Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมไฟล์ SAR 2564

รวมไฟล์ SAR 2564

Published by mahateentip, 2022-06-24 07:21:55

Description: รวมไฟล์ SAR 2564

Search

Read the Text Version

|วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ 21 ปีที่ 7 ฉบบั ท่ี 1 (2565) : มกราคม - มิถุนายน มวี ิจารณญาณ โดยรวมอย่ใู นระดับมาก ค่าเฉลย่ี เท่ากบั 3.97 ดา้ นการคดิ บวก โดยรวมอยใู่ น ระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.95 ด้านคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย เทา่ กับ 3.76 ดา้ นการคิดตามความจริง โดยรวมอยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลีย่ เท่ากับ 3.83 ตอนที่ 3 การเปรียบเทียบการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสงั คมไทยทัง้ 4 ภาค ทง้ั กลุม่ ตวั อยา่ งและกลุ่มทดลอง ด้วย pair sample t – test ผลการวจิ ัย พบว่า การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทยทั้ง 4 ภาค ด้านหลักพุทธธรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.02 เมื่อพิจารณาเป็น รายข้อพบวา่ ขอ้ ท่ีมคี า่ เฉลีย่ มากสงู สุด คือ การศึกษาเล่าเรียน ผูเ้ รียนตอ้ งมีความรคู้ วามเข้าใจ และนำไปปฏิบัติ พัฒนาให้เกิดทักษะทางปัญญา แก้ปัญหาเป็น จึงประสบผลสำเร็จได้ และการแกป้ ญั หาชวี ิต ปญั หาใดปญั หาหน่ึง จำเป็นตอ้ งทำความเข้าใจปัญหานั้นให้ดีเสียก่อน ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.29 ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ผู้มีคุณภาพจิตการคิดที่ดี เมื่อต้อง เผชิญหรือสัมผัสสิ่งเร้าภายนอก ก็ไม่อาจโน้มน้าวให้คิดไปในทางที่ชั่วได้ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.81 อย่างไรก็ตาม ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสงั คมไทย ด้านหลักพุทธธรรมอยใู่ นระดับมากสงู สุด 2 ขอ้ นอกนน้ั อยูใ่ นระดับมาก ส่วนการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ทั้ง 4 ภาค ด้านปัจจัยทางจิตวิทยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.89 เมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากสูงสุด คือ แม้ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงไป นักเรียนสามารถมีอิสรภาพ ทางความคิด แสดงจุดยืนในเสรีภาพของตนเองได้อย่างมั่นคง คา่ เฉลย่ี เท่ากบั 4.10 ส่วนขอ้ ท่ีมคี ่าเฉลี่ยน้อยทีส่ ุด คือ นกั เรียนมคี วามสามารถใช้เทคโนโลยี แสวงหาแนวทางและทางเลือกใหม่เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กระทั่งสามารถขยายผล ตอ่ สอู่ งค์กรคณุ ภาพอน่ื ๆ ได้อยา่ งแพร่หลาย คา่ เฉลี่ย เทา่ กับ 3.68 อยา่ งไรก็ตาม ตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ด้านหลักปัจจยั ทางจติ วิทยา อย่ใู นระดบั มากทุกข้อ 5. อภิปรายผลการวิจยั การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชน ในสังคมไทยสามารถอภิปรายผลการวิจัย ไดด้ งั นี้ 5.1 การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ตามหลกั พทุ ธธรรม

|22 Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ความคิดเห็นที่มีต่อพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนใน สังคมไทยทั้ง 4 ภาค ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสงั คมไทย โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลย่ี เท่ากบั 3.96 ดา้ นที่มคี ่าเฉลีย่ มาก สูงสุด คือ ด้านหลักพุทธธรรม ค่าเฉลี่ย เท่ากับ .402 รองลงมา คือ ด้านปัจจัยจิตวิทยา ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.89 เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สังคมไทยถือว่าเป็นสังคมพุทธ เมื่อเปรียบเทยี บกับสงั คมอื่นในโลก การดำเนินชีวิตส่วนใหญ่จะดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำ สอนของพระพทุ ธเจ้า เพราะหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามีหลกั การเปน็ สากล หรือสอนหลัก ความจริงที่เป็นสากล ความจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คือธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเป็น เช่นนั้นเอง เรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติ ในทางปฏิบัติสอนให้คนมีเมตตากรุณาอย่างเป็นสากล ชาวพุทธต้องมีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั่วกันหมดไม่เลือกพวกเขาพวกใคร พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่ามีหลักคำสอนครอบคลุม ทัง้ ปรัชญาและศาสตร์ที่อุดมไปด้วยความรู้ในแทบทุกด้าน (กิตติ กันภัย, 2557: 3) พระพุทธศาสนาสอนว่า ปัญญาเป็นเครื่องสอ่ งทางแห่งชวี ิตที่นับเป็นแสงสวา่ งในโลก และได้ สอนต่อไปว่าปัญญานั้นทำให้เกิดได้ ไม่ใช่ปัญญาตามบุญตามกรรม การทำให้เกิดปัญญาคือ การคดิ การศึกษาสดบั ตรับฟัง และการลงมือปฏิบัติอบรมให้เกิดปัญญา (สุชพี ปุญญานุภาพ, 2541: 341 - 342) เมื่อพิจารณาการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชน ในสังคมไทยด้านหลักพุทธธรรมเป็นรายด้าน ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากสูงสุด คือ ด้านอุปปาทกมนสิการ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.07 ส่วนด้านที่มี ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านปถมนสิการ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.96 เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า การ คิดให้เกิดผล คือ ใช้ความคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์ หรือสร้างสรรค์ในทางดี เล็งถึงการคิด อย่างมีเป้าหมาย (อุปปาทกมนสิการ) โดยมีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ 1) คิดแล้วเกิด ความร้สู กึ อยากทำ 2) การกระทำน้ันเป็นการกระทำในแงบ่ วก คือเป็นกศุ ล และไมเ่ ป็นไปเพ่ือ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนสังคม พูดสั้น ๆ ว่าเป็นการกระทำท่ี สุจริต ถูกกฎหมายและศีลธรรม ดังที่บรรจง อมรชีวิน กล่าวว่า อุปปาทกมนสิการ หมายถึง การคิดแบบปลุกเร้าให้เกิดกุศลธรรม อาทิ ให้เกิดความเพียร ให้หายหวาดกลัว หายโกรธ ให้มีสติและจิตใจที่เข้มแข็ง การคิดแบบนี้ยังเป็นการคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์ เป็นการคิด อยา่ งมเี ปา้ หมาย (บรรจง อมรชีวิน, 2559: 74) นอกจากนี้ยังได้กล่าวว่า วิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรมเป็นการคิดแบบเร้ากุศล หรือคิดแบบกุศลภาวนา เพื่อช่วยให้บุคคลได้รู้จักบรรเทาตัณหาของตนเอง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการเพิ่มพูนให้มีกุศลธรรมงอกงาม เป็นการกระตุ้นให้คนได้คิดและทำในสิ่งที่ดีที่ควร

|วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ 23 ปีท่ี 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มิถุนายน และจำเป็นที่จะต้องทำ (บรรจง อมรชีวิน, 2559: 133) สอดคล้องกับลักขณา สริวัฒน์ กล่าวว่า ความสามารถในการคิดที่มีอยูใ่ นตัวบุคคล ประกอบด้วย ความคิดคล่อง คิดยึดหยุ่น คิดละเอียดละออ และคิดริเริ่ม ผสมผสานกันจนเกิดเป็นการคิดได้หลายทิศทางที่จะตอบสอ นงต่อเหตุการณ์ ปัญหาหรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางและสามารถคิดดัดแปลง ผสมผสานความคิดเดิมเกิดสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ หรือประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำของเดิม เป็นการคิดที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น และก่อให้เกิดประโยชน์ และยังได้กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ จำเป็นสำหรับมนุษย์ในสังคมอย่างมาก เพราะทำให้สังคมมีความเจริญและเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้นตลอดมา ทั้งในด้านวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์ และในหลายด้านที่แตกต่างกัน ผลของการคิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทำให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใหม่ ที่ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ดีขึ้น มีความสะดวกสบายเป็นสุขเพิ่มมากขึ้นด้วย ผลผลิตทีเ่ กิดจากความคิดสร้างสรรคน์ ับต้ังแต่อดีตตลอดมาจนถึงปัจจุบัน (ลักขณา สริวัฒน,์ 2558: 158 - 159) เมื่อพิจารณารายละเอียดการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสังคมไทย ตามหลักพุทธธรรมเป็นรายด้าน พบผลการวิจัย ดังนี้ 1. ด้านพิจารณาโดยอบุ าย คือคิดอยา่ งถูกวิธี หรือคิดถูกวิธี (ด้านอปุ ายมนสกิ าร) ผลการวจิ ยั พบว่า อยูใ่ นระดับมากทุกดา้ น คา่ เฉลี่ย เทา่ กับ 4.01 ดงั ทบี่ รรจง อมรชวี ิน กล่าวว่า การคิดอย่างถูกวิธี จะช่วยให้เข้าถึงความจริง เป็นการคิดและพิจารณาโดยอุบาย เป็นการคิด อย่างมีวิธีและถูกวิธี การคิดในลักษณะนี้จะทำให้เข้าใจในสภาวะของสิ่งต่าง ๆ ที่มันเป็นอยู่ (บรรจง อมรชวี นิ , 2559: 73) 2. ด้านคิดเป็นทาง หรือคิดถูกทาง คือคิดได้ต่อเนื่องเป็นลำดับ จัดลำดับได้ หรือมีลำดับ มีขั้นตอน แล่นไปเป็นแถวเป็นแนว (ด้านปถมนสิการ) ผลการวิจัย พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.96 ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดา องค์มรรคเหล่านั้นนั้น สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า คือ ภิกษุรู้ชัดมิจฉาวาจาว่า เป็นมิจฉาวาจา รู้ชัดสัมมาวาจาว่า เป็นสัมมาวาจา ความรู้ของภิกษุนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ (ม.อุ. (ไทย) 14/138/177) ซึ่งพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) สรุปว่า สัมมาทิฏฐ ก็คือ ความเห็นที่ ตรงตามสภาวะ คือ เห็นตามที่สิ่งทั้งหลายเป็นจริง การที่สัมมาทิฏฐิจะเจริญขึ้นอย่มต้องอัย โยนิโสมนสิการเรือ่ ยไป เพราะโยนิโสจะช่วยใหไ้ ม่มองสิ่งต่าง ๆ อย่างผิวเผิน หรือมองเฉพาะ ผลรวมที่ปรากฏ แต่ช่วยให้มองแบบสืบคน้ แยกแยะ ทั้งในแง่การวิเคราะห์ส่วนประกอบที่มา ประชุมกันเขา้ และในแง่การสืบทอดแหง่ เหตุปจั จัย ทำให้ไมถ่ ูกลวง ไม่ถกู ปนั่ ถูกเชิด ไม่ถูกจูง ไปหรือยว่ ยุได้ ดว้ ยปรากฏการณ์ทางรปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ และคตินิยมตา่ ง ๆ จนเกิด

|24 Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June เป็นปัญหาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น แต่ทำให้มีสติสัมปชัญญะ เป็นตัวของตัวเอง คิดตัดสินและ และกระทำการต่าง ๆ ด้วยปญั ญา (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต), 2555: 702) 3. ด้านคิดมีเหตุผล คิดตามเหตุ คิดค้นเหตุ คิดตามเหตุผล หรือคิดอย่างมี เหตุผล (การณมนสิการ) ผลการวิจัย พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.05 ดงั ทีเ่ รวดี นามทองดี กลา่ ววา่ การคิดอย่างมีเหตุผลมีความสำคัญในการดาเนินชีวิตของวัยรุ่น เพราะช่วงวัยรุ่นเป็นวัยของการลองผิดลองถูก หากนักเรียนได้รับการส่งเสริมให้เป็นบุคคล ท่มี ีลกั ษณะการคดิ อย่างมีเหตุผลจะทำให้นกั เรยี นคดิ และปฏบิ ัตใิ นสิ่งท่ถี ูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น การคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนควรได้รับการส่งเสริมจากโรงเรียน การมี สัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน และการได้รับอบรมเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผลจากครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สาคัญต่อการส่งเสริมให้นักเรียนมีลักษณะการคิดอย่างมีเหตุผล (เรวดี นามทองด,ี 2012: 141) 4. ด้านคิดให้เกิดผล คือใช้ความคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์ เล็งถึงการคิด อย่างมีเป้าหมาย ผลการวิจัย พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.07 สอดคล้องกับศรัญญา จุฬารี กล่าวว่า การคิดอย่างเปน็ ระบบเป็นแนวคิดที่มีความสำคัญมาก หากทุกภาคส่วนสามารถพัฒนาบุคคลทุกคนให้มีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ จะนำไปสู่ความเข้มแข็งของประเทศต่อไปได้ เพราะการคิดถึงว่าเป็นอาวุธทางปัญญา เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เพื่อช่วยให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดความรู้ เกิดการ เรียนรูต้ ลอดชวี ติ (ศรัญญา จุฬาร,ี 2561: 6) 5.2 การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ตามหลกั จิตวทิ ยา การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทยทั้ง 4 ภาค ตามหลักจิตวิทยา ผลการวิจัย พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก การเปิดใจกว้าง การคิดอย่าง วิเคราะห์ การมีระบบระเบียบ ความมั่นใจในตนเองต่อการใช้กระบวนการคิดอย่างมี วิจารณญาณ ความอยากรู้อยากเห็นทางวิชาการ และการมีวุฒิภาวะ (กาญจนา ศรีสวัสดิ์ และสายสมร เฉลยกิตติ, 2560: 173) สริญญา มารศรี กล่าวว่า ผู้ที่มีคุณลักษณะของผู้ที่มี ทักษะการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ จะตอ้ งเป็นผู้ท่มี ใี จกวา้ ง ยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของคน ไม่ ยึดมั่นความคิดเห็นของตนเป็นหลัก มีใจเป็นกลางและตัดสินใจโดยการใช้ข้อมูลประกอบ หลายดา้ น มคี วามรสู้ ึกไวต่อสถานการณแ์ ละความรู้สึกของผู้อน่ื สามารถเปล่ียนความคิดเห็น ของตนได้ หากมีเหตุผลที่มากกว่า เป็นผู้มีความกระตือรือร้นในการค้นหาข้อมูลความรู้ มีความรู้มากเพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ และที่สำคัญต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์

|วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ 25 ปีท่ี 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน หรืออคติในการตัดสินใจ (สริญญา มารศรี, 2562: 108) เมื่อพิจารณารายละเอียดการ พัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ตามหลักจิตวิทยา เป็นรายด้าน พบผลการวจิ ัย ดงั นี้ 1. ด้านการคิดวิเคราะห์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.87 การพัฒนารูปแบบการทำงาน การมองความแตกต่างระหว่างสิ่งของ 2 สิ่ง หรือแนวคิดการ ออกแบบวิธีการศึกษา และการวิเคราะห์ผลของการศึกษา (วัชรา เล่าเรียนดี และคณะ, 2560: 30) สอดคล้องกับพัชรี นาคผง ที่กล่าวว่า ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คือ สามารถที่จะหาความสำคัญ ความสัมพันธ์และวิเคราะห์หลักการของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วัตถุ สิ่งของ เหตุการณ์ หรือเรื่องราวเนื้อหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความเกี่ยวข้อง สมั พันธ์กนั ในเรือ่ งใด เพอ่ื นำมาใช้ในการตัดสนิ ใจอย่างมีเหตุผล (พัชรี นาคผง, 2562: 82) 2. ด้านการคิดอิสระ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.96 ซึ่งเอริคบาเรนด์ (Eric barendt, 2007: 7) กล่าวว่า หลักการของเสรีภาพนั้นอยู่บนพื้นฐาน ของการเปิดโอกาสให้บุคคลต่าง ๆ สามารถพูดหรือสามารถแสดงออกในสิ่งที่ตนเองคิดและ นำไปสู่การค้นหาความจริงที่บุคคลนั้นสงสัย การปิดกั้นการพูดหรือการแสดงออกของบุคคล ดังกล่าวอย่างไม่เหมาะสมทำให้บุคคลซึ่งต้องการทราบความจริงนั้นไม่สามารถปลดปล่อย ความไม่พอใจและอาจคิดไปว่าสิ่งที่ตนสงสัยเป็นความจริงทั้งที่อาจไม่เป็นอย่างนั้น และอาจ นำไปสู่การปลดปลอ่ ยความไมพ่ อใจในรปู แบบอนื่ ซึง่ อาจเปน็ อนั ตรายยง่ิ กว่าก็เป็นไปได้ 3. ดา้ นการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 3.97 เพ่อื ให้คนในสังคมมีทักษะการใชช้ ีวิตในสังคมให้มีความสงบสุข เราจึงควรมีการปลูกฝัง ทักษะนี้ตั้งแต่เริ่มต้นและพัฒนาไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ครูผู้สอน จึงควรมีการสร้างทกั ษะการ คิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับผู้เรียน เพื่อที่ผู้เรียนจะสามรถออกไปประสบความสำเร็จใน หนา้ ทก่ี ารงานและดำรงชีพอยู่ในสังคมในยุคศตวรรษที่ 21 อยา่ งมีคณุ ภาพ (สรญิ ญา มารศรี, 2562: 120 – 121) 4. ด้านการคิดบวก โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.95 ซ่ึง (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), 2556: 4-5) กลา่ วว่า ทงั้ การคิดเชิงบวกและสัมมาทิฏฐิ ตา่ งก็เป็นกระบวนการทางความคิดของบุคคลอนั เกิดจากการมีรูปแบบการรับร้แู ละการรู้คิดท่ี ดงี าม เปน็ การมองและรับรูส้ ง่ิ ต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เปน็ เหตุเป็นผล ส่งผลให้บุคคลมีการ คดิ การพดู การกระทำและการแสดงออกที่ถกู ต้อง ดงี ามและสร้างสรรค์ ด้วยเหตุน้จี งึ มคี วาม เหมาะสมที่จะนำแนวคิดทางพุทธธรรมเข้ามาใช้ในการพัฒนาคุณลักษณะการคิดเชิงบวก ในบริบทของสังคมไทย บนพื้นฐานความเป็นจริง ความเป็นเหตุเป็นผลและความเอื้ออาทร

|26 Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June มีความมุ่งมั่น เชื่อมั่นในตนเองและควบคุมอารมณ์ได้ ส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมการ แสดงออกที่เหมาะสมและดีงาม โดยการคิดเชิงบวกเป็นทักษะสาคัญของการดารงชีวิต ผลจากการมีการคิดเชิงบวกจะช่วยให้บุคคลมีความสุขในชีวิต ยอมรับสภาพปัญหาที่กาลัง เกดิ ขน้ึ สามารถเผชญิ กับสถานการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กิดขึ้นในชีวติ ประจำวันไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ช่วยใหร้ ู้จกั ตดั สินใจ รู้จักตนเอง มคี วามเชือ่ มัน่ ในตนเองและกระทาการให้บรรลุเป้าหมายได้ อย่างเหมาะสม มีกาลงั ใจและความเขม้ แข็งในการตอ่ สชู้ ีวิตต่อไป 5. ด้านคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.76 สอดคล้องกับปรียา โคตรสาลี กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญ เป็นคุณลักษณะท่ี ควรได้รับการส่งเสรมิ เนื่องจากความคดิ สร้างสรรค์ให้คุณค่าตอ่ สังคมและตนเอง ช่วยให้เดก็ มีความสุข สนุกสนาน สามารถพัฒนาความคิดริเริ่มในการคิดค้นจนเกิดจินตนาการและนำ ความรู้และประสบการณไ์ ปใช้แกป้ ัญหาได้ (ปรียา โคตรสาล,ี 2562: 56) 6. ดา้ นการคดิ ตามความจรงิ โดยรวมอยู่ในระดับมาก คา่ เฉลีย่ เท่ากบั 3.83 การคิดแก้ปัญหาถือวา่ เป็นพน้ื ฐานอันสำคัญทส่ี ดุ ของความคิดท้ังมวล การคดิ แกป้ ัญหาเป็นสิ่ง สำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของสังคมมนุษย์ ซึ่งต้องใช้การคิดเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดเวลา ทักษะการคิดแก้ปัญหาเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ทีว่ ุน่ วายสบสนได้เปน็ อย่างดี ผทู้ ่มี ีทักษะการคิดแก้ปญั หาจงึ มิใช่เป็นเพยี งการรู้จักคิดและการ รู้จักใช้สมอง หรือเป็นทักษะมุ่งพัฒนาสติปัญญาแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นทักษะ ทสี่ ามารถพฒั นาเจตคติ วิธีคดิ คา่ นยิ ม ความร้คู วามเขา้ ใจสถานการณข์ องสงั คมไทยได้อกี 5.3 เปรียบเทียบการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนใน สังคมไทย การเปรียบเทียบการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชน ในสังคมไทยทั้ง 4 ภาค ทั้งกลุ่มตัวอย่างและกลุ่มทดลอง ด้วย pair sample t – test ผลการวิจยั พบวา่ การพัฒนาการรูค้ ิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทยท้งั 4 ภาค ด้านหลักพุทธธรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.02 เมื่อพิจารณา เป็นรายข้อพบวา่ ข้อที่มีค่าเฉลีย่ มากสูงสุด คือ การศึกษาเล่าเรียน ผู้เรียนต้องมีความรู้ความ เข้าใจและนำไปปฏิบัติ พัฒนาให้เกิดทักษะทางปัญญา แก้ปัญหาเป็น จึงประสบผลสำเร็จได้ และการแกป้ ัญหาชีวติ ปญั หาใดปัญหาหน่งึ จำเป็นต้องทำความเข้าใจปัญหานั้นให้ดีเสียก่อน ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.29 ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ผู้มีคุณภาพจิตการคิดที่ดี เมื่อต้อง เผชิญหรือสัมผัสสิ่งเร้าภายนอก ก็ไม่อาจโน้มน้าวให้คิดไปในทางที่ชั่วได้ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.81 อย่างไรก็ตาม ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ

|วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ 27 ปีที่ 7 ฉบบั ท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน เยาวชนในสงั คมไทยท้ัง 4 ภาค ด้านหลกั พทุ ธธรรมอยู่ในระดบั มากที่สุด 2 ข้อ นอกนั้นอยู่ใน ระดบั มาก เหตุที่เป็นเช่นน้ีเพราะว่า การเรียนแนวใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21 ถือเป็น ช่วงเวลาที่ท้าทายความสามารถของมนุษยชาติ เพราะเป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อมูลข่าวสารทุกอย่างก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรอบตัว เราอีกต่อไป ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน (Pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็ก รักท่ีจะเรยี นรู้ตลอดชวี ติ และมเี ปา้ หมายในการสอนท่ีจะทำใหเ้ ด็กมีทักษะชวี ิต ทักษะการคิด และทักษะด้านไอที ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (Data) เหล่านั้นไดท้ ี่ไหน และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะหไ์ ด้ว่าข้อมลู เหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือ เพียงใด และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (Knowledge) ได้ ซ่งึ สง่ิ เหลา่ น้ีต้องเกิดจากการ ฝกึ ฝน ครูจะต้องใหเ้ ด็กไดม้ ีโอกาสทดลองดว้ ยตนเอง ดงั ท่ี (วิจารณ์ พานชิ , 2555: 18) กล่าว ไว้วา่ การศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 เปน็ การเตรยี มคนไปเผชิญการเปลี่ยนแปลงทีร่ วดเรว็ รนุ แรง พลิกผันและคาดไม่ถึง คนยุคใหม่จึงต้องมีทักษะที่สูงในการเรียนรู้ และปรับตัว ครูเพื่อศิษย์ ต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะของการเรียนรู้ด้วย และในขณะเดียวกันต้องมีทักษะในการทำ หน้าที่ครูในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่เหมือนการทำหน้าที่ในศตวรรษที่ 20 หรือ 19 ดังนั้น การ พฒั นาการร้คู ดิ ตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ตอ้ งจัดการศึกษาให้ผู้เรียน มีความรู้ความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติ พัฒนาให้เกิดทักษะทางปัญญา แก้ปัญหาเป็น จึงประสบผลสำเร็จได้ ซึ่งการแก้ปัญหาชีวิต ปัญหาใดปัญหาหน่ึง จำเป็นต้องทำความเข้าใจ ปัญหานั้นใหด้ ีเสียก่อน เป็นการปลูกฝังให้เยาวชนคิดที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นประโยชน์ระยะยาวแกส่ ังคม ส่วนการพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทยทั้ง 4 ภาค ด้านปัจจัยทางจิตวิทยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.89 วิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การหยุดน่ิงอยู่กบั ที่เท่ากับวา่ เป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะทำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาที่ก้าวไกล รองรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะ มนุษย์โดยองค์รวมเป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะพิเศษต่างจากสัตว์อื่น ๆ ทั่วไป มนุษย์มีเหตุผลหรือสติปัญญาที่สรรค์สร้างแต่ละบุคคล แต่ละหมู่พวกให้มีความ แตกต่างกันในรูปลักษณ์ ความคิด จินตนาการ รูปแบบการพัฒนา การจัดองค์กร แต่โดย หน่วยย่อยเป็นแต่ละคนแล้ว เรียกว่า ตนหรือตัวตน หรือรูป มีอิสรภาพทางความคิด แสดง จุดยนื ในเสรภี าพของตนเองได้อย่างมั่นคง ซึง่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 548: 43-44)

|28 Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ปัญญาช่วยให้คนพัฒนาพ้นจากความครอบงำของความต้องการในขั้นตัณหา ขึ้นไปสู่ความต้องการในขั้นฉันทะ แล้วก็มีอิสรภาพโดยมีความสุขที่เป็นอิสระ พ้นจากการ พึ่งพาขึ้นตอ่ วัตถุเสพภายนอก เป็นอนั ว่าปญั ญาได้สง่ ตอ่ ขึ้นไปสูข่ ้อท่สี ่ี คอื อสิ รภาพ ทเี่ รียกว่า วมิ ตุ ติ ซ่งึ อสิ รภาพ ในความหมาน้ี หมายถึง ความหลุดพ้น ส่วนคำท่มี ีความหมายใกล้เคียงกับ อิสรภาพ ได้แก่ นโิ รธ (ภาวะไร้ทกุ ข)์ สันติ (ความสงบ) วมิ ตุ ติ (ความเปน็ อสิ ระ) วิสุทธิ (ความ บริสุทธิ์ หมดจด) และความสุข (การดับทุกข์ได้) อิสรภาพ คือ ความเป็นอิสระ ปลอดจาก ปัญหา ปราศจากทุกข์ ไม่มีสิ่งที่ครอบงำ บีบคั้น หรือขัดข้อง เป็นไท แก่ตน (พระพรหมคุณา ภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), 2548: 43-44) 6. ข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชน ในสังคมไทยจากผลการศกึ ษาและวิเคราะห์ขอ้ มูล มีข้อเสนอแนะ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การพัฒนาการรู้คิดของคนในสังคมไทยถ้าต้องการให้มีความยั่งยืนรู้เท่าทัน การเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับเด็กเล็กเยาวชน และ ผู้ใหญ่ อย่างเปน็ ระบบ เพอ่ื รบั การเปลีย่ นแปลงในศตวรรษหนา้ 2. มีแนวทางอย่างไรผู้ที่บริหารระดับนโยบายจะได้นำหลักธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาทีเ่ ปน็ นามธรรมพฒั นาเยาวชนในสงั คมไทยให้เปน็ รปู ธรรมมากย่งิ ข้นึ เอกสารอา้ งอิง กิตติ กันภัย. (2557). นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . กัญจน์ณิชา อิ่มสมบัติ และอภิชาติ เลนะนันท์. (2019). การพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของผ้เู รยี นในโรงเรยี นหนองชุมแสงวิทยาโดยใช้กระบวนการวจิ ัยแบบมีส่วนร่วม. Journal of Humanities and Social Sciences Thonburi University, 13(3), 64-76. กาญจนา ศรีสวัสดิ์ และสายสมร เฉลยกิตติ. (2560). การคิดอย่างมีวิจารณญาณของ นักศกึ ษาพยาบาล. เวชสารแพทย์ทหารบก, 70(3), 169-174. บรรจง อมรชีวิน. (2559). พุทธวิธีคิดวิเคราะห์ด้วยโยนโสมนสิการ การคิดเพื่อนำไปสู่ ปัญญาวิมุตติ. กรงุ เทพมหานคร: ภาพพิมพ.์ ปรยี า โคตรสาล.ี (2562). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน โดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับผัง

|วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ 29 ปีท่ี 7 ฉบับท่ี 1 (2565) : มกราคม - มิถุนายน กราฟิก. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2555). พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย. พิมพ์ครั้งที่ 32. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพผ์ ลิธัมม์. _________. (2556). วิธีคดิ ตามหลกั พุทธธรรม. พมิ พ์ครั้งท่ี 24. กรุงเทพมหานคร: ปัญญา. ประดิษฐาน. พระมหาพรชัย ฉนฺทธมฺโม และพระมหานิมิตร ฐิตปญฺโญ. (2563). สัมมาทิฏฐิกับการ แก้ปญั หาของสังคมในปจั จุบนั . วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 20(3), 217-226. พิทักษ์ สุพรรโณภาพ. (2561). การคิดเชิงบวก: ตัวแปรในการพัฒนาชีวิต. Veridian E- Journal, Silpakorn University. ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตรแ์ ละศิลปะ, 11(3), 1958-1978. พัชรี นาคผง. (2562). การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD. วิทยานิพนธ์ศึกษา ศาสตร มหาบัณฑิต. บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2535). พระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . เรวดี นามทองดี. (2555). การคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสังกัด สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัด นครปฐม. Veridian E-Journal, Silpakorn University, กลุ่มมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์, (5)2, 120-142. ลักขณา สรวิ ฒั น์. (2558). การรคู้ ดิ (Cognition). กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ วชั รา เล่าเรียนดี และคณะ. (2560). กลยทุ ธ์การจัดการเรียนรูเ้ ชิงรุกเพื่อพฒั นาการคิดและ ยกระดับคุณภาพการศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21. นครปฐม: บริษัท เพชร เกษมพริ้นต้ิง กรปุ๊ จำกดั . วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร: มลู นธิ ิสดศรี- สฤษดิว์ งศ์. ศรัญญา จุฬารี. (2561). ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบของนักศึกษา มหาวิทยาลัย เทคโนโลยสี ุรนาร.ี รายงานการวิจยั . นครราชสมี า: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ุรนารี.

|30 Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2541). คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพมหานคร :มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . สริญญา มารศรี. (2562). การพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในศตวรรษที่ 21. วารสาร มจร นครนา่ นปริทรรศน์, (3)2, 105-122. สราวุธ พัชรชมพู. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสรมิ สร้างความสามารถ ในการคิด เชิงระบบสำหรับนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการศึกษาและการ เรยี นรู้, มหาวทิ ยาลัย: ราชภัฏนครสวรรค์. อรพรรณ์ แก้วกันหา จุฑามาส ศรีจานงค์ และจุรีรัตน์ ประวาลลัญฉกร. (2560). การวิจัย ปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านน้ำคิว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเลย เขต 1. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, (19)2, 289-304. Eric Barendt. (2 0 0 7 ). Freedom of Speech. Oxford University Press: Oxford Scholarship.

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 219 ปที ี่ 7 ฉบบั ที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน แนวทางการสง่ เสรมิ ประเพณีการทำบุญสารทเดือนสบิ ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จงั หวัดบุรรี ัมย์ The Guideline to Promote Meritorious Tradition of the Tenth Month of Ban Yang Sub-District, Lam Plai Mat District, Buriram Province พระโชคทวี ถาวโร, พระมหาพจน์ สวุ โจ, พระมหาถนอม อานนโฺ ท Phra Chocktavee Thavaro, Phramaha Phocana Suvaco, Phramaha Thanorm Arnando วิทยาลยั สงฆ์บรุ รี ัมย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย Buriram Buddhist Collage, Mahachulalongkornrajavidyalaya University E-maiI: [email protected] บทคดั ยอ่ บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการทำบุญอุทิศในพุทธศาสนาเถรวาท 2) ศึกษาประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัด บุรีรัมย์ และ 3) เสนอแนวทางการส่งเสริมประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยการศึกษาจากเอกสารงานวิจัย และลงพ้ืนทสี่ ัมภาษณ์กลุ่มเปา้ หมายในเขตตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรรี ัมย์ โดยมีประชากร 30 รปู /คน จากน้นั ไดร้ วบรวมข้อมูลแล้ว นำมาวเิ คราะหด์ ว้ ยการเขยี นพรรณนาเชงิ วเิ คราะห์ เพื่อให้ได้องคค์ วามรูต้ รงตามวัตถปุ ระสงค์ ผลการวจิ ัยพบว่า การทำบญุ เพ่ืออทุ ิศส่วนกุศล เปน็ หลักปฏิบัตมิ าต้ังแต่สมัยพระพุทธกาลและสืบทอด กันมาจนถึงปัจจุบัน มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้แกผ่ ู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นการตอบแทน บุญคุณผู้มีพระคุณ ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาทคือความกตัญญูกตเวที สำหรับ ประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบของประชาชนในตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัด บุรีรัมย์ เรียกชื่อว่าบุญบาตรสารท ถือว่าเป็นประเพณีหนึ่งทางพุทธศาสนาที่ปฏิบัติสืบต่อมากัน เพราะมีหลักธรรมสำคัญสอดแทรกอยู่ การทำบุญสารทเดือนสิบของประชาชนในตำบลบ้านยาง จะมีพิธีการเพียงวันเดียว คือ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 จะมีการไหว้บรรพชนและทำบุญตักบาตร ได้รบั บทความ: 24 มกราคม 2565; แก้ไขบทความ: 2 กุมภาพนั ธ์ 2565; ตอบรบั ตีพมิ พ:์ 22 กมุ ภาพันธ์ 2565 Received: January 24, 2022; Revised: February 2, 2022; Accepted: February 22, 2022

220 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June พระสงฆ์ร่วมกัน เป็นการสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน เป็นประเพณีท่ี ประชาชนในตำบลบ้านยางเชื่อและศรัทธาอย่างเคร่งครัด ส่วนแนวทางการส่งเสริมงาน ประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยางนั้น สามารถสรุปได้ ดังน้ี (1) ส่งเสริมชาวพุทธ ตัวอย่าง ยกย่องผู้มีความรู้ด้านภูมิปัญญาในชุมชน (2) ส่งเสริมเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ปลูกฝัง ลกู หลานใหต้ ระหนักถึงเอกลักษณ์อนั ดีงาม (3) สง่ เสรมิ ภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน ถ่ายทอดประเพณีอัน ดีงามแก่คนรุ่นหลัง (4) ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน (5) ส่งเสริมความเชื่อทางพระพุทธศาสนา กระตุ้นชาวพุทธให้เห็นความสำคัญของประเพณี บุญบาตรสารท (6) ส่งเสริมด้วยการใช้หลักธรรม ชี้ให้เห็นถึงความกตัญญูและความสามัคคี (7) ขอคำปรกึ ษาจากพระสงฆ์ เข้าไปปรกึ ษาพระสงฆ์ผทู้ รงปราชญ์ประจำวัด และ (8) การขอ คำแนะนำจากผนู้ ำชุมชน เป็นการใหเ้ กยี รติในฐานะผมู้ ปี ระสบการณ์และเป็นท่ีเคารพนบั ถือ คำสำคญั : การทำบุญอทุ ิศ, ประเพณสี ารทเดือนสบิ , การสง่ เสริม Abstract This research aims 1) to study merit dedication in Theravada Buddhism, 2) to study meritorious tradition of the tenth month of Ban Yang sub-district, Lam Plai Mat district, Buriram province, and 3) to suggest guideline for promotion of meritorious tradition of the tenth month of Ban Yang sub-district, Lam Plai Mat district, Buriram province. This research is a qualitative research in fieldwork by studying from documents, researches and interviewing sample 3o personsin Ban Yang sub-district, Lam Plai Mat district, Buriram province. The data will present by analytical description. The result of research found that: Meritorious dedication has been practiced since the time of the Buddha and has been passed down to the present day. It is intended to dedicate charity to the deceased as a reward for grace. According to Theravada Buddhism, the principle is gratitude. For the tenth month tradition of the Buddhist Ban Yang sub-district, Lam Plai Mat district, Buriram province, was called Bun Batra Sat. It is a Buddhist tradition that has been practiced for a long

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 221 ปที ี่ 7 ฉบับท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน time because there are important principles. The tenth month tradition of Ban Yang will be performed only one day, which is the 15th day of the 10th month. The Buddhist will worship ancestors and gives food for the monks. People of Ban believe and follow strictly. As for the guidelines to promote meritorious tradition of the tenth month of Ban Yang sub-district could summarized as follows: 1) promotion of exemplary Buddhists; by praising local intellect people in the community, 2) promotion of local identity; by fostering descendant to realize their identity, 3) promotion of local intellect; by conveying good traditions to young generations, 4) promotion of knowledge exchange and sharing; by sharing tradition each other, 5) promotion of Buddhist belief; by encouraging Buddhists to understand the importance of the Bun Batra Sat tradition, 6) promotion of Buddhist principles; by showing the principles of gratitude and harmony, 7) promotion of advice from erudite monks; by consulting the wise monk, and 8) promotion of advice from community leaders; by honoring them as experienced and respected people. Keyword: Merit Dedication, The Tenth Month Tradition, Promote 1. บทนำ ประเพณีบุญสารทเดอื นสบิ มวี ัตถุประสงคเ์ พ่ืออุทิศส่วนบุญไปใหแ้ กด่ วงวิญญาณ ของผู้ที่ตายไปแล้ว ถึงร่างกายจะสูญหายไปจากโลกมนษุ ย์แล้ว แต่ดวงวิญญาณยังรับผลของ กรรมที่ได้ทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ใครสร้างบุญกุศลเอาไว้มากก็จะได้ไปสู่สุคติโลก ใครสร้าง บาปกรรมอันใดเอาไว้ต้องรับผลของกรรมอันนน้ั ซง่ึ การทำบญุ ถวายทานนั้น ตอ้ งทำกับผู้ทรง ศีลหรือพระสงฆ์ ผลของบุญจึงจะบรรลุผล ดังเรื่องของจูฬเศรษฐีเปรตซึ่งสนทนากับพระเจ้า อชาตศัตรู โดยพระเจา้ อชาตศัตรูได้ถามเปรตว่า ท่านผูเ้ จรญิ ทา่ นเปน็ นักบวชเปลือยมีกายซูบผอม เพราะผลกรรมอะไรท่านจึงไปทีไ่ หนเฉพาะกลางคนื บางทขี ้าพเจา้ จะช่วยท่านได้ เปรตตอบว่า เมื่อชาติก่อนนั้นข้าพระองค์เป็นคหบดีผู้มั่งคั่ง อยู่ในพระนครแต่เป็นคนจิตทราม ไม่เคยให้ สิ่งของแก่ใคร มีใจข้องอยู่ในอามิส ได้ตกไปสู่วิสัยแห่งพญายม เหตุเพราะบาปกรรมเหล่าน้ัน ขา้ พระองคจ์ งึ ลำบาก เนือ่ งจากความหิวโหยเสียดแทง เพราะความทกุ ข์ทเี่ กิดจากความหิวนั่น

222 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June แหละจึงได้มาหาหมู่ญาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าผลแห่งทานมีอยู่ในปรโลก ซึ่งธิดาของข้าพระองค์พูดอยู่เสมอว่า เราจักให้ทานเพื่ออุทิศให้บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ใหพ้ วกพราหมณ์บรโิ ภค ทานทน่ี างจดั นัน้ อยู่ที่เมืองอันธกวินทะ ขา้ พระองค์ต้องไปที่เมืองน้ัน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงตรัสสั่งว่า ถ้าท่านได้เสวยทานนั้นแล้วให้รีบกลับมาบอกเหตุที่มีจริงแก่ เราดว้ ยเราจักไดท้ ำการบชู าบา้ ง เปรตจูฬเศรษฐรี บั พระดำรสั แล้วจงึ ไดร้ ีบไปเมืองนนั้ แต่ไม่ได้ ผลแห่งทาน เพราะพราหมณ์ทั้งหลายที่บริโภคภัตรนั้น เป็นผู้ไม่มีศีล ไม่ควรแก่การทักษิณา ทาน เปรตจูฬเศรษฐีกลับมายังกรงุ ราชคฤห์ ได้แสดงกายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอชาตศัตรู และได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง คราวนั้นพระราชาได้ถามเปรตจูฬเศรษฐีว่า เราจะให้ทานอะไรท่ี เป็นเหตุให้ท่านได้อิม่ หนำตลอดบ้าง จูฬเศรษฐีเปรตจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงอังคาส พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ด้วยข้าว น้ำ และจีวร แล้วอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์ ด้วยทรงบำเพ็ญกิจเช่นอย่างน้ี ข้าพระองค์จึงจะพึงอิ่มหนำตลอดกาล นาน เพราะเหตุน้ันพระราชาจึงรีบเสด็จออก ทรงถวายสิ่งของเป็นทานมากมายแก่สงฆ์ด้วย พระหัตถ์ของพระองค์ แล้วทรงกราบทูลเร่ืองราวแด่พระตถาคตเจ้า และได้ทรงอุทิศส่วนบุญ ให้กับเปรตนั้น จูฬเศรษฐีเปรตนั้นเมื่อได้รับการบูชาแล้ว ได้ปรากฏตนเฉพาะ พระพกั ตรข์ องพระราชาอีกและเป็นผงู้ ดงามยิง่ นัก (ขุ.เปต. (ไทย) 26/105/149) การบูชาวิญญาณของมนุษย์เรานั้น มีการปฏิบัติมาตั้งแต่มนุษย์ยุคแรก และสืบ ทอดมาจนถึงสมัยปัจจุบัน มีจุดประสงค์เพื่อแสดงออกถึงความเคารพสรรเสริญพระคุณของ บรรพชน เพราะวิญญาณทำบุญไม่ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย์ ดังเรื่องของนางอุตรมาตุเปติวัตถุ มีเนื้อความว่า นางเปรตผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัวตนหนึ่ง ได้เข้าไปหาพระภิกษุรูปหนึ่งที่น่ัง พักอยู่ริมแม่น้ำคงคา นางมีผมยาวย้อยจรดพื้นดิน ได้กล่าวกับสมณะรูปนั้นว่า ตั้งแต่ดิฉันจาก มนษุ ยโลกเป็นเวลา 55 ปีแลว้ ยงั ไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย ขอท่านจงให้น้ำดื่มแกด่ ิฉันผู้กระหายน้ำ นี้ด้วยเถิด พระภิกษุตอบว่า แม่น้ำคงคามีน้ำเย็นไหลมาจากภูเขาหิมพานต์เธอจงตักน้ำจาก แมน่ ำ้ คงคานน้ั ด่ืมเถดิ จะมาขอเราทำไม นางเปรตตอบว่า ทา่ นผเู้ จรญิ ถา้ ดฉิ นั ตักนำ้ จากแม่น้ำ คงคาดื่มเอง น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด เพราะผลแห่งบาปกรรมของดิฉัน ดังนั้น ดิฉันจึงขอน้ำ ดื่ม พระภิกษุจึงได้ถามต่อว่า เมื่อก่อนเธอได้ทำกรรมชั่วทางกายวาจาและใจอะไรไว้หรือ นางเปรตตอบว่า ดิฉันมีลกู ชายคนหนึ่งชื่ออุตตระ เปน็ อุบาสกทมี่ ีความศรัทธา และเขาได้ถวาย จีวรแก่สมณะที่บิณฑบาตรวมทั้งที่นอน ที่นั่ง และยา สำหรับแก้ไข้แก่สมณะทั้งหลาย ดิฉันถูก ความตระหน่ีครอบงำ ด้วยความไม่พอใจของฉันผู้เป็นแม่ จึงไดด้ ่าวา่ เจ้าอุตตระส่ิงน้ันทั้งหลาย

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 223 ปที ่ี 7 ฉบับท่ี 1 (2565) : มกราคม - มิถุนายน จงกลายเป็นเลือดแก่เจ้าในปรโลกเถิด เพราะผลของกรรมนั้นแม่น้ำคงคาจึงได้กลายเป็นเลือด (ขุ.เปต. (ไทย) 26/107/157) สำหรับประเพณีสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัด บุรีรัมย์ เป็นประเพณีกราบไหว้บูชาดวงวิญญาณผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ที่ประชาชนมีความเชื่อว่า ถึงแม้ท่านจะได้ตายจากโลกไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของท่านยังคอย ดูแลรักษาและคุ้มครองเหล่าลูกหลานอยู่ ให้พบแต่ความสุขความอุดมสมบูรณ์ในการประกอบ อาชีพ และการดำเนินชีวติ ในเดือนสบิ เปน็ ช่วงทที่ ำการปลูกขา้ วเสร็จรอการเกบ็ เกีย่ ว ประชาชน จะจัดสำรับกับข้าวไปไหว้ผีท่ีทุ่งนา อนั เปน็ ผีบรรพบรุ ุษท่ีคอยปกปักรักษาคุ้มครองให้พืชผลเกิด ความงอกงาม เป็นหลักความเชื่อที่มีมาแต่โบราณของประชาชนในตำบลบ้านยาง ซึ่งตรงกับ หลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาคือประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีการไหว้บูชาดวง วิญญาณของบรรพชน จึงเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องผีที่มีมาแต่โบราณ กับพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นประเพณีบุญสารทเดือนสิบในปัจจุบัน เป็นประเพณีตอบแทนพระคุณของบรรพชนทั้งหลาย ซึ่งแต่ละครอบครัวในตำบลบ้านยางมี ความเชื่อความศรัทธาในประเพณีนี้ ถึงแม้จะไม่มีหลักการทางวิชาการเข้ามาเกี่ยวข้องใน การศกึ ษา โดยอาศัยหลักการปฏิบัติของบิดามารดาในการสอนลูกหลานให้ปฏิบัติตาม และได้มี ต่อเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติจากอดีตไปบ้างในบางพื้นที่ ตามความเหมาะสมและปรารถนาของชาวพุทธตำบลบ้านยาง วันประกอบพิธีกรรมนั้นจะ ประกอบพธิ ีเหมือนกันทั้งตำบล คอื วนั แรม 15 คำ่ เดือน 10 เพียงวันเดียวเทา่ น้ัน เป็นการสร้าง ความรักความสามัคคี ทำให้เกดิ ความรักความอบอุ่นมีความปรองดองเหมือนครอบครัวเดียวกัน เพราะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมไปถึงความสงบสุขและมั่นคงของสังคม ซึ่งปัจจุบันมีความ เปลี่ยนแปลงจากอดีตกาล โดยเฉพาะหลักปฏิบัติและความเชื่อ แม้แต่คุณธรรมที่สอดแทรกใน ประเพณีสารทเดือนสิบก็หายไปด้วย ด้วยเหตุนั้น ผู้วิจัยจึงต้องการทำวิจัยเรื่อง “แนวทางการ ส่งเสริมประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์” เพือ่ รักษาประเพณีอนั ดีงามของบรรพบรุ ุษให้มน่ั คงต่อไป 2. วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 1. เพ่ือศึกษาการทำบุญอุทิศในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท

224 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June 2. เพื่อศกึ ษาประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบ ของตำบลบา้ นยาง อำเภอปลายมาศ จังหวดั บุรรี มั ย์ 3. เพื่อเสนอแนวทางส่งเสริมประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบรุ รี ัมย์ 3. วธิ ดี ำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยมีการสัมภาษณ์ข้อมูล เกย่ี วกบั ประเพณีบญุ สารทเดือนสิบของชาวพุทธในตำบลบา้ นยาง โดยมีขอบเขตการศึกษา ดงั นี้ 1. ขอบเขตด้านเอกสาร ชั้นปฐมภูมิ ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา และชั้น ทุติยภมู ิ ไดแ้ ก่ หนงั สือ รวมท้ังงานเขยี นทางวชิ าการ สื่อออนไลน์รวมท้ังสื่ออื่น ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา ได้แก่ การทำบุญอุทิศทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ประเพณกี ารทำบุญสารทเดอื นสบิ และแนวทางสง่ เสรมิ ประเพณบี ญุ สารทเดือนสิบ 3. ขอบเขตด้านพ้ืนที่ ได้แก่ ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรรี มั ย์ 4. ขอบเขตด้านประชากร ได้แก่ บุคคลสำคัญในท้องถิ่น และผู้ที่ประชาชน ใหค้ วามเคารพนับถอื ในตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จงั หวัดบุรีรัมย์ ดังน้ี 3.1 ขัน้ ศกึ ษาข้อมลู ศึกษาข้อมูลจากหนังสอื เอกสาร และรายงานการวิจัยต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวขอ้ ง กับงานประเพณีบุญบาตรสารทเดือนสิบ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือวิชาการ วิทยานพิ นธ์ วารสารสอื่ ออนไลน์ และสื่ออน่ื ๆ รวมทงั้ การสัมภาษณ์กลุ่มตัวอยา่ ง ดงั น้ี 1. พระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส 10 รูป 2. ผู้นำหมบู่ ้าน 3 คน 3. ประชาชนทว่ั ไป 15 คน 4. ปราชญช์ าวบ้าน 2 คน รวมทั้งสิ้น 30 รปู /คน 3.2 เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย 1. คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือวิชาการ วิทยานิพนธ์ วารสาร รวมทง้ั สอื่ ออนไลน์ต่าง ๆ

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 225 ปีท่ี 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน 2. แบบสัมภาษณ์ โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกเนื้อหา มีทั้งพระสังฆาธิการ ผู้นำชุมชน อุบาสกอุบาสิกา และปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งแบบสัมภาษณ์จะมีข้อคำถามทั้งหมด 4 ประเดน็ คอื (1) ความร้เู ก่ียวกบั ประเพณบี ุญสารทเดือนสิบ หรือประเพณีบุญบาตรสารทของ ตำบลบ้านยาง (2) ขั้นตอนในการเตรียมตัว ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ขั้นตอนในการไหว้ (3) ความเชื่อและความศรัทธาเกี่ยวกับคติธรรมในประเพณีบุญสารทเดือนสิบ และ (4) ข้อเสนอแนะเพ่ือสง่ เสริมประเพณบี ญุ สารทเดอื นสิบ 3.3 ขัน้ เกบ็ รวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น พระไตรปิฎก อรรถกา หนังสือ วิทยานิพนธ์ นิตยสาร วารสาร สื่อออนไลน์ และสื่ออื่น ๆ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการ สมั ภาษณจ์ ากพระภิกษสุ งฆ์ ประชาชน และผู้ท่ีเกีย่ วขอ้ ง 3.4 ข้ันวเิ คราะห์ข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูลที่ได้จากเอกสาร ที่มีความเก่ียวข้อง เช่น พระไตรปิฎก อรรถ กา หนังสือ วิทยานิพนธ์ นิตยสาร วารสาร สื่อออนไลน์และสื่ออื่น ๆ และข้อมูลที่ได้จากการ สมั ภาษณ์ ซงึ่ เปน็ ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description) 3.5 ข้ันสรุปผลและอภปิ รายผลการวจิ ยั สรุปผลทุกหัวข้อของย่อยของการวจิ ัย จะสรุปรวมใหญ่ในแต่ละช่วงของการวจิ ยั และสรุปทั้งหมดในช่วงสุดท้าของการวิจัย ซึ่งผลที่ได้จากการทำการวิจัยคร้ังน้ี เพื่อวิเคราะห์ ขอ้ มูลตามวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 4. สรุปผลการวจิ ัย 4.1 การทำบญุ อุทศิ ในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท การอุทิศส่วนบุญสว่ นกศุ ลในพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นหลักการปฏิบัติทีม่ ีมาคู่ กับพระพุทธศาสนา คำว่า “บุญ” นิรุกติศาสตร์ หมายถึง สภาพกลั่นกรองและชำระสันดานที่ ก่อให้เกดิ กิเลส และสภาพการกลน่ั กรองกรรมทีเ่ กิดข้นึ จากการกระทำของตน เพอ่ื ให้เกิดความ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ซึ่งความหมายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องกลั่นกรองจิตใจของมนุษย์ รวมทัง้ กิริยามารยาท ทำใหเ้ กิดคุณงามความดี น่าเคารพยกย่อง สว่ นคำวา่ “กศุ ล” มีความหมาย กว้าง ๆ ว่า ฉลาด ชำนาญ สบาย เอื้อเฟื้อ หรือเกื้อกูล เหมาะ ดีงาม เป็นบุญ คล่องแคล่ว เป็น ต้น มีความแตกต่างจากบุญ กล่าวคือ บุญจะทำได้เฉพาะมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อตาย

226 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ไปแล้วไม่สามารถทำได้ นอกจากรอรับการอุทิศจากเหล่าญาติที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น เรียกว่า การ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล โดยมีหลักการปฏิบัติ 4 อย่าง คือ (1) การอุทิศส่วนกุศลโดยการ กรวดน้ำหรือหลั่งน้ำ (2) การอุทิศส่วนกุศลโดยการแผ่เมตตา (3) การอุทิศส่วนกุศลโดยการ เปล่งวาจา และ (4) การอทุ ศิ ส่วนกศุ ลโดยการอธิษฐาน การทำบุญอุทิศด้วยหลักสังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักการปฏิบัติอันเป็นที่ตั้งแห่ง การสงเคราะห์ เป็นหลักในการยึดเหน่ียวจิตใจมนุษย์ เพื่อทำตนให้มีความสุข โดยมีหลักการ ปฏิบัติ 4 อย่าง คือ (1) การบริจาคทาน หมายถึง การมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกื้อหนุน ส่งเสริม ในการสละทรัพย์สมบัติของตนให้แก่ผู้อื่น การทำทานนั้นทำได้ทั้งวัตถุสิ่งของและ ไมใ่ ช่วัตถุส่ิงของ (2) ปิยวาจา ทำใหเ้ กิดความสงบสุข รวมท้ังเปน็ หลักในการสั่งสอนลูกหลาน ให้ประพฤติปฏิบัติ (3) อัตถจริยา การขวนขวายเพื่อช่วยเหลือกิจการบำเพ็ญสาธารณะ ประโยชน์ รวมไปถึงการปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมกิจกรรมของสังคม ความสุขและความเจริญ ยิ่งขึ้น และ (4) สมานัตตตา การทำตนที่เสมอต้นเสมอปลายในทางที่ดี มีจุดมุ่งหมาย รู้ หลักการ รู้ตนเอง รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้ชมชน รวมทั้งรู้บุคคล หลักธรรมเช่นนี้เป็นเครื่อง ยดึ เหน่ียวจิตใจของมนุษย์ ให้ปฏิบัตติ นตามประเพณีทด่ี ีงาม โดยเฉพาะความกตัญญูกตเวทีมี ความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ส่วนการปฏิบัติตามหลักธรรมทิศ 6 หมายถึง การดูแลซึ่งกัน และกัน เป็นความผูกพันทางสายเลือด กล่าวคือ พ่อแม่ต้องดูแลเลีย้ งดูลูกกอ่ น และลูกก็ต้อง ดูแลเมื่อถึงเวลาที่สมควร (ที.ปา. (ไทย) 11/266/212) และหลักธรรมเกี่ยวกับพลีกรรม 5 หมายถึง การเสียสละทรัพย์สินตนเองเพื่อประโยชน์แก่ผู้รับ ซึ่งเป็นการลดความตระหนี่ของ ตนเอง หลักธรรมที่เกี่ยวกับบุญกิริยาวัตถุ หมายถึง หลักการทำบุญโดยการปฏิบัติ เพื่อที่จะ ได้เป็นแนวทาง ก่อให้เกิดความสำเร็จแกต่ นเอง สำหรับเรื่องของนรกนั้น เป็นผลเกิดกับคนที่ ประพฤติตนไม่ดีหรือทำกรรมชั่ว เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปรับผลของกรรมนั้น และศรัทธา หมายถึง หลักความเชื่อที่มีทั้งเหตุและผลเป็นส่วนประกอบ ใครสร้างกรรมอันใดเอาไว้ก็จะ ได้รับผลของกรรมนั้น สาเหตุแห่งกรรมนั้นมาจากความโลภ ความโกรธ และความหลงใน จติ ใจของมนุษย์ (อง. จุตกฺก. (ไทย) 21/135/135-136) 4.2 ประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบหรือบุญบาตรสารทของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จงั หวัดบุรีรมั ย์ ประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบ หรือชื่อบุญบาตรสารทของตำบลบ้านยาง ไม่ สามารถบอกได้ว่าเกิดข้นึ มาตั้งแต่เมื่อใด สว่ นการเตรยี มตวั มีอยูส่ ามข้ันตอน คือ (1) ข้ันตอน

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 227 ปที ่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (2565) : มกราคม - มิถนุ ายน การเตรียมสิ่งของ (2) ขั้นตอนการเตรียมตัวของชาวพุทธ และ (3) ขั้นตอนการจัดงานตาม ประเพณี (สัมภาษณ์นางพรหม แป้นนางรอง) ผนู้ ำครอบครวั ได้สอนลูกสอนหลานใหป้ ระพฤติ ตาม เปน็ การสบื ทอดประเพณนี ้ีให้ยั่งยืน เมอื่ ใกล้ถึงวนั ประกอบพิธกี รรมผู้นำครอบครัวจะให้ ลูกหลานตัวเองเตรียมอุปกรณ์ในการประกอบพิธี สิ่งไหนที่ไม่มีก็จับกลุ่มกันทำในชุมชนของ ตนเอง เช่น ขนมข้าวกระยาสารทท่ีใช้ในพิธีกรรม ต้องช่วยกันทำต้ังแตข่ ั้วข้าวเปลือกและคัด แยกออกมาผสมจนเป็นขนมกระยาสารท หากไม่ได้มาร่วมการทำ ก็นำสิ่งของที่ตนเองมีมา แลกเปลี่ยน หรือซื้อหาได้ในราคาถกู ลูกหลานใครไปทำงานต่างแดนก็จะกลับมาร่วมงาน ถ้า ใครไม่กลับมาก็จะส่งเงินมาช่วยพ่อแม่ในการดำเนินการ (สัมภาษณ์นายสุรศักดิ์ ผมทำ) สถานที่ประกอบพิธีกรรมคือวัด โดยพระสงฆ์จะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมให้ทุกครอบครัว ท่ี ธาตุเก็บกระดูกบรรพชนของแต่ละครอบครัว ตั้งแต่เช้ามืดในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของ ทุกปี เพื่อจะได้ตักบาตรพระสงฆ์ร่วมกันทั้งหมู่บ้านในตอนเช้า ส่วนอาหารหรือสิ่งของที่จะ นำไปไหว้บูชาบรรพชนนั้นไม่มีการกำหนด ทุกขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรม ผู้นำ ครอบครัวจะให้ลูกหลานตนเองเป็นผู้ช่วยทำ เพื่อเป็นการฝึกฝนให้มีความเข้าใจและร้วู ิธีการ เหตุที่เรียกว่าประเพณีบุญบาตรสารทนั้น เพราะเป็นการทำบุญไหว้บรรพชน แล้วตักบาตร พระสงฆ์ดว้ ยขนมข้าวกระยาสารทด้วยกันเป็นคตบิ ูชาแบบศาสนาพทุ ธผสมหลักคตินิยมแบบ ท้องถิ่น (สัมภาษณ์พระมหาสนอง นาควโร) ตามหลักคติการบูชานั้นมี 3 อย่าง คือ (1) หลัก คตนิ ิยมแบบศาสนาพราหมณ์ (2) หลกั คตินยิ มศาสนาพทุ ธ และ (3) หลักคตนิ ิยมแบบทอ้ งถ่ิน (สัมภาษณพ์ ระครปู ิยธรรมทศั น)์ ประเพณีบุญสารทเดือนสิบหรือบุญบาตรสารทมีประโยชน์ คือ (1) ประชาชนมี ความรกั ความสามัคคชี ่วยเหลือซ่ึงกนั และกัน (2) ประชาชนมคี วามสดช่นื เบิกบานเพราะการ ได้ทำบุญอุทิศให้บรรพชน (3) ประชาชนได้ทำบุญทำกุศล ถวายปัจจัยเพื่อการกุศลหลาย อยา่ ง เช่น บำรงุ วัด (4) ประชาชนทไ่ี ปทำงานต่างแดนไดก้ ลับบา้ นมาทำบญุ อุทิศให้บรรพบุรุษ ได้พบปะญาติพี่น้องทำให้จิตใจผ่องใส และ (5) ช่วงเวลาประเพณีบุญสารทเดือนสิบหรือบุญ บาตรสารท เป็นช่วงที่พืชพรรณธรรมชาติกำลังสมบูรณ์ตามฤดูกาล ประชาชนจึงมีความสุข ประเพณีบุญสารทเดือนสิบนอกจากไหว้บรรพชนแล้ว ประชาชนตำบลบ้านยางยังบูชาผู้ที่ยังมี ชีวติ อย่ดู ้วย เพื่อเปน็ การแสดงความเคารพนอบน้อม และจะไดร้ ับพรจากท่าน (สัมภาษณ์พระ อธิการสิงห์ เขมปญฺโญ) การบูชาบุคคลควรบูชามี 3 กลุ่ม คือ (1) พระสงฆ์ เพราะเป็นสาวก

228 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ของพระพุทธเจ้า (2) บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดหรือเป็นผู้มีพระคุณ และ (3) การบูชาผู้สงู อายุ 4.3 แนวทางส่งเสริมประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอ ลำปลายมาศ จังหวดั บุรรี มั ย์ แนวทางส่งเสริมประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลาย มาศ จังหวดั บุรีรัมย์ ดังนี้ 1) ส่งเสริมชาวพุทธตัวอย่าง หมายถึง ส่งเสริมบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ในท้องถิ่นของตนเอง โดยมีความรู้เรื่องต่าง ๆ จากประสบการณ์ มีความรู้พร้อมทางภูมิปัญญา สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตาม เป็นที่ยอมรับของชุมชน บุคคลเช่นนี้ถือว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน หรือชาวพุทธตัวอย่าง เนื่องจากจะคอยบอกกล่าวหลักการปฏิบัติสำหรับคนรุ่นใหม่ เป็นผู้ อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี ปราชญ์ชาวบ้านเช่นนี้ทำงานด้วยใจรัก ไม่มีค่าจ้างแต่อย่าง ใด เหตุที่ทำเพราะต้องการรักษาประเพณีอันดีงามใหห้ ลงเหลือถึงอนุชนคนรุ่นหลัง สิง่ หน่ึงซึ่ง เป็นเอกลักษณ์ของปราชญ์เหล่านี้คือ พยายามศึกษาเรียนรู้และเปรียบเทียบประเพณีกับ ชุมชนอืน่ เพอื่ นำมาปรับแกใ้ หเ้ หมาะสมกบั ชุมชนของตนเอง (สัมภาษณ์นายแดง วิเศษนคร) 2) ส่งเสริมเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หมายถึง การรักษาเอาไว้ซึ่ง ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของท้องถิ่น เพื่อจะให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตามเพื่อไม่ให้สูญ หาย การรักษาประเพณีมีหลักการ ดังน้ี (1) ทำให้เห็นคุณค่าประเพณี โดยการปลกู จิตสำนกึ และตระหนักถึงคณุ ค่าแก่นสาระ และความสำคัญภูมปิ ัญญาท้องถ่ินของตนเอง (2) การรักษา และฟื้นฟูประเพณีเอาไว้ โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนที่กำลังจะสูญหายไป (3) การพัฒนาสังคมของตนเอง ด้วยการปรับปรุงให้เหมาะสมตามยุคตามสมัย เพื่อให้เกิด ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน (4) การถ่ายทอดจากผู้รูร้ ุ่นเก่ามายงั คน รุ่นใหม่ ซึ่งการถ่ายทอดความรู้พร้อมการได้ปฏิบัติจริงจะเป็นความจำที่ (5) ส่งเสริมการจัด กจิ กรรมและประเพณีที่เคยมีมาตัง้ แต่อดีต โดยสนบั สนนุ ให้เกิดเครือข่าย และ (6) สง่ เสริมให้ เกดิ ปราชญ์ท้องถิ่นหรอื ผู้มีความรปู้ ระจำทอ้ งถ่นิ (สัมภาษณน์ ายหลง บอ่ ไทย) 3) ส่งเสริมความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนา ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันดีงามมาแต่บรรพบุรุษ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เหล่านี้ควรมีการจัดรักษาอย่างเป็นระบบ มีรูปธรรมชัดเจน ชุมชนจะต้องหาวิธีการรักษา ประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ ด้วยวิธีการอันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอจากน้ัน

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 229 ปีท่ี 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน ภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าวจะต้องสามารถถ่ายทอดให้อนุชนคนรุ่นหลัง สามารถนำไปปฏิบัติ ให้เกิดผลได้จรงิ เปน็ ประโยชนท์ ้งั สว่ นตนและสังคมโดยรวม (สัมภาษณน์ ายวิไล สุดสายเนตร) 4) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ หมายถึง การแลกเปลี่ยนภูมิ ปัญญาของสังคม โดยมีการปรับแก้ให้เหมาะสมกับชุมชนตัวเอง การแลกเปลี่ยนและแบ่งปัน วามรู้สามารถเกิดประโยชน์หลายทาง ดังนี้ 1) สามารถพัฒนางานจนเกิดประสทิ ธิภาพสงู สุด เพราะภูมิปัญญาดังกล่าวผ่านการพัฒนาเรียบร้อยแล้ว 2) สามารถพัฒนาคน เพราะคนท่ี เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญหาอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมสามารถพัฒนาจนเป็นผลสำเร็จ 3) สามารถ สร้างองค์ความรู้ เพราะความรู้สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามยุคนสมัย และ 4) สามารถสร้างวฒั นธรรมการอยู่รว่ มกันอย่างยงั่ ยืนได้ (สัมภาษณพ์ ระศรีปริยตั ธิ าดา) 5) สง่ เสรมิ ความเช่ือทางพระพุทธศาสนา ชาวพทุ ธตำบลบ้านยางนั้นใช้ชีวิต อย่างเรียบง่าย และความเชื่อในพระพุทธศาสนาอย่างไม่มีสิ่งอื่นจะมาแทนได้ ซึ่งความเชื่อ ดังกล่าวสามารถสรุปได้ 3 แนวทาง ได้แก่ (1) ความเชื่อด้านพิธีกรรม มีความสำคัญในฐานะ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ ประเพณี บุญสารทเดือนสบิ นัน้ สมั พนั ธ์กบั ความเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องการทำบุญแกบ่ รรพบรุ ุษ (2) ความ เชือ่ ดา้ นประเพณี เรียกว่าคา่ นิยม ทศั นคติ ศีลธรรม รวมถึงจารีตระเบียบแบบแผน ประเพณี เป็นการเชื่อมมนุษย์เข้าหากันและสอดแทรกคุณธรรมอันเป็นหลักปฏิบัติ และ (3) ความเชื่อ ดา้ นวัฒนธรรม เพราะประเพณเี กิดเป็นความดีงามต่อสังคมจึงกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคม น้ัน ๆ วฒั นธรรมนีเ้ องเปน็ ตวั ตดั สินว่าสังคมไหนมีความเจริญมากน้อยอยา่ งไร (สัมภาษณน์ าย หลง บอ่ ไทย) 6) ส่งเสริมด้วยการใช้หลักธรรม ประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบ พบเห็น หลักธรรม 2 ประการ ดังนี้ 1) หลักกตัญญูกตเวที พระพุทธศาสนาเน้นสอนให้ชาวพุทธรู้จัก ตอบแทนบุญคุณผู้อื่น โดยเฉพาะบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป การตอบแทนสามารถทำด้วยตัวเอง เปน็ เอกเทศ หรือทำด้วยการรวมกันเป็นกลุ่มเรยี กว่าประเพณี การตอบแทนบุญคุณมิใช่เพียง เป็นการประกาศความดีของบรรพบุรุษ แต่เป็นการสอนชาวพุทธที่มีชีวิตอยู่ว่าให้รู้จักตอบ แทนผู้ยงั มีชวี ิตอย่ดู ว้ ย (สมั ภาษณพ์ ระอธกิ ารมงคล สมุ งฺคโล) 7) ส่งเสริมด้วยการขอคำปรึกษาพระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ค้นคว้าวัฒนธรรมประเพณีมากกว่าคนอื่น และพระสงฆ์มีโอกาสเดินทางไปรู้เห็นหรือศึกษา ประเพณีของชุมชนอื่น ย่อมสามารถชี้บอกวา่ วัฒนธรรมควรเป็นอย่างไร หรือปรับแก้อย่างไร

230 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ประการสำคัญคือ พระสงฆ์ดำรงตนในฐานะเป็นนาบุญ ด้วยเหตุนั้น ความรู้ทุกอย่างของ พระสงฆจ์ งึ มีความสำคัญต่อสังคมและประเพณี (สมั ภาษณ์พระอธกิ ารสมจิตร ธรี ปญโฺ ญ) 8) ส่งเสรมิ ดว้ ยการขอคำแนะนำจากผูน้ ำชุมชน จะเห็นได้ว่าผู้นำชุมชนเป็น คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทรงความรู้ด้านประเพณีวัฒนธรรม เนื่องจากผู้นำชุมชนมีประสบการณ์ เรยี นร้วู ฒั นธรรมของชุมชนอนื่ อีกประการหน่ึง เป็นกลมุ่ ทีม่ ีปฏิสมั พันธก์ ับหน่วยงานราชการ การรับรู้หลายอย่างย่อมเป็นประสบการณ์ สามารถบอกให้รู้ได้ว่าประเพณีวัฒนธรรมใด เหมาะสมแก่ชุมชนตัวเองอย่างไร ประการสำคัญ ผู้นำชุมชนเหล่านี้ย่อมมองเห็นประโยชน์ และความสำคัญของชุมชนตัวตั้ง ย่อมจะพยายามพัฒนาชุมชนของตัวเองให้ดีเยี่ยม (สมั ภาษณน์ ายวิไล สดุ สายเนตร) 5. อภิปรายผลการวจิ ัย จากผลการวจิ ยั เร่ือง “แนวทางการสง่ เสริมประเพณีการทำบุญสารทเดือนสิบของ ตำบลบา้ นยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบรุ รี ัมย”์ ไดพ้ บข้อสำคญั จงึ นำมาอภิปราย ดงั นี้ 1. ศึกษาการทำบุญ “อุทิศ” ในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการวิจัยพบว่า การอุทิศส่วนบุญกุศล หมายถึง ความปารถนาดีที่จะให้บุคคลอื่น ได้ร่วมการอนุโมทนาในผล ของบุญที่ตนเองได้ปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้จิตของบุคคลอื่นที่ไม่ได้ร่วมปฏิบัติเกิดกุศลจิต ด้วย จึงเป็นเหตุให้ได้รับผลดีกันทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ปฏิบัติและผู้รับ การอุทิศส่วนบุญกุศลเริ่มมี การปฏิบัติตั้งแต่สมัยพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ พระองค์ทรงทำบุญอุทิศให้กับญาติที่ เป็นเปรต ทไี่ ดม้ าแสดงตนต่อพระพักตร์คราวน้ัน พระพุทธเจา้ ทรงยกเอาเหตุการณ์นัน้ มาเป็น ตัวอย่าง เพื่อพรรณนาสาเหตุแห่งการทำบุญอุทิศ ประเพณีดังกล่าวมีปฏิบัติสืบทอดจนถึง ปัจจุบัน ที่มีความสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง “เปรตในพระไตรปิฎก” ซึ่งระบุว่า ความเช่ือ เรื่องเปรตนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ประเพณี ค่านิยมต่าง ๆ ของชาวพุทธ เป็นสิ่ง สะท้อนให้เห็นถงึ หลักธรรม คำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา เช่น คณุ ธรรมขอ้ กตัญญู คือเรื่อง การตอบแทนบุญคุณ เป็นการสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความเกรงกลัวตอ่ บาป เพราะมีความเชื่อโลก หน้าแฝงอยู่ และกลัวว่าจะต้องตายไปเกิดเป็นเปรตชดใช้ผลกรรมชั่ว สะท้อนให้เห็นถึงผล แห่งการบูชา จะเห็นได้จากมีการนำไทยธรรมมาถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อที่จะอุทิศผลบุญนี้ไป ให้แกเ่ ปรต สะท้อนใหเ้ ห็นถึงสัมพันธ์ระหว่างวงศาคณาญาติ และวดั กบั บ้าน จึงมีผลทำให้เกิด สายสมั พนั ธ์แน่นแฟ้นยิ่งข้ึนไป (พระมหาอุทิศ ศริ วิ รรณ, 2554: 36-37)

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 231 ปีที่ 7 ฉบบั ที่ 1 (2565) : มกราคม - มิถนุ ายน 2. “ศึกษาประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จงั หวดั บรุ รี ัมย”์ ผลการวจิ ัยพบว่า ประเพณีบุญสารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง ไม่สามารถ บอกได้วา่ เกดิ ขน้ึ มาต้งั แตเ่ มื่อใด มกี ารเรียนรปู้ ระเพณีและวิธีปฏิบตั ิจากรนุ่ สูอ่ ีกรนุ่ ได้สืบทอด ประเพณีจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้แนะนำสั่งสอน ผู้นำชุมชนเป็นผู้ กระตุ้นเตือน และพระสงฆ์จะเป็นผู้อธิบายรายละเอียดของประเพณี โดยจุดประสงค์หลกั คือ เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้บรรพบุรุษ ที่มีความสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง “หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาเรื่อง บุญ-บาปที่ปรากฏในผญาอีสาน” ซึ่งระบุว่า คำว่าบุญ ที่คนทั่วไป เข้าใจนั้นแท้ที่จริงคือผลของบุญ อันที่จริงการพูดถึงบุญจะรวมเรื่องต่อไปนี้ คือเหตุของบุญ วิธีทำบุญ และผลของบุญ กรรมคือการกระทำซึ่งมีทั้งดีและชั่ว ถ้าทำกรรมดี เช่น ให้ทานและ รักษาศีล ท่านเรียกว่าทำบุญ การทำกรรมดีด้วยเจตนาที่ดี เจตนานี้เป็นเหตุแห่งบุญ บุญที่ทำ สำเร็จแล้วจะมีผล ซึ่งเก็บสะสมไว้ในภวังคจิต ท่านเรียกผลที่เก็บไว้นี้ว่าวิบาก เมื่อจิตสะสม วิบากไว้มากพอ คนเราก็จะได้รับผลบุญ จะให้ผลเป็นรูปธรรมต่อเมื่อถึงกำหนดที่จะให้ ซึ่งรู้ล่วงหนา้ ไม่ได้ (อดิศร เพียงเกษ, 2554: 31) 3. “ศึกษาแนวทางส่งเสรมิ ประเพณีบุญสารทเดือนสบิ ของตำบลบ้านยาง อำเภอ ลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์” ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนในตำบลบ้านยางมีความเชื่อใน เรือ่ งการไหว้ผบี า้ นผเี รอื น ไร่ผีนามาแต่โบราณ จะประกอบกจิ การใดก็ต้องมีการไหว้ผีในพื้นที่ นน้ั ก่อน เพอื่ ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองในกิจการ เช่น จะปลกู บา้ นตอ้ งเซน่ ไห้ผีเจ้าท่ีก่อน เพื่อความปลอดภัยและความสำเร็จของงาน เพราะทุกคนมีความเชื่อว่า ผีในพื้นที่นั้นได้รับรู้ รับทราบ แล้วจะคอยปกปักรักษาคุ้มครองการกอ่ สร้างให้ประสบความสำเร็จได้ เช่นเดียวกับ ประเพณีบุญสารทเดือนสิบทางพระพุทธศาสนา เป็นประเพณีไหว้ผีบรรพชนที่มีพระคุณของ ตนเอง ที่ทุกคนมีความเชื่อว่าท่านยังคอยปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ และเป็นการตอบแทน พระคณุ ของท่านตามหลักพระพุทธศาสนา มแี นวทางการรักษาไว้ 8 ประการ คือ (1) การส่งเสริม ชาวพุทธตัวอย่าง (2) ส่งเสริมด้านเอกลักษณ์ของท้องถิ่น (3) การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถ่ิน (4) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ (5) ส่งเสริมความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ด้วยการกระตุ้นให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของประเพณีบุญสารทเดือนสิบ (6) ส่งเสริมด้วย การใชห้ ลกั ธรรม (7) ส่งเสรมิ ด้วยการขอคำปรึกษาจากพระสงฆ์ และ (8) สง่ เสริมโดยการขอ คำแนะนำจากผู้นำชุมชน สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมอัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณีเชิงพุทธล้านนาของจังหวัดลำปาง” ระบุว่า แนวทางการส่งเสริม

232 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June อัตลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีเชิงพุทธล้านนาของจังหวัดลำปางนั้น ประกอบด้วย 7 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการจัดการวัฒนธรรมและวิธีการถ่ายทอดวัฒนธรรมของล้านนา (2) ด้านการ ทำนุบำรุงส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น (3) ด้านการสืบทอดวัฒนธรรม (4) ด้านการ พัฒนาวัฒนธรรม (5) ด้านการจัดทำข้อมูลสารสนเทศ (6) ด้านการศึกษา และ (7) ด้านการ ท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมระเพณีที่สำคัญและอัตลักษณ์โดดเด่นของ จังหวัดลำปางสืบไป (กตญั ญู เรือนต่นุ , 2561: คำนำ) 6. ขอ้ เสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย ผู้วจิ ัยมขี อ้ เสนอแนะงานประเพณีบญุ สารทเดือนสิบของตำบลบ้านยาง ดงั น้ี 1. ให้ผู้นำแต่ละชมุ ชนได้มองเห็นประโยชน์ ของประเพณสี ารทเดือนสิบด้วย การกระจายข่ายตามชมุ ชน เพื่อกระตุ้นใหช้ ุมชนเกิดการตื่นตัวกับประเพณีท่ีดงี าม 2. ให้ผู้ปกครองกระตุ้นเตือนเยาวชนคนรุ่นใหมเ่ หน็ ความสำคัญของประเพณี บญุ สารทเดอื นสิบ ด้วยการทำตัวเป็นตวั อย่างตั้งแตก่ ารเข้าวดั และประพฤตติ น 3. ใหบ้ ดิ ามารดาถ่ายทอดประเพณีทำบุญสารทเดือนสบิ แกล่ ูกหลาน โดยยึด หลกั ความรกั ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และหลกั ความเคารพบรรพบุรุษทีล่ ่วงลับไป 4. ให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมหรือจัดสอนรายวิชาเกี่ยวกับประเพณีการ ทำบญุ สารทเดือนสบิ เพ่ือให้นกั เรียนนักศกึ ษารับรถู้ งึ ความสำคัญของประเพณอี ันดีงาม 6.2 ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจยั ในครั้งตอ่ ไป จากการศกึ ษาทำให้ทราบความเปลย่ี นแปลง จงึ เสนอการทำวิจยั ครั้งต่อไป ดงั น้ี 1. ศึกษาวิเคราะห์ความสนใจขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของ เยาวชนในตำบลบา้ นยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรรี ัมย์ 2. ศึกษาวิจัยปัญหาทางสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีผลกระทบต่อขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม เพอื่ หาแนวทางการแกไ้ ข 3. ศึกษาวิจัยหลักวิชาการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ และภูมิปัญญาเกี่ยวกับ ประเพณแี ละวัฒนธรรมอนั ดีงาม

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 233 ปีที่ 7 ฉบบั ท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน เอกสารอา้ งองิ กตัญญู เรือนตุ่น. (2561). แนวทางการส่งเสริมอัตลกั ษณ์วัฒนธรรมประเพณีเชงิ พุทธล้านนา ของจังหวัดลำปาง. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา พระพทุ ธศาสนา. บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระมหาอุทิศ ศิริวรรณ. (2554). เปรตในพระไตรปิฎก. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาภาษาบาลี-สันสกฤต. บณั ฑิตวทิ ยาลยั : จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ไพฑูรย์ มกี ศุ ล. (2550). แนวคิดทฤษฎีในการศึกษาสงั คมวฒั นธรรมไทย. สถาบันวิจัยศิลปะ และวัฒนธรรมอีสาน: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. อดิศร เพียงเกษ. (2554). หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่อง บุญ-บาปที่ปรากฏในผญา อีสาน. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา. บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระมหาสนอง นาควโร, (26 ธนั วาคม 2561). วดั โพธย์ิ อ่ ยบา้ นยาง. สัมภาษณ์. พระครูปิยธรรมทศั น์. (23 ธันวาคม 2561). วดั โพธ์ยิ ่อยบา้ นยาง. สมั ภาษณ์. นางพรหม แป้นนางรอง. (26 ธนั วาคม 2561). ชาวบา้ นหนองตาด. สมั ภาษณ์. นายสุรศักด์ิ ผมทำ. (15 ธนั วาคม 2561). มคั ทายกวัดหนองกระทมุ่ . สัมภาษณ์. พระอธกิ ารสงิ ห์ เขมปญฺโญ. (22 ธนั วาคม 2561). เจา้ อาวาสวดั หนองตาด. สมั ภาษณ์. นายแดง วเิ ศษนคร. (21 ธันวาคม 2561). ปราชญช์ าวบา้ นหมทู่ ่ี 1. สัมภาษณ์. นายหลง บอ่ ไทย. (15 ธนั วาคม 2561). ปราชญ์ชาวบา้ นหมทู่ ่ี 7. สัมภาษณ์. นายวไิ ล สุดสายเนตร. (28 มกราคม 2562). กำนันตำบลบ้านยาง. สมั ภาษณ์. พระศรปี รยิ ัติธาดา. (28 ธันวาคม 2561). เจ้าอาวาสวดั โพธย์ิ ่อยบา้ นยาง. สมั ภาษณ์. นายหลง บอ่ ไทย. (15 ธันวาคม 2561). ปราชญช์ าวบ้านหมู่ที่ 7. สัมภาษณ์. พระอธกิ ารมงคล สุมงฺคโล. (15 ธนั วาคม 2561). เจ้าอาวาสวดั หนองกระทุ่ม. สัมภาษณ์. พระอธกิ ารสมจิต ธรี ปญโฺ ญ. (18 ธันวาคม 2561). เจ้าอาวาสวัดสระสี่เหล่ยี ม. สัมภาษณ์. นายวิไล สุดสายเนตร. (28 มกราคม 2562). กำนนั ตำบลบา้ นยาง. สมั ภาษณ์.

234 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June การศกึ ษาหลกั พทุ ธธรรมเพ่อื ส่งเสริมสขุ ภาพจติ ผู้สูงอายุ ตำบลหว้ ยราชา อำเภอห้วยราช จงั หวดั บุรรี มั ย์ A Study of the Buddhist Principles for Promotion of Mental Health of the Elderly in Huai Rat Sub-District, Huai Rat District, Buriram Province พระมหาสุพรรณ สุภทโฺ ท, พระมหาพจน์ สวุ โจ, พระมหาถนอม อานนโฺ ท Phramaha Suphon Sudbhado, Phramaha Phocana Suvaco, Phramaha Thanorm Arnando วิทยาลยั สงฆบ์ รุ ีรัมย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั Buriram Buddhist Collage, Mahachulalongkornrajavidyalaya University E-maiI: [email protected] บทคดั ย่อ บทความวิจยั นี้ มวี ัตถปุ ระสงค์ คือ 1) เพ่ือศกึ ษาหลกั พุทธธรรมที่สง่ เสริมสขุ ภาพจิต ผสู้ งู อายใุ นพระพทุ ธศาสนา 2) เพอ่ื ศกึ ษาปัญหาสขุ ภาพจิตผ้สู งู อายุ ตำบลหว้ ยราชา อำเภอหว้ ยราช จังหวัดบุรีรัมย์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ งานวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยการลงพ้ืนท่ี สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในเขตตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ 10 หมู่บ้าน โดยมีประชากรจำนวน 43 รูป/คน จากนั้นได้รวบรวมข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ และสังเคราะหข์ อ้ มลู เพ่อื ใหไ้ ด้องคค์ วามรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ ผลการวิจยั พบวา่ หลกั พทุ ธธรรมทส่ี ง่ เสรมิ สุขภาพจติ ผ้สู งู อายุ คอื 1) พรหมวหิ าร 4 หมายถึง ธรรมสำหรับ ยึดเหนี่ยวจิตใจและหลักดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ 2) ฆราวาสธรรม 4 หมายถึง ธรรมสำหรับ สรา้ งความสามัคคเี พื่อใหส้ ังคมสงบสขุ และ 3) โลกธรรม 8 หมายถึง สภาวธรรมทเ่ี กิดข้นึ แล้วไม่ เที่ยงถาวร หลักพุทธธรรมเหล่านี้ผู้สูงอายุต้องเรียนรู้เพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ปัญหา สุขภาพจิตพบว่าผู้สูงอายุมีอาการเครียด หงุดหงิด ท้อใจ เพราะเป็นภาระของลูกหลาน และมีโรคประจำตัว ปัญหาด้านจิตใจส่วนหนึ่งมีผลมาจากปัญหาด้านร่างกาย`ส่วนแนวทาง การส่งเสรมิ สขุ ภาพจติ ผ้สู ูงอายุ คือการประยกุ ตห์ ลักธรรมกับการดำเนนิ ชวี ิต ได้แก่ 1) พรหมวิหาร 4 ดว้ ยการแสดงความเมตตากรุณาตอ่ กัน และไมเ่ บียดเบียนกันทางกายใจและวาจา 2) ฆราวาส ได้รบั บทความ: 13 ธันวาคม 2564; แก้ไขบทความ: 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2565; ตอบรบั ตีพมิ พ์: 22 กุมภาพนั ธ์ 2565 Received: November 13, 2021; Revised: February 1, 2022; Accepted: February 22, 2022

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 235 ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน ธรรม 4 ด้วยการแสดงความชื่อตรงต่อคู่ชีวิตตนและผู้อื่น และ 3) โลกธรรม 8 ด้วยการ พิจารณาวา่ สิ่งทงั้ หลายเกิดข้นึ และเส่ือมเปน็ ธรรมดา และพรอ้ มทีจ่ ะเผชิญกับปญั หาท่ีเกิดขึน้ คำสำคญั : หลักพุทธธรรม, สง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ , ผสู้ งู อายุ Abstract This research aims 1) to study the Buddhist principles for promotion of mental health of the elderly in Buddhism, 2) to study the problems of mental health of the elderly in Huai Rat sub-district, Huai Rat district, Buriram province, and 3) to suggest guideline for promotion of the mental health of the elderly in Huai Rat sub-district, Huai Rat District, Buriram province. This research is a qualitative research in fieldwork by interviewing 43 sample elderly peoples. Those live in an area of 10 villages in Huai Rat sub-district, Huai Rat District, Buriram province. The result of research found that: The Buddhist principles for promotion of the mental health of the elderly was; 1) sublime states of mind (Brahmavihara Dhamma) meant the virtue trusted human’s mind and was living-means for the elderly, 2) virtues of lay people (Gharavasa Dhamma) meant the Buddhist principles that made society harmonious and peaceful and 3) worldly conditions (Loka Dhamma) meant the conditions that risen up and eventually degenerated. The elderly must learn what had happened and was able to live happily. The problems of mental health of elderly found that; they were stress, irritability and worry because they burdened of their children and got congenital disease. One factor of those problems resulted from physical problems. The Guidelines for the promotion of the mental health for the elderly found that the elderly should apply Buddhist principles for daily life, namely; 1) sublime states of mind (Brahmavihara Dhamma): they should practice compassion and kindness to each other and did not interfere physically and verbally with each other, 2) virtues of lay people (Gharavasa Dhamma): They should be faithful to own

236 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June spouse and others, and 3) worldly conditions (Loka Dhamma): they should consider things that rose and decayed and were ready to face any problems. Keyword: Buddhist Principle, Promotion of Mental Health, the Elderly 1. บทนำ ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 14.9 (กลุ่มสถิติประชากร 2557: 1) ถือว่าได้เข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก สัดส่วนของ ประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ เพิ่มเป็นร้อยละ 20.5 ในปี 2565 และร้อยละ 32.1 ในปี 2583 ทำให้เกิดข้อกังวลในเรื่องการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจาก ขณะที่ประชากรสูงอายุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกันประชากรในวัยแรงงานก็ลดลงอย่าง ต่อเนือ่ ง(สำนักงานพฒั นาการเศรษกจิ ละสังคมแห่งชาติ, 2556: 172) ข้อมูลผสู้ ูงอายุในตำบล ห้วยราชาก็เช่นเดียวกัน จำนวนประชากรผู้สูงอายุในตำบลห้วยราชา มี 901 คน จำนวนคน พิการที่มีสิทธิรับเบ้ียยังชีพผู้สูงอายุเดิม 855 ราย และรายใหม่จำนวน 46 ราย ผู้สูงอายสุ ่วน ใหญเ่ ป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และปญั หาอืน่ ๆ เช่น หกล้ม เขา่ เส่ือม สมองเสื่อม และถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านเรือนตามลำพัง ลูกหลานอพยพไปทำงานต่างพื้นที่ โดยเฉพาะหลัง ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผู้สูงอายุบางรายมีภาระต้องเลี้ยงดูหลาน นอกจากปัญหาสุขภาพกายแล้ว ปัญหาสำคัญอีกประการคือปัญหาสุขภาพทางจิตใจ ผู้สูงอายุเกิดความกังวลเรื่องความ เจบ็ ป่วย ต้องรบั ประทานยาหลายชนิดเปน็ ประจำ และกังวลเรื่องโควดิ ห่วงลูกหลานกลัวติด เชื้อโควิด บางท่านมีความกังวลเรื่องร่างกาย เป็นห่วงลูกที่ไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด มีความเครียดเพราะโรคชรา บางคนจิตใจไม่ดีเพราะไม่มีคนดูแล หงุดหงิดเพราะอยู่คนเดียว ลูกหลานไปทำงาน บางคนอยากตายเพราะเป็นภาระลูกหลาน บางคนจิตใจไม่ค่อยปกติ เพราะบ้านอยู่ใกล้ถนน หนวกหูเสียงรถ บางคนเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว ไม่ค่อยมี เงินลูกหลานไปทำงานไม่ได้เพราะโรคโควิด บางคนคิดมากนอนไม่ค่อยหลับ เพราะอยูบ้าน คนเดียว เวลาเป็นอะไรไปไม่มีคนดูแล บางคนอารมณ์หงุดหงิดเพราะโรครุมเร้า บางคน เครียดมากเพราะไม่มเี งนิ ใช้ และบางคนเครียดเร่ืองลกู หลาน หลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ทำให้เกิด ความรู้ความเข้าใจปัญหาของชีวิต มีคุณค่าต่อวิถีชีวิตของมวลมนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับ สติปัญญา ความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะนำมาพฒั นาตนเอง ให้เกิดความสุขความเจรญิ งอกงามในชีวิต เพราะพระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ค้นพบทางเดินของชีวิต แล้วนำมาบอกกล่าว ให้แก่บุคคลอื่นเท่านั้น ดังพุทธพจน์ว่า “เธอทั้งหลายควรทำความเพียรเองเถิด ตถาคตเป็น เพียงผู้ชี้บอกเท่านั้น ผู้บำเพ็ญภาวนา ดำเนินตามทางนี้แลว้ เพ่งพินิจอยู่ จักพ้นจากเครื่องผกู

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 237 ปีท่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน แห่งมารได้” (ขุ.ธ. (ไทย) 25/276/117) พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่เหมาะสมในแต่ละ ชว่ งวัย เช่น ปฐมวัยมีอทิ ธบิ าทธรรมในการศึกษาเลา่ เรียน เพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายในชวี ติ คือมี ความพอใจเรียนตั้งใจเรียน เข้าใจเรียนและฉลาดในการเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ในโลกปัจจุบนั วัยผู้ใหญ่หรือมัชฌิมวัยควรดำรงตนอยู่ในความหมั่นพากเพียรในการประกอบอาชีพที่สุจริต เพื่อสรา้ งฐานะทางการเงินหรือเศรษฐกจิ ในครอบครัวให้มนั่ คง ส่วนในวัยสดุ ทา้ ยของชวี ิตหรือ ปัจฉิมวัย ซึ่งก็คือวัยของผู้สูงอายุพึงดำรงตนอยู่ในหลักพุทธธรรมที่เหมาะสมแก่ตน เพื่อให้ สามารถดำเนินชีวิตอยู่อย่างปกติสุข และรู้จักการปล่อยวางต่ออารมณ์ต่าง ๆ เมื่อถึงคราว เจ็บป่วยหรือจวนเจียนใกล้จะถึงแก่กรรม ก็จะเกิดความไม่พร้อมในการเตรียมตัวก่อนตาย เนือ่ งจากการเดนิ ทางของมนุษย์ไม่ใช่เพียงความตายเท่าน้นั แต่มนุษย์จะตอ้ งเดินทางไกลไปสู่ ภพนอ้ ยภพใหญอ่ ีก ดังพระพุทธพจน์ทปี่ รากฏใน “ภัทเทกรัตตสูตร” ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้วสง่ิ นั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งใดที่ยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็เป็นอันยังไม่มาถึง ส่วนบุคคลใด เห็นแจ้งธรรมที่เป็นปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ บุคคลนั้นควร เจริญธรรมนั้นให้แจ่มแจ้ง บุคคลทำความเพียรตั้งแต่วันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่าความ ตายจักมใี นวันพรงุ่ น้ี เพราะวา่ ความผัดเพีย้ นกบั มัจจรุ าชผู้มีเสนามากนนั้ ยอ่ มไม่มแี ก่เรา ทัง้ หลาย พระมนุ ีผสู้ งบ เรียกบุคคลผู้มคี วามเพียร ไม่เกยี จครา้ นทงั้ กลางวันและกลางคืน ซ่ึงมปี กติอยู่อย่างน้ีน้นั แลว่า ผูม้ ีราตรีเดียวเจริญ (ท.ี ปา. (ไทย) 11/201/233) ปัญหาของผู้สูงอายุที่ทางภาครัฐได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือส่งเสริมและ สนับสนุนนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาเพียงด้านเดียว คือการแก้ปัญหาด้านภายนอกเท่าน้ัน ด้วยเหตุท่ีความเปน็ จริงแล้วปัญหาของผู้สูงอายุ คอื ปญั หาทางสุขภาพจิต เช่น การอยู่อย่างโดด เดี่ยว ลูกหลานไมม่ ีเวลาดูแล ขาดความรักความเอาใจใส่ ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านีจ้ ะแก้ไขได้ จะต้องอาศัยหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา การเกษียณอายุราชการเป็นเรื่องของ ความเปลย่ี นแปลงอย่างหนึ่งในชีวิต สำหรับผ้สู ูงอายยุ อ่ มรู้สึกวา่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามองแค่เป็นการเปลี่ยนแปลงก็ไม่เป็นไร แต่บางท่านมองเป็นการสิ้นสุด ถ้ามองเป็นการสิ้นสุดก็จะทำให้รู้สึกว่าเป็นการสูญเสียแล้วก็ไม่สบายใจ ดังที่ปรากฏบ่อย ๆ ว่าผทู้ เ่ี กษยี ณอายหุ ลายท่านมีความรูส้ ึกว่าตวั เองมาถึงเวลาที่หมดสิน้ ตำแหน่งฐานะเกียรติยศ อำนาจและการได้รับความเคารพนับถือต่าง ๆ ว้าเหว่ เหงา สิ้นหวังหรือท้อแท้ใจ การมอง อย่างนั้นที่จริงน่าจะไม่ถูก ความจริงการเกษียณอายุราชการไม่ใช่เป็นความสิ้นสุดหรือความ สูญเสีย แต่เปน็ เพยี งความเปลย่ี นแปลง (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), 2556: 29)

238 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ปัญหาของผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นปัญหาด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม การอยู่ร่วมกัน ด้านเศรษฐกิจ และรายได้ ในทางด้านจิตใจประสบทุกข์ที่ลูกหลานทอดทิ้งให้ อยู่บ้านคนเดียวตามลำพังโดยขาดคนเหลียวแล เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน เพราะวา่ ผู้สูงอายุมีเพิ่มขึ้นมาเร่ือย ๆ ซึง่ ถูกทอดท้ิงอยา่ งหลีกเลย่ี งไม่ได้ จึงเป็นปัญหาใหญ่ใน วงกว้าง ซึ่งจะต้องร่วมมือช่วยกันเข้ามาแก้ปัญหาผู้สูงอายุที่ถูกภัยทางสังคมคุกคามที่เป็น บุคคลรอบข้างปล่อยให้เปน็ คนแก่ชราเฝ้าบา้ นอยู่คนเดียวไร้คนดูแล ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจาก สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมที่มกี ารพัฒนาไปจุดสงู สุดจนปล่อยปละละเลยอยา่ งท่ีเห็นในปัจจุบัน หรอื อาจจะเกดิ จากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่คงที่ สภาพการเปล่ียนแปลงทางสังคมทีพ่ ัฒนาไปไกล จนทำใหผ้ ูส้ ูงอายปุ รบั ตวั ไมท่ ัน หรือการมีเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั เข้ามาเกี่ยวข้องกบั การดำเนินชีวิต ทำใหช้ ีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเรว็ จนปรับตวั ไม่ทัน เช่น การใชเ้ ทคโนโลยีทท่ี นั สมยั เข้ามาใช้ใน ชีวิตประจำวันจนทำให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายมากขึ้น แต่ขาดการดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้เฝ้าบ้านอยู่ลำพังคนเดียว ส่วนผู้ที่เป็นลูกหรือเป็นหลานก็ใช้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ตามความประสงค์ เพราะจะต้องออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เมื่อมาถึงบ้านก็เกิดอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานและเข้าที่พักเอาแรงไว้ทำงานในวัน ขา้ งหน้า จนไม่มีเวลาดูแลพ่อแมน่ ี้ คอื ปญั หาในสังคมไทยในปจั จุบัน ไม่ว่าในเมืองหรือชนบท กเ็ หมือนกนั ถา้ ปลอ่ ยปละละเลยใหผ้ ู้สงู อายอุ ยตู่ ามลำพังแบบน้ีไปเรือ่ ย ๆ จะทำให้หน้าทีข่ อง ลูกที่จะต้องคอยดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าเริ่มจะเหินห่างออกไป จนกระทั่งเป็นปัญหาใหญ่ใน ปัจจุบัน ดังนั้น ปัญหาที่สำคัญของผู้สูงอายุ คือปัญหาด้านจิตใจ สุขภาพอนามัย และปัญหา ทางสังคม (พระบุญทรง หมดี ำ (ปญุ ญฺ ธโร), 2549: 34) หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ เป็นแนวทางในการ ดำเนินชีวิต เพื่อให้รู้ความเป็นจริงของโลกและชีวิต และให้รู้เท่าทันของกฎธรรมชาติ จนสามารถอยู่กบั โลกแหง่ ความเปน็ จรงิ ไดอ้ ย่างปกติสขุ ไดแ้ ก่ พรหมวิหาร 4 ฆราวาสธรรม 4 และโลกธรรม 8 หลักธรรมเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข เพราะผูส้ งู อายตุ ้องเตรียมตวั เตรยี มใจเพ่ือเผชิญหนา้ กับเหตุการณเ์ กนิ ความคาดเดาในอนาคต เนอื่ งจากไม่รู้วา่ ตนจะมีอายอุ ยไู่ ดน้ านสกั เพยี งใด ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาหลักธรรมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิต ของผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ โดยการนำหลักธรรมทางพุทธ ศาสนา ได้แก่ พรหมวิหาร 4 ฆราวาสธรรม 4 และโลกธรรม 8 มาสอดแทรกกับปัจจัยที่ เกี่ยวข้องกบั การเสริมสรา้ งสขุ ภาพจติ ผู้สูงอายุ เพื่อเป็นแนวทางการส่งเสริมและสนบั สนนุ ให้ เกดิ ความสำเรจ็ ในการดำเนนิ ชวี ิต

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 239 ปีท่ี 7 ฉบับท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน 2. วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาหลกั พุทธธรรมทีส่ ง่ เสริมสุขภาพจิตผู้สงู อายใุ นพระพุทธศาสนา 2. เพ่อื ศกึ ษาปัญหาสขุ ภาพจติ ผสู้ งู อายุ ตำบลหว้ ยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบรุ ีรัมย์ 3. เพือ่ เสนอแนวทางการสง่ เสริมสขุ ภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอหว้ ยราช 3. วิธดี ำเนนิ การวิจัย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดระเบียบวิธีวิจัยหรือกระบวนวิธีการวิจัย (Methodology) โดยการใช้กระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) อันประกอบไปด้วย กระบวนการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารหรือการวิจัยเชิง เอกสาร (Documentary Research) และกระบวนการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) อนั มีสาระสำคัญโดยสรุปดังต่อไปนี้ 3.1 การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูลจากเอกสารหรือการวิจัยเชิงเอกสาร โดยการทบทวนแนวความคิด ทฤษฎี และ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับหลักพุทธธรรม การพัฒนาส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยใน ส่วนที่เกี่ยวกับแนวความคิดหลักพุทธธรรม ความหมาย การส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ นั้น ได้ดำเนินการศึกษาจากเอกสารทางวิชาการ ผลงานวิจัย และบทความทางวิชาการ ที่เก่ียวข้องกบั กระบวนการในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผ้สู ูงอายุ รวมท้ังข้อมลู ทางวิชาการที่ ได้จากการสบื ค้นทางสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์หรือทางเว็บไซต์ต่าง ๆ 3.2 กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูลหลัก การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดพื้นท่ี ศึกษาวจิ ัยของผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอหว้ ยราช จังหวดั บรุ ีรัมย์ โดยกำหนดประชากรและ กลุ่มเป้าหมายในการสัมภาษณ์ ต่อไปน้ี 1) พระสงฆ์ 7 รูป 2) ผู้สูงอายุชาย 15 คน และ 3) ผ้สู งู อายุหญงิ 21 คน 3.3 เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม (Qualitative Research) โดยมีขนั้ ตอนการวจิ ัย ดังตอไปนี้ 1. ข้ันตอนการสร้างเครือ่ งมือ 1) ศกึ ษาความเปน็ อยูข่ องผสู้ งู อายทุ ั้ง 10 หมู่บ้าน 2) กำหนดกรอบแนวคิด ในการสร้างเครื่องมือการวิจัย 3) กำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้าง เครื่องมือการวิจัยโดยขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษา 4) สร้างเครื่องมือแบบสัมภาษณ์ วิธีการ สัมภาษณ์แบบชี้นำ โดยการสัมภาษณ์แบบปลายเปิด และ 5) นำเสนอร่างเครื่องมือการวิจัย ตอ่ ทป่ี รกึ ษาวิจยั และผเู้ ชยี่ วชาญเพ่ือตรวจสอบ และปรับปรงุ แก้ไข

240 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June 2. ลักษณะของเครื่องมอื เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบวิธีการสัมภาษณ์ ที่ผู้วิจัยได้ พัฒนาขน้ึ เพ่อื ใชใ้ นการวจิ ยั โดยแบง่ ออกเป็น 4 ตอนดงั นี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสัมภาษณเ์ กีย่ วกบั ข้อมูลท่ัวไปของผสู้ ูงอายุ มีลักษณะ เป็นแบบปลายเปิด ประกอบด้วย เพศ อายุ อาชพี ตอนที่ 2 เป็นแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ในเขต ตำบลห้วยราชา ตอนที่ 3 เป็นแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขสุขภาพจิตของ ผู้สูงอายุ ในเขตตำบลห้วยราชา ตอนท่ี 4 วิธกี ารสง่ เสริมสุขภาพจิตผ้สู งู อายุตามหลักพุทธธรรม 3.4 การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ผ้วู ิจยั ไดด้ ำเนนิ การตามขั้นตอนดังน้ี 1) ขอคำแนะนำจากอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาวจิ ยั เพือ่ ตรวจสอบเครือ่ งมอื ทส่ี รา้ งไว้ 2) นำแบบสัมภาษณ์ที่สร้างเสร็จ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญแล้วนำมาปรับปรุง แก้ไขให้เหมาะสม เพื่อพิจารณาทั้งในด้านเนื้อหาสาระ และโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์ ตลอดจนภาษาท่ใี ช้เพ่ือให้สอดคลอ้ งระหว่างข้อคำถาม และวัตถปุ ระสงค์ 3.5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับหลักพุทธธรรม เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวดั บรุ รี มั ย์ โดยดำเนนิ การจดบันทึก (Field Note) เพ่ือบันทึกข้อมูลท่ีได้ จากการสัมภาษณ์เชิงลึก 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยทำการศึกษาหลัก พุทธธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ บทความ วารสาร งานวิจัยและ ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต นำข้อมูลที่ได้มาจัดเรียบเรียงให้เป็นหมวดหมู่เพื่อศึกษาใน ประเด็นท่ีสำคัญต่อผู้สูงอายุ 2) ขั้นตอนการสร้างเครือ่ งมือ แบบสัมภาษณ์ หลังจากที่ผ้วู จิ ัย ศึกษาหลักพุทธธรรมแล้วจึงนำข้อมูลจากการศึกษามาออกแบบสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ ในตำบล ห้วยราชา จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 43 รูป/คน แล้วนำเสนอต่อที่ปรึกษาเพื่อ พิจารณาความ ถกู ตอ้ งของแบบสมั ภาษณ์ จากนั้น ผวู้ ิจัยไดย้ ่ืนหนังสือต่อผู้อำนวยการหลักสูตรบัณฑิตศึกษา เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และตรวจสอบเครื่องมือแบบสัมภาษณ์เพ่ือ ความเชื่อมั่นและความถูกต้องของข้อมูลที่จะนำไปสัมภาษณ์ 3) ขั้นตอนสัมภาษณ์ ผู้วิจัยลง พื้นที่เก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้สูงอายุจำนวน 43 รูป/คน ในตำบลห้วยราชา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมเี ครื่องมือในการสัมภาษณ์ คอื แบบสมั ภาษณ์ การจดบนั ทึก ขอ้ มูล และการบนั ทึกภาพนิ่ง 4) หลังจากไดข้ ้อมูลครบแลว้ ผู้วจิ ัยได้ดำเนนิ การถอดข้อมลู จากการจดบันทึกมารวบรวมเรียบเรียง

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 241 ปีท่ี 7 ฉบบั ท่ี 1 (2565) : มกราคม - มิถุนายน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเพื่อความถูกต้องว่าผู้สูงอายุเป็นอย่างไร และ 5) ขั้นตอนการ นำเสนอข้อมูล หลังจากที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาทั้งจากเอกสารและ สมั ภาษณ์แล้วได้ทำการพิมพ์ในระบบคอมพวิ เตอร์ตามรปู แบบบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเสนอความสำคัญของหลักพุทธธรรมและรูปแบบ และนำ ข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้กับผู้สูงอายุ โดยการเขียนเชิงพรรณนาเพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลและ ผลงานทางวชิ าการต่อไป 3.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยได้นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกนั้น มาใช้ในการวิเคราะห์และ ประมวลผลข้อมูล โดยดำเนินการร่วมกับกระบวนการรวบรวมข้อมูล จากการศึกษาค้นคว้า ขอ้ มลู จากเอกสาร ไดแ้ ก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาประเด็นหลัก (Major Themes) หรือ แบบแผนหลัก (Major Pattern) ท่พี บในข้อมลู ซงึ่ ไดร้ ับจากการสมั ภาษณ์ทง้ั หมด 2) จากนั้นจึงนำประเด็นหลัก (Major Themes) มาพิจารณาแบ่งแยก ออกเป็นประเด็นย่อย (Sub - Themes) และหัวข้อย่อย (Categories) เริ่มต้นจากการ วิเคราะหภ์ าพรวมไปส่กู ารวิเคราะห์ประเด็นย่อยของกระบวนการวิเคราะห์ ตามแนวทางการ วิจยั เชิงคุณภาพภาคสนาม และ 3) ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เกี่ยวกับ สขุ ภาพจิตผสู้ งู อายุตามหลกั พุทธธรรม 4. สรปุ ผลการวจิ ัย 4.1 หลกั พทุ ธธรรมเกย่ี วกับการส่งเสรมิ สขุ ภาพจิตผู้สูงอายุ ผสู้ งู อายหุ มายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปขี ้ึนไป สภาพรา่ งกายเส่ือมถอยความคล่องแคล่ว วอ่ งไว เปล่ยี นแปลงไปตามสภาพ มีอารมณห์ งุดหงดิ ไม่มีความเช่ือมน่ั ในตนเอง หวาดกลัวภยั ตา่ งๆ นานา กลวั ถูกทอดทิง้ จากครอบครวั ลูกหลาน สังคมและชุมชน ผสู้ ูงอายุเป็นผมู้ ีบุญคุณ ต่อลูกหลาน ชุมชน สังคม และต่อประเทศชาติ ในสังคมไทยเห็นว่าผู้สูงอายุนั้นคือร่มโพธิ์รม่ ไทรที่ให้ความเคารพยกย่องเพราะมีคุณค่าทั้งต่อครอบครัวและสังคม แม้ว่าผู้สูงอายุจะลด สถานภาพ และบทบาทลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับคนรุ่นปัจจุบันเป็นอย่างดี ความสำคัญของผู้สูงอายุ คือ เป็นเสมือนศูนย์กลางของจิตใจสำหรับลูกหลาน การเป็นผู้มี คุณค่าต่อสังคม ผู้สงู อายุตา่ งกม็ ีประสบการณ์ชีวิตมากมาย สามารถแยกแยะสิ่งใดถูกส่ิงใดผิด ประสบการณ์ ความรู้เหล่านี้ย่อมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไปสู่คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ท้งั วฒั นธรรมประเพณี พธิ ีกรรมต่าง ๆ น้นั ต้องอาศยั ประสบการณ์ของผรู้ ู้ นอกจากน้ีผู้สูงอายุ

242 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June ยังมีบทบาทในฐานะผู้ผลิตสร้าง รายได้เลี้ยงดูลูกหลาน หรือเคยเป็นกำลังสำคัญด้าน เศรษฐกจิ มาก่อน ท่านจงึ เป็นขมุ ทรัพยท์ างปัญญา แกช่ มุ ชนและสังคม หลกั พุทธธรรมทเ่ี หมาะสมกบั ผู้สงู อายุ ดังนี้ 1) พรหมวิหาร 4 หรอื พรหมวิหารธรรม เป็นหลักธรรมประจำใจ เพ่อื ใหต้ น ดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ปกครอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ (1) เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มจี ิตอนั แผ่ไมตรแี ละคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า (2) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยาก เดือดร้อนของปวงสัตว์ (3) มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปร ด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อ เขาได้ดีมสี ุข เจริญงอกงามยงิ่ ขน้ึ ไป และ (4) อเุ บกขา ความวางใจเป็นกลาง อนั จะให้ดำรงอยู่ ในธรรมตามทีพ่ ิจารณาเห็นดว้ ยปญั ญา คือมจี ติ เรยี บตรงเท่ียงธรรมดุจตราชัง่ ไมเ่ อนเอียงด้วย รักและชัง พิจารณาเหน็ กรรมทีส่ ัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรไดร้ ับผลดหี รือช่ัว สมควรแก่ เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจ มองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรไดร้ ับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน (อภ.ิ สงฺ. (ไทย) 34/190/75) เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา เปน็ หลกั ธรรมในการสง่ เสรมิ ด้านกายมาเป็นพืน้ ฐานความเจริญงอกงามให้กับ ตนเองและผู้อื่นนั้น จะต้องอาศัยหลักความดีมีเมตตา มาเกื้อกูลเพื่อขัดเกลาการกระทำที่ไม่ เหมาะสม ทั้งภายในและภายนอก โดยการงดเว้นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนําความเสื่อมมาให้กับ ตนเอง ยอ่ มทำใหเ้ กิด ความสุขโดยไมป่ ระมาท ส่งผลให้สุขภาพกายดี ต่อสู้กับโรคภยั ไข้เจ็บได้ และเป็นสิ่งสำคัญอย่างย่ิงที่มนุษย์ทุก ๆ คนควรจะนําเข้ามาใส่ตัวเองให้มีความพร้อมท่ีจะนํามา ส่งเสรมิ คุณภาพชวี ิตด้วยยึดหลกั พรหมวิหาร 4 มาปรบั ใชใ้ นการดำเนินชวี ิตอยา่ งแทจ้ รงิ 2) ฆราวาสธรรม 4 ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ (1) สัจจะ ความจริง, ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง (2) ทมะ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัย แก้ไข ข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา (3) ขันติ ความอดทน ตั้งหน้าทำ หน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ทอ้ ถอย และ (4) จาคะ ความเสียสละ สละกเิ ลส สละความสุขสบายและผลประโยชน์ส่วน ตนได้ ใจกว้าง พร้อมทจี่ ะรับฟังความทกุ ข์ ความคิดเหน็ และความตอ้ งการของผู้อื่น พร้อมท่ี จะร่วมมือ ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตนหรือเอาแต่ใจตัว (ขุ.สุ. (ไทย) 25/845/316) ฆราวาสธรรม ถือว่าเป็นธรรมพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนจะต้องหมั่นฝึกฝน

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 243 ปีท่ี 7 ฉบับท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน อบรมตนเองด้วยการละเว้นจากการพฤติกรรม กระทำอันเป็นที่ไม่เหมาะสม แก่ตนเองและ ผู้อื่น โดยการยึดเอามาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อจะเสริมสร้างให้ตนและทุกคน อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสงบสุข โดยอาศัยการนําหลักธรรมคําสอนมาประพฤติ ส่งเสริมใช้ให้เกิดมรรคผล เกิดคุณค่าความเจริญงอกงามทั้งภายในภายนอกปราศจากโทษ ด้านต่าง ๆ ย่อมทำให้มตนและทุกคน มีความสมบูรณ์ด้วยการบําเพ็ญสิ่งที่มีประโยชน์ และ เว้นจากการเบยี ดเบยี นกัน 3) โลกธรรม 8 ธรรมดาของโลก เรอื่ งของโลก ความเปน็ ไปตามคติธรรมดา ซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตว์โลกและสัตว์โลกก็หมุนเวียนตามมันไป (1) ลาภ (ได้ลาภ มีลาภ) (2) อลาภ (เสื่อมลาภ สูญเสีย) (3) ยส (ได้ยศ มียศ) (4) อยส (เสื่อมยศ) (5) นินทา (ติเตียน) (6) ปสํสา (สรรเสริญ) (7) สุข (ความสุข) (8) ทุกข์ (ความทุกข์) โดยสรุปเป็น 2 คือ ข้อ 1-3- 6-7 เป็น อิฏฐารมณ์ คือส่วนที่น่าปรารถนา ข้อที่เหลือเป็น อนิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ไม่น่า ปรารถนา โลกธรรมเหล่าน้ี ย่อมเกดิ ขน้ึ ท้ังแก่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ และแก่อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ต่างกนั แต่ว่า คนพวกแรกยอ่ มไม่รู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริง ลมุ่ หลง ยนิ ดียนิ ร้าย ปล่อยให้ โลกธรรมเข้าครอบงำย่ำยีจิต ฟูยบุ เรือ่ ยไปไม่พ้นจากทุกข์ มโี สกะปริเทวะ เป็นต้น ส่วนอริยสาวก ผู้ไดเ้ รยี นรู้ พิจารณาเหน็ ตามเปน็ จริง ว่า สง่ิ เหล่าน้อี ย่างใดก็ตามท่ีเกิดขึน้ แก่ตน ล้วนไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่หลงใหลมัวเมาเคลิ้มไปตามอิฏฐารมณ์ ไมข่ ุ่นมัวหมน่ หมอง คลมุ้ คลั่งไปในเพราะอนฏิ ฐารมณ์ มีสติดำรงอยู่ เป็นผปู้ ราศจากทุกข์ มโี สกะ ปรเิ ทวะ เป็นต้น (ท.ี ปา. (ไทย) 11/337/348) ผสู้ ูงอายุพิจารณายอมรับความเป็นจรงิ ท่ีเกิดขึ้น ทัง้ ดา้ นบวกและดา้ นลบ ยอมรบั กับทกุ ข์ทีเ่ กิดข้ึน โดยยึดถือปฏิบตั ติ ามหลักพทุ ธธรรม เพือ่ ทำ ให้ผู้สูงอายุมีอายุยืน สุขภาพกาย สุขภาพจิตดี และความไม่ประมาท ทำให้ไม่ประมาทใน ทรัพยส์ ิน ใชท้ รพั ยใ์ หเ้ กิดประโยชน์ ทำใหไ้ มด่ หู มินผู้อ่ืน และหลักโลกธรรม ๘ เป็นหลักธรรม คาํ สอนท่ีประยุกตใ์ หเ้ หมาะสม 4.2 สภาพปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ปัญหาด้านจิตใจผู้สูงอายุตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ บางคนกลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่คนเดียว บางคนเป็นโรคซึมเศร้า คิดมากกลัวจะเป็น ภาระให้กับลูกหลาน ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ด้านครอบครัวและสังคม ผู้สูงอายุประกอบ อาชีพรบั จ้างท่ัวไป เข้าร่วมกจิ กรรมทางสังคมนอ้ ย บางคนมปี ญั หาทางครอบครัว ทำงานดูแล บ้านทุกอย่างแทนหลาน บางคนเจ็บป่วยเข้าร่วมกิจกรรมของสังคมได้ไม่ได้ ด้านครอบครัว เกิดความขัดแย้งที่ไม่เข้าใจกันระหว่างลูกหลานกับผู้สูงอายุ แต่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย ผู้สูงอายุบางคนชอบอยู่คนเดียวอยากช่วยเหลอื ตัวเองโดยไม่พึ่งลูกหลาน ด้านเศรษฐกิจและ รายได้ ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา มีรายได้จากการประกอบอาชีพ มีเบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุ

244 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June บางครอบครัวได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ลูกหลานส่งเงินมาให้เป็นรายเดือน มีเงินออมเก็บไว้ ผู้สูงอายุในตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ มีปัญหาเกิดขึ้นหลาย ๆ เช่น ดา้ นร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ เศรษฐกิจและสังคม 4.3 แนวทางแก้ปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัด บุรีรัมย์ พบว่า ผูส้ ูงอายมุ องโลกในแงด่ ี ไม่เครยี ด ทำจิตใจให้มีความสุขมีความเลื่อมใสศรัทธา ในศาสนา ประกอบกิจกรรมทางศาสนาเสมอ และนั่งสมาธิทำให้จิตสงบ บางคนหาทางออก โดยการทำบุญใสบาตรในช่วงเช้าเวลาพระเดินบิณฑบาต เข้าวัดฟังธรรมในวันธรรมสวนะ ผู้สูงอายุในตำบลห้วยราชาส่วนใหญ่ สุขภาพจิตดี ร่าเริง แจ่มใส หมั่นทำบุญให้ทาน ทำงาน อยเู่ สมอ ทำใจใหส้ งบด้วยสมาธแิ ละเผชิญสิ่งทหี่ นีไม่พ้นด้วยความสงบ ไดพ้ บปะพดู คุยให้หาย จากความเศร้าความเหงาในจติ ใจ ผู้สูงอายุในตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำหลกั พทุ ธธรรมมาปฏิบตั ิในวถิ ีชีวิต และแกป้ ัญหาดา้ นจติ ใจ หลกั พุทธธรรม คอื 1) พรหมวิหาร 4 คือ 1) เมตตา ความรกั ใคร่ ปรารถนาดอี ยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชนแ์ ก่มนุษยส์ ัตว์ท่ัวหน้า 2) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้ พ้นทุกข์ ใฝใ่ จในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ 3) มทุ ิตาความ ยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสขุ มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อ สัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป และ 4) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะ วนิ จิ ฉัยและปฏบิ ตั ไิ ปตามธรรม รวมทง้ั รจู้ กั วางเฉยสงบใจมองดู ในเมอ่ื ไมม่ กี จิ ทคี่ วรทำ เพราะ เขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความ รับผิดชอบของตน 2) ฆราวาสธรรม 4 คือ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ 1) สัจจะ ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง 2) ทมะ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัย แก้ไข ข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา 3) ขันติ ความอดทน ตั้งหน้าทำ หน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ทอ้ ถอย และ 4) จาคะ ความเสยี สละ สละกเิ ลส สละความสุขสบายและผลประโยชนส์ ่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็น และความต้องการของผู้อื่น พร้อมที่จะ รว่ มมอื ชว่ ยเหลือ เอ้อื เฟ้อื เผอ่ื แผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตนหรือเอาแต่ใจตัว และ

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 245 ปที ่ี 7 ฉบบั ท่ี 1 (2565) : มกราคม - มถิ นุ ายน 3) โลกธรรม 8 คอื ธรรมดาของโลก เร่ืองของโลก ความเป็นไปตามคติธรรมดา ซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตว์โลกและสัตว์โลกก็หมุนเวียนตามมันไป 1) ลาภ (ได้ลาภ, มีลาภ) 2) อลาภ (เสื่อมลาภ, สูญเสีย) 3) ยส (ได้ยศ, มียศ) 4) อยส (เสื่อมยศ) 5) นินทา (ติเตียน) 6) ปสสํ า (สรรเสรญิ ) 7) สุข (ความสขุ ) 8) ทุกข์ (ความทกุ ข์) โดยสรปุ เป็น 2 คอื ขอ้ 1-3-6-7 เปน็ อิฏฐารมณ์ คือส่วนท่นี า่ ปรารถนา ข้อที่เหลอื เปน็ อนฏิ ฐารมณ์ คอื ส่วนทไี่ ม่นา่ ปรารถนา โลกธรรมเหลา่ น้ี ย่อมเกดิ ข้ึนท้ังแก่ปุถุชนผู้มิไดเ้ รยี นรู้ และแก่อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ต่างกันแต่ว่า คนพวกแรกย่อมไม่รู้เห็นเขา้ ใจตามความเป็นจริง ลุ่มหลง ยินดียินรา้ ย ปล่อยให้โลกธรรมเข้า ครอบงำยำ่ ยจี ติ ฟูยบุ เรอ่ื ยไปไม่พน้ จากทุกข์ มีโสกะปรเิ ทวะ เป็นตน้ ส่วนอริยสาวกผไู้ ด้เรียนรู้ พิจารณาเห็นตามเป็นจริง ว่า สิ่งเหล่านี้อย่างใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่ตน ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่หลงใหลมัวเมาเคลิ้มไปตามอิฏฐารมณ์ ไม่ขุ่นมัวหม่นหมอง คลุ้มคลัง่ ไปในเพราะอนิฏฐารมณ์ มีสติดำรงอยู่ เปน็ ผ้ปู ราศจากทุกข์ มโี สกะ ปริเทวะ เป็นต้น 5. อภปิ รายผลการวจิ ยั จากผลการวิจัยเรื่อง “การศึกษาหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวดั บุรีรมั ย์” มีข้อคน้ พบท่ีสำคัญจึงนำมาอภปิ รายผล ดังน้ี 1. “หลกั พทุ ธธรรมท่ีส่งเสริมสขุ ภาพจติ ผสู้ ูงอายุในพระพุทธศาสนา” ผลการวิจัย พบวา่ กลมุ่ ผูส้ งู อายศุ ึกษาพรหมวิหาร 4 ฆราวาสธรรม 4 และหลักโลกธรรม 8 ดว้ ยการเขา้ ใจ เกี่ยวกับธรรมชาติหรือธรรมดาของชีวิต ซึ่งช่วยพัฒนาจิตใจให้มีสุขภาพจิตที่ดี มีความเบิก บาน ผ่องใส ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ยึดติดกับความทุกข์ นอกจากนี้ ยังมีทัศนคติเกี่ยวกับ ความตายในเชิงบวกวา่ เป็นธรรมดาชีวติ และไมร่ ู้สกึ เกรงกลวั หรือกงั วลกับความตายท่ีจะต้อง เผชิญ อีกทั้งยังทำงานอดิเรกที่ตนเองชื่นชอบและสนใจ ทำให้มีความสุขและเพลิดเพลินใน การใช้ชีวิต ด้วยการสร้างสัมพันธ์ที่ดีให้กัน สามารถทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืน สุขภาพกายและ สุขภาพจิตดี สอดคล้องกบั งานวิจัยเรื่อง “การศึกษาเชิงวเิ คราะห์วิถีชีวิตพฤติกรรมสุขภาพ และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของพระสงฆ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก” ซึ่งระบุว่า แนวคิดตามหลักคำสอนในทางพระพทุ ธศาสนาถือว่าสุขภาวะหรือสขุ ภาพ หมายถงึ ความสุข สมบูรณ์ของชีวิต ในทางร่างกาย (กายิกสุข) และทางจิตใจ (เจตสิกสุข) โดยองค์รวมของ ส่วนประกอบเหล่านี้แยกเป็น 4 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ ศีล (สังคมและสิ่งแวดล้อม) และ ปัญญา โดยชวี ติ ของมนุษย์จะเกิดความสขุ ได้น้ัน มติ อิ งคร์ วมท้ัง 4 ดา้ นน้ีจะต้องประสานเป็น หนึ่งเดียวกัน อาจเป็นธรรมชาติของผู้ป่วยหรือลักษณะสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ จะให้ความสำคัญต่อ คำแนะนำของแพทย์พยาบาลหรือผู้ดูแลรักษามากกว่าให้ความสำคัญ

246 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June กับการแสวงหาความรู้ เพื่อดูแลสุขภาวะของตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญในรูปแบบ สังคมไทย (พระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวสิ ทุ ฺโธ), 2551: บทคัดยอ่ ) 2. “ศกึ ษาปัญหาสุขภาพจิตผู้สงู อายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอหว้ ยราช จังหวัดบรุ ีรัมย์” พบว่า ผ้สู ูงอายนุ อนไม่หลับ หงุดหงิดงา่ ย เครียด และกังวลใจเพราะโรคชรา เนอื่ งจากปัญหา ด้านร่างกาย เช่น ร่างกายไม่มีแรง เดินไม่ได้เพราะอายุมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ฟันหัก กินข้าวได้น้อย เป็นโรคอ้วน โรคประจำตัว วิงเวียนศีรษะหน้ามืด ตาพร่ามัว เดินไม่คล่อง เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง “รูปแบบชุมชนต้นแบบที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ” ซึ่งระบุว่า จากการเปลี่ยนแปลงทางด้าน จิตใจของผู้สูงอายุ ทำให้ซึมเศร้า หงุดหงิด ระแวง เอาแต่ใจตนเอง ทำให้รู้สึกว่าเป็นการ สูญเสียทางใจ หมดกำลังใจ นอนไม่หลับ เป็นต้น ผู้สูงอายุทีม่ ีปัญหานอนไม่หลับ มักชอบตื่น กลางดึก ตน่ื เช้ากวา่ ปกติ ตื่นแล้วหลบั ตอ่ ไมไ่ ด้ หรือเป็นต้ังแต่เขา้ นอน นอนหลับยากกว่าปกติ โดยทั่วไปในวัยสูงอายุมักต้องการเวลานอนน้อยลง จากการเปลี่ยนแปลงของสรีระวิทยา ทำให้นอนหลับน้อยลง ตื่นเช้ากวา่ ปกติ แต่ผู้สูงอายุบางท่านกงั วลมาก ทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึน้ และผู้สูงอายุมักมีปัญหาสุขภาพอืน่ ๆ อาทิ ปวดเข่า ปวดท้อง ทำให้เป็นสาเหตุของการนอน ไมห่ ลับด้วย รวมถงึ โรคซึมเศร้า ถือเป็นการเปล่ยี นแปลงทางอารมณ์ท่พี บบ่อย เช่น เบือ่ หน่าย ทอ้ แท้ หงุดหงดิ ง่าย ใจคอไม่ดี เบือ่ อาหาร และไมม่ ีสมาธิ (กมลชนก ภมู ชิ าติ, 2559: 18) 3. “เสนอแนวทางการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วย ราช จังหวัดบรุ รี มั ย”์ หลกั ธรรมสำหรบั สง่ เสริมสขุ ภาพจิตผูส้ งู อายุ คอื พรหมวหิ าร 4 ฆราวาส ธรรม 4 และหลักโลกธรรม 8 เพื่อเกื้อกูลขัดเกลาการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทั้งภายในและ ภายนอก โดยงดเว้นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามซึ่งนําความเสื่อมมาให้กับตน ย่อมทำให้เกิดความสุขโดย ไมป่ ระมาท ถอื ไดว้ า่ เปน็ ธรรมพนื้ ฐานของมนษุ ย์ทุกคนที่จะต้องหมนั่ ฝึกฝนอบรมตน ด้วยการ ละเว้นจากการพฤติกรรมกระทำอันเป็นที่ไม่เหมาะสม โดยการยึดเอาหลักธรรมมาปรบั ใช้ใน การดำรงชีวิตประจำวนั ทั้งนีเ้ นอ่ื งจากสามารถเสริมสร้างให้ตนและทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสงบสุข ผู้สูงอายุควรยอมรับความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นทั้งด้านบวกและด้านลบ ยอมรบั กบั ทุกข์ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพอื่ ทำใหผ้ สู้ ูงอายุมีสุขภาพกายสุขภาพจิตดี และพิจารณาส่ิงทั้งให้รู้ ตามความเป็นจรงิ สอดคล้องกับงานวิจัยเร่ือง “การพฒั นารปู แบบการเรยี นรู้ตามแนวพุทธ ศาสตร์เพื่อพัฒนาผู้สูงอายุ” ระบุว่า หลักธรรมสำหรับผู้สูงอายุประกอบด้วยองค์ธรรม 29 ประการ (ปริยัติ) การปฏิบัติ 12 ประการ (ปฏิบัติ) และผลจากการปฏิบัติ (ปฏิเวธ) อันเป็น คุณค่า ภายนอก 2 ด้าน คือ ด้านร่างกายและสงั คม และคุณค่าภายใน 4 ด้าน คือ ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านปัญญา และด้านสติสัมปชัญญะ การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้เป็น เครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาผู้สูงอายุทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจและ

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 247 ปที ่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน ปัญญา โดยการบรรลุเป้าหมายอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเรียนรู้ทั้งปัจจัยภายใน อันได้แก่ บุพเพกตปุญญตา ความสนใจและนำไปปฏิบัติด้วยตนเอง และปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ครอบครัว และผู้สอน วิธีการเรียนรู้ดังกล่าวมีความหลากหลาย ได้แก่ จากผู้รู้ จากการปฏิบัติด้วยตนเอง จากการสนทนาธรรม จากการเข้าร่วมฝึกอบรม จากการเปน็ ผู้ช่วยผรู้ ูใ้ นการฝึกอบรม จากการได้รบั การส่ังสอนตักเตอื น และจากการได้รับฟัง หรืออ่านข้อความหรือเรื่องเล่าที่ประทับใจ ส่วนกจิ กรรมการเรียนรู้ เป็นกจิ กรรมด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิตใจ และสังคม โดยกจิ กรรมหน่ึง ๆ ใชว้ ิธีการเรียนร้ทู หี่ ลากหลายได้ กิจกรรมท้งั สาม ด้านต้องสอดแทรกหลักธรรมสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาผู้สูงอายุอย่างเป็นองค์รวมตั้งแต่ ระดบั พื้นฐานไปจนถึงความเปน็ มนุษยท์ สี่ มบรู ณ์ (ทิพยว์ ดี เหลอื งกระจ่าง, 2556: 102) 6. ขอ้ เสนอแนะ 6.1 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย 1. ผู้ปกครองแต่ละหมู่บ้าน หรือองค์กรส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดแนวทาง และปลูกฝังให้คนในครอบครัวดูแล หรือปฏิบัติกับผู้สูงอายุ ด้วยการพูดจาสุภาพ ทักทาย ยิม้ แย้มแจม่ ใส เต็มใจดแู ลและเอาใจใสท่ ีด่ ี 2. ผปู้ กครองแตล่ ะหมู่บ้าน หรือองคก์ รสว่ นท้องถ่นิ ควรรณรงค์ใหม้ ีการเปิด ธรรมะเสียงตามสายในช่วงเช้า เพอื่ แบ่งปนั สิ่งดี ๆ ใหก้ บั ผ้สู ูงอายุ 3. ควรมีการส่งเสริมบทบาทของผู้สูงอายุที่มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองของ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน ในการปฏบิ ตั ิตนท่ดี งี ามท่เี ปน็ แบบอย่างให้มบี ทบาทในสังคมมากยิง่ ขึน้ 6.2 ข้อเสนอแนะในเชงิ ปฏบิ ัติการ 1. ผู้สูงอายุต้องศึกษาให้เข้าใจชัดถึงแนวทางปฏิบัติ และเห็นคุณค่าของหลัก พทุ ธธรรมแลว้ จงึ นำไปปรบั ปรงุ ใช้ในชวี ติ ประจำวนั 2. ผู้สูงอายุต้องเข้าใจและทำตัวเองให้เป็นแบบอย่าง เป็นหลักธรรมประจำใจ เพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ ปกครองและการอยูร่ ว่ มกับผู้อ่ืน 3. ผสู้ ูงอายุไดผ้ า่ นวยั เขา้ ใจความถกู ต้องถูกผดิ ในการดำเนิน ชวี ิตในสังคมควร จะเครง่ ครดั ปฏิบัติให้เปน็ แบบอยา่ งที่ดใี นหลักฆราวาสธรรม ปญั หาที่เกิดขึ้นกับบุคคลครอบครัว และสังคมปจั จุบนั เพราะความบกพร่องในการรกั ษาหลักฆราวาสธรรม และไม่เหน็ คุณค่าการนำ ฆราวาสธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน ประกอบกับยุคโลกาภิวัตน์มามีอิทธิพลต่อสังคม จงึ กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาสังคมนานาประการ

248 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 7 No. 1 (2022) : January–June 4. ผู้สูงอายุ มีประสบการณ์ในสภาพความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ ความไม่มี ตัวตน ซงึ่ เปน็ สามัญลกั ษณ์ หรือธรรมดาของสตั วโ์ ลกไม่มากก็น้อย ดงั นั้น จึงควรดำเนินชีวิตโดย ความไม่ประมาท คิดถึงคุณค่าเวลา และสร้างกุศลแก่ตนเองและสังคมเมื่อประสบปัญหาเกิด ภาวะอนิฏฐารมณจ์ ะได้คดิ ถึงความจริงของชวี ติ ว่ามีเกิดก็ต้องมีตาย หรอื โลกธรรม 6.3 ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยครั้งตอ่ ไป 1. ประยุกต์หลักพุทธธรรมเพอื่ ใช้กับผ้สู ูงอายใุ นเวลาใกลต้ าย 2. ศกึ ษาเปรยี บเทียบการพฒั นาคุณภาพชวี ิตของผู้สูงอายโุ ดยยดึ หลักพรหม วิหาร ๔ ในเขตตำบลห้วยราชา อำเภอหว้ ยราช จงั หวดั บุรีรมั ย์ และตำบลอนื่ ๆ 3. ศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุติดเตียง ในเขตตำบลห้วยราชา อำเภอหว้ ยราช จงั หวดั บุรีรัมย์ และตำบลอ่ืน ๆ เอกสารอา้ งองิ กมลชนก ภูมิชาติ. (2559). รูปแบบชุมชนต้นแบบที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบัณฑิต สาขาการจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช. กลุ่มสถิติประชากร. (2557). การสํารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2557. สำนกั งานสถติ แิ ห่งชาติ: กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร. ทิพย์วดี เหลืองกระจ่าง. (2556). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ตามแนวพุทธศาสตร์เพื่อ พัฒนาผู้สูงอายุ. ดุษฎีนิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาศึกษา. บณั ฑิตวทิ ยาลัย: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ). (2551). การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิถีชีวิต พฤติกรรม สุขภาพ และการ ดูแลสุขภาพ แบบองค์รวมของพระสงฆ์ที่ปรากฏใน พระไตรปิฎก. ดุษฏีนพิ นธ์พทุ ธศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระบุญทรง ปุญฺญธโร (หมีดำ). (2549). ปัญหาและทางออกของผู้สูงอายุตามหลัก พระพุทธศาสนา. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา พระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2556). คติธรรมแห่งชีวิต. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ บรษิ ทั สหธรรมกิ จำกัด. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 249 ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (2565) : มกราคม - มถิ ุนายน เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2556). การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2583. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เดือนตุลา. สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยราช ถนนสุขาภิบาล 3. (2564). ข้อมูล ณ วันท่ี 1 ตุลาคม.

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 331 ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 (2564) : กรกฎาคม - ธันวาคม การพฒั นาทกั ษะการเรียนรูเ้ พ่อื อนาคตตามแนวพระพทุ ธศาสนา ของเยาวชนในสังคมไทย The Development of Buddhist Learning Skill for Future of the Youth in Thai Society พระมหาถนอม อานนโฺ ท, พระมหาพจน์ สวุ โจ, Phramaha Thanorm Arnando, Phramaha Phocana Suvaco, วทิ ยาลยั สงฆ์บรุ ีรมั ย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั Buriram Buddhist College, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, สริ ิกร รตั นศิริณชิ กลุ Sirikorn Rattanasirinichakun มหาวิทยาลัยพษิ ณุโลก Phitsanulok University E-Mail: [email protected] บทคดั ยอ่ งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพ่ืออนาคตตามแนวพระพุทธศาสนา ของเยาวชนในสังคมไทย” มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาศาสนา สำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 2) เพ่ือพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสังคมไทย 3) เพื่อพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนวพระพุทธศาสนาใน สังคมไทย และ 4) เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวพระพุทธศาสนาใน สังคมไทย วิธีดำเนินการวิจัย มี 3 ข้ันตอน คือ 1) การสังเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ท่ี เกี่ยวข้อง โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 รูป/คน 2) การสร้างรูปแบบ และ ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบด้วยเทคนิค การสนทนากลุ่ม และการตรวจสอบ เอกสาร โดยผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มผใู้ หข้ ้อมูลคือตัวแทนเยาวชนกลมุ่ เครอื ข่ายการเรียนรู้ ท้ัง 4 ภาค จำนวน 200 คน และ 3) การประเมินรูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพื่ออนาคต กลุ่ม ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 50 คน จาก 4 ภาค โดยการวิเคราะห์เน้ือหา การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า 1. การวิเคราะห์ปรัชญาศาสนาสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 พบ 4 ประเด็นสำคัญ คือ ด้านแนวคิดปรัชญาศาสนาเชิงสังคม เชิงส่ิงแวดล้อม เชิงเศรษฐกิจ และเชงิ การศึกษา เพ่ือนำหลักคิดและวิธีการเหล่าน้ีไปสกู่ ารเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

332 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 6 No. 2 (2021) : July–December 2. การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย พบ 2 ประเด็นสำคัญ คือ หลักพุทธธรรมด้านการรู้คิด และปัจจัยการรู้คิดทางจิตวิทยา เพ่ือนำหลัก คิดและวิธกี ารเหล่าน้ีไปใช้ในการศึกษาตามแนวพระพทุ ธศาสนา 3. การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนวพระพุทธศาสนาในสังคมไทย พบ 3 ประเดน็ สำคญั คือ ดา้ นการพฒั นาจิตสำนึกความเปน็ พลเมือง ด้านการพฒั นาจิตสำนึก ความเป็นพลเมืองตามแนวกฎหมาย และด้านการพัฒนาจติ สำนึกความเป็นพลเมืองตามแนว พระพุทธศาสนา เพ่ือนำหลักคิดและวิธีการเหล่าน้ีไปใช้ในการพัฒนาจิตสำนึกความเป็น พลเมอื ง 4. การเสริมสร้างความรบั ผิดชอบต่อสังคมตามแนวพระพุทธศาสนาในสังคมไทย พบ 4 ประเด็นสำคัญ คือ ด้านสิทธิหน้าท่ีของตนเองท่ีเกี่ยวข้องกับสังคม ด้านความรู้ ความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของสังคม และด้านความเอื้อเฟื้อต่อสังคมทางจิตใจและอารมณ์ เพื่อนำหลักคิดและวิธีการเหล่าน้ีไปใช้ ในการเสริมสรา้ งความรับผิดชอบต่อสงั คม คำสำคัญ: การพฒั นา, ทักษะการเรยี นรูเ้ พอื่ อนาคต, เยาวชนในสงั คมไทย Abstract The research plan on \"Development of Learning Skill for Future according to Buddhism of the Youth in Thai Society\" consists of 4 objectives as follows; 1) to analytical study of the philosophy and religion for learning in the 21st century, 2) to develop of knowing how to think according to Buddhism of the youth in Thai society, 3) to develop conscious of citizenship according to Buddhism in Thai society, and 4) to strengthen social responsibility according to Buddhism in Thai society. The mythology is presented into 3 stages: 1) document synthesis and interviews with related people. The informants were 15 experts, 2) creating patterns and verifying the suitability of patterns with techniques, group conversations and document verification by the experts, the informants are 200 youth representatives of learning network groups of 4 parts of Thailand, and 3) evaluating of development patterns of learning skills for the future, 50 informants from 4 parts of Thailand, analysis of contents, analysis of percentages, averages and standard deviations.

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 333 ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 (2564) : กรกฎาคม - ธันวาคม The results of the research found that: 1. The analytical study of philosophy and religion for learning in 21st century showed 4 points; idea of philosophy and religion on society, environment, economic and education. Those ideas and techniques could adopt for learning in the 21st century. 2. Development patterns of knowing how to think according to Buddhism of the youth in Thai society showed 2 points; Buddhist principle for knowing to think and factor of psychological know to think. Those ideas and techniques could adopt for Buddhist education. 3. Development conscious of citizenship according to Buddhism in Thai society showed 3 points; section on development conscious of citizenship, section on development conscious of legal citizenship and section on development conscious of citizenship according to Buddhism. Those ideas and techniques could adopt for developing conscious of citizenship. 4. Strengthening social responsibility according to Buddhism in Thai society showed 4 points; personal right on society, knowledge and skill for benefit of society, following rules and regulation of society and benefaction for society on spirit and emotion. Those ideas and techniques could strengthen for social responsibility. Keywords: Development, Learning Skills for the Future, Youth in Thai Society 1. บทนำ องค์กรสหประชาชาติรายงานว่าในศตวรรษท่ี 21 โลกมีปัญหาหลายอย่างท้าทาย ความสามารถของมนุษยชาติ เช่น ปัญหาของผสู้ ูงอายุ ปัญหาของผู้ป่วยเอดส์ ปัญหาพลงั งาน เคมี ปัญหาแรงงานเด็ก ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ปัญหาการแยกประเทศ ปัญหาด้านประชาธิปไตย ปัญหาความยากจน ฯลฯ และปัญหาด้านเยาวชน (Retrieved August 24, 2019, https://www.un.org/en/sections/issues-depth/ global-issues- overview/) ซึ่งปัญหาเหล่าน้ีสามารถสรุปได้ 3 ประเด็นหลัก กล่าวคือ ปัญหามนุษย์ ปัญหา สังคมและปัญหาส่ิงแวดล้อม ปัญหาเหล่านี้ทุกเพศวัยถือว่าเป็นหน้าท่ีต้องรับผิดชอบร่วมกัน แม้เยาวชนก็มีส่วนร่วมในการกระตุ้นสังคมโลกให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรีบลงมือ

334 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 6 No. 2 (2021) : July–December แก้ปัญหาทันที โดยไม่ต้องรอเวลา เพราะปัจจุบันโลกเข้าสู่ข้ันวิกฤตแล้ว ดังเช่นกรณีของเกร ตา ธนั เบิร์ก (Greta Thunberg) เด็กหญิงชาวสวีเดนได้ชักชวนเยาวชนและผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ รณรงค์ประกาศจุดยืนเพื่อแสดงพลังไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและบริษัทผู้มีส่วน ร่วมกับการเปล่ียนแปลงอากาศ (Retrieved October 3, 2019) เยาวชนจึงถือว่าเป็นพลัง สำคัญอีกส่วนหน่ึงซ่ึงต้องเสริมทักษะการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาจิตสำนึกและเสริมสร้างความ รับผิดชอบต่อสังคม โดยใช้ทฤษฎีปรัชญาและแนวคำสอนของพุทธศาสนามาช่วยแก้ปัญหา มนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่ 21 และเพื่อให้มนุษยชาติสามารถดำรงอยู่อย่าง เปน็ ปกติสขุ งานวิจัยน้ีเน้นพัฒนาเยาวชนในเขตพื้นที่ 4 ภาค ของประเทศไทย ดังน้ี 1) ภาคเหนือ 2) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 3) ภาคกลาง และ 4) ภาคใต้ โดยออกแบบชุด ความรู้เร่ืองการเรียนรปู้ รชั ญาศาสนา การพัฒนาการรู้คิด การพัฒนาจิตสำนึกต่อสังคม และ การเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมของเยาวชนไทยในศตวรรษที่ 21 โดยคาดการณ์ว่า กลุ่มเยาวชนเหล่าน้ีจะสามารถพัฒนาทักษะ เพื่อเป็นพลเมืองท่ีดีและเป็นกำลังสำคัญในการ พฒั นาประเทศไทยตอ่ ไป ปรัชญาและศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดปัญญาของมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์สามารถ พัฒนาตนและโลกจนพัฒนาไปไกลดังเห็นในปัจจุบันน้ี แม้ศาสตร์สมัยใหม่ก็มีพื้นฐานมาจาก ปรชั ญาและศาสนา ด้วยเหตุน้ันปรัชญาและศาสนาจะดำรงคงความสำคัญคู่โลกในศตวรรษท่ี 21 (Pascal-Emmanuel Gobry, (2015). Why Religion Will Dominate the 21st Century. (Retrieved August 24, 2019) การแยกปรชั ญาและศาสนาออกจากปญั หาในศตวรรษท่ี 21 จึงถือว่าเป็นแนวคิดที่ผิดพลาด เพราะปรัชญาและศาสนาเท่านั้นเป็นคำตอบของมนุษย์ เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤตของโลกในศตวรรษที่ 21 (William A. Graham, (2012). Why Study Religion in the Twenty-first Century? (Retrieved August 24, 2019) ภ าพ กระแส ความเคล่ือนไหวในนานาประเทศได้สะท้อนให้เห็นแนวคิด ทิศทาง และนวัตกรรมทาง การศึกษาที่น่าสนใจ ทั้งในเรือ่ งวิธีวิทยา กระบวนการเรียนรู้ เน้ือหาสาระวิชา ไปจนถึงระบบ การบริหารจัดการเพื่อรองรับการเรียนรู้ใหม่ (จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์, 2561: 3) การจะ พัฒนาประเทศไทยให้มีความมั่นคง ม่ังคั่ง และย่ังยืนในระยะยาวได้นั้น ต้องเร่งพัฒนา ปจั จัยพื้นฐานเชิงยุทธศาสตรใ์ นทุกด้าน ไดแ้ ก่ การเพ่ิมการลงทุนเพอื่ การวจิ ัยและพัฒนา การ พัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เร่งยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงการ พัฒนาคนให้มีสมบูรณ์ในทุกช่วงวัยท่ีสามารถบริหารจัดการ การเปลี่ยนแปลงต่อ สภาพแวดล้อม และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับคุณภาพ การศึกษา การเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ พร้อมท้ังส่งเสริมบทบาทสถาบันทางสังคมในการ

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 335 ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (2564) : กรกฎาคม - ธนั วาคม กล่อมเกลาสร้างคนดี มีวินัย มีค่านิยมท่ีดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคม (สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2559: 1) คนไทยทุกคนต้องได้รับ การศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 (สำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: ฉ) พระพุทธศาสนาเป็นอีกศาสนาหน่ึงของโลก ซึ่งสามารถ พฒั นามนุษย์ให้ช่วยสร้างและแก้ปัญหาโลกมาหลายร้อยศตวรรษ และมองว่าเยาวชนเป็นคน อกี กลมุ่ หนึ่งซ่ึงมีศกั ยภาพไม่แพ้คนวยั อ่ืน เห็นสมควรมีชุดความร้เู พื่อเพ่ิมทักษะและกระตุ้นให้ เกิดการรู้คิด การพัฒนาจิตสำนึกและการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสงั คม เพราะเยาวชน ต้องมีทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อทำหน้าท่ีในศตวรรษที่ 21 (วิจารณ์ พานิช, 2555: 18) แผนบูรณาการการวิจัยน้ีจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการ ในระดับและ นานาชาติ ประโยชน์เชิงชุมชนและสังคม เป็นเครือข่ายสังคมแห่งการเรียนรู้ ประโยชน์เชิง เศรษฐกิจ ได้เยาวชนเป็นกำลังสำคัญของชาติในพัฒนาอาชีพ และประโยชน์เชิงนโยบาย เยาวชน ดี เก่ง และมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติ ท่ีจะช่วย ขับเคลื่อน สังคมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต สู่การเป็นคน ไทยท่ีมที ักษะสูง เปน็ นวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ และประเทศชาตใิ หห้ ลดุ พ้นกับดักรายได้ ปานกลางและความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประชาชนในประเทศไทยต่อไป ดังนั้น คณะผู้วิจัยได้มองเห็นสภาพปัญหาของพื้นที่ในการวิจัย จึงสนใจท่ีจะ ศึกษาค้นคว้าเร่ือง “การพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพื่ออนาคตตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสังคมไทย” โดยการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาพัฒนาการศึกษา ทั้งน้ี เพื่อ นำหลักพุทธธรรมมาใช้ ทง้ั ทางด้านการวเิ คราะห์ปรัชญาศาสนาสำหรับการเรยี นรู้ในศตวรรษ ท่ี 21 การพัฒนาการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย การพัฒนา จิตสำนึกความเป็นพลเมือง และการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนว พระพุทธศาสนาในสังคมไทย รวมทั้งการสร้างชุดความรู้และการสร้างเครือข่ายทั้ง 4 ภาค เพ่ือเป็นแบบอย่างการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพ่ืออนาคตตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนทย่ี ่ังยืนสบื ตอ่ ไป 2. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อศึกษาวเิ คราะหป์ รัชญาศาสนาสำหรบั การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 2. เพ่ือพฒั นาการรคู้ ดิ ตามแนวพระพทุ ธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย 3. เพอื่ พฒั นาจติ สำนกึ ความเปน็ พลเมืองตามแนวพระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทย

336 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 6 No. 2 (2021) : July–December 4. เพ่อื เสรมิ สร้างความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมตามแนวพระพุทธศาสนาในสังคมไทย 3. วิธกี ารดำเนนิ การวจิ ยั กระบวนการวิจัยครั้งน้ี เป็นการศึกษาโดยการใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) 3.1 รูปแบบการวจิ ัย 1) ข้ันตอนการศึกษา โดยศึกษาแนวคิดทฤษฎี จากเอกสาร และสัมภาษณ์ เชิงลึกเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Selection) 2) ข้ันตอนการสร้างรูปแบบ การตรวจสอบรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และการนำไปใช้กับเยาวชน ท้ัง 4 ภาค และ 3) ขั้นตอนการการประเมินรูปแบบความเป็นไปได้กับเยาวชนท้ัง 4 ภาค เพื่อรับข้อเสนอแนะ จากการจดั เวทีสมั มนาระดมความคิด 3.2 กลุ่มผ้ใู หข้ อ้ มูลสำคัญ 1) ข้ันตอนการศึกษา คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Selection) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นักวิชาการด้านศาสนา 6 รูป/คน นักวิชาการด้านปรัชญา 6 คน ผู้เช่ียวชาญด้านการจัดกิจกรรมสำหรับเยาวชน 3 รูป/คน รวม 15 รูป/คน 2) ข้ันตอนการสร้าง รูปแบบ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ เยาวชน 200 คน จาก 4 ภาค และ 3) ขั้นตอนการประเมิน รปู แบบ ผ้ใู หข้ ้อมลู สำคญั ได้แก่ เยาวชน 50 คน จาก 4 ภาค 3.3 เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในข้ันตอนนี้ เป็นแบบสัมภาษณ์มี โครงสร้าง เพื่อทำการสัมภาษณ์ผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยการพัฒนาเคร่ืองมือสำหรับเก็บ รวบรวมข้อมูลในขั้นตอนนี้ คณะผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ แนวคิดทฤษฎี ตำรา เอกสาร งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 2) นำสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์ใน ข้อ 1 มาสร้างเป็นแบบสัมภาษณ์ และ 3) นำแบบสัมภาษณ์ท่ีสร้างข้ึนไปตรวจสอบกับท่ี ปรึกษาแผนงานวิจัยตรวจสอบความครอบคลุมเนื้อหา และนำข้อเสนอแนะที่ได้รับไป ปรับปรงุ แก้ไข้ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู คณะผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง เพื่อตรวจสอบความ เหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพ่ืออนาคตตามแนวพระพุทธศาสนาของ เยาวชนในสังคมไทย นำไปใช้กับกลุ่มเครือข่ายการเรียนรู้เยาวชน ทั้ง 4 ภาค ของประเทศ ไทย ดงั น้ี 1) ภาคเหนอื ไดแ้ ก่ เยาวชนจากโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ตำบลสบปราบ อำเภอ

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 337 ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 (2564) : กรกฎาคม - ธนั วาคม สบปราบ จังหวัดลำปาง จำนวน 50 คน 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เยาวชนจาก โรงเรียนกุดสะเทียนวิทยาคาร ตำบลกุดสะเทียน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 50 คน 3) ภาคกลาง ได้แก่ เยาวชนจากโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา ตำบลไร่ขิง อำเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 50 คน และ 4) ภาคใต้ ได้แก่ เยาวชนจากโรงเรียน เบญจมราชูทิศ ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี จำนวน 50 คน รวม จำนวนทง้ั ส้ิน 200 คน 3.5 การวิเคราะห์ขอ้ มูล วิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ในการแปลความหมาย ของค่าเฉลยี่ กำหนดเกณฑ์ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) คา่ เฉล่ียระหว่าง 4.51 - 5.00 หมายถงึ รูปแบบมคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากที่สุด ค่าเฉลีย่ ระหวา่ ง 3.51 - 4.50 หมายถึง รปู แบบมีความเหมาะสมอยูใ่ นระดบั มาก ค่าเฉลย่ี ระหว่าง 2.51 – 3.50 หมายถงึ รปู แบบมีความเหมาะสมอย่ใู นระดบั ปานกลาง ค่าเฉลยี่ ระหว่าง 1.51 - 2.50 หมายถึง รปู แบบมคี วามเหมาะสมอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉล่ียระหว่าง 1.51–1.50 หมายถึง รูปแบบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ น้อยทส่ี ุด 4. สรปุ ผลการวิจัย 4.1 ผลการศึกษาการพัฒ น าทักษะการเรียนรู้เพื่ออนาคตตามแนว พระพทุ ธศาสนาของเยาวชนในสงั คมไทย ผลการวิจัย พบว่า การนำชุดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพ่ืออนาคต ตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ไปใช้กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูล เครือข่ายการ เรียนรู้ 4 ภาค ของประเทศไทย จำนวน 50 คน ได้แก่ (1) ตัวแทนเยาวชนจากภาคเหนือ จำนวน 12 คน (2) ตัวแทนเยาวชนจากภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ จำนวน 12 คน (3) ตัวแทน เยาวชนจากภาคกลาง จำนวน 13 คน (4) ตวั แทนเยาวชนจากภาคใต้ จำนวน 13 คน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คอื ข้อ 3) เยาวชนไทยมีทักษะด้านจิตสำนึกความเปน็ พลเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา และ ที่มีค่าเฉล่ยี ตำ่ สดุ คอื ขอ้ 2) เยาวชนไทยมที กั ษะด้านการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนา 2. ด้านโครงสร้างเน้ือหาของการจัดการเรียนรู้เพ่ื ออนาคตตามแนว พระพทุ ธศาสนาของเยาวชนในสงั คมไทย ประกอบด้วย 4 ทกั ษะ

338 | Academic MCU Buriram Journal Vol. 6 No. 2 (2021) : July–December 2.1 ทักษะด้านการวิเคราะห์การวิเคราะห์หลักปรัชญาศาสนาสำหรับการ เรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 ประกอบดว้ ย 4 รายการยอ่ ย 2.1.1 สามารถนำทักษะแนวคิดปรัชญาศาสนาเชิงสังคม เพื่อนำหลักคิด และวธิ กี ารเหลา่ นี้ไปสกู่ ารเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21 2.1.2 สามารถนำทักษะแนวคิดปรัชญาศาสนาเชิงส่ิงแวดล้อม เพื่อนำ หลกั คิดและวิธกี ารเหลา่ นไี้ ปสู่การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 2.1.3 สามารถนำทักษะแนวคิดปรัชญาศาสนาเชงิ เศรษฐกิจ เพื่อนำหลัก คิดและวธิ ีการเหล่านีไ้ ปสกู่ ารเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 2.1.4 สามารถนำทักษะแนวคิดปรัชญาศาสนาเชิงการศึกษา เพื่อนำ หลักคดิ และวิธีการเหลา่ นไ้ี ปสกู่ ารเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 พบว่า ด้านย่อยเก่ียวกับทกั ษะด้าน การวเิ คราะห์การวิเคราะหห์ ลกั ปรัชญาศาสนาสำหรบั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยงสูงสุด คือ ข้อ 3) สามารถนำ ทักษะแนวคดิ ปรัชญาศาสนาเชิงเศรษฐกิจ เพ่อื นำหลักคิดและวิธกี ารเหล่านี้ไปสกู่ ารเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียงต่ำสุด คือข้อ 1) สามารถนำทักษะแนวคิดปรัชญาศาสนาเชิง สังคม เพอ่ื นำหลกั คดิ และวิธกี ารเหลา่ นไี้ ปสูก่ ารเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21 2.2 ทักษะดา้ นการรคู้ ิดตามแนวพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย 4 รายการย่อย 2.2.1 สามารถนำหลักพุทธธรรมด้านการรู้คิด เพ่ือเป็นหลักคิดและ วิธกี ารในการศึกษาตามแนวพระพทุ ธศาสนา 2.2.2 สามารถนำปจั จัยการรู้คิดทางจิตวิทยาเพื่อเป็นหลกั คดิ และวธิ ีการ ในการศกึ ษาตามแนวพระพุทธศาสนา ด้านย่อยเกี่ยวกับทักษะด้านการรู้คิดตามแนวพระพุทธศาสนา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือข้อ 2) ข้าพเจ้าสามารถถ่ายทอด ความคิดเก่ียวกับแนวคิดทฤษฎีด้านเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ย ต่ำสุด คือข้อ 1) สามารถนำปัจจัยการรู้คิดทางจิตวิทยา เพื่อเป็นหลักคิดและวิธีการใน การศกึ ษาตามแนวพระพทุ ธศาสนา 2.3 ทักษะด้านจิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ย 3 รายการย่อย 2.3.1 ไดแ้ สดงออกถึงจติ สำนกึ ความเป็นพลเมือง 2.3.2 ได้แสดงออกถงึ จิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนวทางกฎหมาย 2.3.3 ได้แสดงออกถงึ จิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา

วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 339 ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (2564) : กรกฎาคม - ธนั วาคม ด้านย่อยเก่ียวกับทักษะด้านจิตสำนึกความเป็นพลเมืองตามแนว พระพุทธศาสนา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือข้อ 2) ได้ แสดงออกถึงจิตสำนึกความเป็นพลเมอื งตามแนวทางกฎหมาย ขอ้ ที่มีค่าเฉลีย่ ตำ่ สุด คือข้อ 1) ได้แสดงออกถงึ จติ สำนกึ ความเป็นพลเมือง 2.4 ทักษะด้านความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ย 4 รายการยอ่ ย 2.4.1 ปฏบิ ตั ติ ามสทิ ธิหนา้ ทข่ี องตนเองทเี่ กี่ยวขอ้ งกับสังคม 2.4.2 รบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมเพ่อื ใหส้ ังคมไดร้ ับประโยชน์ 2.4.3 ปฏิบตั ิตามกฎระเบียบข้อบงั คับของสังคม 2.4.4 เออ้ื เฟอื้ เพื่อนมนุษยต์ ามแนวพระพุทธศาสนา ด้ า น ย่ อ ย เก่ี ย ว กั บ ทั ก ษ ะ ด้ า น ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ต่ อ สั ง ค ม ต า ม แ น ว พระพุทธศาสนา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ 2) รับผิดชอบต่อสังคมเพ่ือให้สังคมได้รับประโยชน์ตามแนวพระพุทธศาสนา ข้อที่มีค่าเฉล่ีย ตำ่ สุด คือข้อ 3) ปฏบิ ัตติ ามกฎระเบียบขอ้ บงั คบั ของสังคมตามแนวพระพุทธศาสนา 3. ด้านเง่ือนไขความสำเร็จการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการเรียนรู้เพื่อ อนาคตตามแนวพระพุทธศาสนาของเยาวชนในสังคมไทย ประกอบดว้ ย 3 รายการ 3.1. ทักษะวทิ ยากร ประกอบดว้ ย 3 รายการยอ่ ย 3.1.1 วทิ ยากรต้องมีทกั ษะด้านเทคนคิ วิธที ่ีเรยี กกระบวนการเรียนรแู้ บบ Active Learning ท่ียดึ นกั เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง (Student-centered) 3.1.2 วิทยากรต้องมีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ ควรพยายามสร้าง บรรยากาศท่ีสนับสนุนส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกันทางบวก และต้องแสดงออก ดว้ ยความจริง 3.1.3 วิทยากรต้องมีทักษะด้านการจัดการความรู้ ท่ีสามารถกระตุ้น ทักษะดา้ นตา่ ง ๆ ของเยาวชนทเ่ี ข้ารบั การอบรม 3.1.4 วิทยากรต้องมีทักษะด้านการเป็นโค้ช (Coach) และอำนวยความ สะดวก (Facilitator) ในการเรียนรู้ ดา้ นยอ่ ยเกี่ยวกับทกั ษะวิทยากร พบวา่ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ข้อ ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ 2) วิทยากรต้องมีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ ควรพยายามสร้าง บรรยากาศท่ีสนับสนุนส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกันทางบวก และต้องแสดงออก ด้วยความจริง ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ 1) วิทยากรต้องมีทักษะด้านเทคนิควิธีท่ีเรียก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook