195 ผู้ปกครองควรสังเกตอาการ และเข้าใจธรรมชาติของผู้เสพติด มากกว่าเป็นการจับผิด ซึ่งการมีความ สมั พนั ธท์ ดี่ มี คี วามเออื้ อาทร จะทำ� ใหเ้ ขายอมเลา่ ความจรงิ โดยไมต่ อ้ งเกรงกลวั วา่ จะถกู ตำ� หนอิ ยา่ งรนุ แรง และน�ำขอ้ ผดิ พลาดเหล่าน้นั มาวิเคราะห์หาวิธีการช่วยเหลอื ซง่ึ จะเปน็ การปอ้ งกันการกลบั ไปตดิ ยาซำ้� (Relapse prevention) อย่างไรกต็ ามหากผ้ปู กครองไม่แนใ่ จ อาจจะใช้วิธกี ารตรวจสอบปัสสาวะก็ได้ แต่ต้องระวังเรื่องของผลบวกปลอม ซึ่งเกิดจากการผิดพลาดของการใช้ยา แก้หวัดบางตัว อาจท�ำให้ เข้าใจผิดกนั ได้ การสงั เกตอาการของผู้เสพหรือตดิ ฝิ่น มอรฟ์ นี เฮโรอีน ผทู้ เี่ สพยาเสพตดิ ประเภทนี้ จะมลี กั ษณะทสี่ งั เกตไดช้ ดั คอื รา่ งกายซบู ซดี ผอมเหลอื ง นยั นต์ า เหลอื งซีด ม่านตาหรไี่ มก่ ล้าสูแ้ สง (จงึ สวมแวน่ กันแดด) รมิ ฝปี ากเขยี วคลำ�้ ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา และสว่ นใหญจ่ ะมอี าการเฉยเมยตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และสภาพการณข์ องตวั เอง หลายคนกลายเปน็ คนฟงุ้ ซา่ น เกียจคร้าน หรืออารมณ์เปลี่ยนแปลง ถ้าสังเกตตามร่างกายอาจพบร่องรอยบางอย่าง เข่น จมูกแดง มผี งติดตามจมกู (ถ้าสดู เฮโรอนี ผง) มีรอยเข็มด้านในท้องแขน (ถ้าฉีดเฮโรอีนเข้าเส้น) มักจะใสเ่ สื้อแขนยาว เพอ่ื ปกปดิ รอ่ งรอยการฉดี ยาบรเิ วณแขน หรอื หลงั มอื ทงั้ สองขา้ ง และหลงั จากใชเ้ ฮโรอนี แลว้ จะมอี ารมณด์ ี ยม้ิ งา่ ย ครนื้ เครง ปากหวาน ถา้ ใชม้ ากอาจน่งั สับปะหงก นอกจากนีย้ ังมีอปุ กรณก์ ารเสพ เชน่ กลอ้ งฝิ่น ก้อนฝ่นิ ดำ� ผงสีขาวในถงุ ในแคปซูล ชอ้ นคีบ กระบอกและเข็มฉดี ยา ฯลฯ ซกุ ซ่อนอย่ตู ามท่ีปกปิดมดิ ชิด การสังเกตอาการของผ้เู สพหรือตดิ ยาหลอนประสาท ผเู้ สพตดิ มกั จะนอนหรอื นง่ั สลมึ สลอื บางรายมอี าการเปลยี่ นแปลงทางดา้ นสายตาการรบั รแู้ ละ การสมั ผสั ตาทำ� ใหก้ ลายเปน็ คนขตี้ ระหนกตกใจ หวาดกลวั นอกจากนยี้ งั มนี ำ้� ลายออกมาก ฝา่ มอื มเี หงอื่ ออกอารมณ์ และนิสัยเปลี่ยนแปลงจากเดมิ จนเหน็ ไดช้ ัด การสังเกตอาการของผู้เสพหรอื ตดิ กัญชา ผู้เสพติดมักมีความคิดเลื่อนลอย สับสน อ่อนไหวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ บางครั้ง แสดงอาการแปลกๆ เพราะการรบั รภู้ าพผดิ ปกติ บางรายทเี่ สพมาก ๆ อาจมอี าการตน่ื เตน้ กระสบั กระสา่ ย ตลอดเวลา กลา้ มเนอ้ื ลบี มอื เทา้ เยน็ และหายใจขดั บอ่ ย ๆ ในสว่ นทต่ี วั อาจพบวา่ ผเู้ สพซกุ ซอ่ นบอ้ งกญั ชา หรอื ซกุ ซอ่ นบหุ รี่ ท่มี มี วนบุหรร่ี ูปทรงผดิ แปลกจากปกติ เชน่ มวนหนาขนึ้ กระดาษมสี ีน้ำ� ตาลเกอื บขาว กระดาษมวนยบั (ไมเ่ รยี บ) ปลายมวนบหุ รที่ ง้ั สองขา้ งจะถกู พบั ไว้ ไสใ้ นมวลบหุ ร่ี จะมสี เี ขยี วกวา่ ปกติ เปน็ ตน้ ในกรณีท่เี ห็นผู้สูบบหุ รีท่ ย่ี ัดไส้กญั ชา จะได้กลน่ิ เหมน็ เหมือนหญ้าหรอื เชอื กไหม้ไฟ
196 การสงั เกตอาการของผูเ้ สพหรอื ตดิ สาระเหย ผเู้ สพตดิ จะมกี ลน่ิ สาระเหยทางลมหายใจ และตามเสอื้ ผา้ มกั งว่ งเหงาหาวนอน ขาดสตสิ มั ปชญั ญะ มีอาการเหมือนคนเมาเหลา้ พูดจาอ้อแอ้ เดนิ โซเซ นำ้� มูกไหล มกั มแี ผลในปาก ในทสี่ ว่ นตวั อาจพบภาชนะ หรือวัสดุใส่สารระเหยซุกซ่อนไว้ หากพบขณะ ก�ำลังเสพอาจเห็นที่น้ิวมือมีผ้าสาลีซึ่งชุบสารระเหย พันอยู่และผู้เสพยกนว้ิ นนั้ ข้ึนสดู ดมอยู่ตลอดเวลา หรอื อาจพบวา่ ก�ำลังดมถงุ พลาสตกิ ทใี่ ส่สารระเหย สภาพปัญหาและผลกระทบของปญั หายาเสพติดทม่ี ีตอ่ ความมน่ั คงของประเทศ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาส�ำคัญของประเทศที่ยังคงมีความรุนแรงในปัจจุบัน ท้ังปัญหา ในด้านการเป็นพื้นที่ผลิต การเป็นพ้ืนที่การค้าและการล�ำเลียงหรือการเป็นทางผ่านของยาเสพติด และปญั หาดา้ นการเปน็ พน้ื ทแี่ พรร่ ะบาดของยาเสพตดิ เหน็ ไดจ้ ากปญั หาการลกั ลอบขนยา้ ยยาเสพตดิ ตามแนวชายแดน อาชญากรรมตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั และครอบครวั แตกแยก เยาวชนซงึ่ เปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ของชาตติ อ้ งตกเปน็ ทาสของยาเสพตดิ และนำ� ไปสปู่ ญั หาพฤตกิ รรมเบย่ี งเบน และการกระท�ำความผิดอื่นตามมาอีกมากมาย ท้องถ่ิน/ชุมชนมีความอ่อนแอ ครู อาจารย์ แม่บ้าน และเจา้ หน้าทขี่ องรฐั ได้เข้าไปมีสว่ นในขบวนการคา้ ยาเสพตดิ ซ่งึ สภาพปญั หายาเสพตดิ ทมี่ ใี นประเทศ ท่ีกล่าวมา ส่งผลกระทบต่อปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และความม่ันคงของชาติซ่ึงผลกระทบของปัญหา ยาเสพตดิ ในประเทศได้แก่ ผลกระทบดา้ นเศรษฐกจิ ผลกระทบด้านสงั คม สุขภาพอนามัยและผลกระทบ ดา้ นความมัน่ คง การด�ำเนินการป้องกันและแกไ้ ขปัญหายาเสพติด จากสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในประเทศท่ีทวีความรุนแรงมากข้ึนในปัจจุบันท�ำให้มี ความจ�ำเป็นต้องเร่งด�ำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยต้องให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และความตระหนกั ในโทษภยั ของยาเสพตดิ แกป่ ระชาชน ทงั้ ในดา้ นประเภท ลกั ษณะสาเหตขุ องการตดิ ยาเสพตดิ นอกจากนกี้ ารใชม้ าตรการทางกฎหมาย ในการควบคมุ และปราบปรามและการใชย้ ทุ ธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกันปัญหายาเสพติด ได้แก่ ร้ัวชายแดน รั้วชุมชน ร้ัวสังคม ร้ัวโรงเรียน และร้ัวครอบครัว ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การด�ำเนินการป้องกันปัญหายาเสพติดของประเทศในทุกระดับ โดยร้ัวชุมชน คอื การควบคมุ การลกั ลอบขนยา้ ยยาเสพตดิ เขา้ มาในประเทศบรเิ วณชายแดน รวั้ ชมุ ชน คอื การสรา้ งชมุ ชน ให้มีความเข้มแข็ง มีกระบวนการด�ำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน ร้ัวสังคม คือ การจดั ระเบียบสงั คมเพื่อใหส้ ามารถควบคุมพน้ื ท่เี ส่ยี งต่าง ๆ ได้ เชน่ สถานบันเทงิ ร้านเกม ฯลฯ รั้วโรงเรียน คือการให้โรงเรียนมีการด�ำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา และเยาวชนซึง่ เป็นกลุ่มเสย่ี ง และรวั้ ครอบครวั คอื การสร้างครอบครวั อบอนุ่ และเข้มแข็ง
197 ๑. รู้ เข้าใจ โทษภยั ยาเสพตดิ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ก�ำหนดให้ “ยาเสพติดให้โทษ” หมายถึง “ยาหรือสารเคมี หรือวัตถุชนิดใด ๆ หรือ พืช ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยวิธีกิน ดม สบู หรอื ฉีดแล้ว จะท�ำให้เกดิ ผลต่อรา่ งกายและจติ ใจ” ผลท่เี กิดขน้ึ จากการใชส้ ารเสพตดิ มี ๔ ประการ คือ ๑) ต้องเพิ่มปริมาณการเสพเพื่อใหไ้ ด้ ฤทธิ์เท่าเดิม ๒) เมื่อหยุดใช้สารเสพจะท�ำให้เกิดอาการ อยากให้สารเสพติดน้ัน ๓) หากใช้ไปนาน จะตอ้ งการสารเสพตดิ นน้ั มากขนึ้ ทงั้ รา่ งกายและจติ ใจ ๔) ถา้ ใชส้ ารเสพตดิ ไปนาน ๆ จะทำ� ใหเ้ กดิ ผลรา้ ย ตอ่ สขุ ภาพและจิต ยาเสพตดิ สามารถแบ่งไดห้ ลายแบบ ไดแ้ ก่ ๑) ตามกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบัญญัต ิ วัตถุออกฤทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๑๘ และพระราชกำ� หนดสารระเหย พ.ศ. ๒๕๓๓ ๒) ตามการออกฤทธ์ิของสารเสพตดิ แต่ละประเภท ได้แก่ (๑) กล่มุ กดประสาท ได้แก่ - สารระเหย กาว ทนิ เนอร์ แลกเกอร์ นำ�้ มนั เบนซนิ น�้ำมนั ก๊าด โดยระยะแรก จะรู้สึกประปรก้ี ระเปร่า กล้าพดู กลา้ ท�ำ ต่อมาจะมอี าการเมา เดินเซ เพอ้ ประสาทหลอน - โฮโรอีน หรือผงขาว ฝนิ่ มอรฟ์ นี จะมีอาการเคลิบเคล้ิม เมา ประสาทหลอน ลดอาการเจบ็ ปวดได้ทง้ั กายและใจ (๒) กลมุ่ กระตนุ้ ประสาท ไดแ้ ก่ บหุ ร่ี เหลา้ ยาบา้ ยาอี โคเคน กระทอ่ ม ยา Ephedrine โดยอาการของผู้ที่ติดสารเสพติดในกลุ่มน้ีคือ จะมีอาการหงุดหงิด อยู่ไม่เป็นสุข ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย คลุ้ม คลัง่ ตกใจง่าย หวาดระแวง มปี ระสาทหลอน (๓) กลุ่มหลอนประสาท ได้แก่ LSD, DMT, เห็ดขี้ควาย ผู้ติดสารเสพติด กลุ่มนี ้ จะมีอาการประสาทหลอน ฝนั เฟอ่ื ง เหน็ ภาพหลอนท่นี า่ เกลียดน่ากลวั หูแวว่ ควบคมุ ตนเองไมไ่ ด้ (๔) กลุ่มออกฤทธ์ิผสมผสาน ได้แก่ กัญชา โดยอาการในระยะแรก จะร่าเริง หัวเราะง่ายตอ่ มาจะซมึ เหน็ ภาพหลอน หูแว่ว หวาดกลัว แยกตวั จากสังคม เป็นโรคจติ ๓) ตามแหล่งที่มา เชน่ พชื เสพตดิ การสังเคราะห์ทางเคมี เปน็ ต้น สาเหตุของการตดิ สารเสพตดิ ๑) สาเหตุที่เกิดจากตนเอง อยากรู้อยากลอง ต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน ไมม่ ีความร้เู รือ่ งยาเสพตดิ ประสบความลม้ เหลวในชวี ติ การเจบ็ ปว่ ย ๒) สาเหตจุ ากครอบครัว พอ่ แม่ตดิ ยาเสพติด ทะเลาะกนั ครอบครัวแตกแยก ขาดความ สัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ขาดการสื่อสารที่เหมาะสมในครอบครัว พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ไม่มีเวลาให้ลูก รกั ลกู ไม่เทา่ กนั เปรยี บเทยี บลูก ๓) สาเหตุจากส่ิงแวดลอ้ ม มแี หลง่ ผลติ หรอื แหล่งระบาดของยาเสพตดิ อย่ใู กล้ ที่อยู่อาศยั การเลียนแบบทไี่ ม่ดจี ากสื่อ สังคมไม่เปดิ โอกาสให้ผ้ทู ีเ่ คยตดิ ยาเสพตดิ ไดก้ ลับมาใช้ชวี ติ ตามปกติ
198 ๒. คณุ ธรรมน้�ำใจตา้ นภัยยาเสพติด การป้องกนั ไมใ่ ห้คนเข้าไปยุ่งเก่ยี วกับการกระท�ำความชวั่ ทีจ่ ะทำ� ความเดอื ดร้อนให้กบั ผูอ้ ื่น คือ การท�ำให้คนรู้จักคุณค่าของชีวิตของตนเองและคุณค่าของส่ิงที่รอบข้างว่ามีค่ามากและ ไม่ควรท่ีจะท�ำลายตนเอง ท�ำลายผู้อ่ืน ท�ำลายครอบครัว ชุมชน และสิ่งที่อยู่รอบข้างนั่นคือสังคม การสร้างความเข้าใจในลัทธิความเช่ือและศาสนา ธรรมะกับชีวิตประจ�ำวัน และบาปบุญคุณโทษ จะเปน็ ชอ่ งทางทดี่ ชี อ่ งทางหนง่ึ ทจ่ี ะชว่ ยสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ทางดา้ นจติ ใจซง่ึ จะมผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ หก้ ลบั มา มีความคิดท่ีดีและแนวการปฏิบัติท่ีดีตามแนวศาสนาที่นับถือ เพื่อให้มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานของการ เปน็ มนุษย์ท่มี ีสำ� นกึ รับผิดชอบชั่วดี มีสตพิ ิจารณา ย้งั คิด มีจติ ใฝ่ดี มีพลังท่ีเข้มแขง็ โดยมคี วามเชอื่ วา่ จะสามารถปอ้ งกนั ปัญหาได้ผลอีกทางหนงึ่ ๓. การควบคุมและปราบปรามยาเสพติดด้วยมาตรการทางกฎหมาย การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ทสี่ ำ� คญั ประการหนง่ึ คอื การใชก้ ฎหมายในการควบคมุ และปราบปราม ซงึ่ กฎหมายทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับยาเสพติด ได้แก่ ๑) กฎหมายเกยี่ วกับมาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพตดิ ๒) กฎหมายเก่ียวกบั มาตรการในการควบคมุ ยาเสพติด วตั ถอุ อกฤทธ์ติ ่อจิตประสาท สาร ระเหย และเคมีภัณฑท์ ีใ่ ชใ้ นการผลติ ยาเสพติด ๓) กฎหมายวา่ ดว้ ยมาตรการเฉพาะด้าน ๔) ระเบยี บอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ๔. สร้างรั้วชายแดนสกัดกนั้ ยาเสพติด สาเหตุสำ� คัญประการหน่ึงของปัญหายาเสพติดในประเทศคือการลักลอบขนย้ายสิ่งเสพติด เขา้ มาในประเทศตามบริเวณชายแดน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และไดข้ นถา่ ยแพรก่ ระจายไปยงั พนื้ ทต่ี า่ ง ๆ ของประเทศ ทำ� ใหม้ ปี รมิ าณยาเสพตดิ ในประเทศจำ� นวนมาก และเปน็ เหตใุ หก้ ารเขา้ ถงึ ยาเสพตดิ สามารถทำ� ไดโ้ ดยงา่ ยและไมข่ าดแคลน ดงั นนั้ การปอ้ งกนั และแกไ้ ข ปัญหายาเสพติดในประเทศนั้น จ�ำเป็นต้องลดปริมาณอุปสงค์หรือปริมาณยาเสพติดท่ีลักลอบ น�ำเขา้ มาในประเทศให้นอ้ ยลงโดยใช้ยทุ ธการดา้ นการขา่ ว การใชก้ ำ� ลงั ปฏบิ ตั กิ ารสกดั กั้น การลาดตะเวน การตงั้ จดุ ตรวจ/จุดสกัด การปิดล้อมตรวจคน้ และมาตรการอน่ื ๆ เช่น การประชาสมั พันธ์ให้ประชาชน ทราบถงึ ปัญหายาเสพติด และให้ความร่วมมอื สนับสนุนในการสกัดกนั้ ยาเสพติดตามแนวชายแดน ประชาชนสามารถรว่ มเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ในการสกดั กนั้ การขนยา้ ยยาเสพตดิ เขา้ มาในประเทศ ตามแนวชายแดนเพราะเป็นผู้ท่ีอยู่ในพื้นท่ีสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และร่วมเป็นก�ำลังให้ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ซง่ึ อาจมไี มเ่ พยี งพอในการสกดั กนั้ การขนถา่ ยยาเสพตดิ เขา้ มาตามแนวชายแดน ประชาชน ควรได้รบั การอบรมให้มีความรู้ ความสามารถ ดังนี้
199 ๑) ความรู้ ความเขา้ ใจ และความตระหนกั ถงึ สภาพและปญั หายาเสพตดิ ตามแนวชายแดน ท่ีเป็นทต่ี ง้ั ของตน ทัง้ ด้านการขนถ่าย เสน้ ทางล�ำเลยี ง ลกั ษณะสถานทีต่ ัง้ แหลง่ ผลิตและอปุ กรณ์การผลิต กลมุ่ ผคู้ า้ /ผลิต ลกั ษณะและพฤตกิ รรมของผ้ทู ่ีมคี วามเส่ยี งในการกระท�ำความผดิ ๒) ความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการรว่ มดำ� เนินการ การฝึกทกั ษะ วธิ กี ารรว่ มเฝา้ ระวงั การรวบรวมและการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และใหข้ า่ วสารแกเ่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั และการรว่ ม เปน็ กำ� ลงั ในการลาดตระเวนตรวจสอบจะสามารถชว่ ยลดปรมิ าณการนำ� เขา้ ยาเสพตดิ ตามแนวชายแดน เข้ามาในประเทศไดใ้ นทสี่ ดุ ๕. ชมุ ชนเขม้ แขง็ ลดการแพรร่ ะบาดของยาเสพติด สภาพปญั หาการแพรร่ ะบาดของปญั หายาเสพติดทเ่ี กดิ ข้นึ ในประเทศไทยพบวา่ สว่ นใหญม่ ี จดุ เรม่ิ ตน้ ของปญั หาในระดบั หมบู่ า้ นและชมุ ชนตา่ ง ๆ เหน็ ไดจ้ ากการทผี่ คู้ า้ ผขู้ าย และผเู้ สพเปน็ ผทู้ พี่ กั อาศยั อยใู่ นชมุ ชน มแี หลง่ มวั่ สมุ ในพนื้ ท่ี ผนู้ ำ� ชมุ ชน เชน่ พระครู ผใู้ หญบ่ า้ น ประธานชมุ ชน กำ� นนั บางคน เป็นผู้ค้า ผู้ขาย และผู้เสพยาเสพติด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอท่ีเกิดขึ้นในท้องถิ่นชุมชนไทย ทจี่ ำ� เป็นต้องเร่งแกไ้ ข สภาพสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื งทเี่ ปลยี่ นแปลงไปทำ� ใหว้ ถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ทเ่ี รยี บงา่ ยของ คนในท้องถ่ินชุมชนมีความเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกัน สภาพความเป็นอยู่ และค่านิยมอันดีงาม แบบพง่ึ พาอาศยั ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ทำ� กจิ กรรมชมุ ชนรว่ มกนั และความเปน็ ผนู้ ำ� ชมุ ชนทร่ี ว่ มแกป้ ญั หา พัฒนาท้องถิ่น/ชุมชน ให้มีความเจริญก้าวหน้าลดเลือนหายไป กลายเป็นการแก่งแย่งชิงดีให้ได้มา ซงึ่ อำ� นาจเงนิ ทองในสงั คมบรโิ ภคนยิ มไดเ้ ขา้ มาทำ� ใหช้ มุ ชนไทยมคี วามออ่ นแอลงเปน็ ลำ� ดบั และเปน็ เหตุ ให้ยาเสพติดเขา้ มาเปน็ ตวั บ่อนท�ำลายชมุ ชนและสังคมประเทศได้ในทีส่ ุด ดังนั้น การสร้างความเขม้ แข็ง ในชมุ ชนในการรว่ มดำ� เนนิ การตอ่ ตา้ น ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ จงึ เปน็ สงิ่ สำ� คญั เพราะเปน็ การ ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาทีต่ ้นตอสาเหตุ ดงั นั้น ผูน้ ำ� องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น/ผู้นำ� ท้องท/่ี ผ้นู ำ� ชุมชนควรไดร้ บั การพัฒนา ดงั นี้ ๑) การพัฒน�ำภาวะผู้น�ำ ให้เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการมองปัญหา สาเหตุและความเสี่ยง ของยาเสพติดในพืน้ ทอี่ ย่างเปน็ องค์รวม ๒) ก�ำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่น/ชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เช่นการฝึกอาชีพ การเสริมรายได้ให้คนในชุมชน
200 ๓) การจัดท�ำแผนชุมชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพ้ืนท่ี โดยสามารถ วางแผนปฏิบัติงานและการพัฒนาคนในท้องถ่ินชุมชนให้สามารถร่วมกันด�ำเนินการป้องกัน และแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ ในพ้ืนทไ่ี ด้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล ทั้งในดา้ นของการให้ความรู้ สร้างความตระหนัก ร่วมเฝ้าระวังปัญหา การคัดกรองผู้ป่วยที่ติดสารเสพติดเพ่ือรับการบ�ำบัดรักษา ในสถานบ�ำบดั และการบำ� บัด ฟนื้ ฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยโดยกระบวนการชมุ ชน รวมทง้ั การเฝา้ ระวัง ปอ้ งกนั มิใหก้ ารกลับมาติดซำ้� ของผปู้ ว่ ย ๔) การจัดต้ังศูนย์อ�ำนวยการต่อสู้เพ่ือเอาชนะยาเสพติด ระดับหมู่บ้าน/ชุมชน เพอ่ื ใหท้ อ้ งถนิ่ /พน้ื ท่ี เขา้ มสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาและการตงั้ ศนู ยใ์ หค้ ำ� ปรกึ ษาดา้ นปญั หา ยาเสพติดแกค่ นในชมุ ชน ๕) การจดั ตง้ั ศนู ยก์ ารเรยี นรดู้ า้ นยาเสพตดิ ในชมุ ชนทรี่ วบรวม จดั เกบ็ และเผยแพรซ่ ง่ึ เปน็ การ จัดการความรูข้ องชุมชนดา้ นยาเสพติดที่สามารถเป็นช่องทางในการแลกเปลยี่ นความรไู้ ด้ ๖. จัดระเบียบสงั คม ลดพนื้ ทีข่ องยาเสพตดิ ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ประการหนงึ่ ของการแพรร่ ะบาดของยาเสพตดิ ในประเทศคอื การมพี นื้ ทเี่ สยี่ ง ในสังคมมากข้ึน ซึ่งมีผลต่อการเพ่ิมขึ้นของผู้เสพรายใหม่ ซ่ึงพ้ืนท่ีเสี่ยงเหล่าน้ีเป็นพื้นท่ีท่ีสามารถ เขา้ ถึงสารเสพติดได้โดยงา่ ย และเปน็ ที่รวมตวั ของกลุ่มเส่ียงตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งเยาวชนอายรุ ะหว่าง ๑๓ - ๒๔ ปี ซง่ึ เปน็ กลมุ่ เสยี่ งตอ่ การตดิ สารเสพตดิ มากทสี่ ดุ เพราะอยใู่ นชว่ งวยั ของการอยากรอู้ ยากเหน็ การชอบแลกเปล่ียนประสบการณ์และรู้จักคนท่ีแปลกใหม่ นอกจากน้ีการที่เทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่อื สารได้เข้ามามีบทบาทต่อการด�ำเนนิ ชวี ติ ของคนในยคุ ปัจจบุ ันมากขึ้นท�ำให้เปน็ ช่องทางของการ ล่อลวงกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมากขึ้นด้วยเช่นกัน และด้วยความเจริญทางวัตถ ุ และเทคโนโลยที ม่ี มี ากขนึ้ และขยายวงกวา้ งออกไปในพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ อยา่ งรวดเรว็ ทำ� ใหพ้ น้ื ทเี่ สยี่ งเหลา่ น ้ี นับวันที่เพิ่มมากขึ้นท้ังพ้ืนท่ีเสี่ยงท่ีมีขอบเขตชัดเจน เช่น แหล่งสถานบันเทิง ร้านค้าอินเตอร์เน็ต ทแ่ี ผข่ ยายเขา้ ไปในพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ซง่ึ ไดก้ ลายเปน็ แหลง่ มวั่ สมุ และสมุ่ เสย่ี งตอ่ การมสี ารเสพตดิ ไวใ้ นครอบครอง และพ้ืนทเี่ ส่ียงทีม่ ีขอบเขตไมช่ ัดเจนคือโลกไซเบอร์ ซ่งึ เปน็ ช่องทางการตดิ ต่อสือ่ สาร ล่อลวงและซื้อขาย ยาเสพติดดว้ ยเชน่ กัน ๗. โรงเรียนสีขาวเยาวชนสดใส การศึกษาเปน็ เครอ่ื งมอื ส�ำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน ท้ังในด้านการให้ความรู้ ความบ่มเพาะค่านิยมและวิถีชีวิตอันดีงาม ดังน้ัน สถาบันการศึกษาซ่ึงเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ควรติดอาวุธทางปัญญาให้แก่เยาวชนของชาติให้สามารถด�ำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเยาวชนได้กลายเป็นกลุ่มเส่ียงสูงสุดต่อปัญหายาเสพติด และยังพบว่ายาเสพติดได้แพร่ระบาด
201 เข้าไปในสถานศึกษาทุกระดับ โดยพบว่าสถานศึกษาบางแห่งกลายเป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติด ท่ีมีท้ังผู้ค้า ผูข้ าย และผู้เสพ ซึง่ แทจ้ รงิ แลว้ โรงเรียนควรเป็นสถานทท่ี ม่ี อบความปลอดภยั ให้กบั เด็กทั้งด้านร่างกาย และจติ ใจ รวมท้งั การสรา้ งภมู คิ ุม้ กันให้เยาวชนไทยสามารถห่างไกลยาเสพติด ๘. ครอบครวั อุน่ รัก ขจดั สน้ิ ยาเสพตดิ สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันหลักพื้นฐานทางสังคมท่ีมีความส�ำคัญต่อการป้องกัน และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ของประเทศ เพราะเปน็ สถาบนั ทก่ี ำ� หนดบทบาทหนา้ ทข่ี องสมาชกิ ในครอบครวั เป็นสถาบันแรกท่ีท�ำหน้าที่ดูแล ปลูกฝัง บ่มเพาะสมาชิกในครอบครัวให้มีค่านิยม และทัศนคติที่ดี ตอ่ การดำ� เนนิ ชวี ติ หากครอบครวั มคี วามอบอนุ่ และแตล่ ะบคุ คลปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องตนเองอยา่ งรบั ผดิ ชอบ และดตี อ่ กนั จะสามารถเป็นภมู คิ ุ้มกันใหส้ มาชกิ ในครอบครัวหา่ งไกลอบายมุขและยาเสพตดิ ต่าง ๆ ได้ อยา่ งไรกต็ ามปจั จบุ นั สภาพสงั คมไทยมีความเปลีย่ นแปลงไปท้ังในด้านเศรษฐกิจและสงั คม ส่งผลกระทบต่อสภาพและลักษณะความเป็นอยู่ของสถาบันครอบครัว โดยในปัจจุบันพบว่าเมื่อสังคม มีความเจริญทางวัตถุและการแข่งขันทางเศรษฐกิจมีมากข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง ลกั ษณะครอบครวั จากเดิมท่มี คี รอบครัวขยาย ปู่ ย่า ตา ยาย พ่ี นอ้ ง อยู่รวมกนั ดแู ลและพึง่ พาอาศัย กันอย่างอบอุ่น ได้กลายเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยว ท�ำให้การใช้เวลาร่วมกันของครอบครัวและ ความอบอนุ่ ในครอบครวั ลดนอ้ ยลง อกี ทงั้ สถานการณท์ างเศรษฐกจิ ทตี่ กตำ�่ ประชาชนขาดอาชพี ในการ หารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ท�ำให้เกิดภาวะความตึงเครียดและน�ำมาซ่ึงความรุนแรงในครอบครัว ไมว่ า่ จะด้วยวาจา ด้วยอารมณ์ หรอื ด้วยกำ� ลงั ซงึ่ พบว่ามสี ูงขน้ึ และกลายเปน็ ต้นตอของปญั หายาเสพติด ท้ังในฐานะผู้เสพ ผู้ค้า/ผู้ขาย โดยมีกลุ่มเส่ียงท่ีส�ำคัญคือกลุ่มเยาวชนท่ีต้องตกเป็นเหย่ือของยาเสพติด และอยู่ในภาวะครอบครัวแตกแยกเม่ือบดิ า/มารดา ถกู ดำ� เนินคดียาเสพติด การปอ้ งกนั ปัญหายาเสพติดมใิ ห้เกดิ ขึ้น โดยครอบครัวนั้นตอ้ งเรม่ิ ท่ี ๑) การพัฒนาสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวให้รู้บทบาทหน้าท่ีของตนเอง มีศีลธรรม และมคี วามรับผดิ ชอบต่อกัน ๒) การสรา้ งคา่ นยิ มและวถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ แบบพอเพยี ง การดแู ลเอาใจใส่ สรา้ งสมั พนั ธภาพ ทด่ี ีบนพื้นฐานของความเข้าใจกัน ๓) การใหเ้ วลา สอ่ื สาร เอาใจใสด่ แู ลและอบรมบตุ รหลานใหม้ คี วามประพฤตทิ ดี่ ี รจู้ กั โทษภยั ของยาเสพติด และความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สถานท่ี แหล่งบันเทิง กิจกรรม พฤติกรรมของกลุ่มคน ทอ่ี าจน�ำมาซ่งึ ปญั หายาเสพติดในเยาวชน ๔) การสอดสอ่ งพฤตกิ รรมของบตุ รหลานอยา่ งมเี ทคนคิ วธิ บี นพนื้ ฐานความเขา้ ใจในพฒั นาการ และจติ วทิ ยาของเด็กและวยั ร่นุ
202 นอกจากการดูแลป้องกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว การแก้ไข ปญั หายาเสพติดยงั เป็นสิง่ จำ� เป็น โดยหากพบวา่ สมาชิกในครอบครวั มปี ัญหาติดสารเสพตดิ ครอบครัวมี บทบาทสำ� คญั ในการดแู ล บำ� บัด ซ่ึงส่ิงทค่ี รอบครวั ควรดำ� เนินการ ได้แก่ ๑) การยอมรบั และเผชญิ กบั ปัญหา ๒) การสรา้ งความเข้าใจและขอ้ ตกลงร่วมกนั ๓) การอดทนและปรับตวั ตอ่ วถิ กี ารดำ� เนนิ ชีวิตท่ีเปลยี่ นแปลงไป ๔) การสรา้ งสมั พนั ธภาพที่ดีใหเ้ กิดมขี ึน้ ระหวา่ งกัน การสร้างความเขา้ ใจ ๕) การให้โอกาสผู้ติดยาเสพติดในการกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติ และการดูแลสอดส่อง ไมใ่ ห้กลบั ไปตดิ ซ�้ำอกี นอกจากการสร้างความเขม้ แขง็ ให้แตล่ ะครอบครัวแล้ว รฐั บาลได้เล็งเห็นความส�ำคัญของ การสร้างให้เกิดกลไกเครือข่ายการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของสถาบันครอบครัวในการป้องกันและแก้ไข ปญั หายาเสพติด โดยมุ่งเน้นทีก่ ารสรา้ งความเขม้ แข็งให้กับครอบครัวไดแ้ กก่ ารสร้างอาชีพ การส่งเสรมิ ให้มีศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนหรืออาสาสมัครในชุมชนให้สามารถดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การสง่ เสรมิ กจิ กรรมครอบครวั สมั พนั ธ์ และการเฝา้ ระวงั ครองครวั ทเ่ี ปน็ กลมุ่ เสย่ี ง เชน่ ครอบครวั ทมี่ ปี ญั หา ในพนื้ ท/่ี ชมุ ชน ๙ . การบ�ำบัดฟ้นื ฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพตดิ การบำ� บดั ฟน้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ สถานบำ� บดั รกั ษา วธิ กี ารบำ� บดั รกั ษา คา่ ใชจ้ า่ ย ในการบำ� บดั ฟ้ืนฟู การบ�ำบดั ฟนื้ ฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติด มีระบบการดำ� เนนิ การ ๓ ระบบ ไดแ้ ก่ ๑) ระบบสมัครใจ หมายถึง การท่ีผู้ติดยาเสพติดสมัครใจยินดีเข้ารับการบ�ำบัดรักษา ในสถานบำ� บดั หรอื สถานทพ่ี ยาบาลตา่ ง ๆ ซง่ึ ดำ� เนนิ การรกั ษา ทง้ั ระบบแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั และแผนโบราณ ๒) ระบบตอ้ งโทษเปน็ การใหก้ ารบำ� บดั รกั ษาผตู้ ดิ ยาเสพตดิ ภายใตข้ อบเขตขอ้ บงั คบั ของกฎหมาย โดยผู้ติดยาเสพติดท่ีได้กระท�ำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด หรือกระท�ำความผิดคดีอาญาต่าง ๆ และถูกคมุ ขังตอ้ งไดร้ บั การรกั ษาพยาบาล หนว่ ยทีร่ บั ผิดชอบได้แก่ กรมราชทณั ฑ์ กระทรวงยุตธิ รรม, สถานพนิ ิจและคุม้ ครองเดก็ และเยาวชน, กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ๓) ระบบบังคับ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มสี าระสำ� คญั วา่ เจา้ พนกั งานจบั กมุ ผตู้ อ้ งหาฐานเสพ/หรอื มไี วใ้ นครอบครองซงึ่ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เฮโรอนี , ยาบ้า) ยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๒ (ฝิน่ , มอรฟ์ ีน) และยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (กญั ชา) และไมป่ รากฏวา่ ตอ้ งหา หรอื อยใู่ นระหวา่ งถกู ดำ� เนนิ คดใี นฐานความผดิ อน่ื ดว้ ย ซง่ึ เปน็ ความผดิ ทมี่ โี ทษ จ�ำคุกหรือต้องค�ำพิพากษาให้จ�ำคุก จะถูกส่งตัวให้ศาลเพื่อให้ศาลมีค�ำสั่งว่าเป็นผู้ติดยาเสพติดหรือไม่ หากผตู้ อ้ งหาติดยาเสพตดิ จริง ก็จะส่งตัวเข้ารบั การรักษาในศนู ย์ฟนื้ ฟูสมรรถภาพผตู้ ิด
203 การมีส่วนรว่ มของสังคมในการป้องกันและแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ปญั หายาเสพตดิ เปน็ ปญั หาสำ� คญั ของประเทศทต่ี อ้ งไดร้ บั การปอ้ งกนั และแกไ้ ขโดยเรง่ ดว่ น การด�ำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศที่ผ่านมามีหน่วยงานภาครัฐเป็น ผู้ด�ำเนินการหลักโดยได้ออกมาตรการการด�ำเนินการต่าง ๆ แต่ความส�ำเร็จของการด�ำเนินการจะเกิด ข้ึนได้จ�ำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ท่ีเก่ียวข้องท้ังประชาชนแต่ละบุคคล หนว่ ยงานภาครฐั เอกชนและประชาชน โดยปจั จบุ นั มแี หลง่ เรยี นรทู้ ส่ี ามารถเขา้ ถงึ ไดโ้ ดยงา่ ยทงั้ เอกสาร คู่มือ ต�ำรา และเว็บไซต์ต่าง ๆ ปัญหายาเสพติดท่ีแพร่ระบาดในประเทศเป็นส่ิงท่ีประชาชนทุกคน และสังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมกันป้องกันและแก้ไขเพราะเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อทุกคนในชาติ และความส�ำเร็จในการขจัดสิ้นซ่ึงปัญหายาเสพติดน้ันจ�ำเป็นต้องอาศัยพลังประชาชนในการร่วม ด�ำเนนิ การ ประชาชนทุกคนมีบทบาทหน้าท่ีท่ีต้องรับผิดชอบในสังคมท้ังในฐานะประชาชนของชาติ สมาชิกของชมุ ชน ครอบครวั ทที่ ำ� งาน โรงเรยี น และอนื่ ๆ การปฏบิ ตั ติ ามบทบาทหนา้ ทข่ี องตนเอง เป็นสิ่งส�ำคัญที่ต้องยึดถือปฏิบัติเพราะมิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบอ่ืนในสังคมโดยรวม เสมือนหน่ึงร่างกายท่ีอวัยวะแต่ละส่วนมีหน้าที่ของตนเองหากส่วนใดไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพแลว้ ยอ่ มสง่ ผลตอ่ การทำ� งานของอวยั สว่ นอน่ื และนำ� มาซง่ึ ความบกพรอ่ งของรา่ งกาย ในที่สดุ ปญั หายาเสพตดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในประเทศมสี าเหตสุ ำ� คญั มาจากการทแ่ี ตล่ ะบคุ คลละเลยบทบาท หนา้ ทข่ี องตนเอง เชน่ พอ่ แม่ ไมด่ แู ล เอาใจใสบ่ ตุ รหลาน ครู ไมเ่ ปน็ ปชู นยี บคุ คลในการเปน็ แบบอยา่ ง อบรมสั่งสอนค่านิยมอันดีงานและให้ความรู้แก่ผู้เรียน ผู้น�ำชุมชนไม่ดูแล พัฒนาแก้ไขปัญหาของคน ในพน้ื ที่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั เพกิ เฉยไมป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ทท่ี รี่ บั ผดิ ชอบโดยสจุ รติ เปน็ ตน้ ทำ� ใหค้ รอบครวั ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาตอิ อ่ นแอและตกเปน็ ทาสของยาเสพตดิ ดงั นนั้ การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ใน ประเทศท่สี �ำคญั คือการท�ำให้ประชาชนเขา้ ใจบทบาทหนา้ ทข่ี องตนเองทม่ี ีในระดบั ตา่ ง ๆ ปฏิบตั หิ น้าท่ี ของตนเองไม่ใหบ้ กพร่อง และต้องมีความรบั ผิดชอบตอ่ ผู้อ่นื และสังคมด้วยเช่นกนั การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้นต้องเร่ิมจากการ ปอ้ งกนั ปญั หายาเสพตดิ ในระดบั ตนเองกอ่ น โดยการตระหนกั รใู้ นโทษภยั ของยาเสพตดิ รเู้ ทา่ ทนั ปญั หา และความเส่ียงทอี่ าจเกดิ ขึน้ รวู้ ิธีการหลีกเลี่ยงไมเ่ ข้าใกล้ยาเสพติด นอกจากการดแู ลปอ้ งกนั ตนเองแลว้ ประชาชนยงั สามารถมสี ว่ นรว่ มในการดแู ลบคุ คลรอบขา้ ง ทตี่ นเองต้องมคี วามรบั ผิดชอบดูแล เช่น บุตรหลาน นกั เรยี น คนในชมุ ชน ซึ่งสามารถดำ� เนินการไดโ้ ดย ๑. การด�ำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณีและค่านิยมอันดีงามของการอยู่ร่วมกันแบบพ่ึงพา อาศัยกนั ในชุมชน การให้ความช่วยเหลือเก้อื กลู ซึง่ กันและกัน และใช้ชีวิตแบบพอเพยี ง ๒. ให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักในปัญหายาเสพติดแก่บุคคลใกล้ชิด รอบขา้ ง เชน่ บุตรหลาน ญาติ มติ รสหาย
204 ๓. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และสร้างความตระหนักในวงกว้าง เช่น การสื่อสาร ประชาสมั พนั ธผ์ า่ นสอ่ื ทอ้ งถนิ่ ชมุ ชน หรอื สอ่ื รปู แบบตา่ ง ๆ การเดนิ รณรงคแ์ จกแผน่ พบั ใบปลวิ การรว่ มเปน็ อาสาสมคั รในการทำ� กิจกรรมของทอ้ งถนิ่ ชุมชนดา้ นยาเสพติด เปน็ ตน้ ๔. เข้าร่วม/จัดกิจกรรมท่ีสร้างเสริมการเรียนรู้ด้านยาเสพติดในชุมชน เช่น จัดกิจกรรม ค่ายผู้น�ำเยาวชน ค่ายจริยธรรม ค่ายผู้น�ำชุมชน กิจกรรมสานรัก กิจกรรมครอบครัวอบอุ่น กิจกรรม อาสาสมคั รพฒั นาชมุ ชนเฝา้ ระวงั ปญั หายาเสพตดิ การสรา้ งกระบวนการแลกเปลยี่ นเรยี นรผู้ า่ นเวทชี มุ ชน เป็นต้น ๕. สอดสอ่ งเฝา้ ระวงั ปญั หา สามารถทำ� ไดโ้ ดยการเฝา้ ระวงั โดยทว่ั ไป เชน่ สอดสอ่ งพฤตกิ รรม บุคคล/กลุ่มบุคคลท่ีมีความเสี่ยงหรือการกระท�ำผิดความในพื้นท่ีต่าง ๆ นอกจากน้ีสามารถร่วมเป็น อาสาสมคั รกบั องคก์ รหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทง้ั ในพน้ื ทแ่ี ละนอกพนื้ ทใ่ี นการตรวจสอบเฝา้ ระวงั ปญั หายาเสพตดิ โดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิ์ เสรีภาพของผู้อ่ืน ๖. แจ้งเบาะแสข้อมูลการกระท�ำความผิดต่าง ๆ แก่หน่วยงานองค์กรท่ีรับผิดชอบ โดยควรมีเทคนิคในการจดจ�ำข้อมูลต่าง ๆ ของผู้กระท�ำความผิด เช่น การจดจ�ำลักษณะเด่น เช่น รูปพรรณสัณฐาน เพศ วัย รูปร่าง หน้าตา สีผิว เชื้อชาติ สถานท่ี ยานพาหนะ หรือต�ำหนิต่าง ๆ ท่ีสามารถจดจ�ำได้ง่าย ๗. การให้ค�ำปรึกษาผตู้ ดิ สารเสพตดิ โดยทัง้ น้ีตอ้ งมีเทคนคิ วธิ กี ารท่ีเหมาะสม เช่น การใส่ใจ รับฟังปัญหา การส่ือความหมายท่ีเหมาะสมท้ังภาษากายและภาษาพูด การตั้งค�ำถามท่ีเปิดโอกาส ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดอ้ ธบิ ายความ การสงั เกตอารมณค์ วามรสู้ กึ อากปั กริ ยิ าของผปู้ ว่ ย การทบทวนซำ้� เพอื่ ใหผ้ ปู้ ว่ ย เข้าใจวา่ ได้รบั ความสนใจ การสะท้อนความรสู้ กึ ทไี่ ดร้ บั จากคำ� พดู หรอื การแสดงออกของผรู้ บั คำ� ปรกึ ษา การตีความให้ผู้รับค�ำปรึกษาได้เข้าใจปัญหาของตนเองได้ดีข้ึน การให้ข้อมูลและค�ำแนะน�ำโดยเน้น การใหผ้ ู้รบั ค�ำปรึกษาตัดสินใจในทางเลือกดว้ ยตนเอง ๘. ร่วมบ�ำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยและให้โอกาสในการกลับคืนสู่สังคม ปัญหายาเสพติด ท่ีส�ำคัญ ประการหนงึ่ คอื การกลบั ไปตดิ ซ�้ำ เนอื่ งจากสงั คมไมใ่ หโ้ อกาสในการกลับคืนสสู่ ังคม ดงั นน้ั การเยยี วยา ฟืน้ ฟสู มรรถภาพร่างกายตอ้ งท�ำควบคกู่ บั ทางดา้ นจติ ใจ โดยประชาชนทกุ คนตอ้ งให้โอกาส เช่น โอกาส ในการทำ� งาน การศกึ ษาเลา่ เรยี น การเขา้ สงั คม โดยไมพ่ ยายามทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยเหลา่ นม้ี คี วามรสู้ กึ เปน็ ตราบาป หรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของสังคม ทั้งนี้ยังควรต้องมีการเฝ้าระวังปัญหาไม่ให้เกิดซ�้ำอีกแต่ต้องไม่ท�ำ ให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกเป็น ที่เพ่งเล็งหรือไม่ไว้วางใจได้ ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายภาคส่วนท่ีเข้ามาร่วม ดำ� เนนิ การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ทงั้ หนว่ ยงานภาครฐั และองคก์ รเอกชน ซงึ่ สามารถใหข้ อ้ มลู และสนบั สนนุ การดำ� เนินกจิ กรรมท่เี กย่ี วข้องกบั การปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหายาเสพตดิ ภาคประชาชน แนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดในปจั จบุ ัน มาตรการปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดของคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) กำ� หนดใหก้ ารปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพติดเปน็ นโยบายทต่ี ้องดำ� เนินการเรง่ ดว่ น โดยเฉพาะการหยดุ ยง้ั การแพรร่ ะบาดของยาเสพตดิ ในพนื้ ทดี่ ำ� เนนิ การในชมุ ชนเฝา้ ระวงั ๓,๒๕๐ ชมุ ชน ครอบคลุมพ้ืนท่ี ๘๐๔ อำ� เภอทั่วประเทศ โดยก�ำหนดเปน็ มาตราการเรง่ ดว่ น ๖ มาตรการ ประกอบดว้ ย
205 ๑. มาตรการท่ี ๑ การสกดั กน้ั ปราบปรามจบั กมุ และหยดุ ยง้ั การแพรร่ ะบาดของยาเสพตดิ หน่วยงานรับผิดชอบหลักคือ กระทรวงกลาโหมและส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาต ิ ทจ่ี ะตอ้ งรว่ มกนั เพมิ่ ความเขม้ ในการปฏบิ ตั กิ ารสกดั กน้ั ยาเสพตดิ บรเิ วณชายแดนและดา่ นตรวจชายแดน ทว่ั ประเทศ เพม่ิ ด่านตรวจและจุดตรวจ ในเสน้ ทางลำ� เลียงยาเสพตดิ เพิ่มความเขม้ ข้นในการตรวจสอบ รถโดยสาร รถประจ�ำทาง รถขนส่งสนิ ค้าและพสั ดุภัณฑ์ ขยายผลปราบปรามเครือข่ายการคา้ ยาเสพตดิ ทกุ ระดบั ปิดลอ้ ม X-Ray เชิงรุกในชุมชน เฝา้ ระวังท่ีก�ำหนดไว้ และ น�ำขอ้ มลู การร้องเรียนผา่ นสายด่วน ยาเสพติดจากทกุ หนว่ ยงานทุกแหล่งข่าวมาด�ำเนนิ การอย่างเปน็ รปู ธรรม ๒. มาตรการท่ี ๒ การจัดระเบยี บและเฝ้าระวงั สถานบรกิ ารและสถานประกอบการ หน่วยงานรับผิดชอบหลักคือ กระทรวงมหาดไทย ท่ีจะต้องจัดระเบียบสถานบริการ และสถานประกอบการ ท้ังหอพกั อาคารชุด หรอื เกสท์เฮ้าส์ ที่ให้ผูอ้ ื่นเช่า รวมทงั้ สถานทที่ ี่จดั ให้มีการ เลน่ บิลเลียด สนกุ เกอร์ รา้ นเกมส์ ร้านอนิ เตอรเ์ นต็ โรงงานและสถานประกอบกิจการอน่ื ๆ โดยไมใ่ หม้ ี การเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกลักษณะและด�ำเนินการตามกฎหมายต่อเจ้าของและผู้ประกอบการ ทปี่ ลอ่ ยปละละเลยใหม้ กี ารซกุ ซอ่ น จำ� หนา่ ย และเสพยาเสพตดิ ในสถานบรกิ ารและสถานประกอบการ ตา่ ง ๆ ในทกุ พื้นทที่ ั่วประเทศ ๓. มาตรการท่ี ๓ การบำ� บัด ฟน้ื ฟู และสร้างภมู คิ ้มุ กัน หนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบหลกั คอื กระทรวงยตุ ธิ รรมและกระทรวงสาธารณสขุ ทจี่ ะตอ้ งชว่ ยกนั น�ำผ้เู สพเข้ารับการบำ� บดั โดยทันที พรอ้ มทัง้ ตดิ ตามดูแลให้ความช่วยเหลือ ผูผ้ ่านการบ�ำบดั ให้สามารถ กลับมาด�ำรงชีวิตได้ตามปกติ ท้ังในด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพ สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกัน เดก็ และเยาวชนไมใ่ หเ้ ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั ยาเสพตดิ ทง้ั ในและนอกสถานศกึ ษา โดยประสานงานกบั ทกุ องคก์ ร ทเ่ี กย่ี วขอ้ งให้เข้ามามสี ว่ นร่วมใหม้ ากขึน้ ๔. มาตรการที่ ๔ การยดึ และอายดั ทรพั ย์สินของผูเ้ ก่ียวขอ้ งทั้งระบบ หนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบหลกั คอื สำ� นกั งาน ป.ป.ส. ซงึ่ จะตอ้ งขยายผลยดึ และอายดั ทรพั ยส์ นิ ของผู้เก่ียวข้อง ผู้สมคบ ผู้สนับสนุนช่วยเหลือ และเครือข่ายหรือองค์กรการค้ายาเสพติดในทุกคดี พรอ้ มทง้ั ประสานความรว่ มมอื กบั สำ� นกั งาน ปปง. และกรมสรรพากร เพอ่ื ดำ� เนนิ การตามกฎหมายอนื่ ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องกับการฟอกเงนิ โอนเงนิ หรอื นำ� ทรพั ย์สินไปไวใ้ นช่อื ของบคุ คลอน่ื ๕. มาตรการท่ี ๕ การด�ำเนินการกับเจ้าหน้าท่ีของรัฐทเี่ ขา้ ไปเกีย่ วขอ้ งกับยาเสพติด หนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบหลกั คอื สำ� นกั งาน ป.ป.ส. ซง่ึ จะตอ้ งเรง่ ประชาสมั พนั ธ์ ใหป้ ระชาชน แจ้งข้อมูลเบาะแสยาเสพติดและพฤติการณ์ของเจ้าหน้าท่ีรัฐท่ีเกี่ยวข้องกับ ยาเสพติดทางสายด่วน ป.ป.ส. ๑๓๘๖ ตลอด ๒๔ ช่ัวโมง รวมท้ังการส่งจดหมายหรือไปรษณียบัตรมาที่ ตู้ ปณ ๑๒๓ สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ หรือทางเว็บไซต์ของส�ำนักงาน ป.ป.ส. www.oncb.go.th พร้อมท้ังติดตามผลการด�ำเนินการของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ในทุกหน่วยงาน เก่ียวกับการสอดส่อง ดูแลไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดท้ังทางตรงและทางอ้อม หากพบพฤติการณ ์ ดงั กลา่ วจะตอ้ งดำ� เนินการทง้ั ทางวนิ ัยและทางอาญาโดยเดด็ ขาด
206 ๖. มาตรการท่ี ๖ การตดิ ตามประเมินผลและรายงานผลการปฏบิ ตั ิ หนว่ ยงานรบั ผิดชอบหลักคือ สำ� นักงาน ป.ป.ส. ท่ีจะตอ้ งก�ำหนดแนวทางการรายงาน และตดิ ตามผล ผา่ นทางอนิ เตอร์เน็ท เพือ่ ใหท้ ุกหนว่ ยงานรายงานผลการด�ำเนนิ งานในแต่ละมาตรการได้ ในทกุ ๗ วนั จากนน้ั ป.ป.ส. จะตอ้ งรวบรวมผลและรายงานให้ คสช. ทราบทกุ ๑๕ วนั พรอ้ มทง้ั ประชาสมั พนั ธ์ ผลการปฏิบตั งิ านของทุกหนว่ ยใหส้ ื่อมวลชนและประชาชนได้รบั ทราบตอ่ ไป
207 บทที่ ๑๒ การดำ� เนนิ งานตามแนวทางปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง : ทรงเตือนภยั ล่วงหนา้ เศรษฐกจิ พอเพยี งเปน็ หนงึ่ ในแนวพระราชดำ� รพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทไ่ี ด้ พระราชทาน เปน็ ปรชั ญาในการดำ� รงชวี ติ ทย่ี ดึ หลกั ความพอเหมาะพอดี มเี หตมุ ผี ล และความไมป่ ระมาท ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวทรงถือปฏิบัติด้วยพระองค์เอง ท�ำอย่างต่อเนื่องยาวนาน ด�ำรงชีวิตเป็นแบบอย่างได้ อยา่ งสมบรู ณ์ อกี ทง้ั ไดพ้ ระราชทาน พระราชดำ� รใิ หแ้ กค่ นไทยนำ� ไปปฏบิ ตั ติ ง้ั แตป่ ี ๒๕๑๗ ดงั พระบรมราโชวาท ในพธิ ีพระราชทาน ปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวนั พฤหัสบดที ี่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ความตอนหนึง่ วา่ “...การพัฒนาประเทศจำ� เปน็ ต้องท�ำตามลำ� ดับขั้น ตอ้ งสรา้ งพ้นื ฐานคอื ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อนโดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้องตาม หลกั วชิ า เมอื่ ไดพ้ นื้ ฐานมน่ั คงพรอ้ มพอควรและปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ลว้ จงึ คอ่ ยสรา้ งคอ่ ยเสรมิ ความเจรญิ และฐานะ เศรษฐกิจขนั้ ท่สี งู ข้นึ โดยล�ำดบั ต่อไป หากม่งุ แต่จะท่มุ เทสร้างความเจรญิ ยกเศรษฐกจิ ข้นึ ใหร้ วดเร็วแต่ ประการเดียว โดยไม่ใหแ้ ผนปฏิบตั ิการสัมพันธก์ บั สภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย กจ็ ะเกดิ ความไม่สมดุลในเร่ืองตา่ ง ๆ ขน้ึ ซึง่ อาจกลายเป็นความยุ่งยาก ลม้ เหลวไดใ้ นทส่ี ดุ ดังเหน็ ได้ที่อารยประเทศหลายประเทศก�ำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรนุ แรง อยใู่ นเวลาน้ี...” และเมอ่ื คราวเกดิ วกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ ปี ๒๕๔๐ ไดเ้ หน็ ประโยชนอ์ ยา่ งชดั เจนขน้ึ เมอ่ื วกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ ของสังคมไทยท่ีสะสมต่อเน่ืองหลายปี ความฟุ้งเฟ้อจากภาวะเศรษฐกิจต้ังแต่ปี ๒๕๓๐ เป็นต้นมา ทำ� ให้สังคมไทยขาดจิตส�ำนกึ ของความพอดีและพอเพยี ง มีการจับจา่ ยใช้สอยอยา่ งฟมุ่ เฟอื ยทัง้ ในภาครัฐ เอกชน และประชาชน การดำ� เนนิ งานดา้ นตา่ ง ๆ ตงั้ อยบู่ นพนื้ ฐานของความไมร่ ะมดั ระวงั ขาดความประหยดั และขาดสตทิ จี่ ะปฏิบัติงาน และดำ� เนนิ ชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือเป็นแนวทางการแก้ไข ใหร้ อดพน้ และสามารถดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงและยงั่ ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั น์ รวมทง้ั ความเปลยี่ นแปลง ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดขึ้นอย่างตอ่ เนอ่ื ง ทรงเหน็ ความส�ำคัญของความ “พออยู่พอกนิ ” ซง่ึ มีผลตอ่ ราษฎรและ ประเทศชาติ ทสี่ ำ� คญั คอื เปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี หค้ นไทย ดำ� เนนิ ชวี ติ บนทางสายกลาง มคี วามขยนั หมน่ั เพยี ร ในการประกอบสัมมาชีพ รู้จักใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รู้จักประมาณตน และด�ำรง ชวี ติ อย่างรจู้ กั “คิด อยู่ ใช้ กิน อย่างพอเพียง”
208 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระราชด�ำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงประมวล และกล่นั กรองจากพระราชดำ� รทิ พี่ ระราชทานในโอกาสต่าง ๆ รวมท้ัง พระราชดำ� รสั อน่ื ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ ง โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้น�ำไปเผยแพร่ เม่ือวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เพ่ือเป็นแนวทางการปฏิบัตขิ องทุกฝา่ ยและประชาชนโดยท่ัวไป ดงั นี้ “...เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการด�ำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชน ในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ด�ำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน ์ ความพอเพยี ง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล รวมถงึ ความจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งมรี ะบบภมู คิ มุ้ กนั ในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ท้ังน้ีจะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการน�ำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการด�ำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจ ของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั นกั ทฤษฎแี ละนกั ธรุ กจิ ในทกุ ระดบั ใหม้ จี ติ สำ� นกึ ในคณุ ธรรม ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ และใหม้ คี วามรอบรทู้ เ่ี หมาะสม ดำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยความอดทน ความเพยี ร มสี ตปิ ญั ญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดลุ และพรอ้ มต่อการรองรบั การเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเรว็ และกว้างขวาง ทง้ั ดา้ นวตั ถุสังคม ส่งิ แวดล้อมและวฒั นธรรมจากโลกภายนอกได้เปน็ อย่างดี...” แนวพระราชดำ� ริ “...คนอนื่ จะวา่ อยา่ งไรกช็ ่างเขา จะวา่ เมืองไทยลา้ สมัย ว่าเมืองไทยเชย วา่ เมืองไทยไมม่ สี ิง่ ที่ สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และท�ำงานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธานในทางน้ีที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรือง อย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอ่ืน ๆ ถา้ เรารักษาความพออยู่พอกินน้ไี ด้ เรากจ็ ะยอดย่งิ ยวดได้...” พระราชดำ� รสั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว เนอื่ งในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย สวนจติ รลดา พระราชวังดสุ ติ วนั ที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๑๗
209 “...ภาวะทางเศรษฐกจิ และสังคมในหลายประเทศเปลยี่ นแปลงไป กลา่ วคือการทมุ่ เทสรา้ ง เครื่องจักรกลอนั ก้าวหน้า และมีประสิทธภิ าพสูงขนึ้ ใช้ในการผลิต ทำ� ใหผ้ ลผลิตทางอตุ สาหกรรมเพิ่มข้ึน รวดเร็วและมากมาย จนอาจถึงข้ันฟุ่มเฟือย พร้อมกันนั้นก็ท�ำให้คนว่างงานลงเพราะถูกเคร่ืองจักรกล แย่งไปท�ำ เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากตกต�่ำทางเศรษฐกิจขึ้นเพราะคนท่ีว่างงานยากจนลงและผู้ผลิต ก็ขาดทุน เพราะสินค้าขายไม่ออกจึงน่าจะต้องดัดแปลงแนวคิดแนวปฏิบัติในการส่งเสริมความเจริญ ดา้ นอตุ สาหกรรมไปบ้างให้สมดลุ กับด้านอน่ื ๆ เพือ่ ความอยู่รอด...” พระบรมราโชวาทพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั พระราชทานแกผ่ ้สู �ำเรจ็ การศกึ ษาจากสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้า วนั ท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๘ “...ตามปกตคิ นเราชอบดสู ถานการณ์ในทางดี ทเี่ ขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นวา่ ประเทศไทย เรานีก่ ้าวหน�้ำดี การเงนิ การอุตสาหกรรม การค้าดีมกี �ำไร อกี ทางหนึ่งก็ตอ้ งบอกวา่ เรากำ� ลังเส่อื มลงไป สว่ นใหญท่ ฤษฎวี า่ ถา้ มเี งนิ เทา่ นนั้ ๆ มกี ารกเู้ ทา่ นน้ั ๆ หมายความวา่ เศรษฐกจิ กา้ วหนา้ แลว้ ก ็ ประเทศกเ็ จรญิ มีหวังว่าจะเป็นมหาอ�ำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวัง ในความตอ้ งการพน้ื ฐานของประชาชนนนั้ ไม่มที าง...” พระราชดำ� รสั เนอื่ งในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั ท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ “...การจะเปน็ เสอื นนั้ ไมส่ ำ� คญั สำ� คญั อยทู่ เ่ี รามเี ศรษฐกจิ แบบพอมพี อกนิ แบบพอมพี อกนิ นน้ั หมายความวา่ อุม้ ชูตัวเองได้ ใหม้ ีพอเพียงกบั ตวั เอง... ...ความพอเพยี งน้ี ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ทกุ ครอบครวั จะตอ้ งผลติ อาหารของตวั จะตอ้ งทอผา้ ใสเ่ อง อย่างน้ันมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอ�ำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่าง ที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในท่ีไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริงอาจจะล้าสมัย คนอ่ืนเขาต้องมีการเศรษฐกิจ ท่ตี ้องมกี ารแลกเปลี่ยนเรียกว่า เปน็ เศรษฐกิจการคา้ ไมใ่ ช่เศรษฐกิจความพอเพยี ง เลยรูส้ กึ ว่าไม่หรูหรา แตเ่ มอื งไทยเปน็ ประเทศทมี่ บี ญุ อยูว่ า่ ผลิตใหพ้ อเพยี งได้... ...ถ้าสามารถท่จี ะเปล่ยี นไป ทำ� ใหก้ ลบั เป็นเศรษฐกจิ แบบพอเพียงไมต่ อ้ งทัง้ หมดแมแ้ ตค่ รึ่ง ก็ไม่ตอ้ ง อาจจะสักเศษหนึง่ สว่ นสี่ กจ็ ะสามารถอยูไ่ ด้ การแกไ้ ขอาจจะต้อง ใชเ้ วลา ไมใ่ ช่ง่าย ๆ โดยมาก คนกใ็ จร้อนเพราะเดือดร้อน แต่ถา้ ท�ำตงั้ แต่เด๋ยี วนีก้ ส็ ามารถ ทจี่ ะแก้ไขได.้ ..” พระราชด�ำรสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว พระราชทานเนื่องในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสติ วันท่ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๔๐
210 “...ค�ำว่าพอเพียง มีความหมายอีกอย่างหน่ึง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึง การมพี อสำ� หรบั ใชข้ องเทา่ นน้ั แตม่ คี วามหมายวา่ พอมพี อกนิ ...พอมี พอกนิ นก้ี แ็ ปลวา่ เศรษฐกจิ พอเพยี ง นนั่ เอง...” “...พอเพยี งนี้ก็หมายความว่า มกี นิ มีอยู่ ไม่ฟุม่ เฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แตว่ า่ พอแมบ้ างอยา่ ง อาจจะดูฟมุ่ เฟอื ย แตถ่ ้าทำ� ให้มคี วามสขุ ถา้ ท�ำไดก้ ็สมควรทีจ่ ะท�ำ สมควรทีจ่ ะปฏบิ ัติ...” “...Self-Sufficiency น้ัน หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอท่ีจะใช้ไม่ต้องไปขอซ้ือ คนอ่ืน อยู่ได้ดว้ ยตนเอง...” “...คนเราถา้ พอในความตอ้ งการ กม็ คี วามโลภนอ้ ย เมอ่ื มคี วามโลภนอ้ ยกเ็ บยี ดเบยี นคนอนื่ นอ้ ย ถา้ ทกุ ประเทศมคี วามคดิ อนั นไ้ี มใ่ ชเ่ ศรษฐกจิ มคี วามคดิ วา่ ทำ� อะไรตอ้ งพอเพยี ง หมายความวา่ พอประมาณ ไมส่ ดุ โตง่ ไมโ่ ลภอย่างมาก คนเราก็อยู่ เป็นสุข...” พระราชดำ� รสั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว พระราชทานเนอื่ งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจติ รลดา พระราชวังดุสติ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินน้ี ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้ ย่ิงถ้าท้ังประเทศพอมีพอกินก็ย่ิงด ี และประเทศไทยเวลานน้ั ก็เร่ิมจะเป็นไมพ่ อมีพอกนิ บางคนกม็ มี าก บางคนกไ็ ม่มเี ลย...” พระราชดำ� รัสพระราชทานแกค่ ณะบุคคลต่าง ๆ ท่เี ขา้ เฝ้าฯ ถวายชยั มงคลเนอื่ งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ิดาลยั สวนจติ รลดา พระราชวังดุสิต วนั ท่ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๔๑ “...เศรษฐกิจพอเพียงนั้นเขาตีความว่าเป็นเศรษฐกิจชุมชนหมายความว่า ให้พอเพียง ในหมูบ่ ้าน หรือในท้องถิ่น ใหส้ ามารถทจี่ ะมพี อกิน เรม่ิ ดว้ ย พอมี พอกิน พอมีพอกินนไี้ ด้พดู มาหลายปี ๑๐ กว่าปีมาแล้วให้พอมีพอกินแต่ว่าพอมีพอกินนี้เป็นเพียงเริ่มต้นของเศรษฐกิจ เม่ือปีท่ีแล้วบอกว่า ถ้าพอมพี อกนิ คอื พอมพี อกนิ ของตวั เองนนั้ ไมใ่ ช่เศรษฐกจิ พอเพยี งเปน็ เศรษฐกจิ สมัยหิน สมัยหนิ นน้ั เป็นเศรษฐกจิ พอเพียงเหมอื นกันแต่ว่าค่อย ๆ พัฒนาขนึ้ มา...” พระราชด�ำรัสพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว พระราชทานเนือ่ งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลยั สวนจิตรลดา พระราชวงั ดสุ ติ วนั ท่ี ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒
211 “...เศรษฐกจิ พอเพยี งทไี่ ด้ยำ�้ แล้วย้�ำอกี แปลเปน็ ภาษาองั กฤษวา่ Sufficiency Economy ภาษาไทยกต็ ่อวา่ ไมม่ ี Sufficiency Economy แต่ว่าเป็นคำ� ใหมข่ องเราก็ได้ ก็หมายความวา่ ประหยัด แต่ไมใ่ ชข่ ้เี หนยี ว ทำ� อะไรดว้ ยความอะลมุ้ อลว่ ยกนั ทำ� อะไรดว้ ยเหตุและผล จะเปน็ เศรษฐกจิ พอเพียง แลว้ ทุกคนจะมคี วามสขุ แต่พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพียงนี้ เป็นสง่ิ ที่ปฏิบัติยากทสี่ ดุ ...” พระราชด�ำรสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเน่อื งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย สวนจติ รลดา พระราชวังดสุ ติ วันที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๔๓ “...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ท�ำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คอื ท�ำจากรายได้ ๒๐๐ - ๓๐๐ บาทขน้ึ ไป เปน็ ๒ หมนื่ ๓ หมน่ื บาท คนชอบเอา คำ� พดู ของฉนั เศรษฐกจิ พอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือ ท�ำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบท่ีฉันคิด ท่ีฉันคิด คือ เป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดู TV ก็ควรใหเ้ ขามีดู ไมใ่ ชไ่ ปจ�ำกัด เขาไมใ่ หซ้ ้ือ TV ดู เขาตอ้ งการดูเพื่อสนกุ สนาน ในหมบู่ า้ นไกล ๆ ทฉ่ี ันไป เขามี TV ดู แตใ่ ช้แบตเตอร่ี เขาไม่มีไฟฟา้ แต่ถ้า Sufficiency น้ัน มี TV เขาฟมุ่ เฟอื ย เปรียบเสมอื น คนไมม่ ีสตางค์ไปตัด Suit และยงั ใส่ Necktie Versace อนั น้ีก็เกนิ ไป...” พระราชดำ� รัสพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว พระราชทาน ณ พระต�ำหนกั เปี่ยมสุข วันท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๔๔ แนวพระราชดำ� ริ เรอื่ ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ได้ พระราชทาน ไว้นั้นกระชับและชัดเจนยิ่ง นอกจากน้ี ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษ เพ่อื ประสานงานโครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชด�ำริ (กปร.) ยังได้กล่าวสรุปความหมายของเศรษฐกิจ พอเพยี งตามแนวพระราชดำ� ริ ดงั นี้ “เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง (Self-Sufficiency) อยไู่ ดโ้ ดยไมเ่ ดอื ดรอ้ น ซงึ่ ตอ้ งสรา้ งพน้ื ฐานทางดา้ นเศรษฐกจิ ของตนเองใหด้ เี สยี กอ่ น คอื ใหต้ นเองสามารถ อยู่ได้อย่างพอกินพอใช้ มิได้มุ่งหวังที่จะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้เจริญอย่างรวดเร็วแต ่ เพยี งอย่างเดยี ว” จะเหน็ ไดว้ า่ เศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวพระราชดำ� ริเป็นเรอ่ื งท่เี ข้าใจไดง้ ่ายมีความหมาย ที่ชัดเจน ไม่ยากแก่การรับรู้และการน�ำไปปฏิบัติ ดังจะเห็นเป็นรูปธรรมท่ีปรากฏ ชัดเจนในโครงการ อนั เน่ืองมาจากพระราชด�ำริท่เี กิดผลส�ำเรจ็ แล้วมากมาย
212 ตวั อย่างของเศรษฐกิจพอเพียงท่ีมหี ลายระดับ ไฟฟ้า “...ไฟดบั ถา้ มคี วามจำ� เปน็ หากมเี ศรษฐกจิ พอเพยี งแบบไมเ่ ตม็ ทเี่ รามเี ครอ่ื งปน่ั ไฟกใ็ ชป้ น่ั ไฟ หรอื ถา้ ข้นั โบราณกว่า มืดกจ็ ุดเทยี น คอื มที างท่จี ะแกป้ ัญหาเสมอ ฉะนน้ั เศรษฐกิจพอเพยี ง ก็มีเปน็ ขน้ั ๆ แตจ่ ะบอกวา่ เศรษฐกจิ พอเพยี งน้ี ใหพ้ อเพยี งเฉพาะตวั เองรอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ตน์ เี่ ปน็ สงิ่ ทท่ี ำ� ไมไ่ ดจ้ ะตอ้ งมกี าร แลกเปลย่ี น ตอ้ งมกี ารชว่ ยกนั ถา้ มกี ารชว่ ยกนั แลกเปลยี่ นกนั กไ็ มใ่ ชพ่ อเพยี งแลว้ แตว่ า่ พอเพยี งในทฤษฎี ในหลวงนี้ คือให้สามารถท่ีจะด�ำเนินงานได้...” สรุป จากกระแสพระราชดำ� รสั วนั ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ เมื่อยามปกติเราใช้ไฟฟ้าโดยมีรัฐ (การไฟฟ้า) เป็นผู้ลงทุน และจ่ายค่าไฟให้โดยเราจ่าย ค่าไฟคืนให้รัฐและเปล่ียนกัน แต่หากเกิดเหตุไม่ปกติ (ไฟดับ) ถ้ามีภูมิคุ้มกันโดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง ที่ตัวเองมีอยู่ บ้านเล็กใช้เทียน บ้านใหญ่หรือธุรกิจใช้เคร่ืองปั่นไฟก็จะท�ำให้แก้ไขปัญหาเองได้ แมจ้ ะไม่เต็มท่ีแบบปกติ เขอ่ื นป่าสกั “...ไอ้น่ีมันใหญ่กว่า แต่วันน้ีก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คือ คนไม่เข้าใจว่า กจิ การใหญ่ ๆ เหมอื นสรา้ งเขอื่ นปา่ สกั กเ็ ปน็ เศรษฐกจิ พอเพยี งเหมอื นกนั เขานกึ วา่ เปน็ เศรษฐกจิ สมยั ใหม่ เป็นเศรษฐกจิ ทไี่ กลจากเศรษฐกจิ พอเพยี ง นเี่ ราวดั ได้วา่ เปน็ เศรษฐกิจพอเพียงอนั นเ้ี ปน็ ตัวอย่าง...” สรปุ โครงการปา่ สกั มปี ระโยชนท์ งั้ ในชว่ งนำ้� แลง้ และนำ�้ ทว่ ม เปน็ เครอื่ งมอื ทสี่ รา้ งภมู คิ มุ้ กนั ใหแ้ ก่ กรงุ เทพมหานคร ปอ้ งกนั ความเสยี หายของสภาพชวี ติ ของประชาชน จากนำ�้ ทว่ ม พรอ้ มกนั นยี้ งั ทำ� หนา้ ท่ี แจกจา่ ยนำ�้ ใหแ้ กพ่ นื้ ทเี่ กษตรกรรม ใหแ้ กบ่ า้ นทวั่ ลมุ่ นำ�้ เจา้ พระยาฝง่ั ตะวนั ออกตอนลา่ งกวา่ ๒.๓ ลา้ นไร่ ให้เกษตรกรบริเวณลุ่มน�้ำเกิดมีผลผลิตในช่วงฤดูแล้ง ท้ังยังเป็นแหล่งประมงน�้ำจืดขนาดใหญ่ และเป็นสถานทที่ ่องเที่ยวท่ีสำ� คญั อกี ด้วย ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพยี ง หมายถึง เศรษฐกิจที่สามารถอมุ้ ชูตัวเองได้ ให้มีความพอเพยี งกบั ตวั เอง (Self-Sufficiency) อยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน โดยต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ของตนเองให้ดีเสียก่อน คือต้ังตัวให้มี ความพอกินพอใช้ ไม่ใช่มุ่งหวังแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่เพียงอย่างเดียว เพราะผู้ท่ีมีอาชีพและฐานะ เพียงพอท่ีจะพ่ึงตนเองย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้า และฐานะ ทางเศรษฐกิจขั้นท่ีสูงข้ึนไปตามล�ำดับต่อไปได้
213 หลกั การพึ่งตนเอง หนั กลับมายดึ เสน้ ทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏปิ ทา) ในการด�ำรงชวี ิตให้สามารถพึ่งตนเองได้ โดยใช้หลักการพ่งึ ตนเอง ๕ ประการ คอื ๑. ด้านจติ ใจ ท�ำตนให้เปน็ ทพ่ี ง่ึ ของตนเอง มีจิตใจท่ีเขม้ แขง็ มจี ิตส�ำนึกทีด่ ี สรา้ งสรรค์ให้ ตนเองและชาติโดยรวม มจี ติ ใจเอ้ืออาทร ประนปี ระนอม ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ เห็นประโยชน์ส่วนรวมเปน็ ที่ต้ัง ดังกระแสพระราชด�ำรสั ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เกี่ยวกับการพฒั นาคน ความวา่ “...บุคคลต้องมีรากฐานทางจิตใจที่ดี คือ ความหนักแน่นม่ันคงในสุจริตธรรมและความ มงุ่ มนั่ ทจี่ ะปฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี หจ้ นสำ� เรจ็ ทง้ั ตอ้ งมกี ศุ โลบายหรอื วธิ กี ารอนั แยบยลในการปฏบิ ตั งิ าน ประกอบ พรอ้ มดว้ ยจงึ จะสัมฤทธิผลทแี่ น่นอน และบังเกิดประโยชนอ์ ันยงั่ ยนื แกต่ นเองและแผน่ ดนิ ...” ๒. ดา้ นสงั คม แตล่ ะชมุ ชนตอ้ งชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู กนั เชอื่ มโยงกนั เปน็ เครอื ขา่ ย ชมุ ชนทแี่ ขง็ แรง เปน็ อสิ ระ ดังกระแสพระราชดำ� รัส ความวา่ “...เพอ่ื ใหง้ านรดุ หนา้ ไปพรอ้ มเพรยี งกนั ไมล่ ดหลน่ั จงึ ขอใหท้ กุ คนพยายามทจ่ี ะทำ� งานในหนา้ ที่ อยา่ งเตม็ ท่ี และให้มกี ารประชาสัมพนั ธก์ ันใหด้ ี เพอ่ื ใหง้ านท้ังหมดเป็นงานทเ่ี กื้อหนนุ สนับสนุนกนั ...” ๓. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาด พร้อมทั้งการ เพิม่ มูลคา่ โดยใหย้ ดึ หลักการของความย่ังยนื และเกดิ ประโยชน์สงู สุด ดงั กระแสพระราชด�ำรสั ความว่า “...ถา้ รกั ษาสิง่ แวดลอ้ มให้เหมาะสมนกึ ว่าอยไู่ ด้อกี หลายร้อยปี ถงึ เวลาน้ันลูกหลานของเรา ก็อาจหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป เป็นเร่ืองของเขาไม่ใช่เร่ืองของเรา แต่เราก็ท�ำได้ ได้รักษาส่ิงแวดล้อมไว้ให้ พอสมควร...” ๔. ดา้ นเทคโนโลยี จากสภาพแวดล้อมทีเ่ ปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีท่เี ขา้ มาใหม่มีทงั้ ดี และไม่ดี จึงต้องแยกแยะบนพ้ืนฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน และเลือกใช้เฉพาะที่สอดคล้องกับความ ตอ้ งการของสภาพแวดล้อม ภูมปิ ระเทศ สังคมไทย และควรพฒั นาเทคโนโลยจี ากภมู ิปญั ญาของเราเอง ดังกระแสพระราชด�ำรสั ความวา่ “...การเสรมิ สรา้ งสง่ิ ทชี่ าวบา้ นชนบทขาดแคลนและตอ้ งการ คอื ความรู้ ในดา้ นเกษตรกรรม โดยใชเ้ ทคโนโลยีสมยั ใหม่เปน็ สงิ่ ทีเ่ หมาะสม...” “...การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูปหรือเต็มขนาด ในงานอาชีพหลัก ของประเทศ ยอ่ มจะมีปัญหา...” ๕. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งท่ีการเพิ่มรายได้ และไม่มีการมุ่งที่การลดรายจ่าย ในเวลาเช่นนี้จะต้องปรับทิศทางใหม่ คือ จะต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นส�ำคัญ และยึดหลักพออยู ่ พอกินพอใช้ และสามารถอยู่ไดด้ ้วยตนเองในระดบั เบอื้ งตน้ ดงั กระแส พระราชดำ� รสั ความว่า
214 “...การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้และสร้างตนเองให้ม่ันคงนี้เพ่ือตนเอง เพ่ือที่จะให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ท่ีก้าวหน้าท่ีมีความสุข พอมีพอกินเป็นข้ันหน่ึงและข้ันต่อไป ก็คือให้มีเกียรติว่ายืนไดด้ ้วยตนเอง...” “...หากพวกเรารว่ มมอื รว่ มใจกนั ทำ� สกั เศษหนงึ่ สว่ นสี่ ประเทศชาตขิ องเรา กส็ ามารถรอดพน้ จากวกิ ฤตไิ ด.้ ..” เศรษฐกจิ พอเพยี งส�ำหรับเกษตรกร ทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและสังคม คือ จะต้องช่วยให้ประชาชนที่อยู ่ ในภาคเกษตร และที่กลบั คืนสภู่ าคเกษตรมีงานทำ� มีรายได้ ในขณะเดียวกันก็จะต้องสรา้ งรากฐานของ ชนบทใหแ้ ข็งแรง เพยี งพอที่จะสามารถพงึ่ ตนเองได้ในระยะยาว แนวคดิ ระบบเศรษฐกจิ แบบพอเพยี งสำ� หรบั เกษตรกรตามแนวพระราชดำ� รติ ง้ั อยบู่ นพนื้ ฐาน ของหลักการ “ทฤษฎใี หม”่ ๓ ข้ัน คอื ขน้ั ที่หนึ่ง มคี วามพอเพียงเล้ยี งตวั เองได้บนพื้นฐานของความประหยัด ขจดั การใชจ้ า่ ย ขน้ั ทสี่ อง รวมพลงั กนั ในรปู กลมุ่ เพอ่ื ทำ� การผลติ การตลาด การจดั การ รวมทง้ั ดา้ น สวสั ดกิ าร การศึกษา การพัฒนาสังคม ข้ันที่สาม สร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพและขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หลากหลาย โดยประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภาคองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคราชการในด้านเงินทุน การตลาด การผลิต การจัดการและขา่ วสารข้อมลู โดยมนี ยั ส�ำคญั คอื ๑. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยากและเลี้ยง ตนเองไดต้ ามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ๒. ในหน้าแล้งมนี ำ�้ น้อยก็ สามารถเอานำ้� ท่เี กบ็ ไวใ้ นสระมาปลูกพชื ผกั ต่าง ๆ ทีใ่ ชน้ ำ�้ นอ้ ยได้ โดยไม่ต้องเบยี ดเบียนชลประทาน ๓. ในปที ฝี่ นตกตามฤดกู าล โดยมนี ำ�้ ดตี ลอดปี ทฤษฎใี หมน่ ก้ี ส็ ามารถสรา้ งรายไดใ้ หร้ ำ่� รวยขนึ้ ได้ ๔. ในกรณที เ่ี กดิ อทุ กภยั ก็ สามารถทจ่ี ะฟน้ื ตวั และชว่ ยตนเองไดใ้ นระดบั หนง่ึ โดยทางราชการ ไมต่ อ้ งช่วยเหลือมากเกินไป อนั เป็นการประหยดั งบประมาณดว้ ย ดังน้ันการท�ำการเกษตรทฤษฎีใหม่ จึงมีความส�ำคัญและมีบทบาทต่อภาคการเกษตร ซง่ึ จะสง่ ผลกระทบไปสกู่ ารเจรญิ เตบิ โตของประเทศอยา่ งยง่ั ยนื อยา่ งไรกต็ ามตอ้ งมอี งคป์ ระกอบหลายประการ ทจี่ ะทำ� ให้การทำ� เกษตรวิธีนีป้ ระสบผลส�ำเรจ็ และกา้ วไปอย่างมั่นคงไมล่ ม้ เลิกกลางคนั มกี ารขยายผล ท่ีเหมาะสมในทกุ ๆ ด้าน ไมข่ ยายผลรวดเรว็ เกนิ ไป ในขณะที่ผมู้ ีสว่ นรว่ ม ยงั คงขาดความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ทฤษฎใี หม่ที่แทจ้ ริง
215 ทฤษฎีใหม่ท�ำให้เกษตรกรได้รับการตอบสนองทั้งด้านส่วนตัวและสังคมได้ในระดับสูง ไดผ้ ลผลติ ทางการเกษตรเพม่ิ มากขนึ้ เนอ่ื งจากมนี ำ�้ เพยี งพอ มรี ายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ครอบครวั อบอนุ่ มคี วามสามคั คี ในระดบั ชมุ ชนและในระดบั สถาบนั เปน็ การสง่ ผลเกอื้ กลู ซงึ่ กนั และกนั สภาพพน้ื ดนิ ทเ่ี คยแหง้ แลง้ ขาดแคลน น�้ำกลับกลายเป็นแผ่นดินท่ีอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เป็นการรักษาสมดุลให้กับดินและธรรมชาติ ส่ิงที่พึงระวัง คือ การนาชื่อทฤษฎีใหม่ ไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ควรเน้นให้ชัดเจนว่า โครงการน้ัน ๆ มีการพัฒนาการเกษตรในลักษณะแนวพระราชด�ำริทฤษฎีใหม่อย่างแท้จริง เพื่อมิให้เกิดความสับสน ในสาระแท้จรงิ ของทฤษฎีใหม่ แนวคิดของระบบเศรษฐกิจแบบพออยู่พอกิน กับการแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจและปัญหา ทางสงั คมของไทย ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจทย่ี ึดถือหลักการทีว่ ่า “ตนเป็นทพี่ ึง่ แห่งตน” โดยมุ่งเน้นการผลติ พชื ผล ใหเ้ พยี งพอกบั ความตอ้ งการบรโิ ภคในครวั เรอื นเปน็ อนั ดบั แรก เมอ่ื เหลอื พอจากการบรโิ ภคแลว้ จงึ คำ� นงึ ถงึ การผลติ เพ่ือการคา้ ผลผลติ สว่ นเกินทอ่ี อกสู่ตลาดกจ็ ะเปน็ กำ� ไรของเกษตรกร ลกั ษณะเชน่ น้เี กษตรกร หลายสถานะเปน็ ผกู้ ำ� หนดหรอื เปน็ ผกู้ ระทำ� ตอ่ ตลาด แทนทวี่ า่ ตลาดจะเปน็ ตวั กระทำ� หรอื เปน็ ตวั กำ� หนด เกษตรกร ดังเช่นท่ีเป็นอยู่และหลักใหญ่ส�ำคัญยิ่ง คือ การลดค่าใช้จ่ายในการสร้างสิ่งอุปโภคบริโภค ในท่ดี ินของตนเอง เชน่ ขา้ ว นำ้� ปลา ไก่ ไข่ ไม้ผล พชื ผกั ฯลฯ ประการทสี่ อง เศรษฐกิจแบบพอเพยี งใหค้ วามส�ำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบา้ น ทั้งน้กี ลุม่ ชาวบา้ นหรือ องค์กรชาวบ้านจะท�ำหน้าที่เป็นผู้ด�ำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย ครอบคลุม ท้ังการเกษตรแบบผสมผสาน หัตถกรรม การแปรรูปอาหาร การทาธุรกิจค้าขาย และการท่องเท่ียว ระดับชุมชน ฯลฯ เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่าน้ีได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง และมีเครือข่ายท่ีกว้างขวาง มากขนึ้ แลว้ เกษตรกรทงั้ หมดในชมุ ชนกจ็ ะไดร้ บั การดแู ลใหม้ รี ายไดเ้ พมิ่ ขนึ้ รวมทง้ั ไดร้ บั การแกไ้ ขปญั หา ในทุก ๆ ด้าน ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศเติบโตไดอ้ ย่างมีเสถยี รภาพ ซึ่งหมายความว่า เศรษฐกิจสามารถขยายตัวต่อสภาวการณ์ดา้ นการกระจายรายได้ท่ีดขี ึ้น ประการท่ีสาม เศรษฐกจิ แบบพอเพยี งต้งั อย่บู นพน้ื ฐานของความเมตตา ความเอื้ออาทรและความสามคั คี ของสมาชิกในชุมชน ในการร่วมแรงร่วมใจเพื่อประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้บรรลุผลส�ำเร็จ ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้หมายถึงรายได้แต่เพียงมิติเดียว หากแต่ยังรวมถึงประโยชน์ในด้านอ่ืน ๆ ด้วย ได้แก่ การสรา้ งความมนั่ คงใหก้ บั สถาบนั ครอบครวั สถาบนั ชมุ ชน ความสามารถในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ของชุมชนบนพื้นฐานของภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมท้ังการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีทด่ี งี ามของไทยให้คงอยตู่ ลอดไป
216 เศรษฐกจิ พอเพยี งสำ� หรบั ผทู้ อี่ ย่นู อกภาคเกษตร ส�ำหรับคนอยู่นอกภาคการเกษตรน้ัน เศรษฐกิจพอเพียงสามารถน�ำมาใช้เป็นหลัก ในการด�ำเนินชีวิตได้ เพราะเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา เป็นแนวปฏิบัติตนไม่ว่าจะอยู่ในกิจกรรม หรืออาชีพใด ก็ต้องยึดวิถีไทยอยู่แต่พอดี อย่าฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์ อย่ายึดวัตถุเป็นท่ีต้ัง ยดึ เสน้ ทางสายกลาง อยกู่ ินตามฐานะ ใชส้ ติปญั ญาในการดำ� รงชวี ิต เจรญิ เตบิ โต อยา่ งคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป อย่าใช้หลักการลงทุนเชิงการพนัน ซ่ึงตั้งอยู่บนความเส่ียง กู้เงินมาลงทุนโดยหวังรวยอย่างรวดเร็ว แล้วกไ็ ปสูค่ วามลม้ ละลายในท่สี ุด ตง้ั อยู่บนหลักของ “รู้ รัก สามคั คี” ใชส้ ติปัญญาปกป้องตนเองไม่ให้ หลงกระแสโลกาภิวัตน์โดยไม่รู้ถึงเหตุและผลตามสภาพแวดล้อมของไทย ให้รู้จักแยกแยะส่ิงดี ส่ิงเลว ส่ิงที่เป็นประโยชน์ตามสภาพ ความเป็นจริงของบ้านเมืองเราเป็นท่ีต้ัง ให้มีความรัก ความเมตตาท่ีจะ ช่วยเหลอื สงั คมให้ รอดพน้ จากภยั พบิ ัติ และรวมพลังกนั ดว้ ยความสามัคคีเป็นหม่เู หล่า ขจัดข้อขัดแย้ง ไปสูค่ วามประนีประนอม รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมเปน็ ที่ตง้ั ในโอกาสนภ้ี าคเอกชนไดร้ วมพลงั ครงั้ ใหญผ่ ลกั ดนั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ประยกุ ตใ์ ชก้ บั องค์กรธุรกิจอย่างจริงจัง หวังขับเคล่ือนเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบย่ังยืน โดยทุกภาคส่วนของสังคม ได้เร่ิมหันมาตามรอยพระยุคลบาท โดยยึดหลักการทั้งหลายท่ีทรงแสดงให้เห็นมาใช้เป็นหลักปฏิบัต ิ โดยเฉพาะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง (Sufficiency Economy) เศรษฐกิจพอเพยี งสามารถน�ำมาใช้กับธุรกิจไดจ้ ริง เพราะเศรษฐกิจพอเพียงไมไ่ ด้ หมายถึง เศรษฐกิจระบบปดิ ทีไ่ ม่เกี่ยวขอ้ งกบั ใคร ไมค่ า้ ขาย ไมส่ ่งออก ไมผ่ ลิตเพอ่ื คนอื่น ไม่ได้สนบั สนนุ การปิด ประเทศ หรอื หันหลงั ให้กับกระแสโลกาภิวัตน์ แต่เน้นการสรา้ งภูมิคมุ้ กันในตัว ไม่ประมาทและไม่โลภ มากเกินไป จนเมื่อแข็งแรงพอสามารถเข้าสู่การแข่งขันในแบบที่สร้างสรรค์ ใช้ประโยชน์จากกระแส โลกาภวิ ตั นอ์ ยา่ งชาญฉลาด รเู้ ทา่ ทนั สามารถเลอื กรบั เฉพาะสงิ่ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คมในระยะยาว เศรษฐกิจพอเพียงสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจโดยไม่ขัดกับหลักการการท�ำก�ำไร แตก่ ารไดม้ าของกำ� ไรตอ้ งไมเ่ อารดั เอาเปรยี บผอู้ น่ื หรอื แสวงหากำ� ไรจนเกนิ ควร เกนิ เหตุ ขดู รดี เบยี ดเบยี น ประโยชน์ของสังคม นอกจากน้ี ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธการเป็นหนี้สินการกู้ยืมเงิน แต่เน้นการบริหารความเสี่ยง คือแม้จะกู้ยืมเงินมาลงทุนก็เพ่ือด�ำเนินกิจการท่ีไม่ก่อให้เกิดความเส่ียง มากจนเกนิ ไป และสามารถบริหารจัดการเงินกู้ไดอ้ ย่างเหมาะสม แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามไม่ให้ลงทุนหรือขยายธุรกิจ แต่เน้นให้ท�ำธุรกิจท่ีไม่ให้ เส่ียงมากเกินไป ควรลงทุนให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง
217 ประเทศไทยสเู่ ศรษฐกจิ พอเพียง รอบคอบ – อยา่ ตาโต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงในเร่ืองความโลภของคนอันเป็นผลจากการ ทเี่ ศรษฐกิจขยายตัวรวดเรว็ อยา่ งต่อเนื่องน่นั เอง ดงั นนั้ จงึ จะเห็นไดว้ า่ การเน้นความพอเพยี งพอสมควร ตามอัตภาพนั้น เป็นจุดเน้นมาโดยตลอด เป็นประเด็นของการลดความเสี่ยงอันเกิดจากสภาพความ ไม่แน่นอนในทกุ ด้าน ซ่งึ เม่อื เกดิ วิกฤติทางเศรษฐกิจแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้ทรงขยายความใหเ้ หน็ ถึง รูปธรรมของการไมป่ ระมาณตนเองของ ความโลภ เหน็ แกไ่ ด้ โดยไมค่ �ำนงึ ถงึ ผลไดผ้ ลเสียแกต่ นเองและ แก่ผ้อู ่ืนอยา่ งละเอียด ซึง่ พระองคท์ า่ นทรงเห็นวา่ การจะทำ� โครงการอะไรต้องรอบคอบอยา่ ตาโต มีความโลภน้อย “...คนเราถา้ พอใจความตอ้ งการ กม็ คี วามโลภนอ้ ย เมอื่ มคี วามโลภนอ้ ยกเ็ บยี ดเบยี นคนอน่ื นอ้ ย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่า ท�ำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไมส่ ดุ โต่ง ไม่โลภอยา่ งมาก คนเราก็อยู่ เป็นสุข...” รากฐานท่ีมนั่ คง แข็งแรง เศรษฐกิจพอเพียง เปรยี บเสมอื นการฝังราก ปกั เสาเข็มและคำ� นวณให้แบกรับน้�ำหนักก่อน สร้างบ้าน หรืออีกนัยหน่ึง เป็นการวางรากฐานของบ้านให้มั่นคงก่อนจะก่อสร้างตัวบ้านต่อไป ฉะน้ัน เศรษฐกิจพอเพียงก็คือการวางรากฐานอันมั่นคงและยั่งยืนของชีวิตเราน่ันเอง เศรษฐกิจพอเพียง อาจจะหมายถึง การด�ำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ (ไม่ใช่การห่อตัว) จากฐานรากของตัวเองท่ีมีอยู ่ อันได้แก่ ทนุ สงั คม การศกึ ษา ทนุ ทรัพยากร เปน็ ต้น “...อาคารบ้านเรือน ต้ังอยู่ได้อย่างม่ันคง ก็เพราะความแข็งแรงของรากฐาน หรือเสาเข็ม ซ่งึ เรามองไม่เหน็ และมกั จะลืมไปวา่ เราอยู่ไดบ้ นฐานรากอะไร...” เศรษฐกจิ พอเพยี งสยู่ ทุ ธศาสตร์ประเทศ ความพอประมาณและความมีเหตุผล เศรษฐกิจพอเพยี งนัน้ มิใช่เป็นเพียงแนวคดิ หรอื ปรชั ญา แต่เป็นขอ้ สรปุ ท่ไี ดจ้ ากการปฏิบตั ิจริง และมิใช่เป็นเพียงปรัชญาในการด�ำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคล แต่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ของการพัฒนา ประเทศที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นวิถีการผลิตของประเทศสามารถ น�ำไปประยุกต์ได้กับกิจกรรม ซ่ึงจะต้องพัฒนาความคิดน้ีข้ึนไปสู่แนวทางใหม่ของการพัฒนาประเทศ ท่ีลดทัศนคติของการพ่ึงพา โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในหมูช่ าวชนบทเน้นวิธกี ารที่จะท�ำให้ คนไทย ครอบครัว และชุมชนมีความเขม้ แข็ง เปน็ การวเิ คราะหเ์ ศรษฐกจิ จากเบอ้ื งลา่ งมาสู่ นโยบายมหภาค แทนการศกึ ษานโยบายระดบั มหภาคแลว้ นำ� ไปสู่การปฏบิ ัติในเบ้อื งลา่ ง ซงึ่ มกั จะไม่เกิดผลตามท่คี าดไว้
218 การปฏิบตั ิตนตามแนวทางเศรษฐกจิ แบบพอเพียง ๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการด�ำรงชีพ อย่างจริงจงั ดงั กระแสพระราชดำ� รัส ความตอนหนงึ่ ว่า “...ความเป็นอยทู่ ่ีต้องไม่ฟงุ้ เฟ้อ ตอ้ งประหยดั ไปในทางทถ่ี ูกต้อง...” ๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องสุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลน ในการด�ำรงชพี กต็ าม ดังกระแสพระราชด�ำรสั ความตอนหน่ึงวา่ “...ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดจากการประพฤติชอบและการหาเล้ียงชีพชอบ เป็นหลักส�ำคัญ...” ๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางค้าขาย ประกอบอาชีพแบบ ต่อสู้กันอยา่ งรนุ แรงเช่นอดีต ดังกระแสพระราชด�ำรสั ความตอนหนงึ่ วา่ “...ความสขุ ความเจริญอันแทจ้ รงิ น้นั หมายถึง ความสุขความเจรญิ ทบี่ ุคคลแสวงหาได้ด้วย ความเป็นธรรม ท้งั ในเจตนาและการกระทำ� ไมใ่ ช่ไดม้ าดว้ ยความบงั เอิญ หรือด้วยการแก่งแยง่ เบียดบัง มาจากผ้อู ืน่ ...” ๔. ไมห่ ยุดนิง่ ทจี่ ะหาทางใหช้ วี ติ หลุดพน้ จากความทกุ ขย์ าก โดยต้องขวนขวาย ใฝ่หาความรู้ ให้เกิดมีรายได้เพ่ิมพูนข้ึน จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายส�ำคัญ ดังกระแสพระราชด�ำรัสตอนหนึ่ง ทใี่ ห้ความหมายชดั เจนวา่ “...การท่ีต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้ม่ันคงน้ีเพื่อตนเอง เพ่ือท่ีจะให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้าท่ีมีความสุข พอมีพอกินเป็นขั้นหนึ่ง และข้ันต่อไปก็คือ ให้มเี กยี รตวิ า่ ยืนไดด้ ว้ ยตัวเอง...” ๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วให้หมดส้ินไป ท้ังนี้ด้วยสังคมไทยท่ีล่มสลายลง เพราะยังมีบุคคลจ�ำนวนมิใช่น้อยที่ด�ำเนินการโดยปราศจากความละอาย ดังกระแสพระราชด�ำรัส ความตอนหนง่ึ วา่ “...พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเคร่ืองท�ำลายตัว ท�ำลายผู้อื่น พยายามลด พยายาม ละความช่ัวที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและเพ่ิมพูนความดี ท่มี อี ยนู่ ั้นให้งอกงามสมบูรณข์ ึน้ ...” บทส่งทา้ ย เศรษฐกจิ พอเพียง คอื การด�ำรงชีวิตในความพอดี มชี ีวติ ใหม่ คอื หวนกลับมาใชว้ ิถชี ีวติ ไทย เป็นการสร้างรากฐานหรือพ้ืนฐานของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ดังท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานพระราชด�ำรสั ความตอนหน่ึงว่า “...อาคารบ้านเรือน ต้ังอยู่ได้อย่างม่ันคง ก็เพราะความแข็งแรงของรากฐาน หรือเสาเข็ม ซึง่ เรามองไม่เห็น และมักจะลืมไปว่าเราอยู่ได้บนฐานรากอะไร...”
219 แนวทางปฏิบัติเช่นน้ีท�ำให้ชาติบ้านเมืองและตัวเราหลุดพ้นจากความทุกข์ มีความสุข อยา่ งม่นั คง ย่ังยืนและพอเพียง และด้วยเหตุนี้จงึ ทำ� ให้องคก์ ารสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ความสำ� เร็จสงู สุด ด้านการพัฒนามนุษย์ เม่อื วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ พร้อมทั้งไดป้ ระกาศราชสดดุ ี เฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว ความวา่ “สหประชาชาติมีความปลาบปลื้มยินดีในเกียรติยิ่งใหญ่ ท่ีได้พระราชทานพระบรมราช วโรกาสใหเ้ ขา้ เฝา้ ทลู เกลา้ ฯ ถวายรางวลั “ความสำ� เรจ็ สงู สดุ ดา้ นการพฒั นามนษุ ย”์ ซงึ่ เปน็ รางวลั ชน้ิ แรก ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดท�ำขึ้นเพ่ือร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสแห่งการ เฉลิมฉลองสิรริ าชสมบตั คิ รบหกสิบปี ใตฝ้ า่ ละอองธลุ พี ระบาท ไดท้ รงมงุ่ มนั่ บำ� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ นานปั การ เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพ ชีวิตท่ีดีของปวงชนชาวไทยอยู่เป็นนิจศีล เป็นท่ีประจักษ์แก่สายตาชาวโลก จึงต่างกล่าวขานพระนาม พระองค์ว่าทรงเปน็ “พระมหากษตั ริยน์ กั พัฒนา” ใตฝ้ า่ ละอองธลุ ีพระบาท มีพระราชหฤทัยเป่ยี มล้นดว้ ยพระเมตตาต่อพสกนิกรผยู้ ากไรแ้ ละ ผดู้ อ้ ยโอกาสโดยไมท่ รงแบง่ แยกสถานะ ศาสนา ชาตพิ นั ธ์ุ หรอื หมเู่ หลา่ ทรงสดบั รบั ฟงั ปญั หาความทกุ ขย์ าก ของราษฎรและพระราชทานแนวทางการดำ� รงชวี ติ เพอ่ื ใหป้ ระชาชนของพระองคส์ ามารถพงึ่ พาตนเองได้ อย่างเขม้ แข็งและยั่งยนื โครงการในพระราชดำ� รติ า่ ง ๆ เพอ่ื พฒั นาชนบทมจี ำ� นวนมากมายและมอิ าจนบั ได ้ สง่ ผลตอ่ การ สรา้ งสรรคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรม ทเี่ ออื้ ตอ่ ความกา้ วหนา้ ในการ พฒั นายงั ประโยชนใ์ หแ้ กพ่ สกนกิ รทวั่ หลา้ อาทิ โครงการท่ีมุ่งเน้นการเกษตรขนาดเล็ก ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม โครงการที่มีการอนุรักษ ์ และใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรนำ�้ อยา่ งยงั่ ยนื รวมทงั้ โครงการปอ้ งกนั และบรรเทาความเดอื ดรอ้ นจากนำ้� ทว่ ม และภัยแล้ง ด้วยพระปรชี าสามารถในการเป็นนกั คดิ ของใตฝ้ า่ ละอองธลุ ีพระบาท และคุณูปการต่อการ พฒั นาทย่ี ง่ั ยนื ท�ำใหน้ านาประเทศตน่ื ตัวในการปรบั รปู แบบ การพฒั นาอย่างยง่ั ยืนภายใต้แนวคดิ ใหม่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่มีต่อประชาราษฎร์ท่ีได้พระราชทานปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ซ่ึงช้ีถึงแนวทางการพัฒนาที่เน้นความสมดุล ความพอประมาณ ความมีเหตุผล สำ� นกึ ในคณุ ธรรมและการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ี พอทจี่ ะตา้ นทานและลดผลกระทบจากการเปลยี่ นแปลงตา่ ง ๆ จากกระแสโลกาภิวัตน์ ด้วยปรัชญาดังกล่าวน้ี สหประชาชาติจึงมุ่งเน้นเพียรพยายามและส่งเสริม การพฒั นา รางวัลความส�ำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์นี้ ข้าพระพุทธเจ้า ท้ังหลายมีปณิธาน ทจ่ี ะสง่ เสรมิ ประสบการณ์ และนำ� แนวทางการปฏบิ ัติในการนำ� ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งอันทรงคณุ ค่า อยา่ งหาทส่ี ดุ มไิ ดข้ องพระองคท์ า่ น มาชว่ ยจดุ ประกายแนวความคดิ ในปรชั ญาดงั กลา่ วสนู่ านาประเทศตอ่ ไป ในโอกาสน้ี ขา้ พระพทุ ธเจา้ มคี วามปลมื้ ปตี ิ และภาคภมู ใิ จทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายรางวลั ความสำ� เรจ็ สงู สดุ ด้านการพฒั นามนุษย์ แด่ใต้ฝ่าละอองธลุ ีพระบาท”
220 สรุปปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง โครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดำ� รฯิ การด�ำเนินงานตามโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริฯ มีแนวทางปฏิบัติที่เรียบง่าย สามารถท�ำได้จรงิ โดยมรี ายละเอยี ดท่ีเกี่ยวขอ้ งดงั น้ี ๑. โครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชด�ำริ คอื อะไร โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชด�ำริ หมายถึงโครงการ แผนงาน หรอื กจิ กรรมใด ๆ ท่สี ่วนราชการ รัฐวิสาหกจิ เปน็ ผ้ดู ำ� เนินงานเพ่อื สนองพระราชดำ� ริ ๒. ท�ำไมจึงเรยี กว่า “โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ� ริ” เน่ืองจากแผนงาน/โครงการ หรือกิจกรรมใด ๆ ท่ีเคยเรียกว่า “โครงการตาม พระราชด�ำร”ิ นั้น ทแ่ี ทเ้ ปน็ โครงการท่ไี ด้รบั พระราชทานพระราชด�ำรใิ นเบือ้ งต้นเท่าน้ัน แต่กว่าจะถึง ขั้นด�ำเนินการต้องผ่านข้ันตอนการกล่ันกรองจากหลายฝ่าย และบางกรณีได้เลิกล้มไปเพราะไม่เหมาะสม จงึ ไดเ้ รยี กว่า “โครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดำ� ร”ิ ๓. ท�ำไมต้องมีระบบการด�ำเนินงานสนองโครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดำ� ริ โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ เป็นโครงการท่ีส่งผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน ในสว่ นต่าง ๆ ของประเทศโดยตรง โดยเฉพาะชาวชนบททห่ี า่ งไกลทรุ กันดารและยากจนอย่างแท้จรงิ โครงการเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการท่ีมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชาติ การบริหาร ทรพั ยากร และอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม และเสรมิ สรา้ งความมน่ั คงของชาติ ซง่ึ นอกจากจะสง่ ผลใหป้ ระชาชน มีความเปน็ อยู่ท่ดี แี ลว้ ยังกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อประเทศชาติเป็นส่วนรวมดว้ ย
221 แต่การด�ำเนินงานสนองโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริท่ีผ่านมา หน่วยงานต่าง ๆ ยงั มคี วามยุ่งยาก สบั สนในการจัดทำ� แผนงาน/โครงการ และการเสนอขอรับการสนบั สนนุ งบประมาณ จึงท�ำให้การด�ำเนินงานสนองโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริไม่เกิดประสิทธิภาพ และรวดเร็ว เท่าทค่ี วรเน่ืองจากไม่มีองคก์ รและระบบการด�ำเนนิ งานเป็นสว่ นรวมทช่ี ัดเจน รฐั บาลไดต้ ระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของเรอื่ งดงั กลา่ วนี้ จงึ ไดอ้ อกระเบยี บสำ� นกั นายกรฐั มนตรี ว่าดว้ ยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งต่อมา ไดแ้ กไ้ ขปรบั ปรุงใหมเ่ ป็นระเบยี บ ส�ำนกั นายกรัฐมนตรี ว่าดว้ ยโครงการอันเน่อื งมาจากพระราชดำ� ริ พ.ศ. ๒๕๓๔ เพอ่ื ให้เป็นหลักในการ ดำ� เนนิ งานสนองโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำ� ริ ๔. กปร. คอื อะไร มหี น้าที่อะไร คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ เรียกโดยย่อว่า “กปร.” มีหน้าท่ีเป็นองค์กรกลางระดับชาติ ควบคุม ก�ำกับ ดูแล ติดตามผล และประสานการ ด�ำเนินงานของหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจท้ังปวงที่ด�ำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชด�ำริ ให้สามารถด�ำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อสนองพระราชด�ำร ิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ดุ ตลอดจนเปน็ องคก์ รกลางทจี่ ะเปน็ ผพู้ จิ ารณาอนมุ ตั แิ ผนงาน/โครงการ และงบประมาณค่าใช้จ่ายท่ีหน่วยงานต่าง ๆ เสนอขอเพ่ือการด�ำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำ� ริ ๕. ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำ� ริ (ส�ำนกั งาน กปร.) มบี ทบาทอย่างไร ๑) สำ� นกั งาน กปร. ทำ� หนา้ ทใ่ี นฐานะเลขานกุ ารคณะกรรมการพเิ ศษเพอื่ ประสานงาน โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดำ� ริ (กปร.) รบั ผดิ ชอบทงั้ ในดา้ นวชิ าการ ประสานงาน และงานธรุ การ ตลอดจนงานอน่ื ๆ ที่ กปร. มอบหมาย โดยมเี ลขาธิการ กปร. เปน็ หัวหน้าส�ำนักงาน ๒) สำ� นกั งาน กปร. จะทำ� หนา้ ทพี่ จิ ารณากลน่ั กรองโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ ทงั้ หมด เพอ่ื นำ� เสนอ กปร. พจิ ารณาอนมุ ตั แิ ผนงาน/โครงการและวงเงนิ งบประมาณเพอื่ ใหห้ นว่ ยราชการ ท่ีเก่ียวข้องด�ำเนินการต่อไป รวมทั้งท�ำหน้าท่ีประสานงานและติดตามประเมินผลในทุกกรณีเก่ียวกับ โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดำ� รทิ ้ังปวง
222 ๖. เมื่อได้รับพระราชด�ำรัส หรือรับทราบความตามที่มีพระราชด�ำริ หน่วยงาน ควรทำ� อยา่ งไร แจ้งผใู้ ด ทาโครงการเสนอใคร มีข้ันตอนท่จี ะตอ้ งด�ำเนินการ ดังน้ี ๑) เมอื่ เจา้ หนา้ ทขี่ องหนว่ ยงานราชการ หรอื รฐั วสิ าหกจิ หรอื ผทู้ ต่ี ดิ ตามเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ได้รับทราบความตามพระราชด�ำริแล้ว ให้น�ำความตามพระราชด�ำริดังกล่าวแจ้งต่อผู้บังคับบัญชา ตามลำ� ดบั ขั้น เชน่ แจง้ ให้จังหวัด กรม กองทัพภาค ฯลฯ ท่ีเก่ียวขอ้ งทราบ ๒) เมื่อหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดังกล่าว คือ จังหวัด กรม กองทัพภาค ฯลฯ รับทราบ ความตามพระราชด�ำริแล้ว จะประสานและ/หรือจัดท�ำแผนงาน/โครงการ และงบประมาณ และเสนอกระทรวงเจ้าสังกัด หรือกรรมการ/อนุกรรมการคณะท�ำงานของโครงการน้ัน ๆ (หากมี) เพ่อื พิจารณา ๓) เมื่อกระทรวง ทบวง หรอื คณะกรรมการ/อนกุ รรมการ/คณะท�ำงานของโครงการ ตามขอ้ ๒. พจิ ารณาเหน็ ชอบแผนงาน/โครงการ และงบประมาณดังกล่าวแล้ว จะนำ� เสนอสำ� นักงาน กปร. เพือ่ ขอรบั การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๔) สำ� นกั งาน กปร. จะพจิ ารณาวเิ คราะหก์ ลนั่ กรองแผนงาน/โครงการ และงบประมาณ นำ� เสนอ กปร. หรือประธาน กปร. เพ่ือพจิ ารณาอนมุ ัติ อนึ่ง ในกรณีท่ีโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริน้ัน ๆ เก่ียวข้องกับหน่วยงาน ท่ีจะต้องปฏิบัติเพียงหน่วยเดียว เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้�ำ (ชลประทาน) ให้หน่วยงานน้ัน ๆ จัดท�ำแผนงาน/โครงการและงบประมาณเสนอกระทรวงเจ้าสังกัด เพ่ือเสนอยังส�ำนักงาน กปร. ในการน�ำเสนอ กปร. เพอ่ื พิจารณาอนุมตั ิต่อไป สำ� หรบั โครงการทมี่ ลี กั ษณะรว่ มดำ� เนนิ งานกนั ในหลายหนว่ ยงาน เชน่ ในพนื้ ทโี่ ครงการ แห่งหนึ่ง กรมพัฒนาที่ดนิ กรมท่ดี ิน จะตอ้ งด�ำเนนิ การส�ำรวจจ�ำแนกสมรรถนะทด่ี ิน จดั แบ่งแปลงทด่ี นิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร หรือกรมปศุสัตว์ ต้องด�ำเนินการเกี่ยวกับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ รวมท้ังกรมทางหลวงชนบท จะต้องด�ำเนินการสร้างถนน ฯลฯ เป็นต้น ในกรณีน ้ี ส�ำนกั งาน กปร. (เมื่อได้รบั แจ้งจากหนว่ ยงานท่เี กีย่ วขอ้ งแล้ว) จะเป็นผู้ประสานงานกบั หน่วยงานต่าง ๆ เพ่ือจัดท�ำแผน/โครงการ และงบประมาณร่วมกัน หรือจัดเป็นรูปคณะกรรมการ/คณะท�ำงาน เพ่ือร่วมกันพิจารณาวางแผนโครงการ พร้อมงบประมาณให้ประสานสอดคล้องกันในการด�ำเนินงาน ในโครงการน้นั ๆ ต่อไป
223 ขนั้ ตอนการดำ� เนินการโครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชด�ำรฯิ พระราชด�ำริ / พระราชด�ำรัส กปร. / ประธาน กปร. สำ� นกั งบประมาณ สำ� นักงาน กปร. กรม / กระทรวง ทเ่ี กยี่ วข้อง กระทรวง ทบวง หรอื คณะกรรมการ / กรม ฯ จัดท�ำรายละเอยี ด อนกุ รรมการ / คณะท�ำงานทต่ี ัง้ ขน้ึ มา เพอ่ื ขอเงนิ งวด รับผดิ ชอบโครงการนน้ั ๆ จากส�ำนกั งบประมาณ กรม กองทัพภาค จงั หวัด ฯลฯ สำ� นกั งบประมาณอนมุ ตั ิ เงนิ งวดแจ้งกรมฯ และส�ำนักงาน กปร. เจา้ หน้าท่ี / หน่วยปฏบิ ตั ใิ นพืน้ ที่ / กรมฯ ด�ำเนินการตาม ผู้ที่ตามเสด็จพระราชดำ� เนิน แผนงานและรายงานผล รายไตรมาสแก่ส�ำนกั งาน กปร. สำ� นักงาน กปร. ประเมนิ ผลโครงการ
224 ๗. จะจัดทำ� โครงการอยา่ งไร ๑) หนว่ ยงานปฏบิ ตั ทิ ปี่ ระสงคจ์ ะจดั ทำ� โครงการเพอ่ื เสนอขอรบั การสนบั สนนุ งบประมาณ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ ให้จัดท�ำโครงการขึ้นตามแบบปกติ ท่ีปฏิบัติในหน่วยงาน ซ่ึงประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของโครงการ เป้าหมาย วิธีการด�ำเนินงาน ขั้นตอนการด�ำเนินงาน ระยะเวลา งบประมาณค่าใช้จ่าย ตลอดจนรายละเอียดอ่ืน ๆ ฯลฯ ตามแบบของการจัดท�ำโครงการ โดยทวั่ ไป ๒) เมอ่ื จดั ทำ� โครงการตามขอ้ ๑) แลว้ หนว่ ยปฏบิ ตั จิ ะตอ้ งกรอกแบบคำ� ขอรบั การสนบั สนนุ งบประมาณโครงการตามแบบค�ำขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามที่ส�ำนักงาน กปร. ก�ำหนดข้ึน ปะหน้าโครงการแต่ละโครงการทุกโครงการด้วยทกุ ครงั้ ๓) เม่ือดำ� เนนิ การตามขอ้ ๑) และ ๒) นั้น ใหห้ นว่ ยปฏิบตั ิของกรมฯ น�ำเสนอผบู้ ังคับบัญชา ตามล�ำดับช้ัน จนถึงระดับกระทรวง (เพื่อให้กระทรวงทราบและเตรียมตั้งงบประมาณปกติรองรับ ในปีตอ่ ไป) เพ่อื พจิ ารณา ท้งั นี้ กระทรวงจะเป็นผูเ้ สนอขอรบั การสนบั สนุนงบประมาณของกรมฯ น้นั ๆ มายงั ส�ำนักงาน กปร. ต่อไป ๔) ในกรณีทีเ่ ป็นเร่อื งเก่ยี วขอ้ งกับความมน่ั คง เมื่อด�ำเนินการตามขอ้ ๑) และ ๒) แล้ว ให้น�ำเสนอแม่ทัพภาคในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความม่ันคงในเขตกองทัพภาคน้ัน ๆ (พมพ.) เพอ่ื สง่ ให้สำ� นกั งาน กปร. ต่อไป อนึ่ง ในการจัดท�ำโครงการน้ัน เจ้าหน้าท่ีส�ำนักงาน กปร. จะต้องประสานขอ ให้หน่วยงานต่าง ๆ จดั ทำ� โครงการใหค้ รบถว้ นสมบูรณ์จนสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ เช่น โครงการ ทีจ่ ะดำ� เนนิ การแลว้ เสร็จสมบูรณ์ภายใน ๕ ปี แมห้ น่วยงานจะขอประมาณจาก กปร. เพยี งปแี รกปเี ดยี ว แต่ขอให้จัดท�ำครอบคลุมแผนการด�ำเนินงาน และงบประมาณทั้งหมด ทั้ง ๕ ปี มิใช่เฉพาะ โครงการ/กิจกรรม ทีจ่ ะของบประมาณจาก กปร. เฉพาะปเี ดียวเทา่ นน้ั ท้งั น้ี สำ� นักงาน กปร. และสำ� นัก งบประมาณจะได้ทราบถึงงบผูกพันของโครงการนั้น ๆ ในปีต่อ ๆ ไป ที่ส�ำนักงบประมาณจะจัดสรร ใหต้ อ่ ไปด้วย นอกจากนี้ การเสนอโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ มีเง่ือนไขในการเสนอขอรับ ความสนบั สนนุ งบประมาณ ดงั น้ี ๑) ตอ้ งเปน็ โครงการทไี่ ดม้ พี ระราชดำ� รใิ หมอ่ ยา่ งแทจ้ รงิ และยงั ไมเ่ คยมกี ารดำ� เนนิ การใด ๆ มากอ่ น หรอื ๒) เปน็ โครงการเกา่ ที่มีการด�ำเนินงานไปแลว้ แตไ่ ด้มีพระราชด�ำริใหม่เพมิ่ เติม
225 ๘. ส�ำนักงาน กปร. ไดร้ บั โครงการแล้วท�ำอย่างไร เมื่อส�ำนักงาน กปร. ได้รับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริจากหน่วยงานต่าง ๆ ทีเ่ สนอขอรบั การสนับสนนุ งบประมาณแลว้ จะต้องดำ� เนนิ การ ดังนี้ ๑) ส�ำนักงาน กปร. จะด�ำเนินการพิจารณาวิเคราะห์ กล่ันกรองแผนงาน/โครงการ และงบประมาณ และน�ำเสนอต่อที่ประชุม กปร. พร้อมข้อเสนอแนะเพ่ือพิจารณาอนุมัติแผนงาน/ โครงการและงบประมาณดงั กลา่ ว ซ่ึงการประชมุ กปร. นี้จะก�ำหนดขน้ึ ตามความจ�ำเป็น และเหมาะสม ๒) กรณีทเี่ ปน็ โครงการที่มีความส�ำคัญ หรอื เร่งดว่ น เม่ือสำ� นกั งาน กปร. ไดด้ ำ� เนินการ พิจารณาวิเคราะห์ กลั่นกรองแผนงาน/โครงการที่หน่วยงานเสนอขอเรียบร้อยแล้ว จะด�ำเนินการ นำ� เสนอตอ่ นายกรฐั มนตรี ในฐานะประธาน กปร. เพอื่ พจิ ารณาอนมุ ตั แิ ผนงาน/โครงการ และงบประมาณ ต่าง ๆ เป็นรายโครงการต่อไปโดยทันที (ประธาน กปร. สามารถใช้อ�ำนาจหน้าที่แทน กปร. ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งรอประชมุ กปร.) อนง่ึ การอนมุ ตั ขิ อง กปร. หรอื ประธาน กปร. จะอนมุ ตั แิ ผนงาน/โครงการ กิจกรรมพร้อมวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายท่ีเหมาะสมตามความจ�ำเป็น ซึ่งเม่ือหน่วยงานท่ีได้รับการ อนุมัตแิ ผนงาน/โครงการ และงบประมาณได้เสนอขอรบั การจดั สรรเงินงวดจากส�ำนักงบประมาณแลว้ อาจถูกตดั ทอนจำ� นวนเงนิ ตามมาตรฐาน (Unit cost) ของสำ� นกั งบประมาณตามความเหมาะสมอกี ได้ ๙. ประเภทโครงการ และการอนมุ ตั ิการดำ� เนนิ งานตามโครงการ เม่ือหน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการมายังส�ำนักงาน กปร. เพ่ือให้พิจารณาน�ำเสนอ กปร. พิจารณาในขั้นสุดท้ายนั้น ตามระเบียบส�ำนักนายกรัฐมนตร ี ว่าด้วยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ก�ำหนดหลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ และวงเงินงบประมาณไว้ ดงั นี้ ๑) โครงการประเภทท่ี ๑ เป็นโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริที่มีลักษณะเป็นงานด้านวิชาการ เช่น โครงการเพื่อการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง หรือโครงการท่ีมีลักษณะเป็นงานวิจัยและโครงการใด ๆ ท่ีสามารถด�ำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน ๑ ปี ซึ่งโครงการประเภทน้ี กปร. สามารถพิจารณาอนุมัติ โครงการและงบประมาณค่าใช้จ่ายตามโครงการได้ทั้งหมด เพือ่ ใหด้ ำ� เนนิ งานได้ทนั ที ๒) โครงการประเภทท่ี ๒ เป็นโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริที่มีลักษณะเป็นโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ โดยท่วั ไป ซ่ึงสามารถดำ� เนนิ การไดแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในไมเ่ กิน ๖ ปี ซ่งึ โครงการประเภทน้ี กปร. สามารถอนมุ ัติ งบประมาณคา่ ใชจ้ า่ ยใหส้ ามารถเรมิ่ งานไดท้ นั ทใี นปแี รก สว่ นปตี อ่ ๆ ไป หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งตอ้ งดำ� เนนิ การ เสนอของบประมาณไปตามปกติ ๓) โครงการประเภทท่ี ๓ เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริท่ีมีลักษณะเป็นโครงการใหญ่ท่ีใช้เวลา ด�ำเนินงานเกินกว่า ๖ ปีขึ้นไปจึงแล้วเสร็จ ซึ่งโครงการประเภทน้ี กปร. สามารถอนุมัติงบประมาณ ไดส้ ว่ นหนง่ึ เพอื่ ใหเ้ รม่ิ งานไดท้ นั ที หรอื พจิ ารณาอนมุ ตั เิ ฉพาะแตแ่ ผนงาน/โครงการเทา่ นน้ั สว่ นงบประมาณ ให้หนว่ ยงานราชการทเี่ ก่ียวขอ้ งนนั้ ๆ ด�ำเนนิ การของงบประมาณไปตามระบบปกติ
226 ๔) โครงการประเภทท่ี ๔ เป็นแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมอ่ืนใดที่มีพระราชประสงค์ให้ด�ำเนินการ ซง่ึ โครงการประเภทนี้ กปร. หรือประธาน กปร. อนุมัตแิ ผนงาน/โครงการ/กจิ กรรม และงบประมาณ ค่าใชจ้ า่ ยได้ตามความเหมาะสมในทุกกรณี ๑๐. หน่วยงานจะทราบไดอ้ ยา่ งไรวา่ โครงการได้รบั อนุมตั หิ รือไม่ เมอ่ื หน่วยงานได้รบั แจง้ การอนุมัติโครงการจากส�ำนกั งาน กปร. สำ� นกั งานฯ จะวิเคราะห์ พจิ ารณากลน่ั กรอง และน�ำเสนอ กปร. หรือ นายกรฐั มนตรี ซึง่ เป็นประธาน กปร. (สามารถใช้อำ� นาจ หนา้ ทแี่ ทน กปร. ได)้ พจิ ารณาอนมุ ตั ติ อ่ ไป หากไดร้ บั การอนมุ ตั ทิ างสำ� นกั งาน กปร. จะแจง้ ใหท้ กุ หนว่ ยงาน ทีเ่ กย่ี วข้องทราบโดยทันที ๑๑. เม่ือโครงการทห่ี นว่ ยงานเสนอไดร้ บั อนุมตั ิแล้ว จะตอ้ งดำ� เนนิ การอย่างไรบ้าง เมื่อหนว่ ยงานได้รับแจ้งการอนมุ ตั โิ ครงการจากส�ำนกั งาน กปร. แล้ว ให้ด�ำเนินการ ดังน้ี ๑) รีบติดต่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากส�ำนักงบประมาณ (ซึ่งส�ำนักงบประมาณ อาจตัดทอนจำ� นวนเงนิ ลงได้ตามมาตรฐานงบประมาณดงั ทีไ่ ด้กลา่ วไวแ้ ล้วขา้ งต้น ๒) เร่งด�ำเนินการตามโครงการท่ีได้เสนอมาให้ส�ำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเรว็ ๓) จดั ทำ� รายงานผลการดำ� เนนิ งานในแตล่ ะโครงการใหส้ ำ� นกั งาน กปร. ทราบเปน็ ระยะ ๆ ทุกรอบ ๓ เดือน ตลอดไปจนกวา่ โครงการจะเสร็จสิน้ โดยสมบรู ณ์ ๔) จัดท�ำรายงานใช้จ่ายงบประมาณในการด�ำเนินงานตามโครงการ อันเนื่องมาจาก พระราชดำ� ริใหส้ �ำนักงาน กปร. ทราบตามระยะเวลาทีก่ ำ� หนด (รายเดอื น) ๕) บรรจแุ ผนงาน/โครงการ และงบประมาณตอ่ เนอื่ งหรอื งบบำ� รงุ รกั ษา ฯลฯ ของโครงการนนั้ ไว้ในแผนงาน/งบประมาณปกตขิ องหนว่ ยงานเจ้าของเรอ่ื งในปีตอ่ ๆ ไป (กปร. จะอนุมัตใิ ห้เพยี งปีแรก เพ่อื ใหเ้ ร่มิ ต้นท�ำงานได้เทา่ นนั้ ) ๑๒. เมื่อหน่วยงานมปี ัญหาอปุ สรรค ขอ้ ขดั ขอ้ งตา่ ง ๆ ควรทำ� อย่างไร ในกรณีท่ีหน่วยงานเกิดมีปัญหา ข้อขัดข้องหรือุปสรรคใด ๆ ในกรณีเก่ียวกับการ ด�ำเนินงานตามโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริที่เกินก�ำลังความสามารถของหน่วยงาน ทีจ่ ะด�ำเนนิ การแก้ไขได้โปรดแจ้งใหส้ �ำนักงาน กปร. ทราบ เพอื่ จะได้ช่วยประสานงานและ/หรอื รว่ มกนั แก้ไขปญั หาต่อไป
227 ๑๓. สถานท่ีติดตอ่ ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ (ส�ำนักงาน กปร.) ๒๐๑๒ ซอยอรุณอัมรินทร์ ๓๖ ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงบางย่ีขัน เขตบางพลัด กรงุ เทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐-๒๔๔๗-๘๕๐๐-๖ โทรสาร ๐-๒๔๔๗-๘๕๖๒ ๑๔. ข้อสงั เกต ๑) โครงการใดทตี่ อ้ งใชร้ ะยะเวลาดำ� เนนิ การเกนิ ๑ ปขี นึ้ ไปจงึ แลว้ เสรจ็ ในปงี บประมาณ ต่อ ๆ ไปให้หน่วยงานต้ังงบประมาณไว้ในแผนงานปกติของส่วนราชการส�ำหรับการบ�ำรุงรักษา หรอื อนื่ ๆ ตอ่ ไปดว้ ยเนอ่ื งจากทาง กปร. จะพจิ ารณาอนมุ ตั ใิ หเ้ ฉพาะโครงการทเ่ี รมิ่ ใหมใ่ นปงี บประมาณนนั้ ๆ ซึ่งหนว่ ยงานอาจไมท่ ราบมากอ่ น และไม่ไดเ้ ตรียมงบประมาณไว้ ๒) โครงการท่ีเสนอจะต้องเป็นโครงการท่ีได้มีพระราชด�ำริใหม่ หรือเป็นโครงการเก่า แต่ได้มีพระราชด�ำริใหม่เพิ่มเติม ซ่ึงเป็นโครงการหรือกิจกรรมใหม่เริ่มแรกจริง ๆ งบประมาณ กปร. มีไวเ้ พ่ือใชจ้ า่ ยในลักษณะเปน็ เงินฉกุ เฉิน เพือ่ สนับสนุนหน่วยงานตา่ ง ๆ ให้สามารถสนองพระราชดำ� ริ ในโครงการใหม่ ๆ ท่ีจำ� เปน็ เรง่ ด่วนในทันทีเท่าน้นั และทกุ หนว่ ยงานจะต้องพิจารณาด�ำเนนิ การสนอง พระราชด�ำรโิ ดยใชจ้ า่ ยจากงบประมาณปกติของตนเองก่อน โดยการจดั ล�ำดบั ความส�ำคญั ของโครงการ อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ� รไิ วใ้ นลำ� ดบั สงู จนเมอื่ เกนิ กำ� ลงั ขดี ความสามารถแลว้ ทาง กปร. จงึ จะพจิ ารณา สนับสนุนงบประมาณใหไ้ ด้
228 บทที่ ๑๓ วินัยก�ำนนั ผใู้ หญบ่ า้ น ความหมายของวนิ ยั วินัยก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา ๖๑ ทวิ และ ๖๑ ตรี แห่งพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองท้องท่ี พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ก�ำหนดไว้ว่า ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต้องรักษาวินัย โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าผู้นั้นกระท�ำผิด ต้องได้รับโทษ วินัยและโทษวินัยให้ใช้กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนโดยอนุโลม วินัยจงึ มคี วามหมายได้ ๒ ความหมาย คอื ๑. ความหมายในทางรูปธรรม หมายถึง ระเบียบข้อบังคับหรือข้อปฏิบัติหรือแบบ เช่น ข้อปฏิบัติหรือแบบของทหาร พระ ครู เป็นต้น ซ่ึงในแต่ละวงการอาจผิดแผกแตกต่างกันไป การพจิ ารณาวา่ การกระทำ� ใดเปน็ ความผดิ วนิ ยั หรอื ไม่ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ เปน็ การกระทำ� ผดิ ขอ้ บงั คบั ขอ้ ปฏบิ ตั ิ หรือผิดแบบของคนในวงการนั้นหรือไม่ ดังนั้น ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จะต้องถือปฏิบัติตามระเบียบ ขอ้ บงั คบั หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ หรอื แบบอนั เปน็ การรกั ษา “วนิ ยั ” ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น ๒. ความในทางนามธรรม หมายถงึ ลกั ษณะเชิงพฤติกรรมทแ่ี สดงออกมาเป็นการควบคุม ตนเองหรือยอมรับ หรอื ปฏบิ ัติในทางท่ีถูกทค่ี วร ตามระเบยี บหลกั เกณฑ์ที่ทางราชการกำ� หนด ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จะต้องประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผน ที่ได้ก�ำหนดไวใ้ นกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บข้าราชการพลเรือน หรอื กฎหมายอน่ื ท่กี �ำหนดใหใ้ ชบ้ งั คับกับ ก�ำนนั ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ เพื่อเปน็ การควบคุมตนเอง หรือให้ผ้บู ังคับบญั ชาใชใ้ นการกำ� กบั ควบคุมกำ� นนั ผ้ใู หญ่บ้าน ฯลฯ เพ่อื ให้ประพฤตปิ ฏิบตั ติ นตามทกี่ ฎหมายกำ� หนด ความหมายของการด�ำเนินการทางวินยั การด�ำเนินการทางวินัย หมายถึง กระบวนการทั้งหลายที่กระท�ำเป็นพิธีการตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่ การสืบสวน การตั้งเร่ืองกล่าวหา การสอบสวน การพิจารณาความผิด การก�ำหนดโทษ และการลงโทษ จุดหมายของการด�ำเนินการทางวินัย ก็เพื่อให้ได้ความจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระท�ำผิด ในกรณีใดหรือไม่ ให้เปน็ ไปโดยยตุ ิธรรมตามกระบวนการทางนติ ธิ รรม ให้ผูก้ ระท�ำผดิ ได้รบั การลงโทษ และไมใ่ หล้ งโทษผ้ทู ีไ่ ม่มีความผดิ ใหก้ ารลงโทษเปน็ ไปโดยเหมาะสมกับความผดิ และเพ่ือใหก้ ารลงโทษ เปน็ ไปโดยสจุ รติ เมอ่ื ก�ำนัน ผู้ใหญ่บา้ น แพทยป์ ระจำ� ต�ำบล หรือผูช้ ว่ ยผู้ใหญ่บา้ น ถกู กล่าวหาว่ากระทำ� ผดิ วินยั ผบู้ งั คบั บญั ชากม็ หี นา้ ทใี่ นการสบื สวนหรอื แสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ และพยานหลกั ฐานเพอื่ ทจ่ี ะทราบรายละเอยี ด แห่งกรณีท่ีจะด�ำเนินการทางวนิ ยั ต่อไป
229 การกระทำ� ความผดิ วินัยของกำ� นนั ผู้ใหญบ่ ้าน ฯลฯ การกระท�ำความผดิ วินยั ของกำ� นนั ผใู้ หญ่บา้ น ฯลฯ มีเหตแุ ละปจั จยั ในการกระท�ำความผดิ ได้ ๒ ทาง คอื ๑. การไม่กระท�ำตามอ�ำนาจหน้าที่ของก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จนเกิดความเสียหายต่อ ทางราชการตามมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ มาตรา ๒๘ ทวิ มาตรา ๓๔ ถึงมาตรา ๔๔ แบ่ง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องท่ี พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗ เชน่ การไมอ่ �ำนวยความเปน็ ธรรมและไมป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในหมู่บ้าน การไม่สร้างความสามัคคีภายในหมู่บ้าน ไม่อ�ำนวยความสะดวกแก่ราษฎร การไม่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร การไม่สนับสนุน อ�ำนวยความสะดวกแก่หน่วยราชการของรัฐ การปล่อยปะละเลยให้ราษฎรกระท�ำผิดกฎหมาย การไม่อบรมให้ความรู้แก่ราษฎร การทุจริต โครงการต่าง ๆ การไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย การขัดค�ำสง่ั ของผู้บงั คับบัญชา เป็นต้น ๒. การกระท�ำท่ีไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่แต่เป็นความประพฤติท่ีเส่ือมเสีย เช่น การเข้าไป เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่ว่าในฐานะผู้ขาย ผู้เสพหรือให้การสนับสนุน มีพฤติกรรมทางด้านชู้สาว เล่นการพนนั การท�ำความผิดจนได้รบั โทษทางอาญาทไ่ี ม่เกีย่ วข้องกบั หนา้ ที่ เป็นตน้ การสบื สวน การสืบสวน คือ การแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพ่ือที่จะทราบรายละเอียด แหง่ กรณที ่จี ะด�ำเนินการทางวินัยต่อไป โดยสรปุ การสืบสวนวินัยมี ๒ กรณี คือ ๑. การสืบสวนก่อนด�ำเนินการทางวินัย ได้แก่ การสืบสวนเม่ือมีกรณีสงสัยว่าก�ำนัน ผู้ใหญบ่ ้าน ฯลฯ อาจกระทำ� ผิดวินัย เพอื่ ให้ไดข้ ้อเท็จจรงิ ที่จะฟงั วา่ กรณีมมี ลู นา่ เชอ่ื ว่ากำ� นัน ผู้ใหญบ่ า้ น ฯลฯ น้นั กระท�ำผิดวนิ ยั หรอื ไม่ หากกรณมี ีมูลก็ใหด้ �ำเนนิ การทางวนิ ยั ต่อไป แต่ถ้าสืบสวนแล้วเห็นว่า กรณีไมม่ มี ูลก็ไมต่ อ้ งด�ำเนินการทางวนิ ัยแตอ่ ย่างใด การสืบสวนก่อนด�ำเนินการทางวินัย เป็นกระบวนการท่ีไม่จ�ำเป็นต้องกระท�ำเป็นพิธีการ ตามกฎหมาย จึงอาจกระท�ำโดยทางลับก็ได้ ดังน้ัน จึงมิควรผลีผลามด�ำเนินการทางวินัยแก่ก�ำนัน ผู้ใหญบ่ ้าน ฯลฯ โดยยงั มไิ ด้สบื สวนใหไ้ ด้ขอ้ เทจ็ จรงิ เสียกอ่ นวา่ กรณีมีมลู หรือไม่ กรณีท่ีควรจะท�ำการสืบสวนซึ่งมีการกล่าวหาหรือสงสัยว่าก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ กระท�ำผิดนม้ี ีทม่ี าอันเป็นมลู กรณีที่ปรากฏขึน้ หลายทาง เช่น ๑) มีผู้ร้องเรียนกล่าวหาว่ามีการกระท�ำผิดวินัยโดยแจ้งชื่อและที่อยู่ของตนเป็นที่แน่นอน พร้อมทง้ั ระบกุ รณที ่กี ล่าวหาพอท่จี ะสามารถด�ำเนนิ การสบื สวนขอ้ เท็จจรงิ ตอ่ ไปได้ ๒) ผ้บู ังคับบัญชารเู้ หน็ หรอื สงสยั ว่ากำ� นนั ผใู้ หญ่บ้าน ฯลฯ ในบงั คบั บญั ชากระท�ำผิดวนิ ัย ซง่ึ อาจไดร้ ูเ้ ห็นการกระท�ำเองหรือมีผู้บอกให้รู้หรือพบเห็นจากเอกสารหลกั ฐาน
230 ๓) สว่ นราชการหรอื หนว่ ยงานอน่ื แจง้ มาใหท้ ราบวา่ กำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ในบงั คบั บญั ชา กระทำ� ผดิ วินยั หรอื สงสยั วา่ กระทำ� ผดิ วนิ ัย ๔) มบี ตั รสนเทห่ ก์ ลา่ วหาวา่ กำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ในบงั คบั บญั ชากระทำ� ผดิ วนิ ยั โดยระบุ พยานหลักฐานกรณแี วดล้อมชดั แจง้ ตลอดจนระบพุ ยานบคุ คลแนน่ อน ๒. การสืบสวนซ่ึงเปน็ การดำ� เนินการทางวนิ ัย ได้แก่ การสบื สวนเพอ่ื ให้ไดข้ อ้ เท็จจริงที่จะฟังว่า ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ได้กระท�ำผิดวินัย เช่น กระท�ำผิดอาญาจนอาจได้รับโทษจ�ำคุกหรือโทษ ที่หนักกว่าจ�ำคุก โดยค�ำพิพากษาถึงที่สุดให้จ�ำคุกหรือให้ลงโทษท่ีหนักกว่าจ�ำคุก เว้นแต่โทษส�ำหรับ ความผิดท่ีได้กระท�ำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ อันเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามกฎ ก.พ. ฉบบั ท่ี ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๓๙) หรอื ไม่ การสืบสวนดังกล่าวนี้ เป็นกระบวนการอันเป็นส่วนหนึ่งของการด�ำเนินการทางวินัยในกรณี ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ที่จะไม่ต้องต้ังคณะกรรมการข้ึนสอบสวนก็ได้ เพราะเป็นความผิดที่ ปรากฏชัดแจ้งเพียงแต่สืบสวนให้ได้ความว่ามีการกระท�ำผิดอาญาจนได้รับโทษจ�ำคุกหรือไม ่ ตามกฎ ก.พ. ฉบบั ที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ถา้ การกระทำ� ดงั กลา่ วไม่เปน็ ความผิดอาญาจนได้มีโทษจ�ำคกุ หรือโทษท่ีหนักกว่าจ�ำคุกก็ไม่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ซ่ึงถ้าจะลงโทษฐานกระท�ำผิดวินัย อย่างร้ายแรงก็ต้องมกี ารตง้ั คณะกรรมการขึน้ ทำ� การสอบสวนเสยี กอ่ น วธิ ีการสบื สวน ๑. การสืบสวนโดยทางลับ ได้แก่ การสืบสวนที่ด�ำเนินการไปโดยมิให้ผู้กระท�ำผิดหรือ ผู้ถกู สงสัยวา่ เปน็ ผกู้ ระท�ำผดิ รู้ตวั ถงึ เรือ่ งทีจ่ ะทำ� การสบื สวน โดยใชก้ ลวิธีทเ่ี หมาะสม เชน่ การเขา้ ไปพดู คยุ โดยปกตธิ รรมดา หวา่ นลอ้ มใหพ้ ดู ในประเดน็ ทต่ี อ้ งการทราบ หรอื ทำ� ทเี ขา้ ไปศกึ ษาถงึ วธิ กี ารดำ� เนนิ การ หรือปฏิบัติงานและขอดูเอกสารเกี่ยวกับเร่ืองน้ันโดยที่ผู้นั้นไม่ทันรู้ตัว หรือจะมอบหมายให้บุคคลหน่ึง บคุ คลใดเขา้ ไปอยใู่ นเหตกุ ารณเ์ พอ่ื จะไดท้ ราบถงึ ความเคลอ่ื นไหวหรอื ขอ้ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ เกย่ี วกบั เรอื่ งนนั้ ๆ วา่ มแี นวโนม้ พอทจี่ ะเช่อื ไดว้ า่ ใครเปน็ ผ้กู ระทำ� ผดิ หรือผู้นนั้ ไดก้ ระท�ำความผดิ จริงหรอื ไม่ ๒. การสืบสวนโดยเปดิ เผย ได้แก่ การแสวงหาข้อเทจ็ จรงิ โดยวิธีแจง้ หรอื แสดงให้ผ้ถู กู สงสัย หรือผู้ถูกกล่าวหาทราบถึงประเด็นแห่งข้อกล่าวหา และขอให้ช้ีแจงแสดงเหตุผลแก้ข้อกล่าวหา โดยปกติผู้สืบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่หรือข้อมูลต่าง ๆ ไว้ก่อน เพื่อสะดวก ในการที่จะช้ีหรือยืนยันถึงข้อกล่าวหาน้ัน
231 การต้ังเรื่องกลา่ วหา การต้ังเร่ืองกล่าวหาต่อก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ เป็นข้ันตอนที่จ�ำเป็นจะต้องแจ้งให้ก�ำนัน ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ผถู้ กู กลา่ วหาทราบวา่ กระทำ� ผดิ วนิ ยั ในเรอ่ื งใด เพอื่ ใหก้ ำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ผถู้ กู กลา่ วหา ไดร้ ตู้ วั และมโี อกาสช้แี จงหรือแก้ขอ้ กล่าวหาได้ และจะไดเ้ ป็นหลกั ฐานวา่ ผ้บู ังคบั บญั ชา ซึ่งรู้ว่าก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ผู้ใดกระท�ำผิดวินัยซึ่งได้ด�ำเนินการแก่ผู้น้ันแล้วมิได้ละเลยหน้าท่ีตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ หากแต่มิได้มีการลงโทษ เพราะเหน็ วา่ ไม่มีความผิดตามทม่ี ผี ้รู อ้ งเรยี น มี ๒ กรณี ๑. กรณกี ลา่ วหาวา่ กระทำ� ผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรงและเหน็ วา่ กรณมี มี ลู ตอ้ งแตง่ ตง้ั คณะกรรมการ ขนึ้ ทำ� การสอบสวน ตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ การแตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนดงั กลา่ วกเ็ ปน็ การตงั้ เรอื่ งกลา่ วหาซง่ึ ในคำ� สงั่ จะระบชุ อ่ื ผถู้ กู กลา่ วหา และเรอ่ื งทก่ี ล่าวหาไว้ ๒. กรณีกล่าวหาว่ากระท�ำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มิได้บังคับให้แต่งต้ังคณะกรรมการ ขนึ้ ทำ� การสอบสวน การตงั้ เรอื่ งกลา่ วหาจงึ อาจกระทำ� โดยทำ� บนั ทกึ แจง้ ใหผ้ กู้ ลา่ วหาทราบเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร วา่ ถกู กลา่ วหาวา่ กระทำ� ผดิ วนิ ยั เรอื่ งใด สาระสำ� คญั ทจ่ี ะตอ้ งมใี นการตง้ั เรอื่ งทก่ี ลา่ วหา คอื ขอ้ ความซง่ึ บนั ทกึ เป็นลายลักษณ์อักษรระบุชื่อผู้ถูกกล่าวหาและเร่ืองท่ีกล่าวหา ผู้ต้ังเรื่องที่กล่าวหาคือ ผู้บังคับบัญชา ของผถู้ กู กล่าวหา หลักการพิจารณาก�ำหนดโทษ ในการพิจารณากำ� หนดโทษ มีหลักท่คี วรค�ำนงึ ถึงอยู่บางประการ คอื ๑. หลกั นติ ธิ รรม คอื คำ� นงึ ถงึ ระดบั โทษตามกฎหมายทก่ี ำ� หนด ซง่ึ อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๓ ระดบั คอื ๑) ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะต้องลงโทษสถานไล่ออก หรือปลดออกตามความ ร้ายแรงแหง่ กรณี จะลดหยอ่ นก็ได้ แตจ่ ะลดลงตำ่� กว่าปลดออกไมไ่ ด้ (มาตรา ๑๐๔ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕) ๒) ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง จะต้องลงโทษสถานลดข้ันเงินเดือน ตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ และถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อน จะลดหย่อนลงเป็นตัดเงินเดือนหรือภาคทัณฑ์ก็ได้ (มาตรา ๑๐๓ วรรคแรก แหง่ พระราชบัญญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕) ๓) ความผิดวินัยเล็กน้อย ต้องลงโทษสถานภาคทัณฑ์ และถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่า มเี หตอุ ันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดยท�ำทณั ฑ์บนเปน็ หนังสือหรอื วา่ กลา่ วตักเตอื นกไ็ ด้ (มาตรา ๑๐๓ วรรคแรก และวรรคสอง แห่งพระราชบญั ญัติระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕)
232 ๒. หลกั มโนธรรม คอื คำ� นงึ ถงึ ความถกู ตอ้ งเหมาะสมตามเหตผุ ลทคี่ วรจะเปน็ ภายในขอบเขต ระดับโทษตามท่ีกฎหมายก�ำหนด เช่น ในกรณีที่กฎหมายก�ำหนดว่าความผิดวินัยอย่างร้ายแรงจะต้อง ลงโทษไล่ออกหรือปลดออก ดังน้ี กรณีใดควรก�ำหนดโทษเป็นไล่ออกและกรณีใดควรก�ำหนดโทษ เปน็ ปลดออก ควรใชห้ ลักมโนธรรมเขา้ ประกอบการพจิ ารณาด้วย และทำ� นองเดยี วกนั ในกรณีความผดิ ไมถ่ งึ ขน้ั รา้ ยแรงกรณไี หนจะควรลงโทษลดขน้ั เงนิ เดอื น ตดั เงนิ เดอื น หรอื ภาคทณั ฑ์ กค็ วรใชห้ ลกั มโนธรรม เข้าประกอบการพิจารณา และกรณีใดจะควรลดโทษ หรืองดโทษ ก็ควรใชห้ ลักมโนธรรมเข้าประกอบ การพจิ ารณาดว้ ย ๓. หลกั ความเปน็ ธรรมหรอื หลกั ความเสมอภาค คอื การลงโทษจะตอ้ งใหไ้ ดร้ ะดบั เสมอหนา้ กนั ใครท�ำผิดก็จะต้องถูกลงโทษ ไม่มียกเว้น ไม่เลือกท่ีรักมักที่ชัง การกระท�ำผิดอย่างเดียวกันในลักษณะ และพฤติการณ์คลา้ ยคลงึ กนั ควรจะลงโทษเทา่ กัน อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นความผิดอย่างเดียวกันก็อาจแตกต่างกันในลักษณะพฤติการณ์ หรือเหตุผลซึ่งอาจใช้ดุลพินิจลงโทษหนักเบาแตกต่างกันตามควรแก่กรณีก็ได้ โดยน�ำเหตุบางประการ มาประกอบการพิจารณา เช่น ๑) ลกั ษณะของการกระทำ� ผดิ ความผดิ อยา่ งเดยี วกัน บางกรณีพฤตกิ ารณ์หรือลกั ษณะ แหง่ การกระทำ� ผดิ เป็นการกระทำ� ผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะต้องลงโทษสถานหนกั อาจถึงขั้นไลอ่ อกจาก ราชการ แต่บางกรณีพฤติการณ์หรือลักษณะแห่งการกระท�ำผิดไม่ถึงข้ันเป็นความผิดร้ายแรง ซง่ึ อาจพิจารณาลงโทษสถานเบาลดหลน่ั กนั ตามควรแกก่ รณี ๒) ผลแห่งการกระท�ำผิด ความผิดอย่างเดียวกันอาจต้องลงโทษต่างกัน เพราะผลแห่ง การกระทำ� ผดิ ทำ� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกท่ างราชการหรอื แกช่ อื่ เสยี งของตำ� แหนง่ หนา้ ทม่ี ากนอ้ ยตา่ งกนั ๓) คุณความดี ในความผิดอย่างเดียวกัน ผู้มีประวัติท�ำงานดี ไม่เคยกระท�ำผิดมาก่อน อาจจะได้รับโทษน้อยกว่าผู้ที่เคยท�ำผิดมาก่อนแล้ว ผู้กระท�ำผิดในเร่ืองเดียวกัน คนท่ีพยายามแก้ไข บรรเทาผลร้ายอาจได้รับโทษน้อยกว่าผู้ไม่ได้พยายามท�ำเช่นน้ัน เช่น เจ้าหน้าท่ีราชทัณฑ์ท่ีคุมนักโทษ ไม่ดีเป็นเหตุให้นักโทษหลบหนีคนที่พยายามติดตามจับกุมนักโทษท่ีหลบหนีคืนมาได้ควรจะได้รับโทษ นอ้ ยกวา่ คนที่ไมพ่ ยายามท�ำเช่นนัน้ ๔) การรหู้ รอื ไมร่ วู้ ่าการกระท�ำเชน่ น้นั เปน็ ความผดิ ถ้าท�ำไปทงั้ ๆ ที่รวู้ า่ ผิด ยอ่ มมโี ทษ หนกั กวา่ ท�ำไปเพราะไม่รวู้ า่ ผิด ๕) การใหโ้ อกาสแก้ไขความประพฤติ ถ้าเป็นความผิดเล็กนอ้ ยไมร่ า้ ยแรง อาจให้โอกาส แก่ผู้กระท�ำผิดที่จะแก้ไขความประพฤติอีกคร้ัง โดยลงโทษสถานเบา หรือถ้าเป็นความผิดเล็กน้อย และทำ� ผิดครั้งแรกอาจยกโทษให้ก็ได้
233 ๖) เหตเุ บอื้ งหลงั การกระทำ� ผดิ การกระทำ� ความผดิ เพราะความจำ� เปน็ บงั คบั หรอื ถกู ยว่ั โทสะ อาจได้รับโทษเล็กน้อยกว่าท�ำผิดโดยสันดานช่ัวร้าย บางทีการกระท�ำผิดอาจเกิดขึ้นเพราะโรคจิต ซง่ึ ตอ้ งใช้การรักษามากกวา่ การลงโทษ ๗) สภาพของผู้กระท�ำผิด ในความผิดอย่างเดียวกันอาจก�ำหนดโทษต่างกันตามสภาพ ของผู้กระท�ำผิด ซ่งึ อาจตอ้ งพิจารณาโดยคำ� นึงถงึ เพศ อายตุ วั อายรุ าชการ การศกึ ษา ตำ� แหน่งหนา้ ท่ี และสภาพทางดา้ นสว่ นตวั ด้านอ่นื ๆ ของผ้กู ระท�ำผดิ จดุ มงุ่ หมายในการใหน้ ำ� เหตดุ งั กลา่ วขา้ งตน้ มาประกอบดลุ พนิ จิ ในการลงโทษหนกั เบานนั้ ไม่ไดม้ าจากนโยบายผอ่ นปรนหรือนโยบายกวดขนั แต่มาจากแนวความคิดทเ่ี หน็ วา่ การพิจารณาโทษ ไมค่ วรจะเปน็ ไปตามกลไกตายตวั เสยี ทีเดียว ควรจะใหผ้ ู้บังคบั บญั ชาและ ผพู้ จิ ารณาใช้ดุลพินิจไดบ้ า้ ง บนพื้นฐานของการชงั่ นำ�้ หนักเหตุตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วขา้ งต้น ๔. นโยบายของทางราชการ ผู้บังคับบัญชาควรจะได้ทราบนโยบายของทางราชการ ในการลงโทษกำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ทกี่ ระทำ� ผดิ วนิ ยั ในกรณตี า่ ง ๆ เพอื่ นำ� มาเปน็ หลกั ในการใชด้ ลุ พนิ จิ กำ� หนดระดบั โทษใหไ้ ดม้ าตรฐานตามทท่ี างราชการกำ� หนดไว้ นโยบายของทางราชการนนั้ อาจมปี รากฏอยู่ ในคำ� แถลงนโยบายของรฐั บาล มตคิ ณะรฐั มนตรี หรือมติ ก.พ. เปน็ ตน้ การลงโทษทางวินยั จุดมุ่งหมาย การลงโทษทางวินัยมิได้มีจุดมุ่งหมายท่ีจะให้เป็นการตอบโต้หรือแก้แค้น ตอ่ ผกู้ ระทำ� ผดิ วนิ ยั ทงั้ นต้ี ามมาตรา ๑๐๑ แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ ไดก้ ำ� หนดวา่ “ผสู้ ัง่ ลงโทษตอ้ งสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผดิ และมใิ หเ้ ป็นไปโดยพยาบาทโดยอคติ หรอื โดยโทสะจรติ หรือลงโทษผทู้ ไี่ มม่ ีความผดิ ” ซ่ึงพอจะกลา่ วได้วา่ จุดมุ่งหมายในการลงโทษทางวินยั มดี ังตอ่ ไปนี้ ๑. เพอื่ รักษาความศักดสิ์ ทิ ธ์ิของกฎหมายหรอื ระเบยี บแบบแผน เพ่ือท่ีจะให้ผู้บังคับบัญชาด�ำเนินการลงโทษผู้กระท�ำผิดวินัยโดยเคร่งครัด เพ่ือรักษา ความศกั ดสิ์ ทิ ธข์ิ องกฎหมายหรอื เพอื่ เปน็ การ “ปราบ” ผกู้ ระทำ� ผดิ และ “ปราม” ไวม้ ใิ หผ้ อู้ นื่ เอาเยยี่ งอยา่ ง ให้สังวรไว้ว่าถ้ากระท�ำผิดวนิ ยั จะต้องถูกลงโทษ ๒. เพ่อื รกั ษามาตรฐานความประพฤติ ขวญั และสมรรถภาพ เพ่ือให้ผู้ส่ังลงโทษต้องส่ังลงโทษให้เหมาะสมกับความผิด และมิให้เป็นไปโดยพยาบาท โดยอคตหิ รอื โดยโทสะจรติ หรอื ลงโทษผทู้ ไี่ มม่ คี วามผดิ ในคำ� สง่ั ลงโทษใหแ้ สดงใหช้ ดั เจนวา่ ผถู้ กู ลงโทษ กระทำ� ผดิ วนิ ยั โดยมขี อ้ เทจ็ จรงิ ทไ่ี ดจ้ ากการสอบสวน พยานหลกั ฐาน และเหตผุ ลทส่ี นบั สนนุ ขอ้ กลา่ วหาอยา่ งไร เปน็ การกระท�ำผิดวนิ ยั กรณใี ด มาตราใด
234 การลงโทษทางวินัยแก่ผู้กระท�ำผิดต้องกระท�ำโดยฉับพลัน คือลงโทษในเวลาใกล้เคียง กับทพ่ี บการกระทำ� ผดิ ลงโทษโดยเปน็ ธรรม คือ ได้พจิ ารณาโดยถอ่ งแทแ้ ล้วว่ากระท�ำผดิ จริง ลงโทษ โดยเสมอหน้า ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และลงโทษในระดับที่เหมาะสมแก่ความผิด อันจะท�ำให้ส่วนรวม มีความระมัดระวังในการรักษามาตรฐานความประพฤติและรู้สึกว่ามีความเป็นธรรมในราชการ ท�ำให้มีขวัญและก�ำลังใจในการท่ีจะประพฤติและปฏิบัติตนให้อยู่ในมาตรฐานท่ีดีและท�ำงานให้ดี ในทางตรงกันข้ามถ้าในหน่วยงานใดผู้บังคับบัญชาไม่ลงโทษผู้กระท�ำผิด หรือลงโทษไม่ยุติธรรม หรือไม่เหมาะสมกจ็ ะท�ำให้ขวญั กำ� ลงั ใจของส่วนรวมเสียไป และไมม่ กี ำ� ลงั ใจในการท�ำงานหรอื ไม่สนใจ ท่จี ะรักษามาตรฐานความประพฤติ ๓. เพ่ือจงู ใจให้ปรบั ปรุงตนเองใหด้ ขี ึ้น การลงโทษทางวินัยแก่ผู้กระท�ำผิดวินัยผู้ใด ควรที่จะได้ท�ำให้ผู้น้ันรู้ เข้าใจ และยอมรับ ในความผดิ ทต่ี นไดก้ ระทำ� นนั้ ทำ� ใหเ้ กดิ ความสำ� นกึ ในสงิ่ ทไ่ี ดก้ ระทำ� ลงไปวา่ เปน็ สง่ิ ทไี่ มป่ ระสงคข์ องสว่ นรวม และของทางราชการ และผู้ท่ีกระท�ำผิดจะได้รับผลสนองการกระท�ำความผิดโดยต้องถูกลงโทษ จะเป็นทางจูงใจให้ผู้กระท�ำผิดปรับปรุงตนเองให้ดีข้ึน ท้ังนี้ นอกจากจะแสดงความผิดให้ปรากฏชัด ในค�ำสั่งลงโทษแล้ว ผู้บังคับบัญชาควรจะได้เรียกผู้ถูกลงโทษมาชี้แจงให้รู้ส�ำนึกในความผิดเข้าใจว่า ตนยอมรบั ในความผิดนน้ั และหาทางจงู ใจให้ปรบั ปรุงตนเองให้ดีขน้ึ ตอ่ ไปดว้ ย ๔. เพอ่ื รกั ษาชอื่ เสยี งของทางราชการและความเชอื่ มนั่ ของประชาชนตอ่ ทางราชการ ทางหนึ่งท่ีจะรักษาช่ือเสียงและความเช่ือมั่นของประชาชนต่อทางราชการ ก็คือ ท�ำให้เจา้ หนา้ ท่ผี ูป้ ฏิบตั ิงานมรี ะเบยี บ วนิ ัย มสี มรรถภาพในการท�ำงานโดยสม�่ำเสมอ หากในหน่วยงานใด มเี จา้ หนา้ ทผี่ ปู้ ฏบิ ตั งิ านบกพรอ่ งในเรอ่ื งระเบยี บ วนิ ยั หรอื บกพรอ่ งในการปฏบิ ตั ริ าชการ กม็ คี วามจำ� เปน็ ที่จะต้องลงโทษเจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานท่ีบกพร่องน้ัน ๆ เพื่อท่ีจะได้รักษาไว้ซ่ึงชื่อเสียงของทางราชการ และความเช่ือถือของประชาชนตอ่ ทางราชการ โทษทางวินยั พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐๐ ได้ก�ำหนดโทษ ผดิ วนิ ยั ไว้ ๕ สถาน คอื ๑. ภาคทณั ฑ์ ๒. ตัดเงนิ เดือน ๓. ลดขั้นเงินเดอื น ๔. ปลดออก ๕. ไล่ออก
235 โทษ ๕ สถาน ดงั กลา่ วข้างต้น แบ่งออกไดเ้ ปน็ ๓ ระดบั ดังนี้ ก. โทษส�ำหรับการกระท�ำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ได้แก่ ไล่ออก ปลดออก ถ้ามีเหตุอันควร ลดหยอ่ น จะนำ� มาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่หา้ มมใิ ห้ลดโทษลงต�ำ่ กว่าปลดออก ข. โทษส�ำหรบั ความผิดวนิ ยั ไม่รา้ ยแรง ไดแ้ ก่ ลดขัน้ เงินเดือน ตดั เงนิ เดือน หรือภาคทัณฑ์ ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะน�ำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ เช่น จากโทษลดขั้นเงินเดือน เปน็ ตัดเงนิ เดือนหรือจากโทษตัดเงนิ เดือนเป็นภาคทัณฑ์ ค. โทษส�ำหรับความผิดวินัยเล็กน้อย เป็นกรณีกระท�ำผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควร ลดหยอ่ นซง่ึ ยงั ไมถ่ งึ กับจะต้องถกู ลงโทษตัดเงินเดอื น ได้แก่ ภาคทณั ฑ์ และหากมเี หตุอนั ควรลดหยอ่ น ในระดบั ภาคทณั ฑ์จะงดโทษใหโ้ ดยให้ทำ� ทณั ฑบ์ นเปน็ หนังสือ หรอื วา่ กลา่ วตักเตือนก็ได้ การลงโทษแกผ่ กู้ ระทำ� ผดิ วนิ ยั ในแตล่ ะระดบั นนั้ ผมู้ อี ำ� นาจในการสงั่ ลงโทษจะตอ้ งใชด้ ลุ พนิ จิ ในการพิจารณาหรือสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับกรณีความผิด และนอกจากนี้จะต้องน�ำหลักนิติธรรม หลกั มโนธรรม หลกั ความเปน็ ธรรม และนโยบายของทางราชการมาประกอบการพิจารณาด้วย อ�ำนาจในการลงโทษก�ำนัน ผู้ใหญบ่ า้ น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๖๑ ทว ิ และมาตรา ๖๑ ตรี ไดก้ ำ� หนดใหผ้ มู้ อี ำ� นาจลงโทษกำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น แพทยป์ ระจำ� ตำ� บล และผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น ดงั นี้ ๑. กำ� นัน มอี ำ� นาจลงโทษภาคทณั ฑ์ผูใ้ หญบ่ า้ น และผู้ชว่ ยผู้ใหญบ่ า้ น ๒. นายอำ� เภอ มีอำ� นาจลงโทษกำ� นนั ผูใ้ หญ่บา้ น แพทย์ประจำ� ตำ� บล และผู้ช่วยผูใ้ หญบ่ า้ น ดังนี้ ๒.๑ ลดอนั ดบั เงินเดือนไม่เกนิ ๑ อันดับ ๒.๒ ตัดเงินเดอื นโดยเทียบในฐานะเปน็ ผู้บังคับบัญชาชั้นหัวหนา้ แผนก กับผกู้ ระทำ� ผิด ชน้ั เสมยี นพนกั งานตามทก่ี ำ� หนดไวใ้ นกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการ พลเรอื น (ลงโทษตดั คา่ ตอบแทน ไดค้ รงั้ ละไม่เกินรอ้ ยละ ๕ เป็นเวลาไมเ่ กนิ ๑ เดือน) ๒.๓ ลงโทษภาคทัณฑ์ ๓. ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอ�ำนาจลงโทษก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วย ผูใ้ หญบ่ ้าน ไดใ้ นทกุ สถาน ในกรณกี ารลดอนั ดับและตดั เงินเดือน ใหเ้ ทยี บผู้วา่ ราชการจงั หวดั ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาช้ันหัวหน้ากอง และก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นชัน้ เสมยี นพนกั งาน (ลงโทษตดั คา่ ตอบแทนได้ครั้งละไมเ่ กินรอ้ ยละ ๕ เปน็ เวลาไม่เกนิ ๑ เดือน)
236 การออกค�ำสั่งลงโทษ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐๑ ไดก้ ำ� หนดใหก้ ารลงโทษ ข้าราชการพลเรือนสามัญให้ท�ำเป็นค�ำส่ังเกี่ยวกับการลงโทษให้เป็นไปตามระเบียบท่ี ก.พ. วางไว ้ ผสู้ ่ังลงโทษตอ้ งลงโทษให้เหมาะสมกับความผดิ และมใิ หเ้ ปน็ ไปโดยพยาบาท โดยอคติ หรือโดยโทสะจรติ หรอื ลงโทษผูท้ ไี่ ม่มีความผดิ ในคำ� ส่งั ลงโทษให้แสดงวา่ ผู้ถกู ลงโทษกระท�ำผดิ วนิ ยั ในกรณใี ด ตามมาตราใด ซง่ึ สำ� นกั งาน ก.พ. ไดว้ างแนวทางและวธิ กี ารออกคำ� สง่ั ไวใ้ นระเบยี บ ก.พ. วา่ ดว้ ยวนั ออกจากราชการ ของข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวิธีการออกค�ำสั่งเกี่ยวกับการลงโทษ ขา้ ราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพ่อื ใหถ้ ือปฏิบตั ติ ่อไป การส่งั พักหนา้ ที่ พระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองท้องที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗ มาตรา ๖๑ ทวิ ไดบ้ ัญญตั ใิ ห้ นายอำ� เภอมอี ำ� นาจสั่งพกั หนา้ ทกี่ ำ� นนั ผ้ใู หญบ่ ้าน ผ้ชู ว่ ยผใู้ หญ่บ้าน (มาตรา ๖๑ ตรี) ได้ ๒ กรณี คอื ๑. ถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่คดีความผิดในลักษณะฐานลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระท�ำ โดยประมาท หรอื ๒. มีกรณที ีต่ ้องหาว่าผิดวนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรงถกู สอบสวนเพอ่ื ไล่ออกหรอื ปลดออก คำ� วา่ ถูกฟอ้ ง ในคดอี าญา ตามมาตรา ๖๑ ทวิ แหง่ พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองท้องที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗ ไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ริ วมถงึ กรณตี อ้ งหาวา่ กระทำ� ผดิ อาญาเหมอื นอยา่ งพระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ การถกู ฟ้อง ในคดีอาญา หมายถึงศาลได้ประทบั รบั ฟอ้ งแล้ว ดังนั้น ในกรณกี �ำนนั ผ้ใู หญบ่ ้าน ฯลฯ เพียงตอ้ งหาคดอี าญาจงึ สงั่ พักหน้าที่ไมไ่ ด้ ค�ำว่า ถูกสอบสวน หมายความถึง ถูกต้ังคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย อยา่ งรา้ ยแรงกอ่ นแล้วจึงจะสัง่ พกั หนา้ ทไ่ี ด้ การสั่งพักหน้าที่ทั้งสองกรณี เป็นกรณีที่นายอ�ำเภอใช้ดุลพินิจว่าถ้าคงให้อยู่ในต�ำแหน่ง ต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ จะสั่งให้พักหน้าที่ก็ได้ ซึ่งควรพิจารณาในเรื่องความผิดเกี่ยวกับ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทร่ี าชการความประพฤตหิ รอื พฤตกิ ารณอ์ นั ไมน่ า่ ไวว้ างใจ พฤตกิ ารณท์ จ่ี ะเปน็ อปุ สรรค ต่อการสอบสวนหรอื พิจารณา หรือจะก่อให้เกิดความไมส่ งบเรียบร้อย อำ� นาจในการสงั่ พกั หนา้ ที่เป็นของนายอำ� เภอ แล้วรายงานให้ผวู้ ่าราชการจังหวัดทราบ ในการทำ� ค�ำสงั่ พกั หน้าท่โี ดยหลักท่ัวไป ตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ข้อ ๖ ห้ามมใิ ห้สงั่ พกั ยอ้ นหลังไปกอ่ นวันออกคำ� สั่ง เว้นแต่ (๑) ผู้ถูกสั่งพักอยู่ในระหว่างควบคุมหรือขัง โดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญาหรือต้องจ�ำคุก โดยคำ� พิพากษา ใหส้ ัง่ พักย้อนหลงั ไปถึงวนั ท่ถี ูกควบคุมหรือขัง หรอื ตอ้ งจ�ำคกุ (๒) ได้มีการส่ังพักหน้าที่ไว้แล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่ เพราะค�ำสั่งเดิมไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง ใหส้ ัง่ พกั ตงั้ แต่วนั ท่ีพักหนา้ ทตี่ ามค�ำสงั่ เดิม
237 การสั่งใหก้ ลับเข้ามารบั หนา้ ท่ี เมอ่ื ก�ำนัน ผูใ้ หญบ่ ้าน และผชู้ ่วยผใู้ หญบ่ า้ น ถูกส่ังพกั หนา้ ทีแ่ ล้ว หากการสอบสวนปรากฏว่า ไมไ่ ดก้ ระทำ� ผดิ หรอื กระทำ� ความผดิ แตไ่ มถ่ งึ กบั จะตอ้ งถกู ลงโทษไลอ่ อก ปลดออก การสง่ั กลบั เขา้ รบั หนา้ ที่ เป็นอ�ำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมทั้งการวินิจฉัยว่าควรจะจ่ายเงินเดือนระหว่างพักให้เพียงใด หรือไม่ โดยอนุโลมตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น การรอ้ งทกุ ข์ การรอ้ งทุกข์ หมายถึง การทกี่ ำ� นนั ผูใ้ หญบ่ า้ น แพทยป์ ระจำ� ตำ� บล และผูช้ ว่ ยผ้ใู หญ่บา้ น ผูถ้ ูกลงโทษทางวินัย รอ้ งขอให้ผมู้ ีอำ� นาจหน้าท่ีตามทกี่ ฎหมายกำ� หนดไว้ ไดย้ กเร่ืองขน้ึ ใหพ้ จิ ารณาใหม่ ให้เปน็ ไปในทางที่เปน็ คุณแกผ่ ูร้ ้อง พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗ มาตรา ๖๑ ทวิ และมาตรา ๖๑ ตรี ได้ก�ำหนดให้ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านผู้ถูกลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อกจากตำ� แหนง่ มสี ทิ ธริ อ้ งทกุ ขต์ อ่ กระทรวงมหาดไทย เมอ่ื เหน็ วา่ ตนเองไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรม จากการถูกลงโทษ การร้องทุกข์ดังกล่าวนี้ ให้ทำ� ค�ำรอ้ งลงลายมือชอ่ื ย่ืนต่อนายอำ� เภอภายในกำ� หนด ๑๕ วัน นบั แตว่ นั ทไ่ี ดร้ บั ทราบคำ� สงั่ ลงโทษ เพอ่ื นายอำ� เภอจะไดเ้ สนอตอ่ ไปยงั ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั และกระทรวง มหาดไทย ตามล�ำดบั ภายในกำ� หนด ๑๕ วนั นบั แต่วันทไ่ี ด้รับค�ำรอ้ งทกุ ข์ พรอ้ มด้วยค�ำชแ้ี จงถ้าจะพึงมี ใหก้ ระทรวงมหาดไทยมอี �ำนาจสง่ั ยกคำ� ร้องทุกข์หรือเพกิ ถอนค�ำสง่ั การลงโทษหรอื ลดโทษ กรณีที่ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จะร้องทุกข์ได้น้ัน จะตอ้ งเปน็ กรณที ถี่ กู ลงโทษทางวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง สำ� หรบั โทษปลดออก หรอื ไลอ่ อกจากตำ� แหนง่ เทา่ นนั้ หากเป็นกรณีถูกลงโทษภาคทัณฑ์ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือน หรือถูกสั่งให้ออกจากต�ำแหน่ง เพราะเหตุอ่ืน ซึ่งมิใช่โทษปลดออกหรือไล่ออกจากต�ำแหน่ง ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น ไมม่ สี ทิ ธทิ จี่ ะรอ้ งทกุ ขต์ ามพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗ ได้ แต่ผู้ถูกลงโทษหรือ ถูกส่ังให้ออกจากต�ำแหน่งเพราะเหตุอ่ืนดังกล่าวนี้ มีสิทธิท่ีจะอุทธรณ ์ ค�ำสั่งต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
238 หลักเกณฑ์การร้องทุกข์ ๑. ร้องทกุ ขไ์ ดเ้ ฉพาะกรณถี ูกลงโทษปลดออก หรอื ไล่ออก เท่าน้ัน ๒. ตอ้ งรอ้ งทกุ ขด์ ว้ ยตนเอง โดยทำ� เปน็ คำ� รอ้ ง (หนงั สอื ) ระบวุ นั เดอื น ปี ทเ่ี ขยี นคำ� รอ้ งทกุ ข์ และลงลายมือช่ือ สาระส�ำคัญของค�ำร้องทุกข์ควรอ้างค�ำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ส่ังลงโทษ วัน เดือน ปี ทรี่ บั คำ� สง่ั ลงโทษ อธบิ ายชแ้ี จงขอ้ เทจ็ จรงิ ของเรอื่ งทถี่ กู ลงโทษ พรอ้ มดว้ ยเหตผุ ล วนั เดอื น ปี ทร่ี บั คำ� สงั่ ลงโทษ อธิบายช้ีแจงข้อเท็จจริงของเรื่องที่ถูกลงโทษ พร้อมด้วยเหตุผลที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มเี หตอุ ันควรจะได้รบั การบรรเทาโทษ หรอื ไมม่ คี วามผิดอยา่ งไร เปน็ ตน้ ๓. ใหย้ นื่ คำ� ร้องทกุ ข์ตอ่ นายอำ� เภอภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันรับทราบค�ำส่ังลงโทษ ขน้ั ตอนการพิจารณาคำ� รอ้ งทุกข์ ๑. นายอ�ำเภอ เมื่อได้รับค�ำร้องทุกข์ จะต้องส่งค�ำร้องทุกข์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภายใน ๑๕ วนั นับแต่วันได้รบั คำ� รอ้ งทุกข์ พร้อมด้วยค�ำชี้แจง (ถ้ามี) ๒. ผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อได้รับค�ำร้องทุกข์จะต้องส่งค�ำร้องทุกข์ค�ำสั่งลงโทษไปยัง กระทรวงมหาดไทย ภายใน ๑๕ วัน นบั แตว่ นั ไดร้ ับคำ� ร้องทุกข์คำ� ส่ังลงโทษ พรอ้ มดว้ ยความเหน็ (ถา้ มี) ๓. กระทรวงมหาดไทย เมือ่ ได้รับค�ำรอ้ งทุกขค์ �ำสั่งลงโทษจากจงั หวดั กระทรวงมหาดไทย มีอ�ำนาจสงั่ ใหย้ กค�ำรอ้ งทกุ ขห์ รอื เพกิ ถอนค�ำสัง่ ลงโทษหรือลดโทษได้ การอทุ ธรณ์ ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษ ทม่ี ใิ ชโ่ ทษปลดออก หรอื ไลอ่ อกจากตำ� แหนง่ หรอื ถกู สง่ั ใหอ้ อกจากตำ� แหนง่ หรอื ถกู สง่ั ใหอ้ อกจากตำ� แหนง่ เพราะขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถูกสั่งให้ออกจากต�ำแหน่ง เพราะบกพรอ่ งในทางความประพฤตหิ รอื ความสามารถ ไมเ่ หมาะสมกบั ตำ� แหนง่ กม็ สี ทิ ธทิ จ่ี ะ “อทุ ธรณ”์ ค�ำส่ังดังกล่าวได้ ตามพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งมิใช่เป็นการ “ร้องทกุ ข”์ ตามมาตรา ๖๑ ทวิ แหง่ พระราชบัญญตั ลิ ักษณะปกครองท้องท่ี พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗ หลกั เกณฑก์ ารอุทธรณ์ ๑. อุทธรณค์ ำ� สงั่ ในกรณีถูกสั่งลงโทษภาคทณั ฑ์ ตดั เงนิ เดอื น ลดขัน้ เงินเดือน ถกู สง่ั ใหอ้ อก จากต�ำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถูกสั่งให้ออก เพราะบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่เหมาะสมกับต�ำแหน่ง หรือกรณีอื่น ๆ เน่ืองจากไดร้ ับผลกระทบจากค�ำสั่งทางปกครอง
239 ๒. อทุ ธรณ์ดว้ ยตนเอง โดยท�ำเปน็ หนังสอื ลงลายมอื ชื่อ ระบขุ อ้ โตแ้ ยง้ ข้อเทจ็ จรงิ หรอื ข้อ กฎหมายที่อ้างอิง สาระส�ำคัญที่ควรอ้าง ยื่นต่อผู้ท�ำค�ำส่ัง เช่น นายอ�ำเภอเป็นผู้ออกค�ำสั่งลงโทษ ตัดเงนิ เดือน จะต้องยน่ื ต่อนายอ�ำเภอซึ่งเปน็ เจา้ หน้าทีผ่ ู้ทำ� ค�ำสงั่ ทางปกครอง หรือผูว้ า่ ราชการจังหวัด เป็นผู้ส่ังให้ออกจากต�ำแหน่ง เพราะบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่เหมาะสมกับ ตำ� แหน่ง กต็ อ้ งย่นื ตอ่ ผู้วา่ ราชการจงั หวดั เพราะเป็นเจา้ หนา้ ที่ผทู้ ำ� คำ� สง่ั ทางปกครอง ๓. ใหย้ นื่ อทุ ธรณภ์ ายใน ๑๕ วนั นบั แต่วนั ทไี่ ดร้ ับแจ้งคำ� สั่ง ข้ันตอนการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ ๑. เมอ่ื เจา้ หนา้ ทผี่ ทู้ ำ� คำ� สง่ั (นายอำ� เภอ หรอื ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ) ไดร้ บั อทุ ธรณข์ องผอู้ ทุ ธรณ์ แล้วให้พิจารณาอุทธรณ์นั้น หากเห็นด้วยกับค�ำอุทธรณ์ก็ให้ด�ำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขค�ำส่ัง ทางปกครองตามความเหน็ ทัง้ น้ี ตอ้ งไม่เกนิ ๓๐ วัน นบั แต่วันทไ่ี ดร้ บั อทุ ธรณ์ ๒. หากไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั คำ� อทุ ธรณ์ ใหร้ ายงานความเหน็ พรอ้ มเหตผุ ลไปยงั ผมู้ อี ำ� นาจพจิ ารณา อุทธรณ์ เช่น กรณีนายอ�ำเภอเป็นผู้ออกค�ำสั่งลงโทษตัดเงินเดือน ๕% เป็นเวลาไม่เกิน ๑ เดือน และนายอ�ำเภอพิจารณาค�ำอุทธรณ์แล้วไม่เห็นด้วย ให้นายอ�ำเภอรายงานพร้อมความเห็นไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัด เพ่ือพิจารณาอุทธรณ์ หรือกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ส่ังให้ออกจากตำ� แหน่ง เพราะบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่เหมาะสมกับต�ำแหน่ง ก็ต้องรายงาน พร้อมความเห็นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพ่ือพิจารณาอุทธรณ์ ท้ังนี้ไม่เกิน ๓๐ วัน นับแตว่ นั ได้รบั อุทธรณ์ เป็นตน้ ๓. ผู้มอี �ำนาจพจิ ารณาอุทธรณ์ (ผูว้ ่าราชการจังหวดั หรือรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย) มอี ำ� นาจพจิ ารณาอทุ ธรณใ์ หแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในเวลาไมเ่ กนิ ๓๐ วนั นบั แตว่ นั ไดร้ บั รายงาน แตถ่ า้ มเี หตจุ ำ� เปน็ ไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จได้ภายในเวลาก�ำหนดดังกล่าว ก็ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน ๓๐ วัน นบั แต่วนั ทีค่ รบกำ� หนดเวลา ๓๐ วัน ดังกลา่ ว แนวทางปฏิบัติเม่อื กำ� นนั ผูใ้ หญบ่ า้ น ฯลฯ ถูกด�ำเนินการทางวนิ ัย ๑. มีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อกล่าวหา/สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหา ในฐานะผู้ถูกกลา่ วหา ๒. มสี ทิ ธิท่จี ะใหก้ ารหรอื ชีแ้ จงข้อเท็จจริงเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ๓. มีสิทธิที่จะอ้างพยานบุคคล พยานเอกสารท่ีเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ในการสอบสวน
240 ๔. กรณีการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงมีสิทธิที่จะน�ำทนายความหรือท่ีปรึกษากฎหมาย เขา้ ไปรว่ มรบั ฟงั การสอบสวนได้ (แตจ่ ะใหก้ ารต่อคณะกรรมการสอบสวนไมไ่ ด้) ๕. สิทธทิ ี่จะไดร้ ับการพจิ ารณาทีเ่ ปน็ ธรรม โปร่งใส บริสุทธ์ิ และยุตธิ รรม ๖. มีสิทธิทจ่ี ะได้รบั ทราบค�ำสงั่ ลงโทษ ๗. มสี ทิ ธทิ จ่ี ะรอ้ งทกุ ขค์ ำ� สง่ั ลงโทษวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง (ปลดออก/ไลอ่ อก) ตอ่ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ภายใน ๑๕ วนั นับแตร่ บั ทราบคำ� ส่งั ลงโทษ ๘. มีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เมื่อไม่พอใจผลการวินิจฉัยค�ำร้องทุกข์/อุทธรณ ์ เสร็จสนิ้ แลว้ ภายใน ๙๐ วัน
241 บทท่ี ๑๔ สวัสดิการและสิทธปิ ระโยชน์ของก�ำนนั ผใู้ หญ่บ้าน ฯลฯ ๑. เงินค่าตอบแทนตำ� แหน่ง พระราชบัญญตั ลิ ักษณะปกครองท้องท่ี พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๙ วรรคสาม บัญญัตวิ า่ “ผ้ใู หญ่บ้านจะได้รับเงินเดอื น แตม่ ใิ ช่จากเงินงบประมาณ ประเภทเงนิ เดือน ส่วนผชู้ ว่ ยผ้ใู หญ่บ้าน จะได้รับเงินตอบแทนตามท่ีกระทรวงมหาดไทยกำ� หนด” มาตรา ๒๙ ทวิ “ก�ำนนั จะไดร้ ับเงนิ เดอื นแตม่ ิใชจ่ ากเงินงบประมาณประเภทเงนิ เดือน” ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ดว้ ยการเบกิ จา่ ยเงินตอบแทนตำ� แหน่ง และเงินอน่ื ๆ ให้แก่ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล สารวัตรก�ำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครอง และผชู้ ว่ ยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ พ.ศ. ๒๕๔๖ (แก้ไขเพมิ่ เติมถงึ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๒) ข้อ ๔ เงนิ ตอบแทนตำ� แหน่งให้จ่ายตามอัตรา ดังนี้ (๑) ต้งั แต่วันท่ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถงึ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ (ก) ก�ำนนั ให้จ่ายเดอื นละ ๗,๕๐๐ บาท (ข) ผใู้ หญบ่ ้าน ใหจ้ ่ายเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท (ค) แพทยป์ ระจำ� ตำ� บล สารวตั รกำ� นนั และผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น ฯ ใหจ้ า่ ยเดอื นละ ๓,๗๕๐ บาท (๒) ต้ังแต่วนั ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป (ก) ก�ำนัน ให้จ่ายเดอื นละ ๑๐,๐๐๐ บาท (ข) ผใู้ หญบ่ า้ น ใหจ้ ่ายเดอื นละ ๘,๐๐๐ บาท (ค) แพทย์ประจ�ำต�ำบล สารวัตรก�ำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฯ ให้จ่าย เดอื นละ ๕,๐๐๐ บาท หลกั เกณฑก์ ารจ่าย ข้อ ๕ ใหเ้ ร่มิ จ่ายคา่ ตอบแทนตง้ั แตว่ ันที่ดำ� รงต�ำแหน่งตามอตั ราท่ีกำ� หนดตามขอ้ ๔ ข้อ ๖ ถ้าด�ำรงต�ำแหน่งเกินกว่าหนึ่งต�ำแหน่งให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนต�ำแหน่งใด ต�ำแหน่งหนึ่งแต่เพียงต�ำแหน่งเดียวท่ีมีเงินตอบแทนสูงกว่า เว้นแต่แพทย์ประจ�ำต�ำบลท่ีรับผิดชอบ ในต�ำบลอื่นดว้ ย ให้มสี ิทธไิ ด้รับเงนิ ตอนแทนตำ� แหนง่ ไม่เกิน ๒ ตำ� บล ขอ้ ๗ กรณีลาออกให้จ่ายเพียงก่อนวันท่ีได้รับอนุญาตให้ลาออก หรือเพียงก่อนวันท่ี ระบุในคำ� สงั่
242 - กรณหี มบู่ า้ นหรอื ตำ� บลถกู ยบุ ใหจ้ า่ ยเพยี งกอ่ นวนั ทร่ี ะบใุ นคำ� สงั่ หรอื ประกาศยบุ หมบู่ า้ น หรอื ต�ำบล - กรณตี อ้ งรบั โทษทางอาญาโดยคำ� พพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ เวน้ แตค่ วามผดิ ลหโุ ทษหรอื ความผดิ อันกระท�ำโดยประมาท ถ้ามีค�ำส่ังให้พักหน้าท่ีไว้ก่อน ให้จ่ายเพียงก่อนวันท่ีระบุในค�ำส่ังให้พักหน้าท ่ี ถา้ ไม่มคี �ำสงั่ พักหน้าทใ่ี หจ้ ่ายเพยี งกอ่ นวนั ท่ศี าลมคี ำ� พิพากษาถงึ ที่สดุ ใหจ้ �ำคกุ - กรณีถูกลงโทษทางวินัยไล่ออกหรือปลดออก กรณีมีค�ำส่ังพักหน้าที่ไว้ก่อน ใหจ้ า่ ยเพียงวันกอ่ นที่ระบุในคำ� ส่ังพกั หน้าท่ี กรณไี ม่มคี ำ� สัง่ พกั หน้าท่ใี ห้จา่ ยเพียงกอ่ นวันที่ระบุในคำ� สัง่ ไลอ่ อกหรอื ปลดออก - กรณีถูกสั่งใหอ้ อก ใหจ้ ่ายเพียงก่อนวันทร่ี ะบุในคำ� ส่งั ใหอ้ อกจากตำ� แหนง่ - กรณีตาย ให้จ่ายเงินตอบแทนต�ำแหน่งส�ำหรับเดือนท่ีตายเต็มเดือน และจ่ายเงิน ช่วยเหลือในการท�ำศพอีกสามเท่าของเงินตอบแทนเดือนสุดท้าย (เว้นแต่จะใช้สิทธิขอรับเงินค่าท�ำศพ ตามระเบยี บอืน่ แลว้ ) - กรณีหมดวาระ ใหจ้ ่ายจนถงึ วันท่คี รบวาระ ***กรณีถูกสั่งพักหน้าท่ีให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการ ผูถ้ ูกส่ังพักราชการโดยอนุโลม การส่งั จ่ายเปน็ อำ� นาจของผ้วู ่าราชการจงั หวดั *** ๒. เงนิ เพิ่มพเิ ศษคา่ ภาษา กระทรวงมหาดไทยไดเ้ สนอคณะรฐั มนตรี พจิ ารณาอนมุ ตั หิ ลกั การโครงการศกึ ษาอบรมวชิ า ภาษามลายแู กข่ า้ ราชการจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เพอื่ ใหข้ า้ ราชการสามารถสอ่ื สารกบั ประชาชนไดเ้ ขา้ ใจ อันจะเป็นการเข้าถึงประชาชนตามนโยบายการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกระทรวง มหาดไทยร่วมกบั คณะอกั ษรศาสตร์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ด�ำเนินการให้การศกึ ษาอบรมวิชาภาษา มลายูแก่ขา้ ราชการจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ผสู้ �ำเร็จการศกึ ษาจะไดร้ ับประกาศนยี บตั รจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และควรได้รับเบี้ยภาษาเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน คือระดับสามัญเดือนละ ๕๐ บาท ระดบั สงู เดอื นละ ๑๐๐ บาท ซง่ึ ทป่ี ระชมุ คณะรฐั มนตรเี มอ่ื วนั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๐๖ ไดอ้ นมุ ตั ใิ นหลกั การ ตามทีก่ ระทรวงมหาดไทยเสนอขอ ต่อมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ มีมติเห็นชอบให้ก�ำนัน ผู้ใหญบ่ ้าน ฯลฯ ในเขตจังหวัดยะลา ปตั ตานี นราธวิ าส และจงั หวดั สตูล ทีส่ ามารถพดู และใช้ภาษาไทย และภาษามลายูได้ดีท้ังสองภาษา มีสิทธิได้รับเงินเพ่ิมพิเศษคนละ ๕๐ บาท ต่อเดือน ตามนโยบาย ความม่นั คงแห่งชาตเิ ก่ยี วกบั จังหวัดชายแดนภาคใต้
243 ๓. เงนิ เพ่มิ พเิ ศษรายเดือน คณะปฏริ ปู การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ (คปค.) มีมติเม่ือวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ อนุมัติในหลักการการจ่ายเงินให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นท่ีจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ดังน้ี ๑. ข้าราชการและลูกจ้างประจ�ำท่ีปฏิบัติงานประจ�ำหรือลักษณะประจ�ำในส�ำนักงานท่ีได้รับ การประกาศเป็นส�ำนักงานในพ้ืนที่พิเศษตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการส�ำหรับการปฏิบัติงาน ประจ�ำส�ำนกั งานในพนื้ ทพี่ ิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๔ มีสทิ ธิได้รับเงินสวัสดกิ ารในอตั รา ๒,๕๐๐ บาท/คน/เดือน ๒. บคุ ลากรประเภทอื่นๆ ไดแ้ ก่ ข้าราชการ ลกู จ้างประจำ� พนักงานราชการ กำ� นนั ผใู้ หญ่บา้ น แพทย์ประจำ� ต�ำบล สารวตั รกำ� นนั ผชู้ ว่ ยผ้ใู หญบ่ า้ น ทหารกองประจำ� การ สมาชกิ กองอาสารกั ษาดนิ แดน อาสาสมคั รทหารพราน ที่ไมไ่ ด้รับสทิ ธิตามขอ้ ๑. ซง่ึ ปฏบิ ัติงานประจำ� หรือลกั ษณะประจำ� ในพื้นที่ ๓ จังหวดั ชายแดนภาคใต้ และจงั หวัดสงขลาใน ๔ อ�ำเภอ ไดแ้ ก่ อำ� เภอจะนะ อ�ำเภอเทพา อำ� เภอนาทวี และอำ� เภอสะบ้าย้อย ใหม้ สี ทิ ธไิ ด้รับเงนิ ตอบแทนพิเศษรายเดอื นในอัตรา ๒,๕๐๐ บาท/คน/เดอื น ทปี่ ระชมุ คณะรฐั มนตรีได้มมี ตเิ ม่อื วันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เห็นชอบให้ปรบั หลกั เกณฑ์ และวธิ ปี ฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การจา่ ยเงนิ ตอบแทนพเิ ศษรายเดอื นใหแ้ กผ่ ปู้ ฏบิ ตั งิ านในพน้ื ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ จากอตั รา ๑,๐๐๐ บาท/เดอื น เป็นอัตรา ๒,๕๐๐ บาท/เดอื น ท้งั นี้ ต้ังแตว่ นั ท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไป ๔. เงนิ ช่วยเหลือการศกึ ษาบุตร พระราชกฤษฎีกาเงนิ สวัสดกิ ารเกี่ยวกบั การศกึ ษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ ก�ำหนดหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรของข้าราชการหรือลูกจ้างประจ�ำ โดยสามารถ เบิกคา่ เล่าเรียนบุตรได้ตงั้ แต่ระดบั อนุบาล - ปริญญาตรี ส�ำหรบั บุตร ๓ คนแรก และบุตรตอ้ งมีอายไุ ม่เกิน ๒๕ ปบี รบิ รู ณ์ ดังนี้ ๑. บุตรในสถานศึกษาของทางราชการ ให้สามารถได้รับเงินบ�ำรุงการศึกษาเต็มจ�ำนวน ที่ไดจ้ ่ายไปจรงิ แตต่ ้องไมเ่ กนิ อัตราทกี่ ระทรวงการคลังกำ� หนด ๒. บุตรในสถานศึกษาของเอกชน ที่ไม่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ใหส้ ามารถได้รบั เงนิ บ�ำรงุ การศึกษาเตม็ จำ� นวนทไ่ี ด้จา่ ยไปจรงิ แต่ตอ้ งไมเ่ กินอัตราท่กี ระทรวงการคลัง กำ� หนด ๓. บตุ รในสถานศกึ ษาของเอกชน ทส่ี งู กวา่ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จนถงึ ระดบั ปรญิ ญาตรี ให้ได้รับเงินค่าเล่าเรียนคร่ึงหนึ่งของจ�ำนวนที่ได้จ่ายไปจริง แต่ต้องเป็นไปตามประเภทและต้องไม่เกิน อตั ราท่กี ระทรวงการคลงั ก�ำหนด
244 ส�ำหรับก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จะได้รับสิทธิการเบิกเงินค่าเล่าเรียนบุตร ตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนต�ำแหน่ง และเงินอ่ืนๆ ให้แก่ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล สารวัตรก�ำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษา ความสงบ พ.ศ. ๒๕๔๖ (แก้ไขเพิ่มเตมิ ถงึ ปจั จุบัน) ขอ้ ๑๒ ที่กำ� หนดใหม้ ีสิทธิไดร้ ับเงนิ ชว่ ยเหลือเกี่ยวกบั การศกึ ษาของบตุ รโดยอนโุ ลมตามพระราชกฤษฎกี าเงนิ สวสั ดกิ ารเกย่ี วกบั การศกึ ษาของบตุ ร พ.ศ. ๒๕๒๓ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ทั้งน้ี เฉพาะบุตรท่ีศึกษาในระดับไม่สูงกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ และสายอาชพี วธิ กี ารขอรบั เงนิ ชว่ ยเหลอื ใหน้ ำ� ใบเสรจ็ ทช่ี ำ� ระคา่ เลา่ เรยี นบตุ ร ยน่ื เรอื่ งตอ่ เสมยี นตราอำ� เภอ ทม่ี ภี ูมลิ �ำเนา ส�ำหรับ ๑. ระดับชั้นสูงสุดที่มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรคือ ไม่สูงกว่า มัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ (ม.๖) และสายอาชีพ (ปวช.) ส่วนระดับชั้นต่�ำสุดมีสิทธิได้รับ ต้งั แต่ชน้ั อนบุ าลหรอื ช้นั เดก็ เล็ก (ขนึ้ อยกู่ ับหลกั สูตรท่ที างการกำ� หนด) ๒. การนับล�ำดับบุตรคนท่ีหนึ่งถึงคนท่ีสาม ให้นับเรียงตามล�ำดับการเกิดก่อนหลัง ทั้งนี้ ไมว่ ่าบุตรที่เกดิ จากการสมรสคร้ังใด หรอื อยูใ่ นอ�ำนาจของตนหรือไมก่ ต็ าม ๓. กรณบี ตุ รคนใดคนหนง่ึ ในจำ� นวนสามคนทม่ี สี ทิ ธเิ บกิ ตาย หรอื พกิ าร เปน็ คนไรค้ วามสามารถ วิกลจริต จิตไม่สมประกอบ ท่ีไม่ได้รับการศึกษาและอายุยังไม่ครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์ ให้สามารถเบิก ใหก้ บั บตุ รคนท่อี ยใู่ นลำ� ดบั ถดั ไปได้ต่อไปอกี จนครบจ�ำนวนสามคน ๕. ส่วนลดค่าโดยสารรถไฟ ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจ�ำต�ำบล และสารวัตรก�ำนัน (ไม่รวมผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน) รบั สทิ ธสิ ่วนลดคา่ โดยสารรถไฟครึง่ ราคาทกุ ชน้ั (ตามหนงั สอื การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ พ.๕/คส.๑/๔๐ ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓) กรณีของผชู้ ่วยผ้ใู หญ่บา้ นกระทรวงมหาดไทยก�ำลงั ดำ� เนินการประสาน กับหน่วยงานทีเ่ กยี่ วข้องเพอื่ ให้ผ้ชู ่วยผใู้ หญบ่ ้านได้รบั สิทธิดังกล่าวด้วย วิธีการขอใช้สิทธิ ให้น�ำบัตรประจ�ำตัวท่ีทางราชการออกให้ และหนังสือรับรองจากอ�ำเภอ ว่าเป็นก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ แสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้จ�ำหน่ายต๋ัวโดยสาร (หนังสือรับรองสามารถใช้ได้ ภายใน ๖ เดอื น) ๖. สทิ ธพิ ิเศษคา่ รกั ษาพยาบาล ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไดก้ ำ� หนดใหส้ วสั ดกิ ารแกก่ ำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น แพทยป์ ระจำ� ตำ� บล สารวตั รกำ� นนั ผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น และบุคคลในครอบครัว ให้ได้รับการช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ ร้อยละ ๕๐ ของอัตราท่ีกำ� หนด (ตามคา่ ใชจ้ า่ ยจริง) ซงึ่ โดยปกติก�ำนัน ผ้ใู หญบ่ า้ น ฯลฯ สามารถใช้สิทธิในการรักษา พยาบาลโดยใชบ้ ตั รประกนั สขุ ภาพ (บตั รทอง) ไมต่ อ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในสว่ นนอ้ี ยแู่ ลว้ ยกเวน้ กรณเี ขา้ พกั รกั ษาตวั ในหอ้ งผปู้ ว่ ยพเิ ศษจะตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยเองในสว่ นทเี่ พม่ิ ขน้ึ โดยใหม้ ผี ลตงั้ แตว่ นั ที่ ๒๑ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ เป็นตน้ มา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288