วามสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดูแลการใช้สอื่ สถานการณ์เส่ียง และความผูกพนั ระหวา่ งแมก่ บั ลกู กบั พฤติกรรม 173 เสี่ยงในการใชส้ อ่ื ออนไลนข์ องเดก็ อายุ 6-13 ปี 173 ตารางที่ 4.170 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พนั ธร์ ะหว่างความรู้ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกบั 180 ดูแลการใชส้ อ่ื กบั สถานการณ์เสยี่ งในการใชส้ ือ่ พฤตกิ รรมเสี่ยงในการใชส้ ่ือ ออนไลน์ของเด็กอายุ 6-13 ปี 186 ตารางที่ 4.171 ค่าสมั ประสทิ ธิสหสมั พันธร์ ะหว่างรปู แบบความผูกพันของครอบครวั กบั สถานการณเ์ สย่ี งในการใช้สอ่ื ดจิ ทิ ลั ของเด็กอายุ 6-13 ปี ตารางที่ 4.172 ค่าสัมประสทิ ธสิ หสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรู้ความสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้สอ่ื ดจิ ิทลั ของบุตร กบั สถานการณ์เส่ียงในการใช้สื่อของบุตรหลาน ของ เด็กอายุ 6-13 ปี ตารางท่ี 4.173 คา่ สัมประสทิ ธิสหสมั พันธร์ ะหว่างความรูค้ วามสามารถของผปู้ กครองในการกำกบั ดแู ลการใช้สอ่ื สถานการณเ์ สย่ี ง ความผกู พนั ระหวา่ งแมก่ บั ลกู และพฤตกิ รรมเสี่ยง ในการใช้สือ่ ออนไลน์กบั ทักษะการคิดเชงิ บรหิ ารภาพรวมและรายด้านของเดก็ อายุ 6-13 ปี ตารางท่ี 4.174 ค่าสมั ประสทิ ธิสหสมั พนั ธ์ระหว่าง ความรู้ความสามารถของผปู้ กครองในการกำกับ ดแู ลการใช้สอื่ สถานการณเ์ ส่ยี ง และพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ส่อื ออนไลน์และภาวะ บกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ของเดก็ อายุ 6-13 ปี ท
บทท่ี 1 บทนำ หลักการและเหตผุ ล การเติบโตของเทคโนโลยีการสื่อสาร และเครือขา่ ยสังคมออนไลน์เป็นไปอย่างรวดเร็วในตอนปลาย ศตวรรษที่ 20 และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างทวีคูณในต้นศตวรรษที่ 21 ในช่วงปี 1999-2001 การเข้าถึง เครือข่ายออนไลน์ ถูกนับเป็นตัวชี้วัดความเจริญก้าวหน้า ด้านการสื่อสารและเทคโนโลยี รวมถึงการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะก้าวข้ามข้อจำกัดของมนุษย์ ไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ ( AI) นับตั้งแต่ปี 2007 ที่ Apple iPhone ออกสู่ตลาด และตามมาด้วย Google Android OS ในปี 2008 สังคม และนิเวศน์ของมนุษย์ได้เปลยี่ นแปลงอย่างสนิ้ เชิงในรูปแบบการส่ือสารและการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ซึ่งเห็น กันอย่างคุ้นชินในปัจจุบัน คือการใช้แอพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ ต่างๆ มาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เพียงปลายน้ิว สัมผสั ดว้ ยการกดคลกิ คำสั่งอุปกรณ์สื่อดจิ ทิ ลั เพียงคร้ังเดียว ย่ิงไปกว่านัน้ ในปี 2010 ท่ี iPad และ Android multi variants ได้ออกสู่ตลาด ได้มีการกล่าววา่ อุปกรณ์เหล่าน้ีได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้เกิดการเรยี นรู้และ พัฒนาระบบการศึกษา รวมท้งั พัฒนาระบบการเงิน ระบบสขุ ภาพ และ ในปี 2016 Artificial Intelligences (AI) ยังได้เข้ามาช่วยในการจัดการระบบข่าวสาร และส่งผลต่อการลงคะแนนเสยี งการเลือกต้ังประธานาธิบดี รวมถึงการลงคะแนนเสียง Brexit (McKenzie, D., and Swails, B., 2016) อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ากังขาว่า การเติบโตของเทคโนโลยดี งั กล่าวเปน็ ตัวชี้วดั การพฒั นาและเป็นเครอื่ งมือที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างประเทศที่ เจริญแลว้ กับประเทศกำลงั พฒั นา และนำพามนษุ ย์ไปสหู่ นทางแหง่ ปัญญาได้จริงหรอื ไม่ ปจั จบุ นั พบวา่ เดก็ ทีเ่ กิดในช่วงศตวรรษท่ี 21 ทีเ่ ตบิ โตในยคุ ดิจิทัล (Digital Native) มีความคุ้นเคยกับ สื่อและเทคโนโลยีนั้นใช้อปุ กรณ์ดิจิทัล ได้แก่ สมาร์ทโฟน แท็บเลต็ คอมพิวเตอร์พกพาส่วนตัว ประสบกับ วิกฤติด้านการปรับตัว การรู้จักตนเอง และการจัดการทักษะการบริหารสมองขั้นสูง ปัญหาสุขภาพจิต พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสม ท่ามกลางการตดิ ตอ่ สื่อสารผา่ นสื่อดจิ ทิ ัลท่ีสะดวกรวดเร็วกลับยง่ิ สง่ ผลให้ความผูกพัน และความสัมพันธ์ภายในครอบครัวลดลง เกิดความห่างเหินระหว่างมนุษย์ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ลดน้อย ถอยลงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนำไปสู่สถานการณ์ปัญหาทงั้ ทางด้านกระบวนการคิดและการจดั การอารมณ์ เช่น ความสามารถในการจดจ่อที่ลดลงหรอื สมาธิสั้น ความ วิตกกังวลที่เพิ่มสูงขึ้น ภาวะซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย ซึ่งปัญหาดังกล่าวปรากฏในรายงานวิจัยหลายชิ้น (Maffey, G., Homans, H., Banks, K., Arts, K., 2015) ปัญหาและผลกระทบอนั ไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ัลพบได้ตั้งแต่เดก็ ปฐมวยั ทั้งนเ้ี กิดจากการท่ี ผ้ปู กครองอนุญาตใหเ้ ด็กใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั ตั้งแตเ่ ลก็ ปัญหาดังกลา่ วยงั นำไปสู่ปญั หาดา้ นการเล้ยี งดภู ายในครอบครัว เชน่ การเลย้ี งดูไม่เหมาะสม การปล่อยปละละเลยทอดทง้ิ เด็ก การไมอ่ ่านหนงั สอื ใหเ้ ด็กฟัง กอ่ ให้เด็กเกิด ความเครยี ดซ่งึ เปน็ โทษต่อร่างกาย สง่ ผลตอ่ พัฒนาการของเด็กท้ังด้านระบบประสาท ต่อมไรท้ ่อและภมู คิ ุ้มกนั เสย่ี งตอ่ การเกดิ ปัญหาสขุ ภาพและพฤติกรรม เมือ่ เขา้ สูว่ ัยรนุ่ จนถงึ วยั ผใู้ หญ่ เช่น การเคลอื่ นไหวรา่ งกายน้อย ไม่ ออกกำลงั กายทำให้เกิดโรคอว้ น เบาหวาน มะเร็ง หัวใจ การมเี พศสมั พนั ธต์ ง้ั แตอ่ ายนุ ้อย ตัง้ ครรภใ์ นวยั รุน่ โรค 1
ทางจติ เวช วติ กกังวล ซึมเศรา้ ติดสารเสพติด การฆ่าตวั ตาย ความพึงพอใจในชีวิตตำ่ สงิ่ เหล่านล้ี ้วนเปน็ ผลกระทบอันเกิดจากความบกพรอ่ งของกระบวนการรู้คิดเชงิ ปัญญา (Cognitive neuroscience) และทกั ษะ การควบคุมการบรหิ ารสมองขนั้ สูง (Task of Executive Control) รวมไปถงึ โดยเฉพาะความเครียด ความพงึ พอใจในชวี ิตท่สี ่งผลตอ่ การทำงานของสมองบริเวณ amygdala และorbitofrontal ที่มีขนาดใหญ่ และทำงาน มากกวา่ ปกติ ทำใหเ้ กดิ การลดจำนวนของเซลประสาท และการเชือ่ มต่อเครอื ข่ายใยประสาทของสมองสว่ น ฮปิ โปแคมปนั (hippocampus) และสมองสว่ นกลีบหนา้ ผากสว่ นกลาง (medial prefrontal cortex) สง่ ผลต่อ ความจำ อารมณ์ มคี วามวติ กกงั วลง่าย การควบคมุ อารมณบ์ กพรอ่ ง มผี ลต่อการบรหิ ารสมองข้นั สูงดา้ นการ เลอื กตดั สินใจ สง่ ผลกระทบตอ่ การเรียนรู้ และพฤตกิ รรม (Hot and cool executive function) ปัจจบุ ันพบวา่ การเลยี้ งดูบุตรดว้ ยสือ่ ดจิ ทิ ลั ทำใหพ้ ่อแมไ่ มไ่ วพอตอ่ ความรสู้ กึ ของเดก็ และไม่สามารถ ตอบสนองความตอ้ งการของเด็กได้เหมาะสม ส่งผลตอ่ ความผกู พันและความสมั พนั ธ์ทางอารมณร์ ะหวา่ งเดก็ กับผเู้ ลี้ยงดู สง่ ผลใหเ้ ด็กไมส่ ามารถพัฒนาความไว้วางใจได้และมผี ลตอ่ ความม่ันคงทางอารมณ์ (Fonseca, C., 2010; Anderson, D. R., and Subrahmanyam, K., 2017) จากข้อมูลข้างตน้ จะเหน็ ได้ว่า การนำสอ่ื ดิจทิ ลั มาเป็นอปุ กรณ์ชว่ ยเล้ยี งเดก็ โดยปล่อยใหเ้ ดก็ อยู่ลำพงั กบั อุปกรณ์ ยิ่งเด็กไดร้ บั เมอ่ื อายุน้อยเท่าไร ก็ยิง่ ส่งผลตอ่ พฒั นาการ ทง้ั ร่างกาย อารมณ์ และการกระบวนการรคู้ ิดเชิงปัญญา ในบรบิ ทครอบครัว เมือ่ อยบู่ า้ นพ่อแม่ อาจจะตอ้ งประสานงาน ทำงาน หรอื จดั การทกุ สง่ิ ผ่านโทรศพั ท์มอื ถือเปน็ ประจำ หรือแม้แต่การส่ือสารระหวา่ ง พ่อแมก่ ับบุตรท่อี ยใู่ นบ้านเดยี วกนั บางครั้งก็ใชว้ ิธกี ารสง่ ข้อความ ไม่มีการส่อื สารแบบเห็นหนา้ บางคนใช้สอื่ ออนไลน์ในการระบายความคับขอ้ งใจ และตดิ ตอ่ กบั คนทป่ี ระสบปญั หาเดียวกันทัว่ โลก ด้วยเหตผุ ลน้อี ปุ กรณ์ สื่อสาร เช่น โทรศพั ทม์ ือถือและแทบ็ เลต็ จึงมกี ารใช้อย่างแพรห่ ลาย การใชส้ ื่อสงั คมมากเกินไปอาจนำไปสู่การ ลดลงของกระบวนการสอ่ื สารอนื่ ๆ ทจ่ี ำเปน็ สำหรับการสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพอ่ แม่ ผู้ปกครองและบตุ ร จำนวนระยะเวลาท่พี อ่ แม่ผปู้ กครองอยกู่ ับอปุ กรณส์ ื่อสาร เหลา่ น้ถี ึงแม้วา่ ร่างกายจะอยูใ่ กลก้ นั แต่อาจจะหา่ ง ไกลกนั ทางอารมณค์ วามรู้สกึ อาจจะมกี ารเพกิ เฉยต่อความต้องการของเดก็ ทพี่ ยายามจะสอ่ื สาร นิสยั ติดเลน่ โทรศัพทม์ ือถือของพ่อแม่นัน้ สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตอ่ การพฒั นาสมองของบตุ รได้ ในขณะที่ นกั วจิ ยั คน้ พบวา่ การดูแลเอาใจใส่ของพ่อแมส่ ง่ ผลตอ่ สมองและอารมณข์ องบุตรไดใ้ นระยะยาว นอกจากบตุ รจะ มสี ุขภาพกายดแี ละจติ แจม่ ใสแลว้ ยังเป็นเดก็ ท่เี ข้ากบั คนไดง้ า่ ย และยงั มีการศกึ ษาที่พบวา่ หากบตุ รขาดการ ดูแลเอาใจใสจ่ ากพ่อแม่ กจ็ ะสง่ ผลต่อการพฒั นาของสมองได้น้อยกวา่ ท่ีควรจะเป็นเช่นกนั เด็กที่ขาดการดูแล เอาใจ จะมนี สิ ยั เป็นมติ รไดง้ ่ายกบั คนแปลกหน้า ซึ่งเปน็ พฤตกิ รรมท่เี สยี่ งอนั ตราย ผลการศึกษาของ Common Sense Media (2013) พบว่า 72% ของเดก็ อายุ 0 ถงึ 8 ปี ใชอ้ ุปกรณ์ อปุ กรณพ์ กพา ซึง่ เพม่ิ สูงขนึ้ 38% จากปี 2011 นอกจากน้ียังพบว่าการใชอ้ ปุ กรณ์อุปกรณ์พกพา ของเด็กอายุ ต่ำกว่า 2 ปีจาก 10% ในปี 2011 นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 38% นอกจากนี้ยังพบการใช้สื่อหลายประเภทใน ขณะเดยี วกนั ในกล่มุ เดก็ ท่อี ายตุ ่ำกว่า 4 ปี (multitasking) พฤติกรรมดังกล่าว มีผลกระทบตอ่ ประสทิ ธภิ าพใน การทำงาน ความตั้งใจและความปลอดภัย การถูกเบี่ยงเบนความสนใจ การบริหารเวลา และปฏิสมั พันธ์ทาง สังคม แมว้ า่ American Academy of Pediatrics (2018) ชแ้ี จงว่าไม่แนะนำให้มีการใช้ส่ือและเทคโนโลยใี น เด็กทมี่ ีอายตุ ำ่ กว่า 2 ปี ซึ่งเปน็ คำแนะนำที่มีกอ่ นทจ่ี ะมกี ารเผยแพรอ่ ุปกรณ์แทบ็ เลต็ ในปี 2010 แต่สถานการณ์ 2
ดงั กล่าวกย็ งั ปรากฎต่อเนอื่ ง เนอ่ื งจากผู้ปกครองมคี วามรูเ้ พียงเล็กน้อยวา่ การทำกิจกรรมผ่านอุปกรณ์พกพา ส่งผลต่อพัฒนาการทางสติปญั ญา สังคมและอารมณ์ของลูกอยา่ งไร เห็นได้จากผลการสำรวจผู้ปกครองในปี 2013 ของ Cooney Center พบว่าผู้ปกครองมีความไม่แน่ใจในผลกระทบสื่อที่มีต่อเด็กและไม่แน่ใจใน ความสามารถในการกำกับดแู ลการใชส้ ่ือของตนเอง และตอ้ งการคำแนะนำในเรื่องดังกล่าว ยิง่ ไปกวา่ นั้น ในปี 2013 Northwestern University national survey and Miner and Company studies ระบวุ า่ เด็กเรม่ิ ใชอ้ ปุ กรณพ์ กพาในชว่ งปีแรกของชวี ิตโดยผปู้ กครองเปน็ ผหู้ ยิบยน่ื ให้ และผู้ปกครองใช้อปุ กรณพ์ กพาเหล่าน้ัน เป็นเครื่องมอื ในการจดั การพฤตกิ รรมเดก็ ในแตล่ ะวัน เชน่ ให้ใช้อปุ กรณ์พกพาเพื่อเป็นรางวลั หรือห้ามใช้เพื่อ เป็นการลงโทษ (อ้างถึงใน H. K., Irigoyen, M. M., Nunez-Davis, R. et al., 2015) ซึ่ง Kabali, H. K., Irigoyen, M. M., Nunez-Davis, R. et al. (2015) เน้นย้ำว่างานวิจยั เก่ียวกับการใช้อปุ กรณพ์ กพาในเดก็ นั้น ล่าช้ากว่าสถานการณ์ปัญหา พร้อมทั้งยืนยันถงึ ความจำเป็นและความต้องการงานวิจัยท่ีเกีย่ วข้องกับการให้ คำแนะนำกบั ผปู้ กครอง จงึ อาจกลา่ วได้ว่า ความสามารถในการกำกับดแู ลการใช้สือ่ ของเดก็ และรูปแบบการเล้ียงดูเป็นสาเหตุ และปัจจยั ร่วมทส่ี ำคญั ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การใช้สอ่ื ออนไลน์ของเด็ก หากผู้ปกครองขาดความรคู้ วามเขา้ ใจท่ถี ูกตอ้ ง เก่ยี วกบั การใช้สือ่ ออนไลน์และการกำกบั ดูแลการใช้ส่ือออนไลน์ของเดก็ ย่อมเพ่ิมโอกาส ปรมิ าณ และความถ่ี ในการใช้สื่อในเด็กเล็ก ตลอดจนโอกาสการได้รับผลกระทบจากสื่อออนไลน์ทีเ่ พิ่มสูงขึ้นดว้ ย งานวิจัยนี้จงึ มี วตั ถปุ ระสงค์ในการศกึ ษาปัจจยั ที่เกีย่ วขอ้ งอนั จะนำไปสูผ่ ลกระทบต่อพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สอ่ื ของเด็ก เช่น รูปแบบการเลี้ยงดูและความผูกพันในครอบครัว ความสามารถในการกำกับดูแลการใช้สือ่ ของเดก็ ควบคู่กบั ประเมินพฤตกิ รรมและทกั ษะการรคู้ ิด การควบคุมทกั ษะการบริหารสมองขั้นสูงและการตัดสินใจ เพ่อื ประเมิน สถานการณ์และความเสี่ยงต่อผลกระทบของการใช้สื่อดิจิทัลในเด็กอายุ 0-13 ปี และศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรตา่ งๆ ดา้ นครอบครัว และดา้ นการใช้สือ่ ของเด็ก โครงการวิจัยชิ้นนี้จงึ มคี วามสำคัญเป็นอย่างยง่ิ การศึกษาในครั้งนี้จะแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชนโ์ ดยจะแสดงให้เห็นสถานการณ์ได้อย่างครอบคลุมท้งั ปจั จยั ภายนอกและปัจจยั ภายใน ภาวะเสี่ยงด้านสขุ ภาพจิต และกระบวนการคิดเชงิ ปัญญา ความรูค้ วามสามารถของ ผูป้ กครองในการกำกบั ดูแลการใช้ส่อื ออนไลน์ของเดก็ และพฤตกิ รรมเส่ยี งในการใช้สือ่ ออนไลนข์ องเด็กซึ่งกำลงั เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบนั ผลการศึกษาจะรายงานสถานการณ์ความเส่ียงของผลกระทบสื่อออนไลน์ทีม่ ีต่อ เดก็ ซึ่งสามารถนำไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการใหค้ วามร้เู ก่ียวกับการกำกบั ดูแลการใช้สื่อออนไลนข์ องเดก็ และแนว ทางการเลี้ยงดูเด็กที่มีอายรุ ะหว่าง 0-13 ปีในศตวรรษที่ 21 อย่างรู้เท่าทันสำหรับผู้ปกครอง ครู และบุคคล ทั่วไป ตลอดจนเป็นข้อมูลในการจัดทำเกณฑ์ระดับความปลอดภัยการใช้ส่ือดิจิทัลในเด็ก วางแผนส่งเสรมิ ความรู้ด้านการเลี้ยงดูบุตรเพื่อลดพฤติกรรมการใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมในเด็ก กำหนดกฎหมายและนโยบาย เกีย่ วกับป้องกนั และคมุ้ ครองเดก็ จากผลกระทบของส่ือดจิ ทิ ัล 3
วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษาพฤตกิ รรมเสี่ยงในการใชส้ ่ือออนไลน์ของเดก็ อายุ 0-13 ปี 2. เพอื่ ศกึ ษาความรู้ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกับดแู ลการใชส้ อ่ื ของเดก็ 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ส่ือออนไลน์และพฒั นาการของเด็ก ความรู้ ความสามารถของผู้ปกครองในการกำกับดูแลการใช้สื่อของเด็ก และรูปแบบการเลี้ยงดูและความ ผกู พันในครอบครัว ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั 1. ผลการวิจัยสามารถใช้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับป้องกันและ คุ้มครองเด็กจากผลกระทบของสื่อดิจิทัล ตลอดจนการกำกับควบคุมธุรกิจและบริการด้านสื่อและ เทคโนโลยีท่ีเกยี่ วขอ้ งกับเด็กและเยาวชน เช่น การกำหนดชั่วโมงทเี่ หมาะสมในการใชส้ ่ือแตล่ ะช่วงวยั การจัดระดับความเหมาะสมของการใช้ส่ือดิจทิ ัลที่จะมีผลต่อพฒั นาการ ทักษะการรูค้ ิด และทักษะ การตดั สินใจของเดก็ การกำหนดชว่ั โมงการใช้ส่อื ดจิ ิทัลสำหรบั เด็กทจี่ ะรกั ษาสมั พันธภาพในครอบครวั อย่างเหมาะสม เป็นตน้ 2. ผลการวิจยั สามารถใช้ในวงกวา้ งท่ีครอบครวั สามารถเลือก และตดั สนิ ใจการใช้สื่อดจิ ิทัลท่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการ ทกั ษะการร้คู ดิ ทกั ษะการตัดสนิ ใจ และสัมพนั ธภาพในครอบครวั ท่ีเหมาะสมตามช่วงวัย รวมทงั้ หลีกเล่ยี งพฤตกิ รรมทเี่ สี่ยงท่ีจะเกิดผลกระทบตอ่ การพัฒนาเดก็ ได้ 3. งานวจิ ยั ในครง้ั นเ้ี ป็นการศึกษากลมุ่ ตัวอยา่ งอายุ 0-13 ปีในจังหวัดนครปฐม ซึ่งสามารถนำไปใช้ขยาย ผลในจังหวัดอ่นื ๆ ในประเทศไทย ขอบเขตของการวิจัย งานวิจยั ชิ้นนม้ี งุ่ ศกึ ษาผลกระทบจากการใชส้ ือ่ ดิจิทลั ในกลมุ่ ตัวอยา่ งผู้ปกครองและเด็กอายุ 0-13 ปี ท่ี อาศัยอยูใ่ นจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ส่ือดจิ ิทัลในที่น้ีครอบคลมุ ถึงโทรศัพท์มือถอื แท๊บเลต็ และคอมพิวเตอร์ ไม่ รวมถึงอปุ กรณป์ ระเภทอนื่ ๆ นอกเหนือจากทรี่ ะบุ และมไิ ดด้ ำเนินการศึกษากบั กลมุ่ ตวั อยา่ งชว่ งอายอุ น่ื ๆ หรือ จังหวดั อ่ืนๆ 4
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง บทน้ีกล่าวถึงแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั พัฒนาการเด็กและการประเมนิ ทกั ษะการคดิ เชิงบริหารในเด็ก (Executive Function in Childhood) การเลี้ยงดูเด็ก (Child rearing or Parenting) แนวคิดและทฤษฎีความรักใคร่ผูกพัน (Bonding) และสถานการณ์การใช้งานสื่อและเทคโนโลยีในเด็กและ เยาวชน ดังต่อไปนี้ พฒั นาการเดก็ และการประเมนิ นติ ยา คชภักดี (2543) ศึกษาพัฒนาการของเด็กปฐมวัยและได้ความหมายของพัฒนาการไว้ว่า พัฒนาการ คอื การเปล่ียนแปลงด้านการทำหน้าที่และวุฒภิ าวะของระบบอวัยวะต่างๆ ทำให้ทำหน้าทไี่ ดอ้ ยา่ ง มปี ระสทิ ธิภาพ ทำสงิ่ ทย่ี ากสลบั ซบั ซอ้ นมากขน้ึ ตลอดจนเพิ่มทักษะใหม่ๆ และความสามารถในการปรับตวั ต่อ สภาพแวดลอ้ มหรอื ภาวะใหมใ่ นบรบิ ทของครอบครวั และสังคม นติ ยา คชภกั ดี และ อรพินท์ เลศิ อวสั ดาตระกลู (2561) ศกึ ษาพฒั นาการเดก็ แบง่ เป็น 4 ด้านใหญๆ่ คอื พฒั นาการดา้ นสังคมและการชว่ ยเหลือตนเอง พฒั นาการด้านกลา้ มเนอ้ื เล็กและการปรบั ตัว พฒั นาการ ด้านภาษา และพัฒนาการดา้ นกลา้ มเนอ้ื ใหญ่ และการทรงตัว พัฒนาการดา้ นสังคมและการชว่ ยเหลือตนเอง หมายถงึ การมีความสมั พนั ธแ์ ละใชช้ วี ิตรว่ มกบั บุคคล อ่นื ๆ กับการดแู ลตนเองในกจิ วัตรประจำวัน พฒั นาการดา้ นภาษา หมายถงึ การไดย้ นิ ความเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา พฒั นาการดา้ นการใชก้ ล้ามเนื้อเลก็ และการปรบั ตวั หมายถึง การทำงานประสานกนั ระหว่างกลา้ มเน้ือ มือและตา การจัดการกบั ของช้นิ เล็กๆ และการแกไ้ ขปญั หา พฒั นาการด้านการใชก้ ลา้ มเน้ือใหญ่ หมายถงึ การทรงตัว และเคล่อื นไหวร่างกาย เชน่ การนงั่ การเดิน การกระโดด และการเคล่อื นไหวกลา้ มเนอื้ ใหญท่ งั้ หมด ลกั ษณะของแบบทดสอบพฒั นาการ Denver II นติ ยา คชภักดี และ อรพินท์ เลิศอวสั ดาตระกลู (2561) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบ พฒั นาการ Denver II ว่าเปน็ แบบทดสอบพัฒนาการสำหรับเด็กตัง้ แต่แรกเกดิ ถึงอายุ 6 ปี ซง่ึ ดำเนนิ การทดสอบ อยา่ ง เปน็ ระบบจากพฤติกรรมพฒั นาการตามอายุของเด็กในด้านตา่ งๆ แบบทดสอบน้ี ใช้คัดกรองเดก็ ทั่วไป ท่ี ไม่มอี าการผิดปกติ ใชใ้ นการทดสอบเพอื่ ยืนยนั ส่ิงท่พี อ่ แม่หรือบุคลากรทางการแพทยส์ งสัย และ ใช้เฝ้าระวัง ติดตามเด็กทเี่ ส่ยี งตอ่ การมปี ญั หาพฒั นาการ เช่น เด็กทมี่ ปี ระวัติปัญหาการคลอด ปัญหาการเลยี้ งดู และดอ้ ย โอกาส เปน็ ต้น การทดสอบพฒั นาการแบบ Denver II นี้ จงึ เปน็ การเปรียบเทียบความสามารถดา้ นตา่ ง ๆ กบั เดก็ ปกตใิ นวยั เดียวกัน ไม่ไดเ้ ปน็ แบบทดสอบเชาวน์ปญั ญา (IQ Test) และไมส่ ามารถใชค้ าดการณ์ ระดับ ความสามารถทางเชาวน์ปัญญาในอนาคตได้ ไม่ได้สรา้ งข้ึนเพื่อการวินิจฉัยวา่ เด็กเป็นอะไร เชน่ เปน็ เดก็ ท่มี ี 5
ปญั หาการเรยี นรู้ (Learning disability) มคี วามผิดปกตทิ างภาษา (Language disorder) หรอื มปี ญั หาทาง อารมณ์ (Emotional disturbance) ดังนั้น จงึ ไม่ควรใช้ Denver II แทนการตรวจร่างกาย หรอื การวินจิ ฉัย แบบอ่ืน ๆ ทักษะการคดิ เชิงบรหิ ารในเดก็ (Executive Function in Childhood) พัฒนาการสมองโดยเฉพาะในชว่ งปฐมวัยมกี ารสรา้ งประสาทและมกี ารเชอื่ มตอ่ มากทสี่ ดุ โดยเรมิ่ จาก พัฒนาการประสาทสัมผัสด้านการมองเห็น การได้ยินเสียง ต่อด้วยพัฒนาการด้านภาษา การพูด และ สติปัญญา การเรียนรู้ ดังนั้นเด็กปฐมวัยจงึ เป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการพัฒนาที่คุ้มค่าที่สุด (Windows of Opportunity) เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการพัฒนาพฤติกรรมอยา่ งหนึ่งอย่างใด ให้สอดคล้องกับระยะเฉพาะ ของการพฒั นาสมองแต่ละส่วน และในเวลาท่สี มองมีความออ่ นตวั ยดื หยนุ่ และเปน็ รากฐานทีส่ ำคัญต่อทุกช่วง วัยของพฒั นาการมนษุ ย์ ภาพท่ี 2.1 หน้าตา่ งแหง่ โอกาส (Windows of Opportunity) ในการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั สมองส่วนหนา้ (frontal lobe) ซงึ่ เปน็ สมองสว่ นควบคมุ การรู้คดิ และบรหิ ารจดั การ (executive function in the brain) ซ่งึ เปน็ ศูนย์บัญชาการของสมอง มหี น้าทเี่ ก่ียวกบั ความจำ การเรยี นรู้ การทำงาน (working memory) การควบคุมตนเอง (inhibitory control) เชน่ ความสามารถทีจ่ ะจดจอ่ ทำสงิ่ ท่ีกำลงั ทำ อย่ตู ่อไป แม้มีสงิ่ อืน่ มากระตนุ้ ความสนใจและมีความยดื หยนุ่ (cognitive or mental flexibility) 6
ภาพท่ี 2.2 หน้าทขี่ องสมอง จากการศกึ ษาของ Diamond Adele (2014) พบวา่ เดก็ ทไี่ ด้รับการสง่ เสรมิ ประสบการณก์ ารเรียนรู้ ต้ังแต่เนน่ิ ๆ ผา่ นกจิ กรรมต่างๆ เช่น ดนตรี ศลิ ปะ หรือกจิ วตั รประจำวันที่ทำใหเ้ ด็กไดส้ นกุ กบั การเรียนรู้ ช่วย พัฒนากลา้ มเนอ้ื มัดเลก็ กลา้ มเนอ้ื มดั ใหญ่ ทกั ษะภาษาและทักษะสงั คม ทำใหร้ า่ งกายแข็งแรง มีจติ อาสา มี ความมนั่ ใจและภมู ใิ จในตนเอง จะนำไปส่กู ารพฒั นาทักษะ EF ทัง้ 3 ด้าน ในการสร้างทกั ษะ EF นัน้ เด็กต้องมี สมาธิ จดจ่อในส่ิงท่ีทำ มวี นิ ัย สามารถจดจำและวางแผนการทำงานเปน็ ลำดบั ข้ันตอนและปรบั ตัวไดอ้ ย่าง รวดเร็วในสถานการณต์ ่างๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จงึ เป็นรากฐานสำคญั ท่ีชว่ ยให้เดก็ มพี ฤติกรรมพฒั นาการสมวยั ทั้งรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์สงั คมและสตปิ ญั ญา ทำใหเ้ ดก็ มีความพรอ้ มทจี่ ะเรียนและประสบความสำเรจ็ ใน การศกึ ษา จงึ กลา่ วได้วา่ การพฒั นาสมองและส่งเสริมพฒั นาการของเด็กตง้ั แตป่ ฐมวัยจงึ เปน็ ปจั จัยท่ีกำหนด ศกั ยภาพและคุณภาพของคนตลอดชีวติ 7
ภาพท่ี 2.3 การสง่ เสริมประสบการณก์ ารเรียนรสู้ ู่การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชงิ บริหาร (Diamond, 2013) ทกั ษะการคิดเชิงบรหิ ารในเดก็ (Executive Function) คือ การทำหนา้ ทีร่ ะดับสงู ของสมองทชี่ ว่ ยใหเ้ ราควบคมุ อารมณ์ ความคิด การกระทำจนเกดิ พฤตกิ รรมทมี่ งุ่ สเู่ ปา้ หมาย (goal directed behaviors) ทกั ษะการคิดเชิง บรหิ ารนไี้ มไ่ ดเ้ กิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แตเ่ กดิ จากการทเี่ ด็กลงมือทำและเรยี นรู้ผ่านประสบการณจ์ รงิ องคป์ ระกอบพืน้ ฐานของทกั ษะการคดิ เชงิ บริหารมี 5 ดา้ น คอื 1) Working Memory (ความจำขณะทำงาน) คือ การจำขอ้ มูลตา่ งๆ ไวใ้ นใจและนำส่ิงทจ่ี ำไปใช้ใน การคดิ วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบโดยเชอื่ มโยงกบั ข้อมลู เก่าใหข้ อ้ มลู ปจั จบุ ันอาศัยการจดจ่อ (attention) เรมิ่ พฒั นาปลายขวบปีแรก 2) Inhibitory Control (การยบั ยังชั่งใจ) คอื ความสามารถในการยับยั้งควบคุมอารมณ์ การกระทำ ความคดิ เพือ่ ใหจ้ ดจอ่ กบั สงิ่ ทำเอาชนะความต้องการ ความยากจากทงั้ ภายในและภายนอก เพอ่ื ทำส่งิ ทจ่ี ำเป็น ให้สำเรจ็ พฒั นาช่วงอายุ 3 – 3.5 ปี 3) Cognitive Flexibility/Shift (การยืดหยุ่นความคดิ ) คอื ความสามารถในการเปลยี่ นมมุ มอง ความคดิ เปลย่ี นความสนใจจดจอ่ กบั กจิ กรรมหนึ่งสูอ่ ีกกจิ กรรมหนึง่ และคดิ นอกกรอบในการแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ ี ทห่ี ลากหลาย พัฒนาชว่ งอายุ 4 – 4.5 ปี ชา้ กวา่ เพราะเด็กมีความจำขณะทำงานและการยบั ยงั ช่งั ใจดี จงึ จะมี ความยืดหยุ่นทางความคดิ 4) Emotional Control (การควบคุมอารมณ)์ คอื การแสดงออกของอารมณ์ไดอ้ ยา่ งสม่ำเสมอเมอื่ โกรธ ผิดหวัง เสียใจและใช้เวลาไม่นานในการปรบั อารมณส์ สู่ ภาวะปกติ ไมห่ ุนหนั พลันแล่น โต้ตอบทันทโี ดยไม่ คิด 5) Plan/Organize (การวางแผนจดั การ) คอื ความสามารถในการกำหนดเปา้ หมาย วางแผนจัดลำดับ ความสำคัญของงานเรมิ่ ลงมือทำดว้ ยตนเองโดยไมม่ ีคนบอก (Initiate) มองภาพรวมของงานไม่ติดอยกู่ บั ลาย ละเอยี ดปลกี ยอ่ ยจนทำใหง้ านไมส่ ำเรจ็ รวมทง้ั ตดิ ตามและประเมินผลงานและปรบั ปรงุ ตนเองให้ดีขึ้นได้ (Self- 8
monitoring) ในสถานการณ์ใหม่ทไ่ี ม่คุ้นเคย เราต้องใช้ทกั ษะ EF เพ่อื ช่วยในการตดั สนิ ใจเลือกทำสง่ิ ทจี่ ะพา ไปส่คู วามสำเรจ็ (Gilbert and Burgess, 2008) ในชว่ งวยั 3 – 5 ปี เป็นชว่ งหนา้ ต่างแห่งโอกาส (window of opportunity) เดก็ ท่ไี ด้รบั การพฒั นาในชว่ งนจี้ ะสง่ ผลตอ่ ทกั ษะ EF ทีด่ ีของเด็กตอ่ ไป ภาพท่ี 2.4 แสดงชว่ งวัยท่สี ง่ เสรมิ ทกั ษะสมองการคิดเชิงบรหิ าร (Center on the Developing Child at Harvard University, 2011) พัฒนาการของ EF ในชว่ งอายุ 1 ปี มกี ารพฒั นาทกั ษะ EF ด้าน working memory ในชว่ งอายุ 3 – 3.5 ปี เดก็ สามารถยบั ยั้งชง่ั ใจได้ ช่วงอายุ 4 – 4.5 ปี สามารถยืดหยนุ่ ความคิดได้ หากเด็กมีทักษะ EF ทง้ั 3 ด้านดี จะทำให้เด็กสามารถควบคมุ อารมณไ์ ด้ดีเมือ่ อายุ 5 – 6 ปี และสง่ ผลทำใหเ้ ด็กมีทักษะการวางแผน จัดการมเี หตผุ ล เรม่ิ ลงมอื ทำด้วยตนเอง ทกั ษะการติดตามและประเมินตนเอง และปรบั เปล่ียนการแกป้ ญั หา ด้วยวิธีการใหมๆ่ (problem solving) เดก็ ที่มี EF ดี มคี วามสามารถทจ่ี ะมคี วามจำขณะทำงานได้ดี ทำไดห้ ลาย อยา่ งโดยไม่สบั สน (multi-tasking) ยบั ยง้ั ควบคุมตนเองไดใ้ นสภาวะต่างๆ ทำสง่ิ ทซ่ี บั ซอ้ นได้ตามลำดบั ข้นั ตอน แมใ้ นยามทีถ่ กู รบกวน/ขดั จังหวะ จดจอ่ ทำสง่ิ ทกี่ ำลงั ทำอยตู่ อ่ ไปจนสำเร็จแมม้ ีสงิ่ อืน่ มากระตุ้นความสนใจ รจู้ ัก คดิ ยืดหยุ่น คิดนอกกรอบในการแก้ปญั หา และปรบั ตวั ง่าย (Diamond, 2014) ในทางกลบั กันหากเด็กมคี วาม บกพรอ่ งในทกั ษะ EF มักมีพฤตกิ รรมท่ีไม่ถูกกาลเทศะ พดู แทรก ทำเร่อื งเลก็ ใหเ้ ปน็ เรอื่ งใหญ่ ต่อตา้ นการ เปลี่ยนแปลง ถกู กระตุ้นง่ายและสงบยาก ทำโดยไม่ยัง้ คิด ขาดทักษะการแก้ไขปญั หา ดังนั้นการสง่ เสรมิ เด็ก ตัง้ แต่เนน่ิ ๆ จงึ เปน็ สง่ิ สำคัญและควรพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกบั พัฒนาการของเดก็ ในแต่ละชว่ งวยั ในยคุ ปัจจบุ ันทส่ี ังคมกำลงั กา้ วสู่โลกดิจทิ ลั โลกทก่ี ารเปลย่ี นแปลงในศตวรรษท่ี 21 เด็กเติบโตขึ้นมา ในสังคมทเ่ี ต็มไปดว้ ยสิง่ ล่อใจใหเ้ กดิ ความอยาก หากไม่ไดร้ บั การฝกึ ทกั ษะด้านการยับยง้ั ช่งั ใจ ตง้ั แต่วัยเดก็ ปจั จยั เหลา่ นส้ี ง่ ผลใหเ้ ด็กขาดการพฒั นาทกั ษะสำคัญท่ีเป็นเกราะคุม้ กันภัย ดังน้นั การสง่ เสริมการทำงานของ สมองสว่ นหนา้ ใหเ้ ขม้ แข็งตง้ั แต่ปฐมวัย โดยเฉพาะดา้ นการยบั ยงั้ ควบคมุ ตนเองจากสง่ิ ยั่วยุตา่ งๆ และจาก 9
การศกึ ษาทผ่ี ่านมา (Diamond, 2013) พบวา่ ทกั ษะ EF มคี วามสำคญั ตอ่ การดำเนินชีวิตเกยี่ วขอ้ งกบั คุณภาพ ชวี ติ การประสบความสำเรจ็ ในการเรียนและการทำงาน ชวี ติ คู่ หากทักษะ EF บกพรอ่ งจะมีความสมั พนั ธก์ บั ปญั หาสุขภาพจิต เชน่ โรคซึมเศรา้ ไมส่ ามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ซง่ึ อาจนำไปส่กู ารใช้ความรนุ แรงกา้ วรา้ ว ซง่ึ ก่อให้เกิดปญั หาตอ่ สงั คมได้ ดงั นนั้ พ่อแม่ ผู้ดแู ลเดก็ ครูและหนว่ ยงานทีท่ ำงานเกี่ยวกบั เดก็ ปฐมวยั มีบทบาท สำคญั ในการสง่ เสรมิ ทักษะ EF เดก็ โดยจัดสภาพแวดล้อม วัสดุอปุ กรณ์ และให้โอกาสใหเ้ ด็กได้ ตดั สนิ ใจ ต้งั เปา้ หมายในการทำกจิ กรรมใหช้ ัดเจน กระตนุ้ ให้เด็กเรม่ิ ทำดว้ ยตนเอง สามารถควบคมุ ตวั เอง สอนทลี ะ ขัน้ ตอนถา้ เด็กทำไมไ่ ด้ เพ่ือใหเ้ ด็กประสบความสำเรจ็ เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กลงมอื ทำเอง ได้เรยี นรแู้ ละแกป้ ัญหาเอง ชมเชยเมอ่ื เดก็ ทำได้ และฝกึ ฝนสมำ่ เสมอรว่ มในกจิ กรรมประจำวัน (Ackerman, 2017) ดังน้ันทุกภาคสว่ นตอ้ ง หนั มาร่วมดว้ ยช่วยกันพัฒนา EF เดก็ ปฐมวัยในวนั นี้ ซ่ึงจะสง่ ผลตอ่ ผลลัพธ์ด้านพัฒนาการ การเรยี น การทำงาน ใหเ้ ติบโตเปน็ ผใู้ หญท่ ่ีมีคณุ ภาพกบั สงั คมไทยตอ่ ไปในอนาคต การเล้ียงดูเดก็ การเลย้ี งดเู ดก็ (Child rearing or Parenting) เปน็ กระบวนการทบ่ี ดิ ามารดาถ่ายทอดวิถชี วี ิตทาง สงั คมใหแ้ ก่เด็ก (Burns, 2007) เป็นการตอบสนองความต้องการของเดก็ ทุกด้านตามวยั โดยมลี ักษณะการ ปฏบิ ัตแิ ละวธิ ีการต่างๆทห่ี ลากหลายตามบริบทครอบครวั และสภาพแวดลอ้ มของ เปน็ การดแู ลเอาใจใสแ่ ละมี ปฏสิ ัมพันธก์ บั เด็ก (ธิโสภิญ ทองโชติ, 2548) และเปน็ บทบาทหนา้ ที่ทส่ี ำคัญของครอบครวั ทจ่ี ะอบรมสง่ั สอน ปลกู ฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม ขัดเกลาความเป็นมนษุ ย์ ใหค้ วามรักชว่ ยเหลือเกือ้ กูล ถา่ ยทอดวัฒนธรรมทางสังคม ให้กับสมาชิกในครอบครวั จากนยิ ามท่ีดังกลา่ วสรปุ ได้ว่า การเลยี้ งดเู ดก็ เป็นกระบวนการท่ีครอบครวั ปฏิบัตติ ่อ เด็กในการตอบสนองความตอ้ งการของเด็ก มปี ฏสิ ัมพนั ธ์กบั เดก็ ดูแลปกป้องคมุ้ ครองเดก็ โดยใชว้ ิธกี ารต่าง ๆ ส่งั สอนและปลูกฝงั คุณธรรม จริยธรรม รวมท้งั การถา่ ยทอดวถิ ชี วี ิตทางสงั คม วฒั นธรรม ค่านิยม ขนบธรรมเนยี มประเพณีต่าง ๆ ใหแ้ กเ่ ดก็ เพอ่ื ให้เตบิ โตขนึ้ เป็นผู้ใหญท่ มี่ พี ฤตกิ รรมและบคุ ลกิ ภาพทเ่ี หมาะสม เป็นท่ียอมรบั ของสงั คม แนวคดิ การเลี้ยงดเู ด็ก การเล้ียงดูเด็กของครอบครัวมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กโดยตรงเพราะการเล้ียงดู ของครอบครวั จะเป็นตัวกำหนดและวางรากฐานบุคลกิ ภาพและอุปนสิ ยั ใหก้ บั เด็กไปตลอดชีวิต ฉะน้ันรูปแบบ ของการเลย้ี งดูทดี่ ยี ่อมสง่ ผลดตี ่อพฤติกรรมของเดก็ เม่ือเติบโตข้ึน (ชยั , 2016) รูปแบบของการเล้ยี งดูเดก็ เป็น สง่ิ ที่ครอบครวั ประพฤติปฏบิ ตั ิตอ่ เด็ก การเลี้ยงดเู ด็กมคี วามเป็นพลวัตร ไมม่ กี ฎเกณฑ์บรรทัดฐานท่ีชดั เจนเป็น รูปแบบเดียวกนั ทุกครอบครัว และแตล่ ะครอบครวั จะมลี กั ษณะการเล้ยี งดูที่แตกตา่ งกันไป จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกีย่ วข้องกับรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กพบว่ามีงานวิจัยทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศได้ศึกษารูปแบบการเลี้ยงดูเด็กไว้หลากหลาย ส่วนใหญ่มักศึกษาเพื่อจำแนกประเภทและ ผลลพั ธ์ทตี่ ามมาจากการท่ีเดก็ ได้รบั การเลี้ยงดตู ามรูปแบบการเลย้ี งดทู ี่ครอบครวั ปฏบิ ัตติ อ่ เด็ก สำหรบั แนวคิด 10
หลักท่ีสำคญั และนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาการเล้ยี งดูเดก็ ซึง่ เป็นท่ียอมรับกันอยา่ งกว้างขวางในปัจจุบัน พบวา่ มแี นวคิดหลกั ในการเล้ยี งดูเดก็ ทีส่ ำคัญดงั น้ี 1) แนวคดิ ลักษณะการเล้ียงดเู ดก็ ของ Baumrind (1960) โดยบอมรนิ ด์ไดแ้ บง่ ลกั ษณะพฤตกิ รรมการ เล้ยี งดเู ดก็ จากการแสดงออกของบิดามารดากับบุตรเป็น 2 มติ ิใหญ่ คอื (Baumrind, 1978; McWayne, Owsianik, Green, and Fantuzzo, 2008; Robinson, Mandleco, Olsen, and Hart, 1995) (1) มิติของความอบอุ่นและการตอบสนองความต้องการต่างๆ ของเดก็ (Warmthandresponsiveness) แบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ คอื 1) กลมุ่ ท่ใี หค้ วามอบอุน่ ตอ่ เด็ก (Warm parents) บิดามารดาหรือผเู้ ลย้ี งดูจะใหค้ วาม รักความเมตตากับเด็กอย่างเปิดเผย เอาใจใส่ต่อเด็ก ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของเด็กและให้เวลา กับเด็ก รับฟังความคิดเห็นและคอยปลอบโยนให้กำลังใจเด็ก 2) กลุ่มท่ีทอดท้ิงปล่อยปละละเลยต่อเด็กหรือ บางครัง้ ตอ่ ตา้ นไมเ่ ปน็ มิตรกับเดก็ (Uninvolved or hostile parents) บดิ ามารดาหรอื ผู้เลย้ี งดจู ะไม่สนใจเดก็ บางครั้งจะต่อต้านไม่เป็นมิตรกับเด็กมักสนใจแต่ความต้องการของบิดามารดา หรือผู้เลี้ยงดูมากกว่าความ ต้องการของเด็ก ไม่มีเวลาให้กับเด็ก ไม่ค่อยใสใ่ จกับอารมณ์ของเดก็ แต่เมื่อเดก็ ไมส่ บายใจจะให้คำปลอบโยน เล็กน้อย (Kim, 2008) (2) มิติของการเรียกรอ้ งหรือควบคมุ บังคับเด็ก (Control/Demand) มติ นิ ้บี ดิ ามารดาหรือผู้เลี้ยงดูจะ มีพฤติกรรมที่มีลักษณะกำหนด ระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆ ไว้และเรียกร้องให้เด็กเชื่อฟังโดยจะมีการควบคุม พฤติกรรมของเด็ก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่ใช้คำสั่งควบคุมบังคับเด็กมากเกินไป (Overcontrol parents) บดิ ามารดาหรอื ผู้เล้ียงดจู ะบงการชวี ิตของเดก็ เกอื บทง้ั หมด 2) กล่มุ ทใ่ี ชค้ ำสั่งกับเด็กเพียงเล็กน้อย และไม่ค่อยใชอ้ ำนาจหน้าที่ควบคุมบงั คบั เดก็ (Undercontrol parents) เด็กท่ีบดิ ามารดาหรือผ้เู ลย้ี งดู เล้ียงดู แบบนจี้ ะมีอิสระในการปฏบิ ัตทิ กุ ส่งิ ทกุ อย่างโดยไมก่ ลัวบิดามารดาหรอื ผู้เลย้ี งดูและบิดามารดาหรือผู้เล้ียงดูก็ จะไม่สนใจส่งิ ต่าง ๆ ที่เดก็ ปฏบิ ตั ิ (Kim, 2008) จากองคป์ ระกอบพฤตกิ รรมของบิดามารดาหรอื ผเู้ ลยี้ งดู Baumrind ไดจ้ ำแนกรปู แบบการเล้ยี งดเู ดก็ ออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ (2.1) การเลย้ี งดูแบบประชาธิปไตย (Authoritative type) มลี กั ษณะทบี่ ิดามารดาหรอื ผเู้ ลีย้ งดูปฏบิ ัติ ตอ่ เด็กแบบมเี หตผุ ลเพ่ือใหเ้ ดก็ รูส้ กึ ว่าตนเองมพี ลงั อำนาจและยอมแลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั เดก็ ในการรว่ ม กำหนดกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ในครอบครัว สนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ แสดงออก เม่ือเดก็ มีความคิดเหน็ แตกต่างจากผ้ใู หญ่จะใช้ วิธีการควบคุมเดก็ อยา่ งประนปี ระนอมไม่ใชว้ ธิ กี ารบงั คับเด็ก (2.2) การเลี้ยงดแู บบอำนาจนยิ ม (Authoritarian type) มลี ักษณะทบ่ี ิดามารดาหรอื ผู้เลี้ยงดพู ยายาม ที่จะควบคุม กำหนดรูปแบบและประเมินพฤติกรรมเดก็ มที ศั นคตทิ ใ่ี ห้เดก็ มลี ักษณะตามมาตรฐาน บิดามารดา จะมีอำนาจเหนือกว่าเดก็ ชอบการออกคำส่ังใหเ้ ด็กปฏบิ ตั ิตาม ชอบกำหนดกฎเกณฑร์ ะเบียบแบบแผนต่าง ๆ ใหก้ บั เด็ก เมือ่ เดก็ ไมเ่ ชอ่ื ฟงั คำสง่ั จะมีการลงโทษเดก็ (2.3) การเลย้ี งดแู บบตามใจ (Permissive type) มลี ักษณะทีบ่ ดิ ามารดาหรอื ผเู้ ลี้ยงดปู ฏิบตั ติ ่อเด็กโดย ไม่มกี ารลงโทษใด ๆ ยอมรบั สง่ิ ท่ีเด็กกระทำและปฏิบัตติ ามความตอ้ งการ, แรงกระต้นุ ของเดก็ ยอมให้เดก็ 11
กำหนดกฎเกณฑ์ในครอบครัว ยอมใหเ้ ดก็ กำหนดควบคุมกจิ กรรมต่างๆ ตามทเ่ี ด็กต้องการ บิดามารดาพยายาม ท่จี ะใชเ้ หตผุ ลกบั เด็กแต่กไ็ มม่ ีพลงั อำนาจชัดเจน 2) แนวคดิ ลกั ษณะการเลีย้ งดเู ดก็ ของ Maccoby and Martin (1983) มาร์คโคบ้ี และมาร์ตินได้ศกึ ษา การเลี้ยงดู โดยการนำแนวคดิ การเล้ียงดขู องบอมรินดท์ ่ใี ช้องคป์ ระกอบหลกั 2 องคป์ ระกอบมาวเิ คราะห์ ลักษณะการเลีย้ งดูทบ่ี ดิ ามารดาใชท้ วั่ ไป องค์ประกอบหลกั ที่นำมาใช้คือ การควบคุม เป็นลกั ษณะของการควบคมุ และคาดหวังในเดก็ เป็นการเล้ยี งดูเดก็ ตามความตอ้ งการและความ คาดหวงั ของบดิ ามารดาเพอื่ ให้เดก็ เจรญิ เตบิ โตและมีวฒุ ภิ าวะตามวัย มกี ารควบคมุ และตั้งกฎเกณฑ์ในการฝกึ ระเบียบวินยั และให้การอบรมสั่งสอนเมอื่ เดก็ ไม่เชอ่ื ฟงั ความอบอุ่น เปน็ ลักษณะการยอมรับหรอื ปฏเิ สธในเดก็ การยอมรบั เป็นการปฏบิ ัติของบดิ ามารดาต่อ เดก็ ด้วยการดูแลเอาใจใส่ ให้การสนบั สนนุ ตอบสนองความตอ้ งการของโก สว่ นการปฏิเสธเปน็ การทบี่ ิดา มารดาไมใ่ หก้ ารยอมรับ ไม่มกี ารตอบสนองหรือมีความรสู้ กึ สนใจความตอ้ งการของเด็ก จากองคป์ ระกอบหลกั ดงั กลา่ วมารค์ โคบี้ และมาร์ตนิ ไดจ้ ำแนกรปู แบบการเลีย้ งดเู ดก็ (Parenting style) ออกเป็น 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ (1) การเลีย้ งดูแบบอำนาจนิยม (Authoritarian type) มีลักษณะทบี่ ิดามารดาหรอื ผเู้ ล้ยี งดูเลี้ยงดแู บบ กำหนดกฎเกณฑ์ควบคมุ เด็ก สง่ ผลกระทบใหเ้ ดก็ มปี มดอ้ ย ความภาคภมู ใิ จในตนเองตาํ่ (2) การเล้ยี งดแู บบตามใจ (Permissive type) บดิ ามารดาหรือผเู้ ลีย้ งดจู ะมลี กั ษณะการเลีย้ งดแู บบ ยอมตามใจเด็ก ส่งผลกระทบให้เดก็ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความรบั ผดิ ชอบ ไมม่ รี ะเบยี บวนิ ยั อาจมแี นวโน้มเป็น เดก็ กา้ วรา้ วได้ (3) การเล้ยี งดูแบบประชาธิปไตย (Authoritative type) มลี ักษณะการเลีย้ งดทู บี่ ิดามารดาหรอื ผเู้ ลีย้ ง ดูสนบั สนุนใหเ้ ดก็ เปน็ ตวั ของตวั เอง มีสว่ นรว่ มในการตง้ั กฎเกณฑข์ องครอบครัวและตัดสินใจรว่ มกัน สง่ ผลให้ เด็กมลี ักษณะเปน็ คนมคี วามมั่นใจในตนเองและมคี วามรบั ผดิ ชอบ (4) การเล้ียงดูแบบปล่อยปละละเลย (Neglecting type) บิดามารดาหรือผู้เลีย้ งดจู ะเลยี้ งดูเด็กแบบ ทอดทงิ้ ไมส่ นใจ ทำใหเ้ ด็กมแี รงจงู ใจตา่ํ ไม่สามารถสร้างสมั พนั ธภาพกบั ผอู้ นื่ ได้ มักมพี ฤติกรรมตอ่ ต้านสงั คม เมอื่ โตข้นึ (McWayne et al., 2008) 3) แนวคิดลกั ษณะการเลยี้ งดูเดก็ ของ Olson and DeFrain (2006) โอนสันและ เดเฟรน ได้ศึกษา ลักษณะการเลยี้ งดเู ดก็ โดยการนำแนวคิดของบอมรนิ ดม์ าพฒั นาและเปรยี บเทียบลักษณะการอบรมเลีย้ งดูเด็ก ของครอบครัวแบบต่าง ๆ โดยใช้การแสดงออกของบิดามารดาท่มี ตี ่อบุตร 2 ลักษณะ (The Couple and Family Map) ได้แก่ ความใกล้ชดิ (Cohesion) และ ความยดื หย่นุ (Flexibility) ซง่ึ สามารถอธบิ ายได้ดงั น้ี (DeFrain and Asay, 2007) ความใกลช้ ดิ (Cohesion) เป็นการเลีย้ งดทู ี่บิดามารดามคี วามรสู้ ึกผกู พันกบั เด็กโดยการมปี ฎสิ มั พนั ธ์ กับเด็ก การแสดงความสนใจ และเห็นคณุ คา่ ในกิจกรรมทีเ่ ดก็ สนใจและปฏบิ ตั ิ ใหเ้ วลากบั เดก็ ความยดื หย่นุ (Flexibility) หมายถงึ ความสามารถในการปรับ เปล่ยี นแปลง และผอ่ นปรน ลกั ษณะ การเลย้ี งดทู ่บี ิดามารดากำหนดไว้ เพ่อื ใหเ้ กิดความสมดลุ และเหมาะสมตามวัยวฒุ ขิ องเด็ก 12
จากการพัฒนาและเปรียบเทียบลักษณะการอบรมเลี้ยงดูเด็กของครอบครัวแบบต่างๆ โดยใช้การ แสดงออกของบดิ ามารดาท่ีมตี อ่ บตุ ร 2 ลักษณะทำใหป้ รากฏลกั ษณะการเลี้ยงดูเด็กเพม่ิ ขน้ึ คือ การอบรมเลยี้ ง ดูแบบปฏเิ สธไม่ยอมรบั (Rejecting style) ลักษณะการเลีย้ งดูเดก็ แบบตา่ งๆ โดยใช้การแสดงออกของบดิ ามารดาทม่ี ตี ่อบุตร 2 ลักษณะ (DeFrain and Asay, 2007) อธบิ ายดังนี้ 1. การเล้ียงดแู บบประชาธิปไตย (Democratic style) บดิ ามารดาหรือผ้เู ล้ียงดจู ะสรา้ งกฎระเบียบ กติกาทช่ี ัดเจนและความคาดหวังในครอบครวั รว่ มกบั บตุ รโดยใหบ้ ุตรมีส่วนรว่ มแสดงความคิดเหน็ ตา่ ง ๆ บิดา มารดาจะใช้อำนาจและเหตผุ ลให้บตุ รปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ของครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู แบบประชาธิปไตย (Democratic style) เปน็ รูปแบบการอบรมเลีย้ งดขู องครอบครวั ทมี่ คี วามสมดลุ จาก แผนภาพเปรยี บเทยี บลักษณะการเลย้ี งดูของครอบครัวแบบต่าง ๆ โดยใช้การแสดงออกของบดิ ามารดาที่มตี อ่ บุตร 2 ลักษณะ (The Couple and Family Map) ในมิติการมีความสมั พันธ์ร่วมกบั บุตร (Cohesion dimension) บดิ ามารดามีแนวโนม้ ทจี่ ะปฏิบตั ติ อ่ บุตรแบบเช่อื มโยง (Connected) ถงึ แบบยดึ ตดิ ใกล้ชดิ (Cohesive) ในระดบั กลาง ๆ ในมิติความยืดหยุ่นในครอบครวั (Flexibility dimension) บิดามารดาจะมแี บบ แผนโครงสร้างกฎเกณฑ์ (Structured) และสามารถยดื หยุ่นเปล่ียนแปลงได้ (Flexible) ในระดับกลาง ๆ 2. การเล้ยี งดแู บบอำนาจนยิ ม (Authoritarian style) บิดามารดาหรือผูเ้ ลยี้ งดจู ะเข้มงวดใน กฎระเบยี บกตกิ าและคาดหวงั ตอ่ บตุ ร และเขม้ งวดบงั คับให้บตุ รปฏบิ ัตติ ามกฎระเบียบกตกิ าของบดิ ามารดา บิดามารดาจะคาดหวงั และใช้คำสัง่ ใหเ้ ด็กเชื่อฟงั ตนเอง จากแผนภาพเปรียบเทียบลักษณะการอบรมเล้ยี งดขู อง ครอบครวั แบบต่าง ๆ โดยใชก้ ารแสดงออกของบิดามารดาทมี่ ตี ่อบุตร 2 ลกั ษณะ (The Couple and Family Map) จะเหน็ วา่ การอบรมเลย้ี งดแู บบอำนาจนยิ ม (Authoritarian style) บิดามารดาหรอื ผเู้ ล้ยี งดูมีแนวโนม้ ที่ จะปฏิบัตติ ่อบตุ รแบบยดึ ตดิ ใกลช้ ิด (Cohesive) ถึงแบบหลงติด (Enmeshed) คอ่ นขา้ งมาก คอื อย่ใู นระดบั ปานกลางถึงระดบั สูง ในมิตกิ ารมคี วามสมั พันธ์รว่ มกบั บตุ ร (Cohesion dimension) และในมิตคิ วามยดื หย่นุ ในครอบครวั (Flexibility dimension) อย่ใู นระดบั ปานกลางถงึ ระดบั ต่าํ คือ บิดามารดาหรอื ผเู้ ลย้ี งดจู ะมแี บบ แผนโครงสรา้ งกฎเกณฑ์ (Structured) ในระดบั กลาง ๆ ถงึ เขม้ งวดยดื หยุ่นเปลีย่ นแปลงได้นอ้ ย (Rigid) 3. การเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive style) บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดูจะปฏิบัติต่อเด็กโดยยอมให้ กระทำตามความชอบของเด็กมาก่อนหน้าทีร่ ับผดิ ชอบในอุดมการณข์ องบิดามารดาและไม่ค่อยมีอำนาจจูงใจ ให้เด็กยอมทำตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของบิดามารดา จากแผนภาพเปรียบเทียบลักษณะการเลี้ยงดูของ ครอบครัวแบบต่าง ๆ โดยใช้การแสดงออกของบดิ ามารดาทมี่ ตี ่อบตุ ร 2 ลักษณะ (The Couple and Family Map) จะเห็นว่า การเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive style) ในมิติความยืดหยุ่นในครอบครัว (Flexibility dimension) อยู่ในระดับปานกลางถึงระดับสูง คือ บิดามารดาหรอื ผู้เลีย้ งดจู ะมีความยืดหยุน่ (Flexible) ใน ระดับกลาง ๆ ถึงไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ (Chaotic) ค่อนข้างมาก และในมิติการมีความสัมพันธ์ร่วมกับบุตร (Cohesion dimension) อยู่ในระดบั ปานกลางถึงระดับสงู คอื บดิ ามารดาหรอื ผู้เลี้ยงดมู ีแนวโน้มที่จะปฏิบัติ ตอ่ บตุ รแบบยึดติดใกล้ชดิ (Cohesive) ถงึ แบบหลงติด (Enmeshed) คอ่ นขา้ งมาก 13
4. การเลี้ยงดูแบบปฏิเสธไม่ยอมรับ (Rejecting style) บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดูจะไมใ่ หค้ วามสนใจ ดูแลเอาใจใส่ตอ่ ความต้องการของเดก็ และไมค่ อ่ ยจะคาดหวังเกี่ยวกับวิธีทีเ่ ด็กควรจะประพฤติปฏบิ ัติตัว จาก แผนภาพเปรยี บเทียบลักษณะการเลี้ยงดูของครอบครัวแบบตา่ งๆโดยใช้การแสดงออกของบิดามารดาที่มีต่อ บุตร 2 ลักษณะ (The Couple and Family Map) จะเห็นว่า การเลี้ยงดูแบบปฏิเสธไม่ยอมรับ (Rejecting style) ในมิติความยืดหยุ่นในครอบครัว (Flexibility dimension) อยู่ในระดับปานกลางถึงระดับตํา่ คือ บิดา มารดาหรือผู้เลี้ยงดูจะมีแบบแผนโครงสร้างกฎเกณฑ์ (Structured) ในระดับกลาง ๆ ถึงเข้มงวดยืดหยุ่น เปลีย่ นแปลงได้น้อย (Rigid) และในมติ ิการมคี วามสัมพันธ์ร่วมกับบุตร (Cohesion dimension) อยู่ในระดับ ปานกลางถงึ ระดบั ต่าํ คือ บดิ า มารดามีแนวโนม้ ท่จี ะปฏบิ ตั ิต่อบตุ รแบบเชือ่ มโยง (Connected) ถึงแบบปลอ่ ย ไมม่ ีความสมั พันธ์กบั เดก็ เลย (Disengaged) 5. การเลี้ยงดูแบบทอดทิ้งปล่อยปละละเลย (Uninvolved Style) บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดูมักจะ ละเลยไมส่ นใจเดก็ ปลอ่ ยใหค้ วามชอบทำตามอำเภอใจของเดก็ อยูเ่ หนอื กว่าโดยทคี่ วามชอบนั้นไมไ่ ปแทรกแซง หรือรบกวนกิจกรรมต่างๆ ของบิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดู จากแผนภาพเปรียบเทยี บลักษณะการอเลี้ยงดูของ ครอบครัวแบบต่างๆ โดยใชก้ ารแสดงออกของบิดามารดาท่ีมตี ่อบตุ ร 2 ลักษณะ (The Couple and Family Map) จะเหน็ ว่า การอบรมเล้ียงดแู บบปล่อยปละละเลย (Uninvolved style) ในมติ คิ วามยืดหยุน่ ในครอบครวั (Flexibility dimension) อยู่ในระดบั ปานกลางถึงระดับสูง คือ บิดามารดาจะมคี วามยืดหยุ่น (Flexible) ใน ระดับกลาง ๆ ถึงไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ (Chaotic) ค่อนข้างมาก และในมิติการมีความสัมพันธ์ร่วมกับบุตร (Cohesion dimension) อยใู่ นระดบั ปานกลางถงึ ระดบั ตาํ่ คือ บดิ ามารดาหรอื ผเู้ ลยี้ งดมู ีแนวโน้มท่ีจะปฏิบัติ ตอ่ บตุ รแบบเชอื่ มโยง (Connected) ถึงแบบปล่อยไมม่ ีความสมั พันธ์กบั เดก็ เลย (Disengaged) เมือ่ นำแนวคิดการเล้ยี งดเู ด็กทงั้ 3 แนวคดิ มาวิเคราะห์จะพบว่า ในมิตขิ องการเล้ียงดแู ตล่ ะแนวคิดจะ มีส่วนที่คล้ายคลึงกันในลักษณะของพฤติกรรมที่ผู้เลี้ยงดูปฏิบัติต่อเด็กซึ่งประกอบด้วย 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ ความอบอุ่นและความใกล้ชิดซึ่งมีลักษณะของพฤติกรรมที่คล้ายคลงึ กันคือเป็นการดูแลเอาใจใส่ ตอบสนอง ความต้องการเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ให้ความสนใจ ให้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ชี้แนะ และ เป็นทีป่ รกึ ษาเม่ือเด็กต้องการความชว่ ยเหลือ ดังนนั้ จึงอาจกลา่ วไดว้ ่าพฤติกรรมดังกลา่ วเป็นลักษณะพฤตกิ รรม การเลีย้ งดใู นมิตกิ ารตอบสนองความตอ้ งการของเด็ก (Responsiveness) ส่วนการควบคุมและความยดื หยุ่น จะมีลักษณะของพฤติกรรมที่แสดงออกที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นพฤติกรรมที่ต้องการจะควบคุมเด็กให้มี พฤติกรรมตามที่ต้องการหรือคาดหวัง ด้วยการสร้างและกำหนดขอบเขต กฎเกณฑ์ ระเบียบต่าง ๆ ให้เด็ก ปฏิบัติตาม โดยที่ขอบเขต กฎเกณฑ์ที่กำหนดไดจ้ ะมคี วามยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้แตกต่างกันออกไป มีการ กำกับดแู ลในการฝกึ หัดเดก็ ให้การเสริมแรงและการลงโทษในการฝกึ และปรบั พฤตกิ รรม ดงั นั้นจงึ อาจกลา่ วได้ ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นลักษณะพฤติกรรมการเลี้ยงดูในมิติของการควบคุม (Demandingness) จากการ วิเคราะหจ์ ึงสรุปได้ว่าพฤตกิ รรมการเลีย้ งดูเด็กของบิดามารดาประกอบด้วย 2 มิติคือ การตอบสนองและการ ควบคุม ซ่ึงการตอบสนองและการควบคมุ น้ีบดิ ามารดาจะมีการปฏบิ ตั ิต่อเด็กที่แตกต่างกนั ออกไปเร่ิมตั้งแต่ใน ระดับมากจนถึงระดับน้อย การผสมผสานความอบอุ่นและการควบคุมในแต่ละระดับเข้าด้วยกันทำให้เกิด รปู แบบการเลยี้ งดูที่มลี ักษณะเฉพาะข้นึ นำไปสกู่ ารจัดแบ่งรปู แบบการเลยี้ งดูออกเป็นรปู แบบตา่ ง ๆ และมีช่ือ 14
เรียกที่เหมอื นและแตกต่างกันออกไปในแต่ละแนวคิดแต่เพื่อให้เหมาะสมกบั การเลี้ยงดูเด็กในสงั คมไทยและ บรบิ ททท่ี ำการศึกษาผูว้ ิจัยจงึ ไดเ้ ลือกใช้แนวคดิ ของบอมรินดใ์ นการศกึ ษา จะเห็นได้วา่ แต่ละมิตขิ องการเลี้ยงดูเด็กนั้นผู้เลี้ยงดูจะมีการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ปฏิบัตติ ่อเด็ก แตกต่างกันนำไปสู่รูปแบบการเลีย้ งดูท่ีแตกต่างกันตามแนวคดิ ของ Baumrind (1960) ซึ่งมี 3 รูปแบบไดแ้ ก่ แบบประชาธิปไตย แบบเขม้ งวดกวดขัน และแบบตามใจ การเลย้ี งดูเด็ก เป็นสงิ่ ท่ีบดิ ามารดาหรือผดู้ ูแลปฏบิ ัติ ต่อเด็ก เป็นสิ่งท่เี ด็กได้รับการเรยี นรู้และซมึ ซับเข้าสู่ความเป็นตัวเองหลอ่ หลอมเป็นพฤตกิ รรมและบุคลิกภาพ เดก็ ทเ่ี ติบโตจากครอบครัวท่ีมกี ารเล้ยี งดแู บบใหค้ วามรักความอบอนุ่ และดแู ลเอาใจใสอ่ ย่างดจี ากพ่อแม่ญาติพี่ น้อง ย่อมได้รับโอกาสที่จะมพี ัฒนาการเหมาะสมตามวยั หากเด็กอยู่ในครอบครัวท่ีมีการเลีย้ งดูแบบใชค้ วาม รุนแรงจะเลียนแบบและมีพฤติกรรมก้าวร้าวใช้ความรุนแรงสูงเมื่อเติบโตขึ้น (กนกวรรณ ผิวแดง , 2552) รูปแบบการเลี้ยงดูเด็กแบบต่าง ๆ ทำให้เกิดผลลัพธ์ด้านอารมณ์และสังคมต่อเด็กเมื่อเติบโตขึ้น จาก ความสัมพันธ์ของรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กกับพฤติกรรมของเด็กในการศึกษาของ Baumrind การเลี้ยงดูแบบ ต่างๆทำให้เด็กถกู หล่อหลอมอุปนิสัยที่ต่างกนั ส่งผลใหเ้ ดก็ ทีไ่ ด้รบั การเลี้ยงดูมีพฤติกรรมและลักษณะจิตใจที่ แตกต่างกนั ออกไปทั้งทางดา้ นบวกและดา้ นลบดังนี้ การเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย หมายถึง วิธีการท่ีบิดามารดาหรือผู้เลีย้ งดูปฏิบัติต่อเด็กในการเลี้ยงดู ด้วยความยุติธรรม บิดามารดามคี วามอดทนไม่ตามใจเด็กจนเกนิ ไป และไมเ่ ข้มงวดจนเกินไป ใหค้ วามรักความ อบอุ่นแกเด็ก มีเหตุผล รู้จักยอมรับนับถือ ความสามารถและความคิดเหน็ ของเด็ก ตลอดทั้งให้ความร่วมมอื ตามโอกาสอนั สมควร ครอบครวั ที่มีการเลี้ยงดูบุตรแบบเอาใจใส่และรับฟังอย่างมเี หตุผล จะทำให้เด็กมีอปุ นสิ ยั ได้แก่ มีอารมณ์ขัน ร่าเริงแจม่ ใส มองโลกในแง่ดี อารมณ์มั่นคง ช่วยเหลือตวั เองและแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ได้ เหมาะสม เข้าใจตนเอง เกดิ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เรียนรู้ส่ิงตา่ ง ๆ ได้เร็ว ปรับตัวได้ดี กล้าแสดงออก อย่างมน่ั ใจ มีความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ รู้จกั ใชเ้ หตผุ ล ยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ื่นและให้ความร่วมมือกับ ผู้อ่นื ไดด้ ี เคารพในสิทธขิ องตนเองและผอู้ ่ืน เป็นผูน้ ำและผ้ตู ามทด่ี ี การเลีย้ งดแู บบเขม้ งวดกวดขนั หมายถงึ วิธีการทบ่ี ิดามารดาหรอื ผูเ้ ลย้ี งดปู ฏิบัติต่อเดก็ ในการเลย้ี งดู อยา่ งเข้มงวดกวดขนั ใหอ้ ยู่ในระเบยี บวินยั ทบ่ี ดิ ามารดาหรอื ผ้เู ลย้ี งดูกำหนดไว้ หรอื ถกู ควบคมุ ไม่ใหไ้ ด้รบั ความ สะดวกในการกระทำตามทต่ี นเองตอ้ งการ ครอบครัวทม่ี กี ารเลยี้ งดูบุตรแบบเครง่ ครดั เขม้ งวด จะทำให้เดก็ มี อุปนิสัย ไดแ้ ก่ อ่อนแอ พ่ึงพาผ้อู ืน่ ขาดความมั่นใจ ไม่เปน็ ตัวของตัวเอง ร้สู ึกตํา่ ต้อย รสู้ กึ ผิดเวลาอยใู่ นสายตา ผู้ใหญ่ อาจมลี ักษณะก้าวรา้ ว ตอ่ ตา้ นสังคม การเลยี้ งดูแบบตามใจ หมายถึง วิธีการทีบ่ ิดามารดาหรือผ้เู ล้ียงดูปฏบิ ตั ิต่อเด็กโดยใหอ้ สิ ระกับเด็ก ไม่ เรยี กรอ้ งหรอื ควบคมุ เด็ก ใหเ้ ด็กทำอะไรตามใจชอบ อกี ท้งั ไมไ่ ดร้ ับการสนบั สนนุ และคำแนะนำจากบิดามารดา หรือผ้เู ลี้ยงดู ครอบครัวที่มกี ารเลี้ยงดูบุตรแบบตามใจ จะทำใหเ้ ด็กมอี ปุ นสิ ยั ได้แก่ พ่ึงพาตนเองได้น้อย ตามใจ ตนเอง ยึดตนเองเปน็ ใหญ่ ไม่ฟังความคดิ เหน็ ผู้อื่น ขาดความมน่ั คง ไม่มรี ะเบียบวินัย ไม่กระตอื รอื ร้น อารมณ์ ก้าวรา้ ว ดังนัน้ ในการศกึ ษาการเลย้ี งดูเดก็ วยั 0-5 ปีในครัง้ นจี้ งึ แบง่ ลักษณะการเลีย้ งดูออกเปน็ 3 รูปแบบ คือ การเลยี้ งดแู บบประชาธปิ ไตย การเลยี้ งดูแบบควบคุมและการเลีย้ งดแู บบตามใจ การเล้ยี งดูเดก็ นั้นจุดม่งุ หมาย 15
ที่สำคัญคือเพ่อื ส่งเสริมใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการดา้ นต่าง ๆเป็นไปอย่างปกติและเหมาะสมตามวัย รปู แบบการเล้ียงดู เดก็ ถือเป็นสงิ่ แวดล้อมอย่างหนง่ึ ของเด็กทจ่ี ะมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมและบุคลกิ ภาพเมอ่ื เด็กโตขนึ้ การเลือกรปู แบบ การเล้ียงดทู ี่เหมาะสมกบั เด็กจงึ เปน็ ส่ิงที่ผเู้ ลี้ยงควรคำนึง นอกจากนี้ ไมว่ า่ ผเู้ ล้ยี งจะเลอื กใชร้ ปู แบบการเล้ียงดู เดก็ แบบใด สง่ิ ท่ีควรคำนงึ ถงึ ในการปฏิบตั ิต่อเดก็ คือ การอบรมสง่ั สอนด้วยวิธีการทสี่ ภุ าพ มอี ารมณค์ งท่ี ใช้ เหตผุ ลกบั เดก็ สอนระเบยี บวินยั ทเี่ หมาะสมและเป็นแบบอย่างทด่ี ใี ห้เดก็ เห็น ไมค่ าดหวังให้เดก็ ตอ้ งทำสงิ่ ต่าง ๆ ได้เกนิ ความสามารถจรงิ ของเด็ก ใหเ้ วลาอยใู่ กลช้ ิดและใหค้ วามสนใจมสี ัมพันธภาพทดี่ กี บั เดก็ เสมอ เปดิ โอกาส ให้เดก็ ได้มสี ทิ ธแิ สดงความรูส้ กึ หรอื ความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระและคอยให้คำแนะนำปรึกษาอยา่ งเหมาะสม สรา้ ง บรรยากาศครอบครัวอบอนุ่ ปกป้องเดก็ อยา่ งเหมาะสม ใช้การลงโทษทเ่ี หมาะสมเมื่อจำเปน็ ไม่ใชอ้ ารมณ์และ ความรุนแรงในการลงโทษเด็ก ซง่ึ ความเหมาะสมในการเลย้ี งดูเดก็ จะเกิดขึน้ เมอื่ ผเู้ ลย้ี งดูอยู่ในสภาวะพรอ้ มทัง้ ทางดา้ นรา่ งกายและจิตใจ แนวคดิ และทฤษฎีความรักใครผ่ ูกพัน ทฤษฎีความผูกพนั (Attachment theory) ทฤษฎีความผกู พันเป็นหนึง่ ในทฤษฎีทีไ่ ด้รับความนิยมและหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ความผูกพันเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครอง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อใหเ้ ด็กปลอดภัย มั่นคงและได้รับการปกป้อง ซ่ึงแตกต่างจากการเลี้ยงดูด้านอื่น ๆ จุดประสงค์ของความ ผูกพันไม่ใช่บทบาทของผู้ปกครองในฐานะเพื่อนเล่นเพือ่ เล่นกับหรือใหค้ วามบันเทงิ กบั เด็ก ไม่ใช่บทบาทของ ผู้ปกครองในฐานะผู้ดูแลเพื่อให้อาหารเด็ก ไม่ใช่บทบาทของผู้ปกครองในฐานะผู้สอนระเบียบวินัยที่คอย กำหนดขดี จำกดั ไมใ่ ช่บทบาทของผปู้ กครองท่ีเปน็ ครูสอนทักษะใหม่ ๆ ให้กบั เด็ก ความผูกพนั เปน็ ส่ิงท่ีเด็กใช้ กับผู้ดูแลหลักเพื่อเป็นฐานท่ีปลอดภัย เพื่อเป็นที่หลบภัย ความผูกพันจึงเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหน่งึ และมี ขอบเขตของความสมั พันธร์ ะหว่างเด็กและผ้ดู แู ล ซึง่ เก่ยี วข้องโดยตรงกบั การทำใหเ้ ด็กปลอดภยั และได้รับการ คมุ้ ครอง ทฤษฎีความผูกพนั (Attachment Theory) หรือ ทฤษฎีความผูกพันทางอารมณ์ เป็นแบบจำลองทาง จิตวิทยาเพื่อกำหนดพลศาสตร์ของความสมั พันธ์ระหว่างมนุษย์ทั้งในระยะยาวระยะสั้น ทฤษฎีความผูกพัน ไม่ไดต้ งั้ เปน็ ทฤษฎที วั่ ไปของความสมั พนั ธ์แต่ใชก้ ล่าวถงึ ด้าน ๆ หนึ่งเพยี งเทา่ นน้ั คือ การตอบสนองของมนุษย์ ภายในสัมพันธภาพเม่ือเจ็บ ถูกพรากจากคนรัก หรือว่ารูส้ ึกอันตราย โดยพื้นฐานแล้วทารกอาจผูกพันกบั คน เลี้ยงคนไหนกไ็ ด้ แต่ว่า คุณลักษณะของความสัมพันธ์ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ในทารก ความผูกพันโดย เป็นสว่ นของระบบแรงจูงใจและพฤติกรรมจะส่ังการใหเ้ ด็กเขา้ ไปอยใู่ กล้ชิดกบั คนดูแลที่คุ้นเคยเม่ือตกใจ โดย คาดหวังวา่ จะไดก้ ารคมุ้ ครองและการปลอบใจ หลักสำคญั ท่ีสุดของทฤษฎีก็คอื ว่า ทารกจำเป็นต้องสร้างความสมั พันธ์กับคนเล้ียงหลักอย่างนอ้ ยหน่งึ คนเพื่อให้เกิดพัฒนาการทางสังคมและทางอารมณ์ได้อย่างสำเร็จ โดยเฉพาะการเรียนรู้เพื่อควบคุมอารมณ์ ตนเองอยา่ งมีประสิทธิผล พ่อหรอื บุคคลอื่นมีโอกาสกลายเป็นผู้ผูกพันหลักถ้าให้การดูแลเด็กและปฏสิ ัมพันธ์ ทางสังคมทส่ี มควรไดม้ ากทสี่ ุด เม่ือมีผด้ ูแลที่ไวความรสู้ กึ และตอบสนองต่อเดก็ ทารกจะอาศัยคนดแู ลเป็น \"เสา 16
หลกั \" เม่ือสำรวจส่ิงแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ควรจะเข้าใจว่าแม้ผู้ดูแลจะไวตอ่ ความรสู้ กึ แต่กส็ ามารถตอบสนอง ต่อความต้องการของเด็กได้อย่างถูกต้องเพียงประมาณแค่ 50% เนื่องจากข้อจำกัดในด้านต่างๆ เช่น การ สอ่ื สารที่อาจจะไมล่ งรอยกัน บางครั้งพอ่ แม่ก็อาจรู้สึกเหนื่อยหรือสนใจเรื่องอื่นอยู่ ตอ้ งรับโทรศพั ท์ หรือต้อง ทำอาหารเช้าท่ี กล่าวอกี อย่างกค็ ือ ปฏสิ ัมพันธท์ เ่ี ข้ากันอย่างดีอาจเสยี ไปได้อยา่ งบอ่ ยคร้งั ความผูกพนั ระหวา่ งทารกกบั ผูด้ ูแลนัน้ มักเกิดขนึ้ แม้เมือ่ คนดแู ลไมไ่ วความรสู้ ึกและไม่ตอบสนองต่อเด็ก ซึ่งทำให้มีผลตามมาหลายอย่าง ทารกจะไม่สามารถออกจากความสัมพันธ์กับผด้ ูแลที่ไว้ใจไม่ได้ หรือไม่ไวตอ่ ความรูส้ ึก งานวิจัยของนักจิตวทิ ยาพัฒนาการชาวอังกฤษ ดร. แมรี่ เอนสเวอรธ์ ในช่วงคริสตท์ ศวรรษ 1960 และ 1970 พบว่า เด็กจะมีรูปแบบความผูกพันที่ต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์เบื้องต้นที่ได้รับจากคนดูแล รูปแบบความผูกพันในชีวิตนี้จะมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ของเด็กต่อบุคคลอื่น ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทคอื (Ainsworth, 1969) • แบบม่นั ใจ (secure attachment) • แบบวิตกกงั วล-คละ (anxious-ambivalent attachment) • แบบวิตกกงั วล-หลกี เลี่ยง (anxious-avoidant attachment) • แบบไม่มรี ะเบียบ (disorganized attachment) ทฤษฎีน้ีไดก้ ลายเปน็ ทฤษฎีหลกั ท่ีใชเ้ พื่อศกึ ษาพฤตกิ รรมของทารกในดา้ นต่างๆ รวมทัง้ สขุ ภาพจิตทารก การปฏิบตั ติ ่อเด็ก เป็นต้น ความผูกพนั แบบมั่นใจจะเกดิ เม่อื เดก็ รสู้ ึกว่าสามารถพ่ึงคนดูแลให้อยู่ใกล้ ๆ ปลอบใจ และช่วยป้องกัน เป็นรูปแบบที่พิจารณาว่าดีทีส่ ดุ ส่วนแบบวิตกกงั วล-คละจะเกิดเมือ่ เด็กรู้สึกวิตกกังวลเมื่อ พรากจากคนดูแล และไม่กลับไปรู้สึกมั่นใจเมื่อคนดูแลกลับมา ส่วนแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยงเกิดเมื่อเด็ก หลกี เล่ียงพอ่ แม่ และแบบไมม่ รี ะเบยี บก็คือเด็กจะไม่แสดงพฤตกิ รรมความผูกพนั ในช่วงครสิ ตท์ ศวรรษ 1980 ทฤษฎนี ้ไี ดข้ ยายไปใช้กับความผูกพนั ในผูใ้ หญ่ โดยใช้เมอื่ มีความสัมพันธ์ใกล้ชดิ กับพ่อแม่หรือคู่รกั ความรักใครผ่ กู พนั (Bonding) ความรกั ใครผ่ กู พนั หมายถงึ เป็นสายใยความผกู พนั ทบ่ี ดิ ามารดหรอื ผเู้ ลีย้ งดูมีตอ่ บตุ ร เปน็ สงิ่ สำคญั ท่ีมี อทิ ธพิ ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของทารก ทง้ั ในดา้ นของรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ทจ่ี ะพฒั นาไปในวยั ตอ่ ๆ ไป ทำใหเ้ ดก็ รสู้ ึกม่นั คงปลอดภัย (Benoit, 2004) ความรักใครผ่ กู พนั หมายถงึ ความรกั ใครผ่ กู พันระหวา่ งบิดามารดาหรือผเู้ ลย้ี งดูและบุตร เป็น กระบวนการทเี่ กิดจากหลายปจั จัยทส่ี ลบั ซับซอ้ น เป็นความรู้สึกทางดา้ นของอารมณ์ (Gilbert and Harmon, 1986) ความรกั ใคร่ผกู พันระหว่างระหว่างบิดากบั ทารก เปน็ ปฏสิ มั พันธท์ เ่ี กดิ ขึน้ เมอ่ื บดิ าได้ เห็นหรอื สมั ผสั ทารกตั้งแตค่ รั้งแรก และจะมีเพ่มิ ข้นึ เร่อื ย ๆ เมือ่ บดิ าได้มีส่วนในการเลีย้ งดูทารก เป็นความรสู้ กึ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ระหว่างบคุ คลสองคนท่ีมคี วามเฉพาะเจาะจง มคี วามสำคญั โดยเฉพาะในขวบปีแรก ซง่ึ ประกอบไป ด้วย การสัมผสั การมองสบตา การได้ยิน การเคลอื่ นไหว ตามจังหวะ และการได้กล่นิ การใหเ้ วลา และการให้ ความอบอนุ่ (Kennell and Klaus, 1984) 17
สรปุ ได้วา่ ความรกั ใคร่ผกู พันระหวา่ งบดิ าและทารก หมายถงึ ความรู้สึกทางด้านอารมณ์ ท่กี อ่ ให้เกดิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ เป็นสายใย สานสมั พนั ธท์ างอารมณร์ ะหว่างบิดาและทารก แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกบั ความรักใครผ่ ูกพัน ความรกั ใครผ่ ูกพันระหว่างบิดากับทารก เปน็ ความรสู้ ึก ผูกพันทบ่ี ิดามตี อ่ บตุ ร ทำใหบ้ ดิ า มีการแสดงออกของพฤติกรรมถงึ การมปี ฏิสมั พันธ์กบั บตุ ร และจะเพิม่ ความร้สู กึ ผกู พันมากขน้ึ เร่อื ย ๆ เมอื่ บิดาได้ใกลช้ ิด ไดส้ ัมผสั บุตร ซึง่ มผี กู้ ล่าวถงึ ดังนี้ Greenberg and Morris (1974) ได้กล่าวเก่ียวกบั ความรกั ใคร่ผกู พันระหว่างบิดากบั ทารก โดยเนน้ ไปท่ปี จั จัยทม่ี ผี ลตอ่ ความรสู้ กึ ผกู พนั ของบดิ าที่มีตอ่ ทารกประกอบไปด้วย สงิ่ ตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน้ี (Greenberg and Morris, 1974) 1. การรบั รู้หน้าตาและร่างกายของทารก (Visual awareness manifested) บิดาสามารถ รบั ร้หู นา้ ตา และร่างกายของทารกได้ด้วยการสมั ผัส การมองเห็น การมองเหน็ เป็นจุดเริ่มต้นท่ี สำคัญของการพฒั นา สมั พันธภาพ บิดาทเ่ี ห็นบุตรครงั้ แรกจะมกี ารสำรวจร่างกายของบุตร เพ่ือ เปรียบเทยี บกบั ความคาดหวังทไี่ ดม้ ี จินตนาการเอาไว้ หรอื หาสว่ นทคี่ ล้ายกบั บดิ าหรอื มารดา จากการศึกษาของนงคราญ ศรสี ง่า และคณะ (2553) พบวา่ คร้งั แรกทบ่ี ิดาเหน็ ทารก บิดาจะมกี าร จอ้ งมอง และสบตากบั ทารก ด้วยสหี น้าทม่ี คี วามสุข ความรักใคร่ ผกู พันระหวา่ งบิดาละทารกเกดิ ขึ้น อยา่ งรวดเรว็ ตงั้ แตบ่ ดิ าได้เหน็ ทารกครง้ั แรก 2. ความสนใจและความผกู พนั ตอ่ กัน (Distal contact manifested) บิดาจะมคี วามสนใจ ในตวั บุตร มคี วามผกู พนั โดยจะมกี ารแสดงพฤติกรรมถงึ ความผกู พนั ทมี่ ตี ่อบุตรดงั น้ี 2.1 การจ้องหน้าและประสานตา (Enface position or eye to eye contact) เปน็ พฤตกิ รรมทมี่ ีต่อเนื่องมาจากการสำรวจรา่ งกายทารก การทบ่ี ิดาจ้องตาทารกจะเห็นการเคลื่อนไหว ของลกู ตา บตุ ร มกี ารประสานสายตากบั บุตรทาใหบ้ ิดาเกดิ ความประทบั ใจ 2.2 การยิ้ม (Smiling) พฤตกิ รรมการยิ้มหรอื การแสดงออกของสหี น้าทพ่ี ึงพอใจ บดิ า จะยมิ้ เม่อื มกี ารตอบสนองของปฏกิ ิริยาของบุตร 2.3 การส่อื ภาษา (Verbalization) เปน็ พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความผกู พนั และ ใสใ่ จบุตร Moore (1983) กลา่ วว่า การพดู คยุ กบั บุตร เปน็ บทบาทหนา้ ทหี่ นง่ึ ของบดิ า ในการ สง่ เสรมิ พัฒนาการของบุตร จากการศกึ ษาพบวา่ บดิ าจะมกี ารพูดคยุ หยอกลอ้ กบั บตุ รต้ังแต่ได้ สัมผสั ทารกครง้ั แรก (Moore and Simpson, 1983) 3. การสมั ผสั โอบอมุ้ ทารก (Tactile awareness manifiested) การสมั ผสั และการโอบอุม้ ทารก เปน็ สิง่ สำคญั มากในการสรา้ งสัมพันธภาพ เนอ่ื งจาก ทาใหบ้ ิดามีความพึงพอใจ จากการศกึ ษาพบวา่ การไดส้ ัมผสั ทารก โอบอมุ้ ทารก ทาใหบ้ ดิ ารู้สกึ มี คุณคา่ ละมีความม่ันใจการดูแลบุตร และ การทบ่ี ดิ าไดร้ ับรปู้ ฏิกริ ิยาการ ตอบสนองของบตุ ร และการดแู ลบตุ รในระยะแรกหลังคลอด ทาใหบ้ ิดามบี คุ ลกิ ท่ี สุภาพ ออ่ นโยน และตอบสนองความตอ้ งการของบุตรได้ (Erlandsson, Christensson and Fagerberg, 2008) 4. การยอมรบั การเปน็ บุคคลของทารก (Awareness of the infant’s individuality manifested) บิดาจะเกดิ ความเขา้ ใจและยอมรบั ในตวั บตุ รมากขนึ้ ว่าบตุ รมีลกั ษณะท่ีแตกต่างหรือ เหมอื นกับเด็กทั่วไป อยา่ งไร หลังจากทบี่ ิดาไดม้ กี ารสมั ผสั สบตากบั บุตร (Kennell and Klaus, 1984) 18
5. การยอมรบั ตนเองมากยงิ่ ขนึ้ (An increased sense of personal esteem) การยอมรบั ตนเอง เปน็ ปจั จยั ของความสามารถและคุณสมบัติพ้ืนฐานของบดิ า เป็นความรสู้ กึ มีคณุ คา่ ในตนเอง ตัวเองมี ความสามารถ มคี วามสำคญั ประสบความสำเรจ็ ในชวี ิต (Greenberg and Morris, 1974) ทฤษฎคี วามรักใคร่ผกู พันของ Klaus and Kennell (1982) Klaus and Kennell (1982) สนใจเกีย่ วกบั เรอ่ื งของความรกั ใครผ่ กู พนั ระหวา่ งบิดามารดา หรอื ผเู้ ลย้ี ง ดกู ับทารกตามแนวคดิ ของ Bowlby (1969) แต่ Klaus and Kennell (1982) เชื่อว่าความรกั ใครผ่ กู พัน ระหวา่ งผเู้ ลยี้ งดกู ับทารกเรม่ิ ตง้ั แต่การวางแผนการตงั้ ครรภ์ และได้สรา้ งทฤษฎีความรัก ใครผ่ กู พัน (Theory of bonding) โดยเน้นช่วงเวลาสัน้ ๆ หลงั คลอดเรียกวา่ “Sensitive period” ซ่ึง เชื่อวา่ การมกี ารสัมผัสใกล้ชิด ระหวา่ งมารดาและทารกในชว่ งหลังคลอดทันที จะมคี วามสำคัญตอ่ ความรักใคร่ผูกพนั ทจ่ี ะเกิดขึน้ ในระยะตอ่ ๆ ไป (Greenberg and Morris, 1974; Klaus and Kennell, 1982) ความรกั ใครผ่ ูกพนั ระหวา่ งบดิ ามารดา หรือผเู้ ลีย้ งดกู ับทารกจะมีความก้าวหน้าเพม่ิ ข้ึนเรื่อย ๆ ถ้าผเู้ ล้ียงดทู ารกมี ปฏิสมั พันธ์ซ่งึ กันและกัน Klaus and Kennell (1982) กลา่ วว่า พฤตกิ รรมความรักใคร่ผูกพันได้แก่ (Klaus & Kennell, 1982) 1. การสัมผสั (Touch) เป็นพฤติกรรมที่สำคญั ที่สุดในการสรา้ งสัมพนั ธภาพระหวา่ งบดิ า และบตุ ร ความสนใจของบดิ าในการสมั ผสั ทารก โดยเรม่ิ จากการใชน้ ิว้ สัมผสั แขนขา หลังจากนนั้ จะมีการบีบ นวดเบา ๆ แล้วจงึ ใช้ฝ่ามือสัมผสั ตามตวั ทารกกจ็ ะมกี ารจบั มอื กบั บิดา ทาให้บดิ ามีความ พึงพอใจต่อกนั รบั รู้ ถึงความอบอนุ่ ต่อกนั และกนั 2. การมองสบตา (Eye-to-eye contact) การใชส้ ายตาเปน็ ส่งิ สำคัญในการสรา้ งความรกั ใครผ่ ูกพัน ระหวา่ งบิดากบั ทารก โดยดวงตาของบุตรและบดิ าประสานกัน เป็นสอ่ื ท่ีมผี ลอยา่ งมาก ในการพฒั นา สัมพนั ธภาพกับผอู้ ื่น บิดาสนใจในการมองบุตรอย่างมาก บดิ าจะมกี ารพดู คุยเพอ่ื กระตุ้นใหบ้ ุตรลืมตา เพอื่ จะ ได้เห็นตาของบตุ ร 3. การได้ยนิ (Voice) การตอบสนองการไดย้ ินทนั ทที ที่ ารกเกดิ บดิ าต้องการไดย้ ินเสียงร้องของบุตร เพอ่ื ยืนยันวา่ บตุ รมีความแข็งแรง ในขณะที่ทารกเองกจ็ ะมกี ารตอบสนองต่อเสียงทส่ี ูง ไดด้ กี ว่าเสียงต่า ดังนนั้ บดิ าก็จะมีการพดู คยุ ด้วยเสยี งท่สี งู กว่าปกติ เพือ่ กระตนุ้ ใหบ้ ตุ รตอบสนอง และหันตามเสียง 4. การเคลอ่ื นไหวตามจงั หวะ (Entrainment) บุตรจะมกี ารเคลอื่ นไหวส่วนตา่ ง ๆ ของ ร่างกาย และ จะมีการเคล่อื นไหวเปน็ จงั หวะตามเสยี งพดู ของบดิ าหรอื ผเู้ ลย้ี งดู ซ่งึ จะเป็นการสร้าง สมั พนั ธภาพระหวา่ งบดิ า และบตุ รมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิด ซงึ่ บตุ รอยใู่ นระยะตื่นตวั พรอ้ มทจี่ ะตอบสนองตอ่ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ของผู้เลี้ยงดู 5. การได้กลิ่น (Odor) การไดก้ ลน่ิ เป็นสงิ่ สำคัญในการสร้างความรักใคร่ผกู พัน บิดาหรอื ผลู้ ี้ยงดจู ะจาก กลนิ่ ตัวของเดก็ ได้ 6. ความอบอุ่นของร่างกาย บดิ าและทารกจะมคี วามพึงพอใจตอ่ ความอบอนุ่ ของกันและกัน และจาก การศกึ ษาพบวา่ การให้ทารกเกิดก่อนกาหนดได้รับการดูแลแบบแกงการใู นหออภบิ าล ทารกแรกเกดิ สง่ ผลให้ ค่าเฉลีย่ คะแนนความผูกพนั สงู มอี าการและท่าทที สี่ งบ 19
สถานการณ์การใชง้ านส่อื และเทคโนโลยีในเดก็ และเยาวชน National Association for the Education of Young Children and the Fred Roger Center for Early Learning and Children’s Media (2012) และ American Academy of Pediatrics (2018) ให้ คำแนะนำว่าการใช้สื่ออเิ ลคทรอนิคนั้นไม่เหมาะสมกบั เด็กท่ีมอี ายุ ต่ำกว่า 2 ขวบ ท่ีการใช้สื่อเทคโนโลยีนนั้ จำเป็นตอ้ งอยู่ภายใต้การดูแลของผปู้ กครอง เด็กควรเข้าถงึ เนอ้ื หาทผ่ี า่ นการคดั เลือก แล้ววา่ เหมาะสมกับช่วง วัยของเด็ก อย่างไรก็ตามการศึกษาในประเทศไทยพบว่าเด็กปฐมวัยสามารถเข้าถึงสื่อจากโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีใช้เวลา 42 นาทีต่อวันอยู่หน้าจอสื่อ ใช้เวลาในการฟังเพลง 23 นาทีต่อวัน และใช้เวลาในการอ่าน หรือ ฟังเรื่องจากการอ่าน 21 นาทีต่อวัน โดยผู้ปกครองอนุญาตให้เด็กใช้สื่อเพอื่ กิจกรรมความบันเทิง เช่น ดกู าร์ตนู เล่นเกม และในหลายครอบครัวมไิ ด้มกี ารกำหนด กฎกติกาในการใช้สื่อ ดิจิทัล (Common Sense, 2017) ในปี 2012 อีกการศึกษาหนึ่งพบวา่ ผู้ปกครองให้เดก็ ใช้สื่อดจิ ิทัลเฉลี่ยท่ี อายุ 1.4 เดือน ทั้งนี้เด็กได้เริ่มใช้สื่อดิจิทัลก่อนอายุ 1ปี มากถึง 99.7% และให้ดูรายการผ่านทาง ทีวี คอมพวิ เตอร์ สมารท์ โฟน และแท็บเล็ตเฉลีย่ วันละ 3-4 ช่วั โมง และการศกึ ษาในเด็กอายุ 5 – 13 โดยเฉพาะ ในกลุ่มทีม่ ี เศรษฐานะดี พบวา่ ใช้ส่อื ดจิ ิทลั วันละ 7 ชว่ั โมง (Kiatrungrit, K. and Hongsanguansri, S., 2014) ล่าสุดในปี 2017 สำนักงานสถิตแิ หง่ ชาติ กระทรวงดิจิตลั และสังคม รายงานว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป มี สมาร์ทโฟน 88.2% มกี ารใช้อนิ เทอรเ์ นต็ 52.9% ประชากรใช้สอ่ื ตา่ งๆเรียงจากมาไปหานอ้ ยคอื กรุงเทพ ภาค กลาง ภาคใต้ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามลำดับ กลุ่มอายุ 6-14 เป็นกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์ มากที่สดุ คอื 72.7% รองลงมาคือ สมาร์ทโฟน 64% และใช้อินเทอร์เน็ต 63.4% การใชอ้ ุปกรณด์ ังกลา่ ว เพ่ือ การเรียน ค้นคว้า ดาวน์โหลด อัปโหลดข้อมูล ดูภาพ ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง และเล่นเกม (สำนักงานสถิติ แห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร, 2560) ขณะเดยี วกนั พบวา่ วัยรนุ่ อายุ 13-15 ปี หรอื Generation Z มกี ารใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลยี่ 40.2 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์ โดยมชี ่วงเวลาการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ มากในชว่ งเวลา 16.01–20.00น. คิดเป็นรอ้ ยละ 76.1 ของ ผ้ใู ช้อนิ เทอรเ์ นต็ Generation Z ทงั้ หมด ช่วงวยั ดงั กลา่ วนิยมใช้อินเทอรเ์ น็ตในสถานทีต่ นพักอาศยั คิดเป็นร้อย ละ 92.6 สถานศึกษา คดิ เป็นรอ้ ยละ 40.4 และตามทส่ี าธารณะ เชน่ รา้ นอาหาร หา้ งสรรพสนิ คา้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 17.0 วยั รนุ่ อายุ 13-15 ปี นยิ มกจิ กรรมออนไลนเ์ พอื่ ความบนั เทิง 5 อันดับ ไดแ้ ก่ การใช้สอ่ื และเทคโนโลยี เพอื่ การ สนทนาผา่ นเครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ รอ้ ยละ 95.8 การชมคลปิ วิดโี อผา่ น YouTube รอ้ ยละ 90.6 การรับชม โทรทศั น์ ภาพยนตร์ วิทยอุ อนไลน์ รอ้ ยละ 79.2 การดาวนโ์ หลดซอฟต์แวร์ เพลง ละคร เกม ร้อยละ 79.1 และอนั ดับสุดท้ายคอื การใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื สบื คน้ ข้อมลู รอ้ ยละ 77.0 (สำนกั งานพฒั นาธรุ กรรมทาง อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (องค์การมหาชน, 2559) อัตราการเข้าถงึ สอื่ ดิจทิ ลั ทเ่ี พม่ิ สงู จากอดตี ยอ่ มส่งผลตอ่ ความเสย่ี งใน การใช้สอื่ และเทคโนโลยีในทางที่ไมเ่ หมาะสม ตลอดจนยอ่ มมโี อกาสได้รบั ผลกระทบไดโ้ ดยงา่ ยเช่นกนั เช่น การเข้าถงึ เนื้อหาทไี่ มเ่ หมาะสม สะทอ้ นความก้าวร้าว รุนแรง สอื่ ลามกอนาจาร การพนัน เกมออนไลน์ การกล่ัน แกลง้ กนั บนโลกออนไลน์ จากการสำรวจ วัยรนุ่ ระบวุ า่ ตนถูกรบกวนด้วยโฆษณาออนไลน์ คดิ เป็นร้อยละ 49.0 และถกู รบกวนด้วยสอื่ ลามกอนาจาร คิดเป็นรอ้ ยละ 13.0 การศึกษาสถานการณก์ ารใชส้ ่ือและเทคโนโลยี (สถาบันส่อื เดก็ และเยาวชน, 2561) 20
การสำรวจการมกี ารใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในครัวเรอื นปี 2560 ของสำนักงานสถิติ แห่งชาตพิ บวา่ วัยรุ่นอายรุ ะหว่าง 15 – 24 ปเี ปน็ กลมุ่ ประชากรท่ใี ชค้ อมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตในระดบั สงู สดุ โดยส่วนใหญใ่ ช้คอมพวิ เตอร์ 5-7 วนั ต่อสปั ดาห์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 49.6 อันดบั รองลงมาคือใช้ 1-4 วันต่อ สัปดาห์คดิ เป็นร้อยละ 48.6 และใช้ 1-3 วนั ต่อเดือน คดิ เปน็ ร้อยละ 1.1 และมพี ฤติกรรมการใช้อนิ เทอรเ์ น็ต 5-7 วนั ตอ่ สปั ดาห์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 86.3 อนั ดบั รองลงมาคอื ใช้ 1-4 วันตอ่ สัปดาห์คดิ เปน็ ร้อยละ 12.9 และและ ใช้ 1-3 วันต่อเดือน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.2 ซึง่ กลุม่ ดงั กลา่ วมกั ใช้คอมพิวเตอร์จากร้านอนิ เทอรเ์ นต็ คดิ เป็นรอ้ ยละ 62.5 ศนู ยบ์ ริการสารสนเทศ ศนู ย์การเรยี นร้ไู อซที ี หรอื หอ้ งสมดุ รอ้ ยละ 52.5 ใช้จากท่ีบ้านรอ้ ยละ 45.3 และ ใช้จากสถานศกึ ษาร้อยละ 45.0 เม่อื พจิ ารณาข้อมลู ค่าใช้จ่ายในการใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ตอ่ เดอื น พบว่าวยั ร่นุ ชว่ ง อายุดงั กลา่ วมแี นวโน้มใช้จา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ทประมาณ 200-399 บาทตอ่ เดอื น คดิ เป็นรอ้ ยละ 50.2 อนั ดับ รองลงมาคอื ใชไ้ มเ่ กนิ 200 บาทตอ่ เดอื น คิดเป็นร้อยละ 26 ใช้ประมาณ 400-599 บาทต่อเดือนคิดเป็นรอ้ ย ละ 11.3 และใช้ 600 บาทขึ้นไปตอ่ เดอื น คิดเปน็ ร้อยละ 6.2 (สำนักงานสถิตแิ หง่ ชาติ กระทรวงดจิ ทิ ลั เพือ่ เศรษฐกจิ และสงั คม, ม.ป.ป.) การศกึ ษาสถานการณ์การใชส้ อ่ื ในตา่ งประเทศ พบว่า เดก็ เล็ก อายุ 2 เดอื น ถึง 2 ปี ในสหรัฐอเมรกิ า ปี 2006 พบว่าเดก็ เริม่ ดสู ือ่ ดจิ ทิ ลั เช่น ทีวี ดวี ดี ี กอ่ นอายุ สามเดอื น 40% เด็กอายุ น้อยกวา่ 2ปี ดทู วี ที ี่เปดิ ทิง้ ไว้โดยผู้ใหญ่ 90% เปน็ เวลา 1.5 ชว่ั โมงตอ่ วนั การสำรวจในเด็กอายุ 0-8 ปี พบว่า 68% เดก็ จะอยู่ในครอบครวั ทมี่ คี อมพิวเตอร์และมีอินเทอรเ์ นต็ ความเร็วสงู (3) การศกึ ษาต่อมาในปี 2009 พบว่าเด็กอายุ ต้งั แต่ 8 เดอื น-8 ปี ใชส้ อ่ื ดจิ ิทัล เฉลย่ี 4 ชัว่ โมงตอ่ วัน และเด็กอายุ 0-4 ปี ที่มีเศษฐานะตำ่ ใชแ้ ท็ปเลต็ หรอื สมาร์ทโฟน ถงึ 96% และ มี 75% เป็นเจ้าของสอื่ ดจิ ทิ ลั น้นั สำหรบั เด็กอายุ 2 ปี ใชส้ ่อื ดิจิทัลทุกวัน โดย 92.2% ใช้ส่ือดจิ ทิ ลั ตง้ั แต่ อายุ 1ปี และใช้เพอื่ ความบันเทงิ เปน็ หลกั การสำรวจวยั รุ่นอเมรกิ นั อายุ 8-18ปี ในปี 2008ใช้เวลาอยกู่ ับสื่อ ดิจิทัล มากกวา่ เวลาทอ่ี ย่ใู นโรงเรยี น คอื มากกว่า 7 ชว่ั โมงตอ่ วนั และใช้สำหรบั สง่ ข้อความมคี า่ เฉลี่ย 100 ข้อความตอ่ วนั เดก็ วยั รุ่นมีพฤติกรรมการใช้ สื่อดจิ ทิ ลั ในหลายๆกจิ กรรมในเวลาเดียวกัน ซง่ึ สง่ ผลตอ่ ทกั ษะ กระบวนการคดิ และอารมณ์ (Lapierre, M.A., Piotrowski, J.T., Linebarger, D.L., 2012; Reid Chassiakos, Y.L., Radesky, J., Christakis, D., Moreno, M.A., Cross, C., COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA, 2016) การศึกษาล่าสุดในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้การเขา้ ถงึ เทคโนโลยจี าก การสำรวจนักศกึ ษาใน อินโดนเี ซียปี 2017 พบว่า 98% ของนกั ศกึ ษามอี ปุ กรณด์ ิจติ อลเปน็ ของตวั เอง อย่างนอ้ ย สองชนดิ โดย 41% มีคอมพิวเตอรพ์ กพาส่วนตัว หรือ คอมพิวเตอร์ตง้ั โต๊ะสว่ นตวั และ สมารท์ โฟน หรอื แทบ็ เลต็ และ 15 % มที งั้ 4 ชนดิ โดยมจี ำนวนเพศหญงิ มากกว่าเพศชาย การศึกษา เศรษฐานะ ไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่ใช้เพอ่ื ส่อื สังคม ออนไลน์ เล่นเกม บันเทงิ สง่ ขอ้ ความ (Pratama, A.R.,2018) หลายหนว่ ยงานทัง้ ในไทยและตา่ งประเทศตา่ งม่งุ สง่ เสริมการรู้เทา่ ทันสื่อ และปอ้ งกัน แกไ้ ขปญั หา พฤตกิ รรมการใชส้ อ่ื อย่างไมเ่ หมาะสม UNESCO ไดพ้ ฒั นากรอบการประเมินการรเู้ ท่าทนั สือ่ และสารสนเทศ (Global MIL assessment framework) โดยแบง่ เปน็ 2 ดา้ นไดแ้ ก่ ด้านสมรรถนะการรูเ้ ท่าทันสอ่ื และ สารสนเทศ ซง่ึ แบ่งเปน็ 3 องคป์ ระกอบของการรเู้ ท่าทันสอ่ื คอื การเข้าถึงสอื่ (Access) ความรู้ความเข้าใจ (Understanding) และความสามารถในการสร้างสรรคส์ อื่ (Creation และด้านความพร้อมของประเทศ 21
(UNESCO, 2013) สถาบนั สื่อเดก็ และเยาวชน (สสย.) (2561) กไ็ ดน้ ำกรอบแนวคดิ และการประเมนิ การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และสารสนเทศของ UNESCO นม้ี าใชใ้ นประเทศไทย โดยพัฒนาเปน็ กรอบแนวคิด ตัวบง่ ชี้พฤตกิ รรมและ แนวทางการพฒั นาทักษะการเทา่ ทนั สื่อ สารสนเทศ และดจิ ทิ ลั เพ่ือส่งเสริมความเป็นพลเมอื งในระบอบ ประชาธปิ ไตย (Media Information and Digital Literacy หรอื MIDL) สำหรบั ปรับใชใ้ นประเทศไทย โดย กำหนดตัวบง่ ชพี้ ฤติกรรมการเท่าทนั สอื่ สารสนเทศ และดจิ ทิ ลั เพ่ือสง่ เสรมิ ความเป็นพลเมอื งในระบอบ ประชาธิปไตย ระดบั บุคคลในทกุ ชว่ ยวัย 4 ดา้ น ได้แก่ การเขา้ ถึงสื่อ สารสนเทศ และใชเ้ ทคโนโลยดี ิจทิ ลั ได้อยา่ ง ปลอดภยั (Access) การวิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมินส่อื สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจทิ ลั (Analyze) การ สร้างสรรค์เนอ้ื หาและขอ้ มลู สารสนเทศ (Create) การประยุกต์ใช้และสร้างการเปลย่ี นแปลง (Reflect and Act) (สถาบนั ส่อื เด็กและเยาวชน, 2561) สถาบนั สอื่ เดก็ และเยาวชน (2561) กำหนดคณุ ลักษณะและสมรรถนะดา้ นการใช้ส่ือตามแตล่ ะชว่ งวยั ดังนี้ ในช่วงปฐมวัยถึง6 ปี ม่งุ เน้นการตระหนกั ในสทิ ธขิ องตนเองและผอู้ นื่ การเคารพกติกาของสงั คม และการ มีความรแู้ ละทักษะในการใช้ส่ือและเทคโนโลยดี จิ ิทลั เพอื่ สบื คน้ ขอ้ มลู อยา่ งง่ายดว้ ยความปลอดภยั อายุ 7-12 ปี ม่งุ เนน้ ความสามารถในการตระหนกั รแู้ ละเทา่ ทนั อารมณต์ นเองขณะใชส้ อ่ื และเทคโนโลยี การมวี ินยั และ ความสามารถในการบรหิ ารเวลาในการใชส้ อื่ เทคโนโลยแี ละดจิ ทิ ัล การตระหนกั ถงึ ผลกระทบและความเส่ยี ง จากการใชส้ ่ือออนไลน์ ความสามารถในการสืบคน้ ตรวจสอบและวเิ คราะห์ความถูกต้องของข้อมลู ร้แู ละเขา้ ใจ เก่ยี วกบั การรงั แกในโลกออนไลน์และกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ ง และสามารถผลติ ส่ืออย่างสรา้ งสรรคไ์ ด้ เมอื่ อายุ 25 ปีและ 60 ปขี ้ึนไป ขึ้นไปควรมที ักษะการสบื คน้ ขอ้ มลู ทดี่ ี มคี วามสามารถในการใชว้ จิ ารณญาณ เข้าใจหลกั การ ใชส้ อ่ื และสามารถเลือกใช้ข้อมูลไดต้ รงกบั ความตอ้ งการของตนเองได้โดยไมก่ ระทบตอ่ สทิ ธิผูอ้ น่ื สามารถใช้ วจิ ารณญาณในการเข้าถึง สง่ ตอ่ และเผยแพร่ข้อมลู ไดอ้ ย่างปลอดภัย มีความสามารถในการบรหิ ารเวลาในการ ใช้สอ่ื และมีทักษะในการปอ้ งกนั ตนเองจากอันตรายของขอ้ มูลทเ่ี ขา้ ถึงและถูกสง่ ตอ่ มคี วามเขา้ ใจและคำนึงถึง ความสมั พันธเ์ ชิงอำนาจทส่ี ง่ ผลต่อการดำเนินงานของอตุ สาหกรรมส่อื สิทธมิ นุษยชน สิทธผิ ู้บรโิ ภค ความเป็น พลเมอื งในสงั คมประชาธปิ ไตย และกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ ง สามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้และใชส้ อื่ เป็นเครื่องในการ แสดงออกทางความคิด แก้ปญั หาและสรา้ งการเปลี่ยนแปลงเชงิ บวกตอ่ สงั คม และทส่ี ำคญั สามารถเสนอ แนวทางในการใช้สอ่ื ใหค้ ำแนะนำเรื่องการบริหารเวลา การใช้สื่อและเทคโนโลยเี พื่อตรวจสอบและสรา้ งการ เปล่ียนแปลงท่ีดใี ห้เกิดข้นึ ในสังคมให้กับบคุ คลอื่นได้ (สถาบนั ส่อื เดก็ และเยาวชน, 2561) งานวิจยั เร่ืองการพัฒนาพัฒนาตัวบ่งช้ีการร้เู ท่าทนั สอ่ื สารสนเทศ และดิจทิ ัล (MIDL) ระดับบคุ คลเพอื่ สง่ เสรมิ ความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยในระดบั ประถมศึกษา ภายใตก้ ารสนับสนุนของ สถาบันส่ือ เด็กและเยาวชน (สสย.) ของดร. เรวณี ชยั เชาวรัตน์ และดร. นนทสรวง กลีบผง้ึ (2560) สำรวจข้อมลู จากเด็ก นักเรียนระดับประถมศึกษาอายุระหว่าง 7-12 ปี จำนวน 80 คน และผู้ปกครองและครูผู้สอนเด็กวัย ประถมศึกษา จำนวน 91 คน พบว่า เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา อายุระหว่าง 7-12 ปี โดยส่วนใหญ่มี สมารท์ โฟนเป็นของตัวเอง และมักเข้าถงึ สื่อ สารสนเทศ และดิจิตอลเมื่ออยูท่ ีบ่ ้าน เด็ก..มีแนวโนม้ ทีจ่ ะใช้ส่ือ เทคโนโลยี และดิจิทัล สื่อมากทีส่ ดุ ในชว่ งเวลา 18.00-20.00 น. ในวนั ธรรมดา และชว่ งเวลา 8.00-12.00 และ 13.00-16.00 น. และมกี ารใช้งานประมาณ 1-3 ช่ัวโมงต่อวัน เดก็ ส่วนใหญ่ใหข้ อ้ มลู วา่ ตนเองใชเ้ วลาไปกบั การ 22
เล่นเกมออนไลน์ อันดับรองลงมาคือการฟังเพลงออนไลนแ์ ละการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย โดยสื่อโซเชียลมีเดยี ท่ี ได้รับความนิยม สำหรับเด็กช่วงวัยดังกล่าว ได้แก่ยูทูป เฟสบุ๊กและไลน์ ตามลำดับ นอกจากนี้ผลการวิจยั พบว่าผู้ปกครองและครมู คี วามเข้าใจเก่ียวกับพฤติกรรมการใช้สือ่ เทคโนโลยี และดิจิทลั ของ แตกต่างไปจาก พฤติกรรมการใช้งานจริง กล่าวคอื ผู้ใหญ่มีความเข้าใจว่าเดก็ มีกิจกรรมการใช้ส่ือสงั คมออนไลน์ที่หลากหลาย เชน่ การติดตามขา่ วสาร การสร้างเน้อื หา การสนทนา และการไลคแ์ ละแชรข์ ้อมูล ในขณะทเ่ี ด็กให้ขอ้ มลู ว่าตน เองมีแนวโน้มที่จะใช้สื่อสังคมออนไลน์เพียงเพื่อไลค์ แชร์ และ ‘ส่อง’ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองและครูต่าง ตระหนักว่าการให้เด็กครอบครองสมาร์ทโฟนเป็นของตนเอง การมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายที่บ้าน การไม่ได้กำหนดระยะเวลาการใช้ และการขาดวินยั ในการใชส้ ่ือ มผี ลต่อพฤติกรรมการใชส้ ือ่ สารสนเทศ และ เทคโนโลยีดิจิทัลของเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา งานวิจัยชิ้นนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริม สมรรถนะการใช้สื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลเพื่อ ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยประถมศึกษา เนื่องจาก ผู้ปกครองมีแนวโนม้ ที่จะติดต่อสือ่ สารผ่านบุตรหลานผา่ น โทรศัพท์มือถือและสื่อสงั คมออนไลน์ประเภทต่างๆ ขณะเดียวกันเดก็ กลุ่มดังกล่าวมพี ฤติกรรมการใชส้ ื่อและ เทคโนโลยีในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการ ถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) เข้าถึงสื่อและเน้ือหาที่ไม่เหมาะสม หรือตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อและกลไก การตลาดประเภทต่างๆ โดยเสนอให้มีการส่งเสริมสมรรถนะการใช้สือ่ สารสนเทศ และดิจทิ ัลเพื่อ ความเป็น พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยใน 4 ด้านคือ4 ด้านคือ (1) การเขา้ ถงึ สื่อ สารสนเทศ และใช้เทคโนโลยีอยา่ ง ปลอดภัย (Access) (2) การวิเคราะห์ วิพากษ์และประเมินสื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจิทัล (Analyze and Evaluate) (3) การสร้างสรรค์เนื้อหาและขอ้ มูลสารสนเทศ (Create) (4) การประยุกต์ใช้และสร้างการ เปลี่ยนแปลง (Reflect and Act) (สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน และเครือข่ายการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง ประชาธปิ ไตย (2559) ซึ่งสมรรถนะดังกล่าวจะชว่ ยส่งเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ วิพากษ์ และการ ประเมนิ สอื่ ความสามารถในการสร้างสรรคเ์ นอ้ื หาและขอ้ มูลสารสนเทศโดยใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ในฐานะผู้ผลิต เพ่ือการสื่อสารและ สร้างการเปล่ยี นแปลงในสังคมได้อย่างเหมาะสม เปน็ ผู้รูเ้ ท่าทนั และ มคี ณุ ลกั ษณะพลเมอื ง ที่พึงประสงค์ ตลอดจนลดความเสี่ยงหรือผลกระทบที่จะเกิดจากการการใช้สื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยี ดิจิทลั บทบาทของผู้ปกครองในการใช้และการกำกบั การใช้งานสือ่ และเทคโนโลยีของเด็ก งานวิจัยที่ศึกษาผลกระทบสื่อควบคู่การประเมินพัฒนาการยังคงมีจำกัดโดยเฉพาะในประเทศไทย รองศาสตราจารย์ ดร. อุษา บิ๊กกน้ิ ส์ (สำนักขา่ วอิสรา, 2556) ศึกษางานวิจัยส่อื กับเดก็ ย้อนหลงั เป็นระยะเวลา 10 ปี ระบุว่าโดยสว่ นใหญ่การศึกษาวิจัยในเรื่องดังกลา่ วจัดทำโดยสถาบันการศึกษาที่มีการจัดการเรยี นการ สอนดา้ นนเิ ทศศาสตร์ หน่วยงานทดี่ ำเนนิ งานด้านการสง่ เสรมิ การใชส้ ื่อในกลุ่มเด็กและเยาวชน หนว่ ยงานที่ให้ การสนับสนุนทุนวิจัย และกลุ่มนักวิชาการอิสระ การศึกษาโดยส่วนมากเป็นการศึกษาบทบาทหน้าที่ของ สอ่ื มวลชน รูปแบบและวิธกี ารสื่อสารของส่อื มวลชน การรบั รแู้ ละเรยี นรู้ของผู้รบั สาร พฤตกิ รรมผรู้ ับสาร และ การสำรวจอิทธิพลของสื่อประเภทต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของเดก็ เช่น การเลียนแบบ ความก้าวร้าวและ 23
รนุ แรง เป็นต้น โดยเปน็ การประยกุ ตแ์ นวคิดทฤษฎที เ่ี กี่ยวขอ้ ง อาทเิ ช่น ทฤษฎเี ข็มฉีดยา (Hypodemic/Bullet Theory) ทฤษฎีการเลือกรับ เลือกรับรู้และเลือกจดจำ (Selective Exposure, Perception, Retention) ทฤษฎีการกำหนดวาระทางสังคม (Agenda Setting Theory) ทฤษฎีกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization Theory) ทฤษฎีการปลูกฝังทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่อของสื่อ (Cultivation Theory) ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจ (Uses and Gratification) ทฤษฎีการเลียนแบบและอทิ ธิพลของ สื่อมวลชนที่มีต่อพฤติกรรม ซึ่งส่วนมากเป็นแนวคิดทฤษฎีในกลุ่มของนิเทศศาสตร์ อย่างไรก็ตาม รอง ศาสตราจารย์ ดร. อุษา บ๊กิ กิน้ ส์ ระบวุ า่ ควรมกี ารใชท้ ฤษฎใี หมๆ่ เกยี่ วกบั บทบาทของส่อื ใหม่ๆ พฤตกิ รรมการ ใชส้ ื่อและผลกระทบส่อื และสอ่ื โซเชียลหรอื สอื่ ใหม่อื่นๆ เน่ืองจากสถานการณ์ปจั จุบนั สง่ ผลต่อพฤติกรรมการ เลน่ เกมและการเสพติดเกมคอมพวิ เตอรห์ รอื เกมออนไลน์ในเด็กและเยาวชน รวมถึงเสนอแนะวา่ ประเดน็ วิจยั ที่ ควรศึกษาเพ่ิมเตมิ ได้แก่ บทบาทเดก็ และเยาวชนในฐานะผู้สร้างสารโดยเฉพาะในสือ่ โซเชียล ผลกระทบของ การสื่อสารในด้านพฤติกรรมที่มากกว่าการศึกษาวิจัยเรื่องการรับรู้และทัศนคตขิ องเด็กและเยาวชน รวมถงึ ขยายกลมุ่ เป้าหมายในการศึกษาไปในกลุม่ เด็กออทสิ ตกิ เดก็ ด้อยโอกาส เดก็ ชาติพันธ์ุ เป็นต้น งานวจิ ยั ช้ินน้ีจึง เป็นประโยชนอ์ ย่างยิ่งในอธิบายความสัมพันธข์ องปจั จัยทเี่ ป็นสาเหตแุ ละเก่ียวขอ้ งกบั พฤติกรรมเส่ียงในการใช้ สื่อของเด็กอายุ 0-13 ปี ซึง่ จะเป็นประโยชนใ์ นการอธบิ ายสถานการณค์ วามรุนแรงของปัญหา สาเหตุ ตลอดจน เสนอแนวทางในการสง่ เสรมิ ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาดังกลา่ ว งานวิจัยหลายชิ้นระบุถึงความสำคัญเกี่ยวกบั บทบาทของผู้ปกครองในการใช้เทคโนโลยีของเดก็ และ เยาวชน ดังนี้ อลิสรา หล่อสมบูรณ์ (2560) ได้ศึกษาบทบาทของผู้ปกครองในการใช้เทคโนโลยีและสื่อ ปฏิสัมพนั ธ์ กับเด็กวัยอนบุ าลในโรงเรียนสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน เขตคลองเตย โดยแบ่งการศกึ ษาออกเปน็ 2 ด้าน คอื ดา้ นการมีส่วนร่วมในการใชส้ ่ือ และ ด้านการเฝา้ ระวงั ในการ ใช้สอ่ื ซ่ึง ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ งเป็นผูป้ กครองเด็กนกั เรยี นชัน้ อนุบาล 1-3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 169 คน ผู้ การวิจยั พบวา่ ผปู้ กครองมบี ทบาทในการใช้เทคโนโลยแี ละสอื่ ปฏสิ ัมพนั ธ์กบั เด็กวัย อนุบาลโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก โดยด้านการมีสว่ นร่วมในการใชส้ ื่อมีค่าเฉลี่ยสูงสดุ ทำให้เห็นว่า ผู้ปกครองให้ความสำคญั กับการ สอนมากกว่าการเป็นตัวอย่างในการใช้สื่อ ส่วนด้านการเฝ้าระวัง พบว่า ผู้ปครองมีบทบาทในการใช้อิสระ ภายใต้การดูแลอยใู่ นรดบั มาก และพบว่าเด็กมกี ารใช้ สอ่ื อยา่ งอสิ ระภายใตข้ อ้ ตกลงมคี ่าเฉลีย่ สงู สดุ ซ่งึ ช้ใี ห้เห็น วา่ พอ่ แมใ่ หค้ วามสำคัญกบั การใช้ขอ้ ตกลง ในการดูแลเด็กมากกว่าการดูแลเดก็ โดยให้อยใู่ นสายตา อัจฉรา วงศ์ชัยอุดมโชค (2560) ได้ศึกษาบทบาทของผู้ปกครองในการใช้เทคโนโลยีและส่ือ ปฏิสัมพันธ์กับเดก็ วัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพ เขตคลองเตย โดยแบ่ง การศึกษาออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการใช้สื่อ และ ด้านการเฝ้าระวังในการ ใช้สื่อ แบ่งกลมุ่ ตวั อยา่ งเป็นผู้ปกครองชั้นอนบุ าล จำนวน 114 คน ซึง่ ผลการวจิ ยั พบวา่ บทบาทของ ผปู้ กครองมีการให้ความรู้ ในการสื่อแก่เด็กสูงสุด และพบว่าบทบาทการให้ความร้ขู องผู้ปกครองในด้าน การเป็นแบบอยา่ งในการเลอื กชม รายการทใ่ี หส้ าระอยใู่ นระดับนอ้ ยสุด ซง่ึ ทำให้เหน็ ว่าครอบครัว ส่วนใหญใ่ ช้สอ่ื ดิจิทัลในความบันเทิงมากกว่า การหาความรู้ สรปุ ได้วา่ ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในใช้ส่ือดิจิทัลของเด็ก และมกี ารให้อิสระกบั เดก็ ในการ ใช้ สอ่ื ดจิ ิทลั มากโดยไมไ่ ดต้ ดิ ตามดูแล 24
ราณี วงศ์คงเดช อดศิ ร วงศ์คงเดช และ วสิษฐพ์ ล กูลพรม (2561) ไดศ้ กึ ษาพฤตกิ รรมการใช้ส่อื ของ เด็กยุคศตวรรษที่ 21 ในช้นั ประถมศกึ ษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนตน้ ของจังหวดั มหาสารคาม จำนวน 60 คน พบว่ากว่ารอ้ ยละ 53 ของเดก็ ผชู้ ายใช้เวลาว่างไปกบั การเลน่ เกมส์ เฟสบ๊คุ และดู โทรทัศน์ ทุกครอบครวั มโี ทรศัพท์มือถืออยา่ งนอ้ ย 1 เครื่อง โดยร้อยละ 90 ยอมรบั ว่าตดิ เกมส์ และกวา่ รอ้ ยละ 63 พบว่าไมท่ ราบว่า รหสั อีเมล์ต้องเก็บเป็นความลบั สรุปไดว้ ่าแม้จะเป็นพ้ืนท่ีของชานเมอื ง แต่การเข้าถงึ ยงั สามารถเข้าถึงได้ และ ทักษะการใชส้ ื่อ ยังคงมีไมม่ ากเพยี งพอจงึ ต้องสง่ เสรมิ พรี วิชญ์ คำเจรญิ และ วรี พงษ์ พลนิกรกจิ (2561) ไดศ้ กึ ษาเด็กกบั การรเู้ ทา่ ทันดิจทิ ัลไว้ว่า การใช้สื่อ ดจิ ทิ ัลและเยาวชนทั้งในไทยและต่างประเทศมีการใช้งานสูงขึ้น และมีการประโยชนจ์ ากการใช้ส่ือ เพื่ออำนวย ความสะดวกในดา้ นต่างๆ แต่อาจกอ่ ให้เกิดปญั หาทางสงั คมได้หากขาดทักษะการรู้เทา่ ทนั สอ่ื ดจิ ิทลั และปญั หา ที่เกดิ ขึ้นสง่ ผลมาจากการขาดการดแู ลเอาใจใสเ่ ล้ียงดู อบรมและใหค้ ำแนะนำใน การใชส้ ่อื ดิจทิ ัลอย่างปลอดภัย จากพ่อแมผ่ ปู้ กครอง สรปุ ไดว้ า่ เด็กและเยาวชนมกี ารใชง้ านส่อื ดจิ ทิ ัลสงู ขนึ้ เพอื่ อำนวยความสะดวกในด้าน ต่างๆ และตอ้ งอาศัยการดแู ลเอาใจใส่ ใหค้ ำแนะนำกบั เดก็ เพื่อลดการเกดิ ปัญหาทางสังคมท่ีจะเกิดขึ้น ชชั ฎา อัครศรีสร นากาโอคะ และ กฤชณทั แสนทวี (2562) ไดศ้ กึ ษาปัจจยั ทมี่ อี ิทธพิ ลต่อการรู้ เท่า ทนั ข้อมูลและสื่อดิจทิ ลั ของเยาวชนในเขตกรงุ เทพมหานคร จำนวน 400 คน จากการสมุ่ พบวา่ พฤตกิ รรม 3 อนั ดับทีเ่ ยาวชนใชส้ ือ่ มากทสี่ ุด คือ ดคู ลปิ วิดีโอ สง่ ข้อความพูดคุย และ เลน่ เกมออนไลน์ สว่ นของการตระหนกั รู้ทกั ษะการรเู้ ทา่ ทนั ส่ือและขอ้ มลู อยใู่ นระดับมาก สรปุ ได้ว่า เยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร มกี ารใชส้ อ่ื สำหรบั ดูคลิปวิดีโอ สง่ ข้อความพูดคยุ และเลน่ เกมออนไลน์ เป็น 3 อนั ดบั แรก และมีทกั ษะการรู้เท่าทนั สอ่ื ฐานติ า ไชยนนั ทน์ (2560) ศกึ ษาพฤติกรรมการใชส้ ือ่ อนิ เทอรเ์ น็ตของเด็กนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษา ปี ที่ 3 ในเขตกรงุ เทพมหานคร จำนวน 435 คน พบวา่ กลมุ่ ตัวอยา่ งทศี่ กึ ษามจี ำนวนการใช้ อินเทอรเ์ นต็ 12 ช่วั โมงตอ่ สปั ดาห์ และระยะเวลาในการใช้ต่อวนั คอื 2 ชั่วโมง และพบว่ามีความ สอดคลอ้ งกบั ความสมั พนั ธ์ ระยะเวลาการใชง้ านอนิ เทอรเ์ นต็ ของผูด้ ูแลหลกั รวมถึงการกำหนดการใช้ อนิ เทอร์เน็ต และระยะเวลาทผี่ ดู้ ูแล หลกั กำหนดให้เดก็ ใช้อินเทอรเ์ น็ต สรปุ ได้วา่ ผ้ดู แู ลหลกั มีความสำคญั ต่อการใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็ ของเดก็ ดงั นัน้ ผู้ดูแลหลกั ควร มคี วามรแู้ ละทกั ษะในการใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั อภิรพี เศรษฐรักษ์ ตนั เจรญิ วงศ์, ศรรี ัฐ ภักดีรณชิต และ ญาณวฒุ ิ เศวตธิติกุล (2561) ศึกษา พฤตกิ รรม การใช้หน้าจอของเดก็ ไทยวัย 0-3 ปี ในเขตกรงุ เทพมหานคร โดยเลอื กกลมุ่ ตวั อย่าง แบบเจาะจงทม่ี หี นา้ ที่หลัก ในการเล้ยี งดเู ด็กเลก็ พบว่า เดก็ วัย 0-3 ปี รอ้ ยละ 60.8 เคยดโู ทรทศั น์ และเฉลี่ยในการดูท่ีครง้ั ละ 36.84 นาที และรอ้ ยละ 63.4 เคยใช้สมารท์ โฟนหรือแทบ็ เล็ต ซง่ึ จากการ ศึกษาไดพ้ บวา่ เด็กทอ่ี ยูก่ บั ปยู่ า่ ตายายและญาตมิ ี การใชแ้ ท็บเล็ตและสมารท์ โฟนสงู สดุ สรุปไดจ้ ากผลการศกึ ษาสามารถเป็นพน้ื ฐานความรู้ให้ผู้ดูแลควรรบั รู้และ ป้องกัน การรบั ข้อมลู สอ่ื ดจิ ทิ ลั มากเกนิ ไป และควรใช้เวลากบั บุตรหลานใหม้ ากข้นึ 25
การประเมินผลกระทบ ความเส่ียง และการใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ และเทคโนโลยอี อนไลน์ EU Kids Online (2010) เป็นโครงการความร่วมมอื ระหวา่ งนกั วิจัยจากหลากหลายประเทศที่ ดำเนนิ การ ในปี 2006-2009 มีวัตถุประสงคใ์ นการดำเนินงานตามแผนการเสรมิ สร้างความรู้ Safer Internet plus Program ในปี 2008 เพ่อื ยกระดบั ความร้ขู องผปู้ กครองและเด็กเกี่ยวกับความเสย่ี งและการใช้ อนิ เทอร์เนต็ และเทคโนโลยอี อนไลนใ์ หม่อย่างปลอดภยั ในทวีปยโุ รป และเพ่ือสง่ เสรมิ สภาพแวดล้อมออนไลนท์ ่ี ปลอดภัยสำหรบั เดก็ โดยทำการสำรวจการใชส้ อ่ื ใหม่ของเดก็ อายุ 11-16 ปี ใน 25 ประเทศในแถบยุโรป เพ่ือ เปรียบเทยี บผลการวจิ ัยระหวา่ งสมาชกิ วจิ ัยและเสนอแนวทางการสง่ เสรมิ การรเู้ ทา่ ทนั ส่ือและปอ้ งกนั ความ เสยี่ งดา้ นเทคโนโลยี การเกบ็ ขอ้ มลู แบง่ เปน็ 3 สว่ น ส่วนท่ี 1 ผเู้ ก็บขอ้ มลู เปน็ ผสู้ มั ภาษณเ์ ด็กและกรอกขอ้ มลู ในแบบสำรวจ ขอ้ คำถามครอบคลุม ประเดน็ เกีย่ วกบั รปู แบบการใช้อินเทอร์เน็ทของเดก็ กิจกรรมทที่ ำออนไลน์ ทักษะด้านดจิ ทิ ลั การรบั ร้ขู อง ผูป้ กครอง ครหู รอื ผูด้ แู ละเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมเสยี่ งออนไลน์ ตวั อยา่ งขอ้ คำถามได้แก่ (1) คุณใช้อปุ กรณใ์ ดต่อไปน้ี บ้างในการทำกจิ กรรมบนอินเทอรเ์ น็ท? เชน่ คอมพิวเตอร์ของตนเอง คอมพวิ เตอร์สำหรบั พกพาของตนเอง (Laptop) คอมพิวเตอรท์ ี่ใช้รว่ มกันกบั สมาชกิ ในครอบครวั คอมพวิ เตอรส์ ำหรบั พกพาใช้รว่ มกนั กบั สมาชกิ ใน ครอบครัว (Laptop) โทรศพั ทม์ ือถอื อุปกรณ์เลน่ เกม โทรทัศน์ อุปกรณพ์ กพาอ่นื ๆ (2) คุณใชอ้ ินเทอร์เนท็ ในสถานทใ่ี ดบ้าง? เช่น หอ้ งนอน หอ้ งนง่ั เลน่ โรงเรยี น ร้านอินเทอร์เนท็ หอ้ งสมดุ สถานทสี่ าธารณะ บ้านเพื่อน บ้านญาติ โดยมตี ัวเลอื กคอื ใช่และไมใ่ ช่ (3) คณุ อายุเท่าไหร่ตอนใชอ้ นิ เทอร์เนต็ คร้ังแรก? (4) คณุ ใช้ อินเตอรเ์ น็ทบอ่ ยเพยี งใด โดยมีตวั เลือกคือ ทกุ วนั หรอื เกือบทกุ วนั 1-2 ครัง้ ตอ่ สัปดาห์ 1-2 ครั้งตอ่ เดือน นอ้ ย กวา่ 1 ครง้ั ต่อเดอื น (5) คุณใช้อินเทอรเ์ น็ตนานเท่าไหร่? มตี ัวเลอื กคือ ไมก่ น่ี าที 30 นาที 1ชม. 1.30ชม. 2ชม. 2.30ชม. 3ชม. 3.30 ชม. 4ชม. มากกวา่ 4 ชม. ไมใ่ ช้เลย (6) คุณใช้อินเทอรเ์ นต็ เพอ่ื ทำกจิ กรรมใดบา้ ง? มี ตัวเลอื กคือใชเ้ พอ่ื ทำการบา้ น ดวู ดิ ีโอคลิป เช่น ยทู ูป ดาวน์โหลดเพลงหรือภาพยนตร์ อา่ นหรือรบั ชมข่าว (7) คุณมีบญั ชใี นเครอื ข่ายสังคมออนไลนห์ รือไม่? และคุณมบี ญั ชีมากกวา่ 1 บญั ชหี รอื ไม่? (8) คณุ ใชเ้ ครอื ขา่ ย สังคมออนไลน์ใดบา้ ง? (9) คณุ ตงั้ คา่ บัญชลี ักษณะใดในบญั ชเี ครือขา่ ยสังคมออนไลน์? มตี ัวเลือกไดแ้ ก่ ตั้งคา่ เป็น สาธารณะทีท่ กุ คนสามารถเหน็ ได้ ตง้ั คา่ เปน็ สว่ นตัวที่อนญุ าตใหก้ ลมุ่ เพอื่ นและเครือข่ายของคณุ เหน็ ได้ และตงั้ คา่ เปน็ สว่ นตวั ท่อี นญุ าตเฉพาะกลุ่มเพือ่ นเท่านัน้ (10) คุณมรี ายละเอียดหรอื ไม่? ไดแ้ ก่ รปู หน้าคุณ นามสกุล ที่ อยู่ เบอรโ์ ทรศพั ท์ ชือ่ โรงเรยี น อายุจรงิ ในบัญชีเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ สว่ นท่ี 2 เป็นสว่ นทจี่ ัดทำเพอ่ื ใหเ้ ดก็ เปน็ ผูต้ อบดว้ ยตนเองโดยมีผปู้ กครอง ครหู รือผ้ดู ูแลคอยให้ คำแนะนำ ขอ้ คำถามในสว่ นนอี้ อกแบบเปน็ 2 ชุด สำหรบั เด็กอายุ 9-10 ปี ที่มีขอ้ ความอยา่ งง่าย และสำหรบั เดก็ อายุ 11-16 ปี ทมี่ ีข้อคำถามทีม่ ีความซบั ซอ้ นมากขนึ้ ขอ้ คำถามครอบคลุมเก่ียวกบั ปัจจัยทางจิตวิทยา กิจกรรมเสยี่ งออนไลน์ ประสบการณเ์ ก่ียวกบั ความเส่ียงออนไลน์ การจัดการกับความเสี่ยงออนไลน์ ตัวอย่างขอ้ คำถาม ไดแ้ ก่ (11) คณุ ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตเพอ่ื ทำกจิ กรรมต่อไปนี้บนอนิ เทอรเ์ นต็ กบั บุคคลทีค่ ุณรูจ้ กั และเคยพบ บคุ คลทค่ี ุณเพง่ิ รจู้ ักบนอินเทอรเ์ นต็ แต่เป็นคนทค่ี รอบครวั หรอื เพอ่ื นคุณรจู้ กั อยแู่ ล้ว และบุคคลที่คณุ เพง่ิ รจู้ กั บน อินเทอรเ์ น็ตแต่ไมม่ กี ารติดต่อหรือเกี่ยวข้องกบั ชวี ิตคุณนอกเหนอื จากในอินเทอรเ์ น็ตบอ่ ยเพียงใด? ไดแ้ ก่ เข้า ชมบญั ชเี ครอื ข่ายสงั คมออนไลน์ แชทกบั ผ้อู ื่น (Chat) สง่ ขอ้ ความโต้ตอบ (Instant message) เล่นเกมกับผู้อืน่ 26
ใช้เวลาอยู่ในโลกเสมือนจริง โดยมตี ัวเลือกเป็นทุกวนั หรือเกือบทกุ วัน 1-2 ครง้ั ตอ่ สปั ดาห์ 1-2 ครง้ั ต่อเดอื น (12) คุณเคยทำกิจกรรมต่อไปนหี้ รอื ไม่? ได้แก่ อเี มล แชท (Chat) สง่ ขอ้ ความโตต้ อบ (Instant message) เล่น เกมกบั ผอู้ น่ื ใช้เวลาอยู่ในโลกเสมือนจรงิ โดยมีตวั เลอื กคอื ใชแ่ ละไม่ใช่ (13) คณุ ทำกจิ กรรมเหล่านีบ้ น อินเทอรเ์ น็ตบ่อยเพยี งใด? ได้แก่ ใช้กล้องเพอ่ื สอ่ื สารแบบเหน็ หน้า (Web Camera) การโพสข้อความบน เวบ็ ไซต์ การเขียนบลอ็ ก การแบง่ ปนั รปู ภาพ วิดีโอหรอื เพลงกับผอู้ น่ื การสร้างสญั ลกั ษณ์แสดงตน (Avatar) โดย มตี ัวเลอื กเปน็ ทุกวนั หรือเกือบทกุ วนั 1-2 ครั้งต่อสปั ดาห์ 1-2 ครงั้ ตอ่ เดือน (13) คณุ เห็นด้วยกบั ขอ้ ความ ตอ่ ไปน้ีหรอื ไม่? ได้แก่ ฉันรู้เร่อื งเกยี่ วกบั อินเทอรเ์ นต็ มากกว่าผู้ปกครอง ฉนั รหู้ ลายอย่างเก่ยี วกบั อินเทอร์เนต็ มี หลายเร่ืองบนอินเทอร์เน็ตที่ดีสำหรบั เด็กอายุเท่าฉัน คุณสามารถเปรียบเทยี บเวบ็ ไซต์เพอื่ ระบุวา่ ขอ้ ความใดท่ี ถกู ต้อง บันทกึ เว็บไซตท์ คี่ ุณชอบได้ (Bookmark/add to Favorites) บล็อกโฆษณา โฆษณาชวนเชื่อ (Spam) อเี มลขยะ (Junk Mail) ทคี่ ุณไมต่ อ้ งการเปลยี่ นการตงั้ ค่าความเปน็ ส่วนตัวบญั ชเี ครอื ข่ายสังคมออนไลน์ สบื ค้น ข้อมลู เกยี่ วกับการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตอยา่ งปลอดภัย สว่ นที่ 3 ผเู้ กบ็ ขอ้ มลู เป็นผสู้ ัมภาษณ์ผูป้ กครองและกรอกขอ้ มลู ในแบบสำรวจ ขอ้ คำถามครอบคลุม ลักษณะทางประชากรศาสตรแ์ ละการใช้อนิ เทอร์เนต็ รปู แบบการใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตของผปู้ กครอง การใช้ อินเทอรเ์ นต็ ของเด็กและความเส่ียงออนไลน์ และการจัดการกบั ความเส่ียงออนไลนข์ องเดก็ ตัวอย่างข้อคำถาม ได้แก่ (14) คณุ คิดว่าผ้ปู กครองรหู้ รือไม่ว่าคุณทำกจิ กรรมอะไรบา้ งบนอนิ เทอรเ์ นต็ ? (15) คณุ อยากให้ผปู้ กครอง สนใจกจิ กรรมทคี่ ุณทำบนอนิ เทอร์เน็ตมากขึ้น เท่าเดิม หรอื นอ้ ยกวา่ เดมิ ? (16) คณุ ทำกจิ กรรมเหลา่ นีก้ บั ครอบครัวหรอื ไม?่ ไดแ้ ก่ พดู คยุ เกยี่ วกับกิจกรรมบนอนิ เทอรเ์ นท็ นง่ั ดว้ ยกันขณะทีค่ ุณใชอ้ นิ เทอร์เน็ต อยใู่ กลๆ้ ขณะทคี่ ณุ ใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ สนับสนนุ ให้คณุ คน้ หาและเรยี นรสู้ ่ิงต่างๆ บนอินเทอรเ์ น็ตด้วยตัวคุณเอง ทำกจิ กรรม รว่ มกนั บนอนิ เทอรเ์ น็ตกบั คุณ โดยมีตัวเลอื กเป็น ใช่และไมใ่ ช่ (17) ผปู้ กครองอนุญาตใหค้ ุณทำสงิ่ ต่อไปน้ี หรอื ไม่? ได้แก่ รับสง่ ขอ้ ความ ดาวโหลด์เพลงหรอื ภาพยนตร์บนอินเทอร์เน็ต ดวู ดิ โี อคลปิ เชน่ ยูทูป ให้คณุ มี บญั ชสี ื่อสังคมออนไลน์ ใหข้ ้อมลู สว่ นตวั เช่น ชอื่ จริง ทอี่ ยู่ หรือเบอรโ์ ทรศัพท์กบั คนอืน่ บนอนิ เทอรเ์ น็ต แบ่งปัน รูปภาพ วดิ ีโอ เพลงกบั ผอู้ ่นื (18) ผปู้ กครองคณุ เคยทำสง่ิ ตอ่ ไปนี้หรอื ไม่? ไดแ้ ก่ ให้ความชว่ ยเหลอื เมอ่ื คณุ ไม่ สามารถหาบางอยา่ งบนอินเทอรเ์ น็ตได้ อธิบายว่าทำไมบางเวบ็ ไซตถ์ ึงดีและไม่ดี ใหค้ ำแนะนำวธิ กี ารใช้ อินเทอรเ์ น็ตทปี่ ลอดภัย ใหค้ ำแนะนำวิธกี ารปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ต้องตอ่ ผอู้ ืน่ บนโลกออนไลน์ ให้ความชว่ ยเหลอื ในอดีต เมื่อมบี างอย่างรบกวนคณุ พูดคยุ กับคุณวา่ คณุ ควรทำอยา่ งไรเมอื่ มีบางอยา่ งบนอนิ เทอรเ์ นต็ รบกวนคณุ หน่วยงาน Common Sense (2017) เป็นองค์กรอิสระทีไ่ ม่แสวงหาผลในประเทศสหรฐั อเมรกิ า มุ่ง ให้ความสำคญั กบั การปกป้องคุ้มครองเด็กจากสอื่ และเทคโนโลยี โดยจดั ทำผลสำรวจเพอ่ื ให้ขอ้ มลู กับผปู้ กครอง ครู ตลอดจนผู้กำหนดนโยบาย Common Sense เริ่มศึกษาเรื่องการใช้สื่อของเด็กอายุ 0-8 ปีในประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในปี 2554 โดยสำรวจอายุ ความถี่และความสามารถในการใช้สื่อของเด็กทั้งสื่อ ประเภทหนงั สือ สมารท์ โฟน แทบ็ เล็ต และสถานการณท์ ่ีผ้ปู กครองอนญุ าตให้เดก็ ใชอ้ ปุ กรณพ์ กพา (Common Sense, 2017) ตัวอย่างคำถามในการสำรวจได้แก่ (อ้างถึงใน Kabali, H. K., Irigoyen, M. M., Nunez- Davis, R., Budacki, J. G., Mohanty, S. H., Leister, K. P., and Bonner, R. L., 2015) (1) ลูกของคุณมี อายเุ ท่าไหร่ ในขณะท่ีทำกจิ กรรมตา่ งๆ ผ่านอปุ กรณ์พกพาเปน็ ครัง้ แรก? ลูกของคณุ ต้องการความชว่ ยเหลอื ใน 27
การใช้อุปกรณ์พกพาหรือไม่? (2) ลูกของคุณต้องการใช้อุปกรณ์พกพามากกว่าหนึ่งประเภทในเวลาเดียว หรือไม่? โดยมีตัวเลอื กไดแ้ ก่ ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ บางคร้งั และ ไมเ่ คย (3) ลกู ของคุณดูโทรทศั น์ เล่นวิดีโอ เกม ใชค้ อมพวิ เตอรเ์ พือ่ ดูวิดีโอหรือรายการโทรทศั น์ และใชแ้ อพลิเคช่นั ในอปุ กรณพ์ กพาบอ่ ยเพยี งใด? โดยมี ตวั เลอื กไดแ้ ก่ วนั ละหลายครัง้ วันละคร้ัง หลายครัง้ ต่อสปั ดาห์ สัปดาห์ละคร้งั น้อยกว่าหนึ่งคร้ังต่อสัปดาห์ และไมเ่ คย (4) เม่ือวานนีล้ ูกของคณุ ใชเ้ วลาในการดูโทรทศั น์ เลน่ เกม และดูวดิ ีโอหรือรายการโทรทัศน์หรือใช้ แอพลิเคชั่นบนอุปกรณ์พกพาโดยลำพังเป็นระยะเวลานานเพียงใด? โดยมีตัวเลือกได้แก่ ไม่มี น้อยกว่า 30 นาที ประมาณ 30 นาที ประมาณ 1 ชั่วโมง และมากกว่าหน่ึงชั่วโมง โดย Kabali, H. K., Irigoyen, M. M., Nunez-Davis, R., Budacki, J. G., Mohanty, S. H., Leister, K. P., and Bonner, R. L. (2015) ได้ประยุกต์ แบบประเมินนีใ้ นงานวจิ ยั เช่นกัน โดยปรับปรุงตัวเลือกของขอ้ คำถามดังกล่าวใหม่และกำหนดคำตอบเป็นนาที ท่ีตอ่ เนื่องกัน ดังน้ี 0 นาที นอ้ ยกวา่ 30 นาที 15 นาที 30 นาที 60 นาที และ90 นาที (อา้ งถงึ ใน Rideout, V., Saphir, M., Pai, S. et al., 2014) (5) คุณให้เด็กใช้อุปกรณ์พกพาในขณะที่คุณต้องทำธุระ ทำงานบ้าน เพื่อทำให้เด็กสงบในที่สาธารณะ เพือ่ นำเด็กเข้านอนบ่อยเพียงใด? โดยมีตัวเลือกได้แก่ สม่ำเสมอ บางครัง้ แทบจะไม่ และไม่เคย (6) คุณดาวโหลด์แอพลิเคชัน่ เพ่ือลูกเป็นจำนวนเท่าไหร่? โปรดระบุชื่อแอพลิเคชั่นท่ีใช้ บ่อยตามประเภทของแอพลิเคชั่น เช่น สำหรับการศึกษา สำหรับการบันเทิง สำหรับการเผยแพร่เนื้อหา รายการประเภทต่างๆ หน่วยงาน Ofcom (2018) เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอังกฤษ เพื่อให้บริการและ กำกับดูแลด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม Ofcom ทำการสำรวจ ทศั นคตแิ ละการใช้สอื่ ของผูป้ กครองในปี 2018 เพือ่ ศึกษาการถงึ และการใช้ส่อื ของเดก็ อายุ 3-4 ปี ทัศนคติใน การใช้สอื่ ของเด็กอายุ 5-15 ปี รวมถึงศกึ ษาขอ้ มูลเกย่ี วกบั มุมมองของผูป้ กครองทมี่ ีต่อการใช้ส่ือของเด็กและ วธิ กี ารท่ีผู้ปกครองติดตามหรอื กำกับการใชส้ ือ่ ประเภทตา่ งๆ ของเด็ก ซึ่งเป็นส่วนหนง่ึ ในความรับผิดชอบด้าน การสง่ เสริมการรเู้ ท่าทันส่ือตามพระราชบัญญตั กิ ารสื่อสาร ป2ี 013 สำรวจนีค้ รอบคลมุ การเข้าถงึ อินเทอร์เน็ต อปุ กรณเ์ คลือ่ นที่ และสื่อประเภทต่างๆ ข้อคำถามในการสำรวจครัง้ น้ี เชน่ อายุท่เี ริม่ ใช้ส่ือประเภทตา่ งๆ การ ใช้สื่อสังคมออนไลน์และการสร้างบัญชีในสื่อโซเชียล ความถี่ ระยะเวลา และการรับชมเนื้อหารายการสอื่ ประเภทต่างๆ เช่น โทรทัศน์ ส่อื โฆษณาทางโทรทัศน์และส่ือโฆษณาออนไลน์ ยทู ูป เนท็ แฟ็กซ์ (Netflix) และ สื่อโซเชยี ล ประเภทเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจและมผี ลต่อการใช้สือ่ พฤติกรรมการการออนไลน์และการไลฟ์ ความรู้เกย่ี วกบั ธุรกจิ สือ่ เชน่ กูเกลิ้ ยูทูป และบีบซี ี (BBC) และการรบั เงินจากโฆษณา การหารายได้ของวล๊อก เกอร์ (Vlogger) นอกจากนี้ยงั สอบถามเก่ียวกับประสบการณ์เชงิ ลบ พฤตกิ รรมเส่ียง และความปลอดภัยจาก การใช้อินเตอร์เนท็ เช่น การแจ้งครอบครวั หรือรายงานออนไลน์ (Online Reporting) เมื่อเจอเน้ือหาทีไ่ ม่ดี ผ่านสื่อออนไลน์ ประสบการณ์การพบเห็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับเพศ ประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้งออนไลน์ สำหรับผู้ปกครองการวิจัยนี้สอบถามเกี่ยวกับการตระหนักถึงช่วงอายุที่เหมาะสมในการใช้สื่อโซเชียล เช่น อินสตาแกรม สแนปแชท และวอทแอพ ความถี่ในใช้ส่ือและเนื้อหาท่ีเด็กรับชม ประโยชน์และความเส่ียงใน การใช้งานสื่ออนิ เทอร์เนต็ ของเดก็ ความกังวลในการใช้งานโทรศัพทม์ ือถือ เกมและสื่อออนไลน์ วิธีการดูแล และจัดการการใชส้ ือ่ ของเด็ก การตัง้ ค่าบนโทรศัพท์มือถือและแท็บเลต็ เพื่อป้องกันการดาวโหลดแอพลิเคช่ัน 28
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247