190 แบบฝกึ หัดท้ายบท จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จงอธิบายแนวคดิ ในการจดั การผลติ และการดาเนินงานมาพอสังเขป 2. การจดั การผลิตและการดาเนินงาน มีความสัมพันธ์กนั อยา่ งไร 3. การควบคุมคณุ ภาพการผลติ มีแนวปฏิบัติทดี่ ีอย่างไร 4. ระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจ สามารถนามาประยุกตใ์ ช้ในการวางแผนการผลติ ได้อย่างไร 5. อุตสาหกรรม 4.0 คืออะไร 6. ทิศทางแนวโน้มในอนาคตของภาคการผลติ และการจดั การดาเนินงาน เปน็ อยา่ งไร 7. โปรแกรมสาเร็จรูปทางการผลิต สง่ ผลต่อการจดั การผลิตและการดาเนินงานอย่างไร 8. จงตัวอย่างความรับผดิ ชอบต่อสงั คมท้ังในดา้ นการบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากรมนษุ ย์ และการผลติ และการดาเนนิ งาน 9. ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซ้ือสนิ ค้าของผบู้ รโิ ภคได้อย่างไร 10. จงวเิ คราะหก์ รณศี ึกษา ทา่ นคิดว่าเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติมีขอ้ ดีและขอ้ เสียอยา่ งไร การจัดการธรุ กิจด้านการผลติ และการดาเนินงานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั
191 เอกสารอ้างอิง ชลธศิ ดาราวงษ์. (2560). การจัดการผลิตภัณฑแ์ ละการพัฒนาผลติ ภณั ฑใ์ หม่. กรุงเทพฯ: วังอกั ษร. ณัฏฐพันธ์ เขจรนนั ท.์ (2552). การจดั การเชิงกลยุทธ์. กรุงเทพฯ: ซเี อด็ ยูเคชนั . ทลู สท์ ูย.ู (2563). การเพิ่มความสามารถในการผลิต ยุค 4.0. ค้นเมอื่ กรกฎาคม 2, 2563, จาก https://www.ecount.com/th/ecount/product/production_overview. ธวชั ชยั พงษ์สนาม. (2556). ระบบสนับสนนุ การตดั สนิ ใจสาหรับการจัดตารางการผลติ หลักและ การวางแผนความต้องการวัสดุคงคลังของอุตสาหกรรมเซรามิกส์. วารสารการอาชีวะและ เทคนิคศึกษา 3 (5): 66-79. บญุ ฑวรรณ วิงวอน. (2556). การเป็นผู้ประกอบการยคุ โลกาภวิ ตั น์. กรงุ เทพฯ: แอคทีฟ พร้นิ . ประจวบ เพม่ิ สุวรรณ. (2558). ความรเู้ บ้ืองต้นทางธรุ กิจ. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพ. พรรณรวยี ์ จันทรมาศ. (2560). การใชเ้ ทคโนโลยอี ตั โนมตั เิ พื่อเพิ่มผลติ ภาพสินค้าเกษตรแปรรปู ไทย. การประชุมวิชาการระดบั ชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจาปี 2560. ณ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. 13 ธันวาคม 2560. หน้า 92-106. โมเดริ ์น แมนูแฟคเจอรร์ ิง่ . (2561). 4 เทคโนโลยสี าคญั สาหรบั AI ในอตุ สาหกรรมการผลติ . ค้นเม่อื กรกฎาคม 9, 2562, จาก https://www.mmthailand.com/4เทคโนโลยaี iสายการผลติ /. ยทุ ธ์ ไกยวรรณ.์ (2550). การบรหิ ารการผลิต. กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่อื เสริมกรุงเทพฯ. รุจจิ นั ทร์ วิชิวานเิ วศน์. (2560). สารสนเทศทางธรุ กิจ. กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชนั . วศนิ เพิม่ ทรัพย.์ (2561). ความรเู้ บอื้ งต้นเกยี่ วกบั คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ: โปรวิชัน่ . ศักดิ์ดา ศริ ภิ ทั รโสภณ. (2560). พ้นื ฐานธรุ กจิ . ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. สญั ชัย ลง้ั แทก้ ูล. (2561). การจัดการดาเนนิ งาน. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สลั ยุทธ์ สว่างวรรณ. (2560). ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์ท้อป. สุพรรษา ยวงทอง. (2557). ความร้เู บื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: โปรวชิ ัน่ . อเี คาท์. (2564). โปรแกรมการผลิต ECOUNT ERP. ค้นเมื่อ กรกฎาคม 2, 2564, จาก https://www.ecount.com/th/ecount/product/production_overview. โอภาส เอี่ยมศริ วิ งศ.์ (2560). ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยเู คชนั . Boone, L.E., & Kurtz, D.L. (2005). Contemporary Business. Ohio: Thomson South-Western. Certo, S.C. (1997) Modern Management. New Jersey: Prentice-Hill. การจดั การธุรกจิ ด้านการผลิตและการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทัล
192 “การนาเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตเป็นการเพิ่มต้นทุนสูงขึ้น แต่ ควรมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้อยู่ในปริมาณท่ีเหมาะสม ผลิตได้จานวนมาก และมีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ดังนั้น ในการนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ ผลิตจะต้องคานึงถึงความเหมาะสมในการใช้งาน เช่น การพิจารณาประสิทธิภาพของ เทคโนโลยีท่ีเลือกใช้นั้นต้องเหมาะสมกับการแปรรูปสินค้าเกษตรในแต่ละชนิด และเพื่อ ไม่ให้ต้นทุนในการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรสูงจนเกินไปควรพิจารณาราคาของ เทคโนโลยอี ัตโนมัตทิ ีเ่ หมาะสมและมีความคุ้มคา่ ในการผลติ เปน็ สาคญั ” การจดั การธรุ กิจด้านการผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั
บทที่ 8 การจัดการความรู้เพอ่ื ขบั เคลอ่ื นนวัตกรรมในองคก์ ารธุรกจิ การจดั การธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดจิ ิทลั ในดา้ นตา่ ง ๆ ที่ผเู้ ขียนได้อธบิ ายไว้แล้วเบื้องต้นไม่ว่าจะ เป็นการบัญชีการเงิน การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ การผลิตและการดาเนินงาน แสดงให้เห็นถึง ประโยชน์ของเทคโนโลยีท่ีมีบทบาทสาคัญต่อความเป็นอยู่ของธุรกิจในยุคดิจิทัล ต่อให้ธุรกิจมี เคร่ืองมือเทคโนโลยีดิจิทัลมากมายเพียงใด หากขาดทักษะกระบวนการในการนามาใช้ย่อมทาให้เกิด ภาระในด้านต้นทุนตามมาภายหลัง ธุรกิจต่าง ๆ จึงพยายามใช้เทคโนโลยีให้กลายเป็นเคร่ืองมือท่ี สาคัญในการสร้างนวัตกรรม ซ่ึงอาจพบนวัตกรรมได้ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นทั้งนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (product innovation) นวัตกรรมการบริการ (service innovation) นวัตกรรมกระบวนการผลิต (process innovation) นอกจากรูปแบบที่พบเห็นแล้วนวัตกรรมยังอยู่ในรูปแบบความคิด วิธีคิด วธิ กี าร และองคค์ วามร้ใู หมท่ ่เี กดิ ขึน้ นวตั กรรมเป็นผลลัพธ์ท่ีเกิดจากกระบวนการจัดการความรู้ สร้าง องค์ความรู้ใหม่ต่อยอดความรู้เดิม ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการค้า ทาให้ธุรกิจเกิดเป็น องค์การแห่งการเรียนรู้เพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างย่ังยืน การจัดการความรู้เป็น กจิ กรรมหนึ่งในกระบวนการจัดการธุรกิจเพือ่ ยกระดับคุณภาพการดาเนินงานให้สูงขึ้นด้วยความรู้จาก ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ท่ีมีท้ังในตัวบุคคลและไม่ใช่ตัวบุคคล การจัดการความรู้มี ความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับการวิจัยและสร้างนวัตกรรม ทั้งสามสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ผู้อ่านจะได้ทาความเข้าใจจากเน้ือหาบทน้ี สาหรับเนื้อหาในบทน้ีประกอบด้วย แนวคิดการจัดการ ความรู้เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมในองค์การธุรกิจ องค์การแห่งการเรียนรู้สู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ การจัดการองค์การอัจฉริยะเพ่ือเพิ่มผลผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และกรณีศึกษาการจัดการความรู้ เพื่อขับเคลอื่ นนวัตกรรม โดยมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ แนวคดิ การจัดการความรู้เพ่ือขบั เคล่ือนนวตั กรรมในองค์การธุรกิจ องค์การธุรกิจมีการกล่าวถึง นวัตกรรม (innovation) เป็นจานวนมาก บางคนมองว่า นวตั กรรมเป็นผลที่เกิดจากเทคโนโลยีเท่าน้ัน แต่นวัตกรรมจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีอย่าง เดียว นวัตกรรม การจัดการความรู้ และการวิจัย เป็นกระบวนการท่ีมีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็น ระบบ นวตั กรรมเนน้ ถงึ ความแปลกใหม่แบบกา้ วกระโดดเพอื่ เห็นถึงความแตกต่างท่ีชัดเจน นวัตกรรม เป็นผลผลิตท่ีเกิดจากการจัดการความรู้ ธุรกิจจึงสามารถใช้การจัดการความรู้เป็นเคร่ืองมือในการ ขับเคลือ่ นนวัตกรรมทางธุรกจิ การจัดการความรู้ จะช่วยสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ช่วยเพิ่มผลิตภาพในการทางาน นาไปสู่การสร้างนวัตกรรม และตอบสนองต่อแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ (ชลภัทร์ วงศ์ประเสริฐ, 2559, หน้า 55) กระบวนการจัดการความรู้ ประกอบด้วย 7 ข้ันตอน ได้แก่ การบ่งชี้ความรู้ การสร้างและ แสวงหาความรู้ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และการเรียนรู้ ในกระบวนการ 7 ขั้นตอน ผู้เขียนมีความเห็นว่า การ
194 นาความรู้และการเรียนรู้มาสร้างคุณค่าและมูลค่าด้วยกระบวนการจัดการความรู้ 7 ขั้นตอน ต้อง นามาผา่ นกระบวนการให้ครบทั้ง 3 มติ ิ คอื มติ ขิ องการวิจัย มิติของนวัตกรรม และมิติของการจัดการ ความรู้ จากแนวคิดทั้ง 3 มิติ ผู้เขียนไดเ้ คยนามิติมมุ มองท้งั สามมาใช้สาหรับการวิจัย โดยนาหลักการ จัดการความรู้มาปฏิบัติการสร้างนวัตกรรมด้วยกระบวนการวิจัยในปี พ.ศ. 2559 ซ่ึงผู้เขียนได้ศึกษา งานวิจัย เร่ือง การจัดการองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินสู่ชุมชนในท้องถิ่นอาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี (นิรุตต์ จรเจริญ, มาลินี คาเครือ, คมสัน ศรีบุญเรือง และพิศาล คงเอียด, 2559, หน้า 1963-1978) งานวิจัยดังกล่าวเป็นการนาเคร่ืองมือการจัดการความรู้ ซึ่งเป็นเคร่ืองมือทางการบริหารไปปรับใช้ใน การวิจัย การจัดการความรู้เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการสร้างฐานความรู้และเป็นฐานข้อมูลสาหรับใน การพัฒนาระบบสารสนเทศและยังเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการเก็บองค์ความรู้เพ่ือการนา ไปใช้เป็น ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในเชิงการจัดการธุรกิจ งานวิจัยนี้ศึกษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน อาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยกระบวนการจัดการความรู้ พัฒนาเว็บไซต์และคู่มือองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถ่ินอาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ศึกษาข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ด้วยกระบวนการ จัดการความรู้จากเป็นผู้นาชุมชน ผู้เฒ่า ผู้แก่ ปราชญ์ชาวบ้านและประชาชนในชุมชนท้องถิ่น โดยภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ศึกษาน้ันครอบคลุมภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้ง 4 สาขา คือ สาขาศิลปวัฒนธรรม พ้ืนบ้าน สาขาอาหาร สาขาการแพทย์แผนไทย และสาขาเกษตรโดยอ้างอิงจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา และดาเนินการสนทนากลุ่ม (focused group discussion) เพ่ือจัดกลุ่มภูมิปัญญาท้องถ่ิน จากนั้น นามาพฒั นาเป็นระบบสารสนเทศรูปแบบของเว็บไซต์และคู่มือองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นอาเภอท่าม่วง จงั หวัดกาญจนบรุ ี ซ่ึงมตี ัวอยา่ งของผลงานที่ www.kmlocalwisdomtm.com แสดงดงั ภาพที่ 8.1 ภาพท่ี 8.1 เว็บไซต์และคมู่ อื องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่นิ ทมี่ า (นริ ุตต์ จรเจริญ, มาลินี คาเครือ, คมสนั ศรบี ญุ เรือง และพศิ าล คงเอียด, 2559) การจัดการความรู้เพ่อื ขบั เคลอื่ นนวัตกรรมในองคก์ ารธรุ กิจ
195 จากภาพท่ี 8.1 การจดั การความรู้มีความเก่ียวข้องกับเทคโนโลยี ซ่ึงถือได้ว่าเป็นปัจจัยสาคัญ หน่ึงที่เอ้ือต่อการจัดการความรู้ประสบความสาเร็จ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร จึงเป็นแรงผลักดันที่สาคัญในการช่วยให้ความรู้เกิดการแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น และสามารถสร้าง องค์การอัจฉริยะได้ด้วยการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ การจัดการความรู้มีจุดมุ่งหมายหลัก ๆ คือ การใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่ได้มีการรวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์และกาหนดประเด็น รวมไปถึง การเผยแพรอ่ งคค์ วามรู้ วตั ถุประสงคห์ ลัก ๆ ของการจดั การความรู้ โดยทว่ั ไป ประกอบดว้ ย 1. การจัดการความรู้ เป็นการใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่าง เป็นระบบขนั้ ตอนแล้ววิเคราะหป์ ระเด็นสาคัญเพ่ือนาไปเผยแพร่และใช้ประโยชน์ 2. การจดั การความรู้ เป็นการสรา้ งความตระหนกั ถึงความรูท้ ่ีมีทง้ั ในตัวบคุ คล องค์การ โดยมี การนาความรนู้ ้ันมาใชป้ ระโยชน์ต่อองคก์ ารธรุ กจิ 3. การจดั การความรู้ มีการนาเทคโนโลยีดิจิทลั เขา้ มาช่วยจัดเก็บอยา่ งเปน็ ระบบและเผยแพร่ ทางส่ือช่องทางตา่ ง ๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลเิ คชนั สอ่ื สังคมออนไลน์ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นต้น 4. การจัดการความรู้ ช่วยเสริมสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์การธุรกิจ เช่น ระบบการคัดเลือกเขา้ ทางาน ระบบดแู ลให้คาปรกึ ษา ระบบการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง เปน็ ตน้ สาหรบั มุมมองการใช้การจดั การความรู้ขับเคลอื่ นนวตั กรรม ประกอบด้วย การจัดการความรู้ องค์การแหง่ การเรยี นรู้ และนวตั กรรมองคก์ าร แสดงดงั ภาพที่ 8.2 Input Process Output Knowledge Learning Organizational Management Organization Innovation ภาพท่ี 8.2 มุมมองการใช้ KM ขับเคล่ือนนวตั กรรมองคก์ าร ทม่ี า (สถาบนั เพม่ิ ผลผลติ แห่งชาต,ิ 2564) จากภาพท่ี 8.2 จะเห็นว่า การจัดการความรู้ เปรียบเสมือนกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่อื นาไปวิเคราะห์ จนเกดิ กระบวนการเรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะ ทาให้ความรู้เกิดการกระจายอย่างท่ัวถึง ในองค์การและเกดิ การเรียนรู้ซ่ึงกันและกนั นาไปสู่แนวคิดใหมท่ ่ชี ่วยกระตุ้นศักยภาพความสามารถใน การแก้ปัญหา จนเกิดเปน็ นวัตกรรมขององค์การ ดังนั้น การจัดการความรู้เพ่ือขับเคลื่อนนวัตกรรม จึงเป็นอีกหน่ึงกิจกรรมเพ่ือช่วยให้การ จัดการธุรกิจในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน การจัดการความรู้เป็นวิธีการสร้าง องค์การแห่งการเรียนรู้ ธุรกิจใดที่สามารถนากระบวนการจัดการความรู้มาใช้ในองค์การอย่างเป็น ระบบ จะสามารถสร้างองค์การให้เกิดการจัดการความรู้ที่ใช้สติปัญญาอย่างชาญฉลาดเกิดผลดีต่อ ธุรกิจ เกิดการสร้างสรรค์ สามัคคี ความสามารถปรับตัวรับมือกับปัญหา และเกิดผลดีต่อสมาชิก เรา จะเรยี กสง่ิ ท่เี กดิ ขึน้ นีว้ า่ องคก์ ารอัจฉริยะ การจัดการความรู้เพื่อขบั เคลอื่ นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
196 องคก์ ารแห่งการเรยี นรู้สกู่ ารเป็นองค์การอจั ฉริยะ องค์การแห่งการเรียนรู้ (learning organization) เป็นกระบวนการพัฒนาองค์การเพ่ือไปสู่ การเป็นองคก์ ารอัจฉริยะ ซ่ึงการจัดการธุรกิจด้วยวิธีการนี้จะเป็นเคร่ืองมือสาคัญที่ทาให้ธุรกิจอยู่รอด และได้เปรียบทางการแข่งขันในการจัดการธุรกิจยุคเทคโนโลยีดิจิทัล และธุรกิจต้องมีความพร้อมท่ีจะ ปรบั เปล่ียนใหส้ อดคล้องกบั สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา สาหรบั ในหวั ข้อน้ีองคก์ ารแหง่ การเรยี นร้มู ีผู้ใหค้ วามหมายไว้แตกต่างกัน มีรายละเอยี ดดงั น้ี ฮอย และมิสเกล (Hoy & Miskel, 2001, p. 23) อธิบายว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็น องค์การท่ีสมาชิกได้พัฒนาขยายขีดความสามารถเพื่อการสร้างสรรค์งานให้สามารถบรรลุเป้าหมายตาม แผน ซึ่งจะทาให้เกิดการกระตุ้นให้สมาชิกมีแรงบันดาลใจในการสร้างแนวคิดใหม่ สมาชิกในองค์การ ได้เรียนรู้ซ่ึงกันและกัน รวมทั้งทาให้องค์การเกิดการขยายศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งเพื่อแก้ปัญหา เบลนชาร์ด และแทกเกอร์ (Blanchard & Thacker, 2007, pp. 44-45) อธิบายว่า องค์การ แหง่ การเรียนรู้ เปน็ การปรับปรุงขดี ความสามารถขององค์การโดยการตั้งเป้าหมายองค์การให้เกิดการ เรียนรู้เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้เกิดข้ึนในองค์การและกระจายไปอย่างทั่วถึง พร้อม ท้งั เกิดผลลัพธ์นาไปสู่การเปล่ยี นแปลงทาให้องค์การเกิดความสามารถในการแขง่ ขนั ท่สี ูงขึน้ ยุรพร ศุทธรัตน์ (2552, หน้า 24) อธิบายว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์การท่ีมีการ เรียนรู้อย่างต่อเน่ืองโดยผ่านการทางานร่วมกันระหว่างบุคคลในแต่ละระดับท้ังภายในและภายนอก เกดิ การเปลีย่ นแปลงท่นี าไปสู่การได้เปรยี บทางการแข่งขันในธุรกิจ กาญจนา โพธบิ า (2553, หน้า 15) อธิบายว่า องค์การแหง่ การเรียนรู้ เป็นองค์การท่ีบุคลากร ในองค์การมีความต่ืนตัวที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเน่ือง มีความคิดสร้างสรรค์ในการ ทางานเพื่อให้องค์การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจากการใช้ความรู้ท่ีมี โดยภาพรวมแล้วเป็น องค์การทมี่ ุ่งแสวงหาความเป็นไปไดพ้ ร้อมทีจ่ ะเปลย่ี นแปลงสงิ่ ใหมต่ ลอดเวลา อาภรณ์ ลามะนา (2553, หนา้ 19-20) อธิบายวา่ องค์การแห่งการเรยี นรู้ เปน็ องค์การที่เปิด โอกาสให้บุคคลหรือสมาชิกได้เพ่ิมพูนความรู้และความสามารถในการเรียนรู้ตลอดเวลา เพ่ือพัฒนา ตนเองให้สามารถนาความรู้ท่ีได้มาถ่ายทอดไปยังบุคคลอ่ืนให้เกิดการรับรู้ในองค์การอย่างต่อเนื่อง สง่ ผลให้องคก์ ารพฒั นาไปสูก่ ารสร้างความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขัน จากความหมายผู้เขียนสรุปว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ คือ องค์การที่บุคลากรหรือสมาชิกใน องคก์ ารถกู กระต้นุ ใหเ้ กดิ การเรยี นรเู้ พอื่ เพ่มิ พูนความร้แู ละทักษะการปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา และทา ให้เกิดความรู้ท่ีกระจายอย่างท่ัวถึงในองค์การด้วยวิธีการเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ก่อให้เกิดเ ป็น แนวความคิดใหม่ท่ีได้รับการกระตุ้นให้แสดงออกทาให้องค์การได้มีการขยายศักยภาพเพ่ือแก้ปัญหา และสรา้ งสรรค์นวัตกรรมใหม่อยา่ งต่อเน่อื ง องค์การแห่งการเรียนรู้มีความสาคัญต่อการประกอบธุรกิจในสังคมไทย เพราะเป็นวิธีการ เตรยี มความพร้อมองค์การเพอื่ รองรบั สภาพแวดลอ้ มทางธุรกิจท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จาก องค์การแห่งการเรียนร้ผู บู้ รหิ ารจะสามารถนาพาองค์การไปสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะได้อย่างไร โดย ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ (2557, หน้า 1-8) รองปลัดกระทรวงคมนาคม ได้บรรยายพิเศษเก่ียวกับเรื่อง การจัดการความรู้เพอ่ื ขับเคลอ่ื นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กิจ
197 สถาบันการบินพลเรือนในมิติองค์กรอัจฉริยะ ได้ข้อสรุปว่า องค์การอัจฉริยะ (intelligence organization) คือ องค์การที่ใช้หลักการและวิธีการจัดการความรู้ หลักการและวิธีการขององค์การ เรียนรู้และเครื่องมืออื่น ๆ เพ่ือพัฒนาองค์การ การทางาน สติปัญญาอย่างชาญฉลาด เกิดผลดีต่อ องค์การ เกิดการสร้างสรรค์ สามัคคี ความสามารถปรับตัวรับมือกับปัญหา และเกิดผลดีต่อสมาชิก ขององค์การ สาหรับความแตกต่างระหวา่ งองคก์ ารแหง่ การเรียนรู้และองค์การอัจฉริยะ มีความสัมพันธ์ซ่ึงกัน และกัน แตม่ คี วามแตกตา่ งกันในบางมติ ิ โดยผเู้ ขยี นจะเปรยี บเทียบความแตกต่าง แสดงดงั ตารางที่ 8.1 ตารางท่ี 8.1 ความแตกต่างระหว่างองคก์ ารแห่งการเรยี นรแู้ ละองค์การอัจฉรยิ ะ องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ องคก์ ารอัจฉริยะ องค์การทบี่ คุ ลากรหรือสมาชิกในองค์การถูกกระตุ้นให้ องค์การอัจฉริยะเป็นผลลัพธ์จากองค์การแห่งการแห่ง เกิดการเรียนรู้เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้และทักษะการ การเรียนรู้ร่วมกับการจัดการความรู้ ใช้หลักการและ ปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา และทาให้เกิดความรู้ที่ วิธีการจัดการความรู้ หลักการและวิธีการขององค์การ กระจายอย่างท่ัวถึงในองค์การด้วยวิธีการเรียนรู้ซึ่งกัน เรียนรู้และเครื่องมืออ่ืน ๆ เพ่ือพัฒนาองค์การ การ และกัน ก่อให้เกิดเป็นแนวความคิดใหม่ท่ีได้รับการ ทางาน สติปัญญาอย่างชาญฉลาด เกิดผลดีต่อองค์การ กระตุ้นให้แสดงออกทาให้องค์การได้มีการขยาย เกดิ การสรา้ งสรรค์ สามัคคี ความสามารถปรับตัวรับมือ ศักยภาพเพื่อแก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ กับปัญหา และเกิดผลดตี อ่ สมาชิกขององคก์ าร อย่างต่อเนือ่ ง ที่มา (ธรี ะพงษ์ รอดประเสริฐ, 2557, หน้า 1-8) จะเห็นได้ว่า องค์การอัจฉริยะเป็นผลลัพธ์จากองค์การแห่งการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการ ความรู้ ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าในปัจจุบันเม่ือกล่าวถึงองค์การอัจฉริยะคนท่ัวไปจะเข้าใจว่าเป็น องค์การที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพียงอย่างเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นปัจจัย หน่ึงท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการความรู้และองค์การแห่งการเรียนรู้ คาว่า อัจฉริยะ ในท่ีนี้จึงหมายถึง การใช้หลักการและวิธีการจัดการความรู้ เพื่อพัฒนาองค์การ การทางาน สติปัญญาอย่างชาญฉลาด เกิดผลดีต่อองค์การ ซึ่งเคร่ืองมือท่ีจะช่วยให้เกิดการทางานอย่างชาญฉลาดมากข้ึน คือ เทคโนโลยี ดิจิทัล เพ่อื ให้เหน็ ความสัมพันธ์กันและเข้าใจง่ายข้ึน ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การ อจั ฉริยะ และการจดั การความรู้ แสดงดังภาพที่ 8.3 IO LO KM ภาพที่ 8.3 ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การอจั ฉรยิ ะ องค์การแหง่ การเรียนรู้ และการจัดการความรู้ ทมี่ า (ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ, 2557, หน้า 2) การจัดการความรู้เพ่อื ขับเคลอื่ นนวตั กรรมในองค์การธรุ กจิ
198 อภิญญา ฉัตรช่อฟ้า และบุญทัน ดอกไธสง (2562, หน้า 157) ได้อธิบายถึง ปัจจัยแห่ง ความสาเร็จและสิ่งสะท้อนปญั หาอุปสรรคเพื่อกา้ วสูอ่ งคก์ ารแห่งการเรียนรู้ คอื การเปล่ียนแปลงอย่าง ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความซับซ้อนด้านเศรษฐกิจ การจัดการธุรกิจสมัยใหม่ที่มีการ เปล่ียนแปลง องค์การจึงต้องมีการปรับเปล่ียนเพื่อความอยู่รอดและสร้างภูมิคุ้มกันให้มีความมั่นคง โดยอาศัยเครื่องมือการจัดการความรู้ เพราะความรู้ก่อให้เกิดประโยชน์สาหรับคนทั้งองค์การเพื่อก้าว ส่กู ารเปน็ องค์การแหง่ การเรยี นรู้ ในปี พ.ศ. 2561 ผู้เขียนได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับชุมชนอัจฉริยะ เรื่อง การพัฒนาชุมชน ต้นแบบสู่การเป็นชุมชนอัจฉริยะ เป็นชุมชนท่ีมีการนาเทคโนโลยีมาบริหารจัดการชุมชนในการนา ความหลากหลายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว หน่วยงานบริการภาครัฐ โดยนา เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานต่อไปนี้ (นิรุตต์ จรเจริญ, ณัฏฐ์ดนัย ไค่นุ่นภา, คมสัน ศรีบุญเรือง, มาลินี คาเครอื , และพชั รินทร์ บุญสมธป, 2561, หน้า 9) 1. การจัดทาแผนที่ชุมชนออนไลน์เพ่ือเป็นแหล่งแหล่งเรียนรู้ทางช่องทางการส่ือสารใหม่ใน ระบบดิจทิ ลั เรยี กวา่ สมาร์ท คอมมนู ิตี้ แมพ๊ (Smart Community Map) 2. สถาบันการศึกษาในชุมชนมีบทเรียนท้องถิ่นออนไลน์สนับสนุนการศึกษาในระบบดิจิทัล เรียกวา่ สมาร์ท เอ็ดดูเคชัน (Smart Education) 3. หน่วยงานบริการภาครัฐสานักงานเทศบาล นาระบบการบริการในลักษณะแอปพลิเคชัน มาใช้งานประชาชนเข้าถึงบรกิ ารไดอ้ ย่างท่วั ถงึ และรวดเร็ว เรียกว่า สมาร์ท เซอร์วิส (Smart Service) 4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนโดยมีส่ือเชิงสร้างสรรค์แบบปฏิสัมพันธ์ มีเว็บไซต์และ แอปพลิเคชนั สนับสนนุ การท่องเท่ยี ว เสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชน เรียกว่า สมาร์ท ทัวร์ริสม์ (Smart Tourism) จะเห็นได้ว่าผู้เขียนได้นิยามคาว่า อัจฉริยะ เป็นการนาเทคโนโลยีมาใช้งานเป็นต้นแบบใน ชุมชนด้านต่าง ๆ องค์การอัจฉริยะในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถนิยามได้ว่า เป็นองค์การที่ใช้ หลักการและวิธกี ารจัดการความรู้ เพือ่ พฒั นาองคก์ าร การทางาน สติปัญญาอย่างชาญฉลาด เกิดผลดี ต่อองคก์ าร ซึ่งใช้เทคโนโลยีเปน็ เครื่องมอื ที่จะชว่ ยให้เกดิ การทางานอย่างชาญฉลาดมากขนึ้ องคก์ ารอจั ฉรยิ ะไมใ่ ช่องคก์ ารทมี่ ีการนาเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งานแล้วจะเสร็จภารกิจ ในทันที ในยุคประเทศไทย 4.0 ได้มุ่งเน้นให้องค์การปรับตัวสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ โดยประยุกต์ เทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับองค์การให้มีการทางานที่ครอบคลุมท่ัวทั้งองค์การ และท่ีสาคัญ เชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ระหว่างลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากน้ีแล้วยังมีการนาเทคโนโลยี ดิจิทัลไปสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่เกิดข้ึนมาเป็นจานวนมาก เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้าง องค์การให้มคี วามเข้มแข็ง ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขนั บนพื้นฐานของการมีนวัตกรรมและ ความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น รูปแบบแนวคิดและหลักการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่เรียนกันมา หลากหลายทฤษฎีจะยังสามารถใช้ไปได้อีกนานเท่าใด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีดิจิทัล ดิสรัปเตอร์ (digital disruptor) จานวนมาก การจัดการความรเู้ พื่อขบั เคลอื่ นนวัตกรรมในองค์การธรุ กิจ
199 หลงั จากทีผ่ ูอ้ ่านใหศ้ ึกษาข้อมลู มาแลว้ จะเขา้ ใจว่า องค์การอัจฉริยะเกิดจากการสร้างองค์การ แห่งการเรียนรู้ด้วยกระบวนการจัดการความรู้ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนส่งผลลัพธ์ทาให้ช่วย ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจให้สูงขึ้น โดยแต่ละองค์การจะมีแนวทางในการ สร้างองคก์ ารแห่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย การจัดการธุรกิจเพ่ือเพ่ิมผลผลิตจึงต้อง อาศัยเทคโนโลยีดิจทิ ลั เพอ่ื ส่งเสริมกระบวนการทางานอย่างอัจฉริยะ การจดั การองคก์ ารอัจฉริยะเพื่อเพิม่ ผลผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจทิ ัล อย่างที่กล่าวว่าในบริบทประเทศไทย 4.0 ได้มุ่งเน้นให้องค์การปรับเปล่ียนตัวเองให้เป็น องคก์ ารอัจฉรยิ ะ โดยมีการนาเทคโนโลยเี ข้ามาใชใ้ นการทางานในองค์การเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมาย การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีนาไปสู่แนวทางการทางานในรูปแบบใหม่ และการ เขา้ สงั คม การทางานแบบเดิมท่ีมผี คู้ นนั่งปฏิบัติหน้าท่ีในสานักงานผูกติดกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการทางานได้เกือบทุกแห่งท่ีมีสัญญาณเครือข่าย มิใช่เพียงแค่นาไปใช้กับงาน ประจาเพียงอย่างเดยี ว แตย่ งั ถูกนาไปใชก้ ับกิจกรรมอนื่ ๆ ไดเ้ ชน่ กนั การจัดการธุรกิจมีอิทธิพลในการเพ่ิมประสิทธิภาพให้กับองค์การ เราสามารถดาเนินการได้ ด้วยกระบวนการสร้างมิติด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นกิจกรรมในการออกแบบ กิจกรรมทีเ่ กี่ยวข้องกับดิจิทัลเพื่อช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพให้กับองค์การ จะพบเห็นได้จากเกิดระบบการ จัดการธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นกิจกรรมที่มีการนาระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ หัวข้อน้ีผู้เขียน ขอนาเสนอข้ันตอนของการสร้างมิติด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นวิธีการจัดการธุรกิจในการช่วยเพ่ิม ประสิทธภิ าพให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้นาไปสู่การเป็นองค์การอัจฉริยะ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ สรรหาผู้เช่ียวชาญ วิเคราะห์สภาพแวดล้อม กาหนดทิศทาง กาหนดกลยุทธ์ ดาเนินการตามกลยุทธ์ และควบคุมประเมินผล โดยแต่ข้ันตอนมีรายละเอียดดังนี้ (Certo, 2009, pp. 370-376) 1. การสรรหาผู้เชี่ยวชาญ (enlisting digital expertise) แน่นอนว่าหากเราจะสร้างมิติด้าน เทคโนโลยีดิจิทัล องค์การมีความจาเป็นต้องมีผู้เช่ียวชาญท่ีมีทักษะความสามารถในการใช้อุปกรณ์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางธุรกิจระบบอิเล็กทรอนิกส์ การโน้มน้าวจิตใจคนให้สนใจกิจกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ และการเข้าใจภาพรวมขององค์การ ซึ่งหากแบ่งออกเป็นด้านทักษะท่ีจาเป็น ประกอบดว้ ย ทกั ษะเชงิ เทคนิค มนษุ ยสัมพันธ์ และความคิด 2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (analyzing digital environment) การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมเป็นการประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค จะทาให้ทราบว่าปัจจัยใดท่ีมี อิทธิพลต่อความสาเร็จในระบบธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้หลักการวิเคราะห์ท่ีเรียกว่า สวอต (SWOT) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อหา ผลกระทบต่าง ๆ วิธีการน้ีจะทาให้องค์การสามารถแก้ไขปัญหาที่พบได้ทันการณ์และสามารถวาง แผนการใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ในอนาคตไดช้ ัดเจนมากยิง่ ขนึ้ การจัดการความรูเ้ พอื่ ขับเคลอื่ นนวตั กรรมในองค์การธรุ กิจ
200 3. การกาหนดทิศทาง (establishing digital direction) เป็นขั้นตอนของการกาหนด ทิศทางของกิจกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจากความเชี่ยวชาญท่ีเหมาะสมแ ละเข้าใจสภาพแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างลึกซึ้งจริง ๆ ดังนั้น การกาหนดทิศทางที่ชัดเจนโดยแยกเป้าหมายด้าน เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ออกมาจะทาใหเ้ ห็นภาพในการบริหารจดั การธุรกจิ ในอนาคตทช่ี ัดเจนมากขนึ้ 4. การกาหนดกลยทุ ธ์ (formulating digital strategy) เป็นข้ันตอนการกาหนดกลยุทธ์และ แผนงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซ่ึงเป้าหมายเป็นตัวกาหนดกลยุทธ์และทิศทาง ของกิจกรรม การกาหนดกลยุทธ์ต้องอาศัยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมาประกอบเพ่ือ กาหนดกลยทุ ธ์ทีเ่ หมาะสม 5. ดาเนินการตามกลยุทธ์ (implementing digital strategy) ข้ันตอนน้ีต้องมีการจัดสรร ทรัพยากรที่จาเป็นเพือ่ สร้างระบบตา่ ง ๆ ใหก้ ับกลยุทธเ์ ทคโนโลยีดิจิทัล สร้างวัฒนธรรมองค์การที่เอ้ือ ต่อกลยุทธ์ที่จะสามารถเติบโตและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์เพ่ือตอบสนอง เป้าหมายด้าน เทคโนโลยดี จิ ทิ ัล 6. ควบคุม (controlling digital dimensioning) เป็นข้ันตอนการประเมินผลกระบวนการสร้าง มิตดิ ้านเทคโนโลยดี ิจทิ ัลเพอ่ื ตรวจสอบว่าเป็นไปตามแผนท่ีได้วางไว้หรือไม่ เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุง แผนกลยุทธห์ รือทบทวนผลการวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมกับค่าเปา้ หมายให้มีความเหมาะสม การสร้างมิติด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจึงถือว่าเป็นกิจกรรมที่ท้าทายสาหรับผู้บริหารอย่างมาก ในการสร้างความสาเร็จขององค์การอัจฉริยะในยุคดิจิทัล ซึ่งกระบวนการทั้ง 6 ขั้นตอนข้างต้น ผบู้ ริหารต้องยอมรับวา่ ในการพิจารณาการสร้างมิติด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอาจต้องพิจารณาไปพร้อม ๆ กนั ทุกข้ันตอน โดยแสดงขน้ั ตอนดังภาพที่ 8.4 การสรรหา ผู้เชี่ยวชาญ ควบคุม การวิเคราะห์ สภาพแวดลอ้ ม ดาเนินการตามกลยทุ ธ์ การกาหนดทิศทาง การกาหนดกลยุทธ์ ภาพที่ 8.4 การพิจารณาขัน้ ตอนการสร้างมติ ิดา้ นเทคโนโลยีดิจทิ ัล ทีม่ า (Certo, 2009, p. 376) การจัดการความร้เู พื่อขบั เคลอื่ นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กิจ
201 องค์การอัจฉริยะเป็นหน่ึงในนวัตกรรมท่ีเรียกว่า นวัตกรรมด้านองค์การ การจัดการองค์การ อัจฉริยะจึงมุ่งเน้นการเพ่ิมขีดความสามารถทรัพยากรองค์การท่ีมีอยู่ โดยใช้ความรู้ความสามารถ ปรบั ปรุงกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์การเพื่อให้เกิดประโยชน์ มีประสิทธิภาพ และประสบผลสาเร็จในการ เพิ่มผลผลิตภายใต้การอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือ ซึ่งนวัตกรรมด้านองค์การจะนาไปสู่ นวัตกรรมด้านกระบวนการ ที่เน้นการใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนากระบวนการจัดการ ธรุ กิจและช่วยให้เกิดการสรา้ งหรือพฒั นาผลติ ภัณฑ์ ซึ่งเรยี กวา่ นวัตกรรมดา้ นสนิ คา้ การจัดการธุรกิจท่ีมีการนานวัตกรรมมาเป็นเคร่ืองมือในการจัดการเพ่ือเพิ่มผลผลิต เป็นหน่ึง ในปัจจัยที่สาคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และส่งผลทาให้บุคลากรมีศักยภาพในพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ท้ังในด้านองค์การ ด้านกระบวนการ และด้านผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบในการจัดการธุรกิจด้วย นวัตกรรมเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ มีรายละเอียดดังนี้ (พยัต วุฒริ งค,์ 2562, หน้า 7) 1. ความรู้ (knowledge) คือ องค์ประกอบพ้ืนฐานท่ีสาคัญในการพยายามสร้างการเรียนรู้ และพฒั นาใหเ้ กิดเป็นองค์การแหง่ การเรยี นร้สู ู่การเป็นองค์การอจั ฉรยิ ะ 2. นวัตกรรม (innovation) คือ ความคิด วิธีการ การกระทา หรือส่ิงใหม่ท่ีเกิดขึ้นมาแล้ว สง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงในองคก์ ารหรอื สังคมในทิศทางทดี่ ีข้นึ กว่าเดิม 3. ความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness advantage) คือ ส่ิงที่สร้างขึ้นเพื่อ ความได้เปรียบในการแขง่ ขนั ทางธรุ กิจ ส่งผลใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งระหวา่ งผู้แพแ้ ละผู้ชนะ 4. ศักยภาพการแข่งขัน (competitiveness) คือ การมีปัจจัยที่เป็นข้อได้เปรียบท่ีใช้วัด ความสามารถหรือศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งขัน การพัฒนาศักยภาพตนเองให้เหนือกว่าคู่แข่ง ขนั นาไปสูก่ ารสรา้ งผลผลติ ที่สูงขึน้ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์การสามารถดาเนินการได้หลากหลายวิธี เทคโนโลยีหนึ่งที่ ยงั คงมีความสามารถในการเพ่ิมคุณค่าและเพิ่มผลิตได้ คือ การสร้างคุณค่าด้วยเว็บไซต์ (พรรณี สวนเพลง, 2555, หน้า 113) การสร้างคณุ ค่าดว้ ยเว็บไซต์ (value web) เวบ็ ไซตเ์ ป็นหนึ่งในเครอื่ งมือพ้นื ฐานในการจัดการ องคก์ ารกอ่ นท่ีจะเร่ิมมีพัฒนาการออกมาในรูปแบบแอปพลิเคชัน สาหรับการสร้างคุณค่าด้วยเว็บไซต์ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะช่วยขยายเครือข่ายห่วงโซ่คุณค่าออกไป เพื่อเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม ผเู้ ก่ียวข้องดว้ ยการผ่านเว็บไซต์ เวบ็ ไซตม์ ีหน้าทรี่ วบรวมข้อมูลขององค์การกับการประสานงานห่วงโซ่ คุณค่าเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยทาให้กระบวนการขององค์การกับผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องในอุตสาหกรรมมี ประสิทธิภาพ ที่สาคัญองค์การจะทราบดีว่าอุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) มีทิศทางเป็น อย่างไร สร้างคุณค่าในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ถูกออกแบบมาอย่างมี มาตรฐานก็จะช่วยให้เกิดความน่าเช่ือถือให้กับผู้ใช้บริการ ส่งผลให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ซ่ึงเว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์ที่ช่วยเพ่ิมคุณค่าให้กับตราสินค้าหรือองค์การ ปัจจุบันโลก ได้เปลยี่ นแปลงไปเป็นอยา่ งมาก อยา่ งทไ่ี ดก้ ล่าวไว้ว่า มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นจานวนมาก เพื่อช่วย อานวยความสะดวกให้ชีวิตในแต่ละวัน และท่ีสาคัญการมีหน้าร้านหรือออฟฟิศ (office) ไม่จาเป็นว่า จะต้องมีพ้นื ที่จริงสามารถดาเนนิ การธรุ กิจได้ และผู้ใช้บรกิ ารสว่ นใหญ่อย่ใู นโลกออนไลนม์ ากข้นึ การจดั การความรเู้ พ่ือขบั เคลอ่ื นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
202 การสร้างภาพลกั ษณท์ ่ีดแี ละสร้างความนา่ เช่อื ถือถือว่าเป็นหน่งึ ในกจิ กรรมที่จะช่วยให้ลูกค้ามี ความเช่ือม่ันและเกิดความพึงพอใจต่อการใช้บริการ การสร้างคุณค่าด้วยเว็บไซต์จึงสามารถนาไป ประยุกต์ใช้กับงานที่หลากหลายได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตัวอย่างเว็บไซต์บริการข้อมูล 3 ภาษาเพ่ือ เพิ่มมูลค่าและสนับสนุนข้อมูลการท่องเท่ียวเชิงประวัติศาสตร์ในเขตเมืองกาญจนบุรีให้เป็นการ ท่องเที่ยวแบบดิจิทลั สามารถเขา้ ใช้งานได้จาก www.3languageskan.com แสดงดงั ภาพที่ 8.5 ภาพท่ี 8.5 ตัวอย่างเวบ็ ไซต์บรกิ ารข้อมูล 3 ภาษา ท่ีมา (นริ ตุ ต์ จรเจรญิ , ศจุ ิณฐั จิตวิรยิ ะนนท์, เสาวคนธ์ บญุ สมธป และจรสั พงษ์ โชคชัยสิริ 2564, หนา้ 193) จะเหน็ ว่าเว็บไซต์ท่ีถูกปรับแต่งและออกแบบมาอย่างมีมาตรฐาน เว็บไซต์จะช่วยสร้างคุณค่า ให้กับองค์การ ผู้เข้าใช้บริการเกิดความน่าเช่ือถือเว็บไซต์ สามารถนาข้อมูลนี้ไปใช้ประโยชน์ เชงิ วชิ าการได้ นอกจากน้ันยังมีตัวอย่างเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีใช้สาหรับการจัดการธุรกิจเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ ให้กับองค์การ โดยนาเอาสารสนเทศมาเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เพ่ือการติดต่อสื่อสาร ระหว่างหน่วยต่าง ๆ เกิดเป็นศูนย์ข้อมูลกลางที่มีการใช้งานร่วมกัน การประสานงานกันด้วยระบบ จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ อนิ เทอร์เนต็ เครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ หรือกรุ๊ปแวร์ (groupware) เพ่ือให้การ ติดตอ่ งานสะดวกและรวดเร็วขึ้น และเปน็ การเชอ่ื มโยงหน่วยงานท่ีอยู่ห่างไกลให้มีการประสานงานที่ดี ตัวอย่างการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการติดต่อสื่อสาร แสดงดงั ภาพที่ 8.6 การจดั การความรู้เพื่อขับเคลอื่ นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
203 ภาพที่ 8.6 การประชุมทางไกลผ่าน Video Conference ท่ีมา (มที ดอท กูเกล้ิ , 2563) อย่างไรก็ตาม หากผู้บริหารสามารถใช้โอกาสจากอินเทอร์เน็ต ช่องทางสาหรับเพื่อให้เกิด ประโยชน์ในเชิงบวกจะช่วยใหอ้ งคก์ ารสรา้ งโอกาสทางธรุ กจิ ใหม่ ๆ ได้เชน่ กัน รวมถึงการสร้างช่ือเสียง ภาพลกั ษณท์ ด่ี ี ทาให้ผใู้ ชบ้ รกิ ารเกิดความจงรักษภ์ กั ดตี ่อองค์การ ดังน้ัน การจัดการธุรกิจด้วยการนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการร่วมกันจะช่วยให้องค์การ สามารถสร้างโอกาสในเชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน กลายเป็นผู้นาไม่ว่าจะเป็นผู้นาทางด้าน ตน้ ทนุ ด้านความแตกตา่ ง ดา้ นนวตั กรรม ด้านการเติบโต หรือแม้แต่มีพันธมิตรร่วมกันเพื่อเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งให้กับองค์การ คานึงถึงความถูกต้องตามหลักศีลธรรม จรรยาบรรณที่ถูกที่ควร ไม่คิด แต่จะได้เปรียบเพียงอย่างเดียวจนลืมความถูกต้อง ผู้บริหารต้องเผชิญกับโอกาสและความท้าทาย มากมายในยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายในการรักษาความได้เปรียบในการ แข่งขนั การจัดการความรู้เพื่อขับเคลอื่ นนวตั กรรมในองค์การธรุ กจิ
204 กรณีศึกษาการจัดการความรู้เพ่ือขับเคลื่อนนวัตกรรม จากหวั ข้อทีผ่ า่ นมาผอู้ ่านได้เรยี นรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ เพื่อการจัดการธุรกิจองค์การไปสู่การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การจัดการความรู้เป็น กจิ กรรมท่ีก่อใหเ้ กิดเปน็ องคก์ ารแห่งการเรยี นร้ซู ึง่ มผี ลต่อดาเนินงานดา้ นนวตั กรรม กรณีศึกษาที่น่าสนใจที่มีการใช้กระบวนการจัดการความรู้ในการขับเคลื่อนองค์การธุรกิจ คือ การจัดการความรู้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (โชคดี เลียวพาณิช, 2560, หน้า 4-7) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นสถาบันการเงินท่ีให้บริการมายาวนานถึง 6 ทศวรรษ เป็น หน่วยงานที่ให้บริการสนับสนุนความมั่นคงเกี่ยวกับปัจจัยสี่ที่มนุษย์ปรารถนา นั่นคือ ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน การท่ีธนาคารแห่งน้ีสามารถให้บริการได้มายาวนานจะต้องอาศัยองค์ความรู้ท่ีส่ังสมมายาวนาน ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ในการบริหารจัดการจนเกิดประสิทธิภาพและแสดงถึงความเข้มแข็ง ของแบรนด์ทสี่ ามารถยืนอยูม่ าไดถ้ งึ ปัจจุบัน ในสภาวะเช่นนี้ เราจะพบเห็นองค์การหลายแห่งท่ีประสบภาวะวิกฤติ ซ่ึงส่วนหน่ึงเกิดจาก การขาดความสามารถในการบริหารจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ขาด ความสามารถทางการแข่งขัน ไม่สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจ ปัจจัยหนึ่งที่จะสามารถ ช่วยให้องค์การเดินหน้าต่อได้ คือ การจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้จะนามาต่อยอด นวัตกรรมเพ่ือขับเคล่อื นองค์การต่อไปได้ ธนาคารได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่เรียกว่า คณะกรรมการส่งเสริมการจัดการความรู้และ พัฒนานวัตกรรม หรือ เรียกกันว่า เคเอ็ม อินโน (KM Inno) คณะกรรมการทาหน้าท่ีพิจารณา การ กาหนดและทบทวนกลยุทธ์ วางนโยบายและแผนงานสาหรับการพัฒนาระบบบริหารจัดการความรู้ ช่วยสง่ เสริมการสร้างและพัฒนานวัตกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมท้ังมีหน้าที่ประเมิน ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของกระบวนการจัดการความรู้ในองค์การ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีการวางแผนการทางานอย่างเป็นระบบด้วยเครื่องมือ 4 Learn ได้แก่ เลิร์นทูเลิร์น (learn to learn) เลิร์น ทู แชร์ (learn to share) เลิร์น ทู คอนเน็ค (learn to connect) และ เลิร์น ทู อินโนเวท (learn to innovate) ซึ่งจุดเด่นของเครื่องมือ คือ การเชื่อมโยง ความร้ดู ้วยกระบวนการจดั การความรู้กบั เป้าหมายท่ีเรยี กวา่ สมาร์ทโกล์ (smart goal) เพ่ือให้เข้าใจง่ายขึ้น แสดงดังภาพที่ 8.7 การจดั การความรเู้ พ่อื ขบั เคลอื่ นนวัตกรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
205 4 Learn learn to learn Smart learn to share goal learn to connect learn to innovate ภาพที่ 8.7 4Learn to smart goal ท่มี า (โชคดี เลียวพาณิช, 2560, หน้า 5) จากภาพที่ 8.7 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ใช้โมเดล 4Learn ในกระบวนการจัดการความรู้ โดยมรี ายละเอยี ดแต่ละเคร่อื งมือดงั น้ี 1. Learn to Learn การประเมินจานวนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในองค์การ Knowledge Assets 2. Learn to Share การประเมินจานวนการแชร์ความรู้เข้ามาในระบบการจัดการความรู้ (knowledge management system) 3. Learn to Connect การประเมินการมีสว่ นร่วมของพนักงานที่เข้ามาในระบบการจัดการ ความรู้ 4. Learn to Innovate การประเมินการนาองค์ความรู้ไปพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม (innovation formulation process) ซ่ึงทั้งหมดน้ีจะเกิดกระบวนการจัดการความรู้ได้ ต้องอาศัยพนักงานท่ีมีจิตอาสาถึงจะทาให้ เกิดพลังในการเรียนรู้ร่วมกันได้ หากต่างคนต่างเรียนรู้ ไม่มีการแบ่งปันประสบการณ์ ไม่มีการใช้ ประโยชน์จากความรู้ร่วมกัน ก็จะทาให้องค์การไม่สามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมได้ ดังน้ัน การขับเคลื่อน นวตั กรรมจงึ ตอ้ งอาศยั การทางานในลกั ษณะทเี่ ปน็ ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ (community of practice) นอกจากน้ัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยังมีการสร้างระบบการทางานท่ีเอ้ืออานวยต่อ บรรยากาศในการให้พนักงานกล้าคิด กล้าทา กล้าเปล่ียนแปลง เพ่ือส่งเสริมวัฒนธรรมการจัดการ ความรู้ในองคก์ ารนาไปสคู่ วามคดิ สร้างสรรค์ การจดั การความรูเ้ พือ่ ขับเคลอื่ นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กิจ
206 ในกระบวนการ 4Learn แต่ละสว่ น จะมผี ู้กากบั ควบคมุ ดแู ลในแต่ละด้าน โดยอาศัยบุคลากร ที่มีความชานาญแตกต่างกนั ไดแ้ ก่ 1. ผูจ้ ัดการฝ่ายทรพั ยากรมนุษย์ ดูแลดา้ น Learn to Learn 2. ผู้จัดการฝา่ ยการบญั ชแี ละการเงิน ดแู ลด้าน Learn to Share 3. ผู้จัดการฝา่ ยดูแลสาขา ดูแลดา้ น Learn to Connect 4. ผจู้ ดั การฝา่ ยการจดั การนวตั กรรม ดูแลดา้ น Learn to Innovate กรรมการทัง้ 4 ฝ่าย จะมีการประชุมหารือร่วมกันเป็นประจาทุกเดือน สิ่งสาคัญในการกากับ ดแู ล คือ การกาหนดนโยบายนวตั กรรม กาหนดแผนยทุ ธศาสตร์การจัดการความรู้เพื่อนาไปสู่องค์การ แห่งการเรียนรู้ที่ชัดเจน ซึ่งกิจกรรมที่เกิดข้ึนเป็นประจาทุกเดือน คือ การจัดกิจกรรมการจัดการ ความรู้ (KM day) ธนาคารไดว้ างแผนยทุ ธศาสตร์การจดั การความรดู้ ว้ ยการจัดทาระบบ KMS ในรูปแบบแอปพลิเคชัน บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพ่ือให้พนักงานสามารถท่ีจะเข้าสู่ความรู้ได้สะดวกข้ึน นอกจากน้ี มีการ พัฒนาความเช่ียวชาญให้กับพนักงานด้วยการนาผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กับพนักงานและเป็นหน่ึงใน ทีมงานพฒั นานวัตกรรม ท้งั นี้ในแต่ละฝา่ ยงานในองค์การจะมีการกาหนดให้มี 1 องค์ความรู้เพ่ือนามา พัฒนาเป็นนวัตกรรมให้กับองค์การ สิ่งสาคัญอีกส่วน คือ ธนาคารมีการจัดต้ังศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม เพอื่ ใชเ้ ปน็ พน้ื ทรี่ ่วมกนั ในการกระตุ้นให้พนักงานพัฒนาความคิดไปสูน่ วัตกรรม สาหรับในส่วนการวางแผนกลยุทธ์การจัดการความรู้ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จะเป็นผู้พัฒนา ระบบการเรียนออนไลน์ (e-learning) และพฒั นาตอ่ ยอดเปน็ การทางานแบบข้ามหน้าท่ีกันได้ (cross- functional) ซ่ึงพนักงานแต่ละสายงานจะสามารถทางานแทนกัน ระดมสมองร่วมกัน มีการบูรณาการ องค์ความรู้ในแต่ละสายงานเข้าด้วยกัน ธนาคารได้เล็งเห็นความสาคัญของการพัฒนาคน และพัฒนา องคก์ าร ต้องใชพ้ ลังประสานในการพัฒนาควบคกู่ ันไป ไม่ควรมองเรอ่ื งคนเพยี งอย่างเดยี ว ธนาคาร มีการจัดทาชุมชนแห่งการเรียนรู้ข้ึน แบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มกระบวนการ จัดการ (management process) กลุ่มกระบวนการด้านธุรกิจ (core process) และกลุ่มด้านการ สนับสนุน (support process) ทั้งสามกลุ่มนี้จะมีพนักงานท่ีผ่านการฝึกอบรมจนเกิดความเช่ียวชาญ อย่างน้อย 5 ปี มาทางานร่วมกันสร้างและนาเสนอคุณค่าต่อลูกค้า ในแต่ละกลุ่มก็จะมีพนักงานท่ีมี ความเชี่ยวชาญแตกตา่ งกนั มาแลกเปลยี่ นเรียนรู้ร่วมกันเกิดเป็นแนวปฏิบัติทดี่ ีรว่ มกนั ข้อดีของการแบ่งกลุ่มการเรียนรู้ที่มีแต่เฉพาะพนักงานไม่มีผู้บริหาร จะช่วยทาให้พนักงาน กล้าคิดสร้างสรรค์ คิดวิธีการทางานแบบใหม่ วิธีการทางานร่วมกัน โดยปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้แบบดิจิทัล ท่ีเรียกว่า ไลน์กรุ๊ป (group line) พนักงานสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ร่วมกันได้ตลอดเวลา ชุมชนแห่งการเรียนรู้ใน ลักษณะน้ี ผู้เขียนขอเรียกว่า smart community of practice จากกรณีศึกษา สรุปเป็นภาพโมเดล แสดงดังภาพที่ 8.8 การจัดการความรเู้ พือ่ ขบั เคลอื่ นนวัตกรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
207 Smart Community of Practice Learn to Learn Learn to Share Learn to Connect Learn to Innovate Innovation Smart Goal Happy Workplace Efficiency Effectiveness ภาพท่ี 8.8 Smart Community of Practice ท่มี า (โชคดี เลียวพาณิช, 2560, หนา้ 6) จากกรณีศึกษา เป็นเพียงตัวอย่างของการนาการจัดการความรู้มาขับเคลื่อนองค์การด้วย นวัตกรรม จะเห็นได้ว่า นวัตกรรมองค์การจะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายผ่าน กระบวนการจัดการความรู้ร่วมกัน การจดั การธรุ กจิ ในปัจจบุ ันต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน เช่น การ จัดการความรู้ องค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การนวัตกรรม ความผูกพันของพนักงาน เทคโนโลยีดิจิทัล การทางานเป็นทีม ภาวะผู้นา เป็นต้น ปัจจัยต่าง ๆ ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้าง การมีเป้าหมายที่ ชัดเจนและมเี ปา้ หมายเดียวกนั จะช่วยส่งเสรมิ ให้เกิดผลติ ผลทม่ี ปี ระสิทธิภาพ จงึ กล่าวได้ว่าการจัดการ ความร้แู ละความผูกพันต่อองค์การจะช่วยส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ขององค์การท่ีมีผล การดาเนนิ งานด้านนวัตกรรม การจัดการความรูเ้ พือ่ ขับเคลอ่ื นนวตั กรรมในองค์การธรุ กิจ
208 สรปุ ทา้ ยบท การจัดการความรู้เปน็ เคร่อื งมอื หนึ่งในการสรา้ งนวัตกรรม การเรยี นร้ขู องบุคลากรในองค์การ จะช่วยยกระดับผลิตภาพได้ มีผลสัมฤทธ์ิการปฏิบัติงานท่ีสูงขึ้น ที่เรียกว่า องค์การอัจฉริยะ การใช้ หลักการและวิธีการจัดการความรู้ เพ่ือพัฒนาองค์การ การทางาน สติปัญญาอย่าง ชาญฉลาด เกิดผลดีต่อองค์การ ซ่ึงมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดการทางาน อยา่ งชาญฉลาดมากข้ึน เรียกว่า องค์การอัจฉริยะ ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมการจัดการความรู้กับการเป็น องค์การแห่งการเรียนรูป้ ระกอบกนั และสิ่งสาคัญประการหนึ่งเลยท่ีเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมการจัดการ ความรู้ องค์การอัจฉริยะ และองค์การแห่งการเรียนรู้ คือ การสร้างมิติด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือการ จัดการธุรกิจ ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นการสรรหาผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์สภาพแวดล้อม กาหนดทิศทาง กาหนดกลยุทธ์ ดาเนินการตามกลยุทธ์ และควบคุมประเมินผล ซึ่งในบทนี้ได้ ยกตัวอย่างกรณีศึกษาประกอบเกี่ยวกับกระบวนการจัดการความรู้ในการขับเคลื่อนองค์การธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่า นวัตกรรม การจัดการความรู้ องค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การอัจฉริยะ มี ความสัมพันธ์กัน และเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีสาคัญในการจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การจดั การความรเู้ พือ่ ขบั เคลอ่ื นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
209 แบบฝึกหดั ท้ายบท จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จงอธบิ ายเหตผุ ลว่าทาไมเทคโนโลยจี ึงมผี ลให้เกิดความท้าทายในการจัดการธรุ กิจ 2. การจัดการความรู้สามารถชว่ ยขบั เคล่อื นนวตั กรรมได้อยา่ งไร 3. จงยกตัวอย่างนวัตกรรมทางธุรกิจท่ีเกิดข้ึนในปัจจุบัน จานวน 1 นวัตกรรม พร้อมอธิบาย รายละเอยี ดว่าเกิดจากการจดั การความรไู้ ด้อยา่ งไร 4. จงอธิบายถงึ ขน้ั ตอนของการจัดการความรสู้ ู่การเป็นองคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ 5. นวตั กรรม การจัดการความรู้ และการวจิ ยั มีความสมั พันธ์กันอยา่ งไร 6. ปัจจัยใดทีส่ ่งผลให้องคก์ ารเป็นองค์การอัจฉริยะ 7. กระบวนการสรา้ งมิติดา้ นเทคโนโลยีดจิ ิทลั มีความสาคญั อย่างไรต่อการจัดการธรุ กิจ 8. ทา่ นมีความคดิ เห็นอย่างไรในการสร้างคุณค่าด้วยเว็บไซต์ เป็นหน่ึงกลยุทธ์ระดับธุรกิจท่ีช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพในการบริหารงานองค์การ 9. องค์การอัจฉริยะมีความสมั พนั ธก์ ับเทคโนโลยี องคก์ ารแหง่ การเรียนรู้อย่างไร 10. จากกรณีศกึ ษาปจั จัยแหง่ ความสาเรจ็ ของการจดั การความรู้เพื่อขับเคลื่อนนวตั กรรม คืออะไร การจดั การความรู้เพื่อขับเคลอื่ นนวัตกรรมในองคก์ ารธรุ กิจ
210 เอกสารอ้างองิ กาญจนา โพธิบา. (2553). การปฏบิ ัตกิ ารพฒั นาสถานศึกษาใหเ้ ปน็ องคก์ ารแหง่ การเรียนรู้. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา. อุบลราชธานี: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุบลราชธานี. ชลภัทร์ วงศป์ ระเสรฐิ . (2559). การจดั การความรู้ในองคก์ รธุรกิจ. กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพมิ พ.์ โชคดี เลยี วพาณชิ . (2560). กระบวนการจดั การความรู้ กรณศี ึกษา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตอนท่ี 1. คน้ เมือ่ กรกฎาคม 8, 2564, จาก https://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/p4-7.pdf. ______. (2560). กระบวนการจัดการความรู้ กรณศี กึ ษา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตอนท่ี 2. ค้นเม่ือ กรกฎาคม 8, 2564, จาก https://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/TN%20253p4-6.pdf. ธีระพงษ์ รอดประเสรฐิ . (2557). สถาบันการบนิ พลเรอื น ในมติ ิขององค์กรอัจฉรยิ ะ. ค้นเมือ่ กรกฎาคม 28, 2562, จาก http://www.catc.or.th/KM/files/article/Intelligence- Organization.pdf. นิรุตต์ จรเจรญิ , ณฏั ฐ์ดนัย ไค่นุน่ ภา, คมสัน ศรบี ุญเรือง, มาลินี คาเครือ, และพชั รนิ ทร์ บญุ สมธป. (2561). การพัฒนาชมุ ชนต้นแบบสู่การเปน็ ชมุ ชนอจั ฉรยิ ะ (รายงานผลการวจิ ยั ). กาญจนบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี. นิรตุ ต์ จรเจริญ, มาลินี คาเครอื , คมสัน ศรบี ุญเรอื ง และพศิ าล คงเอียด. (2559). การจัดการองค์ความรู้ ภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ สชู่ ุมชนในท้องถ่ิน อาเภอทา่ ม่วง จงั หวัดกาญจนบุรี. การประชุมวชิ าการ ระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยวิจยั อดุ มศกึ ษาทั่วประเทศ ครั้งที่ 11 ณ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสรุ นาร.ี 19-20 ธันวาคม 2559. หนา้ 1963-1978. นิรุตต์ จรเจรญิ , ศจุ ิณัฐ จติ วริ ยิ ะนนท,์ เสาวคนธ์ บญุ สมธป และจรัสพงษ์ โชคชยั สิริ. (2564). การพัฒนาเว็บไซตบ์ รกิ ารขอ้ มูล 3 ภาษาเพ่ือสนบั สนนุ ข้อมูลการท่องเทีย่ วเชิงประวัตศิ าสตรใ์ นเขต เมืองกาญจนบุรีให้เป็นการท่องเทยี่ วแบบดิจทิ ลั . วารสารมนษุ ยสงั คมสาร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บรุ ีรัมย์ 19 (1): 181-203. พยตั วฒุ ริ งค์. (2562). การจดั การนวตั กรรม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. พรรณี สวนเพลง (2552). เทคโนโลยสี ารสนเทศและนวัตกรรมสาหรับการจัดการความรู้. กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชนั . _______. (2555). ระบบสารสนเทศเชงิ กลยทุ ธ์. กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยูเคชัน. มที ดอท กูเก้ิล. (2563). การประชุมทางไกลผา่ น Video Conference. ค้นเมื่อ ธนั วาคม 30, 2563, จาก https://meet.google.com/?hs=197&pli=1&authuser=0. ยรุ พร ศทุ ธรัตน์. (2552). องคก์ ารเพอ่ื การเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สถาบันเพม่ิ ผลผลติ แหง่ ชาติ. (2564). KM เพื่อการปรบั ปรุงองคก์ ร. ค้นเมือ่ กรกฎาคม 12, 2564, จาก https://www.ftpi.or.th/download/seminarfile/KM%20for%20Performance%20Improve ment_P-Talk%[email protected]%20(R1_23.5.55)_Handout(B).pdf. การจดั การความรเู้ พือ่ ขับเคลอื่ นนวัตกรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
211 อภิญญา ฉัตรช่อฟา้ และบญุ ทนั ดอกไธสง. (2562). องค์การแหง่ การเรียนรู้. วารสาร มจร มนษุ ยศาสตร์ปริทรรศน์ 5 (1): 157-170. อาภรณ์ ลามะนา. (2553). ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ลักษณะองค์กรแห่งการเรียนรแู้ ละ ผลการดาเนินงานของสาขาธนาคารนครหลวงไทย จากัด (มหาชน). วทิ ยานพิ นธ์ บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการจดั การตลาด. Blanchard, P.N., & Thacker, J.W. (2007). Effective Training Systems, Strategies, and Practices. (3rd ed.). New Jersey: Prentice Hall. Certo, Samuel C. (2009). Modern Management. กรุงเทพฯ: เพียรส์ ัน เอ็ดดเู คชัน่ อินโดไชนา่ . Hoy, Wayne K. & Cecil G, Miskel. (2001). Education Administration: Theory, Research and Practice. (6th ed.). McGraw-Hill International Edition. การจัดการความรเู้ พือ่ ขับเคลอ่ื นนวัตกรรมในองค์การธรุ กจิ
212 “ส่ิงสาคัญประการหน่ึงท่ีเป็นกลไกในการขับเคล่ือนการสร้างนวัตกรรมการ จัดการความรู้ องค์การอัจฉริยะ และองค์การแห่งการเรียนรู้ คือ การสร้างมิติด้าน เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการธุรกิจ ซ่ึงต้องอาศัยปัจจัยหลายส่วนไม่ว่าจะ เป็นการสรรหาผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์สภาพแวดล้อม กาหนดทิศทาง กาหนดกลยุทธ์ ดาเนินการตามกลยทุ ธ์ และควบคุมประเมินผล” การจดั การความรู้เพ่อื ขบั เคลอ่ื นนวตั กรรมในองคก์ ารธรุ กจิ
บทที่ 9 ความปลอดภยั ของข้อมลู และสารสนเทศเพื่อการจัดการธุรกิจ การจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการธุรกิจด้านการ บัญชีการเงิน การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ การผลิตและการดาเนินงาน สิ่งหนึ่งท่ีต้องคานึงถึง คือ ความปลอดภัย โดยท่ัวไปแล้วความปลอดภัยขององค์การ จะประกอบด้วยความปลอดภัยทาง กายภาพ ความปลอดภัยส่วนบุคคล ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ความปลอดภัยในการ ติดต่อสื่อสาร ความปลอดภัยของเครือข่าย และความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ ซึ่งในบทน้ี จะกล่าวถึงความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ สาหรับในปัจจุบันการจัดการธุรกิจอยู่ในยุคที่ เรียกว่า ความปลอดภัยค่อนข้างต่า ข้อมูลและสารสนเทศกลายเป็นปัจจัยสาคัญในการจัดการธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในขณะท่ีความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศค่อนข้าง ต่ายังพบว่ามาตรฐานการจัดการความปลอดภัยได้เพ่ิมมาตรฐานสูงขึ้นตามไปด้วย ข้อมูลและ สารสนเทศในด้านต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนท้ังภายในและภายนอกล้วนเป็นปัจจัยสาคัญในการประกอบการ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจ เพ่ือการสร้างความได้เปรียบในด้านต่าง ๆ ผู้บริหารจึงให้ ความสาคัญกับการจัดการความปลอดภัยในข้อมูลและสารสนเทศ ซึ่งข้อมูลและสารสนเทศเป็น องคป์ ระกอบหนึ่งการเปน็ องคก์ ารแห่งการเรียนรู้ ดังนั้น การจดั การธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีมีการ อาศัยข้อมูลและสารสนเทศ จึงต้องให้ความสาคัญกับความปลอดภัยทั้งในทางกายภาพ ส่วนบุคคล การปฏิบตั ิงาน การติดตอ่ สื่อสารทางเครอื ขา่ ย และข้อมูลสารสนเทศในระบบคอมพิวเตอร์ ผู้บริหาร ต้องเข้าใจทั้งความสาคัญ แนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัย มีบรรษัทภิบาล ไอทีภิบาล การอภิบาล ความปลอดภัยบนเครือข่าย จนกระทั่งถึงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และสารสนเทศ สาหรับเนื้อหาในบทน้ีประกอบด้วย ความหมายและความสาคัญของการจัดการความ ปลอดภยั ของขอ้ มูลและสารสนเทศ แนวทางการรกั ษาความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศ การอภิบาล รกั ษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ และกรณีศึกษาการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ โดยมีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี ความหมายและความสาคญั การจัดการความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศ การจัดการความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศมีความสาคญั พอ ๆ กับความปลอดภัยใน ชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ มนุษย์จะต้องคอยหาวิธีการที่ทาให้การใช้ชีวิตนั้นมีความปลอดภัยต่อ อันตรายท่ีจะเกิดขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายมีการเช่ือมโยงกันท่ัวโลก ช่องทางการติดต่อสื่อสารมีความ สะดวกสบายมากขึ้น ท้ังภาครัฐและเอกชนล้วนอาศัยเทคโนโลยีในการจัดการธุรกิจ หรือสนับสนุน ภารกจิ สาคัญเพ่อื สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เกิดความหลากหลายในการใช้บริการบนระบบ เครอื ขา่ ย เชน่ ระบบอีเมล์ บริการคลาวด์ เว็บไซต์ ระบบบัญชี ระบบอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ภยั คกุ คามดา้ นไซเบอร์มคี วามทวีความรุนแรงขน้ึ เรื่อย ๆ การจัดการธุรกิจจึงมีความเส่ียงท่ีจะถูกโจมตี
214 หรือทาลายข้อมูลและสารสนเทศ หากเป็นเช่นนี้แล้วจะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งส่วนบุคคลและ องคก์ าร การจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ เป็นกิจกรรมกระบวนการป้องกันและ รักษาข้อมูล สารสนเทศและส่วนของระบบอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัยในการจัดการ การถ่ายโอน ระหวา่ งกนั ภายใตค้ ุณสมบตั คิ วามลบั ความถูกต้องสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งาน ซ่ึง พนิชา พานิชกุล (2556, หน้า 5) ได้เน้นในเรื่องความปลอดภัยในขณะท่ีมีการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ ในส่วน ของ จตุชัย แพงจันทร์ (2558, หน้า 11) อธิบายถึงการปกป้องคุณสมบัติข้อมูล 3 ด้าน ซึ่ง ประกอบดว้ ย ความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใชง้ าน ในขณะท่ี มฑุปายาส ทองมาก (2559, หน้า 292) อธิบายเพิ่มเติมในส่วนความปลอดภัยว่า จะต้องมีการวิเคราะห์ความเส่ียง เพือ่ วางแผนนโยบายด้านความปลอดภัยประกอบด้วย แต่ถึงอย่างไร การป้องกันข้อมูลและสารสนเทศก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าช่วยจัดการบันทึก คานวณ และการ สื่อสารข้อมูลต้องอยู่บนพ้ืนฐานความลับ ถูกต้อง และความพร้อมอยู่เสมือ (ภัควริศ เก้ือกูล, 2563, หนา้ 92) คณุ สมบัติ 3 ดา้ น ได้แก่ ความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน ซึ่งทั้งสามคุณสมบัติถือว่า เป็นพื้นฐานของการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศ ซ่ึงข้อมูลและสารสนเทศท่ีมีความ ปลอดภัยจะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ท่ีได้รับอนุญาต แก้ไขได้เฉพาะผู้ท่ีได้รับอนุญาต และพร้อมในการ ใช้งาน เมื่อมคี วามต้องการเข้าถึงสามารถเข้าถึงได้โดยได้รับการอนุญาต ซึ่งคุณสมบัติความปลอดภัยของ ข้อมูลและสารสนเทศ แสดงดงั ภาพที่ 9.1 availability integrity InfoSec confidentiality ภาพที่ 9.1 คุณสมบตั ิความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศ ทม่ี า (จตชุ ยั แพงจันทร์, 2558, หนา้ 13) ความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศเพื่อการจัดการธรุ กิจ
215 จากภาพที่ 9.1 อธบิ ายดงั นี้ 1. ความลับ (confidentiality) หมายถึง การเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศจะสามารถเข้าถึง ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่าน้ันโดยมีกลไกสาคัญท่ีใช้ในการรักษาความลับ คือ การเข้ารหัสข้อมูล (encryption) โดยรหัสผ่านจะเป็นกุญแจท่จี ะใชส้ าหรบั การเขา้ และถอดรหสั ขอ้ มลู 2. ความถูกต้อง (integrity) หมายถึง ข้อมูลและสารสนเทศต้องยืนยันได้ว่ามีความ น่าเชื่อถือเป็นข้อมูลดั้งเดิมท่ีมาจากแหล่งที่มาปฐมภูมิจริง ๆ และไม่มีใครเข้าไปทาการแก้ไข เปลย่ี นแปลงโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต เป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกเปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิมท้ังในส่วน เนื้อหาและแหล่งที่มา กลไกในการรักษาความถูกต้อง คือ การป้องกัน (prevention) และการ ตรวจสอบ (detection) 3. ความพร้อมใช้งาน (availability) หมายถึง เม่ือต้องการใช้ข้อมูลและสารสนเทศต้อง สามารถเขา้ ถงึ ได้เสมอและมีความพร้อมในการเข้าใช้งาน เนื่องจากถ้าระบบไม่พร้อมจะใช้งานก็จะแย่ พอกับการที่ไม่มีระบบเลย กลไกในการรักษาความพร้อมในการใช้งาน คือ จะทางานในกรณีที่ระบบ ไม่ได้ทางานในสภาพปกติหรือที่ออกแบบไว้ได้ ซ่ึงถ้าเป็นแบบน้ีส่วนใหญ่ระบบจะล่มหรือไม่พร้อมใช้ งาน นอกจากคุณสมบัติข้างต้น 3 ด้าน การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศยังมี หลักการอ่ืน ๆ อีก เช่น การควบคุมการเข้าถึง (access control) การระบุตัวตน (identification) การ พิสูจน์ทราบตัวตน (authentication) การอนุญาตใช้งาน (authorization) การตรวจสอบได้ (accountability) การไม่สามารถปฏิเสธการกระทา (non-repudiation) และความเป็นส่วนตัว (privacy) จากคณุ สมบตั ิความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศท่ีได้กล่าว หากขาดคุณสมบัติใดไปด้านใดด้านหน่ึง จะทาให้ข้อมูลและสารสนเทศอยู่ในสถานะที่ไม่มีความปลอดภัย ส่ิงสาคัญของการจัดการความ ปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ คือ การตรวจสอบตัวบุคคลว่าเป็นบุคคลตัวจริงหรือไม่และ การได้รับอนญุ าตใหท้ าตามสิทธิ์ เมื่อกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศนั้น เกิดจาก ภัยคุกคามในอดีตท่ีเกิดข้ึนกับคอมพิวเตอร์ทางกายภาพน้ัน เช่น การลักขโมยอุปกรณ์ การโจรกรรม ผลผลิตท่ีได้จากระบบ หรือการก่อวินาศกรรม เป็นต้น จะเห็นว่าในอดีตน้ันจะเป็นภัยคุกคามเชิงกายภาพ แตต่ อ่ มาการสอ่ื สารข้อมูลและสารสนเทศมีความก้าวหน้า ภัยคุกคามมีพัฒนาการมาในรูปแบบที่ไม่ใช่ กายภาพ เกิดการโจรกรรมข้อมูลและสารสนเทศท่ีมีความสาคัญต่อธุรกิจ การลักลอบเข้าสู่ระบบโดย ไม่ได้รับอนุญาต ตลอดจนการทาลายระบบด้วยวิธีการต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งบุคคลและ ทรัพย์สินอย่างมาก ปัจจุบันจึงเกิดการกาหนดขอบเขตการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศขึ้นในวิธีการต่าง ๆ ระบบเทคโนโลยีกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานแทบทุกองค์การ การ จัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศจึงเป็นหน้าท่ีหลักที่ผู้บริหารระดับสูงให้ความสาคัญ โดยการกาหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัยขึ้น การตระหนักให้พนักงานให้ความสาคัญถึงภัยใน รูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ช่วยลดช่องโหว่ที่จะเป็นช่องทางเสี่ยงที่ได้รับ อนั ตราย ความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการจัดการธุรกจิ
216 ภัยคุกคามเริ่มมีความรุนแรงมากข้ึน สร้างความเสียหายต่อข้อมูลและสารสนเทศอย่างมาก จากกลุ่มคนท่เี รยี กวา่ ผูไ้ มป่ ระสงค์ดี ที่กระจายอยูท่ ว่ั มมุ โลก จนเรยี กการกระทานี้ว่าเป็นอาชญากรรม คอมพิวเตอร์ (computer crime) ซึ่ง ธัชชัย จาลอง (2561, หน้า 310-311) ได้กล่าวว่า “อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นการกระทาทีผ่ ิดกฏหมายโดยใช้การทางอเิ ลก็ ทรอนิกส์เพ่ือโจมตีระบบ คอมพิวเตอร์ ข้อมูลและสารสนเทศท่ีอยู่บนระบบ” โดยอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ท่ีเกิดขึ้นและส่งผล กระทบโดยตรง แสดงดังภาพท่ี 9.2 การโจมตีระบบธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนิกส์ การละเมดิ ลขิ สิทธ์ิ คดั ลอก ทาซา้ เพ่ือจาหน่ายโดยไม่ไดร้ บั อนญุ าต การเจาะระบบเข้าถึงเครอื ขา่ ยทีไ่ มไ่ ด้รบั อนุญาต การก่อการร้ายเจาะระบบเพอื่ สร้างความหวาดกลวั การเผยแพร่ภาพอนาจารแกส่ าธารณะชนท่ีขัดต่อกฎหมาย ภาพท่ี 9.2 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ท่ีมา (ธชั ชยั จาลอง, 2561, หน้า 310) อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เกิดจากกลุ่มคนท่ีขาดซ่ึงจริยธรรมที่ดี มีการบุกรุกและเจาะระบบ เข้าไปแก้ไขข้อมูลท่ีสาคัญ ขโมยข้อมูลและสารสนเทศท่ีเป็นความลับของบริษัทรวมถึงการโจมตีเพ่ือ ก่อกวน โดยอาชญากรรมรูปแบบของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อีกรูปแบบ คือ โปรแกรม มุ่งทารา้ ย (malicious software) โดย วศนิ เพมิ่ ทรัพย์ (2561, หนา้ 203) ได้อธบิ ายวา่ โปรแกรมมุ่ง ทาร้าย เรียกว่า มัลแวร์ (malware) มีหลากหลายแบบ ได้แก่ ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) เวิร์มหรือหนอนอินเทอร์เน็ต (worm) ม้าโทรจัน (trojan horses) สปายแวร์ (spyware) โดยแต่ละ โปรแกรมมีลักษณะดังน้ี 1. ไวรัสคอมพวิ เตอร์ มลี ักษณะการทางานโดยแพรก่ ระจายจากการคัดลอกหรือแลกเปล่ียน ข้อมูลกันระหว่างกันผ่านระบบเครือข่าย ส่งผลให้ข้อมูลและอุปกรณ์นั้นติดโปรแกรมไวรัสและเกิด ความเสยี หาย 2. เวิร์มหรือหนอนอินเทอร์เน็ต มีลักษณะการทางานแตกต่างจากไวรัสคอมพิวเตอร์ตรงท่ี ไม่ต้องรอการส่ังการหรือเรียกโปรแกรม โปรแกรมนี้จะกระจายไปยังเครื่องอ่ืน ๆ ได้เองด้วยวิธีการ คัดลอกตัวเองข้ึนใหม่เป็นจานวนมากจนทาให้อปุ กรณ์เคร่ืองนนั้ ทางานไมไ่ ด้ ความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศเพอ่ื การจัดการธุรกจิ
217 3. ม้าโทรจัน มีลักษณะการทางานประสงค์ร้าย โดยฝังตัวอยู่ในระบบแบบเงียบ ๆ โดยไม่ แพร่กระจาย แตถ่ ูกตั้งเวลาโดยผู้เขียนโปรแกรมจากระยะไกล เมอ่ื ถึงเวลาจะเรม่ิ ทางานทันที เช่น การ เปล่ียนแปลงลบแกไ้ ขข้อมลู ควบคมุ การทางานต่าง ๆ เป็นตน้ 4. สปายแวร์ มีลักษณะการทางานโดยการสะกดรอยข้อมูล ซึ่งเกิดจากการเข้าใช้งาน อินเทอร์เน็ตบางเว็บไซต์ท่ีไม่เหมาะสมหรือเกิดจากการดาวน์โหลดข้อมูลฟรีแบบไม่ระมัดระวัง โปรแกรมประเภทนี้ไมร่ ้ายแรงแต่ก่อให้เกดิ ความราคาญ สปายแวรบ์ างตวั มาในลักษณะโฆษณาต่าง ๆ จากการก่อการร้ายต่าง ๆ ข้างต้น เราสามารถจัดการความปลอดภัยให้กับข้อมูลและ สารสนเทศของธุรกิจได้ เพราะการจัดการความปลอดภัยจะเปรียบเสมือนการสร้างความไร้กังวลใน สถานะท่ีไม่มีอันตรายใด ๆ สาหรับการจัดการความปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศมีวิธีการต้ัง รับการป้องกันจากภัยอันตรายทั้งทางตรงและทางอ้อม ในมุมของข้อมูลสารสนเทศการจัดการความ ปลอดภัยเป็นกระบวนการป้องกัน รักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศ ทั้งน้ี การจัดการ ความปลอดภัยยังได้ให้ความสาคัญกับองค์ประกอบอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องหมายรวมถึงระบบอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดเก็บและถ่ายโอนข้อมูลสารสนเทศน้ัน ๆ ซ่ึงมีวิธีการจัดการความปลอดภัย เช่น การตดิ ตั้งโปรแกรมป้องกันไวรสั การใชร้ ะบบไฟล์วอลล์ การเขา้ รหสั ข้อมูล และการสารองข้อมูล เป็นต้น การจัดการความปลอดภัยนอกจากจะมีบทบาทหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและ สารสนเทศแล้ว ความปลอดภัยทางกายภาพเป็นส่วนสาคัญต่อการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศ วิธีการที่จะเพิ่มความปลอดภัยทางกายภาพมีหลายวิธี เช่น การใช้กุญแจล็อคฝาเคสสาหรับ คอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะ กรณีเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุค แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน สามารถใช้เชือก เหล็กคล้องกับโต๊ะพร้อมล๊อคกุญแจ เป็นต้น นอกจากน้ีแล้วยังมีวิธีการอ่ืน ๆ ท่ีสามารถลดความเสี่ยง การถูกโจรกรรมอุปกรณ์ได้ นอกจากความสูญเสียจากการถูกโจรกรรมยังมีความเสียหายท่ีเกิดขึ้นกับ ฮารด์ แวร์ ซ่ึงอุปกรณต์ า่ ง ๆ เปน็ ชน้ิ สว่ นอเิ ล็กทรอนิกส์ มีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อน และอาจได้รับ ความเสียหายจากมลภาวะไฟฟ้า ความร้อน ฝุ่น ไฟฟ้าสถิต น้า และการใช้งานผิดวิธี หากเรามีการ บารุงรักษาอุปกรณ์เป็นประจา ปฏิบัติตามคาแนะนาคู่มือการใช้งานอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้ งานอปุ กรณไ์ ด้ สง่ ผลใหม้ ีระบบอปุ กรณท์ ่ีมีความปลอดภยั ในการจัดเกบ็ ข้อมลู และสารสนเทศที่สาคัญ จากความสาคัญของการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ ทาให้เห็นถึงคุณค่า ของข้อมลู และสารสนเทศมากขึน้ ข้อมูลและสารสนเทศกลายเปน็ สินทรัพย์ท่ีมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อ การจดั การธุรกจิ ทั้งในปจั จบุ นั และในอนาคต ในยคุ ดจิ ทิ ลั ท่มี ีขอ้ มูลและสารสนเทศปริมาณมหาศาลเรา จะมีแนวทางในการจัดการความปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศเหล่านี้ได้อย่างไร จึงกลายเป็น ประเด็นท่ีสาคัญและเป็นเร่ืองความท้าทายอีกหนึ่งบทบาทของผู้บริหาร การจัดการธุรกิจให้มีความ ปลอดภัย รักษาความมั่นคงให้กับอุปกรณ์ ข้อมูลและสารสนเทศ หากผู้บริหารให้ความสาคัญและ ขบั เคล่ือนกิจกรรมเหลา่ น้ี จะย่ิงชว่ ยลดความเสีย่ งจากภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ความปลอดภัยของขอ้ มลู และสารสนเทศเพื่อการจดั การธรุ กจิ
218 แนวทางการจดั การความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศ จากหัวท่ีผ่านมาทาให้ทราบถึงความสาคัญของการจัดการความปลอดภัยให้กับข้อมูลและ สารสนเทศ คุณสมบัติพืน้ ฐานความปลอดภยั ขอ้ มลู และสารสนเทศ แนวทางการจัดการความปลอดภัย ของข้อมูลและสารสนเทศจะมีส่วนเก่ียวข้องกับกลุ่มบุคลากร 3 กลุ่มท่ีมีหน้าที่และบทบาทในด้าน ความปลอดภัย ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ทีมงานดาเนินโครงการความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ และการเป็นเจ้าของข้อมูล โดยทั้ง 3 กลุ่ม มีหน้าที่และบทบาทสาคัญต่อการจัดการความปลอดภัย ของขอ้ มลู และสารสนเทศดงั น้ี (พนิดา พานชิ กุล, 2556, หนา้ 17-18) 1. ผู้บริหารระดับสูง (senior manager) มีหน้าที่ให้คาแนะนาแก่ผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับ การวางแผนกลยุทธด์ า้ นการจัดการความปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศ นอกจากน้ียังทาหน้าที่ ประเมนิ สภาพและเสนอแนวทางการจัดการปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศในองค์การ 2. ทีมงานดาเนินโครงการความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ (information security project team) มหี นา้ ที่เปน็ ผู้สนบั สนุนนโยบายความมน่ั คงปลอดภัย มีบทบาทเป็นท้ังหัวหน้าทีมงาน นกั พฒั นานโยบาย ผู้ประเมินความเส่ียง ผู้ดูแลระบบ แลผู้ใช้ระบบ โดยคุณลักษณะของกลุ่มบุคลากร น้จี ะมคี วามเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นอย่างลึกซ้งึ ในการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ 3. การเป็นเจ้าของข้อมูล (data ownership) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจ้าของข้อมูล ผดู้ แู ลขอ้ มลู และผใู้ ช้ข้อมูล โดยท้ัง 3 ประเภทนั้น มีหน้าที่เหมือนกัน คือ รักษาความปลอดภัยข้อมูล และสารสนเทศโดยตรงแตกต่างกันเพียงสทิ ธใิ์ นการใช้ขอ้ มลู จากหน้าท่ีและบทบาทท่ีสาคัญของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องในการดาเนินงานด้านความ ปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ ไม่เพียงแค่ผู้บริหารเท่านั้นแต่ครอบคลุมไปถึงพนักงานระดับต่าง ๆ โดยตอ้ งอาศยั บุคลากรในทุกระดับการปฏบิ ัติงานในการจัดการความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศ แนวทางในการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ มี 2 แนวทาง ได้แก่ ผู้ดูแล ระบบหรอื ทีมงานเป็นผู้รเิ ร่มิ โครงการ และ ผบู้ ริหารระดับสงู เปน็ ผู้ริเร่ิมและกาหนดโครงการ ซ่ึงแต่ละ แนวทางมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ผู้ดแู ลระบบหรือทีมงานเป็นผู้ริเริ่มโครงการ (bottom-up approach) สาหรับแนวทางนี้ ผู้ดูแลระบบหรือทีมงานเป็นผู้ริเร่ิมกาหนดมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศ ขอ้ ดขี องแนวทางนี้ คอื เจา้ หน้าทจ่ี ะดูแลงานดา้ นน้ดี ้วยตนเอง มีความรู้ความเช่ียวชาญใน การรกั ษาความปลอดภยั ใหม้ ีประสทิ ธิภาพอย่างแทจ้ รงิ 2. ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ริเร่ิมและกาหนดโครงการ (top-down approach) สาหรับ แนวทางนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ริเร่ิมและกาหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศ ข้อดีของแนวทางนี้ คือ สามารถขับเคล่ือนนโยบาย บุคลากรที่รับผิดชอบ กระบวนการ ต่าง ๆ ให้ดาเนินการไปไดอ้ ย่างต่อเนอื่ ง และไดร้ ับการสนับสนนุ จากทกุ ระดับ ซ่ึงสามารถเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัดว่า แนวทางทั้งสองแนวทางที่สามารถประสบ ความสาเร็จได้ง่ายที่สุด คือ แนวทางแบบผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ริเร่ิมและกาหนดโครงกา เพราะมี อานาจในการตัดสินใจที่สามารถขับเคล่ือนกระบวนการมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้ทุก ความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการจัดการธุรกจิ
219 ระดับองค์การดาเนนิ การไปได้อย่างง่าย เพราะถือว่าเป็นกระบวนการบริหารงานจากบนลงล่างที่ส่วน ใหญ่แล้วจะเป็นในลกั ษณะเชน่ นี้ อีกหน่ึงแนวทาง ภัควริศ เก้ือกูล (2563, หน้า 94-95) ได้อธิบายถึง แนวทางในการจัดการ ความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศวา่ การดาเนินการจัดการน้ันต้องอาศัยองค์ประกอบท่ีเป็นท้ัง มนษุ ย์และเทคโนโลยีเปน็ องคป์ ระกอบท่ที างานรว่ มกนั อย่างเป็นระบบ ซึ่งในองค์การจะมีการแบ่งการ ทางานตามระดบั ของผ้บู รหิ าร ระดบั กลยุทธ์ โดยแตล่ ะระดับจะมบี ทบาทในการจดั การความปลอดภัย ของข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกัน ซึ่งได้มีการพัฒนาระบบความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศขึ้นตามวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ ซึ่งได้อธิบายไปในทิศทางเดียวกันกับ พนิดา พานชิ กลุ (2556, หนา้ 13) ซง่ึ ไดอ้ ธิบายไวว้ ่า การจดั การด้วยวิธกี ารตามวงจรการพัฒนาระบบ สารสนเทศ (security system development life cycle) หรือเรียกว่า เอสอีซีเอสดีแอลซี (SecSDLC) ประกอบด้วย การสารวจ การวิเคราะห์ การออกแบบระดับตรรกะ การออกแบบระดับ ภายภาพ การพัฒนา การบารุงรักษาและเปล่ยี นแปลง โดยแต่ละแนวทางดาเนินการดังนี้ 1. การสารวจ (investigation) กระบวนการนี้จะเป็นการรับคาสั่งจากผู้บริหารระดับสูงให้ ดาเนินงานดา้ นการจดั การความปลอดภัย ประกอบด้วยการกาหนดเป้าหมาย กระบวนการ ผลลัพธ์ท่ี ต้องการ บุคลากร งบประมาณ และระยะเวลา นอกจากน้ียังมีนโยบายความปลอดภัยในระดับ องค์การ และการศกึ ษาความเป็นไปได้ท่จี ะดาเนินการจัดการความปลอดภยั 2. การวเิ คราะห์ (analysis) กระบวนการศึกษาเอกสารที่ได้จากการสารวจเพื่อวิเคราะห์ถึง ภยั คุกคามและวิธกี ารป้องกันเบื้องต้น รวมถึงประเด็นทางด้านกฎหาย พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ซ่ึง กระบวนการนก้ี อ่ ให้เกดิ การจดั การความเส่ียงขน้ึ 3. การออกแบบระดับตรรกะ (logical design) กระบวนการท่ีจัดทาโครงร่างความปลอดภัย ของข้อมูลและสารสนเทศ ตรวจสอบจัดทานโยบายหลักท่ีเก่ียวข้อง ในกระบวนการนี้ยังมีแผนรับมือ เหตุการณไ์ มค่ าดคิด (incident response action plan) 4. การออกแบบระดับกายภาพ (physical design) กระบวนการที่กาหนดเทคโนโลยี สารสนเทศท่ีจะนามาสนับสนุนระบบความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศ โดยมาจากการประเมิน คัดเลือกเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะนามาใช้ ซ่ึงต้องคัดเลือกและเหมาะสมท่ีสุด จนสุดท้ายเป็นการ อนมุ ัติโครงการท่ตี อ้ งอาศยั ทุกฝ่ายท่เี กย่ี วข้องซ่ึงรวมไปถึงกล่มุ ผเู้ ชยี่ วชาญและผ้ใู หก้ ารสนับสนนุ 5. การพัฒนา (implementation) กระบวนการพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัย ของข้อมูลและสารสนเทศ ประกอบด้วยการพัฒนา การทดสอบระบบเพ่ือหาข้อผิดพลาด กรณีท่ี องค์การที่ไม่ได้พัฒนาระบบด้วยตนเอง หากมีการซื้อจากภายนอก ต้องมีการทดสอบระบบก่อน นาไปใชจ้ ริงเชน่ กนั 6. การบารุงรักษาและเปลี่ยนแปลง (maintenance and change) กระบวนการที่เริ่มต้น หลงั จากพัฒนาระบบข้นึ ในระหว่างการใช้งานนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามต่าง ๆ ที่มีอยเู่ ร่อื ย ๆ ดังนน้ั จงึ ต้องมีกระบวนการติดตาม ทดสอบ แก้ไข และซอ่ มบารุงรักษาอยู่ตลอดเวลา วงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศเมื่อนามาปรับใชเ้ ปน็ กระบวนการจัดการความปลอดภัยของ ขอ้ มูลและสารสนเทศ สามารถแสดงดงั ภาพท่ี 9.3 ความปลอดภยั ของขอ้ มูลและสารสนเทศเพ่ือการจัดการธุรกจิ
220 ค้นหาปญั หา โอกาสและเปา้ หมาย การสารวจ (investigation) (Identifying Problems, Opportunity and Objective) ศกึ ษาความเปน็ ไปได้ (Feasibility Study วเิ คราะห์ความต้องการของระบบ การวเิ คราะห์ (analysis) (Analyzing System Needs) การออกแบบระดับตรรกะ (logical design) การออกแบบระบบ การออกแบบระดบั กายภาพ (physical design) (Designing the Recommended System) การพฒั นา (implementation) พฒั นาซอฟตแ์ วรแ์ ละจัดทาเอกสาร (Developing and Documenting Software) การบารงุ รกั ษาและเปลย่ี นแปลง (maintenance and change) ทดสอบและบารุงรักษาระบบ (Testing and Maintaining the System) ทาซ้า ดาเนนิ งานและประเมนิ ผล Repeat (Implementing and evaluating the System ภาพท่ี 9.3 SDLC เมอ่ื นามาปรับใช้เป็น SecSDLC ทม่ี า (พนดิ า พานิชกุล, 2556, หนา้ 14; ภคั วริศ เกือ้ กลู , 2563, หน้า 94) ผบู้ รหิ ารนอกจากจะมอี งคค์ วามร้ดู ้านการบริหารองคก์ ารแลว้ การมีความรู้ความเข้าใจในการ จัดการความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศให้มคี วามปลอดภัยจากภัยคุกคามท่ีถือว่าเป็นภัยเงียบ ท่ไี ม่สามารถมองไมเ่ ห็นได้ด้วยตาเปล่า จะช่วยสร้างความเช่ือมั่นและแสดงถึงความปลอดภัยลดความ เส่ียงให้กับข้อมูลและสารสนเทศ ภัยคุกคามที่ได้กล่าวถือว่าเป็นความเส่ียงต่อข้อมูลและสารสนเทศ ขององค์การ หากไม่มีการจัดการหรือป้องกัน จะส่งผลกระทบความเสียหายต่อองค์การอย่างร้ายแรง จงึ เกดิ กระบวนการทีเ่ รียกว่า การจดั การความเสี่ยง (risk management) การจัดการความเส่ียงจะเป็นอีกหน่ึงแนวทางในการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศ การจัดการความเส่ียง คือ กระบวนการที่ใช้ระบุและควบคุมช่องโหว่อันจะนามาซ่ึงความ ไม่ปลอดภัยท่ีมีต่อข้อมูลและสารสนเทศด้วยกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ การรักษาความลับ ความ ถูกต้อง และความพร้อมในการใช้งาน โดยหาวิธีการด้วยการประเมินความเส่ียงที่จะลดโอกาสในการ เกิดความเสี่ยงน้ันให้น้อยลง หรืออาจทาให้ลดความเสี่ยงให้น้อยลงในระดับท่ียอมรับได้ การประเมิน ความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศเพ่อื การจัดการธรุ กจิ
221 ความเสี่ยงน้ันแบ่งออกได้เป็น 4 แนวทางหลัก คือ การหลีกเลี่ยงความเส่ียง การสนองรับความเส่ียง การ ลดหรือคบคุมความเสี่ยง และการแบ่งปันหรือถ่ายโอนความเส่ียง โดยแต่ละแนวทางการประเมินมี รายละเอียดดงั น้ี (มฑปุ ายาส ทองมาก, 2559, หนา้ 296-297) 1. การหลกี เล่ยี งความเสี่ยง (risk avoidance) เปน็ การจัดการความเสี่ยงโดยหลีกเล่ียงความ เส่ียงท่ีมีระดับสูงมากซึ่งอาจก่อความเสียหาย โดยองค์การคาดการณ์แล้วว่าหน่วยงานไม่อาจยอมรับ ได้กบั ความเส่ยี งน้ีได้ จงึ ตอ้ งตดั สินใจหลกี เลี่ยงความเสย่ี งด้วยการยกเลิกโครงการนั้น 2. การสนองรบั ความเส่ียง (risk acceptance) เป็นการยอมรับผลกระทบหรือความเสียหาย จากความเส่ียงท่ีอาจจะเกิดขึ้น แต่การยอมรับความเสี่ยงระดับน้ีต้องอยู่ในระดับที่ต่าหรือองค์การ ยอมรบั ได้ หรอื อาจไม่คุม้ ค่ากบั คา่ ใช้จา่ ยท่จี ะจดั การความเสี่ยง 3. การลดหรือควบคุมความเส่ียง (risk mitigation) เป็นกระบวนการใช้มาตรการป้องกัน ความเส่ยี ง เพอ่ื ลดโอกาสและผลกระทบทจ่ี ะเกิดความเส่ยี งในระดับที่องค์การยอมรบั ได้ 4. การแบ่งปันและโอนความเส่ียง (risk transfer) เป็นการถ่ายโอนหรือกระจายความเส่ียง ใหผ้ ู้อน่ื ชว่ ยแบง่ เบาความรบั ผดิ ชอบไป อาจใช้วธิ กี ารซอื้ ประกันภัยความเสย่ี ง ปจั จุบนั มมี าตรฐานการบริหารความเส่ียงเกิดข้ึน ผู้บริหารองค์การสามารถนามาตรฐานมาใช้ ในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งมีมาตรฐานท่ีเป็นสากลท่ีเป็นท่ียอมรับ เช่น ISO 31000:2009, ISO/IEC 27005, NIST SP 800-30rev1 และ OCTAVE เป็นตน้ จากท่ีได้กล่าวข้างต้น การจัดการธุรกิจต้องอาศัยการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้ การดาเนินงานมีประสิทธิภาพและพัฒนาธุรกิจให้มีความก้าวหน้าย่ิงข้ึน แต่การลงทุนสิ่งเหล่าน้ีย่อมมี ภาวะความเสี่ยง อยู่ในภาวะที่เทคโนโลยีที่นามาใช้ไม่มีความเหมาะสมกับองค์การ ไม่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์องค์การ ดังนั้น การจัดการธุรกิจมีความจาเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนจะนา เทคโนโลยีเขา้ ไปแกไ้ ขปัญหา หากประเมินผดิ พลาดอาจสง่ ผลกระทบในเชงิ ลบระดับองค์การได้เช่นกัน ฉะนั้น การที่องค์การมีเคร่ืองมือทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่วนงานด้านไอทีประสบ ความสาเร็จ ตอบสนองต่อกิจกรรมและยุทธศาสตร์ขององค์การ และใช้ทรัพยากรไอทีได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ การอภิบาลรกั ษาความปลอดภยั ข้อมูลและสารสนเทศ การอภิบาลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ (data & information security governance) ประกอบด้วยมิติที่สาคัญอยู่ 2 ประการ ได้แก่ บรรษัทภิบาล และไอทีภิบาล ผู้บริหาร ในส่วนท่ีรับผิดชอบต้องบริหารจัดการให้มีการใช้ทรัพยากรทางเทคโนโลยีสารสนเทศให้ได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพและตอบสนองต่อกิจกรรมและยุทธศาสตร์ขององคก์ าร จึงถือว่าองค์การน้ีมีธรรมาภิบาล ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เม่ือข้อมูลและสารสนเทศกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล การจัดการความ ปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศในระหว่างการใช้งาน การส่งผ่าน เครือข่าย การจัดเก็บ และการทาลาย จึงเป็นเร่ืองสาคัญสาหรับผู้บริหาร การจัดการความเสี่ยงต้องควบคุมความเส่ียงที่อาจจะเกิดข้ึนให้อยู่ใน ระดับที่ยอมรับได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการดาเนินงานในธุรกิจ ดังนั้น การอภิบาลรักษาความปลอดภัย ความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการจัดการธรุ กิจ
222 ข้อมูลและสารสนเทศ จึงเป็นอีกหน้าท่ีและความรับผิดชอบของผู้บริหาร ซ่ึงมีหน้าท่ีและรับผิดชอบ เกี่ยวกับบรรษัทภิบาล และไอทีภิบาล เพื่อนาองค์การไปสู่การเป็นธรรมาภิบาลทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงคาว่า บรรษทั ภิบาล และไอทภี ิบาล มรี ายละเอยี ดดังน้ี (จตชุ ัย แพงจนั ทร์, 2558, หน้า 38-39) บรรษัทภิบาล (coporate governance) คือ การกากับควบคุมดูแลองค์การที่แสดงออกถึงการ สร้างความสัมพันธ์และความรับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งขึ้น และเป็นกิจกรรม ของผู้บรหิ ารที่ตอ้ งรบั ผดิ ชอบในสว่ นของการกาหนดกลยทุ ธ์เปา้ หมาย ดาเนินการจัดการความเสี่ยงให้ อยใู่ นระดับทย่ี อมรบั ได้ และการใชป้ ระโยชนส์ งู สดุ และรบั ผิดชอบจากทรพั ยากรขององค์การ ไอทีภิบาล (information technology governance) คือ การจัดการเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศขององค์การควบคู่กับการวางนโยบาย กลยุทธ์ การประเมิน วัดผลความเส่ียง ส่งผลให้ บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การ ส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตและคุณค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม ขององค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างบรรษัทภิบาล และไอทีภิบาล พบว่า มีความสัมพันธ์ไม่ได้แยกจากกันมี การกากับดูแลและจัดการเกีย่ วกับเทคโนโลยีสารสนเทศ บรรษัทภิบาลจะดูแลภาพรวมขององค์การ ส่วน ไอทภี ิบาลจะทางานสัมพันธ์กบั การอภิบาลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ จึงกล่าวโดยสรุปว่า ไอทีภิบาลกับการอภิบาลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศมี ส่วนเกี่ยวข้องดาเนินการร่วมกันภายใต้การกากับดูแลของบรรษัทภิบาล เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ ความสัมพันธ์จงึ แสดงดังภาพที่ 9.4 coporate governance information data & technology information governance security ภาพท่ี 9.4 ความสมั พันธ์ระหว่างบรรษัทภิบาล ไอทภี ิบาล และการอภบิ าลรักษาความปลอดภยั ขอ้ มูล ท่ีมา (จตุชยั แพงจนั ทร์, 2558, หน้า 41) ความปลอดภยั ของข้อมลู และสารสนเทศเพอื่ การจดั การธุรกจิ
223 การเปล่ียนแปลงทางด้านภัยคุกคามไอทีมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ข้อมูลจึงมีความเสี่ยงและ อาจได้รับอันตรายได้ การจัดการธุรกิจในปัจจุบันเร่ิมใช้วิธีการการจ้างบริการจากภายนอก หรือใช้ บริการคลาวด์คอมพิวต้ิง (cloud computing) จากวิธีการดังกล่าวจึงทาให้ขอบเขตของการจัดเก็บ ข้อมูลและสารสนเทศไม่ได้จากัดแค่ภายใน ข้อมูลและสารสนเทศถูกจัดเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ (server) บนระบบอินเทอร์เน็ต เกิดกระบวนการจัดเก็บ ส่งต่อ ถ่ายโอน แบ่งปัน ซ่ึงทางานอยู่บนระบบ อินเทอรเ์ นต็ ทเี่ ราไมส่ ามารถทราบได้เลยว่ามีความเสย่ี งจากภัยอนั ตรายใดที่มองไมเ่ หน็ เมือ่ ข้อมูลและสารสนเทศไม่ไดถ้ ูกจัดเก็บไวเ้ ฉพาะภายในเทา่ น้นั ได้อาศัยการจัดเก็บบนระบบ เครือข่ายมาเป็นตัวช่วย เกิดกิจกรรมการใช้บริการข้อมูลและสารสนเทศขึ้นบนระบบเครือข่าย ขอบเขตการรักษาความปลอดภัยจึงขยายวงกว้าง มีกลุ่มผู้ใช้งานท่ีต้องเก่ียวข้องกับข้อมูลและ สารสนเทศขององคก์ ารหรอื อาจต้องการทางานร่วมกัน จุดน้ีเองจึงกลายเป็นช่องโหว่ที่เป็นความเส่ียง ต่อข้อมูลและสารสนเทศในระบบได้ ขอบเขตการดูแลความปลอดภัยจึงมิใช่เพียงแต่ข้อมูลและ สารสนเทศ ยังขยายขอบเขตไปยังการรักษาความปลอดภัยบนระบบเครือข่าย การรักษาความ ปลอดภัยบนระบบเครือข่ายจึงเป็นอีกหน่ึงความเสี่ยงที่เม่ือเกิดเป็นช่องโหว่จะนาไปสู่ความเสียหาย ให้กับข้อมูลและสารสนเทศในระบบได้ จะเห็นได้จากการจัดการด้วยวิธีการกาหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้ งานระบบสารสนเทศ ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศท่ีสาคัญขององค์การ สาหรับผู้ที่ไม่มี สิทธเิ์ ข้าถงึ จะไมไ่ ด้รับอนุญาตใหเ้ ข้าถึงข้อมลู และสารสนเทศ ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างระบบลงทะเบียนเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ระบบลงทะเบียนเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ซึ่งผู้ท่ีมีสิทธ์ิในการเข้าถึงและใช้ งานได้ คือ นกั ศึกษาของมหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบุรีเท่าน้ัน ซึ่งสามารถเข้าใช้งานเพื่อจองรายวิชา เรียน ค้นหาชื่ออาจารย์ ค้นหาช่ือนักศึกษา ตรวจสอบผลการเรียนและผลการสอบประมวลความรู้ เป็นต้น แต่นักศึกษาจะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูลรายละเอียดอ่ืน ๆ ได้ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ขอ้ มลู แผนการเรยี น ข้อมลู ผลการเรยี น เป็นต้น ระบบจะมผี ดู้ ูแลท่ีดาเนนิ การจัดการข้อมลู เหล่าน้ี ภาพที่ 9.5 ระบบลงทะเบียนเรียน ทมี่ า (สานักส่งเสรมิ วชิ าการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบรุ ี, 2562) ความปลอดภยั ของขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื การจดั การธรุ กิจ
224 อกี หนง่ึ ตวั อย่าง คือ ระบบจดั การชั้นเรียนสาหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ซึ่งผู้ ที่มสี ิทธ์ใิ นการเข้าถงึ และใชง้ านได้ คือ อาจารยข์ องมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีเท่าน้ัน ซึ่งสามารถ เข้าใช้งานเกี่ยวกับค้นหารายวิชา รายวิชาที่เปิดสอน หมู่เรียนที่ปรึกษา ตารางสอนอาจารย์ เช็คเวลา เรียนนักศึกษา ส่งผลการเรียน ฯลฯ อาจารย์จะเข้าใช้งานได้จากการยืนยันตัวตนด้วยเลขประจาตัว ประชาชนและรหัสผ่าน ระบบจะมผี ดู้ แู ลที่ดาเนินการจัดการข้อมูลและสารสนเทศเหล่านี้ ภาพท่ี 9.6 ระบบจัดการช้ันเรียน ที่มา (สานักสง่ เสริมวชิ าการและงานทะเบียน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั กาญจนบรุ ี, 2562) ถึงแม้ว่าระบบที่ให้บริการข้อมูลและสารสนเทศจะมีการจากัดสิทธิ์การเข้าถึงและใช้งาน แต่ ไมส่ ามารถหลดุ รอดสายตาจากกลมุ่ คนทป่ี ระสงค์ร้ายไปได้ เน่ืองจากมีการใช้งานสื่อสารกันผ่านระบบ เครือขา่ ย จะไมท่ ราบเลยวา่ ในระหวา่ งทางเครอื ข่ายการติดต่อส่ือสารกันน้ัน มีการขัดขวางการส่ือสาร ระหว่างทางหรอื ไม่ เครือข่ายทเ่ี ปิดสาธารณะอาจถกู เจาะระบบโดนดักจบั กอ่ นถงึ ปลายทาง มาตรการควบคุม ในที่น้ีได้แนะนาเกี่ยวกับระบบควบคุมการเข้าถึงไว้ 3 ประเภท คือ คุณรู้ อะไรบ้าง (what you know?) คุณมีอะไรบ้าง (what you have?) และคุณคือใคร (who you are?) (โอภาส เอีย่ มสิรวิ งศ์, 2561, หน้า 332-336) ซึ่งทั้ง 3 ระบบการควบคุมน้ีอยู่ภายใต้การควบคุมความ ปลอดภัยเบื้องต้น โดย นิตยา วงศ์ภินันท์วัฒนา (2561, หน้า 32-34) ได้อธิบายไว้เช่นกันว่า การ ควบคุมเบื้องต้นประกอบด้วย การพิสูจน์ตัวจริง การควบคุมการเข้าถึง และการตรวจสอบ มรี ายละเอยี ดดังนี้ การพิสูจน์ตัวจริง เป็นการตรวจสอบผู้เข้าใช้งานโดยการพิสูจน์ตัวจริงจากส่ิงท่ีผู้ใช้งานทราบ (what you know?) พน้ื ฐานในการตรวจสอบ ได้แก่ ชื่อผ้ใู ช้ (username) และรหสั ผ่าน (password) รายละเอียดดังกล่าวจะถูกตรวจทานผ่านระบบเครือข่าย โดยเครือข่ายจะทาหน้าท่ีกากับดูแล รายละเอียดความถูกต้อง หากข้อมูลการพิสูจน์ตัวจริงถูกต้องผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ นอกจากชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน การพิสูจน์ตัวจริงจากสิ่งที่ผู้ใช้งานทราบ (what you have?) อาจ ตรวจสอบจากใบรบั รองอิเลก็ ทรอนิกสท์ ี่เปน็ เอกสารขอ้ มูลเกี่ยวกับคีย์ท่ีใช้เข้ารหัส หรือตรวจสอบจาก ความปลอดภัยของขอ้ มลู และสารสนเทศเพือ่ การจดั การธรุ กจิ
225 โทเค็น (token) ท่ีเป็นลักษณะบัตรพลาสติกท่ีบรรจุรายละเอียดรหัสผ่าน และอีกหนึ่งการตรวจสอบ พิสจู นต์ ัวจรงิ ยังสามารถตรวจสอบได้จากการพสิ จู น์ว่าผใู้ ช้งานเป็นใคร (who you are?) ซึ่งวิธีการนี้เป็น ลักษณะการตรวจสอบจากกายภาพของบุคคล (biometrics) เชน่ ลายน้วิ มือ มา่ นตา ใบหน้า เปน็ ต้น การควบคุมการเขา้ ถึง เปน็ กระบวนการจากดั การเข้าถึงโดยการกาหนดขอบเขตอานาจหน้าท่ี ให้กับผู้ใช้งาน สามารถควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรในระบบ เป็นการป้องกันผู้ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล และสารสนเทศในระบบเพ่ือขโมยข้อมูลและสารสนเทศท่ีสาคัญซึ่งอาจเป็นความลับทางราชการ หรือ ข้อมูลสาคัญขององคก์ ารท่ีอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ กลุ่มคนเหล่าน้ีเป็นภัยคุกคามที่องค์การต้อง มรี ะบบปอ้ งกันที่รดั กมุ ในการควบคุมการเข้าถึง เช่น นายเอเป็นผู้ใช้งานระดับปฏิบัติการฝ่ายการวิจัย และออกแบบผลิตภัณฑ์ สามารถเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศในแฟ้มเอกสารการออกแบบผลิตภัณฑ์ สามารถทาการบันทึก แก้ไข อ่าน ประมวลผล ได้ ซึ่งในขณะที่นายเอไม่สามารถแก้ไขแฟ้มเอกสาร รายชือ่ ลกู คา้ ได้ รายละเอยี ดการบัญชกี ารเงนิ เปน็ ต้น การตรวจสอบ เป็นกระบวนการที่สามารถค้นหาหลักฐานย้อนหลังได้ โดยพิจารณาจากเวลา ในการใช้งาน และการตรวจสอบจากผู้ดูแลระบบ การตรวจสอบเป็นกระบวนการที่สาคัญท่ีเป็น ร่องรอยการใช้งานในระบบซึ่งทาให้ผู้ทกี่ ระทาผิดไม่สามารถปฏเิ สธความผดิ นนั้ ได้ ซงึ่ ทั้ง 3 ระบบในการควบคมุ ความปลอดภัย ส่วนใหญ่จะนาหลาย ๆ วิธีมาใช้ หากแบ่งระดับ ความปลอดภัยจะแบง่ ออกเปน็ 3 ระดับเชน่ กนั ดงั นี้ 1. ความปลอดภัยข้ันพ้ืนฐาน ได้แก่ การใช้บัญชีผู้ใช้กับรหัสผ่าน ซ่ึงสอดคล้องกับแนวทาง what you know? 2. ความปลอดภัยข้ันปานกลาง ได้แก่ การใช้บัตรผ่านหรือการนาอุปกรณ์พิเศษอย่าง security card มาใช้ เชน่ RSA SecureID โดยองค์การจะแจกใหพ้ นกั งานทีม่ สี ทิ ธ์เิ ขา้ ถึงระบบ เม่ือนา อปุ กรณเ์ สียบเข้ากับพอร์ต USB แล้ว จะได้รับเลข 6 หลักเพ่ือใช้เป็นรหัสในการเข้าถึงระบบ ซ่ึงวงจร ภายในอปุ กรณจ์ ะสื่อสารกับเซอร์ฟเวอร์ และจะเปล่ียนรหัสใหม่ทุก ๆ นาที หรือทุก 30 นาที สาหรับ วิธกี ารนี้เป็นแนวทางของ what you have? 3. ความปลอดภัยข้ันสูงสุด ได้แก่ การตรวจสอบลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ม่านตา เป็นต้น ซ่ึงจะ เรยี กวา่ แนวทาง who you are? การอภิบาลรักษาความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศ เป็นหน้าท่ีและความรับผิดชอบหลัก ของผบู้ รหิ าร และควรดาเนนิ การโดยผู้บริหารระดับสูง มีแผนงานด้านรักษาความปลอดภัยข้อมูลและ สารสนเทศ ข้อมูลและสารสนเทศขององค์การถือว่าเป็นทรัพย์สินท่ีสาคัญ หากมีการดาเนินงานอย่าง ถูกต้องและเหมาะสมจะทาใหอ้ งคก์ ารบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ไดไ้ ม่ยาก สามารถบรรลเุ ปา้ หมายยุทธศาสตร์ ท่ีสาคัญช่วยสนับสนุนให้องค์การไปสู่เป้าหมาย มีการวัดประสิทธิภาพอย่างสม่าเสมอ ตรวจสอบ ประเมินผลจากหน่วยงานท่ีมาใช้บริการ มีการจัดการความเส่ียงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ มีการ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศให้บุคลากรรับทราบ กาหนด กระบวนการแนวปฏบิ ัตทิ ช่ี ดั เจน เพือ่ ความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้ข้อมูลและสารสนเทศขององค์การ เปน็ ทน่ี า่ เช่ือถอื เกดิ กระบวนการนาไปใชป้ ระโยชน์ ความปลอดภยั ของขอ้ มลู และสารสนเทศเพ่ือการจดั การธุรกจิ
226 กรณีศึกษาความปลอดภยั ข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการจดั การธรุ กจิ การจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ เป็นประเด็นสาคัญที่ท้าทาย ความสามารถของผู้บริหารในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ยุคที่ข้อมูลและสารสนเทศมีคุณค่าและถูกตีค่าเป็น ทรัพย์สิน ผู้บริหารจึงต้องมีวางแนวทางนโยบายด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน กาหนดมาตรฐานการ รักษาความปลอดภัย มีระบบตรวจสอบ ตรวจสอบผลการดาเนินงานท่ีผ่านมา ประเมินผลการ ปฏบิ ตั งิ าน สาหรับกรณศี กึ ษาตวั อย่างต่อไปนี้ ผู้เขียนจะยกตัวอย่าง เร่ือง แนวทางในการวางนโยบาย ความม่นั คงปลอดภยั ทางสารสนเทศสาหรับวสิ าหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กดานระบบเครอื ขายไรสาย (ไกรลาศ สทิ ธยิ ะ, 2558, หน้า 54-63) ธุรกิจประเภทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว พบว่า มีการนาเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สายเข้าไปใช้งานเป็นจานวนมากข้ึน เนื่องจากระบบไร้สาย อานวยความสะดวกสบายในการทางานหลายด้านประกอบกับการติดต้ังที่สะดวกและง่ายที่สาคัญ ราคาไม่สงู มาก ระบบไร้สายจึงสง่ ผลให้องคก์ ารทางานร่วมกันได้สะดวก รวดเร็ว แล้วที่สาคัญสามารถ ชว่ ยลดค่าใช้จา่ ยท่ไี ม่จาเปน็ ลง เมื่อมีการทางานผา่ นระบบไรส้ าย ส่ิงหนึ่งที่องค์การจะต้องคานึงถึง คือ ความปลอดภยั ของข้อมลู และสารสนเทศบนระบบ วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดเลก็ หรอื ทเ่ี รียกว่า เอสเอ็มอเี อส (SMEs) จะมีข้อมูลท่ีสาคัญไม่ น้อยท่ีเก่ียวข้องกับธุรกิจ เช่น ขอมูลทางการเงินและบัญชี ข้อมูลพนักงาน ข้อมูลการตลาด ขอมูลลูกค้า และข้อมูลการผลิต เป็นต้น ด้วยระบบไร้สายท่ีนามาใช้ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงเป็นอันตราย กับข้อมูลและสารสนเทศตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้น การวางแนวทางความปลอดภัยให้กับข้อมูลและ สารสนเทศเพือ่ การจัดการธรุ กิจจึงเป็นเรอ่ื งทสี่ าคัญสาหรบั ผู้บริหารในยุคดิจิทลั สาหรับนโยบายการจัดการความม่ันคงปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศบนระบบการ สื่อสารไร้สาย ควรสร้างระบบการจัดการที่เหมาะสมและมีความสอดคล้องกับความต้องการและตาม ลักษณะการใช้งานของธุรกิจ โดยแนวทางนโยบายความปลอดภัยข้อมูลและสารสนเทศบน ระบบสื่อสารแบบไร้สายสาหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก มีรายละเอียด 2 นโยบายหลัก คือ 1) นโยบายด้านความม่ันคงปลอดภัยสาหรับเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบไรสายสาหรับวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดเล็ก และ 2) การพัฒนาตัวแบบความมั่นคงปลอดภัยสาหรับเครือข่ายเฉพาะ บรเิ วณแบบไรสายสาหรับวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดเลก็ การพัฒนาตวั แบบความมั่นคงปลอดภัยมี คุณสมบตั ิและเครือ่ งมอื ต่าง ๆ ซง่ึ รายละเอยี ด แสดงดังตารางท่ี 9.1 - 9.2 ตารางที่ 9.1 นโยบายด้านความมน่ั คงปลอดภัยสาหรบั เครอื ขา่ ยเฉพาะบรเิ วณ แบบไรสายสาหรับวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดเลก็ นโยบาย รายละเอยี ด ความปลอดภัยที่เกย่ี วขอ้ ง กาหนดนโยบายดงั นี้ บุคลากร การสร้างความปลอดภัย 3 ระดับ ได้แก่ ระยะก่อนจ้างงาน ระหว่างจ้างงาน และสิน สุดการจ้างงาน ทั้งน้ี เมื่อมีการเลิกจ้างงาน ควรมีระบบลบข้อมูลหรือรหัสเพ่ือป้องกัน การเขา้ ถงึ ระบบในภายหลงั ความปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศเพ่ือการจดั การธรุ กิจ
227 นโยบาย รายละเอียด ความปลอดภยั ท่เี ก่ยี วข้อง กระบวนการทางาน กาหนดนโยบายดงั นี้ 1. การกาหนดมาตรการความปลอดภัยใหก้ ับขอ้ มูล สารสนเทศ ความปลอดภัยทเ่ี กี่ยวข้องกบั 2. การวางโครงสรา้ งดา้ นความปลอดภยั ในกระบวนการทางานทช่ี ดั เจน เทคโนโลยี 3. การกาหนดมาตรการปอ้ งกนั ทรพั ยส์ นิ ขององค์การ กาหนดนโยบายดงั น้ี 1. กาหนดบทบาทหน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบและขั้นตอนการทางาน 2. การจดั การการใหบ้ ริการขอ้ มูลกับหน่วยงานภายนอก การควบคุมการเข้าถงึ ขอ้ มลู 3. การสร้างความปลอดภัยใหก้ บั ข้อมูลไฟลใ์ นระบบทใี่ ห้บรกิ าร 4. นโยบายการปฏบิ ตั ิตามขอ้ กาหนดของกฎหมาย 5. การตรวจประเมินความปลอดภยั ให้กับระบบสารสนเทศ ที่มา (ไกรลาศ สทิ ธยิ ะ, 2558, หนา้ 61) ตารางที่ 9.2 การพัฒนาตวั แบบความม่นั คงปลอดภยั สาหรบั เครอื ข่ายเฉพาะบริเวณแบบไรสาย สาหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเลก็ การพฒั นาตวั แบบความมน่ั คงปลอดภยั มี คณุ สมบัติและเครือ่ งมอื ตา่ ง ๆ นโยบาย รายละเอยี ด การพัฒนาจุดเชื่อมต่อระหว่าง แ อ ป พ ลิ เ ค ชั น ข อ ง ผู้ ใ ช้ กั บ กาหนดนโยบายดังน้ี ก ร ะ บ ว น ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร ผ่ า น 1. กาหนดความปลอดภยั ทั้งกายภาพและสิง่ แวดลอ้ ม เครอื ข่าย(application layer) 2. กาหนดความปลอดภัยด้านการส่ือสารและเครือข่ายสารสนเทศ 3. กาหนดการจากัดการควบคุมจานวนการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ด้วยอุปกรณแ์ บบพกพา การเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่าง 4. การกาหนดสทิ ธ์ใิ นการเข้าใชง้ าน ขนั้ ตอนของผรู้ บั และขั้นตอนของ 5. การป้องกนั ความปลอดภัยในทกุ เลเยอร์ (layer) ผ้สู ่ง (transport layer) 6. การรักษาความลบั ข้อมลู สารสนเทศ 7. นโยบายการใชง้ านแพลตฟอร์มเดยี วกนั เพอื่ ป้องกนั การโจมตีข้อมลู ได้ยากขนึ้ ก า ร จั ด เ ส้ น ท า ง ใ ห้ กั บ ข้ อ มู ล 8. การป้องกันการโจมตีในลักษณะท่ีผู้โจมตีส่งคาส่ังจานวนมาก ๆ จนเกิดความ ระหว่างสถานีส่งและสถานีรับ เสยี หาย หรือการโจมตีผ่านพอรท์ ที่ไฟลว์ อลล์ (Firewall) โ ด ย มี ร ะ บ บ ก า ร รั ก ษ า ค ว า ม ปลอดภยั (network layer) กาหนดนโยบายดงั นี้ 1. กาหนดนโยบายการเข้ารหัสข้อมลู เพ่ือป้องกนั ความลบั 2. กาหนดวธิ กี ารป้องกันการปลอมแปลงเข้ามาในระบบ โดยกาหนดระดับสิทธิในการ เข้าถงึ ขอ้ มลู ในระบบส่วนต่าง ๆ กาหนดนโยบายดงั น้ี 1. นโยบายการปอ้ นรหสั เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมลู และปอ้ งกนั การขโมยข้อมูล 2. นโยบายการคน้ หาจดุ อ่อนของระบบเพ่ือเตรยี มความพรอ้ มรับมือแก้ไข 3. นโยบายการตรวจสอบการบรุ ุกจากไฟล์วอลล์ 4. นโยบายการนาระบบฐานข้อมูล (database attack) และเว็บเซิร์ฟเวอร์ (web server attack) เพ่อื ทาหนา้ ท่ปี ้องกันการบกุ รกุ หรือโจมตที างระบบ ทีม่ า (ไกรลาศ สิทธิยะ, 2558, หนา้ 62) ความปลอดภัยของขอ้ มูลและสารสนเทศเพื่อการจดั การธรุ กจิ
228 จากนโยบายข้างต้น สรุปได้ว่า แนวทางในการวางระบบความปลอดภัยของข้อมูลและ สารสนเทศ จะต้องกาหนดกรอบนโยบายท่ชี ดั เจน มีตัวแบบความมั่นคงปลอดภัยสาหรับเครือข่ายแบบไร้ สายตามกรอบมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ซ่งึ เป็นมาตรฐานท่ไี ด้รับความนิยม และท่ีสาคัญยังต้องคานึงถึง ระบบบริหารจัดการความม่ันคงปลอดภัย (information security management system) ท้งั นี้ เพ่อื เปน็ การเตรยี มพรอ้ มรับมือกบั เหตุการณท์ ี่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบ องค์การต้องหมั่น ตรวจสอบการปฏิบัติงานอย่างสม่าเสมอ การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยนั้นในที่นี้เป็นการ ตรวจสอบงานในลักษณะเป็นการตรวจสอบการปฏิบัติตามนโยบาย การประเมินโครงการใหม่ ๆ และการทดลองเจาะระบบ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ (จตชุ ัย แพงจนั ทร์, 2558, หนา้ 71-72) การตรวจสอบการปฏิบัติตามนโยบาย เป็นเรื่องปกติที่องค์การจะต้องดาเนินการตรวจสอบ ผลการดาเนินงานตามนโยบายท่ีกาหนดเก่ียวกับการรักษาความปลอดภัยขององค์การเม่ือครบวงรอบ ของการประเมินผล หากในเชิงการบริหารงานการตรวจสอบเป็นตัวกากับติดตามเพื่อให้บรรลุตาม เป้าหมายหรือผลงานเป็นไปตามมาตรฐาน การตรวจสอบสามารถทาได้ด้วยบุคลากรภายในหรืออาจ เป็นบุคลากรภายนอกที่มีความชานาญ สาหรับการตรวจสอบนั้นให้มองในทุกมิติ ให้ความสาคัญกับ ขอ้ มลู ทอ่ี ยู่ในรูปแบบอน่ื ดว้ ย ประเมนิ วา่ มีการปฏบิ ตั ิตามนโยบายความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดหรือไม่ ตรวจสอบการปฏิบัติงานท่ีผ่านมาว่ามีการดาเนินการเป็นอย่างไร หลังจากที่มีการตรวจสอบการ ปฏิบตั ติ ามนโยบายแลว้ ทาให้ทราบถงึ ขอ้ บกพรอ่ ง จึงเกดิ การประเมนิ โครงการใหม่ ๆ เข้ามา โครงการ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาที่พบ การตรวจสอบจึงทาให้เราทราบจุดบกพร่องและนาจุดบกพร่องมา พฒั นาเปน็ โครงการใหม่ ๆ ท่แี กไ้ ขปัญหาดงั กลา่ วทีพ่ บ อีกวิธีการหน่ึงเป็นการทดลองเจาะระบบ จริง ๆ แล้วจุดอ่อนหรือช่องโหว่เป็นประโยชน์ต่อ วิธีการน้ีเช่นกัน เป็นการใช้เคร่ืองมือเพื่อทดลองเจาะระบบ หากสาเร็จจะทาให้ทราบว่าองค์การหรือ ระบบมีจุดอ่อนหรือช่องโหว่อย่างไร มีจุดเพ่ิมขึ้นก่ีจุด ในทางกลับกันหากการดาเนินงานดังกล่าวไม่ สาเร็จ เท่ากับว่าผู้ก่อการร้ายจะไม่สามารถเจาะเข้าระบบผ่านทางจุดอ่อนน้ันได้เช่นกัน การทดลอง เจาะระบบตอ้ งมีการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบและต้องแจ้งให้องค์การทราบล่วงหน้า มีขอบเขต ท่ีชัดเจน ทั้งน้ี ควรทดสอบทั้งด้านกายภาพด้วยเช่นกัน บางคนพยายามแฝงตัวเข้ามาในทางาน หรือ เข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์การเพื่อล่วงความลับ หลอกถามข้อมูลหรืออนุญาตให้ผู้ทดสอบสามารถ เขา้ ถงึ ระบบขององค์การได้ ดังนั้น การจัดการความปลอดภัยนั้นเป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับคนและเทคโนโลยี ต้อง อาศัยความรว่ มมอื ทกุ ฝา่ ย ไม่ใช่เปน็ หน้าทขี่ องผบู้ รหิ ารอย่างเดียว การกาหนดนโยบายความปลอดภัย เป็นแนวทางหนึ่งท่ีทาให้เกิดกระบวนการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศได้ เพราะ ข้อมลู และสารสนเทศเปรียบได้กับทรัพย์สินที่มีค่าขององค์การ การจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ผู้ประกอบการมีการอาศัยข้อมูลสารสนเทศบนโลกดิจิทัลมาประกอบเพ่ือการตัดสินใจ จึงปฏิเสธ ไมไ่ ด้วา่ นอกจากความปลอดภัยทางกายภาพสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจแล้ว ยังต้องคานึงถึงความปลอดภัย ให้กบั ข้อมลู และสารสนเทศในระบบเครอื ข่ายด้วยเชน่ กนั ความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเพ่อื การจดั การธุรกจิ
229 สรปุ ทา้ ยบท การจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ มีความสาคัญพอ ๆ กับความปลอดภัย และทรพั ยส์ ินของมนุษย์ ปัจจุบันมีช่องทางการส่ือสารมากมายและสะดวกรวดเร็ว องค์การต่าง ๆ ได้ ใช้โอกาสนี้สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเชิงธุรกิจ ปรับเปลี่ยนวิธีการทางานใหม่โดยอาศัย เทคโนโลยีเครอื ข่าย ในขณะเดยี วกนั ภัยคกุ คามด้านไซเบอร์มีความทวคี วามรนุ แรงขึ้นเร่ือย ๆ องค์การ จึงมคี วามเสี่ยงที่จะถูกโจมตีหรือทาลายเกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันจึงต้องหาวิธีการจัดการ ความปลอดภัยให้กับข้อมูลและสารสนเทศ ให้มีคุณสมบัติพ้ืนฐาน ได้แก่ ความลับ ความถูกต้อง และ ความพรอ้ มใช้งาน แนวทางการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเป็นหน้าท่ีของกลุ่มบุคลากรท้ังใน ผู้บริหารระดับสูง ทีมงานดาเนินโครงการความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ และเจ้าของข้อมูล โดย นาเอาวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศมาเป็นแนวทางการดาเนินงานด้านความปลอดภัย ซ่ึงมี กระบวนการประเมินสถานการณ์ท่ีเรียกว่า การจัดการความเสี่ยงที่เป็นกระบวนการระบุช่องโหว่ที่เกิดขึ้น ในระบบสารสนเทศขององค์การ ในส่วนการอภิบาลรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ สามารถสรุปใน ภาพรวมได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบรรษัทภิบาล และไอทีภิบาล มีความสัมพันธ์ไม่ได้แยกจากกันมีการ กากับดูแลและจัดการเก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ บรรษัทภิบาลจะดูแลภาพรวมขององค์การ ส่วนไอ ทภี ิบาลจะทางานสมั พันธ์กับการอภบิ าลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ ซ่ึงผู้อ่านสามารถ ศึกษาข้อมลู จากตัวอย่างงานวิจยั ที่เกี่ยวข้องได้ในเนื้อหาเพ่ือใหเ้ กดิ ความเข้าใจมากขึ้น ดังนั้น การจัดการความปลอดภัยนั้นเป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับคนและเทคโนโลยี ไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของผู้บริหารอย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะมีระบบสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจสาหรับผู้บริหารมา ช่วยอานวยความสะดวกแล้วก็ตาม แต่ในเชิงปฏิบัติทางกายภาพต้องมีการกาหนดนโยบายความ ปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นแนวทางหน่ึงที่ทาให้เกิดกระบวนการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และสารสนเทศได้ เพราะข้อมูลสารสนเทศเปรียบได้กบั ทรพั ยส์ ินทมี่ ีค่าขององค์การ ความปลอดภยั ของขอ้ มูลและสารสนเทศเพ่อื การจดั การธุรกจิ
230 แบบฝึกหัดทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. จงอธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการจัดการความปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศ 2. อาชญากรรมคอมพวิ เตอร์หรืออาชญากรรมทางเทคโนโลยีดิจิทัล มีลกั ษณะอยา่ งไร 3. จงยกตัวอยา่ งโปรแกรมมุ่งทารา้ ยทมี่ ีความเสี่ยงตอ่ ความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศ 4. คุณสมบตั ิพ้นื ฐานของการรักษาความปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศ มีอะไรบา้ งจงอธิบาย 5. ผ้ใู ดมีบทบาทในดา้ นความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ 6. แนวทางในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศมีก่ีแนวทาง ประกอบด้วย อะไรบา้ ง จงอธบิ ายพร้อมยกตวั อยา่ ง 7. จงยกตวั อยา่ งแนวทางดาเนินงานดา้ นความปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศ SecSDLC 8. จงยกตัวอย่างแนวทางการจัดการความเสี่ยงในสถานการณ์กรณีเกิดการโจรกรรมข้อมูลลูกค้าไป ขายจากพนักงานเก่าทล่ี าออกไป 9. จากกรณีศกึ ษา จงอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งคาว่า บรรษัทภบิ าล ไอทภี ิบาล การอภิบาล 10. จากกรณศี กึ ษา จงวิเคราะหว์ า่ การกาหนดสทิ ธใ์ิ ชง้ าน สทิ ธใ์ิ นการเข้าถึง มลี ักษณะอย่างไร ความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศเพอ่ื การจดั การธรุ กิจ
231 เอกสารอ้างองิ ไกรลาศ สิทธิยะ. (2558). แนวทางในการวางนโยบายความม่ันคงปลอดภัยทางสารสนเทศ สาหรับวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดเลก็ ดานระบบเครอื ขายไรสาย. วารสารวิชาการ มหาวทิ ยาลัยฟาร์อิสเทอรน์ 9 (1): 54-63. จตุชัย แพงจันทร.์ (2558). Master in security. นนทบรุ ี: ไอดซี ฯี . ธชั ชัย จาลอง. (2561). คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชัน. นติ ยา วงศ์ภินันท์วฒั นา. (2561). ความมนั่ คงปลอดภัยและการควบคุมระบบสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: ซีเอด็ ยูเคชนั . พนดิ า พานิชกุล. (2556). ความมนั่ คงปลอดภยั ของสารสนเทศและการจดั การ. กรงุ เทพฯ: เคทีพี. ภคั วรศิ เกื้อกูล (2563). คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรงุ เทพฯ: รไี วว่า. มฑุปายาส ทองมาก. (2559). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ การจดั การความทา้ ทายในยคุ ดจิ ทิ ลั . ปทุมธานี: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. วศิน เพ่มิ ทรัพย์. (2561). ความรเู้ บ้อื งตน้ เกยี่ วกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ: โปรวิชนั่ . สานักสง่ เสรมิ วชิ าการและงานทะเบียน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ ี. (2562). ระบบลงทะเบียนเรยี น. ค้นเม่อื มิถุนายน 23, 2562, จาก reg.kru.ac.th. ________. (2562). ระบบจดั การช้นั เรยี น. คน้ เมื่อ มิถุนายน 23, 2562, จาก cms.kru.ac.th. โอภาส เอีย่ มสิริวงศ์. (2561). วิทยาการคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชัน. ความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศเพอื่ การจดั การธรุ กิจ
232 “การจัดการความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ มีความสาคัญ พอ ๆ กับความปลอดภัยและทรัพย์สินของมนุษย์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับคนและ เทคโนโลยี ไม่ใชเ่ ป็นหนา้ ทข่ี องผูบ้ ริหารอยา่ งเดียว ถงึ แม้ว่าจะมีระบบสารสนเทศเพ่ือการ ตัดสินใจสาหรับผู้บริหารมาช่วยอานวยความสะดวกแล้วก็ตาม แต่ในเชิงปฏิบัติทาง กายภาพต้องมีการกาหนดนโยบายความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพ่ือเป็นแนวทางหน่ึงท่ีทา ให้เกิดกระบวนการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศได้ เพราะข้อมูล สารสนเทศเปรียบได้กบั ทรัพยส์ ินที่มีค่าขององคก์ าร” ความปลอดภยั ของขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื การจดั การธรุ กิจ
บทที่ 10 การวิจยั เพ่ือการจดั การธรุ กจิ ในยคุ เทคโนโลยีดิจิทลั การจัดการธุรกิจในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้บริหารจาเป็นต้องอาศัยข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือ ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลและสารสนเทศเหล่านี้ควรมีความน่าเช่ือถือและสามารถนามาใช้ อ้างอิงได้ การวิจัยจึงเป็นเคร่ืองมือหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลและสารสนเทศที่มีความถูกต้อง น่าเช่อื ถือ สามารถใช้พยากรณ์เพือ่ นาไปสู่การตดั สินใจเพื่อการจัดการธุรกิจได้ เพราะการวิจัยเกิดจาก การกาหนดปัญหาหรือโอกาส ช่วยวิเคราะห์และประเมินปัญหาหรือโอกาสนั้น ๆ สามารถเป็นข้อมูล ประกอบการเลือกและกาหนดวิธีการปฏิบัติงาน พร้อมท้ังประเมินผลทางเลือก ผู้บริหารสามารถใช้ หลักการวิจัยและการสืบคน้ ขอ้ มูลและสารสนเทศทางธรุ กจิ ควบค่ไู ปกับกระบวนการตัดสินใจ การวิจัย จงึ เป็นทย่ี อมรับกนั โดยท่ัวไปวา่ เป็นเครื่องมือสาคัญของนักบริหาร ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่าง ถูกต้อง และสมบูรณ์ย่ิงข้ึน อย่างไรก็ตาม การวิจัยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เสมอไป ต้องอาศัยความรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา และเป็นผู้มีความรอบรู้เสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ เปิดรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ การวิจัยจึงเป็นวิธีการท่ีสาคัญในการเสาะแสวงหาการเปลี่ยนแปลงและ ป้องกันสถานการณ์ที่เลวร้ายและส่ิงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดข้ึนในอนาคตได้ สาหรับเน้ือหาในบทนี้ ประกอบด้วย ความหมายและความสาคัญของการวิจัยเพื่อการจัดการธุรกิจ ข้ันตอนในการวิจัยเพ่ือ การจัดการธุรกิจคุณสมบัติของผู้บริหารกับการเป็นนักวิจัยธุรกิจยุคดิจิทัล เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการ วจิ ยั ธุรกจิ และตัวอยา่ งงานวิจยั เพ่ือการจัดการธรุ กจิ ในยคุ ดจิ ิทัล โดยมรี ายละเอยี ดดังต่อไปนี้ ความหมายและความสาคญั ของการวิจัยเพ่อื การจัดการธุรกิจ การวิจัย (research) เป็นเครื่องมือสาคัญในการหาคาตอบเพื่อการแก้ไขปัญหา หรือแม้แต่ เปน็ เคร่ืองมือในการแสวงหาโอกาสบนพ้นื ฐานขอ้ มูลและสารสารสนเทศที่มีความน่าเชื่อถือ นักวิจัยจึง สามารถนาผลงานวิจัยมาช่วยแก้ไขปัญหาหรือพัฒนางานในมิติต่าง ๆ ของแต่ละศาสตร์ และสามารถ นากระบวนการวจิ ัยไปประยุกตใ์ ช้ได้กบั ทกุ ภาคส่วนงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แม้แต่ภาคธุรกิจยัง ต้องอาศัยขอ้ มูลและสารสนเทศจากการวจิ ัยเป็นคาตอบในการตัดสินใจนาไปสู่ความได้เปรียบทางการ แข่งขนั การวิจัย เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพื่อหาคาตอบหรือ ยืนยันข้อมูลตามหลักการทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องและอ้างอิงตามกฎ สูตร ทฤษฎีในแต่ละสาขาวิชา ซึ่งมี กระบวนการเร่ิมต้นตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล บันทึก วิเคราะห์ด้วยหลักสถิติ พร้อมท้ังมีการอภิปราย ผลการวิจัยอย่างชัดเจน เพื่อการนาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริงในวงกว้าง (สุมาลี ไชยศุภรากุล, 2558, หนา้ 1-2; สภุ าวดี ขนุ ทองจนั ทร์, 2560, หนา้ 10; มาลนิ ี คาเครือ, 2562, หน้า 2)
234 การจัดการธุรกิจ เป็นกระบวนการท่ีประกอบด้วยการวางแผน การจัดองค์การ การนา และ การควบคุม ซ่ึงดาเนินการเกี่ยวกับหน้าท่ีในธุรกิจที่ประกอบด้วย การบัญชีการเงิน การตลาด ทรพั ยากรมนษุ ย์ การผลิตและการดาเนนิ งาน เมอ่ื ภาคธรุ กิจนาการวจิ ัยเข้ามาใช้เป็นเคร่ืองมือเพื่อการ จัดการธรุ กิจ จงึ สรปุ ความหมายของคาวา่ การวจิ ัยเพ่ือการจัดการธุรกจิ ได้ดังน้ี การวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับการ จัดการธุรกิจในหน้าที่เกี่ยวกับการบัญชีการเงิน การตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การผลิตและ การดาเนินงาน ท้ังเพ่ือหาคาตอบหรือยืนยันข้อมูลตามหลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและอ้างอิงตามกฎ สูตร ทฤษฎี ประกอบด้วยข้ันตอนการรวบรวมข้อมูล บันทึก วิเคราะห์ด้วยหลักสถิติ พร้อมทั้งมีการ อภปิ รายผลการวิจัยอย่างชัดเจน เพื่อการนาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ประกอบการตัดสินใจเพื่อการ จัดการธรุ กิจ งานวิจัยมีบทบาทสาคัญในการบริหารงานองค์การทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จะเห็นได้จาก การที่มีผลงานวิจัยถูกเผยแพร่จานวนมากในหลากหลายศาสตร์ การวิจัยถูกนามาเป็นผลงานวิชาการ เพือ่ ใช้สาเร็จการศกึ ษาในระดบั ปริญญาโท ปรญิ ญาเอก และถกู นามากาหนดคุณภาพผลงานในการขอ กาหนดตาแหน่งทางวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยจึงถูกนามาใช้เป็นเคร่ืองมือ สาคัญในวงการวิชาการและภาคธุรกิจ ซ่ึงในปัจจุบันมีหลายหน่วยงานเปิดแหล่งทุนเพ่ือให้นักวิจัย เขียนงานวิจัยเพื่อขอรับทุนสนับสนุน โดยให้นักวิจัยทางานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาหรือแสวงหาโอกาส ให้กับองค์การ โดยมีการกาหนดประเด็นปัญหาสาคัญเร่งด่วนเพื่อให้นักวิจัยทางานวิจัยตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาเจ้าของแหล่งทุน แม้แต่ในหน่วยงานภาคเอกชนและภาครัฐยังต้องมีสถาบันหรือ หน่วยงานท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับงานวิจัยและพัฒนา หากมองให้เชิงการประกอบธุรกิจงานวิจัยนับว่า เป็นเครื่องมือสาคัญในการจัดการธุรกิจช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความต้องการของ ผใู้ ชบ้ ริการหรือผู้บรโิ ภค ผบู้ ริหารจึงตอ้ งใหค้ วามสาคัญกับการวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ มีการกาหนด เป็นนโยบายผลักดันให้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหน่ึงในการจัดการธุรกิจช่วยสนับสนุนแก้ไขปัญหา นามาเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจ ธุรกิจมีความจาเป็นที่จะต้องมีการวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ ด้วยเหตุผลความจาเป็นดงั น้ี (มาลินี คาเครือ, 2562, หน้า 3) 1. ในกรณีที่เหตุการณ์สภาพทางธุรกิจในปัจจุบันกาลังประสบปัญหาและมีแนวโน้มไปใน ทิศทางท่ีแย่ลง เช่น ปัญหายอดขายลดลงอย่างกะทันหัน ปัญหาข่าวลือทางด้านลบของธุรกิจ ปัญหา ระบบสารสนเทศขององค์การถูกโจรกรรมข้อมูล เป็นต้น การวิจัยเพื่อการจัดการธุรกิจจะเป็น เครื่องมือในการหาคาตอบว่าปจั จัยสภาพแวดล้อมทางธรุ กจิ ใดเปน็ เหตเุ ปน็ ผลต่อกันอยา่ งลกึ ซง้ึ 2. กรณที เี่ กิดเหตกุ ารณห์ รอื สถานการณ์ท่ีไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เช่น สถานการณ์ การแพร่ระบาดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 ทาให้ยอดขายลดลงเร่ือย ๆ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่สามารถจา่ ยค่าตอบแทนให้กบั พนกั งานได้ ซ่งึ เหตุการณ์ดงั กล่าวไมไ่ ด้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า จึง ทาให้เราต้องพยากรณ์หรือคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดข้ึนเพ่ือรองรับการแก้ไขสถานการณ์ การวิจัย เพ่อื การจัดการธุรกจิ จึงเป็นเครอื่ งเพอ่ื หาทางปอ้ งกันสถานการณ์บางอย่างได้ 3. การวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ ยังเป็นเคร่ืองมือช่วยพัฒนางาน เช่น เพ่ิมประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ใหมใ่ ห้เป็นท่ียอมรับ พัฒนาระบบสารสนเทศใหม่ นาเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการบริหารงาน เปน็ ต้น การวิจัยเพอื่ การจดั การธรุ กิจในยุคเทคโนโลยดี จิ ทิ ัลธุรกจิ
235 จากความจาเป็นท้ัง 3 ประการ แสดงให้เห็นว่า การวิจัยเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญเพื่อการ จัดการธุรกิจในการช่วยแก้ไขปัญหา โดยเป็นการหาเหตุและผลอย่างลึกซ้ึง เพ่ือนาผลการวิจัยมาเป็น แนวทางการป้องกันเหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะเกิดข้ึน ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อพัฒนางานให้มี ประสิทธิภาพ ยังช่วยลดปัญหาความรุนแรงต่าง ๆ ท่ีคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดข้ึนได้ ดังนั้น ผู้บริหารจึง จาเปน็ ต้องมีความเข้าใจในขนั้ ตอนของการวิจยั อยา่ งลึกซ้ึง เพ่ือให้เกิดการนาการวิจัยไปประยุกต์ใช้ใน การบริหารงานได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ขัน้ ตอนในการวจิ ัยเพอ่ื การจัดการธรุ กจิ ข้ันตอนในการวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ มีพื้นฐานขั้นตอนสาคัญที่เหมือนกันแตกต่างตรง เนื้อหาและการนาไปใช้ประโยชน์ เพื่อให้ได้ผลงานวิจัยมาเพ่ือนามาแก้ไขปัญหาหรือหาคาตอบเพื่อ ยืนยันความถูกต้องตามหลักการทฤษฎีท่ีอ้างอิง ข้ันตอนพ้ืนฐานในการวิจัยเพื่อการจัดการธุรกิจเป็น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาคาตอบอย่างเป็นระบบ ซึ่งคาตอบท่ีได้จะเป็นคาตอบท่ี นา่ เช่อื ถอื และนาไปใช้อ้างองิ เป็นท่ยี อมรับ ข้ันตอนในการวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจ ประกอบด้วย 8 ข้ันตอน ได้แก่ การกาหนดปัญหา การกาหนดวัตถุประสงค์/สมมติฐาน การออกแบบวิจัย การกาหนดระเบียบวิธีวิจัย การเก็บรวบรวม ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลเขียนรายงานการวิจัย และการนาผลการวิจัยไปใช้เพื่อการจัดการ ธุรกิจ การวจิ ยั มจี ดุ เริม่ ต้นจากปัญหา เป็นการศึกษาปัญหาแล้วนาปัญหานั้นมาสู่กระบวนการขั้นตอน ในการวจิ ยั เพือ่ หาแนวทางแกไ้ ขปญั หา สามารถอธิบายแต่ละขน้ั ตอนดังนี้ 1. การกาหนดปญั หาทจี่ ะทาการวิจัย เป็นการศึกษาปัญหาท่ีเกิดขึ้นจริงจากสถานการณ์จริง หรือท่ีเคยพบเห็นด้วยตนเอง หรืออาจมาจากความต้องการขององค์การ ผู้บริหารสามารถรวบรวม ปัญหาต่าง ๆ ได้หลากหลายวิธีการ เช่น การสัมภาษณ์ การลงพ้ืนที่สารวจข้อมูลด้วยตนเอง การอ่าน จากข้อมูลทุติยภูมิ เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งท่ีต้องควรระวัง คือ การคัดลอกงานวิจัยหรือทาซ้า เพื่อป้องกัน การผิดจรรยาบรรณในการทาวิจยั 2. การกาหนดสมมติฐานงานวิจัย เป็นการคาดคะเนว่าจะเกิดข้ึน โดยมีความเช่ือหรือสิ่งที่ คาดน้ันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ การต้ังสมมติฐานอาจกาหนดข้ึนเพ่ือตรวจสอบทดสอบงานวิจัยที่มีคน เคยทาไวแ้ ล้ววา่ สมมติฐานเปน็ จรงิ หรอื ไมอ่ ยา่ งไร เรียกง่าย ๆ วา่ เป็นการพิสูจน์ข้อเทจ็ จริง 3. การออกแบบวิจัย เป็นขั้นตอนการกาหนดแผน โครงสร้าง และกิจกรรมสาคัญในการ ศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้คาตอบของการวิจัย ประกอบด้วยการออกแบบการวัดตัวแปร การเลือกตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูล วธิ กี ารทส่ี ามารถทาให้การออกแบบวิจัยทาได้ง่ายข้ึน อาจใช้วิธีการสืบค้นงานวิจัย ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันและทบทวนวรรณกรรมเพื่อมาใช้การการออกแบบวิจัย เคร่ืองมือในการเก็บ ข้อมลู วางแผนให้รอบคอบกบั คาถามในเคร่ืองมอื เพอื่ ให้ได้มาซงึ่ คาตอบวัตถุประสงค์ การวิจัยเพ่อื การจัดการธุรกิจในยุคเทคโนโลยดี จิ ทิ ัลธรุ กจิ
236 4. การกาหนดระเบียบวิธีวิจัย เป็นการกาหนดตัวแปรในแต่ละระดับการวัด กาหนด ประชากร กลุ่มตัวอย่าง รวมไปถึงวิธีการสุ่มตัวอย่าง การเลือกใช้สถิติ เป็นต้น วิธีการท่ีสามารถทาให้ การออกแบบวิจัยทาได้ง่ายขึ้น อาจใช้วิธีการสืบค้นงานวิจัยท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกันและทบทวน วรรณกรรมเพ่ือมาใช้กาหนดระเบียบวิธีวจิ ยั 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล หลังจากทีน่ ักวจิ ัยได้ดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ซึ่งข้อมูลท่ีได้มา อาจมาจากการเก็บจากแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน การสนทนากลุ่ม เป็นต้น ซึ่ง สามารถดาเนินการเก็บด้วยตนเองหรือส่งไปรษณีย์ แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความทันสมัยมากขึ้น ผู้บริหารสามารถเก็บข้อมูลด้วยวิธีการออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวิธีจะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ออกไป หากเก็บด้วยออนไลน์อาจจะต้องมีวิธีการที่ตรวจสอบการได้มาของข้อมูล หรือส่งไปรษณีย์ อาจพบปญั หาการตอบกลับ เป็นต้น 6. การวิเคราะห์ขอ้ มลู ปัจจบุ นั มีโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถติ ิเพ่ือการวิจัยมากมาย ใช้งานง่าย เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการประมวลผล โปรแกรมที่นิยมใช้กันมากได้แก่ โปรแกรมสาเร็จรูป ไอบีเอ็ม เอสพีเอสเอส (IBM SPSS) นอกจากน้ียังมีโปรแกรมอ่ืน ๆ ท่ีนามาใช้งานกับสถิติข้ันสูง โดย นกั วิจัยสามารถเลือกใชโ้ ปรแกรมใหเ้ หมาะสมกบั สถิติในการวิเคราะห์ 7. การสรุปและการเขียนรายงานวิจัย เป็นการเสนอผลงานวิจัยที่ได้ทาการศึกษาค้นคว้า ได้ทราบข้อมูลเท็จจริง ความรู้ใหม่ ๆ เป็นการสรุปพร้อมการอภิปรายผลงาน เขียนรายงานสรุปผล พรอ้ มเผยแพรส่ สู่ าธารณชน 8. การการนาผลการวิจัยไปใช้เพื่อการจัดการธุรกิจ สิ่งสาคัญเพ่ือการวิจัยเสร็จสิ้นและเขียน สรุปผลรายงานวิจัยแล้ว ควรมีการเผยแพร่ผลงานเพ่ือการนาไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง และนาไปใช้ เพื่อการจัดการธรุ กจิ ใหเ้ กิดประสิทธภิ าพมากขน้ึ จะเหน็ ได้วา่ ทั้ง 8 ขั้นตอน จะดาเนินการอยู่ภายใต้กรอบของการจัดการธุรกิจในหน้าที่สาคัญ ของธุรกิจ ขั้นตอนในการวิจัยทั้ง 8 ข้ันตอนจะมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้นหากมีการประยุกต์นาเอา เทคโนโลยีดิจทิ ัลเขา้ มาร่วมด้วย ซ่ึงสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การ สรปุ ผล การเผยแพรเ่ พอื่ การนาไปใช้ประโยชนใ์ นการจดั การธรุ กิจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจนย่ิงข้ึน สรุปลาดบั ข้ันตอนในการวจิ ัยเพือ่ การจัดการธุรกิจ แสดงดงั ภาพที่ 10.1 การวิจยั เพ่อื การจดั การธุรกิจในยุคเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั ธุรกจิ
237 การจดั การธรุ กจิ ด้านการบญั ชีการเงิน การตลาด การจดั การทรพั ยากรมนษุ ย/ การผลิตและการดาเนนิ งาน และอนื่ ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องในธุรกจิ 1 การกาหนดปญั หา 2 การกาหนดวัตถปุ ระสงค/สสมมตาิ าน 3 การออกแบบวิจยั 4 การกาหนดระเบยี บวธิ ีวิจยั 5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 6 การวิเคราะหข/ ้อมลู 7 สรุปผลและเขียนรายงานวจิ ัย 8 การนาผลการวจิ ยั ไปใชเ้ พ่อื การจัดการธรุ กจิ ภาพที่ 10.1 ขั้นตอนในการวจิ ัยเพื่อการจัดการธุรกจิ ที่มา (มาลินี คาเครอื , 2562, หนา้ 15) การวิจยั เพอ่ื การจดั การธุรกิจในยคุ เทคโนโลยดี ิจทิ ลั ธรุ กจิ
238 การทางานวิจัยจะเกิดความสะดวก รวดเร็วมากย่ิงข้ึน ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทางาน สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยงานวิจัยต้ังแต่กระบวนการแรกจนถึงกระบวนการสุดท้าย เมื่อได้ ผลงานวิจยั จากปญั หาท่เี ราไดก้ าหนดไว้ จะสามารถนาผลงานวิจัยท่ีได้มาปรับใช้แก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ อย่างไรกด็ ี การวิจัยนน้ั จะมี ระยะเวลาทีค่ ่อนข้างยาวนานข้ันต่าสุด 6 เดือน ถึง 12 เดือน การวิจัยจึง เป็นการแกไ้ ขปญั หาทใี่ ช้ระยะเวลาในการทดลองเพื่อพิสูจน์ แต่เมื่อผลลัพธ์ที่ได้ออกมาแล้วถือว่าคุ้มค่ากับ การรอคอย เพราะผลวจิ ัยช่วยเติมเต็มพฒั นางานแกไ้ ขปญั หานน้ั ๆ ได้จรงิ เราสามารถนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการลาดับข้ันตอนการวิจัย เป็นเพราะใน ปัจจุบันเป็นยุคเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีข้อมูลและสารสนเทศจานวนมาก และสามารถเข้าถึงข้อมูลและ สารสนเทศเหล่านี้ได้จากอินเทอร์เน็ต การวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมี องค์ประกอบท่ีสอดคล้องกับการวิจัยธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดย วัชราภรณ์ สุริยาภิวัฒน์ (2554, หน้า 8-9) ได้อธิบายว่า ปัจจุบันเป็นยุคท่ีโลกเปิดกว้างและไร้พรมแดนมีสาเหตุมาจาก 4 องค์ประกอบ แสดงดัง ภาพท่ี 10.2 เทคโนโลยที ่มี คี วามทนั สมัย ความคิดเห็นของคนรนุ่ ใหม่ วิถีชีวิตปัจจุบนั วจิ ยั ธรุ กจิ ในยุคปจั จบุ นั เทคนคิ การจดั การขอ้ มลู สมยั ใหม่ ภาพท่ี 10.2 วจิ ยั ธุรกิจในยคุ ปัจจุบนั ทมี่ า (วัชราภรณ์ สรุ ิยาภวิ ัฒน์, 2554, หน้า 8-9) จากภาพท่ี 10.2 การวจิ ัยในปัจจุบันนักวิจยั จะตอ้ งเผชญิ กบั การเปลยี่ นแปลงไม่ว่าจะเป็นด้าน เทคโนโลยี ด้านพฤติกรรมของมนุษย์และวิถีชีวิตที่เปล่ียนแปลงไปจากเดิม และเทคนิคใหม่ ๆ ในการ วิเคราะห์ข้อมูลตา่ ง ๆ ท่ีมีการใช้คอมพวิ เตอร์เขา้ มาช่วยในการวิเคราะหง์ านวิจัย ซง่ึ การเปล่ียนแปลงมี ผลต่อการดาเนนิ งานวิจยั ดังนี้ การวจิ ยั เพ่อื การจัดการธุรกจิ ในยุคเทคโนโลยดี จิ ทิ ัลธุรกจิ
239 1. เทคโนโลยที มี่ คี วามทนั สมัย ส่งผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงวธิ กี ารดาเนินงานวิจัย เช่น การเก็บ รวบรวมข้อมูลเพ่ือให้กลุ่มตัวอย่างตอบด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ก็ตาม อาจปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ตามเทคโนโลยีด้วยวิธีการจัดทาแบบสอบถามแบบออนไลน์ การประมวลผลการวิเคราะห์สามารถใช้ โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทางสถติ ิเพ่อื การวจิ ยั จากเดิมเป็นการวเิ คราะห์ดว้ ยเครอื่ งคานวณ เปน็ ตน้ 2. ความคิดเหน็ ของคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่จะมีทัศนคติที่แตกต่างไปจากคนรุ่นเก่า ให้ความสาคัญ กับความมั่นคงของครอบครัว ความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่มีผลต่อการทางานวิจัยในเชิงพฤติกรรม ศาสตร์ งานวิจัยบางเร่ืองจาเป็นต้องต้ังคาถามแบบปกปิด และบางงานวิจัยสามารถเปิดเผยข้อมูลใน การตงั้ คาถามได้ ตามหลกั การจรยิ ธรรมและการวจิ ัยในมนษุ ย์ 3. วิถชี วี ิตปจั จุบนั คนในยุคปัจจุบันทุกคนพกโทรศัพท์เคล่ือนที่ท่ีสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต ได้ สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง นักวิจัยอาจใช้ช่องทางเหล่าน้ีในการเก็บรวบรวมข้อมูลแต่ต้อง กระทาในขอบเขตที่เหมาะสม 4. เทคนิคการจัดการข้อมูลสมัยใหม่ การทาเหมืองข้อมูล และนิยมต่อการนาสถิติข้ันสูงมา วิเคราะห์ ตลอดจนมีโปรแกรมช่วยการวิเคราะห์ทาให้นักวิจัยมีความสะดวกต่อการประมวลและ วิเคราะห์ได้ลกึ ซ้งึ ในหลายมุมมอง ด้วยการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลจึงทาให้การวิจัยถูกปรับเปลี่ยนไป ผลการวิจัยจึง ได้รับผลกระทบจากตวั แปรรอบด้านอย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคิดเห็น ของคนรุ่นใหม่ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีการจัดการข้อมูลแบบใหม่ ไม่ว่า เทคโนโลยีทางสงั คมจะเปล่ยี นแปลงไปอยา่ งไร แตก่ ารวจิ ัยยังเปน็ เครื่องมือท่ีสาคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหา และพฒั นาองค์การไดใ้ นทุกยคุ ทุกสมัย คณุ สมบตั ขิ องผ้บู รหิ ารกับการเปน็ นักวิจัยธุรกจิ ยุคดจิ ทิ ลั คุณสมบัติของผู้บริหารในการเป็นนักวิจัยธุรกิจยุคดิจิทัล จาเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดแนว ปฏบิ ัติในการจดั การธรุ กิจใหส้ อดคลอ้ งกับโลกปัจจบุ นั มีความรอบรู้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบ ต่อการจัดการธุรกิจ ทั้งสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกท่ีควบคุมไม่ได้ ผู้บริหารต้องสวมจิต วิญญาณการเปน็ นกั วิจัยธุรกิจยุคดิจิทัล มีคุณสมบัติความรอบรู้ ลึกซ้ึง รอบคอบ ความสามารถในการ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และมีจรรยาบรรณการเป็นนักวิจัย คุณสมบัติของผู้บริหารกับการเป็นนักวิจัย ธุรกจิ ยคุ ดจิ ิทัล มีรายละเอยี ดดงั น้ี (วัชราภรณ์ สรุ ิยาภิวัฒน์, 2554, หน้า 9-10) 1. มีความรอบรู้ ผู้บริหารต้องมีความรอบรู้ในเหตุการณ์สถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยธนาคาร การหยุดงาน เป็นต้น และท่ีสาคัญต้องมีความ รอบรใู้ นขน้ั ตอนของการวจิ ัยอย่างลึกซึง้ จึงจะสามารถเป็นนักวจิ ัยที่ดาเนินการไดถ้ ูกต้องตามหลักวชิ าการ 2. มคี วามคดิ ทล่ี กึ ซ้ึง เมอ่ื มีความรู้ในเร่ืองทส่ี นใจแลว้ ต้องใส่ใจในเรือ่ งทีจ่ ะทาการวิจัย ต้องศึกษา อย่างละเอียดลึกซึ้ง พยายามค้นคว้าหาความเข้าใจจากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อมา ประกอบการทางานวจิ ัย 3. มีความรอบคอบ ในกระบวนการขั้นตอนของการวิจัยจะต้องดาเนินไปเป็นขั้นตอน มีการ วางแผนงานอย่างชัดเจนรอบคอบ ควบคุมกระบวนการแต่ละขั้นตอนให้มีข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด การวจิ ยั เพอื่ การจดั การธุรกจิ ในยคุ เทคโนโลยดี ิจทิ ลั ธุรกจิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297