Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore business management with digital technology1-10peer

business management with digital technology1-10peer

Published by nirut jorncharoen, 2021-08-09 17:18:35

Description: business management with digital technology1-10peer (พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2564)

Keywords: business,management,digital technology

Search

Read the Text Version

140 สุมิตร สุวรรณ (2561, หน้า 45) ให้ความหมายว่า การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็น กระบวนการที่ประกอบด้วยกิจกรรมการวิเคราะห์และวางแผน การสรรหาคัดเลือก การพัฒนา การประเมินผลการปฏบิ ตั ิงาน และการออกจากงาน หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนสรุปว่า การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการในการจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ ปฏิบัติเกี่ยวกับงานนโยบาย ระเบียบและกรรมวิธีท่ีเกี่ยวกับบุคคลที่ปฏิบัติงานใน องคก์ าร ซงึ่ เปน็ กจิ กรรมท่ดี าเนนิ การเรื่อง การสรรหา การคัดเลือก บรรจุเข้าปฏิบัติงาน การฝึกอบรม และพัฒนา แรงงานสัมพันธ์ การบริหารค่าจ้าง การประเมินผลปฏิบัติงาน และการเลื่อนตาแหน่ง เพื่อให้ทรัพยากรมนษุ ย์มีประสทิ ธิภาพอยตู่ ลอดเวลา จากความหมายของการจัดการทรัพยากรมนุษย์แสดงให้เห็นถึงกระบวนการท่ีมีความสาคัญ ต่อการจัดการธุรกิจโดยเริ่มต้ังแต่กระบวนการวิเคราะห์และวางแผน การสรรหาและคัดเลือก การ พัฒนา การประเมินผลการปฏิบัตงิ าน และการออกจากงานงาน โดยแต่ละกระบวนการมีรายละเอียด ดังน้ี (สุมติ ร สวุ รรณ, 2561, หน้า 45-55) 1. การวิเคราะห์และวางแผน สาหรับการวางแผนกาลังคนถือว่าเป็นกระบวนการขั้นแรกที่ เป็นการออกแบบงานและวิเคราะห์ระบบงานเพื่อพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานด้านกาลังคนเพ่ือ นาไปสู่การกาหนดกลวิธีที่จะได้กาลังคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ท้ังเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยนากลวิธีท่ีได้ไปกาหนดเป็นแผนพัฒนากาลังคนเพื่อเสริมสร้าง ประสิทธิภาพให้กับทรัพยากรมนุษย์ต้ังแต่เริ่มสรรหาไปจนถึงวัยเกษียณท่ีมีคุณภาพ ส่ิงสาคัญท่ีจะทา ให้การออกแบบระบบงานประสบความสาเร็จ คือ ความสมดุลระหว่างปริมาณงานกับผู้ปฏิบัติงานที่มี ความเหมาะสม ในสว่ นน้จี ะรวมถงึ กจิ กรรมการกาหนดลกั ษณะงาน กาหนดคณุ สมบัติของผู้ปฏิบัติงาน กาหนดตาแหน่งงาน หน้าท่ีหลัก หน้าท่ีรอง คุณสมบัติ วุฒิการศึกษา จากประเด็นข่าวที่เห็นใน ปจั จุบันเกี่ยวกับเรื่องเหยียดสถาบันการศึกษาท่ีสาเร็จการศึกษา ผู้เขียนเองไม่ได้สาเร็จการศึกษาจาก สถาบันท่ีติดอันดับต้นของประเทศ แต่ผู้เขียนมองว่าการทางานสามารถเรียนรู้ได้ สิ่งสาคัญกว่า สถาบันการศึกษา คอื ความรับผดิ ชอบในบทบาทหนา้ ท่ี 2. การสรรหาและคัดเลือก เป็นกระบวนการท่ีเริ่มหลังจากวางแผนกาลังคนไปแล้ว กระบวนการสรรหาเป็นการกลั่นกรองเพื่อนาไปสู่กระบวนการคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีคุณสมบัติ วฒุ ิการศกึ ษา ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ ใหม้ าปฏบิ ตั งิ านในตาแหน่งต่าง ๆ ซึ่งจะสังเกต ได้จากการประกาศรับสมัครงานในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังแบบทางการและไม่เป็นทางการ โดยการสรรหา ที่บ่งบอกว่ามีความสมบูรณ์ คือ ควรอธิบายรายละเอียดลักษณะงาน (job description) หรือคาบรรยาย ลักษณะตาแหน่งหน้าท่ี (position description) การประเมินเพ่ือคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์จาก หลักฐาน เช่น เอกสารใบสมัครงาน การสัมภาษณ์ การทดสอบความรู้ความสามารถในหน้าที่ ประวัติ การทางานที่เกี่ยวข้อง บุคคลอ้างอิง การตรวจสุขภาพร่างกาย เป็นต้น สาหรับการคัดเลือกบุคลากร ต้องมาจากหลายกระบวนการ จากประสบการณ์ของผู้เขียนได้พบด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น วิธีการทดสอบความรู้ ความสามารถ เป็นหลกั แต่ส่ิงสาคัญไปกว่านั้น คือ การทดสอบความฉลาดทาง อารมณ์ ดงั นนั้ ควรมองวา่ นอกจากเกง่ แล้วยงั ตอ้ งเปน็ คนดีด้วย  การจดั การธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล

141 3. การพัฒนา เป็นกิจกรรมที่เก่ียวกับการแนะนาเข้าทางานและการปฐมนิเทศ (introduction and orientation) ในข้ันตอนน้ีเป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้บุคลากรใหม่ที่เข้ามาปฏิบัติงาน ได้รับคาแนะนาให้รู้จักกับเพ่ือนร่วมงาน มีความรู้เข้าใจองค์การ เช่น ประวัติความเป็นมา วิสัยทัศน์ พันธกิจ นโยบาย โครงสร้างการบริหาร หน้าที่ความรับผิดชอบ รับรู้เป้าหมาย เป็นต้น การจัดการ ธรุ กจิ ด้านทรัพยากรมนุษย์มีความจาเป็นต้องดาเนินกิจกรรมปฐมนิเทศพนักงานใหม่ เนื่องจากปัญหา ท่พี บกับพนกั งานใหม่ คอื การวิตกกังวลในหลายเรอ่ื ง ไมว่ า่ จะวิตกกังวลในความสามารถในการปฏิบัติ หน้าท่ี แม้แต่ความกังวลในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงาน การปฐมนิเทศพนักงานใหม่ที่มี ประสทิ ธิภาพจะช่วยลดปัญหาเหล่านล้ี งไดใ้ นระดบั หนงึ่ เพอ่ื เป็นจุดเร่ิมต้นท่ีทาให้พนักงานใหม่รู้สึกว่า ไดร้ บั การต้อนรับท่ีอบอุน่ และมเี พือ่ นร่วมงานท่ดี สี ่งผลใหอ้ ย่กู บั องคก์ ารในระยะยาว จากประสบการณ์ ของผ้เู ขียนในการทางานครง้ั แรก ความรู้สึกนั้นยังจดจาได้ดี คือ วิตก กังวลว่าจะไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ไม่มีเพื่อน ซ่ึงอาการเหล่าน้ีจะมีอยู่ในช่วงแรก 6 เดือน เท่านั้น จากน้ันจะเริ่มเข้าสู่ความปกติ พอได้ เร่ิมทางานไปสักระยะ จะมีโอกาสในการพัฒนาตนเอง การฝึกอบรมและการพัฒนา (training and development) เป็นกระบวนการเพ่ิมความสามารถให้กับบุคคลให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีคุณภาพ เพ่ือสร้างความสาเร็จตามเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการฝึกอบรมและพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์สามารถทาได้ตั้งแต่การปฐมนิเทศ ประกอบด้วยข้ันตอนที่เรียกว่า การสารวจความ ต้องการในการพัฒนา จากน้ันนาข้อมูลที่ได้จากการสารวจมาจัดกิจกรรมฝึกอบรมและพัฒนา โดย สามารถดาเนินการฝึกอบรมและพัฒนาได้จากภายในและภายนอกหน่วยงาน การสารวจความ ต้องการในการพัฒนาตนเองจากพนักงาน แล้วนามาจัดกิจกรรมฝึกอบรมพัฒนา และหลังจากการ ฝึกอบรมเสร็จสิ้นควรมีการประเมินผลบุคคลากรท่ีเข้ารับการฝึกอบรมว่ามีความรู้ความเข้าใจหรือ ทักษะท่ีได้ฝึกอบรมมากน้อยเพียงใด ลักษณะคล้ายกับการทดสอบหลังเรียน ซ่ึงเป็นการประเมินผล ทนั ทีหลงั จากฝกึ อบรม 4. การประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นข้ันตอนการเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานของ บุคลากรกับมาตรฐานหรือเป้าหมายท่ีได้พัฒนาขึ้นมาสาหรับตาแหน่งหน้าท่ีของแต่ละบุคคล การ ประเมินผลจะทาให้ทราบผลสะท้อนกลับท่ีเป็นประโยชน์ต่อองค์การ ผลการประเมินจะส่งผลต่อการ ตัดสินใจพิจารณาในประเด็นการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน การโอนย้าย การเลิกจ้าง สาหรับวิธีการ ประเมินผลการปฏิบัติงานมีหลากหลายวิธี เช่น ประเมินผลการปฏิบัติงานโดยผู้บังคับบัญชา ประเมิน โดยกลุ่มของผู้บังคับบัญชา ประเมินโดยกลุ่มบุคลากรระดับเดียวกัน ประเมินโดยผู้ใต้บังคับบัญชา ประเมินตนเอง เป็นต้น การประเมินผลจะส่งผลถึง การโยกย้าย การเลื่อนตาแหน่ง การลดตาแหน่ง (transfer promotion demotion) การที่บุคคลโยกย้ายจากงานหนึ่งไปยังอีกงานหนึ่ง อาจเป็นการ เลื่อนตาแหน่งหรือลดตาแหน่ง ผลท่ีได้รับตามมา คือ เงินเดือนที่เพ่ิมข้ึนหรือเท่าเดิม นอกจากน้ีอาจมี เรอ่ื งอานาจหน้าทีท่ เ่ี พิม่ ขนึ้ ตามมาดว้ ย การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องกระทาด้วยความโปร่งใส เปน็ ธรรม ตรวจสอบได้ มีการกาหนดเกณฑ์การประเมินท่ีชัดเจนสามารถนาไปสู่การสร้างแรงจูงใจใน การปฏิบตั ิงานไดด้ ้วย  การจัดการธรุ กจิ ดา้ นทรัพยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล

142 5. การออกจากงาน กระบวนการนี้มีหลายลักษณะ เช่น การลาออก การปลดออก การไล่ออก การปลดเกษียณ การยุบหน่วยงาน การเสียชีวิต การถูกยกเลิกสัญญา เป็นต้น การพ้นจากงาน ช้ีให้เห็นถึงประสิทธิภาพขององค์การ เช่น จานวนการลาออกจากงานที่มีจานวนมากเป็นข้อมูล ยอ้ นกลบั ให้เห็นวา่ อาจมาจากปจั จัยผลตอบแทนที่ตา่ กวา่ มาตรฐานหรือต่ากว่าความรับผิดชอบที่ได้รับ การปลดออกท่ีเกดิ ขนึ้ บอ่ ยแสดงให้เหน็ วา่ ขาดการประสานงานภายในองค์การ การไล่ออกจานวนมาก แสดงให้เห็นว่าการคัดเลือกหรือการฝึกอบรมที่ไม่ดี หรือแม้แต่การปลดเกษียณมากเกินไปใน ระยะเวลาเดียวกันแสดงให้เหน็ ว่าการจัดการทรัพยากรท่ไี มด่ ีเก่ียวกบั สดั ส่วนอายุของบุคลากร จากการจดั การทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 5 กระบวนการ ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญจึงต้องตระหนัก ว่าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ควรต้ังอยู่บนพ้ืนฐานความยุติธรรม โปร่งใสเป็นระบบ กระบวนการท้ัง 5 ขั้นตอน ซึ่งเป็นกลไกสาคัญท่ีช่วยจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีคุณภาพ ซ่ึง 1 ใน 5 กระบวนการ คือ การฝึกอบรมและการพัฒนาถือว่าเป็นกระบวนการที่สาคัญเมื่อทรัพยากรมนุษย์ได้ ถูกคัดเลือกเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงขององค์การแล้ว การเพ่ิมความสามารถของบุคคลจึงถือว่าเป็น ความสาเร็จอย่างหนง่ึ ทจี่ ะนาพาองคก์ ารบรรลุตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการจัดการ ทรัพยากรมนษุ ย์ แสดงดังภาพที่ 6.1 การวิเคราะห์และวางแผน การสรรหาและคัดเลือก การฝกึ อบรม แนะนาเขา้ ทางานและการ การพัฒนา ปฐมนิเทศ การประเมนิ ผล การเลอื่ นตาแหน่ง การ การปฏบิ ัตงิ าน โยกยา้ ย การลดตาแหนง่ การออกจากงาน ภาพท่ี 6.1 กระบวนการจัดการทรพั ยากรมนุษย์ ท่ีมา (สมุ ิตร สวุ รรณ, 2561, หน้า 45-55; ปราณี อัศวภษู ติ กลุ , 2553, หน้า 86-96)  การจดั การธุรกิจด้านทรพั ยากรมนษุ ย์ด้วยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 

143 สาหรับการฝึกอบรมและพัฒนา ผู้บริหารเปรียบเสมือนผู้นาต้องได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกับ บุคลากรอื่น ๆ รวมไปถึงภาวะที่พึงมีของผู้นา ซึ่งจะมีหลักสูตรต่าง ๆ มากมายมารองรับกลุ่ม บุคลากรที่แตกต่างกันออกไป ในส่วนน้ีจะอธิบายในส่วนของแนวทางการพัฒนาผู้บริหารในฐานะท่ีมี บทบาทสาคัญในองคก์ ารสู่การเป็นผู้นาท่มี ภี าวะผู้นาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ในภาพรวมของการพัฒนาผู้นาและภาวะผู้นามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของผ้นู าทนี่ าไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในการทางานทีดี ย่ิงข้ึนและส่งผลต่อการขับเคลื่อนองค์การไปสู่เป้าหมาย ซ่ึงแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นานั้นทั่วไป แล้วจะดาเนินการผ่าน 3 วิธีการหลัก ได้แก่ การฝึกอบรมที่เป็นทางการ กิจกรรมการพัฒนา และ กิจกรรมพัฒนาตนเอง สาหรับการพัฒนาผู้นาและภาวะผู้นานั้นที่นิยมใช้กันมากที่สุดจะเป็น การฝึกอบรมท่ีเป็นทางการ ซ่ึงหลักสูตรน้ันจะถูกออกแบบมาเฉพาะที่เป็นการพัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถเฉพาะของผู้นา กิจกรรมหรือวิธีการท่ีนิยมนามาใช้พัฒนาผู้บริหารสามารถสรุปได้ ดังนี้ (ชยั เสฏฐ์ พรหมศร,ี 2561, หนา้ 198-209) 1. การสร้างความตระหนักรู้ต่อตนเอง (self-awareness) ถือได้ว่าเป็นจุดเร่ิมต้นในการ พัฒนาผู้นาให้มีภาวะผู้นา การสร้างความตระหนักรู้ต่อตนเองสามารถนาไปสู่การมีภาวะผู้นา ซ่ึง ตนเองจะทราบดีว่าสิ่งใดที่ส่งผลต่อการทางานให้มีประสิทธิผล สิ่งใดเป็นปัจจัยสาคัญในการ ประกอบการตดั สนิ ใจ ผนู้ าทีเ่ ป็นผ้บู รหิ ารนอกจากจะมีสติปัญญาท่ีสามารถคิดวิเคราะห์ตัดสินใจแก้ไข ปญั หาด้วยองค์ความรู้ที่ตนสั่งสมจากประสบการณ์แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งใน ภาวะผู้นา ซ่ึงประกอบดว้ ย ความตระหนักรู้ในตนเอง การจัดการตนเอง ตระหนักรู้ต่อสังคม และการ บริหารสัมพันธภาพ จะเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นความฉลาดทางอารมณ์มาจากการตระหนักรู้ตนเอง หาก ผ้นู าไมเ่ ขา้ ใจและไม่ตระหนักรู้ตนเองจะไม่สามารถจัดการตนเอง สังคม และสัมพันธภาพท่ีดีกับเพ่ือน ร่วมงานได้เช่นกัน หากขยายความของคาว่าการสร้างตระหนักรู้ต่อตนเอง จึงอธิบายได้ว่า ผู้นาต้อง ทราบว่าอะไร คือ สง่ิ สาคญั และปัจจัยใดที่มีความสาคัญต่อการพัฒนาตนเอง ค้นหาประสบการณ์ใหม่ การค้นหาประสบการณ์ใหม่เป็นความท้าทายของผู้นาต่อการเดินทางออกจากพ้ื นท่ีแห่งความ สะดวกสบาย และให้โอกาสตนเองไดเ้ รียนรู้เก่ียวกับตนเอง ส่ิงต่าง ๆ ท่ีได้พบในระหว่างการทางานจึง เรียกได้ว่า เปน็ การเรียนรูผ้ ่านประสบการณ์ 2. การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (learning from experience) ประสบการณ์เป็นแก่น สาคัญต่อการพัฒนาความเป็นผู้นา การเป็นผู้นามีทฤษฎีจานวนมากท่ีเขียนไว้ให้ศึกษา ยังไม่สามารถ เทียบได้กับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นเหตุการณ์ในชีวิตท่ีพบเจอจริงได้ลงมือ ปฏิบัติจริงจากบริบทสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์จริง ๆ จึงทาให้เกิดการกระตุ้นภาวะผู้นา ร้อยละ 70 ภาวะผู้นามาจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่ได้ลงมือปฏิบัติ การลงมือปฏิบัตินาไปสู่การค้นพบ ทักษะท่ีเก่ียวข้องของตนเอง ความสามารถในการตัดสินใจ และมีปฏิสัมพันธ์กับบุคลากรอ่ืน ๆ ใน องคก์ ารได้ สว่ นอกี รอ้ ยละ 20 เกิดจากการเรยี นรจู้ ากบคุ คลอื่นผ่านการเรียนรู้จากสังคม การสอนงาน การเป็นพเ่ี ล้ยี ง และร้อยละ 10 เป็นการเรยี นร้รู ว่ มกันจากการฝึกอบรมจากวิทยากรทีเ่ ชย่ี วชาญ  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรพั ยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั 

144 3. การสอนงาน (coaching) เป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ได้รับการฝึกและ พัฒนา ความรู้และโอกาสของบุคคลให้มีทักษะความชานาญในงานที่ปฏิบัตินาไปสู่ความสาเร็จ การ สอนงานสามารถแบ่งรูปแบบการสอนได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การสอนงานแบบเป็นทางการ และการ สอนงานแบบไมเ่ ปน็ ทางการ โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 3.1 การสอนงานแบบเป็นทางการ (formal coaching) มีลักษณะการสอนงานแบบมี หลักฐานเชิงประจักษ์ทีจ่ ับต้องได้ สามารถใช้เครื่องมือท่ีเป็นการสัมภาษณ์โดยตรง หรือแบบวัดต่าง ๆ เช่น แบบวัดบุคลิกภาพ แบบวดั เชาว์ปัญญา แบบวัดความสนใจและค่านิยม แบบประเมิน 360 องศา วิธีการสอนงานในลักษณะน้ีจะทาให้ทราบถึงข้อมูลจากผลการทดสอบ การสัมภาษณ์ ส่งผลให้ สามารถพฒั นาทกั ษะและฝกึ ฝนพฤติกรรมท่ีต้องการได้ตามข้อมลู ย้อนกลับ 3.2 การสอนงานแบบไม่เปน็ ทางการ (informal coaching) มีลักษณะการสอนงานแบบ เชงิ พฤติกรรม เชน่ การสรา้ งความไวเ้ นอื้ เชือ่ ใจระหว่างพนักงานกบั ผสู้ อนงาน การช้ีให้พนักงานเห็นถึง ความสาคัญของทักษะตนเองว่าทักษะหรือพฤติกรรมใดที่เป็นส่วนสาคัญท่ีสุดในการพัฒนา ทางาน ร่วมกันโดยการสร้างแผนการพัฒนาท่ีเช่ือมโยงกับประสบการณ์จริง ซึ่งมีแผนงานในการสอนงานที่ ชัดเจน ผู้สอนงานต้องหมั่นพบปะพูดคุยกันอย่างสม่าเสมอเพ่ือติดตามข้อมูลย้อนกลับและช่วยให้ผู้ ตามดาเนนิ การตามแผนการพฒั นาท่ีกาหนดไว้ ที่สาคัญผู้สอนงานต้องทาการทบทวนอย่างต่อเนื่องว่า ตนเองเป็นแบบอย่างในการพัฒนาแก่พนักงานอย่างไรและอะไร คอื สงิ่ ท่ตี นเองควรส่งเสรมิ พฒั นา การสอนงานจะชว่ ยให้พนักงานได้รับการพัฒนาท้ังในด้านความรู้ ทักษะที่จาเป็นในหน้าที่ ช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้งานด้วยตนเอง การเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในการจัดการธุรกิจใน หนา้ ที่ต่าง ๆ จะชว่ ยให้องคก์ ารประสบความสาเร็จไดเ้ ร็วมากย่ิงขน้ึ 4. การเป็นพี่เล้ียง (mentoring) ลักษณะของพี่เลี้ยง คือ เป็นพนักงานท่ีได้รับการยอมรับว่าเป็น บุคคลที่มีความสามารถและประสบการณ์พร้อมท่ีจะให้ความช่วยเหลือพนักงานด้วยกันเอง อาจกล่าว ได้ว่า เป็นบุคคลท่ีมีประสบการณ์มากกว่าหรือวัยวุฒิหรือความอาวุโสในการทางานท่ีพร้อมจะ ช่วยเหลือขัดเกลาและจูงใจพนักงานใหม่ พี่เล้ียงจะทาหน้าท่ีให้ความรู้ ข้อเสนอแนะ ความท้าทาย คาปรึกษา และการสนับสนุนเก่ียวกับโอกาสความก้าวหน้าในการทางาน กลยุทธ์และนโยบายของ องค์การและเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทางาน การเป็นพ่ีเลี้ยงจะแตกต่างจากผู้ฝึกสอนตรงที่ พ่ีเลี้ยงอาจไม่สามารถกาหนดความต้องการในการพัฒนาท่ีเฉพาะเจาะจงได้ เป็นเพียงการรับมุมมอง แตกตา่ งเก่ยี วกับองค์การและข้อเสนอแนะท่เี ป็นประโยชนส์ าหรับการทางาน ดังน้ัน การเป็นพ่ีเล้ียงจึง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะเช่นเดียวกับผู้ฝึกสอน คือ การเป็นพ่ีเลี้ยงแบบเป็นทางการ และการเป็นพี่ เลีย้ งแบบไมเ่ ป็นทางการ โดยมีรายละเอียดดงั นี้ 4.1 การเปน็ พเี่ ลย้ี งแบบเป็นทางการ (formal mentoring) ลักษณะน้ีจะมีประสิทธิภาพ น้อยกว่าแบบที่ 2 เน่ืองจากการเป็นพี่เล้ียงจะเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่อยู่บนพื้นฐาน ของความไวว้ างใจซ่ึงกันและกัน การบังคับให้เป็นพ่ีเลี้ยงเป็นเรื่องที่ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกตาม โครงสรา้ งขององคก์ ารอาจลดความมีประสิทธิภาพของวธิ กี ารน้ตี ่อการพฒั นาพนักงาน 4.2 การเป็นพ่ีเล้ียงแบบไม่เป็นทางการ (informal mentoring) ลักษณะความสัมพันธ์ ของการเป็นพี่เล้ียงกับพนักงานเป็นผู้ที่เคยร่วมกันกันมาก่อน ด้วยการมีความสนใจในส่ิงที่เหมือนหรือ  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรพั ยากรมนษุ ยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

145 คล้ายกันจึงทาให้เกิดความสัมพันธ์ในการทางานกันมาเป็นเวลายาวนานพอสมควร วิธีการน้ีพนักงาน จะได้รับการดแู ลจากพเ่ี ล้ียงอยา่ งสมา่ เสมอเพือ่ เรียนรสู้ ิง่ ต่าง ๆ จากพ่เี ลี้ยง การฝกึ อบรมและพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์วธิ กี ารเปน็ พ่ีเล้ียงช่วยให้ประสบการณ์ของบุคคล ที่มศี กั ยภาพในการเปน็ ผนู้ าถกู เตรียมความพร้อมในการเปน็ ผ้นู าองค์การต่อไปเพ่ิมมากย่ิงขึ้น ผ่านการ เรียนรูจ้ ากประสบการณจ์ ริงและมมุ มองทห่ี ลากหลายของพี่เลีย้ ง 5. การให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างเข้มข้น (feedback intensive programs) วิธีการนี้ได้รับ ความนยิ มมากท่ีสุดในปัจจุบัน เรียกว่า การให้ข้อมูลย้อนกลับแบบ 360 องศา วิธีการในลักษณะน้ีทา ใหท้ ราบถึงจุดแข็งท่ีเป็นโอกาสและจุดอ่อนท่ีเป็นอุปสรรคของผู้นา การประเมินแบบ 360 องศา เป็น ลักษณะของการประเมินจากทรัพยากรมนุษย์รอบตัว ทั้งผู้บังคับบัญชาโดยตรง เพ่ือนร่วมงาน และ รวมถงึ ผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี รวมไปถงึ การประเมนิ ตนเองอกี ด้วย วิธีการนี้ทาให้ทราบถึงพฤติกรรม ผลการ ปฏบิ ตั งิ านของผูน้ า 6. การศึกษาในห้องเรียน (classroom education) วิธีการน้ีมีประสิทธิผลสาหรับการ นาเสนอข้อมูลและความรู้ต่อกลุ่มบุคคลเป็นอย่างมาก เป็นวิธีการพื้นฐานท่ีนิยมนามาใช้สาหรับการ พัฒนาผนู้ าและภาวะผูน้ า การศกึ ษาในหอ้ งเรยี นเป็นการสง่ ตอ่ ความรู้ไปยงั บคุ คลท่ีเกี่ยวข้องต่อการนา ความรู้น้ันไปใช้เพ่ือการพัฒนาตนเองและการทางาน เป็นวิธีการส่งเสริมให้เกิดการสร้างความเข้าใจ อย่างลึกซ้ึง อุปสรรคของวิธีการน้ีเป็นเรื่องสถานที่ ระยะเวลาที่ต้องใช้หลายวัน งบประมาณรายหัวท่ี เกดิ ขนึ้ วธิ ีการนีม้ ีหลากหลาย เชน่ การสอนแบบกรณีศึกษา การแสดงบทบาทสมมติ แบบฝึกหัด เกม และการสร้างสถานการณ์จาลองมาใช้ประกอบการเรียนเพ่ือเพ่ิมพูนการพัฒนาประสบการณ์ของ บคุ ลากรและผ้นู าอีกด้วย 7. กิจกรรมนอกสถานท่ี (outdoor challenges) วิธีการน้ีหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชน นิยมใช้กัน เพราะการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ท่ีเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางกายภาพจะช่วยเพิ่มพูน ทักษะด้านต่าง ๆ สร้างความตระหนักถึงเป้าหมายขององค์การเดียวกัน ทากิจกรรมท่ีมีความท้าทาย และมีความยากทชี่ ่วยส่งเสรมิ การแก้ไขปัญหาร่วมกันในทีม มีความสามารถในการควบคุมตนเอง กล้าเส่ียง และสร้างความมั่นใจต่อการสร้างความไว้วางใจกับสมาชิกในทีม นอกจากน้ีผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้อง ฝกึ ฝนภายใตส้ ถานการณท์ ี่เนน้ การรว่ มมอื รว่ มใจและบนพ้นื ทีข่ องความไว้วางใจกัน 8. การหมนุ เวียนงาน (job rotation) การหมุนเวียนงานทาให้เกิดความกระตือรือร้นจากการ ได้มีโอกาสทางานใหม่ ๆ ทตี่ า่ งไปจากเดิม หรืออาจคลา้ ยคลึงงานเดิม สาหรับผู้ท่ีมีโอกาสได้หมุนเวียน งานจะได้รับความก้าวหน้าในการทางานเพิ่มมากข้ึน เนื่องจากได้รับการเรียนรู้ทักษะทางานที่ หลากหลายและเข้าใจภาพรวมขององค์การมากขึ้น มีมุมมองระบบการทางานในองค์รวมมากขึ้น ถึงอย่างไรก็ตาม วิธีการนี้อาจส่งผลถึงผลผลิตของงานเน่ืองมาจากมีการหมุนเวียนงานที่ต้องใช้ ระยะเวลาในการเรียนร้แู ละปรับตวั 9. การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (action learning) เป็นวิธีการผสมผสานระหว่างการฝึกอบรม แบบทางการและการเรียนรู้จากประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ีได้ผลจริง คือ การเรียนรู้ที่เกิดจากการลง มอื ปฏิบตั ิจริงมากกว่าการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติเป็นหัวใจสาคัญของการพัฒนา ทักษะทรัพยากรมนุษย์ สาหรับทักษะที่สามารถพัฒนาผ่านการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ ได้แก่ ทักษะ  การจัดการธรุ กิจด้านทรพั ยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

146 ทางด้านความคิด ทักษะการดาเนินการจัดการ ทักษะด้านความสัมพันธ์ และทักษะด้านการจัดการ ตนเอง การนาวิธีการต่าง ๆ เหล่าน้ีไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เกิดทักษะ ความรู้ความสามารถ จะต้องคานึงถึงความเหมาะสม สถานการณ์และข้อจากัดของสมาชิกแต่ละคน เพราะวิธีการแต่ละด้านมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน การส่งเสริมและพัฒนาต้องกระทาอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมกาลังคนสาหรับการเติบโตและก้าวหน้าในระดับสูงต่อไป ด้วยเหตุน้ีการพัฒนาฝึกอบรมจึงผสมผสานวิธีการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยพิจารณาจากความรู้ ทักษะ และความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ท่ีต้องการในการทางาน รวมถึงความรู้หรือทักษะที่ทรัพยากร มนุษยค์ วรมเี พอื่ ตอบสนองกับการพัฒนาและการเปลยี่ นแปลงองค์การในอนาคต การจดั การธุรกิจดา้ นทรพั ยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทลั อิทธิพลสาคัญท่ีส่งผลต่อกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ทาให้อดีตแตกต่างจาก ปจั จบุ นั คอื เทคโนโลยีดิจิทลั กระบวนการจัดการธุรกจิ ในดา้ นต่าง ๆ ได้เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ เกิดเป็น กระแสโลกาภวิ ตั น์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกจิ สง่ ผลให้ลกั ษณะการทางานเปล่ยี นไปจากเดมิ ในศตวรรษที่ 21 ถือว่าทุนมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สาคัญในโลกแห่งการแข่งขันสมัยใหม่ การรู้และเท่าทันการประยุกต์ เทคโนโลยีดิจิทัลสาหรับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ จึงกลายเป็นเครื่องมือสาคัญท่ีสาคัญในการ จัดการทรัพยากรมนษุ ย์ด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เม่ือกล่าวถึงการจัดการธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีดิ จิทัล ทั้งสองมี ความสัมพันธ์กันหรือไม่ ผู้เขียนเองมองว่า เทคโนโลยีดิจิทัลได้กลายเป็นปัจจัยท่ีสาคัญต่อการจัดการ ธุรกิจในทุกหน่วยธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ทรัพยากรมนุษย์ อย่างท่ีได้เกร่ินนาไว้เบ้ืองต้นทรัพยากรมนุษย์ คือ ส่ิงที่ธุรกิจจาเป็นต้องใส่ใจ และหาวิธีการอย่างไรเพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม และสร้างประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันพบว่ามีหน่วยงานจานวนไม่น้อยที่มีการนาโปรแกรม สาเร็จรูปด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เข้ามาใช้ในหน่วยงาน เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการ ทรพั ยากรมนุษย์ในกระบวนการต่าง ๆ ไดแ้ ก่ กระบวนการวางแผนกาลงั คน การสรรหา การคัดเลือก การ แนะนาและการปฐมนิเทศ การฝึกอบรมและการพัฒนา การประเมินผลการปฏิบัติงาน การโยกย้าย เลื่อน ตาแหนง่ ลดตาแหนง่ และการพ้นจากงาน โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นโปรแกรมประเภทเฉพาะ ถูก ออกแบบและพัฒนาข้ึนให้ใช้งานได้เฉพาะงาน มีการทางานร่วมกันกับระบบฐานข้อมูล (database) เพ่ือใช้สาหรับจัดเก็บข้อมูลจานวนมาก สาหรับโปรแกรมที่สามารถนามาช่วยงานด้านการจัดการ ทรัพยากรมนษุ ย์หลกั ๆ มีอยู่ดว้ ยกัน 3 ประเภท ดังนี้ (รจุ จิ นั ทร์ วิชวิ านิเวศน,์ 2560, หนา้ 146) 1. โปรแกรมบันทึกเวลาการทางาน ลักษณะโปรแกรมประเภทนี้จะทาหน้าที่บันทึกระบบ การเข้าออกงานของพนักงาน ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลและถูกเช่ือมโยงข้อมูลไปยังระบบการ จ่ายเงินเดือนพนกั งาน สาหรับการจัดการโปรแกรมอาจต้องมีการซื้อทั้งตัวโปรแกรมและตัวอุปกรณ์ที่ ทางานร่วมด้วย เช่น เครื่องบันทึกเวลา เคร่ืองพิมพ์ลายน้ิวมือ เป็นต้น โปรแกรมบันทึกเวลาก็จะช่วย  การจดั การธรุ กิจดา้ นทรพั ยากรมนุษยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

147 เก็บข้อมูลเวลาการทางาน ลดปริมาณกระดาษ ประหยัดเวลา และช่วยส่งเสริมวินัยให้กับพนักงาน ฝา่ ยบัญชียงั สามารถนาข้อมูลเหลา่ นไี้ ปคานวณการจา่ ยเงนิ พนักงานได้อีกดว้ ย 2. โปรแกรมการจ่ายเงินเดือน ลักษณะโปรแกรมประเภทน้ีจะเป็นการรวมระบบสามระบบ ไดแ้ ก่ ระบบบคุ ลากร ระบบการลางาน และระบบการจา่ ยเงินเดือน เน่ืองจากเป็นการรวมระบบจึงทา ให้โปรแกรมประเภทนี้ต้องการพ้ืนท่ีในการจัดเก็บปริมาณมาก เพราะต้องมีการบันทึกรายละเอียดอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องอีก เช่น ข้อมูลบริษัท แผนกงาน การจ่ายภาษี ค่าลดหย่อนต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในรอบปี เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถออกรายงานเอกสารสารสนเทศต่าง ๆ จาพวกบัตรพนักงาน สลิปเงินเดือน รายงาน สรุปยอดเงนิ เดอื น เป็นต้น 3. โปรแกรมการบริหารทุนด้านมนุษย์ ลักษณะโปรแกรมประเภทนี้เป็นการนาระบบ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์มาพัฒนาให้มีความสามารถในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ใน กระบวนการวางแผนอัตรากาลัง การสรรหาพนักงานที่มีความสามารถในการเป็นผู้นา การจัดทา แผนพัฒนาพนักงาน การจัดการฝึกอบรมพัฒนา การประเมินผลการปฏิบัติงาน การฝึกฝนพัฒนาตนเอง การจ่ายเงินเดือน การจัดการสวัสดิการ และท่ีสาคัญสามารพออกรายงานเอกสารท้ังในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ด้วยความสามารถของโปรแกรมท่ีมีหลากหลายจึงทาให้คุ้มค่ากับการลงทุนใน โปรแกรมประเภทนี้ นอกจากโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีถูกนามาใช้งาน เรายังพบเห็นการติดต่อสื่อสารของพนักงาน ผ่านสือ่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์เป็นจานวนมาก เพราะการจัดการทรพั ยากรมนษุ ย์จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ท้ังภายในและภายนอก เราจึงเห็นได้การเกิดข้ึนขององค์การเสมือนจริง การสรรหาแบบ อิเล็กทรอนิกส์ การประเมินผลงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการฝึกอบรมพัฒนาผ่านระบบการ เรียนออนไลน์ องค์การเสมือนจริง ได้มีการเชื่อมโยงพนักงานผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถปฏิบัติงาน ได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกิดเป็นการแลกเปล่ียนความคิดเห็นด้วยวิธีการที่เรียกว่า การประชุม ทางไกล การประชุมผ่านวีดิทัศน์ นอกจากกันแลกเปลี่ยนกันทางความคิดแล้วยังสามารถแลกเปล่ียน ข้อมูลเอกสารกันในลักษณะแบบเรียลไทม์ได้ เป็นการแบ่งปันข้อมูลซ่ึงกันและกันได้อย่างสะดวกและ รวดเรว็ เสมอื นอยู่ในสานกั งานเดยี วกัน โดยในปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการอนุมัติหลักเกณฑ์การ เบิกจ่ายค่าตอบแทนในการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่ทั้งนี้ต้องดาเนินการให้เป็นไปตาม ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับท่ี 74/2557 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2557 เร่ือง การ ประชุมผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ และคู่มือการปฏิบัติราชการนอกสถานท่ี ท่ีสานักงานคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกาหนด ภาพการ ประชุมผ่านสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ แสดงดังภาพท่ี 6.2  การจัดการธรุ กจิ ด้านทรพั ยากรมนุษย์ดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

148 ภาพท่ี 6.2 การประชมุ ผ่านสอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ ทม่ี า (มที ดอท กูเกลิ้ , 2563) สาหรับการสรรหาบุคลากรแบบอิเล็กทรอนิกส์ พบเห็นได้จาก การประกาศจ้างงานผ่าน เว็บไซต์ของหน่วยงาน รวมถึงบริการฝากประวัติส่วนตัว ประสบการณ์ เช่น จ๊อบไทย (jobthai) จ๊อบท๊อปกนั (jobtopgun) เปน็ ตน้ บริการเหลา่ นจ้ี ะมีการทางานท่ีเช่อื มโยงไปยังบริษัทต่าง ๆ บริษัท ก็จะสามารถคน้ หาบุคลากรจากบรกิ ารเหล่านีไ้ ด้สะดวกและตดิ ต่อได้โดยตรงผ่านสือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ ภาพท่ี 6.3 เว็บไซต์คน้ หาและสมคั รงาน ท่ีมา (jobtopgun, 2563)  การจดั การธุรกิจดา้ นทรัพยากรมนษุ ยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

149 นอกจากการสรรหาบคุ ลากรแบบอิเล็กทรอนกิ ส์ ยังมรี ะบบการประเมนิ ผลการปฏิบัติงานทาง อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่ามีแบบรายงานผลการปฏิบัติงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ ความพิเศษ คือ สารสนเทศทไ่ี ดจ้ ากการออกรายงานสามารถนาไปวิเคราะหป์ ระกอบการเล่ือนข้นั การมอบรางวัล การ ปรับเงินเดอื น แม้ในในทศิ ทางของการเลกิ จา้ ง ภาพที่ 6.4 ระบบบนั ทึกประวตั แิ ละผลงานประจาปี ทมี่ า (มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ ี, 2562) การฝึกอบรมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้มาถึงยุคท่ีสามารถทาได้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แม้กระท่ังเม่ือเสร็จสิ้นกระบวนการยังสามารถพิมพ์รายงานเกียรติบัตรเพื่อรับรองผลได้ด้วย เรียกว่าเป็น การเรียนออนไลน์ โดยสามารถทาได้ 2 รูปแบบ คือ เรียนแบบเรียลไทม์ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับการประชุม ผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีสามารถโต้ตอบกันไปมาได้ทันที และอีกแบบเรียนโดยการเข้าไปศึกษาด้วยตนเอง ผา่ นสอื่ บทเรียนออนไลน์ สามารถติดต่อพูดคุยผ่านทางอีเมล์หรือท้งิ ข้อความไว้และติดต่อกลับในภายหลัง ภาพท่ี 6.5 บทเรียนออนไลนม์ ูเดิล้ (moodle) ทม่ี า (คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ ี, 2563)  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั 

150 จากตัวอย่างในการจัดการธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จะเป็นการนา ระบบสารสนเทศเข้ามาใช้งานในกระบวนการของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 8 กระบวนการดังที่ ได้กล่าวไว้ โดยมีระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ระบบวางแผนอัตรากาลังคน ระบบวิเคราะห์งาน ระบบสรรหาและคัดเลือก ระบบบุคลากร ระบบจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ระบบประเมินผลการ ปฏบิ ตั ิงาน ระบบพัฒนาและฝึกอบรม และระบบสวัสดิการและผลประโยชน์ ซึ่งระบบทั้ง 8 มีความสัมพันธ์ ของระบบสารสนเทศกบั กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ แสดงดงั ตารางที่ 6.1 ตารางที่ 6.1 ความสัมพันธข์ องระบบสารสนเทศกบั กระบวนการจัดการทรัพยากรมนษุ ย์ ระบบสารสนเทศ กระบวนการจดั การทรพั ยากรมนษุ ย์ ระบบวางแผนอตั รากาลังคน ระบบวเิ คราะหง์ าน การวางแผนกาลงั คน ระบบสรรหาและคดั เลือก การสรรหา ระบบบคุ ลากร การคัดเลอื ก ระบบจ่ายคา่ จา้ งและเงินเดอื น การแนะนาเขา้ ทางานและการปฐมนเิ ทศ ระบบประเมินผลการปฏบิ ัติงาน การโยกย้าย การเลือ่ นตาแหน่ง การลดตาแหนง่ ระบบพฒั นาและฝกึ อบรม การประเมินผลการปฏบิ ตั งิ าน ระบบสวัสดิการและผลประโยชน์ การฝึกอบรมและการพฒั นา การพ้นจากงาน ท่มี า (รจุ ิจนั ทร์ วชิ ิวานเิ วศน,์ 2560, หนา้ 133-145) การจัดการธุรกิจจะประสบความสาเร็จได้ต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ระบบ สารสนเทศสาหรับการจัดการทรัพยากรมนุษย์จะเป็นส่วนหนึ่งท่ีเข้ามาช่วยเสริมสร้างศักยภาพ กระบวนการในการจดั การธุรกิจ เม่อื ธุรกจิ มที รัพยากรมนุษย์ที่ทรงคุณค่า จะส่งผลให้ธุรกิจนั้นประสบ ความสาเรจ็ ไดง้ า่ ยมากขนึ้ คุณลักษณะที่สาคัญของทรัพยากรมนุษย์ สามารถจัดกลุ่มบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับระบบ สารสนเทศ โดยกลุ่มบุคลากรท่ีเก่ียวข้องท้ังหมดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ ผู้ใช้งานท่ัวไป ผเู้ ชยี่ วชาญ และผ้บู ริหาร ตาแหน่ง และคุณลักษณะที่สาคัญของแต่ละตาแหน่งจะมีหน้าที่แตกต่างกัน ออกไป แต่ละตาแหน่งจะมีหน้าท่ีเฉพาะท่ีเชี่ยวชาญที่บางตาแหน่งไม่สามารถทางานแทนกันได้ แต่ บางตาแหน่งมีหน้าท่ีใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม บุคลากรแต่ละตาแหน่งจะมีหน้าที่เฉพาะด้าน หาก ได้รับการฝึกฝนในหน้าที่ตนเองอย่างสม่าเสมอ จะช่วยให้บุคลากรมีความเชี่ยวชาญในหน้าที่ตนเอง มากข้ึน ส่งผลต่อการปฏิบัติงานในหน้าท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน การจัดการธุรกิจด้าน ทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จึงเป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่ีทาให้องค์การประสบ ความสาเร็จ ถึงแม้วา่ การนาเทคโนโลยดี จิ ทิ ัลเขา้ มาช่วยทุ่นแรงแล้วก็ตาม การจัดการทรัพยากรมนุษย์  การจดั การธุรกิจดา้ นทรพั ยากรมนุษย์ดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทัล

151 โดยท่ีไม่มีวิธีการช้ันเชิงกลยุทธ์ในสนามรบที่มีการแข่งขันรุกเป็นไฟ อาจทาให้ทรัพยากรมนุษย์ กลายเปน็ ทุนท่ไี ม่มคี ุณภาพเพียงพอกบั การตอ่ สู้กบั ค่แู ขง่ ขนั ได้ สาหรับบทบาทใหม่ของนักจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัลถูกปรับเปลี่ยนไปหลายอย่าง เช่น การนาระบบสารสนเทศการวางแผนอัตรากาลังคนเข้ามาใช้งาน ระบบการจ่ายเงินเดือน ระบบ การฝึกอบรมและพัฒนา ระบบบุคลากร ระบบการประเมินผลงาน เป็นต้น การนาเอาเทคโนโลยี ดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์ตลอดจนการสร้างกลยุทธ์ตั้งแต่ภายในไปจนถึงการ สรรหาบุคลากรภายนอกที่มีฝีมือเข้ามาร่วมงาน ทาให้บทบาทของนักจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคน้ี เปลี่ยนแปลงไป การนาระบบสารสนเทศเข้ามาใช้งานในส่วนงานทรัพยากรมนุษย์สิ่งสาคัญที่จะต้อง คานึงถึง สาหรับปัจจัยที่ต้องคานึงถึงก่อนนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการ ทรัพยากรมนษุ ย์ จะต้องคานึงถงึ ปจั จยั ต่อไปนี้ แสดงดงั ภาพท่ี 6.6 ความเป็นไปได้ในการปฏิบตั งิ าน ปัจจัยทต่ี ้องคานึง ความตอ้ งการของผูใ้ ช้งาน กอ่ นนาเทคโนโลยเี ข้ามาใช้ ประสบการณผ์ ูถ้ า่ ยทอดระบบการใชง้ าน งานในองค์การ งบประมาณทตี่ ้องใช้ในการพฒั นาระบบงานใหม่ ชว่ งเวลาในการนาระบบใหมม่ าใช้แทน ระบบเกา่ ภาพที่ 6.6 ปจั จัยที่ตอ้ งคานึงถึงก่อนนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ที่มา (สภุ ารดี ชวลิตสุนทร, 2550, หน้า 34) จากภาพที่ 6.6 ระบบสารสนเทศนั้นจะต้องมาจากความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง บางหน่วยงานเกิดปัญหาในเรื่องนี้ขึ้น เนื่องจากผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นผู้ที่ถูกแต่งตั้งมา จากฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ระบบสารสนเทศเป็นระบบที่เกิดจากงานด้านการจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ จึงส่งผลให้รู้สึกได้ว่าระบบสารสนเทศที่จัดสรรมานั้นไม่ตรงกับความต้องการท่ี แท้จริง ดังนั้น ผู้จัดการฝ่ายจึงควรเป็นบุคคลท่ีมาจากฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จึงจะทาให้สามารถพัฒนา ระบบที่รองรับใช้งานได้อย่างเหมาะสมรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานของฝ่ายทรัพยากร มนุษย์ในระยะยาวต่อไป  การจดั การธรุ กจิ ด้านทรพั ยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั 

152 กลยทุ ธก์ ารจัดการทรพั ยากรมนุษยส์ ู่การเป็นองคก์ ารอัจฉริยะ องค์การอัจฉริยะ เป็นองค์การที่ให้ความสาคัญกับการถ่ายทอดความรู้ การจัดการความรู้ใน องค์การ ในการจัดการความรู้ในองค์การน้ัน ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ความรู้ถูก นามาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติงาน มีระบบการตรวจสอบวิเคราะห์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเพื่อ การพัฒนาอย่างต่อเน่ือง สร้างขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงาน ส่งเสริมให้องค์การมีวัฒนธรรมการ บริหารความรู้ บุคลากรท่ีเกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงความรู้ได้ องค์การอัจฉริยะมีความเกี่ยวข้องกับ นวัตกรรม เพราะนวตั กรรมกอ่ ให้เกดิ ความสาเรจ็ ดว้ ยกระบวนการใหม่ ความคิด วธิ ีการ เครื่องมือใหม่ ซ่ึงรวมถงึ เทคโนโลยดี จิ ิทลั ที่เขา้ มาอีกหน่ึงปจั จัย กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์มีความสาคัญต่อองค์การ เป็นกิจกรรมท่ีบูรณาการการ จัดการทรัพยากรมนุษย์กับกระบวนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ท่ีวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ นาไปสู่การกาหนดกลยุทธ์ให้บรรลุตามเป้าหมาย ท้ังนี้ การกาหนดกลยุทธ์จะถูกเช่ือมโยงกับแนว ปฏิบัติด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การวางแผนอัตรากาลังและการจัดคน การเรียนรู้และ การพัฒนา แรงงานสัมพันธ์การบริหารผลการปฏิบัติงาน และการพัฒนาองค์การ กลยุทธ์จะนาไปสู่ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีประสิทธิภาพส่งผลให้องค์การเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันจน บรรลุตามเป้าหมายท่ีตั้งไว้ ท้ายสุดแล้ว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม สินค้าและบริการที่ ผลิตได้จะตรงกับความต้องการของผู้บริโภค มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม เกิดการสูญเสียน้อย ทรพั ยากรมนษุ ยม์ ีความสามารถเพิ่มข้ึน มีความสุขกับการทางานและชีวิตส่วนตัว ทาให้สังคมทุกด้าน ดขี ึน้ (สรุ มงคล นิม่ จติ ต์ และธีระวัฒน์ จนั ทึก, 2559, หน้า 1) กิจกรรมในการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ศักด์ิดา ศิริภัทรโสภณ (2560, หน้า 524) ได้อธิบายว่า ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การสรรหาบุคลากร การคัดเลือกบุคลากร การฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากร การสร้างแรงจูงใจในการทางาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน การจ่ายค่าจ้างและ สวสั ดกิ าร การกาหนดตารางปฏิบตั ิงาน และการจดั การความก้าวหนา้ จากกจิ กรรมต่าง ๆ ในเชิงกลยุทธเ์ มือ่ นาไปสู่กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์สู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ สุมิตร สุวรรณ (2561, หน้า 174) ไดอ้ ธบิ ายข้นั ตอนไวด้ ังน้ี 1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก เรียกว่า สวอต (SWOT) เป็นวิธีการที่ นิยมใช้กันมาก ได้แก่ การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ซ่ึงในการวิเคราะห์จะแยก ออกเป็นสภาพแวดล้อมภายในที่มองถึงปัจจัยภายในท่ีก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นปัญหาต่อองค์การ ซึ่งไดแ้ ก่ จดุ แข่งกบั จดุ อ่อน และสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีมองถึงปัจจัยภายนอกท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ และเปน็ ปัญหาตอ่ องคก์ าร ไดแ้ ก่ โอกาส และอุปสรรค แสดงดังภาพท่ี 6.7  การจัดการธรุ กจิ ดา้ นทรัพยากรมนษุ ย์ด้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล

ัปจจัยภายใน 153 สง่ิ ท่เี ปน็ ปญั หา (internal origin) (harmful) สงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ ัปจ ัจยภายนอก (helpful) จุดอ่อน (external origin) (Weakness) จุดแข็ง (Strength) อุปสรรค (Threats) โอกาส (Opportunities) ภาพท่ี 6.7 กิจกรรม SWOT Analysis ในกระบวนการจดั การทรพั ยากรมนุษย์ ที่มา (สมุ ติ ร สวุ รรณ, 2561, หน้า 177) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก สุมิตร สุวรรณ (2561, หน้า 177) ได้ อธิบายว่า สาหรับการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ภายในองค์การ มีเทคนิคที่เรียกว่า 2S 4M ได้แก่ โครงสร้างการบริหาร (structure) การให้บริการ (service) บุคลากร (man) การเงิน (money) วัสดุ อุปกรณ์ (material) และการบริหารจัดการ (management) ส่วนการวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค ภายนอกองค์การ ใช้เทคนิคที่เรียกว่า เพสท์ (PEST) ได้แก่ การเมือง (politic) เศรษฐกิจ (economic) สังคมวัฒนธรรม (socio-cultural) และเทคโนโลยี (technology) 2. การกาหนดกลยทุ ธใ์ ห้บรรลุตามเปา้ หมาย หลังจากท่ีได้มีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมท้ัง ภายในและภายนอกองค์การแล้ว ขั้นตอนต่อมาเป็นการกาหนดกลยุทธ์เพ่ือให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยวิธีการกาหนดกลยุทธ์ ไวฮ์ริช (Weihrich, 1982) ได้นาเสนอกลยุทธ์การบริหารรูปแบบหนึ่งที่ถูก สรา้ งขน้ึ มาใหม่ ทาหน้าทคี่ ลา้ ยกบั การวิเคราะห์สวอต แตม่ คี วามแตกต่างกัน คือ การวิเคราะห์ทาวน์ เมตริกซ์ (TOWS matrix) เป็นการจับคู่ระหว่างปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายในท่ีได้จากการวิเคราะห์สวอต เมื่อ จับค่กู นั แล้วจะไดอ้ อกมา 4 คู่ แสดงดงั ภาพที่ 6.8 โอกาส จดุ แข็ง จดุ อ่อน (Opportunities) (Strength) (Weakness) อุปสรรค SO WO (Threats) ST WT ภาพที่ 6.8 TOWS matrix ท่มี า (Weihrich, 1982)  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรพั ยากรมนษุ ย์ด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

154 จากภาพที่ 6.8 ทาวน์ เมตริกซ์ เป็นการทางานต่อจากการวิเคราะห์สวอต ซ่ึงเม่ือนามาใช้ วเิ คราะหแ์ ล้วจะทาให้ได้กลยุทธก์ ารบริหารออกมา 4 รูปแบบ มีดังนี้ (สมุ ติ ร สุวรรณ, 2561, หน้า 179) 2.1 กลยุทธ์การบริหารเชิงรุก (SO Strategy) จากการประเมินสภาพแวดล้อมท่ีเป็นจุดแข็ง และโอกาสแล้วนาข้อมูลท่ีได้มาพิจารณาร่วมกัน เพ่ือหากลยุทธ์ท่ีเหมาะสมท่ีสุดกับสภาพแวดล้อมใน ปัจจุบัน โดยมีปัจจัยท่ีสนับสนุนที่เป็นจุดแข็งภายในเพ่ือสร้างโอกาสจากจุดแข็งท่ีมีอยู่เพ่ือบรรลุ วตั ถุประสงค์ 2.2 กลยุทธ์การบริหารเชิงแก้ไข (WO Strategy) จากการประเมินสภาพแวดล้อมท่ีเป็น จุดอ่อนและโอกาสแล้วนาข้อมูลท่ีได้มาพิจารณาร่วมกัน เพ่ือหากลยุทธ์ท่ีเหมาะสมที่สุดกับ สภาพแวดลอ้ มในปจั จบุ นั โดยมีปจั จยั ภายนอกทใี่ ชเ้ ป็นโอกาสในการแสวงหาวธิ ีแก้ไขจดุ อ่อนภายใน 2.3 กลยทุ ธ์การบริหารเชิงรับ (WT Strategy) จากการประเมินสภาพแวดล้อมท่ีเป็นจุดอ่อน และอุปสรรคแล้วนาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อหากลยุทธ์ทีเหมาะสมที่สุดกับสภาพแวดล้อม ในปจั จุบัน โดยองคก์ ารจะทราบถึงจุดอ่อนภายในและอุปสรรคภายนอกที่เป็นข้อจากัด โดยหาวิธีการ ปรบั เปลย่ี นกระบวนการทางธรุ กิจใหมใ่ นแนวเชงิ รบั มือกับปญั หาทจี่ ะเกดิ ขึน้ ได้ทันเวลา 2.4 กลยุทธ์การบริหารเชิงป้องกัน (ST Strategy) จากการประเมินสภาพแวดล้อมท่ีเป็นจุด แข็งและอุปสรรคแล้วนาข้อมูลมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อหากลยุทธ์ทีเหมาะสมท่ีสุดกับสภาพแวดล้อม ในปจั จุบนั โดยองคก์ ารจะมีจุดแข็งภายในและมีอุปสรรคภายนอก ในลักษณะน้ีผู้บริหารต้องใช้จุดแข็ง ท่มี อี ยูป่ ้องกันปัญหาท่ีอาจจะเกิดจากอปุ สรรคจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทาวน์ เมตริกซ์ เปน็ เครอื่ งมอื วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ซ่ึงเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์สวอต โดยนาข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคมาวิเคราะห์เพื่อกาหนดออกมา เปน็ กลยทุ ธ์ในการบริหารองค์การต่อไป จากการวิเคราะห์กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ จะทาให้องค์การได้กลยุทธ์ที่เหมาะสม กบั สถานการณ์ในขณะน้นั และสามารถดาเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยความระมดั ระวังและมีความมั่นใจมาก ขนึ้ ในการเผชิญกบั ปัญหาและอุปสรรคพร้อมต้ังรับแก้ไขได้ทนั ทว่ งที สาหรับกลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นส่วนสาคัญที่นาองค์การไปสู่การเป็นองค์การ อัจฉริยะได้ เพราะทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสาคัญท่ีมีคุณค่าต่อการดาเนินธุรกิจ ทรัพยากรมนุษย์ ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การธุรกิจและในขณะเดียวกันก็สามารถทาให้องค์การธุรกิจ ล้มเหลวได้เชน่ กนั ภาณุพันธุ์ จันทรา, สุขุม พรมเมืองคุณ และกิติศักด์ิ เสนานุช (2560, หน้า 29) ได้อธิบายถึง กรอบแนวคิดสาหรับการสร้างองค์การอัจฉริยะ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการจัดการความรู้ 2) ด้านการวางแผนกลยุทธ์ 3) ด้านการมีวิสัยทัศน์ 4) ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และ 5) ด้านการใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การจัดการความรู้เป็นองค์ประกอบสาคัญประการหนึ่งท่ี ก่อให้เกิดนวัตกรรมนาไปสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ การจัดการความรู้เป็นการบูรณาการศาสตร์ ความรู้และการจัดการเข้าด้วยกันโดยประกอบด้วยตัวบุคคล กระบวนการ และเทคโนโลยี เป็นการ สกัดความรู้ด้วยวิธีการสร้าง รวบรวม สังเคราะห์ แลกเปลี่ยน และใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อ องค์การ ซึ่งกระบวนการจัดการความรู้ประกอบด้วย 7 ข้ันตอน ได้แก่ การบ่งชี้ความรู้ การสร้างและ  การจัดการธุรกจิ ด้านทรพั ยากรมนษุ ยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 

155 แสวงหาความรู้ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลยี่ นความรู้ การเรยี นรู้ โดยกระบวนการตา่ ง ๆ แสดงดงั ภาพที่ 6.9 การบ่งช้คี วามรู้ การเรียนรู้ กระบวนการ การสรา้ งและแสวงหาความรู้ จดั การความรู้ การแบ่งปนั แลกเปลยี่ นความรู้ การจดั ความรใู้ ห้เปน็ ระบบ การเขา้ ถงึ ความรู้ การประมวลและกลนั่ กรองความรู้ ภาพท่ี 6.9 กระบวนการจดั การความรู้ ทมี่ า (กจิ จา บานชื่น และกณิกนันต์ บานชื่น, 2559, หน้า 386-388) จากภาพที่ 6.9 กระบวนการจัดการความรู้ (knowledge management) เป็นกระบวนการ ท่ีจะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดข้ึนภายในองค์การ มีท้ังหมด 7 ขน้ั ตอน โดยมีรายละเอียดดังน้ี 1. การบ่งชี้ความรู้ (knowledge identification) ขั้นตอนแรกพิจารณาถึงสถานการณ์ ปัจจุบันในมิตขิ องวิสยั ทศั น์ พนั ธกจิ ยุทธศาสตร์ เป้าหมาย โดยวิเคราะห์ว่าในองค์การมีความรู้ใดบ้าง และอยใู่ นรูปแบบใด โดยคานึงถึงวา่ จะใชค้ วามร้อู ะไรท่ีมีอยู่ในรูปแบบใดจากใครเพ่ือทาให้ธุรกิจบรรลุ เป้าหมาย ซ่ึงการบ่งช้ีความรู้อาจจะออกมาในรูปแบบของการทาแผนความรู้ (knowledge mapping) แผนที่ความรู้จะแสดงให้เราทราบว่าความรู้ใดท่ีเป็นความรู้ที่สาคัญและเป็นประโยชน์ต่อ การจดั การธรุ กิจให้มีประสทิ ธิภาพ 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ (knowledge creation and acquisition) ข้ันตอนน้ีเป็น การสรา้ ง แสวงหา รวบรวมความรู้ทัง้ ภายในและภายนอก รักษาความรู้เดิม แยกความรู้ท่ีใช้ไม่ได้แล้ว ออกไป เลือกเก็บความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้และพิจารณาแล้วว่าก่อให้เกิดมูลค่าในเชิงพาณิชย์ โดยใน ข้ันตอนนี้สามารถใช้ประโยชน์จากแผนที่ความรู้ท่ีได้จัดทาไว้ในข้ันตอนที่ 1 มาประกอบ ปัจจัยท่ี สาคัญท่ีจะทาให้การสร้างและแสวงหาความรู้ประสบผลสาเร็จ คือ วัฒนธรรมขององค์การท่ีเอื้อต่อ การกระตือรือร้นของพนกั งานในการทจี่ ะแลกเปลย่ี นความรซู้ ่ึงกันและกัน  การจดั การธรุ กจิ ดา้ นทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล

156 3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (knowledge organization) เป็นขั้นตอนการกาหนด โครงสร้างความรู้ แบ่งชนิดประเภทความรู้ เพ่ือเป็นการเตรียมพร้อมสาหรับเก็บความรู้ให้เป็นระบบ และสามารถบริการสืบค้นเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายด้วยความสะดวกรวดเร็วตามท่ีกลุ่มเป้าหมาย ตอ้ งการ 4. การประมวลและกล่ันกรองความรู้ (knowledge codification and refinement) หลังจากท่ีมีการจัดการความรู้ที่มีอยู่เป็นระบบเพ่ือสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ข้ันตอนน้ีเป็นการ ปรับปรุงรูปแบบเอกสารของความรู้ให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษามาตรฐาน ปรับปรุงเน้ือหาให้ครบถ้วน สมบรู ณ์พรอ้ มในการใช้งาน 5. การเข้าถึงความรู้ (knowledge access) เป็นขั้นตอนการกาหนดวิธีการกระจายความรู้ เพอ่ื ทาให้ผู้ใชค้ วามรเู้ ข้าถึงความรู้ท่ีต้องการได้ง่ายและสะดวกโดยอาศัยสื่อช่องทางต่าง ๆ เช่น ระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ เว็บบอร์ด บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ซ่ึงในขั้นตอนน้ีมีระบบเทคโนโลยีเข้า มาเป็นสว่ นหน่ึงเพอ่ื อานวยความสะดวกในการให้ผู้ใชเ้ ขา้ ถงึ ข้อมูลไดง้ ่ายสะดวกรวดเร็ว 6. การแบ่งปันความรู้ (knowledge sharing) เป็นขั้นตอนการแบ่งปันเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ กนั และกันสามารถทาได้หลายวิธกี าร หากเปน็ ความรู้ชัดแจ้งเห็นเป็นรูปธรรม (explicit knowledge) สามารถทาเปน็ เอกสาร ฐานข้อมูลความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีท่ีเป็นความรู้ท่ีเกิดจากการ ฝึกฝน (tacit knowledge) อาจทาเป็นการทางานแบบสลับสายงาน กิจกรรมกลุ่มแบ่งปันความรู้ นวัตกรรม ชุมชนฐานความรู้ ระบบใหค้ าปรกึ ษา เปิดแหล่งสถานท่ีแลกเปลย่ี นความรู้ เปน็ ตน้ 7. การเรียนรู้ (learning) เป็นขั้นตอนที่สาคัญที่สุดของการนาความรู้มาใช้ประโยชน์ในการ ตัดสนิ ใจแก้ปญั หา และทาใหค้ วามรูท้ ่ีเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น เกิดระบบการเรียนรู้จากสร้าง องค์ความรู้ การนาความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้ และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่าง ต่อเนอื่ ง เปน็ ตน้ การจัดการความรู้ จึงเป็นกระบวนการท่ีมีทั้งกระบวนการใช้ความรู้และสร้างความรู้ร่วมกัน ซึ่งอาจได้มาจากภายนอกและภายในท่ีมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างขึ้นผ่านการทางานร่วมกัน เป้าหมายของการจดั การความรู้ คอื ผลสัมฤทธิ์ของงานท่ีเพ่ิมสูงข้ึน ความรู้จึงเป็นปัจจัยสาคัญสาหรับ ในองคก์ ารธุรกิจสาหรับใช้ในการจัดการธุรกิจเพื่อยกระดับผลิตภาพ นาไปสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ ที่ทางานไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยีดิจิทัล กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นหน่ึงหน้าที่สาคัญในธุรกิจในการนาองค์การไปสู่การ เปน็ องค์การอจั ฉริยะ ผเู้ ขยี นเองเปน็ บุคลากรหน่ึงในหน่วยงานภาครัฐ มคี วามเห็นว่า ทรัพยากรมนุษย์ เป็นปัจจัยภายในที่สาคัญมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การ ระเบียบกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจและนาไปสู่ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานท่ีลดน้อยลง ดังคากล่าวที่ว่า คน สาราญ งานสาเร็จ เม่ือพนักงานมีความสุขกับงานที่ทา และทาด้วยความเต็มใจ งานจะประสบ ความสาเร็จดว้ ยเช่นกัน ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทาให้เกิดองค์การอัจฉริยะ หลังจากที่กล่าวถึงมิติของ กลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ไปข้างต้นแล้ว หากมองในมิติขององค์การอัจฉริยะ องค์การ อัจฉริยะคนส่วนใหญ่ในยุคน้ีจะมองในมุมของเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหลัก คนจะเรียกองค์การที่นา เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยทางานว่าเป็นองค์การอัจฉริยะ แต่ในความเป็นจริงองค์การอัจฉริยะมี  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรพั ยากรมนุษยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

157 มมุ มองของการเป็นอัจฉริยะท่ีมากกว่าเร่ืองเทคโนโลยี องค์การอัจฉริยะเป็นการวัดความสามารถของ การใช้ทรพั ยากรทมี่ ีอยู่อย่างชาญฉลาด และสามารถเลือกใช้ทรัพยากรเหล่าน้ันมาบริหารจัดการสร้าง คุณค่าท่ีแทจ้ รงิ เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของกลุ่มเปา้ หมาย ในอดีตที่ผ่านมาปัจจัยการผลิตท่ีสาคัญ คือ เครื่องจักร แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้าน เทคโนโลยีดิจิทัลทาให้ลดคุณค่าความสาคัญของเครื่องจักรลงไป ในทิศทางตรงกันข้ามทรัพยากรมนุษย์ กลับได้รับความเป็นอัจฉริยะภาพข้ึนในการขับเคล่ือนองค์การให้ก้าวหน้า และยังสามารถแข่งขันกับ คู่แข่งได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอัจฉริยะภาพจะมีความสามารถใน การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม คิดค้นสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ให้เกิดประโยชน์ พร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนา แนวทางปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเองให้มีทักษะความชานาญอยู่ตลอดเวลาที่จะนาไปสู่การสร้าง ประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าเป้าหมาย การสร้างองค์การอัจฉริยะเป็นกระบวนการท่ีไม่ตายตัวมีการ ปรับเปลย่ี นไปตามสภาพแวดล้อมในปจั จบุ นั การจัดการธุรกิจในปัจจุบันเป็นการมุ่นเน้นการบรรลุเป้าหมาย (management by objective) หรือเรียกว่า เอ็มบีโอ (MBO) องค์การจึงหันมาให้ความสาคัญกับทรัพยากรมนุษย์มากข้ึน การพัฒนา ศักยภาพและขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีอย่างสม่าเสมอ หมั่นสร้างขวัญกาลังใจ ส่งเสริม พัฒนาให้เจริญกา้ วหน้า กลุม่ คนเหล่านี้จะจงรักษ์ภักดีต่อองค์การ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ไปสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะได้น้ันยังต้องมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ส่วน ได้แก่ องค์การ ระบบงาน และคนทางาน ทั้งสามองค์ประกอบจะต้องได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน แต่ส่วนสาคัญท่ีเป็น กลไกขับเคล่ือน คือ ทรัพยากรมนุษย์ หรือคนทางาน การเรียนรู้ของคนทางานมีผลต่อการเป็น องคก์ ารอจั ฉรยิ ะ (พชิ ติ เทพวรรณ,์ 2555, หน้า 188-189) ทรัพยากรมนุษย์ จึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่สาคัญประการหน่ึงขององค์การ เป็นทรัพยากรท่ี ขับเคล่ือนองค์การไปสู่ความสาเร็จและบรรลุเป้าหมาย นาไปสู่การเป็นองค์การที่ให้ความสาคัญกับ ความรู้ การจดั การความรู้ทีเ่ กิดข้ึนภายในและภายนอก เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและนาความรู้มาเป็นส่วน หนง่ึ ของการปฏบิ ัติงานเพื่อเพิ่มประสทิ ธภิ าพ และท่ีสาคัญเป็นองคก์ ารทใี่ หค้ วามสาคญั กบั ทรพั ยากรมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นทรพั ยากรที่สามารถช่วยสรา้ งนวัตกรรมจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามา เพราะนวัตกรรม ก่อให้เกิดความสาเร็จด้วยกระบวนการใหม่ ความคิด วิธีการ เครื่องมือใหม่ การจัดการธุรกิจด้าน ทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจึงกลายเป็นความท้าทายสาหรับผู้บริหารท่ีต้องมีท้ังทักษะการ ตัดสินใจ ทกั ษะการติดต่อประสานงาน รวมถึงทักษะดา้ นเทคโนโลยดี จิ ิทัล กรณีศกึ ษาการจดั การธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษย์ดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทลั การจัดการธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษย์ เป็นการจัดการเก่ียวกับบุคลากรให้มีระบบบริหาร จัดการท่ีดี เป็นส่วนงานด้านการบริหารจัดการระบบงานบุคคล ทุกองค์การจาเป็นอย่างย่ิงที่ต้องมี ระบบด้านการจัดการท่ีมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด เพื่อให้องค์การมีซ่ึงข้อมูลในด้านต่าง ๆ นาไป บริหารจัดการต่อได้ดูแลอย่างสมดุล ตั้งแต่พนักงานเข้ามาทางาน ระหว่างปฏิบัติงาน ลาป่วย สวัสดิการต่าง ๆ จนกระท่ังออกจากองค์การไป ล้วนเป็นส่ิงเกิดขึ้นและมีข้อมูลสถิติท่ีเป็นประโยชน์ เพื่อใชป้ ระโยชนก์ ับองคก์ ารไดท้ งั้ นัน้  การจดั การธุรกิจดา้ นทรัพยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

158 สาหรับกรณีศึกษาในหัวข้อน้ีเป็นกรณีศึกษา เร่ือง ระบบสารสนเทศเพ่ือปรับปรุงประสิทธิภาพ ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ของ บริษัท เน็กซ่ีเทคโนโลยี จากัด ปัญหาที่เกิดขึ้นของบริษัท คือ ใน บริษัทมีพนักงานเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเท่าน้ัน มีการว่าจ้างพนักงานบัญชีจากภายนอก แต่ที่ สาคัญเลยบริษัทไม่มีฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หรือระบบสารสนเทศท่ีช่วยในกระบวนการจัดการธุรกิจด้าน ทรพั ยากรมนุษย์ จึงทาให้บริษทั ประสบปัญหาตา่ ง ๆ ดงั น้ี (จินดา ยอดบอ่ พลับ, 2558, หนา้ 2) 1. บริษัทไม่มีฐานข้อมูลพนักงานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะการจัดเก็บข้อมูลเป็น รูปแบบไฟล์เอกสารและแฟ้มเอกสารพนักงาน ปัญหาที่ตามมา คือ ขาดการปรับปรุงข้อมูลให้เป็น ปัจจุบัน การค้นหาเอกสารที่ใช้ระยะเวลานาน เมื่อต้องการทราบข้อมูลพนักงานไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ส่วนตัว ตาแหน่งงาน ฝ่าย ข้อมูลการศึกษา ประวัติการทางาน ทักษะความสามารถต่าง ๆ ประวัติ การฝึกอบรม ตอ้ งใช้เวลานานและเสี่ยงต่อการสญู หายอีกด้วย 2. การตรวจสอบข้อมูลการขาด ลา มาสาย การนับจานวนวันคงเหลือในการลาประเภทต่าง ๆ ไม่มีระบบการบันทึกขอ้ มลู แบบเรียลไทม์ หรือขาดการรวบรวมข้อมูล การลางานจะใช้วิธีการโทรศัพท์ แจ้งหรือสนทนาฝ่ายสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางคร้ังก็มิได้บันทึกข้อมูลเหล่าน้ันไว้ จึงทาให้เกิดการ คลาดเคลื่อนเร่ืองของข้อมูลการขาด ลา มาสาย ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีเป็นข้อมูลสาคัญในการใช้ ประกอบการประเมินผลการปฏิบตั ิงานของพนักงาน 3. บริษทั ไมม่ กี ารจัดเก็บข้อมูลเอกสารการสมคั รงานของผู้ที่สนใจร่วมงานด้วยกับบริษัท พอถึงช่วง ท่ีต้องการพนกั งานรว่ มงานทาให้ต้องใช้ระยะเวลาในการคน้ หาข้อมูลเอกสารเหล่านค้ี ่อนขา้ งนาน จากปัญหาท่ีเกิดข้ึนบริษัทยังขาดระบบการทางานที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล บุคลากร ดงั จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนการทางานเดิมของบริษทั แสดงดงั ภาพที่ 6.10 สมัครงาน ผูบ้ ริหาร ผู้สมัครงาน พนกั งาน พนักงาน ภาพที่ 6.10 กระบวนการทางานเดมิ ของฝา่ ยทรัพยากรมนุษย์ ทมี่ า (จนิ ดา ยอดบ่อพลับ, 2558, หนา้ 2)  การจัดการธรุ กิจด้านทรพั ยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

159 จากกระบวนกรทางานเดิมนาไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยการนาระบบสารสนเทศเข้ามา เพ่ือ ปรับปรุงประสิทธิภาพของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท เน็กซ่ีเทคโนโลยี จากัด โดยระบบ สารสนเทศน้ีจะสามารถจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดเก่ียวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงข้อมูล การลางาน การสมัครงาน และอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งจัดเก็บเป็นระบบศูนย์ข้อมูลท่ีเรียกว่า ฐานข้อมูลกลาง ที่ใช้งานร่วมกันได้ โดยสามารถเข้าระบบไปแก้ไขข้อมูลได้เองตลอดเวลาและรวดเร็วขึ้นด้วย ผ่านการล็อคอิน (login) ด้วยชื่อผู้ใช้ (username) และรหัสผ่าน (password) ซึ่งเป็นความลับของ พนกั งานแตล่ ะคน แล่ะช่วยแก้ไขปญั หาในการค้นหาใบสมคั รงานของผทู้ สี่ นใจร่วมงานได้รวดเร็วยิง่ ขึ้น ทาให้ง่ายตอ่ การค้นหาและดาเนนิ การพิจารณาสรรหาและคัดเลือกเข้าทางานต่อไป จากการนาระบบ สารสนเทศเขา้ มาใช้งาน จึงเกดิ เป็นกระบวนการจดั การทรัพยากรมนษุ ย์ใหม่ แสดงดงั ภาพที่ 6.11 Resume ระบบสารสนเทศ สมัครงาน การจดั การ ผสู้ มคั รงาน ขอ้ มูลงาน ทรัพยากรมนุษย์ ผู้บริหาร ลางาน ข้อมูล พนกั งาน พนกั งาน ภาพที่ 6.11 กระบวนการทางานใหม่ของฝา่ ยทรัพยากรมนุษย์ ทมี่ า (จินดา ยอดบ่อพลบั , 2558, หนา้ 7) จากภาพจะเห็นว่า กระบวนการทางานใหม่เป็นการทางานผ่านระบบสารสนเทศที่เป็น ฐานข้อมูลกลาง ซึ่งไม่ว่าผู้บริหาร พนักงาน ผู้สมัครงาน จะทางานหรือติดต่องานสามารถดาเนินการ ได้โดยผา่ นระบบสารสนเทศ สาหรบั ระบบสารสนเทศของบริษัท เน็กซี่เทคโนโลยี จากัด ท่ีพัฒนาขึ้นมาใช้งานในบริษัทจะ แบง่ ส่วนการทางานออกเป็นผู้ใช้งานเป็นแบบผู้บริหาร พนักงาน และผู้ดูแลระบบ โดยตัวอย่างระบบ สารสนเทศ แสดงดงั ภาพที่ 6.12  การจดั การธุรกิจดา้ นทรพั ยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

160 ภาพท่ี 6.12 หนา้ จอหลักเม่อื ผ้บู ริหารเขา้ สูร่ ะบบ ท่มี า (จินดา ยอดบ่อพลบั , 2558, หน้า 40) ภาพที่ 6.12 เป็นหน้าจอหลักเมื่อผู้บริหารเข้าสู่ระบบ ผู้บริหารจะสามารถใช้งานเกี่ยวกับ การอนุมัติหรือไม่อนุมัติเอกสารต่าง ๆ ของพนักงานท่ีส่งเข้ามาในระบบ ซึ่งผู้บริหารจะเห็นข้อมูลได้ด้วย หนา้ จอแดชบอรด์ ในส่วนงานนี้ผ้บู ริหารมสี ิทธ์ใิ นการค้นหาพนักงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ข้อมูลการลางาน รายการคาร้องอนุมัติการลา เปน็ ต้น ภาพที่ 6.13 หน้าจอหลกั เม่ือพนกั งานเขา้ สูร่ ะบบ ที่มา (จนิ ดา ยอดบ่อพลบั , 2558, หน้า 40) ภาพที่ 6.13 เปน็ ภาพหน้าจอหลักเมื่อพนักงานเข้าสู่ระบบ พนักงานจะใช้งานได้เกี่ยวกับเมนู การลางานของพนักงาน การแสดงข้อมูลการลางานปัจจุบันและย้อนหลัง โดยสามารถตรวจสอบสิทธ์ิ การลางานแตล่ ะประเภทของตัวเอง และข้อมลู รายละเอียดส่วนบุคคลของพนกั งาน ระบบสารสนเทศการจัดการทรัพยากรมนุษย์มีความสามารถในการเพิ่ม ลบ แก้ไข ปรับปรุง พิมพ์รายงาน และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เมื่อบริษัทได้นาระบบสารสนเทศน้ี เข้าไปใช้งานและมีการทดสอบการใช้งานแล้ว ผลปรากฏว่า พนักงานมีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์มากที่สุด  การจดั การธรุ กจิ ดา้ นทรพั ยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทัล

161 โดยพนักงานให้ความสาคัญทั้งในเรื่องของความน่าเชื่อถือของข้อมูล การลดระยะเวลาในการ ทางาน ความสะดวกในการใช้งาน และการตรวจสอบข้อมูล นอกจากความพึงพอใจแล้ว เมื่อ เ ป ร ีย บ เ ทีย บ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง า น เ ด ิม ก ับ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง า น ใ ห ม่ใ น แ ต่ล ะ ห น ้ า ที่จ ะ ช ่ว ย ล ด ระยะเวลาในการทางานดังน้ี 1. ระยะเวลาในการค้นหาและแก้ไขข้อมูลพนักงาน เดิมใช้เวลา 3-60 นาที หลังจากท่ีนา ระบบสารสนเทศเขา้ มาใชง้ าน ใชเ้ วลาเพียง 1 นาที 2. ระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลของผู้สมัครงาน เดิมใช้เวลา 5-10 นาที หลังจากท่ีนาระบบ สารสนเทศเขา้ มาใช้งาน ใช้เวลาเพียง 2 นาที นอกจากการประเมินผลด้านระยะเวลาแล้ว ยังได้มีการประเมินผลความถูกต้องข้อมูลการลางาน ของพนักงาน พบว่า ความน่าเชื่อถือของข้อมูลการลางานจากเดิมมีความผิดพลาด 2-3 ครั้ง/ปี หลังจากที่ นาระบบสารสนเทศเข้ามาใช้งาน ข้อมูลการลางานมีความน่าเช่ือถือและถูกต้องสมบูรณ์โดยไม่มี ข้อผดิ พลาดเกิดขึ้น จากตัวอย่างกรณีศึกษาข้างต้น จะเห็นว่าระบบสารสนเทศการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ได้ช่วยแก้ไขปัญหางานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านระยะเวลาที่น้อยลง และด้านความน่าเช่ือถือของข้อมูล สาหรับจุดเด่นของระบบสารสนเทศด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ แสดงดังภาพที่ 6.14 ระยะเวลาในการค้นหาและแก้ไขข้อมูลพนักงาน เดิมใช้ เวลา 3-60 นาที หลังจากท่ีนาระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ งาน ใช้เวลาเพยี ง 1 นาที จดุ เดน่ ของระบบสารสนเทศ ระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลของผู้สมัครงาน เดิมใช้เวลา ดา้ นการจัดการทรัพยากร 5-10 นาที หลังจากท่ีนาระบบสารสนเทศเข้ามาใช้งาน ใช้ เวลาเพียง 2 นาที มนุษย์ พนักงานสามารถตรวจสอบสิทธ์ิการลางาน ข้อมูลการลา งานปจั จบุ นั และยอ้ นหลัง และขอ้ มลู รายละเอียดส่วนบุคคล ของพนักงาน ผู้บริหารจะสามารถอนุมัติหรือไม่อนุมัติเอกสารต่าง ๆ ของ พนักงานท่ีส่งเข้ามาในระบบ เห็นข้อมูลด้วยหน้าจอแดชบอร์ด ผูบ้ รหิ ารมีสิทธิ์ในการคน้ หาพนกั งานได้ ระบบสารสนเทศเป็นฐานข้อมลู กลาง ซึ่งไม่ว่าผู้บริหาร พนักงาน ผู้สมัครงาน จะทางานหรือติดต่องานก็สามารถดาเนินการได้โดย ผา่ นระบบสารสนเทศรว่ มกัน ภาพท่ี 6.14 จดุ เด่นของระบบสารสนเทศดา้ นการจัดการทรพั ยากรมนษุ ย์ ที่มา (จนิ ดา ยอดบอ่ พลับ, 2558, หนา้ 2-40)  การจัดการธรุ กิจดา้ นทรัพยากรมนษุ ย์ด้วยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

162 จากกรณีศึกษาที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งาน จะต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน ดังนั้น การวางแผนการ พัฒนาบคุ ลากรในองค์การให้มีประสิทธิภาพอย่างท่ีองค์การต้องการ จะเป็นส่วนสาคัญในการผลักดัน องค์การไปสู่ความสาเร็จได้รวดเร็วย่ิงข้ึน หากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นไปตามแผนท่ีองค์การ คาดหวังไว้ บุคลากรภายในองค์การจะถูกพัฒนาอย่างถูกทาง บุคลากรจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนท่ี สาคัญขององค์การเพื่อทาให้องค์การสามารถรับมือกับทุกปัญหาอุปสรรคท่ีเข้ามาได้หรือสร้างความ เติบโตให้เกิดขน้ึ ได้  การจัดการธุรกิจดา้ นทรพั ยากรมนษุ ยด์ ว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

163 สรปุ ทา้ ยบท การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ปฏิบัติเก่ียวกับ งานนโยบาย ระเบียบและกรรมวิธีท่ีเกี่ยวกับบุคคลท่ีปฏิบัติงานในองค์การ โดยมีแนวคิดในการ ดาเนินการสรรหา การคัดเลือก บรรจุเข้าปฏิบัติงาน การฝึกอบรมและพัฒนา แรงงานสัมพันธ์ การ บริหารค่าจ้าง การประเมินผลปฏิบัติงาน และการเลื่อนตาแหน่ง เพ่ือให้ทรัพยากรมนุษย์มี ประสิทธภิ าพอยตู่ ลอดเวลา อิทธิพลสาคัญที่ส่งผลต่อกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ท่ีทาให้อดีตแตกต่างจาก ปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงาน กระแสโลกาภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจ ส่งผลให้ลักษณะการทางานเปล่ียนไปจากเดิม ในศตวรรษที่ 21 ถือว่าทุนมนุษย์เป็น ทรัพยากรท่ีสาคัญในโลกแห่งการแข่งขันการค้าสมัยใหม่ การรู้และเท่าทันการประยุกต์เทคโนโลยี ดิจิทัลสาหรับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ จึงกลายเป็นเคร่ืองมือสาคัญท่ีใช้พัฒนาศักยภาพมนุษย์ใน ยคุ ดิจิทลั การพฒั นาองค์การไปส่กู ารเปน็ องค์การอจั ฉริยะ ต้องอาศัยกลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในการเป็นกลไกขับเคล่ือนองค์การให้องค์การกลายเป็นเป็นองค์การที่ให้ความสาคัญกับการถ่ายทอด ความรู้ การจัดการความรู้ในองค์การ ในการดาเนินการการจัดการความรู้ในองค์กรนั้น ต้องได้รับการ สนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ความรู้ถูกนามาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติงาน มีระบบการตรวจสอบ วิเคราะห์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเพ่ือการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างขวัญและกาลังใจในการ ปฏิบัติงาน ส่งเสริมให้องค์การมีวัฒนธรรมการบริหารความรู้ บุคลากรท่ีเก่ียวข้องสามารถเข้าถึง ความรู้ได้ องค์การอัจฉริยะมีความเก่ียวข้องกับนวัตกรรม เพราะนวัตกรรมก่อให้เกิดความสาเร็จด้วย กระบวนการใหม่ ความคดิ วิธกี าร เคร่อื งมือใหม่ ซึ่งเครื่องมือที่สาคัญ ได้แก่ การวิเคราะห์สวอต และ การวเิ คราะห์ทาวน์ เมตรกิ ซ์ การวางแผนการพัฒนาบุคลากรในองค์การให้มีประสิทธิภาพอย่างที่องค์การต้องการ จะเป็น ส่วนสาคัญในการผลักดันองค์การไปสู่ความสาเร็จได้รวดเร็วย่ิงข้ึน หากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นไปตามแผนท่ีองค์การคาดหวังไว้ บุคลากรภายในองค์การจะถูกพัฒนาอย่างถูกทาง บุคลากรจะ กลายเป็นแรงขับเคล่ือนที่สาคัญขององค์การเพื่อทาให้องค์การสามารถรับมือกับทุกปัญหาอุ ปสรรคที่ เข้ามาได้หรือสรา้ งความเตบิ โตให้เกดิ ขนึ้ ได้  การจัดการธรุ กิจด้านทรัพยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 

164 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. การจัดการทรัพยากรมนษุ ย์ หมายความวา่ อย่างไร 2. จงอธบิ ายเกยี่ วกบั แนวคดิ เกยี่ วกบั การจัดการทรพั ยากรมนุษย์ 3. การคัดเลือกบคุ ลากรมีความสาคญั อย่างไรในกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 4. การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร ส่งผลดีตอ่ องค์การในภาพรวมอยา่ งไร 5. จงยกตัวอยา่ งเทคโนโลยีดิจิทลั ในอนาคตท่ีมแี นวโน้มส่งผลต่อการนามาใช้ในการจดั การทรพั ยากรมนษุ ย์ 6. กลยทุ ธก์ ารจัดการทรพั ยากรมนุษยส์ กู่ ารเปน็ องค์การอัจฉริยะ สามารถทาได้อย่างไร 7. องค์การอจั ฉรยิ ะมลี ักษณะอย่างไร 8. จากกรณศี กึ ษา จงสรุปขอ้ มลู สาคัญเกยี่ วกบั ปัญหาที่เกดิ ขึ้นในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ 9. จากกรณีศึกษา มีการนาระบบเทคโนโลยีใดเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพราะเหตุใดจึงเลอื กระบบน้ันเข้ามาใช้งาน 10. ในการนาระบบสารสนเทศเข้ามาใชง้ านในองค์การ ต้องคานงึ ถงึ ส่ิงใดบ้าง  การจดั การธรุ กจิ ด้านทรพั ยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

165 เอกสารอ้างองิ กิจจา บานชน่ื และกณกิ นันต์ บานชนื่ . (2559). หลักการจัดการ. กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชัน. คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ ี. (2563). บทเรยี นออนไลน์ Moodle. คน้ เมอื่ ธันวาคม 1, 2563, จาก http://lmsms.kru.ac.th/th/. จินดา ยอดบอ่ พลับ. (2558). ระบบสารสนเทศเพอ่ื ปรับปรงุ ประสทิ ธิภาพของการจัดการทรพั ยากร มนุษย์ของบรษิ ัท เน็กซเี่ ทคโนโลยี จากดั . ค้นเมื่อ ธนั วาคม 30, 2563, จาก http://www.msit.mut.ac.th/thesis/Thesis_2558/An%20Information%20System%20for %20Performance%20Improvement%20in%20%20Human%20Resource%20Manage ment%20of%20Nextzy%20Technologies..pdf. ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี. (2561). ภาวะผู้นาสาหรบั ผู้บรหิ ารองค์การ: แนวคดิ ทฤษฎีและกรณีศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ปัญญาชน. ฐาปนา ฉ่ินไพศาล. (2559). องค์การและการจัดการ. กรงุ เทพฯ: ธนธัชการพมิ พ์. ปราณี อศั วภษู ิตกลุ . (2553). การจดั และบริหารหอ้ งสมุดทัว่ ไป. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. พิชิต เทพวรรณ์. (2555). เครอ่ื งมือการจดั การทรพั ยากรมนษุ ยส์ มัยใหม่. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชัน. ภาณพุ ันธุ์ จันทรา, สุขมุ พรมเมืองคุณ และกติ ิศกั ด์ิ เสนานชุ . (2560). ความเป็นองค์กรอัจฉรยิ ะของ โรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาเลยเขต 1. สกั ทองวารสารมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ 23 (1): 24-37. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกาญจนบุรี. (2562). ระบบฐานข้อมลู บุคลากร.คน้ เมอ่ื พฤษภาคม 21, 2562, จาก http://eoffice.kru.ac.th/e-personnew/index.htm. มที ดอท กูเกิล้ . (2563). การประชุมผา่ นสื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์. คน้ เมื่อ ธนั วาคม 30, 2563, จาก https://meet.google.com/?hs=197&pli=1&authuser=0. รุจิจนั ทร์ วชิ ิวานเิ วศน์. (2560). สารสนเทศทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชัน. ศักดิด์ า ศิรภิ ทั รโสภณ. (2560). พื้นฐานธุรกจิ . ขอนแกน่ . มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สุภารดี ชวลิตสุนทร. (2550). การนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์. สารนพิ นธว์ ทิ ยาศาสตร์มหาบณั ฑิต คณะพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ สถาบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร.์ สมุ ิตร สุวรรณ. (2561). กลยทุ ธ์การพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์และองค์การ. นครปฐม: เพชรเกษมพร้ินติ้ง กรปุ๊ . สรุ มงคล น่ิมจติ ต์ และธีระวฒั น์ จนั ทึก. (2559). การจดั การทรพั ยากรมนษุ ยเ์ ชิงกลยทุ ธก์ ับการเปน็ องค์การศักยภาพสูง. Veridian E-Journal, Silpakorn University 9 (2): 1-13. Weihrich, H. (1982). The TOWS matrix-a tool for situational analysis. Journal of Long Range Planing, Vol. 15 No. 2. Jobtopgun. (2563). เว็บไซตค์ ้นหาและสมัครงาน. ค้นเมอื่ ธนั วาคม 20, 2563, จาก https://www.jobtopgun.com/.  การจดั การธรุ กจิ ดา้ นทรัพยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

166 “การนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งานจะต้องพบกับปัญหาและ อุปสรรคต่าง ๆ ในช่วงที่มีการเปล่ียนผ่าน ดังน้ัน การวางแผนการพัฒนาบุคลากรใน องค์การให้มีประสิทธิภาพอย่างที่องค์การต้องการ จะเป็นส่วนสาคัญในการผลักดัน องคก์ ารไปสู่ความสาเร็จได้รวดเรว็ ยิ่งขึน้ หากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นไปตามแผน ที่องค์การคาดหวังไว้ บุคลากรภายในองค์การจะถูกพัฒนาอย่างถูกทาง บุคลากรจะ กลายเป็นแรงขับเคล่ือนท่ีสาคัญขององค์การเพ่ือทาให้องค์การสามารถรับมือกับทุก ปญั หาอปุ สรรคที่เขา้ มาไดห้ รอื สรา้ งความเตบิ โตใหเ้ กดิ ขึน้ ได้”  การจัดการธุรกจิ ดา้ นทรัพยากรมนษุ ยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

บทท่ี 7 การจัดการธุรกิจดา้ นการผลติ และการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล การจัดการธุรกิจด้านที่สาคัญอีกประการหน่ึง คือ การจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการ ดาเนินงาน บางตาราเรียกว่า การผลิตและการปฏิบัติการ สาหรับในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนขอใช้คาว่า การผลิตและการดาเนินงาน (production and operations) ซึ่งการจัดการธุรกิจด้านการผลิตและ การดาเนินงานถือว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานสาหรับการจัดการธุรกิจเกือบทุกประเภท การผลิตและการ ดาเนินงานเป็นหน้าที่สาคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน สร้างความพึงพอใจ ให้กับกลุ่มเปูาหมายทั้งในส่วนลูกค้า พนักงาน และสังคม ท้ังนี้สามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันอย่างยั่งยืน ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจท่ีเปล่ียนแปลงแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะ เทคโนโลยีดิจิทัล กิจกรรมการผลิตและการดาเนินงานถูกปรับเปล่ียนโดยเฉพาะเครื่องจักร อุปกรณ์ ตา่ ง ๆ ท่ใี ช้ในกิจกรรมถูกควบคุมการทางานด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีเทคโนโลยีดิจิทัลจานวน มากที่ถูกนามาใช้งานแทนที่แรงงานมนุษย์ โดยมนุษย์เป็นเพียงผู้ท่ีคอยกากับและควบคุมการทางาน เทคโนโลยดี จิ ิทลั จงึ เปน็ แนวโน้มใหมท่ ี่เปน็ ความทา้ ทายในกระบวนการผลิตและการดาเนินงานรวมไป ถึงการใหค้ วามสาคัญกบั จรยิ ธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการผลิตและการ ดาเนินงาน สาหรับเน้อื หาในบทน้ปี ระกอบด้วย แนวคิดการจัดการผลติ และการดาเนินงาน การจัดการ ธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล แนวโน้มใหม่และความท้าทายระบบการ ผลิตและการดาเนินงาน การจัดการผลิตและการดาเนินงานกับความรับผิดชอบต่อสังคม กรณีศึกษา การจดั การผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยีดจิ ิทลั โดยมรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ แนวคิดการจัดการผลิตและการดาเนินงาน การผลิตและการดาเนินงาน เป็นหน้าที่สาคัญประการหนึ่งในการจัดการภายใน สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงานเป็นพื้นฐานสาคัญที่ภาค ธรุ กจิ ใชป้ ฏิบัติการแปลงสภาพวตั ถดุ ิบให้เป็นสินคา้ หรอื บริการเพ่ือสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการดาเนินงานที่มีต่อกลุ่มเปูาหมาย โดยมีผู้จัดการด้านการผลิตและการดาเนินงานเป็นผู้ทาหน้าที่ ในการวางแผนและออกแบบในกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีมาตรฐาน สาหรับ ความหมายของการจัดการผลิตและการดาเนินงาน มีผูใ้ หค้ วามหมายไวด้ งั นี้ รุจิจันทร์ วิชิวานิเวศน์ (2560, หน้า 156) อธิบายว่า การจัดการผลิตและการดาเนินงาน หมายถึง การจัดการในกระบวนการสร้างมูลค่าให้กับการแปรรูปปัจจัยการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์อัน ทรงคุณค่า ส่งตรงถึงมือลูกค้าหรือผู้บริโภค และเป็นส่วนในการผลักดันการดาเนินงานด้านการตลาด เป็นไปอย่างราบร่ืน โดยมีเปูาหมายเพ่ือให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพและสร้างความพึงพอใจ ระยะยาว

168 ศักดิ์ดา ศิรภิ ัทรโสภณ (2560, หน้า 330-331) อธิบายว่า การจัดการผลิตและการดาเนินงาน หมายถึง กิจกรรมพื้นฐานหนึ่งในกระบวนการจัดการทรัพยากรภายในองค์การ ประกอบด้วยการวาง แผนการผลิต การจัดซ้ือวัตถุดิบ การออกแบบการใช้อุปกรณ์การผลิต เพ่ือแปลงวัตถุดิบให้เป็นสินค้า หรือบริการตามทผ่ี ูบ้ รโิ ภคต้องการ สัญชัย ล้ังแท้กูล (2561, หน้า 6) อธิบายว่า การจัดการผลิตและการดาเนินงาน หมายถึง กระบวนการจดั การดาเนินงานในข้นั ตอนการผลิต 4 ด้าน ได้แก่ ด้านปัจจัยนาเข้า กระบวนการแปลง สภาพ ผลติ ผล และการควบคมุ ผเู้ ขียนสรุปไดว้ ่า การจัดการผลิตและการดาเนินงาน หมายถึง ศาสตร์ท่ีเป็นความสามารถใน การจัดการที่ประกอบด้วยการวางแผน การจดั โครงสร้างองคก์ าร การนา และการควบคุม เพื่อแปรรูป ปัจจัยการผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นสินค้าหรือบริการ ส่งตรงถึงมือลูกค้าหรือผู้บริโภคตามต้องการ ภายใต้กระบวนการ 4 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ผลิตผล และการควบคุม เปูาหมายท่ี สาคัญ คือ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างย่ังยืนขององค์การ จากความหมายโดยสรุป แสดง ใหเ้ หน็ ถึงองค์ประกอบของการจดั การผลิตและดาเนินงาน แสดงดงั ภาพท่ี 7.1    ปัจจยั นาเข้า กระบวนการ ผลติ ผล (input) (transformation process) (output) ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั  ข้อมลู ย้อนกลบั การควบคมุ (feedback) (feedback) (control) การจัดการธรุ กจิ การวางแผน การจดั โครงสร้าง การนา และการควบคุม ภาพที่ 7.1 องคป์ ระกอบของการจดั การผลติ และการดาเนินงาน ท่มี า (สัญชัย ลง้ั แท้กูล, 2561, หน้า 5) จากภาพที่ 7.1 การจัดการผลติ และการดาเนินงานมีองค์ประกอบ 4 ด้าน มีส่วนเก่ียวข้องกับ การผลิตการแปรสภาพจากปจั จัยนาเข้าเพอ่ื ให้ได้ผลิตผลท่ีลูกค้าพึงพอใจ โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ ใน กระบวนการผลิตดงั น้ี 1. ปัจจัยนาเข้า (input) ได้แก่ วัตถุดิบ (material) แรงงาน (man) เครื่องจักร (machine) เงินทุน (money) และระบบการจดั การ (management) โดยเรยี กวา่ 4M ซึ่งเปน็ ทรัพยากรพื้นฐานท่ี สาคญั ในการจัดการธุรกจิ  การจัดการธรุ กจิ ด้านการผลิตและการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

169 2. กระบวนการแปลงสภาพ (transformation process) เป็นกระบวนการเปล่ียนปัจจัย นาเขา้ ให้กลายเป็นผลิตผลหรอื เรียกวา่ เปน็ การเพ่ิมมลู ค่าใหส้ งู ขน้ึ เช่น การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพวั ตถุดิบ การเปลี่ยนแปลงด้วยการขนส่ง การแลกเปล่ียนการค้า การให้ความรู้ข่าวสาร และ การ ให้บรกิ ารด้วยอารมณแ์ ละจติ ใจที่ดี 3. ผลิตผล (output) เป็นผลท่ีได้จากการแปลงสภาพปัจจัยนาเข้าจนกลายเป็นส่ิงท่ีเรียกว่า สินค้าและบริการ ทต่ี รงกับความตอ้ งการของกลุ่มเปูาหมาย 4. การควบคุม (control) เป็นกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานเพ่ือตรวจสอบว่าสินค้า และบริการท่ีผลิตออกไปตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ ต้นทุน และการ ส่งมอบทตี่ รงเวลา ซ่ึงการควบคุมนี้จะควบคุมตรวจสอบตั้งแต่กระบวนแรกจนถึงกระบวนการสุดท้าย เพ่ือนาขอ้ มูลมาปรับปรงุ แก้ไขตน้ เหตุไดท้ ันท่วงที การจัดการผลิตและการดาเนินงานใหค้ วามสาคญั กบั คณุ ภาพเป็นอันดับหน่ึง มีวัตถุประสงค์เพื่อ สรา้ งความพึงพอใจกับลูกค้า ควบคุมต้นทุนในการผลิตที่เหมาะสม ควบคุมการส่งมอบตรงเวลา ใส่ใจกับ กระบวนการผลิตที่มีความปลอดภัยต่อพนักงาน สร้างขวัญกาลังใจในการปฏิบัติงานด้วยการมีสิ่งอานวย ความสะดวกที่เพียงพอ บรรยากาศท่ีเหมาะสม ผลตอบแทนท่ีเป็นธรรม และการมีจิตสานึกต่อการ รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หากสรุปในภาพรวมเปูาหมายการจัดการผลิตและการดาเนินงานมี ความเกย่ี วข้องกับกลมุ่ คนท้ัง 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ลูกค้า พนกั งาน และสังคม ซงึ่ แสดงดังภาพที่ 7.2 ลกู ค้า พนักงาน สังคม คุณภาพ ต้นทนุ การสง่ มอบ ความปลอดภัย ขวญั กาลังใจ สิ่งแวดล้อม จริยธรรม ภาพที่ 7.2 กลุ่มคนทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั เปาู หมายของการผลิตและการดาเนนิ งาน ท่มี า (สญั ชยั ล้งั แทก้ ลู , 2561, หน้า 10) การจัดการผลิตมีความสาคัญต่อการผลิตอย่างมาก เพราะการจัดการผลิตจะเป็นการสรรหา วธิ ชี ว่ ยให้กระบวนการผลิตมีความสะดวก มีประสิทธิภาพ เพ่ือสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพให้มี ปริมาณทีเ่ พยี งพอกบั ความตอ้ งการในเวลาหนงึ่ ๆ ท้งั น้ีจักตอ้ งเสยี ค่าใช้จา่ ยท่ีน้อยท่ีสุดและสร้างกาไรมากขึ้น การจัดการผลิตมีสาระสาคัญที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่มีการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา ดังน้ี (ยุทธ์ ไกยวรรณ์, 2550, หน้า 44-45) 1. กระบวนการผลติ เปล่ียนจากทาดว้ ยมอื เป็นเครอื่ งจักร 2. การผลติ ท่ีไดป้ รมิ าณจานวนมาก เพื่อลดตน้ ทนุ การผลิตต่อหนว่ ย 3. การกากบั มาตรฐานการผลิตใหม้ ีคุณภาพในทุกขน้ั ตอน  การจดั การธุรกิจดา้ นการผลิตและการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 

170 4. การผลติ ที่มผี เู้ ชยี่ วชาญเฉพาะด้านเปน็ ผกู้ ากบั ดูแลกระบวนการผลติ 5. การนาเครอื่ งจกั รระบบอัตโนมัตเิ ข้ามาใช้ในกระบวนการผลติ 6. การผลิตทเ่ี กิดจากผลการวิจยั และพัฒนา สาหรับในส่วนการจดั การดาเนนิ งานเป็นพืน้ ฐานหนา้ ท่หี ลักในองค์การ การจัดการดาเนินงาน จึงมีความสาคัญต่อการจัดการทรัพยากรองค์การและเป็นหนทางในการเพิ่มผลิตภาพองค์การ การจัดการดาเนินงานมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต จึงทาให้มีส่วนท่ีต้องรับผิดชอบในเรื่อง ต้นทุนที่สูง หากการจัดการดาเนินงานในกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลให้องค์การมี โอกาสได้รับผลกาไรท่ีสูงข้ึนตามไปด้วย การทาให้เป็นองค์การแห่งผลิตภาพ (productive enterprise) จักต้องอาศัยการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ในการจัดการดาเนินงานด้านการผลิต ประกอบด้วยรายละเอียดการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการออกแบบสินค้าและบริการ คุณภาพ การออกแบบกระบวนการผลติ การเลือกทาเลที่ตงั้ การผลิต การวางแผนผังในองค์การ การมอบหมาย งานท่ีเหมาะสม การจัดการโซ่อุปทาน สินค้าคงคลัง ตารางการทางาน และการบารุงรักษา โดยการ ตัดสนิ ใจเชิงกลยุทธ์ในดา้ นต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องกับการจัดการผลิตและการดาเนนิ งาน มีรายละเอียดดังน้ี (ศักดิ์ดา ศริ ิภทั รโสภณ, 2560, หนา้ 337-340) 1. การออกแบบสินค้าและบริการ การตดั สนิ ใจเชิงกลยุทธใ์ นการออกแบบสินค้าและบริการ ต้องคานึงถึงต้นทุนและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการควบคุมมาตรฐานการออกแบบ ซึ่ง ต้นทุนที่เกิดจากการผลิตจะส่งผลต่อการต้ังราคาท่ีเหมาะสม ผลิตภัณฑ์เป็นได้ทั้งสินค้าท่ีจับต้องได้ และอาจเป็นบรกิ ารท่จี ับตอ้ งไม่ได้แต่เปน็ การได้รับความพึงพอใจจากลกู ค้า 2. คุณภาพ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ของสินค้าและบริการ ลูกค้า จะมีความคาดหวังต่อคุณภาพของสินค้าและบริการ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซ้ือ ผู้บริหารต้องสร้าง มาตรฐานในคณุ ภาพการผลิตรวมถึงมาตรฐานในลักษณะทเ่ี ปน็ ความร้สู ึกท่ีมีต่อสินค้าและบรกิ าร 3. การออกแบบกระบวนการผลิต การตัดสินใจเชงิ กลยทุ ธ์ในการออกแบบกระบวนการผลิต จะพิจารณาถึงทรัพยากรที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ทรัพยากรมนุษย์ท่ีเหมาะสม การบารุงรักษาเครื่องจักร เพราะกระบวนการผลติ เป็นส่วนท่ีเกย่ี วขอ้ งกับค่าใช้จา่ ยทีเ่ กดิ ขน้ึ ทีเ่ รียกว่า ต้นทุน 4. การเลือกทาเลที่ตั้งการผลิต การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการเลือกทาเลที่ตั้งการผลิต เป็นการตัดสินใจเลือกทาเลที่คิดว่าสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ โดย พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ แหล่งหมุนเวียน หรือแหล่งกระจายสินค้า เส้นทางคมนาคมขนส่งท่ีสะดวกสบาย อยู่ในพ้ืนท่ีที่สามารถจัดหาแรงงาน คุณภาพได้ ทัศนคติของคนในชุมชน การเข้าถึงบริการสาธารณะ สภาพแวดล้อมของทาเลท่ีต้ังมี ความสาคัญอย่างมากโดยเฉพาะอากาศและน้า ส่วนที่สาคัญรองลงมาก็คืออุณหภูมิ เสียง และแสง ตน้ ทนุ เกีย่ วกับคา่ ที่ดินในทาเลน้นั ๆ และงบประมาณการก่อสร้าง 5. การวางแผนผังในส่วนงานผลิต การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการจัดวางตาแหน่งของ เคร่ืองมืออุปกรณ์เครื่องจักรท่ีสาคัญและจาเป็นต่อกาลังการผลิต การวางแผนผังของตาแหน่ง เครื่องจักรตอ้ งคานงึ ถงึ ความสะดวกในการไหลของวัตถุดบิ ทส่ี ง่ ผลต่อกาลงั การผลติ 6. การมอบหมายงานที่เหมาะสม การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการมอบหมายงานที่ เหมาะสมโดยจะมีความเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ เพราะทรัพยากรมนุษย์ถือว่าเป็นปัจจัยท่ีสาคัญ  การจัดการธรุ กจิ ด้านการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั 

171 ในการขับเคล่ือนระบบการผลิต ตัดใจเกยี่ วกับการวางแผน ลาดบั การผลติ กาลังคน ท้ังน้ี เพ่ือเป็นการ ลดตน้ ทนุ ลดระยะเวลา ลดของเสีย เพื่อใหก้ ระบวนการผลิตมีประสิทธภิ าพสูงสุด 7. การจัดการโซ่อุปทาน การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งต้องพิจารณา ต้ังแต่เร่ิมกระบวนการผลิตต้นน้า กลางน้า และปลายน้า กาหนดตารางการผลิต กระบวนการผลิต และจนถงึ การส่งมอบได้ทนั เวลา 8. สินค้าคงคลัง การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการจัดการสินค้าคงคลัง ในทางบัญชีถือว่า สินคา้ คงคลังเปน็ ต้นทุน ดงั นั้น ต้องพิจารณาและตัดสินใจในการคาดการในการปริมาณความต้องการ ของผูบ้ ริโภค การจดั ส่งของผจู้ ดั หาวัตถดุ บิ ตารางการผลิต และการวางแผนทรพั ยากรมนุษย์ 9. ตารางการทางาน การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการจัดตารางทางานให้พิจารณาถึงในส่วน กาลังการผลติ ความตอ้ งการของผ้บู รโิ ภค และการจัดการระดบั สนิ คา้ คงคลงั 10. การบารงุ รักษา การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการบารุงรักษาเป็นกิจกรรมที่ทาให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์สามารถผลิตสินค้าได้อย่างราบรื่นตามตารางการทางานที่ได้วางแผนไว้ให้เครื่องจักร ทางานได้อยา่ งมีมาตรฐานอยา่ งสม่าเสมอ ทั้งนแ้ี ลว้ ในสว่ นทีก่ ลา่ วข้างต้นจะเน้นไปในเรอื่ งของผลิตภัณฑท์ ่ีเป็นสินค้าที่จับต้องได้ แต่ยังมี ในส่วนทีเ่ ปน็ บรกิ ารท่ีไมใ่ ช้สินค้าทจ่ี ับต้องได้ จะต้องพจิ ารณาให้ได้ว่าหากเป็นบริการแล้วกระบวนการ ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ท้ัง 10 ข้อนั้น สามารถพิจารณาอย่างไร เช่น หากเป็นบริการจะวัดผลกันท่ีความ พงึ พอใจจากลูกค้า ความรู้สึกท่ีได้รับจากมาตรฐานการบริการ สามารถออกแบบบริการได้ด้วยตนเอง แม้แตก่ ารปฏสิ ัมพันธ์ท่ีดจี ากลกู คา้ เปน็ ต้น ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพื้นฐานการเพิ่มผลิตภาพของเศรษฐกิจ ในศตวรรษที่ 21 โลกกาลังเข้าสู่ดิจิทัล เทคโนโลยีที่มีความสามารถการประมวลผลข้อมูลจานวนมาก ทาให้วิธีการ ทางานต่าง ๆ เปล่ียนแปลงไป ดังน้ัน ธุรกิจหรือองค์การต่าง ๆ จึงต้องมีการปรับเปล่ียนด้วยการใช้ เทคโนโลยดี ิจิทลั เพ่ือใหย้ ังสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ จะต้องควบคุมการใช้เทคโนโลยี การควบคุม คุณภาพด้วยวงจรคุณภาพ เป็นกระบวนการสาคัญเป็นกิจกรรมการปรับปรุงและการควบคุมท่ีเป็น ระบบซ่ึงเป็นไปตามวงจรจะประกอบด้วย การวางแผน การนาไปใช้ปฏิบัติ ตรวจสอบ และการปฏิบัติการ แก้ไข ซ่ึงจะเร่ิมจากการทาการวางแผน การนาแผนท่ีวางไว้มาปฏิบัติ ตรวจสอบผลลัพธ์ท่ีได้รับ และ ถ้าผลลพั ธ์ไม่ไดต้ ามทคี่ าดหมายไว้ จะมีการทบทวนแผนการเร่มิ ตน้ ใหม่อีกครง้ั หนึ่ง จากแนวคิดการจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงาน จะพบว่ากระบวนการผลิตใน ปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปจากเดิมมาก มีการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในเรื่องการตัดสินใจการ ผลิต มีระบบควบคุมเคร่ืองจักรอัตโนมัติ เทคโนโลยีการผลิตจะช่วยผู้บริหารในเร่ืองการตัดสินใจใน กระบวนการผลิตและการดาเนินงานอย่างมีแบบแผน นอกจากน้ันยังมีระบบสนับสนุนผู้บริหารเพื่อช่วย ผู้บริหารในการตดั สนิ ใจเชิงกลยทุ ธ์ประกอบการวางแผนการผลติ และการดาเนินงานอีกดว้ ย  การจดั การธุรกจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล

172 การจดั การธรุ กิจด้านการผลิตและการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยีดจิ ิทลั การจดั การธรุ กิจด้านการผลิตและการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล มีกระบวนการทางธุรกิจ ในการนาระบบสารสนเทศเข้ามาประมวลผลสารสนเทศทางการผลิต กระบวนการประกอบด้วยการ ออกแบบ การวางแผน การจดั การการดาเนินงาน และการควบคมุ การผลติ เม่อื มกี ารนาระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยในการจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงาน จึงสามารถจาแนกระบบที่ใช้ในการจัดการออกเป็น 5 ระบบ ได้แก่ ระบบการออกแบบการผลิต ระบบ การวางแผนการผลิต ระบบการจดั การด้านการขนสง่ วตั ถุดิบ ระบบการดาเนินงานการผลิต และระบบ การควบคุมการผลิต โดยแต่ละระบบมีรายละเอียดดังนี้ (รุจิจนั ทร์ วิชิวานิเวศน,์ 2560, หน้า 166-175) 1. ระบบการออกแบบการผลิต เป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ซ่ึงมี รายละเอยี ดเก่ียวกับรูปลกั ษณ์ คุณสมบัตขิ องสินค้า มีการทางานร่วมกับฝุายวิจัยตลาดท่ีทาหน้าท่ีวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และยังเก่ียวข้องกับการ ออกแบบระบบการผลิตเพื่อเลือกรูปแบบกระบวนการผลิตที่มีความหลากหลายจะมีความเหมาะสม กับความต้องการผลิตภัณฑ์ของลูกค้าแต่ละราย แนวความคิดรูปแบบระบบการผลิตในยุคใหม่จะมี ลักษณะทีม่ ุ่งเน้นการลดต้นทนุ การผลติ และการเพม่ิ คุณภาพของตัวผลผลิต 2. ระบบการวางแผนการผลิต เป็นการวางแผนในการผลิตทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว และมีการนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสนับสนุนส่วนงานต่าง ได้แก่ งานวางแผนการผลิตรวม การจดั ตารางการผลติ การวางแผนความต้องการวัสดุ การวางแผนทรัพยากรการผลิต 3. ระบบการจัดการดา้ นการขนส่งวัตถุดิบ เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการรับคาส่ังซื้อ การจัดซื้อ จัดหาวัสดุ การตรวจรับวัสดุช้ินส่วนการผลิต การควบคุมติดตามบารุงรักษาวัสดุต่าง ๆ การจัดการ สนิ คา้ คงเหลอื ในคลงั 4. ระบบการดาเนินงานการผลิต เป็นกระบวนการในการผลิตสินค้าตามการออกแบบ เป็นกระบวนการในการแปรรูปวัสดุให้เปน็ สินค้าตามความตอ้ งการของลูกค้า โดยท่ัวไปกระบวนการน้ี จะเก่ียวข้องกับการสั่งการผลิต การมอบหมายงานการผลิต ความสมดุลสายการผลิต มาตรฐานการผลิต ตลอดจนการปรับปรุงการผลิต ปัจจุบันมีการนาเทคโนโลยีเขามาช่วยในการดาเนินงานการผลิต เช่น คอมพิวเตอร์ชว่ ยผลิต การผลติ แบบผสมผสานดว้ ยคอมพวิ เตอร์ และการผลติ แบบยดื หย่นุ เปน็ ต้น 5. ระบบการควบคุมการผลิต เป็นกระบวนการท่ีควบคุมกระบวนการผลิตให้เป็นไปตาม แผนการผลติ โดยใช้ระบบสารสนเทศเขา้ มาช่วยในการควบคมุ การผลิต ในกระบวนการน้ีมีการควบคุม ปฏิบัติการในองค์ประกอบกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ อุปกรณ์ แรงงาน คาสั่งการผลิต การควบคมุ เคร่ืองจักรการผลิต นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงการควบคุมคุณภาพการผลิต ปฏิบัติการ ควบคุมการผลิตเพื่อนาไปสู่การคุมต้นทุนค่าวัสดุแรงงาน ลดการสูญเสียระหว่างการผลิต และ การบารงุ รักษาเครอื่ งจักร และอปุ กรณ์ต่าง ๆ ท่เี กี่ยวข้อง จากระบบต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตและการดาเนินงาน จะพบว่า เป็นกลไกการทางานท่ีมี ความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งต่อเนอื่ ง เราสามารถนาเทคโนโลยีดิจิทัลทางการผลิตเข้ามาช่วยในการจัดการ ผลิตและการดาเนินงานในระบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลผลิตที่ดีต่อการพัฒนาผลิตผลของธุรกิจ โดยเฉพาะชว่ ยในการประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกบั การออกแบบผลติ ภณั ฑใ์ หม่ ปรับปรุงกระบวนการ  การจัดการธรุ กจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทัล

173 ผลิตในข้ันตอนต่าง ๆ สินค้าในคงคลัง และรวมไปถึงการควบคุมต้นทุนการผลิตอีกด้วย การเพิ่ม ประสิทธิภาพให้ระบบการผลิตมีด้วยกันหลายวิธี ซ่ึงหน่ึงในวิธีการนั้น คือ การจัดการด้วยเทคโนโลยี ดิจิทลั เทคโนโลยีการผลิตได้เริ่มเข้ามามีส่วนสาคัญในระบบการผลิตมากข้ึนตามยุคสมัย ซึ่งจะเห็นได้ จากการท่ีภาคอุตสาหกรรมการผลิตนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น โปรแกรมสาเร็จรูป หุ่นยนต์ รหัสแท่ง ระบบอินเทอร์เน็ต การออกแบบการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการผลิต แบบยืดหยุ่น การผลิตแบบผสมผสานด้วยคอมพิวเตอร์ ระบบบูรณาการทางการผลิต และระบบการ แลกเปล่ียนขอ้ มูลผา่ นสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เปน็ ต้น หากจะกล่าวถึงเทคโนโลยีทางการผลิตที่สาคัญ รุจิจันทร์ วิชิวานิเวศน์ (2560, หน้า 176) ได้ แนะนาโปรแกรมสาเร็จรูปทางการผลิต ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ได้แก่ โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการ จัดการโลจิสติกส์ ด้านการควบคุมสินค้าคงเหลือ ด้านการวางแผนความต้องการวัตถุดิบ ด้านการ วางแผนทรัพยากรการผลิต และด้านการผลิตแบบทันเวลาพอดี โดยแต่ละโปรแกรมจะมีลักษณะการ ทางานในรปู แบบฐานข้อมลู ท่ีมกี ารใชง้ านร่วมกันได้บนระบบการจัดการฐานข้อมูล ซ่ึงแต่ละโปรแกรม มหี นา้ ที่แตกต่างกนั ดังน้ี 1. โปรแกรมสาเรจ็ รูปดา้ นการจัดการโลจิสติกส์ โปรแกรมจะทาหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรมโลจิสติกส์ ได้แก่ การขนส่งวัตถุดิบการผลิต การขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า การขนส่งในคลังสินค้า ซึ่งโปรแกรมจะ ทาหน้าท่ชี ่วยอานวยความสะดวกในการแสดงข้อมลู เวลา รอบการขนสง่ ตา่ ง ๆ 2. โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการควบคุมสินค้าคงเหลือ โปรแกรมจะทาหน้าท่ีตัดสินใจในการ จดั การสนิ คา้ คงเหลอื แบบอตั โนมตั ดิ ้วยระบบสนับสนุนการตดั สินใจ 3. โปรแกรมสาเร็จรปู ดา้ นการวางแผนความต้องการวัตถุดิบ โปรแกรมจะทาหน้าท่ีวางแผน จดั หาวัตถดุ บิ วัสดุ ชิน้ สว่ น ทีเ่ ป็นองค์ประกอบของเครอ่ื งจกั ร 4. โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการวางแผนทรัพยากรการผลิต โปรแกรมนี้ถูกพัฒนามาจาก โปรแกรมสาเรจ็ รปู ดา้ นการวางแผนความต้องการวตั ถุดบิ โปรแกรมได้พัฒนาส่วนเพ่ิมเติมจากเดิม คือ การออกรายงานสารสนเทศเพ่ือนาเสนอต้นทุนการผลิต กระแสเงินสดจ่ายในการซ้ือช้ินส่วนการผลิต ตน้ ทนุ แรงงาน เครื่องมอื และคา่ ซ่อมแซมอปุ กรณ์ 5. โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการผลิตแบบทันเวลาพอดี โปรแกรมถูกนามาใช้ในการผลิตแบบ สั่งทาปริมาณมาก และผลิตตามส่ัง โปรแกรมนี้พัฒนาข้ึนเพื่อแก้ไขปัญหาการสูญเสียทรัพยากรการ ผลิตใหม้ ีปริมาณทน่ี ้อยลงเพอ่ื นาไปสู่การปรับปรงุ กระบวนการผลติ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากย่งิ ขน้ึ มีวัตถุดิบที่เป็นหัวใจสาคัญในการดาเนินงานการผลิต เม่ือมีวัตถุดิบที่มีปริมาณมากเกินไป หรือน้อยเกินไปย่อมส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย และมีผลต่อแผนกระบวนการผลิตซึ่งจะทาให้สูญเสีย โอกาสทางธุรกิจ ดังน้ัน การวางแผนเก่ียวกับวัตถุดิบจึงมีความสาคัญต่อกระบวนการผลิต โปรแกรม สาเร็จรูปทางการผลิตจึงไดถ้ กู พฒั นาข้นึ เพอ่ื ช่วยแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ในกระบวนการผลติ โปรแกรมสาเร็จรูปทางการผลิตมีการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเข้ามาช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพของโปรแกรม ทั้งนี้ เพื่อให้โปรแกรมสามารถทาหน้าที่ปรับปรุงงานด้านการจัดการผลิต และการดาเนินงานและจัดการกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ถูกนาไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานท่ีหลากหลายในธุรกิจ ลักษณะของระบบสนับสนุนการ ตัดสนิ ใจมผี ู้อธบิ ายไว้ ดงั นี้  การจัดการธุรกจิ ดา้ นการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล

174 สุพรรษา ยวงทอง (2557, หน้า 220) อธิบายว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นระบบที่ ช่วยในการตดั สินใจของการจัดการระดบั กลางและระดบั สูง ช่วยใหเ้ กดิ ความงา่ ยในการตดั สินใจในการ แข่งขันการประกอบธุรกิจ เพ่ือให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน และยังช่วยแก้ไขปัญหาอย่าง ทันท่วงที สัลยุทธ์ สว่างวรรณ (2560, หน้า 453) อธิบายว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นการสร้าง แบบจาลองทางคณิตศาสตร์หรือแบบจาลองการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือการดาเนินการทดสอบ สถานการณ์สมมุติ หรอื การวิเคราะห์ชนิดอน่ื ๆ ท่เี รียกวา่ what-if analysis โอภาส เอ่ียมสิริวงศ์ (2560, หน้า 42) อธิบายว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นการ จาลองกิจกรรมท่จี ะตัดสินใจอยูใ่ นโปรแกรมจากน้ันทาการเปรียบเทียบ และสร้างสารสนเทศเพื่อช่วย รวบรวมความเช่ียวชาญและทางเลือกที่ดีท่ีสุดสาหรับการลงทุนทางการเงิน กลยุทธ์การตลาด และ การอนมุ ัตสิ ินเชื่อ เปน็ ต้น วศนิ เพมิ่ ทรัพย์ (2561, หนา้ 171) อธิบายว่า ระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจ เป็นระบบที่นามา ชว่ ยตัดสนิ ใจสาหรับผบู้ รหิ ารระดับกลางและระดับสงู ชว่ ยใหบ้ คุ ลากรในระดับน้ัน ๆ สามารถตัดสินใจ ได้ง่าย รวดเร็ว และถูกต้อง เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งมีการวิเคราะห์หรือ พยากรณ์ค่าทางสถิติเพ่ือชว่ ยใหต้ ัดสนิ ใจได้ง่ายข้นึ และนามาปรับใช้กบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (decision support system) หรือดีเอสเอส (DSS) เป็นระบบ ย่อยหนงึ่ ในระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ (management information system) ช่วยผู้บริหารใน เรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างอย่างมีแบบแผน มุ่งแก้ไขปัญหาเพ่ือให้เกิดประโยชน์ อย่างแทจ้ ริง เลือกทางเลือกท่ีดีท่ีสุดในการตัดสินใจ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจจะใช้กับบุคคล เดียวหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งมี การวเิ คราะห์หรอื พยากรณ์คา่ ทางสถิติเพ่ือช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายข้ึน และนามาปรับใช้กับสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ได้ นอกจากนนั้ ยังมรี ะบบสนบั สนนุ ผูบ้ รหิ ารเพ่ือช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการ วางแผนการผลิตและการดาเนินงาน บางครง้ั ทผี่ ้บู รหิ ารจาเป็นต้องมีการตัดสินใจในระดับการวางแผน บริหารงาน จะมปี ัจจยั ต่าง ๆ เขา้ มาประกอบมากมายและมีความซับซ้อน หากมีการนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจไปใช้ในองค์การอย่างเต็มรูปแบบ จะสามารถช่วยงาน ของผู้บริหารสามารถดาเนินการอย่างอัตโนมัติ ช่วยการพยากรณ์ การหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาท่ี เกิดขึ้น ระบบจะช่วยแบ่งเบาลดเวลาการตัดสินใจ เพิ่มความถูกต้องและช่วยงานด้านการตัดสินใจได้ดี ย่ิงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจเข้ามาช่วยงานผู้บริหารแล้ว แต่ ทักษะท่ีสาคัญของผู้บริหารก็ทักษะการตัดสินใจท่ียังคงเป็นทักษะพื้นฐานของผู้นา หากขาดทักษะการ ตดั สนิ ใจอาจส่งผลต่อการใช้งานระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจไดด้ ้วยเช่นกัน ธวัชชัย พงษส์ นาม (2556, หนา้ 79) ได้อธบิ ายถึง ระบบสนบั สนุนการตัดสินใจสาหรับการจัด ตารางการผลิตหลักและการวางแผนความต้องการวัสดุคงคลังของอุตสาหกรรมเซรามิกส์ แนวคิดการนา ระบบสนับสนุนการตัดสินใจสาหรับตารางการผลิตหลักและการวางแผนความต้องการวัสดุคงคลัง เปน็ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนใน การคาดการณ์ คือ การจัดตารางการผลิตหลัก และการวางแผนความต้องการวัสดุคงคลัง หลังจากท่ีมี การนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเข้าไปแก้ไขปัญหา พบว่า ระบบสามารถช่วยลดจานวนสินค้าที่  การจัดการธรุ กจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

175 ผลิตไม่ทันกาหนดการส่งมอบส่งผลให้จานวนชั่วโมงท่ีพนักงานต้องทางานล่วงเวลาลดน้อยลง โดย ขอ้ มูลตารางการผลิตหลกั ในระบบจะถกู ส่งไปยังข้อมลู การวางแผนความต้องการวัสดุคงคลัง (material requirements planning) หรือเรียกว่า เอ็มอาร์พี (MRP) ซ่ึงช่วยให้การบริหารวัสดุคงคลังในส่วน ของบรรจภุ ัณฑ์มปี ระสิทธิภาพไปด้วย บรรจุภัณฑ์และปริมาณมีความถูกต้องและตรงตามเวลาท่ีใช้ใน การผลิตโดยสอดคล้องกับตารางการผลิตหลักท่ีได้กาหนดไว้ นอกจากนั้นแล้วระบบยังช่วยให้สามารถ คานวณปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ได้อย่างเพียงพอและทันเวลากับความต้องการใช้ในการผลิตจริง ตลอดช่วงระยะเวลาทีใ่ ช้ในการวางแผน นอกจากนั้น ยังมีโปรแกรมท่ีใช้ในการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม (enterprise resource planning) หรอื เรยี กว่า อีอาร์พี (ERP) โปรแกรมน้ีสามารถนามาใช้งานได้ทุก ฟังก์ชันธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการบัญชี การเงิน การผลิต การจัดการห่วงโซ่อุปุทาน การขาย และการ จัดการทรัพยากรมนษุ ย์ ซึ่งในส่วนน้ีจะอธิบายเฉพาะส่วนที่เป็นการผลิตและการดาเนินงานสาหรับใน ส่วนท่ีเป็นโปรแกรมการผลิตและจัดการคงคลังสินค้า จะแนะนาโปรแกรมอีเคาท์ อีอาร์พี (ECOUNT ERP) ลกั ษณะการทางานของโปรแกรมมีรายละเอียดดังน้ี (อีเคาท์, 2564) 1. ปริมาณและประเภทของวัตถุดิบจะถูกสร้างข้ึนจากการลงทะเบียน บีโอเอ็ม (BOM) หรือ (bill of material) กระบวนการผลิตทั้งหมดจะดาเนินการไปจนเสร็จสิ้นการผลิต ผู้ใช้งานสามารถ ลงทะเบียนบีโอเอ็มได้หลายรายการเพื่อรองรับการใช้งานได้ในหลายสถานการณ์ นอกจากน้ีแล้วยัง สามารถจัดการงานได้อย่างอัตโนมัติเก่ียวกับการควบคุมปริมาณการผลิต สินค้าคงคลัง ใบสั่งงาน ต้นทุน และกาไร โดยมีรายละเอียดภาพรวมการทางาน แสดงดังภาพท่ี 7.3 การสร้างคาส่ังงาน รายละเอยี ดการผลิต BOM การจดั การปรมิ าณกระบวนการ การจดั การกาไร (Bill of Material) ภาพท่ี 7.3 ลกั ษณะการจดั การผลติ ด้วยโปรแกรมการผลติ อีเคาท์ อีอารพ์ ี ทมี่ า (อีเคาท์, 2564) 2. ระบบการควบคุมปริมาณกระบวนการ โปรแกรมสามารถจัดการได้อย่างอัตโนมัติ รายละเอียดวัตถุดิบต่าง ๆ เมื่อมีปริมาณถูกนาไปใช้ที่ลดลง ระบบจะทาการแจ้งไปยังระบบคลัง วัตถุดิบทันที โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบรายการวัตถุดิบหรือบันทึกปริมาณคงเหลือในระบบได้ อย่างรวดเรว็ ด้วยระบบค้นหาท่ีมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถตรวจสอบรายการผลิตได้ว่า มี สินค้าใดทีผ่ ลิตไปแลว้ หรือผลติ ซ้ากนั ในช่วงใด ซึ่งทาให้ง่ายต่อการจดั การประสทิ ธภิ าพการผลติ  การจัดการธรุ กิจด้านการผลิตและการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

176 3. ระบบสั่งงานอัตโนมัติ จะทาการสร้างใบส่ังงานจากรายการผลิต วัตถุดิบต่าง ๆ ที่จาเป็น อย่างอัตโนมัติ เม่ือระบบสร้างใบส่ังงานเรียบร้อยจะทาการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ด้วยอีเมล์ นอกจากนี้ ระบบยังสามารถเปรียบเทียบใบสั่งงานกับการผลิตจริงว่ามีปริมาณวัตถุดิบที่ใช้จริงแตกต่างกันมาก เพียงใด และสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าในการผลติ ณ เวลาปัจจบุ ัน 4. การคานวณต้นทุนและกาไรอัตโนมัติ ระบบสามารถคานวณต้นทุนได้จากราคาวัตถุดิบท่ี ใช้ผลิต พรอ้ มทงั้ ตน้ ทุนทีไ่ ด้จากรายการขายเพื่อหาอัตราผลตอบแทนกาไร ทั้งนี้ยังสามารถแสดงความ แตกตา่ งตน้ ทนุ เฉลีย่ ในการผลิตจรงิ กบั ตน้ ทุนในระบบ 5. การจดั การการผลติ ภายนอก ระบบสามารถจา้ งโรงงานผลติ ภายนอกได้โดยระบบสามารถ ตรวจสอบความกา้ วหน้าในการผลติ ไดจ้ ากระบบ พนักงานภายนอกจึงสามารถบันทึกรายรายการผลิต ในระบบได้ นอกจากน้ียังสามารถปอู นคา่ จ้างเข้าในระบบไดต้ ามรายการการจา้ งท่ีเกิดขน้ึ 6. การจัดการข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ หากผู้ใช้งานปูอนข้อมูลการผลิตผิดพลาด ปริมาณ การผลิตจะลดลงตามวิธีการจัดการของระบบ การจัดการข้อบกพร่องท่ีเกิดข้ึนสามารถจาแนก รายละเอยี ดต่าง ๆ แสดงผลออกมาในรปู แบบรายงาน 7. การควบคุมคุณภาพ สามารถลงทะเบยี นการตรวจสอบการควบคุมคุณภาพเพื่อบันทึกการ รบั รองคุณภาพสินคา้ ผา่ นระบบได้ สามารถต้งั คา่ ให้ระบบตรวจสอบคุณภาพอย่างอัตโนมตั ิได้อีกดว้ ย นอกจากระบบการทางานหลัก ๆ ที่กล่าวข้างต้น ระบบยังมีฟังก์ชันที่สาคัญอื่น ๆ อีก ได้แก่ การวางแผนการผลติ การตรวจสอบแผนการผลิตรายวัน ทั้งนี้ จะทาให้ระบบการผลิตในอุตสาหกรรม มีการดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดการตารางการผลิตและกาหนดจานวนการส่ังซ้ือ วัตถดุ ิบได้จากระบบ ตัวอยา่ งหน้าจอระบบ แสดงดังภาพท่ี 7.4 – 7.5 ภาพท่ี 7.4 ตัวอย่างหนา้ จอระบบตารางการผลิตโปรแกรมการผลติ ECOUNT ERP ทมี่ า (อเี คาท์, 2564)  การจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยดี ิจทิ ัล

177 ภาพท่ี 7.5 ตวั อย่างหนา้ จอระบบสถานะความคบื หนา้ ตามใบสัง่ งาน ที่มา (อีเคาท์, 2564) จากตวั อย่างจะเหน็ ได้วา่ เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการผลิตและการ ดาเนนิ งานได้ อยา่ งท่ีกลา่ วไว้เบ้ืองต้นว่า การจัดการผลิตและการดาเนินงานเป็นส่วนงานที่ครอบคลุม ในเร่ืองต้นทุนการผลิต ดังน้ัน หากองค์การมีการบริหารทรัพยากรองค์การที่เก่ียวข้องกับการจัดการ ส่วนการผลติ และการดาเนนิ งานได้อย่างเหมาะสมแลว้ จะช่วยควบคุมปริมาณต้นทุนท่ีเกิดอยู่ขอบเขต ทกี่ าหนดไว้ ในยคุ โลกาภวิ ัตน์ สภาพแวดลอ้ มทางธุรกิจเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทาให้การบริหารงานใน อนาคตมีความท้าทายมากข้ึน ไม่เพียงแค่เทคโนโลยีเท่าน้ันท่ีจะเข้ามาเปล่ียน ยังมีปัจจัยอ่ืน ๆ ท่ีจะ เข้ามาพร้อมกับการเปล่ียนแปลงครั้งนี้ แนวโน้มใหม่จะกลายเป็นความท้าทายที่สาคัญในการจัดการ ผลิตและการดาเนินงานในอนาคต แนวโนม้ ใหมแ่ ละความท้าทายการจัดการผลิตและการดาเนินงาน แนวโน้มใหม่ไม่ใช่เพียงแต่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเท่าน้ันที่จะส่งผลทาให้การจัดการธุรกิจใน อนาคตมีความท้าทายมากขึ้น ยังมีการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่พร้อมจะเปล่ียนแปลง ไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ท่ีเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมทางธุรกิจท้ังภายในและภายนอกมีการ เปลย่ี นแปลงไปในลักษณะต่าง ๆ ดงั น้ี (สัญชยั ลง้ั แท้กลุ , 2561, หน้า 25-26) 1. การแข่งขันในระบบสากล ตลาดเปิดกว้างขึ้นได้ขยายสู่ตลาดโลก บริษัทต้องควบคุม กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นราคา คุณภาพ ความรวดเร็วในการตอบสนองลูกค้า ให้ทุกกิจกรรม สามารถดาเนินงานไปไดด้ ว้ ยความคล่องตัวทนั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงของพฤตกิ รรมผู้บรโิ ภค 2. การเป็นพันธมติ รในโซ่อปุ ทาน การประกอบธรุ กจิ เพยี งลาดับในโลกปัจจุบันทาให้ประสบ ความสาเร็จได้ยาก จะต้องอาศัยสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือกันขยายตลาด ขยายฐานการผลิต ร่วมกัน พัฒนารปู แบบผลิตภณั ฑใ์ หม่ ๆ เพ่อื ขยายตลาดร่วมกันสู่ระดับสากล  การจดั การธรุ กิจด้านการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจทิ ัล

178 3. การใช้ระบบทันเวลาพอดี วิธีการดาเนินงานการผลิตแบบนี้จะช่วยให้ผลิตสินค้าได้พอดี กบั ความตอ้ งการ ไมม่ กี ารเกบ็ สินค้าในคลังมากเกินไป การใช้ระบบทันเวลาพอดีจะช่วยลดความเส่ียง ในการเพ่มิ ตน้ ทนุ โดยใช่เหตุและเสีย่ งตอ่ ความเสียหายอันจะเกดิ ต่อสนิ ค้าในคงคลัง 4. สินค้ามีความหลากหลาย มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากข้ึน ทาให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือก สินค้าได้มากข้ึน ผู้ผลิตจึงต้องพัฒนาสินค้าในตลาดให้มีความหลากหลายที่สอดคล้องกับพฤติกรรม ผู้บริโภค 5. ระดับการให้บริการสูงขึ้น อดีตที่ผ่านมาผู้ผลิตไม่ค่อยให้ความสาคัญต่อการให้บริการ แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปสามารถเลือกได้ตามท่ีตนเองต้องการที่ดีที่สุด ดังน้ันใน อนาคตผ้ผู ลิตตอ้ งยกระดับการใหบ้ ริการใหม้ ีความแตกต่างและเพม่ิ ขดี ความสามารถในการแข่งขนั 6. เน้นด้านคุณภาพ การแข่งขันในอนาคตผู้ผลิตยังคงต้องเน้นคุณภาพเป็นสาคัญ เพราะ ลูกค้ามีโอกาสเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อ การจัดการทรัพยากรคุณภาพโดยรวมในองค์การจึงเป็น เร่ืองท่สี าคญั ในอนาคต 7. กระบวนการผลิตต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ ตรงกบั ความต้องการและที่หลากหลาย การออกแบบกระบวนการผลิตต้องรองรับการเปล่ียนแปลงใน อนาคตได้ 8. การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยี ในอนาคตจะมรี ะบบดจิ ทิ ัลเขา้ มาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการ ผลิตและการจัดการดาเนินงาน หน่วยการผลิตจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แบบเรียลไทม์ จึงทาให้ สามารถจัดการดาเนนิ งานการผลติ ได้อยา่ งรวดเร็วและมปี ระสทิ ธิภาพ 9. การให้อานาจกับพนักงาน เปิดโอกาสการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาปรับปรุงระบบ การทางานใหม้ ีคณุ ภาพในสนิ ค้าและบริการ สรา้ งขวญั กาลงั ใจในการปฏบิ ตั ิงานใหก้ บั พนักงาน 10. คานึงถึงสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม เปน็ หนา้ ทส่ี าคัญในอนาคต เพราะผู้บริโภคให้ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นและใช้เป็นเหตุผล หนงึ่ ในการตัดสินใจซอ้ื สินคา้ ผู้ผลติ ตอ้ งดาเนินงานอย่างมคี ณุ ธรรมจริยธรรมใหค้ วามสาคัญกับกลุ่มคน ทเ่ี กย่ี วข้อง ไมว่ า่ จะเป็นลูกคา้ พนกั งาน ภาครัฐ ผ้ถู ือหุน้ และคแู่ ข่งขัน แนวโน้มในอนาคตของการจัดการผลิตและการดาเนินงานจะส่งผลต่อการเพ่ิมขีด ความสามารถในดา้ นผลติ ภาพด้วยการลดต้นทุนการผลิตให้น้อยลง ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ดิจทิ ลั ที่เปลยี่ นแปลง จงึ ทาใหเ้ กดิ การผลิตนวัตกรรมข้ึน เม่ือเกิดเป็นนวัตกรรมจึงส่งผลต่อการแข่งขัน ที่รุนแรงมากข้ึนตามไปด้วย แนวโน้มในอนาคตด้านการผลิตและการดาเนินงานมีความแตกต่างจาก อดีตที่ผ่านมาในหลากหลายองค์ประกอบ โดยแสดงเป็นตารางเปรียบเทียบระหว่างอดีตและอนาคต แสดงดงั ตารางที่ 7.1 ตารางที่ 7.1 ความแตกต่างการจัดการผลติ และการดาเนนิ งานระหว่างอดตี -อนาคต การจัดการผลิตและการดาเนนิ งานในอดีต การจัดการผลิตและการดาเนินงานในอนาคต ความเปน็ มาตรฐานของท้องถนิ่ ความเปน็ มาตรฐานสากล จานวนการจัดสง่ สินค้าในปริมาณมาก การจัดส่งแบบทนั เวลาพอดี การจดั ซอื้ จากแหล่งขายท่ีมีราคาตา่ ท่ีสุด การจัดการหว่ งโซ่อุปทาน  การจดั การธุรกิจด้านการผลติ และการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

179 การจัดการผลิตและการดาเนนิ งานในอดตี การจดั การผลติ และการดาเนนิ งานในอนาคต การพฒั นาผลติ ภัณฑม์ ีความลา่ ชา้ การพฒั นาผลิตภณั ฑ์มคี วามรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์มมี าตรฐานเดยี วกันทั้งหมด มกี ารผลติ ตามความต้องการของลูกคา้ เนน้ ความเชยี่ วชาญเฉพาะของพนกั งานแตล่ ะคน เพิม่ อานาจใหก้ ับพนกั งานในการตดั สนิ ใจมากขนึ้ ท่มี า (บญุ ฑวรรณ วิงวอน, 2556, หน้า 386) จากแนวโน้มในอนาคตทเี่ ป็นความทา้ ทายท่ีสาคญั สาหรับการจดั การผลติ และการดาเนินงานผ้ผู ลิต ตอ้ งคานงึ ถึงและปรบั เปลย่ี นตามสภาพแวดล้อมแล้ว การจัดการผลิตและการดาเนินงานตอ้ งกาหนดกลยุทธ์ ในระดับหนา้ ท่ีใหส้ อดคล้องกับวงจรชวี ติ ผลิตภัณฑใ์ นแตล่ ะชว่ ง ซ่งึ วงจรชวี ติ ผลติ ภณั ฑ์ แสดงดังภาพท่ี 7.6 Sales Maturity Decline Stage Stage Growth Time Stage Introduction Stage ภาพท่ี 7.6 วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ทมี่ า (ชลธิศ ดาราวงษ์, 2560, หน้า 19) กาหนดกลยุทธ์ระดับหน้าที่ให้สอดคล้องกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงมีลักษณะการ กาหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้จัดการฝุายการผลิตดาเนินงานได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกอนาคต โดยมีรายละเอียดแสดงดังตารางท่ี 7.2 ตารางที่ 7.2 กลยทุ ธก์ ารจัดการดาเนินงานในแต่ละชว่ งวงจรชีวติ ผลติ ภัณฑ์ ชว่ งที่ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การดาเนนิ งาน 1 ชว่ งแนะนา (introduction stage) 1. เนน้ การวจิ ยั และพฒั นาผลิตภณั ฑ์ ช่ ว ง ที่ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ เ ริ่ ม อ อ ก สู่ ต ล า ด 2. ปรับเปล่ยี นรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ กลุ่มเปาู หมายยังไม่ให้ความสนใจไม่มีความเชื่อมั่น 3. ผลิตครงั้ ละน้อยเพื่อทดลองตลาด ในคุณภาพและประโยชน์ที่จะได้รับ ยอดขาย 4. สรรหาพนักงานที่เชยี่ วชาญ ในช่วงนี้จะมีน้อย การแข่งขันน้อย แต่เป็นช่วงที่มี 5. พฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม้ ีจดุ เด่น ต้นทุนด้านการตลาดสงู 6. ใหค้ วามสาคัญกบั คุณภาพมาตรฐาน 7. แกไ้ ขข้อบกพร่องใหเ้ ร็วทส่ี ดุ  การจดั การธรุ กิจดา้ นการผลติ และการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

180 ชว่ งที่ วงจรชีวติ ผลติ ภัณฑ์ กลยทุ ธ์การดาเนนิ งาน 2 ช่วงเจริญเติบโต (growth stage) 1. พยากรณก์ ารผลติ ทมี่ ีความแมน่ ยาสงู ช่วงที่ผู้ซื้อเริ่มรู้จักผลิตภัณฑ์และเข้าใจใน 2. สร้างความน่าเช่ือถือในตัวผลิตภัณฑ์และ ประโยชน์การใช้สอยมากข้นึ ยอดขายจึงมีแนวโน้ม กระบวนการผลติ เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เร่ิมมีคู่แข่งขันเข้ามาใน 3. สรา้ งความแตกตา่ งใหก้ บั ผลติ ภัณฑ์กับคแู่ ข่งขัน ตลาด 4. เพม่ิ กาลังการผลติ ให้เพยี งพอกับความ ต้องการผซู้ ื้อ 3 ช่วงอิม่ ตัว (maturity stage) 1. ปรบั ปรงุ กระบวนการผลติ และพฒั นา ช่วงนี้จะมีระยะเวลายาวนานกว่าช่วงอื่น ผลิตภณั ฑ์ใหไ้ ดม้ าตรฐาน อัตราการยอดขายเพิ่มสูงและคงท่ี ส่วนกาไรจะ 2. กาหนดกาลังการผลติ ที่ดีทีส่ ดุ ลดลงเพราะมีคู่แข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ระดับการ 3. ใช้แรงงานท่มี ที กั ษะน้อยลงเนน้ ไปท่ี แข่งขันมคี วามรุนแรงมากกว่าเดมิ กระบวนการผลติ ทไ่ี ดม้ าตรฐาน เพราะ แรงงานที่มที ักษะสงู จะเปน็ การเพม่ิ ตน้ ทนุ 4. เพิ่มศักยภาพการผลิตให้สามารถผลิตได้ ทันเวลาพอดี 5. แสดงถงึ ความไมห่ ยดุ นง่ิ ทจี่ ะพัฒนา ผลติ ภณั ฑ์ 4 ชว่ งถดถอย (decline stage) 1. ลดตน้ ทนุ การผลติ เป็นช่วงท่ียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อ 2. ยกเลิกการผลิตบางรายการทไี่ มค่ ุ้มค่า เริ่มเบื่อหน่าย ความต้องการซ้ือจึงลดลงน้อย 3. ลดกาลังการผลติ ตามสดั ส่วนยอดขาย กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด คู่แข่งขันก็ลดลงตามไป 4. เปล่ยี นแปลงผลิตภณั ฑ์เพื่อกระต้นุ ยอดขาย ดว้ ยเนือ่ งจากประสบปญั หาเช่นเดียวกัน ทมี่ า (สัญชยั ลงั้ แทก้ ลุ , 2561, หน้า 27-30) โลกแห่งอนาคตเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ สามารถนาประสบการณ์ที่ผ่านมาผสมผสานกับทักษะประสบการณ์ที่มีตัดสินใจอย่างมีเชิงกลยุทธ์จะ สามารถจัดการผลิตและการดาเนินไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพบนความท้าทายในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเข้า มาในแต่ละช่วง ในอนาคตผู้บริโภคให้ความสาคัญต่อส่ิงแวดล้อมกันมากขึ้นและใช้เป็นเหตุผลหน่ึงใน การตัดสินใจซ้ือสินค้า ดังน้ัน ความรับผิดชอบต่อสังคมในยุคอุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นเร่ืองสาคัญ เพราะผู้บริหารนอกจากจะมีทักษะในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แล้ว ต้องคานึงถึงความรับผิดชอบต่อ สงั คมด้วย ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนทั้งในแง่บวกและแง่ลบในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ภาคการผลิตไม่สามารถควบคุมได้ จึงเกิดเป็นความท้าทายต่อระบบการผลิต ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ใน ปัจจบุ ันเกิดเหตกุ ารณ์การแพร่ระบาดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 ไม่มีใครพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าได้เลย ภาค การผลิตเกิดการหยุดชะงัก งดการรวมกลุ่มคนเป็นจานวนมาก บางแห่งเกิดเป็นกลุ่มแรงงานแพร่เช้ือ ต้องหยุดหรือปิดภาคการผลิตไป จึงส่งผลต่อระบบการผลิตให้หยุดชะงัก สินค้าขาดแคลนในตลาด  การจดั การธุรกิจด้านการผลติ และการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

181 หากว่าในระบบการผลิตนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยควบคุมดูแลการผลิตอย่างอัตโนมัติ น่าจะ เป็นเรอื่ งที่ดที ่ีจะแก้ไขปญั หาเร่อื งกาลงั การผลิต จากการผันผวนของระบบเศรษฐกิจท่ีเกิดขึ้น จึงทาให้ภาคการผลิตมีการเปล่ียนแปลงไปใน ทิศทางท่ีดีขึ้น เม่ือระบบการผลิตมีประสิทธิภาพจะช่วยให้สินค้าเข้าสู่ตลาดได้ในระยะเวลาอันสั้น (time to market) มีการอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาในกระบวนการผลิตส่งผลต่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การจัดการผลิตและการดาเนินงานต้องคานึ่งถึงระยะเวลาการผลิตที่สั้นลง (streamline) เพ่ือ ยกระดบั ความสามารถในการผลติ ท่เี หนือคู่แขง่ ขัน (manufacturing capabilities) สิ่งสาคัญที่ต้องคานึงถึง คือ การลดต้นทุนการผลิต เพิ่มความทันสมัยในระบบการผลิตและ พร้อมรับมือกับการแข่งขัน ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่มาจาก เครื่องมือ เคร่ืองจักร วัตถุดิบ โดยเฉพาะ ระบบเคร่ืองจักรที่มีราคาค่อนข้างสูงและเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับการแปรรูปวัตถุดิบ การดูแลรักษา เครื่องจักรจึงเป็นเร่ืองที่ไม่ควรมองข้าม ควรปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและสามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่างสงู สุด (utilization) ในกระบวนการผลติ แต่ละข้ันตอน ในกระบวนการผลิตสมัยใหม่ ภาคผลิตต้องคานึงถึงเครื่องจักรท่ีสามารถผลิตสินค้าท่ี ครอบคลุมกับความต้องการของกลุ่มเปูาหมาย บางรายต้องสูญเสียโอกาสในการผลิต เพราะไม่ สามารถผลิตได้ตามความต้องการเพราะเครื่องจักรที่มีอยู่มีข้อจากัด ดังน้ัน การมีแผนการบารุงรักษา เครือ่ งจกั รทด่ี ี มอี ะไหล่สารองเพ่ือปูองกันการหยดุ การผลิตและสูญเสยี วัตถุดบิ ที่น้อยท่สี ดุ ส่วนใหญ่การสูญเสียวตั ถุดบิ ในการผลติ มกั เกิดจากการซ้ือท่ีไม่ได้คุณภาพ ทาให้การเก็บรักษา มีอายุใช้งานสั้นหรือหมดอายุ จึงเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาในเรื่องมูลค่าต้นทุนทางบัญชี เกิดการ สูญเสียวัตถุดิบทิ้งไปเป็นขยะ สูญเสียพ้ืนท่ีการจัดเก็บท่ีไม่จาเป็น การแบ่งพ้ืนที่ในการจัดเก็บโดยใช้ สัญลักษณ์สีระบุแยกมูลค่าวัตถุดิบเป็นอีกวิธีการหนึ่งท่ีนามาใช้แก้ปัญหา การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการ ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ISO 5001 ซ่ึงเป็นระบบการจัดการด้านพลังงาน (energy management systems) สาหรับแนวทางการใชพ้ ลังงานอย่างมปี ระสทิ ธิภาพสามารถทาได้ มีดังน้ี 1. ปรบั ปรุงกระบวนการผลิตเดิมเพ่ิมประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียให้น้อยลงหรือสามารถนา กลับมาใช้ใหม่ 2. มีการนาเทคโนโลยสี มัยใหมพ่ ลังงานตา่ เขา้ มาจดั การความร้อน 3. บารงุ รกั ษาอุปกรณเ์ ครอื่ งจกั รตา่ ง ๆ ให้ทางานใหม้ ีประสทิ ธิภาพอย่างสม่าเสมอ การเพ่ิมประสิทธิภาพในการผลิตและการดาเนินงานด้วยการนาระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยใน กระบวนการผลติ เพอื่ ชว่ ยลดข้อผิดพลาดและเพ่ิมความรวดเร็วในการผลิต ระบบอัตโนมัติสาหรับการ ผลิตมหี ลายลกั ษณะท่ีนาเขา้ มาใช้ เช่น ระบบสายพานเคลอื่ นยา้ ยชิ้นงาน ระบบนิวแมติกส์ เทคโนโลยี บ่งชอ้ี ัตโนมตั ิ (auto–id) เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) ระบบคลังสนิ ค้า สายการผลิต หุ่นยนต์ ระบบ พาเลตโหลดช้ินงาน ระบบการตรวจคุณภาพอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อน ระบบเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ วัดแสง วัดกระแสไฟฟูา ระบบควบคุม เป็นต้น ด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติต่าง ๆ ถือว่าเป็นความท้าทายของ ผปู้ ระกอบการในการเพม่ิ ความสามารถและศักยภาพการผลิต นอกจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ยังมีซอฟต์แวร์การผลิตที่สามารถนามาใช้งานเพื่อการ วางแผนทรัพยากรธุรกิจ (enterprise resource planning) ซ่ึงผู้เขียนได้อธิบายไว้เบ้ืองต้นในหัวข้อท่ี ผ่านมาแล้ว ซอฟต์แวร์น้ีจะทางานเชื่อมโยงระบบงานในองค์การเป็นหน่ึงเดียว โดยใช้งานในลักษณะ  การจัดการธรุ กจิ ด้านการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั 

182 ฐานข้อมูลร่วมกัน หากนาอีอาร์พีมาใช้จะช่วยให้ผู้ใช้งานในระดับหัวหน้าทราบรายละเอียดการผลิต ท้ังหมดในแต่ละขั้นตอน สามารถควบคุมคุณภาพความคืบหน้าในการผลิต ผู้บริหารยังสามารถทราบ ข้อมลู ทางบญั ชีของทรพั ยส์ นิ ทงั้ หมด และสามารถนาข้อมลู เหลา่ นม้ี าช่วยในการตัดสนิ ใจทางธุรกจิ สาหรับกาลังการผลิตของแรงงานยังถือว่าเป็นกลไกที่สาคัญในภาคการผลิตและการ ดาเนินงาน ศักยภาพแรงงานจึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ความท้าทายใหม่ที่ นอกจากมุ่งในเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังต้องใส่ใจกับการพัฒนาศักยภาพคนให้สามารถตอบสนอง เปูาหมายขององคก์ ารได้ สรา้ งทัศนคตทิ ่ดี ีต่อเปูาหมายร่วมกัน มีแรงจูงใจในการทางาน สามารถทาให้ เกิดการทางานเป็นทีมร่วมกัน เปิดโอกาสในการแสดงความสามารถ ส่งเสริมให้แรงงานมีความคิด สร้างสรรค์ เมื่อแรงงานในภาคการผลิตมีทัศนคติที่ดีต่อองค์การแล้ว จะส่งผลให้เกิดความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ส่ิงใหม่ และร่วมมือกันทางานในภาคการผลิตด้วยการปรับปรุงพัฒนาวิธีการทางานใหม่ให้ดีขึ้น เราในฐานะผจู้ ัดการธุรกิจตอ้ งพร้อมท่จี ะสนบั สนนุ และให้คาแนะนา (ทลู ส์ทูย,ู 2563) ดงั นน้ั การเพมิ่ ความสามารถในการผลิต ทั้งในเร่ืองเครื่องจักร แรงงาน แผนการผลิต จึงเป็น ความท้าทายใหม่ท่ีผู้บริหารต้องพร้อมรับมือ โอกาสและความท้าทายในยุคดิจิทัลจะมีการแข่งขันใน อตุ สาหกรรมสูงข้ึนเรื่อย ๆ ความท้าทายน้ีจึงเป็นโอกาสของธุรกิจท่ีจะก้าวไปสู่การเติบโตท่ีม่ันคงและ มั่งค่งั ไดใ้ นอนาคต การจัดการผลิตและการดาเนนิ งานกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อสังคม (corporate social responsibility) รับผิดชอบต่อสังคมเป็นหน่ึง ในแนวโน้มของการพัฒนาการจัดการดาเนินงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ฝุายการผลิตต้องดาเนินการ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบว นการผลิตและการ ดาเนินงานในทางที่ดีและตอบสนองต่อ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ความรับผิดชอบ เป็นหน่ึงในแนวปฏิบัติของจริยธรรม ซ่ึง ประจวบ เพิ่มสุวรรณ (2558, หน้า 251) ได้อธิยายเรื่องนี้ว่า จริยธรรมเป็นข้อท่ีควรประพฤติ ปฏิบัติ เป็นธรรมะทางใจท่ีควบคุมพฤติกรรม ความประพฤติท่ีดีท่ีชอบท่ีถูกที่ควร เป็นเร่ืองราวความรู้สึกในการพัฒนาตนเองที่มีจุดหมายเพื่อให้คน ในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ดารงชีวิตอยู่อย่างบริบูรณ์เปี่ยมไปด้วยความดีท้ังกายวาจาและใจ สาหรับผู้บริหารนั้นคาว่าจริยธรรมมีมาตรฐานท่ีแตกต่างกัน อันมาจากพื้นฐานการเรียนรู้และ ประสบการณ์ท่ีแตกตา่ งกนั จงึ มีขอ้ พึงปฏิบัติในเร่ืองความรับผิดชอบ ความเปิดเผยโปร่งใส่ การยึดถือ กฎระเบียบท่ียุติธรรมการมีจิตสานึกเพื่อส่วนร่วม และความซื่อสัตย์ ซ่ึงแนวปฏิบัติในเร่ืองจริยธรรม ของผบู้ ริหาร แสดงดงั ภาพที่ 7.7  การจัดการธรุ กิจดา้ นการผลิตและการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

183 ความ ความ การเปดิ เผย ซ่อื สัตย์ รับผิดชอบ ความโปร่งใส่ การมี แนวปฏิบตั ิ การยดึ ถอื กฏ จิตสานึกเพอื่ จรยิ ธรรม ระเบยี บท่ี ยตุ ธิ รรม สว่ นรวม การจัดการ ผลติ และการ ดาเนนิ งาน ภาพที่ 7.7 แนวปฏบิ ัตเิ ร่ืองจรยิ ธรรมในการจดั การผลติ และการดาเนนิ งาน ที่มา (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ท์, 2552, หน้า 362) จากภาพท่ี 7.7 อธิบายได้ว่า แนวปฏิบัติในเรื่องจริยธรรมสาหรับการจัดการผลิตและการ ดาเนินงานจะประกอบด้วย 5 แนวปฏิบัติ ได้แก่ ความรับผิดชอบ ความเปิดเผยโปร่งใส่ การยึดถือ กฎระเบียบท่ียุติธรรม การมีจิตสานึกเพื่อส่วนร่วม และความซื่อสัตย์ แนวปฏิบัติมีรายละเอียดดังน้ี (ณัฏฐพนั ธ์ เขจรนันท์, 2552, หนา้ 360-363) 1. ความรับผิดชอบ (accountability) แนวปฏิบัติความรับผิดชอบซึ่งต้องพึงมีต่อผู้ที่ เกย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ ผบู้ รโิ ภค บุคลากร ค่แู ข่งขนั ชุมชน ซ่งึ ท้ังหมดน้ีเป็นผู้ท่ีมีส่วนได้เสีย โดยผู้บริโภคต้อง ได้รับความเปน็ ธรรมท้ังด้านปรมิ าณ คณุ ภาพ และราคา เกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง ส่วนบุคลากร ดว้ ยกนั เองนนั้ จะต้องได้รับความยุติธรรม ค่าตอบแทน ผลประโยชน์อย่างถูกต้องและเป็นธรรม มีการ แข่งขันกันกับธุรกิจคู่แข่งขันด้วยมิตรภาพอันดีต่อกัน สร้างความร่วมมือกันท้ังสองฝุาย และท่ีสาคัญ ชมุ ชนโดยรอบควรไดร้ ับการอนุรกั ษ์ฟืน้ ฟู หลกี เลย่ี งการเกิดมลภาวะแกช่ มุ ชนและส่ิงแวดล้อม 2. ความเปิดเผยโปร่งใส (transparency) โปร่งใสในกระบวนการทางาน กฎ กติกาต่าง ๆ ผู้เกยี่ วข้องต้องรับทราบขอ้ มลู ต่าง ๆ ไดย้ า่ งเสรี สามารถตรวจสอบและติดตามผลการดาเนินงานได้ 3. การยึดถือกฎระเบียบท่ียุติธรรม (rule of law) กฎระเบียบถือว่าเป็นกติกาท่ีใช้ร่วมกัน การดาเนินกิจกรรมการผลิตต้องต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของกฎเกณฑ์ท่ีได้มีการตกลงร่วมกัน และเป็นที่ ยอมรบั กบั บุคคลทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 4. การมีจิตสานึกเพ่ือส่วนรวม (public mind) การตัดสินใจทาสิ่งใด ๆ ต้องนึกถึงประโยชน์ ส่วนรวมก่อนเป็นท่ีตั้ง เพื่อการพัฒนาและสร้างความเจริญร่วมกัน ท่ีสาคัญต้องมีความยินดีให้การ สนับสนุนสังคมหน่วยงานตา่ ง ๆ  การจดั การธรุ กจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 

184 5. ความซ่ือสตั ย์ (integrity) ซ่ือสัตยใ์ นทุกกระบวนการในการผลติ ตั้งแต่เริ่มกระบวนการ จน สนิ้ สุดกระบวนการสุดท้ายอยบู่ นพน้ื ฐานความซ่ือสตั ย์ แนวปฏบิ ัติทง้ั 5 เป็นกจิ กรรมท่ีช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม ในการจัดการผลิตและ การดาเนนิ งานเปน็ กจิ กรรมที่มีส่วนเก่ยี วข้องกบั กลุ่มคนอ่ืน ๆ ในสังคมโดยเฉพาะกลุ่มท่ีเรียกว่า ลูกค้า กลุ่มเปูาหมายท่ีเรียกตัวเองว่าลูกค้าจะมีความคาดหวังต่อสินค้าหรือบริการที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ ปลอดภยั และมีราคาทส่ี อดคลอ้ งกับคณุ ภาพ ฯลฯ ขอบเขตความรับผิดชอบท่ีมีต่อสังคม ส่ิงแวดล้อม รวมทั้งคุณภาพชีวิตพนักงานท่ีทาหน้าใน กระบวนการผลิต จรรยาบรรณของผผู้ ลิต และลูกค้า โดยขอบเขตความรบั ผิดชอบต่อสงั คม แสดงดงั ภาพท่ี 7.8 ด้านสงั คม ดา้ นคณุ ภาพ และ ชีวติ พนกั งาน ส่งิ แวดล้อม ดา้ นลกู ค้า ขอบเขต ดา้ น ความ รบั ผิดชอบต่อ จรรยาบรรณ สงั คม ผู้ประกอบการ ภาพท่ี 7.8 ขอบเขตความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม ท่มี า (Boone & Kurtz, 2005 p. 40) จากภาพท่ี 7.8 ขอบเขตดา้ นความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมประกอบด้วย 1. ด้านลูกค้า เป็นด้านที่สาคัญที่สุด เนื่องจากในการผลิตสินค้าออกมาจะต้องต้องคานึงถึง ความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก เพราะลูกค้าเป็นปัจจัยท่ีสาคัญในการผลักดันให้ธุรกิจประสบ ความสาเร็จได้รวดเรว็ ข้นึ ลกู คา้ มีอานาจในการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือก ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจ จึงต้องเน้นไปที่ลูกค้าอันดับแรกจึงส่งผลให้ต้องให้ความสาคัญกับการวิจัยและพัฒนาสินค้าให้มี มาตรฐาน ปลอดภัย ราคาท่ยี ตุ ธิ รรม 2. ดา้ นคณุ ภาพชีวติ ของพนักงาน พนักงานถือว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เปรียบเสมือนสมบัติ ล้าค่าของธุรกิจเป็นปัจจัยหน่ึงในกระบวนการผลิตและการดาเนินงาน ในเมื่อบริษัทมีโอกาสไ ด้ คดั เลอื กพนักงานทมี่ ีความสามารถเข้ามาปฏบิ ตั ิงานแลว้ ดงั น้ัน บรษิ ัทควรที่จะบริหารงานให้เกิดความ เป็นธรรมแก่พนักงานทุกคน ไม่เอาเปรียบ หรือให้ทาในสิ่งท่ีผิดกฎหมาย จนขาดความเป็นธรรมและ ทาให้คณุ ภาพชีวิตพนกั งานแย่ลง 3. ดา้ นจรรยาบรรณของผปู้ ระกอบการ ในกระบวนการผลิตและการดาเนินงานต้องประกอบ ไปด้วยคุณภาพมาตรฐานและจรรยาบรรณ บริษัทควรมีกระบวนการผลิตท่ีมีมาตรฐาน และผ่านการ รบั รองการตรวจสอบสนิ ค้าและการบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐานสากล ISO 9001: 2000 รวมถึง การรับรองความปลอดภยั จากการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ เช่น มาตรฐาน ISO 9000 มาตรฐานระบบบริหารงาน  การจดั การธุรกิจดา้ นการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี จิ ิทัล

185 คุณภาพมาตรฐาน ISO 14000 มาตรฐานการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ISO 17025 มาตรฐานการประเมินความสามารถทางวชิ าการของห้องปฏบิ ัติการ มาตรฐาน ISO 18000 มาตรฐาน การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มาตรฐาน ISO 22000 มาตรฐานการจัดการความ ปลอดภยั ของอาหาร เป็นต้น 4. ด้านสังคมและส่ิงแวดล้อมสาธารณะ สภาพแวดล้อมและสังคมเป็นองค์ประกอบโดยรอบ ของบริษัทหรือโรงงานผลิต กิจกรรมกระบวนการผลิตท่ีเกิดขึ้นต้องไม่ทาลายส่ิงแวดล้อมและสังคม รอบขา้ ง นอกจากจะไมท่ าลายแล้วต้องเปน็ ผสู้ นบั สนนุ และปกปูองร่วมกันอีกด้วย ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการใช้กาหนดนโยบายในการจัดการและ แนวทางกรอบการดาเนินงาน (Certo, 1997, p. 165) การจัดการผลิตและการดาเนินงานจึงต้องอยู่ ภายใต้การกากับตามนโยบายและแนวทางกรอบการดาเนินงานเพ่ือให้เกิดมาตรฐานในตัวสินค้าและ สรา้ งความเชอ่ื ม่นั ศรทั ธาจากลูกคา้ ท่ีมตี อ่ สนิ คา้ จากข้อมูลความสาคัญความรับผิดชอบต่อสังคม ประจวบ เพิ่มสุวรรณ (2558, หน้า 258-259) อธิบายว่า เม่ือผู้บริหารและบุคลากรในองค์การมีหลักจริยธรรมพึงปฏิบัติในการทางาน จะทาให้ องค์การนั้นเกิดความน่าเช่ือถือ เพราะตามหลักธรรมชาติความน่าเช่ือถือจะเกิดจากความซื่อสัตย์ ความซอ่ื สตั ย์จงึ นาไปสู่การไดร้ ับการยอมรับจากสังคม ย่ิงองค์การใดผู้บริหารและบุคลากรมีจริยธรรม ที่ดีแล้ว จริยธรรมจะทาให้บุคลากรในองค์การเกิดการทุ่มเทในการทางาน รักและผูกพันองค์การ บุคลากรจะทางานอย่างเต็มความสามารถนามาซ่ึงบริการท่ีดี นอกจากนี้แล้วจริยธรรมยังช่วยให้เกิด ภาพลักษณ์ท่ีดีขององค์การ สุดท้ายแล้วยังนามาสู่การทางานที่เกิดความสุขทั้งผู้บริหาร บุคลากร ผ้ใู ชบ้ รกิ าร ฯลฯ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ตา่ งฝาุ ยจะปฏบิ ตั ิหน้าท่ีดว้ ยความสบายใจ เหตุผลท่ีองค์การจาเป็นต้องบริหารงานด้วยหลักจริยธรรมก็เพ่ือปูองกันองค์การแสวงหา ผลประโยชน์กาไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่คานึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน ปูองกันการ ดาเนนิ งานทเ่ี ป็นไปทางผิดกฎหมาย และท่ีสาคัญปูองกันบุคลากรในองค์การไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ส่วนเหตุผลท่ีต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม สาเหตุมาจากไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับเร่ืองจริยธรรม ปูองกันการผลิตสินค้าหรือบริการท่ีผิดกฎหมาย ละเมิดลิขสิทธ์ิ ผดุงความยุติธรรมและศีลธรรมอันดี งามของสังคม เป็นต้น ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ต่ อ สั ง ค ม ใ น ก า ร จั ด ก า ร ผ ลิ ต แ ล ะ ก า ร ด า เ นิ น ง า น เ ป็ น ค ว า ม ท้าทายของผู้บริหารและบุคลากรในองค์การในการจัดการธุรกิจ ซ่ึงในยุคปัจจุบันที่อาชญากรรม สามารถเกิดข้ึนอยู่ได้ง่าย เป็นสาเหตุมาจากขาดจริยธรรมและจิตสานึกท่ีดีที่มีต่อสังคม หากพิจารณา แล้วเร่อื งของจริยธรรม จรรยาบรรณ ความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นหัวใจหลักของการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะด้านการบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ หรือแม้แต่การผลิตและการดาเนินงาน การจัดการธุรกิจในแต่ละด้าน เมื่อผู้ประกอบการมีหลักจริยธรรม จรรยาบรรณ ความรับผิดชอบต่อ สังคม จะช่วยทาให้เกิดคุณประโยชน์ท้ังในระดบั ตนเอง ระดับสงั คม ระดบั ประเทศชาติ  การจัดการธุรกจิ ด้านการผลิตและการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

186 กรณีศึกษาการจัดการผลติ และการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั การแข่งขันของอุตสาหกรรมมีการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นท่ามกลางความแปรปรวนของ เศรษฐกจิ และการเมืองโลก กระบวนการผลิตจึงต้องทางานตลอด 24 ชั่วโมง การนาระบบเทคโนโลยี ทางการผลิตเข้ามาช่วยเหลืองานกระบวนการผลิตและการดาเนินงานจะสามารถทาให้องค์การ กลายเป็นผูน้ าสรา้ งผลติ ภาพได้มากกวา่ และมคี ุณภาพ กรณีศึกษาตัวอย่างโรงงานผลิตของต่างประเทศท่ีน่าสนใจ โรงงานผลิตที่นาเทคโนโลยี ดิจิทัลเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตและการดาเนินงาน เว็บไซต์โมเดิร์น เมนูแฟคเจอร์ริง ได้ ยกตัวอย่างการนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในโรงงาน โดยมีรายละเอียดดังน้ี (โมเดิร์น แมนู แฟคเจอร์ริ่ง, 2561) โรงงานแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุนท่ีสามารถทางานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซ่ึงเป็นผลมาจากการ ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ ในบางครั้งหุ่นยนต์ก็ไม่ได้ทาหน้าท่ีเดียวตลอดเวลาแต่สามารถส่ังงานให้ เปล่ียนรูปแบบการทางานได้ มีการสารวจข้อมูลเกี่ยวกับระบบปัญญาประดิษฐ์ว่า ร้อยละ 44 ได้ให้ ความสาคัญกบั ระบบปญั ญาประดิษฐ์มากในช่วงระยะ 5 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ มีการใช้งานสูงที่สุด และอีกกว่าร้อยละ 49 แสดงความเห็นว่าเป็นจุดเปล่ียนสาคัญสู่ความสาเร็จใน ปจั จุบัน โดยเทคโนโลยีปัญญาประดษิ ฐ์ทม่ี สี ว่ นเก่ียวข้องกบั การจดั การผลติ และการดาเนนิ งานดังนี้ 1. เทคโนโลยีตรวจจับด้วยกล้องคอมพิวเตอร์ (computer vision) เทคโนโลยีน้ีมีความ ละเอียดและแม่นยา ช่วยให้ระบบการผลิตมีความคิดและสามารถทางานและเรียนรู้จากการทางาน ของมนษุ ย์ เม่ือเทคโนโลยีรวมกบั ความสามารถของมนษุ ย์แล้วจึงทาให้สามารถตรวจสอบหาความผิดพลาด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึนด้วยกระบวนการระบุปัญหาอัตโนมัติ (automated issue identification) 2. เทคโนโลยีการออกแบบอุปกรณ์ช่วยช่วยเรียนรู้ (generative design) เป็นกระบวนการ ใหม่สาหรับนักออกแบบในอุตสาหกรรม โปรแกรมจะช่วยประมวลผลค่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุ กระบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายที่คาดหวัง จากน้ันจะทาการหาความเป็นไปได้ของทางออกท่ีมีปัจจัยที่ ต้องการให้เลือกสรร ซึ่งระบบนี้จะทาการทดสอบว่าส่ิงไหนเหมาะส่ิงไหนไม่ควร แล้วมีความแตกต่างกัน อย่างไรในแตล่ ะทางเลือก 3. เทคโนโลยีจับคู่ (digital twin) เป็นเทคโนโลยีจับคู่ระหว่างโลกเสมือนและโลกความเป็น จริงเพื่อทาการวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้าเพ่ือจะได้หาแนวทางปูองกัน เป็นระบบที่ประยุกต์ใช้งานใช้งานอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่งเข้ามาร่วมทางานกับปัญญาประดิษฐ์ โดย ทางานควบค่กู บั ระบบความคมุ ระยะไกลเซนเซอร์แบบฝังตัวเพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ (real-time) และ ระบบทมี่ ีพนื้ ฐานเปน็ คลาวด์ (cloud) 4. เทคโนโลยีการบารุงรักษาเชิงพยากรณ์ (predictive maintenance) เป็นระบบที่ทางาน ร่วมกันกับดิจิทัล ทวิน ท่ีช่วยตอบตอบสนองต่อสัญญาณเตือนและแก้ไขปัญหาได้ก่อนท่ีจะเกิดความ สูญเสียขึ้น เทคโนโลยีการรักษาเชิงพยากรณ์จะวิเคราะห์ เพื่อตรวจสอบประเมินผลโดยอาศัยระบบ ปญั ญาประดิษฐเ์ ขา้ มาร่วมดว้ ย  การจดั การธรุ กิจด้านการผลติ และการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 

187 จะเหน็ ไดว้ ่าเทคโนโลยีทางการผลติ มีปัญญาประดษิ ฐเ์ ปน็ สว่ นหน่งึ ของเทคโนโลยี มีประโยชน์ ในการเพ่ิมประสิทธิภาพในมิติของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนแรงงาน ทุน ทรัพย์ และเวลา การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในการจัดการผลิตและการดาเนินงานที่มาช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตมากขึ้น ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินใจได้แบบ อัตโนมัตแิ ล้วก็ตาม ซ่ึงทักษะท่ีคนเป็นผู้บริหารต้องหมั่นฝึกฝน คือ ทักษะการตัดสินใจ มิใช่ว่ามีระบบ เทคโนโลยมี าชว่ ยสนับสนุนการตัดสนิ ใจแลว้ จะไม่จาเป็นต้องอาศัยทักษะการตัดสินใจส่วนตัวเลยย่อม เป็นไปไม่ได้ ผู้บริหารควรใช้ทักษะส่วนตัวและระบบสารสนเทศทางานร่วมกันจึงจะก่อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากน้ีแล้ว ในภาคการเกษตรยังได้มีการนาเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาช่วยเพ่ิมผลิตภาพ สินค้าเกษตร ซ่ึงเทคโนโลยีอัตโนมัติในปัจจุบันมีจานวนหลากหลายบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ จานวนมาก ซงึ่ เทคโนโลยีอัตโนมตั ิทางการเกษตร มตี วั อย่างดงั น้ี 1. หุ่นยนตป์ ลกู ดอกไม้ ผกั ต้นไม้ (RoBoPlant) 2. รถแทร็กเตอร์หุน่ ยนตแ์ บบโมดูลาร์อตั โนมัติ 3. LettuceBot2 ผกั กาดหอม ปรับปรงุ การงอกของผักกาดหอม 4. โดรนเพ่อื การเกษตร ประมวลภาพแผนทีข่ องพืช 5. หนุ่ ยนตต์ ดั แตง่ กง่ิ เคล่อื นท่ี (Wall-Ye 1,000) 6. ห่นุ ยนต์อัตโนมัตกิ าจัดวัชพชื 7. ระบบยานพาหนะอัตโนมตั ิสาหรับการเกบ็ เก่ยี วพืชผล 8. ระบบการสุ่มตัวอยา่ งดิน (AutoProbe) 9. เคร่ืองเก็บเก่ียวสตรอเบอร์รี่ จากตวั อย่างเทคโนโลยีอัตโนมัติข้างตน้ จึงมีการศึกษาข้อมูลในการนาเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้า มาชว่ ยเพ่ิมผลติ ผลวา่ จะมีผลดีอยา่ งไรต่อภาคการเกษตร พรรณรวีย์ จันทรมาศ (2560, หน้า 92-106) ไดศ้ ึกษาข้อมูลเก่ียวกับ การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเพ่ือเพ่ิมผลิตภาพสินค้าเกษตรแปรรูปไทย ถึงแม้ว่า การนาเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาช่วยในภาคการเกษตรจะเป็นการเพ่ิมต้นทุนท่ีสูง แต่หากมองไปใน ร ะย ะย าว แล้ ว การ น า เทคโ น โ ล ยี อัตโ น มัติ มาใช้ใน การ แปร รู ปสิ น ค้าเ กษตร จ ะเป็น การ ส ร้ างกา ร เปลี่ยนแปลงที่สาคัญในการผลิตสินค้าเกษตรของไทยและจะสามารถสร้างประโยชน์ในระยะยาวที่ เกษตรกรจะไดร้ ับ ชว่ ยเพม่ิ มลู คา่ สินค้าเกษตรให้สงู ขึ้น มีรายได้มากข้นึ ในระยะยาว สามารถแปรรูปได้ หลากหลายและท่ีสาคัญเกิดผลิตภาพในการผลิตจานวนมากย่ิงข้ึนประกอบกับการใช้ปัจจัยพื้นฐาน การผลิต ได้แก่ แรงงาน ทุน วัตถุดิบ และการจัดการ จะยิ่งทาให้ประสิทธิภาพของทรัพยากรต่าง ๆ ใช้ได้เต็มท่ีมากย่ิงข้ึน ดังน้ัน ในการแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยการนาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติซึ่งเป็น ประโยชน์ท่ีเกษตรกรจะได้รับโดยตรง โดยได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการนาเทคโนโลยีมาใช้ ในการแปรรูปสินคา้ เกษตร แสดงดังตารางที่ 7.3  การจดั การธรุ กิจด้านการผลติ และการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 

188 ตารางที่ 7.3 การวเิ คราะห์ปจั จัยภายในและภายนอกการนาเทคโนโลยอี ตั โนมตั ิในการแปรรูปสินคา้ จุดแขง็ (Strength) จดุ ออ่ น (Weakness) ข้อสรุปในภาพรวมของจุดแข็ง พบว่า ผลผลิตทาง ข้อสรุปในภาพรวมของจุดอ่อน พบว่า ผลผลิตทาง การเกษตร มีลักษณะท่ีสาคัญ คือ มีความหลากหลาย มี การเกษตรเม่ือมีจานวนมากจึงผลต่อราคาตกต่า จานวนมาก มีคณุ ภาพเปน็ ทย่ี อมรับทั้งในและตา่ งประเทศ กระบวนการผลิตทางการเกษตรยังเป็นแบบดั้งเดิมไม่ได้ นาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต ต้องใช้ เงินทุนค่อนข้างสูงในการจัดหาเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ ในการแปรรูปสินค้าเกษตร การออกแบบสินค้าทางการ เกษตรหรือการแปรรูปสินค้าไม่มีความหลากหลาย อปุ สรรค (Threat) โอกาส (Opportunities) ข้อสรุปในภาพรวมของอุปสรรค พบว่า สังคมไทยเข้าสู่ ข้อสรุปในภาพรวมของโอกาส พบว่า การเปิดการค้า สังคมผู้สูงอายุ จึงทาให้แรงงานภาคเกษตรมีจานวน เสรีช่วยให้ตลาดสินค้าเกษตรแปรรูปมีขนาดใหญ่ข้ึน น้อยลง เกษตรกรไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในการ และได้รบั เงือ่ นไขพเิ ศษในการส่งออกสินค้าเกษตรแปร ใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเพ่ือการแปรรูป ทั้งน้ี รูปไปยังประเทศท่ีทาข้อตกลงร่วมกัน การนา ราคาของเทคโนโลยีอัตโนมัติมีราคาสูงต้องนาเข้าจาก เทคโนโลยีการผลิตเข้ามาช่วยจะสร้างโอกาสทาง ต่างประเทศ และภาครัฐยังให้การสนับสนุนความรู้ไม่ การตลาดที่มากขึ้น ผลิตได้รวดเร็ว มีการใช้แรงงาน ท่ัวถึงในด้านการนาเทคโนโลยีเกษตรกรในการแปรรูป การผลติ น้อยลงอนั เนือ่ งมาจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สนิ คา้ เกษตร ของประเทศไทย และโอกาสท่ีได้รับการสนับสนุนจาก ภาครัฐให้ผ้ปู ระกอบการขนาดเล็กและเกษตรกรหันมา แปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงข้ึน โดยอาศัย เทคโนโลยีมาชว่ ยสร้างมูลค่าให้กับสินคา้ เกษตร ทมี่ า (พรรณรวยี ์ จนั ทรมาศ, 2560, หนา้ 103-105) ในการแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยการนาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติจึงเป็นประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับ โดยตรง จะส่งผลทาให้สินค้าเกษตรจะมีคุณภาพดีข้ึน ปริมาณการสูญเสียวัตถุดิบน้อยลง สามารถผลิตได้ใน ปริมาณมากพอโดยมีคุณภาพท่ีสม่าเสมอ เม่ือเปรียบเทียบมูลค่าสินค้าเกษตรแปรรูปกับสินค้าเกษตรท่ียังไม่ ผ่านการแปรรูป สินค้าเกษตรแปรรูปจะมีมูลค่ากว่าสินค้าเกษตรท่ียังไม่ผ่านการแปรรูป เทคโนโลยีระบบ อัตโนมตั ิจะสามารถช่วยให้เกษตรกรแปรรูปสินค้าเกษตรได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้ง่ายข้ึน เพราะ รปู แบบการบริโภคของคนเปล่ียนไป ในการผลติ สินค้าเพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งสาคัญ ซ่ึงจะต้องผลิตสินค้าเกษตรให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุดซ่ึงอาจจะต้องมีการใช้เทคโนโลยี เข้ามาชว่ ยในกระบวนการผลติ มากยงิ่ ข้นึ การนาเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตเป็นการเพ่ิมต้นทุนสูงข้ึน แต่ควรมีการบริหารจัดการต้นทุนการ ผลติ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ผลิตได้จานวนมากและมีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นท่ียอมรับ ดังนั้น ในการนา เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตจะต้องคานึงถึงความเหมาะสมในการใช้งาน เช่น การพิจารณาประสิทธิภาพ ของเทคโนโลยีท่เี ลือกใช้นั้นต้องเหมาะสมกับการแปรรูปสินค้าเกษตรในแต่ละชนิด และเพ่ือไม่ให้ต้นทุนในการ ผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรสูงจนเกินไปควรพิจารณาราคาของเทคโนโลยีอัตโนมัติท่ีเหมาะสมและมีความ ค้มุ ค่าในการผลติ เปน็ สาคัญ  การจดั การธุรกจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทัล

189 สรุปท้ายบท การผลิตและการดาเนินงาน เป็นหน้าที่สาคัญประการหนึ่งในการจัดการภายใน สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การจัดการธุรกิจด้านการผลิตและการดาเนินงานเป็นพื้นฐานสาคัญที่ภาค ธรุ กจิ ใชป้ ฏบิ ตั ิการแปลงสภาพวตั ถุดิบใหเ้ ป็นสินค้าหรอื บริการเพ่ือสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการดาเนินงานท่ีมีต่อกลุ่มเปูาหมาย โดยมีผู้จัดการด้านการผลิตและการดาเนินงานเป็นผู้ทาหน้าที่ ในการวางแผนและออกแบบในกระบวนการผลิตเพ่อื ให้ได้สนิ คา้ หรือบริการที่มมี าตรฐาน เทคโนโลยีทางการผลิตที่สาคัญ มีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ได้แก่ โปรแกรมสาเร็จรูปด้านการ จัดการโลจิสติกส์ ด้านการควบคุมสินค้าคงเหลือ ด้านการวางแผนความต้องการวัตถุดิบ ด้านการ วางแผนทรพั ยากรการผลิต และดา้ นการผลติ แบบทนั เวลาพอดี ระบบเทคโนโลยีหน่ึงที่สามารถนามาช่วยเหลือได้ คือ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบนี้ ถูกนามาใช้ประกอบการตัดสินใจ มุ่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง พร้อมเสนอ ทางเลือกที่ดีท่ีสุดในแต่ละสถานการณ์ผลิต สามารถช่วยจัดตารางการผลิตและการวางแผนความ ต้องการวัสดุสินค้าคงคลังอุตสาหกรรมได้ สาหรับในอนาคตท่ีเทคโนโลยีเป็นเร่ืองท้าทายอย่างยิ่ง เพราะการแขง่ ขันภาคการผลิตไม่ได้อยู่แต่ในประเทศแล้ว การแข่งขันที่ไร้พรมแดน เกิดพันธมิตรและ คแู่ ข่งมากมาย ผบู้ ริโภคมีอานาจใจการตัดสนิ ใจเลอื กซือ้ ได้ดว้ ยตนเอง  การจัดการธรุ กิจดา้ นการผลติ และการดาเนินงานดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook